ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๒
วันสงกรานต์
วันนี้เป็นวันสงกรานต์... “วันนอนอยู่บ้าน สนุกสุขใจจริงเอยยย” เสียงตะโกนดังขึ้นมาดังลั่นห้อง ตะโกนออกมาแบบไม่ต้องกลัวข้างห้องมาด่าเพราะผนังที่นี่เก็บเสียง
ฝนกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง พยายามร้องเพลงให้ตัวเองอารมณ์ดีแต่มันก็อารมณ์ดีไม่ลงจริงๆเมื่อนึกถึงใครอีกคน
ใครอีกคนที่ทำให้เขาบอกปัดไม่รับงานสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์เพื่อใช้วันหยุดในช่วงเทศกาลด้วยกัน แต่ไอ้พี่โง่นั่นดันทะลึ่งรับงานแล้วก็ทิ้งเขาให้นอนเหี่ยวแห้งอยู่ที่คอนโด!
เกลียดโว้ย นายวสันต์เกลียดไอ้พี่โง่อารัณย์ที่สุด!
คนตัวเล็กทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแรงๆ เสื้อยืดสีเขียวเปิดร่นเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่มีกล้ามเนื้อสมส่วน ริมฝีปากบางเบ้คว่ำเป็นสระอิ ดวงตากลมเหลือบไปมองโพสอิทหัวเตียง เป็นแผนที่เขาอยากทำกับอารัณย์ในช่วงสัปดาห์นี้
ไปเล่นน้ำกันที่ถนนข้าวสาร
ทำอาหารกินกันเองที่ห้อง
เช่าหนังมาดูกันในวันหยุด
แล้วก็เป่าเค้ก... ปลายนิ้วเรียวไล่มาถึงโพสอิทสีเหลืองอ่อนใบสุดท้ายแล้วก็ได้แต่ทำหน้าบึ้ง วางแผนไว้เสียดิบดีแต่กลับล่มเพราะอีกคนเอาแต่ทำงาน มันน่าน้อยใจไหม!
วันที่ 13 นอกจากเป็นวันสงกรานต์แล้วยังเป็นวันเกิดฝนอีกด้วย เกิดกลางเดือนเมษา ช่วงเวลาที่ร้อนชิบหายที่สุดของปีแต่กลับชื่อฝน ชื่อจริงก็แปลว่าฤดูฝนไม่รู้เหมือนกันว่าแม่คิดอะไรอยู่
สงสัยไม่อยากให้ซ้ำกับพี่สาว...พี่สาวเขาชื่อ ‘คิมหันต์’ ที่แปลว่าฤดูร้อนไปแล้วนี่นา
ฝนถอนหายใจ สายตาหยุดลงที่กรอบรูปหัวเตียง เป็นรูปที่เขากับพี่คิมยืนกอดคอถ่ายรูปคู่กัน คนที่ถ่ายรูปนี้จะเป็นใครนอกจากอารัณย์...แฟนหนุ่มของคิมหันต์ในเวลานั้น
“พี่คิม พี่รันแม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ วันเกิดฝนก็ทำแต่งาน” ฝนพูดกับพี่สาวในรูปภาพ เขายิ้มออกมานิดๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ฝนก็ยังคิดถึงรอยยิ้มของพี่สาวเสมอ
หลังจากที่พ่อแม่จากไป ฝนในวัยเด็กก็เหลือแค่พี่สาวที่เป็นเสาหลักทางใจเพียงหนึ่งเดียว ตอนนี้พี่สาวเรียนมัธยมแล้วเขาก็อยู่ชั้นประถม ในตอนนั้นผู้ใหญ่หลายคนก็อยากจะรับอุปการะพวกเขาแต่ไม่สามารถเลี้ยงเด็กสองคนไว้ได้ เพราะญาติส่วนใหญ่ของพ่อแม่ก็มีลูกมีหลานกันแล้วทั้งนั้น
เพราะงั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะแยกฝนกับคิม แล้วก็ให้สองครอบครัวรับเด็กไปอุปการะกันคนละคน
ฝนที่ทั้งตกใจที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วก็กลัวว่าจะถูกแยกกับพี่สาวได้ร้องไห้ไม่หยุด พี่สาวก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่พี่เข้มแข็งกว่าเขา พี่กอดเขาเอาไว้แน่นแล้วก็บอกว่าอย่าแยกพวกเราออกจากกัน พูดไปร้องไห้ไปจนผู้ใหญ่ใจอ่อน จากนั้นพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน
ในช่วงเวลานั้นฝนจำได้ว่ามันเหมือนทุกอย่างถาโถมใส่เขาเหมือนคลื่นยักษ์ ตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เขาจมดิ่งลงไปใต้ท้องทะเล
หลังพ่อแม่เสียไม่นานฝนก็เริ่มได้ยินเสียงในใจ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมใครๆถึงมองเขาแปลกๆในเวลาที่เด็กชายเผลอตอบอะไรบางอย่างออกมาทั้งที่ไม่มีใครพูดหรือบางครั้งเมื่อเขาทนเสียงในใจที่ถาโถมมาไม่ไหว...ฝนมักจะปวดหัวแล้วก็ร้องตะโกน ทำท่าเหมือนกับว่ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังเป็นปกติดี
ใครๆเลยชอบพูดกันว่าเด็กชายวสันต์เป็นเด็กมีปัญหา ชอบเรียกร้องความสนใจ
การสัมผัสกับคนอื่นก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน เขามักจะเลี่ยงการสัมผัสมือ สัมผัสตัวกับคนอื่นๆ เพราะมันจะทำให้เขาเห็นภาพวูบวาบไปมาไม่หยุด
เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหวฝนก็เอาเรื่องนี้ไปบอกกับผู้ปกครองที่รับเลี้ยงเขา...และสิ่งแรกที่คนพวกนั้นทำก็คือ...พาฝนไปพบจิตแพทย์
เขารู้ว่าถ้าเป็นเขาแล้วมีเด็กในปกครองทำตัวแบบนี้ฝนก็คงทำแบบเดียวกัน
แต่เขาในตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหลัง ถูกทรยศ ทุกคนมองเขาเหมือนเป็นตัวประหลาดและจับเขายัดเข้าโรงพยาบาลบ้า หมอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเขาช็อกจากการสูญเสียพ่อกับแม่ ทำให้สร้างเสียงและภาพหลอนขึ้นมา
เขาถูกส่งตัวเขารับการบำบัด ฝนพยายามทำตัวเป็นปกติ แสร้งทำเป็นว่าเขาหายดี จากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้อีกเลย
หลังจากการบำบัดสองปี ฝนเริ่มปรับตัวเข้ากับพลังพิเศษของตัวเองได้ ผลการเรียนเขาดีที่สุดในห้อง เป็นที่หนึ่งในทุกวิชา หน้าตาก็โดดเด่นจนมีคนมาทาบทามให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารบ่อยครั้ง และในตอนนั้นเองที่ฝนได้รู้จักกับอารัณย์ แฟนหนุ่มของคิมหันต์
คนที่สะกดสายตาฝนไว้ได้ตั้งแต่แรกเจอ
คนที่เป็นเหมือนครอบครัวอีกคนของเขา
คนที่เป็นที่ปรึกษาให้เขาได้ทุกเรื่อง
คนที่บอกว่าจะปกป้องเขา
คนที่ในเวลาต่อมาก็เอาหัวใจของเขาไปดวง...
และในเวลาต่อมาฝนก็รู้ว่าทุกสิ่งที่อารัณย์ทำ...มันเป็นเพราะว่าเขาคือน้องชายของคิมหันต์
ฝนยอมรับว่าในส่วนลึกของใจ เขาทั้งรักทั้งอิจฉาพี่สาว...พี่สาวที่น่ารักและเป็นทุกอย่างของฝน ในขณะเดียวกันก็โดดเด่น
กว่าฝนทุกอย่าง
ไม่สิ บางทีที่ฝนอิจฉาพี่คิมคงเป็นเพราะพี่มีบางสิ่งที่ฝนไม่มี
พี่มีคนรักที่ดี
คนรักของพี่สาว...ที่ฝนเองก็รัก
ฝนทำใจเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เขาเป็นฝ่ายมาที่หลังและเป็นฝ่ายผิด เพราะงั้นเขาก็จะทำใจ...ไม่ได้ตัดใจ แต่จะอยู่ตรงนี้ ในมุมของเขา เป็นน้องชายที่น่ารักของทั้งคู่ คอยมองคนที่เขารักมีความสุข
แต่แล้ว...ในตอนที่เขาตัดสินใจจะไม่ยื้อแย่งความรักของพี่สาว ตัดสินใจจะช่วยให้คนทั้งคู่มีความสุข
ในช่วงเวลานั้น ความตายก็มาพรากพี่สาวเขาไป พาเอาตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเขาจากไปตลอดกาล
เขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ...
ฝนได้ญาติๆเป็นธุระช่วยจัดงานศพ ภาพเด็กหนุ่มที่เพิ่งขึ้นมัธยมไม่นานนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแฝงแววเศร้าโศกลึกซึ่งทำให้ผู้คนที่มาร่วมงานอดสะเทือนใจไม่ได้
ฝนพยายามบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้...เขาร้องไห้ไม่ได้ เพราะถ้าเขาเผยความอ่อนแอออกมาในตอนนี้เขาก็จะยิ่งโดดเดี่ยว
ไม่มีอ้อมแขนของพี่คอยประคอง ไม่มีมือบางคอยเช็ดน้ำตา และไม่มีรอยยิ้มที่นำความสุขใจกลับมาอีกแล้ว
ฝนในตอนนั้นเหมือนแก้ว ทำเป็นแข็งแกร่งแต่จริงๆแล้วข้างในของเด็กหนุ่มกำลังแตกสลาย
และในตอนที่เขากำลังจะพังลงมานั้นเอง อารัณย์ก็เข้ามา โอบกอดเขาไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไร ยืนอยู่ข้างหลังและเป็นผู้ประคองเขาไว้
ในช่วงเวลาที่อ่อนแอ ฝนก็ตกหลุมรักอารัณย์อีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้
และเขาก็ฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของอีกฝ่ายเช่นกัน
ในตอนนั้นฝนทำใจไว้แล้วว่าจะต้องเสียอีกฝ่ายไปตลอดกาล...
แต่พอลืมตาขึ้นในตอนเช้า อารัณย์ก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว คนคนนั้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเห็นดังนั้นฝนเองก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน พวกเขายิ้มให้กัน ทำตัวเหมือนปกติ กลบฝังความร้าวรานและความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่แตะต้องกันและกันอีก
ฝนไม่เคยรื้อฟื้นเรื่องคืนนั้นเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแตะต้อง
เขาเข้าใจว่าที่อารัณย์อยู่ตรงนี้รวมถึงที่ยอมมีอะไรกับเขาในวันนั้นเป็นเพราะอารัณย์คิดถึงพี่คิม และฝนก็หน้าตาเหมือนพี่คิม...
ส่วนเรื่องที่ผันตัวเองมาเป็นนายแบบทั้งที่เขาไม่ได้นึกรักในอาชีพนี้เลยแม้แต่น้อยก็เป็นเพราะพี่อีกนั่นแหละ พี่คิมอยากเป็นนางแบบ สมัยก่อนก็ชอบให้พี่รันถ่ายรูปให้บ่อยๆ พี่รันบอกเสมอว่าพี่คิมดูสวยและเป็นธรรมชาติที่สุดก็ตอนที่พี่รันถ่ายรูปให้ อัลบั้มรูปของพี่สาวเขายังอยู่บนชั้นในห้องรับแขกอยู่เลย ฝนกับอารัณย์ดูแลมันเป็นอย่างดี
เท่านี้ก็คงพอจะรู้แล้วสินะ...ว่าตัวเขาเป็นได้แค่เงาของพี่คิมเท่านั้น
มือบางคว้าโทรศัพท์มาเลื่อนดูเป็นรอบที่ร้อย มีแต่ข้อความอวยพรเขา ของขวัญจากแฟนๆก็อยู่กับพี่ผู้จัดการ สงสัยต้องบอกให้พี่รันแวะไปเอามาด้วย
แต่...ในแจ้งเตือนนับร้อยนับพันข้อความกลับไม่มีข้อความจากคนที่เขาคิดถึง
ฝนโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะลากสภาพอืดๆของตัวเองไปที่หน้ากระจก โคนผมของ
เขาเริ่มเป็นสีดำแล้ว มือเรียวจับปอยผมสีฟ้าด้านหน้าขึ้นมาดู หนต่อไปจะย้อมเป็นสีอะไรดีนะ...
ฝนเปลี่ยนสีผมอยู่เกือบตลอด ไม่ใช่เพราะอยากเด่นหรืออะไร แต่เพราะเขาไม่ชอบที่ตัวเองผมดำ เวลาเห็นหน้าตัวเองตอนผมดำในกระจกทีไรเหมือนเห็นหน้าพี่คิมเวอร์ชั่นผู้ชายทุกที...
ถ้าเขาผมดำอารัณย์ก็จะยิ่งมองเขาเป็นตัวแทนของพี่คิม เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เมื่อก่อนฝนอาจจะทำใจว่าเขาเป็นได้แค่ตัวแทนพี่สาว แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มอยากให้อารัณย์มองเขาในแบบที่เป็นเขา ไม่ใช่มองเขาเป็นตัวแทนของคิมหันต์
เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทดังขึ้น ฝนรีบถลาไปคว้ามาดูแล้วก็ต้องสลดลงไปวูบหนึ่งเมื่อพบว่ามันเป็นข้อความจากดินไม่ใช่จากอารัณย์
ฝ่ายนั้นส่งรูปภาพครอบครัวมาให้พร้อมกับคำอวยพรยาวเหยียด ฝนอมยิ้มขณะมองภาพครอบครัวสุขสันต์ เจ้าหมูน้อยตรงกลางตัวกลมขึ้นแล้ว แก้มยุ้ยน่ารักเชียว เขามองภาพดินกับเดือนที่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
เป็นครอบครัวที่น่ารักและน่าอิจฉาจริงๆ
ชายหนุ่มถอนหายใจ เผลอจินตนาการว่าเขากับอารัณย์จะมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยกันไหม คิดแล้วก็ขำตัวเองที่เผลอ
จินตนาการอะไรแบบนั้นออกมา มันก็ต้องเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
ตอนนี้รูปถ่ายคู่กันก็มีนับรูปได้
แต่ถ้าเป็นรูปถ่ายของพี่คิมกับพี่รันน่ะเหรอ มีเป็นสิบเป็นร้อย
ฝนถอนหายใจ การคิดถึงอดีตทำให้เขาหดหู่ เหมือนเขากำลังแปลงร่างเป็นเด็กขี้อิจฉาอยู่เลย ชายหนุ่มร่างเล็กบิดขี้เกียจก่อนจะปรือตามองโทรศัพท์ก่อนวางมันลงข้างหมอน เหม่อมองเพดาน ความรู้สึกตอนนี้คือทั้งเบื่อทั้งเหงา
หรือจะออกไปเดินเล่นข้างนอกดี ไหนๆพี่รันก็จะไม่กลับมาแล้ว
ครืด ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ข้างหมอนทำให้คนตัวเล็กต้องผงกหัวขึ้นมาดู พอเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องกดรับสาย
“ว่าไง”
[เห อะไรทำให้คุณอารมณ์เสียได้ในวันดีๆแบบนี้ล่ะเนี่ย]
น้ำเสียงยียวนเป็นเอกลักษณ์ทำให้นายแบบหนุ่มกลอกตามองเพดานก่อนตอบเสียงห้วน “ก็นายไง”
กวินหัวเราะร่วนหลังได้ฟังคำตอบ ฝนถอนหายใจ เออ เอาเข้าไป เขาหงุดหงิดแต่กลับทำให้คนอื่นอารมณ์ดีแทนซะอย่างนั้น
“ว่าแต่โทรมามีอะไร”
[ผมรู้มาว่าวันนี้วันเกิดคุณ]
ฝนเลิกคิ้วนิดๆแต่ก็ไม่ได้สงสัยว่าอีกฝ่ายรู้วันเกิดเขาได้ยังไง เพราะเขาไม่เคยบอก แต่กวินก็เป็นถึงนักสืบ ช่วงนี้อีกฝ่ายก็ค่อนข้างสนิทกับเขาพอสมควร เรื่องแค่นี้คงรู้ได้ไม่ยาก...อันที่จริงแค่เข้าไปดูในเพจของเขาที่แฟนคลับตั้งขึ้นมาก็รู้แล้ว
“อืม แล้วไงต่อ จะร้องแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ตอนนี้เลยว่างั้น?”
[เปล่า อยากร้องให้ฟังตอนคุณมาบ้านผมต่างหาก]
“ขอเหตุผลดีๆที่ทำให้ผมต้องฝ่าแดดร้อน เสี่ยงกับการโดนสาดน้ำและประแป้งไปบ้านคุณหน่อยสิ”
[หวา พูดแบบนี้ก็แย่สิ ผมไม่มีเหตุผลดีๆหรอกนะนอกจากว่าวีอบเค้กไว้ให้คุณแล้ว น้องอยากให้ของขวัญคุณด้วยตัวเองน่ะ]
ถ้ากวินมายืนอยู่หน้าเขาตอนนี้มันโดนถีบขาคู่แน่!
ฝนแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ก่อนจะนึกได้ว่าไอ้คนปลายสายมันไม่รู้ไม่เห็นนี่หว่า คนตัวขาวถอนหายใจ เล่นเอาน้องสาวตัวเอง
มาอ้างแบบนี้ก็แย่สิ กวินรู้ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธเด็กสาวตัวเล็กคนนั้นได้สักที
“เอางั้นก็ได้”
[อือหึ รีบมานะ]
ฝนรับคำก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พักหลังมานี้เขาค่อนข้างสนิทกับกวินอยู่พอสมควร ไม่รู้อีกฝ่ายถูกชะตาอะไรกับเขามากมาย ตอนแรกก็คุยไลน์ ไปๆมาๆก็แลกเบอร์ พอสนิทกันมากขึ้นกวินก็พาเขาไปเยี่ยมกานดาหรือน้องวี น้องสาวของกวิน
ด้วยความช่วยเหลือจากเดือน ดิน และเงินสมทบของเขา แม้ไม่มากพอจะส่งสาวน้อยไปรักษาต่างประเทศแต่ก็มากพอจะ
ช่วยให้เธอได้ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครันและมีหมอที่สามารถดูแลเธอได้อย่างดี
ฝนไปเยี่ยมวีบ่อยครั้ง ไปเล่านิทานให้ฟังบ้าง เอารูปสวยๆไปให้ดูบ้าง จนตอนนี้น้องกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านหลังการผ่าตัดใหญ่ก็ยังคงเป็นแบบนั้น ฝนชอบเด็กคนนั้นและหวังว่าเธอจะหายจากโรคและมีอนาคตที่สดใส
เพื่อป้องกันการถูกสาดน้ำฝนเลยเลือกที่จะขับรถส่วนตัวไป โชคดีที่บ้านของกวินอยู่ไม่ไกลนักและช่วงนี้คนก็ออกต่างจังหวัดกันหมด ท้องถนนจึงค่อนข้างโล่ง
เมื่อเขามาถึงบ้านของอีกฝ่าย คนตัวเล็กก็เดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย คิดแล้วก็ขำ เข้าๆออกๆบ้านนี้จนจำได้หมดแล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน เดินไปเดินมาได้เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง ชายหนุ่มร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อสาวน้อยกับพี่ชายของหล่อนมาดักรอเขาที่ประตูแล้วก็ร้องว่าแฮปปี้เบิร์ดเดย์เสียงดัง
ฝนยิ้มก้มลงไปมองเค้กก้อนใหญ่ในมือของกานดา เด็กสาวมองเขาตาเป็นประกาย
“นี่ทำเองเหรอครับ น้องวี”
“ค่ะ! มีพี่กวินเป็นลูกมือล่ะ อร่อยนะ รับรองเลยค่ะ ฝีมือวีซะอย่าง”
วสันต์หัวเราะกับท่าทางอวดอย่างน่ารักนั้น เขาลูบผมเด็กสาวบนรถเข็นและยิ้มสดใสส่งให้ ก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่ถือกล่องของขวัญเอาไว้สองกล่อง กวินยื่นกล่องสีฟ้าสองใบให้เขา กล่องใบหนึ่งผูกริบบิ้นสีขาว อีกกล่องผูกสีเหลือง
“ริบบิ้นขาวของผม ริมบิ้นเหลืองของวี สุขสันต์วันเกิดนะครับ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดอะไรก็ขอให้สมหวัง หน้าตาน่ารักใช้เป็นเครื่องมืทำมาหากินได้ไปนานๆ ขอให้ดังคับฟ้าคับจักรวาลนะครับ”
“ขอให้พี่ฝนมีวความสุขมากๆนะคะ แล้วก็มาหาวีบ่อยๆน้า”
“ฮ่าๆครับๆ”
ฝนหัวเราะก่อนจะกล่าวขอบคุณ หลังจากนั้นกวินก็หยิบเทียนวันเกิดมาปักให้เขา ฝนมองเทียนที่ลุกไหม้ไปช้าๆ เขาไม่ค่อยได้เป่าเค้กวันเกิดนัก ส่วนใหญ่ก็จะซื้อเค้กชิ้นเล็กๆมานั่งกินกับอารัณย์สองคนมากกว่า แต่หนนี้พอได้เป่าเค้กก็ไม่รู้จะอธิษฐานอะไร
“พี่ฝน เป่าเทียนสิคะ” กานดาเอ่ยเร่งเมื่อเห็นว่าเทียนหดสั้นลงไปทุกที ฝนจึงได้แต่อธิษฐานถึงสิ่งแรกที่คิดแล้วก็เป่าเทียน ยิ้มขำกับคำอธิษฐานง่ายๆของคนอย่าง...
ขอให้ทุกคนมีความสุข
เค้กที่กานดาทำอร่อยจนฝนชมเด็กสาวไม่หยุดปาก เป็นเค้กช็อกโกแลตที่ไม่หวานจนเกินไปและโปะครีมไม่หนา ฝนไม่ชอบกินอะไรที่โปะครีมหนาๆ เขารู้สึกว่ามันเลี่ยนและชวนอ้วกมาก หลังกินเค้กกันจนอิ่มก็เหลืออีกตั้งครึ่งก้อนสองพี่น้องเลยเอาเค้กใส่กล่องแล้วยกให้เขาเอากลับไปบ้าน ยังไงเจ้าของวันเกิดก็เขาอยู่แล้ว
ฝนอยู่ที่บ้านกวิน ช่วยทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆซึ่งนักสืบหนุ่มก็ไม่ได้ขัดศรัทธาในการช่วยเหลือ จากนั้นพวกเขาก็นอนเรียงกันดูการ์ตูน ดูหนัง และเล่นเกมกันจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงหกโมงเย็นฝนก็ขอตัวกลับบ้าน กวินจึงอาสามาส่งเขาที่ประตู
“วันนี้ขอบคุณมากนะ” นายแบบหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณจากใจ กวินยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรหรอก บางทีคนที่คุณควรขอบคุณอาจจะไม่ใช่แค่พวกผม” ท้ายประโยคพึมพำแผ่วเบา แต่เพราะนักสืบหนุ่มนึกประโยคนั้นในใจด้วยฝนเลยได้ยินเข้าไปเต็มๆ คิ้วเรียวขมวดนิดๆแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่ขับรถกลับบ้านแล้วพอมาถึงบ้านก็ต้องพลกับห้องว่างเปล่า
อารัณย์ยังไม่กลับ เหอะ ป่านนี้คงจะลืมไปแล้วมั้งว่านี่วันเกิดเขา
ถ้านี่เป็นวันเกิดพี่คิม พี่รันคงรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วมาอยู่ด้วยแล้ว
ฝนถอนหายใจ ความเศร้าแผ่ปกคลุมตัวเขาอีกครั้ง นี่เขาอุตส่าห์ไม่กินข้าวเย็นกับพวกกวินเพระแอบหวังว่าจะได้กลับมาทำ
อาหารเย็นกินกับพี่รัน
คนตัวเล็กเปิดตู้เย็นออกแรงๆแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นของสดในตู้เย็นเลย ไม่มีขนมหวาน ไม่มีเค้กด้วย...
ปึง
ฝนเอาเค้กที่ได้จากกวินใส่ไว้ในตู้เย็น เอาให้แม่งกระแทกลูกตาไอ้พี่บ้านั่นไปเลย เหอะ เขาไม่สนเค้กกับของขวัญ จากอารัณย์แล้วก็ได้ แล้วสุดท้ายฝนก็ต้องมาต้มมาม่าใส่ไข่แล้วก็นั่งกินไปพลางดูหนังซีรีส์คนเดียวไปพลางก่อนจะเก็บล้างแล้วอาบน้ำ นั่งอ่านนิยายรออารัณย์แต่หลังอ่านนิยายจบไปครึ่งเล่ม เงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว ฝนที่ทนรอคนใจร้ายคนนั้นไม่ไหวแล้วก็เลยปิดไฟล้มตัวลงนอน ก่อนนอนยังส่งข้อความไปโวยวายกับกวินอีกชุดใหญ่
RainWason : ไอ้พี่รันแม่งงง น้อยใจว่ะแต่ทำไรไม่ได้ ถ้าเป็นพี่คิมเขาคงไม่ทำแบบนี้ RainWason : อยู่ด้วยกันมาหลายปี วันเกิดผมเขาก็จำไม่ได้ ไม่เคยมีของขวัญ สงสัยแม้แต่ของที่ผมชอบหรือไม่ชอบเขาก็คงไม่รู้ น่าเสียใจว่ะ หลังระบายความอัดอั้นไปจนพอใจฝนก็หลับไป
หลับไปทั้งที่ยังน้อยใจอยู่แบบนั้น
1.30 AM
ประตูห้องนอนใหญ่ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนร่างสูงของช่างภาพหนุ่มผมยาวในสภาพอยู่ในชุดนอนที่เปียกเป็นจุดๆเพราะเขาไม่ใส่ใจจะเช็ดตัวให้แห้งก็ปรากฏขึ้น ร่างสูงเดินแผ่วเบาไปที่เตียง ไม่อยากให้คนที่กำลังหลับสบายต้องตื่น
ชายหนุ่มเพิ่งเคลียร์งานด่วนที่บอสส่งมาให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเสร็จไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้คิดจะลากยาวมาถึงตอนนี้เลยด้วยซ้ำ จริงๆอารัณย์ลาหัวหน้าเอาไว้แล้วแต่เพราะลูกค้าที่ติดต่องานมาหนนี้เป็นคนมีชื่อเสียง ผลงานที่เขาอยากได้คืองานที่สมบูรณ์แบบ หัวหน้าจึงเลือกให้เขารับผิดชอบงานครั้งนี้
และผลของมันน่ะเหรอ? ก็คือเด็กน้อยที่งอนตุ๊บป่องไปแล้วนี่ไง
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก คงน้อยใจนึกว่าเขาลืมวันเกิดล่ะสิ แหงล่ะเพราะเขายังไม่ได้อวยพรอีกฝ่ายเลยนี่นา
ที่ไม่อวยพรไม่ใช่เพราะลืม ใครมันจะไปลืมวันสำคัญแบบนี้ได้ลง แต่อารัณย์ไม่อยากอวยพรให้ฝนโดยไม่เห็นหน้า เขาอยากบอกกับตัวเป็นๆมากกว่า เลยอดทนรอจะเป็นคนบอกสุขสันต์วันเกิดเป็นคนสุดท้าย
ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้อารัณย์รีบหยิบมาเปิดดูก่อนที่คนข้างกายจะตื่น รหัสผ่านโทรศัพท์ของเด็กคนนั้นเขารู้ เด็กคนนั้นก็รู้รหัสมือถือเขาเหมือนกัน
ข้อความที่ส่งมามาจากกวิน อีกฝ่ายฝากความคิดถึงจากกานดามาให้ อ่านไปก็ได้แต่เบ้หน้านิดๆ อารัณย์เลื่อนข้อความขึ้นไปเรื่อยๆก่อนจะไปสะดุดกับข้อความล่าสุดที่ฝนส่ง พออ่านก็รู้สึกแย่อยู่เหมือนกัน อารัณย์ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาดูเป็นคนก้าวร้าวและโลกส่วนตัวสูงด้วยในบางครั้ง ทำให้หลายการกระทำก็ไม่ได้คิดถึงในคนถูกกระทำ
วันนี้ก็เช่นกัน
แต่นายอารัณย์ก็ไม่ใช่ผู้ชายใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย
ฝนบอกว่าถ้าเป็นคิมหันต์เขาจะแคร์เธอมากกว่านี้ มันก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะเขารักคิมหันต์ แต่เขาก็แคร์ฝนเหมือนกัน เพียงแค่คนตัวเล็กไม่ได้รับรู้
หลายปีที่อยู่ด้วยกันเขาค่อยๆซึมซับตัวตนของฝนไปทีล่ะน้อยจนกลายเป็นเขาเองที่ถูกกลืนกิน
ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดกับน้องชายอดีตคนรักก็เกิด เขาเคยคิดจะห้ามมันแต่ก็ห้ามไม่ได้เลยได้แต่ปล่อยให้มันกระจายตัวอยู่ในหัวใจเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดมันออกไป
เพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ถูกไม่ควร
หากถามว่าเขาลืมคิมหันต์ได้หรือยังอารัณย์ก็ตอบได้ว่ายังและไม่คิดจะลืม เขาจะไม่ปล่อยให้เธอเลือนหายไป มันคงเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวหากเขาเลือกที่จะลืมเธอเพื่อไปมีความสุขกับคนอื่น หลอกลวงตัวเองด้วยคำว่าเธอคงหวังให้เป็นแบบนี้
คนเรารู้ได้ยังไงว่าคนรักที่จากไปหวังให้เราไปมีความสุขกับคนอื่น นั่นมันก็แค่ข้อแก้ตัวของคนที่อยากเริ่มต้นรักครั้งใหม่เม่านั้นแหละ
เขาจะไม่ลืมคิม ไม่ลืมรักแรกที่ประทับแน่นอยู่ในใจ เธอจะเป็นฤดูร้อนที่สวยงามอยู่ในใจของเขาตลอดไป ถึงวันนี้ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ จะไม่ได้เกิดกับเธออีกแล้ว...แต่กลับไปเกิดกับคนที่ไม่ควรเกิดมากที่สุดอย่างน้องชายของเธอก้ตาม
อารัณย์รักฝน แต่พื้นที่ในใจส่วนที่เป็นของคิมหันต์เขาก็ไม่ลบเลือนมันไป
เขาไม่เคยบอกความรู้สึกนี้ให้ฝนรู้ บางทีอาจเพราะความกลัวก็ได้...ช่างภาพหนุ่มไม่รู้ว่าความรักของเขาเกิดจากตรงไหน อาจจะเป็นความผูกพันก็ได้ เคยมีคนบอกเขาว่าความผูกพันไม่ใช่ความรัก แต่สำหรับเขาความผูกพันทำให้เกิดความรัก และบางทีสองสิ่งนี้อาจจะเป็นอย่างเดียวกัน
เขาก็ไม่รู้หรอก ไม่แน่ใจ แต่รู้ตัวว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับฝน เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจและไม่เคยได้พูดออกไปสักที
เขาไม่เคยพูดฝนก็เลยคิดว่าตัวเองไม่มีความสำคัญกับเขา อยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนของคิมหันต์แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
ฝนชอบคิดว่าเขาไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตน คิดว่าเขาไม่เคยรู้อะไรเลย
อืม...เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆ
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนไม่ชอบกินต้นหอมกับกระเทียมเจียวเพราะบอกว่ากลิ่นมันฉุน
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบใส่เสื้อสีฟ้าในวันที่อารมณ์ดี
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนไม่ชอบเดินห้างและไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆแต่ชอบไปสถานที่ที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่า
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบเค้กใบเตยมากที่สุด รองลงมาคือช็อกโกแลตแล้วก็วานิลลา
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบกินมัสมั่นกับยำวุ้นเส้น เป็นอาหารโปรดเลยล่ะ
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบ สีม่วง สีฟ้า แล้วก็สีเขียว
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนติดนิสัยนอนคว่ำหน้า
ไม่รู้เลยจริงๆว่าเวลาโกหกอีกฝ่ายจะชอบยกมือขึ้นมาเกาแก้มแล้วก็ถูมือไปมา
ไม่รู้เลยจริงๆว่าอีกคนน่ะห่วยงานเย็บปักที่สุดแต่ก็พยายามเย็บเสื้อที่ขาดให้เขา
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบดอกมะลิมากที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหมด
ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบดูหนังแฟนตาซี เป็นแฟนพันธ์แท้แฮรี่ พอตเตอร์กับเพอร์ซีย์ แจ็กสัน ไม่รู้เลยจริงๆ...เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆน่ะเหรอ
แค่ไม่พูดไม่ได้หมายความอารัณย์ไม่รู้ และแค่ไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้สึก
มันแค่ยังไม่ถึงเวลา
วันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งให้อีกคนนอนอยู่ที่คอนโดแต่มันมีงานด่วนเข้ามา จริงๆอารัณย์ตั้งใจเคลียร์ตารางตัวเองให้ว่างเอาไว้แล้ว ส่วนเรื่องรูปถ่ายคู่...ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากถ่าย แต่เขาอยากถ่ายรูปคู่กับฝนในช่วงเวลาพิเศษ อยากให้ทุกครั้งที่พอมองรูปภาพจะนึกถึงเรื่องราวในวันที่ถ่ายได้ ‘ทุกรูป’ อยากให้ทุกความทรงจำติดแน่นในใจ
เห็นไหมว่านายอารัณย์น่ะรู้ทุกอย่าง คนที่ไม่รู้อะไรเลยน่ะ ฝนต่างหาก...
ร่างสูงวางกล่องของขวัญลงบนหัวเตียง สอดตัวลงไปใต้ผ้าห่ม มองคนที่หลับไปแล้วก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
คำอวยพรน่ะ...เอาไว้พูดวันพรุ่งนี้ตอนอีกฝ่ายตื่นก็แล้วกัน
เพราะเขารู้ว่ารอยยิ้มกับท่าทางของดีใจของเด็กคนนี้มันน่ารักมากที่สุดเลยล่ะ
**************************************************************
เนื่องจากเห็นคนอ่านบอกคาใจเรื่องรัน-ฝนก็เลยจัดตอนพิเศษมาให้ค่ะ//ยิ้มหวาน
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ย้อนหลังน้าน้องฝนคนงาม 5555
ตอนแรกที่เขียนเกือบกลายเป็นกวิน-ฝนแล้ววว รู้สึกว่าเคมีช่างเข้ากั๊นเข้ากัน
แต่เราก็วนกลับลำทัน รัน - ฝนก็เคมีเข้ากันน้า สำหรับกวินสิ่งที่มีให้ฝนคือมิตรภาพและความรู้สึกดีๆค่ะ
เพราะฝนก็จัดว่าเป็นผู้มีพระคุณสำหรับกวินคนหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับอารัณย์ เขาเป็นครนที่โลกส่วนตัวสูง ดูลั้ลลา ปากหมา ลอยลม แต่จริงๆก็คิดเยอะและเซนซิทีฟพอควร
ดังนั้นเลยไม่ค่อยแสดงออกให้เห็น สำหรับรันความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากความผูกพัน
แล้วค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ เขาเลยมองว่าความรู้สึกที่มีให้ฝนคือความรักที่เกิดจากความผูกพัน
เพราะก็รู้สึกดีๆต่อกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี แต่พี่แกอาร์ท ชีวิตเข้าใจยากนิดนึง 55555
ตอนพิเศษที่ตั้งใจจะเขียนก็เหลืออยู่อีกประมาณสองสามตอน
(ไม่แน่ใจว่าจะมีเฟิงปราณไหมแต่ก็อยากเขียนเหมือนกันค่ะ 555)
ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านและให้กำลังใจนะคะ อ่านคอมเม้นท์วนไปมาหลายรอบมาก 5555
พบกันใหม่ในเรื่อง 'เพราะหลงรักคุณ' (อัพทุกวันเสาร์หรือบางทีก็เสาร์-อาทิตย์ค่ะ)หรือตอนพิเศษตอนหน้านะคะ