Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 134891 ครั้ง)

ออฟไลน์ farfarneenee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
หึงน่ารักอะ   :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ nadty27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เมื่อไหร่คีธจะเลิกดูดปาก เอ๊ย
สารอาหารจากบรูคลินซะที

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
กรี๊ดดดดด คีธหื๊ยหื่นนน อร๊ายยยย ชอบบบบ  :hao6:

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
คีธหึงสุดยอดดด เขารู้กันทั้งกองแล้ว5555

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 23: Alien’s gala dinner[1]
เรื่องที่ไม่ได้กินผู้หญิงในฮอลลีวูดสักคนอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกก่อนมาเหยียบที่นี่ ผมพอจะทำใจได้ แต่ไอ้เรื่องที่คนทั้งกองถ่ายรู้ว่าผมถูกไอ้มนุษย์ต่างดาวหน้ามึนนั่นกินสนั่นลั่นทุ่งนี่ บอกตรงๆ เลยว่ารับไม่ได้อย่างแรง!
ก็ใครมันจะไปรับได้ ตอนแรกที่ผมมาที่นี่ ผมถูกเล่าลือว่าเป็นเสือผู้หญิงตัวอันตรายพอๆ กับซีเลนด้วยซ้ำ แต่ผ่านไปไม่กี่อาทิตย์ กลับเป็นเกย์คู่กับไอ้คีธเสียอย่างนั้น ถึงผมเองก็ชอบคีธไปแล้วก็เถอะ แต่มาเจอแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกันนี่หว่า ผมไม่ใช่ไอ้ริชาร์ดนี่ถึงได้หน้าชื่นตาบาน ควงผัวออกนอกหน้านอกตาโดยไม่แคร์สายตาชาวบ้านได้ หมดกันชื่อเสียงเพลย์บอยที่สั่งสมมานาน จะกลับตัวกลับใจไปชอบผู้หญิงเหมือนเดิมก็รับรองได้เลยว่าคงไม่มีใครแลผมแล้ว
แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือตลอดการทำงานในวันนั้น ผมทำงานไม่เป็นสุขเลยสักนิด
มันจะไปทำงานเป็นสุขได้ยังไงก็ในเมื่อทุกคนมองผมด้วยสายตาประหลาดๆ ตลอดเวลาน่ะ! นี่ถ้าพวกมันไม่เกรงใจ คงจะถามด้วยล่ะสินะว่าคีธมันเด็ดยังไง ผมถึงได้เสียวดังเสียวเบาสลับกันจนผนังห้องแต่งตัวสะเทือนอย่างนั้น แถมคีธก็ตามติดผมเป็นตังเม ราวกับจะประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าผมเป็นของมันโดยสมบูรณ์แล้ว อันที่จริงมันไม่ต้องประกาศ ชาวบ้านเค้าก็รู้กันทั้งร้านตลาดแล้วล่ะ คิดแล้วก็ปวดหัวแท้ๆ ไม่น่าพลาดให้ไอ้คีธมันกระทำชำเราเลยให้ตาย!
กว่าจะเลิกงานก็แทบทำผมมุดหัวลงดินเป็นนกกระจอกเทศไปหลายสิบรอบ และพอได้ยินเสียงของผู้กำกับวิลล์สั่งให้แยกย้ายกลับไปพักผ่อนได้ ผมก็เกือบจะวิ่งสี่คูณร้อยกลับห้องทันที ทว่าคีธที่ยังตามผมไม่เลิกดันคว้ามือผมไว้เสียก่อน มิหนำซ้ำยังจับซะแน่น แล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าตาย
“เดินกลับห้องกัน”
มึงเดินไปคนเดียวเถอะไอ้คีธ! ไกลหลายกิโลฯ ขนาดนั้นน่ะ ที่สำคัญ กูไม่ได้อนุญาตให้มึงไปอยู่กับกูเลยนะเนี่ย มึงอย่ามามัดมือชกสิเว้ย!
ผมพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุม ทว่าหมอนั่นก็จับไว้แน่นจนผมต้องทำตาเขียวใส่แล้วออกคำสั่ง
“ปล่อย”
“ไม่” มันว่าเสียงเรียบ ทำให้ผมต้องแผดเสียงใส่เพราะมีคนมองดูเราสองคนอยู่เยอะแม้ว่าจะพยายามเหลือบๆ หางตามองก็ตาม
“แล้วจะจับทำไมวะ!”
“เป็นแฟนกันก็ต้องเดินจับมือกันสิ” แล้วมันก็ว่าให้ผมได้หน้าร้อนฉ่า พลันพยายามซ่อนใบหน้าที่คาดว่าน่าจะแดงเรื่อไปทางอื่นก่อนว่าอุบอิบ
“คะ...ใครบอกนายเนี่ยฮะ”
“ดูหนังมา วัฒนธรรมของมนุษย์โลกนี่”
“ไม่ใช่ซะหน่อย นายเข้าใจผิดแล้ว” ผมโกหกไปซะอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะว่าไม่อยากให้คีธจับมือหรอกนะ แต่เพราะอายที่จะเดินจูงมือกับมันมากกว่า ลองคิดดูสิ ผู้ชายตัวใหญ่เบิ้มกับผู้ชายเอเชียที่สูงไล่พอๆ กันเดินควงกันกระหนุงกระหนิงไปตามถนน คนอื่นเห็นแล้วคงได้ขนลุกตาย
“แล้วฉันไม่ได้เป็นแฟนนายด้วย” ประโยคนี้ไล่ตามหลังออกมาเบาๆ
คีธย่นคิ้วเหมือนจะขัดใจไปนิดหนึ่ง แต่ก็แค่ครู่เดียว ก่อนจะกลายเป็นสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเดิม
“นั่นสินะ นายไม่ได้เป็นแฟน แต่เป็นเมียฉันนี่ ถ้าเป็นแฟนกันจับมือกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เป็นเมียก็คงจะไม่มีปัญหา”
มะ...มึงไปจำคำศัพท์นี้มาจากไหนวะ! ใครสั่งใครสอนให้เรียกกูว่าเป็นเมียมึงไม่ทราบ!
ผมกระชากมือตัวออกเองจากการเกาะกุมสุดแรงก็คราวนี้ หน้านี่ร้อนเห่อจนไม่รู้จะร้อนยังไง ขณะที่คีธยังคงมองผมอย่างสงสัยไม่เลิก
“หรือเป็นเมียจะไม่จับมือกัน แต่ทำแบบนี้” มันพูดแล้วก็ถือวิสาสะโอบไหล่ผมพลันดึงไปชิดตัวมันซะงั้น ผมเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ พร้อมๆ กับเสียงวี้ดว้ายเบาๆ ของสาวๆ ในกองถ่ายที่จ้องมองผมกับคีธอยู่นาน
“เป็นผัวเมียกันคงจะโอบกันได้”
นะ...นี่มันหนักกว่าจับมือไอ้เวรคีธ! มึงจะทำอะไรก็ปรึกษากูก่อนสิเว้ย!
“พอเลย ไม่ต้องมาจับมาโอบอะไรทั้งนั้นแหละ! จะเดินกลับห้องใช่มั้ย ถ้าจะเดินก็เดินเฉยๆ พอ!” ผมแหวใส่ก่อนผลักอกหมอนั่นออกห่าง
คีธยอมปล่อยแต่โดยดี ไม่พูดไม่ถามอะไรออกมาสักคำ เอาแต่ยิ้มน้อยๆ พลันยกนิ้วชี้เรียวมาจิ้มข้างแก้มผมเบาๆ
“แก้มแดงดีจังนะ”
กูรู้ว่าเมื่อกี้มึงน่ะแกล้งโง่! ที่แท้ก็อยากจะแกล้งให้กูเขินล่ะสิใช่มั้ย!?
ผมสะบัดหน้าหนี ขมุบขมิบด่ามันไปยาวเหยียด ตาก็มองหาริชาร์ดไปด้วย กะว่าจะกลับพร้อมกับมันด้วยอีกคนเพราะผมจะได้ไม่ต้องถูกคีธหยอกบ้าบอคอแตกแบบนี้อีก ทว่ามองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นไอ้เจ๊กหน้าเมากัญชาแม้แต่น้อย ให้เดานะ ป่านนี้มันคงควงไอ้แอสตันกลับห้องไปก่อนแล้ว
ไอ้ริชาร์ด...มึงนะมึง มีผัวแล้วลืมเพื่อนทุกที!
“งั้นก็กลับกันเถอะกวินทร์ วันนี้ดูท่าทางกวินทร์เหนื่อยๆ” คีธเรียกความสนใจจากผมไปอีกครั้ง
ผมโคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเลยว่าที่เหนื่อยเนี่ยก็เพราะมันนั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เวลาอย่างนี้รีบเอาตัวเองออกไปให้พ้นสายตาของพวกชอบสอดรู้สอดเห็นให้เร็วที่สุด ทว่าไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนไกล เสียงมุ้งมิ้งของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“ทะ...ท่านผู้พิทักษ์”
ผมได้ยินแล้วก็ไม่ต้องเลยว่าเป็นเสียงใคร... ก็เสียงของไอ้บรูคลินไงล่ะ!
คีธกับผมชะงักกึก หันไปมองด้านหลังก็เห็นบรูคลินยืนก้มหน้า เหลือบมองผมกับคีธด้วยท่าทางไม่มั่นใจอยู่ เห็นแล้วก็โคตรจะรำคาญ ทีตอนมันขู่ผมไม่ให้ไปยุ่งกับคีธนี่ทำเป็นกระด้างกระเดื่อง ทีตอนอยู่ต่อหน้าคีธ แม่งทำเป็นหน่อมแน้มบอบบางทันที มึงนี่มันเปรตแอ๊บแบ๊วจริงๆ!
คีธเลิกคิ้วสูงราวกับถามว่ามีอะไร ขณะที่ผมยกมือขึ้นกอดอก เอียงคอรอให้คนตรงหน้าพูดอย่างหงุดหงิด บรูคลินเหลือบมองผมสลับกับคีธไปมาเล็กน้อยก่อนจะปริปากออกมาเสียงแผ่วราวกระซิบ
“คือว่า... ฉันจะมาบอกข่าวเรื่องการชุมนุมของพวกเราที่อยู่ในดาวดวงนี้ พ่อกับแม่ฉันให้มาบอกท่านผู้พิทักษ์ว่าให้พาองค์ชายไปร่วมงาน แว่วมาว่าจะมีชาวยูนิกม่าจากรัฐอื่นมาร่วมงานด้วยคนนึง อยากให้องค์ชายกับท่านได้เจอ”
คีธที่ทำหน้านิ่งเรียบตอนเลิกเลิกคิ้วสูงทันควัน ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้บรูคลินแล้วว่าเสียงเบาบ้าง
“ที่ไหน เมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ตอนสองทุ่ม ที่ชั้นใต้ดินของตึกรวมตัว ที่ตั้งของตึกบอกไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะพาไปเอง มันอยู่ในความดูแลของพวกเราชาวไบโทป”
คีธพยักหน้ารับ ผมเข้าใจแหละว่ามันน่าจะเป็นแหล่งซ่องสุมที่เป็นความลับเลยไม่ได้สนใจอะไร
“งานเลี้ยงใหญ่มั้ย”
“ไม่ครับ งานเล็กๆ พบปะสังสรรค์กันเฉยๆ” บรูคลินว่าก่อนจะถามคำถามใหม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ “แล้วนี่...ท่านผู้พิทักษ์จะกลับเลยมั้ยครับ”
ผมเห็นแล้วก็หมั่นไส้ชะมัด แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้มันยังเป็นโฮสต์ให้คีธนี่นา ยอมไปก่อน ไว้ผมเป็นโฮสต์ให้คีธเมื่อไหร่แล้วถ้าไอ้บรูคลินมาเกาะแกะล่ะก็ ผมด่าไม่ไว้หน้าแน่
“เดี๋ยวจะกลับเลย” คีธว่า ผมก็เลยหมุนตัวเดินออกมาจากตรงนั้น ตั้งใจว่าจะกลับห้อง
ทว่าพอผมหมุนตัวเท่านั้นแหละ คีธก็ปรี่เข้ามาคว้าข้อมือผมไว้พลัน
“จะไปไหนน่ะกวินทร์”
“ก็กลับห้องน่ะสิ”
“กลับพร้อมกับฉันสิ”
ผมกับบรูคลินย่นคิ้วทันควันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก่อนที่คีธจะเลื่อนมือจากข้อมือผมมาเป็นจับมือแทน
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะบูลิโอ เจอกันที่อพาร์ตเม้นต์ของกวินทร์ก็แล้วกัน มารับด้วย” ปิดท้ายด้วยการไปบอกลาบรูคลินหน้าตาเฉย
สาบานเลยว่าผมเห็นหน้าบรูคลินเหวอไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบปรับให้เป็นปกติแล้วพยักหน้ารับคีธช้าๆ
“ครับ...”
ผมลอบแสยะยิ้มทันควัน... โฮ่ย! สะใจชะมัดเลยโว้ย! รสชาติของการถูกขย้อนทิ้งทั้งๆ ที่ถวายตัวให้มันถึงปากเป็นยังไงล่ะไอ้เปรตวัดสุทัศน์!
ผมจูงมือคีธเดินอาดๆ ออกมาจากตรงนั้นเลย หน้านี่ยิ้มไม่หุบอย่างลืมตัวจนคีธสังเกตเห็นและทักขึ้น
“กวินทร์อารมณ์ดีอะไร เห็นยิ้มมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“ไม่มีอะไร ยิ้มไปเรื่อยเปื่อย” ผมตอบเลี่ยงๆ ไม่อยากให้คีธมันรู้ว่าที่ผมยิ้มจนแก้มปริขนาดนี้ก็เพราะมันเลือกผม
แต่มันก็ดันไม่โง่เอาซะตอนนี้ รู้ทันผมขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ยิ้มเพราะฉันเลือกมากับนาย ไม่ได้ไปกับบูลิโอล่ะสิ”
ผมหุบยิ้มทันควันเลย
มึงนี่แกล้งโง่ให้รู้เวล่ำเวลาหน่อยเถอะ เวลาไม่สมควรโง่แม่งก็โง่ เวลาสมควรจะโง่ก็ดันฉลาดขึ้นมาเชียว
“ไม่ใช่” ผมยังคงปฏิเสธอยู่ คีธก็เลยถามไม่เลิก
“แล้วยิ้มทำไม”
“แล้วนายจะทำไมวะ ฉันยิ้มแล้วนายมีปัญหาหรือไง”
คีธส่ายหน้ารัวเมื่อเห็นผมเริ่มแหว ผมเกือบจะไม่สนใจมันอยู่แล้วเพราะมันไม่พูดอะไรออกมาอีก ทว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น มันก็ทำให้ผมต้องใจเต้นแรงขึ้นมาฉับพลัน
“กวินทร์ยิ้มเพราะมีความสุข ฉันก็ดีใจ แต่จะดีใจยิ่งกว่าถ้ายิ้มมีความสุขเพราะฉัน”
ผมมองหน้าคีธที่จ้องหน้าผมนิ่งแล้วก็หลบสายตา ให้ตายเถอะ ไอ้บ้านี่ก็ขยันหยอดจริงนะพักนี้ ของแบบนี้มันต้องให้พูดด้วยหรือไงว่ายิ้มเพราะอะไร ดูท่าทางก็น่าจะรู้แล้ว
“กลับกันเถอะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติทั้งที่มันสั่นเครือน้อยๆ ด้วยความตื่นเต้น
คีธหัวเราะในลำคอกับท่าทางขัดเขินของผมก่อนจะก้าวเดินไปพร้อมๆ กันโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก หัวใจผมค่อยๆ พองโตขึ้นทีละน้อยทุกครั้งที่ถูกมือใหญ่บีบมือตัวเองเบาๆ ในทุกย่างก้าวที่เดิน เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าการเดินกลับห้องแบบนี้มันก็ดีเหมือนกันแม้ว่าจะต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรก็ตาม
อยากให้เวลาหยุดเดินชะมัดเลยให้ตาย...
 
เชื่อมั้ยว่าการเดินจากสตูดิโอกลับมายังอพาร์ตเม้นต์เกือบสิบกิโลฯ ไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ดูเป็นระยะทางสั้นๆ ซะอีกเมื่อผมได้เดินข้างกับคีธเงียบๆ เพิ่งเข้าใจได้ในตอนนี้เองว่าความโรแมนติกมันเป็นยังไง ไม่ต้องพูด ไม่ต้องกระทำการใดๆ แต่สัมผัสได้เพียงแค่ใช้ความรู้สึก
แต่พอมาถึงอพาร์ตเม้นต์แล้ว ความโรแมนติกที่มีมาก่อนหน้าก็อันตรธานหายไปพลันเมื่อคีธตรงไปบอกแอสตันที่ขลุกอยู่ในห้องกับริชาร์ดว่าพรุ่งนี้จะมีงานชุมนุมของมนุษย์ต่างดาวแล้วจะมีชาวยูนิกม่ามาร่วมงานด้วย เท่านั้นแอสตันก็รีบถามหาร้านเช่าสูททันใด ผมอยากจะถามชะมัดว่ามันจะเช่าสูทไปทำไม เท่าที่ผมจำได้ บรูคลินบอกว่างานเลี้ยงนี่เป็นงานเล็กๆ นี่นา ก็ไม่น่าจะต่างจากงานปาร์ตี้ที่ผมกับริชาร์ดไปกันบ่อยๆ นัก แต่แอสตันก็ยืนกรานหนักแน่นว่าจะต้องเช่าสูท ริชาร์ดก็เลยพามันมาที่ร้านเช่าสูทที่อยู่ใกล้ๆ และแอสตันก็ไม่ได้เช่าแค่ของมันคนเดียวด้วย หากแต่รวมไปถึงของคีธ ของริชาร์ด แล้วก็ของผม
ผมงงไปหน่อยว่าพวกมันจะให้ผมกับริชาร์ดเช่าสูทไปด้วยทำไม แต่พอได้ยินคีธอธิบายแล้ว ความสงสัยก็มลายหายไปพลัน
“ไปในฐานะว่าที่แม่พันธุ์”
ว่าที่เมียก็บอกมาเถอะ ว่าที่แม่พงแม่พันธุ์อะไร ฟังแล้วนึกถึงแม่วัวชะมัด
ใจจริงผมก็ไม่อยากไปเท่าไหร่ มีแต่ไอ้ริชาร์ดนี่แหละที่กระดี๊กระด๊าอยากไปจนออกนอกหน้า ที่อยากไปก็เพราะ...
หนึ่ง... มันได้ควงออกงานกับแอสตันเป็นครั้งแรก
และสอง... มันจะไปดูสารพัดมนุษย์ต่างดาว
เหตุผลที่สองคือเหตุผลหลัก เหมือนว่าช่วงนี้มันจะทำใจให้คุ้นชินกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้วเลยกลับมาเป็นกูรูบ้าเอเลี่ยนเหมือนเดิม ยิ่งมีแอสตันคอยเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟัง ต่อมบ้ามันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นถึงขนาดพูดเพ้อเจ้อว่าสักวันมันจะเป็นผู้กำกับหนังแนวสัตว์ประหลาดบุกโลกที่โด่งดังให้ได้ ผมแอบเบ้ปากให้มันไปที
หนังสั้นของชมรมมึงเรื่องเจ้าชายต่างดาวหอยหลอดอะไรนั่นเอาให้จบก่อนเถอะ ถ่ายไปได้ไม่กี่ฉากก็ต้องลากสังขารมาที่แอลเอละ ป่านนี้รุ่นน้องพากับสาปส่งกันกระจายแล้วมั้ง
หลังจากเช่าชุดสูทอะไรเสร็จ พวกเราก็กลับมาพักผ่อน เตรียมพร้อมสำหรับไปทำงานวันใหม่ และพอเลิกงาน คีธกับแอสตันก็ลากผมกับริชาร์ดกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์อย่างรวดเร็วเพื่อมาเตรียมตัวให้พร้อม บอกตรงๆ เลยว่าตอนที่ผมได้เห็นคีธใส่ชุดสูทครั้งแรก ภาพมนุษย์ต่างดาวในชุดบอดี้สูทสีเทามันเลื่อมนี่หายวับไปกับตาเลยจนผมต้องเผลออุทานในใจ
ละ...หล่อฉิบ... ถ้ารู้ว่ามันใส่สูทขึ้นขนาดนี้ล่ะก็ ผมคงให้มันใส่ไปนานแล้ว
แอสตันเองก็ดูดีเช่นกัน ภาพเด็กหนุ่มวัยสิบแปดหายไป แทนที่ด้วยชายหนุ่มโตเต็มวัย แถมยังดูดีมีสง่าราศี สมเป็นเจ้าชายแห่งยูนิกม่าขึ้นมากโข
ดูดีหรือดูไม่ดีให้ดูที่สีหน้าไอ้ริชาร์ดได้ จากเมาๆ กัญชาอยู่นี่ตาสว่างเลย แถมมันยังจัดการลากผัวเข้าไปปล้ำในห้องหน้าตาเฉยทั้งที่เตรียมพร้อมจะไปกันแล้วแท้ๆ ผมถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา ส่วนไอ้คีธพอเห็นเจ้านายไปเสพสมมันก็สะกิดชวนผมยิกๆ แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่เอาด้วยหรอก ขี้เกียจมาคอยระวังว่าสูทจะยับ
การกินริชาร์ดจานด่วนเสร็จสิ้นก่อนบรูคลินมาถึงพอดี หมอนั่นไม่ได้มาคนเดียว แต่พาน้องชายอย่างเบนมาด้วย พอเด็กนั่นเห็นริชาร์ดที่เดินออกมาจากห้องพร้อมกับแอสตันที่อยู่ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงก็มุ่ยหน้าทันควันขณะที่ริชาร์ดลอยหน้าลอยตาประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมถึงกับหัวเราะในลำคอ
แหม ไอ้ริชาร์ด... มึงนี่ก็ร้ายไม่เบา ฤทธิ์เมียหลวงสินะ
และเพราะแอสตันกับคีธก็อยู่ตรงนั้น สองพี่น้องเปรตวัดสุทัศน์ก็เลยไม่กล้าทำอะไร ได้แต่พาพวกเราไปยังที่หมายตามที่รับปากไว้
ที่หมายที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงอยู่ในตรอกแคบๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พักของผมมากนัก ตลอดทางเดินที่พวกเราเดินเข้ามามันดูเปลี่ยวและร้างไร้ผู้คนเสีย ไฟก็ไม่มี จะมีก็แต่หลอดไฟส่องแสงริบหรี่ตรงหัวมุมถนนเท่านั้นที่พอสาดแสงให้เห็นทางบ้าง ถ้าจ้างให้ผมมาเดินคนเดียวในที่แบบนี้ตอนกลางคืนล่ะก็ ยังไงผมก็ไม่มาหรอก ถูกฆ่าหมกท่อน้ำไปก็คงจะไม่มีใครรู้แน่ เปลี่ยนขนาดนี้
บรูคลินและเบนเดินมาหยุดตรงหน้าตึกเก่าๆ แห่งหนึ่ง ก่อนที่บรูคลินจะเปล่งเสียงขึ้น
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ผมมองตึกนั้นแล้วก็ขมวดคิ้ว...เดี๋ยวนะ พวกมึงแต่งสูทกันเต็มยศเพื่อจะมางานเลี้ยงในตึกโกโรโกโสแบบนี้เนี่ยนะ อย่างกับตึกไว้พี้ยาของพวกเด็กวัยรุ่น ถ้าจะมางานเลี้ยงที่จัดในตึกแบบนี้ ไม่ต้องใส่สูทกันมาก็ได้เว้ย!
“ขอบใจนะบูลิโอ” แอสตันว่าขึ้นทำลายความเงียบ
บรูคลินค้อมตัวเล็กน้อยก่อนจะบอกลาเสียอย่างนั้น
“ชาวไบโทปเป็นเจ้าภาพจัดการชุมนุมในครั้งนี้ หม่อมฉันกับเบนลิโอคงต้องขอตัวไปดูแลความเรียบร้อย คงส่งฝ่าบาทได้เพียงเท่านี้ ฝ่าบาทกับท่านผู้พิทักษ์เดินเข้าไปข้างในแล้วลงไปชั้นใต้ดินนะพ่ะย่ะค่ะ ข้างหน้าทางเข้างานมีคนดูแลอยู่ หม่อมฉันบอกพวกนั้นแล้วว่าฝ่าบาทกับท่านผู้พิทักษ์จะมา”
“ไม่เป็นไรหรอก ไปทำหน้าที่ของพวกนายเถอะ” แอสตันพยักหน้ารับ ก่อนที่สองพี่น้องพวกนั้นจะผายมือให้พวกเราเดินเข้าไปข้างใน
พอเข้ามาในตัวตึกปุ๊บ สองคนนั้นก็ขยายร่างใหญ่ขึ้นแล้วเดินหายวับไปในมุมมืด ก่อนที่ประตูตึกจะปิดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน ดีที่ไฟในตึกสว่างพอให้เดินคลำทางและมองเห็นหน้ากันและกันได้ ผมเลยมองหน้าคีธอย่างขอคำตอบว่าสองคนนั้นทำอะไร คีธอธิบายโดยไม่รอให้ผมพูด
“พวกไบโทปมีความสามารถพิเศษในการหลบซ่อนตัวน่ะ ที่ต้องซ่อนที่จัดงานก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา”
ผมพยักหน้า หายแปลกใจเลยว่าทำไมคีธกับแอสตันเคยบอกว่าไม่รู้จักว่าที่อยู่ของสองคนนั้นอยู่ที่ไหน ที่แท้มันก็ซ่อนบ้านของมันด้วยความสามารถพิเศษที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันทำกันยังไงนี่เอง
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วเมื่อแอสตันเดินนำไปยังบันไดซึ่งดูท่าจะเป็นทางลงไปชั้นใต้ดิน พอเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย สายตาก็ปะทะเข้ากับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หลายคนที่ยืนอยู่หน้าประตูบานเขื่องบานหนึ่ง คีธผละจากผม เดินตรงเข้าไปบอกพวกนั้นเสียงเรียบแทนแอสตัน
“เรามาร่วมงานชุมนุม”
ชายคนที่คีธพูดด้วยเหลือบตามองหน้าคีธเล็กน้อยก่อนว่าออกมา
“แสดงหลักฐานชาติพันธุ์”
คีธไม่ตอบโต้ใดๆ แอสตันเองก็เช่นกัน ขณะที่ผมรอดูสองคนนั้นแสดงหลักฐานชาติพันธุ์อะไรนั่นอย่างใจจดใจจ่อ หลักฐานชาติพันธุ์ก็น่าจะเป็นการแปลงร่าง เผยร่างที่แท้จริงอะไรเทือกนี้ตามการคาดเดาของผม แต่ผิดคาดเมื่อผมไม่เห็นสองคนนั้นทำอะไรสักอย่าง เพียงแค่ยืนเฉยๆ เท่านั้น
อึดใจเดียว ชายคนนั้นก็ว่าขึ้น
“ชาวยูนิกม่า... ขอต้อนรับสู่งานชุมนุมครับ”
ผมกับริชาร์ดมองหน้ากันเลยว่าหมอนั่นรู้ได้ไงว่าคีธกับแอสตันเป็นชาวยูนิกม่า ก่อนจะได้รับการแถลงไขเมื่อแอสตันพูดขึ้น
“กลิ่นน่ะ เผยกลิ่นให้รับรู้เฉยๆ พวกบอดี้การ์ดนั่นเป็นชาวโดรีล มีประสาทสัมผัสได้การรับกลิ่นดีไม่แพ้ชาวยูนิกม่า”
มาอีกแล้วมนุษย์ต่างดาวพันธุ์ใหม่ นี่ถ้าประตูเปิดเข้าไป คงจะได้อึ้งไปอีกยกใหญ่เพราะได้เห็นมนุษย์ต่างดาวมากมายจากทุกสารทิศในจักรวาลเลยล่ะมั้งเนี่ย

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 23: Alien’s gala dinner[2]

แต่ก่อนที่จะได้ไปอึ้งกับมนุษย์ต่างดาวหลากหลายชาติพันธุ์ ผมก็อึ้งงันกับสถานที่จัดการตรงหน้าเสียก่อนเมื่อประตูชั้นใต้ดินเปิดออกด้วยฝีมือของบอร์ดี้การ์ดร่างยักษ์ พอเห็นสภาพภายในแล้ว ผมก็อ้าปากค้างทันควันเมื่อเห็นว่าชั้นใต้ดินของตึกโกโรโกโสมีห้องบอลรูมหรูหราแฝงเร้นอยู่ภายใน ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างแต่งตัวหรูหราทั้งชายและหญิง มีบริกร มีอาหารแบบค็อกเทลเสิร์ฟ ไม่ต่างอะไรจากงานเลี้ยงของพวกไฮโซแม้แต่น้อย ตอนนี้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคีธถึงได้บอกให้ผมแต่งตัวดีๆ ถึงขนาดต้องลากกันไปเช่าสูทมาใส่
นี่มันงานกาล่าดินเนอร์ของมนุษย์ต่างดาวชัดๆ! ไหนมึงบอกว่าแค่งานชุมนุมมนุษย์ต่างดาวเฉยๆ ไงวะ กูก็นึกว่าปาร์ตี้กินเหล้าเมากัญชาอย่างที่กูกับไอ้ริชาร์ดเคยไปกันซะอีก!
ผมทำตัวไม่ถูกทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน ที่ทำตัวไม่ถูกไม่ใช่เพราะงานเลี้ยงที่เห็นอยู่มันหรูหราเกินกว่าคนชนชั้นกลางอย่างผมจะมีสิทธิเข้ามาเหยียบ แต่ทำตัวไม่ถูกเพราะผมรู้แก่ใจว่าคนที่รายล้อมผมอยู่ในตอนนี้มันไม่ใช่มนุษย์โลก แต่เป็นมนุษย์ต่างดาวจากทั่วสารทิศในจักรวาลที่ย้ายมาพำนักอยู่ในโลกมนุษย์ต่างหาก ถึงทุกคนจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์โลก ทว่ามันก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละ ภายในหรือร่างจริงเป็นยังไงนี่ ผมไม่อาจรู้ได้เลย เผลอๆ อาจจะสีร่างกายสีม่วงเหมือนอาแปะลีโอนาร์โด ไม่ก็สูงเป็นเปรตเหมือนพวกพี่น้องไบโทปก็ได้
สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าพวกมันรู้ว่าผมเป็นมนุษย์โลกที่เข้ามาวุ่นวายการชุมนุมของพวกมัน พวกมันจะทำอะไรกับผมมากกว่า ก็งานนี่มันถูกเก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ?
ผมมองซ้ายขวาอย่างกระสับกระส่าย มือทั้งสองข้างซึมไปด้วยเหงื่อ ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าแม้ว่าแอร์ในห้องบอลรูมนี่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพก็ตาม ริชาร์ดที่เดินคู่กับแอสตันนำอยู่ข้างหน้าเองก็เช่นกัน ผมรู้ว่ามันประหม่าก็เพราะมันเริ่มยกมือขึ้นมากัดเล็บอย่างเมามันส์ หากแต่แอสตันที่เดินอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของริชาร์ดเสียก่อน ขณะที่หมอนั่นกำลังพยักหน้ารับบรรดามนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาทักทายโดยการค้อมศีรษะทำความเคารพด้วยได้กลิ่นของชาวยูนิกม่า ก่อนแอสตันจะละความสนใจจากการทักทายมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นมายกมือขึ้นไปดึงมือริชาร์ดออกจากปากแล้วจับไว้แน่น พลางมองหน้าริชาร์ดเป็นการปลอบโยนว่า ‘ไม่ต้องกังวล’ อะไรเทือกนั้น ริชาร์ดเลยพอจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติขึ้นมาได้ ก่อนที่แอสตันจะจูงมือมันไปให้มนุษย์ต่างดาวตัวอื่นๆ ได้ทักทายอีก
ผมเห็นแล้วก็อดชื่นชมแอสตันไม่ได้เลย ขนาดมันดูเด็กและเอาแต่เล่นอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาเป็นงานเป็นการ มาดเจ้าชายก็ผุดพรายออกมาชัดเจนราวกับสั่งได้ แอสตันในตอนนี้ดูแตกต่างจากตอนมันเอาแต่เล่นกับตามก้นริชาร์ดต้อยๆ ราวฟ้ากับเหว
นี่สินะสายเลือดสีน้ำเงิน... สูงศักดิ์และสง่างาม ต่อให้แม่งหื่นกามก็ยังดูดี
ผมเผลอจ้องแอสตันกับริชาร์ดนานไปหน่อย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่แตะเข้ามาที่มือตัวเองเบาๆ ผมหันไปมองมือตัวเองที่ถูกเกาะกุมไว้แน่นก่อนจะมองเงยขึ้นมายังใบหน้าของเจ้าของมือ พอเห็นว่าเป็นคีธ ผมก็รู้เลยว่ามันจะต้องเลียนแบบเจ้านายมันแน่ๆ
แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อมันพูดขึ้นมา
“กวินทร์จะได้ไม่ต้องกังวล”
ผมโคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเลยว่าให้เลิกเลียนแบบไอ้แอสตันสักที แต่เพราะมือถูกกระชับเข้าไปจับแบบประสานนิ้วแนบแน่น ผมก็เลยไม่พูดอะไร ซึมซับความรู้สึกอุ่นใจนี้เอาไว้เงียบๆ ตามลำพัง
คีธนี่ก็มีมุมน่ารักเหมือนกันแฮะ...
แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ เพราะพอมันสอดนิ้วเข้ามากับนิ้วผมได้แนบสนิท มันก็จัดการขยับมือเล็กน้อยให้ฝ่ามือของผมกับมันกระทบกันเบาๆ เป็นจังหวะ ถ้าทำเพียงครั้งสองครั้ง ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มันทำไม่หยุดจนผมต้องตวัดดวงตาไปมองมันอย่างหงุดหงิด
“เล่นอะไรของนายวะ” ผมแหวเสียงแผ่ว
คีธหันมามองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้และกระซิบออกมาเบาๆ อย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
“ป้าบ...ป้าบ...ป้าบ...”
ผมได้ยินก็หน้าร้อนวาบขึ้นมาทันใดด้วยรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
ป้าบเตี่ยมึงไอ้คีธ! นี่มึงจะทำให้กูหายกังวลหรือกังวลยิ่งกว่าเดิมว่าจะถูกมึงปล้ำวะเนี่ย! ตอนนี้มึงอยู่ในสถานะชาวยูนิกม่าผู้สูงศักดิ์ แถมยังเป็นผู้พิทักษ์และอยู่ในงานเลี้ยงนะเว้ย! มึงนี่ไม่ได้มีมาดผู้ดีอะไรเลยสักนิด ทีเรื่องแบบนี้ทำไมไม่เลียนแบบไอ้แอสตันบ้างวะไอ้หื่นคีธ!
หัวคิ้วผมกระตุกยิกๆ อยากจะด่ามันฉิบ แต่ก็กลัวว่าเดี๋ยวมนุษย์ต่างดาวตัวอื่นจะของขึ้นเพราะผมไปด่ากราดใส่ผู้สูงศักดิ์แห่งจักรวาลเข้า เลยได้แต่ปล่อยให้คีธมันกระทบฝ่ามือใส่ฝ่ามือผมเรื่อยๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะชักสีหน้าใส่มัน
แต่ครู่เดียวก็ต้องรีบเก็บอาการเมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายแอสตันเข้า ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับบรูคลินและเบนของชายคนนั้นทำเอาผมหยุดหงุดหงิดคีธ มองเขาด้วยความสนใจ และก็ต้องสนใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาพูดขึ้นมา
“องค์ชาย... กำลังรออยู่พอดี หม่อมฉันมีคนอยากให้ฝ่าบาทได้เจอ”
“ไปสิ เราก็ตั้งใจมาเจอนี่แหละ” แอสตันตอบรับ ก่อนจะเดินตามชายวัยกลางคนคนนั้นเข้าไปยังห้องซึ่งอยู่ทางด้านหลังห้องบอลรูมอีกชั้น
“นั่นพ่อของบูลิโอกับเบนลิโอ” คีธพูดขึ้นมาโดยไม่รอให้ผมถามขณะที่เรากำลังก้าวตามหลังแอสตันกับริชาร์ดไป
มิน่าล่ะ ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหน้าตาคล้ายกับสองพี่น้องเปรตนั่นจัง ที่แท้ก็หน่อเนื้อเชื้อไขกันนี่เอง
หากแต่อะไรก็ไม่น่าสนใจเท่ากับการที่ผมเดินผ่านประตูห้องด้านหลังมาแล้วได้เห็นกับมนุษย์ต่างดาวจำนวนหนึ่งนั่งหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็นั่งเล่นไพ่โป๊กเกอร์กันไปด้วย มองดูเผินๆ ก็เหมือนกับกิจกรรมที่พวกไฮโซชอบทำกันระหว่างงานเลี้ยงไม่ผิดเพี้ยน จะผิดก็ตรงที่พวกมันทุกคนเป็นมนุษย์ต่างดาวนี่แหละ
พ่อของสองพี่น้องไบโทปเดินมาหยุดที่โต๊ะตัวหนึ่งซึ่งมีมนุษย์ต่างดาวเพศหญิงนั่งอยู่ ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อของใครบางคนขึ้น เรียกความสนใจของคนทั้งโต๊ะมา
“เจเนซิส นี่คือคนที่ฉันอยากให้เจอ”
หญิงสาวผมบลอนด์ยาวหน้าตาสะสวยละสายตาจากแก้วไวน์ในมือหันมามองยังต้นเสียง ก่อนจะมองเลยไปยังแอสตันที่พ่อของสองพี่น้องไบโทปผายมือไปทางหมอนั่นอยู่ เท่านั้นดวงตาคมก็ประกายวาบอย่างตกใจ พลันริมฝีปากบางสวยก็เอ่ยชื่อจริงของแอสตันออกมา
“เจ้าชายแอสโซซิโอ! ท่านผู้พิทักษ์!” ไม่เพียงร้องเรียกชื่อจริงแอสตัน ยังหันมาเรียกคีธด้วย แถมยังรีบลุกพรวดขึ้นมาคุกเข่าทำความเคารพแอสตันอย่างรนๆ จนแอสตันหัวเราะออกมาน้อยๆ
“หม่อมฉันได้กลิ่นของชาวยูนิกม่า แต่ไม่ยักจะรู้ว่าเป็นกลิ่นขององค์ชายกับท่านผู้พิทักษ์ ขอฝ่าบาทอย่าให้ถือสากับความโง่เขลาของหม่อมฉันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ผมย่นคิ้วเล็กน้อยกับหางเสียงของผู้หญิงคนนี้ที่ใช้หางเสียงแบบผู้ชาย พลันสังเกตเห็นว่าหล่อนไม่ได้ใส่ชุดราตรีอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆ ใส่กัน แต่เป็นชุดสูทแบบผู้ชาย
“ไม่เป็นไรหรอกเจเนซิส เราเองก็ไม่รู้ว่ากลิ่นชาวยูนิกม่าที่ได้กลิ่นมาตั้งแต่ทางเข้างานจะเป็นกลิ่นของเจ้าเหมือนกัน” แอสตันว่า พลันไหวมือน้อยๆ เป็นเชิงให้คนตรงหน้าลุกขึ้น ก่อนที่แอสตันจะหันมาแนะนำผู้หญิงคนที่ชื่อเจเนซิสให้ริชาร์ดรู้จัก
“นี่คือเจเนซิส ปราชญ์แห่งราชสำนักราชวงศ์ยูนิกม่า เป็นชายที่ได้ชื่อว่าปราดเปรื่องที่สุดในยูนิกม่าเลยนะ”
ผมอ้าปากค้างไปทันควันที่ได้ยินคำว่า ‘ชาย’ ออกมาจากปากของแอสตัน
อะ...อะไรนะ! นี่ผู้ชายเหรอ ทำไมเหมือนผู้หญิงจังวะ!?
แต่ก็คงจะเป็นผู้ชายจริงๆ แหละเพราะน้ำเสียงของเจเนซิสก็ห้าวอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเสียงของเด็กผู้ชายกำลังแตกหนุ่มก็ตาม
แล้วแอสตันก็ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างมากกว่าเดิมเมื่อหมอนั่นพูดลอยๆ ขึ้นมา
“แล้วก็ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่คนรักของคีทาเยด้วย... ไม่สิ อดีตว่าที่คนรักมากกว่า”
ผมหันขวับไปมองยังไอ้บ้าคีธที่ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวทันที
อ๋อ... นี่แฟนเก่ามึงล่ะสินะ โอ้โห...หงุดหงิดขึ้นมาเลย ทำไมต้องมาเจอแฟนเก่ามันด้วยวะ
“ไม่ได้เจอกันนานทีเดียวนะท่านผู้พิทักษ์” แถมไอ้บ้าเจเนซิสก็ยังทักคีธขึ้นมาอีก มิหนำซ้ำยังยื่นมือไปตรงหน้าทำท่าเหมือนจะจับทักทายด้วย
“เรียกชื่อเถอะ” คีธเองก็ว่าเนือยๆ แล้วปล่อยมือผม เอื้อมมือไปตรงหน้าแทน ผมมองก็รู้เลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องเอานิ้วของเจเนซิสมาดูด เท่านั้นผมก็คว้ามือคีธไว้ทันควัน ก่อนจะดึงมาจับแน่นเหมือนเดิม สายตามองมันอย่างหงุดหงิดที่มันเกือบจะทำอะไรไม่ไว้หน้าผม คีธหันมามองเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา พลันกระซิบข้างหูผมเบาๆ
“แค่อดีตว่าที่คนรัก ไม่เคยเป็นคนรักเหมือนนายสักหน่อย ไม่เคยผูกพัน วางไข่หรือมีสัมพันธ์ทางกายใดๆ ด้วย แค่เคยชอบกัน”
แล้วกูถามหรือยัง!? กูก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็แค่ไม่ชอบให้มึงเที่ยวไปดูดนิ้วชาวบ้านไปทั่วหรือให้ใครต่อใครมาดูดนิ้วมึงต่างหากเว้ย!
และเพราะคีธพูดอย่างนั้น เจเนซิสก็เลยดึงมือกลับแล้วยิ้มออกมา
“คนรักของนายสินะคีทาเย แม่พันธุ์ใช่มั้ย”
“อืม” คีธขานรับ
เจเนซิสมองผมยิ้มๆ แล้วก็ว่าขึ้นมา
“ยินดีด้วย หวังว่าจะได้เห็นทายาทของนายเร็วๆ”
ฟังแล้วก็เหมือนแฟนเก่าของไอ้บ้าคีธอวยพรให้มีความสุขยังไงก็ไม่รู้ ผมนี่ดูเป็นตัวร้ายไปเลย แต่ก็ไม่ได้สนใจ ทำเมินเจเนซิสจนหมอนั่นหันไปสนใจริชาร์ดแทน
“แล้วนี่คงจะเป็นแม่พันธุ์ของฝ่าบาท? หม่อมฉันได้กลิ่นของฝ่าบาทจากตัวคนคนนี้”
“ใช่ ริชาร์ดเป็นแม่พันธุ์ของเรา”
พอแอสตันตอบรับ เจเนซิสก็ทำความเคารพริชาร์ดเหมือนกับที่ทำความเคารพแอสตันด้วย
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอว่าที่พระชายา”
ริชาร์ดหน้าแดงรื้นไปเลย พลันพยักหน้ารับหงึกหงัก เรียกให้เจเนซิสลุกขึ้น
ก็แอสตันมันเป็นเจ้าชายนี่หว่า ริชาร์ดมันจะถูกเรียกด้วยสรรพนามนี้ก็ไม่แปลก
พอเจเนซิสลุกขึ้น แอสตันก็ได้ทีถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทันใด
“ว่าแต่นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะเจเนซิส เราตามหาพรรคพวกตั้งนานไม่ยักจะเจอ แต่จู่ๆ ก็ได้เจอนาย เราว่ามันแปลก”
“หม่อมฉันมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวลือว่าองค์ชายอยู่ที่นี่ จริงๆ หม่อมฉันพักอยู่กับพวกไบโทปอีกกลุ่มที่วอชิงตัน เดินทางมาที่นี่ก็เพื่อพบฝ่าบาทอย่างเดียว ว่าแต่ฝ่าบาทเถอะพ่ะย่ะค่ะ ทำไมถึงเลือกที่จะอยู่ที่นี่ ได้ข่าวว่าตอนที่พระองค์ถูกไล่ล่าจากพวกเซนไทน์แล้วหนีรอดมายังดาวดวงนี้ ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ที่นี่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ก็เราได้ยินว่าชาวยูนิกม่ารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ก็เลยขอแรงจากพวกที่เราเจอในสถานที่ที่เราอยู่ในตอนแรกให้พามาส่งที่นี่น่ะ แล้วก็ได้มาพึ่งพาพวกไบโทปอีกที แต่อยู่มาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังไม่เจอพวกของเราสักคน มีแต่คีทาเยนี่แหละที่ได้มาเจอกันโดยบังเอิญ”
เจเนซิสพยักหน้ารับประหนึ่งเข้าใจว่าแอสตันกับคีธมีที่มาที่ไปยังไง ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“จริงอยู่ที่พวกเราเคยอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะพวกเซนไทน์เองก็บุกมายังดาวดวงนี้เหมือนกัน การอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จึงไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเรานัก พวกเราก็เลยต้องแยกย้าย กระจายกันไปอยู่ตามที่ต่างๆ”
“มิน่าล่ะ เราถึงหาใครไม่เจอ” แอสตันว่า
“ก็เจอหม่อมฉันแล้วนี่ไง คีทาเยอีกคน จริงๆ ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ตามหม่อมฉันมาที่นี่อีก เพียงแต่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง ไว้เลิกจากงานแล้ว หม่อมฉันจะพาองค์ชายกับคีทาเยไปหา พวกนั้นคงจะดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาท” เจเนซิสพูดยิ้มๆ ก่อนจะเบนสายตามามองยังคีธที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แล้วยาล่ะ”
สมองผมคิดวนกลับไปยังเรื่องยาที่คีธเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่เจอกันแรกๆ เลย ยาที่ว่าคงจะเป็นยาปรับสภาพร่างกายเพื่อให้อยู่ในโลกมนุษย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์แน่ๆ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเจเนซิสตอบกลับมา
“กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิต คาดว่าอีกไม่กี่อาทิตย์ก็น่าจะเสร็จสิ้น” ว่าจบก็เหลือบมามองผมน้อยๆ ก่อนยิ้มเผล่ “นายคงจะเบื่อกับการพึ่งพาโฮสต์แล้วสินะคีทาเย”
ผมคิ้วกระตุกทันควัน ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหมอนี่กำลังท้าทายผมอยู่ และผมก็เกือบจะหงุดหงิดคีธอยู่แล้วถ้ามันไม่พูดขึ้นมาก่อน
“เปล่าหรอก ฉันแค่กังวลว่าหากพวกเซนไทน์อยู่ในละแวกนี้แล้วเกิดการปะทะกันขึ้นมา โฮสต์ของฉันจะได้ไม่ต้องถูกเสี่ยงจับตัวไปต่อรอง” ว่าจบก็เหลือบมามองหน้าผม ผมเข้าใจได้ตอนนี้นี่เองว่าที่คีธอยากได้ยาที่ไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ก็เพราะกลิ่นของคีธมันจะอยู่ในตัวผม ทำให้ง่ายต่อการถูกตามตัวได้แม้ว่าพวกยูนิกม่าจะซ่อนกลิ่นกายของตัวเองได้ก็ตาม
“แต่ถึงจะไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์ มันก็เสี่ยงต่อการถูกจับไปต่อรองอยู่ดี นายกับองค์ชายมีแม่พันธุ์แล้วนี่ กลิ่นจากการผูกพันมันลบเลือนไม่ได้ ลืมไปแล้วเหรอ” แล้วเจเนซิสก็พูดขึ้นให้ได้กังวลขึ้นมาอีก
คีธพยักหน้ารับช้าๆ ขณะที่แอสตันย่นคิ้วเล็กน้อยราวกับเพิ่งตระหนักได้ ก่อนที่เจเนซิสจะถอนหายใจออกมา
“แต่ในเมื่อผูกพันไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งสร้างทายาทตอนนี้จนกว่าเราจะมั่นใจได้ว่าการอยู่บนดาวดวงนี้มันปลอดภัยจริงๆ แล้วกัน ถ้าไม่ปลอดภัย เราคงต้องอพยพกันอีก ...อพยพไปพร้อมกับแม่พันธุ์ของนายกับแม่พันธุ์ขององค์ชาย”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อกเลยเมื่อนึกว่าผมจะต้องย้ายสำมะโนครัวไปดาวดวงอื่นถ้าหากคีธอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ก่อนจะรีบส่ายหน้ารัว ให้คีธได้บีบมือผมแน่น
“ยังสรุปไม่ได้ว่าอยู่ได้หรือไม่ อย่าเพิ่งเป็นกังวล”
กูต้องกังวลสิ! ย้ายไปอยู่ต่างประเทศยังไม่เป็นเรื่องใหญ่เท่ากับย้ายไปอยู่ดาวอื่นเลยนะเว้ย! จะทำอะไรก็ถามความสมัครใจของกูก่อนบ้าง!
“งั้นก็รีบสรุปให้ได้แล้วกันว่าดาวดวงนี้ปลอดภัยสำหรับเราหรือไม่ เราไม่อยากจะอยู่แบบวิตกอย่างนี้เท่าไหร่นัก” แอสตันแทรกขึ้นให้เจเนซิสได้ขานรับ
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องเชิญองค์ชายไปหารือกับพวกของเราในวันรุ่งขึ้น หม่อมฉันจะไปรับไปที่ชุมนุมลับของเรา”
พอได้ข้อตกลง ทั้งสามก็คุยกันจิปาถะไปเรื่อยเปื่อยอีกยาวเหยียด ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องปัญหาของพวกมันนี่แหละ ริชาร์ดก็แทนที่จะปลีกตัวมานั่งจ๋อง รอให้พวกมันคุยกันให้เสร็จเหมือนกับผม แต่มันดันเอากระดาษกับปากกาขึ้นมาจดโน่นจดนี่ บอกว่าเป็นไอเดียสำหรับทำหนังสั้นที่มันถ่ายทิ้งค้างไว้เป็นพัลวัน ทิ้งให้ผมนั่งน้ำลายบูดอยู่คนเดียวจนงานเลิก
 
วันรุ่งขึ้น คีธกับแอสตันขอลาหยุดกะทันหันหนึ่งวันเพราะต้องไปพบพรรคพวกตามที่นัดไว้กับเจเนซิส แน่นอนว่าผู้กำกับวิลล์หัวเสียมากที่จู่ๆ สตั๊นแมนที่ต้องถ่ายฉากสำคัญสำหรับวันนี้ไม่โผล่หัวมา มิหนำซ้ำ พระเอกของเรื่องก็ตามตัวไม่ได้มาหลายวันแล้วอีกต่างหาก ถ้านับดู รู้สึกว่าจะตามตัวไม่ได้ตั้งแต่ที่กลับมาจากถ่ายทำนอกสถานที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วล่ะมั้ง
จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าตามไม่ได้หรอก ทุกคนในกองถ่ายรู้กันแหละว่าซีเลนพักอยู่ที่ไหนแต่ไม่ยอมมีใครไปตาม สาเหตุก็ไม่น่าถาม กลัวว่าหมอนั่นจะจับปล้ำน่ะ ถึงแม้ว่าพักหลังมันจะทำตัวดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแล้ว ทว่าก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงไปตามตัวมันอยู่ดี ยิ่งไปตามถึงที่พักด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าถ้ามันคิดหื่นขึ้นมาจะเสร็จมันหรือไม่
และเพราะความที่ไม่มีคนไปตามนี่แหละ หวยก็เลยมาออกที่ผม ที่มาออกที่ผมก็เพราะผมเป็นคนลางานให้พวกแอสตันกับคีธ ผู้กำกับวิลล์ก็เลยให้ผมไปรับผิดชอบงานส่วนนั้นแทนขณะที่ริชาร์ดยังคงได้ทำงานในกองถ่ายเหมือนเดิมเพราะผู้กำกับวิลล์ตัดสินใจจะถ่ายฉากอื่นแทนไปก่อน
ผมก็เลยต้องมายืนอยู่ตรงหน้าเพนท์เฮ้าส์หรูหราราคาแพงหูฉี่ใจกลางฮอลลีวูดอย่างนี้ไง! แม่ง ซวยจริงๆ เลยพับผ่า!
ถึงจะไม่อยากเข้าไป แต่ผมก็ต้องทำเพราะถูกทั้งผู้กำกับวิลล์ขู่มาว่าถ้าตามตัวซีเลนได้ไม่สำเร็จ เขาจะไล่คีธกับแอสตันออกโทษฐานทำให้เสียงาน แถมด็อกเตอร์มาร์ตินก็ไม่ออกโรงปกป้องศิษย์รักอย่างผมเลยแม้แต่น้อย นอกจากเข้าข้างเพื่อนเท่านั้น ผมเลยต้องเดินเข้ามาติดต่อกับเคาน์เตอร์ที่ชั้นล่างเพื่อแนะนำตัวว่าเป็นใคร และขอขึ้นไปตามตัวซีเลน
ปกติเพนท์เฮ้าส์ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปได้ถ้าไม่มีเจ้าของห้องลงมารับหรือโทรสายตรงมาอนุญาต แต่สำหรับกรณีของซีเลนนี่ถือว่าเป็นกรณีพิเศษเพราะมีการทิ้งคีย์การ์ดสำรองไว้ที่เคาน์เตอร์ไว้ให้ทีมงานขึ้นไปตาม ทว่าดูเหมือนจะไม่เคยได้ใช้เพราะทุกคนรู้ว่าซีเลนเป็นคนยังไง ดูท่าพนักงานที่นี่ก็น่าจะรู้ดีพอๆ กับทีมงานในกองถ่ายรู้ด้วย และพอผมมาขอคีย์การ์ดห้องของซีเลน พนักงานพวกนั้นก็มองหน้าผมอย่างประหลาดใจ ก่อนพากันกระซิบกระซาบเบาๆ ไม่ให้ผมได้ยิน แต่ผมก็ดันหูดีได้ยินพวกนั้นพูดกันว่า ‘เสร็จซีเลนแน่ๆ’ ลอยมาตามลม
ใครจะไปยอมเสร็จมันกันวะ ถ้ามันคิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายขึ้นมา ก็วิ่งป่าราบสิ จะอยู่ทำเพื่อ?
ผมขึ้นลิฟต์มาอยู่ตรงหน้าห้องซีเลนไม่กี่อึดใจให้หลัง พลันสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วกดออดเรียกซีเลน ที่ยังไม่ใช่คีย์การ์ดเปิดเข้าไปก็เพราะกลัวว่าจะถูกมันปล้ำนี่แหละ ให้มันโผล่หัวออกมาเองนี่ดีกว่าเป็นไหนๆ หากแต่กดหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับจนผ่านไปเกือบสิบนาที ผมก็เลยรวบรวมความกล้า ใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไป
และวินาทีแรกที่สายตาผมมองเห็นภายในห้อง ผมก็ต้องย่นคิ้วยู่เมื่อเห็นสภาพห้องรกรุงรัง ไม่เหลือคราบเพนท์เฮ้าส์หรูสักนิด ผมค่อยๆ ก้าวเข้ามา กวาดตามองไปรอบๆ พลางร้องเรียกเจ้าของห้องไปด้วย
“ซีเลน...”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ผมเลยเดินไปดูทีละห้อง ตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และไปจบลงที่ห้องนอน ก่อนจะเห็นร่างใหญ่กึ่งเปลือยของซีเลนนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง
เกือบเปลือยนี่คือยังใส่กางเกงอยู่น่ะ แต่เป็นกางเกงบ็อกเซอร์ และเพราะเป็นกางเกงบ็อกเซอร์บางๆ ผมก็เลยไม่เดินเข้าไป เอาแต่ร้องเรียกหมอนั่นอยู่ที่ประตูเท่านั้น
“ซีเลน ผู้กำกับวิลล์ให้ฉันมาตาม”
ซีเลนรู้ตัวว่าผมอยู่ที่นี่ก็ตอนนี้ ผงกหัวขึ้นมาจากหมอนเล็กน้อย พลันตะแคงข้างมามองผม
“กวินทร์เหรอ...” น้ำเสียงแหบพร่าที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาผมย่นคิ้ว
เสียงของซีเลนฟังดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงแปลกๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดของซีเลน มันซีดชนิดที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นใบหน้าของคนตายเลยก็ว่าได้ ทำเอาผมร้องออกมาเสียงดังทันควัน
“เฮ้ย! นายเป็นอะไรเนี่ย ไม่สบายหรือเปล่า” ผมรีบทรุดตัวลงนั่งข้างหมอนั่น ยกมือขึ้นอังหน้าผากซีเลนทันใด
ซีเลนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วส่ายหน้า
“สบายดี”
สบายดีป้ามึงสิ อีกนิดเดียวมึงก็จะเน่าตายอยู่แล้วถ้ากูไม่เข้ามาเจอมึงก่อนเนี่ย!
แต่ก็น่าแปลกที่เนื้อตัวของซีเลนไม่ได้ร้อนหรือเย็นเลย เป็นอุณหภูมิปกติไม่ต่างจากผมแม้แต่น้อย เพียงแต่หน้าซีดจนน่ากลัวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ เกิดมันเป็นอะไรร้ายแรงขึ้นมา ผมนี่แหละที่จะซวยเอา
“ไปโรง’บาลเถอะฉันว่า เดี๋ยวฉันเรียกรถพยาบาลให้” ผมทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงมากดเบอร์ฉุกเฉิน
ทว่าซีเลนก็เอื้อมมือมาคว้ามือผมไว้มั่น
“ไม่ต้อง...” แล้วก็ตามมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่ต้องบ้าบอคอแตกอะไร ถ้าเกิดนายเป็นอะไรไป ฉันนี่แหละที่จะซวย” ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด ทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ ซีเลนก็คว้ามือผมอีกรอบเช่นกัน ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง มองหน้าผมด้วยดวงตาปรือ
“บอกว่าไม่เป็นไร ฉันสบายดี”
“สบายดีคงไม่หน้าซีดขนาดนี้หรอก” ผมบ่นเสียงเขียว ก่อนที่ซีเลนจะทำให้ผมต้องย่นคิ้วหนักกว่าเดิม
“เป็นเพราะฉันหิวน่ะ เรื่องปกติ ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว”
ถ้ามึงหิวแล้วหน้ามึงซีดเป็นไก่ต้มขนาดนี้ มึงก็ไปหาอะไรกินสิวะ! จะอดอาหารทำแป๊ะอะไร!
“งั้นนายจะกินอะไร เดี๋ยวฉันโทรสั่งมาให้” พอมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็เสนอตัวจะช่วยมัน ทว่ามันกลับคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปจับแล้วมองหน้าผมนิ่ง
“อะ...อะไร” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ สัญชาตญาณบอกเลยว่ามันต้องคิดอะไรไม่ดีแน่ๆ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันขยับริมฝีปากเบาๆ
“อยากกิน...นาย”
กินกูเตี่ยมึงสิ! เวลาอย่างนี้มึงยังจะมาคิดหื่นอีก!
ผมรีบชักมือออกทันใด แต่ซีเลนกลับกระชากคืนมาแล้วกดผมนอนลงบนเตียง ผมลืมตาโพลงเมื่อเห็นมันย้ายร่างขึ้นมาทาบทับผมเอาไว้ ในใจก่นด่าตัวเองทันทีว่าโง่ที่เข้ามาตามมันถึงในห้อง ดูมันทำสิ ขนาดหวังดีกับมัน มันยังคิดอกุศลกับผมได้
ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ไอ้เวรซีเลน!
“ขอกินนายหน่อยกวินทร์ ฉันคงจะอาการดีขึ้น”
มึงจะอาการดีขึ้นบ้าอะไร! ยิ่งไม่มีแรงแล้วมาออกแรง มึงได้คางเหลืองแน่!
“ไม่เอาเว้ย!” ผมดิ้นพราดๆ ขัดขืนซีเลนอย่างเต็มที่ขณะที่มันเริ่มพรมจูบลงมาที่ซีกแก้มผม
แต่ให้ตายเถอะ! ขนาดซีเลนดูเหมือนคนใกล้ตายอย่างนี้ มันยังมีแรงมากจนผมขัดขืนไม่ได้ ยิ่งผมดิ้น มันก็ยิ่งจับล็อคแน่นจนดิ้นต่อไม่ได้ แล้วมันก็ทำให้ผมต้องพยายามเอาตัวรอดสุดแรงเกิดอีกครั้งเมื่อมันขบลงมาที่ลำคอผมซะเต็มแรง
“เจ็บนะเว้ย!” ผมแหกปากลั่น ซีเลนก็เลยเลิกขบ เปลี่ยนมาเป็นดูดดังจ๊วบ
แต่จะกัดหรือจะดูด ผมก็ไม่โอเคทั้งนั้นแหละ! แค่ไอ้หื่นคีธคนเดียวก็เกินทนแล้ว ต้องมาเสียตัวให้ไอ้หื่นซีเลนอีกที่ฝันไปเลย!
“ปล่อยฉันนะเว้ยไอ้ซีเลน!”
ผมตะโกนใส่มันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับซีเลนเลยแม้แต่น้อย มันเอาแต่ซุกไซ้ใบหน้าเต็มใบด้วยหนวดเคราคร้ามครันไปทั่วลำคอผม ขณะที่มือมันข้างหนึ่งตรึงข้อมือผมไว้เหนือหัวแน่น และมืออีกข้างก็เลื่อนลงไปวุ่นวายกับเข็มขัดกางเกง ผมตาเหลือกทันทีที่ได้ยินเสียงเข็มขัดถูกปลดออกจากตัวพร้อมกับกางเกงยีนส์ที่ถูกดึงไปยังหน้าขา
ดะ...เดี๋ยว! มึงมีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา กูยังไม่พร้อมจะรับไอ้หื่นสองคนเข้ามาในชีวิตนะเว้ย!
“ซีเลน!”
ผมร้องเรียกชื่อมันจนเสียงแหบ ทว่าไอ้ซีเลนมันหื่นจนหน้ามืดไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะดึงกางเกงผมลงอย่างเดียว ยังสอดมือเข้ามาในกางเกงบ็อกเซอร์อีก ตอนนี้ไม่ต้องถามเลยว่ามันจับไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แถมร่างกายผมก็ตอบสนองกับการสัมผัสของมันอีก มันเลื่อนใบหน้าออกจากซอกคอผมไปครอบครองยอดอกใต้เสื้อยืดด้วย ผมนี่เกร็งจนไม่รู้จะเกร็งยังไงแล้ว
ไม่ได้เกร็งเพราะเสียวซ่านนะ แต่เกร็งเพราะขยะแขยงต่างหาก
ขะ...ขยะแขยงฉิบหายเลยโว้ย!
พอมันวุ่นวายกับร่างกายผมจนเป็นที่พอใจ มันก็เงยใบหน้าหื่นกามขึ้นมา เลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าผมแล้วกระซิบเสียงพร่า
“ขอกินหน่อยนะกวินทร์”
“ไม่เอาเว้ย!” ผมยังคงร้องห้าม แต่ก็เท่านั้นแหละ มันขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แล้ว ผมรู้เลยว่าอันดับต่อไปจะต้องถูกมันจูบแน่ ผมเลยหลับตาปี๋ คิดว่าวันนี้คงจะไม่รอดแล้ว
หากแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อจู่ๆ ซีเลนก็ชะงักงันฉับพลัน
“กลิ่น... กลิ่นแรงมาก”
กะ...กลิ่นอะไรวะ
ไม่ทันจะได้ถาม ซีเลนก็ปล่อยมือจากผม ดันตัวขึ้นนั่ง ปล่อยให้ผมเป็นอิสระเสียอย่างนั้น
“ฉันกินนายไม่ได้กวินทร์ ขอโทษด้วย”
เรื่องที่มึงควรขอโทษน่ะคือเรื่องที่มึงพยายามกดกูต่างหากเว้ย! กูไม่ได้เต็มใจให้มึงกินเลยสักนิด อย่ามาเข้าใจผิดสิวะ!
“ถ้ากินนาย กลิ่นนายจะหายไป มันจะยากสำหรับฉัน” แล้วมันก็พูดอะไรไม่รู้ออกมาอีกยาวเหยียด
ผมไม่ได้สนใจฟังแล้ว รีบแต่งเนื้อแต่งตัว กระโดดลงจากเตียงไปด้วยความเร็วแสง
กูไม่อยู่แล้ว! อยู่ไม่ได้แล้ว! ต้องรีบหนีให้ไวที่สุดเลย!
แต่ถึงจะเร็วแค่ไหน ซีเลนก็เร็วกว่าอยู่ดี คว้าข้อมือผมไว้หมับแล้วว่าออกมาเสียงเรียบ
“ช่วยอะไรหน่อยสิ”
“อะไรอีก!” ผมเผลอตวาดลั่น ณ จุดนี้ไม่ต้องมีมารยาทอะไรกันแล้ว
“ช่วยโทรไปตามคนให้หน่อย เบอร์อยู่บนกระดาน ตามมาให้ครบทุกคนนะ” หมอนั่นว่าพลางพยักปลายคางไปยังกระดานไวท์บอร์ดเล็กๆ ที่อยู่บนผนังทางปลายเตียง
มันเป็นกระดานไวท์บอร์ดสำหรับจดตารางงาน แต่ดูเหมือนจะไม่มีงานอะไรสักอย่างถูกบันทึกไว้ มีแต่เบอร์โทรศัพท์และชื่อของผู้ชายเกือบสิบราย ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว รีบพยักหน้ารับทันใด
“เออ! เดี๋ยวจะโทรตามให้ ปล่อยได้แล้ว!”
ซีเลนปล่อยมือแต่โดยดี แล้วก็ทิ้งตัวนอนลงไปอีก ผมเลยรีบกดโทรหาคนตามเบอร์นั้นอย่างรวดเร็ว
แม่ง... ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้คนที่เพิ่งจะพยายามปล้ำกูมาหมาดๆ ด้วยวะ!
-----------------------------------
กวินทร์กับคีธมุ้งมิ้งกันน่าย้ากกกก >< แต่ดันมาเจอแฟนเก่าคีธอย่างเจเนซิสซะได้ แค่บรูคลินก็ปวดหัวพอละ มาเจอเจเนซิสอีก งานงอกคีธยาวเลยทีนี้ 555
ซีเลนก็กลับมาแบบยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล้ำกวินทร์รัวๆ เอิ๊กกก ตอนนี้โดนซีเลนปล้ำ ตอนหน้าก็ไปโดนคีธปล้ำเหมือนเดิมนะจ๊ะ คิคิ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
อร๊ายยยย ตอนแรกๆก็มุ้งมิ้งน่ารักดีหรอกนะ แต่ไหงมาตอนท้ายตอนนี่เหมือนทิ้งปมเอาไว้ให้งงเล่นเลยอ่ะ  :hao4:

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ซีเลนกำลังจะเผยตัวจริงใช่มั้ยเนี่ย  :hao7:

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
อ่านรวด23ตอน
ปาดเหงื่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 24: Forgive me right now![1]
ตอนแรกว่าโทรตามคนให้เสร็จก็จะหนีกลับ แต่ไอ้ซีเลนก็ดันมาทำท่าเหมือนจะตายต่อหน้าต่อตา ผมก็เลยไม่ได้กลับ อยู่ดูมันเพราะกังวลว่าถ้ามันตายขึ้นมา ผมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมมันคนแรกอีก และพอคนของไอ้ซีเลนมา แทนที่ผมจะได้กลับก็ไม่ได้กลับ ต้องมาดูแลคนพวกนั้นที่ถูกอีก
ผมก็เพิ่งมารู้ตอนนี้นี่แหละว่าพวกผู้ชายหน้าตาดีที่ซีเลนเรียกมาไม่ได้มาที่นี่กันเป็นครั้งแรก ทว่ามากันเป็นประจำ ต่างจากปกตินิดหน่อยตรงที่จริงๆ แล้วซีเลนนิยมเรียกมาครั้งละคนสองคนมากกว่า ไม่ได้เรียกมาเป็นสิบแล้วให้มานั่งรอต่อคิวเรียงหน้ากันเข้าห้องไปให้มันกินแบบนี้ ทว่าถึงจะเรียกมาครั้งละคนสองคน แต่ก็เรียกมาเกือบทุกวัน จากที่ผมรู้อยู่แล้วว่าซีเลนมันหื่นกามแค่ไหน ตอนนี้ก็เลยบรรลุเลย
แม่งเป็นศาสดาของความหื่นกามจริงๆ!
และผมเพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าพวกคนที่ซีเลนเรียกว่าเป็นพวกนายแบบ ไม่ก็ดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง เรียกได้ว่าบทที่ได้ก็เป็นพวกตัวประกอบเดินผ่านหน้ากล้องอะไรงี้ ส่วนพวกนายแบบก็เป็นพวกเดินแฟชั่นตามงานเล็กๆ ไม่ก็ถ่ายโฆษณาลงแทรกนิตยสารนิดๆ หน่อยๆ พวกนี้เลยจะมีงานพิเศษเลี้ยงชีพอีกงานซึ่งก็คือการขายตัว ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกที่รู้เรื่องนี้ด้วยก็พอจะรู้มาบ้างอยู่แล้วว่าวงการบันเทิงบางส่วนมันเน่าเฟะแค่ไหน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมไอ้ซีเลนมันถึงได้ฟาดแต่ผู้ชายด้วยกันนะทั้งที่มันเองก็เคยมีข่าวกับดาราสาวๆ มาตั้งหลายคน
หรือว่ามันจะยังไม่ได้แกรนด์โอเพนนิ่งว่าเป็นเกย์? แต่แม่งรู้กันไปทั่วทั้งวงการขนาดนี้แล้ว กูว่ามึงไม่ต้องแกรนด์โอเพนนิ่งอะไรแล้วมั้ง
กว่าซีเลนจะจัดการกับผู้ชายพวกนี้เสร็จสิ้น ผมก็เกือบหลับไปตั้งหลายครั้ง แต่เสียงครวญครางฟังไม่ได้ศัพท์ที่ดังออกมาจากห้องนอนของมันทะลุมาถึงห้องนั่งเล่นก็ทำให้ผมข่มตาหลับไม่ได้ จริงๆ ก็หลับไม่ได้อยู่แล้วล่ะเพราะผมต้องคอยลากสังขารไอ้พวกที่ผ่านศึกกับซีเลนมาดูแลต่อจนกว่าอาการเหนื่อยหอบปางตายจะทุเลาและจ่ายเงินให้พวกนั้นก่อนกลับบ้าน พอผู้ชายคนสุดท้ายออกจากห้องไป ผมก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
เกือบสิบชั่วโมงที่ผมอยู่ที่นี่ อยู่มาตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากถูกซีเลนปล้ำแล้วก็รอให้มันปล้ำผู้ชายคนอื่น... ตกลงมาตามมันหรือมาทำอะไรวะเนี่ย!
“เอ้ากวินทร์ ยังอยู่อีกเหรอ” เสียงแหบห้าวคุ้นหูทำให้ผมต้องหันขวับไปมองยังต้นเสียงทันควัน
อยู่เพราะมึงทำเรื่องให้กูต้องตามเก็บตามเช็ดเนี่ย ยังจะมีหน้ามาถามอีกไอ้เวร!
ผมหันไปส่งสายตาด่ามันเป็นนัยๆ แล้วก็ต้องรีบหันกลับเมื่อเห็นซีเลนเดินแก้ผ้าโทงๆ ออกมาจากห้องนอน แล้วก็เดินผ่านหน้าผมไปยังห้องครัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มะ...แม่ง... มึงทำอะไรก็เกรงใจสุขภาพตากูหน่อยเถอะ โผล่มาเป็นชีเปลือยแบบนี้ ต่อให้หล่อแค่ไหน มันก็ไม่น่าดูเว้ย แล้วก็นะ แค่เปลือยล่อนจ้อนก็แทบทำกูเก็บเอาไปฝันร้ายอยู่แล้ว นี่เนื้อตัวมึงยังเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคลและคราบที่ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคราบอะไรเต็มตัวไปหมดอีก มึงนี่มันเหลือเกินจริงๆ!
แต่ผมก็ได้แค่ตะโกนบอกมันอยู่ในใจเท่านั้นแหละ เพราะมันไม่คิดจะอายเลยแม้แต่น้อย เดินเข้าไปที่ห้องครัวแล้วก็เดินออกมาพร้อมกับขวดเครื่องดื่มชูกำลังในมือ มิหนำซ้ำยังมาทิ้งตัวนั่งข้างผมอีกทั้งที่ตัวมันยังคงมีคราบเปียกชื้นอยู่อย่างนั้นทั้งตัว ผมนี่รีบกระเถิบออกห่างแบบไม่รักษามารยาทเลย
ขยะแขยงฉิบ คราบของใครเป็นของใครบ้างก็ไม่รู้
“เอามั้ย”
“ไม่” ผมตอบทันควัน สีหน้าและสายตาบ่งบอกชัดเจนว่ารังเกียจมัน และมันก็คงจะรู้ด้วยถึงได้หัวเราะในลำคอออกมาแล้วพูดขึ้น
“ทำเป็นรังเกียจไป ให้ได้ลองกับฉันสักหน่อยเถอะแล้วจะติดใจเหมือนพวกนั้น”
ติดใจหรือติดเอดส์วะ มึงเล่นมั่วไม่เลือกขนาดนี้ แถมป้องกันเหมือนกูหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต่อให้กูชอบผู้ชายด้วยกันหรือมึงจะหล่อปานเทวดามากกว่านี้ขนาดไหน กูก็ไม่เอา!
“เลิกเล่นได้ละซีเลน ฉันไม่ได้มานี่เพื่อมาเล่นกับนาย” ผมแสร้งว่าเสียงเข้มให้ซีเลนหยุดก้อร่อก้อติกสักที เพราะมันไม่ได้แค่พูดสองแง่สองง่ามกับผมเฉยๆ แต่สายตามันที่มองผมก็บ่งบอกชัดเจนว่าต้องการอย่างที่พูดจริงๆ
“ถ้านายไม่ได้มาให้ฉันเชยชม แล้วนายจะมาทำไม” แล้วมันก็ว่าอย่างมั่นหน้า
ผมนี่หลุดเบ้ปากใส่มันเลย เกือบจะคว้าโคมไฟบนโต๊ะฟาดหน้ามันด้วยความหมั่นไส้แล้ว ดีที่ระงับอารมณ์ได้... ไม่ใช่ว่าระงับอารมณ์ได้หรอก แค่คิดว่าถ้าฟาดหน้ามันแล้ว ผมอาจจะโดนมันปล้ำอีกรอบเป็นค่าเสียหายที่ทำให้มันเสียโฉมน่ะ ผมเลยไม่เสี่ยงดีกว่า
“ฉันก็มาตามนายให้กลับไปทำงานน่ะสิ”
“ตามกลับไปทำงาน? นี่มันยังไม่ถึงคิวที่ฉันจะต้องถ่ายเลยไม่ใช่เหรอ วันหยุดน่ะวันหยุด” ซีเลนว่ายาว
ผมก็รู้อยู่หรอกว่าเป็นวันหยุดพักของหมอนี่ แต่เพราะมันติดต่อไม่ได้นี่หว่า ผมถึงได้มาโผล่หัวอยู่ที่นี่ไง
“ก็นายเล่นหยุดแล้วไม่ติดต่อใครเลน ผู้กำกับวิลล์เค้าก็เลยเป็นห่วง เห็นว่าติดต่อนายไม่ได้เลยส่งฉันมาดูนี่แหละ” ผมว่าตามจริง
“อ้อเหรอ ก็นึกว่าอยากจะมีอะไรกับฉันซะอีกถึงได้มาหาถึงที่”
หันไปเอาโคมไฟฟาดหน้ามันแม่ง! โคตรจะหลงตัวเองจริงๆ เลยให้ตาย!
“เออ ก็อย่างที่ว่านั่นแหละว่าผู้กำกับวิลล์เค้าเป็นห่วงก็เลยส่งฉันมาดู ตอนนี้หมดธุระฉันแล้ว นายก็อย่าลืมคิวงานครั้งหน้าก็แล้วกัน” ผมรีบตัดบทด้วยไม่อยากจะอยู่คุยกับมันนานๆ เพราะเห็นสายตาของมันที่มองมายังผมแล้ว ผมก็รู้เลยว่ามันคงจะคิดสานต่อจากตอนก่อนหน้าแน่
แล้วผมก็คิดถูกเผง เพราะพอผมลุกขึ้นจากโซฟา มันก็คว้าแขนผมไว้หมับก่อนจะเหวี่ยงลงมากระแทกเบาะโซฟาเต็มแรงในสภาพล้มหงาย สัญชาตญาณเอาตัวรอดบอกให้ผมรีบลุกทันทีแต่ก็ไม่ไวเท่าไอ้หื่นซีเลนที่โถมตัวมาทาบทับผมเอาไว้แล้ว ผมเบิกตาโตจนไม่รู้จะเบิกยังไง และยิ่งเบิกหนักกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงของมันแว่วเข้ามาในหู
“ถึงนายจะไม่ได้มาเพราะอยากมีอะไรกับฉัน แต่ฉันอยากมีอะไรกับนาย”
บ้านมึงเถอะไอ้ซีเลน! เมื่อกี้สิบคนมึงยังไม่พออีกเหรอวะ!
ไม่ทันจะได้ร้องห้ามใดๆ ซีเลนก็โน้มใบหน้าคร้ามมาซุกลงบนซอกคอผมแล้วพรมจูบไปแล้ว ผมพยายามจะเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ไม่พ้นด้วยถูกมันกอดไว้แน่น เลยได้แต่ดิ้นไปดิ้นมาในอ้อมกอดมันเท่านั้น ทว่าในระหว่างที่ผมกำลังถูกมันปล้ำอย่างเมาส์มันนี่เอง ผมเพิ่งสังเกตเอาในตอนนี้นี่แหละว่าซีเลนไม่ได้มีท่าทีจะเป็นจะตายอย่างตอนแรกที่ผมเข้ามาเจอมันเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเพราะผ่านศึกรักมาอย่างหนักอย่างที่ควรจะเป็นด้วย และนั่นก็ทำให้ผมย่นหน้าทันควัน
“นายไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาเยอะแยะวะถึงได้หื่นกามไม่เลิกขนาดนี้”
ซีเลนชะงักกึก ถอนริมฝีปากออกจากซอกคอผมขึ้นมามองหน้าทันใด ก่อนจะยิ้มเผล่ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ความสามารถพิเศษ”
ความสามารถพิเศษอย่างนี้มึงไม่ต้องมาภูมิใจหรอก!
“ถามจริงจังเลยซีเลน อย่าเล่น ฉันอยากรู้จริงๆ ว่านายไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนาถึงได้มีความต้องการไม่รู้จบแบบนี้” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อเห็นว่าซีเลนเอาแต่เล่นลิ้น
“มีมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เป็นพันธุกรรม ถึงได้บอกนี่ไงว่าเป็นความสามารถพิเศษ” หมอนั่นว่าขณะที่เริ่มไล่ต่ำลงไปยังหน้าอกผม
“ความสามารพิเศษผิดมนุษย์มนา อย่างนายน่ะไม่ใช่มนุษย์โลกแล้ว” ผมว่าออกไปลอนๆ
ซีเลนชะงักกึกทันใด ก่อนจะผละใบหน้าขึ้นมามองผมโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน ผมมองหน้ามันอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นเมื่อเห็นว่ามันเอาแต่มอง ไม่ยอมพูดอะไรสักที
“ซีเลน...”
“ว่า?”
“หรือว่านายจะไม่ใช่มนุษย์โลก?”
ไม่รู้ทำไมผมถึงถามไปแบบนี้ อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งผมเคยเห็นเลือดของซีเลนเป็นสีเขียวอ่อนและสงสัยหมอนี่มาก่อนว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกตัวก็ได้ แถมมนุษย์โลกนี่จะมีใครที่ไหนที่มีความต้องการสูงอย่างมันบ้าง มิหนำซ้ำพอมีเซ็กส์เสร็จ แทนที่จะเหนื่อยอ่อน กลับมีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่ต่างอะไรจากตอนปกติเลยแม้แต่น้อย ผมก็เลยอดคิดไม่ได้ว่าหมอนี่อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เก็บกักพลังงานในการดำรงชีวิตโดยการมีเซ็กส์ก็ได้
แต่มนุษย์ต่างดาวบ้าบอคอแตกอะไรมันจะไปมีเซ็กส์เพื่อสะสมพลังงานให้ร่างกายกันวะ มันจะแฟนตาซีเกินไปแล้ว!
ซีเลนยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะว่าออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า
“ฉันดูเหมือนมนุษย์ต่างดาวหรือไง มีส่วนไหนของใบหน้าฉันที่ดูผิดแผกจากมนุษย์โลกคนอื่นๆ บ้าง ไหนลองบอกมาซิ”
มันก็ไม่ผิดแผกไปจากชาวบ้านหรอกหน้ามึงน่ะ ที่ผิดแผกก็คือนิสัยหื่นกามของมึงต่างหาก
ผมยังไม่ทันจะได้ตอบ ซีเลนก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันก็แค่เป็นคนเซ็กส์จัด ไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาว” แล้วก็โน้มหน้าลงมาวุ่นวายกับแผงอกผมอีก
“แต่ไอ้นิสัยปล้ำชาวบ้านไปเรื่อยเปื่อยนี่มันไม่ใช่วิสัยของมนุษย์โลกแล้ว! นายเป็นมนุษย์ต่างดาวแหงๆ แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้วโว้ย! หยุดความคิดที่จะปล้ำฉันเดี๋ยวนี้เลย!” ผมโวยวายลั่นเมื่อรู้สึกได้ว่าซีเลนไม่ได้วุ่นวายกับแผงอกของผมอย่างเดียว มือมันก็เริ่มไปวุ่นวายกับช่วงล่างอีกด้วย ก่อนที่ผมจะดันหน้ามันออกจากตัวอย่างแรง
ซีเลนยอมถอยแต่โดยดี พลันหัวเราะหึที่เห็นผมพรึงเพริดก่อนจะประทับจูบลงมาบนแก้มผมเบาๆ
“ปล่อยก็ได้ ฉันก็ไม่อยากให้กลิ่นของนายหายไปเหมือนกัน” ว่าจบก็ลุกขึ้นนั่งเหมือนเดิม
ผมหายใจโล่งทันใด ข้องใจนิดหน่อยว่าเรื่องกลิ่นที่ซีเลนพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นมันคืออะไร ทว่าผมก็ไม่อยู่รอถามอีกต่อไป ไม่แม้แต่จะรอคำตอบด้วยว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่หรือเปล่าเพราะมันไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ หากแต่ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญกับผมอีกแล้ว นอกจากพุ่งไปยังประตูห้องแล้วไปจากที่นี่ให้ไวที่สุดเท่านั้น
“สักวันฉันจะมีอะไรกับนายให้ได้กวินทร์... สักวันที่ฉันจัดการธุระเสร็จ”
ซีเลนร้องไล่หลังมาให้ผมได้ยิน ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว วิ่งสี่คูณร้อยออกจากห้องมันไปชนิดหน้าตั้งอย่างรวดเร็ว
ต่อไปนี้ใครใช้ให้มาตามมันที่ห้องอีก ผมจะไม่มาอีกแล้ว สาบานได้เลย!
 
ผมไม่ได้แค่วิ่งสี่คูณร้อยออกจากห้องของซีเลน แต่ยังวิ่งอย่างต่อเนื่องจนมาถึงอพาร์ตเม้นต์ที่ตัวเองอยู่ด้วย พอเข้าห้องมาได้ ผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าออก ตรงเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวเอาคราบโสมมของซีเลนออกทันใด บอกตรงๆ ว่าไม่เคยมีใครหน้าไหนทำให้ผมขยะแขยงได้ขนาดนี้มาก่อนเลย ขยะแขยงชนิดที่ว่าพอถูกมันจับตัวแล้ว ผมก็พานมาขยะแขยงตัวเองด้วย
กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เล่นเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง ผมส่องกระจกมองสภาพตัวเองที่มีหยาดน้ำพร่างพราวทั้งกายเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าบริเวณต้นคอมีรอยขบและดูดจากการถูกซีเลนปล้ำอยู่เป็นดวงเบ้อเร่อ แถมยังเห็นชัดชนิดเอาคอนซีลเลอร์โบกทับหรือใส่เสื้อปิดก็ปิดไม่มิดอีก ไปทำงานวันพรุ่งนี้มีหวังได้ถูกถามตายแน่ว่าไปโดนอะไรมา
“บ้าชะมัด” ผมพึมพำขณะใช้ปลายนิ้วลูบรอยนั้นเบาๆ ไปด้วย ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง แล้วออกไปแต่งตัวแทน
ช่างแม่งก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีอีกทีว่าจะปกปิดรอยนรกนี่ยังไง วันนี้เหนื่อยเต็มทนแล้ว โคตรอยากจะนอนเลย
พอแต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่ม กะว่าจะเข้านอนตั้งแต่หัววันโดยไม่สนว่านี่เพิ่งจะหกโมงเย็นแม้แต่น้อย ทว่าพอหลับตาได้ไม่ถึงสิบห้านาที เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ปลุกให้ผมต้องฝืนลืมตาตื่นหันไปมองยังประตูอย่างหัวเสียทันใด
“ใคร!” แล้วก็ตามมาด้วยการร้องถามผสมตะคอกน้อยๆ ที่มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มารบกวนเวลานอนของผม
ซึ่งไอ้บ้านั่นก็คือ...
“ฉันเองกวินทร์”
ไอ้เวรคีธ!
ผมจำต้องทิ้งตัวลงจากเตียงมาเปิดประตูให้มัน เพราะรู้ว่าถ้าทำเป็นเมินอย่างที่ผมเมินริชาร์ดล่ะก็ คีธจะต้องพังประตูเข้ามาแน่ และแน่นอนว่าผมไม่อยากเสียเงินค่าซ่อมประตูให้กับทางอพาร์ตเม้นต์ก็เลยต้องยอมทำแบบนี้
“มีอะไร” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางมองคีธที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนทุกวันเล็กน้อย ต่างจากเดิมตรงที่วันนี้หมอนี่มีแจ็คเก็ตหนังสวมทับมาด้วย ดูดีชะมัด
“แวะมาหากวินทร์” หมอนั่นว่าเนือยๆ ให้ผมได้ย่นคิ้ว
“มาหาทำไม”
“คิดถึง”
“ไม่ต้องมาบอกว่าคิดถึงเลย ไอ้แอสตันมาหาริชาร์ด ก็เลยตามมาด้วยล่ะสินะ” ผมว่าอย่างรู้ทันด้วยเมื่อครู่ก่อนจะเปิดประตู ผมได้ยินเสียงประตูห้องริชาร์ดปิดแว่วๆ
คีธพยักหน้ารับอย่างไม่ปฏิเสธ
นั่นไง... สุดท้ายมึงก็ตามเจ้านายมึงมา แล้วพอเจ้านายมึงเจอเมียก็เฉดหัวมึงทิ้ง มึงเลยต้องมาขอพึ่งพาห้องกูเนี่ย
ผมบุ้ยปากอย่างระอา คนอย่างมันมีเหรอจะมีโมเม้นต์โรแมนติกเหมือนแอสตัน ทำได้อย่างเดียวก็แค่หื่นกับทำหน้าตายเท่านั้นแหละ
“งั้นก็เข้ามา” ผมผลักประตูเปิดออกให้อย่างไม่มีทางเลือก ไม่ใช่อะไรหรอก ผมไม่อยากเสียเวลาคุยกับมันน่ะ มันเสียเวลานอน
ทว่าคีธก็ทำให้ผมต้องชะงัก เงยมองหน้าหล่อนั่นทันใด
“ถึงจะตามองค์ชายมา ก็ตามมาเพราะคิดถึงกวินทร์จริงๆ”
ผมตาสว่างเลย หน้าร้อนผะผ่าวด้วย ก่อนจะเบือนหน้าหนีดวงตาคู่สวยอย่างรวดเร็ว
“อย่ามัวพูดมาก เข้ามาเร็วๆ”
คีธเดินเข้ามาในห้องแต่โดยดี พอปิดประตูได้ ผมก็เปิดสวิตซ์ไฟให้สว่าง ก่อนจะออกปากสั่ง
“นายจะทำอะไรก็ทำ แต่เบาๆ เสียงหน่อยล่ะ เดี๋ยวฉันจะนอน วันนี้เหนื่อย”
คีธไม่พูดอะไร เอาแต่มองผม ดูท่าทางหมอนี่คงจะเข้าใจว่าผมเหนื่อยจริงๆ จากสีหน้าและท่าทางของผม ผมเลยเดินกลับไปที่เตียง เตรียมจะล้มตัวนอนอีกครั้ง ทว่าพอเดินผ่านหน้าหมอนั่น คีธก็คว้าแขนผมไว้หมับ
“กวินทร์”
“มีอะไร”
“นี่รอยอะไร” คีธถามเสียงเข้ม เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเสียงเลยที่ผมได้ยินน้ำเสียงแบบนี้จากปากหมอนี่ และรอยที่คีธว่า มันก็คือรอยจ้ำช้ำเลือดช้ำหนองบนต้นคอผมนี่แหละ แถมมันไม่ว่าเปล่าด้วย ยังเอานิ้วจิ้มลงมาอีกด้วย
วะ...เวร...ผมก็ลืมไปสนิทเลยว่ามีไอ้รอยบ้านี่อยู่บนคอ
“ไม่มีอะไร” ผมรีบเบี่ยงคอหลบทันควัน หากแต่คีธไม่ยอมให้ผมหลบ คว้าไหล่ผมให้หันไปหาอีกครั้ง
“ไม่มีอะไรได้ยังไง ก็ฉันเห็นอยู่”
“ประตูหนีบนิดหน่อยน่า”
สาบานเลยว่าเป็นคำแก้ตัวที่โคตรจะงี่เง่าเลย และผมก็มั่นใจด้วยว่าคีธคงไม่เชื่อ แต่ผมก็คิดผิดเมื่อมันมองผมนิ่งๆ แล้วพูดประโยคถัดไปออกมา
“งั้นครั้งหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
อย่าบอกกูนะว่ามึงเชื่อจริงๆ!?
ผมมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมานอกจากนี้ ถ้ามันจะเข้าใจอย่างนี้ล่ะก็ช่างมันเถอะ ดีแล้วล่ะที่ผมไม่ต้องบอกว่ารอยดูดกับรอยฟันนี่เป็นฝีมือของซีเลน ไม่อย่างนั้นมันคงจะได้จับผมประกาศความเป็นเจ้าของไปให้ชาวบ้านร้านตลาดรู้อีกแน่
ทว่าในจังหวะที่ผมกำลังจะสบายใจ คีธที่เดินไปทรุดตัวนั่งบนเตียงก่อนก็ว่าออกมาเสียงเนิบๆ
“อย่าคิดว่าฉันโง่นะกวินทร์ นั่นไม่ใช่รอยประตูหนีบ”
แล้วเมื่อกี้มึงจะเออออห่อหมกทำป้ามึงเหรอ!
“ตกลงไปโดนอะไรมา” แล้วมันก็ถามขึ้นอีกครั้ง
ผมรีบหลบสายตาที่จ้องมองมายังผมอย่างอ่านไม่ออกทันควัน
“กะ...ก็โดน...อะ...เอ่อ...ช่างมันเถอะน่า นายนี่ถามมากน่ารำคาญชะมัด!” สุดท้าย ผมก็แสร้งหัวเสียใส่กลบเกลื่อน
คีธยังคงจ้องผมนิ่ง สายตาประกายกร้าวชัดเจนว่ากำลังจับผิด และมันก็รู้เสียด้วยว่ารอยที่อยู่บนต้นคอผมคือรอยอะไร
“โดนใครดูด บอกมา”
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบากแทบจะในวินาทีนั้น
“กะ...ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไร”
“ถ้าไม่บอก ฉันจะโกรธ”
“งั้นก็โกรธไปเลย ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งวะว่าไม่มีอะไร!” ผมเผลอขึ้นเสียงใส่คีธไปอีก นี่สินะ อาการกลบเกลื่อนของคนที่ทำความผิดมา ถึงมันจะไม่เนียน แต่ก็ยังดีกว่าให้คีธรู้แหละวะ ไม่อย่างนั้นก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละว่าผมจะถูกทำอะไรถ้ามันหึงหน้ามืดขึ้นมา
หากแต่คีธไม่จบ พอผมเลี่ยงไม่ตอบ มันก็คว้าโทรศัพท์ที่ผมเคยซื้อให้ขึ้นมาตรงหน้าแล้วกำแน่นจนแตกดังเปรี๊ยะ
“โกรธ” ตามด้วยว่าเสียงเนือยๆ
โกรธก็โกรธ แต่อย่าทำลายข้าวของสิวะเฮ้ย!
บีบโทรศัพท์จนแหลกเสร็จก็เอาวางลงบนเตียงเหมือนเดิม สีหน้าก็ยังนิ่งเรียบไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแม้แต่แววตา แต่ไม่รู้ทำไมว่าผมสัมผัสได้ว่ามันโกรธจริงๆ คงเป็นเพราะพอมันพูดจบ มันก็เบือนสายตาจากผมหันหนีไปทางอื่นล่ะมั้ง ผมถึงได้รู้สึกแบบนั้น
และบอกตรงๆ เลยว่าผมโคตรจะรู้สึกไม่ดีเลยให้ตาย
“คีธ...” ผมเรียกหมอนั่นให้หันมา ทว่ามันไม่ยอมหัน เอาแต่จ้องมองผนังนิ่ง ผมก็เลยลองเรียกอีกที
“คีธ...”
“...” ยัง...ยังเงียบอยู่
“คีธ... โกรธเหรอ”
“...” ไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ เสียงลมหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน
สงสัยจะโกรธจริงๆ แฮะ
“ขอโทษแล้วกัน” ผมพูดออกไปเบาๆ
คีธยังคงไม่หันมา นั่งนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด
ให้ตาย! ตัวเท่าหมีควายแต่มางอนเป็นเด็กๆ เนี่ยนะ!
แต่เรื่องนี้มันก็น่าโกรธจริงๆ นั่นแหละ ถ้าผมเป็นมัน ผมก็โกรธ แถมถ้ามันมาโกหกว่าโดนประตูหนีบ ผมคงจะกระโดดถีบมันสองขารวดไปแล้ว
เป็นอย่างนี้แล้วก็คงต้องง้อนั่นแหละ...
ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง เดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มัน แล้วชูนิ้วก้อยให้
“อย่าโกรธ ดีกัน”
คีธยังคงนิ่ง ไม่แม้แต่จะเหลียวมามองด้วยซ้ำ ไอ้ผมเองก็ไม่ใช่คนง้อใครเป็น ถึงจะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่ผมก็ไม่เคยง้อใครนี่หว่า มีแต่ผู้หญิงมาง้อทั้งนั้น พอมาเจอแบบนี้ ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
จะให้ง้อแบบไหนกันล่ะเว้ย!
“ดีกันนะ...น้าๆๆ” งั้นใส่ความมุ้งมิ้งไปอีกนิด ความปัญญาอ่อนไปอีกหน่อย กระดิกนิ้วก้อยไปมาแล้วเอาหน้ายื่นไปคลอเคลียหลังมันด้วยเผื่อมันจะใจอ่อน
แต่บอกตรงๆ ว่าโคตรทุเรศสภาพตัวเองตอนนี้ชะมัดเลย!
“ดีกันเถอะนะคีธ” ผมยังคงพูดประโยคคล้ายๆ เดิม แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันหันมาได้เลย
ผมเลยดึงมือกลับมา ง้างหมัดใส่หลังมันไปนิดนึงโทษฐานหมั่นไส้ที่งอนนานเหลือเกิน แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนที่ผมจะคิดวิธีการง้อใหม่ออก
ปกติแล้วเวลาผมง้อสาวๆ เพื่อขอมีอะไรด้วย ผมก็แกล้งหอมแก้ม แกล้งพูดเอาใจนิดๆ หน่อยๆ มันก็ได้ผลนี่หว่า สงสัยต้องลอง
คิดได้อย่างนั้น ผมก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ ซีกแก้มของคีธแล้วประทับจูบลงเบาๆ ทีนึง
“ดีกันนะ” ตามด้วยเสียงแบบลั้นลาเต็มที่อีกหน่อย
คราวนี้ได้ผล คีธเหลือบหางตามามองเล็กน้อย ทว่าก็ยังนิ่งอยู่ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมก็เลยหอมแก้มไปอีกที
“อย่าโกรธนะ ฉันขอโทษ”
“...”
“นะๆๆ”
“...”
เพราะมันยังเงียบ ผมก็เลยหอมแถมไปอีกรอบ ทว่าไอ้การหอมแก้มเพื่อง้อมันเนี่ย โคตรจะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลย เพราะพอผมถอนริมฝีปากออกจากซีกหน้ามันปุ๊บ มันก็หันมาผลักอกผมออกห่างจนผมล้มหงายลงบนเตียง ก่อนที่มันจะโถมร่างขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ในชั่วพริบตา
ผมเบิกตาโพลงทันที และไม่ทันจะได้ถามว่ามันคิดจะทำอะไร มันก็พูดออกมาแล้ว
“แค่หอมแก้มแค่นี้ไม่ทำให้หายโกรธหรอก”
แล้วมึงจะเอาอะไรล่ะโว้ย!
แค่คิดในใจเท่านั้นแหละ ยังไม่ทันจะได้ถาม คีธก็ให้คำตอบออกมาแล้ว
“มีอะไรกันก่อน แล้วฉันจะยอมยกโทษให้”
มึงนี่มันหื่นได้ทุกสถานการณ์จริงๆ ไอ้คีธ! กูหอมแก้มมึงเพื่อง้อมึง ไม่ได้อ่อยมึงนะเว้ย!
ไม่ทันจะได้ร้องห้ามอะไร คีธก็กระชากเสื้อผมขาดออกจากกันแล้ว อย่าให้นับเลยว่าถูกมันฉีกเสื้อไปแล้วกี่ตัว แม่งเอะอะกระชากตลอด แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการแหกปากเมื่อคีธก้มหน้าลงมาพรมจูบบนหน้าอกผม
“ไม่เอาแบบนี้นะเว้ย!” ผมแหกปากใส่หน้าหมอนั่นทันที
คีธชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงนอน พร้อมกับฉุดให้ผมลุกขึ้น
แน่นอนว่าไม่ใช่ฉุดธรรมดา แต่เป็นการฉุดขึ้นมานั่งบนตัวมัน แถมมันยังกอดเอวผมด้วยสองแขนไว้แน่น
“ไม่เอาแบบนั้น งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน”
ออนท็อปกูก็ไม่เอา! มึงอย่าคิดว่ากูอยากจะรวมร่างกับมึงจนตัวสั่นสิวะ! กูแค่หอมแก้มง้อมึงเฉยๆ เว้ย!
ผมรีบกระเด้งตัวลุกออกจากตัวมันลงมายืนบนพื้นเลย คีธมองตามผมด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่นัก ขณะที่ผมว่ารนๆ
“อย่ามาตีเนียนนะเว้ย คิดว่าฉันจะยอมให้นายทำอะไรตามใจกับร่างกายหรือไง” ผมว่าเสียงแข็ง
คีธดันตัวขึ้นนั่ง มองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาเสียงเรียบ
“ไม่ยอมให้ฉันทำ แต่ยอมให้คนอื่นทำน่ะเหรอ”
เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกที่ลำคอผมทันใด
มะ...แม่ง มึงก็พูดตรงเกินไป แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดด้วยเว้ย กูไม่ได้สมยอม กูโดนบังคับต่างหาก!
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมว่าอ้อมแอ้ม หลบสายตา ไม่กล้าสบตาคีธที่จ้องมาแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ใช่ แล้วรอยนี่มันมาได้ยังไง”
ประหนึ่งกำลังถูกผัวจับได้ว่ามีชู้อยู่ก็ไม่ปาน ผมนี่ทำหน้าไม่ถูกเลยพอถูกคาดคั้น แถมยังพูดไม่ออกด้วยว่าไปได้ไอ้รอยนี้มาได้ยังไง
“ก็...”
“ก็อะไร”
“ก็...” ก็โดนไอ้ซีเลนมันดูดมายังไงเล่า!
อยากจะบอกมันฉิบเป๋ง แต่ถ้าบอกไป คีธมันคงไม่รอช้า ไปฆาตรกรรมไอ้ซีเลนอย่างแน่นอน แล้วทีนี้ผมก็จะได้มีผัวที่นอกจากจะเป็นเอเลี่ยนแล้ว ยังเป็นฆาตกรอีกด้วยเป็นของแถมเลยทีนี้ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าถ้าผมบอกไป มันจะทำร้ายจิตใจคีธนี่แหละ ผมไม่รู้หรอกนะว่าวัฒนธรรมมนุษย์ต่างดาวระหว่างคนคบกันมันเป็นยังไง แต่สำหรับมนุษย์โลกแล้ว ผมเชื่อได้เลยว่าการรู้ว่าคนที่ตัวเองชอบไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นไม่ว่าจะแบบตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น
แน่นอนว่าผมแคร์... แคร์ความรู้สึกมันนี่แหละถึงได้ไม่กล้าบอกอยู่เนี่ย!
และเพราะผมเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ คีธก็เลยโพล่งขึ้นมา
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”
ผมหันไปมองมันทันควันขณะที่มันลุกขึ้นยืนก่อนว่าออกมาอีกประโยค
“ฉันกลับล่ะ”
เอ้า! อะไรของมึงวะ ไม่คิดจะคาดคั้นกูอีกสักหน่อยเหรอ เผื่อกูกดดันแล้วจะได้ยอมบอก
ผมก็ได้แต่คิดเท่านั้นแหละ เพราะไม่ทันจะได้ปริปากพูดอะไร คีธก็เดินดุ่มๆ ไปยังประตูแล้วเปิดออกทันที
“เดี๋ยวสิคีธ” ผมร้องเรียก แต่คีธก็ไม่หันมา เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงประตูที่ปิดลงทำเอาผมใจหายวาบ รู้เลยว่าคีธโกรธจริง ไม่ใช่เล่นๆ แต่ก็ช่างแม่งเถอะ โกรธก็โกรธไป ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า คนที่ผิดน่ะคือไอ้ซีเลนต่างหาก... แต่ทำไมนะ ทำไมผมถึงรู้สึกไม่สบายใจเลยก็ไม่รู้
 


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 24: Forgive me right now![2]

ความไม่สบายใจเกาะกินใจผมตั้งแต่เมื่อคืนยันวันใหม่ ยิ่งต้องมาเจอคีธที่กองถ่ายในวันรุ่งขึ้นด้วยแล้ว ผมก็ทำหน้าไม่ถูก มิหนำซ้ำ หมอนั่นก็ยังเมินใส่ผมอีก เมินแบบชนิดที่ว่าคนอื่นๆ ยังดูออกเลยว่ามันเมิน
ก็แหงล่ะ เมื่อวานก่อนเพิ่งจะเอาท์ดอร์กันไปสนั่นลั่นทุ่ง ผ่านไปไม่กี่วันก็เย็นชาใส่กันซะแล้ว ใครดูไม่ออกก็ไปหาเขามาครอบเถอะ
“นายกับคีธทะเลาะอะไรกัน” แล้วริชาร์ดก็เป็นหน่วยกล้าตายเข้ามาถามผมทันทีที่เรามีเวลาว่างจากการทำงาน
ผมเงยหน้าขึ้นจากกระดาษคิวนักแสดงในมือขึ้นมามองมันอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะยืดคอให้มันดูรอยดูดบนต้นคอ
ริชาร์ดมองแล้วก็ย่นคิ้ว
“เมื่อคืนคีธอยากจะจัดหนักกับนายแบบซาดิสม์ แต่นายไม่ยอม คีธก็เลยงอน?”
ป้ามึงสิไอ้เห็บหมา! กูไม่ได้เป็นคนประเภทเดียวกันกับมึงนะเว้ย กูชอบแบบธรรมดา!
ผมนี่แทบจะฟาดกระดาษใส่หน้าไอ้เพื่อนเวรนี่เลย ริชาร์ดหัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าผมง้างมือขึ้นมาทำท่าจะฟาดมัน พลันยกมือปรา พอผมสงบลงได้ มันก็ถามขึ้นมาใหม่
“แล้วตกลงคีธงอนนายเรื่องอะไร”
“ฉันโดนไอ้ซีเลนดูดคอมา หมอนั่นเห็นแล้วถาม แต่ฉันไม่ได้บอก” ผมว่าไปตามจริง
ริชาร์ดพยักหน้าพลางร้องอ๋อทันควัน
“มิน่าล่ะถึงได้เฉยชาอย่างนั้น แล้วทำไมนายไม่บอกวะ”
ผมตวัดหางตามองมันเล็กน้อย พลันว่าอุบอิบ
“เป็นนาย นายจะกล้าบอกมั้ยล่ะ ขืนบอกไป กองถ่ายนี่ได้เสียพระเอกไปแน่ๆ”
“นายก็เลยเลือกที่จะเสียคีธไป?”
“ไม่ได้เลือกที่จะเสียใครไปทั้งนั้นแหละโว้ย ฉันแค่ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่” ผมแก้ความเข้าใจผิดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ริชาร์ดเหมือนจะเข้าใจขึ้นมา แต่มันก็พูดขึ้นให้ผมจุกอีก
“แล้วนายไม่แคร์ความรู้สึกคีธเหรอวะถึงทำแบบนี้”
“ก็เพราะแคร์นี่ไงถึงได้ไม่พูด” ประโยคนี้ผมพูดแทบจะไม่มีเสียง
ริชาร์ดยิ้มออกมาเลย ก่อนจะเดินมาเอาไหล่กระแซะไหล่ผมเป็นพัลวัน
“ระวังเท้อ คีธงอนนายนานๆ แบบนี้ ถ้านายไม่ทำอะไรสักอย่าง บรูคลินมันจะมาชุบมือเปิบไป”
ผมหันไปมองมันตาขวาง
ไอ้เวรนี่... พูดอะไรให้มันเข้าหูหน่อยไม่ได้หรือไง!
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงวะ” ผมเลยแหวมันไปที
“ก็ไปง้อสิ” ริชาร์ดว่าอย่างไม่ยี่หระ ผมนี่ย่นหน้าเลย
“คิดว่าฉันง้อคนเป็นหรือไง”
“ง้อไม่เป็นก็ต้องง้อ ไม่งั้นบอกตรงๆ เลยว่าไอ้บรูคลินมันฉวยโอกาสแน่” แล้วมันก็ย้ำขึ้นมาอีก
ผมก็รู้แหละว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆ โอกาสแบบนี้ก็คงเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผมกับคีธจะผูกพันกันไปแล้วก็เถอะ แต่สถานะมันก็ยังคลุมเครือ แถมบรูคลินก็ยังเป็นโฮสต์ให้หมอนั่นอยู่ โอกาสเปลี่ยนใจมันก็ยังมี ขนาดกับเจเนซิสที่เคยเป็นว่าที่คนรัก คีธมันยังเปลี่ยนใจมาเป็นผมได้เลย แล้วทำไมมันจะเปลี่ยนใจจากผมไปเป็นบรูคลินบ้างไม่ได้
คิดแล้วก็หงุดหงิดชะมัด และคงจะหงุดหงิดจนออกทางสีหน้าด้วย ริชาร์ดมันก็เลยตบบ่าผมเบาๆ
“คืนนี้กลับไปแล้วจัดการง้อเลย เดี๋ยวฉันกับแอสตันวางแผนล่อให้หมอนั่นไปที่ห้องนายให้”
มึงอย่ามาพูดเหมือนกูจะหลอกมันไปฟันสิวะ!
“ถ้าจะง้อก็ง้อที่นี่ก็ได้น่า” ผมสะบัดตัวออกจากการสัมผัสของริชาร์ด ทว่าริชาร์ดกลับมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ
“นายนี่เป็นเพลย์บอยได้ยังไงวะ ไม่ได้รู้ศาสตร์ของการออเซาะซะเลย แค่ง้อด้วยคำพูดอย่างเดียวมันไม่พอหรอกเว้ย มันต้องแสดงออก ยิ่งเป็นคนนิ่งๆ อย่างคีธด้วยแล้วนะ ถ้าไม่แสดงออกให้ชัดเจนล่ะก็ รับรองว่าไม่หายงอนหรอก พอหายงอนแล้วค่อยบอกความจริง”
หัวคิ้วผมกระตุกทันควัน รู้เลยว่าริชาร์ดมันหมายความว่าอะไร
ก็จะหมายความว่าอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของการยั่วมันน่ะ!
แล้วก็จริงซะด้วย เพราะพอผมมองหน้าริชาร์ดอย่างขอคำตอบ ริชาร์ดก็เข้ามากระซิบผมเบาๆ
“กินเหล้าย้อมใจแล้วบุกเลย”
“ไอ้ริชาร์ด...” ผมถึงกับเบ้หน้าใส่มัน ริชาร์ดรีบจุ๊ปากทันใด
“อย่าไปกลัวสิวะ ทีกับสาวๆ นายยังทำได้ นี่ผัวนายนะเว้ย ช่ำชองอย่างนายน่ะไม่คณามืออยู่แล้ว”
กับผู้หญิงน่ะมันง่าย แต่นี่มันกับผู้ชายนะโว้ย กูไม่เคย!
ผมทำท่าจะแย้งมัน แต่ริชาร์ดมันก็ไม่สนใจจะฟังคำโต้แย้งของผมแล้ว นอกจากตบบ่าผมมาอีกครั้งแล้วทำหน้าหมายมั่นอย่างคาดหวังว่าผมจะทำได้สำเร็จ
“เดี๋ยวฉันจะไปบอกแอสตัน นายเตรียมใส่ชุดนอนไม่ได้นอนได้เลย รวบหัวรวบหางก่อนโดนไอ้ถึกบรูคลินงาบไปต่อหน้าต่อตา” ว่าจบแล้วมันก็เดินไปหาแอสตัน เล่าแผนการทันใด
ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองรัวๆ เลยเมื่อเห็นแอสตันเออออห่อหมกกับริชาร์ดไปด้วย
นี่พวกมึงคิดว่ากูเป็นคนยังไงวะ กูไม่ใช่คนขี้ยั่วเหมือนไอ้ริชาร์ดนะเว้ย!
 
ถึงปากจะบอกว่าไม่ใช่คนขี้ยั่ว แต่เชื่อมั้ยว่าพอกลับมาถึงห้อง ผมก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสำหรับการง้อไอ้บ้าคีธแล้วเรียบร้อย และแน่นอนว่าของทั้งหมดที่อยู่ในห้องผมไม่ได้มาจากผม แต่มาจากริชาร์ดทั้งนั้น ทั้งชุดนอนไม่ได้นอนบ้าบอคอแตกอะไรของมัน ทั้งเบียร์ แล้วก็... เอ่อ...เซ็กส์ทอย แม่งมาแบบจัดเต็มมาก มากจนผมนึกไม่ถึงเลยว่าแอสตันกับริชาร์ดจะมีรสนิยมอะไรแบบนี้
และผมก็ไม่ใช้หรอก ทั้งชุดนอนไม่ได้นอนแล้วก็เซ็กส์ทอย เก็บมันลงกระเป๋าที่ริชาร์ดมันจับยัดให้มา เหลือแต่เบียร์สองกระป๋องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเท่านั้นแหละ
ผมนั่งสั่นขาเป็นเจ้าเข้าอยู่บนเตียง รอเวลาที่คีธจะมาอยู่อึดใจหนึ่งด้วยความตื่นเต้น ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ผมลุกพรวดไปเปิดประตูทันที พอเปิดมา ใบหน้านิ่งเรียบของคีธก็ปรากฎให้เห็น ก่อนที่หมอนั่นจะว่าขึ้นมาเนิบๆ
“ขออยู่ที่ห้องนายสักพัก องค์ชายทำธุระอยู่”
“ขะ...เข้ามาสิ” ผมว่าตะกุกตะกัก เปิดประตูอ้าออกให้คีธเข้ามาข้างใน
คีธยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนครั้งก่อนๆ ที่มาห้องผมไม่มีผิดเพี้ยน ผิดไปอย่างเดียวก็คือไม่ช่างพูดช่างถามอย่างเคย เอาแต่เงียบจนบรรยากาศมาคุเข้าครอบงำ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ สะกดกลั้นความตื่นเต้นลงไปแล้วทำลายความเงียบขึ้น
“กะ...กินอะไรมาหรือยัง”
“กินจากบูลิโอมาแล้ว” คีธว่า
ผมนี่ชะงักเลย มองหน้ามันอย่างหงุดหงิดทันควัน
มึงไปดูดปากกับไอ้บรูคลินมาอีกแล้วสินะ! มึงนี่มัน...! เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ไอ้กวินทร์ มันเป็นโฮสต์ให้กัน ดูดปากกินสารอาหารเป็นเรื่องปกติ อย่าทำให้เรื่องบานปลาย สูดหายใจเข้าลึกๆ...
ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองอย่างเต็มที่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็สงบลงได้ ก่อนที่ผมจะแสร้งฉีกยิ้ม เดินไปคว้ากระป๋องเบียร์บนโต๊ะไปยื่นให้คีธที่นั่งไพล่ขาอยู่บนเตียง
“ดื่มมั้ย”
คีธเหลือบมองนิดหน่อยก่อนจะส่ายหน้า
“สักนิดน่า”
มันยังส่ายหน้าอยู่ ผมเลยคะยั้นคะยออีกครั้ง
“นิดนึง ดื่มกับฉัน”
“ไม่เอา ครั้งก่อนที่นายพยายามจะฆ่าฉันตอนฉันวางไข่ ฉันดื่มของพวกนี้เข้าไปเยอะแล้ว”
เออ ผมก็ลืมไปเลยว่าคีธมันขยาดพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แค่ไหน แผนแม่งพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มซะแล้วแฮะ
“งั้นฉันดื่มคนเดียวก็ได้” ผมว่าอย่างระอาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างมัน พร้อมกับเปิดกระป๋องเบียร์กระป๋องหนึ่งกระดกดื่มไปด้วย
ระหว่างดื่มก็เหลือบมองคีธเป็นพักๆ หมอนั่นยังคงทำหน้าเฉย ไม่เหลียวมองผมสักนิดเหมือนเดิม ถึงจะพูดคุยกับผมแต่มันก็คือการถามคำตอบคำมากกว่า ซึ่งไอ้การถามคำตอบคำมันก็คือการเมินเฉยตามสไตล์มันนี่แหละ ผมก็เลยรีบกระดกน้ำรสเฝื่อนให้หมดกระป๋อง แล้วตามด้วยการดื่มอีกกระป๋องเพื่อย้อมใจ
เอาวะ! มาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องทำแล้ว!
“คีธ” ผมเริ่มโดยการเรียกชื่อมันพลางวางกระป๋องเปล่าลงบนพื้นข้างเตียง
คีธหันมาเลิกคิ้วสูงเป็นคำถามว่ามีอะไรให้ผมได้พูด
“ยังโกรธอยู่อีกเหรอ”
รอบนี้มันไม่ตอบแต่หันหน้าหนีแทน ผมรู้เลยว่ามันยังโกรธอยู่
“เลิกโกรธได้แล้วน่า ข้ามวันแล้วนะ” ผมแสร้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ แต่คีธกลับตอบมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“ถ้ากวินทร์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ร่างกายของกวินทร์ จะทำอะไรก็ทำเถอะ”
โอ้โห... โกรธหนักมาก
ผมเกือบจะหลุดหัวเราะกับท่าทางงอนเป็นเด็กๆ ของมันอยู่แล้วถ้ามันไม่พูดประโยคถัดมา
“และถ้ากวินทร์ไม่อยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันก็ไม่เป็นไร ผูกพันไปแล้วก็ยกเลิกได้ เดี๋ยวฉันจะไปหาแม่พันธุ์ใหม่เอง”
ผมเบิกตาโตพลันเมื่อได้ยินประโยคนี้ หน็อย...มึงจะฟันกูแล้วทิ้งเหรอไอ้คีธ!
ไม่ใช่แค่ใจหายวูบอย่างเดียว มือไม้ยังสั่นด้วย
แค่กูถูกดูดคอแค่นี้ มึงถึงกับจะหาเมียใหม่เลยเหรอ! มึงนี่มันจะเกินไปแล้ว!
ผมเดือดจนไม่รู้จะเดือดยังไง ประกอบกับฤทธิ์เบียร์กรึ่มๆ ด้วย ทำให้ผมผลักอกมันเต็มแรง
“อย่ามาพูดอย่างนี้นะเว้ย! เห็นฉันเป็นอะไรวะ!” แล้วก็ตามด้วยตะคอกไปอีกชุดใหญ่
คีธทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิดว่าตัวเองพูดอะไรออกมา แถมยังมีหน้ามาพูดย้ำอีก
“ก็ถ้ากวินทร์ไม่อยากเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันก็ไม่เป็นไร มีคนรออยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันอยู่”
เส้นความอดทนเส้นสุดท้ายของผมขาดดังผึง ความตั้งใจที่ว่าจะค่อยๆ ตะล่อมมันให้หายโกรธอย่างนุ่มนวลมลายหายไปพลัน ก่อนผมจะผลักอกมันอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าคิดว่าฉันจะยอมง่ายๆ ล่ะก็ ฝันไปเลย!”
และก็ไม่ใช่แค่ผลักอย่างเดียว ผมยังรั้งใบหน้าคร้ามด้วยสองมือมาบดจูบอย่างหนักหน่วงอีกด้วย น่าเจ็บใจตรงที่คีธมันไม่ตอบสนองกับการจูบของผมแม้แต่น้อย เอาแต่ทำหน้านิ่งๆ จนผมชักหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นว่าผลักมันลงไปนอนราบ แล้วเอาตัวเองขึ้นมานั่งคร่อมร่างมันไว้อย่างไม่ทันจะได้คิดอะไรแม้แต่น้อย
“หายโกรธเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่หาย ฉันจะปล้ำนาย!”
นี่กูบ้าไปแล้ว! พูดอย่างนั้นออกไปได้ยังไงวะ!
คีธยังคงนิ่ง ไม่พูด ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ประหนึ่งท้าทายให้ผมทำ ผมก็เลยจัดการถอดเสื้อตัวเองออก เหลือแต่กางเกงขาสั้นที่สวมติดตัวอยู่ แถมยังไปกระชากเสื้อเชิ้ตของคีธจนกระดุมขาดสะบั้นออกจากกันอีก พอแผงอกแกร่งเผยสู่สายตา ผมก็ว่าเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ
“ฉันเตือนนายแล้วนะ”
“กวินทร์จะทำอะไรก็ทำ” คีธพูดขึ้นมาให้ผมได้กลืนน้ำลายเอื้อก
นะ...นี่มึงไม่คิดจะขัดขืนกูเลยใช่มั้ย? ไอ้กวินทร์เอ๊ย... มาถึงขั้นนี้คงจะถอยหลังกลับไม่ได้แล้วล่ะ
-------------------------------------
กวินทร์บุกค่าาาาาา บุกยันตอนหน้า บอกได้คำเดียวเลยว่า...ฮืมมมม (ฮืมอีกแล้ว 555)
เอาไปค่ะ ตอนหน้าคือฉากออนท็อปในตำนาน กร๊ากกก คีธงอนแบบนี้มันต้องเป็นแผนแน่ๆ อิอิ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ farfarneenee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
โอยยยยย

ออฟไลน์ heroza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ไปขู่เขาแบบนั้น เขาก็ได้กับได้สิค่ะ :hao7:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
ปล้ำคีธ  !!!

ออฟไลน์ imfckwn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
มันคือแผนน

แต่กวิน บางทีก็ปากหนักไป ถ้าอ่อนลงกว่านี้ ชีวิตคู่คงดี

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
คีธค่ะจริงๆแกเลิกโกรธนานแล้วใช่มะ โหยยยยยยอยากถูกกวินทร์ปล้ำอ่ะดิ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 25: Is Zylen an alien!?[1]
“ทำสิ” คีธพูดขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มองหน้ามันนิ่งๆ
ผมกลืนน้ำลายอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากหยักสวยเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เริ่มดุดันขึ้นตามลำดับ ทว่าคีธไม่ตอบสนองอะไรเลย เอาแต่นอนนิ่งเป็นท่อนซุง ผมเลยละริมฝีปากออกมามองหน้ามันอย่างหงุดหงิด
“อย่าเอาแต่นอนนิ่งสิ”
“กวินทร์จะทำอะไรก็ทำ” คีธยังพูดประโยคเดิมออกมาอีก ฟังยังไงก็รู้สึกว่านี่เป็นการยั่วโมโหผมชัดๆ
ผมเลยประทับจูบหนักหน่วงลงไปอีกครั้ง ไม่สนว่าคีธจะทำเฉยชาแต่อย่างใด
ทำนิ่งได้ก็แค่ตอนนี้แหละเชื่อเถอะ เจออดีตเสือผู้หญิงอย่างผมเข้าไปหน่อยแล้วจะหนาว!
ผมผละจากริมฝีปากเมื่อบดจูบเป็นที่พอใจแล้ว ไปพรมจูบยังซีกแก้มและไล่ไปยังลำคอของคีธแทน แต่ไม่ว่าผมจะใช้เทคนิคอะไร คีธก็ยังคงนิ่ง นิ่งแม้กระทั่งผมไล่ต่ำไปกลืนกินยอดอกของหมอนั่นแล้วก็ตาม จากตอนแรกที่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง ก็เริ่มชักจะไม่มั่นใจขึ้นมาซะแล้ว
แม่ง กูทำให้ขนาดนี้ ส่งเสียงออกมาสักแอะก็ไม่ได้!
ผมชักจะหัวเสีย วุ่นวายกับร่างกายมันไปก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าตายของมันที่จ้องผมนิ่งสลับกันไป
ทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย! เออ! คอยดูแล้วกันว่ากูจะทำให้มึงเสียวดังเสียวเบา เสียวเป็นการผันเสียงวรรณยุกต์ไทยเลยไอ้คีธ!
แล้วผมก็เสียสติเอาในตอนนี้ ดึงมือทั้งสองข้างมาจัดการปลดหัวเข็มขัดบนหน้าท้องเป็นลอนพลันถลกลง ก่อนจะละฝ่ามือไปลูบคลึงส่วนอ่อนไหวนั่น แต่แทนที่คีธจะส่งเสียงออกมา กลายเป็นว่ามีเสียงหัวใจผมที่เต้นไม่เป็นจังหวะดังขึ้นมาให้ได้ยินแทนเมื่ออุ้งมือสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ค่อยๆ ถูกปลุกขึ้นช้าๆ ก็รู้แหละว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ผมไม่เคยมาทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันนี่หว่ามันก็เลยอดตื่นเต้นไม่ได้ ที่สำคัญ ตอนนี้ผมฝ่ายรุกด้วย ก็เลยไม่ได้แค่ใจเต้นอย่างเดียว มือไม้ก็พานสั่นเป็นเจ้าเข้าไปด้วย กระนั้นคีธก็ยังคงนิ่งอยู่ดี นิ่งจนผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปแล้ว
กะ...ก็ยังมีอีกอย่างให้ทำน่ะนะ มันก็คือการใช้...ปะ...ปาก...
แต่ว่า... จะให้ผมจริงๆ เหรอ?
ผมมองส่วนนั้นภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์อย่างชั่งใจ ใบหน้าร้อนผ่าวจนรู้เลยว่าป่านนี้มันคงจะแดงซ่านไปถึงไหนต่อไหนแล้ว และเพราะผมหยุด คีธที่เงียบอยู่นานก็ว่าขึ้นมา
“พอใจแล้วเหรอกวินทร์”
“ยะ...ยัง!” ผมว่าเสียงดังเล็กน้อย จริงๆ ผมอยากหยุดแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ทำไม ความอยากเอาชนะถึงได้มีมากกว่า แถมคีธมันยังยั่วยุผมอีก
“งั้นก็ทำที่กวินทร์อยากทำเถอะ”
พูดเหมือนมึงอยากให้กูทำแต่หน้าตามึงนี่เฉยชามากเลยนะ!
ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ไม่ได้อยากจะทำหรอก แต่อยากให้คีธกลับคืนสู่สภาพปกติมากกว่า ไม่ใช่มาโกรธมางอนกัน แถมมาพูดหน้าตาเฉยว่าจะไปหาคนมาเป็นแม่พันธุ์แทนผมอีก ถึงความผิดทั้งหมดมันจะเริ่มมาจากผมก็เถอะ แต่ผมก็ตั้งใจจะบอกความจริงหลังง้อเสร็จอยู่แล้ว ไม่น่ามาพูดใส่กันอย่างนี้เลยนี่หว่า
และเพราะถูกยั่วยุ ประกอบกับความอยากเอาชนะของผมเอง ผมก็จัดการปลดเปลื้องปราการด่านสุดท้ายออก พลันค่อยๆ ก้มหน้าต่ำลงไปจัดการกับสิ่งตรงหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างแกร่งก็เกร็งตัวนิดหน่อยเป็นสัญญาณให้ผมรู้ว่าคีธเองก็เริ่มมีอารมณ์ร่วมด้วยแล้วเหมือนกัน ผมเหลือบมองหน้าหมอนั่น ละริมฝีปากออกมายิ้มเผล่น้อยๆ
รู้สึกแล้วสินะไอ้ขอนไม้!
แต่พอคีธรู้สึกตัว มันก็ทำเป็นนิ่งอีก ผมก็เลยผละจากช่วงล่างหมอนั่นขึ้นมาจูบพรมซีกหน้าและใบหูพลางกระซิบบอกเบาๆ
“ขอโทษนะคีธ หายโกรธได้แล้วที่รัก”
พูดไปนี่ขนลุกไปเลยบอกตรงๆ แต่ก็ทำให้คีธหันมามองผมได้
“อะไรนะ”
“บอกว่าหายโกรธได้แล้วครับที่รัก”
โอ๊ย! ขนลุกโว้ย!
ทว่ามันได้ผล รอยยิ้มน้อยๆ ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าของคีธทันใด
“แค่นี้ยังไม่พอหรอกกวินทร์”
แล้วมันก็จัดการดันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับผลักผมที่อยู่บนตัวมันลงไปนอนบนฟูกแทน ผมเบิกตาโต รู้เลยว่ามันจะทำอะไรต่อ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อจู่ๆ กางเกงขาสั้นที่อยู่บนตัวผมก็ถูกดึงออกแล้วขว้างไปกลางห้อง
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ” ผมรีบร้องห้ามเพราะยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรแม้ว่าก่อนหน้าผมจะเป็นฝ่ายยั่วยวนก็ตาม
แต่คีธมันไม่ฟังแล้ว มันจัดการลูบไล้ร่างกายผมอย่างโหยหา ส่วนผมก็จากที่ห้ามๆ อยู่ก็กลายเป็นอ้าแขนรับสัมผัสมันซะอย่างนั้น
บ้าจริงไอ้กวินทร์ ว่าจะปล้ำมันแล้วไหงกลายเป็นถูกมันปล้ำขึ้นมาได้วะ!
แล้วก็น่าหงุดหงิดหนักเมื่อคีธจัดการโถมร่างตัวเองเข้ามา ส่วนผมก็ดันไปเสียวเป็นเสียงผันวรรณยุกต์ไทยแทนมันซะได้ พลางตระกรองกอดร่างใหญ่บนร่างตัวเองไว้แน่นขณะที่คีธโน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผมเบาๆ
“กวินทร์นิสัยไม่ดีเลย ขี้โกหก”
“ขะ...ขอโทษ...อืม...” ผมพูดเป็นประโยคแทบจะไม่ได้ มีแต่มันนี่แหละที่ยังดูปกติอยู่
“คนขี้โกหกต้องถูกลงโทษรู้มั้ย”
“อืม...อาห์...” แม่ง...คำหลังไม่ได้ตั้งใจพูดแต่มันกลั้นไม่ไหว บัดซบจริง!
“เตรียมตัวไว้ให้ดี” คีธยังคงพูดต่อ แล้วผมก็รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ร่างถูกคีธยกขึ้นมานั่ง ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายล้มตัวลงไปนอนทั้งที่เราทั้งคู่ยังกอดก่ายกันแนบแน่นอยู่
ตอนแรกผมก็นึกว่าการลงโทษของมันจะเป็นแค่การถูกมันปล้ำจนหนำใจ แต่รู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นว่าผมมานั่งอยู่บนตัวมันแล้ว แถมมันยังมีหน้ามาพูดหน้าตาเฉยอีก
“ทำให้ฉันพอใจซะกวินทร์”
นี่มึงจับกูมัดมือออนท็อปเหรอไอ้คีธ!
สิ้นเสียง ก็มีรอยยิ้มผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าหล่อนั่นด้วย ผมเกิดฉลาดขึ้นมาทันควันเลยว่าไอ้ที่คีธทำเป็นเงียบ ทำเป็นโกรธผมนี่ต้องเป็นแผนการของหมอนี่แน่ๆ แล้วมันก็อาจจะร่วมมือกับริชาร์ดและแอสตันเพื่อแผนการจับผมออนท็อปนี่ด้วยก็ได้ ผมยู่หน้าใส่มันก่อนจะส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่เอา”
“ถ้าไม่ทำ ฉันก็ไม่หายโกรธ แม่พันธุ์ก็เตรียมหาใหม่เลย”
มึงไม่ต้องมาขู่กูเลย กูรู้หรอกว่ามึงมีแม่พันธุ์ได้แค่คนเดียวในชีวิต!
ให้ตายเถอะ ความฉลาดอะไรก็ประดังประเดมาเอาตอนนี้นี่แหละ ตอนแรกความหึงเข้าครอบงำจนกลายเป็นโง่ไง ถ้าตระหนักได้แบบนี้ตั้งแต่แรก ผมคงไม่บอกว่าจะปล้ำมันหรอก แล้วตอนนี้จะล้มเลิกสิ่งที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้ มันสายไปแล้วไง มิหนำซ้ำ พอจะถอย ไอ้บ้าคีธก็เอามือมาตะครุบสะโพกผมไว้มั่นพลันยิ้มเผล่
“ทำสิ”
“มะ...ไม่เอา”
“อยู่ข้างบนแล้ว ยังไงก็ต้องทำ”
มะ...มึงนี่มัน...!
ถึงจะไม่ทำ คีธมันก็ตั้งท่าจะบรรเลงเองแล้ว ผมที่ทำท่าจะลุกหนี พอถูกมือใหญ่ที่จับสะโพกอยู่นำทางให้เคลื่อนที่ก็กลายเป็นว่าต้องไปตามแรงเคลื่อนไหวของมือใหญ่อยู่ตรงนั้น แถมยังถูกมือข้างหนึ่งของคีธที่ละออกจากสะโพกผมเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่มาวุ่นวายกับกลางลำตัวอีกด้วย
ความรู้สึกแปลกใหม่ทำเอาผมครางกระเส่าออกมาไม่ได้ศัพท์ และยิ่งดังมากขึ้นเมื่อมือใหญ่นั่นเร่งจังหวะมากขึ้น
มะ...ไม่ไหว...ทนไม่ไหวแล้ว...
ผมเกร็งสุดตัวเมื่อความรู้สึกวาบหวามจู่โจมชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว หัวสมองขาววาบพร้อมกับเรี่ยวแรงที่เหือดหายไปราวกับโดนสูบ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนร่างของคีธอย่างหมดแรง ทว่าศึกครั้งนี้มันยังไม่จบ
ก็จะให้จบได้ยังไงในเมื่อผมเป็นฝ่ายเดียวที่พุ่งทะลุออกกาแล็กซี่ไปแล้ว แต่คีธมันยังติดแหง็กอยู่ที่ทางช้างเผือกเนี่ย!
และเพราะผมทิ้งตัวลงนอนบนมัน มันก็เลยจัดการอุ้มผมประหนึ่งลิงอุ้มลูกไปนั่งบนโต๊ะทำงาน ผมอ้าปากจะร้องบอกมันว่าให้อยู่แค่บนเตียงแต่ไม่ทันแล้ว แค่ส่งเสียงแอ๊ะ มันก็จัดการวางผมลงแล้วเริ่มบรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ที่เตียงน่า” แล้วมันก็พูดอย่างรู้ทันว่าผมจะพูดอะไร
นี่ถ้ามีระเบียง มึงคงจะไม่รีรอพากูไปอาบลมห่มฟ้าแล้วสินะ!
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยอมให้มันทำตามใจชอบจนความร้อนรุ่มในกายผมก่อกำเนิดขึ้นมาอีก กลายเป็นว่าผมที่พุ่งทะลุไปยังกาแล็กซี่อื่นแล้วต้องนั่งยานกลับมารับมันที่ทางช้างเผือก แล้วไปที่กาแล็กซี่พร้อมกันใหม่อีกครั้ง
คีธหยุดเคลื่อนไหวร่างกายได้ก็ตอนที่ทั้งผมทั้งมันหายใจดังเฮือกเกือบจะพร้อมๆ กัน ผมหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดเลยแม้แต่น้อย มีแต่คีธนี่แหละที่ว่าออกมาเบาๆ
“อย่าให้ใครแตะต้องตัวนายอีก” ว่าจบก็จูบลงมาบนต้นคอผมซึ่งเป็นบริเวณที่ถูกซีเลนดูด
ผมพยักหน้ารับช้าๆ พลางเค้นเสียงออกมา
“ขอโทษนะ”
“ไม่ได้โกรธแล้ว” คีธพึมพำเบาๆ ก่อนจะผละจากลำคอผมมาจูบหน้าผากแทน “แต่ชอบกวินทร์มากกว่าเดิมอีก”
ผมแอบอมยิ้มเลย แต่ก็ต้องรีบปั้นหน้าเรียบเฉยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้มันพูดกับผมไว้ว่าอะไร
“แล้วไหนว่าจะไปหาแม่พันธุ์ใหม่”
“ก็กวินทร์ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้ฉัน”
“พูดหรือยัง” ผมกระชากเสียงน้อยๆ ให้คีธได้ยิ้มออกมาแล้วก็ประทับจูบบนเรียวปากผมเบาๆ
“ใครจะไปรู้ล่ะ ไม่เคยเห็นกวินทร์บอกว่าชอบฉันเลย แสดงออกก็ไม่เคย มีแต่ฉันที่บอกว่าชอบกวินทร์ แล้วก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้”
ผมนิ่งงันไป... ก็จริงอย่างที่คีธพูด ผมไม่เคยบอกมันสักครั้งเลยว่าชอบมันหรือเปล่า ก็มันน่าอายนี่นา อีกอย่าง ผมไม่ได้เป็นพวกโรแมนติกอะไรแบบนี้ด้วย เวลามีแฟนเมื่อหลายปีก่อนนี่ก็แทบนับครั้งได้เลยว่าผมบอกรักไปกี่ครั้ง แถมหลังๆ มีแต่ผู้หญิงที่นอนด้วยแล้วก็จบกัน เรื่องการบอกรัก บอกชอบนี่ลืมไปได้เลย
“กวินทร์ชอบฉันหรือเปล่า” แล้วคีธก็ถามขึ้นมาให้ผมได้มองหน้า
ผมสบดวงตาสีเทาสว่างนิ่ง ใจเต้นระทึกขึ้นมาฉับพลัน
ชอบ... โคตรชอบเลย ชอบจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว อยากตะโกนบอกไปดังๆ ฉิบเป๋ง แต่สุดท้ายก็ได้แต่...
“ชะ...ชอบ...”
พูดอุบอิบอยู่ในลำคอ บ้าชะมัด...
“แล้วรักหรือเปล่า” คีธถามขึ้นมาอีก
ผมมองหน้ามันทันควัน
“รักเหรอ”
“ใช่ รัก... รักฉันหรือเปล่า”
เฮ้ยๆ ชอบนี่ไม่ได้หมายความว่ารักนะเว้ย มันคนละอย่างกัน มึงอย่ามาถามอะไรแบบนี้ตอนที่กูยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองได้มั้ย ไอ้ความรู้สึกชอบน่ะมันแน่ใจอยู่ แต่รักนี่ไม่รู้เว้ย!
ผมอึกอักไป ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบยังไงดี และเพราะไม่พูด คีธก็เลยประกบปากจูบผมอีกครั้งอย่างแผ่วเบา
“คิดก่อนก็ได้กวินทร์”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะใจเส้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินเสียงมันพูดขึ้นมา
“แต่ฉันรักกวินทร์นะ รักมาก รักคนเดียว ไม่เปลี่ยนใจ”
ดะ...เดี๋ยวๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...
ผมอยากจะถามโคตรว่ามันรู้สึกแบบนี้กับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ปลายนิ้วเรียวก็แตะเข้าที่ลำคอผมเสียก่อน
“เพราะรักกวินทร์ ฉันเลยไม่ชอบเห็นกวินทร์เอาร่างกายไปให้ใครสัมผัส”
แล้วทีมึงล่ะ มึงยังเอาปากมึงไปดูดกับไอ้บรูคลินเลย!
ผมไม่อยากจะดูเหมือนคนงี่เง่าเลยไม่พูดประโยคที่คิดออกไป จนคีธพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วนี่จะบอกได้หรือยังว่ารอยนี่เป็นฝีมือของใคร”
“นายไม่ได้กลิ่นหรือไง” ผมถามไปแบบนี้เพราะตระหนักขึ้นมาได้ว่าคีธเป็นมนุษย์ต่างดาวประเภทประสาทสัมผัสดี ทั้งหูดี จมูกดี แค่กลิ่นของซีเลนที่เจอกันอยู่ทุกวันแค่นี้ ไม่น่าจะไม่ได้กลิ่น
ทว่าผมก็ต้องคิดผิดเมื่อคีธส่ายหน้า
“ไม่ได้กลิ่น”
 “หรือเป็นเพราะฉันอาบน้ำไปแล้ว นายเลยไม่ได้กลิ่น?” ผมย่นคิ้วทันควัน สันนิษฐานไปเองว่าคงเป็นเพราะเหตุผลนี้ ขณะที่คีธก็เริ่มย่นคิ้วขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่เกี่ยว ต่อให้นายอาบน้ำแล้ว กลิ่นของคนที่สัมผัสตัวนายก็จะยังอยู่ มันดูแปลกๆ ไงที่มีรอยแต่ไม่มีกลิ่น แถมนายก็ไม่ยอมบอก ฉันก็เลยต้องโกรธ”
ผมเข้าใจเหตุผลของคีธขึ้นมา ก่อนจะเอะใจแปลกๆ
คีธไม่ได้กลิ่นของซีเลน... ทำไมกันนะ...
“ตกลงเป็นกลิ่นของใคร” คีธถามขึ้นมาอีกเมื่อเห็นผมเอาแต่เงียบครุ่นคิดอยู่คนเดียว
“ซีเลน” ผมเลยตอบไปด้วยไม่เห็นว่าไม่มีเหตุผลอะไรต้องปิดบัง
“ซีเลนหรือใคร” แล้วคีธทำหน้างงโลกขึ้นมา
“ก็พระเอกหนังที่นายเล่นเป็นสตั๊นแมนเรื่องเดียวกันไง อย่าบอกนะว่านายจำไม่ได้”
คีธพยักหน้ารับเซื่องๆ ให้ผมได้ยกมือขึ้นกุมขมับ
“ปกติแล้วชาวยูนิกม่าไม่จดจำผู้คนด้วยการจดจำใบหน้าหรือชื่อ แต่จะจำกลิ่นเฉพาะตัวแทน ซีเลนนี่ฉันไม่เคยได้กลิ่นก็เลยจำไม่ได้”
“จริงๆ ซีเลนก็เคยจูบกับบรูคลินนะ ถ้าจำไม่ผิดก็ตอนที่บรูคลินเป็นโฮสต์ให้นายใหม่ๆ นี่แหละ นายจูบกับหมอนั่นก็ไม่ได้กลิ่นหรือไง” ผมนึกถึงภาพบรูคลินที่ถูกซีเลนขึงพืดในห้องพักนักแสดงขึ้นมาได้
คีธยังคงส่ายหน้าอยู่ ผมเลยรำพึงขึ้นมาเบาๆ
“แปลกแฮะ ทำไมนายถึงไม่ได้กลิ่นหมอนั่น หรือว่า... หมอนั่นจะเป็น...”
“มนุษย์ต่างดาว” ผมพูดยังไม่ทันจบ คีธก็แทรกขึ้นมา
บอกเลยว่าคีธคิดเหมือนผมเป๊ะ แล้วใบหน้าคีธก็ดูตึงเครียดขึ้นมาทันตา ก่อนจะว่าเสียงเข้มตามมาด้วย
“ต่อไปนี้อย่าเข้าใกล้ซีเลนอีกนะกวินทร์ อย่าเข้าใกล้จนกว่าฉันจะแน่ใจ”
“แน่ใจว่าอะไร”
“แน่ใจว่าถ้าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว หมอนั่นไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวอย่างพวกเซนไทน์”
ชื่อของมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หนึ่งที่ผมไม่ได้ยินมานานทำให้ผมหูผึ่งด้วยจำได้ดีว่าเซนไทน์เป็นพวกศัตรูของยูนิกม่าอย่างคีธ และถ้าซีเลนเป็นเซนไทน์ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็เท่ากับว่าศัตรูอยู่เพียงใต้จมูกของคีธเท่านั้นเอง
“อย่าเข้าใกล้หมอนั่น” คีธย้ำคำ
ผมรีบพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนจะนึกถึงความผิดปกติของซีเลนขึ้นมาได้ ถ้าสมมตินะ... สมมติว่าซีเลนเป็นเซนไทน์ขึ้นมาจริงๆ พวกเซนไทน์นี่มันจะหื่นกามแบบซีเลนหรือเปล่าวะ?
“เออนี่คีธ ขอถามอะไรหน่อย” ผมไม่รอช้า เอ่ยปากขึ้นทันที
คีธมองหน้าผมเป็นเชิงให้ถามก่อนผมจะพูดต่อ
“พวกเซนไทน์นี่เป็นยังไง”
“โดยภาพรวมก็ไม่ต่างจากยูนิกม่าเท่าไหร่ สืบพันธุ์โดยการฝังไข่ในร่างโฮสต์แล้ววิธีการคลอดก็เหมือนกัน มีประสาทสัมผัสดีเหมือนกัน แต่เซนไทน์จะดีแค่เรื่องการดมกลิ่น แล้วก็สามารถซ่อนกลิ่นของตัวเองได้อย่างมิดชิด แม้แต่จมูกดีอย่างยูนิกม่าก็ไม่สามารถตามกลิ่นได้ ต่างกันก็ตรงที่วิธีการกินอาหาร และร่างกายแข็งแรงเกือบเทียบเท่าพวกไบโทป แต่พวกมันก็โหดร้ายป่าเถื่อน รุกรานทุกชาติพันธุ์เพื่อยึดครองประชากรขณะที่พวกยูนิกม่าเป็นมิตร”
“ยึดครองประชากร?” ผมสะดุดตรงประโยคนี้ คีธเลยอธิบายออกมา
“ใช่ พวกเซนไทน์จำเป็นต้องดำรงชีวิตโดยการดึงพลังงานจากสิ่งมีชีวิตอื่นมาเป็นพลังงานในการดำรงชีวิตของตัวเอง”
“เหมือนการกินสารอาหารน่ะเหรอ”
“ไม่เชิง พวกนั้นไม่จำเป็นต้องกินสารอาหารใดๆ แต่รับพลังงานโดยวิธีอื่น”
“วิธีอะไร”
“การผูกพัน... ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่ผูกพันจนถึงตาย นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกชาติพันธุ์ขยาดพวกเซนไทน์”
ผมถึงกับถลึงตา ยะ...อย่าบอกนะว่าที่ไอ้ซีเลนมันหื่นกามนี่เป็นเพราะมันดูดพลังงานจากคู่ขาของมัน? กะ...ก็ไม่แน่แฮะ อย่างวันนี้ที่ผมเห็น ตอนแรกมันทำท่าจะเป็นจะตาย แต่พอมันได้มีเซ็กส์แล้ว มันก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา หรือว่ามันจะเป็นเซนไทน์จริงๆ?
“ส่วนพวกเราชาวยูนิกม่าก็อย่างที่นายรู้ว่าพวกเราผูกพันกันได้แค่กับคู่ครองเท่านั้น และผูกพันได้เพียงคนเดียวตลอดชั่วชีวิต เราเลยต้องหนี แต่จริงๆ มันก็มีเหตุผลอื่นอีก” คีธอธิบาย เรียกความสนใจของผมไป
“เหตุผลอะไร บอกได้หรือเปล่า”
“กษัตริย์ของเผ่าเซนไทน์เสนอให้ปรองดองโดยการให้รัชทายาทของทั้งสองเผ่าผูกพันกัน”
“หมายความว่าเสนอให้แอสตันแต่งงานกับลูกของกษัตริย์เซนไทน์น่ะเหรอ”
“ใช่ กับเจ้าชายของเซนไทน์ ก็เลยเป็นเหตุผลที่เราต้องหนีมาที่นี่เพราะองค์ชายปฏิเสธการทาบทาม พวกนั้นก็เลยรุกรานเรา”
ผมนี่งงไปแวบนึงเลย ถ้าแต่งงานกันจริงๆ ฝั่งไหนมันจะเป็นรุก ฝั่งไหนมันจะเป็นรับวะ ไอ้แอสตันมันแสดงตัวชัดเจนว่าชอบเป็นฝ่ายจู่โจมขนาดนั้น ถ้าไปเจอเซนไทน์ มันก็คงจะต้องเป็นฝ่ายพ่อแน่ๆ
แต่ผมเดาผิดไป เพราะจู่ๆ คีธก็พูดขึ้นมาด้วยเห็นสีหน้าผมแสดงความสงสัยอย่างเต็มที่
“พวกนั้นต้องการให้องค์ชายแอสโซซิโอเป็นแม่พันธุ์”
ฟ้าผ่าทั่วจักรวาลแน่มึงถ้าไอ้แอสตันท้องเนี่ย!
ผมปวดหัวตึ้บยิ่งกว่าเดิม นึกภาพไม่ออกเลยว่าคนอย่างแอสตันมันจะไปเป็นเมียของใครได้ยังไง แต่คิดได้ไม่เท่าไหร่ คีธก็ยุติความคิดฟุ้งซ่านของผมขึ้นมาอีก
“เอาเป็นว่าตราบใดที่ฉันยังไม่แน่ใจว่าซีเลนเป็นเซนไทน์หรือมนุษย์ต่างดาวแน่หรือเปล่า นายต้องอยู่ให้ห่างจากซีเลนเอาไว้เข้าใจมั้ย อย่าเข้าใกล้หมอนั่น หรืออย่าให้หมอนั่นมาแตะเนื้อต้องตัวนายอีกเป็นอันขาด เพื่อความปลอดภัยของนาย เพราะถ้าซีเลนเป็นเซนไทน์จริง ป่านนี้มันคงรู้แล้วว่านายเป็นคนที่ยูนิกม่าผูกพันด้วย”
ผมพยักหน้ารับรัวๆ อีกครั้ง แววตาของคีธในตอนนี้ดูเป็นกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน ก่อนที่หมอนั่นจะโอบแขนกอดผมไว้แน่นทั้งที่เรายังคงค้างอยู่ท่าเดิมอย่างนั้น
“ฉันจะไม่ยอมให้นายเป็นอะไรไปแน่กวินทร์ ไม่มีทาง”
“ฉัน...ไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมพึมพำ กอดตอบมันเบาๆ พลางอมยิ้มน้อยๆ ด้วยรู้สึกดีที่ได้ยินคีธพูดแบบนั้น แล้วก็ต้องรู้สึกดียิ่งขึ้นไปใหญ่เมื่อคีธพูดขึ้นมาอีก
“ฉันรักนาย...กวินทร์ รักนาย...อยากมีลูกกับนาย... กับนายคนเดียว”
ขะ...เขินเว้ย!
จากตอนแรกที่ผมมั่นใจว่าแค่ชอบ แต่ไม่มั่นใจว่ารักหรือเปล่า ตอนนี้ชักจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาหน่อยๆ ซะแล้ว แต่ผมก็ยังปากหนัก ไม่พูดไป เอาแต่เบี่ยงประเด็นเป็นเรื่องอื่น
“ยูนิกม่าอย่างนายมีอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่าไม่ใช่หรือไง ถ้านายมีลูกกับฉันแล้วอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต สมมติว่าฉันตายตอนอายุแปดสิบตามค่าเฉลี่ยอายุมนุษย์โลก นายก็เพิ่งจะอายุร้อยสองเอง ค่าเฉลี่ยอายุนายก็น่าจะร้อยหกสิบ นั่นหมายความว่านายต้องอยู่คนเดียวนานเลยนะเว้ย”
“ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ฉันได้อยู่กับกวินทร์จนกว่ากวินทร์จะสิ้นใจก็พอ”
“ไร้สาระว่ะ”
“มันคือธรรมเนียมของชาวยูนิกม่า”
ผมไม่อยากจะพูดอะไรอีกเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคีธ เอาเถอะ ถ้าตั้งใจแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าผมมีลูกกับมันจริงๆ แล้วลูกดันมีอายุยืนเหมือนมัน ผมจะได้วางใจได้ว่ายังมีคนดูแลลูกอยู่ถ้าผมตายไปแล้ว
“แต่ถ้าฉันตายไปแล้ว นายอยากจะมีแม่พันธุ์คนใหม่ก็ได้นะ ฉันอนุญาต” อันนี้ผมพูดไปตามความเป็นจริง เพราะถ้าเป็นผมมีเมีย แล้วเมียตายไปก่อน ผมก็คงจะมีเมียใหม่
แต่คีธไม่ใช่อย่างนั้น มันส่ายหน้าทันทีที่สิ้นเสียงผม
“ชั่วชีวิตของฉันจะมีนายเพียงคนเดียว จะรักและดูแลนายเพียงคนเดียวแม้ว่านายจะหมดอายุขัยไปแล้วก็ตาม ฉันจะมีแค่นายเท่านั้นกวินทร์”
โอเค ไม่ใช่เรื่องไร้สาระแล้วล่ะ เรื่องจริงจังเลย แล้วผมก็อายขึ้นมาแบบจริงจังด้วย หัวใจชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกจนผมเริ่มรู้สึกนิดๆ แล้วว่าผมคงจะไม่ได้แค่ชอบมันอย่างเดียวแล้ว แต่เริ่มตกหลุมรักมันขึ้นมาแล้วล่ะ
“กะ...ก็แล้วแต่” ผมหลบสายตาพลางว่าเบาๆ
คีธช้อนปลายคางผมให้หันไปมองแล้วจรดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ก่อนจะว่าให้ผมได้ใจเต้นไม่หยุด
“ลองผูกพันกันแบบคนรักมั้ย”
“ยะ...ยังไง”
“แบบที่คนรักเค้าแสดงความรักแก่กัน ปกติแล้วเวลาเราผูกพันกัน กวินทร์ดูเหมือนไม่เต็มใจทุกทีเลยนี่ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นฝ่ายบังคับกวินทร์ เลยอยากลองผูกพันแบบที่กวินทร์เต็มใจบ้าง”
ก็มึงบังคับกูจริงๆ นี่หว่า กูก็บ้าเองที่เผลอไปเคลิ้มกับมึง!
แต่ก็เอาเถอะ เสนอมาอย่างนี้แล้วมันก็... ก็... อืม ก็น่าลองเหมือนกันนะ
“ก็ได้” ผมว่าเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
คีธหัวเราะในลำคอกับท่าทางกระมิดกระเมี้ยนของผม ก่อนจะอุ้มผมกลับมาเอนตัวลงนอนที่เตียง พลันพูดขึ้น
“ขออนุญาตผูกพันในฐานะคนรักนะกวินทร์”
“อืม”
คนรักก็คนรักวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว การเป็นคนรักของหมอนี่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ผมเองก็ชักอยากจะให้คีธเป็นคนรักของผมขึ้นมาจริงๆ แล้วเหมือนกันแฮะ
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 25: Is Zylen an alien!?[2]
เมื่อคืนนี้คีธทำผมแทบลุกไม่ขึ้นจากเตียง บอกตรงๆ ว่าการผูกพันกันในฐานะคนรักอะไรนี่ทำให้ผมเหนื่อยอ่อนยิ่งกว่าการผูกพันแบบธรรมดาซะอีก เพราะคีธแสดงออกชัดเจนเลยว่าต้องการผมแค่ไหน แถมมันยังหนักหน่วงยิ่งกว่าตอนผูกพันกันธรรมดาด้วย ผมก็เลยมาทำงานวันใหม่ด้วยสภาพสะโพกคราก หลังเดาะเอวเดาะอีกครั้ง แย่ไปกว่านั้นคือวันนี้คีธกับแอสตันลางานไปอีกวันเพราะเจเนซิสมาตามพวกนั้นถึงที่อพาร์ตเม้นต์ผมตั้งแต่เช้าด้วยธุระสำคัญว่าได้เบาะแสของเซนไทน์  ผมก็เลยไม่มีคนช่วยพยุงไปที่สตูดิโอ
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าได้เบาะแสอะไรยังไง ไม่ทันจะได้ถามอะไร พวกนั้นก็รีบไปกันเสียก่อน แว่วๆ ว่ามีข่าวลือว่ามีมนุษย์ต่างดาวพันธุ์หนึ่งตายจากการถูกเซนไทน์ดูดพลังงาน คีธก็เลยได้แต่ย้ำผมว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี อย่าเข้าใกล้ซีเลนก็เท่านั้น และแน่นอนว่าเรื่องของซีเลนก็รู้ถึงหูริชาร์ดกับแอสตันแล้ว ริชาร์ดก็เลยโดนใบสั่งมาอีกคนว่าอย่าเข้าใกล้ซีเลนด้วย
วันนั้นทั้งวัน ผมกับริชาร์ดเลยเกาะกันแจจนกระทั่งเลิกงาน ทุกอย่างก็ดูราบรื่นและปกติดี เว้นก็แต่สายตาที่บรูคลินมองผมมานี่แหละ วันนี้ดูมันหงุดหงิดงุ่นง่านแปลกๆ จนริชาร์ดยังต้องทักเลย
“ไอ้บรูคลินมันดูเหม็นหน้านายจังวะวันนี้”
“สงสัยคงเพราะฉันเป็นเมียคีธล่ะมั้ง” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนักขณะที่กำลังจัดเรียงเอกสารสำคัญ ริชาร์ดก็เลยจุ๊ปากให้ได้ยิน
“โหๆๆ เดี๋ยวนี้กล้าพูดเต็มปากเต็มคำนะว่าเป็นเมียมัน ยอมรับแล้วล่ะสิว่านายก็หลงมันอย่างที่มันหลงนายเหมือนกัน”
 “ก็ปฏิเสธไม่ได้แหละนะ”
ริชาร์ดหัวเราะร่วนขึ้นมาทันควันที่ได้ยินผมพูดประโยคนี้ ก่อนจะว่าให้ผมได้หงุดหงิดขึ้น
“เป็นไงล่ะฤทธิ์เดชชุดนอนไม่ได้นอนของฉัน ปริ่มเลยล่ะสิเมื่อคืนน่ะ”
ผมนี่แทบจะเอาเอกสารฟาดหน้ามันด้วยความหมั่นไส้เลย ริชาร์ดรีบเบี่ยงตัวหลบก่อนที่เสียงของด็อกเตอร์มาร์ตินจะดังขึ้นเรียกมันไปช่วยงานก่อนเลิกกอง
“เดี๋ยวค่อยมาเจอกันที่หน้าสตูดิโอแล้วกัน จะได้กลับพร้อมกัน”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ขณะที่มันเดินไปหาด็อกเตอร์มาร์ตินกับผู้กำกับวิลล์เพื่อนัดแนะเรื่องงานสำหรับวันต่อไป อีกอาทิตย์เดียวก็จะครบเดือนนึงที่มาช่วยงานที่นี่ แล้วก็จะได้เวลากลับนิวยอร์กแล้ว คิดๆ ไป ผมก็คิดถึงนิวยอร์กเหมือนกันนะ ที่คิดถึงนี่ไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นที่ที่ผมจะได้อยู่กับคีธโดยไม่มีมนุษย์ต่างดาวแฟนเก่าอย่างเจเนซิสและมนุษย์ต่างดาวที่จ้องจะงาบคีธอย่างบรูคลินอยู่ต่างหาก
กับเจเนซิสน่ะ ผมไม่ได้กังวลอะไรนักหรอกเพราะหมอนั่นค่อนข้างจะยึดถือธรรมเนียมของยูนิกม่าอย่างเคร่งครัด คงจะไม่เสนอตัวมาเป็นแม่พันธุ์ทั้งที่คีธเลือกผมแล้วหรอก แต่ไอ้บรูคลินนี่สิ ถึงมันยังรู้แต่ตราบใดที่มันยังดูดปากกันอยู่อย่างนี้ บรูคลินก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจแน่ แต่ก็ช่างเถอะ อีกวันสองวันก็จะได้เวลาที่คีธจะต้องวางไข่สร้างร่างใหม่แล้วนี่ เดี๋ยวผมก็ได้เป็นโฮสต์แทนละ
ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว พอเรียงเอกสารเสร็จก็เดินไปเข้าห้องน้ำก่อนเตรียมตัวกลับห้องบ้างเพราะคนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ริชาร์ดเองก็อีกไม่นานคงจะคุยงานเสร็จ ทว่าในจังหวะที่ผมเดินเข้าไปล้างหน้าที่อ่าง เสียงประตูห้องน้ำปิดก็ดังขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นบรูคลินที่เดินตามเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทำเอาผมย่นคิ้วมองมันทันที
“ทำอะไรของนาย”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” มันไม่ตอบคำถามผม แต่พูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน แถมครั้งนี้มันยังไม่ได้พูดจาแบบงุบงิบๆ ตามสไตล์มันอีก แต่พูดแบบชัดถ้อยชัดคำจนผมอดเอะใจไม่ได้เลยว่ามันจะต้องมีเรื่องอะไรมาให้ผมเดือดร้อนแน่ๆ และก็เดาได้เลยว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคีธแหงมๆ
“เรื่องอะไร”
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดขึ้น
“ฉันเตือนนายแล้วใช่มั้ยเรื่องการยุ่งเกี่ยวกับท่านผู้พิทักษ์ นายรับปากฉันแล้วนี่ว่าจะไม่ยุ่ง แต่นี่อะไร เลยเถิดมาถึงผูกพันกันแบบนี้ มันไม่รักษาสัญญานี่หว่า”
“แล้วยังไง” ผมหันไปมองมันด้วยใบหน้าที่ยังพร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำ
“ฉันก็จะมาบอกให้นายเลิกยุ่งกับท่านผู้พิทักษ์”
ฟังแล้วก็ต้องย่นคิ้ว ไอ้บ้านี่พูดเอาแต่ได้ชะมัด ไม่ได้สนใจเลยสินะว่าไอ้พวกยูนิกม่ามันมีแม่พันธุ์ได้แค่คนเดียว แล้วก็ผูกพันได้แค่คนเดียวตลอดทั้งชีวิต ซึ่งสำหรับคีธ คนคนนั้นก็คือผม ผมเองก็เคยบอกไอ้บรูคลินไปแล้วนี่หว่าว่าเรื่องแบบนี้มันใครดีใครได้ แต่เหมือนมันจะจำไม่ได้แฮะ
“เรื่องแบบนี้มาบอกฉันไม่ได้หรอก ไปบอกคีธมันโน่น” ผมโบ้ยให้คนกลางซะอย่างนั้น แล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องน้ำไป ทว่าบรูคลินก็มาขวางหน้าไว้เสียก่อน
“ถอยไป” ผมว่าเสียงต่ำอย่างไม่พอใจนักกับท่าทางหาเรื่องของมัน กะว่าถ้ามีต่อยก็ต่อยอ่ะ
ทว่าก็ต้องรีบถอยหลังกรูดเมื่อเห็นว่าบรูคลินค่อยๆ ขยายร่างขึ้นทีละน้อย
เฮ้ยๆ มึงเล่นเอาร่างจริงมาแบบนี้ กูก็สู้ไม่ได้สิวะ ต่อให้เป็นตัวต่อตัวก็เถอะ แน่จริงมึงเอาร่างย่อส่วนมาเซ่!
คิดไปก็เท่านั้นแหละ ไอ้บรูคลินมันกลายเป็นเปรตวัดสุทัศน์ไปแล้วเรียบร้อย ส่วนผมนี่ก็ถอยไปติดขอบอ่างล้างหน้าเลย บรูคลินเดินตามเข้ามาพลางว่าพึมพำ
“ฉันเคยเตือนนายแล้ว เคยเตือนนายแล้วจริงๆ”
“จะ...ใจเย็นๆ มีอะไรก็คุยกันก่อน ถ้านายทำอะไรฉันแล้วคีธรู้ นายจะแย่เอานะเว้ย” ผมพยายามห้ามมัน แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเลยเพราะไอ้บ้านั่นยกแขนขึ้นมาพร้อมกับง้างหมัดด้วย
ผมมองหาทางหนีทีไล่ แต่ในห้องน้ำที่ถูกปิดตายแบบนี้มันจะหนีไปไหนได้ล่ะ ผมก็เลยทำได้แค่หลับตาปี๋ ภาวนาขอให้มันต่อยแค่หมัดเดียว แล้วก็อย่าต่อยหน้าก็พอ ทว่าในวินาทีที่มันปล่อยหมัดออกมา เสียงประตูห้องสุขาห้องหนึ่งถูกเปิดก็ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงดังหมับและเสียงแหบห้าวของใครบางคน
“รังแกคนตัวเล็กกว่าอย่างนี้ไม่น่ารักเลยจริงๆ นะ”
ผมลืมตาขึ้นทันควัน แล้วก็ต้องเบิกตาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นคือ...
“ซีเลน!” ผมกับบรูคลินแทบจะตะโกนออกไปพร้อมกัน
ซีเลนไม่สะทกสะท้านอะไร นอกจากแสยะยิ้มแล้วกดแขนของบรูคลินให้ต่ำลง
“อย่ารังแกมนุษย์โลกสิ”
บรูคลินหน้าซีดไปเลยที่ได้ยินประโยคนี้จากปากของซีเลน ผมเดาว่ามันคงจะตกใจที่ซีเลนรู้ว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาว ผมเองก็ตกใจ ไม่ได้ตกใจที่ซีเลนรู้ว่าบรูคลินเป็นมนุษย์ต่างดาวนะ แต่ตกใจที่รู้ว่าไอ้ซีเลนมันก็เป็นมนุษย์ต่างดาวนี่แหละ
ถ้ามันไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาว มันจะรู้ได้ไงว่าบรูคลินเป็นมนุษย์ต่างดาววะ!?
บรูคลินรีบผละออกจากซีเลนเลย ซีเลนหัวเราะกับท่าทางหวาดๆ นั่นก่อนจะยื่นนิ้วชี้ๆ ไปยังร่างของบรูคลิน
“ย่อส่วนก่อนออกไปด้วย เดี๋ยวคนอื่นตกใจ”
บรูคลินรีบย่อส่วนร่างตามที่ซีเลนว่า แล้วก็พุ่งออกจากห้องน้ำไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับซีเลนที่เดินไปล้างมือที่อ่างอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“เกือบไปแล้วนะ ถ้าฉันไม่มาช่วยนายไว้ได้ทัน นายได้หัวหลุดออกจากบ่าแน่”
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน” ผมไม่สนใจสิ่งที่ซีเลนพูด ถามในสิ่งที่คาใจออกไป
ซีเลนเหลือบมองผมนิดนึงก่อนจะถามคืน
“แล้วนายคิดว่าเป็นใครล่ะ”
“มนุษย์ต่างดาว... แต่เมื่อวานนายบอกฉันว่าไม่ได้เป็นนี่หว่า” ผมนึกถึงคำพูดของมันเมื่อวานได้ทันที
ซีเลนหัวเราะหึ สะบัดมือที่เปียกน้ำไปด้วย
“ใจจริงก็อยากจะโกหกต่อน่ะนะ แต่เห็นนายตกอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตายก็เลยต้องแสดงตัว อย่างที่บอกว่าฉันอยากได้นายเลยไม่อยากให้นายบอบช้ำซะก่อน และใช่ ฉันเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นไง ตกใจมั้ยล่ะ ความจริงก็ไม่ใช่ความลับหรอกนะ แค่ฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกให้ใครรู้ เดี๋ยวจะตกใจกันไปซะก่อน แต่นายก็น่าจะชินแล้วนี่ เจอมนุษย์ต่างดาวออกจะบ่อยไม่ใช่เหรอ”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก ไม่ได้สนใจเลยว่ามันรู้ได้ไงว่าผมเจอมนุษย์ต่างดาวบ่อย นอกจากถอยห่างจากมันทันใดขณะที่ปากยังคงขยับเบาๆ
“นะ...นายเป็นพวกสายพันธุ์อะไร” ผมคิดไปแล้วแหละว่ามันคือเซนไทน์
ทว่าซีเลนไม่ตอบ นอกจากเดินเข้ามาหาผมแล้วแสยะยิ้มร้ายเท่านั้น
“อย่ารู้เลยดีกว่า มันไม่ส่งผลดีกับฉัน... ไม่ส่งผลดีกับนายด้วย”
“นายเป็น...เซนไทน์ใช่มั้ย” ถึงผมจะกลัว แต่ผมก็พูดไป
หากแต่ซีเลนไม่ตอบ โน้มใบหน้าเข้ามาเกือบชิดผมขณะที่ผมถอยกรูดไปจนติดกำแพงเป็นที่เรียบร้อย แล้วว่าขึ้นมา
“บอกแล้วว่าอย่ารู้เลย มันยังไม่ถึงเวลา เอาไว้ถึงเวลาที่นายมานอนแก้ผ้าบนเตียงฉันเมื่อไหร่ ตอนนั้นฉันจะบอกนายเอง” สิ้นเสียง มันก็จูบลงมาที่แก้มผมเบาๆ
ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัวเลย สัญชาตญาณร้องบอกเลยว่าอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ก่อนจะรีบเบี่ยงตัวหลบมันออกมาก่อนที่มันจะได้ทำอะไรไปมากกว่าการจูบอีก แล้ววิ่งตรงออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็วโดยมีเสียงของซีเลนดังไล่หลังมาให้ได้ยินแว่วๆ
“แล้วก็อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียวถ้านายยังรักชีวิต ให้รู้กันแค่นายกับบรูคลินเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ฉันจะฆ่าคนที่พูดเป็นคนแรก แล้วเอาศพมาปู้ยี่ปู้ยำให้หนำใจ”
มึงมันไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเฉยๆ แล้วไอ้ซีเลน! มึงมันเป็นไอ้โรคจิตด้วย แล้วคิดเหรอว่ากูจะเก็บเรื่องมึงไว้เป็นความลับ ฝันไปเลยมึง! ฝันไปเลย!
-------------------------------
SD หลังปกของเล่ม 1 มาแล้วล่ะตัวเอง แวะเข้าไปดูกันได้ที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/925833234139197/?type=3&theater

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ farfarneenee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
อ้างถึง
แล้วคิดเหรอว่ากูจะเก็บเรื่องมึงไว้เป็นความลับ ฝันไปเลยมึง! ฝันไปเลย!
ชอบประโยคนี้เลย โดนใจ! นายเอกฉลาดชาติเจริญจริงๆ
 :a1:

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
จับบักเลนคู่กะนุ้งบรูคกี้น่าจะเวิร์กนะคะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 26: I love you, Keith[1]
ผมไม่ใช่คนลักษณะเดียวกับนางเอกหนังไทยที่เวลาโดนตัวร้ายหรือนางร้ายขู่อะไรมาแล้วไม่เอาไปบอกพระเอก พอพ้นจากซีเลนมาได้ ผมก็พุ่งหลาวไปลากไอ้ริชาร์ดออกจากกองถ่าย กระโดดขึ้นแท็กซี่กลับอพาร์ตเม้นต์อย่างรวดเร็วโดยไม่ถามมันสักนิดว่าอยากจะขึ้นแท็กซี่มั้ยแต่อย่างใด และก่อนที่มันจะได้เปิดปากด่าผม ผมก็เล่าเรื่องที่ตัวเองโดนบรูคลินขู่ในห้องน้ำแล้วซีเลนมาช่วยไว้เป็นที่เรียบร้อย ริชาร์ดเลยเป็นคนแรกที่ได้รู้ว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว ดีที่คนขับแท็กซี่ไม่สงสัยว่าเรื่องที่ผมคุยกันเป็นเรื่องอะไรด้วยเห็นพวกผมออกมาจากกองถ่าย ก็คงจะนึกว่าผมกับริชาร์ดคุยกันเรื่องบทหนังล่ะมั้ง
และเพราะผมบอกริชาร์ดด้วยอารมณ์มั่นใจหนักแน่นว่ามันเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงแท้แน่นอน ริชาร์ดก็เลยพยายามติดต่อแอสตันโดยการโทรเข้าโทรศัพท์มือถือที่ซื้อให้แอสตันไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมก็ไม่ได้สนใจหรอกนอกจากขอให้คีธมาหาผมเร็วๆ ผมจะได้บอกเรื่องนี้เพราะผมคิดว่าซีเลนจะต้องเป็นพวกเซนไทน์อะไรนั่นแน่ๆ
ก็จะไม่ให้คิดได้ยังไง หื่นกามก็ที่หนึ่งขนาดนั้น แถมพอหลังมีอะไรเสร็จ มันก็ดันมีแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ตรงอย่างที่คีธเคยบอกผมทุกอย่าง ผมก็อดคิดไม่ได้สิว่ามันคงจะเป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้น่ะสิ
รอคีธกับแอสตันได้เกือบสองชั่วโมง พวกนั้นก็ปรากฎตัวให้เห็นหน้า ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการลากพวกมันเข้ามาในห้องโดยมีริชาร์ดตามมาติดๆ ทันใด ก่อนจะรีบเปิดปากเล่าทันควันเมื่อถูกถามว่ามีอะไรถึงได้เรียกพวกมันมาชนิดร้อนรนขนาดนี้
ผมเล่าหลักๆ แค่ว่าซีเลนเป็นคนบอกกับผมเองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ได้เล่าในส่วนของบรูคลินที่ตามเข้ามาขู่ผมเรื่องคีธเพราะต้องการสรุปเรื่องให้สั้นที่สุด ทว่าการที่เล่าไม่หมด คีธกับแอสตันก็เลยสงสัยว่าผมไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน ก่อนแอสตันจะเป็นฝ่ายถามขึ้น
“นายแน่ใจเหรอว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆ”
“แน่ใจสิวะ ก็มันเป็นคนบอกกับฉันเอง จะไม่แน่ใจได้ยังไง” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก็มันน่าหงุดหงิดจริงๆ แหละที่บอกความจริงไปแล้วแต่ไม่มีคนยอมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เนี่ย
แอสตันฟังแล้วก็นิ่งคิดไป ผมเลยรีบพูดสำทับเสริมเหตุผลประกอบความน่าเชื่อถือ
“นายลองคิดดูแล้วกันนะว่าซีเลนมันแปลกๆ มั้ย คนบ้าอะไรถึงได้หื่นอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดฉันถูกใช้ให้ไปตามมันที่เพนเฮ้าส์ก็โดนมันดูดคอมาเพราะมันบอกหิวบ้อบอคอแตกอะไรสักอย่าง แถมมันยังให้ฉันตามคนมาให้มันมีอะไรด้วยอีกเป็นสิบ ที่สำคัญนะ ตอนแรกมันทำเหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ แต่พอได้มีเซ็กส์แล้วก็ดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา พวกนายเองก็ไม่เคยได้กลิ่นมันไม่ใช่เหรอวะ อย่างนี้นายยังไม่ให้ฉันคิดอีกเหรอว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว น้ำหน้าอย่างมันนี่เซนไทน์แน่ๆ” ผมว่าอย่างมั่นใจ
แอสตันก็เลยหันไปมองหน้าคีธอย่างครุ่นคิด ดูท่าทางสองคนนี้ก็เริ่มจะเชื่อผมมากขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่มันก็ยังอดไม่แน่ใจอยู่ไม่ได้จนแอสตันพูดขึ้น
“จริงๆ ก็ไม่ได้มีแต่พวกเซนไทน์นะที่กินอาหารด้วยวิธีนี้ พวกอื่นก็มี แต่เป็นพวกรักสงบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่นัก บางพวกก็เป็นพวกชาติพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ ค่อนข้างพบตัวยาก และมันก็ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียวที่ซ่อนกลิ่นของตัวเองได้นะ มีตั้งหลายสายพันธุ์ นับไม่ถ้วนเลยมั้ง ถ้าตัดสินว่าเป็นเซนไทน์กันด้วยวิธีการกินอาหารแบบนี้ เราว่าคงจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่”
“ที่องค์ชายตรัสก็ถูก ในเมื่อยังไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของซีเลนก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าเป็นเซนไทน์”
โอ๊ย! พวกมึงก็เชื่อกูกันหน่อยเถอะ กูอธิบายจนปากเปียกปากแฉะหมดแล้วเนี่ย!
“ถ้าซีเลนไม่ได้เป็นเซนไทน์แต่เป็นสายพันธุ์อื่น มันจะมาที่โลกทำไมวะ!” ผมตะเบ็งเสียงอย่างหมดความอดทน คีธถึงกับต้องปรามเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเดือด
“ใจเย็นๆ น่ากวินทร์”
“จะให้กูใจเย็นอะไรอีก นี่กูอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเอาเรื่องนี้มาบอกพวกมึงแท้ๆ พวกมึงกลับไม่เชื่อ ลองคิดดูแล้วกันว่าพวกรักสันติบ้าอะไรถึงได้ขู่ชาวบ้านว่าถ้าเอาเรื่องมันจะฆ่าแล้วเอาศพมาปู้ยี่ปู้ยำ ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามไอ้บรูคลินได้เลย!” ผมหงุดหงิดสุดขีด เกลียดที่สุดเลยตรงที่พูดอะไรแล้วไม่มีคนเชื่อเลยหลุดพ่นคำพูดออกมาเป็นภาษาไทยยาวเหยียดแถมหยาบคาย
คีธชะงักกึก ไม่ได้ชะงักเพราะที่ผมบอกว่าถูกซีเลนถูกฆ่า แต่ชะงักเพราะผมพูดชื่อของใครอีกคนนึงขึ้นมาต่างหาก
“บูลิโอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“เออ!” ผมกระแทกเสียงตอบรับ
“รู้ได้ยังไง”
“ก็มันอยู่ในเหตุการณ์ มันจะไม่รู้ได้ยังไงวะ”
“บูลิโอไปช่วยกวินทร์จากซีเลน?” คีธเลิกคิ้วสูงนิดๆ ที่ได้ยินผมพูดอย่างนั้น
“ใครว่า มันต่างหากที่จะทำร้ายฉัน แล้วซีเลนก็มาช่วยฉันไว้ต่างหาก” ผมพึมพำเสียงแข็ง
คราวนี้ทั้งคีธ ทั้งแอสตันจ้องผมเขม็งเลย ก่อนที่สีหน้านิ่งเรียบของคีธจะดูเคร่งเครียดขึ้นมาน้อยๆ
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าบูลิโอจะทำร้ายกวินทร์”
ผมก็ลืมไปเลยว่าคีธยังไม่รู้ว่าบรูคลินกับเบนเคยมาขู่ผมกับริชาร์ดไว้ว่าจะทำร้ายหากไม่เลิกยุ่งกับพวกมัน และอย่างที่บอกว่าผมไม่ใช่คนที่มีลักษณะเหมือนนางเอกละครไทย โดนขู่มานี่ไม่ช่วยทำให้ผมเก็บเงียบไว้ได้หรอก ผมบอกหมดเปลือกหมดแหละ
“ก็มันเคยบอกว่าจ้องพวกนายอยู่นานแล้ว แล้วก็อยากจะเป็นแม่พันธุ์ให้นายด้วยเลยขู่ไม่ให้ฉันไปยุ่งกับนาย แต่สุดท้ายนายก็มาได้กับฉันเนี่ย มันเลยมาขู่”
คีธย่นคิ้วยู่ สีหน้าดูเรียบเฉยแต่แววตาฉายประกายความโกรธขึ้งขึ้นมา ผมเห็นแล้วก็รีบยุยงไอ้แอสตันใหญ่
นี่แหละ โอกาสเอาคืนไอ้บรูคลินล่ะ อย่าคิดว่าจะขู่กูได้ง่ายๆ นะเว้ยไอ้เปรตวัดสุทัศน์!
“ไม่ใช่แค่ฉันที่โดนนะ ริชาร์ดก็โดนเบนขู่เหมือนกัน”
ทว่าพอผมหันไปบอกแอสตัน หมอนั่นก็ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ทันใด
“เรื่องนั้นเราจัดการแล้ว ไปคุยกับเบน บอกให้เลิกยุ่งกับริชาร์ดเรียบร้อยแล้ว” แล้วก็คว้าริชาร์ดที่ยืนอยู่ข้างๆ มากอด ส่วนริชาร์ดก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้
ผมเบ้หน้าใส่พวกมันทันที
พวกมึงนี่เป็นคู่ผัวตัวเมียกันอย่างเป็นทางการมากอะไรมาก ไปจัดการกันตอนไหนวะ ทำไมกูไม่เห็นจะรู้เรื่อง!
ผมนี่หันไปมองไอ้บ้าคีธตาขวางเลย ขณะที่คีธมองไปยังแอสตันกับริชาร์ดด้วยสายตางุนงงไม่ต่างกัน อารมณ์แบบว่าทำไมมันไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรประมาณนั้น
ก็มึงมันมึน รู้ดีแต่เรื่องหื่น เรื่องอื่นไม่เคยรู้ไงไอ้คีธ! แถมก็ไม่ทำให้เคลียร์สักทีอีกต่างหาก เอาแต่บอกให้กูรอจนกว่ามึงจะวางไข่สร้างร่างใหม่เนี่ย ให้ตายเถอะ น่าหงุดหงิดชะมัด!
ผมคงจะเผลอทำหน้าบอกบุญไม่รับออกมาโดยไม่รู้ตัว คีธที่ละสายตาจากแอสตันมามองผมเลยลุกขึ้นมาคว้ามือผมไปจับอย่างถือวิสาสะพลัน
“ขอโทษนะกวินทร์” แล้วก็ยกมือผมขึ้นจูบหลังมือเบาๆ
จากที่หงุดหงิดๆ อยู่ก็ค่อยๆ อารมณ์ดีขึ้นมาที่ได้เห็นท่าทางเซื่องๆ และแววตาสำนึกผิดประดุจลูกหมาอย่างนั้น ผมไม่อยากจะใส่ใจมากถึงจะยังขัดใจอยู่เล็กๆ แต่ก็โบกมือปัดๆ ไป
“ช่างเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว หมาเห่าไม่กัด” ผมก็ว่าไปงั้น แต่จริงๆ ก็แอบหวั่นใจเหมือนกันว่าสักวัน บรูคลินคงจะหาโอกาสกลับมาเล่นงานผมแน่
และคีธเองก็ไม่ปล่อยให้เรื่องแล้วไปแล้วอย่างที่ผมว่า จับมือผมไว้แน่นแล้วหันไปบอกกับแอสตัน
“องค์ชาย...”
“ไปเถอะคีทาเย ไปจัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวจะไม่มีเวลา เราจะรออยู่กับริชาร์ดที่นี่” พูดยังไม่ทันจบ แอสตันก็สวนขึ้นมาราวกับรู้ว่าคีธจะพูดอะไร
คีธโค้งคำนับก่อนจะลากผมออกมาจากห้องโดยไม่บอกสักคำว่าจะไปไหน ผมเลยต้องโพล่งถามขึ้นเองระหว่างที่ถูกมันลากเดินไปตามถนน
“จะพาฉันไปไหนเนี่ย”
“ไปหาบูลิโอ”
“ไปหาทำไม” ผมย่นคิ้ว
“ไปเคลียร์” คีธว่ามาสั้นๆ
ผมรู้สึกได้ถึงฟีลที่ผัวพาเมียหลวงไปเคลียร์กับเมียน้อยขึ้นมาได้ลางๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ลากคีธขึ้นแท็กซี่แทนเพราะดูท่าแล้วมันคงจะลากผมเดินไปจนถึงบ้านของบรูคลินแหงๆ ที่สำคัญ ผมก็ไม่รู้ด้วยว่าบ้านบรูคลินอยู่ที่ไหน คีธเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่แถวไหน ผมก็เลยให้แท็กซี่ไปส่งบริเวณนั้นแทน
ไม่นานนัก เราก็มาถึงยังตรอกเล็กๆ มืดๆ แห่งหนึ่งที่มีอพาร์ตเม้นต์เก่าๆ อยู่ด้านในนั้น คีธเดินนำเข้าไป มือยังคงกระชับมือผมไว้แน่น ทว่าคีธไม่ได้เดินเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์นั้น แต่เดินเลยไปจนสุดซอยซึ่งเป็นทางตัน ก่อนจะหยุดยืนที่หน้าถังขยะใบใหญ่ ผมมองซีกหน้าคีธอย่างสงสัยว่ามันจะมาทำไมที่นี่ แต่ไม่ทันจะได้ถาม คีธก็ทำลายความเงียบขึ้นมาเสียก่อน
“บูลิโอ”
รอบข้างยังคงเงียบสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนผมต้องมองหน้ามันอีกครั้งขณะที่มันยังคงเรียกหาบรูคลิน
“บูลิโอ ฉันมาคุยธุระ”
“มันจะไปได้ยินนายเรียกได้ยังไงวะ” ผมพึมพำ คีธหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ ให้แล้วเรียกหาบรูคลินอีก
“บูลิโอ” คราวนี้คีธส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมนิดนึง
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ช่างมึงแล้วกัน จะทำอะไรก็ทำ
ระหว่างที่รอให้คะเรียกหาบรูคลินอยู่หน้าถังขยะ ผมก็มองรอบๆ ตัวไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่ากำแพงของตึกที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ สั่นคลอนแล้วขยายออกเป็นวงกลมสีดำที่มีความสูงราวสองเมตร
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งสุดตัว รีบถอยไปหลบหลังคีธทันที ก่อนที่คีธจะหันมามองยังวงกลมสีดำนั่น จังหวะเดียวกันกับที่บรูคลินออกมาจากวงกลมสีดำนั่นพอดี
“มาหาถึงที่ มีธุระอะไรเหรอครับท่านผู้พิทักษ์” บรูคลินถามเสียงเบาขณะที่วงกลมสีดำนั่นค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นผนังตึกเหมือนเดิม
“หลุมดำน่ะ” คีธไม่ตอบคำถามของบรูคลินแต่ก้มลงมากระซิบบอกผมเบาๆ ด้วยเห็นว่าผมเอาแต่ตื่นตระหนก
ผมพยักหน้า นึกขึ้นมาได้ว่าพวกไบโทปอะไรนี่มีความสามารถพิเศษในการซ่อนตัว ที่แท้มันก็สร้างหลุมดำได้นั่นเอง แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ผมไม่สนใจนักหรอกนอกจากมองหน้าบรูคลินที่มองผมกับคีธด้วยสายตาสงสัย ก่อนที่ผมจะกระทุ้งข้อศอกให้คีธรีบพูดธุระ
“ตกลงว่าท่านผู้พิทักษ์มีธุระอะไรกับฉันเหรอ” บรูคลินถามเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง คีธเลยได้พูดในตอนนี้
“ฉันจะมาเคลียร์เรื่องระหว่างเรา”
“เรื่องระหว่างเรา?”
“ฉัน นาย แล้วก็กวินทร์” คีธว่าเสียงเรียบๆ
เอาแล้ว! ฉากรักสามเส้ามาแล้ว! ปกติผมเคยแต่เป็นคนกลางเหมือนคีธไง แต่พอตอนนี้ต้องมาเป็นคนที่ให้คีธเลือก ผมก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ
“ทะ...ทำไมเหรอครับ” ดวงตาของบรูคลินประกายวาบเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก่อนที่มันจะหายไปในเสี้ยววินาที แทนที่ด้วยคำถามแทน
“ฉันมาเพื่อจะบอกว่าหน้าที่โฮสต์ของนายจะสิ้นสุดในอีกสองวัน ฉันจะกลับไปหากวินทร์” คีธว่าออกไปตรงๆ ผมเลยได้รู้ในตอนนี้ว่าอีกสองวันก็จะได้เวลาที่คีธจะสร้างร่างใหม่แล้ว
แต่เหมือนเรื่องนี้บรูคลินจะรู้อยู่แล้วมั้ง มันเลยแค่พยักหน้าแล้วว่าเสียงอุบอิบ
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว ท่านผู้พิทักษ์เคยบอกไว้แล้ว”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความเศร้าในน้ำเสียงของมัน แต่ก็ช่างหัวแม่ง คีธมันเป็นของผมนี่หว่า!
ถึงจะน่าอายไปหน่อยที่ใช้คำนี้แต่มันคือเรื่องจริง ผมกับมันเป็นของกันและกันในทางพฤตินัยเรียบร้อย ถึงผมจะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่ารักมันก็เถอะ แต่ก็ถือว่าผมมีสิทธิมากกว่าและไม่จำเป็นต้องแคร์ไอ้เปรตวัดสุทัศน์ที่เอาแต่ตามคีธต้อยๆ แล้วมาขู่ผมอย่างพวกขี้แพ้เพราะคีธเลือกผมด้วย ผมก็นิสัยอย่างนี้แหละ ใครจะว่าอะไรก็ช่าง แต่มันคือเรื่องจริง
แล้วคีธก็ตอกย้ำบรูคลินขึ้นมาอีกโดยการพูดออกมาสั้นๆ
“แล้วก็อย่ายุ่งกับกวินทร์อีก”
“ยุ่ง? ปกติฉันก็ไม่เคยยุ่งอยู่แล้ว” บรูคลินว่าเนิบๆ
ผมนี่โคตรอยากจะตะโกนใส่หน้ามันเลยว่าไอ้ขี้โกหก! ...ไม่สิ ขี้โกหกมันยังน้อยไป ต้องด่ามันว่าตอแหล แต่ผมไม่เคยด่าใครด้วยคำนี้ไง รู้สึกเหมือนเป็นคำที่ผู้หญิงใช้ด่ากัน งั้นเก็บไว้ในใจแล้วกัน
“แล้วที่วันนี้นายไปขู่จะทำร้ายกวินทร์ถึงในห้องน้ำคืออะไร” คีธเองก็ว่าเสียงเนิบๆ เช่นกัน และสีหน้าก็ยังตายด้านเช่นเดิม แต่ดวงตาบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังโกรธ
บรูคลินสะดุ้งน้อยๆ จนผมเห็นได้ก่อนจะหลบสายตาทันควัน
“คะ...คือ...”
คืออะไรของมึง! มึงก็บอกไปสิว่ามึงกะตบหัวกูหลุดแล้วเก็บไอ้คีธไว้เองน่ะ!
ผมคันปากยุบยิบเลย แต่ก็อดทน รอให้คีธเป็นคนจัดการ ดูซิว่ามันจะจัดการได้ดีมั้ย แต่ก็ตามแบบฉบับมันล่ะนะ เป็นคนพูดไม่แรง ทว่าตรง... ตรงชนิดแสกหน้าบรูคลินหงายไปเลย
“ยังไงก็ตาม ต่อจากนี้นายอย่าเข้าใกล้กวินทร์อีก กวินทร์เป็นแม่พันธุ์ของฉัน เป็นคนที่ฉันผูกพันด้วย อย่าให้เราต้องบาดหมางกันเพราะแบบนี้ ส่วนเรื่องการเป็นโฮสต์ของนาย ถึงจะเหลือเวลาอีกสองวัน แต่ฉันคงจะต้องขอให้สิ้นสุดตั้งแต่วันนี้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่พึ่งพาสารอาหารจากนายอีกแล้ว ขอบใจมากที่คอยดูแล...บูลิโอ”
บรูคลินมองหน้าคีธอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะโพล่งออกมา
“ตะ...แต่ว่าท่านผู้พิทักษ์จำเป็นต้องกินสารอา...”
“แค่สองวัน ฉันอดได้” คีธพูดโดยที่ยังไม่สิ้นเสียงบรูคลินด้วยซ้ำ
แต่บรูคลินไม่ยอมแพ้ ช้อนตามองคีธด้วยสายตาที่ผมดูปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นสายตาตัดพ้อระคนขอร้อง
“แต่...แต่ว่าฉันหวังดีกับท่านผู้พิทักษ์มาตลอด”
หวังดีที่ว่าคงจะหมายถึงเรื่องที่มันแอบชอบคีธมาตั้งนมนานกาเลนั่นแหละ
และก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธเลิกคิ้วสูงให้มันได้พูดต่อ
“ฉันหวังว่าจะได้เป็นโฮสต์และเป็นคนที่ท่านผู้พิทักษ์ผูกพันด้วยตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรกบนดาวบ้านเกิดของฉัน แต่ว่าทำไมถึงเป็นมนุษย์โลกชาติพันธุ์ต่ำต้อยอย่างนั้นล่ะ ชาติพันธุ์ด้อยอย่างนั้นมีดีตรงไหน”
เฮ้ยๆ นี่มึงสู้ไม่ได้เลยเริ่มลามมาดูถูกชาติกำเนิดกูเหรอวะ!?
ผมเกือบจะของขึ้นแล้วถ้าคีธไม่พูดขึ้นมาซะก่อน
“ฉันมีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่เลือกกวินทร์”
บรูคลินสบตาคีธทันที ผมเองก็มองซีกหน้ามันเช่นกัน อยากรู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรถึงเลือกผม ก่อนที่ผมจะใจเต้นรัวเมื่อมันเผยอริมฝีปากตอบออกมา
“ฉันรักกวินทร์”
ถ้ามึงพูดอย่างนี้ มึงวิ่งไปต่อยหน้าไอ้บรูคลินเลยก็ได้นะ!
ผมหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงต่อเลยที่จู่ๆ มันก็ประกาศความรักต่อหน้าคนอื่น จริงๆ การที่ถูกมันเอาท์ดอร์จนคนรู้กันทั้งกองถ่ายนี่มันน่าอายกว่านะ แต่นี่มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงไง ผมก็เลยอดอายไม่ได้
“ขอร้อง อย่ายุ่งกับกวินทร์อีก” คีธย้ำคำอีกครั้งแล้วหันมามองหน้าผม
ผมหลบสายตามัน ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ทันทีด้วยสายตามันที่มองผมบ่งบอกชัดเจนว่ามันรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ มีแต่บรูคลินนี่แหละที่ไม่ได้ปีติยินดีอะไร ก้มหน้างุดแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
“ครับ เข้าใจแล้ว”
“ขอบใจมาก”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะ” บรูคลินเป็นฝ่ายตัดบท ก่อนจะวางมือลงบนผนัง เปลี่ยนผนังให้เป็นหลุมดำอะไรนั่นอีกแล้วหายเข้าไปข้างใน
ผมกับคีธยืนนิ่ง มองดูกระทั่งหลุมดำนั่นกลับมาเป็นผนังตึกเหมือนเดิม ก่อนที่ผมจะลอบยิ้มออกมาอย่างกระหยิ่มใจ
เป็นไงล่ะมึง! เมียน้อยหรือจะสู้เมียหลวง! ให้รู้ซะมั่งว่าใครเป็นใคร!
“กวินทร์”
ผมสะดุ้งออกจากภวังค์ของตัวเองเมื่อถูกคีธเรียก ก่อนรีบเก็บสีหน้า หันไปมองมัน
“อะไร”
“เคลียร์ให้แล้วนะ” คีธว่า
“เออ เห็นแล้ว” ผมทำเป็นกลอกตาไม่สนใจมัน
ทว่าคีธกลับคว้ามือผมขึ้นมาจูบแล้วว่าอีกครั้ง
“ขอโทษที่ไม่ได้เคลียร์ให้ทั้งที่ควรจะทำตั้งนานแล้ว”
“นายไม่รู้นี่หว่า ไม่เป็นไรหรอก เคลียร์แล้วก็แล้วกันไป” ผมว่าทั้งที่ใจก็อยากจะด่ามันเหมือนกันว่าเพราะมันไม่สนใจ เรื่องมันเลยเป็นแบบนี้ไง
แต่คีธก็ทำให้ผมต้องเก็บอาการหัวเสียลงไปเมื่อมันยกมือขึ้นมาประคองใบหน้าผมเอาไว้ แล้วประทับจูบลงมาบนริมฝีปากผมเบาๆ
“ฉันรักกวินทร์นะ”
“อะ...อืม” ผมใจเต้นระส่ำ ไม่กล้าสบดวงตาคู่สวยที่เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งเลยแม้แต่น้อย แถมจูบเสร็จแล้ว คีธก็ไม่ยอมปล่อย เอาแต่ค้างอยู่ท่านั้น ก่อนจะพูดประโยคเดิมขึ้นมาอีก
“รักกวินทร์”
“อืม”
“รักกวินทร์คนเดียว”
“...”
“รักกวินทร์ที่สุด”
กูรู้แล้ว มึงจะย้ำทำไมนักหนา หน้ากูร้อนยิ่งกว่าเตารีดแล้วเนี่ย!
ผมสะบัดหน้าออกจากการเกาะกุม แต่คีธไม่ยอมปล่อย ผมเลยมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง
“ปล่อยได้แล้ว”
“รักกวินทร์” และมันก็ยังพูดคำเดิมอยู่ ผมเลยชักจะหงุดหงิดละ
“รู้แล้ว จะพูดทำไมนักหนา”
“ก็รอให้กวินทร์พูดบ้าง” มันว่าออกมาหน้าซื่อๆ
ผมเลยเข้าใจในตอนนี้เองว่าที่ทำเป็นบอกรักผมหลายๆ รอบนี่มันหวังอะไร แต่ผมไม่บอกมันหรอก เรื่องอะไรจะบอกล่ะ ตกหลุมรักมันหน่อยๆ ยังไม่ได้หมายความว่าจะรักซะหน่อย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าบอกมันไป มันคงจะได้ใจ จับผมกดเอาๆ แน่
“กลับกันเถอะ” ผมเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ หากแต่คีธไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี แถมยังว่าด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ไม่กลับจนกว่ากวินทร์จะบอกว่ารักฉัน”
ก็กูไม่อยากบอก มึงจะมาบังคับกูทำไมเนี่ย!
ผมย่นคิ้วยู่ อยากด่ามันฉิบเป๋ง แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากด่า คีธก็บดจูบลงมาบนเรียวปากผมอีกครั้ง แถมครั้งนี้ไม่ใช่การจูบแบบธรรมดา เป็นการจูบอย่างดูดดื่ม สัญชาตญาณบอกผมเลยว่ามันต้องการอะไร
ก็จะอะไรล่ะ มันก็จะเอาท์ดอร์อีกน่ะสิ แถมยังเป็นเอาท์ดอร์ท้ายซอยชนิดเปิดโล่ง ไม่มีอะไรบัง และอยู่หน้าบ้านอดีตเมียน้อยมันอีกด้วย ถึงกูอยากจะหยามหน้าไอ้บรูคลินแค่ไหน แต่มึงก็ไม่ต้องช่วยกูขนาดนี้ก็ได้ มันมากไป!
“ดะ...เดี๋ยว...”
ผมพยายามเปล่งเสียงบอกเมื่อริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระขณะที่คีธสอดมือเข้ามาใต้เสื้อผม ไล่พรมจูบไปทั่วลำคออย่างกระหาย ก่อนที่จะดันผมไปพิงกับกำแพง ถลกเสื้อผมขึ้นเพื่อดูดกลืนยอดอก ผมเผลอกำเส้นผมนุ่มของคีธแน่น อดทนต่อความหวามไหวที่ประดังประเดเข้ามา ได้สติอีกครั้งเมื่อมือของคีธที่วุ่นวายกับการลูบไล้หน้าอกและหน้าท้องผมอยู่เริ่มเลื่อนลงต่ำไปยังขอบกางเกง
“บอกว่าเดี๋ยว” ผมกระชากเสียงเล็กน้อย คีธชะงัก มองหน้าผมทันใด
“มีอะไรเหรอกวินทร์”
มึงยังจะมีหน้ามาถามอีกว่ามีอะไร นี่มันกลางถนนนะเว้ย! ถึงจะเป็นกลางถนนแคบๆ เล็กๆ มืดๆ แต่กูก็ไม่อยากจะเอาท์ดอร์ในที่แบบนี้ ที่สำคัญ ใกล้ๆ กูกับมึงนี่มันถังขยะใบบักเอ้ก มึงช่วยสงสารจมูกกูด้วย!
“กลับไปทำที่ห้อง” ผมขี้เกียจอธิบายยาวเลยพูดสั้นๆ
แต่คีธไม่ฟัง ปลดตะขอกางเกงผมออกแล้วดึงลงต่ำให้ผมได้แหกปากขึ้นมาดังกว่าเดิมน้อยๆ
“ฉันไม่อยากทำตรงนี้!”
“แต่ฉันอยาก... อยากฟังเสียงของกวินทร์”
“ก็บอกให้กลับไปฟังที่ห้อง ฉันไม่อยากเอาท์ดอร์ในที่แบบนี้เว้ย” ผมยังคงยืนยันคำเดิม
คีธชะงักอีกครั้ง หยุดมือที่เตรียมจะกระทำชำเราผมทันใด ผมเกือบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วถ้ามันไม่พูดขึ้นมาหน้าตาย
“งั้นก็ไปทำที่รถกัน”
ผมเบิกตาโต มองตามไปยังรถอะไรนั่นที่คีธว่าทันที ก่อนจะเบิกตาโพลงหนักเมื่อเห็นว่ารถนั่นเป็นรถเก่าๆ ฝุ่นจับของใครก็ไม่รู้ที่จอดทิ้งร้างไว้อยู่ไม่ไกล ผมทำท่าจะร้องห้ามแต่ไม่ทันแล้ว คีธจัดการแบกหัวแบกท้ายผมไปที่รถเรียบร้อย ก่อนที่มันจะใช้มือข้างหนึ่งเปิดประตูเบาๆ ปรากฎว่ามันล็อค ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับคีธเพราะแค่มันลองเปิดอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าเดิม ประตูรถโกโรโกโสก็เปิดผางออกมาทันที
คีธวางผมลงบนเบาะด้านหลังก่อนจะตามเข้ามานั่งแล้วปิดประตู ผมรีบหันไปทางประตูอีกข้างเตรียมจะหนี แต่คีธดันไวกว่า จับผมขึ้นมานั่งบนตักซะอย่างนั้น
“กวินทร์อยู่ข้างบนนะ”
“ใครบอกว่าจะทำวะ! ฉันจะกลับห้อง!” ผมโวยวายเลยที่จู่ๆ ก็ถูกมัดมือชก ทุบอกมันไปด้วยทีนึง
คีธรวบแขนทั้งสองข้างผมไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวทันใด
“ฉันไม่ให้กวินทร์กลับจนกว่ากวินทร์จะยอมบอกรักฉัน ไม่บอกก็ไม่ให้กลับ”
โห... มึงต่อรองมาอย่างนี้ กูก็บอกเลยแล้วกัน!
“รัก! รักมาก ปล่อยได้แล้ว!” ผมพูดโดยไม่ต้องคิด แต่คีธก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังจัดการถอดเสื้อผมออกอีก
“ไม่เอาแบบนี้ เอาหวานๆ” แล้วก็ว่าด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
มึงมันเจ้าเล่ห์ไอ้คีธ! ได้คีบจะเอาศอกเหรอวะ!
ผมสูดหายใจเข้าปอดเต็มแรง ตั้งสติก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
“รักนะ” ว่าแล้วก็ต้องหลบตา
อะ...อายฉิบเป๋ง...
“รักใคร” แต่มันไม่จบ ยังถามต่ออีก
ผมตวัดหางตาไปมองมัน โคตรอยากเอาหัวโหม่งหน้ามันเลยแต่คิดว่ามันคงจะไม่เจ็บ ก็คงไม่เจ็บนั่นแหละ ถึกขนาดนี้ มีแต่ผมนี่แหละที่เจ็บ ผมเลยเลือกวิธีที่ฉลาดกว่านั้นโดยการบอกรักมันแทน
“รักคีธ”
“ใครรักใคร”
มึงจะเอาอะไรนักหนาวะ!
“กะ...กวินทร์รักคีธ” สุดท้ายก็พูดอยู่ดีนั่นแหละ ไม่งั้นโดนมันจัดการกินหัวกินหางในรถนี่แน่
คีธยิ้มออกมาอย่างพึงใจ มีหัวเราะในลำคอด้วย ผมเกือบจะโล่งใจว่ารอดตัวแล้ว แต่เปล่า... เปล่าเลย มันยังไม่พอใจ มันยังจะเอาอีก
“แต่ฉันอยากฟังประโยคนี้ตอนกวินทร์เสียวดังมากกว่า”
นั่นไง! บอกแล้วว่ามึงน่ะเป็นพวกได้คีบจะเอาศอก!
“ไม่ต้องเลย!” ผมโวยวายอีกครั้ง ทว่าคีธก็ไม่ฟังแล้ว จัดการล็อคผมให้ตะแคงข้างเล็กน้อยเพื่อดึงกางเกงยีนส์ลง
ผมขัดขืนใดๆ ไม่ได้เลยด้วยพื้นที่ในนี้มันแคบ แถมยังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่เคลื่อนไหวเพราะความเก่าของโช๊ครถอีก และพอจัดการกับผมได้ มันก็ปลดเข็มขัดกางเกงตัวเอง เตรียมพร้อมจะปฏิบัติการทันใด
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะคีธ” ผมรีบดักคอถึงจะรู้ว่าไม่รอดแน่
แต่คีธก็ไม่ฟังอยู่ดี จับผมขึ้นมานั่งคร่อมบนหน้าขามันอีกครั้งแล้วกระซิบเสียงพร่า
“บอกแล้วว่าจนกว่ากวินทร์จะบอกรักฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้กลับบ้าน”
พูดจบ มือใหญ่ก็แตะลงมายังส่วนอ่อนไหวของผมทันที ผมพยายามจะหนีแต่ก็ถูกมืออีกข้างรั้งเอวเอาไว้แนบชิดกับร่างของคีธ ไอ้คำสุภาษิตที่ว่าจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอดนี่ฉายแวบเข้ามาในหัวผมเลย ผมอยู่ในกำมือไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามนี่โดยแท้จริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ มาก มิหนำซ้ำ คีธยังทำให้ผมคลั่งกว่าเดิมโดยการจรดปลายลิ้นลงมาบนยอดอกผม เลียวนเบาๆ จนผมส่งเสียงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากที่ขัดขืนๆ ก็กลายเป็นว่าแอ่นรับสัมผัสวาบหวามเสียอย่างนั้น
เพลิงราคะถูกปลุกขึ้นมาจนผมไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป มือที่ดันหน้าอกคีธให้ออกห่าง บัดนี้กลายเป็นตระกรองกอดหมอนั่นแน่นขณะที่ถูกจัดการกับหน้าอกไม่ลดละ
“อา...คีธ...”
เอาอีกแล้ว... ครางร้องเรียกมันอีกแล้ว เกลียดตัวเองเป็นบ้าเลยให้ตาย
“บอกรักฉันสิกวินทร์” คีธว่าด้วยน้ำเสียงกระเส่าไม่แพ้กันทั้งที่ปากยังคงวนเวียนอยู่กับช่วงอกของผม
ผมเหมือนคนไร้สติ พูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
“รัก... รักนะคีธ”
“บอกสิว่าทนไม่ไหวแล้ว”
ทนไม่ไหวอะไรของมึง! มึงกะจะให้กูต้องการมึงแล้วร้องเรียกมึงอะไรประมาณนี้ใช่มั้ย!
ก็ใช่นั่นแหละ ผมเองก็เคยหยอกเล่นกับผู้หญิงที่เคยนอนๆ ด้วยมาก่อนเหมือนกัน ผมอยากจะปฏิเสธนะ แต่ตอนนี้ร่างกายมันปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว ความกำหนัดมันรุกรานผมมากเกินไป เห็นทีคงจะต้องยอมจำนน
“ทะ...ทนไม่ไหวแล้ว”
“ขอร้องสิ”
มึงพอซะทีเถอะ! กูทนไม่ไหวจนจะเป็นฝ่ายปล้ำมึงได้อยู่แล้วเนี่ย!
“ขอร้อง... ทำสักที” ผมกัดฟันแน่นขณะพูด ใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วยขณะที่คีธยิ้มเผล่แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“กวินทร์น่ารัก” ว่าจบก็จูบผมเบาๆ ทีนึง ก่อนจะใช้สองมือยกตัวผมขึ้น
ผมเกร็งตัวเล็กน้อยกับความรู้สึกเสียวซ่านที่แล่นพล่านทั่วกาย เมื่อทุกอย่างเข้าที่ คีธจึงเริ่มขยับมือที่เกาะสะโพกผมอยู่ให้เคลื่อนไหวช้าๆ และค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อถึงเวลา ส่วนมืออีกข้างก็ยังกุมส่วนอ่อนไหวของผมไว้มั่นและขยับตามจังหวะด้วยเช่นกัน
เสียงผมกับเสียงรถโยกดังประสานกันจนแทบจะเป็นเสียงเดียว ดีที่ซอยนี้เป็นซอยตันอย่างที่บอกในตอนแรก แถมยังไม่มีไฟ และรถนี่ก็จอดอยู่ในมุมที่โคตรจะมืดเลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็น ถ้าจะมีใครมาเห็น คนนั้นก็คงจะเป็นไอ้บรูคลินนั่นแหละ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ความตื่นเต้นที่กระจายห้อมล้อมเราสองคนก็เหมือนใกล้จะสิ้นสุด ผมกอดคีธแน่นเมื่อความเสียวซ่านมากกว่าเดิมแล่นพล่านไปทั่วสพางค์กายให้ผมได้กระตุกเฮือก คีธก็กระตุกน้อยๆ เช่นกันก่อนจะหยุดมือที่เคลื่อนสะโพกผม ปล่อยให้ผมทิ้งตัวกอดร่างใหญ่พลางหายใจเหนื่อยหอบ คีธกอดผมตอบแน่นพลางว่าเสียงพร่า
“รักนะกวินทร์”
“อืม... รักเหมือนกัน” ผมว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ถึงจะไม่ใช่น้ำเสียงที่หวานชวนฝันอะไร แต่ดูเหมือนว่าคีธจะพอใจเพราะมันจับผมผละออกจากตัวเล็กน้อยแล้วประทับจูบเบาๆ
“ในที่สุดก็พูดซะทีนะ”
“ถ้าไม่พูด นายก็ไม่ปล่อยให้ฉันกลับ ฉันเลยต้องพูดนี่ไง วิธีของนายนี่มันสกปรกชะมัด” ผมแสร้งว่า ไม่ยอมสบตามันด้วย
คีธหัวเราะแล้วลูบเส้นผมของผมเบาๆ
“แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนปากแข็งอย่างกวินทร์บอกรักฉันได้”
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไป คีธเลยกอดผมแน่นอีกครั้งพลางกระซิบบอกให้หัวใจผมพองโต
“ฉันรักกวินทร์นะ รักมาก รักกว่าใคร”
“ก็บอกแล้วไงว่ารู้แล้ว” ผมว่าอู้อี้ “ฉันก็รักนายเหมือนกัน”
ถึงตอนนี้ก็คงต้องยอมรับแล้วล่ะสินะความรู้สึกนี้เนี่ย
 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 26: I love you, Keith[2]
เอาท์ดอร์เมื่อคืนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนักหรอกถ้าหากว่าในรถนั่นไม่มีฝุ่นจับเกรอะกรังจนเปื้อนเสื้อผ้าผมเต็มไปหมด กลับมาถึงอพาร์ตเม้นต์ ริชาร์ดกับแอสตันมันเลยรู้กันหมดเลยว่าผมกับคีธไปทำอะไรกันมา ผมก็ขี้เกียจหาข้ออ้างเลยยอมรับไป ริชาร์ดมันก็เลยแซวไม่เลิกจนถึงวันใหม่ ดีที่แอสตันมันไม่ตามมาแซวด้วยอีกคนเพราะมันต้องไปหาเจเนซิสเรื่องยาบ้าบอคอแตกอะไรของพวกมันก็ไม่รู้ และแน่นอนว่าการที่แอสตันไป คีธก็ต้องไปด้วย พวกมันก็เลยลางานกันอีก ครั้งนี้ลากันสองวันด้วย เห็นว่าต้องหารือเรื่องสำคัญอะไรกันสักอย่าง ผมก็ไม่รู้นักหรอก
ผมเลยมาทำงานกับริชาร์ดและยังคงเกาะกันเหนียวแน่นเหมือนเดิมเพื่อความปลอดภัย บรูคลินก็มาทำงานเช่นกันแต่หมอนั่นไม่มายุ่งกับผมแล้ว เรียกว่าไม่มองหน้าเลยดีกว่า บางครั้งเหลือบมองมาแบบไม่ได้ตั้งใจ มันก็ทำเป็นเมินอย่างรวดเร็ว
ดูมันทำสิ ทำอย่างกับผมไปฆ่าหมาบ้านมันตายยังงั้นแหละ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่มายุ่งกันก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องจะถูกมันเอาร่างจริงมาตบหัวหลุดอีก ส่วนซีเลนก็ไม่มายุ่งกับผมเช่นกัน แค่มองๆ แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ผมเลยโล่งใจไปได้อีกวัน
ส่วนการทำงานวันนี้ก็เหมือนเดิม ต่างนิดเดียวตรงงานค่อนข้างหนักกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะเริ่มเข้าฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องแล้ว วันนี้เราก็เลยเลิกงานกันดึกเป็นพิเศษ ผมน่ะเสร็จงานตั้งนานแล้ว แต่ริชาร์ดที่จะต้องยวุ่นวายกับการถ่ายฉากแอคชั่นในวันพรุ่งนี้ยังต้องอยู่ต่อเพื่อวางแผนเรื่องการจัดตำแหน่งเอฟเฟ็กต์ระเบิด มันก็เลยบอกให้ผมกลับก่อนเพราะเห็นผมนั่งสัปหงกรอมันหลายรอบแล้ว ถึงจะไม่สมควรจะแยกกับมันนัก แต่ผมก็ยอมกลับมาก่อนเพราะเหนื่อยชนิดทนไม่ไหวจริงๆ
วันนี้ก็คงจะกลับแท็กซี่นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไร แท็กซี่ที่น่าจะพลุกพล่านกลับไม่มีเลยสักคัน ผมเลยตัดสินใจเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีแทน และไม่รู้อะไรดลใจผมให้ไม่เดินไปยังถนนเส้นใหญ่ แต่เดินไปยังถนนเส้นเล็กที่เป็นตรอกทะลุถึงกันได้แทน คงเป็นเพราะผมรู้ว่านี่เป็นทางลัดที่จะพาผมไปถึงที่หมายโดยไม่อ้อมล่ะมั้ง ผมเลยเลือกจะไปทางนี้
ทว่าการเลือกเดินไปตามเส้นทางนี้เหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดสักหน่อย เพราะพอผมเดินมาได้ถึงกลางทาง ผมก็รู้สึกเหมือนมีใครเดินตาม ตอนแรกก็คิดว่าคิดไปเอง แต่พอหันไปมอง ก็เห็นชายร่างใหญ่สามคนเดินตามมาติดๆ ผมเลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทว่าพวกมันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนกัน ตอนนี้ผมเลยแน่ใจเลยว่าคนพวกนี้ต้องมาไม่ดีแน่
มันก็ต้องแน่อยู่แล้วล่ะ ถ้ามาดี มันคงไม่ตามติดผมชนิดเป็นเงาตามตัวแบบนี้หรอก
ผมตั้งท่าจะเลี้ยวออกจากตรอกนี้ตรงหัวมุมข้างหน้า ทว่ายังไม่ทันจะก้าวไปถึง ผู้ชายพวกนั้นก็ปรี่เข้ามาดักหน้าและล้อมผมไว้แล้วเรียบร้อย
“เฮ้ย จะทำอะไรเนี่ย”
ผมถามอย่างปัญญาอ่อนเลย แต่ไม่มีใครตอบ ผมเลยได้แต่ปรายตามองผู้ชายร่างยักษ์สามคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ การที่พวกมันโผล่มาดักหน้าดักหลังผมตอนกลางคืนในที่เปลี่ยวแบบนี้ ผมคิดได้ไม่กี่อย่างเท่านั้นแหละว่ามันต้องการจะปล้น ถึงจะได้เห็นหน้าตาพวกมันชัดๆ ตอนนี้และประจักษ์ได้ว่าพวกมันหน้าตาโคตรจะดีและหุ่นประหนึ่งนายแบบก็ตาม แต่มาล้อมหน้าล้อมหลังไว้แบบนี้มันต้องไม่มาดีแน่ ผมเลยทำท่าจะยื่นกระเป๋าเงินให้มันเพื่อเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณ หากแต่ไม่ทันจะได้สอดมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“กลิ่นของยูนิกม่า” ว่าพลางจ้องหน้าผมนิ่ง “ไม่เป็นโฮสต์ก็ต้องเป็นแม่พันธุ์”
ผมชะงักงัน กลืนน้ำลายเอื้อกเลย จากที่คิดว่าพวกมันจะต้องเป็นโจรบ้าห้าร้อยอะไรนี่ก็เปลี่ยนความคิดทันที
ไอ้พวกนี้ก็มนุษย์ต่างดาวเหรอวะ!? ช่วงนี้จะเจอมนุษย์ต่างดาวเยอะเกินไปแล้วนะเว้ยไอ้กวินทร์!
และการที่มันมาพูดว่ากลิ่นยูนิกม่าอะไรนี่ก็ทำให้ผมตระหนักได้ทันทีว่าพวกมันจะต้องเป็นศัตรูของคีธกับแอสตันแน่
ไอ้พวกเซนไทน์บ้าบอคอแตกนี่ยังไงล่ะ! และนี่ก็คงจะตามมาเพราะได้กลิ่นบ้าๆ อะไรนี่ล่ะสินะ!
สัญชาตญาณบอกให้ผมรีบหันหนี แต่พอผมตั้งท่าจะออกวิ่งก็ต้องชะงักเมื่อพวกมันวิ่งมาดักหน้าดักหลังผมเอาไว้เสียก่อน
“ไปกับพวกเราถ้าไม่อยากตาย เจ้ามนุษย์โลก”
ผมกลืนน้ำลายเอื้อก สายตามองคนพูดอย่างหวาดๆ จริงๆ แล้วก็ควรตามมันไปแต่โดยดีเพื่อรักษาชีวิต แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าการตามมันไปจะเป็นความคิดที่ดี ถ้าเกิดตามมันไป ผมว่ามันก็คงใช้ผมเป็นตัวล่อให้คีธออกมานั่นแหละ และพอคีธออกมา ผมก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรกับคีธ ที่แน่ๆ คือถ้าผมหมดประโยชน์เมื่อไหร่ พวกมันฆ่าผมทิ้งแน่
เพราะคิดแบบนี้ ผมก็เลยทำท่าจะหนีอีกรอบ หากแต่ก็ต้องชะงักงันอีกครั้งเมื่อถูกพวกมันดักทางไว้ ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อพวกมันว่าเสียงต่ำพร้อมกับกลายร่างเป็นร่างเดิมด้วย ผมมองชายทั้งสามที่แปลงร่างจากร่างมนุษย์ธรรมดาที่ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนทั่วไป กลายเป็นชุดเกราะสีดำเงาทั้งตัว มีหนามแหลมๆ ยาวประมาณข้อแขนงอกออกมากจากเกราะทางหัวไหล่ข้างละสามอัน นัยน์ตาดำสนิทจนมองไม่เห็นตาขาวอย่างสะพรึง และยิ่งสะพรึงมากขึ้นไปอีกเมื่อหนึ่งในนั้นว่าเสียงต่ำออกมา
“จริงๆ การหนีจะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้น แต่ไม่ต้องห่วง เมื่อข้ารู้ว่าใครที่เจ้าเป็นโฮสต์ให้เมื่อไหร่ เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี”
เห็นมั้ยเล่าว่าสุดท้ายมันก็จะฆ่าผมเมื่อหมดประโยชน์ พล็อตหนังอมตะชัดๆ!
แล้วใครมันจะไปอยู่รอให้มันลากไปฆ่ากันล่ะ ไม่สนใจด้วยว่ามันอาจจะเพิ่งมาถึงโลกเพราะการพูดของมันยังเป็นสำนวนโบราณเหมือนกับที่คีธเคยพูดในตอนแรกแม้แต่น้อย และผมก็มั่นใจด้วยว่าตราบใดที่ผมยังมีประโยชน์อยู่ พวกมันก็ไม่ฆ่าผมหรอก นี่แหละโอกาสหนีเอาตัวรอดล่ะ!
ผมหาทางหนีอีกครั้งก่อนจะสบโอกาสวิ่งสี่คูณร้อย หากแต่วิ่งหน้าตั้งมาได้ยังไม่ถึงหัวมุมถนน ผมก็ต้องเบรคตัวโก่งเมื่อพวกมันกระโดดดึ๋งมาดักหน้าผมเอาไว้ได้อีกครั้งในการกระโดดเพียงครั้งเดียว
นี่พวกมึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือตั๊กแตน!?
ดูก็รู้เลยว่าหนีไม่รอดแล้วแน่ๆ หัวผมฉายภาพใบหน้าของคีธขึ้นมาทันใด ภาวนาในใจว่าขอให้มันรู้ว่าผมกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วรีบมาช่วยผมอย่างที่พระเอกหนังไทยทำๆ กัน
ก็มันมีประสาทสัมผัสดีนี่หว่า อย่างน้อยๆ ก็น่าจะได้ยินเสียงผมบ้างล่ะ
“ชะ...ช่วยด้วย!” ผมเลยตัดสินใจตะโกนสุดเสียงในตอนนั้น
พวกมนุษย์ต่างดาวตรงหน้าไม่สะทกสะท้าน กางเกราะทรงกลมบางอย่างออกมาจากทางด้านหลัง ผมได้ยินเสียงตัวเองสะท้อนกลับเข้าหูดังลั่นจนต้องยกมือขึ้นปิดหู ขณะที่พวกมันย่างเท้าสามขุมเข้ามาใกล้พร้อมกับเก็บเกราะทรงกลมนั่นลงไปเหมือนเดิม
“เกราะเก็บเสียง ต่อให้เจ้าตะโกนจนคอแตก ยูนิกม่าของเจ้าก็ไม่อาจได้ยิน”
อะ...ไอ้พวกนี้... คุณสมบัติมึงเยอะเกินไปแล้ว!
“ไปกับเรา อย่าให้ต้องใช้กำลัง” มันพูดขึ้นมาอีก
เหงื่อกาฬผมไหลพรากตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเป็นน้ำตกทันใด ใจคิดแล้วว่าคงไม่รอดแน่ๆ ทว่าในจังหวะที่พวกมันกำลังจะเอื้อมมือมาจับผม ร่างของใครบางคนก็พุ่งเข้าปะทะหนึ่งในสามคนตรงหน้าผมจนกระเด็นไปไกล ทั้งผม ทั้งมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นรีบมองไปยังตัวการ ก่อนที่ผมจะอ้าปากค้างขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าของคนทำขณะที่คนทำซึ่งจัดการน็อคดาวน์มนุษย์ต่างดาวตัวหนึ่งลงไปหมอบราบคาบแก้วกับพื้นลุกขึ้นมาพูดเสียงต่ำ
“นั่นคนของฉัน อย่าคิดจะแตะแม้แต่ปลายเล็บเชียว”
ซะ...ซีเลน!

ออฟไลน์ farfarneenee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อะไรยังไง   :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
อาร๊ายยยยย ตกลงว่าซีเลนเป็นตัวไรกันแน่  :hao4:
รอลุ้นนนนน  :z3:

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ซีเลนแย่งบนพระเอกหลายรอบละ  :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด