14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่งกว่าจะออกมาจากโรงแรม ท้องนภาก็แปรเป็นสีแห่งสนธยาแล้ว ภันวัฒน์ได้ส่งฐานทัพแค่ครึ่งทาง เพราะเจ้าตัวออกปากว่าจะไปเที่ยวต่อ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นชายซึ่งสูงวัยกว่าก็ได้แต่อ่อนใจ
ฐานทัพเป็นคนดื้อ ทั้งดื้อดึง ดึ้อด้าน และดื้อเงียบ
“อย่ากลับดึกมากนะ แล้วก็ระวังตัวด้วย”
ประโยคหลังกล่าวเตือนด้วยความจริงจัง ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเสน่ห์มากแค่ไหน เขาได้ลิ้มลองจนติดใจและหลงใหลมาแล้ว แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้ดูมีจริตสาวสักกระผีก แต่ดวงตากลมโต ขนตางอนยาว รูปหน้ากลมเล็ก และสรีระที่บอกได้คำเดียวว่าเล็กกระชับมือ ก็ทำให้เหล่าเกย์ถูกใจเอาได้ง่ายๆ
“หวงเหรอ”
คนถูกเตือนเผยยิ้มร้าย กล่าวกระแซะให้คนฟังส่ายศีรษะเบาๆ อีกครั้ง ถึงกระนั้นก็พูดตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘ทั้งหวงทั้งห่วงเลยล่ะครับ’ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจให้แต้มบนหน้าของคนถามได้
“ดีๆ งั้นผมไปก่อนนะ”
ฐานทัพบอกอย่างชื่นมื่น ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ส่งยิ้มให้อีกหนึ่งครั้งและลงจากรถไป
ภันวัฒน์มองตามร่างแบบบางของนักศึกษาวัยยี่สิบหกจนร่างนั้นลับหายไปไกลแล้วจึงค่อยเคลื่อนรถออกไปจากจุดจอด
เวลาย่ำค่ำลงทุกที จุดหมายปลายทางจากที่คิดไว้ก่อนหน้านี้เข้มสีขึ้นเป็นภาพที่ชัดเจน รถยนต์สีเทาดำจึงเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางนั้นโดยไม่ต้องอาศัยการย้ำคิด หลังจากนั้นเพียงครึ่งชั่วโมงก็ได้มาหยุดล้อลงยังหน้าบ้านที่คุ้นเคย
แสงหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ส่องสว่างอยู่ภายในซึ่งเห็นได้ผ่านทางหน้าต่างทำให้คนที่มาเยือนโดยไม่บอกกล่าวใจชื้น แม้จะมั่นใจอยู่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่บ้าน แต่ก็เผื่อใจเอาไว้ว่าหากฝ่ายนั้นต้องทำงานจนกลับดึกเขาอาจจะมาเสียเที่ยวก็เป็นได้
กายกำยำลงมาเหยียบพื้นคอนกรีตที่หน้าประตูรั้วหลังดับเครื่องยนต์สนิท กดสัญญาณเรียกที่หน้าประตูอยู่สองสามครั้ง ประตูของตัวบ้านก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้านั้นที่เผลอเป็นต้องนึกถึง ก็รู้สึกว่าริมฝีปากกำลังยกขึ้นโดยอัตโนมัติ
หัวใจกำลังเต้นอย่างเริงร่าจนรู้สึกได้
ทว่า...
“ทำไมหน้ามุ่ยจังครับ”
อีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าตรงกันข้าม แม้จะไม่ได้ชัดเจนอย่างที่ตนเอ่ยทักออกไป แต่บนใบหน้าของอาทิตย์อัสดงก็ปรากฏริ้วรอยของความยุ่งยากใจ ทว่าสาเหตุไม่ใช่การมาเยือนของเขา ภันวัฒน์เชื่อเช่นนั้น เพราะเห็นว่ามันประทับอยู่บนดวงหน้าขาวตี๋ก่อนที่เจ้าตัวจะมาประจันหน้ากับเขาเสียอีก
“พอดีผมกำลังติดพันกับเรื่องบางอย่างอยู่น่ะ”
ได้ฟังเช่นนั้น หนุ่มร่างสูงสง่าพลันเลิกคิ้วขึ้นเ เสียงทุ้มที่สูงกว่าเล็กน้อยเอื้อนต่อ
“ว่าแต่คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ้อ” ภันวัฒน์ครางเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะจาระไน “พอดีผมเห็นว่าคุณอัพรีวิวในบล็อกแล้ว ก็เลยจะมาขอบคุณน่ะครับ เพราะผมโทรติดต่อคุณไม่ได้ ไลน์คุณก็ไม่อ่าน”
หลังสิ้นเสียงของปาติซิเย่หนุ่ม อาทิตย์อัสดงชะงักไปครู่สั้นๆ ก่อนจะปรับสีหน้าใหม่ให้ดูแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังติดแววกังวลอะไรบางอย่างอยู่ดี
“ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อมาถึงนี่เลยนี่ครับ เปลืองเวลา เปลืองค่าน้ำมันเปล่าๆ”
“งั้นถ้าผมบอกว่า...คิดถึง อยากเจอหน้าคุณล่ะครับ”รอยยิ้มถูกยกขึ้นประดับบนหน้าภันวัฒน์ราวกับสวมหน้ากาก แต่หน้ากากนั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยความรู้สึกจากใจจริง มันจึงสาดเซาะในใจของคนฟังได้ไม่น้อย
ร่างโปร่งหลุบตาลงต่ำราวกับไม่กล้าเผชิญหน้ากันตรงๆ เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ขยับถอยห่างไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค้อมตัวต่ำลงและเอียงตัวไปทางด้านข้างนิดหน่อย พลางช้อนสายตามองคนที่ก้มหน้าอยู่
“ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่ครับ”
สิ่งที่เผยให้เห็นบนหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มไม่ใช่สีหน้าเอียงอาย หรือว่าหมั่นไส้ หากแต่เป็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายสะกดกลั้นอะไรสักอย่างอยู่เสียมากกว่า
มือหนาทั้งสองยื่นประคองพวงแก้มของคนที่กึ่งก้มหน้าให้แหงนขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง พร้อมยืดตัวกลับมายังตำแหน่งเดิม
“คุณ...”
เสียงแผ่วหวิวหลุดออกมาจากกลีบปากบางสีระเรื่อ มือเรียวยกขึ้นมาเพื่อดึงมือของอีกฝ่ายออก ภันวัฒน์ยิ้มน้อยๆ ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงสุขุม
“รู้ไหมครับ ยิ่งคุณปิดกั้นตัวเอง คุณก็ยิ่งทรมาน”
“ผมไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกครับ”
ถ้อยคำที่เอ่ยเอื้อนแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นคำแก้ตัว
“ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้น คุณก็ต้องเผชิญหน้าผมเหมือนอย่างที่ผ่านมาสิครับ”
“.....”
“คุณน่ะ ยังไม่ต้องเปิดรับผมก็ได้ แต่แค่อย่าหลบซ่อน อย่าหลีกหนีจากผมก็พอ ผมไม่อยากให้คุณทำร้ายตัวเองหรอกนะ”
อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกย้อนกลับมาเช่นนั้น เขาหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเองอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าอีกฝ่ายแบบไหน ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ มันถึงกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมา
เพราะภันวัฒน์บอกว่าจะจีบเขา
หรือเพราะเขารู้สึกตัวแล้วว่าผู้ชายคนนี้อันตราย
สภาพของอีกฝ่ายที่เห็น ทำให้ร่างสูงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก ถึงเขาจะพูดออกไปตามตรงว่าสนใจอาทิตย์อัสดง แต่ก็ไม่คิดจะบีบคั้นให้ตอบรับเขาในเวลานี้ เขายินดีค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีน้อย แล้วทุบทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่มาขวางทางเอาไว้ จนสุดท้ายไปถึงปลายทาง...หัวใจเปลือยเปล่าที่เจ้าตัวกอดเก็บมันเอาไว้อย่างหวงแหนและหวาดกลัว
“แล้ว...ที่ว่าคุณติดพันอะไรบางอย่างอยู่ นั่นเรื่องอะไรเหรอครับ เผื่อผมจะช่วยได้”
ท้ายที่สุดก็ต้องยอมละทิ้งความรู้สึกเมื่อครู่ไปก่อน เพราะดูเหมือนร่างโปร่งจะยังไม่พร้อมขยับเขยื้อนไปมากกว่านี้ ซึ่งมันก็ราวกับเส้นเชือกที่ทอดลงมาระหว่างที่อาทิตย์อัสดงกำลังจะก้าวพลัดตกเหว เจ้าตัวถึงได้คว้ามันเอาไว้โดยไม่ต้องตรึกตรอง
“ผมกำลังหาร้านเค้กเพื่อสั่งทำเค้กวันเกิดให้หลานชายวันมะรืนอยู่น่ะครับ เพราะว่าร้านประจำเขาปิดกิจการไปแล้ว ผมผิดเองแหละที่ดันชะล่าใจว่าไม่น่ามีปัญหา เลยไม่ได้สำรองร้านอื่นเอาไว้ แต่พอลองหาข้อมูลและโทรไปสอบถามแล้ว ไม่มีร้านไหนรับทำเค้กนมสดอย่างที่อยากได้เลย”
“เค้กนมสดเหรอครับ อืม... ส่วนมากถ้าไม่ใช่ร้านที่ขายอยู่ประจำก็ไม่ค่อยรับทำกันหรอกครับ ส่วนร้านที่รับทำก็จะทำตามรูปแบบสูตรของเขา”
ได้ยินคำชี้แนะจากมือโปรแล้วก็ยิ่งส่งผลให้คนฟังจิตใจห่อเหี่ยวลงไปอีก มันแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าอย่างชัดแจ้ง ภันวัฒน์จึงอดยื่นความช่วยเหลือให้ไม่ได้
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมแนะนำร้านให้”
“เอ๋ จริงเหรอครับ ร้านไหนเหรอครับ”
ฉับพลันที่ได้ฟัง ราวกับมีเม็ดทรายต้องแสงแดดส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาในใจที่ดำมืด ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น มันก็ถูกลมวูบใหญ่พัดหายไปอย่างรวดเร็ว
“ร้านผมไงครับ”
อาทิตย์อัสดงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนเปล่งเสียงออกมา
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะลองหาร้านอื่นๆ ดู ต้องรบกวนคุณ...ผมเกรงใจ”
หางประโยคแผ่วลงเพราะรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายที่มีเจตนาดี แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอยห่างออกมา ไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายมากไปกว่านี้
เขาจะทำอย่างแนบเนียนที่สุด
“แต่...เหลือเวลาอีกแค่สองวันเองนี่ครับ ไม่มีเวลาหาร้านหรอก ไม่เชื่อมือผมเหรอ”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสร้างความหนักใจให้คนฟังมากยิ่งขึ้น ร่างโปร่งหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิด เขากำลังลังเลว่าควรจะถอนตัวออกมาตอนนี้ หรือว่า...ผัดผ่อนไปก่อน เพราะในเวลานี้เขาเข้าตาจนจริงๆ
แล้วสุดท้าย...
“ก็ได้ครับ”
บล็อกเกอร์หนุ่มตอบอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ไม่ใช่เพราะอ่อนใจต่ออีกฝ่าย แต่อ่อนใจกับความอ่อนแอของตนเองต่างหาก
อีกสักครั้งก็ได้ แค่อีกครั้งเดียว แล้วเขาจะไม่ติดต่อภันวัฒน์อีก
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยจดรายละเอียดให้ผมหน่อย ว่าต้องการแบบไหน แล้ววันมะรืน ช่วงประมาณหกโมงเย็น คุณมาที่ร้านผมนะ เดี๋ยวผมจะให้คุณแต่งหน้าเค้กเองด้วย”
รอยยิ้มยินดีและเต็มใจตามสไตล์นักบริการ แต่ดูจะจริงใจเป็นอย่างยิ่งกว่านั้นฉายออกมาจากดวงหน้าคมเข้ม พานให้คนได้เห็นต้องถอนหายใจกับตัวเอง และย้ำอีกครั้ง
แค่ครั้งเดียว... ครั้งเดียวจริงๆ
ตลอดทั้งวันของวันมะรืน ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกมาจากชายหนุ่มซึ่งนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางเหมือนว่ากำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่แท้จริงแล้วมือที่กุมเมาส์อยู่กลับไม่ขยับสักนิด จนหญิงสาวโต๊ะข้างๆ อดจะเหล่มามองไม่ได้
“เป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย รู้สึกว่าพักนี้กูจะพูดประโยคแนวนี้อยู่บ่อยๆ นะ”
คล้ายว่าเป็นการบ่นกับตนเองเสียงมากกว่า เพราะว่าคนที่ตนพูดถึงเหมือนจะไม่ได้ยินใดๆ ทั้งสิ้น หนึ่งฤทัยจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบริมใบหู
“เลิกงานแล้วโว้ย”
เสียงดังพอดู จึงทำให้คนที่สติเหมือนจะหลุดลอยไปไกลสะดุ้งโหยง หันขวับมามองเพื่อนสนิทด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“อะไรของมึงเนี่ย เสียงดังฉิบหาย”
“จ้ะๆ” หนึ่งฤทัยครางรับด้วยเสียงเอือมระอา ก่อนจะผ่อนเสียงออกมาด้วยน้ำหนักที่ต่างกัน “แล้วใครกันล่ะวะ ใจลอยไปถึงดาวพลูโต”
“ใครใจลอย”
“อู้ยย กูมั้งเนี่ย” เธอย้อนเสียงกวนประสาท จากนั้นเปลี่ยนหัวเรื่อง “ว่าแต่วันนี้วันเกิดน้องโฟล์คไม่ใช่เหรอ มึงไม่รีบกลับหรือไง จะห้าโมงครึ่งแล้วเนี่ย”
“ห้าโมงครึ่ง!”
เสียงร้องดังออกมาจนแทบต้องอุดหู อาทิตย์อัสดงตาเหลือกลาน หันไปมองนาฬิกาบนมอนิเตอร์ แล้วก็ได้รับข้อมูลตรงกับที่เพื่อนสาวบอกอย่างไม่ผิดเพี้ยน เสียงอุทาน ‘เวรแล้วไงๆ’ ดังอยู่เนืองๆ ขณะที่เจ้าของเสียงรีบปิดคอมพิวเตอร์อย่างเร็วรี่
“มึง กูไปแล้วนะ” พอกดปุ่มชัทดาวน์เครื่องปุ๊บก็รีบหันไปบอกเพื่อนที่ช่วยเตือน “ฝากปิดยูพีเอสด้วย”
จากนั้นก็คว้ากระเป๋าพร้อมแท็บเล็ตอย่างเร็วไว แล้ววิ่งแจ้นออกจากห้องทำงานทันทีโดยไม่หันหลังกลับมามองเพื่อนสักนิด ว่ากำลังมองตามด้วยสีหน้าเหลอหลาเพราะไม่ทันตั้งตัว
ขาเรียวก้าวกระโดดลงบันไดเร็วเท่าที่สามารถทำได้ ข้ามสองขั้นบ้าง สามขั้นบ้าง กระทั่งมาถึงชั้นล่างจนสำเร็จ ก่อนจะพุ่งทะยานไปยังรถยนต์สีขาว เตรียมพร้อมสตาร์ทเครื่อง แต่อนิจจาเครื่องยนต์กลับไม่ทำงานอย่างที่ใจคิด เหมือนที่เขาว่าไว้ ยิ่งรีบเร่งยิ่งมีปัญหา เหมือนทุกอย่างบนโลกพร้อมจะขัดขวางอย่างไรอย่างนั้น
“โธ่เว้ย อะไรวะเนี่ย ทำไมสตาร์ทไม่ติดเอาวันนี้”
ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เห็นว่าเข็มยาวผ่านเลขหกไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกร้อนรน เขานัดไปรับขนมเค้กตอนหกโมงเย็น แต่กว่าจะฝ่าการจราจรในตอนนี้ไป หกโมงครึ่งจะถึงหรือเปล่าเขายังต้องคิดดูก่อนเลย และยังมามีปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเสียอีก
อาทิตย์อัสดงรู้สึกอยากจะบ้าตายเสียเดี๋ยวนั้น เพราะนอกจากไม่อยากผิดนัดแล้ว ยังต้องกังวลเรื่องหลานชายคนเล็กด้วย เนื่องจากรายนั้นเพิ่งจะหกขวบ แถมคาดหวังกับเค้กวันเกิดมาก ด้วยเขามักซื้อมันจากร้านประจำไปให้ทุกปี ดังนั้นหากไม่มีเค้กวันเกิดที่เขานำไปให้ คงเป็นวันเกิดที่ไม่สมบูรณ์อย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าถ้าเขาไปสาย หลายชายจะมองตาละห้อยขนาดไหนเมื่อได้พบกัน
ในเมื่อไม่สามารถพึ่งพารถของตนเองได้แล้ว อาทิตย์อัสดงจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งออกไปจากอาณาบริเวณของบริษัทอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่ายหารถแท็กซี่สักคัน แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย ครั้นเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็ต้องผิดหวังอีก
“โอ๊ย ทำไงดีวะเนี่ย ทำไมพอรีบแล้วเป็นงี้ทุกทีเลยวะ”
ชายหนุ่มพร่ำบ่นกับตนเองเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว ยิ่งดูนาฬิกาก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ คิดว่าจะวิ่งไปเพื่อหารถในสถานที่ที่มีรถพลุกพล่านกว่านี้ แต่ก็เกรงว่าสภาพตนเองยามไปถึงบ้านของพี่สาวจะดูน่าอนาถเกินไป สุดท้ายจึงต้องตัดใจ ได้แต่พยายามทำใจสงบมองหารถสาธารณะอยู่เช่นนั้น
ปรี๊น
เหมือนสวรรค์โปรดหรืออย่างไร อยู่ๆ รถคันหนึ่งแล่นออกมานอกบริษัท เมื่อหันไปดูก็พลันนึกได้ ว่าเหตุใดตนจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาว คงเพราะร้อนใจจนมืดแปดด้านกระมัง แต่มาคิดได้ตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ ฟรี”
เจ้าของรถสีบรอนซ์ที่บีบแตรเมื่อครู่โผล่หน้าจากหน้าต่างมาถาม
“ผมหาแท็กซี่อยู่ครับ พี่เต็ม พอดีรถเสีย”
“อ้าวเหรอ จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“เอ่อ...”
รู้สึกเกรงใจอยู่หรอก แต่หากปฏิเสธตอนนี้จะกลายเป็นการกระทำโง่ๆ เสียเปล่าๆ อาทิตย์อัสดงจึงสาวเท้าตรงไปยังรถของตะวัน เปิดประตูแล้วหย่อนก้นนั่ง ตามด้วยคาดเข็มขัดนิรภัยโดยไม่อิดออด
“ผมจะไปร้านเค้กน่ะพี่ พอดีนัดรับเค้กวันเกิดของหลานชายเอาไว้”
“อ๋อ งั้นบอกทางแล้วกัน เดี๋ยวพี่บริการส่งถึงร้านเลย”
ตะวันตอบด้วยรอยยิ้มเต็มใจ ก่อนจะเคลื่อนรถออกไป เมื่อเป็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความกังวลเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งนั่นก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เป็นสารถีชัดเจนยิ่งขึ้น
การแลกเปลี่ยนบทสนาดำเนินไปเรื่อยๆ ดังบ้างหยุดบ้างระหว่างผ่านการจราจรที่ไหลตามอัตภาพของช่วงเวลาเลิกงาน
“ฟรีรู้เรื่องเอาท์ติ้งแล้วใช่หรือเปล่า”
“ครับ ไปทะเลอีกเหมือนเดิมเลย”
แม้จะพูดเหมือนบ่นอยู่กลายๆ ทว่าก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปแต่อย่างใด เพราะมันเปรียบเสมือนของขวัญสำหรับพนักงานกินเงินเดือนที่ได้ไปพักผ่อนโดยทิ้งเรื่องงานเอาไว้เบื้องหลัง และที่สำคัญ...ได้ไปฟรี เพราะบริษัทออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แบบนี้ควรจะบอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
“ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นกลางที่สุดแล้ว ใครไปก็ได้ ไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าไปน้ำตกหรือภูเขา บางคนก็ปีนขึ้นไม่ไหว บางคนก็ไม่ชอบเดินป่า จะยุ่งยากเสียเปล่าๆ”
ตะวันตอบพลางหันมามองหน้าคู่สนทนาชั่วแวบหนึ่ง ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถึงรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อยก็ตามที่ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ แต่ก็ยังดีที่มีการเวียนสถานที่ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าไปที่เดิมซ้ำๆ กัน
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ย่นระยะเข้าสู่จุดหมายปลายทาง อาทิตย์อัสดงสามารถเดินทางมาถึง ‘ห้องนั่งเล่น’ ได้ แม้จะสายกว่าที่นัดเจ้าของร้านไว้สิบห้านาที เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกพลางหันไปกล่าวขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาส่งด้วยความรู้สึกติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวง
“ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่เจอพี่ ผมต้องมาสายกว่านี้แน่”
“ไม่เป็นไรหรอก คนรู้จักมักจี่กัน จะไม่ช่วยเหลือกันได้ยังไง”
ตะวันแจงด้วยรอยยิ้ม เขาเต็มใจมากด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้อง ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็อดขอบคุณซ้ำไม่ได้
“แต่ก็ต้องขอบคุณมากๆ อยู่ดีแหละครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมลงไปเอาเค้กก่อนนะครับ ไม่งั้นจะสายมากกว่านี้”
พูดจบ อาทิตย์อัสดงทำท่าจะเปิดประตูรถและก้าวลงไปทันที ทว่ากลับต้องหยุดการกระทำของตนลงก่อนเพราะเสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัย
“เอ้อ แล้วจะให้พี่รอหรือเปล่า เอาเค้กเสร็จต้องไปบ้านต่อใช่ไหมล่ะ”
“อ๋อ” หนุ่มหน้าตี๋ครางเสียงยาว “ไม่ต้องหรอกครับ ผมคงอยู่ที่ร้านนี่สักพักด้วย เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปเองครับ”
“เอาอย่างนั้นเหรอ ถ้าสักครึ่งชั่วโมง พี่ไม่มีปัญหานะ”
“จะรบกวนพี่เปล่าๆ เพราะผมไม่รู้ว่าเค้กจะเสร็จเมื่อไรด้วย”
คำตอบนั้นทำให้คนฟังประหลาดใจไม่น้อย เพราะรุ่นน้องบอกว่ามารับเค้ก แต่ในตอนนี้กลับตอบสิ่งที่ย้อนแย้งกัน
“เค้กยังไม่เสร็จเหรอ”
“เอ่อ...” เมื่อถูกถาม อาทิตย์อัสดงก็ตอบไม่ถูก พยายามควานหาคำตอบจากคลังคำพูดที่มีอยู่ก่อนจะเอ่ยเสียงไม่ให้ประโยคที่ประกอบขึ้นมาดูแปลกประหลาดนักสำหรับคนฟัง “พอดีผมขอเขาเขียนหน้าเค้กเองด้วยน่ะครับ”
ได้ยินเช่นนั้น ตะวันก็ครางเสียงยาวเหมือนกับเข้าใจ ถึงกระนั้นก็ยังย้อนคำถามเดิมอีกรอบ
“ให้พี่รอก็ได้นะ คงไม่นานขนาดนั้นหรอก”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
เพราะแค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลามากแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มตอบกลับไปด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด เพราะถึงจะคุ้นเคยกับตะวันในระดับหนึ่ง แต่การรบกวนรุ่นพี่มากๆ คงไม่ดี
“ก็ได้ๆ ถ้ามันทำให้ฟรีลำบากใจ พี่ขอโทษด้วยนะ”
ราวกับจะบีบเค้นไล่บี้กันทางคำพูด เพราะแม้สีหน้าของตะวันจะนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงออกมาว่าไม่พอใจที่เขาไม่ยอมรับน้ำใจ แต่น้ำเสียงก็แววแฝงอยู่เล็กน้อย ทำให้อาทิตย์อัสดงยิ่งรู้สึกยุ่งยากใจมากขึ้นไปอีก
“ขอโทษจริงๆ ครับ พี่ไม่ได้ทำให้ผมลำบากใจหรอก แต่ผมไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไรจริงๆ ผมไม่อยากรบกวนพี่ ผมเกรงใจครับ แค่พี่มาส่ง ผมก็ขอบคุณมากๆ แล้ว”
“โอเคครับ พี่จะกลับก่อน แต่พี่ไม่ได้ทำให้ฟรีลำบากใจแน่นะ”
“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
คำตอบสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มที่พยายามสยายให้กว้างกว่าครั้งไหนๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะคิดมากเกินไป ซึ่งมันก็ทำให้ตะวันยอมลดความตั้งใจของตนเองลง
เมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของคนอาวุโสกว่าแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงผงกหัวก่อนก้าวลงมาจากรถ ปิดประตูอย่างเบามือและโค้งศีรษะให้อย่างมีมารยาทอีกครั้ง พลางมองส่งรถของตะวันจนห่างไปเกือบสุดสายตา ถึงค่อยก้าวล่วงเข้าประตูร้านมา
“ผมมาพบเจ้าของร้านครับ”
นับว่าเป็นเรื่องดีก็ได้กระมังที่เวลานี้คนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ไม่ใช่หญิงสาวที่คุ้นหน้า แต่เป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง อาทิตย์อัสดงจึงไม่ต้องรับสายตาครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างจากเธอ
มันจะไม่น่าคิดมากหรอก ถ้าเขาไม่ได้มานั่งรอในวันนั้น...
รู้สึกว่าตนทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่รู้
“สักครู่นะครับ”
เป็นหนึ่ง พนักงานชายซึ่งประจำเคาน์เตอร์ในวันนี้แทนจุ๊บแจงแจ้ง ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อไปยังชั้นบน ได้ยินเสียงตอบรับ ‘ครับ ทราบแล้วครับ’ ของเด็กหนุ่ม จากนั้นเจ้าตัวก็วางหูลงและหันมาบอก
“เดี๋ยวคุณขึ้นไปชั้นสามได้เลยครับ”
“อ้อ ขอบคุณครับ”
ร่างโปร่งครางเสียงตอบพร้อมพยักหน้าน้อยๆ เดินไปตามทางที่พนักงานหนุ่มผายมือให้ รู้สึกประหม่านิดหน่อยที่ต้องเดินฝ่าฝูงชนในร้าน ถึงจะรู้ว่าชั้นสองของร้านก็เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า แต่เมื่อต้องเดินผ่ากลางร้านเพื่อขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ แม้ลูกค้าจะไม่ได้มากเท่าวันหยุดที่เขาเคยมาครั้งก่อนก็ตาม
“สวัสดีครับ”
เมื่อเหยียบย่างมาสู่ชั้นที่เป็นอาณาเขตพิเศษ บล็อกเกอร์หนุ่มก็เอ่ยทักทายผู้ที่อยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว เห็นภันวัฒน์กำลังยกอะไรบางอย่างออกมาจากตู้แช่เย็นพอดีจึงรีบสืบเท้าเข้าไปหา เพราะคะเนได้ว่านั่นคงเป็นเค้กที่เขาสั่งทำไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมมาช้า”
“ไม่หรอกครับ รถคงติดใช่ไหมครับ”
ภันวัฒน์ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนและสวมผ้ากันเปื้อนทับ วันนี้ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มเย็นสบายที่ส่งให้ทำให้ความรุ่มร้อนในใจของอาทิตย์อัสดงซึ่งกรุ่นอยู่ในอกก่อนหน้านี้คลายลง
นี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเริ่มจะรู้สึกไม่ชอบในตัวภันวัฒน์ก็เป็นได้
รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายแบบนั้น ไม่ชอบเอาเสียเลย
“ผมออกมาช้าด้วยแหละครับ แถมรถดันสตาร์ทไม่ติดอีก ไม่อยากจะเรียกวันซวยเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นวันเกิดของหลานผม”
“แย่จังนะครับ แล้วนี่คุณมายังไง แท็กซี่เหรอ”
“อ้อ พี่ที่บริษัทมาส่งน่ะครับ พอดีเจอกันระหว่างผมรอแท็กซี่”
ภันวัฒน์ครางตอบเสียง ‘อ๋อ’ ตอบประโยคนั้น ก่อนจะเข้าเรื่อง
“ผมทำเค้กตามที่คุณขอทุกอย่างเลย ว่าแต่คุณจะแต่งหน้าเค้กแบบไหนดี”
นอกจากหยิบเค้กขนาดสามปอนด์ออกมาจากตู้แช่แล้ว ร่างสูงยังหยิบวัตถุดิบออกมาวางบนเคาน์เตอร์เสียจนมากมาย ทั้งผลเชอร์รี่แดงอวบปลั่ง สตรอเบอร์รี่ลูกโต เรนโบว์สีสันสดใส แผ่นช็อกโกแลต ครีมแต่งหน้าเค้กสำหรับเขียนข้อความหลากหลายสี และยังมีอื่นๆ อีกจิปาถะ
“งั้นเอาอันนี้แล้วกันครับ”
อาทิตย์อัสดงหยิบแผ่นน้ำตาลรูปสัตว์หน้าตาน่ารักสีสันสวยงามขึ้นมา
“เขียนข้อความไหมครับ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
ภันวัฒน์เหลือวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ไว้ที่เคาน์เตอร์เช่นเดิม พลางหยิบของอื่นๆ กลับเข้าตู้แช่เพื่อรักษาอายุของมัน แต่กระนั้นก็ยังเผื่อเชอร์รี่เอาไว้อีกห้าลูกและสตรอเบอร์รี่ลูกโตอีกหนึ่ง
“ผมว่าเอาสตรอเบอร์รี่วางตรงกลาง แล้วก็เอาเชอร์รี่แต่งรอบๆ ส่วนน้ำตาลแผ่นประดับสักสองสามตัวก็พอครับ กินน้ำตาลมากๆ จะไม่ดีนะครับ ถึงจะเป็นเด็กๆ ก็เถอะ”
เหมือนว่าจะเป็นจุดด่างในความทรงจำอย่างหนึ่งของคนพูด และมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงอดจะยิ้มแหยออกมาไม่ได้ เขาครางเสียงเบาๆ ‘ขอโทษนะครับ’ ก่อนหยิบผลไม้วางลงยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายเสนอ และปิดท้ายด้วยน้ำตาลแผ่นรูปสัตว์จำนวนสามตัวตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอก
“เอ่อ... แล้วเขียนข้อความนี่...”
“ไหนๆ คุณก็แต่งหน้าเค้กเองแล้ว ลองเขียนเองดูดีไหมครับ”
ได้ยินข้อเสนอ ร่างโปร่งก็กวาดตามองไปยังครีมแต่งหน้าเค้กหลากสีสัน ดูเหมือนมันจะพร้อมใช้งานแล้ว
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง คุณเขียนให้ผมได้ไหม”
“ผมว่าคุณเขียนเองดีกว่านะ จะได้ไปอวดหลานคุณด้วยไง ว่าคุณเป็นคนเขียนให้เอง ผมว่าน่าภูมิใจออกนะ ทั้งตัวคุณและหลานคุณด้วย เขาต้องปลื้มมากแน่ๆ”
เพียงได้ฟังก็พานให้นึกหน้าหลานชายคนเล็กของตนออกแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกมีลูกฮึดขึ้นมา
“ก็ได้ครับ”
มือเรียวยื่นไปหาครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก จับมันมาถือไว้ให้มั่น ตามด้วยจรดลงไปเหนือผิวหน้าเค้กสีขาวเล็กน้อย ออกแรงบีบให้เนื้อครีมสีฟ้าค่อยๆ ผุดออกมา ทว่า...
ฝ่ามือที่ประกบทาบลงมาบนหลังมือ และความอุ่นของอะไรบางอย่างซึ่งแนบเข้ามาชิดแผ่นหลังกลับทำให้ต้องสะดุ้งโหยง
-----------------------
ต่อตอนหน้าจ้า
จะถึงร้อยแล้ว
Undel2Sky