Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 142652 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 34: Almost about time to leave[2]

เรื่องของเจเนซิสถูกเล่าให้ชาวยูนิกม่าทุกคนฟังทันทีที่พวกเรามาถึงที่หมาย ทุกคนเลยมีมติกันว่าจะพาแอสตันไปที่วอชิงตันในวันรุ่งขึ้น การหาตั๋วเครื่องบินไปวอชิงตันสำหรับคนกว่าสิบชีวิตไม่ยากนักสำหรับพวกมนุษย์ต่างดาวนี่ เพราะในบริษัทสายการบินหลายแห่งก็มีมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวทำงานอยู่ เลยไม่เป็นที่น่ากังวลนัก จะมีก็แต่แอสตันนี่แหละที่ดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ที่จะต้องหนีไปก่อนตามคำแนะนำของเจเนซิสทั้งที่ตัวคนแนะนำยังติดอยู่ในรังของเซนไทน์ แถมยังเป็นตัวตายตัวแทนตัวเองอีกด้วย
เอาจริงๆ ผมก็ไม่สบายใจเหมือนกัน แต่พอคิดถึงความปลอดภัยของประตูหลังผัวเพื่อนแล้ว ผมก็ช่วยริชาร์ดยุแอสตันให้ทำตามแผนของเจเนซิสอย่างไม่มีทางเลือก สุดท้ายแอสตันก็ตกลง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเรามาอยู่ที่สนามบินกลางกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในคืนวันใหม่
การที่ผมกับริชาร์ดติดสอยห้อยตามมาด้วย อันนี้ไม่แปลกใจเพราะรู้กันอยู่แล้วว่าผมกับริชาร์ดเป็นคู่ผูกพันของแอสตันกับคีธ จะมาส่งก็ไม่แปลก ซีเลนตามมาด้วยก็ไม่แปลกเช่นกันเพราะมันได้ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของแอสตัน มันก็คงอยากจะมาส่งบ้าง แต่ไอ้การที่เห็นบรูคลินกับเบนมาด้วยโดยที่พ่อแม่มันไม่มานี่แหละที่ทำให้ผมกับริชาร์ดไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก
พวกมึงไม่ต้องมากันก็ได้นะอันที่จริง จะตามกันมาทำไมวะ เกะกะลูกตาฉิบ!
หงุดหงิดได้แป๊บเดียว พอเห็นซีเลนมันทิ้งกระเป๋าตัวเองให้ยูนิกม่าคนหนึ่งถือแล้วตัวเองก็เดินไปโอบไหล่บรูคลินกับเบนนวยนาดไปที่หน้าสนามบิน ผมก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าพวกมันคงจะตามซีเลนมา เกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้พวกมันเป็นเมียไอ้หื่นซีเลนเป็นที่เรียบร้อย ได้ทั้งเซนไทน์ ได้ทั้งยูนิกม่าแบบทูอินวัน สมใจอยากพวกมึงมั้ยล่ะ
มารู้อีกทีว่าพวกมันไม่ได้ตามซีเลนมาอย่างที่ผมคิดก็ตอนที่มีพวกไบโทปขับรถมารับพวกเราที่หน้าสนามบินนั่นแหละ จริงๆ แล้วที่พวกมันมาก็เพื่อเป็นตัวแทนในการส่งการดูแลต่อให้พวกไบโทปอีกกลุ่มซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของมัน ผมเลยได้รู้ชาติกำเนิดของบรูคลินกับเบนในตอนนี้ว่าพวกมันเองก็ไม่ใช่ไบโทปธรรมดาๆ แต่เป็นถึงลูกหลานคนใหญ่คนโตของดาวเลยทีเดียว พูดง่ายๆ ก็คือไอ้ดาวไบโทปเนี่ยมันมีตระกูลใหญ่สี่ตระกูลปกครอง คล้ายกับกษัตริย์แต่ไม่ใช่ มันเรียกว่าตระกูลผู้นำแห่งดาว ผู้นำตระกูลก็เป็นคนรุ่นปู่ของพวกมัน ดังนั้นบรูคลินกับเบนก็มีสถานะไม่ต่างจากเจ้าชายไปด้วย พอรู้ปุ๊บ ผมกับริชาร์ดนี่เบ้ปากใส่พวกมันแทบไม่ทันเลย
แม่ง น่าหงุดหงิดว่ะ ทำไมมีแค่กูกับริชาร์ดเป็นมนุษย์โลกต่ำเตี้ยเรี่ยดินกันอยู่สองคนวะ!
แต่แล้วความหงุดหงิดของผมก็หายไปเมื่อพวกยูนิกม่าที่มาสมทบยังบ้านญาติของสองพี่น้องเปรตนั่นชวนให้แอสตันไปที่องค์การนาซาซึ่งอยู่ไม่ไกลเพื่อรายงานความพร้อมของยานสำหรับหลบหนีที่จะเสร็จสิ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แน่นอนแหละว่าผมกับริชาร์ดก็ต้องตามไปด้วย ริชาร์ดนี่ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลยเมื่อรู้ว่เดี๋ยวมันก็ต้องแยกจากกับแอสตันแล้ว ส่วนผมน่ะเหรอ... ก็จ๋อยนั่นแหละ แต่ยังเก็บอารมณ์อยู่ไง ไม่เหมือนริชาร์ดที่เกาะแขนผัวเด็กแน่นไม่ยอมปล่อย เหมาะสมกับฉายาเห็บหมาที่ผมตั้งให้มันจริงๆ อีกนิดเดียวมันก็จะฝังตัวลงไปในรูขุมขนผัวมันได้อยู่แล้ว เกาะแน่นขนาดนั้นน่ะ
พวกเราไม่ได้ถูกพาไปที่ห้องสร้างยานอย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก แต่ถูกพามายังห้องหนึ่งที่มีผู้คนราวร้อยกว่าชีวิตส่งเสียงโหวกเหวกไปมา ถึงจะไม่ใช่เสียงโหวกเหวกแบบตะโกน แต่การคุยกันเสียงขรมกับบรรยากาศวุ่นวายก็ทำให้ผมปวดหัวขึ้นมานิดๆ ทว่าอะไรก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าราวกับเป็นกำแพง บนจอมีจุดสีแดง เขียว เหลือง และอีกสารพัดสัญลักษณ์ที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เหมือนจะเคยเห็นตามหนังแนวไซไฟมาก่อน มานึกขึ้นได้ว่าเรียกว่าอะไรก็ตอนที่ริชาร์ดเลิกเกาะผัวมัน กระซิบข้างๆ ผม
“ห้องปฏิบัติการควบคุมการบิน”
เออ นั่นแหละ ผมก็นึกไม่ออก แต่หันไปมองหน้าริชาร์ดแล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นสายตามันประกายวาบราวกับเด็กเห็นของเล่นน่าสนใจ
เมื่อกี้มึงยังจ๋อยเป็นเห็บขาดเลือดอยู่เลยไม่ใช่หรือไงวะ พอเห็นของน่าสนใจกว่า มึงก็ถีบหัวส่งผัวมึงเลยนะไอ้เจ๊ก!
แต่ก็เข้าใจมันนั่นแหละ ยิ่งคนบ้าหนังแนวไซไฟ-วิทยาศาสตร์อย่างมันด้วย มาเจออะไรแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะตื่นเต้น ยิ่งเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาเข้าไม่ได้ง่ายๆ มันก็คงกะจะกอบโกยรายละเอียดทุกอย่างไปเต็มที่
ทว่าสิ่งที่ผมสนใจกลับไม่ใช่การปฏิบัติงานของพนักงานพวกนี้ แต่เป็นชายวัยกลางคนร่างสูงที่สั่งการคนอื่นอยู่มากกว่า หมอนั่นชะงักไปนิดเมื่อยูนิกม่าที่นำพวกผมมาเดินเข้าไปกระซิบบางอย่าง พอหันกลับมาเห็นแอสตัน สีหน้าเคร่งเครียดก็ฉายแววดีใจเต็มเปี่ยมก่อนจะรีบตรงเข้ามาทำความเคารพแอสตันทันที
“อะ...องค์ชาย ไม่ได้เจอตั้งนาน ทรงสบายดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เราสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงท่านเจโรว์”
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่ชื่อเจโรว์ใกล้ๆ ถึงจะเป็นการเจอหน้ากันครั้งแรกของผมกับหมอนี่ แต่ผมมั่นใจได้เลยว่าหมอนี่จะต้องข้องเกี่ยวกับคนที่ผมรู้จักแน่ๆ
ก็จะไม่ให้ข้องเกี่ยวได้ยังไง ถ้าคนที่ชื่อเจโรว์อะไรนั่นเหมือนเจเนซิสอย่างกับแกะ! อีแบบนี้ต้องเป็นญาติกันแน่ๆ!
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธที่ยืนอยู่เยื้องๆ ผมว่าขึ้นเบาๆ
“ท่านพ่อของเจเนซิสน่ะ ได้ยินว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ไม่กี่วันก่อน ตอนแรกมีแผนว่าจะมาช่วย แต่ตอนนี้มาทำหน้าที่แทนเจเนซิสแล้วเพราะเจเนซิสไม่อยู่”
นั่นไง! ซวยแล้วกู ถ้าแม่งรู้ว่าผมเอาลูกมันไปขายให้พวกเซนไทน์ มันจะจับผมยัดเข้าจรวดแล้วปล่อยออกนอกโลกแบบไปแล้วไปลับหรือเปล่าวะ
ผมใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ขึ้นมากะทันหัน ขณะที่เจโรว์ก็เอ่ยปากถามหาลูกชายเมื่อไม่เห็นว่าอยู่ที่นี่ดว้ย
“แล้วเจเนซิส...”
“เจเนซิสถูกพวกเซนไทน์จับไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นเรา เราต้องขออภัยท่านด้วย”
สีหน้าของเจโรว์ดูหม่นไปเล็กน้อย หากแต่พยักหน้าแล้วฝืนยิ้มออกมา
“หม่อมฉันพอจะทราบมาบ้างแล้วเรื่องลูกชาย ไม่เป็นไร ถือว่าลูกหม่อมฉันทำสิ่งที่สมควรแล้วแม้ว่าจเป็นเรื่องไม่ได้ตั้งใจก็ตาม” ว่าจบก็ปราดมองมายังผมราวกับรู้ว่าใครเป็นตัวการอย่างไรอย่างนั้น
ผมก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ เสมองไปทางอื่น ทำไม่รู้ไม่เห็นไปเรื่อยสิ เรื่องอะไรจะไปยอมรับล่ะว่าเป็นตัวการ ดีที่เจโรว์ไม่ได้ใส่ใจมากนัก นอกจากผายมือเชื้อเชิญให้แอสตันเดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีแผงจออะไรบางอย่างฝังอยู่ ก่อนจะเริ่มอธิบายยาว
“ตามกำหนดการเดิมที่เจเนซิสวางไว้คือเราจะอพยพไปที่ดาว R18 ในอีกสองอาทิตย์ซึ่งก็หมายถึงอีกห้าวันข้างหน้า หม่อมฉันเช็คระยะการเดินทางจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินไปที่นั่นแล้ว คำนวณได้ทั้งสิ้นสิบพันล้านปีแสง รูหนอนที่ใกล้กับดาว R18 มีระยะทางทั้งสิ้นสามหมื่นปีแสง เทียบกับความเร็วของยานที่สร้างขึ้นที่นี่ เรียกได้ว่าวิวัฒนาการไม่อาจเทียบเท่ากับยานที่สร้างขึ้นที่ยูนิกม่าได้ การเดินทางจึงอาจจะล่าช้าไปกว่าปกตินัก เราคงต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายปีเลยทีเดียวกว่าจะถึง คำนวณคร่าวๆ คงจะเกือบสองปีได้”
ฟังแล้ว ผมก็อ้าปากค้าง ไม่ได้อ้าปากค้างเพราะชื่อดาว R18 ที่ฟังยังไงก็เหมือนกับชื่อย่อของ Rate 18+ หรอกนะ แต่เป็นเพราะระยะเวลาในการเดินทางของพวกมันต่างหาก ส่วนริชาร์ดที่ลั้นลาอยู่เมื่อกี้ก็มีสีหน้าช็อคไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก แอสตันเองก็ดูไม่ค่อยดี มีแต่คีธเท่านั้นนั่นแหละที่ยังนิ่งอยู่ ก่อนที่เจโรว์จะพูดขึ้นอีก
“หม่อมฉันจึงอยากเตือนองค์ชายไว้ว่าการอพยพครั้งนี้เสี่ยงต่อการถูกพวกเซนไทน์ตามมาทัน เราจะรอช้าไม่ได้ รออีกห้าวันก็ยังถือว่าช้าไป หม่อมฉันเลยเร่งรัดทุกอย่างให้เสร็จสิ้นและพร้อมเดินทางในอีกสามวัน ขอให้องค์ชายทรงเตรียมพร้อม”
“สามวัน... เร็วไปมั้ยท่านเจโรว์” แม้แต่แอสตันเองก็ยังใจหาย
ทว่าเจโรว์กลับส่ายหน้า “เรารอไม่ได้”
“แล้วเจเนซิส...”
“รายนั้นไม่ต้องห่วงพ่ะย่ะค่ะ ไว้เจเนซิสหาทางหนีออกมาจากพวกเซนไทน์ได้เมื่อไหร่ จะตามไปสมทบทีหลังพร้อมกับหม่อมฉันและพวกเราที่เหลือ... ถ้าหนีออกมาได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ปลายประโยคเน้นย้ำคำว่า ‘ถ้า’ ชัดเจน เหลือบมามองผมด้วย ผมเลยรีบหันหนี
รู้ละว่าไอ้เจเนซิสติดนิสัยชอบเหน็บแบบนิ่งๆ มาจากใคร พ่อมันนี่เอง...
แอสตันทำท่าจะต่อรองอีก ดูท่าทางมันก็ไม่อยากจะไปจากที่นี่เร็วกว่ากำหนดการเดิมนัก ทว่าริชาร์ดก็แตะบ่ามันเสียก่อน พร้อมกระซิบบอกด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกแอสตัน เพื่อความปลอดภัยของนาย ไปเถอะ ฉันจะรอ”
แอสตันก็เลยไม่พูดอะไรอีก พยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก ส่วนผมก็ใจหายหนักกว่าเดิมที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้
ไม่เป็นไรบ้านมึงสิไอ้ริชาร์ด! มึงไม่ได้ท้องนี่ คือกูท้อง! กว่าพวกมันจะไป กว่าพวกมันจะกลับ มันไม่ได้ไปแค่วันสองวัน ไปกันเป็นปีๆ แล้วไหนพวกมันจะต้องรอให้เหตุการณ์สงบก่อนถึงจะกลับมาที่นี่ได้อีก แม่งไม่เป็นสิบๆ ปีเลยเหรอวะ คิดถึงกูบ้างสิเว้ย!
ผมชักควบคุมตัวเองไม่อยู่ละ กระสับกระส่าย ซ้ำยังหงุดหงิดจนคีธที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องมาจับมือผมเอาไว้ ผมมองหน้ามันแล้วก็นิ่งลงได้บ้าง แต่คำพูดของมันหลังจากนี้กลับทำให้ผมใจไม่สงบเลย
“ไม่ต้องกลัวนะกวินทร์ นานแค่ไหน ฉันก็จะกลับมา ต่อให้อีกกี่สิบปีก็จะกลับมา”
ถ้ามึงกลับมาตอนกูใกล้ตาย กูจะโกรธมึงมาก! จะจองล้างจองผลาญมึงทุกชาติด้วย!
ผมพยักหน้าส่งๆ ไปด้วยไม่อยากจะจิตตกไปมากกว่านี้ คีธก็เลยไปฟังเจโรว์อธิบายแผนการเดินทางต่ออีกยาวเหยียด สิ่งที่หลุดออกจากปากหมอนั่นต่อจากนี้ บอกเลยว่าไม่เข้าหูผมสักนิด ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่จิตใจว้าวุ่นเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่นได้ ทว่าก็ได้แต่ทำนิ่ง รอจนพวกมันคุยธุระกันเสร็จเท่านั้น
 
ไม่อยากให้ไปเลย... ไม่อยากให้ไป...
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดจนผมแทบไม่รับรู้อะไร กระทั่งกลับมาถึงบ้านญาติของพวกบรูคลิน คีธก็ขอตัวพาผมแยกกับคนอื่นๆ ไปพักผ่อนทันทีด้วยเห็นสีหน้าผมไม่ดีนัก มันก็คิดว่าคงเป็นผลจากการตั้งท้องของผมนั่นแหละที่ทำให้ผมดูไม่ค่อยโอเค แต่จริงๆ ไม่ใช่ เป็นเพราะผมทำใจไม่ได้เรื่องที่มันจะไปจากผมต่างหาก
ผมเอนกายนอนบนเตียง ทอดมองยังร่างใหญ่ที่กำลังถอดเสื้อโชว์แผ่นหลังอยู่ทางปลายเท้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายปวดหนึบ ไม่เคยคิดเลยว่าการจากลามันจะทำให้ทรมานได้ถึงขนาดนี้แม้ว่าจะเพียงแค่คิดก็ตาม ผมก็เลยพยายามไม่คิด แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ผุดลุกจากเตียง เดินเข้าไปหาคีธขณะที่มันหันมามองผมพอดี
“ทำไมไม่นอนล่ะกวินทร์”
ผมไม่สน สวมกอดมันทันใด คีธดูงุนงงเล็กน้อย แต่ก็กอดผมตอบ ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผมด้วย
“เป็นอะไรหืม?”
ผมไม่พูด เอาแต่ซุกหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง คีธเลยต้องถามขึ้นมาอีก
“เป็นอะไรเหรอกวินทร์”
“ไม่อยากให้ไป” ผมว่าเสียงอู้อี้ คีธเลยรู้ทันทีว่าที่ผมเงียบมาตลอดตั้งแต่อยู่ที่นาซาจนกลับถึงที่นี่เป็นเพราะเรื่องของมัน มันก็เลยดึงผมผละออกเล็กน้อย ช้อนปลายคางขึ้นแล้วจูบผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ย
“ฉันก็ไม่อยากไปเหมือนกัน”
“นายก็ไม่ต้องไปสิ”
“ไม่ได้ มันจำเป็น”
ผมย่นคิ้วทันทีที่ได้ยินมันว่าอย่างนี้ นิสัยเอาแต่ใจก็พาลกำเริบขึ้นมาด้วย
“แต่ฉันกับคีตาอยู่ที่นี่นะ นายจะทิ้งไปปกป้องผัวไอ้ริชาร์ดหรือไง ถามจริงเถอะ มันสำคัญอะไรนักหนาเนี่ยไอ้แอสตันน่ะ สำคัญกว่าฉัน สำคัญกว่าคีตามากเลยหรือไงฮะนายถึงยอมทิ้งไปแบบนี้ได้!”
คีธนิ่ง มองผมราวกับรอให้ผมหยุดโวยวาย จนผมถอนหายใจเต็มแรงแล้วเงียบ มันถึงพูด
“ฉันเป็นผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่านะกวินทร์ เป็นผู้พิทักษ์ขององค์ชาย ถึงจะไม่อยากไป ไม่อยากทำ หรืออยากอยู่กับกวินทร์และคีตามากแค่ไหน แต่ก็ทิ้งหน้าที่ไม่ได้ ถ้าฉันทิ้งหน้าที่แล้วเลือกกวินทร์กับลูก นั่นก็หมายความว่าองค์ชายมีสิทธิ์ถูกจับไป และจากนั้นชาวยูนิกม่าก็จะตกอยู่ใต้เบี้ยล่างของเซนไทน์ ทีนี้ก็จะไม่ใช่แค่ยูนิกม่าเท่านั้นแล้วที่เดือดร้อน มันจะลามไปถึงชาติพันธุ์อื่นๆ รวมถึงกวินทร์กับลูกด้วย ลองคิดดูว่ายูนิกม่าที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งพอๆ กับเซนไทน์ยังถูกกำราบ ชาติพันธุ์อื่นๆ จะเหลือรอดเหรอ”
ผมเงียบ ก็รู้อยู่หรอกว่าพวกเซนไทน์เป็นพวกนักล่าที่ไม่รู้จักพอ น่ากลัวก็จริง แต่ยังไงผมก็ไม่อยากให้คีธไปอยู่ดีนี่หว่า จะว่าเห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ อยากอยู่กับคนที่รัก ไม่อยากจากกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่าวะ
“ที่ฉันทำ ไม่ได้ทำเพื่อชาวยูนิกม่าอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อกวินทร์กับลูกด้วย ฉันกำลังปกป้องกวินทร์กับลูกอยู่นะ” เพราะผมไม่พูด มันก็เลยพูดขึ้นมาอีก
คราวนี้ผมฟังต่อไม่ไหวละ น้ำตาจะไหล ความรู้สึกเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่พาไปส่งโรงเรียนวันแรกแล้วถูกหลอกเดี๋ยวมารับแต่จริงๆ กว่าจะมารับก็เย็นย่ำยังไงยังงั้น
“ก็...ก็ไม่อยากให้ไปนี่หว่า...” ผมว่าเสียงสั่น น้ำตาเอ่อปริ่มขอบตา เกือบจะไหลลงมาอยู่แล้วถ้าไม่สะกดกลั้นไว้
คีธยกมือประคองหน้าผม สายตาที่มองผมก็ดูเจ็บปวดไม่แพ้กัน ก่อนจะดึงผมไปกอดแน่น
ผมซุกหน้าลงบนแผ่นอก ปล่อยให้อ้อมแขนใหญ่กอดอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว พอผละจากกัน คีธก็ช้อนตัวผมกลับมานอนที่เตียง ตามขึ้นมานอนข้างๆ พรมจูบแผ่วเบาไปทั่วใบหน้า ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่ผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังบอกว่ารักผมมากแค่ไหนอยู่ ก่อนมันจะเลื่อนต่ำลงไปทิ้งหัวลงแนบบนหน้าท้องผม พูดขึ้นมาเบาๆ
“พ่อคีธจะกลับมานะคีตา รอพ่อด้วย เป็นเด็กดีให้แม่กวินทร์นะ”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับสรรพนามที่มันใช้เรียกตัวเองกับผม ก่อนผมจะดึงหูมันไปที
“แม่กวินทร์อะไรของนาย ฉันเป็นผู้ชายก็ต้องเรียกว่าพ่อเว้ย”
“แต่กวินทร์เป็นคนคลอด...”
“ตอนนายกลับมา นายก็ต้องเป็นคนป้อนนม ทำไมไม่ให้เรียกนายว่าแม่ล่ะวะ แม่คีธ...” นมที่ว่า ผมหมายถึงสารอาหารจากนิ้วมันนั่นแหละ
คีธยกยิ้มเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วแนบหัวลงบนหน้าท้องผมอีกครั้งพร้อมกับพูดประโยคเดิม
“พ่อคีธจะกลับมานะคีตา รอพ่อด้วย เป็นเด็กดีให้พ่อกวินทร์นะ”
“เออ ค่อยฟังรื่นหูหน่อย” ผมว่าติดตลก
คีธผงกหัวขึ้นมา คราวนี้ประกบจูบปากผมอย่างดูดดื่ม เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะผละออกมาแล้วจ้องตาผมนิ่ง
“ฉันจะกลับมานะกวินทร์ ได้โปรด... ช่วยรอจนกว่าจะถึงวันนั้น รอฉัน ฉันสัญญาว่าจะกลับมา”
ดูท่าทางผมคงจะไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้นอกจากการรอแล้วล่ะ จึงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วตอบรับมันไป
“อืม จะรอ”
คีธยิ้มออกได้เล็กน้อย แล้วจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากผม “ฉันรักกวินทร์ รักที่สุด...”
ผมไม่ได้บอกรักตอบ ทำเพียงแค่ตวัดมือโอบกอดร่างใหญ่ไว้เท่านั้น
เกลียดสถานการณ์บีบคั้นแบบนี้ เกลียดความรู้สึกแบบนี้ชะมัดเลยให้ตายเถอะ...
-----------------------------------------------
ตอนนี้ไม่ได้อัพตัวอย่างไว้ก่อน ประเด็นคือขี้เกียจ เอาเต็มตอนไปเลยแล้วกัน ฮาาา
เรื่องนี้เหลืออีก 2 ตอนก็จะจบแล้วนะคะ มีบทส่งท้ายอีก 2 ตอนด้วยเช่นกัน จริงๆ มีตอนพิเศษ 10 ตอน  (คีธ-กวินทร์ 4 ตอน/ แอสตัน-ริชาร์ด 2 ตอน/ ซีเลน-สองเปรต 2 ตอน/ ลาร์ค-เจเนซิส 2 ตอน) แต่จะไม่อัพนะ อัพถึงแค่บทส่งท้ายเท่านั้น ใครอยากอ่าน ไปตามฉบับหนังสือเอาเน้อ
หลังจากอัพจบแล้วก็จะอัพตัวอย่าง Alien's Kids พวกผมเป็นลูกเอเลี่ยน ต่อนะคะ อัพไม่จบเช่นกัน บอกไว้ก่อนเลย จะอัพแค่พาร์ทละ 3 ตอนเท่านั้น (มีพาร์ทของคีตา แล้วก็พาร์ทของคินน์) แล้วก็อัพก็อัพตัวอย่าง Alien's Honeymoon คืนน้ำผึ้งพระจันทร์ของเอเลี่ยน ตอนนึง หมดจากนี้ก็จบอย่างเป็นทางการแล้วจ้า อาจจะมีแวบมาอัพตอนพิเศษตามโอกาสเทศกาลบ้าง (ขึ้นอยู่กับอารมณ์คนเขียนนะ อารมณ์ดีก็ดีไป ขี้เกียจก็บายยยย 555)

ปล.สนใจหนังสือ เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2016 23:42:04 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ nadty27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนใจหนังสือออออ

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
 :katai2-1: :pig4:

จองหนังสือไว้แล้ว ขอเก็บเงินแป๊บนะ 5555555

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สนใจหนังสือออออ

เข้าไปอ่านรายละเอียดที่นี่นะคะ https://web.facebook.com/media/set/?set=a.919083514814169.1073741840.122468307809031&type=3

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 35: Ambassador of Uniquema[1]
ผมกับคีธใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดราวกับถูกกาวตราช้างทาติดตัวกันไว้ ติดกันหนึบถึงขนาดพัฒนาระดับการกระชับความสัมพันธ์ด้วยการอาบน้ำพร้อมกันแล้ว ถึงจะเคยเห็นร่างเปลือยกันและกันมาหลายครั้งแล้ว เอาจริงๆ ผมก็ยังเขินอยู่ดีนั่นแหละ แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ถือคติด้านได้อายอดเพราะอยากจะอยู่กับคีธให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนที่มันจะไปจากโลก
ทว่าถึงจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน ทุกที่ ทุกเวลา แต่ผมก็ไม่ได้คุยอะไรกับคีธมากนัก หนึ่งคือไม่รู้จะคุยอะไร และสอง ผมกลัวว่าถ้าคุยไปจะหลุดถามโน่นถามนี่แล้วอารมณ์ของผมแปรปรวนหนักปกติ เลยได้แต่เงียบแล้วใช้ภาษากายคุยกันเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่านะ ผมหมายถึงการสัมผัสตัวกันด้วยการกอด การจูบอะไรเทือกนี้ต่างหาก
ส่วนริชาร์ดกับแอสตันเองก็ตัวติดกันไม่ต่างกัน แต่คู่นี้ดูอาการหนักกว่าคู่ผมหน่อยเพราะทุกครั้งที่ผมเจอหน้าริชาร์ด ตาของหมอนั่นจะแดงแถมบวมตลอดเวลา ดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมไม่แปลกใจนักหรอกที่รู้ว่ามันร้องไห้ ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเพื่อนผมคนนี้เป็นพวกอารมณ์อ่อนไหว แต่ผมไม่ใช่ไง ถึงจะเป็นพวกอารมณ์ลมพัดลมเพ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ผมก็ควบคุมอารมณ์เศร้าได้ดีกว่ามันเยอะ ที่ต้องควบคุมก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ผมแค่ไม่อยากให้คีธจดจำผมก่อนจากไปในภาพบ้าๆ บอๆ น่ะ ที่สำคัญ ผมกลัวว่าอาการหงุดหงิดง่ายของผมจะทำให้คีตาที่อยู่ในท้องได้รับผลกระทบไปด้วย เคยอ่านบทความเจออยู่เหมือนกันว่าอารมณ์ของแม่มีผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกในครรภ์ ผมเลยพยายามเพลาๆ นิสัยหงุดหงิดง่ายลงไป
แต่ก็เป็นการยากพอสมควร เพราะพอเข้าวันที่สอง ผมก็เริ่มหัวเสียเมื่อตระหนักได้ว่าคีธจะต้องออกเดินทางไปดาว R18 บ้าบอคอแตกอะไรนั่นแล้ว คีธคงรู้ว่าผมอารมณ์ไม่ค่อยดี เช้านี้ก็เลยไม่เซ้าซี้ มากอด มาหอมอะไรมากมายอย่างเคย แค่มอร์นิงคิสแล้วก็ไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปที่นาซาตามกำหนดการนัดหมายของพ่อเจเนซิสที่ต้องการให้พวกยูนิกม่าทุกคนไปทดลองการประจำการยานที่จะใช้เดินทาง
ผมมองคีธที่สวมชุดบอดี้สูทสีเงินอย่างที่เคยเห็นที่ผับ ชุดนี้เป็นชุดต้านแรงโน้มถ่วงเวลาเดินทางในอวกาศและรักษาสมดุลร่างกาย คีธยังคงดูดีเหมือนเดิมถึงจะใส่ชุดประหลาดๆ หนำซ้ำวันนี้ยังดูหล่อกว่าปกติด้วย สงสัยเป็นเพราะจะจากกัน ผมเลยนึกรักมันกว่าปกติล่ะมั้ง มันถึงได้หล่อในสายตาผมขนาดนี้
"กวินทร์"
 จู่ๆ คีธก็เรียกผมหลังจากที่แต่งตัวเสร็จและหันมามองขณะที่ผมจ้องมันตาไม่กะพริบพอดี ผมเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร คีธเดินเข้ามาดึงผมเข้าไปกอดแน่นและจูบบนหน้าผาก
"ฉันรักกวินทร์ รอนะ ไม่ว่ายังไงก็จะกลับมา"
ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่มันพูดประโยคนี้ เรียกว่าวันๆ นึง พูดนับครั้งไม่ถ้วนเลยดีกว่า ผมก็พยักหน้าอือออไปอย่างเคย ก่อนจะถูกมันฉกจูบบนริมฝีปากอีกครั้ง
"รักคีตาด้วย รักที่สุด รักทั้งสองคน" พูดจบ มือก็ยื่นมาลูบท้องผมราวกับกำลังพูดกับลูก ก่อนทิ้งตัวลงไปคุกเข่า เอาหูแนบท้องผมพลางลูบไปมา
ถึงจะรำคาญบ้างแต่ผมก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้มันลูบท้องอยู่อย่างนั้น ผมก็เล่นเส้นผมมันไปตามเรื่อง พอจะคลายความหงุดหงิดงุ่นง่านก่อนหน้าไปได้บ้าง หากแต่ครั้งนี้มันใช้เวลาคุยกับลูกได้เพียงครู่เดียว เสียงเอะอะโวยวายจากชั้นล่างก็ดังขึ้นมาชนิดฟังไม่ได้ศัพท์ สัญชาตญาณบอกเลยว่ามีเรื่องชวนปวดหัวมาอีกแล้ว พอผมมองหน้าคีธ คีธก็รีบผุดลุกขึ้นยืน เปิดประตูออกไปดูสถานการณ์ทันใด
"เกิดอะไรขึ้น" มันร้องถามเพื่อนที่เป็นผู้พิทักษ์เหมือนกันซึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินขึ้นมาชั้นบนพร้อมกับญาติสองพี่น้องเปรตพอดี
"ท่านปราชญ์กลับมาแล้วน่ะ"
พออีกฝ่ายตอบ คีธก็ย่นคิ้วยู่ ส่วนผมก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ
จะ...เจเนซิสกลับมาแล้ว มันหนีไอ้เซนไทน์ขาโหดนั่นมาได้ยังไงวะ?!
ไม่ใช่ไม่ดีใจนะที่เห็นมันกลับมาได้ แต่สงสัยน่ะว่าผมออกมาได้ยังไง เท่าที่ดู โรงแรมนั่นถูกล้อมไปด้วยเซนไทน์หลายสิบกว่าชีวิต ขนาดคนต่อสู้เก่ง ผมว่ายังหนีออกมายากเลย แล้วคนต่อสู้ไม่เก่งอย่างมันจะใช้วิธีไหน เอาร่างกายเข้าหลอกล่อให้พวกมันตายใจ หรือติดสินบนพวกบอดี้การ์ดด้วยร่างกายวะ?
ยังไม่ทันจะคิดออก ยูนิกม่าสองคนที่พยุงร่างของเจเนซิสก็ปรากฏให้เห็นจากบันไดด้านล่าง ก่อนพวกนั้นจะช่วยพยุงขึ้นมา ส่วนพวกที่ขึ้นมาก่อนก็กุลีกุจอไปเตรียมห้องพักให้เป็นการใหญ่
ผมเลยละความสนใจไปยังเจเนซิสที่สวมชุดสูทหลวมโพรก มองแวบเดียวก็รู้เลยว่าสูทนี้ต้องเป็นของลาร์คแน่ แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับสีหน้าอิดโรยของมันกับสภาพเหมือนผักเหี่ยว
“เจเนซิส...” ผมครางเรียกอย่างเผลอตัวทันทีที่มันถูกพยุงผ่านหน้าผม
เจเนซิสชำเลืองมองผมเล็กน้อยด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน พยักหน้ารับอีกนิดเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามันโอเค แต่จากที่ดูแล้ว ผมว่ามันไม่โอเคว่ะ พวกรอยช้ำเขียวๆ ม่วงๆ น่ะไม่เท่าไหร่ เท่าที่สังเกตเห็นเหมือนจะเป็นรอยช้ำเดิมที่เริ่มจางลง แต่รอยช้ำเป็นจ้ำแดงคล้ายกับรอยคิสมาร์กกลับขึ้นมาแทนที่รอยอื่นๆ จนเต็มไปทั่วทุกอณูผิวหนังนี่สิ เห็นก็รู้เลยว่ารับศึกหนักบนเตียงไม่ว่างเว้นแน่ๆ
โถ... กูส่งมึงไปเป็นจำเลยรักเจ้าชายเซนไทน์แท้ๆ ขอโทษนะเจเนซิส ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ว่ะ
เจเนซิสถูกหามผ่านหน้าไป แอสตันกับริชาร์ดก็ถูกตามออกจากห้องมาพอดี ก่อนจะรีบตามหลังเจเนซิสไป ผมเองก็ไม่รอช้า ตามพวกมันไปด้วย ตบท้ายด้วยคีธที่เดินหน้านิ่งๆ เข้ามา
เจเนซิสถูกวางลงบนเตียงก่อนยูนิกม่าคนหนึ่งซึ่งครั้งก่อนเคยทำแผลให้คีธจะเข้ามาปลดกระดุมเสื้อสูท จัดการดูแผลให้ ครู่เดียวก็หันมาบอกกับแอสตันที่มีสีหน้าเป็นห่วง
“ท่านปราชญ์ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ มีบาดแผลเพียงเล็กน้อย ส่วนที่เหลือก็เป็นรอยจ้ำแดงๆ เท่านั้น ไม่อันตรายใดๆ มีเพียงอย่างเดียวที่ดูหนักที่สุดก็คือร่างกายอ่อนแอมาก ให้พักเต็มที่สักคืนก็จะดีขึ้น”
แอสตันพยักหน้ารับ มีสีหน้าดีขึ้น ผมก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่หมอยูนิกม่าพูดอย่างนี้ ก็มันไม่ได้โดนทำร้ายนี่หว่า บอกแล้วว่าแค่รับศึกบนเตียงหนักไปหน่อยเท่านั้นเอง
ทว่าเจเนซิสมันกลับไม่ยอมพักอย่างที่หมอพูด พยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง ปากก็เรียกผู้เป็นนายไปด้วย
“อะ...องค์ชาย”
“ไม่ต้องลุกเจเนซิส นอนลงไปเถอะ” แอสตันแทรกขึ้นก่อนที่เจเนซิสจะได้นั่งเต็มตัว เจเนซิสก็เลยทิ้งตัวนอนลงไปอีกครั้ง ปากก็พูดไปด้วย
“หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยที่มาช้า”
ผมส่ายหน้า นี่มึงยังจะห่วงไอ้แอสตันอีก มึงห่วงตัวเองก่อนเถอะ โดนรีดน้ำจะหมดตัวแล้วมั้งนั่นน่ะ
“แค่เราเห็นนายกลับมาอย่างปลอดภัย เราก็พอใจแล้ว เราต่างหากที่ต้องขอโทษที่เป็นเหตุทำให้นายเดือดร้อน” แอสตันคิดเช่นเดียวกับผม พูดไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
หากแต่เจเนซิสคลี่ยิ้มบาง ว่าด้วยน้ำเสียงแผ่ว “เพื่อฝ่าบาทแล้ว หม่อมฉันเต็มใจพ่ะย่ะค่ะ”
กูว่าตอนแรกมึงไม่ได้เต็มใจหรอก มึงเพิ่งจะมาเต็มใจตอนมึงได้ทำกิจกรรมโลดโผนกับไอ้ลาร์คนั่นแหละกูว่า ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดี กูเห็นหรอกนะว่าคู่ขามึงก็เยินพอกัน ติดใจก็บอก ไม่ใช่มาบอกว่าทำเพื่อผัวเพื่อนกู
แอสตันไม่ว่าอะไรต่อ พยักหน้ารับ มองเจเนซิสครู่หนึ่งก็อดใจถามไม่ได้
“ว่าแต่... นายหนีพวกเซนไทน์ออกมาได้ยังไง ได้ยินกวินทร์บอกว่าพวกมันคุ้มกันอย่างแน่นหนาไม่ใช่เหรอ”
คำถามนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้เหมือนกัน คนอื่นๆ ก็คงอยากรู้ เพราะพอแอสตันถาม ทุกชีวิตก็หุบปากสนิท รอให้เจเนซิสพูด ทว่าเจเนซิสกลับไม่พูด เสมองไปทางอื่นราวกับต้องการปกปิดอะไรไว้จนแอสตันต้องถามออกมาอีก
“ว่าไงล่ะ นายหนีออกมาได้ยังไง”
“มันก็ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันว่าวิธีการหนีของหม่อมฉันไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าบาทควรใส่พระทัย สิ่งที่ฝ่าบาทควรสนพระทัยคือเรื่องการอพยพหนีในวันพรุ่งนี้มากกว่า หม่อมฉันหนีออกมาแบบนี้ เชื่อได้เลยว่าอีกไม่นาน พวกมันจะต้องตามมาแน่” แล้วมันก็ย้อนแอสตันเสียอย่างนั้น
แอสตันก็บ้าจี้ มันไม่ยอมตอบก็ดันไม่เซ้าซี้ เออออไปตามเรื่อง
“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่านายปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ผมลอบบุ้ยปาก เดาในใจเลยว่าวิธีที่เจเนซิสใช้จะต้องเป็นวิธีที่มันกระดากใจจะพูดแหงๆ และบทสนทนาก็ควรจะจบลงที่เจเนซิสถูกปล่อยให้พักผ่อนแท้ๆ ทว่าริชาร์ดที่ยืนมองอยู่นานก็พาลสงสัยขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นหมอยูนิกม่าพยุงเจเนซิสขึ้นนั่งเพื่อจะให้กินยาอะไรบางอย่าง
“สะโพกเป็นอะไรน่ะเจเนซิส”
ผมปราดมองไปที่มือของเจเนซิสซึ่งประคองสะโพกทันที เจเนซิสมีสีหน้าหม่นไปทันตา คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
“หรือว่านาย...” ริชาร์ดคราง ทำท่าเหมือนจะถามต่อ ผมเลยรีบกระทุ้งศอกใส่มันให้หุบปาก ตอนนี้เองที่มันเหมือนจะรู้สึกตัวในไม่กี่นาทีให้หลังว่าถามอะไรไม่ควรถามออกไป
ก็ควรจะรู้แหละ อาการนี้มันเป็นอาการเดียวกับที่มันเคยเป็นตอนมีอะไรกับแอสตันครั้งแรกนี่หว่า สะโพกครากน่ะ สะโพกคราก แต่ของเจเนซิสนี่ควรเรียกว่ากึ่งอัมพฤกษ์ ถ้าปล่อยมันไว้กับไอ้ลาร์คอีกวัน รับรองเลยว่านอนติดเตียงไปตลอดชีวิตแน่
“เอ่อ...ขอโทษนะที่ถามแบบนั้น” แล้วริชาร์ดก็ทำสีหน้ารู้สึกผิด เจเนซิสยังคงฝืนคลี่ยิ้ม
“ไม่ต้องทรงกังวลพ่ะย่ะค่ะพระชายา หม่อมฉันสบายดี”
สบายดีแป๊ะอะไร มึงกลายเป็นเมียไอ้ลาร์คตลอดชีวิต มีผัวไม่ได้อีกชั่วกัปชั่วกัลป์นะเว้ย ยังจะมีหน้ามาบอกว่าไม่เป็นไรอีก!
ผมอยากจะตะโกนใส่หน้ามันอย่างนี้ฉิบเป๋ง แต่คิดๆ ดูแล้วก็ไม่เอาดีกว่า ก็ผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันได้ผัวแบบไม่ทันตั้งตัวนี่นา เงียบๆ ไว้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้น่ะดีแล้ว
“ปล่อยให้เจเนซิสได้พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทาง เดี๋ยวจะลำบาก” แอสตันตัดบทเอาดื้อๆ
ไม่มีใครขัด ทำตามที่แอสตันว่าแต่โดยดี จังหวะเดียวกับที่เจโรว์วิ่งหน้าตาตื่นมาหาลูกชายพอดี ผมเลยรีบชิ่งก่อนที่เจเนซิสมันจะฟ้องพ่อมันว่าผมยัดเยียดผัวให้
คงต้องบอกกันอีกทีว่ากูไม่ได้ตั้งใจนะ แค่แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า แต่จริงๆ ได้ผัวเป็นเจ้าชายก็ไม่เลวนะเว้ย ถึงจะเป็นเจ้าชายหื่นกามก็เถอะ คิดในแง่ดีว่ายกระดับจากเกือบจะเป็นว่าที่เมียผู้พิทักษ์มาเป็นรัชทายาทผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์ก็แล้วกัน
 
ถึงผมในแง่ดีอย่างนั้น แต่สาบานเลยว่าผมไม่ได้รู้สึกดีที่เห็นเจเนซิสอยู่ในสภาพนี้แม้แต่น้อย ดีที่อีกวันมันก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แบบว่าเดินเหินได้ตามปกติน่ะ ส่วนเนื้อตัวก็ยังมีรอยจ้ำเหมือนเดิม หากแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ กับการอพยพในครั้งนี้แต่อย่างใด ผมก็ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจมันด้วย นอกจากซึมกะทือตั้งแต่เช้า
จริงๆ ต้องบอกว่าตั้งแต่เมื่อคืนจะดีกว่า พอผมคิดว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่คีธจะได้อยู่กับผมแล้ว ผมก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน ไม่รู้จะพูดอะไรกับคีธด้วย ก็ได้แต่เงียบเช่นกัน คีธก็ทำได้แค่กอดผมไว้โดยไม่พูดไม่จา พรมจูบไม่เลิกจนกระทั่งเช้า เลยกลายเป็นว่าทั้งผมทั้งมันไม่ได้นอนกันทั้งคู่
บอกตรงๆ เลยว่าผมใจหาย ถึงจะเตรียมใจมาบ้างแล้วแต่ก็ยังคุมอารมณ์ตรงนี้ไม่ได้ ยิ่งพอถึงเวลาที่คีธต้องไปและเห็นคีธสวมบอดี้สูทเตรียมพร้อมไปยังจุดนัดรวมที่นาซาด้วยแล้ว ผมก็ชาวาบไปทั้งร่าง อยากจะเข้าไปกอด อยากจะรั้งไม่ให้ไป แต่ร่างกายกลับไม่ขยับตาม เอาแต่นิ่งมองจนกระทั่งคีธแต่งตัวเสร็จและพาผมมาที่นาซาด้วย
ซีเลนกับสองพี่น้องเปรตนั่นก็มาส่งพวกยูนิกม่าเช่นกัน ส่วนริชาร์ดก็ยังคงร้องไห้อีกเช่นเคย วันนี้ตาบวมแดงกว่าเดิมด้วยซ้ำ แถมยังควงแขนผัวเด็กไม่ห่าง ส่วนผม... ปกติก็ไม่ค่อยได้จับมือกับคีธหรอก แต่วันนี้เราจับมือกันเดินไปตลอดทาง แม้แต่ตอนที่เจโรว์กับเจเนซิสนัดแนะเรื่องแผนการปล่อยยาน พวกเราก็ยังจับมือกันแน่น
เสียงของเจโรว์ที่อธิบายว่าจะแสร้งทำให้การปล่อยยานล้มเหลวนั้นแทบไม่เข้าหัวผมเลยสักนิด แต่ก็พอจับใจความได้ว่าพวกมันจะปล่อยยานไปถึงชั้นบรรยากาศชั้นบนสุดของโลก แล้วจะทำการระเบิดส่วนท้ายของยานออก ลวงเป็นว่ายานระเบิดเพื่อไม่ให้มนุษย์โลกสงสัยว่าทำไมไม่สามารถจับสัญญาณของยานได้ แล้วให้ส่วนหัวของยานไปต่อยังที่หมาย ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก นอกจากบีบมือของคีธแรงขึ้นเมื่อมันถูกเรียกให้เข้าไปประจำการยังยานในจุดปล่อยยานซึ่งเป็นลานกว้าง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งมนุษย์ต่างดาวพันธุ์อื่นๆ ที่ผมไม่รู้จักที่ถูกเกณฑ์มาช่วยในปฏิบัติการพาแอสตันหนีด้วยซ้ำ
ริชาร์ดเองก็เช่นกัน กูรูเอเลี่ยนอย่างมันพอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็เอาแต่ร้องไห้บ่อน้ำตาแตก ไม่มีอารมณ์จะสนใจอะไรทั้งนั้น โผกอดแอสตันแน่น ขณะที่แอสตันเองก็กอดตอบแน่นไม่แพ้กัน ผมมองแล้วก็พาลอยากจะร้องไห้ขึ้นมาบ้าง แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด มีแต่ความรู้สึกคับแน่นในอกเท่านั้นที่ทำให้ผมเกือบหายใจไม่ออก
ยังไงก็ไม่อยากให้ไป... ไม่อยากให้คีธไปเลย
“กวินทร์...” คีธเรียกผมเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมปล่อยมือขณะที่พวกยูนิกม่าคนอื่นๆ ทยอยเข้าไปประจำการในยานเป็นที่เรียบร้อย
ผมหันไปมองหน้าคีแล้วก็ต้องเม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจถามมันอีกที
“คีธ... นายไม่ไปไม่ได้เหรอ อยู่กับฉัน อยู่กับคีตาที่นี่ ไม่ต้องเป็นผู้พิทักษ์แล้วไม่ได้หรือไง”
สายตาของคีธแลดูเจ็บปวด มันก็คงอยากจะพูดเหมือนกันแหละว่าทำไม่ได้ แต่ไม่พูด เอาแต่พ่นลมหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าแทน ท่าทางของมันทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมปวดหนึบขึ้นไปอีก พลันพึมพำออกมาเบาๆ
“ยังไงก็ต้องไปสินะ”
“ฉันจะกลับมานะกวินทร์ ไม่ต้องห่วง” แล้วคีธก็ทำได้ดีที่สุดคือการพูดประโยคเดิมซ้ำๆ
บอกเลยว่าผมไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากให้มันพูดอีกว่ามันจะกลับมาเพราะผมไม่ได้อยากให้มันไป จะไปเร็วหรือไปช้าก็ไม่อยากให้ไปทั้งนั้น ผมอยากให้มันอยู่ที่นี่ ไม่งั้นก็ให้ผมไปด้วยก็ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง
ให้ตายเถอะ... เกลียดการจากลาชะมัดเลย
“กวินทร์...ฉันต้องไปแล้ว” คีธเตือนผมอีกครั้งเมื่อผมไม่ยอมปล่อยมือ
ผมยังคงยืนนิ่ง ไม่อยากปล่อยมือเลย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนน พยักหน้าแล้วคลายฝ่ามือออกแต่โดยดี
“ดูแลตัวเองด้วย” และนี่คือประโยคสุดท้ายที่หลุดออกจากปากผม ผมไม่กล้าจะบอกรักมันเพราะกลัวว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เหมือนริชาร์ด
คีธดึงผมเข้าไปจูบริมฝีปากและหน้าผาก บอกรักเป็นครั้งสุดท้าย
“ฉันรักกวินทร์นะ รักคีตาด้วย”
“อืม” ผมครางรับ ตอนนี้เสียงเริ่มสั่นจนต้องแสร้งมองไปทางอื่นด้วยไม่อยากให้น้าไหลออกมา ก่อนจะผละออกจากมันโดยเร็ว
ส่วนริชาร์ดก็จำต้องผละจากแอสตันเหมือนกันเมื่อเจเนซิสมาตามให้แอสตันเข้าไปด้านในได้แล้ว ผมเสมองเพื่อนแล้วก็หันกลับมามองคีธที่ยืนมองผมอยู่ด้วยสายตาเป็นห่วง
“นายก็ไปเถอะ... คนอื่น... เข้าไปกันหมดแล้ว” ผมว่าเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ รู้สึกได้ว่าเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกที่คอ
คีธทำท่าจะคว้าผมเข้าไปกอด แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงถอยหนี คงจะเป็นเพราะกลัวว่าถ้าถูกมันกอดอีกครั้ง ผมจะร้องไห้ก็ได้มั้ง อย่างที่บอกว่าผมไม่อยากให้มันจดจำภาพผมแบบไม่ค่อยดีก่อนจาก ดังนั้นผมจึงไม่อยากร้องไห้ให้มันเห็น ให้มันเห็นด้านที่เข้มแข็งจะดีกว่า เวลามันไป จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมจะอยู่ได้มั้ยอะไรเทือกนี้
“กวินทร์...” คีธเรียก ดูท่าทางมันอยากจะกอด แต่ผมกลับตอบมันเสียงเรียบ
“ไปได้แล้ว คนอื่นรออยู่”
คีธยังไม่ไป มองหน้าผมอยู่นาน จนซีเลนที่ยืนมองอยู่กับสองพี่น้องไบโทปต้องแทรกขึ้น
“ไปเถอะนายน่ะ เดี๋ยวฉันช่วยดูแลกวินทร์ให้ ลูกนายด้วย พวกนี้ก็จะช่วยดูแลเหมือนกัน” ว่าพลางหันไปทางบรูคลินกับเบน สองคนนั้นก็พยักหน้าให้คีธเป็นเชิงว่าไม่ต้องเป็นห่วง
คีธจำใจพยักหน้า ก่อนทำความเคารพซีเลน
“ขอบพระทัยองค์ชายที่เมตตา”
ขอบคุณเสร็จก็สบตาผม ก่อนจะหันหลังให้ผมเมื่อได้ยินเสียงเจเนซิสร้องเร่ง ผมเห็นแผ่นหลังกว้างค่อยๆ ก้าวจากไปแล้วก็เข่าแทบทรุด อยากจะวิ่งเข้าไปลากมันออกมาแล้วพามันวิ่งหนีชะมัด ช่างหัวผัวไอ้ริชาร์ดมันเถอะ จะโดนเซนไทน์จับทำเมียหรืออะไรก็ช่าง ขอแค่ผมได้มีคีธอยู่ข้างตัวก็พอแล้ว ใครจะว่าเห็นแก่ตัวก็เอาเลย
แต่... ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เอาแต่มองคีธเดินจากไปเงียบๆ
คีธหันมามองผมอีกครั้งทันทีที่ก้าวเท้าเกือบถึงประตูยาน ผมมองตอบแล้วก็หลับตานิ่ง ข่มใจตัวเองไม่ให้วิ่งเข้าไปกอดมันอย่างเต็มที่ เจเนซิสที่ยืนรอปิดประตูยานอยู่พยักหน้าเป็นสัญญาณบอกคีธว่าถึงเวลาแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่คีธจะได้เดินเข้าไปข้างใน เสียงระเบิดดังตูมจากอาคารหลังหนึ่งซึ่งไม่ไกล เรียกว่าใกล้เลยจะดีกว่าเพราะเศษซากอาคารเหล่านั้นกระเด็นกระดอนมาถึงบริเวณที่ผมยืนอยู่ด้วย พวกมนุษย์ต่างดาวพันธุ์อื่นๆ ที่มาช่วยหนีตายกันอย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่ผมกับริชาร์ดนี่แหละที่หนีไม่ทัน ทว่าพริบตาเดียว ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกระชากบางอย่างที่ฉุดผมตัวลอยก่อนจะกระแทกลงไปบนพื้น เสียงดังเคร้งของเศษอิฐกระเด็นใส่เหล็กดังขึ้นใกล้ๆ ผมตั้งสติได้จึงเห็นว่าต้นเหตุของเสียงนั้นมาจากการที่ชิ้นส่วนของอาคารตกกระทบแผ่นหลังของคีธซึ่งบัดนี้มีเกราะสีเงินกางสยายบังผมอยู่นั่นเอง ขณะที่มันอยู่ในท่าคร่อมผมเอาไว้
“ไม่เป็นไรนะกวินทร์”
ผมพยักหน้าให้เป็นคำตอบอย่างเหวอๆ ด้วยจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะฉุกคิดถึงริชาร์ด
“แล้วริชาร์ด...”
“พระชายาทรงปลอดภัย” คีธว่า เบือนสายตาไปข้างๆ พอผมหันไปมองบ้างก็เห็นว่ามันถูกซีเลนกับพวกไบโทปคร่อมบังสะเก็ดระเบิดให้อยู่เหมือนกัน ผมเลยโล่งใจไป
พอทุกอย่างสงบลง คีธก็พยุงผมให้ลุกขึ้นยืน
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” และนี่คือคำถามแรกทันทีที่ผมทรงตัวได้
คีธส่ายหน้า หากแต่ครู่เดียวก็คว้าตัวผมเข้าไปใกล้ สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาฉับพลัน พวกยูนิกม่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในยานก็พากันกรูออกมาอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังเรียกแอสตันที่วิ่งเข้าไปประคองริชาร์ดเสียงหลง
“องค์ชาย เสด็จมาตรงนี้เร็วเข้าพ่ะย่ะค่ะ!”
แอสตันไม่รอช้า ลากริชาร์ดเข้าไปกลางวงผู้พิทักษ์อย่างรวดเร็ว ริชาร์ดเองก็ดูไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ทำท่าจะถามแต่แอสตันก็คว้ามันเข้าไปกอดเสียก่อนเลยไม่ได้คำตอบ ทว่าไม่ต้องตอบให้ยุ่งยาก ผมก็พอจะเดาได้ละว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อหูได้ยินเสียงระเบิดของอาคารอีกแห่งดังตามมาพร้อมกับเสียงสัญญาณเตือนภัย
เกราะสีเงินปรากฏทั่วร่างของคีธอีกครั้ง มีเพียงบริเวณใบหน้าเท่านั้นที่ไม่มีแผ่นเกราะ มือก็ปรากฎหอกอย่างที่ผมเคยเห็นด้วย และไม่ใช่แค่มันเพียงคนเดียวที่คืนร่างเดิม ยูนิกม่าทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แอสตันก็เช่นกัน ริชาร์ดดูตื่นเต้นกว่าปกติ และก็ต้องตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อหูทั้งสองได้ยินเสียงดังฟึ่บฟั่บเหมือนมีตัวอะไรกระโดดไปมา ใจผมเดาได้เลยทันทีว่าไอ้ต้นเสียงกระโดดเมื่อครู่จะต้องเป็นต้นเหตุของการระเบิดของอาคารเมื่อครู่ด้วย
เดาได้ยังไม่ทันจบดี ต้นตอตัวทำเสียงก็ปรากฎตัวให้เป็นเป็นตัวเป็นตนหลังม่านควันที่ลอยตัวสูงขึ้น ผมเพ่งมองไปเห็นชายร่างสูงในชุดเกราะสีดำคุ้นตาหลายสิบชีวิต ไม่สิ... ไม่ใช่หลายสิบ เป็นร้อยเลยดีกว่า พวกนั้นวิ่งเข้ามารายล้อมพวกเราไว้ คีธรีบดึงผมถอยไปรวมกับพวกแอสตันทันที ขณะที่พวกยูนิกม่าเตรียมพร้อมรับมือกับเซนไทน์ที่บุกมากะทันหันอย่างรวดเร็ว
“องค์ชาย ระวังพระองค์ไว้นะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้พิทักษ์คนหนึ่งร้องบอกแอสตัน
ผมนี่อยากจะหันไปบอกมันเหลือเกินว่าที่พวกเซนไทน์บุกมาอย่างนี้ มันคงไม่ได้มาตามหาแอสตันหรอก มันมาตามตัวเจเนซิส! ผมโคตรมั่นใจเลยเพราะผมเหลือบเห็นสีหน้าของเจเนซิสที่ยืนอยู่ใกล้กับแอสตันมีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาฉับพลัน
ก็มึงหนีผัวมา ผัวมึงมาตามก็ถูกแล้ว!
และก็จริงอย่างที่ผมคิดเสียด้วยเมื่อกลุ่มเซนไทน์อีกกลุ่มปรากฏให้เห็น แต่อะไรก็ไม่เด่นเท่าเซนไทน์ตัวที่เดินอยู่ตรงกลางด้วยท่าทางดุจเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ก็ไอ้ลาร์คนั่นแหละ ตอนนี้สีหน้ามันบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรไม่สบอารมณ์เลยที่เมียหนีมา ปกติมันก็น่ากลัวอยู่แล้วนะ ตอนนี้ที่มันอยู่ในร่างเดิมยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แล้วมันก็เพิ่มความน่ากลัวขึ้นไปอีกเมื่อมันเดินแหวกลูกน้องที่ล้อมเราอยู่เข้ามา ตะโกนเสียงกร้าวราวกับว่ากลัวคนอื่นจะไม่ได้ยิน
“คิดว่าหนีฉันมาแบบนี้จะหนีรอดหรือไง แอสโซซิโน!”
ยูนิกม่าทุกชีวิตสะดุ้งเฮือก สะดุ้งหนักที่สุดคือแอสตันที่อยู่ตรงกลางพร้อมมีริชาร์ดเกาะแน่นเป็นเห็บ คือทุกคนที่ไม่ใช่เซนไทน์ก็รู้นั่นแหละว่าลาร์คหมายถึงเจเนซิส เพราะตอนที่มันพูด มันเอาแต่มองหน้าเจเนซิสที่ทำหน้าตกใจประหนึ่งเห็นผี ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ในชั่วพริบตา
ตอนนี้คงใช้คำว่า ‘แอสตัน ผัวมาตาม!’ ไม่ได้แล้วล่ะ ต้องบอกว่า ‘เจเนซิส ผัวมาตาม!’ แม่ง มาตามคนเดียวก็ไม่ได้ แห่กันมาเป็นฝูง แถมยังระเบิดอาคารเป็นการขู่อีกต่างหาก
มึงนึกว่าเป็นตัวร้ายในละครของอาหลองหรือไงวะถึงได้ระเบิดภูเขา เผากระท่อมหน้าตาเฉยเนี่ย! มึงอยากได้เมียมึงคืนก็บอกดีๆ กูจะเอาใส่พานประเคนให้เลย อย่าทำลายโลกกูนะเว้ย!
ทว่าเจเนซิสก็ยังคงทำเฉย เฉยจนผมอยากเข้าไปกระโดดเตะก้านคอมันให้สลบแล้วจับส่งใส่มือลาร์ค บอกให้มันเอาไปแล้วไสหัวไปให้ไวเหลือเกินก่อนที่ลาร์คจะตัดสินใจระเบิดอะไรขึ้นมาอีก แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละเพราะลาร์คมันพูดขึ้นมาก่อน
“เดินมาหาฉันเดี๋ยวนี้แอสโซซิโน ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!” มันยังคงออกคำสั่ง
เจเนซิสแม่งก็หน้าด้าน ผัวมาตามขนาดนี้ยังทำเฉย เฉยจนคนอื่นๆ เริ่มเลิ่กลั่กกันละว่าจะเอายังไงต่อดี คนอื่นที่ว่าก็คือผมกับริชาร์ดนี่แหละ นับบรูคลินกับเบนที่อยู่ในร่างเปรตวัดสุทัศน์เข้าไปด้วยก็แล้วกัน ให้เดานะ ริชาร์ดมันก็คงจะกลัวว่าถ้าเจเนซิสไม่ทำตามสั่ง ผัวมันจะถูกลากไปแทน ส่วนผมก็เลิ่กลั่กเพราะกลัวว่าพวกเซนไทน์จะบ้าคลั่งทำร้ายขึ้นมา แล้วผมจะซวยไปด้วย ซวยแค่ผมคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ในร่างกายผมไม่ได้มีแค่คนเดียวแล้วไง ยังมีคีตาด้วย ถ้าถูกลูกหลงแล้วไข่คีตาแตกขึ้นมาจะทำยังไง!
“มันมาตามถึงขนาดนี้แล้วก็ไปสิวะ” แล้วผมก็อดไม่ได้ กระซิบเสียงเบาใส่ แต่บังเอิญอยู่ข้างหลังแอสตันกับเจเนซิสพอดี ริชาร์ดมันก็เลยเข้าใจว่าผมหมายถึงให้ผัวมันออกไป มันเลยหันหน้ามามองผมตาขวาง
“เควิน... นายก็ส่งคีธไปสิ” แถมยังมีหน้ามายอกย้อนผมเสียงแข็งอีก ผมนี่จึ๊ปากใส่มันอย่างหงุดหงิดเลย
กูไม่ได้หมายถึงผัวมึง กูหมายถึงไอ้เจเนซิส! มึงนี่ดูรอยช้ำบนตัวมันแล้วยังไม่รู้อีกเหรอวะว่ามันโดนไอ้ลาร์คปู้ยี่ปู้ยำมาขนาดไหน ฟิฟตี้เฉดออฟลาร์ค ฉบับโคตรซาดิสม์ชัดๆ แต่คือมันก็ชอบไง ไม่งั้นไอ้ลาร์คก็คงไม่ช้ำพอๆ กันหรอก อย่างผัวมึงน่ะ หน่อมแน้มขนาดนี้ โดนแส้ฟาดทีเดียวก็ตายคาเตียงแล้ว! สติโว้ยสติ! มึงจงตั้งสติ อย่าหวงผัวจนพาลเพื่อนนะไอ้เจ๊ก!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 35: Ambassador of Uniquema[2]
พูดถึงเรื่องช้ำ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าบริเวณไหล่ข้างซ้ายของลาร์คมีรอยถูกแทงอยู่ คือมันก็ใส่เกราะนั่นแหละ แต่ลักษณะเกราะดูเหมือนแตกและมีของเหลวไหลซึมออกมาจากช่องเกราะที่แตกนั้น ผมย่นคิ้วอย่างสงสัยว่าอะไรจะไปทำให้เกราะของพวกมันแตกได้
แต่สงสัยได้ไม่นาน ลาร์คมันก็ให้คำตอบโดยไม่ต้องถาม
“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าถ้าจะฆ่าฉัน ต้องฆ่าให้ตาย ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ปล่อยนายไป จำไม่ได้หรือไงแอสโซซิโน!”
แอสตันสะดุ้งอีก สะดุ้งทุกครั้งที่ถูกเรียกชื่อนั่นแหละทั้งที่มันก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่ได้หมายถึงมัน เจเนซิสเองก็เบือนหน้าหนี ริมฝีปากเม้มนิ่ง ผมมองอย่างจับผิดทันที
รอยเกราะที่แตกนั่นคงเป็นฝีมือมึงสินะไอ้เจเนซิส ไอ้เมียชั่ว! ทำเป็นฆ่าไม่ตายเพราะมึงรู้ว่ามันจะมาตามล่ะสิ ติดใจมันก็บอกมา!
และเพราะเจเนซิสยังคงทำเฉยเมย ลาร์คก็เลยสติแตก จ้องเจเนซิสตาเขม็งก่อนจะว่าเสียงต่ำ
“ฉันจะให้เวลานายก้าวออกมาแค่นับสามเท่านั้น...หนึ่ง...” แล้วมันก็เริ่มนับแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้านสักคำ
เจเนซิสดูตระหนกขึ้นมาในตอนนี้ หากแต่ก็ยังเฉย ...เฉยจนน่าโดนถีบ!
“สอง...”
“เจเนซิส ไปสิวะ” ผมกระซิบบอกมัน อยากจะดันหลังมันให้ออกไปจากวงด้วย แม่ง ไม่ยอมไปแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ซวยกันหมดหรอก
แต่มันไม่ฟัง ยูนิกม่าคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครยุให้มันไป เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนตั้งท่ารอรับการโจมตีอย่างเดียว แอสตันรีบหันไปว่าเสียงเบากับซีเลนกับพี่น้องไบโทปที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที
“เสด็จพี่ หม่อมฉันฝากริชาร์ดด้วย”
ซีเลนพยักหน้า ก่อนริชาร์ดจะถูกดันหลังให้เข้าไปหาซีเลน คีธเห็นอย่างนั้นก็ดันผมไปอยู่กับริชาร์ดด้วย ก่อนจะว่าเสียงเบา
“ฝากกวินทร์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“บรูคลินดูกวินทร์ เบนดูริชาร์ดแล้วกัน ฉันจะคอยระวังหลังให้” แล้วซีเลนก็ออกคำสั่งกับเมียๆ ตัวเอง
ผมเบ้ปากรัวๆ ทำไมจะต้องให้อริเก่ามาปกป้องด้วยวะ! แต่ไม่มีทางเลือกละ เพราะแค่ผมเดินเข้าไปหาบรูคลิน ลาร์คก็นับสามพอดี
“สาม!”
สิ้นเสียงเท่านั้น บรรดาเซนไทน์ที่รายล้อมอยู่ก็พร้อมใจกันกรูเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกยูนิกม่าก็ไม่น้อยหน้า ดาหน้าเข้าไปรับมือเหมือนกัน แต่ทำได้ไม่เต็มที่นักเพราะต้องปกป้องแอสตันด้วย แอสตันเองก็สู้นั่นแหละแต่ดูท่าจะมีฝีมือไม่เก่งเท่าพวกผู้พิทักษ์ ส่วนเจเนซิสนี่ก็สู้เหมือนกัน ทว่าพวกเซนไทน์ไม่ทำร้ายเจเนซิส แค่จ้องจะจับเป็นเท่านั้น
แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว วิ่งหน้าตั้งทันทีที่คีธบอกให้วิ่งโดยมีบรูคลินวิ่งตามมาติดๆ ริชาร์ดเองก็วิ่งไปกับเบน ส่วนซีเลนก็คอยระวังหลังให้เพราะพวกเซนไทน์ไม่ได้เล่นงานแค่พวกยูนิกม่าเท่านั้น เล่นงานพวกเราด้วย ผมเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้เองว่าพวกเซนไทน์ไม่ยอมฆ่ายูนิกม่าอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อมีโอกาส ทำแค่ทำร้ายให้หมอบไปเท่านั้น กระนั้นก็ไม่สำคัญอยู่ดีเมื่อซีเลนตะโกนขึ้น
“พากวินทร์กับริชาร์ดกลับไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับลาร์ซิโอนีย์!”
มันก็คงจะไปเจรจาต่อรองให้พี่ชายมันหยุดวีรกรรมชิงเมียนั่นแหละ บรูคลินกับเบนพยักหน้ารับรัวๆ ร้องบอกให้ผมกับริชาร์ดวิ่งตามไปอีกทาง ทว่าวิ่งมาได้ไม่เท่าไหร่ พวกเราก็โดนเซนไทน์สกัดข้างหน้า บรูคลินกับเบนชะงักกึก ถอยมาบังผมกับริชาร์ดเอาไว้ราวกับจะช่วยป้องกัน
“ถ้าฉันสู้ไม่ได้ ก็วิ่งหนีไปเลยนะ” บรูคลินบอกผมโดยไม่มองหน้า
กูรู้อยู่แล้วล่ะว่าพวกมึงสู้ไม่ได้แน่ ไม่งั้นพวกมึงจะกลัวเซนไทน์จนต้องอพยพหนีมาเหรอ ส่วนไอ้เรื่องวิ่งนี่ก็ไม่ต้องบอก มึงโดนพวกมันรุมเมื่อไหร่ กูก็เผ่นแน่บก่อนล่ะ!
แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเซนไทน์จู่โจมบรูคลินกับเบนโดยไม่ทันที่สองคนนั้นจะตั้งตัว ผมก็ใส่เกียร์หมาวิ่งไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องเรียกริชาร์ดให้วิ่งตามมาด้วย ทว่าไอ้บ้าริชาร์ดแม่งดันทำตัวงี่เง่าเอาตอนนี้ วิ่งอยู่ดีๆ สะดุดหกล้ม เลยกลายเป็นว่ามันถูกเซนไทน์จับได้ก่อนคนแรก พอผมหันไปมองมันอย่างตกใจ ผมก็เลยซวย โดนจับไปอีกคน
ทำอะไรของมึงเนี่ยไอ้ริชาร์ด! มันใช่เวลาจะมาหกล้มมั้ย!
หงุดหงิดเลย... แม่งหงุดหงิดเลย ที่หงุดหงิดก็เพราะรู้น่ะว่าที่พวกเซนไทน์มาจับตัวผมกับริชาร์ดเนี่ย ก็หวังจะเอาใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง ถึงจะเป็นมนุษย์โลกธรรมดาในสายตาพวกมัน แต่เห็นพวกผมมาอยู่ในกลุ่มพวกยูนิกม่า พวกมันก็เดาได้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมีความสำคัญอะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายแน่
ลาร์คแสยะยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกน้องพาผมกับริชาร์ดกลับมายืนในบริเวณที่มันยืนอยู่ ก่อนมันจะประกาศกร้าวอีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากให้โฮสต์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พวกนี้ตาย ก็ส่งตัวแอสโซซิโนมา!”
เท่านั้นแหละ ทุกชีวิตชะงักกึกเลย คนที่ดูเดือดร้อนที่สุดคือแอสตันที่ร้องลั่นอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเมียมันถูกจับ
“ริชาร์ด!”
แล้วก็ตามมาด้วยคีธที่เบิกตาโพลงทันทีที่เห็นผมถูกจับไปอีกรอบหลังจากที่เคยถูกจับเป็นตัวประกันไปครั้งนึงแล้ว
มึงไม่ต้องมามองกูเลยไอ้คีธ มึงไปโทษไอ้ริชาร์ดโน่น กูไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองโดนจับนะเว้ย!
“ส่งแอสโซซิโนมา” ลาร์คว่าขึ้นอีกครั้งขณะที่ทุกคนยังอึ้งอยู่
บรรยากาศกดดันไหลเวียนเข้ามาทันที แอสตันย่นคิ้วยู่ ก่อนจะสะกิดไหล่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่ยืนขวางหน้าอยู่
“องค์ชาย...” คนถูกสะกิดครางเมื่อเห็นว่าแอสตันจะเดินออกจากวง
“นั่นพระชายาของเรา เราจะไป” แอสตันว่าหนักแน่น ทำท่าจะเดิน ทว่าคีธก็เข้ามาขวาง
“องค์ชาย... พระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“จะให้เราใจเย็นอีกได้ยังไงคีทาเย! นั่นคนของเรา! คนรักของเรา!” แอสตันคลั่งไปเล็กน้อย คีธก็เลยยอมถอย ปล่อยให้แอสตันเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าลาร์ค
ลาร์คงุนงงไปครู่เมื่อเห็นว่าคนที่เดินออกมาไม่ใช่เจเนซิสอย่างที่คิด ทว่าปากก็ครางเรียกชื่อจริงแอสตันไปด้วย
“แอสโซซิโน?”
“ใช่ ฉันนี่แหละแอสโซซิโน รามูเอลี ที่ 8 ที่นายตามหา” แอสตันว่าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สายตาปรายมามองยังริชาร์ดที่มองมันอย่างเป็นห่วง ก่อนจะว่าขึ้นมาอีกครั้ง “ได้ฉันไปแล้วก็ปล่อยตัวริชาร์ดซะ”
ลาร์คนิ่ง เหมือนมันรู้แล้วล่ะว่าแอสตันคือคนที่มันตามหามานานแสนนาน และคือคนที่มันเคยฉุดไปปล้ำตอนเด็กๆ แต่มันกลับไม่สั่งให้พวกเซนไทน์มาจับแอสตัน ย่นคิ้วมองอย่างไม่สบอารมณ์เท่านั้น
“หน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากตอนเด็กมากนัก แต่ฉันไม่ได้ต้องการตัวนาย ฉันต้องการตัวพระชายาของฉัน”
“พระชายา?”
“เจเนซิส”
คำตอบของลาร์คทำเอาทุกคนหันไปมองเจเนซิสที่ยืนนิ่งอยู่ทันที เจเนซิสรีบหันหนี ผมเห็นแล้วก็อยากจะแหกปากใส่มันเหลือเกินว่า ‘มึงอย่าทำเป็นเล่นตัวนะเว้ย! ผัวมาตามแล้วก็รีบๆ กลับไป มันลำบากพวกกูเนี่ย!’
ทว่าแอสตันเองก็ไม่ต้องการให้เจเนซิสมารับเคราะห์เพราะตัวเองอีก เลยโพล่งขึ้นมา
“นั่นเป็นปราชญ์ของเรา คนที่นายตามหาคือเรา ดังนั้นก็พาเราไป ไม่ใช่คนอื่น”
ริชาร์ดทำหน้าเหมือนเห็นผีที่ผัวตัวเองพูดแบบนี้ คราวนี้ผมอยากจะด่ามันบ้างแล้วล่ะว่า ‘เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้ผัวมึงซวย มึงจะวิ่งหกล้มหาพระแสงของ้าวทำไม!’
โอย...หงุดหงิด ทำไมมันไม่ได้ดั่งใจสักคนเลยวะ!
ลาร์คเองก็คงจะหงุดหงิด มันเดินเข้าไปหาแอสตันแล้วว่าหน้าเครียด
“ตอนแรกฉันต้องการนาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ฉันอยากได้ ‘เมีย’ ฉันคืน!”
เน้นคำว่า ‘เมีย’ ชัดถ้อยชัดคำมาก แอสตันยังคงเฉย แถมยืนกรานคำเดิมอีกว่าจะไม่ยกเจเนซิสให้
“อย่าลากคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาเกี่ยว พวกนายต้องการเรา ก็พาเราไป”
ตอนนี้ริชาร์ดลมจะใส่ไปเรียบร้อยที่ผัวมันถวายตัวเป็นเมียให้ลาร์ค ผมพอจะเข้าใจแอสตันนั่นแหละว่ามันพยายามปกป้องทั้งริชาร์ด ปกป้องทั้งเจเนซิสและยูนิกม่าคนอื่นๆ ในฐานะเจ้าชาย
แต่มึงฟังไม่รู้เรื่องหรือไงว่าไอ้ลาร์คมันไม่อยากได้มึงเว้ย! มันจะเอาเจเนซิส มึงก็ส่งๆ ไปให้มันซะที กูโดนจับจนตะคริวจะกินทั้งร่างอยู่แล้วเนี่ย!
ลาร์คชักจะหัวเสียหนัก กระชากแอสตันเข้ามาใกล้อย่างแรง พวกผู้พิทักษ์ยูนิกม่าฮึดฮัดขึ้นมาทันทีที่เห็นเจ้านายตัวเองถูกทำร้าย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพวกเซนไทน์ที่ประจันหน้าอยู่ก็พร้อมจะจู่โจมเช่นกัน ก่อนเสียงของลาร์คจะดังขึ้น
“ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของการเกี่ยวดองกันระหว่างเซนไทน์และยูนิกม่าแล้ว ฉันไม่ได้ต้องการนาย”
“แล้วนายจะต้องการเจเนซิสไปทำไม” แอสตันถามย้อนอย่างไม่เกรงกลัว คำตอบก็ได้เช่นเดิม
“ฉันต้องการเมียฉันคืน”
เจเนซิสก้มหน้าเลยคราวนี้ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ากระอักกระอ่วนแค่ไหน ส่วนผมก็เริ่มหงุดหงิดแทนลาร์คละ
มึงไปหาผัวมึงซะที เล่นตัวอยู่ได้ กูรำคาญแล้วนะเว้ย!
“เราคงจะต้องปฏิเสธ เจเนซิสเป็นของนายเพราะปกป้องเรา เราคงจะให้เจเนซิสไปอีกไม่ได้” แอสตันแม่งก็ยืนกรานคำเดิม
ตอนนี้ลาร์คผลักแอสตันเสียกระเด็น คีธรีบถลาเข้ามาฉุดแอสตันลุกขึ้นโดยไม่เกรงกลัวพวกเซนไทน์ที่ทำท่าจะจู่โจมสักนิด ผมใจหายวาบด้วยกลัวว่ามันจะถูกทำร้าย ดีที่ไม่มีอะไร นอกจากลาร์คที่แผดเสียงอย่างเหลืออด
“ถึงนายจะไม่ให้ ฉันก็จะเอาเจนิสคืน เจนิสเป็นของฉัน!”
เจนิส... เดี๋ยวนะ พวกมึงไปอยู่ด้วยกันไปกี่วันนี่สนิทกันถึงขนาดเรียกชื่อเล่นแล้วเหรอวะ!?
แล้วลาร์คก็หันไปเล่นงานเจเนซิสแทนเมื่อทำอะไรแอสตันไม่ได้ด้วยการออกคำสั่งเสียงลั่น
“กลับมานี่เดี๋ยวนี้เจนิส!”
“ทำไมฉันต้องกลับไปหาคนที่จ้องจะทำลายพวกฉันด้วย!” เจเนซิสตะโกนกลับ
“ก็นายเป็นของฉัน!” ลาร์คเองก็แหกปากใส่เช่นกัน
“ฉันไม่ใช่ของนาย!”
“ถ้าไม่ใช่ของฉัน แล้วนายจะเป็นของใคร พวกยูนิกม่าผูกพันได้คนเดียว นายผูกพันกับฉันไปแล้ว ยังไงนายก็เป็นของฉัน!”
ผมล่ะอยากให้มันไปคุยกันสองคนฉิบเป๋ง เถียงกันไปมาข้ามหัวชาวบ้านแบบนี้ เหมือนผัวเมียทะเลาะกันในตลาดไม่มีผิด แถมยังขุดเรื่องในมุ้งออกมาเถียงกันโดยไม่อายอีกต่างหาก ตอนนี้ก็เลยรู้กันทั้งบางเลยว่าเจเนซิสเสร็จลาร์คไปแล้ว
หนักว่านั้นคือเจเนซิสสบถหยาบคาย แล้วสวนคืนอย่างไม่แคร์
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ของนาย! ถ้าต้องเป็นของนาย ฉันยอมตายดีกว่า!”
มึงนี่ก็เล่นตัวจริงโว้ย! กูนี่รำคาญจนอยากจะเข้าไปลากมึงมาให้มันจะแย่แล้ว เลิกเล่นตัวซะที!
ไม่ใช่แค่ผมที่รำคาญ ลาร์คก็รำคาญเมียตัวเองเช่นกัน นอกเหนือจากรำคาญคือโกรธจนตัวสั่น ผมเห็นมือทั้งสองของมันกำแน่น ก่อนมันจะกระโดดตัวลอยในอากาศและพุ่งเข้าไปหาเจเนซิสด้วยความเร็วชนิดจับตามองไม่ทัน รู้ตัวอีกที เจเนซิสก็อยู่ในอุ้งมือของมันแล้ว
เจเนซิสตกใจ รีบผลักลาร์คออก ทว่ากลับถูกจับต้นแขนแน่น
“ปล่อย...”
“ฉันจะปล่อยเมียตัวเองได้ยังไง” ลาร์คทำทุกคนอึ้งด้วยการพูดเสียงต่ำ ต่ำแบบ...ฟังยังไงก็ดูอ่อนโยน แต่หน้าตามันไม่ใช่เลย หน้าตานี่บ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมฆ่าเมียตัวเองมาก ท่าทางมันก็ไม่ใช่ อีกนิดเดียวมันจะหักกระดูกไอ้เจเนซิสแล้วชัดๆ
เจเนซิสเบ้หน้าเหยเกด้วยเจ็บปวดจากแรงบีบ แต่ก็ยังกัดฟันพูด
“ฉันไม่ใช่เมียนาย ปล่อย!” พูดจบก็เริ่มดีดดิ้น
พวกยูนิกม่าคนอื่นตั้งท่าจะเข้ามาช่วย ทว่าแค่ลาร์คชำเลืองสายตาไปมองนิดเดียว พวกเซนไทน์ก็กรูกันเข้ามาล้อมมันกับเจเนซิสไว้ กันไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งทันที
ลาร์คหันกลับมามองหน้าเจเนซิสอีกครั้ง ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะช็อคโลกด้วยการเอ่ยประโยคที่ไม่มีใครคาดคิดขึ้นมา
“หยุดหนีซะทีเจนิส นายกำลังท้องอยู่นะ จะพาลูกหนีพ่อได้ยังไง ถึงนายจะบอกว่าไม่ใช่เมียฉัน แต่ในท้องนายน่ะ มันลูกของฉัน! ได้ยินมั้ยว่าในท้องนายน่ะลูกฉัน!”
เจเนซิสเบิกตาโพลง ไม่อยากจะเชื่อว่าลาร์คจะพูดแบบนี้ คนอื่นๆ ก็นิ่งค้างอย่างตกตะลึงเช่นกันด้วยไม่คาดคิดว่าการที่เจเนซิสถูกผูกพัน มันจะโดนวางไข่ด้วย ส่วนผมก็อ้าปากค้างไปเรียบร้อย
ผัวมึงไม่ได้มาตามแค่เมียอย่างมึงอย่างเดียวแล้วไอ้เจเนซิส มาตามลูกด้วย นี่มึงหอบลูกหนีผัวมาเลยเหรอวะ!
“กลับมาหาฉัน ฉันรับปากว่าจะดูแลนายกับลูกเป็นอย่างดี แต่ถ้านายไม่กลับมา รับรองเลยว่าพวกยูนิกม่านี่ตายหมดแน่” ลาร์คว่าขึ้นอีกครั้ง ยอมปล่อยแขนของเจเนซิส
ทว่าแทนที่เจเนซิสมันจะยอม มันกลับเรียกอาวุธออกมา คราวนี้ไม่ใช่หอกอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นมีดสั้นก่อนที่มันจะเอาจ่อคอตัวเอง
“งั้นนายก็จะได้กลับไปแค่ศพฉันเท่านั้น”
ลาร์คตาค้าง ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที ผมนี่อยากจะด่ามันฉิบ
ผัวมึงยอมถึงขนาดนี้ มึงก็กลับไปสิวะ จะขู่มันทำเพื่อ!?
“เอามีดออกจากคอเดี๋ยวนี้เจนิส นายอยากได้อะไรก็บอกมา ฉันจะทำให้” แล้วปฏิบัติการต่อรองกับเมียก็เริ่มขึ้น
เจเนซิสพูดอย่างไม่ใช้เวลาคิด “ปล่อยพวกเราไป แล้วอย่าตามพวกเราอีก”
“แล้วลูก...”
“ฉันจะเลี้ยงเอง”
มึงจะให้ลูกมึงไม่มีพ่อหรือไง! มันใช่เวลาจะมาหยิ่งมั้ยวะ!
“แต่นั่นลูกฉัน” ลาร์คก็ไม่ยอม เจเนซิสเลยยื่นคำขาด
“งั้นก็เอาไปแค่ศพ ทั้งฉัน ทั้งลูก”
ลาร์คกำมือแน่น ผมลุ้นให้มันตบเมียมันโทษฐานหมั่นไส้สักที แต่น่าผิดหวังที่มันไม่ตบ ยืนนิ่งราวกับสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันรักนายนะเจนิส อย่าทำแบบนี้”
ตอนนี้เองที่ผมเห็นแววตาของเจเนซิสแข็งกร้าวลงเล็กน้อย มันเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อดวงตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ตอนนี้ผมชักทนไม่ไหวละ รำคาญชะมัด
ทุกคนถอย! กวินทร์จัดการเอง!
“เลิกหยิ่งซะทีเจเนซิส ลาร์คมันอุตส่าห์ตามมาง้อถึงขนาดนี้ทั้งที่นายพยายามฆ่ามัน แถมหอบลูกหนีมาขนาดนี้ ก็ยอมๆ ไปสักที ถือว่าเป็นโอกาสเป็นทูตสานสัมพันธไมตรีระหว่างสองดาวไปเลย!” สุดท้ายผมก็แหกปากแทรกออกมา
ทุกสายตาหันมามองผมราวกับไม่เข้าใจ ผมก็เลยขยายความ
“ก็ไหนๆ เจเนซิสก็ท้องแล้ว แถมลาร์คก็บอกว่ารักมันอีก ก็ให้มันเป็นทูตสานสัมพันธไมตรีไปเลยสิ ใช้ลูกมันเป็นทูตก็ได้ พวกนายจะได้เลิกตีกันซะที ถามจริงเถอะ พวกนายนี่เคยเจรจาสงบศึกกันบ้างมั้ยฮะ หรือเอาแต่ไล่ล่ากันอย่างเดียว มีอารยธรรมก็คุยกันสิเว้ย จะเสียเลือดเสียเนื้อไปทำไม คุยสิคุย!”
ซีเลนเหมือนจะเข้าใจเป็นคนแรก มันที่ยืนดูอยู่นานเลยพูดขึ้น
“ก็ไม่เลวนะ จะว่าไปตอนที่แม่ฉันถูกพาตัวไปแต่งกันพ่อ แม่กับฉันเป็นได้แค่ตัวประกันเอง ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นทูตจากยูนิกม่า ก็น่าจะมีสิทธิมีเสียงใช่มั้ย นายก็ใช้โอกาสต่อรอง ห้ามไม่ให้พวกเซนไทน์รุกรานไปเลยสิเจเนซิส”
ผมมองซีเลนที่ยิ้มเผล่อยู่ ไม่อยากจะเชื่อว่าหื่นๆ อย่างมันจะฉลาดเหมือนกัน หากแต่แอสตันไม่เห็นด้วย มันคงกลัวว่าเจเนซิสจะลำบากอีกนั่นแหละ
“แต่ว่าเสด็จพี่ เจเนซิสจะเดือดร้อน...”
“ให้หมอนั่นตัดสินใจ ไม่ใช่นาย” ซีเลนสวนก่อนที่แอสตันจะพูดจบดีด้วยซ้ำ ก่อนจะหันไปพูดกับเจเนซิส “นายก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาไง ถึงลาร์คจะเป็นเซนไทน์และมันก็ไม่ใช่คนดีนัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ฉันก็ไม่ได้ชอบมันหรอกนะ แค่เห็นโอกาสที่พวกนายจะไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกต่อไปเท่านั้น”
คำพูดของซีเลนมีเหตุผล เจเนซิสเลยละปลายมีดออกจากคอ นิ่งคิดไปครู่ ขณะที่ลาร์คหันมาพยักหน้าให้ซีเลนเล็กน้อยราวกับขอบคุณ ส่วนซีเลนก็ยิ้มเผล่เป็นการตอบรับ ผมเลยรู้ในตอนนี้ว่ามันสองคนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แย่เท่าไหร่นัก ก็เห็นมันเคยเล่าอยู่ว่าโตมาด้วยกัน ถึงจะแยกกันอยู่แต่ลาร์คก็แวะเวียนไปหามันบ่อยๆ ที่ซีเลนไม่ชอบก็มีแค่เรื่องเดียวคือการถูกนับรวมเป็นเซนไทน์เท่านั้น
“ตกลงว่ายังไงเจนิส คำตอบของนาย...” พอเจเนซิสไม่ตอบสักที ลาร์คก็เลยถามซ้ำ
เจเนซิสสบตาลาร์คนิ่ง ไม่ยอมพูดจนลาร์คต้องย้ำ
“ฉันรักนายเจนิส รักจริงๆ ถึงจะเพิ่งเจอได้ไม่กี่วัน แต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันรู้สึกกับนายยังไง ให้โอกาสฉัน ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับนายได้”
สัญญาอะไรวะ... ต่อมเผือกนี่ทำงานทันที ยิ่งเห็นเจเนซิสมองลาร์คอย่างสับสนด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่มีใครให้คำตอบ เจเนซิสก็ตอบรับออกมาแล้ว
“งั้นทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของฉัน”
“ได้” ลาร์ครับคำทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเงื่อนไขที่ว่าคืออะไร สีหน้าแสดงออกว่าดีใจทันทีที่เห็นเจเนซิสยอมเอนอ่อน
เจเนซิสสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเหลือบมองมาทางแอสตันราวกับขออนุญาตทำตามความคิด แอสตันเพียงพยักหน้าให้เป็นสัญญาณ เจเนซิสก็พูดขึ้นต่อ
“ถ้าอย่างนั้นก็มาคุยเรื่องสนธิสัญญาสงบศึกกัน...เจ้าชายลาร์ซิโอนีย์แห่งเซนไทน์”
เออ! มึงก็สักทีเถอะ กูล่ะลุ้นให้มึงเลิกหยิ่งจนเบื่อแล้ว!
ลาร์คเผยอยิ้มออกมาในตอนนี้ บอกเลยว่าตอนมันยิ้มนี่ดูดีชะมัด ความน่ากลัวลดลงหนึ่งระดับ ก่อนมันจะโค้งรับเมียมัน
“งั้นก็เชิญว่ามาได้เลย ท่านทูตแห่งยูนิกม่า”
------------------------------------------
เหลืออีกตอนก็จะจบแล้วนะคะ มีบทส่งท้ายยาวๆ อีก 2 ตอนเน้อ อย่าลืมๆ
กวินทร์นี่ก็ผู้กำกับชะตากรรมมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ความเห็นของนางคือที่สิ้นสุด กร๊ากกกก
ใครยังตามอยู่ ส่งฟีดแบ็คกันหน่อยน้า ^^

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กรีดดดดด กรี้ดดดดดดด เจนีสป่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากเห็นฉากคลอดตุง แต่คงไม่มี :hao5:
ไปทำอะไรกันอีท่าไหนน้อ ลาร์คถึงติดใจ

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ฮาความคิดกวินทร์อ่ะ
 :jul3:

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
เจเนซิสท้องงงง!!!  o22

ถ้าไม่มีกวินทร์เรื่องนี้ไม่จบนะเนี่ยยยยยยย  :laugh:

ออฟไลน์ Zurruz

  • สาววายพันธุ์ยัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
คือ เรื่องมันจะไม่ตลกเลยถ้าไม่ได้เล่ากวินทร์ ติ๊งต๊องชิบหาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
กว้นทร์แมร่งฮาได้ใจ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
กรีดดดดด กรี้ดดดดดดด เจนีสป่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากเห็นฉากคลอดตุง แต่คงไม่มี :hao5:
ไปทำอะไรกันอีท่าไหนน้อ ลาร์คถึงติดใจ

มีฉากคลอดอยู่ในบทส่งท้ายนะตัวเอง ^^

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กรีดดดดด กรี้ดดดดดดด เจนีสป่องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อยากเห็นฉากคลอดตุง แต่คงไม่มี :hao5:
ไปทำอะไรกันอีท่าไหนน้อ ลาร์คถึงติดใจ

มีฉากคลอดอยู่ในบทส่งท้ายนะตัวเอง ^^

เย้ๆๆๆๆ ปูเสื่อรอดูค่าาาาาาาา

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ฮ่ะฮ่ะ เกือบจะจบแล้วกวินทร์ก็ยังคงเป็นตัวเอกที่ จะบอกว่าไงดี ดูอารมณ์ดีแต่นิสัยเสีย น่ารังเกียจอยู่สักหน่อย คงเส้นคงวาในการเห็นแก่ตัวดียิ่ง เหยียดเพื่อน(?) ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนบัดนี้  ฮ่ะฮ่ะนี่มันคนจริงๆ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ถ้าไม่มีกวินทร์คงก็ไม่จบจริงๆนะนี่  o13

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 36: My smelly hubby is back[1]
สรุปแล้วพวกมันก็ยอมคุยกันดีๆ หลังจากที่ผมยื่นข้อเสนอให้ แต่ถึงอย่างนั้น นาซาก็ต้องเสียอาคารปฏิบัติการไปถึงสองอาคารจากการระเบิดตามคำสั่งของไอ้บ้าพลังลาร์คที่เรียกร้องความสนใจจากเมียด้วยการทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แล้วผมก็เพิ่งมารู้เอาตอนที่พวกมันแห่กันไปบ้านพวกไบโทปเพื่อตกลงเรื่องสนธิสัญญาสงบศึกว่าที่เจเนซิสหนีออกมาจากรังรักนั่นได้ เป็นเพราะลาร์คมันท้าให้เจเนซิสฆ่ามันแล้วหนีมาตอนที่พวกมันมีอะไรกัน
พูดยังไงดีล่ะ ดีเทลก็คือไอ้ลาร์คถูกเจเนซิสยั่วเลยยอมหลวมตัวให้เจเนซิสมัดตัวเองไว้กับเตียงเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะจัดหนักจัดเต็มให้หลังจากที่มันจัดเต็มใส่เจเนซิสอย่างไม่ปราณีแล้ว และที่มันพูดว่าให้ฆ่ามันก็เพราะเล่นไปตามบทมาโซคิสเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจเนซิสมันจะทำจริง เผลอปุ๊บก็แทงฉึก แถมยังเอาชุดลาร์คมาใส่ เดินไปบอกลูกน้องผัวหน้าตาเฉยด้วยว่าจะออกไปซื้อเซ็กส์ทอยมาบำเรอผัว ถามว่าลูกน้องผัวรู้มั้ยว่ามันโกหก? ตอบเลยว่ารู้ แต่เพราะพวกมันก็รู้ว่าเจเนซิสถูกวางไข่และมีสถานะไม่ต่างจากเจ้านายมันอีกคนแล้วไง พวกมันก็เลยไม่กล้า ปล่อยให้ออกมาง่ายๆ ซะงั้น ส่วนเรื่องลูก... ได้ยินว่าก่อนที่ลาร์คมันจะยอมให้เจเนซิสจับมัด มันวางไข่ไปก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมงเอง
ผมก็ได้แต่ภาวนาแหละว่าลูกของไอ้ผัวเมียคู่ซาดิสม์-มาโซคิสคู่นี้จะไม่บ้าพลังเหมือนพวกมัน
“ว่ามาสิเจนิส อยากได้อะไร” ลาร์คที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตรงข้ามกับเจเนซิสเอ่ยขึ้น ข้างหลังมันมีพวกเซนไทน์ล้อมรอบอยู่ไม่ต่างจากเจ้าพ่อเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเจเนซิส และพวกยูนิกม่าคนอื่นๆ ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัน เจเนซิสกอดอก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูด คราวนี้มันไม่จำเป็นต้องถามความเห็นแอสตันใดๆ เพราะได้รับอนุญาตมาเรียบร้อย จริงๆ ก็คือตกลงกันก่อนหน้านี้มาแล้วเรียบร้อยน่ะ
“สนธิสัญญาคร่าวๆ มีรายละเอียดอยู่สามข้อ ข้อหนึ่ง... ห้ามพวกเซนไทน์รุกรานชาวยูนิกม่าอีก ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม”
“พระชายาของฉันเป็นชาวยูนิกม่านี่นะ ก็คงต้องตามนั้น” ลาร์คตอบรับ ผายมือเล็กน้อยเป็นเชิงให้เจเนซิสพูดต่อ
“ข้อสอง...เซนไทน์จะต้องยุติการรับพลังงานด้วยการผูกพัน ถ้าจะผูกพัน จะผูกพันได้เพียงคนเดียวเท่านั้นชั่วชีวิต”
ข้อนี้ทำเอาพวกเซนไทน์ที่อยู่ด้านหลังลาร์คทำหน้าเครียดกันขึ้นมา อย่าว่าแต่พวกเซนไทน์เลย ซีเลนที่มีเลือดเซนไทน์ครึ่งนึงยังทำหน้าเหม็นเบื่อ ทำให้เจเนซิสแทรกขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ในเมื่อกินอาหารทางปากก็รับพลังงานได้ แล้วจะรับพลังงานด้วยการผูกพันไปทำไม มันเป็นอันตรายต่อคู่ของพวกนาย นายก็รู้ เพื่อความสันติ พวกนายต้องยุติการรับพลังงานแบบนั้น”
“แต่มันเป็นหนทางที่ทำให้พวกเรารับพลังงานได้มากกว่าการกินอาหารและกักตุนพลังงานได้นานกว่า”
“ไม่ตอบรับก็ไม่ต้องคุย แล้วรับศพฉันไป” เจเนซิสขู่ฆ่าตัวเองอีกรอบ ไม่ขู่เปล่า มือก็ปรากฏมีดสั้นออกมาด้วย
ลาร์ครีบยกขาที่ไขว่ห้างลง ยกมือขึ้นพร้อมสีหน้าตื่นน้อยๆ
“ตกลง ฉันจะพยายาม เจ้าพวกนี้ก็จะพยายามด้วย” หมายถึงเซนไทน์คนอื่นๆ น่ะ
เจเนซิสก็เลยเอามีดเก็บเข้าไปได้
“ฉันรู้ว่ามันยากสำหรับพวกนาย ฉันเลยมีโครงการว่าจะผลิตยาลดความต้องการพลังงานของพวกนายลง จะได้ไม่มีปัญหาคุ้มคลั่งเพราะอดทนนานๆ ทีหลัง”
ลาร์คถอนหายใจยาวราวกับว่าปฏิเสธไม่ได้ ได้แต่โบกมือให้เจเนซิสพูดต่อ
“และข้อสาม...ฉันจะไม่ไปอยู่กับนายในฐานะตัวประกัน แต่จะไปเป็นพระชายาของนาย ดังนั้น ฉันก็จะมีอำนาจเท่าเทียมนาย เวลานายจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาและขอความเห็นจากฉันก่อน ถ้าฉันไม่เห็นด้วย ก็คือห้ามทำ”
“มันมีที่ไหนที่พระสวามีจะฟังคำทัดทานของพระชายาบ้างน่ะฮะ” ลาร์คย่นคิ้ว น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าเริ่มหงุดหงิดละ
ทว่าเจเนซิสไม่สน เชิดหน้าขึ้นแล้วว่า
“งั้นก็ไม่ต้องเจอทั้งฉัน ทั้งลูกของนาย”
ลาร์คนิ่งไป ทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อยก่อนจะตอบรับโดยง่าย
“ก็ได้ๆ ให้ตายเถอะ... ฉันไม่น่ารีบร้อนวางไข่ใส่นายเลยจริงๆ”
พอมันพึมพำมาแบบนี้ ผมก็แสยะยิ้มเลย
เหอะไอ้ลาร์ค มาอย่างเจ้าพ่อ กลับอย่างทาสเมีย ทุเรศชะมัด
“ที่เหลือก็ไว้ไปทูลขอคำปรึกษาจากฝ่าบาทอีกที ยังมีกฎอีกหลายข้อที่เราจำเป็นต้องร่างขึ้นเพื่อตกลงในสนธิสัญญา”
เจเนซิสว่าด้วยน้ำเสียงพอใจที่ข่มผัวได้ ส่วนฝ่าบาทที่มันว่าก็ไม่ใช่แอสตันหรอก แต่เป็นพ่อของแอสตันที่ซ่อนตัวอยู่ที่ดาว R18 ที่ต้องไปคุยก็เพราะแอสตันมีสถานะเป็นแค่เจ้าชายรัชทายาท ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ลาร์คเองก็เช่นกัน บัลลังก์เซนไทน์ยังมีพ่อมันปกครองอยู่ จะทำอะไรโดยพละการไม่ได้ แต่ถึงจะตัดสินใจอะไรเด็ดขาดไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่ามันก็พอมีอำนาจมากอยู่เหมือนกันที่จะทำอะไรโดยพละการ
และดูท่าจะทำตามใจมันได้เสียด้วยเพราะซีเลนกระซิบบอกพวกเราก่อนที่จะคุยกับลาร์คไว้ว่า การปกครองของเซนไทน์ภายใต้อำนาจพ่อมันนั้นแตกต่างจากตอนที่ปู่มันปกครองอยู่มาก ปู่มันจะเป็นพวกเอะอะก็ฆ่าทิ้ง เอะอะก็ทำสงคราม แต่พ่อมันจะเน้นการประนีประนอม เหตุก็เพราะพ่อมันรักแม่ของซีเลนหรือเจ้าหญิงซีเลนาตานั่นเอง พอขึ้นครองบัลลังก์เมื่อห้าปีก่อน ก็พยายามที่จะเจรจากับยูนิกม่าอยู่หลายครั้งเพื่อความสมานฉันท์ ซึ่งวิธีก็คือการให้ลาร์คมันแต่งงานกับแอสตันนั่นแหละ แต่ด้วยความเป็นเซนไทน์เลยเข้าหาอย่างอ่อนโยนไม่เป็น พวกยูนิกม่าก็เลยคิดว่าการที่พวกเซนไทน์ตามมาอย่างนี้คือการไล่ล่า เลยหนีหัวซุกหัวซุน สุดท้ายก็ไม่ได้คุยกันสักที จนกวินทร์คนนี้ต้องจัดการเปิดเวทีให้
ถามว่าใช่เรื่องของกวินทร์มั้ย... ไม่ใช่เลย! แต่กูดันกลายมาเป็นคนสงบศึกดาวพวกมันให้ซะนี่ พวกมึงนี่เป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีอารยธรรมและไอคิวสูงกว่ามนุษย์โลกอย่างกูจริงเหรอวะ!? แต่ละตัวแม่งไม่เต็มเต็งกันทั้งนั้น!
โอย... หงุดหงิดอีกละ รู้สึกช่วงนี้หงุดหงิดบ่อยเหลือเกิน
เอ้อ... จะว่าไป หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าเจเนซิสท้อง คนอื่นๆ ก็รู้แล้วนะว่าผมเองก็ท้องเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะผมบอกหรอก โน่น คนที่บอกน่ะคีธโน่น อารมณ์คุณพ่อเห่อลูกมาก แม่งพูดไม่หยุด พูดจนน่ารำคาญ ถึงตอนนี้ก็ยังพูดอยู่ พูดจนแม่งจะรู้กันไปทั่วจักรวาลแล้ว!
“กวินทร์ท้องพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” แล้วมันก็โน้มตัวลงมากระซิบบอกแอสตันที่นั่งอยู่เยื้องๆ กับเจเนซิสขณะที่มันกับผมยืนอยู่ด้านหลังโซฟา
“เรารู้แล้ว บอกเราหลายรอบแล้วคีทาเย” แอสตันพูดเนิบๆ ไม่แน่ใจว่ารำคาญหรือระอา แต่ให้เดานะ ผมว่ามันรำคาญ
ผมเกือบจะอ้าปากบอกให้มันเลิกป่าวประกาศสักที ทว่ามันก็พูดขึ้นมาก่อน
“แต่ที่เจเนซิสบอกว่าเราจะต้องไปที่ดาว R18 นั่นก็หมายความว่าหม่อมฉันจะต้องทิ้งกวินทร์ไว้ที่นี่ชั่วคราวใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
ผมฉุกคิดได้ทันที รีบมองหน้าคีธด้วย คีธก็มองหน้าผม สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าไม่อยากไป
“อืม ในฐานะผู้พิทักษ์ของเรา นายก็ต้องไปล่ะนะ”
อะไรวะ! เคลียร์กันได้แล้วยังจะต้องไปอีกหรือเนี่ย!
ผมตั้งท่าจะวีน คีธก็ดึงผมออกมาจากวงสนทนาก่อน
“ไม่ต้องห่วงนะกวินทร์ ถึงจะต้องไป แต่คงจะไปไม่นาน”
“ไม่นานบ้านนายเถอะ กว่าจะไปถึงก็เกือบสองปี กว่าจะกลับมาอีกก็เกือบสองปี นี่ยังไม่นับรวมเวลาที่นายต้องรอพวกมันตกลงกันได้อีกนะ คีตาเรียนชั้นประถมก่อนพอดี” ผมก็เลยวีนใส่มันแทน
คีธทำหน้านิ่ง แต่ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับอึดอัดใจเหมือนกันที่จะต้องทิ้งผมไว้ทั้งที่อุตส่าห์เคลียร์ทุกอย่างได้แล้ว ถึงจะยังไม่เรียบร้อยก็เถอะ
“ยังไงฉันก็จะกลับมา ไม่นานหรอก ขอให้รอนะกวินทร์” สุดท้ายแล้วมันก็ทำอะไรดีไปกว่าพูดประโยคที่ผมได้ยินไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วก็ไม่รู้
ผมพยักหน้ารับส่งๆ ไปด้วยไม่อยากจะหัวเสียไปมากกว่านี้
“เออๆ กลับมาด้วยก็แล้วกัน”
คีธยกยิ้มขึ้นมาได้ ดึงผมเข้าไปจูบหน้าผากแล้วบีบปลายจมูกเบาๆ ผมสะบัดหนีที่จู่ๆ ก็ถูกหยอก
“อะไรเนี่ย!” แหวใส่ไปด้วย คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ มึงก็ยังจะมาเล่น!
แต่มันไม่หือไม่อือ ยิ้มอย่างเดียว แถมมือก็ยังเอื้อมมาดึงแก้มผมอีกต่างหาก
“ฮอร์โมนเปลี่ยนไวนะ เพิ่งจะวางไข่ไปไม่กี่วันเอง พยายามอย่าหงุดหงิดบ่อยนะ มันไม่ดีต่อคีตา”
ผมชะงัก หัวคิ้วย่นยู่
อย่าบอกนะว่าที่ผมหงุดหงิดบ่อยกว่าปกติเป็นเพราะท้องเนี่ย? ไวไปมั้ยวะ ยังไม่ถึงอาทิตย์เลยนะเว้ย!
“ประสาทสัมผัสชาวยูนิกม่าค่อนข้างไว เวลาท้องลูกของชาวยูนิกม่า แม่พันธุ์ก็จะมีประสาทสัมผัสกับปฏิกิริยาตอบสนองไวไปด้วยไม่ว่าแม่พันธุ์จะเป็นชาติพันธุ์ไหนก็ตาม เรื่องปกติ” แล้วคีธก็อธิบายโดยที่ไม่รอให้ผมถาม
งั้นที่ผมหงุดหงิดเพราะเห็นเจเนซิสมันเล่นตัวไม่เลิกจนต้องออกโรงแทนนี่ก็คงเป็นเพราะฮอร์โมนคนท้องสินะ จะเรียกว่าความหงุดหงิดของผมมีประโยชน์ดีมั้ยเนี่ย
“อย่าหงุดหงิดบ่อยนะ” ตบท้ายด้วยการสั่งและจูบผมอีกที ผมเลยพยักหน้าให้มันไป
จะพยายามก็แล้วกัน ปกติก็เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว สงสัยหลังจากนี้จะเป็นหนักกว่าเดิมแน่
 
การเดินทางไปยังดาว R18 อะไรนี่เริ่มต้นขึ้นในอีกวันหนึ่ง พวกยูนิกม่าตัดสินใจไม่เดินทางด้วยยานอวกาศที่สร้างขึ้นบนโลกเพราะลาร์คบอกว่ามันเดินทางช้า สู้ยานของพวกเซนไทน์ไม่ได้ที่มีความเร็วมากกว่าหลายเท่าตัว และไม่จำเป็นต้องเดินทางผ่านตัวหนอนอย่างเดียวเพราะสามารถทำการวาร์ปได้ นับเป็นวิวัฒนาการการเทคโนโลยีของพวกเซนไทน์ที่พวกยูนิกม่าไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้พวกยูนิกม่าก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกมันถึงถูกตามได้เร็วนัก นั่นก็เพราะยานอวกาศของพวกมันต่างชั้นกันมากนั่นเอง
และยานของพวกเซนไทน์ก็มีอยู่ในนาซานี่แหละ ในนาซาเองก็มีเซนไทน์แฝงตัวมาทำงานอยู่แหมือนกัน แต่ปิดบังตัวเองไม่ให้พวกยูนิกม่ารู้และเรียนๆ ทำเป็นพวกมนุษย์ต่างดาวที่เข้าข้างยูนิกม่าไปเพื่อเป็นหนอนบ่อนไส้ ส่งข่าวให้ลาร์ค
มิน่าล่ะ ทำไมลาร์คมันถึงรู้ว่าเมียมันหนีมาที่ไหน ที่แท้ก็มีสปายตามเมีย มึงนี่มันโคตรเจ้าพ่อจริงๆ!
เจเนซิสก็ทำเป็นงอนผัวพอเป็นพิธีที่รู้ว่ามันถูกลูกน้องผัวซึ่งแฝงตัวเป็นมนุษย์ต่างดาวอื่นๆ มาทำงานในทีมตัวเองหลอก แต่พอโดนผัวง้อ โดนบอกรักหน่อย มันก็หาย ยอมขึ้นยานตามผัวมันไปแต่โดยดี
หมั่นไส้โคตร... แต่สงสัยมากกว่าว่ามันไปรักกันตอนไหนและอีท่าไหน เท่าที่จำได้ เจเนซิสมันเพิ่งจะไปเป็นทาสในเรือนรักไม่กี่วันเองแท้ๆ ออกมาอีกที ทั้งท้อง ทั้งผัวรักผัวหลง ...พวกมึงคงจะสปาร์กกันเพราะเป็นขาโหดเรื่องบนเตียงเหมือนกันล่ะสินะ คนนึงก็โหดโดยสันดาน อีกคนก็ทำงานด้านสมองมากจนเครียดเก็บกด เอาเถอะ... พวกมึงก็เหมาะสมกันดีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้อยู่ดีนั่นแหละว่าจะต้องใช้เวลาในการเดินทางและเวลาในการเจรจาสนธิสัญญานานเท่าไหร่กว่าจะเสร็จสิ้น เรื่องนี้ผมหยุดคิดไปแล้วล่ะ คิดแล้วประสาทจะเสีย ยังไงมันก็ต้องไปอยู่ดี
ส่วนริชาร์ดแม่งก็บ่อน้ำตาแตกเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ถึงจะรู้ว่าแอสตันไม่ได้ถูกจับเป็นเมีย แต่ต้องจากกัน โรคสำออยก็กำเริบ และผมก็มารู้เอาตอนมันละล่ำละลักบอกลาผัวมันนี่แหละว่ามันก็ท้อง ประเด็นคือเพิ่งโดนแอสตันวางไข่เมื่อวาน แถมมันยังเป็นคนขอให้ผัวมันวางไข่ด้วย
เห็นกูกับไอ้เจเนซิสนำหน้าไปหน่อยไม่ได้เลยนะ ไอ้เจ๊กขี้อิจฉา!
แอสตันก็ฝากซีเลนให้ช่วยดูแลริชาร์ดด้วยอีกคนเพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ซีเลนก็เลยตัดปัญหาโดยการมอบหมายหน้าที่ให้บรูคลินดูแลผม และเบนดูแลริชาร์ดระหว่างช่วงก่อนคลอดเพราะมันคงจะดูแลสองคนในทีเดียวไม่ไหว มันจะมาช่วยดูก็ตอนที่คลอดแล้ว มาช่วยป้อนสารอาหารนั่นแหละ ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันหมดความสนใจในตัวผมกับริชาร์ดด้วยเหตุผลว่าท้องไปแล้วไง มันก็เลยไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้นัก
ถึงผมอยากจะด่ามันที่ให้อริเก่าอย่างบรูคลินมาดูแล แต่ผมก็อดใจไว้ไปด่ามันทีหลังเพราะคีธจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว
“ฉันจะไปแล้วนะกวินทร์” คีธเรียกความสนใจของผมไปหลังจากที่ผมเอาแต่มองบรรดายูนิกม่ากับเซนไทน์ทยอยขึ้นยานหลายลำอย่างเหม่อลอย
ผมหันมามองหน้ามันก่อนจะยอมปล่อยมือใหญ่ที่จับอยู่ออก
“อืม ดูแลตัวเองด้วย” ในที่สุดก็ต้องพูดคำนี้อีกครั้ง
คีธคลายมือก็จริง แต่พอคลายมือปุ๊บ ก็คว้าผมเข้าไปกอดปั๊บ ซุกหน้าลงบนกระหม่อมของผมด้วย
“ฉันจะคิดถึงกวินทร์กับคีตาทุกวัน”
“อืม”
“จะรักกวินทร์กับคีตาให้มากขึ้นทุกๆ วันด้วย รอฉันกลับมานะกวินทร์”
“อะ...อืม”
ผมทำได้แค่ตอบรับมันสั้นๆ ไม่กล้าพูดอะไรเยอะเพราะกลัวว่าจะร้องไห้เป็นเผาเต่าเหมือนริชาร์ด บอกแล้วว่าเกลียดการจากลา ถึงจะเป็นการจากลาด้วยดี แต่ผมก็ไม่ชอบอยู่ดี โดยเฉพาะการไปแบบไม่รู้กำหนดกลับเนี่ย
คีธจูบผมแล้วย่อตัวนั่งคุกเข่า ยกมือขึ้นวางบนหน้าท้องผมแล้วเอาหูแนบ
“พ่อคีธจะรีบกลับมานะ อย่าดื้อกับพ่อกวินทร์มากนะคีตา รักลูกนะ”
ผมมือไม้สั่นขึ้นมาตอนได้ยินมันพูดกับลูกนี่แหละ สั่นจนผมต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น เพราะการบอกลาของมันทำให้ผมนึกถึงวัยเด็กของผมสักอายุราวๆ ห้าขวบตอนที่พ่อผมบอกว่าจะกลับมาทั้งที่วันที่พ่อไป คือวันที่พ่อออกจากบ้านหลังหย่ากับแม่ นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ผมเกลียดการจากลา โดยเฉพาะการจากลาแบบไม่รู้กำหนดกลับแบบนี้
ผมกลัว...กลัวว่าคีธจะไม่กลับมาเหมือนพ่อผม กลัวว่าคีตาจะตั้งคำถามเหมือนกับที่ผมถามแม่บ่อยๆ ว่าพ่อไปไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือ... ผมกลัวการต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีคีธ ผมรู้แล้วว่าตอนนี้ผมต้องการคีธมากแค่ไหน
ต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใด หมอนี่เป็นสิ่งมีค่าสำหรับผม...
“ฉันต้องไปแล้วล่ะกวินทร์” คีธยืนขึ้น บอกลาผมอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมไม่ตอบสนองใดๆ มองหน้ามันนิ่ง ขอบตาก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนจากของเหลวที่ไหลปริ่มมาคลอ หากแต่ยังควบคุมไม่ให้มันไหวออกมาได้ ทว่าพอคีธหันหลังให้และก้าวเดินไปยังทางขึ้นยาน ผมก็ไม่อาจควบคุมน้ำตาได้อีกต่อไป ปล่อยให้ไหลอาบแก้ม ปากก็เรียกชื่อคนตัวใหญ่ออกไปโดยอัตโนมัติ
“คีธ!”
คีธหันกลับมา ผมออกวิ่งเข้าไปหามันพอดี ก่อนจะโผเข้ากอดแน่น
“กะ...กลับมานะ ยังไงก็ต้องกลับมา...” ผมละล่ำละลักบอก หน้าก็ซุกลงบนแผ่นอกมันด้วย
คีธกอดผมตอบแน่น หัวเราะในลำคอกับท่าทางงอแงเหมือนเด็กๆ ของผมเล็กน้อย
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง ยังไงฉันก็จะกลับมาแน่”
“คะ...คำพูดปากเปล่ามันเชื่อได้ที่ไหนกันเล่า!” ผมเริ่มโวยวาย ร้องไห้ไม่หยุด
คีธปล่อยให้ผมร้องจนพอ พอน้ำตาหยุดไหลแล้ว มันก็ดึงร่างผมออกห่างเล็กน้อย วางมือลงบนหน้าอกข้างซ้ายของผมเบาๆ
“หัวใจฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะไม่กลับมาได้ยังไง ไม่ต้องกังวลนะ ฉันกลับมาหากวินทร์กับคีตาแน่ โอเคมั้ย”
“อะ...อืม” ผมปาดคราบน้ำตาออกจากข้างแก้ม คีธช่วยจูบซับเบาๆ ปากก็บอกรักผมไปด้วย
“ฉันรักกวินทร์นะ รักที่สุด”
“รัก...รักเหมือนกัน กลับมาเร็วๆ กลับมาให้ทันก่อนคีตาเข้าอนุบาลด้วย” ผมสั่งตบท้าย
คีธพยักหน้า ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ จูบหน้าผากผมส่งท้ายแล้วก็ผละจากผมไปขึ้นยานเมื่อได้ยินเสียงของยูนิกม่าคนหนึ่งร้องเรียก
มันโบกมือให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหายเข้าไปในยาน ส่วนผม ริชาร์ด ซีเลนและเมียๆ ของมันก็ถูกไล่ออกมาจากบริเวณจุดปล่อยยานให้มาอยู่ในที่ปลอดภัย
ยานทรงจานบินขนาดใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะหายวับไปด้วยความเร็วแสงชนิดมองตามไม่ทัน ท้องฟ้าขมุกขมัวด้วยฝุ่นเมื่อครู่กลับกลายเป็นท้องฟ้าสีใสอีกครั้ง ผมยังคงเงยหน้ามองฟ้าครามอยู่อย่างนั้น ในใจก็ภาวนาไม่หยุดว่าขอให้คีธกลับมาเร็วๆ
ถ้าเป็นไปได้ กลับมาก่อนคีตาจะคลอดก็ดี...
 
หลังจากคีธกับพวกยูนิกม่าไปจากโลก ผมกับริชาร์ดก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ก็ไปเรียนอย่างเคยนั่นแหละ ตอนนี้พวกผมขึ้นปีสองของชั้น ป.โท แล้ว ซีเลนเองก็ยังมีถ่ายหนังเรื่อยๆ แถมยังอยู่คนละรัฐ นานๆ ทีจะได้เจอกันตอนมันว่าง ส่วนใหญ่ผมจะเจอกับบรูคลินและเบนที่แวะมาเยี่ยมมากกว่า แต่ก็ไม่นับว่าบ่อยเท่าไหร่นักเพราะพวกมันก็ติดธุระส่วนตัวเหมือนกัน ที่สำคัญคือ... พวกมันก็ท้อง มาท้องตอนที่ผมกับริชาร์ดท้องกันไปได้สี่เดือนแล้ว แถมท้องพร้อมกันด้วย ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกที่พวกมันท้อง ก็เห็นตัวติดกับซีเลนตลอดเวลาอย่างนั้น ที่แปลกใจก็คือ พวกมันจับไอ้หื่นซีเลนอยู่หมัดได้ยังไงมากกว่า
อืม... เอาจริงๆ จะว่าจับอยู่หมัดก็ไม่เชิงนะ ก็ยังเห็นซีเลนมันมีข่าวซุบซิบกับดาราหนุ่มบ้าง ดาราสาวบ้างเป็นครั้งคราวอยู่เลย แต่ก็ดูเพลาๆ ลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ ให้เดานะ สองพี่น้องเปรตนี่ต้องบังคับซีเลนให้วางไข่ใส่พวกมันแน่ ไม่ใช่ซีเลนที่อยากวางไข่หรอก ก็พวกมันอยากจะท้องลูกของยูนิกม่าหนักหนานี่หว่า
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมหรอก หงุดหงิดนิดหน่อยที่ลูกพวกไอ้มนุษย์ต่างดาวพวกนี้นี่มาเกิดไล่ๆ ลูกผมหมดต่างหาก ที่หงุดหงิดก็เพราะพอคิดๆ ดูว่าถ้าลูกพวกมันเกิดมา แม่ง พวกมันได้สถานะเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงกันทั้งนั้น เพราะมีพ่อเป็นเชื้อพระวงศ์ทั้งนั้น ลูกเจเนซิสแม่งก็ได้เป็นเจ้าชายเซนไทน์ ลูกริชาร์ดก็เจ้าชายยูนิกม่า ลูกสองพี่น้องเปรตนั่นก็เจ้าชายเหมือนกัน แถมเป็นเจ้าชายทั้งสองดาวด้วยเพราะพ่อมันเป็นลูกครึ่ง มีแต่ลูกผมนี่แหละที่พ่อเป็นผู้พิทักษ์
หงุดหงิดว่ะ! ทำไมลูกกูถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่คนเดียววะ!
ผมก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครหรอกนะ กลัวว่าเดี๋ยวพวกมันจะฉุกคิดได้เหมือนผมแล้วจะยุให้ลูกพวกมันมาข่มลูกผม ดีที่พวกมันก็ไม่อยู่ให้ผมพูดเรื่องนี้ด้วย อย่างที่บอกว่านานๆ ทีจะได้เจอสองพี่น้องไบโทป ส่วนริชาร์ดก็ไม่ว่างอยู่ตลอดเวลา ...จะว่าไม่ว่างก็ไม่ถูก เรียกว่ามันทำตัวให้ไม่ว่างดีกว่า เพราะพอมันว่างทีไร มันก็คิดถึงผัวมัน คร่ำครวญร้องไห้ไม่เลิกจนผมประสาทจะเสียทุกที ผมก็เลยไล่มันไปทำงานของชมรมบ้าง ทำหนังบ้าง ติวให้รุ่นน้องบ้าง จะได้ไม่จิตตก ซึ่งก็ดีขึ้นนั่นแหละ... ดีขึ้นนิดนึง
นี่ผัวมันเพิ่งจะไปได้ไม่ถึงสี่เดือนเต็มยังเป็นได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าไปนานกว่านี้ มันจะคลั่งมากขึ้นกว่าเดิมขนาดไหน
อย่าว่าแต่มันคลั่งเลย ผมก็เป็น เดาว่าน่าจะเป็นเพราะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงเลยทำให้อารมณ์อ่อนไหวง่าย ผมก็มีบ้างเหมือนกันที่คิดถึงคีธจนแอบร้องไห้คนเดียวตอนกลางคืน และเพราะเป็นแบบนี้ ผมก็เลยรีบไปหาอาแปะลีโอนาร์โดตามที่คีธเคยบอกไว้ มารู้ทีหลังว่าคีธส่งข่าวมาบอกอาแปะไว้ล่วงหน้าแล้วว่าขอฝากฝังผมเอาไว้ ผมก็เลยหลุดรอดจากอาการซึมเศร้าที่เป็นผลกระทบจากการตั้งท้องมาได้

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 36: My smelly hubby is back[2]

ที่หลุดมาได้ก็เพราะผมมาหาอาแปะทุกวันแล้วขอให้อาแปะแปลงร่างเป็นคีธให้ดูน่ะ เกือบจะลืมไปแล้วว่าชาวโอนิซิสอย่างอาแปะแปลงร่างเลียนแบบได้ ผมก็เลยได้เห็นหน้าคีธทุกวัน ถึงจะเป็นคีธจีนเสิ่นเจิ้นแต่ก็พอทำเนาได้
และวันนี้ผมก็มาที่ร้านบะหมี่ของอาแปะอย่างเคย แต่มาตั้งแต่หัวค่ำหน่อยเพราะเกิดคิดถึงคีธขึ้นมากะทันหัน อันที่จริงคิดถึงตั้งแต่ตอนอยู่ที่มหา’ลัยแล้ว คิดถึงจนทนไม่ไหวเลยต้องโดดคาบสุดท้ายกลับมาที่ห้อง รอให้อาแปะเปิดร้าน พอได้เวลาก็รีบพุ่งมาที่ร้านเลย คงเป็นเพราะท้องเริ่มโต ฮอร์โมนเริ่มทำงานพุ่งพล่านมากขึ้นล่ะมั้ง อารมณ์ผมถึงได้อ่อนไหวขนาดนี้
ก็เจ็ดเดือนแล้วนี่นา อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว ยิ่งคีธไม่อยู่ด้วยแบบนี้ ผมยิ่งอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เข้าไปใหญ่
พอมาถึงร้านก็เป็นอย่างที่คิดว่าร้านอาแปะยังไม่เปิด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร รู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไม่เปิดเวลานี้ หมายถึงเปิดขายน่ะนะ แต่ประตูร้านเปิดแง้มไว้อยู่ก็แสดงว่ากำลังเตรียมของไว้ขายละ ผมก็เลยถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ ปากก็ร้องเรียกหาอาแปะไปด้วย
“อาแปะ ผมมาแล้ว รีบมาแปลงร่างให้ดูหน่อย”
เงียบ... ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากอาแปะ อย่าว่าแต่เสียงเลย สารร่างก็ยังไม่เห็น ผมย่นคิ้ว ร้องเรียกอาแปะอีกครั้ง
“แปะ! ทำไรอยู่เนี่ย ออกมาเร็วๆ เข้า เดี๋ยวผมหงุดหงิดขึ้นมา มันไม่มีต่อลูกในท้องนะเว้ย!” ผมเริ่มอ้างไปเรื่อย หงุดหงิดจริงๆ นั่นแหละ ปกติก็เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่แล้ว ยิ่งท้องยิ่งขี้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่
ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอาแปะอยู่ดี แถมลูกจ้างอาแปะที่ชื่อโดมินิคก็ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมขอให้มันแปลงร่างเลียนแบบคีธให้แทนอาแปะไปเรียบร้อยแล้ว
“แปะ! เรียกหลายรอบแล้วนะ” ผมชักจะหัวเสีย เลยลุกขึ้น กะว่าจะเข้าไปตามที่หลังร้าน
หากแต่พอลุกเท่านั้น ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มก็ปรากฏให้เห็น ผมตกใจเล็กน้อยที่เห็นคีธในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ แต่ก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่คีธตัวจริง เป็นเพียงร่างเลียนแบบที่อาแปะทำให้ผมเพื่อไม่ให้ผมอารมณ์แปรปรวนหรือเหงาจนเกินเหตุจนมีผลเสียต่อคีตาเท่านั้น
“เรียกตั้งนาน กว่าจะออกมาได้ ทำอะไรอยู่ ล้างจานเหรอ?” ผมถามยาวเป็นชุด
อาแปะไม่ตอบ ทำหน้านิ่งๆ ยืนมองผม จนผมตบโต๊ะเป็นสัญญาณนั่นแหละถึงจะเดินเข้ามาได้
“เอ้า มัวมองอะไรอยู่ล่ะแปะ มานั่งสิ”
อาแปะเดินเข้ามาแต่โดยดี ผมก็ออกปากถามไปเรื่อยเปื่อย
“แล้วนี่โดมินิคไปไหน ไม่เห็นมาช่วยงาน วันนี้หยุดเหรอ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ ผมรู้สึกแปลกๆ ที่วันนี้อาแปะไม่พูดมากอย่างเคย เกือบจะถามออกไปแล้วถ้าหากว่าในจังหวะที่อาแปะทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม กลิ่นบางอย่างก็ไหลเข้ามาเตะจมูกเข้าอย่างจัง มันเป็นกลิ่นแบบ... ผมก็อธิบายไม่ถูก ไม่ได้ฉุน ไม่ได้เหม็น แต่ชวนคลื่นเหียน
ตอนแรกผมนึกว่าคิดไปเอง ทว่าพอเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อาแปะมากขึ้น ผมก็เกือบจะพ่นของในกระเพาะออกมาทันที
“อุ้ก... แปะ! ไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมเหม็นขนาดนี้!”
“เหม็นเหรอ?” อาแปะถามกลับ ผมยกมือป้องจมูก ถอยผงะออกห่าง
“อย่าเข้ามาใกล้นะเว้ย ถอยไปไกลๆ จะอ้วก!” ผมรีบโวยวายเมื่อเห็นว่าอาแปะพยายามจะเข้ามาใกล้ อาแปะก็เลยชะงัก ยอมนั่งอยู่เฉยๆ แต่โดยดี
วะ...วันนี้อาแปะไปทำอะไรมาวะ แม่ง เหม็นชะมัด เหม็นแบบชวนพะอืดพะอมจะอ้วกมาก
และเพราะผมทำท่าเหมือนจะสำรอกให้ได้ อาแปะก็เลยยกแขนตัวเองขึ้นดมรักแร้พิสูจน์กลิ่น แต่ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่กลิ่นรักแร้ มันเป็นกลิ่นประจำตัวอาแปะนั่นแหละ แต่เอ... ปกติแล้ว อาแปะไม่มีกลิ่นแบบนี้นี่นา
“วันนี้ไม่ไหวว่ะแปะ ขนาดปิดจมูกแล้วยังได้กลิ่นเลย มึนหัวแล้วเนี่ย เดี๋ยวผมกลับไปนอนก่อนดีกว่า คลื่นไส้ฉิบเป๋ง” ผมเลยตัดบทเอาดื้อๆ แค่ได้เห็นหน้าเลียนแบบคีธฉบับจีนเสิ่นเจิ้นไม่ถึงสิบนาทีก็พอใจแล้ว ไม่ต้องพูดคุยอะไรเหมือนวันอื่นๆ หรอก กลิ่นแม่งโคตรไม่ไหวจะเคลียร์
ทว่าพอผมลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกจากร่าง ร่างเล็กของชายชราชาวเอเชียก็ปรากฏให้เห็นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มเชื้อชาติเดียวกัน ก่อนฝ่ายนั้นจะทักผมเมื่อเห็นว่าผมรีบร้อนเดินออกมา
“เอ้า อาเควิน จะกลับแล้วเหรอ”
อะ...อาแปะ! ทำไมมาอยู่นี่ได้วะ แล้วไอ้บ้าที่หน้าเหมือนคีธเมื่อกี้เป็นใคร?
ผมอ้าปากค้าง เหวอรับประทานกลางอากาศด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ยิ่งหันไปมองด้านหลังแล้วเห็นผู้ชายที่หน้าเหมือนคีธเด๊ะๆ นั่งนิ่งมองผมอยู่ที่เดิมด้วยแล้ว ผมก็รีบหันกลับมามองอาแปะอย่างขอคำตอบทันที
“แปะ... นี่มันอะไร...”
อาแปะเหมือนจะนึกขึ้นได้ในตอนนี้ ก่อนจะให้คำตอบออกมา
“อ้อ อั๊วก็ลืมบอกลื้อไปว่าท่านผู้พิทักษ์กลับมาแล้ว ตอนแรกกะว่าจะให้อาโดมินิคไปบอกที่ห้อง แต่นึกว่าลื้อยังไม่กลับก็เลยรอให้ลื้อมาเจอเอง ไม่คิดว่าจะมาแต่หัววันอย่างนี้”
แล้วทำไมมึงไม่โทรมาบอกวะไอ้แปะ! มึงก็มีเบอร์กูไม่ใช่หรือไง!
ผมแทบจะปรี่เข้าไปเอาพุงคีตาตบอาแปะให้สลบ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ สิ่งที่สำคัญกว่านี้ก็คือ... คีธกลับมาแล้ว! กลับมาแล้วจริงๆ! และยืนอยู่ข้างหลังผมในตอนนี้!
ผมรีบหันกลับไปอีกครั้ง คีธที่นั่งปั้นหน้านิ่งอยู่เผยอยิ้มออกมาราวกับขบขันกับท่าทางผมเสียเต็มประดา ก่อนจะว่าขึ้นมาเบาๆ
“ฉันกลับมาแล้วกวินทร์”
“คีธ...” ผมครางชื่อมันออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ความคิดถึงไหลแล่นปรี่จนน้ำตารื้นปริ่ม
ไม่ใช่แค่รื้นอย่างเดียวแล้ว ตอนนี้ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัวเลยเถอะ
“ไอ้เวรคีธ... กลับมาแล้วทำไมไม่ไปหาฉันที่ห้อง มาหาอาแปะก่อนทำไม” แล้วผมก็ด่ามันพลางสะอึกสะอื้นไปด้วย มือก็ยกเช็ดน้ำตาเป็นพัลวัน
“เซอร์ไพรส์น่ะ” คีธว่า
“เซอร์ไพรส์ทำไมวะ เดี๋ยวฉันก็ช็อคจนแท้งหรอก” ผมพูดไปเรื่อย ยังร้องไห้อยู่
คีธเห็นผมเอาแต่ร้องไห้ไม่เลิกก็หัวเราะ ลุกขึ้นมาทันที
“ขอโทษนะกวินทร์ อย่าโกรธนะ”
จริงๆ ก็ไม่ได้โกรธมันหรอกนะที่มันกลับมาโดยไม่ได้บอก ดีใจซะมากกว่า แต่ฟอร์มเยอะไง ก่อนจะดีใจต้องขอด่าก่อน หากแต่พอเห็นมันเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมก็ไม่วางฟอร์มอีกต่อไป ถลาเข้าไปกอดมันทันที
“โคตรคิดถึงเลย...คิดถึง...” ผมพร่ำบอก ซุกหน้าลงบนหน้าอกมัน เอาเสื้อมันซับน้ำตาน้ำมูกด้วย
คีธก็กอดผมตอบแน่น ซุกหน้าลงบนเรือนผมของผมเช่นกัน
“ฉันก็คิดถึงกวินทร์เหมือนกัน คิดถึงคีตาด้วย”
“อย่าไปไหนอีกนะเว้ย ถ้านายไปอีก รับรองเลยว่าครั้งหน้า ฉันจะพาคีตาหนีจริงๆ ด้วย” แล้วผมก็เริ่มงอแง อันที่จริงเป็นนิสัยเสียของผมน่ะเวลาไม่ได้ดั่งใจ
ดีที่คีธไม่ว่าอะไร เอาแต่กอดผมแล้วก็หัวเราะน้อยๆ เท่านั้น
“ถ้ากวินทร์พาคีตาหนี ฉันจะไปตาม ไม่ต้องห่วง”
พูดอย่างนี้ แสดงว่าเดี๋ยวมึงก็ต้องทิ้งกูกับลูกไปอีกใช่มั้ย!?
ผมตั้งท่าจะแหวใส่มันทันที หากแต่แค่ตั้งท่าจะอ้าปากเท่านั้น คีธก็คลายมือจากกอดผมมาประคองใบหน้าแทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันรักกวินทร์ขนาดนี้ จะทิ้งกวินทร์ไปอีกได้ยังไง” พูดเท่านั้น ก็ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้ ทำท่าจะจูบผมโดยไม่แคร์สายตาของอาแปะกับลูกจ้างที่ยืนมองอยู่สักนิด
ผมเองก็ไม่สนแล้วเหมือนกัน อยากมองก็ให้มองไป เผยอปากรอรับจูบเต็มที่
“สัญญานะว่าจะไม่ไปไหนอีก”
“อืม สัญญา”
คีธแตะริมฝีปากลงมาเบาๆ ผมเกือบจะดีพคิสกับมันแล้ว แต่จู่ๆ กลิ่นชวนคลื่นเหียนก็ไหลประดังประเดเข้ามาอีก ทำให้ผมรีผลักมันออก ยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว
“อ่อก... ถอยไปไอ้คีธ ถอยไปเลย เหม็น!”
คีธดูงงๆ แต่ก็ถอยออกไปโดยดี ส่วนผมก็หันไปอ้วกลมอ้วกอากาศเป็นพัลวัน ตอนนี้หน้ามืดมาก คลื่นไส้จนยืนแทบไม่อยู่เลยต้องพยุงตัวเองไปนั่งอย่างทุลักทุเล คีธทำท่าจะเข้ามาช่วยผมอีก แต่แค่มันขยับตัว กลิ่นของมันก็โชยมาตามลม ทำให้ผมรีบยกมือห้ามมันอย่างรวดเร็ว
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย อย่าเข้ามานะเว้ย! อุ้ก...”
จะอ้วกอีกรอบ... คีธเลยยืนนิ่ง ปล่อยให้อาแปะกับโดมินิคเข้ามาดูผมแทน
“เอ... แปลกแฮะ ปกติลื้อไม่เคยแพ้ท้องเพราะเหม็นอะไรนี่นา นี่อั๊วก็ไม่ได้กลิ่นอะไรด้วย ลื้อเหม็นอะไรเนี่ย” อาแปะเปิดฉากถามทันทีที่เห็นผมอาการดีขึ้น
ผมส่ายหน้า เช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาจากการสำรอกเมื่อครู่
“ไม่รู้เหมือนกันแปะ จู่ๆ ก็เหม็น โดยเฉพาะเวลาคีธมันอยู่ใกล้ๆ เนี่ย”
คำพูดของผมทำเอาอาแปะนิ่ง มองหน้ากับโดมินิคราวกับเห็นพ้องต้องกัน ก่อนจะพูดออกมา
“หรือว่าลื้อจะแพ้ท้อง?”
“หมายความว่า?”
“ก็อั๊วเคยได้ยินมาว่าบางครั้งคนท้องก็จะมีอาการแพ้ท้องแบบเหม็นสามีน่ะ สงสัยลื้อก็น่าจะเป็นอาการเดียวกัน”
อย่าบอกนะว่ากูเหม็นผัวตัวเอง!?
ผมชะงัก เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ไม่ยักจะรู้ว่ามันรุนแรงขนาดนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันมีจริงด้วย นึกว่าแค่เรื่องขำๆ แต่ตอนนี้ต้องเชื่อแล้วล่ะ แค่มันมายืนห่างหนึ่งช่วงแขน ผมก็เหม็นจนปวดหัว
อย่าว่าแต่หนึ่งช่วงแขนเลย สองช่วงแขนก็ยังได้กลิ่น ได้กลิ่นจนหงุดหงิดไปหมดแล้วเนี่ย
“น่าจะเป็นเพราะตั้งท้องลูกของชาวยูนิกม่า ประสาทสัมผัสก็เลยดีกว่าปกติ” แล้วโดมินิคก็เปรยขึ้นมา
ผมเลยเข้าใจในตอนนี้นี่เองว่าทำไมจมูกถึงรับกลิ่นได้ดีนัก ก่อนที่คีธจะเดินเข้ามาใกล้ คว้าแขนผมหมับทันใด
“งั้นกวินทร์ก็กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะแย่เอา”
กูจะแย่เอาเพราะมึงเนี่ยแหละ อย่าเข้ามาใกล้กูนะเว้ย! กูเหม็น!
“อ่อก...” ผมทำท่าจะอ้วกอีกเลยรีบผลักมันออก แต่คีธไม่ยอมปล่อย ยิ่งเห็นผมจะอ้วก ก็เข้ามาลูบหัวลูบหลัง
นี่มึงเข้าใจมั้ยเนี่ยว่ากูเหม็นมึง! ถอยออกไปห่างๆ สิวะ!
“ถะ...ถอย...อ้วก...” พูดยังไม่ทันจบ ก็อ้วกลมออกมาอีก
คีธเห็นท่าทางผมไม่ดีก็ช้อนตัวผมขึ้นอุ้ม ก่อนจะรีบหันไปบอกอาแปะทันใด
“ฉันต้องขอตัวพากวินทร์กลับไปพักผ่อนก่อน ไว้เจอกันท่านผู้เฒ่าลีโอเธ ขอบคุณที่ดูแลกวินทร์เป็นอย่างดี”
“ไม่เป็นไรๆ ท่านผู้พิทักษ์รีบพาอาเควินไปเถอะ”
แทนที่จะช่วยกันห้าม ดันสนับสนุนให้คีธมันอุ้มผมออกไปอีก ผมก็ดิ้นพล่านเลยทีนี้ ยิ่งอยู่แนบอกมัน ยิ่งเหม็นจนทนไม่ไหว ทว่าคีธก็ไม่ยอมปล่อย เอาแต่พูดเสียงเรียบ
“อดทนหน่อยนะกวินทร์ ทนกลิ่นฉันหน่อย ฉันไม่อยากให้กวินทร์เดินเอง เดี๋ยวจะล้ม ไว้กลับถึงห้องแล้ว ฉันจะไม่เข้าใกล้กวินทร์เลย สัญญา”
พอมันพูดมาอย่างนี้ ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ ยอมให้มันอุ้มแต่โดยดี ขณะที่มือก็ยกปิดปากปิดจมูกเอาไว้ แต่ท้องลูกชาวยูนิกม่าไง ต่อให้ปิดปากปิดจมูกมิดชิดแค่ไหน กลิ่นก็ยังเล็ดลอดมาให้ได้กลิ่นอยู่ดี ตอนนี้ผมชักทนไม่ไหวละ ทุบอกมันเป็นพัลวัน
“ปล่อยฉันลง ไม่...ไม่ไหวแล้ว อึ่ก...”
ไม่ไหวจริงๆ คราวนี้ไม่ใช่อ้วกลมด้วย ของจริงเป็นต่อนๆ ไหลมากระจุกอยู่ตรงคอหอย คีธแม่งก็ไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยพ่นใส่มันเต็มที่ เสื้อขาวของมันเต็มไปด้วยอาหารกลางวันของผมเป็นที่เรียบร้อย
“ขอโทษนะ ทนไม่ไหวจริงๆ ว่ะ โคตรเหม็นเลย” ผมมองคราบอารยธรรมแล้วก็ทำหน้าแหยๆ
คีธไม่ว่าอะไร ยิ้มแล้ววางผมลง ก่อนจะถอดเสื้อตัวเองออก ขว้างทิ้งใส่ถังขยะใกล้ๆ
“กวินทร์เหม็นฉันแบบนี้ แสดงว่าคีตาเป็นเด็กผู้ชาย”
จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ช่างแม่งก่อนเถอะ! ตอนนี้กูอยากกลับห้อง มึนหัวจะตายอยู่แล้ว!
ผมพยักหน้าส่งๆ เดินไปเกาะเสาไฟฟ้าใกล้ๆ รอให้ความวิงเวียนหายไปแล้วกะว่าจะออกเดินอีกครั้ง แต่แค่จับเสาไฟฟ้าได้เท่านั้นแหละ คีธมันก็เข้ามาอุ้มผมอีก กลิ่นชวนคลื่นเหียนไหลเวียนมาอีกครั้งจนผมต้องรีบทุบมัน
“ปะ...ปล่อย! เหม็น!”
“บอกแล้วว่าจะปล่อยตอนถึงห้องแล้ว กวินทร์อ่อนแอขนาดนี้ จะปล่อยให้เดินเองได้ยังไง” แล้วมันก็ว่าขึ้น ออกเดินไปโดยไม่แคร์ว่าสีหน้าผมตอนนี้ดูเหมือนจะตายหรือไม่แต่อย่างใด
ผมก็ชักจะทนไม่ไหว ถึงจะรู้ว่ามันหวังดีแต่ก็ทนไม่ไหว ดีดดิ้น เหวี่ยงแขนขาไปมาสุดฤทธิ์
“แต่กูไม่ไหวแล้วโว้ย! มึงมันโคตรเหม็นเลยไอ้คีธ!” ตามด้วยคำหยาบภาษาไทยอย่างเหลืออด
คีธชะงักกึก มองผมด้วยสายตาดุๆ ทันที
“กวินทร์... อย่าพูดคำหยาบ เดี๋ยวคีตาจำ ลืมไปแล้วหรือไงว่าชาวยูนิกม่าประสาทสัมผัสดี จดจำได้ไว อย่าสอนอะไรไม่ดีให้ลูกสิ”
มึงไม่อยากให้กูทำอะไรแย่ๆ ก็ปล่อยกูลงสิโว้ย!
“แล้วฉันก็ไม่ปล่อยให้กวินทร์เดินเองหรอกนะ บอกแล้วว่าจะอุ้ม” มันพูดอย่างกับรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่ออย่างนั้นแหละ
ผมเลยชักสีหน้าใส่มันทันควัน “ก็ฉันเหม็นนี่หว่า นายจะให้ฉันฝืนทำไมวะ เดี๋ยวก็อ้วกอีกหรอก อ้วกบ่อยๆ มันทรมาน! ร่างกายสูญเสียเกลือแร่กับน้ำด้วย ไม่ดีกับลูกนะเว้ย!”
“ฉันรู้ ไว้กลับไปถึงห้องแล้วกินสารอาหารจากฉันแล้วกัน”
“จะทำให้มันยุ่งยากทำไม ปล่อยฉันเดินก็สิ้นเรื่อง!”
“บอกแล้วว่าไม่อยากให้เดิน เดี๋ยวล้ม”
ผมกลอกตา หมดปัญญาจะต่อล้อต่อเถียงกับมันละ แค่ไม่เจอกันไม่กี่เดือน แม่งดื้อด้านขึ้นเป็นกอง
“นายจะทรมานฉันทำไมวะ”
“ฉันแค่ห่วงกวินทร์กับคีตาต่างหาก ไม่ได้ทรมาน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ให้ฉันได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำเถอะ ฉันรักกวินทร์หรอกถึงได้ทำแบบนี้ คิดถึงมากด้วย เจอหน้ากันแต่จับตัวไม่ได้นี่น่าจะทรมานกว่านะ”
พอมันพูดมาแบบนี้ ผมก็กลอกตา ว่าจะไม่ยอมมันอยู่แล้วเชียว ได้ยินแบบนี้ก็ใจอ่อนยวบ ก็จริงอย่างที่มันพูดนั่นแหละ เจอหน้ากันแต่แตะต้องตัวกันไม่ได้นี่น่าอึดอัดจะตาย ผมเองก็อยากจะกอดมันแน่นๆ เหมือนกันถ้าไม่ติดว่ากลิ่นของมันตอนกอดนี่รุนแรงมากเกินจะรับไหวน่ะนะ
“เร็วๆ แล้วกัน ฉันทนกลิ่นนายได้ไม่นานหรอกนะ” สุดท้ายผมก็ออกคำสั่ง ยกมือขึ้นป้องจมูกกับปากไปด้วย
พอเห็นผมยอมปล่อยให้มันอุ้มแต่โดยดี มันก็ยิ้มกว้าง ยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ยังทำสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นอีก นั่นก็คือการโน้มหน้าลงมาจูบผมพร้อมบอกรัก
“กวินทร์น่ารัก รักที่สุด”
“อะ...อ่อก...” ของในกระเพาะก๊อกที่สองไหลมาจุกคอเลย
มึงจะจูบกูหาปู่มึงเหรอไอ้คีธ! ก็บอกว่าเหม็นๆ มึงไม่เข้าใจหรือไง!
“ไป...ไปเร็วๆ เข้า จะอ้วก...” ผมพูดติดๆ ขัดๆ คุมสติตัวเองไม่ให้สำรอกออกมาอย่างเต็มที่
แต่ไอ้บ้าคีธมันดันไม่รีบไป ประทับจูบลงมาอีก คราวนี้แหละ ผมทนไม่ไหวละ ดิ้นเป็นปลาขาดน้ำจนหลุดจากอ้อมแขนมันมายืนบ่นพื้น ก่อนจะ...
“โอ้ก!”
“กวินทร์!” คีธทำหน้าตกใจสุดขีดที่เห็นผมเซถลาไปเกาะเสาไฟฟ้าต้นเดิมแล้วตั้งหน้าตั้งตาอ้วก ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาลูบหลัง “เป็นอะไรมากมั้ยกวินทร์”
มึงยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ! กูบอกว่าเหม็นมึงเนี่ย มึงจะเข้ามาใกล้กูอีกทำไม!
“ถะ...ถอย...อ้วก!” ก๊อกที่สามมาแบบไม่รอจังหวะให้หายใจ
สีหน้าคีธตอนนี้ดูเหรอหราอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ปากก็ยังร้องถามผมไม่เลิก
“อยากให้ฉันช่วยอะไรมั้ยกวินทร์”
มึงช่วยถอยไปห่างๆ กูเดี๋ยวนี้เลย!
คีธมันก็คือคีธนั่นแหละ หน้ามึนไม่เลิก ขนาดเห็นผมจะตายให้ได้เพราะเหม็นมันอย่างนี้แล้ว มันก็ยังไม่ถอยห่างจากผม หนำซ้ำยังอุ้มผมขึ้นอีกรอบ แล้วออกวิ่งไม่คิดชีวิตอีกต่างหาก
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็ถึงห้องแล้ว”
กูจะตายก่อนกลางทางก็เพราะมึงนี่แหละ! หยุดอุ้มกูวิ่งแล้วส่งกลิ่นใส่กูเดี๋ยวนี้!
มะ...ไม่ไหว หยุดหายใจไปสักแป๊บ คีธแม่งก็วิ่งไม่ลืมหูลืมตา ปากก็ยังมีหน้ามาพูด
“ฉันรักกวินทร์ ฉันจะไม่ยอมให้กวินทร์เป็นอะไรไปเด็ดขาด”
กูก็รักมึงนะ แต่กูเหม็นมึงมากไอ้คีธ! ปล่อยกูลงแล้วไสหัวไปไกลๆ กูเดี๋ยวนี้!
“อ่อก...”
มาอีกรอบแล้ว ตายแน่... กูตายแน่ ได้ตายก่อนคลอดแน่ มึงอย่ามาทำกูแท้งตอนนี้นะโว้ย!
หะ...ให้ตาย ทำไมโม้เม้นต์ที่มันกลับมาหลังจากไม่ได้เจอกันมานานหลายเดือนถึงได้ไม่ชวนให้น่าประทับใจเลยสักนิดวะ! แต่ก็เอาเถอะ มันกลับมาก็ดีแล้ว การรอคอยของผมจะได้สิ้นสุดสักที ถึงจะต้องแพ้ท้องเพราะเหม็นมันไม่หยุดอย่างนี้ก็เถอะ
ในที่สุดก็ได้มาอยู่กันพร้อมหน้าสักทีนะ...
คิดถึงที่สุดเลย...คีธ
----------------------------------------------------
เอ้า จบจ้าาาา ตอนจบก็ยังเกรียนกันทั้งคู่ 555 แต่ยังไม่จบดีนะ คีตายังไม่คลอด ไข่หนูคินน์ยังไม่ได้วาง เราก็ยังจะไม่จบ อิอิ
หลังจากคีตาคลอดกับวางไข่หนูคินน์แล้วก็มาต่อกันที่ตัวอย่างภาคลูกๆ นะจ๊ะ เสร็จแล้วก็ตัวอย่างเล่มสเปเชียลที่สองคนนี้ไปฮันนีมูนกันจ้า รอหน่อยๆ กำลังทยอยเขียนละ XD
ปล.ส่งฟีดแบ็กกันหน่อยนะค้า แอบมาอัพถี่เหมือนกันนะช่วงนี้ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปเน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 591
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Zurruz

  • สาววายพันธุ์ยัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ตลกอะ 5555 7 เดือนยังแพ้อีกเหยออออ ขำตรงให้แปะกับโดมินิคแปลงร่าง โอ้โห

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อรั้ย ท้องกันถ้วนหน้า เหล่าสามีเตรียมรับภาระทีกำลังมาน้าาาา :hao7:

อยากอ่านสเปเชี่ยลคู่ เอ้ย ทรีซัม บักเลน&บลู้คกี้เบนนี่ จังเลยค่ะ :hao6:

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
แพ้ท้องตอน7เดือน แล้วยังเหม็นคีธอีกกกกกกกกกกกกกกก

กวินทร์ดูลำบากลำบน น่าสงสารเขานะคะ  :m20: :laugh:

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Epilogue
พอเข้าเดือนที่เก้า อาการแพ้ท้องเพราะเหม็นไอ้บ้าคีธก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจว่ามันหายไปได้ยังไงทั้งที่เดือนก่อนๆ นั้นเกือบจะทำผมตายให้ได้ เพราะอย่างไรเสีย ผมก็รอดพ้นจากขุมนรกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอ้คีธได้สักที ตอนนี้เราก็เลยกลับมาแตะเนื้อต้องตัว อยู่ใกล้ชิดกันได้เหมือนเดิม
แตะเนื้อต้องตัวกับใกล้ชิดในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการมีอะไรกันนะ ผมหมายถึงการกอด การจูบปกติต่างหาก ใครมันจะบ้ามามีอะไรกันตอนท้องแก่ขนาดนี้ แน่ล่ะว่าผมคนนึงที่ไม่บ้า แต่ไอ้คีธนี่ก็ไม่แน่ มันก็มีมาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ อยู่เหมือนกัน ทว่าพอโดนผมด่าไปว่ามันอันตรายต่อคีตา มันก็หยุดอาการอยากลากผมขึ้นเตียงได้ เปลี่ยนมาเป็นเอาใจผมแทน การเอาใจก็คือการซื้อของหวานมาประเคนให้ผมกินนี่แหละ ผมคงลืมบอกไปสินะว่าตั้งแต่ท้องคีตานี่ ผมชอบกินของหวานมากเป็นพิเศษ มากถึงขนาดสามารถกินไอศรีมถ้วยใหญ่ๆ ไซส์ครอบครัวได้คนเดียวแบบทีเดียวหมดเลยล่ะ ในตู้เย็นเลยต้องมีของหวานจำพวกไอศกรีมกักตุนไว้ตลอดเวลา เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าของขาดแต่ผมอยากกินขึ้นมาเมื่อไหร่ รับรองเลยว่าระเบิดลงไอ้คีธแน่
มันก็เป็นผลพวงจากการท้องแหละนะไอ้อารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ ของผมเนี่ย ดีที่คีธเข้าใจและไม่ว่าอะไร ดูแลผมเป็นอย่างดี แทบจะทำทุกอย่างให้ประหนี่งผมเป็นง่อยด้วยซ้ำ นี่ถ้าผมไม่ห้าม มันคงจะอุ้มผมไปส่งที่มหา’ลัยตอนมีเรียนด้วยแล้ว
ผมก็ยังไปเรียนตามปกติ ไม่ได้สนว่าท้องแก่ใกล้คลอดแล้วแต่อย่างใด ถึงคีธมันจะอยากให้หยุดเรียนสักพักจนกว่าจะคลอด แต่ผมไม่อยากเสียเวลาเพราะนี่ก็ใกล้จะสอบปลายภาคของเทอมหนึ่งในชั้นปีสองแล้ว เหลืออีกเทอมเดียว ผมก็จะเรียนจบ ถ้ามัวแต่หยุด เดี๋ยวก็ไม่จบกันพอดี
ริชาร์ดเองก็ไม่หยุดเรียนเช่นกันถึงแอสตันจะร้องขอ ยังมาเรียนตามเดิม หมอนั่นก็ใกล้คลอด แต่ก็ยังทำทุกอย่างตามปกติเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ สงสัย จะมีก็แต่ทักบ้างว่าช่วงนี้ทั้งผมทั้งมันดูลงพุงกว่าเดือนก่อนๆ ผมกับมันก็ได้แต่อ้างไปเรื่อยว่าเรียนหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก ตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การนับวันรอที่จะเห็นหน้าคีตาต่างหาก
ทว่าเหมือนคีตาจะยังไม่อยากออกมาดูโลกสักเท่าไหร่ เข้าเดือนที่เก้าแล้วก็ยังไม่เห็นจะมีวี่แววว่าจะปวดท้องคลอดแต่อย่างใดเลย ทำเอาผมทั้งกังวล ทั้งวิตกจริตด้วยกลัวว่าลูกจะเป็นอะไร วิตกถึงขนาดละเมอตื่นขึ้นมาดึกๆ เพราะฝันว่าตัวเองคลอดบ่อยๆ ด้วย แต่พอคีธบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่ตัวอ่อนจะยังไม่ยอมออกมาถ้าเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ผมก็พอจะเบาใจไปได้บ้าง
ก็แค่ ‘บ้าง’ ลึกๆ ในใจก็ยังวิตกอยู่ดี ช่วยไม่ได้ คนมันไม่เคยมีลูกนี่หว่า แถมมีลูกแบบท้องเองด้วย ท้องอย่างเดียวไม่ว่า ท้องลูกมนุษย์ต่างดาวอีก ใครไม่วิตกก็บ้าแล้ว!
“กวินทร์ กินไอติม” คีธร้องเรียกผมให้หันไปหลังจากมันยุติความวิตกจริตของผมที่เอาแต่ถามมันว่าทำไมคีตาไม่คลอดสักทีให้มานั่งจ๋องอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นได้ ก่อนจะยื่นช้อนที่ตักไอศตรีมช็อกโกแล็ตพูนช้อนส่งมาตรงหน้าผม
ผมมองเล็กน้อยแล้วก็ส่ายหน้า
“ไม่เอา ไม่อยากกิน”
“สักหน่อยน่า ของชอบกวินทร์ไม่ใช่เหรอ” คีธคะยั้นคะยอ ผมก็ยังส่ายหน้าเหมือนเดิม
“อยู่ในอารมณ์อย่างนี้ ใครมันจะไปกินลงวะ” อารมณ์ที่ว่าก็คืออารมณ์วิตกไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ
คีธก็เลยยื่นมือข้างที่ว่างมาลูบหัวผม ก่อนจะหลอกล่ออีก
“ถ้าไม่กิน คีตาจะหิวนะ”
พอถูกมันใช้ลูกล่อหลอกแบบนี้ ผมก็เผลอยิ้มออกมา ตอบรับมันไปจนได้
“กินก็กิน” แล้วก็อ้าปากงับช้อนที่มันส่งมาให้
“เด็กดี” มันลูบหัวผม ทำอย่างกับผมเป็นหมา แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆ การกระทำของมันก็ทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามันเองก็แคร์ผมเหมือนกัน
คีธมองหน้าผมที่กลืนไอศกรีมรสหวานลงคอพลางอมยิ้ม ก่อนจะทิ้งช้อนลงในถ้วยไอศกรีมในมือ แล้วยื่นมือมาแตะบนมุมปากผมเบาๆ
“เลอะแล้ว ค่อยๆ กิน ไม่มีใครแย่งหรอก”
ผมรู้ว่ามันเช็ดคราบไอศกรีมให้ผม เช็ดแล้วยังมีหน้าเอานิ้วที่เช็ดเมื่อครู่กลับไปเลียอีกด้วย ผมมองแล้วก็บุ้ยปากใส่อย่างเขินๆ
มึงน่ารักเกินไปแล้ว...
“ป้อนฉันบ้างสิ”
แล้วมันก็เสนอหน้าขึ้นมา ส่งถ้วยไอศกรีมในมือมาให้ผม ตอนนี้มันกินอาหารได้เหมือนมนุษย์โลกทั่วไปโดยไม่ต้องพึ่งพาสารอาหารจากโฮสต์เหมือนก่อนแล้วล่ะ รวมถึงการวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ด้วย พวกมันไม่ต้องพึ่งพาโฮสต์แล้ว แค่กินยา ก็สามารถอยู่ได้นานเป็นปีแต่ต้องกินยาตลอดเมื่อถึงกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะโครงการยารักษาสภาพร่างกายของเจเนซิสที่ทำขึ้นตามคำสั่งของแอสตันนั่นแหละ เหตุผลก็คือพวกยูนิกม่าที่อยู่ที่นี่จะได้อยู่อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องหาโฮสต์ไม่ได้ ซึ่งมันก็ดีกับผมนั่นแหละ ขืนต้องให้มันมากินสารอาหารแล้วต้องให้มันวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ตอนท้องด้วย มีหวังผมได้ตายก่อนจะคลอดคีตาพอดี
“เร็วสิ ป้อนฉันบ้าง” คีธเร่งเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่มอง ไม่ยอมรับถ้วยไอศกรีมในมือไปสักที
ผมส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างรำคาญ ปากก็ว่ามันไปด้วย
“ไหนว่าไม่มีใครแย่งไงวะ แล้วไอ้ตัวที่นั่งหน้าแป้น บอกให้ฉันป้อนนี่มันหมายความว่าไง”
คีธหัวเราะขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองพูดอะไรไป ก่อนจะทำตาลูกหมาใส่
“คำเดียวนะ”
“ไม่ได้ บอกว่าไม่แย่งก็คือห้ามกินเว้ย นี่มันของฉันกับคีตา ไม่ใช่ของนาย” ผมชิงถ้วยไอศกรีมในมือมันมา ตักเข้าปากแล้วลอยหน้าลอยตาใส่มัน
ทว่าจังหวะที่ลอยหน้าลอยตายั่วมันนี่แหละ มันก็ฉกจูบลงมาบนริมฝีปากผมเสียอย่างนั้น แถมยังมีหน้าเอาลิ้นดันเข้ามาลิ้มรสไอศกรีมในปากผมด้วย ผมจะผลักมันออกก็กลัวถ้วยไอศกรีมที่ถืออยู่ในมือจะหก สำคัญกว่านั้นคือกลัวว่าคีตาจะได้รับการกระทบกระเทือนจึงยอมให้มันลิ้มรสหวานเย็นอยู่อย่างนั้น กระทั่งมันตักตวงจนหมดจึงผละออกไปเอง
“อร่อยจัง”
ตอนนี้แหละที่ผมสบโอกาส เตะขามันไปที
“อย่าแย่งลูกกินสิวะ!”
“นิดเดียวน่า คีตาไม่ว่าอะไรหรอก” คีธหัวเราะ หน้าตาบ่งบอกชัดเจนเลยว่ามีความสุขกับการได้แกล้งผมกับลูก
“ว่าหรือไม่ว่าเดี๋ยวรู้ ระวังเถอะ ลูกจะเกลียดนาย” ผมบุ้ยปากใส่มัน ตักไอศกรีมเข้าปากแล้วก็บ่นต่ออีกยืดยาว
คีธไม่พูดอะไร ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยผม อีกมือก็ลูบท้องผมไปด้วย
“คีตาไม่ว่าอะไรพ่อคีธเนอะ คีตารักพ่อคีธ”
เห็นแล้วก็หมั่นไส้ มึงนี่คิดเข้าข้างตัวเองตลอด มีเด็กที่ไหนบ้างวะที่ไม่โวยวายเวลาโดนผู้ใหญ่แย่งขนมกิน ถึงจะยังอยู่ในท้องก็เถอะ แต่เป็นลูกชาวยูนิกม่านี่ ประสาทสัมผัสต้องดี รู้ว่าพ่อคีธบ้าบอคอแตกนี่แย่งของกินอยู่แล้ว
และดูเหมือนว่าการคาดเดาของผมจะจริงเสียด้วย เพราะแค่คีธพูดจบและลูบหน้าท้องผมไปมา ผมก็เกิดปวดท้องหนึบขึ้นมากะทันหัน ปวดหน่วงๆ แบบเดียวกับที่ปวดท้องตอนจะคลอดคีธเลย สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าคีตาได้เวลาจะลืมตาขึ้นมาดูโลกแล้ว
เท่านั้นผมก็รีบวางถ้วยไอศกรีมลง มือก็คว้าไหล่คีธที่อยู่ใกล้ๆ ไปบีบแน่น
“คะ...คีธ”
“หืม?”
“เจ็บ...เจ็บท้อง” ผมกัดฟันพูด ข่มความเจ็บปวดสุดฤทธิ์
คีธที่ทำหน้านิ่งเมื่อครู่เบิกตาโพลง ก่อนจะรีบช้อนตัวผมขึ้น ปรี่เข้าไปในห้องนอน วางผมลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็เริ่มโวยวายเป็นคนบ้าเมื่อหน้าท้องรู้สึกปวดหนึบจนแทบทนไม่ไหว
“เจ็บ...เจ็บฉิบหาย โอ๊ย! เจ็บ!”
คีธไม่รอช้า ฉีกเสื้อผมออกด้วยสองมือ ผมอยากจะด่ามันเหมือนเกินที่มันขยันฉีกเสื้อผ้าผมจริง แต่ตอนนี้ไม่มีแรงหรือสติจะด่าอะไรแล้ว
“ปวดแค่ตอนจะคลอดเท่านั้นกวินทร์ เดี๋ยวพอน้ำเมือกไหลก็ไม่เจ็บแล้ว รอก่อน” คีธพยายามให้ผมใจเย็นด้วยการปลอบ
ผมก็รู้แหละว่าไอ้น้ำเมือกที่จะไหลออกมาจากสะดือมันมีฤทธิ์ทำให้ไร้ซึ่งความเจ็บปวด แต่ก่อนที่มันจะไหล คือมันเจ็บไง เจ็บจนจะตายอยู่แล้ว!
คีธก็ทำอะไรได้ไม่มากนักนอกจากจับมือผมแน่น ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง สายตาจับจ้องยังหน้าท้องที่ขยับไปมาเล็กน้อยอย่างลุ้นระทึก ให้เดานะ มันคงจะลุ้นให้ลูกเตรียมพร้อมจะออกมาจากผมนั่นแหละ
ผมก็ได้แต่กัดฟันแน่น รอให้ความเจ็บปวดหายไป ไม่นาน ของเหลวสีใสก็ไหลซึมออกมาจากสะดือ อาการปวดท้องเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ทุเลา ก่อนจะหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่น่าแปลกคือ สะดือผมไม่ขยายตัวออกเองเหมือนตอนที่คลอดคีธเลยสักนิด ผมเลยมองหน้ามันอย่างสงสัย
“คีธ...”
“ตัวอ่อนที่เกิดจากการขยายพันธุ์จะออกมาเองไม่ได้ถ้าไม่ช่วยพาออกมา” คีธตอบโดยไม่รอให้ผมถาม
“แล้วจะรออะไรล่ะ รีบทำสิ” ผมก็เลยรีบบอกรนๆ ให้มันจัดการ ใจนี่เต้นตึกตักไปแล้วที่อีกไม่กี่นาทีให้หลัง ผมจะได้เห็นหน้าลูกของผม
คีธพยักหน้า วางมือทั้งสองข้างลงบนหน้าท้องผม หัวคิ้วย่นยู่ราวกับกำลังรอจังหวะอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะเลื่อนปลายนิ้วมาระหว่างสะดือ และ...
ครืด...
แหกสะดือกูหน้าตาเฉย!
ไอ้เวรคีธ! มึงเคยแหกจากข้างในไม่พอ ยังจะแหกจากข้างนอกอีกเหรอวะ!
ผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจด้วยไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ ถึงจะไม่เจ็บแต่ก็ทำให้ผมแทบช็อก ช็อกหนักยิ่งกว่าก็ตอนของเหลวสีใสนั่นไหลพลั่กเป็นน้ำตกทันทีที่สะดือถูกแหวกออก
“อาจจะรู้สึกแปลกๆ หน่อยนะกวินทร์ ฉันจะรีบทำให้เร็ว”
มันแปลกตั้งแต่มึงแหวกสะดือกูแล้วไอ้คีธ! นี่ถ้ากูไม่เห็นกับตาว่าไอ้ที่มึงใช้นิ้วแหวกเมื่อกี้เป็นสะดือกู กูก็คงนึกว่าเป็นหลุมดำไปแล้ว!
“ทะ...ทำสักที” ผมว่าเสียงสั่น ความตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าลูกนี่หายไปกับตาเลย ตอนนี้ขออย่างเดียวคือให้มันรีบๆ เอาคีตาออกมา
และคีธก็ตอบสนองความต้องการของผมโดยไม่รอให้เร่งด้วยการเอามือข้างหนึ่งล้วงลงไปในสะดือผมทันใด ผมหงายหลังลงกับหมอน หน้ามืดขึ้นมากะทันหัน ไม่กล้าแม้แต่จะมองเลยว่ามันทำอะไร แต่ความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขยุกขยิกอยู่ในท้องตัวเองก็ทำให้ผมอดไปมองไปได้ พอมองปุ๊บ ก็เห็นคีธมันเอามืออีกข้างสอดลงไปในตัวผมเหมือนกัน และนั่นก็ทำให้ผมอยากจะเป็นลมขึ้นมา
“ระ...เร็วๆ” ผมร้องเร่ง รู้สึกว่าตัวเองจะรับกับสภาพชวนขนหัวลุกแบบนี้ต่อไปไม่ไหวละ
ทว่าคีธไม่ตอบรับใดๆ ย่นคิ้วจนขมวดกันเป็นปม ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ คลาย หันมามองผมด้วยแววตาประกายวาว
“กะ...กวินทร์... มือ...มือคีตา...” คีธว่าอย่างตื่นเต้นทันทีที่มันคว้ามือลูกได้หลังจากมันเอามือตัวเองควานลงไปหาในสะดือผม แถมยังยิ้มกว้างอีก แต่คือแบบ...
มึงช่วยดูกูด้วยได้มั้ยว่ากูอยู่ในอารมณ์ไหน! มึงรีบๆ เอาลูกออกมาแล้วเอามือออกจากสะดือกูสักที กูจะเป็นลมอยู่แล้ว!
เป็นลมจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น เห็นมันตั้งหน้าตั้งตาล้วงพุงตัวเอง แถมมีเสียงเฉอะแฉะจากน้ำเมือกสีใสที่ไหลจากสะดือมาให้ได้ยินด้วย ผมก็มึนหัวขึ้นมากะทันหัน โลกเกือบจะดับวูบอยู่แล้วถ้าหากว่ามันไม่พูดเรียกสติผมขึ้นมาอีก
“คีตาดูท่าจะตัวใหญ่ สงสัยต้องมุดลงไป”
แค่มือมึงล้วงลงไปยังไม่พอ มึงยังจะมุดสะดือกูอีกเหรอไอ้คีธ! หยุดเลย มึงหยุดเลย! รีบๆ เอาลูกออกมาได้แล้วเว้ย กูลุ้นจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!
ดีที่มันไม่มุดอย่างที่มันพูด แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ล้วงแขนลึกลงไปเกือบครึ่ง ผมเห็นแล้วก็เบิกตาโตอย่างตกใจ ไอ้ตัวที่อยู่ข้างในก็จะออก ไอ้ตัวที่อยู่ข้างนอกก็จะเข้า อะไรของพวกมันกันวะ!?
“อืม... ติดจริงๆ ด้วย ทนหน่อยนะกวินทร์ เดี๋ยวฉันจะลองล้วงให้ลึกกว่านี้”
“ดะ...เดี๋ยว...”
ผมไม่ทันจะได้ตอบรับเลย มันก็ล้วงลงไปแล้ว คราวนี้ล้วงลึกลงไปจนเกือบถึงข้อศอก ผมเบิกตาโพลงหนักกว่าเดิมอีก
นี่มันหนังสยองขวัญเวอร์ชันไอ้คีธกับลูกมันชัดๆ! กูคิดผิดหรือคิดถูกที่ให้มึงมาทำคลอดให้เนี่ย! รีบๆ ออกมาทั้งพ่อทั้งลูกเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!
“มะ...ไม่ไหวแล้ว” ตอนนี้ผมสั่นไปทั้งตัวเลย โคตรจะกลัวมันเลยให้ตาย
“ไม่ต้องห่วง ร่างกายชาวยูนิกม่าย่อส่วนเวลาอยู่ในร่างโฮสต์ได้ ถึงจะล้วงลงไปลึก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายกับอวัยวะภายในของกวินทร์หรอก มันย่อส่วน”
กูไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียวเลยไอ้คีธ! กูกลัวมึง รีบๆ เอาทั้งมึงทั้งลูกออกมาได้แล้ว!
ผมหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน สายตาที่มองภาพตรงหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ แต่คีธก็ไม่หยุด ล้วงพุงผมอย่างเมามันส์อยู่นานสองนาน ครู่เดียว ผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างหลุดออกมาจากท้องผม ผมเลยข่มใจไม่ให้สติดับวูบ ผงกหัวขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วก็ต้องนิ่งค้างเมื่อเห็นว่ามีร่างของทารกออกมาจากหน้าท้อง
“คะ...คีตา...”
ผมครางอย่างไม่เชื่อสายตา จังหวะเดียวกันกับที่คีธพาร่างของลูกออกมาพ้นตัวผมพอดี มันอุ้มลูกไปเปิดตู้เสื้อผ้าใกล้ๆ เอาผ้าอ้อมเด็กที่ซื้อมาเก็บไว้ล่วงหน้ามาเช็ดคราบน้ำเมือกออกจากใบหน้าและเนื้อตัว เท่านั้นเสียงร้องของทารกก็ดังแว่วมาให้ผมได้ยิน ผมชะงักงัน ไม่สนใจหน้าท้องของตัวเองที่กลับสู่สภาพปกติเหมือนตอนก่อนท้องแต่อย่างใด เอาแต่จ้องคีธที่อุ้มลูกเดินมานั่งข้างเตียงเหมือนเดิมเท่านั้น
คีธยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ ก่อนจะประคองคีตาให้ผมอุ้ม
“เด็กผู้ชาย” ตามมาด้วยบอกเพศ
ผมค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาไปรับลูกมาอุ้มด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันทั้งดีใจ ตกใจ ตื้นตันใจ และอื่นๆ ผสมปนเปกันไปหมดจนผมอธิบายไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกันแน่ ที่แน่ๆ ก็คือจู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลอาบหน้าโดยไม่รู้ตัว ยิ่งมองเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของคีตาที่ดูเหมือนจะถอดแบบผมมา ผมก็พูดไม่ออกราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คีธลูบกระหม่อมผมเบาๆ นี่แหละ
“เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเลี้ยงลูกเอง”
ผมรู้ว่ามันหมายถึงสารอาหารที่มาจากนิ้วมันที่จะใช้ป้อนแทนนม
ผมพยักหน้า ไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มทั้งน้ำตา ปลายนิ้วก็ลูบพวงแก้มใสจนเกือบเห็นเส้นเลือดของคีตาไปด้วย
“ละ...ลูกของฉัน” ผมครางออกมาอย่างกับผู้หญิงที่เพิ่งเป็นแม่ไม่มีผิด
คีธหัวเราะในลำคอ แล้วก็โน้มหน้ามาจูบหน้าผากผม
“ลูกของฉันด้วย... ลูกของเรา”
ผมมองหน้ามัน พยักหน้าให้รัวๆ น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหลจนคีธต้องหัวเราะ
“อะไรเนี่ยกวินทร์ ร้องทำไม”
“มะ...ไม่รู้ มันไหลออกมาเอง” ผมว่าไปตามความจริง ก่อนจะเรียกชื่อคนตรงหน้าเมื่อเห็นว่ามันทำท่าหยอกคีตาที่หยุดร้องและเริ่มนิ่งไปแล้ว
“นี่คีธ...”
“หืม?”
“ขอบคุณนะ”
คีธชะงัก ดูเหมือนไม่เข้าใจว่าผมขอบคุณเรื่องอะไร ผมก็เลยต้องพูดต่อ
“ขอบคุณที่ทำให้ฉันมีความสุข ขอบคุณที่อยู่กับฉันทั้งที่ฉันทำตัวไม่ค่อยดีกับนาย” ผมว่าอ้อมแอ้ม คีธก็เลยหัวเราะ
“ฉันรู้อยู่แล้วว่ากวินทร์นิสัยเสีย”
เอ้า เดี๋ยว! มึงต้องบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ฉันรักกวินทร์’ อะไรแบบนี้สิ มึงจะมาเห็นด้วยทำไม!
ผมทำปากยื่นใส่มันทันทีที่มันดันพูดไม่ตรงสคริปต์ที่ผมต้องการได้ยิน แต่ครู่เดียวก็ต้องยิ้มออกเมื่อมันพูดต่อ
“แต่ฉันก็รักกวินทร์” แล้วก็ตามมาด้วยจูบเบาๆ “ขอบคุณกวินทร์สำหรับทุกอย่างเหมือนกัน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันในวันนั้น แล้วก็ขอบคุณที่ให้ฉันวางไข่ ทั้งวางไข่สร้างร่างใหม่ แล้วก็วางไข่สร้างคีตา”
ผมพยักหน้ารับ ยิ้มให้มันกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา มือก็ปาดน้ำตาไปด้วย แต่ปาดยังไงก็ไม่แห้งสักที จนคีธต้องมาช่วยปาดอีกคน
“หยุดร้องได้แล้ว ขี้แยเป็นเด็กเลย”
“ไม่ได้ขี้แยเว้ย” ผมเถียง คีธเลยชะงัก
“แล้วร้องทำไม”
“ฉัน...ฉันร้องเพราะมีความสุขต่างหาก” ผมยอมรับไปตรงๆ
คีธก็เลยโน้มใบหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง ครั้งนี้เราจูบกันเนิ่นนานกว่าจะผละออกจากกัน ถึงจะผละแล้วแต่คีธก็ยังใช้ปลายจมูกคลอเคลียกับปลายจมูกผมอยู่ ปากก็กระซิบบอกไปด้วย
“ฉันก็มีความสุข มีความสุขที่มีกวินทร์อยู่แบบนี้ มีความสุขที่มีคีตาด้วย”
“ฉัน...ก็เหมือนกัน” ผมตอบรับ ตอนนี้ไม่เก็บงำความรู้สึกใดๆ แล้ว
มันมีความสุขจริงๆ ใครจะไปคิดล่ะว่าการมีครอบครัว มีลูก มันจะทำให้หัวใจพองโตได้ถึงขนาดนี้ ถึงตอนคลอดมันจะไม่ชวนให้พิสมัยเลยก็เถอะ แต่ผลที่ออกมาก็ทำให้ผมยิ้มได้ไม่หุบเลยทีเดียว
ผมเหลือบสายตามามองหน้าคีตาที่หลับตาพริ้มในอ้อมแขนอีกครั้ง ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปเมื่อคีธชูนิ้วชี้มาจ่อตรงหน้า
“เพิ่งคลอด ร่างกายจะอ่อนแอ อยากดูดมั้ย”
ผมหลุดหัวเราะลั่น จริงสินะ เกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนที่คลอดมันครั้งแรก ผมมีอาการเป็นยังไง ก่อนจะพยักหน้าแล้วอ้าปากรอ
“ป้อนหน่อย”
คีธพยักหน้า ยื่นมือมารับลูกจากผมไปอุ้มด้วยแขนข้างเดียว พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงให้นอนราบลงไป ก่อนจะส่งปลายนิ้วชี้มาเข้าปากผม รสหวานปะแล่มจากของเหลวไหลลงคออีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด ดูดกลืนราวกับเป็นน้ำหวานจากดอกไม้ก็ไม่ปาน มือทั้งสองข้างก็จับมือของคีธที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ด้วย ก่อนจะเหลือบไปมองคีธเมื่อเห็นมันขยับเข้ามาใกล้ แล้วประทับจูบลงกลางหน้าผากผมโดยไม่พูดอะไร ผมเลยเป็นฝ่ายละริมฝีปากออกจากนิ้วมันแล้วพูดแทน
“คีธ... รักนะ รักมากที่สุด”
คีธยิ้ม ไม่พูดอะไร ส่งปลายนิ้วเข้าปากผมอีกครั้ง แต่ถึงมันจะไม่พูดอะไร ผมก็รู้คำตอบอยู่แล้วล่ะว่ามันรักผมมั้ย
ก็ต้องรักสิ... ถ้าไม่รัก มันจะมาอยู่ตรงนี้ทำบ้าอะไร ที่สำคัญ ถึงต่อไปนี้มันจะไม่บอกรักผมแล้ว ผมก็รู้ว่ามันรัก
ก็จะไม่รู้ได้ไงล่ะในเมื่อสักขีพยานความรักของมันนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนมันทั้งคน
แบบนี้ต้องเรียกว่ามันรักผมมากแล้วล่ะ...
 
หลังจากคลอดคีตา หน้าที่เลี้ยงลูกทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่คีธอย่างเต็มตัว จริงๆ จะว่าเต็มตัวนักก็ไม่ถูก เรียกว่าผลัดกันจะดีกว่าแค่คนที่เลี้ยงลูกหลักๆ เป็นมันเท่านั้นเอง ผมจะมาช่วยเลี้ยงบ้างก็ตอนที่มันมีถ่ายแบบ
ผมยังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าตอนนี้คีธได้งานเป็นนายแบบของแบรนด์ชั้นนำแบรนด์หนึ่งล่ะ แถมตอนนี้ก็กำลังเป็นดาวรุ่งสุดๆ ด้วย ผมเลยไม่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเราเท่าไหร่นัก และที่มันเป็นนายแบบได้ก็เพราะการแนะนำของซีเลนนี่แหละ ทำเอาผมอดคิดไม่ได้เลยว่าถึงมันจะหื่นกาม แต่มันก็เป็นคนดีเหมือนกัน
และตอนนี้ ผมกับคีธก็ย้ายมาอยู่บ้านเช่าแทนอพาร์ตเม้นต์เล็กๆ นั่นแล้ว ตอนแรกคีธกะว่าจะซื้อบ้านแต่ถูกผมเบรกไว้เพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่ที่ไหน เลยได้แค่ซื้อรถเท่านั้น ส่วนเรื่องที่มันมีสิทธิ์ซื้อบ้านได้ ก็เป็นเพราะตอนนี้มันได้สัญชาติเป็นชาวอเมริกันแล้วน่ะ อย่าถามนะว่ามันได้สัญชาติได้ยังไงทั้งที่เป็นมนุษย์ต่างดาว ...เคยบอกแล้วนี่นาว่าพวกองค์กรชั้นนำต่างๆ มีมนุษย์ต่างดาวแฝงตัวเข้าไปทำงานอยู่เยอะ การขอสัญชาติก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอกแค่แสดงตัวว่าเป็นชาวยูนิกม่าผู้สูงส่งน่ะ
ส่วนพวกริชาร์ดกับสองพี่น้องเปรตนั่นก็คลอดลูกแล้วเหมือนกัน แน่นอนล่ะว่าคนเลี้ยงลูกก็เป็นแอสตันกับซีเลน ก็พวกมันป้อนสารอาหารให้ลูกได้นี่นา เป็นหน้าที่ของพวกมันก็ถูกแล้ว สำหรับแอสตันนี่ดูไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นัก ที่เปลี่ยนก็คือริชาร์ดมากกว่า เพราะพ่อแม่มันเป็นคนจีนหัวโบราณ แถมยังเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด พอรู้ว่าลูกชายคนเดียวมีลูก แถมเป็นเกย์อีก ก็ทะเลาะกับมันยกใหญ่ ริชาร์ดก็เลยตัดสินใจย้ายออกมาอยู่กับแอสตันตามลำพัง ซึ่งบ้านของพวกมันก็อยู่ข้างๆ บ้านผมนี่แหละ ส่วนซีเลนก็เบาเรื่องข่าวฉาวไปเยอะ ทว่าก็ยังมีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ข่าวฉาวของมันก็คือการที่มันมีลูกซึ่งเกิดจากการอุ้มบุญมากกว่า แถมมีเมียเป็นผู้ชายตั้งสองคน เรียกได้ว่าเป็นทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ ของวงการฮอลลีวูดในตอนนี้ไปเลย
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของผม สิ่งที่ผมต้องทำและสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการสอบธีสิสเพื่อทำเรื่องขอจบปริญญาโทมากกว่า ผมกับริชาร์ดก็เลยหัวหมุนกันใหญ่ โดยเฉพาะวันนี้ซึ่งเป็นวันชี้ชะตาเลยว่าผมกับมันจะเรียนจบหรือไม่
ผมหอบเอกสารสำคัญเต็มสองแขน เตรียมตัวไปมหา’ลัย แต่ก็ไม่ลืมที่จะทักทายคีตาซึ่งถูกคีธอุ้มอยู่
“พ่อกวินทร์ไปแล้วนะครับคีตา” พูดจบก็หอมแก้มยุ้ยๆ ไปเต็มรัก
คีตาส่งเสียงหัวเราะอ้อแอ้อย่างชอบใจ ตอนนี้คีตาอายุห้าเดือนแล้ว ร่างกายดูโตกว่าเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสักเล็กน้อย แต่ก็ยังน่ารักและเป็นเจ้าจิ๋วสำหรับผม
พอเห็นลูกหัวเราะร่วน ผมก็อดใจหอมแก้มหอมๆ นั่นไปอีกรอบไม่ได้
“อวยพรให้พ่อสอบผ่านด้วยนะคีตา ไหน มาให้พ่อหอมแก้มเอาโชคอีกทีซิ จุ๊บ...”
จากที่ว่าจะหอมแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นว่าผมฟัดแก้มลูกไปแล้วเรียบร้อย คีธที่ยืนมองอยู่ถึงกับต้องพูดขึ้นมา
“แล้วไม่หอมแก้มพ่อคีธเอาโชคบ้างเหรอ”
ผมหยุดหอมแก้มคีตา มองหน้ามันเลย
“อย่าบอกนะว่าอิจฉาลูก?”
“เปล่า แค่อยากให้กวินทร์หอมแก้มฉันบ้าง” มันว่าหน้าตาย ทำเอาผมอยากแกล้งขึ้นมา
“ไม่ได้เว้ย หอมแก้มนี่สงวนไว้ให้คีตาคนเดียว”
สายตาของคีธดูเบื่อโลกไปแวบหนึ่ง เรียกเสียงหัวเราะจากผมได้ทันที
“สำหรับพ่อคีธต้องนี่...” แล้วผมก็ขยับเข้าไปจูบริมฝีปากหยักหนาแทน “อันนี้สงวนไว้ให้พ่อคีธคนเดียว”
พอผละออกมาก็พูด คีธยิ้มออกก่อนจะเข้ามาจูบผมอีกครั้ง
“ฉันต้องไปแล้ว เดี๋ยวสาย” ผมว่าพลางดูนาฬิกาบนผนัง
คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมบอกลาลูกอีกครั้ง ก่อนจะหอบข้าวของพุ่งออกไปที่โรงรถข้างบ้าน
รถเคลื่อนออกจากโรงรถ แล่นออกไปยังถนนซึ่งทอดตัวยาวอยู่หน้าบ้าน ทว่าถึงจะรีบร้อนเพียงใด ผมก็จำต้องชะลอรถเมื่อรถเคลื่อนตัวมาเทียบยังบริเวณสนามหน้าบ้าน สายตาก็เหลือบมองไปยังประตูบ้านโดยอัตโนมัติ ร่างใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นยืนอยู่ตรงหน้าประตู ในอ้อมแขนอุ้มทารกแก้มป่องตัวน้อย ก่อนที่คนหน้าตายนั่นจะเล่นสนุกด้วยการจับมือเล็กๆ ของลูกขึ้นมาโบกในอากาศเบาๆ เป็นการบ๊ายบาย
ผมเห็นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เปิดกระจกรถแล้วตะโกนกลับไป
“พ่อกวินทร์จะรีบกลับมา รอกินมื้อเย็นด้วยกันนะ”
คีธพยักหน้า คีตาส่งเสียงหัวเราะ ผมเลื่อนกระจกขึ้นปิดแล้วเหยียบคันเร่งออกไปด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม
ดูท่าวันนี้ผมคงจะสอบผ่านธีสิสได้ง่ายๆ เสียแล้วล่ะ อืม... ถ้าสอบผ่าน สงสัยคงต้องยกเลิกนัดกับพวกเพื่อนๆ ที่จะไปฉลองกันหลังสอบธีสิสแล้วล่ะ ดันนัดซ้อนไปเสียแล้ว
ไปฉลองกันตามประสาพ่อ-พ่อ-ลูกแล้วกัน
ชักจะอดใจรอกลับมาเจอสองพ่อลูกนั่นที่บ้านไม่ไหวแล้วสิ...
-----------------------------------------
มาตามสัญญา จบแล้ววด้วย แต่ยังไม่จบดีนะคะ ยังเหลือ Extra อีกตอน หนูคินน์ยังไม่โผล่มา จะจบได้เยี่ยงไรรรรร บอกเลยว่าตอน Extra นี่เกรียนหนักกว่าเดิมอีก 555
ส่งฟีดแบ็กกันได้นะค้า อย่าเพิ่งหายไปไหนกันเน้อ ^^

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2662
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Candy CAT

  • ชิบหาย!!!........ไปหมดแล้วสมงสมองกู- -''
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ครอบครัวสุขสันต์จริงๆ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด