ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ  (อ่าน 99782 ครั้ง)

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เห้ยยย ทำไมเราตามเรื่องนี้ช้า ดีใจที่มีนิยายดีๆ แบบนี้

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ชอบน้องดิน


เมื่อไหร่น้องจะมองเส้นด้ายสีแดงที่พี่เดือนบ้าง???

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เฮ่ยยยย ชอบเรื่องนี้
เดือนคือดีงาม ตลกดี เเต่นางก็มีสาระเยอะอยู่
ชอบดินที่มีพลังพิเศษ ปมนางก็เยอะดี รอๆๆ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


พี่เดือน... พี่เดือนเสียบเลยลูก
้น้องกำลังบอบช้ำ น้องกำลังเฟ้งฟ้าง นี่แหละคือช่วงเวลาดีที่จะพิสูจน์น้ำใจของพระเอกอย่างแท้จริง!!!
น้องเซ น้องทรุดพ่อก็เข้าไปชาร์จ เข้าไปประคองให้ว่อง
น้องร้องไห้ น้องเศร้าพ่อก็เข้าไปกอดปลอบ หอมหัว หอมแก้มให้น้องลืม ๆ
อีกหน่อยน้องก็ลืมพี่ทะเลเทใจให้เดือนแล้วลูก เชื่อป้า... ป้าอ่านนิยายวายมาเยอะ!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ & Happy New Year ค่ะ!!  :mew1:


ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
ตอน ๗.๕ พิเศษ(ใส่ใจ)
คืนข้ามปี


   สำหรับดินแล้ววันปีใหม่มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากวันปกติทั่วไปสักนิด  ไม่สิ อาจจะต่างนิดหน่อยตรงที่ต้องเปลี่ยนปฏิทินใหม่แล้วก็เปลี่ยนไปใช้พ.ศ.ใหม่  เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

   แต่โดยรวมแล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไปเหมือนวันก่อนๆหน้านั้นนั่นแหละ

   สาเหตุหนึ่งที่ดินไม่นับวันปีใหม่เป็นเทศกาลพิเศษคงเพราะเขาไม่มีครอบครัวให้ฉลองด้วยมาล่ะมั้ง หืม คุณแม่มะลิกับคุณพ่ออัลเฟรดน่ะหรือ? พวกท่านเป็นครอบครัวก็จริง...แต่ดินก็ไม่อาจเอื้อมไปนับตัวเองเป็นลูกแท้ๆของท่านหรอก   ในช่วงปีใหม่นี้คุณพ่อจะพาคุณแม่ไปฉลองปีใหม่กันกะหนุงกะหนิงสองคนแถวยุโรปไม่ก็ญี่ปุ่น ส่วนดินก็จะอาสารับหน้าที่เฝ้าบ้านให้โดยรับปากคุณแม่อย่างดิบดีว่าจะไม่ทำงานในช่วงปีใหม่ แต่จะหยุดอยู่บ้าน ดูทีวี กินข้าว นั่งๆนอนๆไป

   แล้วชีวิตในวันปีใหม่ของเขาก็ดำเนินไปแบบว่างๆและไร้สีสัน

   “เพราะแบบนี้นายเลยจะไม่ฉลองปีใหม่อย่างนั้นเหรอ?” ดินพยักหน้าตอบผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือดด้วยสีหน้าเนือยๆ ขณะที่เดือนอ้าปากค้างมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าประหนึ่งมองมนุษย์ต่างดาว

   ว่างเปล่ามาจนกระทั่งปีนี้นี่แหละ...

   บนโลกนี้มันมีคนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเทศกาลสำคัญแบบนี้ด้วยเหรอวะ  ไม่อยากจะเชื่อ!

   “ได้ยังไง! นี่มันเทศกาลสำคัญนะ”

   “จริงๆแล้วปีใหม่ของไทยคือช่วงสงกรานต์นะครับ...คุณต่างหากที่ฉลองผิดเทศกาลน่ะ”

   “สงกรานต์ก็ค่อยฉลองช่วงสงกรานต์สิ  นี่มันปีใหม่สากล”

   “ผมอนุรักษ์ความเป็นไทย”

   เดือนแทบจะก้มลงไปไหว้น้องชายต่างสายเลือด  คนตัวโตรู้สึกเหมือนตนพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงขณะที่มองน้องชายเก็บกวาดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย

   “นายก็เลยจะไม่ไปฉลองปีใหม่ที่อิตาลีกับพวกเรา?”

   “ครับ ตามนั้น”

   เดือนส่ายหน้ากับความคิดของอีกฝ่าย  เขาหรี่ตาลงยกมือกอดอก “นายกำลังจะกันตัวเองออกจากครอบครัวอย่างนั้นสินะ” เขาว่า รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกเมื่อร่างเล็กนั่นชะงักไปแวบหนึ่ง เขาเดาว่าดินคงคิดอะไรทำนองว่าตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ไม่ใช่สมาชิกของครอบครัวนี้ เลยไม่อยากไปร่วมฉลองปีใหม่ด้วยเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก

   เฮ้อ ทำไมน้องชายของเขาถึงได้คิดมากแบบนี้นะ

   “แล้วนายจะอยู่บ้านกับใคร พวกคนใช้กับป้าชื่นก็กลับบ้านกันหมด”

   “ผมอยู่คนเดียวได้น่า ไม่ใช่เด็กเสียหน่อย” ดินตอบพลางเรียงหมอนบนโซฟาตัวยาวให้เป็นระเบียบ 

   “แต่นั่นมันก็ไม่ดีอยู่ดี”

   “นี่!” ดินหันกลับมาเผชิญหน้ากับเดือน กอดอก คิ้วเรียวขมวดมุ่น นัยน์ตาคู่สวยหลังกรอบแว่นฉายประกายวาววับจนเดือนนึกถึงอาจารย์ฝ่ายปกครองสมัยมัธยมของตัวเองขึ้นมาตงิดๆ

   แต่ถ้าอาจารย์ฝ่ายปกครองจะหน้าตา ‘น่ารัก’ ขนาดนี้ เขายอมโดนลากเข้าห้องปกครองทุกวันเลยเอ้า
!
   เดี๋ยวๆไม่ใช่ละ เพ้อเจ้ออีกแล้วไอ้เดือน

   ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีทะมึนที่แผ่ออกมาจากร่างตรงหน้า

   นี่มันน้องชายปางสังหารพี่ต่างหาก!

   “ผมจะอยู่ยังไงก็ไม่ได้เดือดร้อนคุณ  โอเคนะครับ  ผมก็อยู่แบบนี้ของผมมาตั้งหลายปี ถ้ารู้แล้วก็เลิกกังวลแล้วไปเช็คของสักทีเถอะครับ  คุณขึ้นเครื่องตอนตีสามไม่ใช่หรือไง”  เดือนเองก็จะไปร่วมฉลองปีใหม่กับพ่อและแม่ที่อิตาลีด้วย เพราะเขาไปนั่นหมายความว่าดินจะต้องอยู่คนเดียว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มยอมไม่ได้เมื่อรู้แถมมารู้เอาหนึ่งวันก่อนการเดินทางอีกด้วยแน่ะ! เพราะเขาให้คุณพ่อเป็นคนจัดการเรื่องทริปนี้ทั้งหมด มารู้ก็ตอนเห็นตั๋วเครื่องบินแค่สามใบนั่นแหละ

   “ฉันไม่ไปแล้ว”

   “ตลก คิดว่าค่าตั๋วมันถูกนักรึไง อย่าใช้เงินสิ้นเปลืองสิครับ”

   “เดี๋ยวฉันคืนเงินให้พ่อกับแม่ก็ได้”

   “คนที่กรอบจนต้องกลับมาใช้โทรศัพท์รุ่นปาหัวหมาแตกจอขาวดำแบบคุณน่ะเหรอครับ” ดินกระตุกยิ้มมุมปาก มองเดือนด้วยสายตาเย้ยๆ จนชายหนุ่มอยากจะเข้าไปดึงไอ้หน้าตึงๆนั่นให้ย้วยออกมาเหมือนในการ์ตูนนัก  เดือนยกมือเป็นทำนองว่ายอมแพ้ “แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายอยู่บ้านคนเดียวอยู่ดี มันไม่โอเคเลย”

   “คิดมากไปแล้วครับ ผมไม่เป็นไรหรอก” ดินยิ้ม  เดินไปตบไหล่คนตัวสูง “ชินแล้วล่ะ”

   “ก็บอกไงว่าอย่าพูดอะไรน่าสงสารแบบนั้น” ว่าจบคนเป็นพี่ก็เกี่ยวเอวน้องชายเข้ามาใกล้แล้วฝังจมูกลงไปที่แก้มนิ่มๆนั้นเร็วๆ สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่จนได้กลิ่นแป้งเด็กและกลิ่นหอมเหมือนวานิลลาของอีกฝ่ายเดือนก็รีบกระโดดถอยออกมา หลบหมัดหนักของน้องชายไปได้อย่างฉิวเฉียด

   “ทำอะไรของคุณ!” เดือนมองคนผมดำที่ยืนถูแก้มแรงๆจนมันขึ้นสีแดง...ที่ไม่รู้ว่าแดงจากแรงถูหรือแดงจากอาการอายกันแน่

   คนตัวเล็กอายจนหน้าแดงก่ำ  ริมฝีปากบางเม้มแน่น สัมผัสอุ่นๆตรงแก้มเมื่อครู่ จะเช็ดอย่างไรก็รู้สึกเหมือนมันติดแน่นอยู่ที่ผิวแก้ม หัวใจเต้นถี่รัวจนน่ากลัวว่ามันจะกระดอนออกมานอกอก  เลือดสูบฉีดไปที่ผิวหน้าจนร้องวูบวาบไปหมด  ดินแยกเขี้ยวใส่คนตัวโตขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะลั่น มีความสุขเสียเต็มประดาที่แกล้งเขาได้สำเร็จ

   “ให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆไง อยู่บ้านคนเดียวนายจะได้ไม่เหงา” ว่าพลางขยิบตาให้แต่คนผมดำกลับทำหน้าเหมือนจะพุ่งมาแหกอกเขา “ไอ้พี่เดือน!”

   พอกันที เขาโมโหแล้วนะ

   ยังไม่ทันจะทำอะไรคนขโมยหอมแก้มคนอื่นก็เผ่นขึ้นห้องไปแล้ว ทิ้งให้ดินยืนหน้าแดงอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น
พอได้เวลาออกจากบ้านดินก็รับหน้าที่เป็นคนขับรถไปส่งทุกคน เมื่อมาถึงสนามบินคนผมดำก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อพี่ชายตัวโตไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปหยิบกระเป๋าเดินทางแต่อย่างใด ดินมองพี่ชายที่ยังดูดีแม้จะใส่แว่นกันแดดไว้ตลอดเวลาคนตรงหน้าทำตัวปกติทุกอย่าง แถมยังไปช่วยขนกระเป๋าของพ่อกับแม่ลงจากรถ  ไวเท่าความคิดคนตัวเล็กก็ส่งเสียงถามออกไป

   “แล้วกระเป๋าคุณล่ะ”

   “ไม่ได้เอามา”

   ดินนิ่งไป หรี่ตาลง สัญญาณเตือนภัยในใจดังลั่น  เขาว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ  “อย่ามาตลกครับ คุณจะไปอิตาลีทั้งๆที่ไม่มีกระเป๋าหรือไง”

   “แล้วใครว่าฉันจะไปอิตาลี?”

   ดินอ้าปากค้าง  หันไปมองพ่อกับแม่ที่ยืนมองอยู่ยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของลูกชายคนเล็กคุณมะลิก็เฉลยให้ว่า “พอรู้ว่าลูกจะอยู่บ้านคนเดียวพี่เดือนเขาก็เลยขออยู่เป็นเพื่อนน่ะ” เธอว่าพลางลูบผมสีดำของลูกชาย  ดวงตากลมหวานฉายแววเอ็นดู ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าที่ดินไม่ยอมไปฉลองปีใหม่กับพวกเธอมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เธอไม่อยากให้ลูกชายอึดอัดจึงยอมรับในทางที่เขาเลือก

   “อยู่บ้านกันสองคนก็ดูแลกันดีๆนะลูก  ดูบ้านให้เรียบร้อยด้วยนะเดือน” คุณอัลเฟรดบอกลูกชายคนโตที่ยิ้มกว้างมาให้  เดือนพยักหน้าให้พ่อกับแม่ “ครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ” คนตัวสูงกอดแม่แน่นก่อนที่แม่มะลิจะย้ายไปกอดร่างบางของดิน  จากนั้นสองพี่น้องก็มองตามร่างผู้ปกครองที่ค่อยๆกลืนหายไปในฝูงชน

   “ได้น้องแน่ๆเลยคราวนี้”  เสียงทุ้มต่ำพึมพำอยู่ข้างหู ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก ร่างบางผงะถอยก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เขาแล้วจ้ำอ้าวออกไป ทิ้งให้พี่ชายตัวสูงยืนงงอยู่คนเดียว

   เป็นอะไรของเขา...แค่อยากจะคุยด้วยเฉยๆเองนะ

ดินกำลังตกใจ  ในสมองของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด  คนบ้าอะไรพูดดีๆไม่ได้ต้องก้มลงมากระซิบข้างหู! มือเรียวยกสัมผัสใบหูตัว ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดกับเสียงทุ้มทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปอีกแล้ว   ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระออกไป เมื่อกี้มันก็แค่อาการตกใจเท่านั้นแหละ  อย่าลืมสิว่าความจริงมันเป็นยังไง...อีกอย่างตอนนี้เขามีสิ่งที่ต้องกังวลมากกว่า

อยู่คนเดียว...กับไอ้คนฉวยโอกาสนั่นตั้งสิบกว่าวันเชียวนะ! เขาจะไม่เป็นบ้าตายไปก่อนหรือไง คนผมดำกัดริมฝีปากแน่น รู้ดีหรอกว่าไม่ได้จะเป็นบ้า  แต่จะเป็นโรคหัวใจวายก่อนน่ะสิ เพราะคตัวสูงนั่นชอบมาทำอะไรให้เขาตกใจเล่นอยู่เรื่อย พยายามทำใจให้ชินเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที

ดินผ่อนฝีเท้าลงเมื่อเดินมาถึงรถ แต่ขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับมือใหญ่ก็คว้าแขนเขาไว้ก่อน  “ไม่ต้อง นายไปนั่งเบาะข้างคนขับเลย  หนนี้ฉันขับเอง”

“แต่...”

“เอาน่า ขับมาตั้งนานนายน่าจะเมื่อยไม่ใช่เหรอ  ผลัดกัน หนนี้ฉันขับเอง”

ว่าจบก็มัดมือชกด้วยการสอดตัวเองไปนั่งประจำที่คนขับ ยึดตำแหน่งสารถีมาเรียบร้อย เห็นดังนั้นดินก็จนใจจะพูดด้วยเลยได้แต่ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี

สียงเพลงเบาๆดังคลอไปในรถประกอบกับแอร์เย็นๆและกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้คนสวมแว่นเริ่มตาปรือ แต่ดินก็พยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้หลับ  เขาไม่อยากหลับ  อย่างงน้อยถ้าตื่นอยู่ก็คงจะพอชวนอีกคนคุยขึ้นมาได้ถ้าพี่ชายเขาเกิดง่วงขึ้นมาบ้าง อีกอย่างให้อีกคนเหนื่อยขับรถในขณะที่เขามานั่งหลับมันไม่แฟร์เลยจริงๆ

“ง่วงเหรอครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามทำให้คนที่สติหลุดไปกว่าครึ่งได้แต่พยักหน้า เดือนขยับยิ้มมองอาการขยี้ตาแล้วหาวหวอดเหมือนเด็กๆของอีกฝ่าย “ง่วงก็ปรับเบาะนอนไปเถอะ”

“ไม่เอา...เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน”

“เอาจริงๆนะ นายตื่นแต่ไม่ชวนคุยค่ามันก็เท่ากับนายหลับไปแล้วนั่นแหละ ไม่ต่างหรอก” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะขณะที่ดินส่งค้อนมาให้วงเบ้อเริ่ม  นี่กล้าหัวเราะให้ความหวังดีของเขาเรอะ  เออ อยากขับรถแบบเงียบเหงาก็ตามใจเหอะ

ไม่สนใจแล้ว!

คิดได้ดังนั้นก็จัดการปรับเบาะลง เอนตัวนอนแถมหันหลังให้คนขับอีกต่างหาก  ดินถอดแว่นออกก่อนจะแกล้งหลับตาลง  แอร์เย็นเป่าลงมาทำให้หนาวก็จริงแต่ก็ทำให้ง่วงด้วย สุดท้ายคนตัวบางก็หลับไปจริงๆ

เดือนเหลือบมองคนที่หลับไปแล้ว ใบหน้าคมคายเผยรอยยิ้มออกมา ชายหนุ่มใช้มือซ้ายเกลี่ยไปตามเส้นผมนุ่มนิ่มนั้น  คนหลับที่โดนกวนส่งเสียงครางออกมาอย่างรำคาญ ก่อนจะพลิกตัวมาทางเขา

เหมือนลูกแมวจริงๆ...

นิ้วเรียวยาวไล่มาจนสัมผัสได้ถึงแก้มนิ่มของอีกฝ่ายที่เขาพิสูจน์แล้วว่ามันทั้งนิ่มทั้งหอมขนาดไหน  เกลี่ยแก้มอีกฝ่ายเล่นแล้วก็นึกพิเรนทร์ขึ้นมาว่าถ้าลองดึงแรงๆ แก้มนี่จะย้วยออกมาไหมนะ  เดือนยิ้มกว้างแกล้งดึงแก้มคนหลับเบาๆหนึ่งที ก่อนจะหันกลับไปทุ่มสมาธิให้กับการขับรถต่อเหมือนเดิม

ดินมารู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่เดือนดับเครื่องยนต์  รอบด้านสลัวจนแน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บนถนนกันแน่ๆ “อ้าวตื่นแล้วเหรอ กำลังจะปลุกเลย” เดือนพูดก่อนจะหลุดขำเมื่อเห็นสีหน้างงๆกับผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงของอีกฝ่าย  ชายหนุ่มเอนตัวไปใช้มือจัดทรงผมให้น้องชายต่างสายเลือดจนเมื่อพอใจจึงได้ผละออกมา

“ที่นี่ที่ไหนครับ?”

“ที่จอดรถของห้างน่ะ ไหนๆก็ไม่มีใครอยู่ด้วยตั้งสิบกว่าวัน เลยพามาซื้อของเข้าบ้านหน่อย” พูดจบก็เดินลงจากรถไป ดินที่ยังงงๆเลยได้ลงมายืนแบบมึนๆ แต่เนื่องจากเพิ่งตื่นคนตัวเล็กเลยเกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยจนต้องพิงรถไว้ไม่ให้ล้ม

“จะเป็นลมเหรอ?”

“ครับ หน้ามืดนิดหน่อยน่ะ”

เดือนพยักหน้า ยืนรอจนเมื่ออีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาแล้วก็คว้ามือของดินมาจับไว้แน่น กะไม่ให้สะบัดหลุดกันเลยทีเดียว “นี่คุณ...”
“เดี๋ยวนายหน้ามืดจะเป็นลมอีกก็แย่น่ะสิ” คนหลอกจับมือแถไปเนียนๆ รีบลากร่างของอีกฝ่ายเข้าไปในห้างทันที 

การซื้อของครั้งนี้เป็นไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร ดินรู้สึกเหมือนตัวเองมาเด็กสามขวบมาห้างอย่างไรอย่างนั้น  เพราะหันไปทางไหนอีกฝ่ายก็ชี้จะเอาอันนู้นเอาอันนี้ไม่หยุด

“เป็นเด็กสามขวบรึไงครับ!” ในที่สุดเมื่อทนไม่ไหวเขาก็หันไปดุเข้าให้ แต่คนโตกว่ายักไหล่ลอยหน้าลอยตาน่ากระทืบ แถมยังมีการพึมพำรายการของที่อยากได้อีก “อยากกินโยเกิร์ตจังน้า”

“ก็ไปซื้อสิครับ”

“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากกินแล้ว”

เอ้า ไอ้หมอนี่มันสติดีหรือเปล่าวะ หรืออยากแกล้งให้เขาโมโหจนเส้นเลือดในสมองแตกตายกัน

ดินกรอกตา ตัดสินใจว่าจะเลิกสนใจผู้ชายโตแต่ตัวที่ด้านหลังนี่  เขาเข็นรถเข็นไปยังโซนขายผัก  ก่อนจะหยิบผักบุ้งกับผักกาดลงไป แล้วทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายโตแต่ตัวคนที่ว่ากำลังแอบหยิบผักชีออกจากรถเข็น “วางมันลงที่เดิมเลยนะครับคุณรวีกานต์”

เดือนทำหน้าน่าสงสารเมื่อรู้ว่าถูกจับได้ แต่ขอโทษ ถ้าทำหน้าตาแค่นี้แล้วนายปฐพีคนนี้จะสงสารก็ขอบอกว่าฝันไปเถอะ

“มันเหม็นนี่” เดือนว่าเสียงอ่อยขณะที่ดินเริ่มกุมขมับ “คุณเป็นเด็กสามขวบจริงๆรึไง ถึงได้ไม่กินผัก”

“ไม่กินแค่ผักชีต่างหาก” เดือนแก้  แต่ก็ยอมวางกลับลงไปแต่โดยดี “หยิบมาทำไมกัน สุกี้มันไม่ต้องใส่ผักชีนี่นา” เพราะวันนี้เดือนอยากจะดินสุกี้ขึ้นมาเลยพาดินมาหาซื้อวัตถุดิบกับไปทำที่บ้าน

“แต่อย่างอื่นมันต้องใช้นี่ครับ” คนตัวเล็กว่า ไล่ดูรายการของในรถเข็นเมื่อเห็นว่าครบแล้วก็เอี้ยวตัวไปถามคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง “คุณอยากได้อะไรเพิ่มไหม?”

“ไม่ล่ะ” เดือนเมียงมองในรถเข็นที่นอกจากจะมีของสดไว้ทำสุกี้แล้วยังมีขนมนมเนยอยู่เต็ม “แค่นี้ก็พอ”

“งั้นไปคิดเงินกันเลยดีกว่า จะได้รีบกลับ”

ดินพูดแต่ยังไม่ทันจะได้ออกเดินก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกเมื่อรับรู้ถึงไออุ่นและแผ่นอกแข็งแรงที่สัมผัสหลัง  ชายหนุ่มรีบหันขวับไปอย่างรวดเร็ว ทำให้จมูกไปกระแทกกับอกแข็งแรงนั่นเข้าเต็มๆ  ดินลูบจมูกป้อยๆ ด่าสวนไปทันที “เล่นอะไรบ้าๆ”

“ไม่ได้เล่นสักหน่อย จะช่วยเข็นรถ” เดือนพูดหน้าตาเฉย  ซึ่งทำให้ดินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด จะช่วยเข็นก็บอกสิโว้ย มายืนซ้อนหลังทำซากอ้อยอะไร!

ชายหนุ่มหน้าร้อนวูบเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับเด็กสาวสองคนแอบมองพวกเขาอยู่ พอรู้ว่าเขารู้ตัวแล้วพวกเธอก็หลบตาแล้วเดินจากไป แต่ยังไม่วายยิ้มแล้วกระซิบกระซาบกันพลางกลับมามองทางนี้เป็นระยะ

‘เป็นแฟนกันแน่เลยแก’

‘กรี๊ดดด น่ารักมาก  คนเมะก็หล่อ คนเคะก็น่ารัก อ๊ายย ฟินว่ะ’

บทสนทนาที่ได้ยินแว่วๆทำให้ดินอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี  เขาไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรคือเมะคือเคะ แต่ที่เข้าใจก็คือสถานการณ์ตอนนี้ของพวกมันโคตรจะล่อแหลม!

นี่มันเหมือน...เหมือนแฟนกันเลยนี่นา

“ทำไมคนมองเราเยอะจัง” ร่างสูงพึมพำ ดินหันไปมองรอบตัวก็พบว่าหลายคนจ้องมองมาทางพวกเขาทั้งนั้น  โธ่เอ๊ย ยังจะไม่รู้ตัวอีกนะว่าทำไม 

ปึ้ก

“โอ๊ย ดินเหยียบเท้าพี่ทำไมครับ”

“ก็คุณแกล้งผมก่อน!”

คนตัวเล็กตวาดแว้ด ก่อนจะมุดตัวออกมาวงแขนแข็งแรงนั่นแล้วเดินนำหน้ารถเข็นไปยังแคชเชียร์

หยุดนะ หยุดเลยไอ้หัวใจบ้าๆนี่...มันก็แค่เรื่องบังเอิญ อีกคนก็แค่แกล้งเขาเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้น ห้ามอาย...ห้ามเขิน...ลืมมันไปให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ นายปฐพี!

กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว พอขนของเขข้าบ้านเสร็จดินก็จัดการทำสุกี้อย่างรวดเร็ว สุกี้หม้อใหญ่กับคนสองคนในตอนแรกดูเหมือนจะมากเกินและคนทำก็คิดไว้แล้วว่าของเหลือแน่ๆ  แต่ดินคงประเมินกระเพาะของนายรวีกานต์ต่ำไป เพราะคนตัวโตกินเอาๆจนสุดท้ายหม้อก็เหลือแต่ผักกับน้ำซุป ระกว่างที่นั่งกินกันเดือนก็เปิดดีวีดีที่ซื้อมาวันนี้ไปด้วย ดูหนังไปกินไป รู้ตัวอีกทีก็สุกี้ก็หมดหม้อแล้ว

หลังจากเก็บล้างทุกอย่างเสร็จเดือนก็ลากน้องชายต่างสายเลือดออกมาที่ชานระเบียงบนชั้นสอง บ้านชั้นบนของเขาออกแบบมาให้คล้ายกับบ้านทรงไทยโบราณ  มีชานระเบียงกว้างขวางที่วางกระถางดอกไม้หลากสีสันซึ่งบานสวยงามในตอนเช้า โคมไฟทอแสงสีส้มนวลตา  ที่ชานระเบียงมีเก้าอี้โยกทำจากไม้กับโต๊ะกลมเข้าชุดกันอยู่ ไม่ไกลจากตรงนั้นยังมีแคร่ไม้ไผ่อยู่ด้วย คืนนี้เดือนเลือกที่จะนั่งตรงแคร่ไม้ไผ่  เขาวางผ้านวมที่ถือติดมือลงมาด้วยไว้บนแคร่ก่อนจะเขยิบให้ดินนั่งด้วย

กลิ่นหอมของดอกไม้ที่บานตอนกลางคืนโชยมากับลมอ่อนๆยามราตรีชวนให้ชื่นใจ  “จริงๆออกมานั่งแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”

“ครับ ถ้าคุณไม่กลัวโดนยุงดูดเลือดหมดตัวจะย้ายมานอนที่นี่ทุกคืนก็ได้นะครับ”

“จะปีใหม่แล้ว เลิกด่าพี่เถอะครับ”

“อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สิพี่เดือน”

เดือนชะงักเมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่’ จากปากคนตรงหน้า น้อยครั้งที่อีกคนจะเรียกเขาแบบนั้น สงสัยคืนนี้จะเป็นคืนที่ดีแฮะ
“ยิ้มอะไรครับ” ดินเอียงคอน้อยๆมองคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างงุนงง

“ก็...น้องดินเรียกฉันว่าพี่”

   “อ่า...” ดินหันหน้าไปทางอื่น  แต่เดือนสาบานได้ว่าอีกหน้าแดง “เรียกบ่อยๆสิ” เขาพูด “พี่ชอบ”

   คนตัวเล็กหันมามองเขา ลอยหน้าลอยตาพูดบ้าง “ไม่เอาหรอกครับ ของดีไม่ได้มีบ่อยๆนะ”

   “ใจร้าย”

   “ไม่เคยบอกว่าใจดีนี่นา”

   “เด็กดื้อ”


   “คนโตแต่ตัวแบบคุณไม่มีสิทธิ์มาว่าผมด้วยคำนี้หรอกนะครับ”

   พวกเขาคุยกันไป เถียงกันไป นั่งกันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานได้อย่างไรก็ไม่ทราบ แบ่งกันใช้ผ้านวม นั่งเบียดกันจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นของอีกฝ่าย  ดินรู้สึกว่าวันนี้เขาพูดมากกว่าทุกวัน  ถ้าเป็นปีใหม่ปกติเวลาดึกป่านนี้เขาคงจะเข้านอนไปแล้ว แต่วันนี้เขากลับมานั่งอยู่ตรงชานระเบียง นั่งเถียงกับพี่ชายต่างสายเลือด

   ทั้งที่มันควรจะหน้ารำคาญ แต่ดินรู้ว่าตอนนี้บนใบหน้าของแตะแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เพราะเขาเห็นมันสะท้อนอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้าเช่นกัน

   “นี่...ผมสงสัยล่ะ” จู่ๆดินก็พูดขึ้นมา ชายหนุ่มหันไปมองเดือน “ทำไมคุณถึงไม่ไปอิตาลีล่ะ?”  พอได้ยินคำถามนั้นเดือนก็กระพริบตาปริบ  ไม่คาดคิดว่าดินจะถามคำถามนี้ออกมา

   “คำตอบมันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วใช่รึไง”  ชายหนุ่มกระชับผ้านวมขณะที่อีกมือก็ยื่นไปเกลี่ยเส้นผมสีดำที่ปรกตาอีกฝ่ายไปทัดหูให้อย่างอ่อนโยน “ฉันบอกแล้วว่าจะไม่ทิ้งนาย ฉันจะอยู่กับนายเสมอ”

   “อะไรกัน...เพราะเรื่องแค่นั้น...”

   “มันไม่ใช่แค่เรื่องแค่นั้นนะ”  เดือนพูดเสียงเข้ม “ฉันบอกว่าจะไม่ทิ้งนายก็คือไม่ทิ้ง นั่นหมายความว่าฉันจะไม่ปล่อยให้นายนั่งเฉาฉลองปีใหม่อยู่บ้านคนเดียวแน่”  อ่า...แก้มขาวๆของอีกฝ่ายซับสีแดงระเรื่อขึ้นมาอีกแล้ว เดือนยิ้มหล่อให้คนตรงข้าม   รู้ตัวแน่ๆแล้วว่าวันนี้คงไม่โดนทำร้ายร่างกายเลยถือวิสาสะไม่จับมือน้อยของอีกคนไว้

   “คุณมันบ้า” ดินกระซิบเสียงแผ่ว ก้มหน้างุด  แต่กระนั้นก็ไม่ได้สะบัดมือเขาออก  เดือนบีบมือน้องชายแผ่วเบา หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ “ใครๆก็ว่าแบบนั้น...”

   “แต่เราคือครอบครัวเดียวกันนี่นา”

   ไม่มีเสียงสนทนาใดๆอีก มีแต่ความเงียบที่ปกคลุมร่างกาย แต่คนทั้งคู่ก็ไม่ได้อึดอัดกับความเงียบนี้ นั่งจนไหล่ชิดกัน ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน  มันดูอบอุ่นและอ่อนหวานอย่างน่าประหลาด

   พวกเขานั่งกันอยู่จนกระทั่งเดือนพูดขึ้น “นี่อีกหนึ่งนาทีจะปีใหม่แล้วนะ”

   “แล้วเราต้องทำไง”

   “อืม...ก็นับถอยหลังล่ะมั้ง”

   10

 พวกเขายิ้มให้กัน ดินเองก็ยิ้มก่อนจะเอ่ยความปรารถนาสุดท้ายก่อนสิ้นปีออกไป

    9
   “ปีหน้า...อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกนะครับแล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”

   8

   “เช่นกัน...ปีหน้าก็ฝากตัวด้วยนะ”

   7

   เดือนพาเขาเดินออกไปจนชิดริมระเบียง มือของพวกเขายังจับกันไว้แน่น

   6

   “นี่” เดือนเรียกดินไว้ จับอีกคนให้หันมาหาเขาอย่างแผ่วเบา

   5

   “นายอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่จริงๆแล้วนายคิดผิด”

   4

   “นายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรามาตลอด...และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป...นายคือครอบครัวของเรานะ”

   3

   ดินรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหลังม่านน้ำตา แต่ปลายนิ้วที่อ่อนโยนก็เกลี่ยมันออกให้อย่างแผ่วเบา

   2

   เดือนค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่าย พวกเขาขยับเข้ามาชิดกันจนกระรู้สึกได้ถึงไออุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆจากฝ่ายตรงข้าม ใกล้จนกระทั่งเห็นเงาของตัวเองสะท้อนออกมาจากนัยน์ตา

   1

   ใกล้...จนกระทั่งริมฝีปากอุ่นของคนตัวสูงประทับลงบนหน้าผากเนียนของดิน  ใกล้จนหัวใจสองดวงเต้นถี่รัวอย่างห้ามไม่อยู่  ใกล้...จนกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง

   0

   “สุขสันต์วันปีใหม่นะน้องดิน”

   “สุขสันต์วันปีใหม่นะครับพี่เดือน”

   พวกเขาพูดออกมาพร้อมกัน  พูดออกมาเวลาเดียวกับที่พลุมากมายถูกยิงขึ้นฟ้า ดอกไม้ไฟหลากสีสันพร่างพราวงดงาม ปลุกยามราตรีให้สว่างไสว  เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเฮมากมาย พลุอีกหลายชุดถูกยิงตามมา แต่คนที่อยู่บนชานระเบียงต่างก็ไม่ได้สนใจ

   สิ่งที่สนใจมีเพียงคนที่อยู่ตรงหน้า

   “ง่วงหรือยัง” เดือนถามเสียงแผ่วเบา ขณะที่น้องน้อยของเขาพยักหน้าหงึก “คืนนี้ไม่อยากไปนอนในห้องเลยแฮะ...แต่เอาเถอะ ไปนอนกันดีกว่า” คนเป็นพี่พึมพำ เตรียมจะจับจูงคนผมดำกลับห้องนอน แต่แรงคนด้านหลังก็รั้งเขาไว้  เมื่อหันไปเดือนก็พบว่าดินก้มหน้างุด สองแก้มแดงก่ำ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า

   “งั้นคืนนี้...จะยกเว้น...นอนที่ระเบียง...ก็ได้นะครับ”

   “แล้วไม่กลัวยุงแล้วเหรอ?”

   “ผมไม่ได้กลัวยุงสักหน่อย” ดินแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปมุดตัวเข้าไปในผ้านวม “คุณจะนอนหรือไม่นอนล่ะ?”

   แล้วไอ้รวีกานต์จะปฏิเสธไปเพื่ออะไรล่ะครับ?

   ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านก่อนจะกลับมาพร้อมหมอนนิ่มๆอีกสองใบ กับผ้านวมอีกหนึ่งผืน จัดการปูผ้านวมลงกับพื้น “ลงมานอนพื้นดีกว่า นอนเบียดกันบนแคร่เดี๋ยวปวดหลังนะ”

   ดินพยักหน้า หอบผ้านวมลงมาอย่างว่าง่ายจนคนตัวโตนึกเอ็นดู  ปกติเอาแต่แว้ดๆเขาแต่จริงๆก็ไมใช่คนเลวร้ายหรอก  เดือนเอนตัวลงนอนขณะที่ข้างกายก็มีน้องชายต่างสายเลือดล้มตัวลงนอนเช่นกัน

   พวกเขานอนหันหน้าให้กัน จับมือกันไว้ ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรพิเศษในการกระทำนี้หรือเปล่า แต่พวกเขาต่างรู้...ว่าตนพอใจกับสัมผัสพิเศษเหล่านี้

   “ฝันดีนะ”

   “เช่นกันครับ”

   การฉลองปีใหม่แบบนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับดิน...มันพิเศษ พิเศษยิ่งกว่าปีไหนๆ เพราะคนตรงหน้า

เพราะเดือน

    หัวใจของเขาบอกว่าเดือนจะทำให้ปีหน้าเป็นปีที่พิเศษสำหรับเขาอย่างแน่นอน  คิดได้ดังนั้นคนตัวเล็กก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจ วางทุกๆสิ่งทิ้งไป หลับไปอย่างสงบข้างกายของคนตัวสูง จมดิ่งลงในฝันดีที่ไม่ได้มีมาแสนนาน...

    ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเช่นกันนะครับ...พี่เดือน

............................

พี่เดือนคะ...เอาใจไป 5555
:L2:
เลิฟๆพี่เดือนและน้องดินมากๆ
นี่ก็ปีใหม่แล้ว Happy New Year นักอ่านทุกท่านนะคะ ขอบคุณจริงๆที่เข้ามาอ่านและติดตามกัน
ปีใหม่นี้ขอให้ทุกคยมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง นะคะ และขอฝากนิยายเรื่องนี้ให้ทุกคนเก็บไว้ในใจในปีต่อไป
สุขสันต์วันปีใหม่ค่า
   

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เก็บเเต้มไปเยอะเลยนะฮะ ตอนนี้
สุขสันต์วันปีใหม่เช่นกันจ้าาาา

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
พึ่งเข้ามาอ่าน สงสารดินมากเลย หวังว่าพี่เดือนจะช่วยเยียวยาเนได้นะ คือนางกวนตีนมาก555

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :call:


งานนี้พี่เดือนทำดีมากกกก 


+10 คะแนน :D

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๘
ทะเล(พัก)ใจ

เสียงล้อยางบดลงบนถนนที่เต็มไปด้วยหินและก้อนกรวด จักรยานสีแดงคันเล็กที่สีหลุดลอกไปตามกาลเวลาแล่นปุเลงๆไปตามถนนเส้นเล็กที่ตัดผ่านทุ่งนา  เส้นทางขรุขระทำให้คนรับหน้าที่เป็นสารถีต้องออกแรงถีบมากขึ้น  ทั้งๆที่อากาศในยามเช้าค่อนข้างเย็นแต่คนปั่นจักรยานกลับเหงื่อตกผิดกับคนที่นั่งซ้อนท้าย ที่ยังสะอาดเอี่ยมเหมือนเมื่อตอนออกจากบ้าน

“แฮ่ก...น้อง...แฮ่ก...ดิน...อีกไกลไหมเนี่ย” เดือนร้องถามขึ้นมา ลมหายใจกระชั้นถี่จนน่าสงสาร  ขณะที่ดินซึ่งเป็นคนซ้อนท้ายลอบยิ้มออกมาอย่างสะใจ สมน้ำหน้า อยากโชว์แมนดีนัก  นี่ไงให้โชว์เต็มที่เลย

สาเหตุที่วันนี้พวกเขาสองคนพี่น้องต้องออกมาออกกำลังกันแต่เช้าก็เป็นเพราะคุณแม่ฝากให้เอาปิ่นโตใส่อาหารไปให้ยายจันทร์ ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆไม่ไกลจากบ้านพวกเขามากนัก เพียงแต่เส้นทางเข้าหมู่บ้านมันค่อนข้างจะ...วิบากไปสักหน่อย 

อันที่จริง...มันก็ไม่ได้ไกลหรอก ขับเลียบถนนใหญ่ไปแค่สิบห้านาทีก็ถึงแล้ว

แต่นั่นแหละ  เมื่อสารถีคือนายรวีกานต์ที่ดินหมั่นไส้นักหนา  จากเส้นทางถนนลาดยางสิบห้านาที มันเลยเปลี่ยนมาเป็นถนนลูกรังขรุขระสามสิบนาทีแทน

แต่ดินไม่ได้โกหกนะ  ทางนี้มันไปหมู่บ้านของยายจันทร์ได้จริงๆ

มันแค่อ้อมไปท้ายหมู่บ้านแค่นั้นเอง

ครึก ครึก

เสียงล้อบดกับกรวดยังคงดำเนินต่อไป  ดินมองแผ่นหลังกว้างที่ขยับไปมาตามจังหวะการปั่นจักรยาน  กลิ่นหอมอ่อนๆจากครีมอาบน้ำของเดือนลอยมากระทบจมูกพร้อมสายลมอ่อนยามเช้า

ภาพผู้ชายหน้าหล่อดีกรีนายแบบมาปั่นจักรยานแม่บ้านสีแดงแบบนี้มันตลกจริงๆนะ

เส้นทางที่เราจะมุ่งไป
เรื่องราวมากมายในชีวิต
หนทางที่เดินฉันลิขิตเอง


เสียงทุ้มที่จู่ๆก็ร้องเพลงออกมาดึงความสนใจจากดินไปได้  คนผมดำเพิ่งค้นเมื่อไม่นานมานี้เองว่าเดือนไม่ได้มีดีแค่หล่อ  อดีตนายแบบยังร้องเพลงได้เพราะมากอีกด้วย

แต่ทำไมแต่ล่ะเพลงที่ร้องต้องร้องบอกอายุขนาดนั้นด้วยไม่ทราบ...

จะไปว่าก็ไม่ได้ เพราะดินก็รู้จักเพลงที่ไอ้คนตัวใหญ่นี่ร้องหมดทุกเพลงนั่นแหละ

เหมือนจักรยานขี่เอง
ไม่มีใครมาลากไป
ทางเดินของใครของมัน
และฉันกับเธอ จะไปด้วยกัน
ขี่ไปพร้อมกัน จักรยานสีแดง
*(จักรยานสีแดง – LOSO)

เดือนหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังร้องเพลงคลอออกมาพร้อมเขา  ดินชอบว่าเขาว่าร้องเพลงเก่าบอกอายุ แต่เห็นที่ร้องออกมาอีกคนก็รู้จักทุกเพลง

“ที่ร้องเพลงนี้เพราะมันเข้าบรรยากาศใช่ไหมครับ”

จักรยานที่พวกเขาใช้วันนี้ก็เป็นสีแดงนี่นะ

“ฮ่าๆ ก็ใช่นะ แต่มันตรงกับความรู้สึกในตอนนี้ด้วยแหละ”

ดินกระพริบตาปริบมองคนข้างหน้า ถึงจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป  ไม่ใช่ว่าดินไม่รู้...ว่าเดือนมีอะไรในใจ แต่เขาเชื่อว่าหากพร้อมเดือนคงจะพูดออกมาเอง หน้าที่ของเขาคืออยู่ข้างๆ เหมือนที่เดือนอยู่ข้างๆเขาในวันนั้น

วันที่เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันถาโถมเข้ามา ถ้าเป็นคนปกติคงรีบเค้นถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เดือนแค่จับมือเขาไว้ รอจนเขาหยุดร้องไห้แล้วก็พากลับบ้าน  หลังจากวันนั้นก็ทำตัวเหมือนปกติ พอเขาเข้าไปถามว่าไม่สงสัยเหรอ อีกฝ่ายก็พูดแต่ว่า
‘สงสัย แต่รอให้นายพร้อมจะเล่าดีกว่า ทำแบบนั้นมันดีกับตัวนายเองมากกว่า’

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีการพูดถึงเหตุการณ์ในคืนงานวัดขึ้นมาอีกเลย  ทั้งๆที่เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ดินรู้ว่ามันมีบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลง

เหมือนกำแพงในหัวใจของเขาถูกทลายลงช้าๆ ลดลงไปทีละนิด

ทีละนิด...

เอี๊ยดดด กึก!

จู่ๆจักรยานแม่บ้านสีแดงก็หยุดกะทันหัน ทำเอาคนผมดำที่กำลังใจลอยถลันไปข้างหน้าปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างของเดือน  ดินถอยออกมา ลูบจมูกตัวเองป้อยๆอย่างเจ็บปวด

“เป็นอะไรไปครับ” คนผมดำชะโงกหน้า มองข้ามไหล่พี่ชายที่ไม่ยอมปั่นจักรยานต่อไปเสียทีอย่างสงสัย  ก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจะฉายแววงุนงงออกมา “นั่นมัน...”

“วัว...”  เดือนกระซิบเมื่อเห็นวัวสีขาวตัวใหญ่ยืนสะบัดหางเคี้ยวหน้าเอื่อยๆอยู่เบื้องหน้า  ดินพยักหน้าหงึก เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายไม่ปั่นจักรยานต่อ เพราะเจ้าวัวตัวนั้นมันยืนขวางอยู่กลางถนนพอดี  ถนนเส้นนี้ก็เล็กนิดเดียว ทำให้ขี่อ้อมไม่ได้ ไม่งั้นได้ตกคันนาแน่ๆ

“คือ...น...น้องดิน”

“ครับ?”

“มันจะขวิดพี่ไหม?”

ขวิด?...อะไรขวิด? วัวเหรอ?

อย่าบอกนะว่าไอ้หมีหล่อนี่มันกลัววัว!  อื้อหือ ใหญ่แต่ตัวจริงๆ ใจนี่เล็กกว่าปลาซิวอีกมั้งเนี่ย 

ดินกลอกตา “ไม่ขวิดหรอกครับ เจ้าตัวนี้มันเป็นวัวตัวเมีย เขาเรียกกันน้องทองกวาว  รักสงบจะตายไป” หนนี้ดินไม่ได้โกหกนะ น้องทองกวาวน่ะ วัวขวัญใจคนหมู่บ้านนี้ เพราะมันเป็นแม่วัวรักสงบที่วันๆไม่ค่อยทำอะไรนอกจากเคี้ยวเอื้อง เดินไปมาแล้วก็นอน

“ง...งั้นเหรอ” เดือนกลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นวัว แต่ไม่เคยเห็นในระยะใกล้ขนาดนี้นี่หว่า  มันก็ต้องมีตกใจกันบ้างแหละ “งั้นดินบอกให้...เอ่อ...ทองกวาวขยับไปได้ไหม”

“ผมเป็นคน ไม่ใช่วัวจะไปสื่อสารกับน้องเขาได้ยังไง อย่าแสดงความรู้น้อยออกมาแบบนี้สิครับ

ขนาดนี้แล้วด่ากูโง่เลยเถอะครับ  ยอมแล้วครับ พี่เดือนยอมน้องแล้วครับ

“แล้วแบบนี้จะไปยังไงล่ะ มัน เอ้ย น้องทองกวาวยืนขวางทางอยู่นะ” ถ้าไปช้ามีหวังอาหารในปิ่นโตได้เย็นชืดหมด

ดินเองก็คิดไม่ตกกับปัญหานี้เช่นกัน  ถ้าอ้อมไปอีกทางคงเสียเวลา แต่ก็ดีกว่ามายืนคุยกับวัวล่ะวะ “งั้นเราคงต้องใช้อีกทางนึง...” คนตัวเล็กพูดแต่ยังไม่ทันจบประโยคเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

“พี่ดิน!”

คนผมดำหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ดูแล้วอายุคงประมาณห้าถึงหกขวบวิ่งถลามาทางเขา ผมแกละสองข้างสะบัดไปมาตามจังหวะการวิ่ง ก่อนที่ร่างน้อยๆนั้นจะโถมมาหาพี่ชายหน้าตาน่ารักที่ไม่ได้พบกันนาน ดินยิ้มกว้างอ้าแขนรับร่างเล็กๆนั้น กอดแน่นพร้อมหอมแก้มยุ้ยๆซ้ายขวาจนเด็กน้อยหัวเราะคิกคักชอบใจ

“ว่าไงครับน้องแก้ว  สบายดีมั้ยเรา ดื้อหรือเปล่าเนี่ย หืม” เด็กหญิงแก้วตายิ้มอวดฟันหลอสองซี่หน้าให้พี่ชายสุดน่ารักที่ชอบแวะเวียนมาหาคุณยายจันทร์แล้วก็เอาขนมมาแบ่งเธอบ่อยๆ “น้องแก้วไม่ดื้อค่า  น้องแก้วออกจะเรียบร้อย ช่วยคุณยายทำงานบ้านทุกวันเลยนะคะ” เสียงเล็กๆนั่นพูดเจื้อยแจ้วตามประสา จนคนฟังสองคนอดอมยิ้มกับท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั้นไม่ได้

ดวงตากลมโตของน้องแก้วตากวาดไปรอบๆจนไปสะดุดกับพี่ชายตัวสูงที่ไม่คุ้นหน้า เด็กหญิงเลยเอียงคอมองอย่างสงสัย...ทำไมพี่ชายคนนี้ตัวโตจัง...จะใช่ยักษ์กินคนแบบในนิทานที่คุณยายให้ฟังหรือเปล่านะ   นิ้วป้อมๆของน้องแก้วตาชี้ไปที่เดือนพร้อมกับเสียงเล็กเอ่ยถาม “พี่ดินขา  พี่ชายตัวโตคนนี้ใครหรือคะ ใช่ยักษ์กินคนหรือเปล่าทำไมตัวใหญ่จัง”

เดือนที่ยืนมองเด็กน้อยอยู่ถึงกับหน้าเหวอ ชิบละ...จู่ๆมาเหมากูเป็นยักษ์ไปซะอย่างนั้น พี่ไม่ใช่ยักษ์ครับเด็กน้อย แบบนี้เขาเรียกคนกระดูกใหญ่

อดีตนายแบบยิ้มหล่อให้กับเด็กน้อยวัยห้าขวบที่พอเห็นรอยยิ้มกว้างนั้น หนูแก้วตาก็ออกอาการอาย บิดตัวซุกหน้าเข้าหาไหล่พี่ดิน ทำให้ไม่ทันเห็นสงครามระหว่างผู้ใหญ่สองคนที่ขยับปากเถียงกันแบบไร้เสียง

‘คุณนี่มันเจ้าชู้โดยกำเนิดจริงๆ กับเด็กก็ไม่เว้น’

‘เขาเรียกรอยยิ้มการทูตครับ กรุณาอย่าใส่ความพี่’

เดือนพูดแล้วเดินเข้าไปประชิดตัวดินที่กำลังอุ้มเด็กหญิงผมแกละอยู่ ทำเอาอีกคนถอยหนีแต่ก็ช้าไปเมื่อคนตัวสูงสะกิดน้องยิกๆเป็นทำนองว่าหันมาสนใจกันหน่อย เมื่อเด็กหญิงยอมหันมาเดือนก็ยิ้มกว้างให้พร้อมกับหยิบนมรสช็อกโกแลตกล่องเล็กจากในย่ามสีสดที่เขาใช้ใส่ของกินเล่นมาเผื่อหิวยื่นให้น้อง

“สวัสดีครับน้องแก้ว พี่ชื่อเดือนครับ เป็นพี่ชายของพี่ดินครับ” 

เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกล่อด้วยนมรสโปรดค่อยๆคลี่ยิ้มให้พี่ชายตัวสูง รู้สึกเป็นมิตรด้วยขึ้นมา “สวัสดีค่ะ หนูชื่อเด็กหญิงแก้วตาค่ะ” เสียงเล็กๆเอ่ยแนะนำตัวเหมือนเวลาที่แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนหรือแนะนำตัวกับคุณครู ก่อนที่เด็กน้อยจะยกมือไหว้ขอบคุณอย่างมีมารยาทยิ่งทำให้เดือนเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

เด็กอะไรช่างพูดจริงๆ แก้มยุ้ยๆนั่นก็น่าฟัด คงเป็นเด็กน้อยขวัญใจใครหลายคนเลยสินะ

ดูอย่างคนตรงหน้าเขาสิ อุ้มน้องไม่ยอมวางเลย เหมือน ‘แม่’ กับ ‘ลูก’ ชะมัด!

“แล้วนี่น้องแก้วออกมาทำอะไรครับ วิ่งเล่นเหรอ” ดินถามแต่เด็กน้อยส่ายหน้า “เปล่าค่ะ น้องแก้วพาพี่ชายที่มาขอถ่ายรูปมาเที่ยว”

“พี่ชายที่มาขอถ่ายรูป?”

“ค่ะ เป็นคนรู้จักของคุณยายจันทร์ค่ะ  พี่เขามาถ่ายรูปแปลงผักในหมู่บ้านเราแล้วน้องแก้วก็เลยพาพี่เขามาถ่ายหาที่ภาพสวยๆค่ะ”

ดินพยักหน้ารับ ยิ้มให้เด็กน้อย ให้รางวัลความฉลาดของอีกฝ่ายด้วยการจุ๊บแก้มนิ่มๆไปอีกสองที  หมู่บ้านเล็กๆนี้คนภายนอกมองคงจะเห็นเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดาที่ไม่สำคัญ แต่คนในอำเภอรู้ดีว่าที่นี่มี ‘ปราชญ์ชาวบ้าน’ อยู่ ก็คือหัวหน้าหมู่บ้าน  ที่คิดค้นปุ๋ยหมักสูตรพิเศษที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผลผลิตได้ และมีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับลูกบ้านสามสิบกว่าครัวเรือนนี้ จนหมู่บ้านนี้แทบจะไม่มีคนเดือดร้อนเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องค่าใช้จ่ายเลย

เพราะทุกคนเกื้อกูล เอื้อเฟื้อและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงมีความพอเพียงและพอดีในชีวิต

“แล้วนี่พี่เขาอยู่ไหนล่ะ” มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นช่างภาพคนที่ว่าเลย  น้องแก้วเลยชี้ไปที่มุมหนึ่งไกลๆที่เห็นเป็นร่างคนกำลังยืนอยู่  เดือนเพ่งมองก็พบว่าคนๆนั้นมองมาทางนี้ก่อนจะเดินมาทางพวกเขา

เมื่อช่างภาพคนนั้นเดินเข้ามาใกล้พอที่ระยะสายตาจะมองเห็น คนสวมแว่นก็พบว่าเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง  มีมัดกล้ามสมส่วนทำให้ดูดีภายใต้ชุดเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดๆ  ใบหน้าคมเข้มไม่มีหนวดเคราแต่กลับไว้ผมยาวแล้วมัดรวบเป็นมวยไว้  ท่าทางมาดเซอร์สมเป็นคนทำงานศิลปะ ชายหนุ่มคนนั้นถือกล้องเอาไว้ทำให้เดาได้ว่าเป็นช่างภาพคนที่น้องแก้วพูดถึงแน่นอน  ดินยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะแนะนำตัว

“สวัสดีครับ  ผมดินเป็นคนรู้จักของยายจันทร์ครับ น้องแก้วเล่าว่าคุณมาถ่ายภาพแปลงผักของที่นี่เหรอครับ”

พูดไปแต่คนฟังก็หาสนใจไม่ ดวงตาคมดุมองเลยผ่านดินไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงใหญ่พอกันที่ยืนอยู่ข้างๆ  ดินกระพริบตาปริบมองพี่ชายจำเป็นที่มีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้ช่างภาพมาดเซอร์คนนั้น ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจระคนดีใจ

“ไอ้คนป่ารัน!”

“ไอ้เดือนดับ!”

อืม...ดินกระพริบตามองชายหนุ่มสองคนตบหลังตบไหล่กันเหมือนสนิทที่ไม่ได้พบกันนานแล้วก็รู้สึกตงิดๆในใจกับท่าทางสนิทสนมนั้น

คู่จิ้นไอ้พี่เดือนมันหรือไงนะ...


หลังจากส่งปิ่นโตให้ยายจันทร์เรียบร้อย เดือนก็พาน้องชายพร้อมช่างภาพมาดเซอร์กลับบ้าน โดยหนนี้พวกเขากลับกับรันโดยเอาจักรยานแม่บ้านใส่ท้ายรถกระบะของอีกฝ่าย  การกลับบ้านทำให้เดือนรู้ว่าไอ้น้องดินมันหลอกเขาอีกแล้ว! บ้าชิบ ทางดีๆก็มีดันให้เขาไปปั่นอ้อมโลกแบบนั้นซะได้

“ว่าแต่กูไม่ได้เจอมึงมานานเท่าไหร่แล้ววะ ตั้งแต่จบมหา’ลัยเลยป่ะ”  รันหรือชื่อเต็มคือ อารัณย์เอ่ยขึ้น  เหลือบมองเพื่อนสนิทสมัยมหา’ลัยเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเหมือนกันนะว่าจะเจอมึงที่นี่”

“นั่นดิ ว่าแต่มึงเป็นไง สบายดีป่ะ แล้วได้เจอพวกไอ้เจมส์ ไอ้กิต ไอ้กรบ้างป่ะ”

“เจอดิ ใครเขาจะไปเป็นดาราดังคิวงานแน่นแบบมึงล่ะ เวลาสังสรรค์แทบจะไม่มี”

เดือนหัวเราะ ก็จริงที่ว่าหลังจากเข้าวงการแล้วเวลาที่เขาไปพบจอเพื่อนในกลุ่มก็น้อยลง แต่อย่าว่าแต่เวลาสังสรรค์ เวลานอนกูยังจะไม่มีเลยครับ

“ทำเป็นด่ากู พูดเหมือนมึงเจอตัวง่ายมากมั้ง เลิกอินดี้แบบอยู่ๆก็แบกกล้องหายไปเลยหรือยังล่ะ” คนตัวสูงแขวะกลับ สมัยเรียนไอ้รันมันติสท์หนักมาก ตามประสาคนจริงหัวใจศิลป์  เคยเบื่อโลกหนักถึงขั้นวันดีคืนดีก็หยุดเรียนไปดื้อๆ เขาตามหาตัวกันให้วุ่น มารู้กันวันที่มันโทรมาบอกว่าฝากให้เพื่อนที่คณะเอางานมันไปส่งอาจารย์ให้ด้วยว่ามันสะพายกล้องไปท่องเชียงรายเรียบร้อย

ไอ้หมอนี่มันเป็นประเภทอยากไปไหนก็ไป  นานๆทีจะหาตัวเจอ แถมมันเป็นพวกไม่นิยมเทคโนโลยี มีไลน์มีเฟสไว้ส่งแนว
ข้อสอบกับรูปหลุดเพื่อนแค่นั้น  ปิดเทอมว่างๆก็หายเข้าป่าไปถ่ายรูป ไปอยู่บนดอยช่วยสอนหนังสือเด็ก เผลอๆโผล่ไปอีกซีกโลกก็ยังมี...

แต่คนใจอาร์ตมักมาพร้อมพรสวรรค์ เพราะรูปถ่าย ภาพวาดและงานศิลปะของไอ้หมอนี่มันขายได้แทบจะทุกชิ้น แถมบางชิ้นที่เป็นมาสเตอร์พีซก็แทบจะถูกพวกคนรู้จักของมันที่ต่างประเทศทุ่มราคาซื้อให้ไม่อั้น บางชิ้นมันก็ขาย บางชิ้นมันก็ไม่ขาย  แล้วแต่ความพอใจของตัวมัน เหมือนกับครั้งหนึ่งที่มันวาดภาพ ‘ความสุข’ ขึ้นมา  เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของมันเลยก็วาดได้ 

เศรษฐีของอเมริกาคนหนึ่งเสนอเงินหลักแสนให้มันก็ไม่เอา แต่มันกลับ ‘ให้’ ภาพวาดชิ้นนั้นให้กับเจ้าของโรงแรมเล็กๆในอังกฤษแทน  พอมีคนถามมันก็ตอบไปด้วยสีหน้านิ่งๆ

‘กูวาดภาพมาเพราะกูพอใจจะวาด กูให้เพราะพอใจจะให้...ให้ผลงานกูไปอยู่กับคนที่เห็นค่า  ผลงานคราวนี้ชื่อ ‘ความสุข’ มันควรได้ไปอยู่ในที่ที่คนจำนวนมากเห็นมัน อยู่ในที่ที่มันพอจะมอบความสุขให้คนหลายคนได้ ไม่ใช่ไปอยู่เหงาๆในแกลอรี่แบบนั้น’

‘แล้วทำไมมึงไม่ขายล่ะ อย่างน้อยเรียกเงินสักหน่อยก็ยังดี’

เดือนจำคำถามตัวเองได้ แล้วก็จำคำตอบของเพื่อนในเวลานั้นได้ดี

‘เพราะความสุขบางอย่างเงินก็ซื้อไม่ได้’

อาร์ตและหล่อมาก มึงหล่อมาก! เดือนแทบอยากจะลุกไปคว้ารางวัลศิลปินใจหล่อมาประเคนให้ ปรบมือสิครับรออะไร

อัจฉริยะตัวจริงก็แบบนี้ บางทีสำหรับคนๆนี้ คนที่หาเส้นทางความฝันของตัวเองเจอตั้งนานแล้ว...ห้องเรียนอาจจะเป็นเพียงจุดแวะพักที่ทำให้มันไปสู่ความฝันเร็วขึ้นเท่านั้น

‘กูไม่ชอบห้องสี่เหลี่ยม มันทำให้จินตนาการกูแคบลง’

รันมันเคยพูดไว้แบบนั้น คิดๆดูแล้วมึงไปเปลี่ยนจากชื่ออารัณย์ที่แปลว่าป่ามาเป็นนายศิลปินแทนเหอะว่ะ ชีวิตมึงจะติสท์เกินไปละ

“ก็มีบ้างแหละที่เข้าป่าไปถ่ายธรรมชาติบ้าง เดี๋ยวนี้กูชอบถ่ายภาพกลางคืน”

“ชีวิตมึงจะติสท์เกินไปละ”

“ธรรมดาเพื่อน วิถีคนอาร์ตก็แบบนี้”

“ถุย”

“มารยาททรามตามเคย”

มีอีกเรื่องเกี่ยวกับไอ้รันที่นายรวีกานต์จำได้แม่นคือความกวนตีนที่สูงปรี๊ดพอกับความอาร์ตแหลกของมัน  สรรหาคำด่ามาทีกูรู้สึกผิดเลยจริงๆ

“แล้วนี่มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” เดือนถาม รันยักไหล่แล้วตอบ “กูมาถ่ายภาพไปนิตยสารอ่ะดิ ตอนนี้กูเป็นช่างภาพอิสระอยู่ รับงานตามความพอใจ ช่วงนี้อยากออกต่างจังหวัดเลยรับงานนี้  มันเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับพวกวิถีธรรมชาติไรงี้  ได้ภาพสวยๆมาเยอะเลย”  พูดจบก็เหล่มองเพื่อนข้างตัวบ้าง “แล้วมึงล่ะ ได้ข่าวช่วงนี้กำลังรุ่งนี้หว่า ทำไมมาโผล่ที่นี่ซะได้”

“กลับมาพักผ่อนบ้างดิ คิดถึงบ้าน”

“อ๋อเหรอ”  อารัณย์แค่นเสียงหัวเราะ น้ำเสียงตอบรับเย้ยๆบ่งบอกว่าไม่เชื่อแม้แต่น้อย  ช่างภาพมาดเซอร์เหลือบมองเพื่อนสนิทที่กำลังเลี่ยงไม่สบตาเขา

ก็ใช่ว่าจะไม่รู้สาเหตุ  เขาเป็นช่างภาพคลุกวงในมาพอสมควร

ข่าวมันก็ต้องมีหลุดออกมาบ้าง แต่ช่างเถอะ

แต่เพื่อนไม่อยากพูดเขาก็จะไม่พูด...มันเป็นยังไงเขาก็รู้ดี ขี้ปากคนน่ะนะ มันจะเสริมเติมแต่งยังไงก็ได้ คนเล่าเล่าให้ตัวเองดูดีกันทั้งนั้นแหละ

แต่เขารู้ว่าเพื่อนเขาเป็นคนดี แค่นั้นก็พอ

คนอื่นจะว่ายังไงก็ช่างหัวแม่ง โลกมันกว้าง เขามานั่งคิดมากกับคำพูดคนทุกคนไม่ได้หรอก เขาทำได้แค่รักษาคนในโลกของตัวเองไว้ก็แค่นั้น

“เออไอ้เดือน  เดือนนี้มึงว่างป่ะ?”

“ก็ว่าง ทำไม?”

อารัณย์เลี้ยวเข้าจอดตรงลานบ้าน  เจ้าหมาองครักษ์ทั้งหลายเห่ากันขรมเมื่อเห็นรถที่ไม่คุ้นเคย  เมื่อจอดรถเรียบร้อยช่างภาพตัวสูงก็หันมาเอ่ยกับเพื่อนสนิท “กูจะชวนมึงไปถ่ายแบบ”

ถ่ายแบบเหรอ...


เดือนวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา  “ทำไมมาชวนกู” อารัณย์ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยท่าทางสบายๆ
“นายแบบที่จะถ่ายลงปกนิตยสารเดือนหน้าดันแคนเซิลงานกะทันหันน่ะสิ อีกหนึ่งสัปดาห์ก็จะต้องเริ่มถ่ายแล้วด้วย จะไปหาคนมาใหม่ตอนนี้ก็ไม่ทัน พวกเสื้อผ้าก็วัดไซส์ไว้หมดแล้ว กูยังคิดถึงมึงอยู่เลย กะว่าจะลองชวนดูแต่มึงดันหายหัวงดรับงานซะงั้น นี่กูกลุ้มใจมากเลยนะ ดีใจที่เจอมึงก่อน” นัยน์ตาคมพราวระยับเป็นทำนองว่าในเมื่อรู้แล้วก็จงรับงานซะดี   

แต่นายแบบหนุ่มกลับแค่เอนกายพิงผนักนิ่มแล้วส่ายหน้า

“ไม่ล่ะ ช่วงนี้กูงดรับงาน ยาวเลย”

“โห ทำไมวะ”

“ก็...มึงก็น่าจะรู้”

ดวงตาสองคู่สบกัน  ก่อนที่คนผมยาวจะยักไหล่ “แล้วไง  มันก็แค่ข่าวลือวงใน”

“แต่กูกลัวว่าถ้ากูไปถ่ายแบบจะมีคนออกมาพูดเรื่องนี้”

“แล้วมันจริงแค่ไหนล่ะ”

“มันไม่จริง”

“งั้นก็ช่างหัวแม่ง”

เดือนถอนหายใจ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยาก ยากมากๆด้วย  เขาไม่สามารถไม่ใส่ใจคนอื่นได้เท่ากับอารัณย์  อาชีพเขามันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนของประชาชน ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็ลามไปใหญ่โตจนแทบจะเรียกได้ว่าต้องระวังทุกฝีก้าว

ตอนนี้ข่าวเรื่องเขากำลังเงียบ เขาควรจะปล่อยให้มันจมดิ่งหายไปช้าๆ ไม่ใช่ไปทำอะไรให้เรื่องราวของเขามันถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีก
เขาไม่อยากให้นักข่าวตามมาถึงบ้านสวน ไม่อยากให้แฟคลับมาตามถ่ายรูปเขาทุกอิริยาบถ

หากออกสื่อเขาก็เต็มใจจะพบเจอ ไม่รังเกียจแฟนคลับ แต่เดือนแค่อยากจะขอ...ให้มันมีสักที่บนโลกใบนี้...ที่ที่เขาเป็นแค่นายรวีกานต์ คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย และหลับไปอย่างสบายใจทุกคืน

ขอแค่มีพื้นที่ให้เขาได้พักหายใจ มีใครสักคน...ที่ยอมรับตัวเขาในแบบที่เขาเป็น

อารัณย์ที่เห็นเพื่อนทำท่าแบบนั้นก็ยกสองมือขึ้นเป็นทำนองว่ายอมแพ้ “เอาเถอะๆ ไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร กูเข้าใจ แต่ก็เสียดายนิดๆแฮะ” คนพูดลูบคางก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้  นัยน์ตาคมดุฉายประกายแพรวราวทำเอาไอ้เดือนถึงกับร้อนๆหนาวๆ

ตงิดๆในใจขึ้นมาแปลกๆ

“ว่าแต่มึงไม่คิดจะแนะนำสักหน่อยเหรอ...น้องชายของมึงอ่ะ”  นั่นไงกูว่าแล้ว  นายรวีกานต์อยากจะสะบัดตีนก่ายหน้าผาก  คนตัวสูงแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิท

“อย่ามาเจ้าชู้กับน้องกู”

“อะไรว้า แค่นี้ทำหวง”

ก็น้องกูทั้งคนนะโว้ย  แล้วไอ้เพื่อนเวรนี่เจ้าชู้แค่ไหนทำไมไอ้เดือนจะไม่รู้  ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นตั้งท่าถีบ “รุ่มร่ามกับน้องกูมึงโดน”

“หวงขนาดนี้มึงเป็นพี่หรือผัว”

อารัณย์กลั้นขำจนตัวสั่นเมื่อคำแหย่เล่นๆของเขามันดันส่งผลให้เพื่อนสนิทหน้าขึ้นสีก่อนไอ้หนุ่มลูกครึ่งจะกระแอมกลบเกลื่อน “ก็น้องสิวะ พูดบ้าๆนะมึง”

“มึงรู้ป่ะ ท่าทางมึงมันโคตรเหมือนสาวน้อยมีรักแรกอะไรทำนองนี้”

“ไอ้ห่านี่ ไม่หยุดมึงโดนกูถีบกลับป่าแน่”

ช่างภาพหนุ่มหัวเราะก๊ากทันที ไอ้หมอนี่ กี่ปีๆก็ยุขึ้นแถมดูออกง่ายเหมือนเดิม  ระดับนี้ไม่น่าใช่น้องชายธรรมดาแหงๆ

สงสัยจาก ‘น้องรัก’ จะกลายเป็น ‘รักน้อง’ ซะแล้วล่ะมั้ง

แต่ไอ้เดือนมันโง่  นอกจากโง่แล้วยังชอบทำตลกกลบเกลื่อนอีก คาดว่าเขาแต่งงานมีลูกสองคนแล้วมันคงเพิ่งจะสารภาพรักกับน้องเขา

แต่คิดไปก็เสียดาย...คนชอบของสวยๆงามๆเลียริมฝีปาก...น้องชายไอ้เดือนคนนี้จัดว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่ง  ขนาดแต่งตัวธรรมดาแล้วก็ใส่แว่นยังดูน่ารัก...ไม่สิ...’สวย’ ต่างหาก เป็นหนุ่มหน้าสวยที่สวยได้ธรรมชาติมากจริงๆ  ก็คล้ายกับนายแบบอีกคนที่เขาหามาอยู่หน่อยๆ

หนุ่มน้อยน่ารักสองคนที่ชายทะเล...บ๊ะ ไม่รู้บอสจะเห็นด้วยมั้ย ไว้ค่อยโทรไปถาม ยังไงบอสมันก็เป็น รุ่นพี่ที่คณะที่เขาสนิทมาก่อนอยู่แล้ว หัวหน้างานเชื่อใจให้เขาทำนู่นทำนี่เพราะรู้ว่าเขาจะทำงานออกมาดีที่สุด

ไม่เคยมีงานที่ไม่ได้เรื่องผ่านมือ ‘อารัณย์’ คนนี้หรอก

แล้วตอนนี้เขาก็เริ่มเห็นทางสว่างแห่งศิลปะอยู่รำไร!

ความอาร์ตมันเข้าสิง จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ คิดแล้วหนุ่มหล่อมาดเซอร์ก็กระแอมสองสามที  มุมปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

“ไอ้เดือนถ้ามึงไม่อยากถ่ายแบบ...งั้นก็เปลี่ยนเป็นเอาน้องมึงมาถ่ายแบบแทนไหมล่ะ”

.....................................

กรี๊ดดด นี่คือการอัพนิยายครั้งแรกของปี ฤกษ์งามยามดีมากๆ 5555 แต่มาลงดึกไปหน่อย
ตอนนี้ลงชดเชยให้กับอาทิตย์ที่แล้วไม่ได้ลงค่ะ เพราะว่าติดสอบยาวเลย อาทิตย์นี้ก็เหมือนกัน (TT_TT)
พูดถึงตอนนี้กฌขอเม้าท์พี่รันแกหน่อย ชอบคนแบบนี้มากกกก  คนที่เหมือนจะขวางโลกในสายตาคนอื่น
แต่พอเราได้เข้าไปคุยได้รู้จัก คนพวกนี้จะมีแนวคิด มีมุมมองแบบสลับด้าให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น
พี่รันจะโผล่มาอีกหลายตอนแน่นอนค่ะ เป็นแสงสว่างส่องทางไอ้พี่เดือนเลยก็ว่าได้
นิสัยสองคนนี้คิดดูค่ะว่าตอนมันคบกันสมัยเรียนจะบรรลัยกันขนาดไหน 5555 คู่หูชู้ชื่นสุดๆ
ส่วน 'น้องรัก' จะเปลี่ยนเป็น 'รักน้อง' ตอนไหน อันนี้ก็ไม่รู้เน้ออ  :-[ :-[

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เอาเเล้วคนพี่ไม่ยอมเเน่
เเ่ถ้าน้องกวนตีนกลับนิฮาเลยนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
งานเข้าน้องดินอย่างนี้พี่ชายจะอยู่เฉยหรือ

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
กาาาาารี๊ดดดดดด
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลย
ชื่อเรื่องโดนมาก ขอบอก :katai2-1: :katai2-1:
ติดตามค่าาาา

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
พี่เดือนเป็นดาราคลุกฝุ่น

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ขอให้เพื่อนพี่เดือนคนนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาบางอย่างของทั้งพี่และน้องนะคะ
อยากอ่านน้องดินตอนเขินอีกบ่อย ๆ ป้าว่านางน่ารักดี

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^  :L2:


ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๙
ทะเล(พัก)ใจII [ครึ่งแรก]


“คุณ...นี่คุณ หิวหรือเปล่า กินแซนด์วิชหน่อยนะ ผมซื้อมาให้”

“...”

“คุณ...ถ้าคุณไม่กินอะไรรองท้องสักหน่อย คุณจะปวดท้องเอานะครับ วันนี้ยังต้องทำงานอีกนะ”

“...”

“พี่เดือนครับ กินแซนด์วิชหน่อยนะ ดินซื้อมาให้”

ราวกับว่าคำว่าพี่เดือนเป็นคำพูดที่มีเวทมนต์ เพียงแค่ดินพูดมันออกไปด้วยน้ำเสียงที่เขาปรับให้มันดูอ่อนลงเล็กน้อย คนที่เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่ออกจากบ้านก็ยอมละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกรถมามองเขา  ชายหนุ่มผมดำอมยิ้มก่อนจะส่งถุงใส่แซนด์วิชอบร้อนให้กับพี่ชายต่างสายเลือด

“ขอบคุณ” เดือนเอ่ยสั้นๆพลางรับแซนด์วิชมากิน  ขณะที่ดินก็เปิดขวดน้ำผลไม้ส่งให้  เดือนก็รับไปแล้วนั่งกินมื้อเช้าเร่งด่วนต่อเงียบๆ เห็นดังนั้นคนเป็นน้องก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “ยังไม่หายหงุดหงิดอีกเหรอครับ”

“อืม...อยากกระทืบไอ้รันให้มันช้ำในไปเลย”

“บาปกรรมนะครับ”

“ช่างหัวแม่ง”

“อย่าพาลสิครับ”  ปลายนิ้วเรียวยื่นไปกดที่หัวคิ้วทั้งสองข้างของเดือนแล้วคลึงเบาๆ “คิ้วขมวดหมดแล้ว เดี๋ยวหมดหล่อนะครับ”

“หมดหล่อก็ดีจะได้กลับบ้าน”

คนผมดำส่ายหัวเล็กน้อยกับอาการงอแงเป็นเด็กสามขวบของคนอายุมากกว่า ดินหยิบขนมปังมาแกะกินบ้างพลางคิดไพล่ไปถึงสาเหตุที่ทำให้คนอารมณ์ดีแบบเดือนอารมณ์เสียข้ามวันข้ามคืนแบบนี้...

คงต้องย้อนกลับไปวันที่พวกเขาพาพี่รันกลับมาที่บ้าน...

“ไอ้เดือนถ้ามึงไม่อยากถ่ายแบบ...งั้นเปลี่ยนเป็นเอาน้องมึงมาถ่ายแบบแทนไหมล่ะ”

ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากประโยคนี้เลย

ดินที่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นทันได้ยินประโยคนั้นอ้าปากจะตอบปฏิเสธ...

“ไม่ตกลงโว้ย”

แต่ก็ไม่ทันคนเป็นพี่ชายที่กอดอกขมวดคิ้ว ตอบปฏิเสธแทนเขาไปเรียบร้อย 

เดือนหรี่ตามองเพื่อนสนิท แสดงท่าทีให้รู้อย่างชัดแจ้งว่า ‘กูไม่พอใจและไม่ตกลงครับ’ แต่อารัณย์ก็คืออารัณย์  ศิลปินหนุ่มยักไหล่ ตอกกลับไปง่ายๆ “กูถามน้องมึง ไม่ได้ถามมึง”

“ดินไม่ตกลงหรอก น้องกูกูรู้ดี”

“แหม ได้ข่าวว่าเป็นพี่น้องกันแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ ดูจะรู้ใจกันดีเหลือเกินนะ”

คนเป็นพี่แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย “เออ นั่นแหละ เพราะงั้นมึงก็เลิกหวังจะเอาน้องมันไปเป็นแบบได้แล้ว”

“กูยังยืนยันคำเดิมว่าจะขอได้ยินจากปากน้องเอง”

อารัณย์หันหลังมา เตรียมจะเดินไปถามดินแต่ก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเจอคนผมดำยืนยิ้มแหยอยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เดินไปโอบไหล่น้องชายเพื่อนทันที “อ้าวมาพอดีเลยน้องดิน  คือ...พี่มีอะไรจะถามน้องดินสักหน่อยนะครับ เรื่อง--“

“คือว่า ถ้าเรื่องจะเอาผมไปเป็นแบบนี่คงต้องขอปฏิเสธนะครับ” ดินเอ่ยยิ้มๆ พลางปลดมือชายหนุ่มผมยาวลงอย่างสุภาพ “ผมไม่เคยทำงานด้านนี้แล้วก็คิดว่าคงทำออกมาได้ไม่ดีด้วย คือผมไม่ชอบถ่ายรูปแล้วก็แสดงสีหน้าไม่เก่งน่ะครับ”

“ของแบบนี้พี่ช่วยได้ครับ”

“ขอโทษครับ แต่ผมไม่สะดวกใจจริงๆ” ดินปิดการสนทนาอย่างสุภาพพลางก้มศีรษะให้อีกฝ่าย  ซึ่งอารัณย์ก็ยิ้มรับ ดูๆไปแล้วเด็กคนนี้ก็เป็นเด็กดี...ดูคิดอะไรได้ดีมีเหตุผล...เหมาะกับไอ้เดือนมันดีเหมือนกัน

ดวงตาคมมองคนตัวเล็กที่เดินไปยืนใกล้ๆเพื่อนสนิท ร่างสองร่างที่ยืนใกล้กัน แม้จะเป็นผู้ชายทั้งคู่แต่ในสายตาศิลปินที่ไม่แคร์เรื่องข้อจำกัดอย่างเพศเช่นเขาแล้ว ภาพตรงหน้าช่างดูเหมาะเจาะ...ดูเหมาะสมเหมือนกับการที่ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดที่ควรเกิดขึ้น

รันมองสายตาของเพื่อนสนิทที่ทอดอ่อนยามมองน้องชายต่างสายเลือดแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก มันเป็นแววอ่อนหวานเล็กๆที่ซุกซ่อนอยู่ในนัยน์ตาสีอ่อน แต่สำหรับรันที่ชอบสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวแล้ว มันดูออกง่ายดายมาก  ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในลำคอขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตท่าทางของน้องดินไปด้วย ดวงตาอีกฝ่ายไม่ได้แสดงความรู้สึกชัดเท่าเดือนแต่เขาก็เห็นความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในดวงตาคู่นั้น...ความรู้สึกที่เขามั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่ดี

ในที่สุดมึงก็เจอคนของมึงแล้วสินะไอ้เดือน...

“เอาล่ะๆ พี่ไม่เอาน้องดินเป็นแบบแล้วก็ได้ครับ แค่ลองเสนอดูเฉยๆ แต่ถ้าน้องไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร...แต่มันคงจะดีมากถ้าน้องช่วยเกลี้ยกล่อมพี่ชายน้องให้มาเป็นแบบให้พี่หน่อย”  ว่าจบก็ขยิบตาให้คนสวมแว่นที่เบนสายตาไปมองเดือน  นายรวีกานต์แยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิทปากมากทันที “ก็บอกไปแล้วว่าไม่ตกลง”

“บอสกูให้ค่าตัวมึงมากกว่าที่นายแบบคนเดิมได้สองเท่าเลยนะ ไม่สนหน่อยเหรอ”

“ก็บอกแล้วว่าไม่รับงาน”

“โห ไม่เป็นมืออาชีพเลยว่ะ”

“ไอ้รัน!”

ดินแตะแขนพี่ชายเป็นเชิงปรามให้ใจเย็น  “อย่าเพิ่งหงุดหงิดเลยครับ...คือว่าคุณเดือนก็อาจจะไม่สะดวกน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ”

“โธ่” นายอารัณย์แสร้งทำคอตก ตีหน้าเศร้าสุดฤทธิ์ หึ ใครว่าเป็นช่างภาพแล้วสกิลการแสดงกูต่ำครับ?  ขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่  ไม่เหี้ยจริงไม่เป็นคู่หูกับไอ้เดือนมาได้หลายปีขนาดนี้หรอก

เรื่องงานเล่นใหญ่นี่ให้บอก ไอ้รันทุ่มสุดตัวอ่ะพูดเลย

“แบบนี้พี่ลำบากแน่เลยครับ...นายแบบที่ติดต่อไว้ดันเบี้ยวงานไปคนนึงแล้ว เหลือแค่คนเดียวแบบนี้ต้องแย่แน่ๆเลย ผิดคอนเซปต์ที่วางไว้หมด”  คนผมยาวแกล้งพูดให้สองพี่น้องตรงหน้าได้ยิน ขณะที่ไอ้เดือนเลิกคิ้ว  ดูก็รู้ว่ามันแกล้งทำ เหอะ อย่างไอ้รันเนี่ยนะจะแก้สถานการณ์นี้ไม่ได้...

“ไอ้เดือนมันเป็นมืออาชีพ...พี่เชื่อในฝีมือมันถึงได้มาขอร้องมันแบบนี้...แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามึงไม่สะดวกกูก็เข้าใจเว้ย มึงคงอยากพัก...” ครับ ถ้ามึงรู้ก็หยุดกดดันกูด้วยท่าทางแบบนี้ได้แล้วครับ หาความยุ่งยากให้ชีวิตกูอีกแล้ว

แต่เดือนคงลืมไปอย่างหนึ่งว่า ถึงเขาจะดูออกว่าอารัณย์แกล้งทำยังไงแต่ก็มีคนหนึ่งที่ดูไม่ออก

ดินเม้มริมฝีปากเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆของศิลปินหนุ่ม เขาไม่ใช่คนใจอ่อนอะไรมากมายแต่ว่าจู่ๆก็มีคนมาพูดแบบนี้ใส่เป็นใครใครก็ลำบากใจ  โดยเฉพาะเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

“ถ้าได้มึงมาเป็นแบบให้กูคงตายตาหลับแล้วล่ะไอ้เดือน”

“งั้นมึงคงตายหลับตั้งแต่สามปีที่แล้วที่กูไปเป็นแบบให้มึงแล้วล่ะ”

“คุณเดือน” ดินพูดเสียงอ่อน  รู้สึกสงสารอารัณย์ยิ่งกว่าเดิมเมื่อหันไปเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสลดหลังเดือนพูดประโยค เมื่อครู่ออกไป “ช่วงนี้ยังไงก็ไม่มีอะไรมาก...ลองไปช่วยเขาดูหน่อยไหมครับ”

เดือนสะดุ้งเมื่อหนนี้น้องชายเป็นฝ่ายขอร้องขึ้นมาแทน  แอบเหลือบไปมองไอ้ติสท์ผมยาวก็พบว่ามันลอบยิ้มสะใจ

แม่ง...ไอ้คนหลอกลวง ตีสองหน้า!

มันหลอกใช้น้องกูนี่หว่า!

น้องดินครับ น้องโดนมันหลอกแล้ว พอครับ...อย่ามามองพี่ด้วยสีหน้าแบบนั้นเลยครับ

เดือนเบือนหน้าหนีน้องชายที่ส่งสายตาอ้อนๆมาให้ อีกฝ่ายคงทำไปแบบไม่รู้ตัวหรือไม่เดือนก็ตีความการเม้มริมฝีปากแล้วช้อนตามองของอีกฝ่ายเป็นอาการอ้อนไปเอง

แต่จะแบบไหนเขาก็ทนไม่ไหวอยู่ดี!

“นะครับ...ช่วยคุณรันเขาหน่อยเถอะ เขาเป็นเพื่อนสนิทคุณไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่ว่า...”  กูไม่อยากทำไงครับ  เดี๋ยวเรื่องยุ่งยากมันจะตามมา

ดินเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ  สุดท้ายแล้วเขาจึงตัดสินใจงัดไม้ตายออกมา “แต่ว่า...ผมก็อยากเห็นพี่เดือนตอนทำงานเหมือนกันนะครับ  ต้องเท่มากแน่ๆเลย”

ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มๆเอ่ยประโยคนั้น เดือนหันขวับมามองน้องชายตัวเอง เขาเห็นเพียงดวงตาจริงจังและ
จริงใจมองสบกลับมา  ดินกัดริมฝีปากเล็กน้อย เป็นกิริยาที่อีกฝ่ายชอบทำเวลาใช้ความคิด  “ผมอยากเห็นจริงๆนะครับ...นะครับ พี่เดือน”

ฉึก!

เหมือนโดนอะไรบางอย่างปักเข้ากลางอก ถ้าเป็นการ์ตูนไอ้เดือนคงหน้าหงายไปพร้อมกับมีเลือดกำเดาพุ่งปรี๊ดออกจากจมูกแล้ว   ชายหนุ่มอ้าปากค้างพะงาบๆเป็นปลาทอง คิดอะไรไม่ออกนอกจากมองหน้าน้องชายแบบโง่ๆ รู้ตัวอีกทีเขาก็เผลอตอบ ‘ตกลง’ ไปแล้ว

ยิ่งเห็นท่าทางคลี่ยิ้มจนตาหยีประหนึ่งเป็นเจ้าของงานเสียเองเดือนก็ยิ่งพูดไม่ออก

“เอาเป็นว่าตกลงแล้วนะ” อารัณย์กล่าวขัดจังหวะขึ้นมา ชายหนุ่มเดินไปตบไหล่เพื่อนสนิท “ขอบใจมากๆนะเว้ย อ้อ แล้วก็ถ้าน้องดินอยากเห็นไอ้เดือนมันถ่ายแบบจะมาด้วยก็ได้นะครับ” ท้ายประโยคหันไปพูดกับน้องชายเพื่อนสนิท

ส่วนเดือนก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่น ทั้งที่ใจจริงชูนิ้วกลางใส่ไอ้เพื่อนเวรไปสักร้อยหนได้แล้ว

และด้วยเหตุนั้นวันนี้เขาถึงได้มานั่งหน้าบูดอยู่บนรถตู้ให้น้องชายเอาใจส่งน้ำส่งขนมมาให้กินนี่ไง
 
เดือนถอนใจขณะเอนหลังลงพิงเบาะนุ่ม  รถตู้คันนี้มีเขากับทีมงาน  ส่วนไอ้ตัวต้นเรื่องน่ะเหรอ โน่น หนีไปขับรถเป็นสารถีส่วนตัวให้นายแบบอีกคนไปแล้ว

จุดมุ่งหมายคือเกาะหลีเป๊ะ  จังหวัดสตูล ซึ่งถูกเลือกเป็นโลเกชั่นของการถ่ายแบบครั้งนี้  ส่วนสถานที่ถ่ายแบบคือที่ริมทะเล และในรีสอร์ทซึ่งเป็นของหัวหน้าไอ้รัน  พวกเขาออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าทำให้ตอนนี้น้องชายของเขาพอกินเสร็จก็เกิดอาการง่วงนอน หลับคอพับซบไหล่เขาเสียแล้ว

เดือนยิ้มบางๆ พลางขยับจัดท่าให้คนตัวเล็ก นอนผิดท่าเดี๋ยวได้ปวดคอแย่  หลังจัดท่านอนให้ดินนอนหลับได้สบายขึ้นแล้วชายหนุ่มก็หยิบหูฟังมาใส่ กดเล่นเพลงโดยหรี่เสียงลงให้เบาแล้วหลับตานอนเอาแรงบ้าง

เดือนลืมตาตื่นอีกครั้งเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงท่าเรือแล้ว  ชายหนุ่มหันไปปลุกดิน คนตัวเล็กครางอืออาสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ  ขยี้ตาพลางปิดปากหาวเหมือนแมวตัวเล็กที่เพิ่งตื่นนอน “เราถึงไหนแล้วครับ” ดินถามพลางถอดแว่นตาออก ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้นวดที่เปลือกตาเบาๆ 

“ใกล้ถึงท่าเรือแล้วล่ะ” เดือนตอบ ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงท่าเรือ  เดือนลงไปช่วยคนอื่นลำเลียงกระเป๋าลงมาจากรถ ขณะที่ทีมงานก็หยิบอุปกรณ์ออกมาอย่างระมัดระวัง  เสร็จแล้วก็นำสัมภาระทั้งหมดลงเรือ  เดือนที่ใส่ชูชีพตัวเองเสร็จแล้วหันไปเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของน้องชายต่างสายเลือด พร้อมกับหน้าซีดๆของอีกฝ่าย จึงถามออกไปด้วยความสงสัย

“ไม่เคยนั่งเรือข้ามไปเกาะอะไรแบบนี้เหรอ?”

ดินส่ายหน้า ไม่กล้าบอกว่าตัวเขาเมาเรือขนาดหนักและว่ายน้ำไม่เป็นด้วย เลยไม่กล้านั่งอะไรพวกนี้สักที  ใครชวนไปเกาะอะไรก็ได้แต่ปฏิเสธตลอด  ใจจริงพอรู้โลเกชั่นถ่ายแบบเขาก็อยากจะขอเลี่ยงไม่ไปอยู่หรอก แต่ดันตอบตกลงไปแล้ว และคุณรันก็คอนเฟิร์มห้องพักไปแล้วด้วย ชายหนุ่มไม่อยากทำตัวมากเรื่องเลยได้แต่ทำใจตามมา

เดือนเดินไปช่วยอีกฝ่ายใส่ชูชีพจนเสร็จก่อนจะเดินหายไปและกลับมาพร้อมกับยาและน้ำเปล่าหนึ่งขวด ชายหนุ่มยื่นของสองอย่างให้ดินที่รับมางงๆ

“ยาแก้เมาเรือน่ะ  ไม่เคยนั่งเรือแบบนี้นายต้องเมาเรือแน่ๆ กินยาไปก่อนเถอะ  นายคงไม่อยากอ้วกบนเรือหรอกใช่ไหม?”
ดินส่ายหน้าทันที  อ้วกบนเรือที่เต็มไปด้วยทีมงานแปลกหน้าแบบนี้เนี่ยนะ  ขายหน้าแย่...ที่สำคัญ...เดือนก็คงจะเสียหน้าด้วยเหมือนกัน 

คิดได้ดังนั้นคนสวมแว่นจึงรีบกินยา  เดือนที่มองอยู่คลี่ยิ้มเอ็นดูก่อนจะรับแผงยากับขวดน้ำไปคืนทีมงาน แล้วเดินมาจูงมือดินไปนั่งด้วยกัน

“ว่ายน้ำเป็นไหม?”

“ไม่ครับ ไม่เคยเรียน”

“แบบนี้ก็แย่สิ  ถ้าเรือมัน...”

ปึก!

“อย่าพูดอะไรเป็นลางได้ไหมครับ! ปากไม่ดีเลยจริงๆ”  ดินแยกเขี้ยวใส่เดือนที่งอตัวเพราะโดนศอกพิฆาตจากน้องชายเข้าไป  ชายหนุ่มบ่นอุบเรื่องคนชอบใช้ความรุนแรงและเรียงร้องสิทธิอะไรสักอย่างอยู่ข้างหูเขา แต่ดินไม่ได้ใส่ใจ เพราะพอเรือออกจากท่าเขาก็นั่งตัวเกร็งแล้ว

คลื่นลูกใหญ่ซัดปะทะเข้าซ้ายขวาทำให้เรือโคลงเคลงจนน่าหวาดเสียว  คนไม่เคยนั่งเรือเลยได้แต่จิกเล็บลงกับหน้าขาตัวเอง ก้มหน้ามองพื้น ภาวนาให้เรือมันเดินทางถึงฝั่งไวๆเสียที

“ฮ่าๆ สนุกมากเลยเนอะดิน เหมือนเล่นไวกิ้งในสวนสนุกเลย”

ไวกิ้งพ่อง! ก่อนจะสนุกช่วยหันมาดูหน้าเขาหน่อยได้ไหม ว่าสนุกด้วยหรือเปล่า ไอ้พี่เวร!

“หืม เป็นอะไรน่ะทำไมนั่งนิ่งเชียว กลัวเหรอ” ดินสะดุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าคนเอ่ยถามประโยคนั้นก้มหน้าลงมาเสียชิด  ลมหายใจอุ่นๆปะทะอยู่ข้างหู  ดินส่ายหน้า ทำท่าจะเขยิบหนี แต่คลื่นที่ซัดเข้ามาทำให้เรือเอียงจนเขาเซหัวทิ่มไปทางเดือนเสียอย่างนั้น

คนตัวสูงอ้าแขนรับน้องชายที่เซมาปะทะได้อย่างพอดิบพอดี  ถามเสียงอ่อนว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ป...เปล่าครับ” ดินขืนตัวออกจากอ้อมแขนนั้นแต่เดือนกลับไปยอมปล่อยเขา  นัยน์ตาสีดำหลังกรอบแว่นมองไปทั่วเรือว่ามีใครสังเกตเห็นพวกเขาหรือเปล่า แต่จังหวะนั้นดูเหมือนนายแบบอีกคนจะเกิดอาการเมาเรือจนย่ำแย่ คนอื่นๆเลยพากันไปสนใจนายแบบคนนั้นกันหมด ทำให้ดินกับเดือนรอดพ้นจากการเป็นข่าวซุบซิบประจำกองถ่ายไปได้อย่างหวุดหวิด

“นี่ อย่าดิ้นสิ ถ้ากลัวก็อยู่แบบนี้แหละ”

“อยู่แบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้หายกลัวเลยครับ”

“จริงเหรอ อืม...งั้นเดี๋ยวฉันร้องเพลงกล่อมดีไหม”

“กรุณาอยู่เงียบๆเถอะครับได้โปรด อย่าสร้างมลพิษทางเสียงอีกเลย”

“โหดร้าย...”

เดือนว่าอย่างไม่จริงจังนัก  เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกนิด  ขณะที่คนปากเก่งที่เถียงแจ้วๆอยู่เมื่อครู่สิ้นฤทธิ์ทันทีที่คลื่นลูกใหญ่อีกลูกซัดมา

ดินครางฮือออกมาเบาๆ เบียดตัวเข้าหาเขาอย่างลืมตัว เดือนถือวิสาสะถอดแว่นอีกฝ่ายออก “มองไม่เห็นก็ไม่กลัวถูกไหม” เขาพูดเมื่อคนผมดำทำท่าจะประท้วง  มือใหญ่กดศีรษะคนตัวเล็กให้ซุกเข้ามาที่ไหล่ ลูบแผ่นหลังบอบบางช้าๆเป็นการปลอบโยน  “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวก็ถึงฝั่งแล้ว”

ดินไม่ได้ตอบรับอะไร  เดือนจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วฮัมเพลงเบาๆ

น่าแปลกที่นาทีนั้นดินรู้สึกเหมือนความกลัวทั้งหมดที่มีมันมลายหายไปอย่างง่ายดาย

ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
พวกเขานั่งกันอยู่แบบนั้นจนกระทั่งมาถึงเกาะ    เดือนหัวเราะเมื่อเห็นดินนั่งแข็งโป๊กเป็นก้อนหินจนเขาต้องเอื้อมไปปลอดสายชูชีพแล้วถอดเสื้อชูชีพออกให้  ชายหนุ่มดึงข้อมือน้องชายให้เดินตาม อีกฝ่ายก็เดินตามเขาต้อยๆเหมือนลูกเจี๊ยบ ดูน่ารักจนอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้แต่เกรงว่าน้องชายคนเก่งคงทำการฆาตกรรมเขาแล้วโยนศพลงทะเลหากทำแบบนั้น

“ว่าไงมึง โอเคนะครับน้องดิน?” เดือนเบะปากใส่อารัณย์ แหม ดูมันพูด น้ำเสียงที่พูดกับเขาแล้วก็กับดินนี่ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ถุยๆ ไอ้ผมยาวสองมาตรฐาน

“เลิกด่ากูในใจเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ให้กูด่าออกสื่อไหมล่ะ”

“ไม่กลัวโดนเอาไปแชร์ในเน็ตว่า  นายแบบด.มีปากเสียงกับช่างภาพจนวุ่นวายกันไปทั้งทีมก็ตามใจมึง”

“กูอยากเตะปากมึงจริงๆ”

“ใจตรงกันกับกูเลย”

เดือนหัวเราะ ชกไหล่เพื่อนซี้เบาๆ เขากับไอ้รันก็เป็นแบบนี้มากันตั้งแต่ไหนแต่ไร ด่ากันไปมาจนเหมือนเป็นคู่กัดมากกว่าเพื่อน แต่ถ้าถามเดือนว่าใครที่เขาไว้ใจได้มากที่สุดก็คืออารัณย์นี่แหละ  เพราะมันชอบด่าเขาตรงๆ มีอะไรไม่ดีก็พูดออกมาหมดไม่มีกั๊ก  ทำให้เขาปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น และมันก็ไม่เคยเอาเขาไปนินทาลับหลังด้วย

มันยึดมั่นในสิ่งที่มันพิจารณาดูแล้วว่าถูกต้อง ไม่เคยทำอะไรตามที่คนอื่นบอกสักเท่าไหร่ เป็นตัวของตัวเองจนเขาก็ได้แต่นึกทึ่งในใจ

เมื่อขนของขึ้นจากเรือจนครบ พวกเขาก็ขึ้นรถที่ทางรีสอร์ทจัดมาให้เพื่อไปที่พัก  วันนี้เนื่องจากการเดินทางกินเวลานานและทุกคนก็เหนื่อยกันมาก บอสของไอ้รันย์เลยให้ทุกคนพักผ่อนไปก่อน จะเริ่มถ่ายแบบกันจริงๆพรุ่งนี้และมีกำหนดกลับคือวันพุธนี้

ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงรีสอร์ทริมทะเล  เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่ที่บ้านพักออกแบบมาให้ดูเหมือนกับบ้านทั้งหลังอยู่ใต้ทะเล คือทาสีฟ้าและขาวแล้วตกแต่งบ้านด้วยการวาดลวดลายใต้ท้องทะเล ประดับด้วยเปลือกหอย หินสี แลดูสวยงาม หน้าบ้านแต่ละหลังมีระเบียงยื่นออกมา และมีทางเดินหน้าบ้านซึ่งเชื่อมถึงกัน โดยสุดปลายของทางเดินนั้นคือศาลาที่ยื่นไปในทะเล  ด้านล่างทางเดินคือสระน้ำ  ตามจุดพักแต่ละจุดของทางเดินจะมีบันไดให้เดินลงเล่นน้ำในสระได้เลย

กลิ่นอายทะเลที่พัดพามาทำให้รู้สึกสดชื่น ดินสูดลมหายใจเจือกลิ่นทะเลเข้าไปเต็มปอด  นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้มาทะเล...ดูเหมือนจะตั้งแต่...

ช่างมันเถอะ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไปมา

มันคืออดีต จะนึกถึงไปก็เท่านั้น  เขาย้อนกลับไปในช่วงเวลาแสนสุขนั้นไม่ได้...การนึกถึงอดีตรังแต่จะทำให้เขาปวดใจมากขึ้นเท่านั้นเอง

“น้องดิน ไอ้เดือน ฉันมีคนจะแนะนำให้พวกแกรู้จัก” เสียงของอารัณย์ดึงดินให้หลุดจากภวังค์  ชายหนุ่มผมยาวเดินมาพร้อมกับพาร่างเล็กร่างหนึ่งมาด้วย  ช่างภาพหนุ่มผายมือแนะนำคนด้านหลังตน “ไอ้เดือน น้องดิน นี่คือคุณวสันต์ นายแบบอีกคนของเรา”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อก้มหัว ส่งยิ้มบางๆมาให้พวกเขา “วสันต์ครับ เรียกฝนก็ได้”

ดินถือโอกาสนั้นสำรวจวสันต์ อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ผิวขาว ดวงตากลมโตสีดำสนิท  แก้มเต็มอิ่มสองข้างทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักมาก ริมฝีปากสีสุขภาพดีเชิดขึ้นน้อยๆ

น่ารัก...จนเหมือนไม่ใช่ผู้ชายเลย

“สวัสดีครับคุณฝน ผมเดือนครับ”

“ฝนน่าจะเคยได้ยินชื่อไอ้เดือนมาบ้างนะ มันก็เป็นนายแบบเหมือนฝนนั่นแหละ”

วสันต์หัวเราะเบาๆกับคำพูดของอารัณย์ “ทำไมจะไม่เคยได้ยินชื่อนายแบบดังล่ะครับ” ทันใดนั้นดวงตากลมโตสีนิลก็เบนมาสบกับดวงตาหลังกรอบแว่นของดิน “นี่ใครน่ะ?”

“อ้อ นี่ดิน น้องชายไอ้เดือนมัน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ดินรีบก้มตัวให้อีกฝ่าย

“เช่นกันครับ”

ฝนยิ้มจนตาหยี รอยยิ้มกว้างเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มสองข้าง อีกฝ่ายดูเป็นคนอัธยาศัยดีทีเดียว

ฝนยื่นมือมาตรงหน้าดิน ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปจับ แต่ทันทีที่มือสัมผัสกัน ดินก็มองเห็นด้ายแดงของอีกฝ่าย เขาตกใจจนเกือบสะบัดมือทิ้งแต่ยังรักษาท่าทีไว้ได้  โลกรอบตัวกลายเป็นสีเทา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไล่ตามเส้นด้ายสีแดงของฝนก็พบว่ามันระยะของเส้นด้ายนั้นค่อนข้างสั้น

หมายความว่าเนื้อคู่อีกฝ่ายอยู่แถวนี้อย่างนั้นเหรอ!?

ชายหนุ่มมองตามเส้นด้ายนั้นต่อไปจบพบว่าด้ายแดงของฝนไปบรรจบเข้ากับด้ายแดงที่นิ้วก้อยของ...อารัณย์!!

เอาจริงดิ!?

แต่ก็คิดในอีกแง่หนึ่งมันก็ไม่แปลกหรอก อารัณย์เป็นช่างภาพ อาจจะเคยร่วมงานกับวสันต์มาแล้ว แล้วเกิดปิ๊งกันก็ได้  ขณะที่กำลังจะละสายตาออกด้ายสีแดงของวสันต์ก็ดึงดูดความสนใจของดินไว้ ทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างอย่างตกใจ
เพราะด้ายแดงของชายหนุ่มมันมีหลายเส้นน่ะสิ!

ดินไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย คนที่มีด้ายแดงหลายเส้นหมายความว่ายังไงกัน...มีเนื้อคู่หลายคนอย่างนั้นเหรอ  แต่เขาก็เห็นอยู่คาตานี่ไงว่าด้ายแดงของวสันต์กับอารัณย์มันเชื่อมถึงกัน หมายความว่าทั้งคู่เป็นเนื้อคู่กัน! ดินรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าคนๆหนึ่งจะมีเนื้อคู่หลายคนได้อย่างไร แล้วแบบนี้...จะต้องมาอยู่ด้วยกันหลายๆคนอย่างนี้น่ะเหรอ?

“เอ่อ...คุณดินครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ดินสะดุ้งเฮือก โลกรอบตัวกลับมามีสีสันตามเดิม เขาเพิ่ง รู้ตัวว่าเผลอจับมืออีกฝ่ายนานไปแล้ว ชายหนุ่มรีบดึงมือออกแล้วส่งยิ้มแหยๆให้ชายหนุ่มแก้มกลม “เปล่าครับ ผม...เอ่อ...”

“คุณโอเคนะครับ? หน้าคุณดูซีดมากๆเลย”

“อ่า ผมมึนหัวนิดหน่อยน่ะครับ” เขาไม่ได้โกหกนะ ตอนนี้เขาเพลียจากการเดินทางแล้วก็เริ่มปวดหัวจากการดูด้ายแดงเมื่อกี้แล้วด้วย

“มึนหัวเหรอ งั้นไปนอนพักก่อนดีไหม?” เดือนที่ได้ยินบทสนทนานั้นรีบเดินเข้ามาดูอาการคนตัวเล็กทันที  พอเห็นหน้าซีดๆของน้องชายเขาก็หันไปพูดกับอารัณย์ “เฮ้ย ไอ้รัน เช็คอินเสร็จแล้ว กูขอกุญแจห้องเลยได้ป่ะวะ  จะพาน้องไปนอนหน่อย”

“เออๆได้เลย” อารัณย์เดินไปหยิบกุญแจมาจากทีมงานคนหนึ่งที่กำลังแจกกุญแจที่พักให้กับทีมงานคนอื่นๆ “มึงนอนห้องเดียวกับน้องเขา ส่วนฝนขอเป็นห้องเดี่ยวสินะ เอ้านี่กุญแจ  อาหารเย็นตอนทุ่มนึงนะมึง  แต่ถ้าไม่ไหวก็ไลน์หรือโทรมาบอกกูก็ได้ กูจะให้พนักงานเอาไปให้ที่ห้อง โอเคนะ”

“อืมๆ ขอบใจมาก”

เดือนเดินไปหยิบกระเป๋าของเขากับน้องชายตัวเองมาก่อนจะพาดินเดินไปที่พัก  ชายหนุ่มผมดำหันหลังไปมองก็เห็นอารัณย์กับวสันต์กำลังยืนคุยกันอยู่  เขาจึงหันกลับมา

โดยไม่ทันสังเกตว่าวสันต์เองก็ลอบมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ปกปิดบางสิ่งไว้เช่นกัน


ทันทีที่มาถึงห้องพักดินก็ขอตัวเข้าไปอาบน้ำเพราะตอนนี้ตัวแล้วก็ผมเขาเหนียวเหนอะแล้วก็เต็มไปด้วยกลิ่นเกลือจากทะเล  ชายหนุ่มอาบน้ำไปครุ่นคิดถึงเรื่องด้ายแดงของอารัณย์ไปด้วย

เรื่องเนื้อคู่ของคนเราส่วนใหญ่มักเกิดจากคนที่ทำบุญร่วมกันมา สาบานอธิษฐานรักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนทำให้ได้เกิดมาพบเจอกันในชาตินี้ แต่นั่นหมายถึงคนที่มีบุญวาสนาเทียบเท่ากัน เพราะบางคนที่สัญญากับใครไว้ แต่อีกฝ่ายทำกรรมมามากหรือไปเกิดเป็นสิ่งอื่น เช่นสัตว์เดรัจฉานในชาตินี้ ทำให้แคล้วคลาดกันไป คนๆนั้นก็จะไม่พบเนื้อคู่ตัวเองไปอีกจนตลอดชีวิต ทำให้ไม่ได้แต่งงานหรือไม่มีคนรัก

คนเราเกิดตายหลายภพชาติ เวียนว่ายเจอกันมาหลายครั้งครา สาบานรักกับใครไว้บ้างก็ไม่รู้ในแต่ล่ะภพชาติ ทำให้เรื่องของเนื้อคู่นั้นค่อนข้างจะซับซ้อน  ดินเองก็ไม่ได้ศึกษาตรงนี้ให้ละเอียดนัก เขารู้แค่ว่าจะมีการเรียงลำดับเนื้อคู่...ตามบุญวาสนาที่ทำร่วมกันมา

เพราะงั้นในชาติหนึ่งจะพบเนื้อคู่แค่คนเดียว...หรืออาจจะหลายคนก็ได้ หากเกิดอะไรขึ้นกับเนื้อคู่ลำดับที่หนึ่งทำให้ไม่สามารถครองรักกันได้แล้ว  แต่หากได้พบเนื้อคู่ลำดับที่หนึ่งแล้ว เนื้อคู่ลำดับอื่นก็หลีกทางแล้วไปตามหาคู่ของพวกเขาต่อไป
แปะ

ชายหนุ่มหน้าผากซบลงกับผนังห้องน้ำเย็นเฉียบเบาๆ

ปวดหัวเป็นบ้า เรื่องบุญกรรมที่ซับซ้อนแบบนี้เขาไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งด้วยเลย ดินลูบหยดน้ำออกจากใบหน้าตนเอง  แต่ก็ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่ปัญหาของเขา แค่ทำตัวเงียบๆไว้ ไม่ต้องไปก้าวก่ายก็พอ ยังไงก็ไม่มีใครรู้เรื่องความสามารถพิเศษของเขาอยู่แล้ว แค่ทำตัวดีๆก็ไม่มีปัญหาอะไรมาสุมหัวแล้ว

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูห้องน้ำทำให้ดินต้องปิดน้ำ แล้วร้องถามไป “ว่าไงครับ?”

“คือ...น้องดินครับ ไม่ได้อยากจะว่านะ แต่น้องจะอาบน้ำจนเซลล์ทั่วตัวน้องมันอิ่มน้ำทั้งหมดเลยงั้นเหรอ  ถ้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็ออกมาเถอะครับ พี่อยากอาบน้ำบ้างแล้วเหมือนกันอ่ะครับ  ป่านนี้ทั้งเกลือทั้งแบคทีเรียบนตัวน้องมันไหล่ลงน้ำไปหมดแล้วครับ”

กวนตีน!

ดินด่าในใจ แต่ก็รีบแต่งตัวแล้วเดินออกไปเอาผ้าขนหนูฟาดคนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ด้านนอก  “ปากเสียนะครับ”

“ขอบคุณที่ชมครับ”

“ไปอาบน้ำได้แล้วครับ” ดินถอนหายใจ “อาบจนเหี่ยวตายคาห้องน้ำไปเลยก็ได้นะครับผมไม่ว่า”

เดือนหัวเราะร่วนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนดินก็มานั่งเช็ดผมอยู่บนเตียง เปิดทีวีหารายการสนุกๆดูฆ่าเวลา สุดท้ายก็มาจบที่ช่องสารคดีนำเที่ยวญี่ปุ่น ดินนั่งดูทีวีไปเรื่อยๆจนได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำแต่เขาก็ไม่ได้หันไปดู จนกระทั่งเสียงทุ้มของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จมากระซิบอยู่ข้างหู

“อยากไปญี่ปุ่นเหรอ”

“เลิกโผล่มาใกล้ๆแบบนี้สักทีเถอะครับ”

ดินไม่ได้หันไปตอบคำถาม ตายังคงดูสาวน้อยในชุดคอสเพลย์เดินนำชมย่านฮาราจูกุต่อไป  ถึงจะทำอย่างนั้นแต่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขามันกลับทุ่มไปที่คนที่นั่งซ้อนหลังเขาอยู่มากกว่า  เดือนชะโงกหน้ามาใกล้จนได้กลิ่นแชมพูแบบเดียวกัน กลิ่นสบู่ก็กลิ่นเดียวกัน  เนื้อตัวของอีกฝ่ายเย็นจัดเพราะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมา แต่ลมหายใจที่สัมผัสพวงแก้มเขามันกลับอุ่นจนดินใจเต้นผิดจังหวะ

“นี่ลงไปเลยนะครับ เตียงมันเปียกเห็นไหม” สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวเขาจึงหันไป หวังไล่อีกฝ่ายไปห่างๆ แต่การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่เขาไม่ทันคิด 

ชิบหาย...ลืมไปว่าไอ้พี่นั่นแม่งนั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง!

ชายหนุ่มสบถในใจเมื่อใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่ถึงคืบ มันใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ใกล้จนดินเห็นรายละเอียดของดวงตาสีอ่อนคู่นั้นชัดเจน ...ใกล้จนเขาเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในดวงตาที่ฉายแววอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาใจเต้นแรง

ปลายนิ้วอุ่นค่อยๆเกลี่ยเส้นผมสีดำเปียกชื้นออกจากใบหน้าของเขาแผ่วเบา สัมผัสเย็นเฉียบแต่กลับทำให้จุดที่เดือนลากไล้ปลายนิ้วร้อนผ่าว

ดินขยับตัวไม่ได้...ในหัวขาวโพลน

รับรู้เพียงแค่เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เขากัดริมฝีปาก  หลุบตาลง  เชื่อว่าใบหน้าของตนเองต้องกลายเป็นสีแดงไปหมดแล้วแน่ๆ

ก็ผิวแก้มตอนนี้มันร้อนวูบวาบไม่หยุดเลยนี่นา...

แล้วเดือนก็ยืนยันความคิดนั้นด้วยการกระซิบเสียงทุ้มว่า “หน้าแดงหมดแล้ว”  คนอายุมากกว่าเกลี่ยพวงแก้มที่ซับสีแดงระเรื่อแผ่วเบา “ไม่สบายเหรอ”

“ป...เปล่าครับ” บ้าเอ๊ย ทำไมเสียงเขามันถึงได้เบาหวิวแบบนี้นะ

“เขินเหรอ?”

“ก็เปล่า!” หนนี้เขาเสียงดังขึ้นมาอีกนิดแต่มันก็ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบเท่าไหร่ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้  เดือนถามย้ำ “แล้วหน้าแดงทำไม?”

“ก..ก็มันร้อน”

“ร้อน?”

“ใช่ ก็คุณเข้ามาชิดขนาดนี้...ถอยออกไปเลยนะ!”

“ร้อนทั้งที่เปิดแอร์แค่สิบแปดองศาเนี่ยนะ?”

พลาด...พลาดแล้ว ดินอ้าปากแล้วหุบ ดูทั้งงงทั้งมึนจนเดือนหลุดขำ  ตอนแรกก็กำจะแกล้งแค่หน่อยเดียวนั่นแหละ แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้แล้ว...ขอแกล้งไปเลยยาวๆก็แล้วกัน

หึ เห็นปกติทำตัวไม่มีภัยกับสังคมแต่นายรวีกานต์ก็ไม่ใช่ลูกแกะนะครับ

ถ้าใครที่รู้จักเขาจริงๆก็จะรู้ ว่าเดือนนะ...หมาป่าอันตรายของจริง

ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม ยกมือเสยผมเปียกน้ำของตนไปด้านหลัง นิ้วโป้งแกล้งปัดผ่านริมฝีปากของร่างเล็กตรงหน้า ยิ่งเห็นท่าทางสะดุ้งพร้อมกับแก้มแดงๆนั่นก็ยิ่งชอบใจ  ถึงจะเขินแค่ไหนแต่ดวงตาคู่คมก็ยังวาววับไม่เปลี่ยน

เป็นพญาแมวหรือไงกันนะ...น่าจับมาฟัดจริงๆเลย

“อย่ามาแกล้งผมนะ!”

“ครับ ไม่แกล้งครับ”

เดือนรับคำแต่ก็ยังโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิมอยู่ดี ก่อนที่เขาจะฝังปลายจมูกลงที่แก้มขวาของน้องชาย  เดือนชอบหอมแก้มดิน  เวลาที่อยู่ใกล้กันแบบนี้เขาจะได้กลิ่นแป้งเด็กอ่อนๆจากตัวอีกฝ่าย 

“นี่คุณ...ทำอะไรน่ะ”

“ให้รางวัลไง” เขาว่า ก่อนจะกดริมฝีปากเบาๆที่แก้มนั้น ปัดป่ายปลายจมูกไปมาเหมือนแมวตัวโตกำลังคลอเคลียเจ้าของ “วันนี้เก่งมาก...นั่งเรือข้ามมาเกาะครั้งแรกนี่”

“คุณฉวยโอกาสนี่นา!” น้ำเสียงต่อว่านั้นแผ่วเบา  คนเป็นพี่หัวเราะ “นี่แค่ให้รางวัลต่างหาก ฉวยโอกาสน่ะอีกแบบหนึ่ง” ดวงตาคมเจ้าเล่ห์จนร่างเล็กเสียงสันหลังวาบ  รีบถอยหนีจนเกือบตกเตียง แต่คนตัวสูงก็ไวกว่าคว้าเอวพาเจ้าของดวงตาคู่สวยให้มานั่งลงบนตักตัวเองได้ทัน

ดินที่ตกอยู่ในสภาพหมิ่นเหม่ชวนคิดไปไกลกับพี่ชายต่างสายเลือดรู้สึกเหมือนหัวมันร้อนวูบไปหมด เขายันอีกฝ่ายไว้ แต่ร่างกายมันกลับติดขัดไม่ยอมฟังคำสั่ง เหมือนร่างมันหนักๆจนแขนขาแทบยกไม่ขึ้น

“นั่งดีๆสิ” เดือนดุอย่างไม่จริงจังนัก “หงายหลังตกไปจะทำยังไง”

“ปล่อย คุณฉวยโอกาสผมอีกแล้ว”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ฉวยโอกาส  ฉวยโอกาสจริงๆน่ะมันต้องแบบนี้” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปจนริมฝีปากทั้งคู่เกือบจะแตะกัน...

และมันคงแตะกันไปแล้ว...ถ้าไม่ใช่เพราะ...

“ไอ้เดือนสรุปมึงจะไป— เชี่ย กูขอโทษ!”

เสียงเปิดประตูเข้ามาก่อนจะตามด้วยเสียงปิดประตูปังแทบจะในทันที พร้อมกับน้ำเสียงตกตะลึงของอารัณย์ทำให้สองร่างบนเตียงรีบผละออกจากันทันที  ดินที่หน้าแดงแจ๋รีบลงจากเตียงไปตั้งหลักที่โซฟาทันที ส่วนคนเป็นพี่ก็ลูบหน้าลูบตาอยู่บนเตียง

เดือนแตะหน้าอกรับรู้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นถี่รัว

เมื่อกี้...เขาเกือบจะ...จูบ

จูบ...แบบจูบ...บนริมฝีปาก...กับน้องชายตัวเอง!

เชี่ยเอ๊ยยย  ไอ้เดือน มึงทำอะไรลงไปเนี่ย!

เดือนแทบอยากจะกัดลิ้น  พอเหลือบมองไปทางดิน อีกฝ่ายก็นั่งหน้าแดงก้มหน้าก้มตาไม่มองเขา  เดือนเม้มริมฝีปาก ไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายก็เดินไปเปิดประตู เพื่อพบว่าอารัณย์กำลังยืนเอาหูแนบบานประตูอยู่  พอเข้าเปิดประตูพรวดอีกฝ่ายเลยเซถลามาข้างหน้า เกือบล้มไปจูบพื้น

“ทำเหี้ยอะไรของมึง”

“โอ๋ๆ โกรธเหรอที่กูเข้ามาขัดจังหวะ คือกูขอโทษนะ แหะๆ ไม่รู้นี่กว่าว่ามึงกำลังจะจุ๊บจิ๊บกับน้องดินอ่ะ” เดือนผลักหัวไอ้คนที่ทำเป็นเข้ามากระซิบกระซาบออกไป หลบสายตาล้อเลียนของมัน เขากอดอก แสร้งทำเป็นขมวดคิ้ว “ไม่ได้จุ๊บจิ๊บโว้ย ไอ้ห่านี่”

“อ๋อ งั้นที่กอดเอวนั่งตัก ก้มหน้าไปชิดกันจนแทบจะสิงกันขนาดนั้นคือมึงส่องดูขี้แมลงวันบนหน้าน้องเขาเล่นสินะ”

“ไอ้ห่า เลิกกวนตีนกูแล้วตอบมา มีอะไร”

อารัณย์แสร้งทำเป็นยกสองมือยอมแพ้ทั้งที่ปากยังยิ้มและตายังทอประกายล้อเลียน “กูแค่จะถามว่าสรุปไปกินข้าวเย็นไหวไหม เพราะหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเขาจะพาไปถนนคนเดิน แต่ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วมึงอยากพาน้องเข้านอนไวๆกูก็ไม่ว่านะ ฮ่าๆ”

เดือนชูนิ้วกลางใส่เพื่อนสนิทไปหนึ่งที “ก็ไปสิ” เขามองนาฬิกาดิจิตอลในห้อง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว “เดี๋ยวทุ่มนึงกูออกไปกินข้าวแล้วกัน ส่วนถนนคนเดินเดี๋ยวถามดินก่อน” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเดินเข้าไปหาคนที่กลับมานั่งดูสารคดีต่อบนโซฟาแล้ว

“ดิน”  อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง หันมามองเข้าอย่างระแวงเต็มที่จนอดขำไม่ได้ 

“ไม่แกล้งแล้วครับ พี่แค่จะถามว่าพอกินข้าวเสร็จดินจะไปเดินถนนคนเดินด้วยกันไหม”

“เอ๋...เอ่อ ป...ไปครับ”

“โอเค”

เดือนเดินไปบอกอารัณย์ เมื่อนัดแนะเวลากันเสร็จชายหนุ่มก็กลับมานั่งเช็ดผมตัวเองต่อ เขาเหลือบมองน้องชายที่ผมยังคงชื้นอยู่  เลยเดินไปปรับอุณหภูมิให้เป็นยี่สิบห้าองศา หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กมาอีกผืนแล้ววางแหมะบนหัวอีกฝ่าย

“ทำอะไรน่ะครับ”

“เช็ดผมให้ไง”

“ไม่ต้อง ผมเช็ดเองได้”

“อยู่เฉยๆเถอะ” เดือนพูดแล้วจัดการเช็ดเส้นผมนิ่มสีดำสนิทเบาๆ ดินที่เห็นอีกฝ่ายแค่เช็ดผมเฉยๆจึงหันกลับไปดูทีวีต่อ ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับเขา  เดือนลอบยิ้มเล็กๆก่อนจะนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

ถ้าหาก...ถ้าหากว่าอารัณย์ไม่เข้ามา

เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะเผลอจูบดินไปหรือเปล่า เพราะเดือนก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าตอนนั้นเขาควบคุมตัวเองได้
ก็อาจจะจูบ...ยิ่งถ้าน้องปัดป้องตัวเองไม่ได้แบบนั้น แค่คำต่อต้านแผ่วเบาสองสามประโยคน่ะหยุดเขาไม่ได้หรอก

แล้วยิ่งเป็นตอนนั้นด้วยแล้วต้องทำลงไปแน่ๆ...ตอนที่เขาเผลอคิดไปว่า...

ริมฝีปากบางสีสุขภาพดีนี้มันจะนิ่มแล้วก็หอมหวานเหมือนแก้มของเจ้าของมันหรือนะ?

***************************************

กรี๊ดดดดดดดด กรี๊ดดังมากให้พี่เดือนค่ะ โอ๊ยยย พี่เดือนขาา ปาหัวใจใส่รัวๆเลย :-[
พี่รันโคตรขัดจังหวะอ่ะ 5555 ยกตำแหน่งตัวชง ตัวตบ และกขค.กิตติมศักดิ์ให้เลยค่ะพี่รัน
ขยันชงมากๆพี่เดือนแกยกดื่มนะ ทุกวันนี้ก็ฉวยโอกาสกับน้องอยู่ แค่กๆ
ตอนที่เขียนตอนนี้นึกถึงเพลง ใกล้ ของวง scrubb เลยค่ะ พอลองเปิดฟังก็พบว่นมันใช่เลย 555 
อ่านตอนนี้ก็เปิดเพลงนี้ไปด้วยนะคะ จะได้ฟีลมากกว่าเดิมประมาณ 50% จริงๆนะคะ ยืนยันเลยค่ะ


ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

โกรธรันมากกก

จุด ๆ นี้ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
รออ่านตอนต่อไปนะคะ  :mew1:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๐
ทะเล(พัก)ใจ II (ครึ่งหลัง)

“น้องดินครับ กินปลาหมึกย่างไหมครับ”

“เอ่อ ไม่ล่ะครับ”

“น้องดินครับ ร้อนไหมครับ เอาน้ำเปล่าไหม”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ร้อนเท่าไหร่”

“น้องดินครับ กินลูกชุบไหมครับ พี่เห็นขายตรงโน้น ท่าทางน่าอร่อย”

“ไม่เป็นไรครับ คือผมอิ่มแล้ว”

“งั้นน้องดินลองกินแพนเค้ก...”

“เอามานี่ กูแดกเอง”

ว่าจบ เดือนที่แทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนสนิทกับน้องชายตัวเองได้สำเร็จก็คว้าไม้เสียบแพนเค้กลายการ์ตูนมาถือไว้ พร้อมกับคว้าถุงใส่ปลาหมึกย่าง ถุงใส่ลูกชุบกับขวดน้ำเปล่ามาไว้ที่ตัวเองหมด จนเพื่อนกับน้องได้แต่อ้าปากค้างมองเขาเคี้ยวแพนเค้กตุ้ยๆ

“อ้าว ได้ไงวะไอ้เดือน กูให้น้องดินโว้ยไม่ได้ให้มึง”

เดือนลอยหน้าลอยตายัดขนมเข้าปาก ขณะที่เหล่ตามองอารัณย์ที่โวยวายอยู่ใกล้ๆ

หึ ทำไม กูหมั่นไส้มึงไงครับ

แหม่...ตั้งแต่มาถนนคนเดินนี่ก็น้องดินอย่างนู้นอย่างนี้ไม่หยุดเลย  ทำเอาเขาที่วางแผนไว้ว่าจะพาน้องชายไปเดินดูของกิน            ดูเสื้อสวยๆได้แต่เดินมองตามตาปริบๆอยู่กันสองคนกับวสันต์ มองตามไอ้เพื่อนตัวดีที่เสนอหน้าอ้อร้อน้องชายเขาอย่างโจ่งแจ้ง

แถมมีการซื้อขนมซื้อน้ำมาประเคนให้ถึงที่ น้องกูบอกไม่กินๆน่ะได้ยินไหมวะ!

คนเริ่มพาลมองหนุ่มผมยาวตาขวาง ปาไม้เสียบแพนเค้กใส่หน้าเพื่อนสนิทไป  บอกแล้วว่าหมั่นไส้ ทำมาเต๊าะน้องกู เดี๋ยวกูถีบกลับกรุงเทพฯ ให้เลยนี่

อยากซื้อขนมมาอ่อยน้องกูใช่ไหม ได้...

แดกแม่งให้หมดเลย! ฮึ่ย!

“เฮ้ยๆ นั่นของน้องดินนะเว้ย” ช่างภาพหนุ่มผมยาวพยายามยื้อถุงปลาหมึกย่างกลับไปแต่อีกคนก็ไวกว่ารีบขยับตัวหนี แถมยังยัดปลาหมึกเข้าปากเอาๆแบบไม่ห่วงภาพลักษณ์แม้แต่น้อย เคี้ยวกลืนเคี้ยวหายประหนึ่งจะไปแข่งกินปลาหมึกย่างระดับโลก

“ของของน้องก็ของของกู”

“อย่ามาใช้ตรรกะป่วยจิต  เอาคืนมาเลยไอ้สัสเดือน”

“โทษทีกูแดกไปหมดแล้วอ่ะ จะให้กูอ้วกคืนให้ไหม”

“ไอ้เหี้ย! สันดานมึงแม่งแย่ผิดหน้าตา”

“ก็พอกันป่ะวะ ไม่งั้นจะคบกับมึงรอดจนทุกวันนี้เรอะ?”

อารันย์ส่ายหัวอย่างเอือมๆ ยื่นไปผลักหัวนายแบบหนุ่มจนเกือบหน้าจิ้มถุงปลาหมึกย่าง แต่สุดท้ายก็ล่าถอยออกมาให้ดินได้เข้าไปดูแลเดือนที่กินเร็วไปจนสำลัก “เห็นไหมคุณ กินมากไปจนติดคอแล้วเนี่ย หยุดกินเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยวก็อ้วกหรอก!”  แว่วเสียงบ่นมาเขาหูทำเอาเขาหัวเราะ 

ชายหนุ่มเดินผิวปากไปเดินเคียงคู่กับคนตัวเล็กที่ด้านหลัง ดวงตากลมโตปรายมามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะทำเป็นก้มหน้ากดโทรศัพท์ต่อ

“นี่ เงยหน้าขึ้นมาเถอะ มาเที่ยวแบบนี้มัวแต่สนใจโทรศัพท์ได้ยังไง”

“คนที่อยากคุยด้วยไม่ได้อยู่ที่นี่นา”

“ไหน ไม่เห็นฝนจะคุยอะไรกับใครเลย” รันถือวิสาสะชะโงกหน้าไปมองหน้าจอที่ปรากฏเป็นหน้าฟีดข่าวของเฟซบุ๊ค “แค่เลื่อนมือถือไปมาแท้ๆ”

“ก..ก็เพิ่งตอบไปเมื่อกี้ไง!” คนตัวเล็กกว่าอึกอักเมื่อโดนจับได้ จึงแก้อาการเขินด้วยการโวยวายแล้วแยกเขี้ยวใส่เขาซะอย่างนั้น  อารัณย์หัวเราะในลำคอก่อนจะดึงโทรศัพท์อีกฝ่ายมาถือไว้เอง “ไม่ได้ๆ มาเที่ยวทั้งที จะมามัวกดมือถือได้ไง  พี่ยึดแล้ว ไว้จะคืนให้ตอนกลับรีสอร์ท”

ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตากลมโตฉายแววความไม่พอใจรางๆก่อนที่ฝนจะก้มหน้าแล้วพึมพำรับคำเบาๆ

ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆโดยไร้บทสนทนาใดๆ ตอนนี้ทั้งกลุ่มเหลือแค่อารัณย์  ฝน  เดือนแล้วก็ดินเท่านั้น  ทีมงานคนอื่นบ้างก็นอนพักที่รีสอร์ท บ้างก็เดินล่วงหน้ากันไปไกลแล้ว  เหลือทิ้งไว้แต่พวกเขาสี่คนที่พากันเดินทอดน่องช้าๆซึมซับกับภาพบรรยากาศรอบด้าน

“แต่พี่เสียใจนะที่ฝนบอกว่าคนที่อยากคุยอยู่ในโทรศัพท์น่ะ  ไม่เห็นอยากจะคุยกับพี่บ้างเลย นี่ยืนอยู่ข้างกันแท้ๆ”

“ฝนน่ะเหรอครับไม่อยากคุยกับพี่?”

“ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่กินข้าวเสร็จจนมาถึงถนนคนเดินฝนยังไม่พูดกับพี่สักคำ”

ได้ยินดังนี้วสันต์ถึงกับเบะปากน้อยๆ อยากตอบกลับไปใจจะขาดว่า แล้วใครกันล่ะที่ตั้งแต่ตอนกินข้าวจนมาถึงตลาดนี้ก็มัวแต่ไปเอาอกเอาใจกับน้องชายเพื่อนตัวเองน่ะ ทิ้งเขาเดินคนเดียวอีกต่างหาก  ทำเป็นซื้อนู่นซื้อนี่ให้ดินด้วย แล้วดูสิ ตอนนี้ทำมาพูดว่าเขาไม่สนใจ

คนที่ต้องน้อยใจน่ะมันเขาต่างหาก!

หมับ

คนตัวขาวสะดุ้งเมื่อจู่ๆคนข้างตัวก็โอบไหล่เขาแล้วรั้งให้เดินหลบฝรั่งร่างใหญ่ที่กำลังจะเดินมาชน  เพราะถูกดึงแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ร่างของฝนเบียดโดนร่างของอารัณย์โดยไม่ได้ตั้งใจ  คนตัวเล็กจึงรีบดันตัวออก

“เหม่ออะไรของเราอีกแล้วน่ะ หืม เดินดูทางด้วยสิ”

ดุอีกแล้ว...ทำไมต้องดุด้วย...เขาแค่เดินเหม่อลอยไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง

“จะดุฝนทำไม”

“ไม่ได้ดุ เขาเรียกเตือน  เมื่อกี้ถ้าพี่ไม่ดึงเราหลบฝนคงเดินชนฝรั่งคนนั้นไปแล้ว  ตัวก็เท่านี้เราได้ล้มแน่ๆ เราน่ะชอบดื้อ...พี่เตือนอะไรก็ไม่ค่อยจะฟัง”

นี่ไง...ดุฝนอีกแล้ว

“แล้วผมนี่ก็อีก...ไปย้อมทำไมกันน่ะ น่าเสียดายชะมัด”  มือใหญ่เลื่อนมาจับเส้นผมนิ่มที่ถูกย้อมเป็นสีม่วงอ่อนของวสันต์ ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าย้อมสีนี้แล้วมันดูน่ารักดี แต่เขาก็ชอบสีผมแบบเดิมของคนตัวขาวนี่มากกว่า “สีดำก็ดีอยู่แล้วแท้ๆ”

วสันต์ก้มหน้า หลุบดวงตาคู่โตเพื่อปิดซ่อนความรู้สึกภายใน...

ใช่สิ...ฝนทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพี่รันหรอก ไม่เหมือน....

ความน้อยใจประดังขึ้นมาเรื่อยๆ เขาไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้เงยหน้าขึ้นจนกระทั่งพี่รันเดินเข้าไปหาดินอีกรอบ พอมองรอยยิ้มกว้างของคนตัวสูงแล้วเจ้าของเรือนผมสีม่วงก็รู้สึกว่าขอบตาของตนร้อนผ่าว

ฝนแทนที่พี่คิมไม่ได้จริงๆสินะ...


วันต่อมาการถ่ายแบบก็เริ่มขึ้น ตอนนี้ดินจึงตามมาดูการถ่ายแบบที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ท  ดินมองเดือนที่โพสท่าอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ในสระน้ำ เขายอมรับว่าตอนทำงานกับตอนปกติเจ้าตัวดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เดือนที่เขามองเห็นในตอนนี้เหมือนไม่ใช่ใช่เดือนที่เขารู้จัก ไม่มีแววตาล้อเล่น อ่อนโยน แต่กลับเป็นแววตาคมกริบแฝงเสน่ห์ที่ทำเอาคนมองแทบจะลืมหายใจ

ทุกท่วงท่าที่เคลื่อนไหวทำให้เขาละสายตาไม่ได้ หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนแผ่นอกเปลือยเปล่า  ทั้งสีหน้า ทั้งแววตา...
นี่สินะมืออาชีพ

ดวงตาคมหลังกรอบแว่นย้ายไปมองภาพของนายแบบอีกคนที่มาถ่ายแบบคู่กับเดือน  วันนี้ฝนเองก็ดูต่างออกไปเหมือนกัน  รอยยิ้มที่ส่งมาไม่ใช่รอยยิ้มกว้างจนตาหยีเห็นลักยิ้มบุ๋มเช่นเคย  แต่เป็นรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้ใบหน้านั้นดูแปลกตา

ดินคงจะมองทั้งคู่ถ่ายแบบเพลินไปอีกนานถ้าไม่ใช่เพราะอารัณย์บอกให้นายแบบขึ้นมาพักได้แล้ว  ดินมองพี่ชายต่างสายเลือดที่ปรี่มาหาเขาทันทีที่ขึ้นจากสระ  หยดน้ำเกาะพราวทั่วร่างกายที่มีมัดกล้ามสมส่วนนั้นทำเอาคนอายุน้อยกว่าต้องเบนสายตาหลบ ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหน้าร้อนวูบวาบไม่หยุดด้วย

“เป็นไง วันนี้พี่เท่ใช่ไหม?” ชายหนุ่มผมดำสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคนที่เขากำลังนึกถึงเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง...ที่ดินคิดว่าเขาชอบรอยยิ้มแบบนี้ของเดือนมากกว่า

รอยยิ้มกว้างที่จริงใจ...มันอาจจะไม่ได้ดูดีเท่ารอยยิ้มมุมปากเท่ๆในสระน้ำนั่น แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดินรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจ
“เอ่อ...น้องครับ ถึงพี่เดือนจะหล่อมากแต่น้องดินมองตาไม่กระพริบแบบนั้น พี่ก็เขินเหมือนกันนะครับ”

ขมวดคิ้วกับสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปตอนไหนไม่รู้ของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร   “ก็ดีครับ แบบนี้ดูแทบไม่ออกเลยว่าปกติคุณสติไม่ดีน่ะ”

“อื้อหือ ด่าซะพี่อยากร้องไห้เลย” คนพูดทำปากยื่นตาละห้อยท่าทางน่าสงสารแต่ดูน่ากระทืบมากกว่าในความคิดดิน  ชายหนุ่มส่ายหัวไปมา  ยื่นผ้าขนหนูผืนโตให้อีกฝ่าย “แล้วมายืนตัวเปียกทำไมครับ เดี๋ยวก็ไม่สบาย”  เดือนที่รับผ้าขนหนูไปหัวเราะน้อยๆ
“ดีจังเป็นห่วงกันด้วย”

“เพ้อเจ้อขึ้นหรือเปล่าครับ หรือแก่แล้วมันเลยฟุ้งซ่าน?”

“ครับ พี่ฝันถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเราจับมือด้วยกัน และยังคงฝันว่ามีสักวันที่ฉันได้นั่งดูหนังข้างเธอ”

“ถ้าจะเป็นขนาดนี้ลาออกจากอาชีพนายแบบไปเป็นนักร้องเถอะครับ”

ดินกลอกตา เริ่มเหนื่อยจะเถียงกับมนุษย์พี่ตรงหน้า เขาจึงส่งขวดน้ำดื่มให้อีกฝ่ายไปนั่งดื่มเงียบๆ จะได้สงบปากสงบคำสักที  นั่งกันอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งอารัณย์ที่เช็ครูปเสร็จแล้วจึงบอกให้นายแบบทั้งสองไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า “เดี๋ยวเซ็ทต่อไปจะเปลี่ยนไปถ่ายที่ริมทะเลแล้ว” หนุ่มผมยาวว่าพลางหันไปรุนหลังวสันต์ที่ดูเหมือนวันนี้จะเหม่อลอยมากกว่าปกติให้ไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
แวบนึงที่ดินมองตามฝนไปแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล

การถ่ายแบบที่ริมทะเลหนนี้เดือนกับฝนเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดที่สกรีนลายคล้ายๆกัน ไม่ว่าดินจะมองมุมไหนนี่มันก็เสื้อคู่ชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ  แถมหนนี้ท่าทางการถ่ายแบบมันดู...แนบชิดกว่าในสระน้ำนั่นอีก!

คนตัวเล็กขบริมฝีปาก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นฝนกระโดดขึ้นไปขี่คอเดือน  แก้มเต็มอิ่มแนบกับแก้มของร่างสูงที่หันมายิ้มกว้างเหมือนมีความสุขเสียเต็มประดาให้กล้องจนดินได้แอบเบ้ปากใส่รัวๆในใจ

ชิ มีหนุ่มน้อยน่ารักขี่คอแบบนั้นแล้วดีใจขนาดนั้นเลย? ท่าทางดูมีความสุขดีนะ...

ขอให้หน้าแม่งเป็นตะคริว ไอ้พี่บ้า!

“สุดท้ายขอท่ากอดคอกันนะครับ แล้วหันมายิ้มสดใสให้กล้องด้วยครับ” อารัณย์สั่งพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ แต่หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ถอยออกมา มองนายแบบทั้งสองสลับกันไปมาแล้วก็ส่ายหน้า พึมพำเบาๆ “มันยังไม่ใช่”

“คุณเดือน ขอยิ้มสดใสมากกว่านี้ได้ไหมครับ” ต่อหน้าทีมงานและในเวลาทำงาน เดือนกับอารัณย์จะวางตัวกันอย่างเป็นทางการเสมอ

 เดือนขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น “นี่ก็มากแล้วนะครับ” ยิ้มมากกว่านี้กรามกูอาจจะค้างได้นะครับเพื่อนมึง สงสารกูนิดนึง

“อืมมม”  อารัณย์ลากเสียงยาวด้วยท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “งั้นกอดคอกันแล้วหันมายิ้มสดใสให้คนหลังกล้องด้วยครับ”

หืม?

ดินหันขวับไปมองช่างภาพหนุ่มสุดติสท์ทันที

คือ...มันมีคำสั่งอะไรแบบนี้ด้วย?

เขากระพริบตาปริบๆหันไปมองเดือนเพราะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำท่าอย่างไร...แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าดวงตาคู่คมคู่นั้นเหมือนจะหันมาสบกับเขา แล้วรอยยิ้มกว้างแบบที่ดินชอบก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั้น...

ตลอดการถ่ายภาพ ดินยังคนรู้สึกว่าเดือนไม่ได้ละสายตาไปจากเขา

มันเหมือนอีกฝ่ายหันมายิ้มให้เขา...ให้คนหลังกล้องแบบเขา

คิดแบบนี้...จะเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่านะ

คนผมดำรีบก้มหน้าหลบสายตาคม  ยิ่งถูกจ้องแบบนั้นใจยิ่งประหวัดไปถึงเหตุการณ์ในห้องพัก...ตอนที่พวกเขาเกือบจะ...จูบ
ดินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาไม่ปัดป้อง มันเหมือนกับสมองเขาขาวโพลนไปหมด นึกอะไรก็ไม่ออก

ถูกสะกดไว้ด้วยแววตาคู่นั้น เหมือนกับตอนนี้

เมื่อเสียงชัตเตอร์ครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง  อารัณย์ก็หันมายิ้มให้ดินที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้างๆเขา  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมประโยคที่ทำเอาคนฟังต้องก้มหน้างุดกว่าเดิม

“แหม...วิธียิ้มสดใสให้คนหลังกล้องเนี่ย ได้ผลดีเกินคาดเลยนะครับ ว่าไหมครับน้องดิน?”

ให้ตายเถอะ...แล้วเขาจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่า!



หลังจากนั้นการถ่ายแบบของวันนี้ก็สิ้นสุดลง ตอนนี้ก็เป็นเวลาพักผ่อนไปจนกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นเขาจึงให้เดือนไปอาบน้ำก่อนส่วนตัวเองก็มานั่งมองทิวทัศน์ทะเลยามเย็นอยู่ที่หาดทราย  ดินเหม่อมองผืนน้ำที่ถูกฉาบย้อมด้วยสีส้มแดงของอาทิตย์ยามอัสดง  ตะวันดวงโตกำลังคล้อยต่ำราวกับจะจมหายลงไปใต้ทะเลเบื้องหน้า

ชายหนุ่มหลับตาปล่อยให้สายลมไล้ตามผิวแก้ม รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ผ่อนคลายจากความเครียดที่แบกอยู่บนบ่ามาตลอด 
รู้สึกเหมือนนานมากแล้วจริงๆที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้

เขาคงนั่งหลับตาอยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆถ้าไม่ใช่เพราะเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ ดวงตาสีนิลเปิดขึ้นมองผู้มาเยือน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเป็นมิตรส่งให้ “อ้าว คุณฝน ออกมาเดินเล่นหรือครับ”  ถึงแม้เขาจะใส่ความสดใสลงไปในน้ำเสียงแค่ไหนแต่คราวนี้คนเบื้องหน้ากลับไม่ตอบรับ...ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเป็นมิตรที่มักประดับบนใบหน้าน่ารักนั้นเสมอ  คราวนี้มีเพียงแค่ความเย็นชา

“คุณดิน...ผมมีเรื่องอยากจะให้คุณช่วย”

“ครับ?”

ดินเอียงคอมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย เขาลุกขึ้นยืน  มองวสันต์ที่เม้มริมฝีปากเหมือนกำลังตัดสินใจทำเรื่องที่น่าลำบากใจมากๆอยู่ แล้วนัยน์ตาสีนิลก็ต้องเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำขอที่ออกจากปากของคนเบื้องหน้า

“คุณดินช่วย...ตัดด้ายแดงของพี่รันกับเนื้อคู่ของเขาทีได้ไหมครับ?”

กึก

ดินก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ใจหายวาบ ชาไปทั้งร่าง

คนๆนี้รู้ได้ยังไงว่าเขามองเห็นด้ายแดง?

แล้วที่สำคัญคือรู้มานานแค่ไหนแล้ว!?

“พูดอะไรของคุณครับ” ในที่สุดเมื่อรวมสติได้ดินก็ฉีกยิ้มแล้วตอบกลับไป  พยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น “ผมไม่เห็นจะ...”
“คุณโกหก”  ยังไม่ทันที่เขาจะพูดให้จบประโยควสันต์ก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน นัยน์ตากลมโตสีนิลฉายแววมั่นใจและจริงจัง กดดันจนทำให้ดินต้องก้าวถอยหลังอีกครั้ง  เขารู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรุนแรง

“ผมรู้คุณโกหก”

“ผมเปล่า ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ”

วสันต์พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด  ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขา  สะกดลมหายใจของดินด้วยคำพูดที่เน้นย้ำช้าๆชัดๆ ราวกับจะสลักมันลึกลงไปในใจของคนฟัง

“ผมรู้เรื่องของคุณ...คุณปฐพี  ผมรู้ว่าคุณมีพลังพิเศษในการมองเห็นด้ายแดง ผมรู้ว่าคุณสามารถเชื่อมและตัดโชคชะตาความรักของคนอื่นได้”

“ผมทำไม่ได้”

“คุณโกหกอีกแล้ว” ฝนยิ้มบางๆ “ผมรู้ว่าคุณทำได้ ผมถึงได้มาขอร้องคุณอยู่นี่ไง”

สัญชาตญาณในใจสั่งให้ดินวิ่งออกจากตรงนี้ไปเสียแต่เขาก็ไม่ทำ  ความสงสัยใคร่รู้มันมีมากกว่าความตระหนกที่ถูกล่วงรู้ความลับ 

คิดได้ดังนั้นดินก็กอดอก หรี่ตาลงแล้วถามกลับไป “แล้วคุณรู้ได้ยังไง?”

วสันต์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที พวกเขายื่นนิ่งกันอยู่ตรงนั้น รอบกายถูกโอบล้อมด้วยสีดำสนิทของราตรีกาลที่มาเยือนในที่สุดและเสียงคลื่นที่ซัดสาด  ยืนกันเนิ่นนานจนดินคิดว่าวสันต์จะไม่ตอบคำถามเขาแล้ว

แต่แล้วจู่ๆน้ำเสียงแผ่วเบานั่นก็กระซิบออกมา ราวกับหวังว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะถูกกลืนหายไปกับเสียงลมและเสียงคลื่น

แต่สุดท้ายดินก็ได้ยินมันอยู่ดี

ประโยคที่บอกกับเขาว่า...อีกฝ่ายได้ยินเสียงในใจของเขา

“ผม...ผมไม่เข้าใจ” ดินละล่ำละลักถาม  นานทีเดียวกว่าเขาจะหากล่องเสียงตัวเองเจอ

“ผมบอกว่าผมได้ยินเสียงในใจของคุณ เอาง่ายๆคือผมอ่านใจคนได้นั่นแหละ” 

ดินอ้าปากค้างมองคนตรงหน้าด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อ  อยากจะร้องหายาดมยาหม่องมาสูดสักหน่อย  รู้สึกช่วงนี้ชีวิตจะแฟนตาซีเกินไปจนตามไม่ทัน...

มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
เมื่อเห็นเขานิ่งไปวสันต์ก็เอ่ยออกมาอีกว่า “แล้วถ้าผมแตะตัวคุณ ผมจะสามารถเห็นอดีตหรืออนาคตของคุณได้ด้วย ถึงจะแค่สั้นๆก็เถอะ”

เอ่อ...เดี๋ยวนะ  นี่ก็แฟนตาซีเกินไปอีกแล้ว  โอย จะเป็นลม...

โอเค ตั้งสติกลับมายังปัจจุบันก่อน  สรุปสถานการณ์สั้นๆตอนนี้ก็คือวสันต์มีพลังพิเศษเหมือนกัน...แต่เป็นพลังที่อ่านใจคนและมองเห็นอดีตหรืออนาคตได้  เพราะแบบนี้อีกฝ่ายเลยรู้ว่าเขาสามารถมองเห็นด้ายแดงของคนอื่นเลยมาขอให้เขาช่วยตัดด้ายแดงของอารัณย์กับเนื้อคู่ให้

แต่เนื้อคู่อารัณย์มันก็วสันต์ไม่ใช่เรอะ...หรือว่าวสันต์ไม่ได้ชอบอารัณย์กัน?

“เปล่าครับ...ผมชอบพี่รัน” อีกฝ่ายเอ่ยตอบเสียงในใจของดิน  ทำเอาคนผมดำต้องมุ่นคิ้ว รู้สึกว่าถูกรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว แต่วสันต์ก็หาได้ใส่ใจไม่

“ผมอยากให้คุณตัดด้ายแดงของพี่รันกับคนอื่น...แล้วก็ช่วยผูกด้ายแดงของเขากับผมเข้าด้วยกัน”

“นั่นมัน...ไม่เป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือไงครับ” อีกอย่างถ้าได้ยินความคิดเขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่าด้ายแดงตัวเองกับอารัณย์มันผูกกันอยู่แล้วน่ะ

“ผมรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวแล้วก็รู้ว่าด้ายแดงของเราเชื่อมกันอยู่แล้ว แต่ว่า...ผม...อยากให้คุณผูกมันให้แน่นกว่าเดิม ผมรักพี่รันจริงๆ ผมไม่อยากให้ใครได้เข้าไป”

ดินมองสีหน้าเศร้าๆของวสันต์แล้วส่ายศีรษะ เขาทำตามคำขอนั้นไม่ได้จริงๆ

“ความรักของใคร คนคนนั้นควรได้เลือกด้วยตัวเองนะครับ ผมเห็นด้ายแดงของพวกคุณก็จริง แต่ไม่มีสิทธิ์ไปจัดการกับความรักของพวกคุณตามใจชอบหรอก ขอโทษด้วยนะครับ” เขาก้มหัวให้อีกฝ่าย ก่อนจะถอยออกมาเพราะคิดว่าถึงเวลาที่ควรจะกลับไปที่พักได้แล้ว

หมับ

หากแต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหงายหลังเมื่อคนด้านหลังกระชากคอเสื้อเขาไว้อย่างแรง  มือเรียวบางคู่นั้นคว้าต้นแขนเขาแล้วบีบแน่น ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูผอมบางจะมีแรงมากขนาดนี้ ดินนิ่วหน้า พยายามสะบัดตัวหนี “ปล่อย คุณวสันต์ ปล่อย! ผมบอกให้ปล่อย ผมเจ็บ ทำบ้าอะไรของคุณ”

นัยน์ตากลมโตสีนิลแดงก่ำ ดินเห็นแววความเศร้าฟุ้งกระจายอยู่ในดวงตาคู่นั้น  “ผมแค่อยากให้คุณรู้...ให้คุณเข้าใจถึงความรู้สึกของผม  ให้คุณเข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องเรียกร้องอะไรบ้าๆแบบนั้น!”

“โอเคๆ ผมเข้าใจแล้ว ปล่อยแล้วเรามานั่งคุยกัน—“

“ไม่! ผมเห็น...อึก..ผมเห็นคุณ” แรงบีบที่แขนเพิ่มมากขึ้นขณะที่ใบหน้าน่ารักของนายแบบหนุ่มก็ดูทรมานมากขึ้นเช่นกัน “ผมเห็นอดีตทั้งหมดของคุณ”

คำนี้ราวกับมีมนต์สะกดให้ต้องหยุดนิ่ง  นัยน์ตาคู่คมหลังกรอบแว่นวาวโรจน์ขึ้นมา

“ปล่อย” ดินกระซิบ น้ำเสียงเย็นชาและกดดันอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน “อย่ามายุ่งกับเรื่องของผม  ปล่อยสิวะ! ไอ้เวรนี่!”

ผัวะ

หมัดหนักๆกระแทกเข้าที่แก้มขวาจนวสันต์ถึงกับเซ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ยอมปล่อยแขนของร่างตรงหน้า กลับกัน เขากลับออกแรงบีบต้นแขนของดินแน่นมากขึ้นกว่าเดิม

“ผมเห็นคุณ...ผมเห็นว่าแม่ยิงคุณที่ไหน...”

ดินหยุดนิ่ง ดวงตาเบิกค้างอย่างตระหนก  น้ำเสียงเกรี้ยวกราดในคราแรกกลับกลายเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา

“หยุด...นะ”

อย่าพูดถึงมันอีกเลย....

“ผมเห็น ว่าน้องกระเสือกกระสนมาหาคุณยังไง...”

“ไม่...”

“ผมเห็นว่าคุณเอาแต่กลัวจนไม่กล้าขยับ...ผมเห็นว่าคุณ...”

“...”

“ผมเห็นว่าคุณปล่อยให้เธอตาย”

“ไม่ใช่นะ!” ดินตวาด ผลักร่างของวสันต์ออกอย่างแรงจนในที่สุดก็หลุดจากการเกาะกุมนั้นได้ “ไม่ได้อยากปล่อยให้ตาย...ไม่ใช่นะ...ผม...ผมพยายามแล้ว ผม...”

“ผมเห็นว่าญาติของคุณทำอะไรกับคุณ ผมเห็นว่าคุณถูกผลักไสขนาดไหน”

“เงียบนะ เงียบ เงียบสิโว้ย!”

“ผมเห็นว่าเขาคนนั้นทิ้งคุณให้อยู่คนเดียว...ขนาดว่าคุณกำลังจะตาย เขายังไม่มาเหลียวแลคุณเลยนี่ น่าสมเพชออกนะ คิดจะฆ่าตัวตายแต่สุดท้ายก็ไม่ตายเพราะขี้ขลาดเกินไปเนี่ย...คุณไม่มีความกล้าแม้แต่จะกดมีดนั่นลงที่แขนของตัวเองด้วยซ้ำ  ตายก็ไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่มีค่า...น่าสมเพชออกว่าไหม ต่อให้ในวันนี้คุณจะทำเป็นเข้มแข็งแค่ไหน แต่แผลในใจคุณมันก็ไม่มีวันหายหรอก...คุณเองก็รู้สึกแปลกแยกตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ...”

“หยุดเถอะ...ได้โปรด...ฮึก...อย่าพูดอีก...ฮึกก ฮือออ อย่าพูดอีกเลย”

วสันต์มองร่างเล็กที่ทรุดลงไปขดตัวบนผืนทราย สองมือที่ปิดหูของตัวเองอยู่สั่นระริก  เขายังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจ

“ผมบอกแล้วว่าผมเห็น...ว่าเราสองคนเหมือนกันแค่ไหน”

“...เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการเหมือนกัน”

เจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนยื่นมาจับมือดินไว้ วินาทีที่มือของทั้งคู่สัมผัสกัน ดินก็มองเห็นโลกเป็นสีเทาอีกครั้ง  ด้ายแดงของวสันต์สัมผัสเข้ากับมือเขาพร้อมกับวินาทีที่ทุกสิ่งระเบิดออกในหัว “ดูเสียสิ...ดูเหตุผลของผม”


เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งดินก็พบว่าเขากำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น บนโซฟาสีครีมตัวใหญ่ ข้างกายมีเด็กหนุ่มผมดำหน้าตาน่ารักนั่งก้มหน้าอยู่ด้วยสีหน้าเหมือนคนใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ เขาอยู่ในชุดนักเรียน เสื้อขาวกางเกงน้ำเงิน  ดูจากทรงผมแล้วต้องอยู่ม.ต้นแน่ๆ

แกรก

เสียงเปิดประตูทำให้ร่างเล็กบนโซฟาสะดุ้งเฮือก  เมื่อหันไปมองก็พบกับหญิงสาวที่สวมเครื่องแบบมัธยมปลายเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกคน  มองก็รู้ว่านั่นคืออารัณย์สมัยยังเรียนอยู่

‘โดนเพื่อนแกล้งมาอีกแล้วเหรอครับเด็กน้อย’ อารัณย์ยิ้มกว้างให้วสันต์  พลางยกมือลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ขณะที่เด็กสาวคนนั้น...คนที่มองแล้วเหมือนเป็นวสันต์เวอร์ชั่นผู้หญิงนั่นก็เดินมานั่งข้างกายคนตัวเล็ก ยกมือขึ้นกอดวสันต์แน่น ‘พี่คิม...ฮึก...ฝนขอโทษ..ทำให้พี่คิมเดือดร้อนอีกแล้ว’

‘เดือดร้อนอะไรกัน’ เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าคิมพูดขัดด้วยสีหน้าจริงจัง ‘คนที่ควรจะเดือดร้อนคือเด็กอันธพาลพวกนั้นมากกว่า  คราวหน้าถ้าพวกนั้นมาแกล้งอีก ฝนต่อยแม่งให้คว่ำเลยนะ ไม่ต้องกลัว!’

ดินสำรวจหญิงสาวคนนั้นอย่างสนใจ  เธอมีใบหน้าคล้ายคลึงกับวสันต์เพียงแต่ดูบอบบางและน่าถนอมกว่า แล้วพริบตานั้นดินก็เห็นด้ายแดงของหญิงสาวคนนั้นเชื่อมเข้ากับด้ายแดงของอารัณย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  ด้ายแดงของอารัณย์ในตอนนั้นมีเพียงเส้นเดียวเสียด้วย

อย่างนี้นี่เอง...

ผู้หญิงคนนี้คือเนื้อคู่ลำดับที่หนึ่งของรันสินะ

‘เดี๋ยวสิคิม แบบนั้นได้เป็นเรื่องหรอก’ อารัณย์พูดกลั้วหัวเราะ ยื่นมือมาโยกศีรษะเด็กสาวเบาๆ เขาหันมายิ้มกว้างให้เด็กน้องที่นั่งตาแดงอยู่บนโซฟา ‘เอางี้ คราวหลังโดนแกล้งอีกก็บอกพี่ เดี๋ยวพี่จัดการให้’

‘แต่ว่า...’

‘ไม่เป็นไรหรอกน่า น้องคิมก็เหมือนน้องพี่นั่นแหละ’

ฝ่ามืออ่อนโยนเช็ดคราบน้ำตาบนพวงแก้มให้อย่างแผ่วเบา  ความรู้สึกของวสันต์ส่งผ่านมาถึงดิน ทำให้เขาแตะหน้าอกตัวเองพร้อมกับรับรู้ความรู้สึกของคนข้างกายไปด้วย

นั่นคงเป็นครั้งแรก...ที่วสันต์ตกหลุมรักล่ะมั้ง

ตกหลุมรักคนรักของพี่สาวตัวเอง

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว  ภาพเหตุการณ์มากมายที่ทำให้ความรู้สึกของวสันต์มันเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ ดินรับรู้ถึงความรัก ความอึดอัดและความเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในใจของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้นทุกขณะ  เขากัดริมฝีปากพยายามสกัดกั้นไม่ให้ความรู้สึกเหล่านั้นเข้ามาปะปนกับความรู้สึกของตนเอง จนกระทั่งภาพที่เปลี่ยนไปมาหยุดลงตรงที่เหตุการณ์หนึ่ง

เมื่อภาพรอบตัวชัดขึ้น ดินก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในงานศพ...

รูปภาพของหญิงสาวที่คุ้นตาซึ่งตั้งอยู่หน้าโลงทำให้รู้ว่างานศพนี้เป็นของพี่สาวของวสันต์  เขามองไปเห็นร่างบอบบางของนายแบบหนุ่มร้องไห้จนตัวโยน ข้างกายมีร่างสูงของอารัณย์ยืนโอบไหล่ปลอบอยู่ทั้งที่สีหน้าก็ดูย่ำแย่เต็มทน  ร่างสูงค่อยๆเช็ดน้ำตาให้น้องชายคนรักอย่างแผ่วเบาก่อนจะโอบประคองร่างบางออกจากศาลาไป

ด้วยสีหน้าของคนที่หมดสิ้นทุกสิ่ง...

จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้ดินกำลังเดินตามวสันต์ในชุดนักศึกษาเข้าไปที่ห้องห้องหนึ่ง เมื่อเปิดเข้ามาก็พบว่าตนเข้ามาอยู่ในห้องนอนของใครบางคน 

พรึบ

วสันต์กดสวิตช์ไฟ เมื่อสงไฟสว่างขึ้นเขาก็พบว่าบนพื้นห้องมีร่างหนึ่งนอนกองอยู่  กระป๋องเบียร์เปล่ามากมายวางระเกะระกะเต็มพื้น

หัวใจของดินบีบรัดอย่างเจ็บปวด  ความรู้สึกเหมือนคนหายใจไม่ออกทำให้เขายืนแทบไม่ไหว นั่นคงเป็นความรู้สึกของวสันต์ในตอนนั้น

เศร้า...จนอยากจะร้องไห้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

‘พี่...พี่รันครับ ตื่นเถอะ’

‘อือ’

วสันต์เดินไปเขย่าตัวร่างสูงนั้นเบาๆ ดินผงะไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าอารัณย์ดูย่ำแย่แค่ไหน ดวงตาบวมช้ำ หนวดเครารกครึ้ม 
ท่าทางดูแย่และทรมานจนน่าสงสาร

‘พี่รันดื่มมากไปแล้วนะครับ’

‘คิม...คิมหันต์’

ร่างเล็กชะงักเมื่อคนตรงหน้าเอ่ยเรียกชื่อพี่สาวเขาออกมา  ก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ‘เปล่าครับ ฝนต่างหาก ลุกไปนอนที่เตียงดีๆเถอะครับ’

‘น้อง...ฝน?’

‘ครับ’

อารัณย์หรี่ตาลงเหมือนกำลังเพ่งมองก่อนจะถอนหายใจออกมา ‘ไม่ใช่..คิม’  คนตัวสูงยกแขนขึ้นปิดตา เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ‘พี่ฝัน...เห็นคิมอีกแล้ว’

‘...’

‘ทำไมกันนะ...ทำไมพี่ถึงลืมคิมไม่ได้...ทำไมมันเหมือนกับว่าในทุกๆวันเขายังอยู่ข้างๆพี่...ยังยิ้ม ยังกุมมืออยู่ข้างๆ รู้ดีว่ามันเป็นแค่ฝันแต่พี่ก็อยากจะหลับตาแบบนั้นตลอดไป เพราะทุกครั้งที่ลืมตาตื่น พี่ก็ต้อวรับรู้ความจริงที่ว่า...ไม่ว่าจะมองหาที่ไหน คิมก็ไม่ได้...ฮึก...ไม่ได้อยู่ข้างๆพี่แบบนี้แล้ว’

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามพวงแก้ม ตามด้วยหยดที่สอง หยดที่สาม

‘แล้วเป็นผมได้ไหม’

ดินชะงัก มองร่างโปร่งบางขึ้นไปนั่งคร่อมตักของอารัณย์ที่ดูงงงวยไม่แพ้เขา

‘เป็นผมได้ไหมที่จะรักพี่...แล้วเป็นผมได้ไหม...คนที่พี่รัก’

‘ไม่...’

‘ผมไม่ได้ขอให้พี่ลืมพี่คิม! แค่...แค่รักผมบ้าง’

‘รักผมเหมือนที่ผมรักพี่..มาตลอด’

มือเรียวเอื้อมไปปิดตาชายหนุ่มตรงหน้า กระซิบข้างหูแผ่วเบา 'รักผมเถอะครับพี่ กอดผมให้แน่นๆ คิดเสียว่า...ผมเป็นพี่คิมก็ได้'

จะเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ตอนนี้...ให้พี่กอดผม

วินาทีนั้นความอัดอั้นมากมายที่มีก็ระเบิดออก ดินได้แต่ยืนตะลึงค้างมองร่างสองร่างกอดรัดกันแนบแน่น  เสียงครางกระเส่าน่าอายรวมทั้งเสียงหยาบโลนทำให้เขาได้แต่หลับตาปี๋  อยากจะหายตัวออกไปเสียเดี๋ยวนั้น

เชี่ยแม่ง หยุดได้แล้วเว้ย เขารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร!

ไม่ต้องมาให้ดูหนังสดแบบชิดติดขอบจอขนาดนี้ก็ได้ กูไม่อยากรู้ครับ!

‘อึก...อ่า...คิม...คิม’

เสียงครางเรียกชื่อหญิงสาวที่ตายไปแล้วจากปากคนตัวสูงทำให้วสันต์ชะงัก  ความรู้สึกเจ็บปวดและขยะแขยงตีตื้นมาจุกอก ดินกัดริมฝีปากเมื่อความทุกข์ทรมานของวสันต์ทำให้เขาร้องไห้ออกมา....มันเป็นความอึดอัดและขยะแขยงจนทำให้เขาอยากจะอ้วกแต่ก็ปะปนไปด้วยความสุข

ดินรู้ว่าวสันต์สุข...เพราะคนที่สัมผัสไปทั่วร่างกายตนตอนนี้คือคนที่ตนหลงรักมานานแสนนาน

ดินรู้ว่าวสันต์เศร้า...เพราะเขาคนนั้นเห็นตนเป็นตัวแทนพี่สาวที่จากไป

ดินรู้ว่าวสันต์ขยะแขยงตัวเอง...ที่รู้สึกดีกับสัมผัสนั้น...รู้สึกดีที่ตนฉวยโอกาสจากคนที่กำลังอ่อนแอเช่นนั้น

พรึบ

ร่างบางที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นทรายสะดุ้งเฮือก ดินพบว่าตัวเองนอนแผ่อยู่โดยมีวสันต์ยืนค้ำหัวอยู่ บนใบหน้าดินเปรอะไปด้วยฝุ่นทรายและคราบน้ำตา  ห้วงอารมณ์ความรู้สึกของวสันต์ปะปนไปกับความรู้สึกของตัวเขาเองจนในที่สุดดินก็ร้องไห้ออกมา

ด้ายแดงของวสันต์ยังสัมผัสกับมือเขาอยู่ ทำให้เสียงในใจที่ทุกข์ทรมานเพราะรักของอีกฝ่ายดังสะท้อนอยู่ในหัว

‘เข้าใจแล้วใช่ไหม เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงได้อยากรั้งเขาไว้’

‘ผมเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่สนหรอก’

‘ผมอยากให้พี่รันเป็นของผมคนเดียว’

‘ผมผิดตรงไหนที่อยากรั้งคนคนเดียวในโลกที่ยังต้องการผมเอาไว้กับตัว ไม่อยากให้เขาไปเจอคนอื่น ไม่อยากให้เขาถูกใครแย่งไป’

“อึก...”

“ตอบผมมาสิคุณดิน ผมผิดมากหรือเปล่าที่ต้องการรั้งคนคนเดียวที่ยังเห็นค่าผมอยู่เอาไว้กับตัว ถ้าเป็นคุณผมคิดว่าต้องเข้าใจแน่ๆ คนที่ไม่เคยมีใครต้องการเหมือนกันแบบคุณต้องเข้าใจแน่ๆว่าการถูกทอดทิ้งหลังได้รับความรักมันเจ็บปวดเจียนตายแค่ไหน”

“ฮึก...ฮือ..ได้โปรด..หยุดเถอะ...ฮึก หยุดพูดเถอะ”

“การที่ผมเห็นแก่ตัวเพื่อความรัก...ผมผิดขนาดนั้นเลยหรือ”

ดินตะเกียกตะกายลุกขึ้น  เขาสะบัดตัวหนีจากวสันต์ที่ยื่นมือมา แล้ววิ่งหนีกลับไปยังบ้านพักของตน ทันทีที่ผลักประตูเปิดเข้าไป เดือนที่นั่งดูทีวีอยู่บนเตียงก็หันมามองเขาด้วยสีหน้าตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรนาย!”

“ฮึก...ฮือ...เขา...ฮึก...เขาไม่ควร..ฮือ..ไม่ควรพูดเลย”

ดินสะอื้นจนตัวโยน  บาดแผลในใจถูกกรีดซ้ำจนเลือดซิบอีกครั้ง บาดแผลที่เขาสัญญาว่าจะปิดไว้ไม่ไปแตะต้อง สุดท้ายก็ถูกขุดขึ้นมาอีกจนได้ แล้วไหนจะความรู้สึกตกค้างจากการสัมผัสด้ายแดงนั่นอีก มันส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้

“เดี๋ยว..เดี๋ยว ใครพูดอะไร ดิน ใจเย็นๆนะ ค่อยๆพูด หายใจเข้าลึกๆก่อน”

ดินสะอื้นฮักเมื่อถูกคนโตกว่าดึงเข้าสู่อ้อมกอดแข็งแรง ฝ่ามือใหญ่ลูบแผ่นหลังเขาอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงข้างขมับเขา ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเลอะฝุ่นเลอะทรายอะไรมา 

สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องมาเห็นด้านแย่ๆของเขาก็คือเดือนอีกจนได้

“ไม่เป็นไร...ร้องออกมาเถอะ...ไม่เป็นไร พี่อยู่ตรงนี้...พี่เดือนอยู่ตรงนี้แล้วนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบปลอบยิ่งกระตุ้นให้น้ำตาไหลมากกว่าเดิม  ดินยกมือโอบกอดคนเบื้องหน้าแน่นแล้วปลดปล่อยทุกความเศร้าใจออกมา

เห็นดังนั้นเดือนก็เลือกที่จะไม่ถามแม้ในใจจะงุนงงมากก็ตาม เขาเลือกที่จะเงียบแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ปล่อยให้น้องน้อยร้องไห้...ปล่อยความเศร้าใจลงในอ้อมแขนเขาเช่นนั้นไปตลอดคืน

**********************

พระเอกอีกแล้วนะพี่เดือนนนน สำหรับตอนนี้สงสารทั้งดินและฝนค่ะ
หลายคนอาจจะมองฝนไม่ดีนะแต่บางครั้งความรักก็ทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน
บางคนมองว่าเราจะเห็นแก่ตัวเพื่อความรักบ้างก็ได้ หรือบางคนก็มองว่ามันไม่ใช่ข้ออ้าง
ดังนั้นการกระทำของฝนมันเลยถูกตัดสินไม่ได้ว่าผิดหรือถูก เพราะต่างคนก็ต่างมุมมองออกไป
ขนาดตอนที่เขียนคำถามให้ฝนถามดินว่าตัวเองผิดมากหรือที่เห็นแก่ตัวแบบนี้
เราก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้เลยค่ะว่าจริงๆแล้วการกระทำของฝนมันเห็นแก่ตัวหรือเปล่า
ความรักบางครั้งก็ซับซ้อนมากๆจนเหนื่อยที่จะคิดเลยล่ะค่ะ
ช่วยเป็นกำลังใจให้ฝนและดินกันด้วยนะคะ   :L2:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เมื่อไรดินจะยิ้มได้สักที

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :ling3:


เราจัดว่าฝนอยุ่ในหมวดคนเห็นแก่ตัว

งานนี้น้องดินต้องระบายออกมาบ้างนะ  :mew4:

พี่เดือนจะอยู่ข้างดินตลอดไป  :hao6:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
จะมีพลังด้านไหนโผล่มาอีก

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ดีใจมากที่ดินมีพี่เดือน...
ตอนที่ดินวิ่งกลับเข้าห้องมาเจอเดือนคว้าเข้าไปกอดนี่เรารู้สึกเลยว่าน้องรอดแล้ว
เรื่องนี้มีคนพิเศษมากกว่าสองใช่ไหมคะ? หวังว่าคนพิเศษคนอื่น ๆ จะไม่มาสร้างปัญหาให้พี่น้องสองด. นี่ทีหลังนะคะ สงสารพวกนางจริง ๆ

เป็นกำลังใจให้ และรอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^  :pig4:


ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :sad4: สงสารน้องดินกะน้องฝนมากเลย คุณคนเขียนคะ สำนวนภาษาสวยมากเลยค่ะ อินมาก

ออฟไลน์ MaRiTt_TCL

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1513
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-6
ทำไมเราเกลียดฝนวะ
แม้ว่าจะทำเพื่อความรักแต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไปขุดคุ้ยอดีตของคนอื่นมาพูดปะ
มันเป็นสิทธิของเค้าอ่ะที่จะเล่าหรือเก็บมันฝังไว้กับตัว เกลียดว่ะเกลียดคนแบบนี้

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทที่ ๑๑
อดีตหลังรอยน้ำตา

งานถ่ายแบบของเดือนเสร็จสิ้นลงในตอนบ่าย หลังจากเช็ครูปดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหาให้ต้องถ่ายใหม่แล้ว อารัณย์ส่งสัญญาณว่าเสร็จงานแล้วมาให้เขา เดือนเดินขึ้นจากพลางรับผ้าขนหนูจากทีมงานคนหนึ่งมาคลุมตัวไว้ วันนี้สีหน้าของนายแบบหนุ่มดู
เคร่งเครียดผิดกับเมื่อวาน อารัณย์เองก็พอจะเดาออกว่าอะไรเป็นสาเหตุ

จะใครเสียอีกถ้าไม่ใช่น้องชายต่างสายเลือดคนนั้น ที่ปกติจะต้องมานั่งดูพี่ชายทำงานแต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา  เห็นเดือนบอกว่าไม่สบายเลยขอนอนพักแต่ในบ้านพัก

“เสร็จงานแล้วมึงรีบไปพักเถอะ ขอบใจมากนะเว้ย” เขาเดินไปตบไหล่เพื่อนสนิท อีกฝ่ายเองก็แค่พยักหน้ารับคำ แต่สายตาคมกลับมองเลยไปที่นายแบบอีกคนซึ่งกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำจากเส้นผม  เป็นสายตาแบบที่อารัณย์เองก็เดาไม่ออกว่ามันจะสื่ออะไร

“แล้วน้องดินเป็นไงบ้าง” คำถามนั้นเรียกให้ร่างสูงละสายตาออกจากวสันต์ได้

“ก็ไม่ค่อยดี เดี๋ยวกูจะกลับไปดูเขาแล้ว”

“โอเคๆ ยังไงงานเลี้ยงคืนนี้มาไม่ได้ก็ไม่ต้องมา มึงจะอยู่ดูน้องก็ได้  มีอะไรก็โทรมาหากูก็แล้วกัน”

เดือนพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆออกมาให้เพื่อนสนิท “ขอบใจมึงมากเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไร กูเองก็ต้องกลับไปดูคนของกูเหมือนกัน”

“คนของมึง อ้อ คุณฝนน่ะเหรอ”

เดือนพึมพำพลางลากสายตากลับไปมองนายแบบหนุ่มตัวเล็กอีกครั้ง อารัณย์พยักหน้า “วันนี้ฝนก็ดูท่าทางไม่ดีเหมือนกัน  ดูเครียดๆ”

อันที่จริงเจ้าตัวก็ดูเครียดมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ตอนที่เขาเดินเข้าไปดูก็เอาแต่นั่งเงียบ ถามคำตอบคำเหมือนคนมีอะไรในใจ

เดือนไม่ตอบคำ ชายหนุ่มบอกลาเพื่อนสนิท แล้วเดินไปล้างตัวที่ฝักบัวริมสระน้ำของรีสอร์ท ตอนที่เดินถึงฝักบัวเขาก็รับรู้ว่ามีใครบางคนเดินตามมาด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับชายหนุ่มดวงตากลมโตที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ วสันต์นั่นเอง

อีกฝ่ายคลี่ยิ้มให้เขา แต่เดือนไม่ได้ยิ้มตอบ กลับกันเขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

“แหม มีอะไรหรือเปล่าครับถึงมองผมเหมือนกับจะลากไปฆ่าทิ้งถ่วงทะเลแบบนี้” วสันต์พูดติดตลก แต่ดวงตากลับไม่ฉายแววขบขัน  เดือนเองก็ไม่รู้สึกตลกกับคำพูดนั้นเหมือนกัน

“คุณทำอะไรดิน”

เขายิงคำถามได้ตรงทะลุเป้า ไม่ต้องรีรอให้เสียเวลา

“ทำอะไร? คุณพูดอะไรของคุณ”

“ผมคิดว่าคุณรู้ดีนะครับว่าตัวเองทำอะไรไว้”

อย่ามาแกล้งโง่จะดีกว่า เมื่อคืนก็ได้ยินมากับหูว่าวสันต์เป็นคนพูด...เรื่องที่ไม่ควรจะพูด ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าดินหมายความว่ายังไง แต่ไอ้หมอนี่ต้องอะไรสักอย่างกับดินแน่

ฝนยิ้มเมื่อได้ยินเสียงในใจของชายหนุ่มตรงหน้า  ดูเหมือนหลังจากที่ดินกลับห้องไป อีกคนจะเค้นอะไรออกมาได้บ้างสินะ

แต่ก็ไม่ได้เค้นส่วนสำคัญของเรื่องออกมา...

“ผมก็แค่ไปนั่งคุยกับคุณดินมาเท่านั้นเอง”

“ไม่ได้คุยอะไรทำนองว่า ‘ทะเลสวยจัง’ แน่ๆใช่ไหมล่ะครับ”

“ก็...เรื่องทั่วๆไปล่ะครับ”

ทั่วไปพ่อมึงสิครับ ถ้าคุยเรื่องทั่วไปน้องกูจะร้องไห้แทบเป็นแทบตายแบบนั้นไหม? แม่งน่าจับมาต่อยให้ปากแตก ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนของไอ้รัน...

คำว่าคนของอารัณย์ทำให้ฝนชะงัก

คนของพี่รันเหรอ...หึ เข้าใจผิดไปไหนต่อไหนแล้ว

“ผมว่า แทนที่คุณจะเสียเวลามากล่าวหาผมอย่างนู้นอย่างนี้ สู้เอาเวลาไปกลับไปดูน้องชายคุณไม่ดีกว่าเหรอครับ” ฝนเอ่ยขึ้นมา หันมาจ้องหน้าเดือน “ปัญหามันอยู่ตรงไหนรู้ไหมครับคุณเดือน...มันอยู่ตรงที่คุณ ‘ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณดินเลยสักอย่าง’ นั่นแหละครับปัญหาหลักเลย”

“ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงไหน” เดือนตอบเบาๆ ทั้งที่รู้สึกเหมือนถูกตบจนหน้าชา มันจริงอย่างที่ฝนพูดนั่นแหละ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดินเลย  เขารู้แค่ในสิ่งที่เจ้าตัวอยากให้รู้ แต่ดินเป็นคนที่แค่มองก็รู้ว่าเจ้าตัวมีแผลในใจ แผลใหญ่...ลึก...ที่เจ้าตัวไม่อยากให้ใครเข้าไปแตะต้อง และเจ้าตัวก็เลี่ยงที่จะแตะต้อง

ดินจงใจปิดมันไว้ หวังว่ามันจะเยียวยาตัวเอง แต่แผลที่ไม่ได้รับการทำความสะอาด ต้องให้ไม่ไปแตะต้องแต่มันก็ติดเชื้อและลุกลามได้

คงเป็นเขาเองที่ผิด เพราะชะล่าใจมากเกินไป...คิดว่าวันหนึ่งน้องคงจะพูดออกมาเอง

แต่คนอย่างดิน ดื้อรั้นมากกว่าที่เห็นภายนอกนัก อะไรที่ไม่อยากพูดก็คงจะปิดเงียบไปจนตาย คงเป็นเขา...ที่ต้องก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายให้มากกว่านี้

“โอเค ผมยอมรับว่าผิดที่เมื่อคืนไปพูดอะไรสะกิดใจเจ้าตัวเข้า...แต่ถ้าคนเรามีแผลเป็นอะไรในใจ พูดแค่ไหนก็ไม่ใส่ใจหรอกจริงไหมครับ  ทางแก้คงไม่ใช่การมาโวยวายเอาผิดผม แต่คงเป็นการเข้าไปทำความรู้จักกับ ‘อดีต’ ของน้องชายคุณต่างหาก”

“คุณพูดเหมือนรู้อะไรมา”

“ก็...คงจะรู้บ้าง” ฝนลากเสียงยาวแล้วหันมายิ้มจนตาหยีให้เขา “แล้วคุณล่ะครับ รู้อะไรบ้างหรือเปล่า”

เดือนเดินเข้าไปล้างตัวใต้ฝักบัวแบบลวกๆ ก่อนจะเดินออกมาใช้ผ้าขนหนูซับน้ำแล้วคลุมตัวไว้  เขาเร่งเดินผ่านอีกฝ่ายไปโดยไม่ตอบคำถาม

มีเพียงวสันต์เท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังกว้างที่ลับตาไป

เมื่อถึงบ้านพัก เดือนผลักประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา  เครื่องปรับอากาศในบ้านพักยังคงทำงานอย่างเงียบสนิท  ร่างบนเตียงนอนขดตัวอยู่ในกองผ้าห่ม ดูเหมือนกำลังหลับอยู่

ชายหนุ่มตัดสินใจยังไม่ปลุกคนตัวเล็ก เขาจึงคว้าผ้าขนหนูแล้วเดินไปอาบน้ำในห้องน้ำ พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากห้องน้ำมาก็พบว่าดินกำลังนั่งเอนหลังพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเช็ดผมไปพลางเดินไปนั่งข้างร่างเล็กนั้น ดินเหลือบตามามองแวบหนึ่งก่อนจะก้มไปอ่านหนังสือต่อ “ก็ตั้งแต่ได้ยินเสียงน้ำครับ”

“ขอโทษนะ ทำให้ตื่นเลย”

คนผมดำส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ตื่นมาแล้วก็ดีเหมือนกัน นอนนานกว่านั้นเดี๋ยวปวดหัว”

“แล้ว...รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง” ว่าพลางยกมือทาบหน้าผากคนกำลังอ่านหนังสืออยู่  โชคดีที่ไม่มีไข้ วันนี้เจ้าตัวแค่ปวดหัวเพราะเมื่อวานร้องไห้มากไป

“ก็ดีขึ้นแล้วครับ ไม่ปวดหัวแล้ว” ดินตอบเสียงค่อย หลบสายตาคมของเดือน

เมื่อวานเขาร้องไห้หนักมาก...เหมือนแผลใจที่ปิดเงียบมานานถูกวสันต์กระชากเอาผ้าปิดแผลออกแล้วราดน้ำเกลือลงบนแผลอย่างไรอย่างนั้น  อารมณ์ความรู้สึกมากมายถาโถมจนทนไม่ไหว เขาเลยโซเซกลับมาที่บ้านพักแล้วก็ร้องไห้...ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายจนน้ำตาเหือดหายไปหมด

ดินยังจำสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบไล้แผ่นหลังได้  จำรอยจูบอุ่นๆที่ข้างขมับ หน้าผาก และเปลือกตาของเขาได้  จำสัมผัสอ่อนโยนของปลายนิ้มที่เกลี่ยหยดน้ำตาออกจากใบหน้าให้เขาได้

จำได้ว่าตอนที่อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปกอด...มันให้ความรู้สึกเหมือนคนจมน้ำที่เจอขอนไม้ หรือไม่ก็คนหลงทางเห็นแสงสว่างล่ะมั้ง
เป็นความรู้สึกที่ว่า ‘แค่มีคนคนนี้อยู่ก็ไม่เป็นไรแล้ว’

แต่เมื่อคืน...ที่ปล่อยให้ตัวเองถูกอีกคนพรมจูบแก้ม จูบหน้าผาก จูบตาแบบนั้น...มันก็น่าอายมาก จนเขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆเลยสักที วันนี้เลยใช้ข้ออ้างว่าปวดหัวขอนอนพักอยู่ในบ้านพัก เพราะออกไปนั่งมองอีกฝ่ายทำงานเช่นที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงเหมือนกัน

“หืม ทำไมหน้าแดง”

“เปล่าครับ..คือ ไม่เป็นไร”

เขาตอบตะกุกตะกัก รีบวางหนังสือลงแล้วนอน ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง “ผม..ผมง่วงแล้ว ขอนอนอีกหน่อยแล้วกัน”

“อ้าว ไหนบอกนอนมากแล้วปวดหัว”

“ก็...ช่างเถอะน่า ผมจะนอนแล้ว พอเย็นแล้วก็ปลุกผมด้วยแล้วกัน”

ดินว่าแล้วพลิกตัวตะแคง นอนหันหลังให้เดือน ซึ่งคนตัวสูงก็ยิ้มขำ สอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม แล้วยกแจนพาดไปที่เอวของน้องชายต่างสายเลือดเหมือนจงใจจะแกล้ง แถมมีการยกตัวไปกระซิบเบาๆข้างหูให้คนตัวเล็กต้องย่นคอหนีด้วยอีกต่างหาก

“รับทราบครับ ฝันดีนะครับน้องดิน”


วสันต์ได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เขาไม่ได้หันไปมองเพราะรู้ดีว่าใครเป็นคนเข้ามา ชายหนุ่มยังคงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำออกจากเส้นผมสีม่วงอ่อนอย่างใจเย็น  รอให้ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายพูดแต่เมื่ออีกฝ่ายยังคงไม่ปริปากอะไร ชายหนุ่มจึงละมือออกจากผ้าขนหนู หันกลับมาเลิกคิ้วมองชายหนุ่มผมยาวที่ยืนพิงผนังอยู่ข้างประตู

“พี่มีอะไรอยากพูดหรือเปล่าครับ?”

พอเห็นใบหน้าน่ารักนั่นฉีกยิ้มกวนๆมาให้ อารัณย์ก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ไปแกล้งอะไรคุณดินเขา”

“เปล่าสักหน่อย”

“เด็กนิสัยไม่ดี  ไปขอโทษเขาเลยนะ”

“ฝนทำอะไรผิดหรือครับ”

อารัณย์หรี่ตาลง  ดวงตาคมฉายประกายดุเมื่อเด็กของตนเถียงอย่างดื้อดึง “ก็รู้อยู่ว่าทำอะไรไป  อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ ว่าเราไปพูดอะไรสักอย่างจนคุณดินเขาร้องไห้”

วสันต์กัดริมฝีปาก หลุบตาลงเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด เห็นดังนั้นคนอายุมากกว่าก็รีบซ้ำทันที “โตแล้วนะฝน ทำอะไรผิดก็รีบไปขอโทษ อย่าให้พี่ต้องดุมากไปกว่านี้”

เจ้าของเรือนผมสีม่วงอ่อนซ่อนดวงตาที่มีตะกอนความเสียใจไว้ด้วยการก้มหน้าลงต่ำ รับคำง่ายๆ “เข้าใจแล้วครับ”  เมื่อเห็นอีกคนรับคำอย่างว่าง่าย  ร่างสูงก็หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเดินไปหาร่างเล็กที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วลงมือเช็ดผมให้อย่างแผ่วเบา  พอมองอีกคนที่นั่งนิ่งอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำเหมือนคนประท้วงเงียบก็ได้แต่ถอนหายใจสั้นๆอีกหน

เด็กดื้อ...จะผ่านไปอีกกี่ปีก็ดื้อไม่เปลี่ยน

“กำลังว่าฝนในใจใช่ไหม” เสียงใสๆนั่นพูดขึ้น เจือด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย  เขาเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว จะมีสักครั้งไหมที่เด็กนี่ไม่รู้ทันเขา

“ก็รู้ตัวนี่”

“ฝนไม่ได้ดื้อนะ”

“ที่เถียงอยู่นี่แหละที่เรียกว่าดื้อ”

“ฝนดื้อแล้วทำให้พี่รันเหนื่อยหรือเปล่า” คนผมม่วงหันมามองเขา  คาดคั้นเอาคำตอบ “ก็เหนื่อย...” คำตอบของเขาทำให้ใบหน้าน่ารักนั่นสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“เหนื่อย...แต่ก็เต็มใจเหนื่อย”

แค่ประโยคสั้นๆแต่กลับทำให้หัวใจเต้นแรง เป็นความสุขเล็กๆที่หล่อเลี้ยงจิตใจของวสันต์เอาไว้

“เพราะพี่สัญญากับคิมไว้แล้ว”

แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อประโยคต่อมาฉีกกระชากหัวใจเขาออกเป็นชิ้นๆ แทนที่มันด้วยความเจ็บปวด

วสันต์หลับตาลง กล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินประโยคทำนองนี้...ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้ว่าตัวเองไม่มีหวัง 

นับตั้งแต่วันนั้น...ที่เขาฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของพี่รัน เมื่อลืมตาตื่นในวันต่อมา เขาก็พบว่าอีกฝ่ายทำราวกับไม่มีอะไรเกิด
ขึ้น ทำราวกับจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แต่เพราะได้ยินเสียงในใจเขาจึงรู้ว่าอีกคนจำได้ทุกสิ่ง แค่เลือกที่จะทำเป็นลืมมันไปเสีย

ไม่มีวันรักน้องชายของคิมหันต์ได้...เด็กคนนั้นแทนที่พี่สาวตัวเองไม่ได้หรอก

ประโยคที่เจ้าของมันคิดวนเวียนซ้ำๆในหัวราวกับพยายามจะสะกดจิตตัวเองทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า แต่วสันต์ก็ทำแค่ยิ้มรับแล้วก็ทำเป็นลืมเรื่องในวันนั้นไปเช่นกัน  อาศัยอยู่ข้างกายของอารัณย์ในฐานะน้องชาย มองชายหนุ่มตรงหน้ามีผู้หญิงผ่านมาคนแล้ว
คนเล่า แต่ก็ไม่เคยมีใครได้หัวใจของอารัณย์ไปเลยสักคน

เพราะความรักของอารัณย์...มันจากไปพร้อมกับลมหายใจของพี่สาวของเขาแล้ว

“เอ้า เสร็จแล้ว ไปแต่งตัวเถอะ อีกเดี๋ยวงานเลี้ยงจะเริ่มแล้วนะ” เสียงของชายหนุ่มดึงให้วสันต์หลุดออกจากภวังค์  ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะลุกจากโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นดังนั้นอารัณย์เลยทำท่าจะเดินออกจากห้องเพื่อปล่อยให้อีกฝ่ายแต่งตัว

หมับ

ยังไม่ทันจะก้าวไปที่ประตู แรงโถมจากด้านหลังก็รั้งตัวเขาไว้  แขนเล็กๆนั่นสั่นระริกยามเอื้อมมือมากอดเอวเขา อารัณย์แหงนใบหน้าขึ้นมองเพดาน หลับตาลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ฝน ปล่อย พี่จะกลับไปแต่งตัว”

“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้นี่”

“ฝน...”

“นะครับ...อยู่เป็นเพื่อนฝนก่อนนะ”

เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย  ดันร่างเล็กนั้นออก “ไปแต่งตัว เดี๋ยวไม่สบายนะ”

“พี่รัน...” ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยหยาดน้ำใสเอ่อคลอ  อารัณย์เบือนหน้าหนีด้วยไม่อยากเห็นหยดน้ำตาของเด็กน้อยตรงหน้า
“ผมรักพี่นะครับ”

เขาเม้มริมฝีปาก กลั้นใจอยู่นานแล้วจึงพูดออกมา

“ไปแต่งตัวเถอะ เจอกันตอนทุ่มนึงที่ห้องอาหารนะ”

ว่าจบเขาก็รีบออกจากบ้านพัก ปล่อยคำว่ารักของอีกฝ่ายให้ร่วงหล่นหายไป

เป็นผู้ชายใจร้ายจริงๆด้วยสินะ...ตัวเขาน่ะ...

เห็นไหมฝน พี่รันของฝนใจร้ายมากเลยนะ...หยุดเถอะ เลิกรักพี่เถอะ

เวลาของพี่หยุดเดินมานานแล้ว...และมันคงขยับเดินต่อไปไม่ได้

แต่ฝนไม่ใช่...เวลาของฝนต้องเดินต่อไป แล้ววันไหนเมื่อฝนได้พบคนที่รักฝนและฝนก็รักเขา พี่ก็จะยืนยิ้มให้ฝน จะกล่าวอวยพร
ให้รักกันไปนานๆ

ฝนสมควรมีความสุข...พี่รันจะทำให้ฝนมีความสุข

เพราะฉะนั้น ได้โปรดเถอะนะคนดี...

หยุดร้องไห้ให้ผู้ชายใจร้ายคนนี้เถอะนะ


ตอนที่ดินตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาทุ่มตรงแล้ว เขายันตัวลุกขึ้นแล้วพบว่าเดือนกำลังรับอาหารจากพนักงานที่นำมาส่งให้ที่ห้องอยู่ ชายหนุ่มเดินถือถาดอาหารเข้ามา ยิ้มให้เมื่อพบว่าเขาตื่นแล้ว

“เป็นไง หลับสบายไหม  ฉันเห็นว่าเราคงไปไม่ทันงานเลี้ยงแล้วก็เลยสั่งอาหารมา”

ดินมองอาหารในถาด  มีข้าวผัดจานใหญ่ ยำวุ้นเส้น ไก่ทอดกระเทียม แล้วก็กุ้งกับปลาหมึกชุบแป้งทอด  เดือนวางถาดอาหารลง
บนโต๊ะกลมใส่ข้างเตียง “มากินข้าวเถอะ”  ชายหนุ่มจัดการตักแบ่งข้าวผัดใส่จานให้อีกฝ่าย เดินไปหริบขวดน้ำเปล่าที่แช่ในตู้เย็นออกมาเปิดให้

ดินยิ้มกับท่าทางนั้น มิน่าผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำให้ใครต่อใครชอบเขาได้

ก็เอาใจเก่งแบบนี้ไง  นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ไปแล้ว

“ยิ้มอะไรครับ หลงเสน่ห์พี่ชายคนนี้แล้วล่ะสิ” เดือนยิ้มหล่อให้ เมื่อเห็นดังนั้นดินก็เบ้หน้าใส่อีกฝ่าย แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว  หลังจากจัดการอาหารจนเกลี้ยง เดือนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ชายหนุ่มจัดการรวบรวมจานเปล่าใส่ถาดไปวางไว้หน้าห้องแล้วเอื้อมมือไปดึงแขนน้องชายต่างสายเลือดขึ้นมา พอดวงตาสีนิลหลังกรอบแว่นจ้องมาด้วยความสงสัยเขาก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “ไปเดินเล่นย่อยอาหารกันดีกว่า”

เดือนกับดินพากันเดินลงมาที่ชายหาด  ตอนนี้ชายหาดแทบจะไร้ผู้คนมีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ยังเดินเล่นกันอยู่  เดือนถอดรองเท้าออกให้เท้าเปล่าสัมผัสกับทรายเนียนนุ่ม กลิ่นทะเลยามราตรีทำให้สดชื่นขึ้น  “ถอดรองเท้าออกด้วยสิ” เดือนบอก ดินทำตามอย่างว่าง่าย

สองพี่น้องเดินถือรองเท้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เดินเคียงกันไปเงียบๆริมชายหาด  ปล่อยให้คลื่นซัดสาดเท้าเปล่าเปลือย  เหม่อมองแสงไฟจากเรือทั้งหลายที่กระพริบวิบวับอยู่กลางความมืดมิดของผืนน้ำ

“เอาล่ะ...ฉันว่า เรามีเรื่องต้องพูดกันนะ” ดินชะงักเมื่อจู่ๆเดือนก็เอ่ยขึ้นมา  ร่างสูงหันหน้ามามองเขา  สะกดเขาไว้ด้วยดวงตาคู่นั้นจนหันหนีไม่ได้  หัวใจเต้นถี่รัว

“พูดเรื่องอะไรครับ”

เดือนขยับเข้ามาจนชิดเขา   จับต้นแขนเขาเอาไว้  “ฉันว่า...พี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ผมไม่มีอะไรจะคุย”

“คนเรามีแผล...อาจคิดว่าปิดไว้แล้วมันจะเลือนหายไป แต่ถ้าเราไม่เปิดแผลนั่นออกมาทำความสะอาด ใส่ยาให้ถูกวิธี มันก็ไม่มี
วันหายดีหรอกนะ  แผลใจก็เหมือนกัน  พี่ไม่รู้ว่าดินแบกอะไรไว้ แต่เราไม่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้คนเดียวนะ”
ดินก้มหน้า เอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า “คุณไม่เชื่อผมหรอก...เรื่องทั้งหมดมันยากเกินไป ยากเกินจะอธิบาย”

“ยังไม่ทันได้เล่าเลย”

“แล้วเราเป็นอะไรกันล่ะครับ” ดินเงยหน้าขึ้น ตวาดเสียงดัง  หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวย เดือนค่อยๆถอดแว่นตาของอีกฝ่ายออกแล้วเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เหมือนเช่นทุกครั้ง ความอ่อนโยนที่ทำให้ดินกลัวเหลือเกินว่าเขจะเคยชินกับมัน แล้ววันหนึ่งหากเขาเปิดใจแล้วคนตรงหน้าหายไป

มันคงทำให้เขาแตกสลายไปมากกว่าเดิม

“เราเป็น..ฮึก...เป็นอะไร...อึก กันครับ ทำไมผมถึงต้อง...เชื่อใจคุณด้วย”
เดือนลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา  “เป็นอะไรก็ได้...ที่ดินอยากให้เป็น  เป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย เป็นครอบครัว สิ่งเดียวที่น้องต้องรู้คือน้องเชื่อใจพี่ได้”

ฝ่ามืออันแสนอ่อนโยนนั้นกอบกุมมือเขาไว้  ดินมองคนที่เป็นเสมือนแสงไฟคอยนำทางเขาในวันมืดมิด  ส่วนลึกในใจเขาร่ำร้องออกมา...ว่าในที่สุดก็พบคนที่เชื่อใจได้  เขาเชื่อใจคนคนนี้ได้

“คุณจะเชื่อทุกอย่างที่ผมพูดหรือ” เขาเงยหน้าขึ้นมองเดือน  ชายหนุ่มร่างสูงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยคำตอบรับหนักแน่นมั่นคง

“พี่สัญญา”

คำตอบนั้นทำให้ดินรู้สึกเหมือนปราการในใจถูกทลายไปจนหมด  เขาค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนผืนทราย รับรู้ได้ว่าเดือนเองก็นั่งลงเคียงข้าง  ดินเรียบเรียงถ้อยคำและเรื่องราวอยู่ครู่หนึ่ง...ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของตนออกมา

มีต่อค่ะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
“ผม...เป็นลูกของโสเภณี...แม่...ผมอยู่ในสลัม  ตอนที่พบกับพ่อก็คือตอนที่พ่อมาใช้บริการ...” รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนใบหน้าราวกับผู้หญิงนั่น “คราวนี้นอกจากจะเป็นผู้หญิงขายบริการแล้วแม่ยังเป็นเมียน้อยอีกด้วย  ผมไม่รู้ว่าพ่อรักแม่ไหม...แต่แม่...แม่รักพ่อ  ดูเหมือนช่วงนั้นพ่อจะมีปัญหากับที่บ้านก็เลยมาค้างกับแม่  พวกเขาอยู่ด้วยกัน แม่มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ มีเงินกินอาหารดีๆ สำหรับแม่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นจนกระทั่งแม่มีผม”  เดือนรั้งร่างเล็กๆนั้นให้เอนหัวซบไหล่เขา ซึ่งดินเองก็ทำตามโดยไม่ปริปากว่า 

“เรื่องพวกนี้แม่เล่าหรอกหูผมซ้ำๆทุกวันเลยล่ะ ฮ่ะๆ เหมือนเป็นนิทานก่อนนอนเลยก็ได้มั้ง...ตอนแรกที่รู้เรื่องพ่อก็โมโห  พ่อไม่อยากมีเด็ก เขาบอกมันยุ่งยาก พ่อเมาเหล้า ขู่แม่ว่าถ้าแม่ปล่อยให้มีผมเขากลับไปอยู่ที่บ้านเดิมแล้วก็ไม่กลับมาหาแม่อีก แม่รักพ่อมาก...มากกว่าเด็กที่ไม่เคยเห็นหน้าและกำลังจะทำให้พ่อทิ้งแม่ไป แม่เลยจะไปทำแท้ง แต่ก่อนจะได้ไปทางบ้านของพ่อก็เจอตัวพ่อก่อน  พวกเขาด่าแม่ลั่นไปหมด  คนออกมาดูเต็มไปหมด ด่าแม่ว่าเป็นผู้หญิงสกปรก ไม่คู่ควรกับพ่อ  ยิ่งรู้ว่าแม่ท้องผมพวกเขาก็ยิ่งรังเกียจ  แต่ก็ไม่ใจร้ายพอจะบอกให้ไปเอาเด็กออก  สุดท้ายทางนั้นก็พาพ่อกลับไปที่บ้านแล้วบอกว่าถ้าเด็กออกมาแล้วเป็นลูกพ่อจริงจะส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้  แต่แม่ก็ไม่อยากมีผม เพราะแม่คิดมาตลอดว่าเพราะมีผมพ่อก็เลยจะทิ้งแม่ไป  แม่ก็เลยจะไปทำแท้ง แต่สุดท้ายก็เป็นพ่อกับแม่ของคุณช่วยผมเอาไว้”

 ดินหันมายิ้มให้เขา ยิ้มทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้มไม่หยุด

“แม่กับพ่อของคุณรู้เรื่องของแม่ผม  แล้วก็เลยเข้ามาช่วย รู้ไหม ช่วยเด็กที่ยังไม่เคยเห็นหน้าแบบผม...พวกเขาให้เงินแม่ บอกว่า...จะเป็นการซื้อตัวผมก็ได้  จะจ่ายค่ารักษากับค่าใช้จ่ายอื่นๆให้ แม่แค่ต้องอย่าทำแท้ง แล้วก็คลอดผมออกมาให้มีสุขภาพดี เพราะพ่อกับแม่คุณผมก็เลยได้ออกมาลืมตาดูโลก  แต่หลังจากมีผมแม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า เพราะพ่อไม่ติดต่อมาเลย ไม่ว่าแม่จะพยายามติดต่อไปแค่ไหน  ไม่มีแม้แต่ค่ารักษา แม่ไปตรวจดีเอ็นเอมาด้วยซ้ำ...ผมเป็นลูกพ่อ แต่ทางนั้นก็ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ ผมไม่โทษพวกเขานะ  ครอบครัวพ่อเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง ใครจะอยากให้มีข่าวว่าลุกชายคนเดียวมามีลูกกับโสเภณีล่ะจริงไหม พอติดต่อพ่อไม่ได้ แม่ก็เริ่มเลี้ยงดูผมแบบทิ้งๆขว้างๆ ลืมให้กินนมบ้าง  ไม่อาบน้ำให้บ้าง ผมร้องไห้เสียงดังจนคนข้างบ้านรำคาญเลยมาดูแลให้  ช่วงนั้นแม่ก็เอาแต่เมาเหล้า...แม่โทรมมาก...จนสุดท้ายก็พ่อกับแม่ของคุณอีกนั่นแหละที่เป็นคนมาขอผมไปเลี้ยง แลกกับเงิน...แม่ขายผม “

เดือนเบิกตากว้าง  ชีวิตของคนคนหนึ่งจะผ่านเรื่องราวที่โหดร้ายแบบนี้มาได้ยังไงกันนะ ต้องเข้มแข็งขนาดไหนกันถึงจะผ่านเรื่องพวกนี้มาได้ เติบโตมาได้โดยยังไม่เสียผู้เสียคนไป

“ผมมาอยู่กับพ่อแม่คุณจนอายุได้ประมาณห้าขวบ  ผมก็รู้ว่าแม่มีน้องสาว...ที่เกิดกับลูกค้าคนไหนสักคน  ทางนั้นก็อยากให้ทำแท้งนะ แต่แม่คุณก็ช่วยไว้อีกจนได้  ผมไม่อยากทำตัวเป็นภาระไปมากกว่านี้เลยขอกลับบ้านมาดูแลน้อง  น้องน่ารักมากเลยคุณรู้ไหม  แก้มยุ้ยๆ  ตาโตๆ  พอโตมาก็น่ารักมาก...”

“น้องชื่ออะไรหรือ”

“ต้นข้าว...แม่คุณเป็นคนตั้ง บอกว่าผมชื่อดิน...น้องก็น่าจะชื่อต้นข้าว  ได้คู่กัน ดูน่ารักดี”

ดินเงียบไป หลุดไปในห้วงอดีตอันแสนไกล  เดือนไม่ได้เร่งรัดให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขาแค่นั่งรอเงียบๆจนร่างบางพร้อมจะพูดอีกครั้ง

“ผมอยู่กับแม่จนน้องสาวอายุได้สี่ขวบ  คุณ..ฮึก..รู้ไหม...คำแรกที่น้องพูด...พูดได้ คือคำว่า...พี่ดินล่ะ ฮึก จนคืนหนึ่งมันก็เกิดเรื่อง...แม่เมาเหล้า...เครียดจัด เพราะตอนนั้นมีข่าวออกเต็มไปหมดทั้งในโทรทัศน์แล้วก็หนังสือพิมพ์ว่าพ่อ...มีลูกแล้ว  ครอบครัวสุขสันต์เชียวล่ะ  แม่รับไม่ได้  เสียใจ เอาแต่กินเหล้าจนเมา...แล้วแม่ก็อาละวาด  ผมกำลังหลับอยู่ตอนที่แม่ลากน้องออกมาทุบตี...ผมกลัว ถึงแม่จะลงมือกับพวกเราร้ายครั้งแต่ครั้งนี้ดูจะรุนแรงที่สุดเพราะน้องกรีดร้องไม่หยุด  ผมนั่งอยู่นานเพราะไม่กล้าวิ่งออกไปด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องออกไป  แม่ยืนอยู่ในครัว  มีร่างน้องโชกเลือดอยู่ใกล้ๆ น้องกระเสือกกระสนมาหาผม...ขอร้องให้ผมช่วย...” แต่เขากลับได้แต่ยืนนิ่ง  กลัวจนไม่กล้าขยับ  “จนกระทั่งแม่คว้ามีดขึ้นมา กระหน่ำแทงไปที่น้อง...คงยังไม่สาแก่ใจเพราะแม่หยิบปืนที่ซ่อนไว้ออกมาแล้วก็ยิงน้อง”

ตอนนั้นดินเห็นเพียงสีแดงฉานอยู่ในกรอบสายตา  รู้ตัวอีกทีร่างเล็กๆของน้องสาวที่เขารักมากที่สุดก็แน่นิ่งไปแล้ว

หมดลมหายใจไปอย่างทุกข์ทรมาณ...เด็กน้อยที่น่าสงสาร...ทั้งๆที่เกิดมาดูโลกได้แค่สี่ปีเท่านั้นเอง

“แล้วแม่ก็หันปืนมาที่ผม กรีดร้องลั่นไปหมดว่าเกลียดผม เกลียดน้อง บอกว่าพวกเราไม่ควรเกิดมา”  ร่างเล็กสั่นระริกจนน่าสงสาร เดือนกระชับแขนที่โอบไหล่อีกฝ่ายให้แน่นขึ้น “นัดแรกยิงเข้าที่ขา นัดที่สองทะลุไหล่  แม่คงไม่มีสติแล้วเลยทำให้กระสุนพลาดจุดตายไป แต่ตอนนั้นผมจะตายเพราะเสียเลือด ถ้าไม่ใช่เพื่อนบ้านวิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องแล้วก็เสียงปืน  ผมสลบไป ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล มีแม่กับพ่อคุณนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ พวกท่านลูบหัวผม...พูดอะไรหลายอย่าง แต่ผมจำไม่ได้สักอย่าง   วันนั้นโทรทัศน์ออกข่าว ‘หญิงโสเภณีคลุ้มคลั่ง หยิบปืนสังหารลูก ดับหนึ่งสาหัสหนึ่ง’ หึ แต่ว่าข่าวนี้ออกมาไม่นานก็เงียบไป เพราะทางฝ่ายพ่อผมกลัวคนจะไปขุดคุ้ยจนสาวมาถึงตัวพ่อ เขาเลยจ่ายเงินเพื่อปิดข่าว แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็ถูกลืมไป  แต่ที่ไม่จบก็คือแม่...หลังเรื่องครั้งนั้นจิตใจของแม่ก็แตกสลาย...แม่กลายเป็นโรคจิต ซึมเศร้า พ่อกับแม่คุณก็พยายามติดต่อหาญาติที่เหลืออยู่ของแม่แต่ไม่มีใครอยากรับแม่ไว้ สุดท้ายพวกเขาก็ส่งแม่ไปไว้ที่โรงพยาบาลบ้าโดยมีพ่อกับแม่คุณส่งเงินค่ารักษาให้ทุกเดือน  หลังๆมาที่ผมทำงานแล้วหาเงินเองได้ก็กลายเป็นผมที่ส่งเงินให้...ถึงจะรู้ว่าพวกนั้นฮุบเงินไปบางส่วนก็เถอะ”

เดือนนึกไปถึงป้าคนนั้นที่เข้ามาตบหน้าดินแล้วก็ตวาดด่าทอต่างๆนาๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ‘อายใช่ไหมที่มีแม่เป็นคนบ้า’  มันมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้เองสินะ...

“ทางพ่อกับแม่คุณก็อุปการะผมไว้ ผมไม่อยากทำตัวเป็นภาระเลยพยายามเรียนให้ได้เกรดดีๆแล้วก็ขอทุน  พอเรียนจบก็เลยมาทำงานช่วยพวกท่านแล้วก็เปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองไปด้วยน่ะครับ”

เสียงนั้นเงียบหายไป  ระหว่างพวกเขาไม่มีใครพูดอะไรราวกับว่าคำพูดและเรื่องราวที่เล่ามาถูกฟองคลื่นกลืนหายลงทะเลไป จนกระทั่งดินขยับตัว

“ปล่อยได้แล้วมั้งครับ” เขาขยับตัวออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายแต่คนตัวสูงก็ยังรั้งเขาไว้แน่น ซบหน้าลงมากับไหล่เขา ดินทำท่าจะผลักหัวอีกฝ่ายออก ไม่ใช่ไม่ชอบแต่นี่มันในที่สาธารณะนะ เกิดมีคนมาเห็นแล้วเอาไปพูดไม่ดีจะทำยังไง  แต่แล้วดินก็หยุดชะงัก
มือที่กำลังจะผลักหัวคนอายุมากกว่าออก  เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหล่...

เดือนกำลังร้องไห้...

“เดี๋ยว...คุณจะร้องไห้ทำไมเนี่ย นี่มันเรื่องของตัวผมแท้ๆนะ”

“ก็...เพราะแบบนั้นแหละ...บ้าเอ๊ย!” ร่างสูงสบถออกมาแล้วรวบตัวเขาไปกอดแน่น น้ำเสียงทุ้มอู้อี้เล็กน้อย  “เก่งมาก เก่งมากเลยนะที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาได้โดยไม่เป็นอะไรแบบนี้”

“ใครว่าผมไม่เป็นล่ะ” ดินแค่นหัวเราะ  “พอออกจากโรงพยาบาลผมก็ต้องเข้ารับการบำบัดอยู่สองปีเต็มเลยนะกว่าจะออกมาเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ได้...แต่บางเรื่องมันก็ไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลาเลยจริงๆ”

ทั้งที่เวลาลบเรื่องราวที่เขาไม่อยากจำไปเกือบหมดแล้วแท้ๆ ทั้งใบหน้าของแม่ที่ไม่ได้พบกันอีกเลย ใบหน้า น้ำเสียง สัมผัส และรอยยิ้มของน้องสาว

ทั้งหมดนั่นเลือนหายไป แต่ความเจ็บปวดกลับฝังลึกในใจ

คงเป็นช่วงนั้นเองที่ดินเริ่มมองเห็นด้ายแดง  จิตแพทย์บอกว่ามันคืออาการหลอนที่เกิดจากความเครียดและการพบเจอเหตุการณ์เลวร้าย  ตอนแรกดินก็เชื่อ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ‘ภาพหลอนโลกสีเทาและเส้นแสงสีแดง’ ก็ไม่ได้หายไป  จนเขาโตพอที่จะเก็บเรื่องนั้นไว้ในใจ ไม่พูดออกมาจนคนคิดว่าเขาเหมือนเดิมแล้ว  เขาจึงได้กลับสู่โลกภายนอกอย่างเต็มตัว

ดินเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังตัวเองได้ตอนประมาณอายุสิบหก  ตอนที่พ่อกับแม่พาเขาไปกราบพระอาจารย์มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแล้วท่านได้ให้คำแนะนำเรื่องพลังของเขามา

‘เป็นบุญหรือกรรมก็ได้ สุดแท้แต่โยมจะมอง’ พระอาจารย์เอ่ยกับเขาเช่นนั้นพร้อมกับรอยยิ้มเมตตา ‘เลือกจะช่วยคน ทำให้ตัวเองมีความสุขใจก็เป็นเพราะบุญหนุนนำให้มีพลังนั้น เลือกจะให้พลังทำให้ตัวเองและคนอื่นเจ็บปวดก็เป็นเพราะกรรมทำให้มีพลังนั้น ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่โยมคิดและจิตที่โยมตั้งมั่น แต่บุญกรรมของใครก็ของมัน  พลังของโยมก็เหมือนการมีพลังเปลี่ยนชะตาคนอื่น  ในบางครั้งทางเลือกของใครก็ควรปล่อยให้เจ้าตัวได้เลือกเอง’

เพราะคำสอนนั้นดินจึงเลือกที่จะไม่ใช้พลังของตนยกเว้นเวลามีคนมาร้องขอและเขาเห็นว่ามันไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครมากนัก เช่น การตรวจดูด้ายแดงเฉยๆโดยไม่ไปตัดหรือผูกด้ายใหม่  หรือหากพบคนที่เป็น ‘คู่เวรคู่กรรม’ กันมาแล้วอยากจะช่วย เขาก็จะช่วย

“ยังมีเรื่องที่ไม่ได้บอกอีกใช่ไหม”  ในที่สุดเมื่อน้ำตาหยุดไหล เดือนก็ปล่อยดินให้เป็นอิสระ  ชายหนุ่มผมดำหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นจมูกแดงเพราะการร้องไห้ ดูทั้งน่าขันและน่าสงสาร  น่าแปลกที่ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจ...เหมือนสิ่งที่ถ่วงหนักมาในใจตลอดถูกปลดปล่อยออกไป  ปลายนิ้วเรียวเช็ดหยดน้ำตาให้เดือนอย่างแผ่วเบา  ซึ่งคนตัวโตก็จับมือเขาไว้ “มีอะไรที่ยังได้พูดอีก เล่ามาสิ”

จะมีอะไรล่ะ...ก็เรื่องของพลังพิเศษนี่แหละ  แต่มันพูดกันได้ง่ายๆเสียที่ไหน

เดือนที่เห็นคนตรงหน้าไปยอมพูดก็บีบมือบางเบาๆ “พี่สัญญาแล้ว...ว่าจะเชื่อทุกอย่างที่ดินพูด”

“นี่ถ้าผมเป็นนักต้มตุ๋นคุณคงโดนหลอกหมดตัว” ดินเอ่ยแก้เก้อเมื่อคำพูดประหลาดๆของตรงหน้าทำให้เขารู้สึกร้อนวูบๆที่ใบหน้าอีกแล้ว

“ยอมครับ...ถ้าเป็นดินพูด โดนหลอกหมดตัวพี่ก็ยอมนะ”

ตูม

เหมือนดินได้ยินเสียงใบหน้าอะไรบางอย่างในหัวระเบิดตูมขึ้นมา  เลือดพากันสูบฉีดไปอออยู่ที่แกมทั้งสองข้าง ขอบคุณที่ตรงนี้มันมืดพอที่จะไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตอนนี้ใบหน้าของเขามันแดงก่ำขนาดไหน

 ดินกระแอมสองสามครั้งเรียกสติกลับมา “คุณจะเชื่อทั้งที่มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากๆน่ะเหรอ”

“ใช่”

“งั้นถ้าผมบอกว่าผมมีพลังพิเศษคุณก็จะเชื่องั้นสิ”

พวกเขานิ่งกันไป  ดินถอนหายใจ  นั่นไง ว่าแล้วว่าไม่เชื่อหรอก ถูกพูดใส่ตรงๆแบบนี้ใครๆก็ต้องคิดว่าเขาล้อเล่นกันทั้งนั้น  แต่ประโยคต่อมาของเดือนก็ทำให้คนสวมแว่นเบิกตากว้าง

“พี่เชื่อ”

“โกหก...คุณแค่พูดให้ผมสบายใจ”

“พี่ไม่ได้โกหก...พี่เป็นพวกลางสังหรณ์ดีนะ เซ้นส์จับโกหกคนพี่แม่นมาก  ดูออกเสมอล่ะว่าใครพูดจริงหรือโกหก  ตอนนี้พี่รู้ว่า
ดินไม่ได้โกหก เพราะงั้นพี่เชื่อดินครับ...ว่าแต่น้องมีพลังประเภทไหนเหรอ  เหาะได้หรือเปล่า หรือยิงเลเซอร์ออกจากตาได้?”

“ดูน่าเชื่อถืออยู่ได้แค่สิบนาที ทำไมไปๆมาๆกลับมาปัญญาอ่อนอีกแล้วล่ะครับ”

“ว้าว สถิติใหม่แฮะ จริงจังได้ตั้งสิบนาทีแน่ะ”

ดินกลอกตาใส่คนที่กำลังยิ้มแป้นอยู่  มือบางฟาดเพียะเข้าที่ไหล่ชายหนุ่มร่างสูงจนคนตัวโตร้องโอยออกมา “ว่าไง ยังไม่ได้บอก
เลยว่ามีพลังด้านไหน”

ดวงตาสีนิลสบเข้ากับดวงตาสีอ่อน...เพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น

เดือนเชื่อเขาจริงๆ

ดินกัดริมฝีปาก...ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรที่จะเชื่อใจเดือนเช่นกัน

“ผมมองเห็นด้ายแดง” เห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามของอีกคนแล้ว คนผมดำจึงขยายความต่อ “ด้ายแดงที่ว่ากันว่าผูกอยู่ที่ปลายนิ้วก้อยน่ะครับ แล้วจะเชื่อมเรากับเนื้อคู่เข้าด้วยกัน ผมมองเห็นได้ว่าด้ายแดงของใครเชื่อมอยู่กับใคร  แล้วก็ตัดด้ายแดงกับผูกด้ายแดงให้ได้อีกด้วย”

“ว้าว..งั้นน้องดินก็เป็นเหมือนกามเทพเลยสิ”

“คงงั้นมั้งครับ” เขายักไหล่ “ถ้าสัมผัสด้ายแดงของใครผมจะเห็นเรื่องราวความรักที่ผ่านมาของคนๆนั้นด้วย” เขาว่าต่อไป ลอบมองสีหน้าคนตัวสูงที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจไปด้วย “แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำหรอกนะ เพราะมันยุ่งยาก...” แล้วเขาก็เล่าต่อไป  ถ้อยคำมากมายที่ไม่เคยพูดให้ใครฟังหลุดออกมา โดยมีเดือนนั่งฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งดินเล่าเกี่ยวกับความสามารถตัวเองจบลง “เห็นไหม ผมบอกแล้วมันน่าเหลือเชื่อจะตาย”

“อันที่จริง...พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันทำใจเชื่อยากอะไรนะ พวกคนที่มองเห็นวิญญาณอะไรแบบนี้พี่ก็เคยเจอ เพื่อนในกลุ่มพี่สมัยเรียน
มหา’ลัย คนหนึ่งก็เป็นพวกมีเซ้นส์เหมือนกัน  สมัยนั้นแม่งแทบจะกลายเป็นพนักงานรับปราบวิญญาณอยู่แล้ว  เพราะงั้นพี่ไม่ลบหลู่อะไรเรื่องพวกนี้หรอก  แค่ไม่เห็นไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่นี่ แต่ความสามารถของดินนี่ก็แปลกดีนะ ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่ามีคนมีความสามารถอะไรพวกนี้ด้วย ส่วนใหญ่เจอแต่พวกมองเห็นวิญญาณ”

เดือนแหงนหน้ามองฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยหมู่ดาว “เท่านี้ก็ไม่ต้องแบกเรื่องทุกข์ใจไว้คนเดียวแล้วนะ”  เพราะตอนนี้มีเขาที่รับรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว...เดือนไม่รู้หรอกว่าตนช่วยอะไรได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยแค่การได้ให้น้องพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้วมันทำให้ความทุกข์ใจของอีกฝ่ายลดลง

แค่นั้นเขาก็ยินดีมากแล้ว

“จริงสิ” เดือนทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “ดินบอกว่ามองเห็นด้ายแดงใช่ไหม  แล้วมองเห็นด้ายแดงของพี่บ้างหรือเปล่า” ดินเลิกคิ้วเมื่อคนข้างๆถามขึ้น

“จะว่ามองเห็นก็มองเห็นครับ แต่ไม่เคยดูจริงจังเลยว่าด้ายแดงคุณเป็นยังไง”

“ดูให้หน่อยได้ไหม...พี่อยากรู้น่ะ”

ดินพยักหน้ารับ หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเส้นแสงสีแดงมากมายก็ปรากฏตรงหน้า  เขามองด้ายแดงของเดือนอยู่ครู่ เม้มริมฝีปากแล้วก็สลายโลกสีเทานั้นลง

“ว่าไง มองเห็นไหม”

คนผมดำพยักหน้า แต่ไม่ตอบคำจนเดือนต้องเร่งเร้าขึ้นมาอีก “มันเป็นยังไง?”

“ด้ายแดงของคุณ...มัน...ถูกตัดไปแล้วครับ”

เขากัดริมฝีปากเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าตกตะลึง  เดือนก้มมองมือทั้งสองข้างของตนแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ “อย่างนั้นหรือ ว้า  แย่จัง ถูกทิ้งซะแล้วแฮะ ฮ่าๆๆ” ดินมองคนที่หัวเราะร่าอยู่ หัวเราะทำไมกัน...ดูก็รู้ว่าฝืน 

ดูก็รู้ว่าคุณเองก็มีอะไรในใจ...

แต่ดินก็ไม่ได้ถาม เพราะเขาเองก็มีบางสิ่งที่ยังไม่ได้เล่าออกไปเช่นกัน...

 “แล้วดินมองเห็นด้ายแดงของตัวเองไหม คนดีนะถ้ารู้ว่าจะไปหาเนื้อคู่ของเราได้ที่ไหน”  เดือนเอ่ยยิ้มๆ หึ ดีงั้นเหรอ...มันก็ไม่เสมอไปหรอก

“ผมไม่เห็นด้ายแดงตัวเองหรอกครับ แต่มันคงจะถูกตัดไปนานแล้ว”  รอยยิ้มเศร้าๆผุดบนใบหน้านั้นอีกแล้ว  เดือนกำมือแน่น

เขาไม่อยากเห็นดินทำหน้าเศร้าอีกแล้ว  ความรู้สึกนี้รุนแรงจนตัวเองยังตกใจ

เขาจะอยู่ในฐานะอะไรก็ได้ช่าง ระหว่างพวกเขาจะเป็นอะไรก็ช่าง

เขาแค่อยากให้ดินยิ้ม ยิ้มจากใจ ยิ้มอย่างคนที่มีความสุข ไม่อยากให้คนตรงหน้าเขาทำหน้าเศร้าแบบนี้อีกแล้ว

คิดได้ดังนั้นคนตัวสูงก็ค่อยๆเลื่อนนิ้วก้อยตนไปเกี่ยวเข้ากับนิ้วก้อยของคนตัวเล็กข้างๆกาย  “แบบนี้เราก็ถูกทิ้งกันทั้งคู่น่ะสิ...ในเมื่อถูกทิ้งเหมือนกันแล้ว ไม่มีใครเหมือนกันแล้ว เราก็ต้องดูแลกันดีๆนะ”

ไม่ว่าเปล่า คนชอบฉวยโอกาสยังพูดพลางโน้มตัวมาจุ๊บเบาๆที่ข้างแก้มเขา ทำเอาคนเป็นน้องต้องแยกเขี้ยวใส่ เผลอไม่ได้ เผลอเป็นฉวยโอกาสตลอด!

“ใครจะอยากไปดูแลคุณ”

“อ้าว แต่พี่อยากดูแลดินนี่นา”  เดือนว่าด้วยสีหน้าซื่อๆ “อยากดูแลดิน ไม่อยากให้ดินไม่สบายใจ อยากให้ยิ้มเยอะๆแบบคนที่มีความสุขที่สุด” เขากระชับนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันไว้แน่น “ถ้าด้ายแดงดินถูกตัดไปแล้ว พี่ก็จะผูกขึ้นมาใหม่เอง น้องไม่ได้...เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการหรอกนะ”

ดินรู้สึกว่ากระบอกตาของตนร้อนผ่าว  ภาพตรงหน้าพร่าเลือนเมื่อน้ำใสๆเอ่อล้นขอบตา เขากระพริบตาถี่ๆแต่ยิ่งทำให้หยดน้ำตาพวกนั้นร่วงหล่นเร็วขึ้น

“ขอบคุณนะครับ” ในที่สุดเขาก็หาเสียงตัวเองเจอ ไม่รู้จะตอบแทนยังไง  สิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้เขามันมีค่ามากเหลือเกิน มากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง เลยได้แต่เอ่ยคำคำนั้นออกไปซ้ำๆ

“ขอบ..ฮึก..ขอบคุณ..นะครับ”

“ครับ รู้แล้วครับ ไม่ร้องแล้วนะเด็กดี ชู่ว เงียบก่อนนะ วันนี้ร้องไห้เยอะแล้ว เดี๋ยวตาบวมนะ” แต่ยิ่งพูดแบบนั้นยิ่งกระตุ้นให้น้ำตาเขาไหลทะลักประหนึ่งเขื่อนแตก  เดือนยิ้มขันเล็กน้อยพลางดึงร่างเล็กของน้องชายมากอด กดจูบที่หางตาอีกฝ่ายเพื่อซับน้ำตา ระหว่างที่ลูบแผ่นหลังปลอบโยนไปด้วย

ริมฝีปากอุ่นไล่เรื่อยมาที่เปลือกตาทั้งสองข้าง  หน้าผาก  จมูก และแก้มที่เย็นเฉียบเพราะคราบน้ำตา  ดินสะท้านเฮือกกับสัมผัสอ่อนโยนนั่น เขารู้ตัวดีว่าควรจะผลักไส แต่ในใจของเขากลับค้านการกระทำนั้น

ไม่อยาก...ไม่อยากให้สัมผัสนี้หายไปเลย

ดูเหมือนร่างกายเขาจะซื่อตรงกว่าสมองและหัวใจมากนัก เพราะแทนที่จะผลักไส มือของเขากลับเกาะบ่าของพี่ชายตัวสูงแน่น  สองแก้มก็เห่อร้อนไปหมดยามอีกฝ่ายกดริมฝีปากและจมูกลงมาซ้ำๆ  น้ำตาก็ไม่รู้ว่าหยุดไหลไปตั้งแต่ตอนไหน

เดือนมองใบหน้าหวานที่ดูเหมือนสติหลุดไปแล้วเกือบครึ่งอย่างข่มใจ ดวงตาวาวใสเพราะหยาดน้ำตา   ริมฝีปากบางที่เผยอน้อยๆ แล้วก็แก้มใสสองข้างที่แดงเรื่อเพราะเขา

อื้ม...เดือนแน่ใจว่าตอนนี้ไอ้รันเพื่อนรักไม่มีทางมาขัดจังหวะเขาแน่ เพราะมันคงเมาฟุบอยู่ในงานเลี้ยง ดังนั้นหากจะทำอะไรก็ทางสะดวกสามผ่าน

แต่มันจะดีหรือ...น้องเพิ่งเปิดใจให้เขา  หากรุกล้ำทำอะไรไปตอนนี้....ทุกอย่างที่ทำมาคงพังทลายลงจนหมด

เขาครุ่นคิด...นิ้วโป้งปาดเบาๆที่ริมฝีปากบางของคนผมดำ  แล้วภาพที่ร่างบางตรงหน้าเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองเล็กน้อยนั่นก็ทำให้เขาห้ามใจตัวเองไม่อยู่

เดือนค่อยๆโน้มใบหน้าลงไป  เมื่อเห็นน้องไม่มีท่าทีขัดขืนเขาก็แนบริมฝีปากของตนลงไปกับริมฝีปากบางนั่น  ไม่ได้จาบจ้วง ไม่ได้รุกล้ำ แค่ริมฝีปากแตะกันเหมือนเด็กมัธยมหัดจูบ...แต่แค่นั้นก็ทำให้ใจสองดวงมันเต้นถี่รัวราวกับจะกระดอนออกมานอกอก

เดือนกดริมฝีปากนิ่งสนิทอยู่ครู่หนึ่ง...มันนุ่มเหมือนที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด...ยิ่งดินไม่ขัดขืน เขายิ่งต้องการมากขึ้น  กลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างตรงหน้าทำให้สติเขาเตลิด

เดือนขยับริมฝีปากช้าๆ ไม่นานนัก...อาจจะด้วยความเผลอไผล หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ ดินก็เริ่มขยับริมฝีปากจูบตอบเขา จุมพิตขัดเขินนั่นทำให้ชายหนุ่มพยายามสะกดใจตัวเองไม่ให้กดคนตัวเล็กลงกับผืนทรายตรงนี้  ปลายลิ้นไล้เลียริมฝีปากบางแล้วเมื่อ
เจ้าของมันเผยอริมฝีปากขึ้น เดือนก็สอดปลายลิ้นเข้าไปกวาดไล้อย่างอ่อนหวาน

กวาดเลาะตามแนวฟัน เกี่ยวพันกับปลายลิ้นอุ่น  ไม่นานร่างเล็กตรงหน้าก็คล้อยตามอย่างง่ายดาย

ดินร้องประท้วงเมื่อเริ่มหายใจไม่ออก เดือนจะผละริมฝีปากออกมา น้ำใสเชื่อมริมฝีปากของทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน  คนตัวสูงผละออกมานานพอให้ร่างเล็กได้กอบโกยอากาศเข้าปอดก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง

จุมพิตอ่อนหวานยาวนานครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เขาลืมทุกสิ่ง ตลอดการจูบที่ยาวนาน มือของทั้งคู่ยังไม่หลุดออกจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว

เดือนไม่สนอีกแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ตอนนี้   วินาทีนี้ รู้แค่ว่าพวกเขามีกันและกันอยู่ตรงหน้า 

ความรู้สึกบางอย่างที่ราวกับต้นกล้าเล็กๆถือกำเนิดขึ้นภายในใจของพวกเขาทั้งคู่  ยังคงเป็นความรู้สึกที่คลุมเครือและเปราะบาง แต่มันกำลังหยั่งรากลึกลงในใจอย่างเชื่องช้า

และในวินาทีนั้น ด้ายสีแดงก็เกี่ยวกระหวัดเข้าหากันอย่างแผ่วเบา

*******************************

ฮื้ออออ มาซะดึกเลยค่ะวันนี้ ;w; ขอโทษจริงๆนะคะ  :katai4:
ตอนนี้อยากจะปรบมือแสดงความเคารพพี่เดือนจริงๆเลยย สงสารดินก็สงสาร แต่นางก็ยังมีพี่เดือนอยู่ข้างๆ
พี่เดือนเขาสัญญาแล้ว นางเป็นผู้ชายไม่คืนคำค่ะ 5555
หลังจากนี้ก็อยากให้คนช่วยเป็นกำลังใจให้พี่เดือนและน้องดินด้วยนะคะ จะได้หลุดออกจากดงมาม่ากันซักที
อืดหมดแล้ววว
:กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด