Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Alien's Host ลูกชายผมเป็นเอเลี่ยน[เปิดขายหนังสือ'แก๊งเกรียนเอเลี่ยน']-30/10/59  (อ่าน 134874 ครั้ง)

ออฟไลน์ Zurruz

  • สาววายพันธุ์ยัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เรื่องนี้สนุกมาก สนุกออก ทำไมมีคนติดตามไม่เยอะละ สนุกจริงๆนะ ภาษาก็ดี เชียร์ค่ะ สู้ๆๆๆ

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
 :jul3:
กวินทร์นี่.... เดาแต่ละที ไม่ธรรมดาจริงๆ

ออฟไลน์ meanmena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1

ออฟไลน์ pedchara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 179
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
อ่านแล้วสนุกมากเลย ใช้ภาษาง่ายๆ แต่น่าติดตามอ้า

หักมุมทีเราเงิบ 5555555

ขำนางกวินสุดล่ะ  นางเป็นพวกขี้โวยวายไม่รู้ตัวจริงๆ

คัมแบคเร็วๆนะคีธ :impress2:

ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
สนุกมาก รอตอนต่อไปคะ

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
อร๊ายย ลุ้นว่าองค์ชายที่ว่านั่นจะเป็นใครล่ะหนอ  :impress2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 30: You are my children’s father[1]
มิน่าล่ะทำไมถึงได้คุ้นชื่อซีเลนาตาอะไรนี่ตอนที่เจเนซิสพูดเหลือเกิน ก็มันคล้ายกับชื่อไอ้ซีเลนเหมือนเป็นชื่อเต็มอะไรประมาณนั้นเลยน่ะสิ ดูคีธสิ ชื่อเต็มคือคีทาเย ชื่อสั้นๆ คือคีธ แอสตันก็เหมือนกัน ชื่อเต็มๆ คือแอสโซซิโน ของซีเลนนี่ชื่อเต็มคงจะเป็นซีเลนาตาล่ะสินะ
ผมคิดเองเออเองไปเรื่อยเปื่อย หากแต่พอได้สติคิดทบทวนดูแล้วก็ไม่น่าใช่
ก็มันจะไปใช่ป้าแอสตันได้ยังไงในเมื่อมันเป็นผู้ชาย ที่สำคัญ เจเนซิสบอกว่าเจ้าหญิง เจ้าหญิงก็คงจะไม่หนวดเฟิ้มแถมหื่นกามอย่างนี้หรอก ตอนที่คิดว่ามันเป็นป้าของแอสตันนี่คือไม่ทันคิดไง เอ... หรือว่าจะเป็นผัวคนที่สองของเจ้าหญิง? แต่มันยังหนุ่มเกินไปนะ รู้สึกว่าในประวัติมันที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ มันบอกว่ามันอายุยี่สิบสองเท่ากับผม ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่ผัวป้าแอสตันเพราะตอนที่ป้าแอสตันถูกยกให้พวกเซนไทน์ แอสตันยังไม่เกิดด้วยซ้ำ มันก็น่าจะยังไม่เกิดเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นลูก? ไม่สิ ถ้าเป็นลูกก็เท่ากับว่ามันต้องเป็นเจ้าชายของยูนิกม่าด้วย แต่นี่พวกคีธไม่รู้จักมันก็ไม่น่าจะใช่
ตกลงมันเป็นใครกันแน่วะ!?
ยิ่งคิด หัวก็เหมือนจะระเบิด ความสงสัยพร่างพรายขึ้นในใจผมไม่หยุดหย่อนขณะที่ซีเลนก็เอาแต่เดินหน้าตั้ง โบกรถแท็กซี่แล้วจับผมยัดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะแทรกตัวเข้ามา ร้องสั่งให้คนขับรถมุ่งหน้าไปยังเพนท์เฮ้าส์มันทันใด
พอได้ยินว่าจุดมุ่งหมายที่จะไปคือห้องของมัน ผมก็รีบหันไปแหวใส่คนข้างๆ โดยพลัน
“ทำไมฉันต้องไปที่ห้องนายด้วย”
“ฉันก็แค่พานายไปที่ที่ปลอดภัยที่สุด อย่าเพิ่งถามมากน่า”
กูต้องถามสิก็ในเมื่อไอ้ที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่มึงว่าคือที่ที่กูเคยเกือบถูกมึงปล้ำมาหลายต่อหลายครั้งน่ะ!
ผมอยากจะท้วงชะมัดแต่พอได้เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของซีเลนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้ว ผมก็ต้องกลืนคำก่นด่ามันลงไป เปลี่ยนไปเป็นการตั้งคำถามแทน
“แล้วทำไมนายต้องหนีคนพวกนั้น”
ซีเลนชะงัก รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ทันที
“คนพวกไหน”
“ก็ไอ้พวกเจ้าพ่อมาเฟียพวกนั้นน่ะ นายหนีทำไม”
“ก็นายทำรถมันเป็นรอยนี่หว่า ถึงฉันจะมีตังค์จ่ายค่าเสียหายให้นายได้ แต่ฉันก็ไม่ยอมถูกพวกมันจับไปทรมานแทนนายหรอกนะ” ซีเลนทำเป็นว่าติดตลก
ผมรู้ว่ามันไม่ได้หนีเพราะเรื่องนั้น ผมเลยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดชื่อที่เจ้าพ่อนั่นพูดออกมา
“ซีเลนาตา” ซีเลนสะดุ้งเลย ทำเอาผมที่เหลือบมองอยู่ยิ้มเผล่ “นายหนีพวกมันเพราะหัวหน้ามันพูดชื่อนี้”
 “ชื่ออะไรประหลาดชะมัด ไม่เคยเห็นจะได้ยิน” ซีเลนเอนตัวพิงเบาะแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใส่ผม
มึงไม่ต้องมาทำไก๋เลย! กูจับพิรุธมึงได้!
“ตกลงนายเป็นใครกันแน่ซีเลน เมื่อคืนที่คีธถามก็ยังไม่บอกเลยนะ”
“อ๋อ ที่แท้หมอนั่นก็ชื่อคีธ” ซีเลนคราง ก่อนจะหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “ถ้านายอยากรู้ว่าฉันเป็นใครก็มาให้ฉันกินก่อนสิแล้วฉันจะบอก”
เอาอีกละ มันเอาอีกละ! มึงนี่หาโอกาสปล้ำกูตลอดเลยนะ!
“ไม่ตลกเลยซีเลน บอกมาซะที เล่นลิ้นอยู่ได้” ผมว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ซีเลนยกมือขึ้นขยี้หูแล้วว่าอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็เคยบอกแล้วไงว่าฉันเป็นพวกใกล้สูญพันธุ์ ชื่อชาติพันธุ์ไม่มี”
“ไม่จริง ฉันว่านายต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงซีเลนาตาแน่ ไม่อย่างนั้นนายคงไม่รีบลากฉันเดินหนีคนพวกนั้นมาอย่างนี้หรอก ก่อนหน้านี้กระสันอยากจะพาฉันเข้าโรงแรมมากไม่ใช่หรือไง”
สิ้นเสียง ซีเลนก็เหลือบมามองหน้าผม ความขี้เล่นบนใบหน้าไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ก่อนมันจะว่ายาว
“ที่ฉันหนีเพราะฉันรู้ว่าพวกมันเป็นพวกเซนไทน์ต่างหาก แล้วนายก็เป็นคนที่ชาวยูนิกม่าที่ชื่อคีธอะไรนี่ผูกพันด้วย ถ้าพวกมันได้กลิ่นไอ้คีธจากตัวนาย พวกมันคงจะจับนายไปล่อไอ้บ้านั่นแน่ถึงนายจะไม่มีกลิ่นของยูนิกม่าแล้วก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้กลิ่นเลย ยังมีกลิ่นอยู่จางๆ ส่วนเรื่องเจ้าหญิงซีเลนาตาอะไรนั่นน่ะ เค้ารู้กันทั้งจักรวาล เล่าลือกันมานานละ ใครไม่รู้สิแปลก”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงพิรุธจากซีเลนแม้ว่าสิ่งที่มันพูดจะมีเหตุและผลเหมาะสมก็ตาม และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ ผมเลยหันหน้าไปหามัน ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ซีเลน บอกมาว่านายเป็นใคร”
ซีเลนชำเลืองมองผมเล็กน้อยก่อนจะหยักยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่เคยเห็น หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเหยียดๆ ยังไงไม่รู้ ทว่าก็ไม่มีอะไรทำให้ผมสนใจได้เท่ากับสิ่งที่มันพูดออกมา
“เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ”
“นายหมายความว่า...”
“เดี๋ยวเปลี่ยนเส้นทางดีกว่า ไปทางถนนสายตะวันตกนะ ฉันเปลี่ยนใจละ”
ผมถามยังไม่ทันจบ ซีเลนก็โพล่งขึ้นเมื่อเห็นว่าคนขับรถทำท่าจะเลี้ยวไปทางขวาเมื่อถึงแยกแห่งหนึ่ง และทางที่มันบอกให้คนขับรถเลี้ยวไปก็คือทางที่มุ่งหน้าไปยังอพาร์ตเม้นต์ของผม ผมรู้เลยว่ามันกำลังพยายามหนี
หนีแบบนี้มันจะต้องมีลับลมคมในอะไรแน่
แน่นอนว่าตลอดทางที่รถมุ่งหน้ามาที่อพาร์ตเม้นต์ ผมก็เค้นถามซีเลนเรื่องเดิมไม่หยุดปาก โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมันกับเจ้าหญิงซีเลนาตา ทว่ามันก็ไม่หลุดปากออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ไม่บอกด้วยว่ามันเป็นใคร กระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดยังหน้าอพาร์ตเม้นต์ ทำให้ผมต้องหุบปากฉับทันทีเมื่อมันขัดขึ้น
“ถึงแล้ว ลงไปซะ แล้วอย่าออกมาเพ่นพ่านตอนกลางคืน มันอันตราย พวกเซนไทน์แห่กันมาขนาดนี้แล้ว มันต้องมาตามหาชาวยูนิกม่าแน่”
“แต่นายยังไม่บอกเลยนะเว้ยว่านายเป็นใคร” ผมโวยวายเมื่อถูกมันดันออกจากรถแท็กซี่มายืนบนพื้นหน้าอพาร์ตเม้นต์ตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ไม่ต้องรู้หรอกน่า กลับเข้าห้องไปซะ” มันไม่สนใจ ยังดันผมไม่เลิก แถมยังจะดึงประตูปิดด้วย
ผมเลยรีบสะบัดตัวออก คว้าประตูรถเอาไว้ก่อนที่มันจะปิดทันควัน
“ถ้านายไม่บอก ฉันก็ไม่ไป”
ซีเลนมองผมนิ่ง สายตาวูบหนึ่งของมันประกายความรำคาญขึ้นมาแต่ก็ไม่พูดอะไร ล้วงกระเป๋าเงินออกมาจ่ายค่าแท็กซี่แล้วทิ้งตัวลงมายืนประจันหน้าผม
“ดื้อจริงเลยนะนายเนี่ย” แล้วมันก็บ่นพึมพำเมื่อรถแท็กซี่เคลื่อนที่ออกไปแล้ว
กูต้องดื้อสิวะ ก็มึงเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ แถมยังมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงซีเลนาตาจากการคาดเดาของกูอีก กูอยากรู้ บอกกูหน่อยเถอะ!
“ตกลงจะบอกได้หรือยัง” ผมถามย้ำขึ้นมาอีก
“เอ... บอกดีมั้ยน้า” ซีเลนทำท่าคิดแล้วยิ้มเผล่อย่างเจ้าเล่ห์ ผมรู้เลยว่าเดี๋ยวมันต้องเล่นลิ้นอีกแน่ แล้วก็จริงซะด้วยเมื่อมันพูดขึ้นมา “หอมแก้มก่อนสิ แล้วจะบอก”
มึงอย่ามาตลกหื่นไอ้ซีเลน!
“เดี๋ยวถีบ อย่ามาเล่นลิ้น” ผมขู่ฟ่อ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรจะรำคาญมันเลย ไม่ขู่อย่างเดียว ยกขาขึ้นทำท่าจะถีบมันด้วย มันเลยทำหน้าเบื่อโลกทันใด
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
อารมณ์ขันหื่นๆ นี่มึงไม่ต้องเอามาใช้กับกูเลย!
“จะบอกหรือไม่บอก” ผมถามเสียงต่ำอีกครั้ง กะว่าถ้ามันไม่บอกก็จะหนีขึ้นห้อง ไม่สนใจมันละ
ซึ่งมันก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีนั่นแหละ เอาแต่พูดว่า...
“อย่ารู้เลย มันไม่มีประโยชน์กับนาย”
งั้นก็ช่างหัวมึงเถอะ!
ผมพ่นลมหายใจใส่หน้ามันแรงๆ ก่อนจะหมุนตัว ทำท่าจะเดินเข้ามาข้างในอพาร์ตเม้นต์ หากแต่ไม่ทันจะได้เดินถึงประตู มือใหญ่ก็คว้าต้นแขนผมไว้มั่นก่อนจะดึงให้ผมหันไปมองหน้าเจ้าของ
“ที่ไม่บอกเป็นเพราะฉันเป็นห่วงนายหรอกกวินทร์ ไม่ใช่ไม่อยากบอก”
“จะมาไม้ไหนอีก” ผมว่าอย่างไม่ไว้ใจ แสดงออกทางสีหน้าด้วยว่าไม่ไว้ใจมันอย่างที่พูด
ก็ควรไม่ไว้ใจอยู่หรอก จู่ๆ มาบอกว่าเป็นห่วงอย่างนี้ มึงกำลังพัฒนาแผนการลากกูไปปล้ำอยู่ใช่มั้ย!?
ทว่าซีเลนไม่ตอบ เอาแต่มองผมนิ่งๆ ดวงตาสีเทาเข้มที่ฉายแววเจ้าเล่ห์และขี้เล่นตลอดเวลาดูจริงจังอย่างผิดปกติ ก่อนที่มันจะขยับริมฝีปากหนาเล็กน้อย
“เป็นห่วงจริงๆ”
“จะมาเป็นห่วงฉันเรื่องอะไรวะ”
“เรื่องที่นายใกล้ชิดพวกยูนิกม่า ระวังตัวไว้ พวกเซนไทน์ตามล่าพวกมันอยู่ ถ้านายยังใกล้ชิดกับชาวยูนิกม่าไม่เลิก วันข้างหน้านายจะเดือดร้อนเหมือนคืนนั้นอีก” มันหมายถึงคืนที่ผมถูกพวกเซนไทน์ตามล่าแล้วมันมาช่วยไว้ได้ทันนั่นแหละ
“เออ ขอบใจแล้วกัน” ผมตัดบทส่งๆ ดึงแขนออกจากการเกาะกุม แต่ซีเลนไม่ยอมปล่อย จับผมไว้อย่างเดิมให้ผมได้เลิกคิ้วสูงถามเสียงขุ่น
“อะไรอีก”
“ที่เป็นห่วงนี่เป็นเพราะฉันชอบนายหรอกนะ รู้เอาไว้ด้วย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันบอกชอบผม แต่ครั้งนี้กลับทำให้ผมใจเต้นขึ้นมา คงเป็นเพราะสายตาและสีหน้าจริงจังที่ไม่เคยเห็นของมันด้วยล่ะมั้งที่ทำให้ผมหวั่นไหวไปเล็กน้อย
“พะ...พูดอะไรของนายวะ” ผมเบือนหน้าหนี ย่นคิ้วถาม พยายามสงบใจที่เต้นระรัวเต็มที่
แม่ง... ทำไมถึงได้ใจเต้นไปกับไอ้มนุษย์ต่างดาวหนวดเฟิ้มหื่นๆ อย่างนี้ขึ้นมาได้วะ
แล้วมันก็ทำให้ผมใจเต้นหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันดึงตัวผมเข้าไปใกล้ แล้วโน้มหน้าเข้าชิด
“ก็บอกว่าชอบเฉยๆ ตกใจอะไร”
กูต้องตกใจสิเว้ย! อยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกมึงด้วยชื่อเจ้าหญิงแห่งยูนิกม่า แล้วมึงก็มาสารภาพรักกู แถมยังมาจูบกูอีก จะไม่ให้กูตกใจได้ยังไง!
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายว่าตกใจอะไร ซีเลนก็ประกบปากจูบผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมลืมตาโพลง ผลักมันออกทันที แต่ซีเลนไม่ยอมปล่อย ดันผมถอยหลังไปจนชิดกำแพงแล้วจูบหนักหน่วงมากขึ้น จูบครั้งนี้ผมไม่ได้รังเกียจมันหรอก ออกจะเป็นจูบที่ดีด้วยซ้ำ แต่ผมมีคีธอยู่แล้วไง มาจูบกับไอ้บ้านี่อย่างนี้มันไม่โอเคเลยเว้ย และที่โคตรจะไม่โอเคยิ่งกว่าคือ...กูจะไปหวั่นไหวกับมึงทำไมเนี่ย!
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีพุ่งเข้ามาทั่วจิตใต้สำนึกผมเลย ผมได้สติก็รีบผลักซีเลนออกห่างเต็มแรงทันควัน
“ยะ...หยุด!”
คราวนี้มันยอมปล่อยผมแต่โดยดี ผละออกมาเลียริมฝีปาก ทำหน้าเหมือนเพิ่งได้กินของอร่อยแล้วหยักยิ้ม
“พยศแบบนี้แหละถึงได้ชอบ”
แต่กูมีคู่ตุนาหงันของกูอยู่แล้วนะเว้ย!
“ไม่ตลกเลยซีเลน หยุดทำบ้าๆ แบบนี้ซะที นายก็รู้ว่าฉันกับคีธเป็นอะไรกัน ฉันมีคีธอยู่แล้วนะเว้ย” ผมว่าเสียงเครียด ข่มความร้อนรุ่มบนใบหน้าจากการจูบเมื่อครู่เป็นพัลวัน
หากแต่ซีเลนไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดสักนิด ยักไหล่ไม่ยี่หระน้อยๆ
“แต่นายก็ไม่มีกลิ่นของหมอนั่นแล้วนี่ ไม่มีกลิ่นก็แปลว่าไม่ได้ผูกพัน ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน”
มึงมันหน้าด้านโคตร! กูก็บอกอยู่นี่ไงว่ากูมีคีธอยู่แล้ว มึงนี่มัน…!
ผมทำท่าจะด่ามัน ทว่าไม่ทันจะได้พูดสักแอะ เสียงของแขกไม่ได้รับเชิญก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“ถึงจะไม่มีกลิ่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน อย่ามายุ่งจะดีกว่านายน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน คนที่นายยุ่งด้วยไม่ใช่แม่พันธุ์ของชาวยูนิกม่าธรรมดา แต่เป็นถึงผู้พิทักษ์ อย่าเอาตัวเองมาเสี่ยงเจ็บตัวจะดีกว่า”
ทั้งผมทั้งซีเลนหันไปทางต้นเสียงทันที ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้าของคนที่กอดอกยืนมองผมกับซีเลนด้วยสีหน้านิ่งเฉย
อะ...ไอ้เจเนซิส! มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!?
ผมใจสั่นเลย ไม่รู้ว่าเจเนซิสจะเห็นตอนที่ผมถูกซีเลนจูบหรือเปล่า ถ้ามันเห็น รับรองเลยว่ามันต้องเอาไปบอกคีธแน่
ทว่าซีเลนไม่สนใจเรื่องนั้น มองหน้าเจเนซิสแล้วดวงตาก็ประกายวาว ก่อนจะครางออกมา
“นาย...” ครางอย่างเดียวไม่พอ ผละออกจากผม เดินเร็วๆ เข้าไปหาเจเนซิสด้วย แล้วถือวิสาสะคว้าแขนเจเนซิสหมับพลางยิ้มเผล่ “นายก็เป็นชาวยูนิกม่าสินะ น่ารักจัง ไปนอนกับฉันมั้ย”
เมื่อกี้มึงเพิ่งจะบอกว่าชอบกูอยู่แหม็บๆ พอมึงเห็นหน้าเมียเก่าไอ้คีธ มึงก็ชวนมันไปนอนด้วยทันทีเลยนะไอ้ซีเลน! แล้วเมื่อกี้กูจะหวั่นไหวกับมึงไปเพื่ออะไรวะ อารมณ์ชั่ววูบชัดๆ!
เจเนซิสดูเหวอไปนิดก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วคว้าข้อมือซีเลนพลิกไปอีกทางจนมือของหมอนั่นหลุดออกจากแขน
“อย่ามาวุ่นวาย”
“ฮู้ว แรงดีนี่ชาวยูนิกม่า ไม่คิดว่าพวกรักสงบจะแรงเยอะขนาดนี้” ซีเลนยอมปล่อยมือแต่โดยดี ทว่าไม่วายเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“แล้วนายเป็นใคร” เจเนซิสย่นคิ้ว ไม่ได้สงสัยว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่
ก็มันทักมาว่าเจเนซิสเป็นชาวยูนิกม่าขนาดนี้ก็คงจะรู้แล้วล่ะว่าซีเลนเป็นมนุษย์ต่างดาว
“เป็นผัวนายไง ไปที่ห้องฉันสิ” ส่วนซีเลนแม่งก็กวนตีน ไปย้อนอย่างนั้น หัวคิ้วเจเนซิสก็ย่นจนผูกกันเป็นโบว์ทันใด
“ระวังปากไว้ด้วย ชาวยูนิกม่าไม่ใช่คนที่นายจะมาพูดเล่นด้วยได้” นี่ก็คงจะหมายถึงความสูงศักดิ์ของชาติพันธุ์แหง
ทว่าซีเลนไม่แยแส หัวเราะในลำคอ แถมยังเอื้อมไปจับปลายคางเจเนซิสให้เชิดขึ้นสบตาอีก
“แค่หยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นซีเรียสไปได้ ถ้าจะซีเรียสก็ไว้ไปซีเรียสตอนอยู่บนเตียงฉันเถอะ“
“นาย...” เจเนซิสสะบัดหน้าหนี กัดฟันกรอดจนสันกรามนูน หากแต่ซีเลนไม่สนใจ หันมาทางผมที่ยืนมองอยู่แทน
“งั้นฉันส่งนายแค่นี้แล้วกันกวินทร์ กลับก่อน พรุ่งนี้มีถ่ายงานเช้า อย่าออกมาเพ่นพ่านล่ะ ระวังตัวไว้ด้วย” ว่าจบ มันก็เดินไปเลย ทิ้งให้ผมกับเจเนซิสมองไล่หลัง พอซีเลนหายไปลับสายตา เจเนซิสก็หันมาถามผมเสียงขุ่นทันที
“ไอ้บ้านั่นเป็นใคร”
“มนุษย์ต่างดาวชื่อซีเลน” ผมว่า
“รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ฉันหมายถึงมันเป็นพวกไหน”
“ถ้าฉันรู้ ฉันก็บอกคีธไปนานแล้ว” ผมพึมพำใส่เจเนซิส ก่อนจะเป็นฝ่ายถามมันบ้าง “ว่าแต่นายเถอะ มาที่นี่ทำไม”
“มารับว่าที่พระชายาไปที่บ้านของบูลิโอ คำสั่งองค์ชายน่ะ องค์ชายติดประชุมกับเหล่าผู้พิทักษ์ มารับด้วยพระองค์เองไม่ได้ แล้วก็มารับนายด้วย คีทาเยฝากมา” มันว่า หัวคิ้วเริ่มคลายแล้ว เปลี่ยนมาเป็นกอดอกแทน “แต่บังเอิญมาเห็นนายนอกใจคีทาเยซะได้”
นี่มึงเห็นฉากจูบนั่นจริงๆ ด้วยสินะ!
ใจผมร่วงไปอยู่ตาตุ่มเลย ยิ่งเห็นสายตาจับผิดของมันที่มองมาด้วยแล้ว ประกอบกับมันเป็นแฟนเก่าคีธด้วย ผมก็สังหรณ์ใจขึ้นมาเลยว่าเดี๋ยวมันจะต้องเอาเรื่องที่เห็นไปฟ้องคีธแน่ เลยรีบหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวันทันใด
“นะ...นายก็เห็นใช่มั้ยว่าฉันไม่ได้ยอมให้มันจูบ ไอ้บ้านั่นมันบังคับ”
“เห็น” เจเนซิสตอบรับเสียงเรียบ ผมเกือบจะโล่งใจอยู่แล้วเชียวถ้ามันไม่พูดประโยคถัดไปออกมา “แล้วก็เห็นนายหน้าแดงตอนมันบอกว่าชอบนายด้วย หวั่นไหวล่ะสิ”
มึงอย่ามารู้ดีไอ้เจเนซิส! นั่นมันอารมณ์ชั่ววูบเว้ย!
แทนที่ผมจะแก้ตัวว่าไม่ใช่ แต่ดูท่าจะเหนื่อยการเปล่า ผมก็เลยก้มหน้ายอมรับผิดไปแล้วขอร้องมันแทน
“ยะ...อย่าบอกคีธนะ ขอเลย”
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันไม่บอกหรอก”
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ทุกอย่างดูเหมือนง่าย จริงๆ เจเนซิสนี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ นึกว่าจะเป็นแฟนเก่าจำพวกชอบยุแยงซะอีก ทว่าก็โล่งใจได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละเมื่อประโยคต่อไปหลุดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบนั่น
“แต่คีทาเยคงจะรู้ กลิ่นหมอนั่นในตัวนายนี่หึ่งเชียว”
ไอ้ซีเลน! มึงจะปล่อยกลิ่นใส่กูหาพระแสงของ้าวเหรอ! มึงเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือตัวสกั๊งค์วะ!?
“นายมียาติดตัวมาอีกมั้ย ขอฉันหน่อย” ผมรีบร้องถามมันทันที เจเนซิสหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ถ้านายหมายถึงยากลบกลิ่นที่ฉันให้นายกินเมื่อคืนวานล่ะก็มี แต่มันกลบได้เฉพาะกลิ่นของชาวยูนิกม่า ของชาติพันธุ์อื่นกลบไม่ได้ เสียของเปล่า”
ความหวังที่จะปิดเรื่องถูกซีเลนจูบไม่ให้คีธรู้พังทลายไปต่อหน้า ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ใส่เจเนซิส ขณะที่เจเนซิสเอาแต่มองผมแล้วว่าขึ้นมาลอยๆ
“โทษของการหักหลังตามกฎของชาวยูนิกม่าคือความตาย นายรู้ใช่มั้ย”
ก็รู้ไง กูถึงได้ถามหายาจากมึงอยู่เนี่ย!
ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเนซิสก็ถอนหายใจแล้วก็ว่าลอยๆ ขึ้นมาอีกระลอก
“คีทาเยนี่โชคร้ายจริงๆ นะที่ได้แม่พันธุ์ไม่ซื่อสัตย์ รู้อย่างนี้ ฉันยอมให้คีทเยผูกพันไปตั้งแต่ตอนนั้นน่าจะดี จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเราติดภารกิจระหว่างอพยพกันทั้งคู่เลยทำให้ห่างกันไปจนความรู้สึกมันเลือนหาย ไม่อย่างนั้นฉันคงจะเป็นแม่พันธุ์แทนนายแล้ว” พูดแล้วก็เหลือบมามองผมเชิงตำหนิ แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดเท่ากับการที่มันพูดถึงความหลังระหว่างมันกับคีธนี่แหละ
“นายไม่ต้องมารื้อฟื้นอดีตเลย เลิกกันแล้วก็คือเลิกเว้ย ส่วนไอ้จูบกับซีเลนนั่น ฉันก็ไม่ได้เต็มใจ นายก็เห็น!” ผมโพล่งใส่มันทันควัน แต่เจเนซิสยังทำนิ่ง แถมยังตอกหน้าผมด้วย
“แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนตั้งแต่แรกนี่ เห็นยืนให้หมอนั่นจูบนิ่งเชียว พอได้สติถึงเห็นว่านายผลักออก”
ผมเถียงไม่ออกเลยว่าจริงที่ผมไม่ได้ขัดขืนซีเลนตั้งแต่แรกเหมือนทุกครั้ง ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า จู่ๆ ไอ้บ้านั่นก็ทำตัวเหมือนเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมา จะเคลิ้มตามก็ไม่แปลก แต่สุดท้ายกูก็ไม่เคลิ้มหรือเปล่าวะ แม่ง มึงนี่ได้ทีทับถมกูใหญ่เลยนะ!
ถึงผมอยากจะด่าเจเนซิสแค่ไหนที่มันดันรู้ทันผมแบบทะลุปรุโปร่ง แต่สุดท้ายผมก็ได้แต่มองหน้ามันแล้วว่าออกมาเบาๆ
“แล้วฉันควรทำไงดี”
“หาข้อแก้ตัวดีๆ ตอนเจอหน้าคีทาเยก็แล้วกัน” มันบอกสั้นๆ ก่อนจะพยักปลายคางไปข้างในอพาร์ตเม้นต์ “แล้วนี่จะพาฉันเข้าไปข้างในได้หรือยัง”
ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะล้วงเอาคีย์การ์ดมาแตะที่ประตูทางเข้าให้เจเนซิสเข้าไปข้างใน เจเนซิสไม่ได้สนใจผมแล้ว เอาแต่เดินไปยังห้องของริชาร์ด มีแต่ผมนี่แหละที่คิดวุ่นไม่ตกว่าจะหาข้อแก้ตัวอะไรมาล้างความผิดนี้ดี
จริงๆ ผมก็ไม่ได้กลัวว่าจะถูกคีธฆ่าหรอกนะ แต่กลัวคีธจะรู้สึกไม่ดีเพราะผมต่างหาก ผมโคตรจะแคร์มันเลยนะ แต่ให้ตายเถอะ นิสัยเพลย์บอยประเภทหวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าทางร่างกายนี่เลิกยากชะมัด

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 30: You are my children’s father[2]
พอไปพาตัวริชาร์ดที่ดูเหมือนอาการป่วยจะดีขึ้นออกมาจากห้องได้ เจเนซิสก็ขับรถพาเราทั้งคู่มายังสถานที่ที่มีบ้านของบรูคลินกับเบนอยู่ข้างใน ผมไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนัก ไม่สนใจแม้กระทั่งรถเก่าที่จอดทิ้งไว้ซึ่งครั้งหนึ่งผมกับคีธเคยใช้เป็นสถานที่เริงรักด้วยซ้ำ ในหัวผมมีแต่ความกังวลเรื่องคีธอย่างเดียว จะมีก็แต่ริชาร์ดนี่แหละที่ถามไม่หยุดว่าบ้านของบรูคลินอยู่ตรงไหน กระทั่งเจเนซิสร้องเรียกเจ้าของบ้านและริชาร์ดร้องเหวอขึ้นมาด้วยความตกใจ ผมถึงได้สติอีกครั้ง
“เชิญครับท่านปราชญ์” เบนเป็นคนออกมาต้อนรับ ก่อนมันจะมองเลยมายังริชาร์ดด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก “แล้วก็เชิญว่าที่พระชายาด้วย”
ฟังดูก็รู้ว่าไอ้เด็กมนุษย์ต่างดาวนี่มันกัดฟันพูด แต่ริชาร์ดไม่สน พอเจเนซิสผายมือให้เดินนำเข้าไป มันก็สลัดความป่วย เดินชูคอตั้งเป็นกิ้งก่าเข้าไปเลย
แหม มึงนี่หวงผัวมาก เจออริเข้าหน่อย ทำเป็นสตรองเกอร์
หลังจากเดินผ่านหลุมดำเข้ามาในบ้านของพวกไบโทปแล้ว ผมก็ตะลึงงันไปเล็กน้อยเมื่อเห็นบรรยากาศภายใน มันก็บ้านนี่แหละ แต่ค่อนข้างจะกว้างขวางและดูหรูหรากว่าที่ผมคาดการณ์ไว้มาก ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กๆ อะไรแบบนี้ซะอีก นี่มันคฤหาสน์ย่อมๆ เลยชัดๆ
เบนนำพวกผมมายังห้องนั่งเล่นซึ่งดูเผินๆ คล้ายกับห้องประชุม ก่อนจะขอตัวไปที่อื่น ผมมองเข้าไปข้างในห้องนั้นก็เห็นชายหนุ่มตัวไล่เลี่ยกับคีธกว่าสิบชีวิตนั่งรายล้อมโต๊ะทรงรีตัวหนึ่งอยู่โดยมีแอสตันนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ และคีธนั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของแอสตัน ทั้งหมดกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฟังคร่าวๆ เหมือนจะเป็นเรื่องการอพยพไปยังดาวดวงอื่นในอีกสองอาทิตย์ให้หลังนี่แหละ
หากแต่การประชุมก็ต้องชะงักลงเมื่อสายตาของแอสตันชำเลืองมาเห็นริชาร์ดที่โผล่หน้าเข้าไป
“ริชาร์ด!” แอสตันร้องเรียกชื่อเมียมันเสียงดัง ริชาร์ดยกมือขึ้นทักพร้อมยิ้มรับ ก่อนที่แอสตันจะประกาศยุติการประชุมเอาดื้อๆ
“คืนนี้เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน เราอยากจะใช้เวลาดูแลว่าที่ชายาของเรา”
ทุกชีวิตลุกขึ้นโค้งคำนับแอสตันอย่างว่าง่าย ส่วนผมก็ลอบเบ้ปากเล็กน้อยที่ได้ยินสรรพนามจากปากแอสตัน
หึ...ว่าที่ชายา ขนลุกตั้งแต่หัวไปยังซอกหลืบเลย
พอทุกคนแยกย้ายกันไป แอสตันก็เข้ามาประคองริชาร์ดที่ทำท่าเหมือนจะตายให้ได้แบบฉับพลันทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังเดินเชิดทันใด
“อาการดีขึ้นหรือยังริชาร์ด”
“ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ แค่ก...” ทำท่าเหมือนจะตายอย่างเดียวไม่พอ ไอโขลกเรียกความสงสารด้วย
ไอ้นี่ก็อีกตัว เห็นผัวแล้วโรคสำออยกำเริบเชียวนะมึง
“งั้นไปพักผ่อนเถอะ นี่ก็คงจะยังไม่ได้กินอะไรมาด้วยล่ะสินะ เดี๋ยวกินสารอาหารจากเราแล้วกัน”
ริชาร์ดพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่แอสตันจะหันไปบอกเจเนซิสว่าจะพาริชาร์ดไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน เจเนซิสแค่โค้งคำนับหน่อยเดียว แอสตันก็พยุงริชาร์ดไปเลย ในห้องก็เลยเหลืออยู่แค่ผม เจเนซิสและคีธที่ยังคงยืนอยู่ตรงเก้าอี้ที่เดิมเท่านั้น
“อะ...เอ่อ...ไง” พอความเงียบเข้าครอบงำ ผมก็เลยร้องทักคีธไป ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่ผมรู้แหละว่ามันไม่ปกติเพราะสายตาที่คีธมองมามันบ่งบอกชัดเจนว่ามันได้กลิ่นซีเลนจากตัวผมแล้ว สังเกตได้จากหัวคิ้วที่ขมวดลงเล็กน้อยของมันนี่แหละ
เจเนซิสก็คงจะรู้เหมือนกันกับผม มันเลยหันมาบอกผมเสียงกระซิบ
“ฉันไปทำธุระต่อก่อน ต้องคุยกับพวกไบโทปเรื่องการซ่อนตัว” พูดจบ มันก็จรลีออกนอกห้องไปเลย
ผมจะเรียกมัน บอกให้มันอยู่เป็นเพื่อนช่วยแก้ตัวก่อนก็ไม่ทัน ผมก็เลยต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วฉีกยิ้มโง่เง่าให้คีธไปอีกครั้ง
“วะ...วันนี้ประชุมหนักเลยนี่นานายน่ะ นะ...เหนื่อยมั้ย”
ปกติบ้านมึงสิไอ้กวินทร์ เสียงตะกุกตะกักแบบนี้ มีพิรุธชัดๆ!
คีธไม่พูดอะไร เดินเข้ามาหาผมแล้วคว้าแขนผมไปจับแน่น ผมสะดุ้ง กลืนน้ำลายเอื้อก แต่ยังทำเนียนอยู่
“อะ...อะไร คิดถึงฉันหรือไงถึงได้จับแน่นแบบนี้”
“กวินทร์” คีธไม่ตอบคำถามผมแต่เรียกผมแทน ผมเลยเลิกคิ้วสูง เกือบจะหลุดปากถามมันอยู่แล้วว่ามีอะไร แต่มันก็พูดออกมาก่อน “อยากตายเหรอ”
ฉะ...ฉิบหาย! กูยังไม่ทันได้แก้ตัวเลย มึงอย่ามึงขู่สิวะ!
“ฉะ...ฉันไม่ได้เต็มใจนะ ซีเลนมันบังคับ” ผมโพล่งออกไปทันควัน
คีธยังคงทำหน้าเรียบเฉย ตาก็ไม่กลายเป็นสีดำทั้งเบ้าอย่างที่ควรเป็น มีก็แต่สายตาที่จับจ้องผมดูหม่นประกายไปเล็กน้อย
“รู้ว่ากวินทร์ไม่เต็มใจ”
“ใช่” ผมพยักหน้ารับรัวๆ
“แต่ฉันเคยบอกกวินทร์แล้วนี่ว่าอย่าอยู่ใกล้มัน จำไม่ได้เหรอ”
กูไม่ได้เอาตัวเองไปใกล้มันเลย มีแต่มันนี่แหละมาใกล้กูเอง มึงอย่าเข้าใจผิดสิวะ!
“ฉันไม่ได้...” ผมอ้าปากจะแก้ตัว ทว่าคีธก็แทรกขึ้นมาอีก
“กวินทร์ ฉันมีเรื่องจะถาม”
ผมชะงักไป เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วสูงแทน ก่อนคีธจะพูดออกมา
“กวินทร์อยากจะอยู่กับฉันไปชั่วชีวิตหรือเปล่า”
ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ใจหายกับคำถามนี้ สัญชาตญาณบอกผมว่าคีธกำลังจะบอกเลิกผมยังไงก็ไม่รู้แฮะ
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดต่อ
“ถ้ากวินทร์ไม่อยากอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต ซื่อสัตย์กับฉันคนเดียวไปชั่วชีวิต หรือมองฉันเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิต ฉันจะปล่อยกวินทร์ไป”
มึงบอกเลิกกูจริงๆ ด้วยสินะ!
“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย ฉันพูดสักคำยังว่าไม่อยากอยู่กับนายไปชั่วชีวิตน่ะ!” ผมแหวใส่มันทันที แม่ง เห็นนิ่งๆ แบบนี้ ใครจะไปรู้วะว่ามันจะคิดมาก แค่จูบเองนะเว้ย แถมไม่ได้เต็มใจอีก มึงจะคิดมากทำไม
 “ถ้ากวินทร์อยากอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต แล้วทำไมนิสัยชอบไปแตะเนื้อต้องตัวใครต่อใครถึงเลิกไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะกวินทร์ มันหลายครั้งแล้ว”
“ก็บอกว่าไม่ได้เต็มใจ มันบังคับฉัน พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!” ผมแสร้งทำหงุดหงิดกลบเกลื่อนไป แต่เหตุผลที่มันบอกผมก็ทำให้ผมหน้าชาวาบ
“ถ้ากวินทร์ไม่เต็มใจตั้งแต่แรก กลิ่นของซีเลนจะไม่ชัดขนาดนี้”
มิน่าล่ะ เจเนซิสถึงบอกว่าได้กลิ่นซีเลนจากผมหึ่งเลย ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าถ้ามีการต่อสู้ขัดขืน กลิ่นก็จะติดไม่เยอะเพราะทำไม่ถนัดนี่เอง บ้าฉิบ... ประเมินความสามารถด้านประสาทสัมผัสของมนุษย์ต่างดาวนี่ต่ำไปซะได้
“ฉันขอโทษ” ในเมื่อเถียงไม่ได้และไม่เห็นประโยชน์ของการเถียงข้างๆ คูๆ ผมเลยก้มหน้ายอมรับผิดไป
หากแต่คีธคงจะไม่พอใจ พูดเรื่องเลิกกันไม่หยุด
“ถ้ากวินทร์ไม่อยากเป็นแม่พันธุ์ให้ฉันก็ไม่เป็นไร การไปจากดาวเคราะห์สีน้ำเงินครั้งนี้ ฉันจะถือว่าเป็นการปล่อยกวินทร์ไป ส่วนเรื่องโทษของการทรยศอะไรนี่ กวินทร์ไม่ใช่ชาวยูนิกม่า ไม่รู้กฎของพวกเราก่อนหน้าที่จะผูกพันกับฉัน ฉันจะไม่ถือสาหาความ”
“ไหนนายว่าชาวยูนิกม่าผูกพันได้คนเดียว...” ผมครางออกมา
“ชีวิตของฉันจะผูกพันกับกวินทร์คนเดียว”
ถึงคำตอบจะไม่ตรงกับคำถามเท่าไหร่นัก แต่ผมก็เข้าใจได้ว่ามันคงจะหมายถึงต่อให้เลิกกันไปแล้ว มันก็จะไม่มีคนอื่นเพราะดันผูกพันกับผมไปแล้ว เลยมีคนอื่นไม่ได้นี่แหละ
“คิดเอาแล้วกันกวินทร์ว่าจะตัดสินใจยังไง ถ้ากวินทร์ไม่อยากอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต ฉันจะได้ไม่กลับมาที่นี่อีก แค่ไปจากที่นี่แบบกะทันหัน ทิ้งกวินทร์ไว้ที่นี่คนเดียวก็ว่าแย่แล้ว ฉันไม่อยากจะต้องคอยกังวลเรื่องกวินทร์นอกใจอีก”
ผมได้สติ เบนความสนใจมาที่คีธอีกครั้งเมื่อหมอนั่นพูดออกมาตรงๆ ว่ารู้สึกอะไร พูดเสร็จก็ปล่อยมือออกจากผมแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ผมมองแผ่นหลังกว้างแล้วก็ใจไม่ดีแปลกๆ แต่ผมเข้าใจมันนะ เข้าใจมันดีเลยล่ะ ก็คนอย่างผมมันมีประวัติไม่ดีมานี่หว่า แถมตลอดเวลาที่คบกับมันก็ทำตัวไม่ดีมาตลอด มันจะไม่ไว้ใจก็ไม่แปลก
ถ้าเป็นผมคนเดิมสมัยก่อน ผมคงจะไม่แคร์และปล่อยให้มันเดินจากไปเหมือนกับผู้หญิงที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตผมแล้ว แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่ ผมรู้ว่าผมรักคีธ และผมก็ไม่ปล่อยให้มันคิดเองเออเอง ทิ้งผมไปดื้อๆ แบบนี้แน่ เท่านั้นผมก็รีบตรงเข้าไปดึงแขนมันไว้ก่อนที่มันจะเดินพ้นธรณีประตู
“เดี๋ยวสิคีธ” คีธหยุดเดิน หันมามองผมเล็กน้อย ให้ผมได้พูดต่อ “ฉันอยากอยู่กับนายไปชั่วชีวิต”
ผมเปล่งประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่สีหน้าคีธดูเหมือนจะไม่เชื่อ ผมเลยต้องย้ำคำอีกครั้ง
“อยากจะอยู่กับนายไปชั่วชีวิตจริงๆ อยากมีลูกกับนายด้วย จะมีสองคนหรือจะมีเป็นโหลได้ แต่อย่าพูดกลายๆ เหมือนจะทิ้งฉันไป ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งไป แค่บอกว่าให้กวินทร์ตัดสินใจ” คีธว่า ทำเอาผมย่นหน้ายู่
“บอกให้ตัดสินใจก็คือบอกเลิกนั่นแหละเว้ย!” ผมแผดเสียง จ้องหน้ามันที่มองผมนิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันเลือกที่จะอยู่กับนายไปชั่วชีวิต ฉะนั้นนายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่นอกใจ ไม่สิ... สาบานเลย แล้วก็จะระวังตัวให้มากขึ้นด้วย ไม่ให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ เชื่อใจได้”
“กวินทร์มีอะไรมายืนยัน” มันก็ยังไม่เชื่ออยู่ ผมถอนหายใจออกมาเต็มแรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นพลางว่าอุบอิบ
“ความรักของฉันไง ฉันรักนายนะคีธ รักนายมากขนาดนี้จะนอกใจนายได้ยังไง อยู่กับฉันเถอะนะ มีลูก มีครอบครัวด้วยกันเถอะ ฉันสาบานเลยว่าจะรักนายแค่คนเดียว คนเดียวตลอดชีวิตของฉัน”
“พูดจริง?”
“อะ...อืม พะ...พ่อของลูกฉันจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนายเท่านั้น นายคนเดียว” พูดไป หน้าก็ร้อนฉ่าขึ้นมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างผมจะพูดอะไรเลี่ยนๆ ชวนคลื่นไส้แบบนี้
หากแต่การเผยความรู้สึกของผมออกมาโดยไม่ปกปิดกลับทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของคีธแต่งแต้มรอยยิ้มขึ้นมาได้น้อยๆ ก่อนที่มันจะดึงมือผมที่จับแขนมันอยู่ออก พลันดึงผมไปกอดแน่น
“กวินทร์พูดแล้วนะเรื่องมีลูกน่ะ เรื่องพ่อของลูกด้วย”
“อืม แต่นายต้องกลับมาหาฉันนะ”
“กลับมาแน่” คีธว่า ครู่หนึ่งผมสัมผัสได้ด้วยล่ะว่าน้ำเสียงมันแฝงความดีใจ แต่ความดีใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความโหดเหี้ยมแทนเมื่อมันพูดประโยคถัดไป “และถ้าฉันจับได้ว่ากวินทร์ยอมให้ใครหน้าไหนแตะเนื้อต้องตัวอีก ฉันจะฆ่ากวินทร์”
ไหนมึงบอกว่ากูไม่ใช่ชาวยูนิกม่า มึงจะไม่ฆ่าแต่จะปล่อยกูไปไง!
ผมเกือบจะร้องท้วงอยู่แล้วถ้าหากมันไม่ผละผมออกจากอ้อมกอดแล้วว่าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ฆ่าให้ตายคาเตียง”
อ๋อ นี่เหรอวิธีการฆ่าของมึง โหดมากไอ้คีธ... โหดและหื่นมาก
“เอาเถอะ” ผมว่าปัดๆ ระอากับความหื่นของมันเหลือเกิน แต่เพราะผมเออออไปกับมัน มันเลยได้ใจ
“บางครั้งก็อาจจะลากไปฆ่าที่อื่นที่ไม่ใช่เตียง”
มึงไม่ต้องคิดจะพากูไปเอาท์ดอร์เลย กูชอบแบบปกติ!
“ลามปามละ” ผมทุบไหล่มันไปเต็มแรง คีธหัวเราะในลำคอออกมา ก่อนจะจูบลงบนเรียวปากผมเบาๆ
“ต้องล้างกลิ่น”
ไม่ใช่แค่จูบ มันยังจัดการลากผมไปที่โซฟาด้วย ผมร้องลั่นเลยเมื่อถูกมันกดลงนอน ก็จะไม่ให้ร้องลั่นได้ยังไง นี่มันบ้านไอ้บรูคลิน แถมยังเป็นห้องนั่งเล่นเปิดโล่งด้วย ร้ายกว่านั้น พอผมแหกปากร้องห้ามคีธ บรูคลินที่ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนมาตั้งแต่แรกก็ทะเล่อทะล่าวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าเป็นเสียงผมที่กำลังถูกคีธดึงทึ้งเสื้อผ้า มันก็ทำหน้าเจื่อนๆ ขอโทษขอโพยแล้วเดินกลับออกไปโดยไม่ลืมจะปิดประตูห้องให้ด้วย
ผมถอนหายใจ ครั้งก่อนก็เอาท์ดอร์หน้าบ้านมันครั้งนึงละ ตอนนี้นี่มาถึงในบ้านมันเลย มึงนี่ทำกูเป็นนางร้ายในละครหลังข่าวเลยนะไอ้คีธ โคตรจะหยามหน้าบรูคลินชะมัด แต่ช่างแม่งเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ปล่อยเลยตามเลยไปแล้วกัน
 
หลังจากปรับความเข้าใจกับคีธในสภาพล่อนจ้อนเสร็จ ผมก็เล่าเรื่องที่ผมไปเจอพวกเจ้าพ่อให้คีธฟัง บอกมันด้วยว่าเจ้าพ่อนั่นเรียกซีเลนว่าซีเลนาตาด้วย แล้วก็เพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้นี่เองว่าซีเลนมันรู้ว่าพวกนั้นเป็นเซนไทน์ได้ยังไงในเมื่อพวกคีธเคยบอกว่าพวกเซนไทน์ก็สามารถกลบกลิ่นตัวเองได้ ยิ่งมายังโลกก็ต้องยิ่งกลบกลิ่นเพื่อไม่ให้พวกยูนิกม่าที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไหวตัวทันแล้วหนีไปก่อน
ด้วยข้อสันนิษฐานนี้กับเหตุการณ์ที่ผมเจอมานี่เองที่ทำให้คีธไม่ไว้ใจซีเลนเข้าไปใหญ่ แถมบอกด้วยว่าวันพรุ่งนี้จะพาผมไปเคลียร์กับซีเลนแล้วถามให้ชัดๆ ไปเลยว่าตกลงซีเลนเป็นใครกันแน่ ตอนนี้คีธเองก็สงสัยเหมือนกันว่าซีเลนมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหญิงซีเลนาตา
หากแต่พอวันรุ่งขึ้นมาถึง คีธกลับติดธุรการวางแผนอพยพซะอย่างนั้นเพราะจู่ๆ ก็มีพวกผู้พิทักษ์ชุดใหม่แห่กันมาที่บ้านของบรูคลินโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า คีธก็เลยเปลี่ยนแผนว่าจะพาผมไปคุยกับซีเลนในตอนเย็นหลังเลิกกองแทน กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผมไปทำงานคนเดียวหรอกนะ ส่งเจเนซิสที่วันนี้ดันว่างงานตามติดไปด้วย ส่วนริชาร์ดแม่งก็ยังสำออยอ้อนผัวไม่เลิก สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทำงานเหมือนเดิม
เจเนซิสขับรถพาผมและบรูคลินมาที่กองถ่าย บอกเลยว่าบรรยากาศในรถโคตรจะมาคุเลย ไอ้เจเนซิสก็เมียเก่าคีธ ไอ้บรูคลินก็อดีตเมียน้อย แม่ง ใครจะไปคิดวะว่าวันนึงจะต้องมาอยู่กับพวกมันโดยไม่มีทางเลือกแบบนี้
“ฉันขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันหลังเลิกงาน” บรูคลินว่าเร็วๆ ทันทีที่เจเนซิสเอารถมาจอดยังลานจอดและดับเครื่องสนิท
ไม่มีใครได้ทันตอบรับมัน มันก็เดินลิ่วไปแล้ว เหลือแต่ผมกับเจเนซิสนี่แหละที่ยังคงนั่งอยู่ในรถ
“นายก็ไปทำงานได้แล้ว นำไปสิ” เจเนซิสทำลายความเงียบขึ้น ผมหันไปมองมันอย่างรำคาญทันใด
“นายรออยู่ในรถนี่แหละ ไม่ต้องตามมา เกะกะเวลาฉันทำงาน” ผมว่า จริงๆ ไม่ได้กลัวว่ามันจะมาเกะกะตอนผมทำงานหรอก แต่ผมไม่สบอารมณ์เวลาเห็นทั้งเมียเก่า ทั้งอดีตเมียน้อยของไอ้คีธในที่ทำงานของตัวเองมากกว่า
ทว่าเจเนซิสไม่สนใจ ปลดเซฟตี้เบลท์แล้วว่าเรียบๆ
“คีธไหว้วานมาว่าให้จับตาดูนายทุกฝีก้าว ฉันรับปากไปแล้วก็ต้องทำตาม” พูดจบ มันก็ลงจากรถไปทันที ปล่อยให้ผมเบ้ปากใส่มันรัวๆ
มึงจะหาเรื่องไปฟ้องไอ้คีธให้กูกับมันผิดใจกันล่ะสินะ กูรู้ทันมึงหรอก!
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ยอมให้มันตามเข้ามาในสตูดิโอนั่นแหละ ถูกผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินถามนิดหน่อยว่ามันเป็นใคร ด้วยความที่มันดูเหมือนผู้หญิง ผมก็เลยโกหกว่ามันเป็นคู่ควงใหม่ของผม คนอื่นๆ เลยไม่สงสัยอะไร จะมีก็แต่ซีเลนนี่แหละที่แม่งส่งจูบให้ทั้งผมทั้งเจเนซิสไม่หยุด มิหนำซ้ำ ยังไปก้อร่อก้อติกกับบรูคลินที่แวะเข้าไปแต่งหน้าให้มันด้วย
ไอ้นี่ก็อีกตัว กูไม่เข้าใจมึงเลยจริงๆ ว่ามึงเป็นบ้าอะไร คลำแล้วไม่เจอหางก็เอาหมดเลยนะ!
การถ่ายทำดำเนินไปตามปกติ เจเนซิสไม่ได้มารบกวนอะไรผม นอกจากนั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่มุมสตูดิโอ จับจ้องผมทุกฝีก้าวอย่างที่ว่าเท่านั้น
เอาจริงๆ มันก็น่าหงุดหงิดปนน่ารำคาญนั่นแหละที่ตกเป็นเป้าสายตาตลอดเวลา แต่น่ารำคาญและชวนให้หงุดหงิดยิ่งกว่าก็ตอนที่ถึงเวลาพักแล้วไม่ได้พัก เพราะจู่ๆ ผู้สนับสนุนทุนในการถ่ายทำรายใหญ่ก็ขอเข้ามาดูการถ่ายทำซะอย่างนั้น เลยทำให้บรรดาทีมงานรีบจัดเตรียมการต้อนรับแบบหัวหมุน ปากก็พากันบ่นไปด้วยกับการเซอร์ไพรส์นรกนี่
การเตรียมตัวเสร็จสิ้นก่อนที่ผู้สนับสนุนจะโผล่หน้ามาแบบฉิวเฉียด ผมที่กำลังจะเดินไปนั่งถึงกับชะงักเมื่อเห็นชายฉกรรจ์ในสูทสีดำห้าคนเดินเข้ามาในสตูดิโอและตามมาด้วยชายในชุดสูทลายสก็อตสีน้ำตาลอ่อน ผมไม่ได้สะดุดตาหมอนั่นเพราะแฟชั่นชุดสูทล้าสมัยนี่หรอกนะ แต่สะดุดตาเพราะหมอนั่นมันเป็นผู้ชายคนเดียวกับเจ้าของรถลีมูซีนที่ผมทำเป็นรอยน่ะสิ
มันไม่ใช่เจ้าพ่อแต่เป็นผู้สนับสนุนทุนเหรอเนี่ย! แถมยังเป็นมนุษย์ต่างดาวอีกด้วย นะ...นี่มันเรื่องอะไรวะ!
สัญชาตญาณบอกผมให้รีบหนีเลย ก็จะไม่ให้หนีได้ยังไง ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกยูนิกม่า แถมยังมีไอ้ยูนิกม่าตัวเป็นๆ นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้อีก ถ้าพวกนั้นเป็นเซนไทน์อย่างที่ซีเลนว่า รับรองเลยว่างานงอกแน่
ผมรีบเดินเร็วๆ เข้าไปหาเจเนซิส หากแต่ไม่ทันจะได้ถึงตัว เสียงของด็อกเตอร์มาร์ตินก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เควินมานี่สิ เดี๋ยววิลล์จะแนะนำนายให้รู้จักกับคุณลาร์ค เผื่อในอนาคต เขาจะสนับสนุนนาย”
ผมยิ้มแห้งทันที ตาก็มองหาซีเลนไปด้วย แต่เหมือนไอ้บ้านั่นจะไหวตัวทัน ชิ่งหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไอ้เจเนซิสก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว จะบอกมันตอนนี้ก็ไม่ได้ แถมปฏิเสธด็อกเตอร์มาร์ตินไม่ได้อีกต่างหาก
ซวยละไอ้กวินทร์ ดวงมึงจะสมพงษ์กับมนุษย์ต่างดาวอะไรขนาดนี้!
“มาสิเควิน ยืนนิ่งอยู่ได้” ด็อกเตอร์มาร์ตินเรียกซ้ำเมื่อเห็นผมไม่ขยับเขยื้อน ผมเลยต้องลากสังขารไปยืนอยู่ข้างเขา ขณะที่ไอ้มนุษย์ต่างดาวที่ชื่อลาร์คอะไรนี่ยืนฟังผู้กำกับวิลล์รายงานเรื่องความคืบหน้าการถ่ายทำอยู่
พอผมมาหยุดยืนตรงข้างหลังผู้กำกับวิลล์ปุ๊บ มันก็เหลือบมามองผมก่อนจะเอ่ยทักออกมา
“นาย... คนที่เจอเมื่อวาน”
“รู้จักกันเหรอครับ” ผู้กำกับวิลล์หยุดปากที่กำลังพล่ามทันควัน หันมามองผมแล้วถามลาร์คอย่างแปลกใจ
“ไม่รู้จักหรอก แต่เมื่อวานเจอกันโดยบังเอิญ” ลาร์คว่าสั้นๆ ให้ผู้กำกับวิลล์ได้ยิ้มร่า
“บังเอิญจริงๆ ด้วยนะครับ นี่ลูกศิษย์ของมาร์ติน มาช่วยงานผมน่ะ นี่คุณลาร์คนะเควิน ฝากเนื้อฝากตัวไว้สิ”
ยัดเยียดมาแบบนี้ ผมก็ต้องยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อจับทักทายกับมันตามมารยาทอย่างช่วยไม่ได้
“สะ...สวัสดีครับคุณลาร์ค ยะ...ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดไป ตาก็มองมันอย่างหวาดๆ
ลาร์คไม่แสดงสีหน้าใดๆ ไม่แม้แต่จะจับมือผมด้วย แต่เดินเข้ามาใกล้ผมแทน ไม่ใช่ใกล้ธรรมดา แต่ใกล้จนแทบจะชิดจนผมต้องถอยหลังไปเล็กน้อย แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ทำให้ทุกคนตาค้าง
จะไม่ให้ตาค้างได้ยังไงก็ในเมื่อจู่ๆ มันก็คว้าคางผมไว้แน่นแล้วก้มหน้ามาดมจนปลายจมูกมันติดริมฝีปากผมอย่างนั้นน่ะ! มึงทำอะไรของมึงวะ!
“กลิ่นของซีเลนาตา” มันครางออกมา
ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมมันถึงไม่ได้กลิ่นคีธ เพราะหลังจากที่ผมมีอะไรกับคีธเมื่อวาน ผมก็กินยากลบกลิ่นอีกครั้ง แต่กลิ่นของซีเลนนี่ เจเนซิสบอกแล้วว่าถ้าไม่ใช่ชาวยูนิกม่า ยาจะไม่ช่วยกลบกลิ่น จะต้องใช้กลิ่นของคีธกลบเท่านั้น ทว่ามันเป็นเรื่องที่เสี่ยงถ้าปล่อยให้กลิ่นของคีธอยู่ในตัวผม ก็เลยต้องรอให้กลิ่นจางหายไปเอง
“ปล่อย!” ผมสะบัดตัวเต็มแรง เสียงดังใส่มันด้วย ทว่ามันไม่ปล่อย จับผมไว้แน่นอยู่อย่างนั้น ดมไม่เลิกด้วย
ผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินยังอึ้งอยู่เลยไม่ทันได้ห้าม จะมีก็แต่เจเนซิสที่ได้ยินเสียงร้องของผมเมื่อครู่รีบก้าวเร็วๆ เข้ามาคว้าข้อมือหมอนั่นแล้วดึงออกสุดแรง
“อย่ามายุ่งกับกวินทร์”
แรงของชาวยูนิกม่ายังคงมหาศาลเหมือนเดิม กระชากทีเดียว มือของลาร์คก็หลุดออกจากผม พวกบอดี้การ์ดของลาร์คก้าวเข้าหาเจเนซิสทันที ทว่าลาร์คยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม พวกนั้นก็เลยหยุดยืนนิ่งเหมือนเดิม
“นายคือ...”
“แฟนของกวินทร์” เจเนซิสอ้าง ตอนนี้เองที่ผู้กำกับวิลล์กับด็อกเตอร์มาร์ตินรู้ว่าเจเนซิสเป็นผู้ชายเพราะได้ยินเสียงห้าวหลุดจากริมฝีปากแดงเฉียบนั่น
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่ลาร์คเอียงคอมองเจเนซิสอย่างมีเลศนัย
“ชื่อกวินทร์เหรอ... จะจำเอาไว้ ส่วนนาย... ฉันก็จะจำเอาไว้เหมือนกัน แฟนของกวินทร์”
เจเนซิสไม่อยู่พูดคุยใดๆ ต่อทั้งนั้น ลากผมออกมาจากตรงนั้นเลย พอพ้นจากสตูดิโอมาแล้ว จากลากเฉยๆ ก็กลายเป็นทั้งลากทั้งวิ่งราวกับถูกผีหลอก พอมาถึงรถ ก็จับผมโยนขึ้นไปแล้วรีบแทรกตัวเข้ามานั่งประจำที่คนขับ ไม่ต้องถามผมก็รู้ว่ามันหนีทำไม มันก็คงจะรู้ว่าพวกนั้นเป็นพวกเซนไทน์นั่นแหละ
แต่เปล่า ผมคิดผิดถนัด มันไม่ได้หนีเพราะรู้ว่าพวกนั้นเป็นเซนไทน์ ไม่ได้กลิ่นของพวกเซนไทน์ด้วยซ้ำ แต่หนีด้วยเหตุผลอื่นต่างหาก มารู้เอาก็ตอนที่มันเหยียบคันเร่งพาผมออกจากสตูดิโอนี่แหละ
“จำกลิ่นขององค์หญิงได้อย่างนี้ มันต้องเป็นเซนไทน์แน่ และต้องไม่ใช่เซนไทน์ธรรมดาด้วย” ถึงจะไม่ได้กลิ่นแต่มันก็เดาถูกนั่นแหละว่าเป็นพวกเซนไทน์ หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสงสัยเท่ากับคำว่า ‘เซนไทน์ไม่ธรรมดา’ ของมัน
“นายกำลังจะบอกว่าหมอนั่นเป็น...” ผมคราง มองหน้าเจเนซิสอย่างขอคำตอบขณะที่เราติดไฟแดงอยู่ทันที
“เชื้อราชวงศ์ชั้นสูงแห่งเซนไทน์”
“งั้นก็...”
“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไม่มีใครเคยเห็นหน้าพวกเชื้อราชวงศ์ชั้นสูงของเซนไทน์ทั้งนั้นแหละ ของทางยูนิกม่าด้วย เหตุผลเพื่อความปลอดภัยน่ะ แต่ฉันคิดว่าหมอนั่นอาจจะเป็น...เจ้าชายลาร์ซิโอนีย์ ที่ 8 เดาจากชื่อที่ใช้ในโลกมนุษย์กับข่าวกรองเรื่องเจ้าชายแห่งเซนไทน์บุกมาที่นี่น่ะนะ”
ถ้าเป็นอย่างที่เจเนซิสพูด งะ...งั้นไอ้เจ้าพ่อหน้าหล่อนั่นก็ผัวของแอสตันล่ะสินะ!

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
เรื่องนี้สนุกมาก สนุกออก ทำไมมีคนติดตามไม่เยอะละ สนุกจริงๆนะ ภาษาก็ดี เชียร์ค่ะ สู้ๆๆๆ

น่าจะเพราะเป็นหน้าใหม่ที่นี่ แล้วส่วนใหญ่ไปตามกันที่เด็กดีน่ะค่า ที่นี่เลยดูร้างๆ ฮาา
แต่หนูแดงไม่ซีเรียสค่ะ อัพไปเรื่อยๆจนจบแหละเนอะ ^^

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
โคตรของโคตรค้างอ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
 :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ตอนนี้มาฮาซีเลนแทน 5555 มั่วได้ใจ  :jul3:

ออฟไลน์ Zurruz

  • สาววายพันธุ์ยัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ตลกกกก อ่านแล้วไม่เครียดดี แต่ก็รำคาญกวินทร์นะ ถถถถ เรื่องเยอะ

ออฟไลน์ ไอ้กิ๊ก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี๊ด สนุกมากๆๆๆๆ เมื่อไหร่จะมีน้องคินกับน้องคีตาน้อ รอๆๆๆ  :mew1:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[1]
“ริชาร์ด!”
ผมแหกปากลั่นทันทีที่โผล่หน้าเข้ามาในบ้านของบรูคลินได้ พลางกึ่งวิ่งกึ่งเดินหาตัวเพื่อนสนิทเป็นพัลวัน ไม่สนใจสายตาของพวกยูนิกม่าคนอื่นๆ หรือเจ้าของบ้านอย่างไบโทปที่มองมาอย่างสงสัยสักนิด ก่อนที่คีธซึ่งโผล่หน้ามาจากห้องนั่งเล่นจะชูนิ้วโป้งชี้เข้าไปข้างในห้องนั้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าคนที่ผมตามหาตัวอยู่ข้างใน
เท่านั้นผมก็ไม่รอช้า ถลาเข้าไปในห้องนั้นทันที หากแต่คีธคว้าไหล่ผมเอาไว้ก่อน พลันดึงมาถามเสียงเรียบ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอกวินทร์ เป็นอะไร ทำไมทำหน้าตาตื่น”
“เดี๋ยวค่อยอธิบายพร้อมกันทีเดียวได้มั้ย ขอเจอริชาร์ดก่อน”
คีธชั่งใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องนั้นโดยดี ผมมองปราดไปยังโซฟาก็เป็นริชาร์ดนอนตักแอสตันทำสำอิดสำออยให้แอสตันป้อนองุ่นให้กินอยู่ พอมันเห็นผม มันก็ละสายตาจากการมองหน้าแอสตันมามองผม
“มีอะไรเหรอเควิน เสียงดังเชียว”
ผมหายใจหอบหนักด้วยความเหนื่อย มองหน้ามันอย่างหมั่นไส้
เดี๋ยวเถอะมึง ทำเป็นสบายใจไปเถอะ เดี๋ยวรู้เลย!
“ริชาร์ด ฟังนะ” ผมเดินมาหยุดตรงหน้ามัน พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ
ริชาร์ดย่นคิ้วทันใด มันคงจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเลยดันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ โดยมีแอสตันช่วยพยุง
“เรื่องใหญ่แล้วว่ะ”
“พูดมาสิ” ตอนนี้ริชาร์ดเริ่มย่นคิ้วละ แอสตันเองก็เหมือนกัน ก่อนมันจะเบิกตาโพลงเมื่อผมเอ่ยประโยคถัดไปออกมา
“ผัวของผัวนายมาตามผัวนายถึงที่สตูดิโอเลยเว้ย!”
“ว่าไงนะ!”
ริชาร์ดลุกผึงทันที สีหน้าสำอิดสำออยฉบับเห็บหมาแอ๊บแบ๊วหายไปกับตา ตอนนี้คือสวมวิญญาณเจ๊กเมากัญชาอย่างเต็มที่ แถมยังพุ่งเข้ามาหาผมชนิดลืมไปว่าเมื่อกี้มันพะเน้าพะนอผัวมันเพราะป่วยอยู่ ก่อนจะกระชากคอเสื้อผมทันใด
“ตอนนี้ไอ้เวรนั่นอยู่ไหน!”
ต่อมหึงผัวทำงานเร็วมากไอ้ริชาร์ด มึงอย่าเพิ่งขวิดกู รอไปขวิดไอ้เจ้าชายเซนไทน์เวรนั่นโน่น!
“อย่ากระชากคอเสื้อสิวะ เจ็บนะเว้ย” ผมแหวมันน้อยๆ มันเหมือนจะตั้งสติได้หน่อยนึงก่อนจะยอมปล่อยผมลง
“โทษทีว่ะ สติแตกไปหน่อย”
กูว่าไม่หน่อยแล้วไอ้เจ๊ก มึงสติแตกมากเลยแหละ กูสะกิดนิดเดียว มึงถึงกับของขึ้นขนาดนี้นี่ไม่ธรรมดาแล้ว
“แล้วตกลงตอนนี้มันอยู่ไหน” ริชาร์ดพูดเสียงเรียบซึ่งฟังยังไงก็ดูเหมือนจะพยายามข่มให้เป็นปกติ แต่มันไม่ปกติไง ใครๆ ฟังก็รู้ว่าตอนนี้มันเดือดดาลสุดๆ
“ฉันก็ไม่รู้ แต่เมื่อตอนบ่ายมันมาที่กองถ่าย แถมยังรู้จักกับผู้กำกับวิลล์อีก มันเป็นนายทุนหนังเรื่องที่เรากำลังถ่ายทำอยู่ว่ะ” ผมสรุปสั้นๆ
ริชาร์ดถึงกับกำหมัดแน่น สบถคำหยาบคายเป็นภาษาจีนออกมาด้วยจนแอสตันต้องลุกขึ้นมาประคองมันแล้วบอกให้มันใจเย็นๆ แต่ริชาร์ดไม่เย็นขึ้นเลย ดูจะเดือดหนักกว่าด้วย นี่ถ้าปล่อยให้มันเผชิญหน้ากับไอ้เจ้าชายนั่นล่ะก็ มีหวังมันคงจะได้กระโดดกัดคอหมอนั่นโดยไม่เกรงใจใครหน้าไหนแน่ แต่ก็ถือว่าดีสำหรับการปกป้องแอสตันไง เห็นมันฮึกเหิมอย่างนี้ ผมก็เลยเติมไฟใส่ให้ซะหน่อย เผื่อมันจะฮึกเหิมกว่าเดิม
“มันยังยกพวกมาอีกเป็นโขยงด้วยนะเว้ย ฉันว่าแอสตันคงไม่รอด ถูกลากกลับไปทำเมียแน่ๆ”
“อะไรนะ! ไอ้เวรนั่นกล้าดีเกินไปแล้ว! ฉันจะไปฆ่ามัน!” ริชาร์ดแผดเสียงลั่น แผดเสียงอย่างเดียวไม่พอ ทำท่าจะพุ่งไปเขย่าเบนที่ยืนดูอยู่ให้สร้างหลุมดำพามันออกไปนอกบ้านด้วยจนแอสตันต้องรั้งตัวไว้เป็นพัลวัน ผมถึงกับหลุดหัวเราะเลย
ฮึกเหิมมากไอ้ริชาร์ด เพื่อผัว กูจะสู้หลังชนฝาจริงอะไรจริง
ริชาร์ดอาละวาดไม่หยุด จนเจเนซิสที่เพิ่งจะเข้ามาในบ้านต้องรีบมาช่วยแอสตันกล่อมมันเป็นพัลวัน
“ว่าที่พระชายาทรงพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ ขออย่าได้ทรงเป็นกังวล พวกหม่อมฉันจะปกป้ององค์ชายเอง พระทัยเย็นๆ พ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้เหมือนริชาร์ดจะใจเย็นลงได้ ก่อนจะหันไปกอดแอสตันแน่นเหมือนจะร้องไห้ ขณะที่แอสตันก็กอดปลอบเมียเป็นพัลวันทั้งที่สีหน้ามันก็ดูไม่ได้ดีเลย ส่วนผมน่ะเหรอ... ลอบยิ้มกริ่มเล็กน้อยที่ยุเพื่อนสำเร็จ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนคีธมาหยุดยืนข้างหลังผมและวางมือลงบนหัวผมเบาๆ
“อย่ากวนตีนสิกวินทร์”
นี่มึงด่ากูว่ากวนตีนอีกแล้วนะไอ้คีธ! กูไม่ได้กวนตีน แค่ปลุกใจให้มันพร้อมรบป้องกันด่านประตูหลังของผัวมันเฉยๆ เว้ย!
“นายนี่มันจริงๆ เลยนะ!” พอปลอบริชาร์ดได้ เจเนซิสก็หันมาแหวใส่ผมอีกคน ก่อนจะพึมพำยาว “แค่คาดว่าเป็นราชวงศ์ชั้นสูงของเซนไทน์ แต่ไม่ได้มั่นใจว่าจะเป็นเจ้าชายของพวกมันสักหน่อย อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน”
ผมบุ้ยปากไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย กระทั่งแอสตันซึ่งปลอบเมียมันให้สงบสติอารมณ์จนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วพูดขึ้น
“ในเมื่อเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ ก็เอาเป็นว่าตอนนี้เราต้องระวังตัวกันมากกว่าเดิมแล้วกัน... พวกเราทุกคน” แอสตันจงใจเน้นคำว่า ‘พวกเราทุกคน’ อย่างชัดเจน แสดงว่าหมอนี่ไม่ได้เป็นห่วงตัวเองเท่าไหร่นัก แต่เป็นห่วงพวกพ้องที่ต้องมาลำบากเพื่อปกป้องตัวเองมากกว่า
ชาวยูนิกม่าทุกชีวิตยกแขนขึ้นไขว้หน้าอกน้อยรับบัญชา แอสตันขอตัวพาริชาร์ดขึ้นไปที่ห้องนอนเพราะเหมือนริชาร์ดเริ่มจะแสดงความกังวลออกมาอีกแล้ว
กังวลหรือสำออยก็ไม่รู้ล่ะ ที่รู้ๆ ก็คือตอนนี้หน้ามันเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว
พอทั้งคู่ออกจากห้องนั่งเล่นไป คีธที่ยืนเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากถามเจเนซิส
“เจ้าชายนั่นโผล่มาไวเกินความคาดหมายไปหน่อย เป็นอย่างนี้แล้วนายมีแผนยังไง”
“ไม่มีแผนสำรอง ใช้แผนเดิมแต่อาจจะต้องระวังตัวมากขึ้นกว่านี้ นายคอยดูแลองค์ชายให้ดีๆ เถอะ ผู้พิทักษ์ส่วนพระองค์อย่างนายจากนี้คงจะลำบากแล้วล่ะ”
คีธพยักหน้ารับ สีหน้านิ่งเฉยแต่ความไม่สบายใจฉายออกมาจากแววตาอย่างเห็นได้ชัดเจน ผมไม่รู้หรอกว่าหมอนี่กังวลอะไรกระทั่งมันพูดขึ้น
“อาจจะต้องตามติดฝ่าบาททุกย่างก้าว แต่ยังวางใจไม่ได้”
“วางใจไม่ได้เรื่อง?” เจเนซิสถาม
“เรื่องของกวินทร์”
ผมมองหน้ามันทันควัน มาวางใจไม่ได้เรื่องกูทำไมวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่กูไปจูบกับไอ้ซีเลนเมื่อวาน?
“กับซีเลน” คีธว่าพลางมองหน้าผม
นั่นไง จริงซะด้วย กูก็บอกอยู่ปาวๆ ว่าจะรักจะมีแค่มึงคนเดียวตลอดชีวิต ยังจะไม่ไว้ใจกันอีกเหรอวะ!
ก็สมควรจะไม่ไว้ใจนั่นแหละ ลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าคีธมีนิสัยเจ้าชู้มั่วไปเรื่อยเหมือนผมก่อนหน้า ผมก็คงไม่ไว้ใจมันเหมือนกัน
เจเนซิสมองมาที่ผมแล้วยักไหล่ไม่ยี่หระ “ก็พากันไปเคลียร์ซะสิ เห็นเมื่อวานบอกว่าจะไปเคลียร์อยู่เลยนี่ รีบๆ จัดการซะ จะได้เสร็จไปอีกเรื่อง”
คีธพยักหน้ารับคำ เอื้อมมือมาคว้ามือผมไปจับแน่นก่อนจะเดินนำลิ่วไปที่หน้าประตู
“ไปไหนเนี่ย” ผมร้องถาม
คีธตอบโดยไม่มองหน้า “ไปเคลียร์กับซีเลน”
“รู้ว่าจะไปเคลียร์ แต่จะไปเคลียร์ที่ไหน” ผมชักสีหน้าใส่เล็กน้อยขณะที่คีธร้องเรียกเบนที่อยู่ใกล้ๆ มาเปิดหลุมดำให้ก่อนจะหันมาตอบผม
“ที่ที่พักของซีเลน”
ผมฟังแล้วก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา พลันรีบดักคอไว้อย่างรวดเร็ว
“เคลียร์อย่างเดียวนะ ห้ามเอาท์ดอร์” ที่พูดแบบนี้ก็เพราะตอนที่มันลากผมมาเคลียร์กับบรูคลิน มันจับผมเอาท์ดอร์ที่รถเก่าหน้าบ้านบรูคลินน่ะ ผมก็เลยกลัวว่ามันจะทำแบบเดิมอีก
คีธยกยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าตกลงมันจะทำหรือไม่ทำกันแน่ แต่ดูรอยยิ้มมีเลศนัยของมันแล้ว ท่าทางมันจะทำแฮะ แม่ง หัวมันนี่มีแต่เรื่องหื่นๆ ตลอดเลยนะ!
 


 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 31: The 2nd prince of Zanetine[2]
พวกเรามาถึงหน้าเพนท์เฮ้าท์ของซีเลนในเวลาไม่นาน ผมค่อนข้างหงุดหงิดที่มีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่หน้าตามติดมาด้วย เหอะ จะเป็นใครล่ะ ก็ไอ้เจเนซิสไง ถึงจะรู้ว่ามันถ่อตามมาด้วยเพราะต้องการจะรู้ตัวตนของซีเลนเนื่องจากติดใจที่ลาร์คมาดมกลิ่นซีเลนจากผมแล้วเอ่ยชื่อของเจ้าหญิงซีเลนาตาขึ้นมา กอปรกับที่ผมเล่าเรื่องที่ตอนลาร์คเห็นหน้าซีเลนแล้วเรียกชื่อเจ้าหญิงขึ้นมาด้วย เจเนซิสก็อดสงสัยไม่ได้เข้าไปใหญ่ว่าตกลงซีเลนเป็นใครกันแน่ และมีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าหญิงนั่นเพราะเท่าที่พวกยูนิกม่ารู้กันและยืนยันหนักแน่นก็คือ เจ้าหญิงซีเลนาตาไม่มีลูก ทว่าก็ไม่มั่นใจเพราะหลังจากที่ส่งเจ้าหญิงไปแต่งงานกับเจ้าชายเซนไทน์ที่ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน พวกยูนิกม่าก็ไม่เคยได้ข่าวคราวของเจ้าหญิงอีกเลย มารู้อีกทีก็ตอนที่เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์แล้ว
ความจริงผมก็อยากรู้นะเรื่องของซีเลนเนี่ย แต่ทำไมมันไม่ไปหาจังหวะถามตอนอื่นที่ไม่ใช่ตอนที่ผมพาคีธมาเคลียร์กับซีเลนวะ มันต้องรู้แน่ๆ ว่าถ้าเคลียร์เสร็จแล้วผมกับคีธจะทำอะไรกัน เลยตั้งใจมาขัดขวาง หึ... แผนการมึงชั่วร้ายมากไอ้เมียเก่า ถ้ากูจะทำ กูก็ไม่สนใจมึงหรอกเว้ย!
“เดี๋ยวเข้าไปติดต่อพนักงานที่เคาน์เตอร์ข้างในว่ามาหาซีเลน ที่นี่เข้าง่าย พนักงานรู้กันกับกองถ่าย” ผมอธิบายลวกๆ ให้คีธกับเจเนซิสฟังหลังจากลงมาจากรถของเจเนซิสที่จอดเทียบอยู่ริมถนน
ทว่าไม่ทันจะได้เข้าไปข้างใน ร่างสูงคุ้นตาของซีเลนที่กำลังโอบเอวของชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ก็เดินผ่านหน้ามาพอดี หมอนั่นกำลังจะเข้าไปข้างใน ผมเลยรีบร้องเรียกไว้อย่างรวดเร็ว
“ซีเลน!”
ซีเลนชะงักขา หันมาทางต้นเสียง ก่อนสีหน้าหื่นๆ ของมันที่พะเน้าพะนอคู่ขาที่ผมไม่เคยเห็นหน้าจะกลายเป็นสีหน้าประหลาดใจ
“ว้าว เซอร์ไพรส์แฮะ โผล่มากันแบบนี้ อยากจะมีส่วนร่วมเหรอ เอาสิ แก๊งค์แบงก็ดี”
เลิกคิดหื่นสักวินาทีจะได้มั้ยวะ ไม่ได้มาแก๊งค์แบงโว้ย!
ผมยู่หน้าทันใด เจเนซิสก็ย่นหัวคิ้วยู่ แสดงออกมาทางหน้าตาชัดเจนว่าโคตรจะรังเกียจซีเลนเลย ส่วนคีธยังทำหน้าเฉยๆ เดินเข้าไปหาแล้วพูดเสียงเรียบ
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
“เรื่อง?” ซีเลนเลิกคิ้วสูง
“เรื่องของกวินทร์”
พอคีธว่ามาอย่างนี้ ซีเลนก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะเบือนหน้าไปบอกกับคู่ขาที่พามาด้วย
“เดี๋ยวนายกลับไปก่อนนะ”
“เอ้า วันนี้ไม่ทำแล้วเหรอ” อีกฝ่ายถามหน้าซื่อ
“คุยธุระก่อน เดี๋ยวจะติดต่อไป” ซีเลนยิ้มก่อนจะประทับจูบบนริมฝีปากของอีกฝ่าย นานทีเดียวที่มันจูบกันดูดดื่ม ส่งเสียงจ๊วบจ๊าบให้ผมกับเจเนซิสเบ้หน้าอย่างขยะแขยงไปตามๆ กัน
พอคนไม่เกี่ยวข้องจากไปแล้ว ซีเลนจึงหันมาสนใจคีธได้
“เอ้า ว่ามาสิว่าจะคุยอะไร อย่าบอกนะว่าจะเอาตัวเองมาให้ฉันกินแทนกวินทร์อีกรอบ?”
แน่นอนล่ะว่าไม่ใช่ แต่ถ้าขืนไอ้คีธพูดว่าใช่ล่ะก็ ผมจะวิ่งไปกระโดดถีบมันเลย
“อย่ามายุ่งกับกวินทร์อีก” คีธว่าเสียงเรียบ เป็นประโยคที่สั้นและได้ใจความมาก ผมหายใจโล่งนิดหน่อยที่มันไม่บ้าจี้ถวายตัวให้ไอ้ซีเลนอีก
แต่ซีเลนมันก็ไม่ฟังนั่นแหละ แถมยังยิ้มกวนประสาทอีกด้วย
“ถ้าไม่แล้วนายจะทำไม”
“ฉันขอเตือนอีกครั้งว่าอย่ามายุ่งกับกวินทร์อีก” คีธไม่ตอบคำถามนั่นแต่ออกคำสั่งแทน ตอนนี้ดวงตาของคีธประกายกร้าว ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งลูกตา แต่ผมก็รู้ว่าคีธกำลังโกรธ ผมไม่เคยเห็นสายตาก้าวร้าวแบบนี้มาก่อน บอกตรงๆ ว่าโคตรจะน่ากลัวเลย น่ากลัวกว่าตอนที่ตาเป็นสีดำทั้งเบ้าอีก
“นายคิดว่านายเป็นใครถึงมาสั่งฉันได้” ซีเลนหัวเราะขณะพูดราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องตลก
ผมลุ้นในใจว่าคีธคงจะไม่เปิดเผยตัวเองหรอกว่าเป็นใครเพราะมันค่อนข้างอันตราย ทว่าผิดคาด คีธกลับบอกชื่อตัวเองไปหน้าตาเฉย
“คีทาเย ซาเคมอร์ฟ ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า” ตบท้ายด้วยยศอีกต่างหาก
ผมหันไปมองเจเนซิสเลย ทำท่าจะถามว่าไม่เป็นอะไรเหรอที่คีธพูดไปอย่างนั้น ทว่าเจเนซิสพูดขึ้นมาก่อนราวกับรู้ทันว่าผมจะถามอะไร
“ก่อนหน้านี้ฉันบอกหมอนั่นไปแล้วว่านายเป็นโฮสต์ให้ผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่า บอกชื่อไปก็ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่ว่าคีธเป็นผู้พิทักษ์ของ...”
“เค้ารู้กันทั่วจักรวาล ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มันไม่รู้ว่าองค์ชายอยู่ไหนก็เบาใจได้”
ได้ยินอย่างนั้น ผมก็เบาใจ คีธคงจะดังอย่างที่อาแปะลีโอนาร์โดเคยบอก ดังในที่นี้ นอกจากภารกิจที่เคยทำมา ก็คงจะดังเพราะเป็นผู้พิทักษ์ให้แอสตันด้วยนี่แหละ แต่ถึงเจเนซิสจะคอนเฟิร์มว่าให้เบาใจได้ ทว่าผมก็ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าซีเลนมาดีหรือมาร้าย เปิดเผยตัวแบบนี้ ยังไงก็อันตรายอยู่ดีนั่นแหละ
หรือว่า... คีธจะยอมเสี่ยงให้ตัวเองเป็นอันตรายเพื่อผม? บะ...บ้าชะมัด ไม่เห็นจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงอย่างนั้นเลย
“อ๋อ คนดังแห่งจักรวาลนั่นเอง เอะใจตั้งแต่สาวน้อยคนนั้นบอกว่ากวินทร์เป็นคนของผู้พิทักษ์แห่งยูนิกม่าละ แต่ไม่ยักจะคิดว่าจะเป็นคนดังแบบนี้” ซีเลนยังคงเล่นลิ้นไปเรื่อย ไม่ฟังแต่อย่างใด แถมยังเรียกเจเนซิสว่าสาวน้อยอีก ทำเอาเจเนซิสสบถออกมาหยาบคาย
“สาวน้อยอะไร ไอ้ทุเรศ”
ผมว่าจริงๆ เจเนซิสก็เหมาะกับซีเลนนะ น่าจะได้ๆ กันไปเลย ซีเลนมันจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก แล้วผมจะได้เบาใจเรื่องคีธจะกลับไปหาเมียเก่าอย่างเจเนซิสด้วย
“ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่ายุ่งกับกวินทร์อีก ถ้ามีครั้งต่อไป ฉันจะไม่เตือนนายแล้ว” คีธว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ ดูก็รู้ว่ากำลังข่มขู่อีกฝ่าย
หากแต่ซีเลนก็ยังคือซีเลน ไม่ยี่หระไม่ว่า ยังไม่มีความเกรงกลัวใดๆ อีก ประจันหน้าอย่างเอาเรื่อง
“คิดว่าห้ามฉันได้ก็ลองดู ผู้พิทักษ์คนเก่ง ได้ข่าวว่าช่วงนี้กำลังลำบากนี่ พวกเซนไทน์ตามมาถึงที่นี่แล้ว เจอตัวองค์ชายพวกนายหรือยังล่ะ ระวังนะ องค์ชายจากเซนไทน์จะคว้าไปปู้ยี่ปู้ยำซะก่อน” ตบท้ายด้วยการยั่วเย้า
ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมซีเลนถึงรู้ นั่นก็เพราะเรื่องนี้มันลือกันไปทั่วในหมู่มนุษย์ต่างดาวที่อยู่ที่นี่เลยไง ส่วนคีธก็ดูโกรธขึ้งขึ้นมาฉับพลัน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งเบ้าและดูท่าทางคงจะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังเพราะผมเห็นแขนล่ำนั่นสั่นนิดๆ และพูดย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง
“อย่ายุ่งกับกวินทร์”
“ไม่ ระวังไว้เถอะ พวกเซนไทน์มาจัดการนายเมื่อไหร่ ฉันจะลากกวินทร์มากินให้หนำใจ เอาให้ร้องขอชีวิตบนเตียงฉันไม่หยุดเลย” ซีเลนว่าหน้าด้านๆ ทีนี้แขนคีธข้างที่กำหมัดก็สั่นใหญ่เลย
ถึงจะไม่เคยเห็นคีธมีอาการ ผมเลยรีบพุ่งเข้าไปคว้าแขนข้างนั้นไว้ก่อนที่คีธจะได้ทำอะไร พลางส่งเสียงเรียกเพื่อดึงสติคีธด้วย
“คีธ ใจเย็นๆ”
แขนข้างนั้นหยุดสั่นได้ ทว่าคีธไม่หันมามองผม เอาแต่จ้องหน้าซีเลนก่อนที่หมอนั่นจะตัดบทเอาดื้อๆ
“หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน หิวแล้ว” แล้วหมอนั่นก็เดินหนีไปเฉยเลย
เจเนซิสเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินไปดักหน้า ซีเลนชะงัก ยิ้มเผล่ทันใด
“ว่าไงจ๊ะที่รัก อยากขึ้นห้องฉันไปด้วยกันเหรอ แหม ทำเป็นเล่นตัวนะตอนแรก ที่แท้ก็อยาก...”
“นายเป็นใครซีเลน” เจเนซิสไม่ได้ฟังที่ซีเลนพล่ามแม้แต่น้อย
ซีเลนทำหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมา “ถามอีกละ นี่กวินทร์ไม่ได้บอกนายหรือไงว่าฉันเป็นมนุษย์ต่างดาวพวกใกล้สูญพันธุ์”
“ฉันจะถามอีกครั้งว่านายเป็นใคร ทำไมพวกเซนไทน์ถึงเรียกนายว่าซีเลนาตา” เจเนซิสเองก็เปลี่ยนสีตาเป็นสีดำทั้งเบ้าเช่นกัน
ซีเลนมองแล้วก็หัวเราะน้อยๆ พลันเดินหนี ทว่าถูกเจเนซิสกระชากคอเสื้อเอาไว้ ถึงเจเนซิสจะมีรูปร่างเล็กกว่าซีเลนเล็กน้อย แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล ดึงซีเลนตัวปลิวได้อย่างง่ายดาย ซีเลนเองก็ใช่ว่าจะยอมถูกดึงง่ายๆ พอถูกกระชาก ก็หันกลับมาทางเจเนซิสอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งหมัดออกมาตรงหน้าเจเนซิส ถึงปลายหมัดจะอยู่ไกล แต่หนามแหลมคมที่พุ่งออกมาจากหลังมือก็ทำให้เจเนซิสผงะ ปล่อยมือจากซีเลนอย่างรวดเร็ว
“นาย...” ตามมาด้วยครางพร้อมสีหน้าอึ้งๆ
“ฉันไม่ใช่เซนไทน์ ไม่ต้องห่วง” ซีเลนดักคออย่างรู้ทัน ก่อนรีบเก็บหนามที่หลังมือลงไป แล้วเดินเข้าไปข้างในอีกรอบเมื่อเห็นว่าพนักงานข้างในเริ่มชะเง้อชะแง้ออกมาดูแล้วว่าข้างนอกมีเรื่องอะไรกัน
คีธกับเจเนซิสเลยรีบปรับสีตาให้เป็นปกติด้วย ก่อนเจเนซิสจะเดินเข้ามาหาคีธพลางบ่นเสียงเครียด
“นี่มันไม่ปกติ มีลักษณะร่างกายคล้ายเซนไทน์ แต่สีไม่ใช่”
“กลิ่นก็ไม่ใช่เซนไทน์ ไม่ได้มีกลิ่นของสายพันธุ์รุกรานอย่างเต็มที่ มีกลิ่นของสายพันธุ์รักสงบด้วย” อันนี้คีธพูด
“หรือหมอนั่นจะเป็นลูกครึ่งแบบครึ่งเซนไทน์ ครึ่งยูนิกม่าอะไรแบบนี้” ประโยคนี้ของผมแหละ สันนิษฐานไปเรื่อยเปื่อยน่ะ ทว่ากลับทำให้คีธกับเจเนซิสมองผมขวับทันที
ผมประหม่าไปเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายออกมา “มันก็น่าคิดนะ หมอนั่นมีรูปร่างเหมือนเซนไทน์แต่สีไม่ใช่ แถมพวกเซนไทน์ก็ยังรู้จักอีก แล้วก็ยังเรียกว่าซีเลนาตาด้วย มาคิดดูดีๆ ชื่อของหมอนั่นก็คล้ายกับเจ้าหญิงของพวกนายนะ ซีเลนาตา... ซีเลน... อาจจะเป็นแม่ลูกกันก็ได้ แต่พวกนายไม่รู้อะไรงี้”
ฟังคำสันนิษฐานของผมแล้ว คีธกับเจเนซิสก็ทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนเจเนซิสจะส่ายหน้าเหมือนโลกแตก
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าหญิงไม่มีพระโอรสหรือพระธิดา...”
“นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าตั้งแต่ยกเจ้าหญิงให้พวกเซนไทน์ไปก็ไม่มีใครรู้ข่าวคราวอีกเลย มารู้อีกทีก็ตอนตายแล้ว อาจจะมีก็ได้”
พอผมพูดแบบนี้ เจเนซิสก็เงียบไป พวกเราเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ทีเดียว ก่อนคีธจะทำลายความเงียบขึ้น
“กลับกันเถอะ เรื่องนี้ต้องเอาเข้าที่ประชุมด่วน”
เจเนซิสพยักหน้า ตรงไปที่รถแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนผมชักจะอึดอัด
พวกมึงจะเครียดกันไปไหนเนี่ย ก็แค่ถ้าซีเลนเป็นลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตาจริงอย่างที่ผมพูด มันก็เป็นเจ้าชายแห่งยูนิกม่าอีกคนก็เท่านั้นเอง ก็ลูกพี่ลูกน้องของแอสตันนี่หว่า มีเจ้าชายเพิ่มมาอีกคน ทำเป็นเครียดไปได้
แต่มาคิดๆ ดูแล้วก็สมควรจะเครียดแหละ คนอย่างซีเลนนี่ถ้าเป็นเจ้าชายขึ้นมาจริงๆ มันคงไล่ปล้ำข้าราชบริพารไปทั่ววังนะผมว่า เผลอๆ แม่งจะปล้ำไอ้แอสตันด้วย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
ทว่าระหว่างทางที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็คีธที่นั่งข้างผมบนเบาะหลังก็ดูหลุกหลิกขึ้นมา มองซ้ายขวาหน้าหลังเลิ่กลั่ก ไม่ต่างจากเจเนซิสที่มีท่าทางแปลกไปเหมือนกัน
“นั่งเฉยๆ สิวะ เป็นอะไร” ผมแหวออกไปโดยไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คีธรีบเอื้อมมือมาคว้าแขนผมแล้วพูดออกมาโดยไม่มองหน้า
“เงียบก่อนกวินทร์”
ผมเงียบตามสั่ง เจเนซิสเองก็หยุดรถกลางถนนฉับพลัน แถมหยุดกลางสี่แยกต่างหาก โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้ว รถราเลยไม่มีวิ่งเท่าไหร่นัก ไม่อย่างนั้นคงโดนด่าพ่อล่อแม่ไปแล้วจอดรถแบบนี้เนี่ย
“มีอะไร” และเพราะเงียบกันไปนานพอสมควร ผมเลยรู้สึกถึงความไม่ปกติ เอ่ยถามขึ้นมา
“มีคนตามเรามา” คีธว่าพลางขยับจมูกฟุดฟิด “กลิ่นของพวกเซนไทน์”
ผมใจหายวาบ รีบมองซ้ายขวาบ้างแต่ก็ไม่เห็นเงาของใครสักคน นอกจากถนนโล่งๆ เท่านั้น ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อเห็นเหล็กสีเงินวาววับคล้ายกับบั้งของเกราะอัศวินในสมัยโบราณพุ่งทะลุออกจากบริเวณหัวไหล่เป็นชั้นๆ ประมาณสามชั้นได้ ส่วนที่ท่อนแขนก็มีเหล็กสีเงินห่อหุ้มเช่นกัน เหมือนจะเห็นแวบๆ ว่าที่หน้าแข้งก็มี ผมเดาเอาเลยว่านี่คงจะเป็นร่างจริงของพวกยูนิกม่า
คีธเองก็เช่นกัน พอเห็นเจเนซิสคืนร่าง มันก็คืนร่างบ้าง ผมมองคีธตาค้าง
ทะ...เท่ชะมัด หล่อมากด้วยเวลาอยู่ในร่างจริง อย่างกับหลุดออกมาจากหนังไซไฟ แต่เดี๋ยวนะ... ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชื่นชมความหล่อของมันนี่หว่า ต้องระวังตัวสิ ระวังตัว!
“ถ้าดูท่าทางไม่ค่อยดี กวินทร์รีบหนีไปเลยนะ ขับรถเป็นใช่มั้ย” คีธพูดขึ้นอีกครั้ง
ผมพยักหน้ารับรัวๆ ก่อนที่เจเนซิสจะถามแทรกขึ้นมา
“เอาไงต่อ”
“ขับไปต่อ ช้าๆ”
เจเนซิสเหยียบคันเร่งจะไปต่อ ทว่าไปได้ไม่ถึงห้าสิบเมตร หลังคารถก็มีของหนักๆ กระแทกลงมาดังปังจนมันบุบไป ผมร้องลั่นอย่างตกใจ ดีที่ไม่ได้รับอันตรายเพราะคีธรู้ทันก่อน พุ่งเข้ามากอดผมไว้แน่นแล้วพลิกตัวมากระแทกประตูฝั่งผมให้เปิดออก ก่อนพากันกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นถนนเรียบ พอตั้งหลักได้ คีธก็คลายอ้อมกอดออกจากผมและถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยทันที
“ไม่เป็นอะไรนะกวินทร์”
ผมพยักหน้า ใช่... ผมไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีบาดแผลหรือรอยขีดข่วนสักนิด นอกจากเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าไม่ใช่แค่แขนกับขาของคีธเท่านั้นที่มีเกราะสีเงินห่อหุ้ม แต่บริเวณแผ่นหลังและหัวก็มีเช่นกัน ครู่เดียวก็หายไปราวกับควบคุมได้ เจเนซิสเองก็รอดออกมาจากรถคันนั้นได้อย่างหวุดหวิดเช่นกัน หมอนั่นม้วนหน้าหลังจากกระโดดออกจากรถแล้วมาหยุดคุกเข่าตรงข้างๆ ผมกับคีธ พลันรีบดันตัวขึ้น มองไปยังจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
“พวกเซนไทน์” แล้วก็ครางเมื่อเห็นว่ามีเซนไทน์ตัวหนึ่งยืนจังก้าอยู่บนหลังคารถบุบบี้
เซนไทน์ตัวนั้นแสยะยิ้มร้าย ผมจำหน้ามันได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อนตอนเจอกับลาร์ค ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดของลาร์ค และก็จริงอย่างที่ผมคิดเพราะพอไอ้บ้าบนหลังคารถนั่นแสยะยิ้ม ตัวอื่นๆ ก็โผล่หน้ามารายล้อมพวกผมเอาไว้โดยที่ผมไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน แต่เห็นหน้าพวกมันแล้ว ผมก็มั่นใจขึ้นมาแล้วล่ะว่าเป็นคนของลาร์คจริงๆ ก็ไอ้พวกนี้นี่ผมเคยเห็นหน้ามาก่อนแล้วทั้งนั้นนี่นา
คีธรีบดันตัวผมไปข้างหลัง ตาก็มองรอบๆ ไปด้วยอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ตัวบนหลังคารถจะเปล่งเสียงออกมา
“ตอนแรกแค่กะว่ามาตามตัวคนของซีเลนเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้เจอชาวยูนิกม่าด้วย ผลงานดีแบบนี้ องค์ชายต้องปลาบปลื้มพระทัยแน่ๆ”
มันคงหมายถึงการจับชาวยูนิกม่าไปเค้นหาที่อยู่ของแอสตันนั่นแหละ แต่ไอ้ที่มันว่าคนของซีเลนนี่คืออะไรวะ!?
มารู้เอาว่าคนของซีเลนที่มันว่าคืออะไรก็ตอนคีธพูดนี่แหละ
“กวินทร์ไม่ใช่คนของซีเลน พวกนายตามผิดคนแล้ว”
นี่มันหมายถึงกูเรอะ!?
ผมเบิกตาโพลง เหวอรับประทานไปเลย ไม่รู้ว่าตัวเองไปเป็นคนของไอ้หื่นนั่นตั้งแต่ตอนไหน
ไอ้ตัวบนหลังคาก็กระโดดลงจากรถ พูดพลางลูบหนามบนหลังมือตัวเองไปด้วย
“ผิดหรือไม่ผิดไม่รู้หรอก แต่กลิ่นของซีเลนอยู่ในตัวของเจ้าสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยนั่น องค์ชายเลยมีรับสั่งให้มาจับตัวไป ถ้าจะโทษก็โทษซีเลนเถอะนะที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก พวกฉันไปตามซีเลนดีๆ แล้ว แต่ซีเลนไม่ยอมตามมา แถมยังถูกฆ่าไปอีกหลายคน เฮ้อ พวกดื้อด้าน ยังไงก็ดื้อด้านอยู่วันยังค่ำ” มันว่ายาว
ผมไม่เข้าใจนักว่ามันหมายความว่าอะไร ไม่สนใจสำนวนการพูดของมันที่เริ่มเป็นปัจจุบันแล้วด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าไอ้พวกนี้มันปรับตัวได้เร็ว ที่รู้ๆ คือไอ้ซีเลนมันทำผมซวย กลิ่นของคีธไม่มีเพราะยา แต่ไอ้กลิ่นของซีเลนนี่ไม่หายไปเพราะยาด้วย ต้องรอให้มันเลือนหายไปเอง แต่มันยังไม่เลือนไง แม่งเอ๊ย ไอ้ซีเลนนะไอ้ซีเลน มึงจะมาจูบกูหามะเขือเผาอะไรวะ!
“มากับเราดีๆ เราจะไม่ทำร้ายพวกแกในตอนนี้” มันยังต่อรองอยู่
แต่คนอย่างคีธมีเหรอที่จะยอม คีธยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ก่อนหอกด้ามยาวสีเงินที่มีคมโลหะทั้งสองด้านจะปรากฏออกมาจากฝ่ามือ เจเนซิสก็เช่นกัน ผมเลยรู้ว่านี่คืออาวุธของพวกยูนิกม่า
อีกฝ่ายเห็นท่าทางของคีธกับเจเนซิสที่ตั้งท่าพร้อมสู้ก็หัวเราะในลำคอขึ้นมา ถึงคีธจะไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่พวกมันก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าคีธไม่ยอม มันก็เลยว่าเสียงต่ำออกมา
“อุตส่าห์ใจดีแล้วเชียว ช่วยไม่ได้แฮะ จัดการ!” ปลายประโยคแผดเสียงขึ้นก่อนพวกเซนไทน์จะกระโจนเข้ามาหาคีธกับเจเนซิสทุกทาง
“วิ่งไปกวินทร์! วิ่ง!” คีธร้องบอกผม ออกแรงผลักแผ่นหลังผมให้ออกห่างซะกระเด็นอีกด้วยจนผมล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แต่การผลักเมื่อครู่ก็ทำให้ผมลอยลิ่วออกมาจากวงล้อมได้
ผมกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วกายจากการกระแทกพื้นเมื่อครู่ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าคีธกำลังกันพวกเซนไทน์ให้ผม ก่อนที่เสียงของคีธจะดังแว่วขึ้นมาอีกหลังจากใช้หอกในมือแทงเข้ากลางลำตัวของเซนไทน์ตัวหนึ่งเข้าอย่างจัง
“วิ่งไปเร็วเข้า!”
ผมจ้ำไม่คิดชีวิตเลยตอนนี้ คีธกับเจเนซิสเองก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมวิ่งหนีไปตามลำพัง เพราะพวกเซนไทน์เห็นผมหนีก็พยายามตามมาด้วย คีธกับเจเนซิสเลยตามสกัดทุกทิศทาง ทว่าจำนวนของเซนไทน์กว่าสิบชีวิตก็ไม่สามารถทำให้คีธกับเจเนซิสต่อกรได้ไหว สำหรับคีธน่ะไม่เท่าไหร่ หมอนี่เก่งสมชื่อผู้พิทักษ์ชื่อกระฉ่อนจริงๆ พริบตาเดียวก็กำจัดเซนไทน์ไปได้หลายตัว ไอ้ตัวถ่วงนี่คือเจเนซิส กว่าจะกำจัดได้แต่ละตัว คีธต้องเข้าไปช่วยอยู่หลายต่อหลายครั้ง เลยทำให้เซนไทน์บางตัวใช้โอกาสที่คีธเปิดช่องว่างตามผมมาติดๆ พริบตาเดียวก็มาสกัดด้านหน้าผมไว้ได้แล้ว
ผมชะงักขากึก เซล้มไปทันใดเมื่อเซนไทน์ตัวหนึ่งโผล่มาแบบกะทันหัน ก็ไอ้ตัวที่อยู่บนหลังคารถนั่นแหละ ดูท่าทางมันน่าจะเป็นหัวหน้าแหงๆ
“ตามเรามาซะดีๆ ถ้าไม่อยากตาย” มันขู่
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับซีเลน!” ผมรีบร้องบอกเพราะรู้ว่ามันเข้าใจผิด
แต่มันไม่ฟัง ยกมือที่มีหนามยาวและแหลมขึ้นสูงพลางว่า
“ถ้าไม่อยากถูกเสียบก็ตามมา”
มึงฟังกูสิเว้ย! กูไม่ได้เป็นอะไรกับไอ้เวรนั่น!
ผมรีบหันหนีไปอีกทาง ตั้งท่าจะวิ่งแต่ก็มีเซนไทน์อีกสามตัวมาดักไว้รอบทุกทิศ ผมมองหน้าพวกมันแล้วขาก็ก้าวไม่ออกขึ้นมา ไอ้ตัวที่มาดักหน้าผมตอนแรกเลยว่าขึ้น
“สงสัยต้องใช้กำลัง บาดเจ็บสักหน่อยคงจะง่ายขึ้น หนีเหลือเกิน ต้องทำให้อวัยวะที่ใช้หนีใช้การไม่ได้”
ผมใจสั่นวูบ มองไปยังมือของพวกมันที่ทำท่าจะแทงขาผมแล้วปากก็ร้องเรียกคีธไปโดยอัตโนมัติ
“คีธ!”
“กวินทร์!”
คีธที่กำลังถูกรุมสะบัดหอกทีเดียวก็แทงเซนไทน์ที่รายล้อมไว้ได้ทุกตัว ก่อนจะพุ่งมาหาผม ทว่าก็โดนอีกตัวหนึ่งตะครุบไว้ได้ก่อน ผมได้ยินคีธสบถหยาบคายลั่น ไม่เคยได้ยินคีธพูดจาแบบนี้มาก่อนเลย แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจแล้ว ไอ้เจเนซิสก็ถ่วงฉิบเป๋ง เดี๋ยวล้มลุกคลุกคลานอะไรของมันไม่รู้
นี่ต้องเป็นแผนสำออยของมึงแน่ๆ กะว่าให้กูถูกฆ่าตายแล้วมึงจะทวงตำแหน่งเมียคืนล่ะสินะ!
เมื่อเห็นว่ากว่าคีธจะเข้ามาช่วยได้ ผมคงต้องเสียขาไปก่อน ผมเลยหาทางหนีเองโดยการตัดสินใจวิ่งผ่าพวกมันออกไป แต่นี่ไม่ใช่หนังการ์ตูน ไม่มีทางที่จะง่ายอย่างที่ผมคิด แค่วิ่งเท่านั้น หนามคมๆ ก็ครูดแผ่นไหล่ผมเฉียดๆ ถึงจะไม่แรงมากแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้ผมเป็นอย่างดีจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนอนคว่ำบนพื้น แย่กว่านั้นคือผมใจเสาะขึ้นมาเมื่อเห็นหยดเลือดสีแดงของตัวเองไหลอาบท่วมแขนและหยดลงพื้น
กะ...กูกลัวเลือด!
อันนี้เรื่องจริง ไม่ได้สำออย เห็นแล้วลมจะใส่ หากแต่ไม่ทันจะได้หน้ามืดเป็นลม ผมก็ได้ยินเสียงดังแหมะเหมือนของเหลวบางอย่างกระเซ็น ตามมาด้วยเสียงดังตุ้บของวัตถุขนาดใหญ่ที่หล่นลงข้างกาย พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นร่างไร้วิญญาณของเซนไทน์ตัวที่ข่วนหลังผมเมื่อครู่ถูกแทงจนเลือดสาด ผมทำท่าจะรีบลุกขึ้น ทว่าไม่ทันจะได้ดันตัวเอง ร่างใหญ่ของใครบางคนก็คร่อมผมเอาไว้ด้วยท่าคุกเข่า ก่อนที่เสียงของใครคนนั้นจะดังขึ้น
“ถ้าพวกแกแตะตัวกวินทร์อีกนิดเดียว ฉันจะฆ่าไม่ให้เหลือ!”
ผมรีบเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทันควันด้วยคุ้นหูมาก พอเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของเจ้าของเสียงแล้วก็อ้าปากค้างตามมา
“ซะ...ซีเลน!”
ตอนนี้มันก็อยู่ในร่างเดิมเช่นกัน แต่ซีเลนไม่หือไม่อือกับเสียงของผม เอาแต่มองพวกเซนไทน์ด้วยแววตาก้าวร้าวทำให้เซนไทน์ทั้งหลายที่มีชีวิตรอดหยุดกึก แต่คีธไม่หยุดด้วย พอพวกมันเปิดจังหวะ คีธก็จัดการฆ่าพวกที่อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่ตัวซึ่งเป็นหัวหน้าพวกมันที่อยู่ตรงหน้าผม และอีกสองตัวที่ยังรอดชีวิต ตอนนี้ถือว่าพวกเราแฟร์ๆ กันแล้วล่ะ
“ถ้านายยอมตามพวกเรามาตั้งแต่แรก เรื่องก็คงไม่ยุ่งยากอย่างนี้” มันยังคงว่าหน้าระรื่นราวกับตัวเองอยู่เหนือกว่า
ซีเลนไม่ตอบรับ พยุงผมลุกขึ้นยืนแล้วผลักให้ไปหลบข้างหลังเต็มแรง ดีที่คีธถลาเข้ามารับผมไว้พอดี ไม่อย่างนั้นผมได้ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าแน่
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกนาย” ซีเลนว่าเสียงกร้าว ปกติซีเลนก็ไม่ใช่คนที่จะโมโหอะไรง่ายๆ นี่เลยเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหมอนี่โกรธเช่นกัน
คนฟังหัวเราะ ยกมือขึ้นเสยปอยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปเล็กน้อยพลางว่าไม่ยี่หระ
“ถึงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวแต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่านายเกี่ยวข้องเต็มๆ เลยล่ะ”
ซีเลนยังเงียบ แต่ผมนี่หูผึ่งไปแล้ว แน่นอนว่าคีธกับเจเนซิสเองก็เช่นกัน
“ไม่เกี่ยว” แล้วซีเลนก็ว่าเสียงเข้มให้อีกฝ่ายหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
“ไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็นายน่ะเป็น...”
“บอกว่าไม่เกี่ยวไง!” ซีเลนตะคอกลั่น ฝ่ายนั้นผงะไปเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ยอมหยุด ว่ายั่วโมโหออกมาอีก
“รับพระบัญชา... องค์ชายแห่งเซนไทน์ลำดับที่สอง” ตามมาด้วยการโค้งคำนับ
ผมอ้าปากค้างทันใด เจเนซิสเองก็เช่นกัน มีแต่คีธที่ทำหน้าตายเหมือนเดิมแต่ตานี่เบิกโตไปแล้ว
ซีเลนกัดฟันแน่น แผดเสียงกร้าวทันใด
“อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะเว้ย!” แล้วก็สติแตก ฆ่าเซนไทน์สองตัวที่อยู่ข้างๆ ในพริบตา
ผมตะลึงงันกับความว่องไวของซีเลน ถึงจะรู้ว่าซีเลนเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจากการที่มันเคยมาช่วยผมจากพวกเซนไทน์ครั้งก่อน แต่พอเห็นแบบนี้แล้วก็อดตกใจไม่ได้ และก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อมันฆ่าสองตัวนั้นเสร็จแล้ว มือของมันก็ปรากฏหอกแบบเดียวกับที่คีธและเจเนซิสใช้ขึ้นมาก่อนออแรงขว้างไปปักทะลุหัวไหล่ของเซนไทน์ตัวที่เป็นหัวหน้าซึ่งทำท่าจะหนีไปทันใด
เซนไทน์ตัวนั้นล้มไถลไปกับพื้น เลือดสีเขียวอ่อนทะลักออกจากปาก ซีเลนเดินอาดๆ เข้าไปกระชากหอกออกจากร่างของหมอนั่น มือข้างหนึ่งบีบแก้มเจ้าของใบหน้าคร้ามแน่น พลางว่าเสียงต่ำน่ากลัว
“ฉันจะไว้ชีวิตแก แต่ไสหัวไปบอกเจ้านายของแกว่าอย่ามายุ่งกับฉันอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น!” ว่าจบก็สะบัดมือออก
เซนไทน์นั่นบ้วนเลือดลงพื้น สีหน้ายังคงแสยะยิ้ม “รับพระบัญชา”
ซีเลนทำท่าเหมือนจะเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบ แต่อีกฝ่ายเร็วกว่า กระโดดหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยภายในเสี้ยววินาที เหลือแต่พวกผมที่ยืนมองซีเลนตาไม่กะพริบและเศษซากของเซนไทน์เกลื่อนกลาดเต็มพื้นถนนเท่านั้น
ใช้เวลานานเลยทีเดียวกว่าซีเลนจะสงบสติอารมณ์ได้ พอสงบลงก็คืนร่างเป็นมนุษย์เหมือนเดิม หันมาบอกผมส่งๆ
“รีบหนีไปซะ พวกนั้นไม่หยุดแค่นี้แน่” สิ้นเสียงก็ทำท่าจะเดินหนีไป
เจเนซิสรีบเดินเข้าไปคว้าแขนของซีเลนไว้ทันที พอซีเลนหันมาก็ถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ
“นายเป็นใครกันแน่ซีเลน”
“ก็บอกแล้วไงว่าเป็นพวกสูญ...”
“องค์ชายลำดับที่สองแห่งเซนไทน์ หมายความว่ายังไง”
ซีเลนที่ทำท่าจะตอบในตอนแรกหุบปากฉับเมื่อเจเนซิสแทรกขึ้น และทำท่าเหมือนจะไม่ตอบด้วยเพราะหมุนตัวเดินหนี หากแต่คีธผละออกจากผมไปดักหน้าเอาไว้ เจเนซิสเลยโพล่งขึ้นมาอีก
“เป็นเจ้าชายแห่งเซนไทน์ แต่มีร่างกายกึ่งเซนไทน์ กึ่งยูนิกม่า แถมชื่อคล้ายกับเจ้าหญิงซีเลนาตาของพวกเราอีก นายจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง”
หมอนั่นคงจะหมายถึงสีของซีเลนที่เป็นสีเทา แล้วก็อาวุธที่ซีเลนใช้ล่ะมั้ง ตอนนี้ผมคิดไปแล้วล่ะว่าซีเลนเป็นลูกครึ่งแน่ๆ เซนไทน์มีร่างกายสีดำ ยูนิกม่ามีร่างกายสีเงิน ผสมๆ กันออกมาแล้วก็เป็นสีเทาๆ อย่างซีเลนนี่แหละ ที่อยากรู้กว่านี้ก็คือ มันใช่ลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตาแน่หรือเปล่า
ทุกคนมองหน้าซีเลนอย่างขอคำตอบ ซีเลนเลยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“คงจะปิดไม่ได้อีกแล้วสินะ บอกก็ได้”
เจเนซิสยอมปล่อยมือออกจากซีเลนในตอนนี้ สายตาจับจ้องซีเลนอย่างลุ้นระทึก ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะขยับขึ้นเบาๆ
“เจ้าหญิงซีเลนาตาของพวกนาย... เป็นแม่ฉัน”
เจเนซิสกับคีธเบิกตาโต ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาฉับพลัน จะโค้งคำนับก็ทำไม่ลง จะพูดก็พูดไม่ออก เอาแต่ยืนนิ่งจนผมที่ยืนมองอยู่แทรกเข้าไปกลางวง ประจันหน้ากับซีเลนแทน
“นายต้องเล่าทุกอย่างให้พวกเราฟัง เดี๋ยวนี้!”
-------------------------------------------------------
กวินทร์ยังคงกวนไม่เลิก เค้าออกจะเครียดกัน 555
ซีเลนนี่ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวหื่นๆ ธรรมดาๆ นะ เป็นถึงเจ้าชายเชียว เป็นทั้งเจ้าชายแห่งเซนไทน์ ทั้งเจ้าชายแห่งยูนิกม่าด้วย ลำบากคีธละทีนี้ ถ้าซีเลนจะเอากวินทร์ก็คงขัดคำสั่งไม่ได้ กร๊ากกกก

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
อ้างถึง
“อย่ากวนตีนสิกวินทร์”
:jul3:
รู้สึกเหมาะที่สุด

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ลุ้นระทึกแบบฮาๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
ว้าวววว เหมือนได้ดูหนังไซไฟน์ประมาณ the guardian of the galaxy

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 32: Genesis is a prince[1]
ใจผมอยากกลับไปที่แหล่งกบดานของพวกยูนิกม่าเพราะกลัวว่าเซนไทน์จะตามมาอีก แต่อาการบาดเจ็บของผมทำให้คีธร้องขอซีเลนให้พาไปที่ห้องเพื่อทำแผลก่อน ซีเลนมันเคยปฏิเสธคนที่ขอมาที่ห้องมันซะที่ไหน หื่นๆ อย่างมันก็ต้องตอบรับหมดอยู่แล้ว ขนาดหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ มันยังไม่วายพูดทีเล่นทีจริงกับคีธอีก
“ไว้กวินทร์เผลอแล้วเจอกันนะคีธ ไม่สิ คีทาเย”
เหอะ เจอกันปู่มึงสิไอ้ซีเลน! อย่าคิดว่าช่วยชีวิตกูไว้แล้วจะมาชิงคนของกูไปง่ายๆ นะเว้ย!
ดีที่คีธมันไม่ได้บ้าจี้แบบเห็นซีเลนมีพระคุณเลยถวายตัวให้ไปปู้ยี่ปู้ยำ เอาแต่เงียบแทน ถ้าเป็นเวลาปกติ คีธมันคงสวนคืนไปแล้ว แต่นี่รู้ว่าซีเลนมันเป็นเจ้าชายอีกพระองค์ของพวกเซนไทน์และยูนิกม่า ก็เลยพูดไม่ออก ปล่อยให้ซีเลนพล่ามไปตามเรื่องขณะที่ผมนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา รอให้เจเนซิสทำแผลให้
“หลังกวินทร์นี่ข๊าวขาว นุ่มมืออีกต่างหาก เสียดายที่มีแผลซะละ” มันว่าพลางเอื้อมมือมาจะจับแผ่นหลังของผมที่ไร้เสื้อ
ทว่าคีธไวกว่า คว้ามือซีเลนหมับ มองหน้าด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่นัก ปากก็เรียกซีเลนไปด้วย
“องค์...ชาย...”
ฟังก็รู้เลยว่ามันกัดฟันพูด ไอ้ซีเลนได้ทีก็เอาใหญ่ ยิ้มเผล่แล้วเหลือบมองมือตัวเองที่ถูกคีธจับอยู่สลับกับมองหน้าคีธ
“กล้าขัดใจองค์ชายเหรอ”
ผมลุ้นระทึกว่าคีธจะเอายังไง สุดท้ายมันก็ยอมปล่อยแล้วว่าเสียงเรียบ
“ฝ่าบาทคงห่างการอบรมจากราชสำนักไปนาน คงไม่รู้ธรรมเนียมของชาวยูนิกม่าว่าเราจะไม่ยุ่งกับแม่พันธุ์หรือโฮสต์ของกันและกัน”
“ใครสนล่ะ ฉันไม่ใช่ยูนิกม่าแท้ๆ ซะหน่อย” ซีเลนยังกวนประสาท แถมยังยั่วโมโหคีธด้วยการดึงเจเนซิสที่นั่งอยู่ปลายเท้าผมให้ลุกขึ้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ “เดี๋ยวฉันทำแผลให้กวินทร์เอง”
ว่าจบก็หันไปหลิ่วตาให้คีธเล็กน้อย พลางเอาอุปกรณ์ทำแผลมาไว้ในมือ
หัวคิ้วของคีธย่นยู่ทันที มือทั้งสองข้างก็กำแน่น ดูก็รู้เลยว่ามันโคตรจะหงุดหงิดเพราะทำอะไรไม่ได้ และก่อนที่มันจะได้ต่อยหน้าไอ้องค์ชายหื่นกามที่จู่ๆ ก็กลายมาเป็นเจ้านายมันแบบไม่ทันตั้งตัว ผมก็รีบดันตัวขึ้นแล้วพูดใส่หน้าซีเลนเสียงแข็ง
“ลุกไป”
“เอ้า ลุกขึ้นมาทำไมล่ะกวินทร์ นอนลงไปสิ เดี๋ยวฉันทำแผลให้ ...จะทำอย่างเบามือจนไม่รู้สึกเลย” ปลายประโยคว่าสองแง่สองง่ามตามประสา แต่ผมไม่สนุกกับมันด้วย พูดเสียงแข็งอีกครั้ง
“บอกให้ลุกไป แผลนี่ฉันจะให้คีธทำ”
“จุ๊ๆ ไม่เอาน่า อย่าดื้อสิกวินทร์คนน่ารัก ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะเบามือ” ซีเลนไม่ยอมหยุด แถมยังกดผมนอนดังเดิมอีก
มึงหน้าด้านเกินไปแล้วไอ้ซีเลน! ยั่วโมโหไอ้คีธมันอยู่ได้ เดี๋ยวมันก็หาว่ากูยอมให้มึงแตะเนื้อต้องตัวแล้วก็มาฆ่ากูจนได้หรอก!
 “อย่ามาแตะตัวฉันนะเว้ย! บอกแล้วไงว่าให้คีธทำ!”
ผมเลยต้องแสดงให้คีธเห็นหน่อยว่าคือกูขัดขืนแล้วนะ แต่ไอ้ซีเลนมันไม่ยอมปล่อย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันได้มาฆ่าผมจริงๆ แน่ ทั้งเตะขา ทั้งถีบ ทั้งสะบัด คีธกับเจเนซิสไม่ห้ามผมสักนิดที่ทำกับเจ้าชายของพวกมันแบบนี้ ส่วนซีเลนก็ยังดึงดันจะทำแผลให้ผมให้ได้
“อยู่นิ่งๆ น่า เดี๋ยวดีเอง” พูดอย่างเดียวไม่พอ แม่งกดผมลงนอนแล้วโถมตัวทับลงมาอีก
นี่ต่อหน้าต่อตาผัวกูนะเว้ย! เดี๋ยวไอ้คีธมันก็ได้ก่อกบฏหรอก!
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด พอซีเลนคร่อมผมปุ๊บ คีธก็เข้ามากระชากคอเสื้อซีเลนแล้วดึงออกจากผมปั๊บ ไวกว่านั้นคือดึงผมให้ลุกจากโซฟาแล้วรวบเข้ามากอดแน่นด้วยแขนข้างเดียวอีกด้วย
“องค์ชาย...” ตามด้วยเรียกซีเลนเสียงเรียบประหนึ่งเตือน
ซีเลนลุกขึ้นนั่ง เสยปอยผมที่ปรกหน้าแล้วหัวเราะในลำคอ
“เออๆ ไม่ยุ่งก็ได้ หยอกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นหวง”
นิดหน่อยบ้านมึงสิไอ้ซีเลน! นี่ถ้ามึงปล้ำกูได้ มึงคงทำไปแล้ว!
“หม่อมฉันว่าเราอย่าเพิ่งมาเล่นกันอยู่เลย นี่เรื่องใหญ่ หม่อมฉันอยากฟังจากองค์ชายว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่”
เจเนซิสห้ามทัพโดยการถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้ ผมก็อยากรู้ คีธก็เช่นกัน คาใจมานานละเรื่องซีเลนเนี่ย
ซีเลนพ่นลมหายใจออกมา ทิ้งอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ในมือแล้วยกมือทั้งสองข้างมาประสานไว้ที่ท้ายทอย วางท่าทางสบายๆ ขณะพูด
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันก็แค่เป็นลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตาของพวกนายที่เกิดจากกษัตริย์เซนไทน์รัชกาลปัจจุบันก็เท่านั้น แล้วก็เป็นลูกครึ่งอย่างที่พวกนายเห็น”
ทุกคนที่ฟังย่นคิ้วไปกับการเล่าแบบกำปั้นทุบดินของมัน ดูท่าทางมันไม่ค่อยอยากจะพูดถึงอดีตของตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ผมจับจุดอ่อนมันได้ไง ในเมื่อมันไม่อยากเล่า ก็ต้องมีข้อต่อรองกันหน่อย
“เล่าให้ละเอียดสิวะ เอาข้อมูลมาแลกกับเจเนซิส หมอนั่นจะไปนอนกับนายคืนนึงถ้านายยอมเล่าแบบหมดเปลือก กระซิบบอกฉันมาแล้วตอนเดินกลับมาที่นี่”
เจเนซิสหันขวับมามองผมที่จู่ๆ ก็เอามันไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน แถมยังอ้าปากทำท่าเหมือนจะปฏิเสธด้วยว่ามันไม่ได้พูดอะไรออกมาสักแอะ โดยเฉพาะเรื่องการเสนอตัวให้ซีเลนเนี่ย แต่ใครจะสนล่ะ ได้กับซีเลนไปก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องถ่านไฟเก่าของมันกับคีธจะประทุขึ้น
“เหรอ... น่าสนใจดีนี่” ส่วนซีเลน พอได้ยินอย่างนั้นก็มองเจเนซิสตาเยิ้มเชียว เจเนซิสกลืนน้ำลายเอื้อก สายตาที่เหลือบมองผมดูอาฆาตมาดร้ายสุดชีวิต ทว่าก็ถูกเบนความสนใจไปเมื่อซีเลนเปิดปากขึ้น
“ก็อย่างที่รู้กันแหละว่าฉันเป็นลูกของเจ้าหญิงซีเลนาตา ฉันเองก็มีชื่อเต็มๆ ว่าซีเลนาตา พ่อตั้งให้น่ะ ส่วนพ่อกับแม่ฉันก็แต่งงานกันโดยไม่ได้รักกันเพราะเหตุผลทางการเมือง... ไม่สิ ต้องพูดว่าพ่อฉันรักแม่ แต่พ่อมีมเหสีอยู่แล้วซึ่งก็คือแม่ของลาร์ซิโอนีย์ แม่ก็เลยเป็นได้เพียงตัวประกันจากยูนิกม่าเท่านั้น ถึงจะเป็นตัวประกัน ทว่าตอนฉันเกิดมา ฉันก็ได้รับการศึกษาและการเลี้ยงดูเหมือนลาร์ซิโอนีย์ทุกอย่างนะ ทั้งด้านการรบ การเมืองการปกครอง และอื่นๆ แต่ฉันเหนือกว่าลาร์ซิโอนีย์หน่อยตรงที่ฉันเก่งเรื่องบู๊มากกว่าหมอนั่นที่เก่งเรื่องบุ๋น คงเพราะฉันเป็นลูกครึ่งเลยมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าหมอนั่นล่ะมั้งเลยถนัดด้านนี้”
“งั้นก็แสดงว่านายเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่สอง?” ผมถาม
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ถ้าจู่ๆ ปู่ฉันไม่บ้าเอาแม่ไปต่อรองกับตาซึ่งเป็นกษัตริย์ของยูนิกม่าขึ้นมาแลกกับการใช้ชาวยูนิกม่าเป็นพลังงานจนแม่ถูกฆ่าล่ะก็ ฉันก็คงจะได้ตำแหน่งนั้น” ซีเลนหยุดพูดไป แววตาขี้เล่นประกายวาวเล็กน้อยราวกับถูกกลบด้วยน้ำตา น้ำเสียงก็ฟังดูเศร้าแปลกๆ ทว่าผมก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่ซีเลนจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ แม่ถูกฆ่าทั้งคนนี่
ถึงจะดูเหมือนไม่ควรถาม แต่ผมก็ยังอยากรู้รายละเอียดลึกลงไปกว่านี้ หากแต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นคนถาม เป็นเจเนซิสที่เอ่ยขึ้นเสียงเบา
“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทและพระมารดาเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
ซีเลนชำเลืองมองหน้าเจเนซิสเล็กน้อย แสยะยิ้มเศร้าๆ ออกมาก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่าต่อ
“พอตาไม่ยอม ปู่ก็พาฉันกับแม่ไปขังไว้ในคุกใต้ดิน พวกเราสองแม่ถูกขังอยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ฉันก็จำไม่ได้นัก ตอนนั้นฉันเพิ่งจะสี่ขวบ รู้ตัวอีกทีก็มีทหารของเซนไทน์เข้ามาที่ห้องขัง แล้วแม่ก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ ฉันเองก็ถูกฆ่าเหมือนกัน น่าเสียดายที่ดันไม่ตาย แต่ก็เจ็บหนักเอาการ นอนจมกองเลือดข้างศพแม่อยู่อย่างนั้นเกือบอาทิตย์ มาถูกพาตัวออกไปก็ตอนที่พ่อรู้ว่าแม่กับฉันถูกปู่พาไปฆ่า ก่อนพ่อจะพาฉันหนีไปอยู่ที่ดาวดวงอื่นแล้วส่งคนไปเลี้ยงดูฉันแทนที่นั่น เลี้ยงแบบ...พ่อไม่เคยโผล่หัวมาดูดำดูดีเลยน่ะ มีอะไรก็ส่งคนมารายงานอย่างเดียว”
ฟังแล้วผมก็สงสารซีเลนขึ้นมาจับใจ ตอนที่แม่มันถูกฆ่า มันเพิ่งจะสองขวบมนุษย์โลกเองด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนหื่นๆ ไม่เอางานเอาการอย่างมันจะมีอดีตน่าเศร้าขนาดนี้
“แล้วที่องค์ชายมาที่นี่ องค์ชายหนีมาใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจเนซิสถามอีกครั้งราวกับรู้ทัน
“ก็ต้องหนีสิ ใครจะไปทนอยู่กับพวกที่ฆ่าแม่ตัวเองได้กัน ถึงพ่อจะรักแม่และไม่เห็นด้วยกับการกระทำของปู่ก็เถอะ แต่พอฉันได้ยินว่าปู่ตายและพ่อขึ้นครองราชย์ แถมยังออกคำสั่งให้พวกทหารตามล่าตัวแอสโซซิโนให้มาแต่งงานกับลาร์ซิโอนีย์ ฉันก็รับไม่ได้ เลยมาที่นี่อย่างที่พวกนายเห็นนั่นแหละ นับๆ ดูก็น่าจะสองปีได้แล้วมั้ง”
สองปี... ถ้าจำไม่ผิดก็ช่วงเดียวกับที่คีธเดินทางร่อนเร่อยู่ในอวกาศเลยนี่นา ตอนนั้นมันคงอายุยี่สิบปีมนุษย์โลกล่ะมั้ง
“งั้นก็แสดงว่าที่ฝ่าบาทมาที่นี่ เป็นการมาตามหาองค์ชายแอสโซซิโน?” คราวนี้คีธเป็นฝ่ายถาม
ซีเลนพยักหน้าพลางยิ้ม “ใช่ แต่ก็แค่มาช่วยพาแอสโซซิโนหนีจากพวกเซนไทน์ก็เท่านั้นแหละนะ ไม่ได้มาตามให้ลาร์ซิโอนีย์”
“พาหนีทำไม” ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น
ซีเลนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ “พาหนี... เพราะไม่อยากให้ลูกที่เกิดมาระหว่างแอสโซซิโนกับลาร์ซิโอนีย์มีชะตากรรมเหมือนฉันน่ะสิ อีกอย่าง แอสโซซิโนก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน”
“แต่ลาร์คก็เป็นพี่น้องนายไม่ใช่เหรอ” ผมสวนขึ้น
“ถ้านับตามศักดิ์แล้ว หมอนั่นมีศักดิ์เป็นพี่นะ อายุห่างกันสี่ปีเซนไทน์ แต่ถ้าจะให้นับญาติด้วยล่ะก็ เหอะ ไม่เอาล่ะ นับญาติกับทางยูนิกม่าดีกว่า แค่คิดว่าในตัวฉันมีสายเลือดของเซนไทน์อยู่ ฉันก็ขยะแขยงตัวเองจะแย่แล้ว”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก นอกจากผมที่ได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจได้ว่าการกระทำแปลกๆ ทุกอย่างของซีเลนตั้งแต่ที่ผมเจอหน้ามันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ก็เพื่อหาเบาะแสของชาวยูนิกม่าและตามตัวแอสตันนั่นเอง งั้นก็แสดงว่ามันอยู่ข้างเดียวกับแอสตันน่ะสิ
เจเนซิสกับคีธก็คงคิดเช่นนั้น ทั้งคู่ก็มองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะพร้อมใจกันคุกเข่าคำนับซีเลนโดยไม่ได้นัดหมาย
“เช่นนั้นก็ต้อนรับกลับสู่ยูนิกม่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เจเนซิสกล่าวโดยที่คีธไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ
ซีเลนหัวเราะลั่นทันใด “ไม่ต้องมาเรียกฉันฝ่าบงฝ่าบาทอะไรหรอก ขนลุกว่ะ เรียกธรรมดานี่แหละ ฉันไม่คิดจะกลับไปเป็นเจ้าชายหรอกนะ ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม เป็นซีเลนแบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องคิดอะไร สบายใจดี”
ไม่รู้ทำไมผมถึงสัมผัสได้ถึงความเหงาของมันจากน้ำเสียงนั่น ทว่าผมก็ไม่ได้สนใจเมื่อคีธพูดขึ้น
“ถึงอย่างนั้น หม่อมฉันก็ต้องปฏิบัติกับฝ่าบาทเฉกเช่นเชื้อราชวงศ์พระองค์อื่น และจะเป็นพระกรุณาอย่างมากหากฝ่าบาททรงตามพวกเราไปที่พำนักของพวกเรา”
“ที่พำนักเหรอ?” ซีเลนเลิกคิ้วสูง ให้เจเนซิสเป็นคนตอบ
“ที่ซ่อนขององค์ชายแอสโซซิโนพ่ะย่ะค่ะ”
ซีเลนร้องอ๋อ ก่อนตอบตกลง “เอาสิ ฉันก็อยากเจอลูกพี่ลูกน้องตัวเองเหมือนกัน ดูซิว่าจะหล่อสู้ฉันได้หรือเปล่า” ว่าจบ มันก็ลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา
คีธกับเจเนซิสลุกขึ้นยืน ก่อนเจเนซิสจะร้องสั่ง “ทำแผลให้กวินทร์เร็วเข้า เราจะได้ไปกัน”
คีธพยักหน้า ดึงผมให้ลงไปนั่งบนโซฟาอีกครั้งแล้วดันให้ผมนอนคว่ำ จัดการทำแผลให้ทันใด มือของคีธเบาจนผมแทบไม่รู้สึก ผมเลยใช้เวลาตอนนี้ครุ่นคิดเรื่องของซีเลนไปด้วย ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าซีเลนรู้ได้ยังไงว่าผมกับพวกคีธถูกเซนไทน์ตามมา เท่านั้นก็ร้องถามออกไปทั้งที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม
“ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงน่ะว่าฉันถูกพี่ชายนายส่งคนมาตาม”
“เสียงของนายไงล่ะ ตอนนายร้องเรียกคีธน่ะ ฉันได้ยินเต็มสองหูเลย”
“หือ?”
“ความสามารถพิเศษของยูนิกม่า” คีธว่า ผมพยักหน้าเออออ เกือบลืมไปเลยว่าซีเลนมันเป็นลูกครึ่ง มันจะมีความสามารถพิเศษของทั้งสองสายพันธุ์ก็ไม่แปลก
“งั้นก็แสดงว่าที่นายตามมาถูกก็เพราะ...”
“กลิ่นของฉันที่อยู่ในตัวนาย” ซีเลนชิงตอบก่อนที่ผมจะพูดจบ
คีธชะงักมือที่กำลังเช็ดคราบเลือดแห้งกรังให้ผมอยู่ทันใด สูดลมหายใจเข้าปอดราวกับกำลังสงบสติอารมณ์ แหม หึงล่ะสินะ ก็มีกลิ่นของคนที่มันสั่งหนักหนาว่าไม่ให้ผมเข้าใกล้อยู่ในตัวผมนี่ หึงก็ไม่แปลก
ผมยิ้มกริ่มที่ได้เห็นท่าทางหึงหวงของคีธที่นานๆ จะโผล่มาให้เห็นที แล้วทำเป็นไม่สนใจ ถามซีเลนต่อ
“แล้วนายจะมาช่วยฉันทำไม ไม่เกี่ยวกับนายแท้ๆ”
“ก็ไม่ได้อยากช่วยหรอก ขี้เกียจมีเรื่องกับลาร์ซิโอนีย์ แต่เพราะฉันชอบนายไงเลยต้องช่วย บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าอยากกินๆ ยังจำไม่ได้อีกหรือไง”
คราวนี้คีธเช็ดแผลผมซะอย่างแรงจนผมร้องโอ๊ยเลย พอหันจะไปแหวมัน คีธก็ดึงผมขึ้นนั่งแล้วดึงเข้ามาชิดอกตัวเอง หันไปมองหน้าซีเลนอย่างเอาเรื่อง
“หม่อมฉันคงต้องขอย้ำฝ่าบาทอีกทีว่าตามธรรมเนียมของชาวยูนิกม่า เราจะไม่ยุ่งกับแม่พันธุ์และโฮสต์ของกันและกัน”
“เออๆ รู้แล้ว นายนี่ก็หวงจริง ไม่ทำหรอกน่า” ซีเลนทำหน้ารำคาญ โบกมือใส่คีธเป็นพัลวัน ทว่าก็ไม่วายทิ้งท้ายให้คีธได้ส่งเสียงจึ๊ในลำคอ “แต่ถ้านายเผลอล่ะก็ไม่แน่”
ตอนนี้สีหน้าคีธออกหมดเลยว่าหึงผมแค่ไหน แล้วก็ดูโกรธแค้นที่ทำอะไรซีเลนไม่ได้เหมือนเดิมเพราะมันดันเป็นเจ้าชายด้วย มันก็เลยหันมาเล่นงานผมแทน
“ถ้ากวินทร์ยอมให้องค์ชายแตะเนื้อต้องตัวล่ะก็...ตาย”
เอ้า! แล้วถ้ามันใช้กำลังกดกูเล่า! คิดถึงข้อนี้ด้วยสิวะ!
ผมบุ้ยปากด่ามันเบาๆ ไม่นานก็ต้องลอบยิ้มออกมาแล้วฝังจมูกลงบนแก้มมันอย่างหมั่นเขี้ยวแทน
น่ารักฉิบ... หึงกูอีกสิ เอาอีก กูชอบ
“นี่ไม่ใช่เวลามาอ่อยนะกวินทร์ รีบๆ ให้คีทาเยทำแผลให้เสร็จเร็วๆ เข้า จะได้ไปกัน” เจเนซิสเห็นผมทำอย่างนั้นก็ขัดขึ้นมาเลย
ผมเลยหันไปขมุบขมิบปากด่ามันด้วยอีกคน พลันปล่อยให้คีธปิดผ้าก๊อซที่หลัง ดีที่แผลนั่นไม่ได้ลึกมากเลยไม่ต้องไปโรงพยาบาลให้ยุ่งยาก ใช้เวลาทำแผลไม่นานก็เสร็จสิ้น ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางไปยังบ้านของพวกไบโทป
 
พวกเรามาถึงตรอกที่เป็นแหล่งกบดานในเวลาไม่นานและไม่มีเซนไทน์ตัวไหนโผล่มาตามล่าอีก เจเนซิสร้องเรียกอยาครู่หนึ่ง หลุมดำก็ปรากฏให้เห็นที่ข้างกำแพงเก่าๆ ที่เดิม ทว่าพอบรูคลินที่เป็นคนเปิดประตูให้เห็นหน้าซีเลนที่โบกมือทักเท่านั้น มันก็รีบปิดหลุมดำทันที ดีที่เจเนซิสร้องห้ามไว้ได้ทันและอธิบายคร่าวๆ ว่าซีเลนมาดี รวมถึงได้คีธยืนยัน บรูคลินเลยยอมให้ซีเลนเข้ามาข้างในได้แม้ว่าสีหน้ามันจะบ่งบอกชัดเจนว่าโคตรไม่ไว้ใจซีเลนเลยก็ตาม
และแน่นอนว่าพอซีเลนเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่มีแอสตันกับริชาร์ดนั่งประชุมอยู่กับผู้พิทักษ์และชาวยูนิกม่าคนอื่นๆ ริชาร์ดก็มีสีหน้าตระหนกตกใจไปเหมือนกัน ส่วนแอสตันก็ตั้งท่าหวงก้างทันทีเพราะมันจำได้ดีว่าซีเลนเคยไล่ตามก้นริชาร์ดต้อยๆ เพื่อจะปล้ำ แต่พอเจเนซิสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังและบอกว่าซีเลนเป็นพระญาติผู้พี่ของแอสตัน ท่าทางเหมือนหมาหวงเจ้าของของแอสตันก็หายไป
จริงๆ จะเรียกว่าหายก็ไม่ได้หรอก เรียกว่าไม่มั่นใจแต่เอนอ่อนลงมากกว่าด้วยเชื่อในคำพูดของเจเนซิส ทว่าพอซีเลนยืนยันโดยการคืนร่างเดิมให้ดูแล้ว แอสตันก็อดเชื่ออย่างสนิทใจไม่ได้ว่าซีเลนคือลูกของป้ามันจริงๆ อย่างที่ว่า ก็จะไม่ให้เชื่อได้ยังไงล่ะ ถึงจะเป็นลูกครึ่งแต่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับยูนิกม่าผสมเซนไทน์อย่างนั้น ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
“สะ...เสด็จพี่” แอสตันครางราวกับสติหลุด ก่อนจะผายวงแขนออกแล้วตรงเข้าไปสวมกอดซีเลนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ยินดีต้อนรับกลับสู่ยูนิกม่า”
มึงไม่ต้องบอกว่ายินดีต้อนรับหรอกไอ้แอสตัน กูว่ามึงไม่ได้เต็มใจให้มันกลับมาเท่าไหร่เลยนะ รู้นะเว้ยว่ามึงกลัวว่าเมียมึงจะโดนมันปล้ำ
“ดีใจที่ได้เจอนายเหมือนกันแอสโซซิโน หน้าตาน่ารักอย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ลาร์ซิโอนีย์ถึงได้อยากได้ตัวนายไปเป็นเมียนัก ถ้าไม่ติดว่าเราเป็นญาติกัน ฉันจะชวนนายขึ้นเตียง” ซีเลนกอดตอบ ทักทายด้วยประโยคที่ริชาร์ดโคตรไม่อยากจะได้ยินที่สุดด้วย
และเพราะซีเลนพูดประโยคนี้ ริชาร์ดที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกก็พุ่งเข้าไปแทรกกลางระหว่างผัวมันกับซีเลนทันที แล้วทำหน้าเมากัญชาใส่ซีเลนด้วย แต่ซีเลนไม่สนใจ เห็นหน้าริชาร์ดก็ยิ้มเผล่
“ว่าไงริชาร์ด กอดกับแอสโซซิโนหน่อยเดียวเอง แค่นี้หึงฉันเหรอ”
มันไม่ได้หึงมึงเว้ย! มันกลัวมึงปล้ำผัวมันต่างหาก!
เจเนซิสเล่าเรื่องที่พวกเราถูกเซนไทน์ตามล่าตบท้ายให้ทุกคนฟัง ก่อนแอสตันจะเข้าเรื่องซีเรียสอีกครั้ง
“งั้นเราต้องระวังตัวขึ้นให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะนายนะกวินทร์ พวกมันมาตามตัวนายเพื่อจะเอานายไปต่อรองกับเสด็จพี่อย่างนี้ เราว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว” แอสตันหันมาบอกผม ผมเลยว่าเหน็บไป
“ถ้าไอ้เสด็จพี่เฮงซวยของนายไม่มาบังคับจูบฉันล่ะก็ ฉันคงไม่ซวยอย่างนี้หรอก”
“กวินทร์... อย่าจาบ...” คีธที่อยู่ข้างหลังผมโพล่งขึ้นด้วยเสียงกระซิบ ทว่าพูดไม่ทันจบประโยค หมอนั่นก็หยุดไปแล้วว่าออกมาเบาๆ “ช่างเถอะ ด่าได้ตามสบาย”
มึงกระดากใจที่จะปกป้องไอ้ซีเลนมันล่ะสินะ กูรู้ คู่อริของมึงนี่!
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันไปคุยกับลาร์ซิโอนีย์เองว่าอย่ามายุ่งกับกวินทร์ จริงๆ หมอนั่นก็แค่อยากให้ฉันมาช่วยงานก็เท่านั้น งานที่ว่าก็ตามหานายนั่นแหละแอสโซซิโน แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้วแฮะ อยากนอนจัง หิวด้วย อยากหาคนมาป้อนพลังงาน” ซีเลนว่าด้วยท่าทางสบายๆ สายตาก็มองปราดไปยังเจเนซิสด้วย
คงได้เวลาทวงข้อแลกเปลี่ยนแล้วสินะ... ข้อแลกเปลี่ยนอะไรน่ะเหรอ? ก็ไอ้ข้อแลกเปลี่ยนที่ผมบอกมันว่าเจเนซิสจะยอมนอนกับมันคืนนึงแลกกับการที่มันเล่าอดีตของมันให้ฟังไง
เจเนซิสเหมือนจะรู้ตัว กลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ก่อนจะทำตัวยุ่งขึ้นมากะทันหัน
“มะ...หม่อมฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องให้สะสาง เมื่อช่วงบ่ายพวกที่อยู่ในนาซ่าโทรมาปรึกษาเรื่องพัฒนาระบบควบคุมยาน มะ...หม่อมฉันคงต้องขอตัวไปตรวจสอบข้อมูลก่อน บะ...บรูคลิน นายเป็นเจ้าบ้าน ฝากปรนนิบัติองค์ชายด้วย” แล้วมันก็โยนหน้าที่ไปให้บรูคลินที่ยืนเซื่องๆ อยู่ไม่ไกลทันใด
บรูคลินเบิกตาโพลง อ้าปากจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันแล้ว เจเนซิสพูดจบก็พุ่งออกจากบริเวณนั้นไปด้วยความเร็วแสง ริชาร์ดเองก็ถลาเข้าไปหลบหลังแอสตันด้วยกลัวว่าความซวยจะตกมาที่มัน ส่วนผมก็ถูกคีธรวบเอวไว้
หึ... กลัวกูจะถูกไอ้ซีเลนลากไปปล้ำล่ะสิ
ดีที่ซีเลนมันไม่หน้ามืดมาคว้าริชาร์ดหรือผมไปแทน พอเจเนซิสโยนมาให้บรูคลิน มันก็จ้องบรูคลินตาวาว พลางว่าออกมา
“ว่าไงช่างแต่งหน้า ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ” แล้วมันก็เดินไปโอบเอวบรูคลินหน้าตาเฉย
บรูคลินสะดุ้งเฮือก พยายามเสือกไสซีเลนที่เอาหน้าเต็มไปด้วยเคราซุกไซ้ที่ซอกคอออกห่าง ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือจากทุกคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้วย ทว่าใครจะไปช่วยมัน นั่นองค์ชายแห่งยูนิกม่าเลยนะ ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าชายที่มีสิทธิในบัลลังก์ก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเป็นองค์ชาย ทุกคนเลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ส่วนผมน่ะเหรอ...
หึๆ ภาวนาขอให้มันโดนจัดหนักทั้งคืนเลยล่ะ!
จังหวะเดียวกันเอง เบนที่ไปเตรียมห้องนอนให้ซีเลนก็โผล่เข้ามาพอดี พอเห็นพี่ชายถูกไอ้หื่นซีเลนลวนลามก็ชะงักกึก สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าตกใจสุดอะไรสุด ซีเลนเองก็ชะงักไปเหมือนกัน มองหน้าเบนอย่างกะลิ้มกะเหลี่ยทันใด
“หน้าตาคล้ายช่างแต่งหน้าเลยแฮะ หรือนี่จะเป็น... น้องชายนาย?”
บรูคลินไม่ตอบ เหลียวไปมองเบน ขยิบตาให้เป็นสัญญาณให้เบนหนีไป แต่ไอ้เด็กเบนดันซื่อเกินเหตุ ตอบรับซีเลนซะอย่างนั้น
“พะ...พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีเลย จะได้ควบทั้งพี่ทั้งน้อง หิวจัดพอดี” ซีเลนว่าเองเออเองอย่างเดียวไม่พอ ยังลากบรูคลินถลาเข้าไปโอบเอวเบนด้วยอีกคน กว่าเบนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ถูกซีเลนมันลากไปชั้นบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่ามึงพรากผู้เยาว์นะไอ้ซีเลน ส่วนไอ้บรูคลินน่ะมึงพรากผู้เฒ่า เห็นมันบอกคราวก่อนว่ามันอายุมากกว่ากูกับมึงปีนึง แต่พอเหลียวไปเห็นสีหน้าของริชาร์ดที่ดูสะใจแล้ว ผมก็หุบปากเงียบ
เอาเถอะ ถือว่ายืมมือซีเลนมันจัดการก็แล้วกัน
ขอให้โดนกินอย่างสาสมไอ้สองพี่น้องเปรตวัดสุทัศน์!
 


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 32: Genesis is a prince[2]
ผมยังคงต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น คีธมาไม่ได้เพราะติดประชุมเรื่องแผนการเดินทางไปที่วอชิงตันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อเตรียมพร้อมอพยพก่อนยานจะได้รับการพัฒนาเสร็จสิ้น ริชาร์ดก็ไม่มาทำงานอีกเช่นเคย ตอนนี้มันโกหกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ไปละหลังจากหยุดมานานจนด็อกเตอร์มาร์ตินเริ่มสงสัย ดีที่วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้าย ด็อกเตอร์มาร์ตินก็เลยไม่ว่าอะไร หนำซ้ำจะไปเยี่ยมริชาร์ดอีก ผมเลยรีบบอกว่าพ่อแม่มันมารับกลับไปรักษาตัวที่นิวยอร์กแล้ว ถึงจะโกหกไม่เนียนแต่ด็อกเตอร์มาร์ตินก็ยอมเชื่อเพราะมีเรื่องสำคัญมากกว่าให้สนใจ
เจเนซิสก็ยังมาเฝ้าผมอย่างเคยตามคำสั่งของคีธ วันนี้มันขับรถคันใหม่มา ผมเพิ่งรู้ในตอนนี้นี่แหละว่าพวกยูนิกม่ามีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในโลกมนุษย์เป็นจำนวนมหาศาล อารมณ์เหมือนมาทำธุรกิจผิดกฎหมายที่นี่ชะมัด แต่ไม่ใช่ เป็นเงินที่พวกมันรวบรวมมาจากการแฝงตัวเข้าไปทำงานตามองค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ ทั้งสิ้น
ซีเลนกับบรูคลินก็มาทำงานพร้อมผมเช่นกัน ระหว่างทางที่นั่งรถมา บรูคลินไม่พูดอะไรสักแอะ ส่วนซีเลนก็เล้าโลมนัวเนียบรูคลินไม่เลิก มันเกือบจะกดไอ้เปรตนั่นในรถแล้วด้วยถ้าเจเนซิสไม่ขัดขึ้นก่อน
“กรุณาวางพระองค์ดีๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ การผูกพันหาใช่เรื่องควรเปิดเผย”
นั่นแหละ บรูคลินเลยรอดจากการถูกปล้ำมาหวุดหวิด แต่ตอนลงจากรถ ผมก็เห็นมันเดินกะเผลกอย่างทุลักทุเล มือข้างหนึ่งประคองสะโพกขณะเดินไปด้วย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่าเมื่อคืนซีเลนคงไม่ได้ปราณีแน่
ความจริงรู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงครวญครางดังแว่วมาจากห้องของซีเลนแล้วล่ะ ทั้งบรูคลินทั้งเบน ร้องประสานกันอย่างกับหมาหอน ทำเอาคนในบ้านสยองขวัญสั่นประสาทไปตามๆ กันเลยเพราะจินตนาการไม่ออกว่าซีเลนมันทำอะไรบ้าง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสนใจ นอกจากทำงานให้เสร็จๆ ไป พอเลิกงานก็บอกลาด็อกเตอร์มาร์ตินกับผู้กำกับวิลล์ รวมถึงทีมงานคนอื่นๆ เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องแยกจากกันแล้ว ผู้กำกับวิลล์ชวนผมไปร่วมปาร์ตีที่บ้านเขาเพื่อส่งท้ายเหมือนเคย แต่ผมปฏิเสธไปเพราะอยากใช้เวลากับคีธมากกว่าโดยอ้างว่าดึกแล้ว อยากพักผ่อน
และเพราะคิดว่าอยากให้เวลากับคีธ ตอนขากลับจากสตูดิโอก็เจอคีธสมใจอยาก หมอนั่นมายืนรอรับผมอยู่ข้างรถของเจเนซิส พอเห็นหน้าผมก็ตรงเข้ามากอด ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมประหลาดใจขึ้นมา
“เป็นอะไรของนายเนี่ย จู่ๆ ก็กอด”
“คิดถึงกวินทร์... กวินทร์ของฉัน” คีธว่าพึมพำในประโยคแรก แต่ประโยคหลังพูดด้วยน้ำเสียงปกติราวกับต้องการให้เจเนซิสได้ยินด้วย ส่วนผมก็หน้าร้อนเห่อขึ้นมา
อะ...อะไรของมันวะ รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าทำแบบนี้โคตรจะน่ารักเลย
แล้วผมก็รู้สาเหตุที่มันทำอย่างนี้ตอนหันไปเห็นซีเลนที่เดินมาสมทบทางด้านหลัง
โถ... ที่แท้มึงก็แสดงความเป็นเจ้าของให้ซีเลนมันรู้นี่เอง กูก็นึกว่าจะโชว์ออฟไอ้เจเนซิสมันแบบมารับอะไรงี้ จริงๆ คือกลัวกูจะถูกซีเลนมันทำมิดีมิร้ายตอนมึงเผลอสินะ
“เอ้า มัวพลอดรักกันอยู่นั่น รีบกลับได้แล้ว” เจเนซิสว่าอย่างระอาพลางมองมาที่ผมกับคีธที่กอดกันไม่เลิก
คีธผละออกจากผม พยักหน้ารับ ส่วนผมก็เบ้ปากเป็นวงสวิงให้เจเนซิสรัวๆ
อิจฉากูล่ะสิไอ้เมียเก่า! ตอนพวกมึงคบกัน คีธไม่เคยทำกับมึงอย่างนี้สินะ! เหอะ ไอ้ขี้อิจฉา!
ผมขึ้นรถไปอย่างว่าง่ายเมื่อคีธเปิดประตูให้ วันนี้ซีเลนก็จะไปนอนค้างที่บ้านของพวกบรูคลินเหมือนกัน เหตุผลก็คือแอสตันต้องการให้ซีเลนรับรู้แผนการอพยพด้วย แต่ผมรู้ว่าที่ซีเลนยอมมา มันไม่ได้อยากจะมาฟังแผนอะไรนี่หรอก อยากมาเพราะบรูคลินกับเบนมากกว่า ส่วนบรูคลินน่ะเหรอ... แม่งแกล้งหาเรื่องกลับบ้านดึก ไปร่วมงานปาร์ตีกับทีมงานที่บ้านผู้กำกับวิลล์ ดูก็รู้ว่ามันกลัวจะถูกซีเลนปล้ำ
กูบอกมึงเลยไอ้บรูคลิน ยังไงมึงกลับมาก็ต้องโดน จะช้าจะเร็วมึงก็โดนทั้งนั้น ไม่รอดเงื้อมมือไอ้ซีเลนหรอก
เจเนซิสขับรถไปตามถนน คืนนี้ถนนหนทางก็ดูไร้รถราเช่นเคย เว้นก็แต่บรรดารถหรูที่ขับตามหลังมาเท่านั้น ตอนแรกผมก็ไม่สนใจหรอกแต่จู่ๆ พวกรถนั่นก็ขับมาเบียดเอาๆ จนผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนท้ายรถเจเนซิสเต็มรัก
“เฮ้ย! อะไรวะ!”
ไม่มีใครให้คำตอบ นอกจากพากันคืนร่างเดิม ผมหันไปเห็นก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากพลัน
ยะ...อย่าบอกนะว่า...
“พวกเซนไทน์...” คีธคราง
อีกแล้วเหรอเนี่ย! อะไรของพวกมันหนักหนาวะ ตามติดเป็นเจ้ากรรมนายเวรเลยเว้ยเฮ้ย!
เจเนซิสเหยียบคันเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิมจนผมตัวแทบปลิว ดีที่คีธกอดผมไว้แน่น ผมเลยไม่โคลงเคลงเท่าไหร่นัก แต่ถึงจะเหยียบคันเร่งหนีแทบเป็นแทบตายแค่ไหน สุดท้ายก็ถูกบรรดารถหรูพวกนั้นไล่ต้อนมายังถนนแคบๆ แห่งหนึ่งจนได้
ความมืดของถนนและความเปลี่ยวทำให้ทุกชีวิตในรถมองหน้ากันเป็นการให้สัญญาณว่าไม่ควรอยู่ในรถนาน เพราะไม่อย่างนั้นจะถูกเซนไทน์ล้อมเอาได้ มีแต่ผมนี่แหละที่คิดไม่ทันพวกมัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกคีธดึงลงจากรถแล้ว
ทว่าพวกเซนไทน์ก็เร็วพอกัน ไม่ทันที่พวกผมจะได้หนี พวกมันก็ลงมาจากรถพร้อมกับคืนร่างเดิม วันนี้พวกมันไม่ได้มาแค่สิบกว่าชีวิต แต่มาถึงยี่สิบ ไม่สิ...อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าคะเนจากจำนวนรถที่จอดล้อมรอบพวกเราจนแน่นเต็มซอยแล้ว
ผมตัวสั่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน คีธจับมือผมไว้แน่น ดันไปหลบข้างหลังพลางว่าเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวกวินทร์ ไม่ต้องกลัว”
กูควรกลัว! เมื่อวานพวกมันเพิ่งจะเฉาะหลังกูไปเอง มึงยังจะบอกให้กูไม่ต้องกลัวอีกเหรอ!
“พวกมันมาตามฉัน คงจะตามกลิ่นฉันจากตัวนายมา ไม่ต้องห่วง ฉันจะยอมไปกับมัน” ซีเลนเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของผมก็พูดขึ้นมาบ้าง
ผมเกือบจะโล่งใจได้แล้วถ้าหากว่าไม่เห็นรถลีมูซีนสีขาวแล่นฝ่าเข้ามาจอดเทียบข้างฟุตปาธ ก่อนที่เซนไทน์หัวหน้าตัวเมื่อวานที่ถูกซีเลนแทงไหล่ไปจะลงมาจากรถและเปิดประตูให้ใครบางคนก้าวลงมา
สีหน้านิ่งเรียบทว่าน่าเกรงขามทำให้ผมจำได้ทันทีว่าหมอนี่คือลาร์ค มันยังคงใส่สูทล้าสมัยเหมือนเคย รอบนี้เป็นสูทสีขาวกับกางเกงสแล็คขากระบอก แต่ถึงจะเป็นแฟชั่นล้าสมัย มันก็ยังดูดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ลงจากรถได้ มันก็พูดภาษาอะไรไม่รู้ที่ผมไม่รู้จัก
“ฉันไม่พูดภาษาของเซนไทน์” ซีเลนสวนขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษ ลาร์คชะงักแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“กว่าจะตามตัวได้นะซีเลนาตา ต้องให้วุ่นวาย”
“ฉันจะบอกนายอีกครั้งว่าฉันไม่ไปกับนายหรอกนะลาร์ซิโอนีย์”
เอ้า! เมื่อกี้มึงยังบอกกูอยู่แหม็บๆ ว่ามึงจะยอมไปกับมัน ทำไมตอนนี้มาเปลี่ยนใจวะ!
ผมโคตรอยากจะท้วงเลย ทว่าลาร์คก็พูดขึ้นมาก่อน
“จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจมาตามนายหรอก รู้อยู่ว่าคำตอบของน้องชายที่รักจะเป็นยังไง ฉันเลยมาตามอย่างอื่น”
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับคำพูดนี้ ยิ่งลาร์คพูดจบแล้วปราดตามองมายังคีธด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งใจไม่ดี
“เมื่อคืนคนของฉันบอกว่าเจอชาวยูนิกม่า แถมดูเหมือนชาวยูนิกม่าที่เจอจะเป็นผู้พิทักษ์ชื่อระบืออีกด้วย”
นะ...นั่นไง คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันจะต้องไม่ชอบมาพากลแน่ แต่ไอ้ลาร์คมันรู้ได้ไงวะว่าคีธเป็นผู้พิทักษ์น่ะ หรือว่ามันก็มีสายมนุษย์ต่างดาวพันธุ์อื่นคอยบอกข่าวเหมือนกัน?
“ฝีมือการต่อสู้เฉพาะตัว ไม่ว่าเซนไทน์คนไหนก็จำได้ เรียกว่าเป็นที่กล่าวขวัญในหมู่นักรบเซนไทน์เลยนะ คีทาเย ซาเคมอร์ฟ”
ไม่ต้องถาม ผมก็ได้คำตอบ ดูท่าทางพวกมันคงจะปะมือกับคีธมาหลายต่อหลายครั้งแล้วถึงได้รู้
ตอนนี้หัวคิ้วของคีธเองก็ขมวดมุ่นไปเช่นกัน ก่อนริมฝีปากหนาจะขยับขึ้น
“แกต้องการอะไร”
“เจ้าชายของแก” ลาร์คว่าพลางแสยะยิ้ม ถึงรอยยิ้มจะทำให้ใบหน้าเคร่งขรึมดูดี แต่ก็ดูเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายไปด้วยพร้อมๆ กัน
คีธยกมือขึ้น หอกอย่างที่ผมเห็นเมื่อวานก็ปรากฏขึ้นในมือ พลางว่าเสียงต่ำ
“ไม่มีทาง”
เห็นอย่างนั้น ผมก็รู้เลยว่าอีกเดี๋ยวมันจะต้องตะลุมบอนกันแน่ แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อคีธผลักผมกระเด็นออกจากวงล้อม จังหวะเดียวกับที่ลาร์คไหวปลายนิ้วชี้เบาๆ พร้อมกับสั่งว่าให้จัดการ
“หนีไปซะกวินทร์!”
ถึงจะไม่ได้หลุดพ้นจากวงล้อมของเซนไทน์มาดีเท่าไหร่นัก ผมก็ไม่สน รีบดันตัวขึ้นแล้วออกวิ่งไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้พวกคีธรับมือกับพวกเซนไทน์ไป แต่พวกเซนไทน์มันเป็นพวกนักล่า และผมก็เป็นเพียงมนุษย์โลกที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แค่วิ่งไปไม่ถึงร้อยเมตร ก็ถูกเซนไทน์รุมจับตัวได้ง่ายๆ
ไม่ใช่จับอย่างเดียวด้วย เรียกว่าไอ้ตัวไหนสักตัวมันกระโดดถีบผมจากด้านหลังจนผมล้มคะมำไปกับพื้น แล้วมันก็มานั่งทับ รอให้พรรคพวกมาจับผมลุกขึ้นดีกว่า
“ปะ...ปล่อย!” ผมข่มความจุกเสียดจากการถูกถีบเมื่อครู่แผดเสียงใส่พวกมันที่รุมกันจับผม
แต่ก็เสียแรงเปล่า มันลากผมกลับมาที่เดิมขณะที่คีธกำลังสู้กับเซนไทน์อย่างบ้าคลั่งข้างๆ ซีเลน ส่วนเจเนซิสก็เป็นตัวถ่วงเหมือนเดิม สำอิดสำออยให้คีธกับซีเลนช่วยกันปัดป้องให้เมื่อเห็นมันเปิดช่องว่าง
มาหาว่ากูขี้อ่อย มึงน่ะขี้อ่อยกว่ากูอีก อย่ามาทำเป็นกระแดะ ต่อสู้ไม่เก่งนะเว้ย!
คิดๆ ดูแล้ว มันก็คงจะต่อสู้ไม่เก่งจริงๆ นั่นแหละ ก็มันถนัดแต่การใช้สมองนี่หว่า แถมใครที่ไหนมันจะไปเก่งทุกด้าน
แต่ต้องไม่ใช่ตอนที่ผัวกูตกที่นั่งลำบากอย่างนี้เว้ย! ถ้ามึงสู้ไม่ไหว ก็ปล่อยให้พวกมันฆ่าไปเลยสิวะไอ้ตัวถ่วง!
แถมไม่เพียงเจเนซิสจะถ่วงแล้ว ผมก็ดันเป็นตัวถ่วงด้วยเมื่อลาร์คลากผมไปล็อคคอทันทีที่พวกลูกน้องมันจับตัวมาให้
“ปล่อยนะเว้ย!”
ผมตะโกนสุดเสียง เรียกให้คีธที่กำลังแทงหอกใส่เซนไทน์ตัวหนึ่งเหลียวมามองทันควัน ก่อนมันจะเบิกตาโต ร้องเรียกชื่อผมลั่นเช่นกัน
“กวินทร์!”
“ถ้าอยากจะคุยกันดีๆ ก็ได้ ฉันไม่ใช่พวกชอบใช้กำลังเท่าไหร่นัก” ลาร์คว่านิ่งๆ
แต่คือกูไม่เห็นมึงจะไม่ชอบใช้กำลังอย่างที่มึงพูดเลยไอ้ลาร์ค มาถึงก็สั่งลูกน้องใส่พวกกูเอาๆ บ้านมึงเรียกว่าไม่ชอบใช้กำลังเหรอ!
คีธยอมลดมือที่ถือหอกลงทันที ซีเลนที่เห็นคีธนิ่งไปแบบนั้นก็ไม่ยอมหยุด เจเนซิสก็เช่นกัน จนลาร์คต้องพูดขึ้นมาอีก
“เรามาคุยกันดีๆ ดีกว่า ข้อเสนอง่ายๆ บอกมาว่าเจ้าชายของพวกแกอยู่ไหน แลกกับชีวิตของมนุษย์นี่ ถ้าเห็นว่าข้อเสนอของฉันมันไม่น่าสนใจ ฉันจะได้กำจัดมนุษย์นี่ทิ้ง”
คราวนี้ซีเลนหยุดเลย เจเนซิสยังคงสู้ต่อ ซีเลนเลยหันไปส่งสายตาให้หยุดเป็นการสั่ง มันถึงหยุดได้
มึงนี่หาเรื่องให้กูตายเร็วตลอดเลยนะไอ้เจเนซิส!
ถึงพวกนั้นจะหยุด ผมนี่แหละที่ไม่หยุด ดิ้นพล่านแถมยังตะโกนไม่เลิกด้วย
“ปล่อยฉันนะเว้ย! ตามหาเจ้าชายพวกมันไม่เจอก็หาเมียใหม่ไปสิวะ!” แล้วก็ตามมาด้วยคำก่นด่าอีกสารพัด
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไอ้เจ้าชายเซนไทน์บ้านี่ก็ล็อคคอผมแน่นจนกระดิกไม่ได้ ต่อให้ดิ้นแทบเป็นแทบตาย มันก็แทบไม่ขยับเลย ทว่าดูเหมือนจะสร้างความรำคาญให้ลาร์คได้เป็นอย่างดีเพราะสีหน้ายิ้มเย้ยของมันหายไป ก่อนมันจะตะคอกใส่ผมมาทีนึง
“หยุดส่งเสียงดังน่ารำคาญได้แล้ว!” รัดคอผมแน่นกว่าเดิมด้วยอ้อมแขนแกร่งด้วย
ไอ้ที่ดิ้นๆ อยู่เมื่อกี้ก็ชะงักกึกเลยเพราะหายใจไม่ออก กลายมาเป็นดิ้นพราด โกยอ็อกซิเจนเข้าปอดแทน คีธที่เห็นผมตกอยู่ในสภาพนั้นกัดฟันแน่นแล้วแค่นเสียงออกมา
“แก...”
แค่นเสียงอย่างเดียวไม่พอ พุ่งเข้ามาพร้อมกับหอกในมือ ทว่าไม่ทันจะได้เข้าถึงตัว ก็ถูกบรรดาเซนไทน์องค์รักษ์พุ่งเข้ามาแล้วจัดการแทงหนามที่อยู่บนหลังมือเข้าใส่ทั่วร่าง หนักสุดเห็นจะเป็นที่หน้าท้อง ผมไม่รู้ว่าถูกแทงจังๆ หรือเปล่าแต่เลือดสีเขียวอ่อนที่ไหลทะลักซึมเนื้อผ้าก็ทำให้ผมเบิกตาโต น้ำตามากมายเอ่อปริ่มขอบตาและไหลพรากอาบข้างแก้มอย่างไม่รู้ตัว ซีเลนกับเจเนซิสที่ถูกยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พอองค์รักษ์เซนไทน์พวกนั้นผละออกจากคีธที่ทรุดตัวนั่งคุกเข่าด้วยความเจ็บปวดแล้ว เจเนซิสก็รีบถลาเข้าไปดึงคีธออกห่างจากพวกนั้นทันที ขณะที่ซีเลนขบกรามแน่นอย่างโกรธเกรี้ยว ว่าเสียงต่ำใส่ลาร์คทันใด
“หยุดการกระทำต่ำทรามของนายซะลาร์ซิโอนีย์”
“เป็นเพียงน้องจะมาสั่งพี่งั้นหรือซีเลนาตา อยากมีอำนาจสั่งการก็กลับมาเป็นมือขวาให้ฉันสิ”
“ไม่มีทาง!” ซีเลนตะโกนปฏิเสธแทบจะทันใด
 “งั้นนายก็ไม่มีสิทธิสั่งการใดๆ น่าเสียดายนะ คนฝีมือดีอย่างนายน่าจะทำประโยชน์ให้ราชวงศ์ได้มากกว่านี้แท้ๆ”
“ให้ไปเป็นพวกเดียวกับคนที่ฆ่าแม่ตัวเอง จะตลกไปหน่อยมั้ย!”
ลาร์คยักไหล่เล็กน้อยประหนึ่งเสียดาย ไม่ได้พูดอะไรกับซีเลนต่อ เพียงแค่พยักหน้าให้เหล่าเซนไทน์ไปจับเจเนซิสกับซีเลนเอาไว้ ทั้งคู่ยอมให้ถูกจับอย่างง่ายดายเพราะเซนไทน์บางส่วนทำท่าเหมือนจะจู่โจมคีธอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่ลาร์คจะเบนเข็มไปเล่นงานคีธต่อ
“เอาล่ะท่านผู้พิทักษ์คีทาเย ซาเคมอร์ฟ ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าเจ้าชายของพวกแกอยู่ที่ไหน”
คีธไม่พูด เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายลูกเดียว สีหน้าฉายแววความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน ทว่าอะไรก็ไม่ทำให้ผมหวั่นใจเท่าสายตาลังเลของคีธที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะบอกว่าแอสตันอยู่ที่ไหนเพื่อแลกกับชีวิตผมดีหรือไม่ ผมรู้ว่าคีธจะต้องเลือกผมแน่ และถ้ามันเลือกผม ยูนิกม่าทั้งหมดก็จะซวยทันที
เพราะครุ่นคิดตัดสินใจนาน ลาร์คก็เลยถามอีกรอบ คราวนี้ไม่ได้ถามอย่างเดียว แต่ใช้หนามที่ปรากฏบนหลังมือมาจ่อลำคอผมด้วย น้ำตาที่ไหลอาบหน้าเพราะคีธเมื่อกี้หยุดไหลทันทีด้วยความกลัวตาย
“ฉันเป็นพวกไม่ชอบรอนาน จะบอกก็รีบบอก มัวชักช้า เดี๋ยวฉันรำคาญก็พลาดฆ่าเจ้ามนุษย์นี่ซะหรอก” ไม่ได้ขู่อย่างเดียว แต่ยังเอาปลายหนามลากครูดไปกับคอหอยผมจนเลือดไหลซิบอีกด้วย
“กวินทร์...” เป็นคำเดียวที่หลุดออกมาจากปากของคีธ ก่อนคีธจะหลับตาแล้วว่าออกมาเบาๆ “ฉันจะบอก”
“คีทาเย! คิดจะทำบ้าอะไรน่ะ! นายเป็นผู้พิทักษ์นะ! นั่นก็แค่ชีวิตชาติพันธุ์ชั้นต่ำคนเดียว จะเอามาแลกกับชีวิตองค์ชายได้ยังไง!” เจเนซิสแหกปากขึ้นมาเลย สีหน้าดูตกตะลึงที่จู่ๆ คีธก็หักหลังเอาดื้อๆ
ส่วนไอ้เจเนซิส... นี่มึงอยากให้กูตายแล้วมึงจะมาทวงตำแหน่งเมียคืนจริงๆ ด้วยสินะ!
จากที่ตกใจเพราะคีธ ตอนนี้ผมชักจะหงุดหงิดเพราะไอ้เวรเจเนซิสละ แต่ก็ใจเย็นลงได้เมื่อได้ยินเสียงของคีธดังขึ้นอย่างหนักแน่น
“ชาติพันธุ์ชั้นต่ำคนนั้น คือคนที่ฉันรัก ฉันจะไม่ยอมเสียกวินทร์ไปเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ก็จะไม่ยอมเสียไป”
“อะ...ไอ้คนทรยศ! ฉันมองนายผิดไปจริงๆ!” เจเนซิสก่นด่าคีธไม่หยุด
ทว่าคีธไม่สะทกสะท้าน แววตามันบ่งบอกชัดเจนว่าพูดจริง แต่ถ้ามันทำแบบนั้น ก็เท่ากับว่าริชาร์ดจะต้องเป็นม่ายร้างผัว ซึ่งมันเป็นเพื่อนสนิทผมไง ถึงผมจะหมั่นไส้มันบ่อยๆ ที่อี๋อ๋อกับแอสตันเกินเหตุ ทว่าผมก็ไม่ได้อยากจะเห็นมันเสียใจนี่หว่า
เท่านั้นความคิดบางอย่างก็ผุดพรายขึ้นในหัวผมทันควัน ก่อนผมจะโพล่งไปทันทีที่ลาร์คพูดขึ้นมา
“งั้นก็บอกมาว่าเจ้าชายแอสโซซิโนอยู่ที่ไหน”
“อยู่นั่น!”
ลาร์คชะงักไปนิด หลุบตาต่ำมองหน้าผมที่พยายามพยักปลายคางไปข้างหน้า
“อยู่นั่น?”
“เออ! นั่นแหละ เจ้าชายอะไรที่นายตามหาน่ะอยู่นั่น! ตรงหน้านายเลยเนี่ย!”
ลาร์คมองตามแล้วก็หยุดสายตาที่เจเนซิส ขณะที่เจเนซิสอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตาว่าจู่ๆ เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรแบบนี้
“นายกำลังจะบอกว่าชาวยูนิกม่าที่ชื่อเจเนซิส...คือเจ้าชายแอสโซซิโน?”
“ใช่! เจเนซิสเป็นนามแฝงของมันในโลกมนุษย์ไง มันเอาไว้ใช้ตบตานาย ฉันเป็นโฮสต์ให้มัน ฉันรู้” ผมสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะราวกับนักเขียนบทมืออาชีพ ตอนนี้เองที่คีธกับซีเลนมองผมอย่างตะลึงงันเช่นกัน ส่วนเจเนซิสน่ะเหรอ... พูดไม่ออกไปแล้ว
“แต่... เจ้าชายแอสโซซิโนไม่ได้มีผมสีนี้”
“กะ...ก็ย้อมผมไงย้อมผม บอกแล้วว่ามันพยายามตบตานาย มันก็ย้อมผมสิ!” ผมรีบบอกตะกุกตะกักเมื่อเห็นลาร์คลังเล แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันลังเลน้อยลงแม้แต่นิดเดียว ยังสงสัยออกมาอีก
“เท่าที่จำได้ หน้าตาไม่สะสวยขนาดนี้”
“ศัลยกรรมก็มีหรือเปล่าวะ ไม่เคยดูหนังแนวสายลับหรือไงที่ตัวเอกศัลยกรรมปกปิดตัวเองน่ะ ไอ้เจเน... เอ้ย เจ้าชายแอสโซซิโนมันทำศัลยกรรม! แถมตอนนั้นที่นายเจอมัน มันก็เพิ่งจะสิบขวบเอง โตขึ้นแล้วหน้าก็เปลี่ยนสิเว้ย! ศัลยกรรมด้วย!”
ได้ผลหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลาร์คมันไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาเลย เอาแต่จ้องเจเนซิสที่อ้าปากหวอไม่เลิกอย่างพินิจ ผมเลยรีบขยิบตาให้เจเนซิสว่าให้เออออไป เจเนซิส่ายหน้าน้อยๆ ผมเลยขยิบตารัวๆ ประหนึ่งสันนิบาตรับประทานทันที
มึงก็ตอบรับไปก่อนไอ้เจเนซิสถ้าไม่อยากตายหองกันหมด กูอุตส่าห์จับคู่ให้มึงแล้ว เป็นถึงองค์ชายเชียวนะ เอาๆ ไปก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ไม่งั้นไอ้แอสตันได้เป็นเมียมันจริงๆ กูไม่รู้ไม่เห็นกับพวกมึงจริงๆ นะ จะมาโทษกูว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คีธมันแพร่งพรายความลับไม่ได้นะโว้ย!
“ตอนที่เจอกันครั้งแรก หมอนั่นบอกว่าเป็นแฟนนาย”
 “ก็นายมาจับฉันดมปาก ในฐานะที่ฉันเป็นโฮสต์ให้มัน มันก็ต้องปกป้องสิวะ!” ผมก็มั่วไปเรื่อย
ตอนนี้ลาร์คทำหน้าเหมือนจะเชื่อขึ้นมานิดนึง
“งั้นเหรอ” แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจอยู่ดี
มึงนี่ก็สงสัยเยอะจริงไอ้ลาร์ค! เชื่อๆ กูไปเถอะ!
ผมเลยหันไปส่งสายตาให้เจเนซิสอีกครั้ง กะพริบตาจนหนังตาแทบเป็นตะคริวกว่าเจเนซิสจะยอมเอ่ยปากออกมาได้
“ชะ...ใช่ ฉะ...ฉันนี่แหละ จะ...เจ้าชายแอสโซซิโน รามูเอลี ที่แปด ที่นายตามหา” ว่าพลางเชิดหน้าขึ้น วางท่าประหนึ่งชนชั้นสูงเต็มที่ ทว่าน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ
มันคงกลัวขี้กลากกินกบาลที่อ้างตัวไปแบบนั้น แต่มันคงคิดแล้วล่ะว่าดีกว่าให้คีธบอกว่าแอสตันอยู่ที่ไหน
พอเจเนซิสตอบรับ ลาร์คก็เหวี่ยงผมทิ้งดุจขยะเปียกทันที ก่อนก้าวพรวดเข้าไปหาเจเนซิสและยกมือขึ้นบีบปลายคางมนนั่นพลิกไปมา
“ตามหาตัวตั้งนาน แม่พันธุ์ของฉัน ไม่คิดว่าโตขึ้นมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้”
กูพูดตั้งนานแม่งไม่เชื่อ พอไอ้เจเนซิสพูดออกมาประโยคเดียว มึงเชื่อเป็นตุเป็นตะเลยนะไอ้ลาร์ค!
ผมบุ้ยปากด่ามันพึมพำ ส่วนเจเนซิสก็ทำหน้าเหม็นขี้ขึ้นมาฉับพลัน ก่อนผมจะรีบคลานไปหาคีธแล้วพูดแบบไม่มีเสียงไปให้เจเนซิสพอจับใจความได้ว่า ‘ให้ต่อรอง’ มันก็เลยหันไปสบตาลาร์คที่มองมันอย่างแพรวพราวอีกครั้ง
“ได้ตัวฉันไปแล้ว ก็ปล่อยตัวคนของฉันไปซะ”
“ได้ ถือว่าเป็นของขวัญการพบกันอีกครั้ง แต่ถ้าพวกมันโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” ว่าจบ ลาร์คก็หันไปมองข้าราชบริพารตัวเอง
เท่านั้นไอ้พวกนั้นก็ปล่อยตัวซีเลน เขยิบห่างออกจากคีธและผมทันที ก่อนที่ลาร์คจะปล่อยมือจากเจเนซิสแล้วออกคำสั่ง
“พาไปที่โรงแรม”
สิ้นเสียง พวกเซนไทน์ก็จับเจเนซิสเอามือไพล่หลังแล้วดันให้ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทันที ผมมองตาม เจเนซิสดูหวาดหวั่นแต่ก็พยายามเก๊กมาดชนชั้นสูง ในจังหวะที่มันเดินผ่านผมไป ผมพูดไม่มีเสียงให้มันพอจับใจความได้อีกครั้ง
‘เดี๋ยวจะบอกแอสตันให้ส่งคนไปช่วย’
เจเนซิสพยักหน้า ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะหายเข้าไปในรถ และหายไปจากบริเวณนั้นในชั่วพริบตาราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรีบพยุงคีธให้ลุก แต่ไม่ไหว คีธตัวใหญ่เกินไปเลยพากันทรุดลงนั่งอีก
“เจ็บมากมั้ยคีธ” ผรีบถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดของคีธ
คีธส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ผมบางๆ “เจ็บแค่นี้เดี๋ยวก็หาย ร่างกายฉันรักษาตัวเองได้ กวินทร์ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”
สิ้นเสียงก็ยกมือมาแตะลำคอผมบริเวณที่ถูกกรีด ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความเจ็บแปลบแล่นพล่านเข้ามา คีธย่นหัวคิ้วแล้วว่าเสียงแผ่ว
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษอะไร”
“ขอโทษที่ดูแลกวินทร์ไม่ดี ทำให้กวินทร์เจ็บตัว”
ผมพูดไม่ออก เอาแต่มองหน้าคีธอย่างเดียวเท่านั้น
มะ...มึงนี่มันบ้าจริงๆ ตัวเองมีแผลเต็มตัวอย่างนี้ ยังจะมาเป็นห่วงคนอื่นอีก!
ก้อนอะไรบางอย่างไหลขึ้นมาจุกอกผมจนผมเกือบจะร้องไห้ ทว่าไม่ทันได้ร้อง ซีเลนที่ยืนมองอยู่ก็ส่งเสียงจึ๊ในลำคอ แล้วถลันเข้ามาพยุงคีธให้ลุกขึ้นด้วยการเอาแขนคีธพาดไหล่
“อย่ามาทำให้ฉันอยากปล้ำกวินทร์ตอนนี้ ไม่งั้นฉันไม่ไว้หน้านายแน่”
ไอ้ที่จะร้องไห้เมื่อกี้นี่หายไปเลย ผมตวัดหางตามองซีเลนอย่างขุ่นเคืองที่มันพูดอะไรหื่นๆ ไม่รู้เวล่ำเวลา แต่พอเห็นมันพาคีธเข้าไปนั่งในรถข้างคนขับแล้วหันมาเรียกผม ผมก็ลืมความขุ่นเคืองไปเสียสนิท รีบตรงไปประจำตำแหน่งคนขับ ก่อนจะขับพาพวกมันสองคนกลับมาที่แหล่งกบดานอย่างรวดเร็ว
----------------------------------------
กวินทร์ผู้ช่วยชีวิตแอสตันและชาวยูนิกม่าทั้งปวง 5555555 เค้าเครียดกัน แล้วดูนาง กร๊ากกก

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อรั้ย เบนนี่ บรู้คกี้>> เมียซีเลน
 :hao7:

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
 :jul3:
เจเนซิส ซวยเลย

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
เควินผู้ไม่เคยหมดความเกรียนนน  :laugh:  :laugh:

ปล. เราไปติดตามในเด็กดีก่อนอ่ะ ก็ที่นู่นอัพตอนใหม่เร็วกว่านี่  :mew2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 33: Our first baby is Keta[1]
ผมมาฉุกคิดได้ก็ตอนถึงที่กบดานว่าจริงๆ แล้ว พวกยูนิกม่าน่ะรักษาแผลด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คีธมันคงไม่ขอผมวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่ในตอนที่เจอกันครั้งแรกเพราะมันถูกมีดแทงหรอก ที่มันบอกผมไปอย่างนั้นก็แค่ต้องการให้ผมสบายใจเท่านั้น จะมีก็แต่พวกเซนไทน์สายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถในการรักษาร่างกายตัวเองได้ในระยะเวลาอันสั้นสำหรับกรณีที่ไม่ถูกทำร้ายโดนจุดตาย
พอรู้อย่างนั้น ผมก็ด่าคีธเปิงเลย หมอนั่นก็ทำได้แค่ทำหน้าอึนๆ แล้วก็เอาแต่พูดว่า ‘ฉันไม่เป็นไร’ อย่างเดียวทั้งที่เลือดท่วมตัว
ไม่เป็นไรป้ามึงเถอะ เลือดชั่วออกมาเยอะขนาดนี้ มึงเปิดร้านขายลาบเลือดได้เลย
ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งเป็นห่วง ก่นด่ามันไม่หยุด ขณะที่มันถูกยูนิกม่าสักคนทำแผลให้อยู่ มาหยุดด่ามันได้ก็ตอนที่แอสตันถามหาเจเนซิส แล้วคีธเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนั่นแหละ เล่าละเอียดยิบแม้แต่ตอนที่ผมอ้างว่าเจเนซิสเป็นแอสตันภาคผ่าตัดศัลยกรรม ทำเอาคนอื่นๆ มองผมด้วยสายตาแปลกๆ ทันที
กะ...ก็มันช่วยไม่ได้นี่หว่า อยู่ในสถานการณ์จวนตัวอย่างนั้นก็ต้องเอาตัวรอดก่อนสิโว้ย!
ดีที่แอสตันไม่ได้กล่าวโทษอะไรผม เพียงปั้นหน้าเครียด แล้วตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาใครทั้งนั้น
“เราต้องไปช่วยเจเนซิส”
“แต่การที่เราจะบุกไปยังรังของพวกเซนไทน์ มันเป็นการเสี่ยงอย่างมากนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ใครบางคนเอ่ยขึ้น ทำเอาแอสตันหันไปมองอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“แล้วนายจะให้เราทิ้งเจเนซิสไว้กับพวกเซนไทน์ทั้งที่เจเนซิสเสียสละตัวเองเพื่อเรางั้นเหรอ”
แอสตันว่ามางี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ นอกจากน้อมรับคำสั่ง ส่วนผมก็ปิดปากเงียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น จะมีก็แต่ไอ้ริชาร์ดนั่นแหละที่เข้ามากระแซะผม แล้วถามเบาๆ
 
 
“นายตั้งใจส่งเจเนซิสไปให้พวกนั้นเพราะถ้าเจเนซิสมีคู่ผูกพันแล้ว นายจะได้ไม่ต้องกังวลว่าถ่านไฟเก่าจะปะทุขึ้นใช่มั้ย”
ผมหันขวับไปตีปากมันเลย ดีที่ริชาร์ดร้องไม่ดังนักเลยไม่มีใครทันสังเกตเห็น ก่อนผมจะกัดฟันว่าเสียงเบาพอๆ กัน
“ใช่ซะที่ไหน ฉันแค่หาทางเอาตัวรอดเฉยๆ เว้ย”
“ก็ไม่เห็นต้องโกหกว่าเจเนซิสเป็นเจ้าชายยูนิกม่านี่หว่า ฉันว่านี่เป็นแผนกำจัดเมียเก่าของผัวนายแน่ๆ เล่นสกปรกว่ะนายน่ะ ไอ้เควินจอมขี้โกง ขี้โกงไม่พอ ขี้โกหกด้วย” ริชาร์ดยังคงจ้องจับผิด ตอนนี้ผมชักอารมณ์เสียมากกว่าเดิมละ
“ถ้านายยังพูดแบบนี้อีก ไว้ครั้งหน้าฉันเจอพวกมันอีกเมื่อไหร่ จะบอกที่อยู่แอสตันให้ซะเลย ผัวนายจะได้กลายเป็นเมียมันแทนเจเนซิส”
พอว่าอย่างนี้ ไอ้สีหน้าจับผิดก็หายไปทันตา ก่อนจะกลายเป็นคำชมแทน
“ทำได้ดีมาก เหมาะสมที่เป็นเมียผู้พิทักษ์ของเจ้าชายแห่งยูนิกม่า จะขอให้แอสตันมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้คีธนะ”
มึงไม่ต้องมาพลิกลิ้นเลยไอ้ริชาร์ด! เมื่อกี้ยังด่ากูอยู่แหม็บๆ พอเป็นเรื่องของผัวมึงหน่อยนี่ เห็นดีเห็นงามกับกูเชียว!
ทั้งห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเงียบไปราวกับกำลังคิดหาวิธีช่วยเจเนซิสกันอยู่ จนซีเลนที่นั่งไขว่ห้างเอ่ยขึ้นหลังจากที่มันลากบรูคลินกับเบนมานั่งนัวเนียอยู่นาน
“ถ้านายจะไปช่วยเจเนซิสคนสวยนั่น คิดว่าจะไปช่วยยังไง บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคิดจะบุกไปชิงตัวล่ะก็ฝันไปเลย พวกนายสู้เซนไทน์ไม่ได้หรอก ถึงจะไม่ได้บุก แต่เข้าไปเฉยๆ ก็ไม่รอด”
เหมือนพวกยูนิกม่าเองก็ฉุกคิดถึงความจริงข้อนี้ว่าถึงร่างกายจะสูงใหญ่พอๆ กันและพละกำลังก็พอๆ กัน แต่ความป่าเถื่อนของเซนไทน์นั้นแข็งแกร่งกว่ามาก ที่สำคัญคือพวกเซนไทน์รักษาบาดแผลตัวเองได้ด้วยในกรณีฆ่าไม่ตาย ดูยังไง ยูนิกม่าก็เสียเปรียบที่จะบุกเข้าไปชิงตัวเจเนซิสทั้งขึ้นทั้งร่อง ไม่แต่จะเสียเปรียบ แอสตันอาจจะเสียซิงด้วยถ้าลาร์ครู้ว่าเจ้าชายเซนไทน์ที่มันได้ไปเป็นตัวปลอม
“แล้วเสด็จพี่มีความคิดดีๆ มั้ยพ่ะย่ะค่ะ” แอสตันเป็นคนถาม
“จริงๆ ก็มี”
พอซีเลนพูดอย่างนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปยังมันทันที ซีเลนปล่อยสองพี่น้องไบโทปให้เป็นอิสระในตอนนี้ พอหลุดจากอ้อมแขนซีเลนได้ ทั้งบรูคลิน ทั้งเบนก็จ้ำอ้าวออกจากห้องนั่งเล่นไปทันที แต่ไม่มีใครสนใจ เอาแต่จ้องหน้าซีเลน รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ยังไงเหรอพ่ะย่ะค่ะ” แอสตันถามอีกครั้งเมื่อเห็นซีเลนไม่พูดสักที
ซีเลนแสยะยิ้ม ขยับตัวนั่งสบายๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มที่ฉาบพรายบนใบหน้าคร้ามนั่นดูเจ้าเล่ห์นัก เจ้าเล่ห์จนเสียวสันหลัง ยิ่งมันชำเลืองมามองผม ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากลเข้าไปใหญ่ รู้สึกราวกับว่าความซวยจะบังเกิดกับผมในไม่อีกอึดใจอย่างไรอย่างนั้นแหละ
และก็จริงเสียด้วยเมื่อมันพูดขึ้น
“ส่งกวินทร์ไปสิ กวินทร์บอกกับลาร์ซิโอนีย์ว่าเป็นโฮสต์ให้เจเนซิส น่าจะเข้าไปได้ ไม่น่ามีปัญหา”
มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยไอ้ซีเลน! จะส่งกูเข้าไปช่วยเมียเก่าไอ้คีธทำเพื่อ!?
ผมอ้าปาก ตั้งท่าจะด่ามันเลย แต่ไม่ทันจะได้ด่า แอสตันก็แทรกขึ้นมาก่อน
“แต่กวินทร์ไม่น่าจะช่วยเจเนซิสได้นะเสด็จพี่ กวินทร์เป็นเพียงชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงิน”
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้กับคำพูดของแอสตัน ส่งกูเข้าไปคือส่งกูไปตาย มึงจงรู้ไว้
หากแต่ซีเลนมันไม่ฟัง ยักคิ้วแล้วพูดออกมาเรื่อยเปื่อย
“ก็จะให้ไปช่วยออกมาทำไมล่ะ เจเนซิสเป็นปราชญ์แห่งยูนิกม่า ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดบนดาวไม่ใช่เหรอ ฉลาดๆ อย่างนั้นน่าจะหาวิธีเอาตัวรอดได้ ที่ให้ส่งกวินทร์เข้าไปน่ะ แค่จะให้กวินทร์ไปถามเจเนซิสว่าหลังจากนี้พวกนายควรทำยังไงต่างหาก”
“ไม่ว่ายังไงก็อันตรายต่อกวินทร์” คีธโพล่งขึ้นมาแทบจะในทันใดขณะที่แผลในจุดสุดท้ายถูกปิดเสร็จ ทว่าพอถูกสายตาของซีเลนจ้องมอง ริมฝีปากหนาก็ขยับอีกครั้ง “...พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้าจะกระดากปากขนาดนี้ กูว่ามึงไม่ต้องให้เกียรติมันก็ได้นะ
“แล้วจะให้กวินทร์เข้าไปคนเดียวทำไม ส่งคนไปด้วยสิ”
“จะส่งใครไปวะ นายก็พูดเองอยู่แหม็บๆ ว่าถ้ายูนิกม่าเข้าไปจะไม่รอด” คราวนี้เป็นผมบ้างละที่ถามมันเสียงแข็ง
ซีเลนเหลียวมามองหน้าผมแล้วยิ้มเผล่ “แต่ถ้าเป็นลูกครึ่งยูนิกม่า-เซนไทน์ก็ไม่เป็นไรมั้ง”
“ถ้าไปกับนาย ฉันก็ไม่ไปเว้ย แล้วมันเรี่องอะไรที่ฉันจะต้องเป็นตัวแทนของพวกยูนิกม่าเข้าไปคุยกับเจเนซิสวะ!” ผมเริ่มโวยวายขึ้นมาแล้วที่ถูกมัดมือชกโดยไม่มีใครถามความเห็นอย่างนี้
ทว่าการที่ผมโวยวายขึ้นมา กลับทำให้ถูกแอสตันตอกซะจนพูดไม่ออก
“ก็นายเป็นคนทำให้เจเนซิสถูกจับไป เป็นคนไปหาเจเนซิสน่ะถูกแล้ว”
“แต่ว่า...”
“หรือนายไม่รู้สึกผิดอะไรเลยที่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เจเนซิสตกอยู่ในสภาพนี้ ลองคิดดูนะกวินทร์ ถ้ามีใครสักคนยัดเยียดให้นายไปเป็นคู่ผูกพันของคนศัตรูนาย นายจะรู้สึกยังไง”
พูดยังไม่ทันจบเลย แอสตันก็แทรกขึ้นมาอีก แถมเป็นการแทรกที่ทำให้ผมหุบปากฉับ หน้าม้านไปทันตา ผมเลยรีบเบนสายตาไปยังริชาร์ดเพื่อขอความช่วยเหลือทันที แต่ไอ้เพื่อนเปรตนั่นดันเสมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นซะอย่างนั้น
มึงอย่ามาทำเป็นเมินกูนะเว้ย! นี่กูเพิ่งจะช่วยผัวมึงให้รอดตายจากการถูกไอ้ลาร์คทะลวงมานะ!
ด่ามันไปก็เท่านั้นแหละ ผัวมันรอดแล้วนี่ ริชาร์ดมันไม่สนหรอก ผัวกับเพื่อนก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าคนอย่างมันน่ะต้องเลือกผัวอยู่แล้ว แม่ง... ไอ้แอสตันมีเมียน้อยขึ้นมา อย่ามาน้ำตาเช็ดหัวเข่าให้กูเห็นเชียวนะ กูจะซ้ำให้จมดินเลย!
“ที่กวินทร์ทำอย่างนั้นก็เพื่อปกป้องฝ่าบาท การส่งกวินทร์ไป ยังไงหม่อมฉันก็ไม่เห็นด้วย” มีแต่คีธเท่านั้นแหละที่ยังเข้าข้างผม แต่เสียงเล็กๆ ของผู้พิทักษ์จะไปเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจอะไรของเจ้าชายได้ ยิ่งถูกแอสตันสวนคืนมาแล้ว คีธก็เงียบไปทันตา
“หรือนายอยากให้กวินทร์ได้ชื่อว่าเป็นคนใช้แผนสกปรกกันล่ะคีทาเย”
คีธจ้องหน้าแอสตันนิ่งก่อนจะเบือนสายตามาทางผม มองด้วยสายตาเป็นห่วง ส่วนผมนี่ขมุบขมิบปากด่าไอ้เวรแอสตันเป็นพัลวันเลย
มึงอย่ามาหาว่ากูเป็นคนขี้โกงอีกคนนะเว้ย! รู้งี้ปล่อยแม่งให้โดนลาร์คลากไปกระทำชำเราซะก็ดี กูไม่น่าช่วยมึงเลย!
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ มีฉันไปด้วยทั้งคน ไม่ต้องห่วงหรอก” สุดท้ายแล้ว ซีเลนก็สรุปเองเออเองโดยที่คนซวยอย่างผมยังไม่ได้ตกปากรับคำสักนิด
พอผมจะทำท่าท้วงขึ้นมาอีก ก็เหลือบเห็นคีธพยักหน้าให้น้อยๆ เป็นสัญญาณว่าให้ยอมตกลงไป ผมก็เลยพ่นลมหายใจออกมา
“เออๆ ก็ได้ๆ ถือว่าไถ่โทษที่ทำให้เจเนซิสมันได้ผัวแบบไม่ได้ตั้งใจแล้วกัน”
“ขอบใจมากกวินทร์” แอสตันยิ้มให้ผม
แต่ผมยังด่ามันในใจอยู่ ลามไปด่าริชาร์ดที่ยืนพะเน้าพะนอผัวมันอยู่ใกล้ๆ ด้วยที่มันไม่ช่วยผม ก่อนจะถูกเบนความสนใจไปเมื่อยูนิกม่าคนหนึ่งที่ทำแผลให้คีธพูดขึ้นมา
“บาดแผลบนร่างกายท่านไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่อาจจะต้องใช้เวลารักษานานหน่อย ระยะนี้ขอให้ท่านอย่าเพิ่งใช้ร่างกายต่อสู้แล้วกัน เดี๋ยวแผลจะสมานกันช้ากว่าเดิม”
“งั้นคีทาเยก็ไปพักเถอะ นายต้องดูแลตัวเอง”
คีธพยักหน้ารับคำสั่งแอสตัน ก่อนจะดันตัวขึ้นยืน ผมรีบพุ่งไปประคองมันอย่างรวดเร็วทั้งที่มันก็เคลื่อนไหวได้ตามปกตินั่นแหละ แต่คนมันเป็นห่วงนี่หว่า เลือดท่วมแถมทั้งตัวก็มีแต่แผล ใครไม่เป็นห่วงก็บ้าแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกกวินทร์ สักอาทิตย์นึงก็หาย ร่างกายของชาวยูนิกม่ารักษาตัวเองได้เร็วกว่าชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินหลายเท่าตัวนะ” คีธว่าเมื่อเห็นผมเอาแขนมันข้างหนึ่งไปพาดคอตัวเอง แล้วตั้งท่าจะลากไปที่บันได้
หากแต่ผมไม่สนใจ หันไปมองมันตาเขียว
“หายช้าหรือหายเร็วก็ไม่ใช่ข้ออ้างเว้ย คนเค้าเป็นห่วง อย่ามาพูดให้เสียน้ำใจสิวะ”
คีธยิ้มออกมาเล็กน้อยทันควัน “กวินทร์เป็นห่วงฉันเหรอ”
“เออ”
“น่ารัก... อยากให้เป็นห่วงบ่อยๆ”
หน้าผมร้อนผ่าวก็เพราะคำพูดนี้แหละ หันหน้าหนีจากมันแล้วว่าอุบอิบ
“พะ...พูดมาก รีบๆ ขึ้นไปนอนได้แล้ว”
เสียงหัวเราะในลำคอดังมาให้ผมได้ยินหน่อยๆ ก่อนที่ร่างใหญ่จะก้าวเดินช้าๆ ตั้งใจให้ผมช่วยประคองทั้งที่มันก็เดินเองได้สะดวกดีเหมือนตอนไม่ได้บาดเจ็บไม่มีผิดเพี้ยน ผมเองก็บ้าจี้ประคองมันไม่เลิกจนถึงห้อง
ช่วยไม่ได้ จู่ๆ ก็อยากจะดูแลขึ้นมานี่นา...
 
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องนอนที่บรูคลินจัดไว้ให้ ผมก็ชี้นิ้วสั่งให้คีธไปนอนทันที คีธมันก็ดื้อด้าน ไม่ยอมไปสักที เอาแต่ลูบๆ คลำๆ ใต้เสื้อผมอยู่ได้จนผมต้องตวาดมันลั่นแล้วขู่ว่าจะไม่ให้มันแตะเนื้อต้องตัวอีก มันถึงยอมไปทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงได้
ทว่าพอมันนอนแผ่ปุ๊บ ผมนี่แหละที่กลายเป็นฝ่ายอยากแตะเนื้อต้องตัวมันขึ้นมาแทนเมื่อเห็นแผงอกแกร่งที่มีซิกส์แพ็คโชว์หราให้เห็น กางเกงวอร์มขายาวที่เกาะอยู่ช่วงสะโพกก็เผยให้เห็นวีเชฟน้อยๆ ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก ยิ่งเนื้อตัวมันมีร่องรอยฟกช้ำนิดๆ กับผ้าปิดแผลบางแห่งด้วยแล้ว ผมก็ใจเต้นตุ้บๆ เลย
ไม่ใช่ใจเต้นเพราะเห็นมันบาดเจ็บแล้วอารมณ์ซาดิสม์กำเริบนะ ผมแค่คิดว่าเวลามันอยู่ในสภาพนี้ ดูแล้วเหมือนพวกแบดบอยที่ผ่านการต่อยตีมาหมาดๆ ชะมัด เซ็กซี่เป็นบ้า
แล้วคีธก็ทำให้ฟีโรโมนในตัวมันเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมันหันเสี้ยวหน้ามามองผมที่จ้องมันตาไม่กะพริบ พร้อมกับยกมือเสยปอยผมที่ปรกหน้าอยู่ขึ้นไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่ากวินทร์”
ซะ...เซ็กแอพพึลสูงโคตรๆ ทนไม่ไหวแล้ว… อยากปล้ำ... ไม่สิ อยากอ้อนดีกว่า
ผมไม่ตอบ เดินตรงไปหามันก่อนจะขึ้นไปนั่งคร่อมส่วนล่างมันไว้โดยไม่บอกกล่าว คีธดูแปลกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ก็ถูกผมบุก แต่ก็ไม่ได้บอกปัดหรืออะไร แค่ย่นคิ้วอย่างสงสัยเท่านั้น
“ไม่สบายเหรอ” ยกมือมาอังหน้าผากผมด้วย
บางทีกูก็อยากอ้อนบ้างหรือเปล่าวะ ทำไมต้องคิดว่าถ้ากูทำอะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยทำนี่คือป่วยฮะ!
ผมสะบัดหน้าหนี ย่นปากใส่มันนิดๆ พลันวางมือทั้งสองข้างลงบนหน้าท้องมันบริเวณที่ถูกแทง
“ตรงนี้เจ็บหรือเปล่า”
คีธส่ายหน้า
“แล้วถ้ากดหรือโดนกระแทกจะเจ็บมั้ย”
“กวินทร์ถามทำไม”
ก็กูอยากรู้อ้ะ! เผื่อการอ้อนของกูมีผลต่อบาดแผลมึง กูจะได้ระวังไง!
ผมเม้มปากแน่น ไม่ตอบอยู่ดี แต่เหมือนคีธจะรู้ละว่าผมถามทำไม หมอนั่นยกยิ้มมุมปากแล้วเลื่อนมือมาประคองแก้มผมเบาๆ
“ไม่เจ็บหรอก เรี่ยวแรงของชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเบายิ่งกว่าแก๊สไฮโดรเจนหรือฮีเลียมซะอีก”
“แน่ใจนะ” ผมถามเพื่อความมั่นใจ
คีธพยักหน้าอีกครั้ง ผมเลยโน้มตัวลงไปเอาหัวอิงกับหน้าอกแกร่ง สองแขนก็สอดเข้าใต้แผ่นหลัง โอบกอดเอาไว้ด้วย คีธก็กอดผมตอบ เรากอดกันอยู่พักใหญ่จนผมชักจะอึดอัดละที่มันเอาแต่กอด ไม่พูดอะไรสักที จนผมต้องเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
“นี่คีธ”
“หืม?”
“ทำกันมั้ย” ฟังดูบ้าๆ ที่ชวนคนเจ็บมาทำอะไรแบบนี้
หากแต่คีธมันก็คือคีธ และเป็นไอ้มนุษย์ต่างดาวหื่นกามอยู่วันยังค่ำ พอผมถามแบบนั้นมันก็ตอบรับแบบไม่คิด
“กวินทร์อยากทำก็ทำเถอะ”
ผมผละใบหน้าออกจากแผ่นอก เปลี่ยนมาเป็นยื่นหน้าเข้าไปจูบแทน คีธประคองใบหน้าผม จูบตอบแผ่วเบากระทั่งความร้อนรุ่มในกายค่อยๆ แผ่ขยายออกมาจนผมรู้สึกได้ ผมบดจูบเนิ่นนาน ลืมไปสนิทเลยว่าต้องระวังแผลบนตัวมันทั้งที่มันบอกแล้วว่าไม่เจ็บ แต่จริงๆ ผมคิดว่าเจ็บนั่นแหละ ทว่ามันไม่บอกผมเท่านั้นเอง แต่ช่างมัน ตอนนี้ลืมไปแล้ว แกล้งลืมแม่ง มีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่ากลัวมันเจ็บแผล
หากแต่พอผมดุนปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย คีธก็ดันหน้าผมออกห่างเล็กน้อยแล้วเล่นปลายผมตรงจอนที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มผมไปมา
ผมสะบัดหนี ยื่นหน้ามาจูบมันอีกครั้ง แต่มันก็ดันพูดขึ้นก่อน
“ผมยาวแล้วนะกวินทร์”
มันใช่เรื่องที่จะมาทักตอนนี้มั้ยวะไอ้คีธ! ไม่เห็นเหรอว่ากูทำอะไรอยู่!
ผมย่นคิ้วขณะที่คีธเสยปอยผมที่ปรกหน้าผมอยู่ไปทัดหู ทัดอย่างเดียวไม่พอ ยังใช้มืออีกข้างมาจับปอยผมอีกฝั่งพลิกไปพลิกมาจนผมต้องตีหน้ายุ่ง จริงๆ มันก็ไม่ได้ยาวกว่าเดิมเท่าไหร่หรอก ด้านหลังก็ยังระต้นคอนั่นแหละ แค่ผมด้านหน้ามันยาวปิดหน้าเท่านั้นเอง แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่มันมาขัดจังหวะการรุกของผม ทำให้ผมต้องถามมันเสียงขุ่น ทว่าไม่ได้ปัดป้องมือใหญ่ที่คลอเคลียอยู่บนใบหน้าออก
“ทำอะไรเนี่ย”
“มัดผมมั้ยกวินทร์” คีธเสนอตัวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
 “ไม่มียางรัด”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องใช้”
“เออๆ จะทำอะไรก็ทำ” ตอนนี้ผมหมดอารมณ์ละ ว่าเสียงขุ่นใส่แล้วก็ดันตัวขึ้นนั่ง
“หันหลังสิ” คีธลุกขึ้นมาแล้วออกปากสั่ง
ผมหันหลังให้มัน ครู่เดียวก็รู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่แบ่งเส้นผมด้านหลังออกเป็นช่อๆ ก่อนจะขยับไปขยับมา ไม่กี่อึดใจก็เสร็จสิ้น ผมเหลียวไปมองกระจกที่แปะหราอยู่บนประตูตู้เสื้อผ้าปลายเท้า หันซ้ายหันขวาไปมา มองทรงผมแบบมัดรวบครึ่งหัวอย่างที่ผมทำบ่อยๆ อย่างชื่นชม ที่ชื่นชมเพราะมันไม่ได้ยุ่งเหยิงเหมือนอย่างที่ผมทำ มันเป็นการเก็บผมแบบไขว้แล้วขมวดเก็บเป็นมวยโดยที่ไม่ต้องใช้อะไรมารัด ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นทรงอะไร แต่ถือว่างานเนี้ยบเลยทีเดียว
“ฝีมือดีนี่นา” ผมว่าขณะที่สายตายังจับจ้องเงาของตัวเองในกระจกไม่เลิก
“อืม”
“ไปหัดมาจากไหนน่ะ” อันนี้ผมถามแบบไม่ได้ใส่ใจนัก
“เจเนซิสสอน เคยทำให้เจเนซิสบ่อยๆ น่ะ”
คราวนี้แหละผมหันขวับมามองหน้ามันเลย จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วในตอนแรก ตอนนี้เลยหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่ ผมกระชากปมมวยผมออกทันใด คีธมองนิ่งๆ แล้วก็ถามอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“เอาออกทำไมน่ะกวินทร์”
มึงยังต้องถามอีกเหรอ! มึงเอาสิ่งที่มึงทำกับแฟนเก่ามาทำกับกูได้ไงไอ้คีธ!
ผมไม่พูด พ่นลมหายใจใส่มันแรงๆ อยากจะตบมันให้คว่ำสักที แต่เห็นบรรดาผ้าพันแผลบนตัวมันแล้วก็ได้แต่อดใจไว้ แล้วตัดบทเอาดื้อๆ
“คืนนี้ฉันจะไปนอนกับริชาร์ด”
ตัดบทด้วยการงอนแล้วหนีแม่ง ขนาดส่งไอ้เจเนซิสไปเป็นเมียพี่ไอ้ซีเลนแล้ว มึงยังจะลากมันมาทำให้กูหึงอีก!
คีธคว้าข้อมือผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะลุกจากเตียงแล้วว่ายิ้มๆ
“อย่าไปรบกวนเวลาส่วนพระองค์ขององค์ชายกับพระชายาสิ”
ผมเกือบจะอ้าปากสวนไปแล้วว่า ‘ก็กูไม่อยากนอนกับมึง’ แต่ทำได้แค่คิด คีธก็พูดออกมาอีก
“ไม่ต้องห่วงน่ากวินทร์ กับเจเนซิสน่ะไม่มีอะไรมานานแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วด้วย แค่เพื่อนร่วมงาน แต่ถ้ากวินทร์โกรธ ฉันก็ขอโทษ ต่อไปนี้ฉันจะทำผมให้กวินทร์แค่คนเดียวนะ”
“แล้วถ้าฉันตัดผมสั้น นายจะไปทำผมให้ใคร” ผมว่าเสียงแข็ง เผลอทำแก้มป่องไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นหน้าตัวเองเหมือนปลาทองสะท้อนกับกระจกเงาแล้ว
คีธหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ถ้ากวินทร์ผมสั้น ฉันก็จะหวีผมให้กวินทร์ ไม่ทำผมให้ใครหรอก”
“แล้วถ้าตัดเกรียนจนหวีไม่ได้ล่ะ”
“งั้นก็จะสระผมให้”
“ถ้าหัวล้าน?”
“จะช่วยขัดให้เงาวับเลยดีมั้ย”
ผมหลุดหัวเราะออกมาลั่น จากที่โกรธในตอนแรกก็ผ่อนคลายโทสะลง คิดดูแล้วไอ้อาการหึงหวงแฟนเก่านี่มันโคตรจะเด็กอนุบาลเลยให้ตาย เกลียดตัวเองตรงที่พอยิ่งรักมันมากขึ้น ก็ยิ่งทำตัวงี่เง่าอย่างที่ไม่เคยทำนี่แหละ
“ไม่โกรธแล้วใช่มั้ย”
พอมันถามขึ้นมาอีก ผมก็รีบหุบปากที่พ่นเสียงหัวเราะอยู่ฉับ ปั้นหน้าประหนึ่งยังโกรธอยู่ทันควัน
“ยังโกรธอยู่” แล้วตามมาด้วยว่าเสียงแข็ง
“กวินทร์อยากให้ง้อยังไง ร้องเพลง?” คีธถามอย่างรู้หน้าที่ ใจจริงผมก็อยากฟังมันร้องเพลงนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่อยากทำมากกว่า
“นอนลงไป” ผมออกคำสั่ง
คีธเลิกคิ้วมองผมอย่างมีเลศนัยเล็กน้อยก่อนจะยอมเอนกายนอนราบดังเดิมแต่โดยดี ผมจัดการตามไปขึ้นคร่อมไว้ คีธยกมือขึ้นมาโอบรอบคอผม ทำท่าจะดึงไปจูบแต่ผมสะบัดทิ้ง มันทำหน้างงๆ ทว่าก็เข้าใจได้ในไม่อีกกี่วินาทีให้หลังเมื่อผมจรดริมฝีปากลงบนยอดอกสีชมพูเรื่อข้างหนึ่งตรงหน้า
เมื่อตุ่มเล็กๆ หายเข้าไปในริมฝีปากผมแล้ว ผมก็ใช้ปลายลิ้นดุนดันไปมา กะกระตุ้นอารมณ์มันเหมือนกับที่มันทำให้ผมสักหน่อย ผมค่อนข้างมั่นใจว่าฝีมือเรื่องอย่างว่าของตัวเองไม่เป็นรองใคร
คราวนี้เถอะไอ้คีธ มึงได้เสียงดังเสียวเบาแทนกูแน่...
ทว่าก็ต้องผิดหวังเมื่อคีธไม่ส่งเสียงออกมาเลยสักแอะ แม้ว่าผมจะทั้งขบเม้มขบกัด มันก็เอาแต่นอนมองหน้าผมนิ่งๆ จนผมต้องเหลือบตามองมันอย่างหงุดหงิด
“อำไอ (ทำไม)” ผมถามทั้งที่ปากยังคงกลืนกินยอดอกข้างนั้นอยู่
คีธยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางวางมือลงบนหลังหัวผมเบาๆ
“กวินทร์เหมือนเด็กเลย”
“...”
“เหมือนเด็กเล็กๆ ที่กำลังหิว ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินเรียกว่าอะไรนะ... ทารก?”
มึงอย่ามาหาว่ากูเป็นเด็กนะเว้ย! แล้วกูก็ไม่ได้หิวนมมึงด้วย กูจะรุกมึงต่างหาก!
ผมหงุดหงิดอีกละ เอาเถอะ ถ้าส่วนนี้ไม่ทำให้มันมีอารมณ์ได้ ผมก็จะไปจัดการส่วนอื่น หากแต่พอผมทำท่าจะผงกหัวขึ้นและเลื่อนไปด้านล่าง ฝ่ามือใหญ่ที่รั้งท้ายทอยผมอยู่ก็ออกแรงกดจนปลายจมูกผมแนบกับหน้าอกของคีธแน่น มือของมันอีกข้างก็โอบแผ่นหลังผมไว้ ลูบเบาๆ แถมยังโยกตัวไปมาอีกต่างหาก
“โอละเห่ โอ้โอ๋ละหึก ดวงใจคนดี ลูกจ๋า...”
มึงอย่ามาร้องเพลงกล่อมลูกของแม่นาคพระโขนง เวอร์ชันทราย เจริญปุระให้กูฟังนะเว้ย! กูไม่ใช่ไอ้แดงลูกแม่นาค ไม่ใช่ลูกมึงด้วย! แล้วนั่นก็หนังโคตรจะเก่าเลย ตั้งแต่ปี 1999 มึงไปดูมาจากไหนวะ!
ขัดอารมณ์กูจริงจังเหลือเกิน ผมชักจะหมดอารมณ์ละ ไอ้ที่เห็นมันเซ็กซี่ในตอนแรก ตอนนี้เห็นมันปัญญาอ่อนเป็นที่เรียบร้อย ผมเลยผละออกจากมัน ทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ อย่างหัวเสีย
“ไม่ทำต่อแล้วเหรอกวินทร์”
“ใครมันจะไปมีอารมณ์วะ โดนนายขัดทุกช่วงอย่างนั้นน่ะ” ผมว่าเสียงขุ่น คีธหัวเราะออกมา ก่อนจะตะแคงหน้ามามองผม
“คราวนี้ไม่ขัดละ มาสิ”
“ไม่”
ผมปฏิเสธโดยไม่คิด แต่คีธมันฟังมั้ยล่ะ... ไม่ฟัง ไม่ฟังไม่ว่า นี่ยังมายื่นมือมาดึงผมที่นอนอยู่ขึ้นไปคร่อมบนตัวมันอีกรอบด้วย
“ขอแก้ตัวใหม่”
“บอกว่าไม่ไง!”
ไม่บ้าอะไร... คีธมันโน้มลำคอผมไปจูบเรียบร้อย จากที่ว่าจะล้มเลิกความตั้งใจแล้ว สุดท้ายก็ต้องเริ่มต้นใหม่จนได้ แถมตอนนี้คีธไม่ได้เล่นๆ อย่างในตอนแรก จูบผมดุเดือดราวกับจะกลืนกินผมไปทั้งตัว ผมหายใจหอบฮั่ก ยอมยกธงขาว ผละออกจากมันมาหายใจแทน
“มาสิกวินทร์” ยัง...ยังเรียกร้องอยู่

 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 33: Our first baby is Keta[2]
ตอนนี้สีหน้ามันเซ็กซี่สุดๆ ไปเลย ผมชักจะอดใจไม่ไหวขึ้นมาอีกแล้ว คว้าปลายเสื้อตัวเองแล้วดึงให้พ้นจากตัว ก่อนจะก้มลงไปละเลงปลายลิ้นบนยอดอกของคีธอีกครั้ง คีธไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนอง ทำเพียงลูบท้ายทอยผมไปมาเท่านั้น จริงๆ ไม่ได้ลูบแค่ท้ายทอย มืออีกข้างก็ลูบแผ่นหลัง วนมาลูบหน้าอก ปลุกความวาบหวามบริเวณส่วนอ่อนไหวเล็กๆ ทั้งสองข้างให้ตั้งชันด้วย หนำซ้ำยังลูบไปยังบั้นท้าย เคล้นคลึงไปมาราวกับจงใจกระพือไฟราคะในตัวผม ร้ายกว่านั้นคือการที่มันเลื่อนมือมายังส่วนหน้า ลูบคลำแก่นกายของผมที่ตื่นตัวน้อยๆ ให้ผงาดง้ำขึ้นมา
“อือ...” ผมเผลอส่งเสียงออกมาทั้งที่ปากยังวนเวียนอยู่ยังหน้าอกคีธอยู่ และส่งเสียงมากขึ้นไปใหญ่เมื่อมือใหญ่ปลดตะขอกางเกงผมออกและสอดเข้ามาแตะส่วนอุ่นร้อนไปมา
“อืม...คีธ...อย่าเพิ่ง...”
ห้ามไม่ทันละ มันล้วงลึกถึงไส้ในเป็นที่เรียบร้อย แถมยังแตะไล้วนบนส่วนปลายอ่อนไหว ผมละริมฝีปากออกจากยอดอก ซุกหน้าเข้ากับซอกคอ ครางเสียงกระเส่าทันใด
“คะ...คีธ... หยุดก่อน...”
“กวินทร์รู้สึกไม่ดีเหรอ” คีธถามเสียงพร่าข้างหูผมเช่นเดียวกัน ผมส่งเสียงหนักขึ้นไปอีกเพราะตอนถาม มันดันขยับมือรูดส่วนนั้นขึ้นลงเร็วขึ้นจนผมต้องเกร็งตัวแข็ง พร้อมกับข่มใจเปล่งเสียงออกมา
“ปะ...เปล่า...”
“แล้วให้หยุดทำไม”
ยัง... มันยังไม่หยุดมือ ขยับเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ตอนนี้ผมจิกเล็บลงบนต้นแขนล่ำอย่างอดทนสุดชีวิตแล้วล่ะ
“ฉะ...ฉันอยากทำเอง อา...”
พอได้ยินผมพูดอย่างนั้น คีธก็ผ่อนแรงลงได้ เปลี่ยนมาเป็นรั้งผมเข้าไปจูบแทน
“เอาสิ” ผละออกแล้วก็บอกอย่างนั้น
ผมเลยดันตัวขึ้นคุกเข่า ดึงกางเกงลงแล้วกำจัดไปให้พ้นจากตัว กำจัดของตัวเองเสร็จก็ทำท่าจะไปดึงกางเกงคีธบ้าง ทว่าไม่ทันจะได้ขยับตัว เอวผมก็ถูกมือใหญ่ทั้งสองข้างรั้งเข้าหา กว่าผมจะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัว แก่นกายก็หายเข้าไปในโพรงปากของคีธที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
“ดะ...เดี๋ยวคีธ... บอกว่าจะทำเองไง...อื้อ...”
คีธไม่ฟังแล้ว ผมกำมือแน่น ชักจะทรงตัวไม่อยู่ เลยต้องยกดันไว้กับกำแพงแทน สภาพในตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมคร่อมอยู่ตรงใบหน้าหล่อนั่นขณะที่เจ้าของใบหน้าวุ่นวายกับส่วนแข็งขันของผมอยู่
เสียงกระเส่าและเสียงหายใจหอบดังออกจากปากผมไม่หยุดเมื่อความเสียวซ่านเข้าเล่นงาน และดังขึ้นไปอีกทันทีที่ช่องทางด้านหลังรู้สึกถึงความคับแน่นจากนิ้วมือของอีกฝ่าย
ตอนนี้ถึงจะทรงตัวด้วยการยันตัวเองไว้กับกำแพงก็ชักจะไม่ไหวละ ผมพยายามดึงตัวออกจากคีธ หากแต่คีธไม่ยอมปล่อย กระทั่งผมรู้สึกได้ว่าอีกไม่นานก็จะไปแล้วเลยรีบทุบมันเป็นพัลวัน
“ยะ...อย่า...อย่าเพิ่งนะ ฉันไม่อยากไปตอนนี้”
คีธรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง เลยปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมหายใจหอบ มองหน้ามันอย่างเอาเรื่องที่ผมบอกว่าจะทำเอง แต่ดันถูกมันกระทำซะอย่างนั้น แต่มันจะไปสนใจอะไรล่ะ จับผมนั่งพับขาแล้วส่งความคับแน่นเข้ามาในกายผมแทน
เสียงกระเส่าจากผมดังขึ้นอีกครั้ง คีธค่อยๆ ขยับสะโพกผมไปมาช้าๆ ด้วยมือข้างเดียว อีกมือก็จับส่วนอุ่นร้อนกลางร่างของผมไว้ ก่อนจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนัก หัวสมองผมก็พร่างพรายไปด้วยเม็ดสีหลากสีสัน ผมไม่รู้หรอกว่าอีกกี่นาทีหลังจากนั้นกว่าคีธจะตามมา ที่รู้ๆ คือพอเราทั้งคู่หยุดเคลื่อนไหวแล้ว ผมก็ทรุดตัวลงนอนราบบนแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ อย่างเหนื่อยอ่อนเท่านั้น
มือใหญ่ลูบหลังผมอย่างเบามือ เสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้น กระตุ้นไม่ให้ผมหลับไปด้วย
“กวินทร์รู้มั้ยว่าทำแบบนี้ มันยิ่งทำให้ฉันอยากมีลูกกับกวินทร์มากขึ้นนะ”
“อืม”
“กวินทร์อยากมีลูกกับฉันมั้ย”
“อืม” ผมขานรับอย่างไม่ใส่ใจนัก คือเหนื่อยไง พูดอะไรไปก็ไม่ได้สนใจแล้ว
หากแต่การขานรับพล่อยๆ ของผมเมื่อครู่ทำให้คีธพลิกตัว ดันผมลงนอนแล้วขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้
“กวินทร์...”
“อะไร” ผมชักไม่ไว้ใจมันละตอนนี้ เห็นสีหน้าจริงจังก็รู้เลยว่ามันต้องคิดจะทำอะไรนอกเหนือจากแค่พูดแน่ๆ
“ขยายพันธุ์กันเถอะ”
นั่นไง! กูว่าแล้วไม่มีผิด! ไหนมึงบอกว่ามีลูกตอนนี้ไม่ได้เพราะกลัวลูกจะเป็นอันตรายยังไงวะ!
“เดี๋ยวๆๆ!” ผมร้องลั่นเลยทันทีที่เห็นคีธโน้มหน้าลงมาใกล้ ทำท่าจะจูบ ดันหน้ามันซะอย่างแรงด้วยจนริมฝีปากหนาที่ปิดสนิทอยู่เผยอออกมาเล็กน้อยให้ผมได้เห็นวัตถุทรงกลมสีส้มใสๆ ในปากมัน เท่านั้นผมก็รู้เลยว่านั่นคงจะเป็นไข่มนุษย์ต่างดาวแน่นอน
คีธทำท่าเหมือนกลืนลงไปก่อนจะพูด “ทำไม”
“ไหนนายว่ามีลูกตอนนี้ไม่ได้ไง นี่อะไรวะ จู่ๆ ก็นึกวางไข่ ให้ฉันเตรียมตัวเตรียมใจก่อนสิ!” ผมแหกปากโวยวายโดยไม่รอให้ใครมาตัดริบบิ้น
คีธก็คงจำได้แหละว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ มันเลยจ้องหน้าผมนิ่ง ว่าออกมาเนิบๆ
“กวินทร์ไม่อยากมีลูกกับฉัน?”
“ไม่ใช่ไม่อยาก แต่พวกเซนไทน์...”
“ฉันจะปกป้องลูกของเราเอง” พูดยังไม่ทันจบ คีธก็สวนขึ้นมาละ ทำเอาผมย่นคิ้วยู่
“แต่เดี๋ยวนายก็ต้องไปจากโลกไม่ใช่เหรอวะ ถ้านายวางไข่ทิ้งไว้ ฉันก็ท้องลูกไม่มีพ่อน่ะสิ” บอกตรงๆ กระดากใจมากที่ต้องเรียกมันว่าพ่อของลูก ใครจะไปคิดไปฝันวะว่าวันนึงจะมีผัวเป็นตัวเป็นตน ทั้งที่เมื่อก่อนผมเป็นแต่ฝ่ายเป็นผัวชาวบ้านเนี่ย
คีธยังคงจ้องหน้าผมนิ่งอยู่ ลูบหัวผมเบาๆ ด้วย ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา
“ฉันบอกกวินทร์แล้วใช่มั้ยว่าจะกลับมา”
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“ตอบไม่ได้เหมือนกัน”
คำตอบของมันแทบทำให้ผมอยากด่า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมันพูดขึ้นมาอีก
“แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมา ฉันจะกลับมา”
“ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง ถ้านายไม่กลับมา ฉันก็กลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวสิวะ” ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแม่นะพูดตรงๆ เอาเป็นว่าเรียกตัวเองเป็นพ่ออีกคนแล้วกัน
“ชาวยูนิกม่าพูดคำไหนคำนั้น ทั้งชีวิตผูกพันได้แค่คนเดียว” แล้วก็เลื่อนมือมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายผม “หัวใจของฉันก็อยู่ที่กวินทร์คนเดียวและตลอดไป ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะกลับมาหา จะกลับมาหากวินทร์กับลูก ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็จะมา ดังนั้น... ขยายพันธุ์กันเถอะกวินทร์”
เกือบจะซึ้งอยู่แล้ว มันไม่ซึ้งตรงที่มึงพูดว่าขยายพันธุ์นี่แหละ!
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมหุบปากเงียบสนิทได้ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะยิ่งได้เห็นแววตาจริงจังคู่นั่น ผมเชื่อนะว่าคีธจะกลับมา ทว่าประเด็นก็คือไม่อยากท้องโย้ตามลำพังน่ะสิ ถ้าเกิดคลอดก่อนมันกลับมานี่จะทำยังไง ใครจะเลี้ยงลูก แล้วใครจะช่วยผมดูแล ไม่เคยมีลูก แถมเป็นลูกมนุษย์ต่างดาวอีก มันเลี้ยงไม่เหมือนมนุษย์นะเว้ย!
ดูเหมือนคีธจะดูออกว่าผมกังวลอะไรเลยประทับจูบลงมาบนหน้าผากผมทีหนึ่งก่อนว่า
“ฉันจะไปฝากฝังท่านผู้เฒ่าลีโอเธให้ช่วยดูแลกวินทร์กับลูก ไม่ต้องห่วง ชาวโอนิซิสมีอารยธรรมสูงและทรงความรู้ วางใจได้ว่าท่านผู้เฒ่าจะช่วยดูแลลูกของเราได้”
ผมนึกถึงหน้าอาแปะลีโอนาร์โดขึ้นมาทันที เกือบจะลืมไปแล้วว่านั่นก็มนุษย์ต่างดาวเหมือนกัน
“มีลูกกันเถอะกวินทร์”
ผมได้สติอีกครั้งเมื่อถูกย้ำ โอเค... ตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรยอมให้มันวางไข่มั้ย แต่ยอมรับแหละว่าครึ่งหนึ่ง ใจนี่ยอมให้มันวางไข่ไปแล้วเรียบร้อย
หากแต่ไม่กี่วินาทีให้หลังที่คีธก้มหน้าลงมาจูบแนบเรียวปากเบาๆ ผมก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าอยากมีลูกหรือไม่อยาก
“ฉันรักกวินทร์นะ รักมาก และจะรักลูกของกวินทร์ด้วยเหมือนกัน”
ทะ...ทำลูกก็ทำวะ!
“สัญญานะ?”
“สัญญา” คีธรับปาก
ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยักหน้าให้มันเป็นสัญญาณ คีธฉีกยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาหาผมเรื่อยๆ ประทับจูบแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ วัตถุทรงกลมก็ถูกส่งเข้ามาในปากผม ปลายลิ้นของคีธดุนเข้ามาลึกราวกับกลัวว่าผมจะคายมันทิ้ง และยอมถอยออกไปเมื่อเห็นว่าผมกลืนลงคอไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงจะวางไข่เรียบร้อย คีธก็ไม่ยอมละออกจากริมฝีปาก ละเลียดจูบอยู่เนิ่นนานก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
“คีตา...” และนั่นก็เป็นคำพูดแรกที่หลุดจากปากคีธทันทีที่เราผละออกจากกัน
“ใคร” ผมย่นคิ้วน้อยๆ คีธยังยิ้มกว้างอยู่
“ลูกของเรา...ลูกคนแรก”
ผมจ้องตาคีธนิ่ง ในแววตาคู่นั่นประกายความดีใจอย่างประหลาด ผมเองก็อดตื้นตันไปด้วยไม่ได้ เผลอยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองโดยอัตโนมัติ
ไข่ของคีธอยู่ในตัวผมอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ไข่ในการสร้างร่างใหม่ แต่เป็นไข่สำหรับการขยายพันธุ์ และเป็นไข่ที่บรรจุสิ่งมีชีวิตน้อยๆ ที่ชื่อว่าคีตาอยู่... ไข่ที่บรรจุชีวิตลูกของผมกับคีธ
“รักนะกวินทร์... รัก...” คีธรวบผมไปกอดแน่น พร่ำออกมาไม่หยุดปาก
ผมหัวเราะกับท่าทางดีใจที่แสดงออกมาแบบไม่สุดทันใด ก็ตามแบบฉบับคีธนั่นแหละ มันเป็นคนนิ่งๆ อึนๆ นี่หว่า จะให้แหกปากร้องดีใจก็ใช่เรื่อง ผมก็เลยกอดตอบ พร่ำบอกความรู้สึกในใจเหมือนกัน
“รักนายเหมือนกัน แต่ตอนนี้จะรักน้อยลงละ”
คีธชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองผมเป็นเชิงถาม ผมเลยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้มัน
“อะไร มีปัญหาหรือไงถ้าฉันจะรักนายน้อยลงแล้วจะแบ่งไปให้คีตาน่ะ”
คีธส่ายหน้าพรืด หัวเราะออกมาบ้าง “ไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่รักกวินทร์น้อยลงหรอกนะ จะรักให้มากขึ้น แล้วก็จะรักคีตาให้เท่ากวินทร์เหมือนกัน”
“เรื่องของนายเว้ย” ผมแสร้งเสียงดังหนีอาย เบือนหน้าหนีด้วย เดาว่าตอนนี้หน้าคงจะแดงไปไหนต่อไหนแล้ว
คีธไม่ว่าอะไร แค่ดันตัวลงต่ำ วางหัวตะแคงข้างบนหน้าท้องผมแล้วนอนนิ่ง มือก็ลูบซิกส์แพ็คผมไปมาด้วย ผมเห็นแล้วก็ไม่พูดอะไร แค่รู้สึกแปลกๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกผู้ชายมาทำประหนึ่งผมเป็นผู้หญิงท้องอย่างนั้น แต่เอาเถอะ ตอนนี้มีความสุขก็ดีแล้ว
คีธน้อย... ความรู้สึกของแม่ตอนท้องผมก็คงจะเป็นแบบนี้สินะ

 
วันใหม่มาถึงก็ไม่มีใครพูดพร่ำทำเพลง จัดการให้ซีเลนพาผมไปหาเจเนซิสตามที่ตกลงกันไว้เมื่อคืนทันใด คีธดูเป็นห่วงผมมากกว่าปกติ มากจนคนอื่นๆ ผิดสังเกตทั้งที่ผมกินยาระงับกลิ่นของคีธเอาไว้แล้วเพราะคีธบอกว่าถ้าตั้งท้อง กลิ่นที่มาจากไข่ก็จะเผยออกมาเลยต้องกันไว้ก่อน และทั้งผมทั้งคีธก็ไม่มีใครปริปากบอกเรื่องที่เราทำการขยายพันธุ์คีธน้อยแต่อย่างใดเพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นกังวล สำคัญเหนืออื่นใดคือไม่ต้องการให้เรื่องนี้หลุดไปถึงหูพวกเซนไทน์หากมีการนองเลือดขึ้นมาในกรณีที่พาแอสตันหนีไม่สำเร็จ
ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คีธห่วงที่สุดในเวลานี้ สิ่งที่ห่วงที่สุดก็คือกลัวไอ้ซีเลนมันจะปล้ำผมเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองต่างหาก ดีที่มันไม่ทำ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถมาที่โรงแรมแถวไชน่าทาวน์ที่ผมเคยเกือบถูกมันลากเข้าไปพลางบ่นเรื่องบรูคลินกับเบนชอบหนีหน้ามันตลอดทางอย่างเดียว ผมล่ะอยากจะบอกให้มันรู้ตัวเหลือเกินว่าที่สองเปรตนั่นหนีมันก็เพราะความหื่นของมันนั่นแหละ แต่ก็เงียบไว้ ช่างแม่ง ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย
ซีเลนใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงยังจุดหมาย พวกบอดี้การ์ดซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นพวกเซนไทน์มองซีเลนที่เดินขนาบข้างผมเข้าไปในโรงแรมอย่างไม่ไว้ใจทันที ก่อนจะมาขวางหน้าด้วยเมื่อเห็นว่าซีเลนตรงไปยังเคาน์เตอร์แล้วสอบถามห้องของลาร์ค
“ฉันแค่จะมาหาพี่ชายฉัน แล้วก็พาโฮสต์ของพระชายาพี่ชายฉันมาให้ได้ดูดสารอาหารด้วย พวกนายมีปัญหาอะไร ถ้าพวกนายมีปัญหาก็เตรียมตัวโดนฆ่าได้เลย ข้อหาทำพระชายาอดอาหารตาย”
พอซีเลนพูดแค่นี้ พร้อมทำหน้ากวนบาทา พวกนั้นก็ยอมเปิดทางแต่โดยดี นำขึ้นไปยังห้องของลาร์คด้วยเถอะ
ผมกับซีเลนถูกพวกบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังขึ้นมายังชั้นบนสุดของโรงแรม ห้องของลาร์คเป็นห้องสวีท และข้างบนชั้นนั้นก็ไม่มีแขกคนอื่นพักอยู่เลย มีแต่ลาร์ดเท่านั้น พูดตรงๆ ก็คือมันเหมาห้องสวีททั้งชั้นสำหรับมันคนเดียวนั่นแหละ ผมไม่แปลกใจนักหรอกว่าพวกมันไปเอาเงินมาจากไหนกันเยอะแยะ
มีปัญหาสนับสนุนงบถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ ก็แน่นอยู่แล้วล่ะว่ามันคงจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่นี่เหมือนกับที่พวกยูนิกม่าทำนั่นแหละ
ผมกับซีเลนถูกนำทางมาหยุดยังหน้าห้องห้องหนึ่ง บอดี้การ์ดคนที่ผมจำได้ดีว่าถูกซีเลนทำร้ายและเป็นหัวหน้าพวกเซนไทน์เข้าไปรายงานลาร์คครู่หนึ่ง ไม่นานมันก็เปิดประตูออกมาพยักหน้าเป็นเชิงให้พวกผมเข้าไป
พอเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับลาร์คในชุดสูทลายตารางหมากรุกสีเทาเชยๆ เหมือนเดิม หมอนั่นยืนทอดสายตามองออกไปนอกแผ่นกระจกบานใสที่ติดตั้งแทนกำแพงให้เห็นทิวทัศน์ละแวกนั้นสุดลูกหูลูกตา ก่อนมันจะหันมามองผมกับซีเลนแล้วเอ่ยปากทัก
“มาถึงที่แบบนี้ คงมาหาพระชายาของฉันสินะ”
ผมไม่ตอบ มีแต่ซีเลนเท่านั้นที่ยักคิ้วแล้วว่ากวนๆ
“นอกจากนั้น ฉันก็มาหาพี่ชายด้วย มีอะไรอยากคุยด้วยหน่อย”
“นั่งก่อนสิ” ลาร์คเดินมายังโซฟา ผายมือให้ซีเลนนั่ง หากแต่ซีเลนไม่นั่ง เสนออย่างอื่นแทน
“เรื่องสำคัญ ฉันไม่สะดวกใจจะคุยในที่มีคนเยอะๆ” มันหมายถึงพวกบอดี้การ์ดที่ยืนกันหน้าสลอนรอบห้องนั่นแหละ
ลาร์คพยักหน้า โบกมือเล็กน้อย พวกนั้นก็ออกไป เหลือเพียงแค่ผม ซีเลนกับลาร์คเท่านั้น
“ทีนี้ก็พูดมาได้แล้ว”
แต่ซีเลนก็ยังไม่ยอมนั่ง ยังพูดต่อ “ไม่สะดวกใจให้ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินได้ยินด้วย”
ลาร์ครู้ว่าซีเลนหมายความว่ายังไง แต่ไม่ไล่ผมออกจากห้องเพราะรู้ว่าผมมาที่นี่ทำไม ชี้ไปทางประตูห้องนอนข้างๆ แทน
“แอสโซซิโนอยู่ในนั้น เข้าไปสิ”
ผมพยักหน้าแล้วดิ่งเข้าไปในห้องนั้นทันที ความจริงแล้วสิ่งที่ซีเลนพูดน่ะมันเป็นแผน มันไม่ได้มีอะไรจะคุยกับลาร์คหรอก แค่จะดึงความสนใจและถ่วงเวลาให้ผมได้คุยกับเจเนซิสเท่านั้น และที่ผมไม่กังวลว่าลาร์คจะได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับเจเนซิส นั่นเป็นเพราะว่าผมรู้ว่าพวกเซนไทน์ไม่ได้มีประสาทสัมผัสด้านการฟังดีนัก เทียบเท่ากับมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่มีดีก็คือด้านการรับกลิ่นอย่างเดียว
หากแต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ผมเข้ามาในห้อง จัดการปิดประตูและล็อคเรียบร้อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างเปล่าเปลือยของเจเนซิสบนเตียงสี่เสาแบบโรมัน ปูด้วยผ้าสักหลาดสีแดงสดในสภาพอิดโรยและนอนคว่ำหน้าอยู่
ผมชะงักกึก ก้าวขาไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ก็ต้องกลั้นใจก้าวไปพร้อมกับกลืนน้ำลายไปด้วย แล้วก็ต้องตกใจหนักขึ้นไปใหญ่เมื่อเห็นว่าผิวขาวนวลของเจเนซิสเต็มไปด้วยร่องรอย...
ร่องรอยแบบ...รอยกัด? รอยข่วน? รอยดูด? ระ...รอยอะไรก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ คือมีเต็มตัว ทำเอาผิวสวยนั่นเป็นรอยจ้ำแดงและช้ำไปทั้งตัว
“สะ...ไสหัวไป...”
เสียงเจเนซิสดังขึ้นแผ่วเบาและแห้งผาก มันคงคิดว่าผมเป็นลาร์คล่ะมั้ง ผมทรุดตัวลงนั่งข้างมัน ยื่นมือไปแตะแขนเล็กน้อย
“เจเนซิส...”
เจเนซิสกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามามองผมและครางเรียกชื่อผมออกมา
“กวินทร์...”
“นาย...โอเคมั้ยวะ” โคตรเป็นคำถามที่โง่เง่าเลยเถอะ เห็นสภาพมันก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่ามันไม่โอเค ความรู้สึกผิดบาปที่ส่งมันให้ลาร์คที่ประดังประเดเข้ามาในจิตใต้สำนึกผมเลย
หากแต่เจเนซิสไม่ได้ดูขุ่นเคืองผมสักนิด แววตาของมันยังคงเป็นเจเนซิสคนเดิม แถมมันยังเป็นห่วงผมให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่าเดิมอีก
“มาทำไมกวินทร์”
“มาช่วยนายน่ะสิ” ผมว่าไปตามจริง ถึงจะไม่ใช่เป้าหมายของแผนในตอนแรก แต่เห็นสภาพมันแบบนี้แล้ว ผมก็โคตรอยากจะพามันออกไปจากที่นี่แทนที่จะมาถามว่าควรช่วยแอสตันยังไงชะมัด
ทว่าเจเนซิสไม่สนที่ผมพูด ดันตัวขึ้นด้วยแขนอันสั่นเทาจนผมต้องปรี่เข้าไปช่วยประคองให้นั่ง
“รีบกลับไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาย” พอนั่งได้ก็ออกปากไล่ผม
ผมส่ายหน้าดิก ตอนนี้ได้เห็นลำตัวส่วนหน้ามันชัดๆ แล้วก็ต้องเบ้หน้าออกมา ข้างหลังนี่ว่าช้ำเยอะแล้วนะ ข้างหน้านี่ช้ำเยอะกว่าอีก ไอ้ตัวส่วนร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มนี่คงไม่ต้องถามเลยมั้งว่าช้ำขนาดไหน
ไอ้บ้าลาร์คนี่มันเจ้าชายหื่นสายเอสนี่หว่า!
“นาย...โดนมันทำอะไรบ้างวะ” สุดท้ายผมก็อดอยากรู้ไม่ได้ ไม่ใช่อยากรู้ว่าลาร์คมันลีลาเป็นแบบไหนนะ แต่คืออยากรู้ว่ามันทำยังไงถึงได้ช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้ต่างหาก
“หลายอย่าง อยากโดนมั้ยล่ะ” เจเนซิสแม่งก็กวนตีน ถามดีๆ ดันยอกย้อนซะงั้น ผมเลยรู้ตอนนี้ว่ามันเองก็คงเคืองผมอยู่เหมือนกัน เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่มันจะทำให้ผมเป็นผู้ต้องหาพยายามยืมมือคนอื่นฆ่ามัน
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน คุยกันนาน เดี๋ยวพวกมันสงสัย คืองี้... แอสตันให้มาถามว่ามันควรทำยังไงต่อไปน่ะ” ผมว่ารวบๆ
เจเนซิสไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าผมหมายถึงอะไร ตอบกลับมาแทบจะในทันที
“หนี... ไปที่วอชิงตันให้เร็วที่สุด ประสานกับพวกเราทางฝั่งนั้นเอาไว้ ฉันจัดเตรียมสถานที่หลบซ่อนไว้ให้แล้ว และไปจากโลกทันทีที่ยานเสร็จ”
“แล้วนายล่ะ...” ผมอดเป็นห่วงมันไม่ได้ นี่ขนาดลาร์คยังไม่รู้ว่าเจเนซิสเป็นเจ้าชายตัวปลอม มันยังโดนหนักขนาดนี้ ถ้ารู้ขึ้นมานี่นึกไม่ออกเลยว่าจะโดนหนักขนาดไหน
หากแต่เจเนซิสไม่ยี่หระ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ทูลองค์ชายด้วยว่าไม่ต้องห่วงฉัน ฉันเอาตัวรอดเองได้ ทางนี้ฉันจะถ่วงเวลาไว้เอง ไปเจอกันที่ดาวที่องค์ราชาประทับอยู่ ฉันจะตามไปทีหลัง”
“แต่นาย...”
“ทำตามที่ฉันบอก เพื่อความปลอดภัยขององค์ชาย”
ผมยังพูดไม่ทันจบเลย เจเนซิสก็แทรกซะละ ผมเข้าใจความจงรักภักดีของมันนะ แต่เห็นมันเสียสละตัวเองแบบนี้แล้วก็ทนไม่ไหวว่ะ ถึงเรื่องทั้งหมดจะเกิดเพราะผมก็เถอะ
เจเนซิสเห็นสีหน้ากังวลของผมก็ดูออกว่าผมคิดอะไร หยักยิ้มขึ้นมาแล้วปลอบผมซะงั้น
“บอกว่าไม่ต้องห่วง”
แต่คือมึงรับวิกฤตเองไง มึงจะยินดีเพื่ออะไรวะ!
ผมทำท่าจะแย้งอีก คือจะแย้งให้มันหาทางหนีไปตั้งแต่ตอนนี้นั่นแหละ ทว่าเจเนซิสไม่เปิดโอกาสให้ผมพูด ดันตัวลุกจากเตียงพร้อมผ้าห่มคลุมท่อนล่างไปที่ประตู
“ทำตามที่ฉันบอกกวินทร์ ฉันฉลาดที่สุดในยูนิกม่า เชื่อฉันแล้วทุกอย่างจะดี นายก็ไปได้แล้ว อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ปลอดภัยสำหรับนาย สำหรับเจ้าชายด้วยถ้านายยังอยู่ที่นี่”
มันคงหมายถึงถ้าเกิดผมอยู่ในสถานการณ์จวนตัวอีก ผมคงจะใช้แผนการชั่วๆ โบ้ยความซวยไปให้คนอื่นแทนสินะ
ถึงจะน่าหงุดหงิดแต่ก็เอาเถอะ ไม่เถียงเพราะมันจริง และผมก็ชักทนไม่ไหวที่เห็นมันเอาแต่ห่วงแอสตันจนลืมห่วงตัวเองแบบนี้
“แต่ว่านายอยู่ในอันตรายนะเว้ย โดนซะช้ำไปทั้งตัวแบบนี้ เดี๋ยวก็ตายก่อนหรอก” ว่าพลาง ตาก็มองร่างกายของเจเนซิสไปด้วย
แต่เจเนซิสมันห่วงตัวเองซะที่ไหนล่ะ แอสตันสำคัญกว่าชีวิตมันอีก
“ฉันเอาตัวรอดได้ อันที่จริงต้องขอบคุณนายซะอีกนะกวินทร์ที่คิดแผนนี้ขึ้นมา องค์ชายเลยรอดพ้นจากวิกฤต ไม่อย่างนั้น องค์ชายต้องแย่แน่”
โอ๊ย! หงุดหงิด! มึงจะจงรักภักดีไปไหนวะ! หงุดหงิดโว้ย!
ผมอยากจะเถียงมันใจจะขาดว่าแอสตันมันไม่ได้สำคัญเท่าชีวิตของมันนักหรอก ทว่าเจเนซิสก็เปิดประตูก่อนแล้ว ผมเลยต้องหุบปากด้วยเกรงว่าลาร์คจะได้ยิน
“ไปได้แล้ว ขอบคุณที่เสียสละเวลามาให้ฉันได้กินสารอาหาร” แล้วมันก็สวมบทบาทเจ้าชายยูนิกม่ากะทันหัน
ผมยังตามไม่ทันก็ถูกมันดันออกมาจากห้องแล้ว ประตูปิดลง ลาร์คกับซีเลนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาหันมามองผมเป็นตาเดียว ก่อนซีเลนจะทำลายความเงียบขึ้น
“เสร็จแล้วเหรอ”
“อืม”
“ดี เสร็จแล้วก็กลับ ไว้คุยกันใหม่นะลาร์ซิโอนีย์” ซีเลนลุกขึ้นยืน ลาร์คลุกขึ้นยืนตามไปด้วย
“อืม ฉันหวังว่านายคงจะตัดสินใจได้ในเร็วๆ นี้ อาณาจักรของเราต้องการคนเก่งอย่างนาย”
ให้เดานะ ลาร์คคงจะชวนซีเลนให้กลับไปอยู่ด้วยนั่นแหละ ซีเลนไม่ไป รู้กันอยู่แล้ว แต่สวมบทบาทเออออไปตามเรื่อง
“ขอคิดก่อน แล้วจะให้คำตอบ” ว่าจบก็เข้ามาโอบไหล่ผม ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
หากแต่ก็ต้องก้าวแล้วหยุดเมื่อลาร์คเรียกผมไว้
“กวินทร์...”
ผมสะดุ้งเลย ใจคิดไปแล้วว่ามันจะได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับเจเนซิส แต่เปล่า พอหันไปมองมัน มันแค่พูดกับผมด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเท่านั้น
“เรื่องรอยบนตัวแอสโซซิโนต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ”
มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก มึงไปขอโทษไอ้เจเนซิสโน่น! ทำมันช้ำขนาดนั้น ยัดน้ำใบบัวบกเป็นแท็งค์ก็เอาไม่อยู่แล้ว!
ผมพยักหน้าให้มันไปงั้นแหละ จังหวะเดียวกับที่ลาร์คเดินเข้ามาเปิดประตูให้ผมกับซีเลนพอดี ผมเลยได้เห็นว่าบริเวณข้อมือใต้แขนเสื้อสูทนั่นก็มีรอยช้ำเหมือนกัน และดูท่าทางจะช้ำกว่าเจเนซิสด้วยซ้ำ ผมเลยรีบปราดตาขึ้นไปมองหน้ามัน ตอนนี้แหละถึงได้สังเกตเห็นว่าบริเวณต้นคอ ข้างกกหู และไหปลาร้าของมันก็มีรอยช้ำเลือดช้ำหนองพอกัน
“กลับดีๆ”
ไม่ทันจะได้สำรวจไปมากกว่านี้ ลาร์คก็ส่งแขกเรียบร้อย ผมเลยรีบก้าวตามซีเลนออกมาด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
ไม่ใช่แค่ไอ้ลาร์คที่ซาดิสม์นะ กูว่ามึงก็ซาดิสม์ไอ้เจเนซิส มาโซคิสด้วยเถอะพวกมึงสองคนน่ะ มิน่าล่ะทำไมมึงถึงไม่ยอมหนี ไม่ใช่เพราะช่วยแอสตันหรอก กูว่ามึงติดใจแน่ๆ ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก ดีแล้วที่มึงไม่ได้ผูกพันกับคีธ ถ้ามันผูกพันกัน นึกสภาพคีธตอนโดนมันมัดแล้วเอาแส้ฟาดแล้วขนหัวลุกเลย
เอาเป็นว่าพวกมึงเหมาะสมกันแล้วล่ะ เหมาะสมกันจริงๆ...

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
 :jul3: โอ๊ย ฮาอ่ะ
กำลังจะสงสารเจเนซิสอยู่ละ

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดด ท้องแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
ลูกคนแรกกน้องคีตาา

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 34: Almost about time to leave[1]
“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเจเนซิสเป็นไงบ้าง” ผมทำลายความเงียบขึ้นหลังจากเราออกจากโรงแรมมา แล้วซีเลนก็เงียบ ไม่พูดไม่จา เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถตั้งแต่ตอนนั้นจนพวกเรามาติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกก่อนจะเลี้ยวไปบนถนนที่นำไปยังแหล่งกบดานของพวกยูนิกม่า
“ไม่ล่ะ รู้อยู่แล้ว” ซีเลนพูดโดยไม่มองหน้าผม ผมเลยหัวเราะหึใส่มัน
“พี่น้องกันน่ะเนอะ ไม่รู้ก็แปลก ขนาดลูกครึ่งเซนไทน์อย่างนายยังหื่นไม่เลือกหน้าขนาดนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าพี่ชายนายที่เป็นเซนไทน์แท้ๆ จะหื่นขนาดไหน”
หัวคิ้วของซีเลนย่นไปเล็กน้อย เห็นแล้วผมก็ฉุกคิดได้ว่ามันไม่พิสมัยการนับญาติกับลาร์คเท่าไหร่นัก ที่มันยอมคุยดีด้วยตอนที่ไปหาเจเนซิสก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น ผมเลยอ้าปากทำท่าจะขอโทษ ทว่ามันก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ก็จริง พวกเซนไทน์ส่วนใหญ่ยั้งพละกำลังของตัวเองไม่ค่อยเป็น ยิ่งเจอคนถูกใจ ยิ่งห้ามใจตัวเองใม่ค่อยได้ ขนาดฉันยังยั้งไม่ค่อยอยู่เลย เจเนซิสคนสวยจะช้ำไปทั้งตัวก็ไม่แปลก” คราวนี้ซีเลนชำเลืองมามองผมเล็กน้อย “แต่ดูท่าเจเนซิสก็คงจะชอบ ฉันเห็นว่าลารค์เองก็มีรอยช้ำเหมือนกัน คงจะเข้าขากันดี”
“คงจะอย่างนั้น” ผมหัวเราะแห้งเลยทันทีที่นึกถึงร่องรอยบนตัวลาร์ค
“แต่ถ้าเป็นนาย ฉันจะเบาแรงให้ สนใจมั้ยล่ะ” แล้วไอ้เวรซีเลนแม่งก็มาก้อร่อก้อติกผมตบท้ายตามเคย
ผมมองหน้ามันที่ยิ้มเผล่พลางสอดส่ายสายตาไปทั่วร่างผมตาขวาง มึงนี่มันหื่นได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ ไอ้หื่นกาม!
“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งวะว่าให้ตาย ฉันก็ไม่ไปนอนกับนายหรอกเว้ย ให้นอนกับนายนี่ ยอมเสื่อมสมรรถภาพดีกว่า”
“ลองสักครั้งจะติดใจ รับรองว่าจะทำให้ลืมท่านผู้พิทักษ์คีทาเยนั่นไปเลย”
“หยุดหื่นแล้วเตรียมตัวสักที จะไฟเขียวแล้วเนี่ย!” ผมเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น
พอไฟแดงตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว ซีเลนก็เหยียบคันเร่งไปตามคันอื่นๆ ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวตรงแยก ผมย่นคิ้วจนหัวคิ้วชนกันเมื่อเห็นมันเลี้ยวไปคนละทางกับทางที่ไปบ้านพวกไบโทป
“เฮ้ยๆ บ้านไอ้บรูคลินไปทางโน้น นายจะไปไหนของนายน่ะ”
“โรงแรม”
“ไปโรงแรมหาป้ามึงเหรอ! เลี้ยวรถกลับเดี๋ยวนี้!” ผมโวยวายลั่น ภาษาไทย-ภาษาอังกฤษนี่ปนกันมั่วไปหมด แต่ซีเลนมันก็ฟังออกนั่นแหละ หันมาแสยะยิ้มให้ผมอย่างเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
“ก็นายบอกเองนี่นาว่าอยากนอนกับฉัน”
“บอกตอนไหนวะ!” ผมแหกปากดังกว่าเดิม ใจนี่โคตรอยากจะแย่งพวงมาลัยมันมาหักกลับรถเลยถ้าไม่กลัวตายน่ะนะ
ส่วนไอ้ซีเลนก็ยังคงตีมึนไม่เลิก “ก็นายไม่ปฏิเสธตอนฉันบอกว่าลองสักครั้งจะติดใจ นั่นก็หมายความว่านายตอบรับแล้ว”
บ้านมึงเถอะ! กูไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะกูไม่อยากคุยเว้ย!
“กลับรถเดี๋ยวนี้” ผมว่าเสียงต่ำ ชักไม่สนุกกับมันละ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันฟังได้เลย แถมยังว่าขึ้นมาหน้าด้านๆ
“เอาน่า เดี๋ยวคีธไปจากที่นี่ นายก็ได้กับฉันอยู่ดี ร่นเวลาให้เร็วกว่าเดิมหน่อยก็ไม่เป็นไร”
ใครจะไปได้กับมึง!
ผมนี่ทึ้งหัวตัวเองไปมาอย่างบ้าคลั่งรัวๆ ตอนแรกก็คิดอยู่แล้วล่ะว่ามากับซีเลนคงจะไว้ใจไม่ได้ถึงมันจะไว้ใจได้ในเรื่องของการปกป้องผมจากพวกเซนไทน์ก็เถอะ แต่ปกป้องผมจากความหื่นของมันนี่ฝันไปเลย แม่งเอ๊ย คิดผิดชัดๆ ที่ยอมมากับมันเนี่ย!
“กลับรถ!” และเพื่ออธิปไตยของตัวเอง ผมก็โวยวายอีกครั้ง คราวนี้ไม่โวยวายเปล่า ทุบมันด้วย ทุบไม่พอ ยกขาถีบอีก
แต่มันไม่สะทกสะท้าน จับข้อเท้าผมที่ยกขึ้นถีบมันค้างไว้กลางอากาศเสียอย่างนั้น ซ้ำยังหันมามองตรงเป้าผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
“ท่านี้ก็ดี”
ดีพร่อม! มึงอย่ามาคิดท่วงท่าลีลาเอาเองตามใจชอบสิวะ!
ผมพยายามดึงขาตัวเองกลับมา คว้าอะไรใกล้มือได้คือขว้างใส่มันเต็มเหนี่ยว ซีเลนก็กลับรถไป หลบการประทุษร้ายของผมไป โคตรจะอันตรายเลย แต่ที่อันตรายกว่าก็คือถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง ผมโดนมันปล้ำแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือถ้าผมพลาดท่าเสียทีให้มัน แล้วไข่คีตาที่อยู่ในท้องผมล่ะจะเป็นยังไง ไม่โดนมันทำแตกเป็นไข่ไก่เลยเรอะ!
“หาโรงแรมไม่ได้เลยแฮะ โมเต็ลแล้วกัน”
โรงแรมก็ว่าแย่แล้ว นี่แย่หนักกว่าตรงที่มันดันจะพาผมเข้าโมเต็ล ภาษาไทยบ้านๆ คือม่านรูด...
มึงนี่บ้าถึงขนาดลากกูเข้าม่านรูดเลยเหรอวะไอ้ซีเลน!
“จะโรงแรมหรือโมเต็ลก็ไม่ไปเว้ย! ปล่อยสิวะไอ้ซีเลน!” ผมยังคงตะโกนไม่เลิก ตะโกนหนักกว่าเดิมเมื่อสายตาเหลือบเห็นป้ายโมเต็ลตรงหน้าไม่ไกล
การดิ้นรนสู้กับความหื่นกามของมันยังคงดำเนินต่อไป เกือบจะแพ้มันอยู่แล้วเมื่อมันเลี้ยวรถเข้ามายังทางเข้าโมเต็ลนั้น ทว่าก็ต้องเบรคจนหัวทิ่มทันทีที่ถูกมอเตอร์ไซต์ช็อปเปอร์คันหนึ่งขับปาดหน้าเข้ามากะทันหัน ผมรีบตั้งหลัก มองไปตรงหน้าก็เห็นว่าคนขับช็อปเปอร์คันนั้นคือคีธที่อยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตหนัง เท่านั้นผมก็ไม่รอช้า รีบปลดเซฟตี้เบลท์ กระโดดผลุงออกจากรถไปหามันทันที
“คีธ!” เรียกมันด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ด้วย
คีธพยักหน้าให้ผม เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนดึงผมไปหลบข้างหลังแล้วตัวเองก็เดินเข้าไปหาซีเลน
“มาขวางซะได้” ซีเลนแม่งก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักอย่าง ลงจากรถมาทำหน้าเสียดายจนคีธเดินไปหยุดตรงหน้า
“องค์ชาย... ต่อไปนี้จะทรงมายุ่งกับกวินทร์ไม่ได้อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ กวินทร์ไม่ใช่คนของฝ่าบาท” คีธเข้าเรื่องโดยไม่รอให้ใครเปิดพิธี
“รู้ แต่ถ้าองค์ชายจะเอา นายจะขัดได้หรือไง” ซีเลนยักไหล่ไม่ยี่หระ ส่วนผมนี่ก็อยากจะพุ่งไปกระโดดถีบมันสองขารวดเลย หน้าด้านจริงๆ ให้ตาย
แต่แทนที่คีธจะยอมหรือเงียบอย่างทุกที คีธกลับกระชากคอเสื้อซีเลนขึ้นมาแล้วว่าเสียงต่ำ
“ขัดได้หรือไม่ได้ ฝ่าบาทก็จะรู้เอง”
“โฮ่ ดูท่าทางอยากจะมีเรื่อง” ซีเลนเหยียดยิ้มร้าย มองหน้าคีธอย่างท้าทายด้วย
“มีเรื่องแน่ถ้าฝ่าบาทยังยุ่งกับกวินทร์... และลูกของหม่อมฉัน” คีธก็ไม่น้อยหน้า ว่าเสียงเรียบแต่ดวงตาประกายกร้าว
ผมลุ้นในใจว่ามันจะต่อยกันมั้ย แต่ผิดคาด เพราะทันทีที่คีธพูดจบ ซีเลนก็ทำหน้าเหวอรับประทานไปทันตา
“ลูก... นายหมายถึง... กวินทร์ท้อง?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เท่านั้น ซีเลนก็ดึงมือคีธออกจากตัว ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเบื่อโลก
“หมดความน่าสนใจไปทันตาเลยแฮะ เออๆ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ฉันก็ไม่ชอบยุ่งกับคนมีลูกแล้วเหมือนกัน ให้ตาย...กลับไปหาบรูคลินกับเบนก็ได้วะ”
ฟังแล้วก็โล่งใจที่จะรอดจากการถูกมันปล้ำหลังจากนี้ แต่อีกใจก็หงุดหงิดมันเหมือนกัน
ไอ้ที่บอกว่าหมดความน่าสนใจเพราะมีลูกนี่หมายความว่าไงวะ!
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สำหรับเรื่องของเจเนซิส แล้วก็เรื่องของกวินทร์”
“เออ ช่างเถอะ ก็บอกแล้วว่าไม่ชอบยุ่งกับคนมีลูกแล้ว แล้วเรื่องกวินทร์ท้องนี่ พวกนั้นรู้กันหรือยัง”
คีธส่ายหน้าเป็นคำตอบ ซีเลนส่งเสียงหัวเราะในลำคอขึ้นมา
“ถ้ารู้นี่ได้เป็นเรื่องใหญ่แน่”
“หม่อมฉันก็หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเก็บเป็นความลับ ทั้งกับพวกเรา และกับเซนไทน์” คีธว่าดักคอทันใด
“เออๆ ไม่ใช่เรื่องของฉันก็ไม่อยากจะยุ่งนักหรอก ไม่ต้องห่วง ว่าแต่พวกนายเถอะ กวินทร์ท้องแบบนี้ แล้วนายจะไม่อยู่ ถ้ากวินทร์คลอดออกมา ใครจะเลี้ยงลูก”
พอซีเลนถามแบบนี้ ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตอนถูกคีธวางไข่ ผมไม่ได้ถามเลยนี่หว่าว่าจะต้องตั้งท้องกี่เดือน ท้องแล้วนมจะตั้งเต้าขึ้นมา จะมีน้ำนมมั้ย และอีกสารพัดคำถามที่ผุดพรายขึ้นมาในหัวผมในตอนนี้ เพราะคีธบอกแค่ว่าฝากลูกไว้ให้อาแปะเลี้ยงได้ แต่ไอ้ตอนเป็นทารกนี่สิ ใครจะเลี้ยง อย่าบอกนะว่าผมจะต้องหอบไปเลี้ยงที่มหา’ลัยด้วย?
คีธเองก็ดูเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ หันมามองหน้าผมก่อนจะหันกลับไปพูดกับซีเลน
“องค์ชายจะไม่ทรงเสด็จไปกับพวกหม่อมฉันใช่มั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ฉันไม่ชอบตระเวนเร่ร่อนไปมาสักเท่าไหร่ อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว”
“เช่นนั้นถ้าหม่อมฉันจะฝากลูกให้ฝ่าบาททรงช่วยกวินทร์เลี้ยง ฝ่าบาทจะทรงเมตตาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ผมเบิกตาโพลงทันที แค่มันบอกว่าให้อาแปะขายบะหมี่เลี้ยง ผมก็คิดหนักแล้วนะ นี่มันยังจะให้ไอ้หื่นกามซีเลนมาช่วยเลี้ยงอีก ลูกกูจะโตมาเป็นคนยังไงวะเนี่ย! แถมเมื่อกี้มึงก็เพิ่งจะกระชากคอเสื้อมันไปเองนะเว้ย ฝากเลี้ยงลูกหน้าตาเฉยแบบนี้ มึงมีสามัญสำนึกบ้างมั้ยวะ!
ซีเลนทำหน้าประหลาดใจไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมยกนิ้วชี้
“นายหมายถึงให้สารอาหารสินะ”
พอคีธพยักหน้า ผมก็ยิ่งเต้นเร่าขึ้นไปอีก
นี่มึงอย่ามาให้ลูกกูไปดูดนิ้วของมันสิวะ! นิ้วไม่ผ่านการตรวจสอบจากกรมอาหารและยา แถมเป็นนิ้วของไอ้หื่นกาม มึงคิดว่าลูกจะคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกมั้ยไอ้คีธ!
แต่ไม่ทันละ เตือนอะไรมันไม่ทันละ แค่คีธพยักหน้า ซีเลนก็รับปากเรียบร้อย
“ได้ ไม่มีปัญหาถ้าแค่นั้นน่ะนะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกวินทร์ อย่างที่บอกว่าหมดความสนใจไปละ น่าเสียดายชะมัด ยังไม่ได้กินเลย” แล้วมันก็บ่นต่อท้าย หากแต่คีธทำเป็นไม่ได้ยิน
“ขอบพระทัยฝ่าบาทอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างระอา ส่วนซีเลนก็พยักหน้า บอกลาคีธแล้วขึ้นรถขับออกไป ทิ้งท้ายว่าจะกลับไปที่แหล่งกบดานก่อนเพราะจะไปหาบรูคลินกับเบน ปล่อยให้ผมยืนอยู่กับคีธตามลำพัง คีธหันมาให้ความสนใจผมในตอนนี้ ผมเลยได้โอกาสจวกมันเลย
“คิดบ้าอะไรของนายอยู่ถึงได้ให้ไอ้บ้านั่นมาช่วยเลี้ยงลูกน่ะฮะ ฉันไม่เอาด้วยนะเว้ย”
“ก็กวินทร์ไม่มีน้ำนม”
“เดี๋ยวไปซื้อมาชง ฉันจะเลี้ยงเอง”
“สารอาหารที่ได้จากร่างกายของชาวยูนิกม่าดีต่อสภาพร่างกายทารกชาวยูนิกม่ามากกว่าอาหารสังเคราะห์ อีกอย่าง องค์ชายก็ตรัสแล้วว่าหมดความสนใจในตัวกวินทร์แล้ว คงจะไว้ใจได้”
ไว้ใจได้เตี่ยมึงสิ เมื่อกี้มันยังจะลากกูเข้าม่านรูดอยู่แหม็บๆ มึงไม่เห็นหรือไงวะ!
ผมทำท่าจะท้วงอีก แต่คีธก็แทรกขึ้นมาก่อน
“ถ้ากวินทร์ไม่ไว้ใจองค์ชาย ก็ไว้ใจฉัน สิ่งที่ฉันตัดสินใจคือฉันมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยกับกวินทร์และลูก”
พูดมาอย่างนี้ ผมก็เถียงต่อไปออก เออออรับปากส่งๆ ไป
“ก็ได้ๆ แต่ถ้าคีตาเป็นอะไรขึ้นมา บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่เอานายไว้แน่”
“อืม”
“เอ้อ ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนละเรื่องท้องเนี่ย เวลานายวางไข่เพื่อสร้างร่างใหม่นี่ใช้เวลา 48 ชั่วโมงใช่มั้ย แล้ววางไข่เพื่อใช้ทายาทนี่ใช้เวลากี่ชั่วโมง 48 ชั่วโมงเหมือนกันป่ะ?” ผมนึกเรื่องนี้ได้ฉับพลัน ทว่าการส่ายหน้าเป็นคำตอบของคีธทำให้ผมหวั่นใจเล็กน้อยยามนึกถึงตัวเองอุ้มท้องเหมือนผู้หญิงเป็นระยะเวลานาน ก่อนจะถามออกไปอีกครั้ง “แล้วมันกี่ชั่วโมง”
“ปกติแล้ว พวกสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ฮิวมานอยด์จะมีระยะเวลาในการตั้งครรภ์สร้างทายาทพอๆ กัน ระยะเวลาเฉลี่ยนอยู่ที่ 8 เดือน ถึง 1 ปี สำหรับชาวยูนิกม่าจะใช้เวลาราว 8 เดือน ชาวดาวเคราะห์สีน้ำเงินใช้เวลา 9 เดือน ก็คงจะราวๆ 8-9 เดือนนี่แหละ”
“อะไรนะ!” ผมร้องลั่น มือไม้สั่นขึ้นมา ขณะที่คีธทวนคำตอบอีกครั้ง
“ประมาณ 8-9 เดือน”
คุณพระ! แค่คิดว่าจะต้องอุ้มท้องก็หนักใจแล้ว ตอนที่ท้องให้มันสร้างร่างใหม่นี่ ผมไม่กล้าออกไปไหนเลยนะทั้งที่ใช้เวลาแค่ 48 ชั่วโมงแท้ๆ แต่นี่ตั้ง 8-9 เดือน มึงไม่คิดจะให้กูได้ออกไปไหนเลยใช่มั้ย!?
คิดเท่านั้น ผมก็หันไปเอานิ้วล้วงคอทันที กะสำรอกไข่ออกมา คีธเห็นก็ย่นคิ้ว
“กวินทร์ทำอะไรน่ะ”
“เอาไข่ออกสิวะ! อ้อก...” แล้วก็เอานิ้วล้วงคอให้อ้วกออกมาอีก ทุเรศตัวเองมาก แต่ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ว่ะถ้าจะต้องมีท้องโตๆ อยู่เกือบปีขนาดนั้นน่ะ
ทว่าคีธไม่แยแส มองผมนิ่งๆ แล้วก็ว่าเนิบๆ “ป่านนี้ไข่ฝังที่กระเพาะไปแล้ว เอาออกมาด้วยวิธีนั้นไม่ได้หรอก”
“งั้นฉันจะกินยาถ่ายเหมือนริชาร์ด!” ผมหยุดล้วงคอ หันไปโวยวายใส่มัน แต่คีธยังคงทำเฉย
“ถ้าไข่ฝังตัวไปแล้วก็หมดสิทธิ์นะกวินทร์”
“แล้วนายจะให้ฉันเดินท้องโตโชว์โลกหรือไงวะ! ตลกไปหน่อยแล้ว!” ผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดท้องโตขึ้นมา แล้วผมจะต้องออกไปข้างนอก ผมจะซ่อนท้องนี่ยังไง
คีธคงจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เลยเสนอความเห็นขึ้นมา “กวินทร์ก็ใส่ชุดคลุมท้องสิ”
“จะใส่ยังไง ฉันเป็นผู้ชายหรือเปล่าวะ!”
“แต่งหญิงไง”
ผมค้อนมันประหลับประเหลือกเลย
มึงอย่าพูดเป็นหนังการ์ตูนนะไอ้คีธ ถึงกูจะไม่ได้ดูมาดแมนอะไรเท่ามึง แต่คือโครงหน้ากูยังไงก็ดูเป็นผู้ชายไง แต่งหญิงทีนี่คงดูไม่จืด ชีเมล (Shemale) ดีๆ นี่เอง ไม่ใช่ชีเมลธรรมดาด้วย ชีเมลตั้งท้อง มึงเอ๊ย... จะแต่งหญิงทั้งที ทำไมกูต้องแต่งเป็นผู้หญิงท้องวะ!
หากแต่คีธก็ทำให้ความกังวลของผมอันตรธานหายไปเมื่อมันเดินเข้ามาวางมือลงบนกระหม่อมผมแล้วลูบเบาๆ
“เอาน่ากวินทร์ ไม่กี่เดือน ที่อยู่ในท้องกวินทร์น่ะก็คือลูกของเรานะ”
ผมนิ่ง มองหน้ามันครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจยาว
“เออ ก็ได้วะ เห็นแก่คีตาหรอกนะถึงได้ยอม”
คราวนี้คีธยิ้มออก ดึงผมเข้าไปประทับจูบบนหน้าผากทีหนึ่งเบาๆ ผมก็เลยยิ้มกลับบ้าง แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเหลือบเห็นรถมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ข้างๆ ผมไม่ถามหรอกว่ามันไปเอารถมาจากไหน ก็คงจะพวกยูนิกม่าซื้อมานั่นแหละ ขนาดรถคันเก่าของเจเนซิสพัง วันใหม่มันยังไปซื้อมาได้เลย แถมซื้อเงินสดด้วย บอกแล้วว่าพวกนี้น่ะเงินเยอะจะตาย ผมเลยสงสัยเรื่องอื่นแทน
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
“ได้ยินเสียงกวินทร์กับองค์ชายคุยกัน พอได้ยินองค์ชายตรัสว่าจะพากวินทร์เข้าโรงแรมก็เลยรีบมา”
“อ๋อ มิน่าล่ะถึงตามมาถูก”
คีธพยักหน้าแล้วพูดต่อ “จริงๆ ตามมาตั้งแต่ตอนกวินทร์ออกจากบ้านตอนเช้าแล้ว”
“แสดงว่า... เป็นห่วงเหรอ” ผมอมยิ้มเล็กน้อยขณะถาม แล้วก็ต้องหลุดยิ้มกว้างจนได้เมื่อคีธตอบกลับมา
“ห่วงสิ ห่วงคีตาด้วย ไม่เป็นห่วงกวินทร์กับคีตาแล้วจะให้ห่วงใคร”
เหอะ... มึงมันบ้า อย่ามาทำให้กูเขินนะเว้ย!
หน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมา ยิ่งถูกคีธลูบผมไม่หยุดด้วยแล้วยิ่งร้อนหนักขึ้นไปอีก ผมเลยสะบัดหน้าออกจากมัน จังหวะนั้นนึกถึงเจเนซิสขึ้นมาได้ จะว่าไปยังไม่ได้บอกเลยแฮะว่าสรุปแล้วได้เรื่องอะไรบ้าง
คิดได้เท่านั้น ผมก็เอ่ยปากออกไป
“เอ้อ วันนี้ที่ไปคุยกับเจเนซิสน่ะ หมอนั่นบอกว่า...”
“รู้แล้ว ได้ยินหมดแล้ว” แล้วคีธก็โพล่งแทรกขึ้นมาทั้งที่ผมพูดยังไม่ทันจบ ผมเลยย่นคิ้วให้มันได้พูดต่อ “ฉันไปหลบรอกวินทร์อยู่แถวๆ โรงแรมนั่นก็เลยได้ยินน่ะ อย่าลืมสิว่าฉันเป็นยูนิกม่า”
ผมตระหนักได้ในตอนนี้นี่เองว่าพวกมันประสาทสัมผัสดียิ่งกว่าอะไร แต่ถ้ามึงจะดักฟังแล้วได้ยินชัดเจนขนาดนั้น ทำไมพวกมึงไม่อยู่ที่บ้านแล้วพูดถามกันโดยใช้ประสาทสัมผัสฟังเอาวะ จะให้กูแบกหน้าไปหามันถึงที่รังเซนไทน์ทำไม!
ผมมองมันตาขวาง เหมือนคีธจะรู้ว่าผมคิดอะไรเลยชิงพูดก่อน
“องค์ชายแอสโซซิโนมีพระประสงค์ให้กวินทร์ไปดูสภาพของเจเนซิสน่ะ”
“เละ บอกได้เลยคำเดียวว่าเละ” ผมสวน
“ก็พอรู้อยู่แล้ว” คีธว่าก่อนจะเดินไปคว้าหมวกกันน็อคที่ล็อคอยู่ท้ายรถขึ้นมายื่นให้ผม “ใส่สิกวินทร์ จะได้กลับกัน”
ผมรับมาสวม คีธตามมาล็อคสายหมวกใต้คางให้ผม ก่อนจะสวมของตัวเองบ้าง แล้วขึ้นคร่อมรถ พยักหน้าให้ผมตามมาซ้อน ผมก้าวขึ้นไปคร่อมได้ไม่ถึงอึดใจ มือใหญ่ก็ดึงมือผมไปสวมกอดเอว ผมกำลังจะอ้าปากถามว่ามันจะทำอะไร คีธก็หันมาบอกก่อนแล้ว
“เกาะไว้แน่นๆ เดี๋ยวคีตาตกรถ”
ผมหัวเราะ ทุบมันไปที รู้สึกว่าตั้งแต่วางไข่คีตาไปนี่ มันดูแลผมดีขึ้นเยอะเหลือเกิน
“ขี่ไปได้แล้ว มัวแต่พูดมากอยู่นั่น เดี๋ยวทุบแม่ง” แล้วผมก็แก้เขินด้วยการขู่ทำร้ายร่างกายมัน
คีธไม่ว่าอะไร สตาร์ทรถแล้วขับออกไป มือก็เอื้อมมาจับมือผมที่เกาะเอวมันอยู่เป็นระยะราวกับเช็คว่าผมยังอยู่ ผมเห็นแล้วก็อดโน้มตัวไปข้างหน้า กอดเอวมันแน่นขึ้นอย่างเสียมิได้ เอาหน้าอิงแผ่นหลังกว้างไปด้วย คีธสะดุ้งเล็กน้อย ตามด้วยแผ่นหลังกระเพื่อมเบาๆ ราวกับหัวเราะ
หมั่นไส้มันเหมือนกันที่ทำท่าเหมือนมีความสุข แต่ช่างมันเถอะ ผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน ยอมเป็นแว้นซ้อนท้ายแว้นมนุษย์ต่างดาวให้วันนึงก็แล้วกัน
 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด