「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)  (อ่าน 78772 ครั้ง)

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
18th Entry : พะวักพะวน






แม้ว่าจะล่วงเข้าสู่ช่วงดึกแล้ว สถานแห่งนี้ก็ยังคงมีเสียงผู้คนจอแจไม่ขาดไม่ต่างจากในเวลากลางวัน ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาเออก รวมถึงญาติมิตรที่มารับและมาส่งต่างกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ ภันวัฒน์เป็นหนึ่งในนั้นเช่นนั้น วันนี้เขาได้รับมอบหมายให้มารับน้องสาว หรือก็คือพร่างฟ้า ลูกสาวคนโตของผู้ชุบเลี้ยงตนเองมาตลอดยี่สิบปี

สายตาสาดส่องไปทั่วประตูของผู้โดยสารขาเข้า เลยเวลาเครื่องบินลงจอดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว อีกไม่นานคนที่เขารออยู่ก็คงจะออกมาแล้ว และก็เป็นดังคาด

สาวร่างเพรียวระหงในชุดจั๊มสูทสีน้ำเงิน เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างสวยงามก้าวออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต เธอกวาดสายตาไปทางซ้ายที ทางขวาที และหยุดที่จุดจุดหนึ่ง ก่อนจะตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว จากนั้นโผเข้ากอดชายหนุ่มร่างกำยำเสียแน่น ทิ้งกระเป๋าไว้เบื้องหลัง

“คิดถึงพี่ภันจังเลย”

มาถึงตัวได้แล้ว พร่างฟ้าก็กดริมฝีปากเข้ากับแก้มของภันวัฒน์ สูดลมหายใจแรงๆ ก่อนจะย้ายไปทำอย่างเดียวกันที่แก้มอีกข้างของร่างสูง

“ครับๆ รู้แล้ว”

ภันวัฒน์ยิ้มขำกับอากัปกิริยาของน้องสาว ก่อนจะดันตัวเธอออกเล็กน้อย ทำให้คนที่เข้ามากอดต้องยอมผละจากอย่างไม่เต็มใจเท่าไร เธอทำหน้าบู้ยู่ปากใส่ราวกับเด็กเอาแต่ใจทั้งที่เป็นสาวสะพรั่งแล้ว

“พี่ภันไม่เห็นบอกว่าคิดถึงพร่างเลย”

“คิดถึงสิครับ แต่ก่อนพร่างขึ้นเครื่องมาก็เพิ่งวิดีโอคอลหาพี่เองไม่ใช่เหรอ”

“มันเทียบไม่ได้กับที่ไม่ได้เจอมาตั้งเกือบปีหรอก”

เธอบ่นน้อยๆ จนชายหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะ ยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู จนผมลอนใหญ่สีดำสนิทยุ่งนิดๆ เพราะแม้จะไม่เจอกันเกือบปีอย่างที่อีกฝ่ายว่า แต่เจ้าตัวก็ยังเป็นน้องสาวแสนงอนในสายตาของเขา

“โอเคครับ งั้นไว้ค่อยไปบ่นที่บ้านนะ เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปจัดกระเป๋าต่อด้วย พรุ่งนี้พี่ต้องขึ้นเชียงราย”

“โหย อะไรอะ”

พร่างฟ้าทำแก้มป่อง ขณะภันวัฒน์เดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบโตมา เมื่อกลับมาหยุดยังที่ที่น้องสาวยืนอยู่ เจ้าหล่อนก็คล้องแขนเข้ากับแขนของภันวัฒน์ทันที ราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ

“ต้องไปดูไร่กาแฟที่เขายื่นเรื่องเสนอมา”

“งั้นพร่างไปด้วย”

“เพิ่งจะกลับมา ไม่เหนื่อยหรือไง แล้วพี่ก็ไปทำงานนะ”

“ไม่รู้ล่ะจะไปด้วย แล้วก็คืนนี้พร่างจะไม่กลับบ้าน ไปนอนคอนโดฯ พี่ภันนี่แหละ”

คำพูดไม่คล้ายว่าเป็นการขอร้องสักนิด แต่เป็นคำสั่งมากกว่า นอกจากนั้นยังแนบศีรษะเข้ากับต้นแขนล่ำๆ ของพี่ชายเสียอีก

“ไม่คิดถึงพ่อกับแม่เราหรือไง”

“เดี๋ยวอีกสองสามวันก็เจอกันแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พร่างอยากอยู่กับพี่ภันมากกว่า จะไปสำรวจห้องของพี่ภันด้วย ว่าแอบเอาคนมาซุกไว้หรือเปล่าตอนพร่างไม่อยู่”

ได้ยินเช่นนั้น ภันวัฒน์ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา เพราะน้องสาวของเขาคนนี้หวงพี่ชายสุดชีวิตเลยทีเดียว ประวัติที่ผ่านมาก็มีไม่ใช่น้อย เล่นเอาเขาเหนื่อยอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเวลาที่เขาคบกับใคร จะพยายามปกปิดพร่างฟ้าเอาไว้เพื่อความสงบสุขของตนเองและคนรัก

“เอาแต่พูดถึงพี่ แล้วพร่างล่ะ ไปอยู่เมืองนอก ไม่มีแฟนหล่อๆ ไปแล้วหรือไง”

“ไม่มีหรอก เพราะพร่างมาตรฐานสูง ถ้าอย่างน้อยไม่ได้เท่าพี่ภัน พร่างก็ไม่แลหรอก”

“พูดแบบนี้ระหว่างขึ้นคานนะ”

ภันวัฒน์หยอกล้อ พลางเก็บกระเป๋าขึ้นท้ายรถเมื่อเดินมาถึง จากนั้นเปิดประตูให้น้องสาวคนสวยขึ้นประจำที่นั่งด้านข้างคนขับ ตามด้วยตนเองก่อนจะเคลื่อนรถช้าๆ

“ไม่กลัวหรอก เพราะถึงขึ้นคาน พี่ภันก็เลี้ยงพร่างไปตลอดชีวิตได้อยู่แล้ว”

“โอ้โห นี่ตั้งใจจะเกาะพี่ไปจนแก่เลยงั้นสิ”

“ช่าย เพราะงั้นเตรียมตัวไว้ให้ดี”

พร่างฟ้าทำสีหน้าเหมือนเข่นเขี้ยวพลางข่มขู่ จนเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของภันวัฒน์ซ้ำ โดยมีเสียงหัวเราะของเธอตามมาติดๆ ภายในนั้นรถจึงอบอวลไปด้วยเสียงแห่งความสุขของสองพี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน

กระทั่งถึงคอนโดมิเนียมของชายหนุ่ม พร่างฟ้าสำรวจภายในห้องอย่างที่กล่าวไว้ แต่ไม่มีร่องรอยใดๆ ที่ระบุได้ว่าพี่ชายแอบมีคนรักในช่วงที่เธอไม่อยู่

“ไม่พบวัตถุต้องสงสัย”

ชายหนุ่มหัวเราะหลังออกมาจากห้องน้ำเมื่อได้ยินประโยคที่ราวกับนักสืบกำลังค้นหาหลักฐาน มือใหญ่ขยี้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำบนเส้นผม

“งั้นก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว ถ้าจะไปกับพี่ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”

“ตอนนี้พี่ภันไม่มีใครแน่นะ บอกไว้ก่อน ถ้าจะมีแฟนละก็ ไม่ได้ระดับที่สูงกว่าพร่าง พร่างไม่ยอมรับนะ”

น้องสาวหันมาทำตาเขียวคล้ายข่มขู่ เรียกรอยยิ้มจากผู้จัดการหนุ่มได้อีกระลอก

“ระดับพร่างนี่มันสูงเกินไปนะ มีพ่อเป็นเจ้าของโรงแรม เรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก แถมสวยหยาดเยิ้ม”

ประโยคแรกๆ คนฟังยังเฉยๆ แต่ประโยคหลังสุดนี้ทำให้เจ้าหล่อนใช้หลังมือสะบัดเส้นผมจนสยาย ประหนึ่งภาคภูมิใจและพึงพอใจเสียเหลือเกิน

“ถูกต้องค่ะ ต้องได้ระดับนี้เท่านั้น”

“แต่ว่า” ภันวัฒน์ค้านด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่ก็ไม่เบาเช่นกัน “เรื่องของความรัก มันไม่สามารถจำกัดได้หรอกว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร กับใคร ไม่ใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะระบุสเปกที่ต้องการแล้วผลิตขึ้นมาได้หรอกนะ”

ใบหน้าของหญิงสาวหงิกงอขึ้นมาทันควัน ดวงตากลมโตจับจ้องที่พี่ชายแสนรักแสนหวงซึ่งอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กไม่รู้ประสา

“พูดแบบนี้แสดงว่ามีคนที่เล็งไว้แล้วใช่ไหม”

ภันวัฒน์ไม่ตอบ แต่ลอยหน้าลอยตาเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งกายให้เรียบร้อยหลังจากนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมาพักหนึ่ง

“พี่ภัน เล่ามาเลย”

พร่างฟ้าทำเสียเข้มขึ้น แต่คนถูกถามก็ยังทำเฉย หยิบเสื้อผ้ามาใส่พลางบอก

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพี่จัดที่นอนให้ ถ้าชักช้าพรุ่งนี้ไม่ตื่น พี่ทิ้งไว้ที่นี่จริงๆ ด้วยนะ”

และคำขู่ก็สัมฤทธิผล หญิงสาวทำปากยู่ไม่พอใจ แต่กระนั้นก็ยอมสะบัดก้นเดินไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งจะเป็นที่พักของเธอในคืนนี้ พร้อมกับบอกก่อนที่จะออกไปจากประตู

“เอากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กมาให้พร่างด้วยนะ แล้วก็...ถึงพี่ไม่เล่า พร่างก็หาทางรู้เองได้”

ปิดท้ายด้วยการหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วยอีกดอก





การเดินทางไปยังเชียงรายเป็นไปตามกำหนดการของผู้จัดการฝ่ายอาหารและจัดเลี้ยง แม้ผู้เป็นน้องสาวจะง่วงงาวหาวนอนไปบ้าง แต่เมื่อพี่ชายสุดที่รักบอกว่าถ้าไม่ลุกจะทิ้งไว้ก็ทำให้เจ้าตัวยอมกระเด้งร่างขึ้นมาจากเตียงนอนจนได้ และเมื่อไปถึงสนามบิน รถของไร่กาแฟซึ่งนัดหมายไว้ก็นำพาไปยังจุดหมาย

ไร่กว้างขวาง สีเขียวประจักษ์ชัดเต็มสองตา บรรยากาศและอากาศดีๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

หลังพักผ่อนในที่พักซึ่งเป็นบ้านเจ้าของไร่ได้สองสามชั่วโมงและรับประทานอาหาร แดดก็ร่มลมตกพอดี จึงเข้าสู่ตารางงานในวันแรก คือการเที่ยวชมไร่กาแฟที่ทางเจ้าของไร่ภูมิใจนำเสนอ

ภันวัฒน์ได้ความรู้จากการแนะนำส่วนการทำงานต่างๆ ภายในไร่ รายละเอียดในการปลูก การดูแล ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว จำนวนผลผลิตในแต่ละปี และการคัดกรองผลผลิตคุณภาพ เพื่อใช้พิจารณาว่าจะตอบตกลงในการเซ็นสัญญาซื้อขายผลผลิตระหว่างไร่แห่งนี้และโรงแรมหรือไม่

เขาเก็บภาพพร้อมทั้งจดรายละเอียดลงบนโทรศัพท์มือถือสำหรับทำรายงานส่งฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กระทั่งเย็นย่ำก็ร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวเจ้าของไร่

อากาศยามกลางคืนนั้นเย็นกว่าตอนกลางวันมาก เพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาว ร่างสูงออกมายืนตากน้ำค้างอยู่ที่ระเบียงของห้องพักตนเอง ทอดสายตามองภูเขาซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ก็เห็นรูปร่างและความสูงใหญ่ของมันได้อย่างชัดเจน

ท้องฟ้าที่นี่มืดมากกว่าในกรุงเทพฯ ค่อนข้างมาก เพราะไม่มีแสงสีต่างๆ รบกวน ทำให้ความงดงามของดวงจันทร์ได้แจ่มชัด หมู่ดาวกระจายเกลื่อนจนเหมือนทำอัญมณีหล่นไว้บนผ้ากำมะหยี่สีดำ ขับให้มันยิ่งส่องประกายวิ้งวับจับตา

เห็นแล้วก็พานให้นึกถึงใครอีกคนหนึ่งขึ้นมา

หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าอาทิตย์อัสดง ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ครั้นจะโทรหาก็รู้ว่าไม่สามารถติดต่อได้ ถึงกระนั้นมือใหญ่ก็ยังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและปลดล็อก ก่อนเข้าสู่หน้าจอแอปพลิเคชั่นที่ใช้ทักทาย

ชื่อและสเตตัสของอีกฝ่ายยังคงเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

และสติกเกอร์ที่เขาส่งไปเป็นสัปดาห์แล้ว ก็ยังคงไม่มีตัวหนังสือตอบสนองว่าผู้รับเปิดดูมันแล้ว

“ใจแข็งจริงๆ นะ”

แม้เหมือนจะเป็นคำบ่น แต่ริมฝีปากกลับผลิรอยยิ้มอยู่น้อยๆ

นิ้วใหญ่เลื่อนปิดแอปพลิเคชั่นไป และเปลี่ยนไปยังเบราเซอร์แทน ในใจพร่ำคิด

ไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ แต่อย่างน้อยก็ยังมีข้อความที่คนในความคิดถึงบอกกล่าวถึงเขา

ที่อยู่บล็อกปรากฏขึ้นที่แอดเดรสบาร์ หลังจากกดลงบนรายชื่อที่บุ๊กมาร์กเอาไว้ ความรื่นรมย์ก่อตัวขึ้นจนเผยบนผืนหน้าของภันวัฒน์ ทว่าฉับพลันที่แถบสีฟ้าวิ่งอย่างรวดเร็วจากขอบด้านซ้ายไปสุดที่ด้านขวา คิ้วหนากลับขมวดเข้าหากัน

หน้าบล็อก Tea Party ที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปอ่านข้อความกลายเป็นหน้าสีขาว ข้อความแสดงว่าไม่สามารถเปิดเว็บเพจนั้นได้สร้างความฉงน

ภันวัฒน์จับจ้องตัวหนังสือบนช่องที่อยู่อีกครั้ง มันเป็นตัวหนังสือที่ถูกต้อง ไม่มีส่วนใดผิด และยิ่งเป็นไม่ได้ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง เพราะมันเป็นลิงค์จากบุ๊กมาร์กที่เขาเคยเปิดอยู่หลายครั้ง

ความว่างเปล่าที่แสดงอยู่ เสมือนว่าไม่มีบล็อกนั้นอีกแล้ว

ถูกลบไปหรือ

คำถามนี้ผุดขึ้นเป็นสิ่งแรก แต่คำตอบที่ค้านกันก็ดังตามมา

เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกลบทิ้ง เพราะแม้ไม่เคยถาม แต่เขารู้ว่าอาทิตย์อัสดงภาคภูมิใจกับบล็อกนี้มากเพียงใด เจ้าตัวเพียรสร้างมันมาหลายปี จำนวนคนเข้าชมและติดตามไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ

ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไม

หาคำตอบไม่ได้ ความสับสนวิ่งอลหม่านอยู่ภายในสมอง

มือหนากดรีเฟรชซ้ำๆ เผื่อว่ามันอาจจะเกิดการขัดข้องทางเครือข่าย หรือไม่ก็เป็นปัญหาที่เซิฟเวอร์ เขาถึงขนาดเข้าไปเช็กบล็อกอื่นๆ จากโดเมนเดียวกัน แต่คำตอบที่ได้กลับไม่เหมือนกัน

เขาสามารถเปิดดูบล็อกอื่นได้ตามปกติ

เพียงรู้ดังนั้น ใจที่กระวนกระวายอยู่แล้วก็พลันร้อนรุ่ม ไม่รู้สึกสงบได้อีกต่อไป ภันวัฒน์รีบกดเข้าเมนูสมุดรายชื่อ กดโทรออกไปยังเบอร์ที่เขาเคยพยายามติดต่อหลายครั้ง แต่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้ตลอด และในความนี้มันก็ยังคงเดิม

ไม่สามารถติดต่อได้

สีหน้าที่เคยทะเล้นอยู่เป็นนิจฉายชัดถึงความสับสน จังหวะลมหายใจเริ่มรวน ดวงตาคมกลอกกลับไปมาพร้อมกับสมองครุ่นคิดหาทางไปด้วย ไขว่คว้าหาทางที่จะนำไปสู่คำตอบ ไล่ความทรงจำตั้งแต่ครั้งล่าสุดไปจนกระทั่งถึงครั้งแรก นอกเหนือจากเจ้าตัวแล้ว มีอะไรที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงบล็อกนี้ได้บ้าง

ฉับพลันนั้นราวกับมีแสงสว่างวาบขึ้นมาเมื่อย้อนไปถึงความทรงจำแรกสุด

เขารีบกดโทรออกไปยังเบอร์หนึ่งด้วยความกระสับกระส่าย มือสั่นขึ้นมาด้วยความร้อนรนในใจ ดั่งคนหลงทางพยายามกระเสือกกระสนหาทางออก และเมื่ออีกฝ่ายรับสาย เสียงทุ้มก็กรอกลงไปโดยไม่สนใจคำทักทาย

“หนึ่ง อยู่กับเพลินหรือเปล่า”

[เปล่าครับ แต่ก็กำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่พอดี ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าครับ]

เสียงถามบ่งชัดถึงความสงสัย แต่ภันวัฒน์ก็เมินมันไปแล้วถามถึงสิ่งที่ตนเองต้องการที่สุดในเวลานี้

“พี่มีเรื่องจะถามเพลิน เกี่ยวกับบล็อก Tea Party หนึ่งช่วยถามให้พี่หน่อย หรือเอาเบอร์เพลินมาก็ได้ เดี๋ยวพี่โทรถามเอง”

[อ้อ งั้นเดี๋ยวผมรวมสายให้แล้วกัน รอแป๊บนะครับ]

เป็นหนึ่งตอบแค่นั้น ก่อนจะมีเสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นมา ชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นจากอีกฝ่าย ตามด้วยเสียงทักทายของหญิงสาว เจ้าของร้านเบเกอรี่จึงรีบเข้าประเด็น ซึ่งก็ได้คำตอบที่อยากรู้จากหญิงสาวในทันที ราวกับเธอรู้ว่าอะไรคือเนื้อหาส่วนสำคัญ

[ผู้หญิงคนนั้นคอยเอาเรื่องมาโพสต์ตลอดเลยค่ะ ตอนแรกๆ ทุกคนก็คิดว่ามาเล่าเรื่องความรักกับเจ้าของบล็อก หลายๆ คนก็เลยเชียร์ แล้วก็อยากรู้เรื่องต่อ แต่โพสต์ของผู้หญิงคนนั้นถูกลบออกเร็วตลอด เลยไม่เป็นกระแสเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าไม่มีคนพูดถึง บางคนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็โพสต์ถาม แล้วมีคนเล่าต่ออีกที อยู่มาวันหนึ่งจากที่โพสต์เล่าเรื่องก็กลายเป็นว่ามีรูปประกอบมาด้วย]

ขณะที่ฟัง คิ้วหนาวนปมเข้าหากันเรื่อยๆ คำพูดที่เคยได้ยินมาจากเจ้าของบล็อกดังก้องในหู

‘ผม...ไม่คิดจะมีความรักอีกหรอกครับ’

‘คุณกลัว’

‘ครับ ผมกลัว’


เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ

[โพสต์ทุกสองชั่วโมงเลยค่ะ เป็นรูปเด็กคนหนึ่ง น่าจะเพิ่งได้ขวบเดียวเองมั้งคะ คนที่ตามบล็อกอยู่อวยพรกันใหญ่ เพราะคิดว่าทั้งสองคนได้แต่งงานมีลูกด้วยกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเย็นวันนั้น มีโพสต์สุดท้ายโผล่มาพร้อมรูปกับข้อความว่า นายจะไม่ดูดำดูดีลูกชายของเรา และทิ้งขวางเมียอย่างไม่ไยดีแบบนี้เหรอ ไร้ความรับผิดชอบจังนะ ผู้ชายสารเลว]

แม้น้ำเสียงซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะไม่บ่งอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหา แต่มันกลับไม่ช่วยให้ภันวัฒน์รู้สึกดีขึ้นสักนิด ภายในใจของเขาดุจมีหมอกปกคลุม และหมอกเหล่านั้นก็เข้มสีขึ้นเรื่อยๆ จนอดไพล่คิดไปถึงอีกคนไม่ได้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไร

เขาห่วงเหลือเกิน

[แต่น่าแปลกนะคะที่วันนั้นรูปกลับไม่ถูกลบออก ทั้งที่ปกติเจ้าของบล็อกจะตามไล่ลบทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนั้นโพสต์ แล้วพอมันไม่ได้ถูกลบออก คนที่เห็นเนื้อหานั้นก็ต่อว่า ด่าเจ้าของบล็อกแบบสาดเสียเทเสียโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า อาจจะเป็นคำพูดของฝ่ายหญิงเองคนเดียวก็ได้]

ได้ฟังดังนั้น เหตุผลเดียวที่ร่างสูงนึกได้มีเพียง...เพราะเจ้าของบล็อกไม่สามารถลบมันออกได้

และสาเหตุที่ลบมันออกไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่ได้เปิดเข้าไปดู

วันนั้น...

ต้องเป็นวันที่อาทิตย์อัสดงหมดสติไปแน่ๆ

“เพราะแบบนี้สินะ สภาพของคุณถึงได้ย่ำแย่แบบนั้น”

เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วราวกับกำลังพูดกับใครบางคนอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อนึกถึงสภาพของอีกฝ่ายที่ได้เห็นในวันนั้น หัวใจก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมา ความหดหู่ห่อหุ้มความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดจนบรรยากาศสวยงามที่ห้อมล้อมตนเองอยู่หมองหม่นลงในบัดดล

เขาช่างโง่เหลือเกินที่ไม่รู้อะไรเลย

ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่หวาดกลัวที่สุด

[คะ พี่ภัน]

เหมือนว่าเสียงนั้นจะส่งไปถึงปลายสาย ภันวัฒน์จึงต้องรวบรวมสติที่ลอยไปหาใครอีกคนให้กลับมาจดจ่ออยู่กับคู่สนทนา แต่ก็ทำได้เพียงครึ่งเดียว ไม่ว่าอย่างไร ใจก็คะนึงถึงคนที่อยู่ตัวคนเดียว

“ไม่มีอะไรครับ แล้วยังไงต่อ”

[ค่ะ หลังจากนั้นบล็อกก็ถูกลบไป คืนนั้นเพลินเข้าไปเช็กดูอีกทีก่อนนอน มันก็ถูกลบไปแล้ว]

สำหรับภันวัฒน์ที่เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ผูกพันใดๆ กับบล็อกนั้นยังรู้สึกเจ็บร้าวเมื่อรู้ที่มาที่ไป แล้วอาทิตย์อัสดงเล่า จะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเท่าใดกัน

ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ความขลาดกลัวย้อนกลับมาทำร้าย แต่ยังทำลายความภาคภูมิใจและความสุขในปัจจุบันจนพังทลายป่นปี้

เพียงคิดถึงอีกฝ่ายในวันนั้น ภันวัฒน์ก็รู้สึกปวดปลาบไปทั้งอก

ใจของเขาโลดแล่นออกไปยังที่แสนไกล ไปยังตำแหน่งที่ใครอีกคนอยู่แล้วด้วยซ้ำ

อยากไปหาเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เขายังจัดการงานที่นี่ไม่เสร็จสิ้น จึงได้แต่ข่มความรู้สึกมหาศาลที่ก่อร่างสูงใหญ่เอาไว้

“ขอบคุณมากนะครับเพลิน”

[ไม่เป็นไรค่ะ]

“ขอบใจหนึ่งด้วยนะ”

[ไม่เป็นไรครับ]

แม้ว่าใจของคนฟังเรื่องราวคงจะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นไม่น้อย แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมาได้มีเพียงแค่นี้ ภันวัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา ไม่ให้เล็ดลอดไปยังปลายสายทั้งสอง ก่อนจะล่ำลาซ้ำอีกครั้งแล้วจึงวางสายไป

นัยน์ตาคมสีเดียวกับราตรีนี้ทอดมองไปยังเบื้องบน ความสว่างไสวที่สวยงามในคราแรกที่เห็น กลับไม่เป็นเช่นเดิมอีกแล้ว





กำหนดการของผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มยังคงดำเนินต่อไปในวันที่สอง เขาประชุมกับเจ้าของไร่ เพื่อสรุปเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน กว่าจะเรียบร้อยก็ล่วงเข้าสู่ช่วงสาย ตารางงานในการเดินทางไกลครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว และมันก็ทำให้ภันวัฒน์รีบเร่งไปเก็บของใช้ภายในห้อง

หลังจากเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทาง ชายหนุ่มตรงไปยังห้องพักของน้องสาว ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งวันนี้ พร่างฟ้าคอยอยู่เคียงเขาตลอดประหนึ่งเป็นตัวแทนเลขานุการ คอยพยักหน้า สอบถามข้อสงสัยอยู่เนืองๆ คงเพราะวิสัยทัศน์และแบบแผนชีวิตที่วางมา ว่าหากเรียนจบปริญญาโทแล้ว เธอจะต้องมารับตำแหน่งบริหารตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในโรงแรม

เคาะประตูสองสามครั้ง เสียงใสก็ขานรับพร้อมประตูที่เปิดออก ใบหน้าแจ่มใสชื่นมื่นดูมีความสุขของเธอทำให้ภันวัฒน์รู้สึกผิดไม่น้อยกับเรื่องที่เขาจะพูดต่อไปนี้

“เดี๋ยวเราจะกลับกันเลยนะ”

“กลับ?”

พร่างฟ้าทวนคำพูดของพี่ชายอย่างประหลาดใจ ดวงตาขยายกว้างขึ้นเล็กน้อย

“ขอโทษนะ พอดีพี่มีธุระ”

“จะมีธุระได้ยังไง ไฟล์ทกลับมันตอนเย็นไม่ใช่เหรอคะพี่ภัน นี่ยังไม่เที่ยงเลยนะ พร่างคิดว่าเราจะไปเที่ยวกันต่อซะอีก พี่ภันพาพร่างเที่ยวก่อนนะ อุตส่าห์ได้มาทั้งที”

เสียงอ้อนวอนของหญิงสาวทำให้ร่างสูงรู้สึกลำบากใจ เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ครุ่นคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ที่เขาจะปฏิเสธคำขอร้องของน้องสาว แต่เขาก็ไม่มีอารมณ์จะเที่ยวเล่นจริงๆ

“นะ นะ น้า พี่ภัน พาพร่างเที่ยวกันก่อนนะคะ เรากลับไฟล์ทเดิมก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

มือบางเกี่ยวรัดที่ท่อนแขนแกร่ง แนบใบหน้าโศกเศร้าเข้ากับต้นแขนกำยำ ส่งน้ำเสียงเว้าวอนกว่าเดิม พลางช้อนสายตามองพี่ชายราวกับเด็กเล็กๆ เอาแต่ใจ จนสุดท้ายคนถูกอ้อนก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้

“โอเคครับ ไปเที่ยวกัน เก็บกระเป๋าเสร็จหรือยัง”

“เกือบเรียบร้อยแล้วค่า พี่ภันรอแป๊บหนึ่งนะ”

จากสีหน้าสลดอย่างน่าสงสาร ก็กลับมาสดใสอีกครา พร่างฟ้าปล่อยมือจากร่างสูงแล้วกระโดดเข้าไปเก็บของลงกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอต่อ กระทั่งเรียบร้อยจึงหันมาหาพี่ชายที่ยืนรอ เปล่งเสียงด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“พร้อมแล้วค่ะ”

ได้ยินดังนั้น ภันวัฒน์จึงเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าของเธอมาถือ ก่อนย่างก้าวออกมาจากห้องพัก พร้อมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองที่วางไว้หน้าห้อง ลงไปยังห้องรับแขกซึ่งมีผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของไร่นั่งอยู่

“จะกลับกันแล้วเหรอครับ”

ผู้เป็นเจ้าถิ่นทำสีหน้าประหลาดใจ ฉุดตัวขึ้นยืนเพื่อสนทนา พร่างฟ้าจึงเป็นฝ่ายบอก

“เราจะไปเที่ยวกันก่อนน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมให้คนงานคอยขับรถให้นะครับ จะได้เที่ยวสะดวก”

“ขอบคุณมากครับ”

หากปฏิเสธข้อเสนอไปจะเป็นการเสียมารยาท ภันวัฒน์จึงกล่าวขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของอีกฝ่าย ก่อนทางนั้นจะมอบเมล็ดกาแฟสดใหม่เป็นของฝากแล้วเดินนำลงไปยังหน้าบ้าน เรียกให้คนงานในไร่คนหนึ่งนำรถมาและพาแขกทั้งสองคนไปท่องเที่ยว

แม้สถานที่ที่ได้เยี่ยมเยือนหลายๆ ที่จะมีความน่าสนใจ สวยงาม จนใบหน้าของพร่างฟ้าระบายยิ้มไม่หุบ ทว่าสำหรับภันวัฒน์แล้ว เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมบรรยากาศแม้แต่น้อย เพราะในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลถึงคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไร และเขาไม่สามารถติดต่อได้

แต่แล้วในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง หลังจากขึ้นเครื่องบินและกลับกรุงเทพฯ ได้ ภันวัฒน์ก็พาพร่างฟ้าไปยังบ้านของเจ้าตัว เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบที่เธอหอบหิ้วมาจากต่างประเทศ ถูกนำเก็บไว้ในรถของเขาตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว

ร่างสูงส่งพร่างฟ้าเพียงแค่หน้าบ้าน ด้วยรู้ว่าหากเข้าไปในบ้านหลังนั้น ใช่ว่าจะสามารถปลีกตัวออกมาได้ง่ายๆ เขาจะต้องถูกชักชวนให้อยู่รับประทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับสมาชิกในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแน่นอน ดังนั้นเมื่อพร่างฟ้ายอมลงจากรถด้วยคำอ้างของเขาว่าจำเป็นต้องไปทำธุระสำคัญต่อ ชายหนุ่มก็ออกรถไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการโดยเร็วที่สุด






อ่านต่อข้างล่าง

v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥


ต่อจากข้างบน


v


v



รถยนต์สีเทาดำจอดลงหน้าบ้านหลังเดิมที่เคยมาเยี่ยมเยือนหลายครั้งในช่วงที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เวลาเกือบสองทุ่มมากขึ้นไปทุกที แต่เมื่อลงมาจากรถ จ้องมองเข้าไปยังตัวบ้าน กลับมีเพียงความมืดมิดที่ได้เห็น รถยนต์สีขาวที่ควรจอดอยู่ภายในอาณาเขตบ้าน กลับไม่อยู่ในตำแหน่งของมัน

ไม่อยู่?

คิ้วหนามุ่นเข้าหากัน ถึงกระนั้นก็ตอบตนเองไปว่าอีกฝ่ายอาจจะออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมาก็เป็นได้ จึงยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน แต่ทั้งยืนรอ นั่งรอ พิงรถรออยู่สองชั่วโมงแล้ว กลับไม่มีทีท่าว่าคนที่เฝ้ารออยู่จะกลับมา

ภันวัฒน์ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้งเมื่อรอต่อไปอีกประมาณสิบห้านาที แม้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบจึงยอมตัดใจก่อนชั่วคราว เพราะแม้ว่าใจจะห่วงพะวงถึงใครอีกคน เขาก็มีหน้าที่สำคัญของตนเองต้องไปทำ

ถึงคิววันที่ต้องเขาทำขนมของร้าน

หลังจากผ่อนลมหายใจออกมาทางปาก กายสมส่วนก็หมุนกลับหลังแล้วขึ้นรถ มุ่งตรงไปสู่จุดหมายอีกแห่งเพื่อรับผิดชอบงานให้ดีที่สุด

ใช้เวลาทำหน้าที่ปาติซิเย่อยู่ประมาณสี่ชั่วโมง ภันวัฒน์ก็เข้าสู่ห้องโดยสารอีกครั้ง เขากลับมายังบ้านของอาทิตย์อัสดงด้วยใจที่หวังว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาแล้ว แต่เมื่อไปถึง สิ่งที่รอต้อนรับเขาอยู่กลับเป็นเช่นเดิม

ตัวบ้านเงียบสงัด ไร้แสงสว่าง รถยนต์สีขาวปลอดยังไม่กลับมา

เพียงเห็นเท่านั้น ใจก็เริ่มกระวนกระวายอีกคราว เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าใจผิดไป แต่ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

ตีสองแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่กลับ

ไปไหนของเขากันนะ

ครั้นจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปสอบถามกับเจ้าตัว ก็รู้แก่ใจดีว่าไม่มีทางที่เขาจะสามารถติดต่อได้ เพราะฝ่ายนั้นยังไม่ยอมเปิดโอกาส ร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบๆ ถนนตัดผ่านหน้าบ้านเงียบงัน ไม่มีรถสัญจรผ่านไปมา แม้แต่เดิมถนนแห่งนี้จะมีไม่ค่อยมีรถผ่านอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นถนนส่วนบุคคลก็ตาม

กายกำยำเอนพิงกับประตูรถ กอดอกไว้ราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาความพะวักพะวนที่ก่อตัวขึ้นในใจลงบ้าง ทว่าปลายเท้ากลับยกเคาะกับพื้นคอนกรีตด้วยจังหวะถี่ๆ บอกสภาพให้รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยแม้แต่น้อย เขายังรู้สึกใจไม่สงบเช่นเดิม

ผ่านไปอีกชั่วโมง ย่างเข้าสู่ตีสาม ใครคนนั้นที่เฝ้ารอแล้วรอเฝ้าเล่าก็ยังไม่กลับมา

ความหวังที่พยายามกดเอาไว้ไม่ให้ล่องลอยจากไปไหนเริ่มดันตัวต่อต้านดั่งต้องการอิสรภาพ

ภันวัฒน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ต่อสายไปยังบุคคลที่รู้ดีว่าไม่มีทางรับ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาความรู้สึกในเวลานี้ของตนไปทิ้งไว้ที่ไหน

เป็นดังคาด สัญญาณถูกกีดกั้น

เขาถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งครั้ง หลับตาลงอย่างอ่อนล้า ไม่ใช่ความอ่อนล้าทางร่างกาย หากแต่เป็นความเหนื่อยอ่อนทางจิตใจ สมองขบคิดหาทางออก ควานทางในความมืดเผื่อว่าจะหยิบจับอะไรที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้บ้าง และดูเหมือนว่าจะโชคดี เพราะเขาสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ

มือหนาขยับอย่างรวดเร็ว กดโทรศัพท์โทรออกหาใครอีกคนโดยมองข้ามเรื่องเวลา รอสายอยู่สักพักเสียงง่วงเงียก็ดังแทรกมา

[โทรมาทำไมวะไอ้ภัน]

“กูมีเรื่องจะให้มึงช่วย”

ภันวัฒน์แทรกเสียงออกไปลิ้นรัว ก่อนที่เพื่อนรักจะมีช่องว่างด่าทอเขาที่โทรปลุกยามวิกาล

[ช่วย?]

เกรียงไกรถามอย่างประหลาดใจ คล้ายว่าสติที่ห่างหายไปด้วยการหลับใหลจะกลับคืนมาแล้ว ร่างสูงจึงรีบรวบรัดพูดในคราวเดียว

“คนที่มึงจีบอยู่ คุณขวัญใช่ปะวะ คนนั้น่ะ ที่เป็นเพื่อนกับเจ้าของบล็อกที่กูมีเรื่องด้วย มึงจำได้ไหม กูอยากให้มึงถามเขาให้หน่อยว่าตอนนี้เพื่อนเขาอยู่ที่ไหน”

[หา]

อีกฝ่ายร้องอย่างตกใจและไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่งก็เงียบไป ราวกับกำลังทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ยินว่าถูกต้องหรือไม่ ภันวัฒน์จึงย้ำ

“ขอร้องล่ะ ช่วยกูหน่อย”

[เออๆ รอก่อนแล้วกัน แต่กูไม่รู้นะว่าคุณขวัญจะรับโทรศัพท์หรือเปล่า]

เพราะนานครั้งที่เพื่อนจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา แม้ไม่เข้าใจสักนิดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเพื่อนของเขาจึงร้อนใจเช่นนั้น แต่เกรียงไกรก็จำยอม ถึงกระนั้นไม่วายแขวะเพื่อนกลายๆ

“ขอบใจว่ะ”

สิ้นเสียงนั้น ปลายสายก็ตัดไป ภันวัฒน์กำโทรศัพท์ไว้ในมือ เฝ้ารอการติดต่อกลับมาจากเพื่อนที่พอจะช่วยเหลือตนเองได้

แต่การรอคอยมักยาวนานกว่าเวลาที่ผ่านไปจริงเสมอ ดังนั้นจากที่พอจะสงบใจลงได้บ้าง ก็กลับมาร้อนรุ่มอีกครั้ง ทั้งที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบเพื่อดูว่าเกรียงไกรยังไม่ติดต่อกลับมาจริงหรือ แล้วพบว่าเพิ่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็ตาม

ชายหนุ่มเริ่มยืนนิ่งทนรอต่อไปไม่ไหว เขาเอนตัวพิงรถ ไขว้ขาสลับเท้า กอดอก พร้อมกับเคาะนิ้วลงบนแขนตนเองไปด้วย กระทั่งเสียงที่รอคอยดังขึ้นมา ก็รีบกดรับสายโดยที่เสียงร้องครั้งแรกยังไม่จบด้วยซ้ำ

“ว่าไงวะ”

[รีบจริงวุ้ยมึงนี่]

“ว่ามาๆ”

ไม่สนใจคำบ่นของเพื่อนสักนิด เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายของเกรียงไกรดังมาจากลำโพงที่แนบติดหู ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็กรองมันออกจากการได้ยิน เพราะเป็นเสียงที่ไร้ความหมาย เพื่อรอฟังสิ่งที่ต้องการที่สุดให้ชัดเจน

[คุณขวัญบอกว่าตอนนี้ไปเอาท์ติ้งที่ต่างจังหวัดกัน คงกลับถึงกรุงเทพฯ ประมาณสี่ทุ่ม]

“เหรอ เออ ขอบใจมาก”

[เฮ้ย เดี๋ยว]

เพราะดูเหมือนว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือจะตัดสายทิ้งในทันทีที่ได้ข้อมูลสำคัญ เกรียงไกรจึงร้องห้ามเอาไว้ก่อน

“มีอะไรวะ”

[กูต่างหากต้องถามมึง แต่ตอนนี้กูง่วงแล้ว ไว้พรุ่งนี้มึงต้องออกมาดื่มกับกู ห้ามปฏิเสธ]

คล้ายกับมัดมือชก เพราะเมื่อกล่าวจบ อีกฝ่ายก็ตัดสายเร็วพลัน

ภันวัฒน์มองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ส่องแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดล็อกแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง ทบทวนคำตอบที่ได้รับมาจากเพื่อนรักก่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้า

ยามค่ำคืนที่ปราศจากเสียงรบกวนใดๆ ท้องฟ้ากลับขมุกขมัวดุจรมด้วยควันไฟ ไม่มืดมิดพร่างพรายด้วยของหมู่ดาราดังเช่นเมื่อคืนที่เขาได้เห็น ราวกับว่ามันเป็นจิตใจอันบอบช้ำที่บล็อกเกอร์หนุ่มแบกเอาไว้ และมันก็ทำให้รู้สึกว่า...

เขาอยากให้อาทิตย์อัสดงได้เห็นท้องฟ้าแจ่มสว่างด้วยธรรมชาติสวยงามเช่นนั้นสักครั้ง





-------------------
ตอนนี้ไม่มีคุณอาทิตย์อัสดงเลย แต่ก็เฉลยเรื่องในบล็อกแล้วนะคะ


Undel2Sky



ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
คุณอาทิตย์ของเค้า  :hao5: คุณอาทิตย์ขาาาา ฮืออออออ คุณภันคะ เราจะบอก นี่เป็นโอกาสดีของคุณภันที่อาจจะไม่มีเข้ามาอีกแล้วในชีวิตนี้นะคะ ถ้าได้เจอคุณอาทิตย์คราวนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้อีกนะคะ ที่รักของเค้าบอบช้ำขนาดนี้ เราไม่รู้เราอคติรึเปล่า แต่เราคิดว่าคนอย่างคุณอาทิตย์ คนที่รักหลานขนาดนั้นจะไม่ดีใจเหรอคะที่ตัวเองมีลูก เราว่าคุณอาทิตย์ไม่น่าทิ้งลูกได้นะคะ มันต้องมีอะไรเบื้องหลังแหละ แต่เราเสียใจจจจ คุณอาทิตย์ถึงขนาดปิดบล็อกเลยอ่ะ ทางนึงเราว่ามันก็ดีนะคะ อะไรที่ทำให้เราเจ็บก็ตัดมันทิ้งไป แต่พอดีนี่มันเป็นสิ่งที่คุณอาทิตย์รักอีก โอ๊ยยยยย เหมือนทำลายความสุขของตัวเองไปเพื่อไม่ให้ทุกข์มากกว่าเดิมไงไม่รู้ เลือกทางไหนก็เจ็บทั้งนั้น แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน เธอต้องการอะไรรรรร จะว่าอยากให้คุณอาทิตย์ไปเลี้ยงลูกก็ไม่น่าใช่อ่ะค่ะ คุณอาทิตย์กับเธอนี่น่าจะจบกันไม่สวย ไม่งั้นคุณอาทิตย์คงไม่ฝังใจขนาดนี้ ยังไงเราก็อยู่ทีมคุณอาทิตย์ค่ะ บังคับคุณภันอยู่ทีมคุณอาทิตย์ด้วย ห้ามย้ายทีมนะคะ กรี๊ดดดดด แล้วคือ น้องพร่างฟ้านี่ก็แปลกๆอ่ะค่ะ น้องคิดกับคุณภันมากกว่าพี่ชายป่ะเนี่ย ถ้าใช่นี่เราสงสารคุณอาทิตย์เหลือเกินค่ะ มาอยู่กับเราเถอะ เราสัญญาจะไม่ทำให้เสียใจค่ะ กรี๊ดดดดด แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้คุณอาทิตย์ก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะคะ คุณอาทิตย์มีเพื่อน มีหลาน มีพี่สาวแล้วยังมีคุณภัน(ที่ไม่รู้คุณอาทิตย์จะอยากได้รึเปล่า แต่คุณอาทิตย์ก็จำเป็นต้องมีผู้ชายคนนี้) อยู่นะคะ คุณอาทิตย์ต้องผ่านทุกเรื่องไปได้แน่ๆค่ะ!

คุณนักเขียนคะ อย่าใจร้ายกับเราเลยนะคะ พาเราออกจากดราม่าเถอะค่ะ เรารับไม่ไหว จิตใจเราบอบบาง  :o12:

ปล. เราเจอคำผิดอยู่คำนึงนะคะ

 คนนั้น่ะ  คนนั้นน่ะ ป่ะคะ

เรารอตอนต่อไปนะคะะะ ฮืออออออออ  :mew4:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อดีตที่ตามมาหลอกหลอนมันร้ายแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะ
ภันนี่เป็นโอกาสแล้วที่จะพลิกจากโจรมาเป็นฮีโร่

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฟรีกลับมาให้ฮักปลอบใจเร้ว!
ฮักขวัญหายแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
19th Entry : จนแต้ม





เสียงลมพัดเป็นระลอกประสานเข้ากับคลื่นซัดเซาะหาดทรายเป็นบรรยากาศผ่อนคลายที่น่าไขว่คว้าเอาไว้ เมื่อรวมเข้ากับการได้มาพักผ่อนตามสบายสามวันสองคืนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยิ่งทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษ

เหล่าพนักงานที่ได้รับสิทธิพิเศษประจำปีต่างสนุกสนานไปกับโอกาสที่หาได้เพียงครั้งเดียวในรอบปีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบ่ายวันที่สองของการมาท่องเที่ยว ทุกคนต่างยิ่งใช้เวลาอย่างคุ้มค่า สุดเหวี่ยงไปกับมัน

ทั้งที่รอบบริเวณเต็มไปด้วยความครื้นเครง เสียงครึกครื้นดังไปทุกหย่อม ผู้คนสนุกสนานไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นบนหาดหรือในทะเล กลับมีใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าบนผืนทราย ทอดสายตาออกไปยังเส้นขอบฟ้าโดยไร้ความสนใจบรรยากาศรอบตัว ราวกับว่าอยู่คนละมิติเวลาอย่างไรอย่างนั้น แม้กระทั่งร่างหนึ่งลงนั่งข้างๆ ก็ยังไม่รู้ตัว

หญิงสาวชะโงกหน้ามองไปยังคนที่นั่งทอดอาลัยมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะมองไม่เห็นเธอสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใจลอยไปถึงแห่งหนใด จึงต้องกระแอมเสียงเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อเรียกให้เจ้าตัวกลับมาสู่โลกทางนี้

“ไม่ไปเล่นกับคนอื่นๆ เหรอ”

“.....”

ไร้การตอบสนองใดๆ ความเงียบเข้าจับตัวเป็นก้อนแข็ง หนึ่งฤทัยจึงกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ในสภาพที่ควรเป็น ครู่หนึ่งกว่าเสียงของคนที่ถูกถามจะดังขึ้นมา

“ไม่ค่อยมีอารมณ์ มึงล่ะ”

“กูเล่นกลับมาแล้ว เลยมาพักเหนื่อยเนี่ย”

แม้ว่าเพื่อนรักจะไม่หันมามอง แต่หนึ่งฤทัยก็ดึงเสื้อยืดเปียกชื้นที่สวมอยู่ออกมาจากตัวเพื่อประกอบคำพูด

“อืม”

อาทิตย์อัสดงตอบเพียงสั้นๆ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ทำให้เสียงเป่าลมหายใจดังออกมาจากคนข้างๆ หนึ่งฤทัยสังเกตอาการของเพื่อนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและสภาพร่างกายที่ดูอ่อนล้าแล้วก็รู้สึกไม่ดีสักเท่าไร

นับจากวันที่เพื่อนหยุดงานและเธอโทรไปหา เจ้าตัวก็กลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ทั้งที่บอกมาแท้ๆ ว่าจะเอาหน้าบลิ๊งๆ มาให้ดู สิ่งที่เธอพบในวันถัดไปกลับเป็นสีหน้าที่ดูแย่ยิ่งกว่าเสียอีก และทั้งที่เธอคิดว่าหากได้มาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเช่นนี้ เพื่อนรักอาจจะกลับมาร่าเริงได้ แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับตรงกันข้าม

อาทิตย์อัสดงยังคงผูกใจกับอะไรบางอย่าง และก็ทำให้พบกับความเจ็บปวดทรมาน

“กูรู้แล้วนะ”

เสียงใสเกริ่นขึ้นอีกครั้งเพื่อชักจูงเข้าสู่ประเด็นที่อีกคนเลี่ยงการพูดคุยมาตลอด

เธอช่างโง่นักที่เพิ่งมารู้เอาเมื่อสองวันก่อนนี้เอง

อาการของเพื่อนย่ำแย่ลงเรื่อยๆ คล้ายซอมบี้มากขึ้นไปทุกที เธอจึงเริ่มขบคิดถึงต้นเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง ไตร่ตรองถึงสิ่งที่สร้างผลกระทบมหาศาลต่อเพื่อนของเธอ และสุดท้าย...เธอก็เข้าไปดูในบล็อกที่แทบไม่เคยแตะต้อง

คำตอบของคำถามที่เธอเฝ้าถามมานานเกือบสองสัปดาห์ปรากฏบนหน้าจอสี่เหลี่ยม

“เกิดอะไรขึ้นกับบล็อกของมึง”

คำว่า ‘บล็อก’ คล้ายตัวจุดชนวน ใจที่ปล่อยให้เลื่อนลอยจนหลงทางถูกกระชากกับลับมา เสียงทิ้งขว้างลมหายใจแว่วมาให้หนึ่งฤทัยได้ยิน เธอจึงโน้มน้าวยิ่งขึ้น ด้วยรู้ว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์

“เล่าให้กูฟังไม่ได้เลยเหรอ”

“.....”

“มึงก็รู้ว่ากูร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมึงมาตั้งแต่เข้าบริษัทพร้อมกัน”

ดั่งถูกตำหนิที่หลงลืมช่วงเวลายาวนานร่วมห้าปีอย่างง่ายดาย อาทิตย์อัสดงหลุบตาลง ก้มหน้าเล็กน้อยราวกับกำลังตัดสินใจ เขาสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งแรงๆ ก่อนจะปล่อยมันออกมาทางปาก

“กูไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน”

เสียงเนิบนาบอ่อนแรงค่อยๆ ผุดออกมาจากริมฝีปากที่หนักเหมือนหิน แต่เท่านั้นก็ทำให้คนรอฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้ว หญิงสาวเขยิบช่องว่างระหว่างกันให้แคบลง ประหนึ่งว่าเรื่องที่จะคุยต่อไปนี้เป็นความลับที่ห้ามผู้ใดได้ยิน

“เริ่มตั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นสิ มึงค่อยๆ เล่ามาก็ได้ กูมีเวลาฟังมึงเสมอ”

รอยยิ้มแตะลงบนแก้มของหนึ่งฤทัย แม้ว่าเพื่อนข้างกายจะไม่หันมามองหน้าเธอก็ตาม แต่เธอแน่ใจว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ

“เอมกลับมา”

“อีนั่น”

เพียงได้ยินชื่อก็แสลงหู หญิงสาวสบถออกมาอย่างลืมตัวแม้จะยังไม่ได้ฟังเรื่องราวใดๆ เพราะแค่คิดว่าเจ้าของชื่ออัปมงคลนั่นกลับมา ก็ทำให้เธอแทบปรี๊ดแตกแล้ว นึกถึงความฉิบหายที่จะตามมาได้ในทันที

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงมีสภาพเช่นนี้

“มันทำอะไร”

พอรู้สึกสงบใจลงได้หน่อย หนึ่งฤทัยก็กลับมาสานต่อบทสนทนาอีกครั้ง เธอพยายามปรามใจให้เย็นเพื่อรอฟังวีรกรรมชั้นเลวที่นังอสรพิษทำเอาไว้

“มาป่วนในบล็อก”

“แล้วมันโพสต์อะไรเอาไว้มั่ง”

หญิงสาวสอบถามเพิ่มด้วยน้ำเสียงที่พยายามใจเย็น

“โพสต์เรื่องเก่าๆ กูตามลบแล้ว แต่...”

“แต่...”

มาถึงตรงนี้ เธอกำมือเพื่อระงับอารมณ์ไม่ให้พลุ่งพล่านฉุนเฉียวออกมาก่อนจะรู้ความจริง

“กูลบเรื่องที่โพสต์ว่ากูทิ้งลูกทิ้งเมียไม่ทัน”

“อีสัตว์!”

ไม่ทันยั้งปาก คำหยาบคายจึงออกมาจากปากพร้อมกับร่างที่ทะลึงพรวดขึ้นมายืนเสียแล้ว เสียงด่าทอของหนึ่งฤทัยดังสะท้านไปทั่วชายหาดจนคนที่ทำกิจกรรมอยู่ละแวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

หญิงสาวเหลือบตามองรอบด้าน รู้ตัวว่าตนตกเป็นเป้าสายตาก็ตอบกลับไปว่า ‘ไม่มีอะไร’ จากนั้นหมุนตัวกลับมายืนเผชิญหน้าเพื่อนที่นั่งกอดเข่าอยู่ในท่าเดิม เธอพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าคำด่านั้น แต่ก็ดังพอให้อาทิตย์อัสดงได้ยิน

“แล้วคนในบล็อกที่เคยชื่นชมมึง เคยติดตามมึงก็แห่กันด่าสาดเสียเทเสียสินะ”

คำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่มมีเพียงการผงกศีรษะเบาๆ เพื่อยืนยันคำตอบเท่านั้น หนึ่งฤทัยถอนหายใจแรง นึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

“ถ้ากูเจอตัวนะ จะตบล้างน้ำให้หน้าเบี้ยวเลยคอยดู แม่งเอ๊ย ผู้หญิงอะไรชั้วชั่ว นอกจากตัวเองชั่วแล้วยังกุเรื่องให้คนอื่นชั่วเหมือนตัวเองอีก แค่คำว่าสารเลวยังไม่พอเลย”

ปิดท้ายประโยคด้วยการเตะทรายบริเวณนั้นแรงๆ อีกหนึ่งที และเตะซ้ำอีกด้วยอารมณ์ฮึดฮัดราวกับจะใช้มันเพื่อช่วยให้ความคุกรุ่นในใจบรรเทา จนสักพักใหญ่ๆ เจ้าตัวถึงได้อารมณ์เย็นลง แล้วทรุดตัวนั่งยองต่อหน้าร่างโปร่ง

“แล้วเรื่องบล็อก มึงจะทำยังไงต่อ ลบทิ้งไปแล้ว”

“กูคง...”

เสียงเหือดหายก่อนหยุดชะงักไป เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่ลบบล็อกที่หวงแหนและสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่ ดั่งประคบประหงมลูกน้อยมาหลายปีจนมีผู้คนชื่นชมยอมรับ อาทิตย์อัสดงไม่เคยตรึกตรองถึงหนทางที่จะดำเนินต่อ

“ไม่รู้สิ กูคง...” ดั่งมีก้อนแห่งความผิดหวังกีดขวางลำคอเอาไว้ไม่ให้พูดออกมา อาทิตย์อัสดงพยายามกลืนน้ำลายแรงๆ เพื่อดันมันลงไป ก่อนจะเอ่ยเสียงออกมาได้อีกครั้ง แต่มันก็อ่อนระโหยเหลือเกิน “ไม่ทำอีกแล้วมั้ง”

“มึงจะยอมแพ้เหรอ”

ถึงใจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น ทว่าร่างโปร่งกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเข็ดขยาด

“แล้วถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งล่ะ”

“เออ นั่นสินะ อีนั่นยิ่งหน้าด้านหน้าทน กัดไม่ปล่อยอยู่ด้วย ทั้งที่มึงต่างหากที่สมควรจะทำแบบนั้น”

สิ้นเสียงของเพื่อนผู้ล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดในอดีต บทสนทนาของคนทั้งคู่ก็ขาดลง ราวกับว่าต่างคนต่างกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

“แม่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าเสียดายว่ะ บล็อกที่มึงอุตส่าห์ตั้งใจทำมาหลายปี พังเพราะอีจัญไรนั่นตัวเดียว”

“มันก็ช่วยไม่ได้”

เสียงของอาทิตย์อัสดงยังคงแผ่วเบาเช่นคนอ่อนล้า ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเหนื่อยเหลือเกิน อดีตอันเลวร้ายหวนคืนกลับมาหลอกหลอนกัน

ความผิดพลาดในชีวิตยังคงตามติดประดุจจะดึงเขาลงไปยังหุบเหวของความมืดมิดอยู่เสมอ

มีเพียงวันเดียวในนั้นที่เขาหลับได้เต็มตา...

คิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วอาทิตย์อัสดงก็รู้สึกสะท้อนใจ ช่วงเวลานี้เขาอ่อนล้าเกินกว่าจะใช้ความคิดใดๆ เกี่ยวกับคนคนนั้น อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เขาได้มาที่นี่ เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรหากต้องประจันหน้ากันในระหว่างที่เขาอ่อนแอ

“หวังว่ามันคงจะไม่มารังควานมึงอีกนะ”

“ไม่หรอกมั้ง เพราะว่าวิธีติดต่ออะไรกูก็ตัดหมดแล้ว เว้นแต่บ้าน”

คล้ายกระตุ้นความหวาดระแวงของหญิงสาวขึ้นมา หนึ่งฤทัยจ้องเขม็งไปยังเพื่อน พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน

“ถ้ามันกล้าบุกบ้านมึง มึงโทรแจ้งตำรวจเลยนะ ฉิบหายละ”

อยู่ๆ ก็เหมือนว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องเสียงดัง ทำสีหน้าตื่นเต้น และละล่ำละลักพูดออกมา

“มึงดันลบบล็อกไปแล้ว ไม่งั้นนะ แจ้งตำรวจจับมันข้อหาหมิ่นประมาทพร้อมกับทำผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ได้ด้วย โอ๊ย เสียดายว่ะแม่ง”

เสียงโหยหวนของเพื่อนที่ดูเอาจริงเอาจังเสียเหลือเกินทำให้รอยยิ้มที่เลือนหายไปครึ่งเดือนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของอดีตบล็อกเกอร์จางๆ อาทิตย์อัสดงหัวเราะคิกเบาๆ รู้สึกซึ้งในน้ำใจของเพื่อนที่อยากช่วยเขาอย่างเต็มที่

“ขอบใจว่ะขวัญ”

หลังจากได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมานาน และเห็นใบหน้าดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยนั้นแล้ว หนึ่งฤทัยก็พลอยยิ้มไปด้วย เธอรู้สึกใจชื้น สบายใจขึ้นมาหน่อย ที่อย่างน้อยเพื่อนดูทุกข์ทรมานน้อยลง มือบางยื่นไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมยกยิ้มกว้าง

“เรื่องเล็กน้อยน่า จริงๆ มึงไม่ควรเก็บเอาไว้คนเดียวนะ มีอะไรทุกข์ใจก็บอกกูได้ เล่าให้กูฟังได้ กูพร้อมรับฟังและหาทางช่วยมึงเสมอ เห็นมึงอมทุกข์อยู่คนเดียว บอกตรงๆ กูรู้สึกไม่ดีเลย ไว้ใจกูให้มากกว่านี้สิวะ เข้าใจหรือเปล่า”

ได้ยินเช่นนี้แล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกแสบบริเวณขอบตา ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความชุ่มชื้น เขาซาบซึ้งในความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้เหลือเกิน และดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงชายหนุ่มเท่านั้น เพราะเจ้าตัวคนพูดก็เริ่มมีน้ำเอ่อนิดๆ ในดวงตา

“ไอ้บ้า อย่าทำซึ้งสิวะ”

เสียงแหบพร่าลงไปจากประโยคเมื่อครู่ ทำให้รอยยิ้มของอาทิตย์อัสดงวาดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย

“มึงเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง”

“อะไร กูไม่ได้เริ่ม” ปฏิเสธเสียเสียงแข็ง แต่ว่าน้ำเสียงกลับสั่นและแหบแห้งมากกว่าเดิม หนึ่งฤทัยยกหลังมือปาดขอบตาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กูไปเล่นน้ำทะเลต่อดีกว่า พวกนั้นเรียกแล้ว”

ทั้งที่ไม่มีใครเรียกแท้ๆ แต่มือบางก็ยื่นออกไปชี้ด้านข้างสะเปะสะปะ จากนั้นฉุดตัวลุกขึ้นและวิ่งออกไป ไม่รอฟังว่าคนที่ตนเองล่ำลาจะพูดอะไร ทำให้อีกคนที่เหลืออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

“ขอบใจมึงมากวะขวัญ มึงเป็นเพื่อนรักของกูจริงๆ”

เสียงแผ่วหวิวถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปตามสายลม หวังให้ถึงหูของคนที่เพิ่งวิ่งไปเมื่อสักครู่ และคาดว่ามันคงถึงจริงๆ กระมัง เพราะหนึ่งฤทัยหันหน้ากลับมาแลบลิ้นใส่ แล้วมุ่งหน้าไปยังเหล่าคนที่กำลังเล่นน้ำทะเลกันอยู่อีกครั้ง

หลังหญิงสาวจากไป ความสงบก็มาเยือนอีกครา อาทิตย์อัสดงโยนตัวเองออกจากวงโคจรของโลกนี้ ไปยังอีกมิติหนึ่งที่สร้างขึ้นเอง แม้ว่าการได้ระบายเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นจะทำให้รู้สึกสบายใจได้บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด

ความรู้สึกประเดประดังยังไม่จางหายไป... มันยังเล่นงานเขาซ้ำๆ เมื่อเห็นว่ามีช่องว่าง

เผลอเมื่อไรมีอันต้องหวนนึกถึงย่างก้าวแห่งความล้มเหลว จนทำให้เขาตกลงไปในหลุมดำทะมึน

ปีนป่ายขึ้นมาได้ยากเหลือเกิน เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยโคลนดูดสีมะเมื่อม

“ทำไมมาเล่นมิวสิคอยู่คนเดียวล่ะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงหย่อนกายลงนั่งข้างๆ คงเพราะมันดังกว่าปกติด้วยต้องการเรียกให้คนที่ทอดใจไปไกลรู้สึกถึงการมาเยือนก็เป็นได้ อาทิตย์อัสดงจึงดึงสายตากลับและหันมองยังผู้มาใหม่

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่จากฝ่ายขาย ร่างโปร่งก็ส่งยิ้มให้น้อยๆ ตามมารยาทที่ดี แม้ใจจะไม่ได้อยากยิ้มสักเท่าไรก็ตาม เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น อาจจะถูกสงสัยเอาได้

“พี่สังเกตมาหลายวันแล้วนะ” ตะวันเอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายว่าชะโงกมองคนที่เบี่ยงหน้ากลับไปยังผืนทะเลเบื้องหน้า “หมู่นี้ฟรีดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ”

“.....”

เพราะไม่รู้จะตอบประโยคบอกเล่าแฝงคำถามนั้นอย่างไร อาทิตย์อัสดงจึงทำได้เพียงเงียบ

“ทั้งที่ได้มาทะเลแท้ๆ แต่ก็ยังดูอึมครึมอยู่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

ทิ้งช่วงจังหวะหลังประโยคโจ่งแจ้งนั้นแล้ว ร่างโปร่งจำต้องตอบออกไป

“...ไม่หรอกครับ พี่คิดมากไปหรือเปล่า”

“หืม ไม่นะ ฟรีดูต่างจากปกติจริงๆ ถ้ามีปัญหาคิดไม่ตก จะปรึกษาพี่ก็ได้นะ ถือว่าเป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนไง”

เจ้าของเสียงระบายยิ้มพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวประโยคคล้ายโอ้อวดตัว แต่ก็ไม่ได้ดูหยิ่งผยองเกินควร ให้ความรู้สึกถึงความใส่ใจเสียมากกว่า ส่งผลให้อาทิตย์อัสดงคลี่ยิ้มอีกครั้งและตอบอย่างรักษาน้ำใจ เพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเล่าเรื่องของตนเองให้ใครสักคนฟัง

“ไว้ถ้ามี ผมจะคิดดู”

“ท่าทางว่าจะมีวันนั้นยากสินะ”

ถูกจับได้จนได้ แต่จากสีหน้าและน้ำเสียงของตะวัน รู้ได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด เขาพูดด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่อยากให้คู่สนทนาคิดมาก

“แล้วนี่ไม่ไปเล่นกับคนอื่นเหรอ เมื่อวานก็เอาแต่นั่งอยู่ริมหาดนี่นา ไม่เบื่อหรือไง”

“ไม่ดีกว่าพี่ ผมไม่ค่อยมีอารมณ์อยากเล่นเท่าไร”

เมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป คนที่พยายามขีดเส้นคั่นระหว่างกันก็เริ่มเบาใจลง

“คงไม่ใช่กลัวดำหรอกใช่ไหม”

“ถ้าผมกลัวดำ คงไม่มานั่งตากแดดแบบนี้หรอกครับ”

อาจจะเป็นมุกที่อยากให้คนฟังอารมณ์ดีก็เป็นได้ ร่างโปร่งจึงยอมลดความแน่นหนาของปราการที่สร้างไว้ลงหนึ่งระดับ แต่ใช่ว่าการกระทำเพื่อรักษามารยาทจะปิดบังความหม่นเศร้าได้ ตะวันเล่นลิ้นต่อ

“นั่นสินะ ก็ฟรีขาวเรืองแสงซะขนาดนี้ ดำอีกหน่อยก็ไม่หมองหรอก”

“ผมดำยากน่ะครับ”

“ชักเริ่มอิจฉาขึ้นมาแล้วสิ”

ตะวันทำปากยู่เล็กน้อย คล้ายอิจฉาที่อีกฝ่ายมีต้นทุนชั้นดี เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเบาๆ

การแสร้งยิ้ม หรือหัวเราะเป็นเรื่องที่เหนื่อย

อาทิตย์อัสดงเพิ่งเข้าใจมันเดี๋ยวนี้

“ฟรีว่างอยู่แบบนี้ งั้นไปขี่เจสกีกันไหม”

“ไม่ดีกว่า ผมไม่ค่อยอยากเล่นอะไรเท่าไร”

“ดำน้ำก็ได้ แก้เบื่อดีออก ไปเปลี่ยนบรรยากาศลอยอยู่กลางทะเล เผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้นก็ได้นะ”

“ขอบคุณที่หวังดีนะพี่ แต่ผมโอเคดี แค่รู้สึกเบื่อๆ เฉยๆ”

หาข้อแก้ตัวที่คิดว่าดีแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังถูกคนอายุมากกว่าแย้ง

“ก็นั่นไงล่ะ” รุ่นพี่ฝ่ายขายปรบมือดังป้าบครั้งหนึ่ง “เพราะนั่งอยู่แบบนี้ไง ถึงได้เบื่อ งั้นอย่างน้อย ไปเดินเล่นกินลมกับพี่ก็ได้ หวังว่าแค่นี้ฟรีคงจะไม่ขี้เกียจเกินไปนะครับ นั่งอยู่นานๆ เดี๋ยวรากได้งอกพอดี”

“มันเป็นพื้นทรายครับ รากงอกอยากสักหน่อย”

แม้จะตอบเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะปฏิเสธได้อีก อาทิตย์อัสดงยอมยกร่างขึ้นจากทรายสีครีม ทำให้อีกคนที่เห็นภาพนั้นรู้สึกกระฉับกระเฉงรีบฉุดตัวขึ้นยืนอย่างรวดเร็วราวกับจะแข่งกัน

“งั้นไปทางนั้นนะ แล้วค่อยเดินกลับมาทางบ้านพัก”

“ครับ”

อดีตบล็อกเกอร์ส่งยิ้มให้เล็กน้อย แม้ว่ามันจะแฝงแววฝืดฝืนอยู่ในที แต่เวลานี้ตะวันมองไม่เห็นมันแล้วอย่างสิ้นเชิง

ทั้งคู่เดินไปยังทางที่ตะวันชี้ ค่อยๆ ออกห่างกลุ่มพนักงานในบริษัท ด้วยฤดูนี้เป็นฤดูหนาว คนจึงไม่นิยมมาทะเลสักเท่าไร เพราะต่างแห่กันไปสัมผัสความหนาวเย็นที่ภาคเหนือเสียมากกว่า ทะเลจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านนักเมื่อเทียบกับฤดูอื่นๆ

สองคนสาวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ลมมีไอเย็นเพียงเล็กน้อย เพราะพระอาทิตย์ยังคงทำงานดีแม้ว่าจะล่วงเข้าช่วงเย็นแล้ว ตะวันคลี่ยิ้มบางเบาราวกับสายลมหอบความสุขมาให้ พลางเหลือบมองอาทิตย์อัสดงเป็นระยะ

“เหมือนว่าเราจะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอะไรร่วมกันเลยเนอะ”

อยู่ๆ เสียงจากด้านข้างก็ดังมา ร่างโปร่งหันไปมองรุ่นพี่ซึ่งมีขนาดตัวไกลเคียงกัน เขายังคงรักษามารยาทที่รุ่นน้องพึ่งปฏิบัติต่อรุ่นพี่อยู่ เพราะอยู่คนละแผนกจึงไม่ถึงขนาดสนิทจนเล่นหัวกันได้อย่างรุ่นพี่แผนกเดียวกัน หากให้เทียบ หนึ่งฤทัยสนิทกับตะวันมากกว่าเขาเสียอีก

“ก็ผมกับพี่ไม่ค่อยต้องประสานงานนี่ครับ”

“นั่นสิ แปลกดีเหมือนกัน ทั้งที่พี่ก็คุยกับขวัญบ่อยออก มีทั้งเบอร์ ทั้งไลน์ แต่กับฟรี พี่ไม่มีซะงั้น”

พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาทิตย์อัสดงรู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน เพราะเจอกันในบริษัทออกบ่อย แต่ดูเหมือนว่าเขากับอีกฝ่ายจะติดต่อกันน้อยจนน่าประหลาด

“ถ้างั้นพี่เต็มเมมเบอร์ไว้เลยครับ”

ร่างโปร่งหยิบโทรศัพท์ออกมายื่นให้คนอายุมากกว่าเพื่อบันทึกเบอร์ไว้ เห็นดังนั้นตะวันก็รู้สึกลิงโลด ระบายยิ้มออกมา พลางส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้รุ่นน้องด้วย

“งั้นฟรีเมมเบอร์ฟรีไว้ด้วยนะ แล้วก็พี่ขอแอดไลน์ไว้เลย”

“ได้ครับ”

อาทิตย์อัสดงรับมาก่อนบันทึกเบอร์ของตนลงไปแล้วส่งคืน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝายจะกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างในโทรศัพท์เขาอยู่ จึงอดชะโงกไปด้วยความสนใจไม่ได้

“มีอะไรเหรอครับ”

“อืม... มีข้อความที่ฟรียังไม่เปิดดูน่ะ”

“อ๋อ”

เสียงร้องดังมาจากปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติโดยไม่ได้ตั้งใจ อาทิตย์อัสดงรู้แก่ใจว่าข้อความที่ไม่ได้เปิดดูถูกส่งมาจากใคร และเขาก็ตั้งใจทิ้งมันไว้แบบนั้น

“ฟรี”

“ครับ”

อาการนิ่งเงียบของเจ้าของโทรศัพท์ที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นทำให้ตะวันเรียกอีกครั้ง ร่างโปร่งจึงได้สติขึ้นมา

“เปล่า ไม่มีอะไรครับ ทิ้งไว้แบบนั้นแหละ”

“แต่ไม่อ่านจะดีเหรอ เขาอาจจะคุยเรื่องสำคัญก็ได้”

“ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ เห็นว่าผมไม่อ่าน เขาก็ต้องโทรมาสิครับ”

แม้จะรู้เต็มอกว่าเจ้าของข้อความนั้นไม่มีทางโทรหาเขาได้ แต่อาทิตย์อัสดงก็ตอบกลับไปอย่างไม่แยแสโดยอ้างอิงจากสัญชาตญาณของมนุษย์ ซึ่งมันก็มีน้ำหนักพอที่ตะวันจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและล้มเลิกความสนใจไป

อาทิตย์อัสดงเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงเมื่อได้รับมันคืนมา เดินทอดน่องและทอดสายตาผ่านอากาศเบื้องหน้าราวกับชื่นชมทัศนียภาพทั้งที่ความจริงนั้นต่างโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย ทว่าเพียงครู่เดียวก็ต้องหันไปทางด้านหลังเพราะเสียงร้องจากรุ่นพี่

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ร่างโปร่งก้มมองตะวันที่ตัวงอพร้อมกับยกเท้าขึ้นมาด้วย เมื่อเห็นว่าที่นิ้วเท้าของอีกฝ่ายมีเลือดซึมค่อนข้างมากก็ตระหนกเล็กน้อย

“น่าจะโดนเปลือกหอยบาด โอ๊ย เจ็บ”

“ผมว่าไปทำแผลก่อนดีกว่า”

เพราะเดินย้อนกลับมาจากทางเดิมบ้างแล้ว ระยะทางจากบ้านพักจึงไม่ไกลนัก อาทิตย์อัสดงยกแขนคนอายุมากกว่าขึ้นแล้วพาดลงบนบ่าของตนเอง พยุงคนเดินไม่ถนัดที่เท้าโชกเลือดอย่างช้าๆ กระทั่งไปถึงที่หมาย

ตะวันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ซึ่งอยู่ด้านในตัวบ้านโดยอาทิตย์อัสดงวิ่งเข้าไปในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กพร้อมกับกระเป๋าใส่ยาสามัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เอามาจากกรุงเทพฯ ด้วยมา จากนั้นตรงไปยังครัว หยิบกะละมังใบย่อมแล้วย้อนกลับมาหาคนบาดเจ็บอีกครั้ง

กายโปร่งนั่งลงกับพื้น จับเท้าของตะวันแช่ลงน้ำเพื่อล้างทรายออกไป แล้ววางเท้าเปียกๆ นั้นลงบนตักของตนซึ่งปูผ้าขนหนูรองเอาไว้และซับมันให้แห้ง

“เอ่อ ฟรี นั่นมันกะละมังล้างจานไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมบอกเขาให้เปลี่ยนใหม่ก็ได้ ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวผมออกเอง”

“ไม่ ไม่ได้หรอก ถ้าเขาให้จ่ายเดี๋ยวพี่จัดการเอง เพราะพี่เจ็บตัว ฟรีถึงต้องเอามาใช้ ไม่เป็นไรหรอก”

รู้ว่าเถียงต่อไปคงไม่มีประโยชน์ อาทิตย์อัสดงจึงไม่ได้เอ่ยแย้งใดๆ อีก เขาหันไปหยิบอุปกรณ์ฆ่าเชื้อและทำแผลมาจัดการให้อย่างรวดเร็วจนพันผ้าปิดแผลไว้ได้อย่างเรียบร้อย

ทว่าแม้จะเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่มันกลับดูยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของตะวัน เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขาถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด แค่พยุงเขากลับมาที่บ้านพักและปล่อยให้เขาทำแผลเองก็ได้ แต่ว่าพระอาทิตย์ดวงนี้กลับทำให้เขาจนเสร็จสิ้น

“ขอบคุณนะฟรี ที่ช่วยทำแผลให้”

“ไม่หรอกพี่ เรื่องเล็ก พี่เต็มล้างเท้าอีกข้างเลยสิ คงเดินไปห้องน้ำไม่สะดวกใช่ไหม”

ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น มือเรียวยังจับเท้าอีกข้างที่เปื้อนทรายของตะวันลงในอ่างน้ำและยกขึ้นมาเช็ดให้เสียอีก ปรนบัติอย่างดีจนคนถูกปฏิบัติด้วยรู้สึกอิ่มเอมในใจ ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นออกมาทีละน้อย ภายในอกแน่นไปหมด บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกักเก็บเอาไว้ตลอดคล้ายว่าจะปะทุขึ้นมา

“กินเหล้ากันไหม”

และก่อนที่สิ่งนั้นจะเผยออกมาอย่างหมดเปลือก ตะวันก็โพล่งสิ่งที่ควานหาได้เป็นสิ่งแรกขึ้นมา เพราะสายตาปะทะกับขวดเหล้าที่เหลือทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพอดี

“กินเหล้าตอนนี้ เดี๋ยวเลือดก็พุ่งหรอก”

คนพูดหลุดขำเล็กน้อยกับประโยคเมื่อครู่ ทว่าแม้จะเป็นการขบขันจากความป้ำเป๋อหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็ทำให้คนมองรู้สึกราวกับภายในอกถูกลมขนานใหญ่สูบเข้ามา เพราะนานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ รอยยิ้มที่ไม่ใช่การแสร้งทำเพื่อรักษามารยาท

ตะวันรู้สึกอุ่นชื้นอยู่ในใจที่อย่างน้อยตนก็สามารถทำให้อาทิตย์อัสดงที่หดหู่มาหลายสัปดาห์หัวเราะได้ และคงเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่เต็มอกในเวลานี้กระมัง ถึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าสามารถพูดในสิ่งที่ตนเองแอบซ่อนเอาไว้มาเนิ่นนานได้

“ฟรี”

“ครับ”

อาทิตย์อัสดงเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า พลางเช็ดมือกับผ้าขนหนูเปียกชื้นที่เมื่อสักครู่เพิ่งใช้มันเช็ดเท้าให้รุ่นพี่

“มันก็ปีกว่าแล้วเนอะ”

“ครับ?”

เจ้าของเสียงเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้รับคำพูดประโยคนั้น เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่เมื่อมองสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายกลับรู้สึกได้ว่าเรื่องที่ตะวันกำลังจะพูดเป็นเรื่องสำคัญ

“ตั้งแต่ฟรีเลิกกับแฟนเก่า”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับไฟฟ้าช็อตไปทั่วทั้งตัวจนขนลุกชันไปทั้งร่าง บรรยากาศเบาสบายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องไปยังใบหน้าของตะวันนิ่งงัน ไร้แววใด มันแข็งค้างไร้ประกายชีวิต ภายในนิ่งสงบดุจถูกหยุดเวลาเอาไว้






อ่านต่อข้างล่าง


v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน



v



v



“มีอะไรครับ”

น้ำเสียงที่พูดออกมาแข็งกระด้างจนคนฟังรู้สึกได้ ตะวันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พลางบอกตนเองให้หาญกล้าเข้าไว้

“พี่... พี่...รู้สึก...ชอบฟรีน่ะ”

“.....”

“ชอบมาตั้งแต่ที่ฟรีเข้ามาทำงานใหม่ๆ แล้ว”

เหมือนการสนทนาฝ่ายเดียว แต่คงไม่แปลกนัก หากแต่ความเงียบเฉียบจากคนที่ตนเองสารภาพนั้นทำให้รู้สึกราวกับถูกเชือดเฉือนด้วยความเหยียบเย็น ถึงกระนั้นก็ยังพยายามคุมสติเอาไว้ให้มั่นและเปล่งเสียงต่อไป

“แต่ว่าฟรีมีแฟนแล้ว พี่ก็เลยไม่กล้าพูด พอรู้ว่าฟรีเลิกกับแฟน ถึงจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ว่าพี่...ดีใจนะ”

“.....”

“ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังไม่กล้าพูดออกมาหรอก เพราะอยากให้ฟรีทำใจเรื่องแฟนให้ได้ก่อน แต่ว่า...มันผ่านมาปีกว่าแล้ว พี่เลยคิดว่าฟรีน่าจะพร้อมเปิดใจแล้ว”

“.....”

“ใช่ไหม”

คำลงท้ายในรูปประโยคคำถามดังขึ้นอย่างไม่แน่ใจ มันเต็มไปด้วยความสั่นไหว คล้ายกับเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อยามสะกิดเบาๆ

อาทิตย์อัสดงจ้องคนตรงหน้านิ่ง เหมือนกำลังพิจารณาคำสารภาพนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากแต่ไม่ใช่ เขาไม่แม้แต่จะนำมาตรึกตรองด้วยซ้ำ เพียงแค่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายมั่นใจแล้วหรือว่ารู้สึกเช่นนั้นกับเขาจริงๆ

“ขอโทษด้วยนะครับ”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเรียบเฉยดั่งคนไร้ความรู้สึก ไม่เจือกระแสใดๆ ทั้งสิ้นเสมือนธารใกล้จับตัวเป็นน้ำแข็ง พาให้ใจของคนฟังลู่ลงเล็กน้อย ทว่าใช่ตะวันจะยอมแพ้เสียเดี๋ยวนั้น

“เพราะพี่เป็นผู้ชายเหรอครับ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” ร่างโปร่งยังใช้โทนเสียงเดิมตอบกลับมา สีหน้าคงความสงบนิ่งเอาไว้อย่างหนักแน่น “ไม่ว่าพี่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมก็ไม่คิดจะตอบรับหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ หรือว่าฟรียังลืมแฟนเก่าไม่ได้”

“ถ้าถามว่าลืมได้ไหม ผมคงพูดไม่ได้ว่าลืม แต่ที่ผมตอบรับพี่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นหรอก”

“แล้วทำไมล่ะ หรือว่าเรายังไม่สนิทกันมากพอ อยากให้ใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อทำความรู้จักกันมากกว่านี้ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ยินดีนะ พี่รอได้”

ดวงตาของตะวันส่องประกายแห่งความหวังขึ้นมาในชั่วพริบตาเมื่อคิดเข้าข้างตนเอง แต่เพียงครู่เดียว แสงสว่างนั้นก็ดับวูบลงเพราะน้ำคำจากอาทิตย์อัสดง

“ต่อให้มีโอกาสสนิทกันมากกว่านี้ ผมก็มั่นใจว่าตัวเองจะยืนยันคำตอบเดิม”

ถ้อยคำและน้ำเสียงที่ตอบกลับมาดุจหินผาแข็งแกร่งที่ไม่มีวันทลายลงได้ ตะวันรู้สึกเช่นนั้นทันทีที่ได้ยินมัน จนไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นจริงได้

คงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคตตนเองจะรู้สึกอย่างไร

เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน

แต่เมื่อได้สบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ไร้แววของการเคลื่อนไหว ราวกับมันถูกแช่แข็งเอาไว้ ความคิดนั้นของตะวันก็สูญสลายไปราวกับมันเป็นเพียงภาพมายาลวงตา

“ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยเลยเหรอที่ฟรีจะหวั่นไหว ต่อให้พี่ทำดีสักแค่ไหน ฟรีก็จะไม่รู้สึกดีกับพี่เลยสักนิดเหรอ”

“ขอโทษครับ”

คำขอโทษดังซ้ำราวกับจะบีบคั้นให้ต้องยอมรับโดยดุษณี ตะวันขบริมฝีปากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าควรจะสรรหาคำใดมาเหนี่ยวรั้งให้อีกฝ่ายใช้เวลาไตร่ตรองเพิ่มสักนิด และดูเหมือนอาทิตย์อัสดงจะอ่านใจได้จึงแจงย้ำ

“สถานะของพี่เต็มสำหรับผม คือรุ่นพี่ที่ทำงาน นิสัยดี มีน้ำใจ แล้วผมก็ดีใจที่ได้รู้จักกัน ซึ่งมันจะไม่เปลี่ยนไปครับ ต่อให้ห้าปี สิบปี หรือยี่สิบปีก็ตาม และผมก็จะดีใจมากกว่าหากพี่ให้ผมเป็นแค่รุ่นน้องที่ร่วมงานกัน ผมไม่อยากให้พี่เสียเวลาเปล่าทั้งที่ตัวเองรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรัง”

“ตัดรอนกันอย่างโหดร้ายเลยรู้ไหม”

ตะวันไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีที่ถูกขีดเส้นแบ่งไว้ชัดเจนเสียขนาดนี้ มิหนำซ้ำเจ้าตัวคนพูดยังไม่มีท่าทีหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น

“สักวันหนึ่ง พี่จะดีใจที่ผมพูดแบบนี้นะ”

อาทิตย์อัสดงยิ้มน้อยๆ ไพล่คิดไปถึงวันที่ตะวันมีคนรักซึ่งยินยอมพร้อมใจจะเดินไปในเส้นทางสายเดียวกัน ทำให้ตะวันไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นความปรารถนาดีที่โหดเหี้ยม จึงได้แต่จำยอมรับไป แต่กระนั้นก็อดถามไม่ได้

“แล้วถ้าเป็นคนอื่นล่ะ ถ้ามีใครสักคนมาสารภาพรักกับฟรีอีก ฟรีจะตอบแบบนี้หรือเปล่า”

“คนอื่นเหรอครับ” ร่างโปร่งทวนคำถามราวกับถ่วงเวลาเพื่อคิดวิเคราะห์ แต่มันก็สั้นเพียงหนึ่งช่วงหายใจ ประหนึ่งคำตอบถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว “ทุกคนมีสถานะเดิมของตัวเองอยู่แล้ว ผมคงไม่เปลี่ยนสถานะที่ดีอยู่แล้วไปหรอกครับ”

“หมายความว่าต่อให้เป็นคนอื่นก็ปฏิเสธงั้นเหรอ”

“ครับ แล้วผมก็ค่อนข้างมั่นใจในความมั่นคงของตัวเองด้วย”

อาทิตย์อัสดงผลิยิ้มจาง ตอบคำถามนั้นโดยไม่มีวี่แววของความลังเลแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา เขาไม่เคยเปลี่ยนสถานะของคนที่ได้รู้จักอยู่แล้วเป็นอื่น แม้กระทั่งคนรักที่ผ่านมา เขาไม่เคยใช้สถานะเพื่อนเพื่อเข้าหา ทว่า...

ทั้งที่น่าจะเป็นเช่นนั้น

ทั้งที่น่าจะเป็นแบบนั้นไม่ว่ากับใคร

แต่กับใครคนนั้น...เขากลับตอบอย่างหนักแน่นไม่ได้เลย







-----------------
มาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
มาส่องทางฝั่งฟรีบ้าง เราส่งขวัญเป็นตัวแทนของทุกคนค่ะ


สปอยล์ว่าตอนหน้าทั้งสองคนจะกลับมาเจอกันแล้ว


Undel2Sky

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
โอ๊ยยยยยย

มันค้างงงงงงงงงง  :katai1:

นังนั่นเป็นใคร มันทำอะไรฟรี อยากจะลากมาตบ ๆๆๆๆๆ
สงสารพี่ตะวัน อกหักมารักกับน้องนะคะ ไม่ใช่!


ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
คุณขวัญคะ เรารู้ว่าคุณขวัญเครียดและเป็นห่วงเพื่อนมากแค่ไหน แต่เราอดไม่ได้จริงๆค่ะ 5555555555555555555555555 โอ๊ยยยยยย มันน่าให้ผู้หญิงคนนั้นมาเจอคุณขวัญนะคะ โดนตบคอนหรีตหลุดแน่เลย แต่แบบนี้แล้วจะยังไงต่อคะเนี่ย เขาคงไม่ยอมหยุดง่ายๆด้วย เฮ้อออ คุณอาทิตย์เข้มแข็งไว้นะคะ ยังไงตรงนี้ก็มีคุณขวัญอยู่กลับไปก็จะมีใครอีกคนรออยู่เหมือนกัน... ส่วนพี่ตะวัน... ยอมรับว่ายังหมั่นไส้นะคะ แต่ดูเหมือนแกโดนตัดออกจากวงจรแล้วมั้งคะ ขอให้โชคดีนะคะ สักวันพี่คงได้เจอกับคนที่พี่รัก และรักพี่ แต่การมีพี่ตะวันนี่คือเรื่องดีเหมือนกันนะคะ มันเหมือนการเปรียบเทียบโดยไม่ได้ตั้งใจอ่ะค่ะ คนหนึ่งรู้จักกันมานานก็จริงแต่คุณอาทิตย์ขีดเส้นไว้ชัดเจนและไม่มีทางลบเส้นนี้ออก กับอีกคนที่รู้จักไม่นานเท่าแต่คุณอาทิตย์ต้องตั้งกำแพงแทนการขีดเส้นเลยอ่ะ ดูก็รู้ว่าใครทำให้หวั่นไหวได้มากกว่า เฮ้อออ แต่คราวนี้ก็งานยากแล้วค่ะคุณภัน เราก็นึกภาพไม่ออกนะคะตอนนี้ว่าคุณภันจะเปิดใจคุณอาทิตย์ยังไง ทั้งที่เหมือนได้เข้าใกล้อีกนิดแต่จริงๆมันยังไกลมากอยู่ดี เราภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ เฮ้อออ

ปล. เราเจอคำผิดคำนึงนะคะ

ความเหยียบเย็น  >> เยียบเย็น

รอตอนต่อไปนะคะะะะ  :mew2:

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อ้ากกกก
ยัยนั่นคือใคร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
20th Entry : ดาบสองคม






เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงราวกับขับกล่อมผู้คน แสงไฟสลัวและห่อหุ้มด้วยไอเย็นพอประมาณช่วยให้บรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อนและดื่มด่ำไปกับช่วงเวลายามค่ำคืน ถึงกระนั้นชายหนุ่มสองคนซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์คงจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับความพิเศษนี้สักเท่าไร เพราะหลังจากเกรียงไกรทิ้งคำถามไว้ว่า ‘ไหนลองเล่ามาสิ’ ก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสองคน

“อืม... จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ”

ภันวัฒน์รับเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์ก่อนตอบคำถาม เพราะอยากรอให้ร่างกายผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและตึงเครียดจากการทำงานมาตลอดทั้งวันเสียหน่อย แต่ทันทีที่มาถึงและหย่อนก้นลงนั่ง เพื่อนก็ยิงคำถามใส่

“ก็เริ่มจากจุดเริ่มต้นไง มึงบอกว่าเขาเป็นบล็อกเกอร์ที่รีวิวขนมของมึงไม่ใช่เหรอ แล้วยังไง ทำไมอยู่ๆ ถึงมาถามหาเขา”

“ก็ไม่มีอะไรมาก ไม่เห็นจะน่าถามเลยนี่หว่า”

คนถูกถามไหวไหล่ตอบราวกับเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ เพราะคิดว่าเพื่อนน่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก จากนั้นกรอกเครื่องดื่มเข้าปาก วันนี้เขาสั่งม็อกเทล เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ เพราะว่ามีแผนการสำคัญหลังจากนี้ ดังนั้นจะเข้าโหมดผ่อนคลายแบบสุดตัวไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“อย่าบอกนะว่าแกปิ๊งเขาน่ะ”

“ก็อย่างที่ว่า”

“เฮ้ย”

เกรียงไกรถึงกับร้องเสียงหลงหลังจากได้ยิน แต่ภันวัฒน์ยังมีท่าทีนิ่งเฉยเสมือนมันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดตรงไหน เขาจิบเครื่องดื่มสีสวยที่ไม่ค่อยเข้ากับภาพลักษณ์เสียเท่าไรอย่างสบายอารมณ์

“เอาจริงดิ”

“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยวะ”

ภันวัฒน์เกือบจะหลุดขำกับการแสดงออกของเพื่อนที่โจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน

“ก็สเปกมึงไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า แล้วเป็นไงมาไงวะเนี่ย แถมยังเงียบกริบ ไม่ปล่อยให้กูระแคะระคายสักนิด”

“กูจำเป็นต้องบอกมึงทุกเรื่องไหมเนี่ย” ผู้จัดการหนุ่มพูดพลางพ่นหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยังเล่าให้ฟัง “ตอนแรกๆ ก็ไม่ใช่สเปกอย่างที่มึงว่านั่นแหละ แต่พอได้คุย ได้รู้จักมากขึ้น กูรู้สึกว่าเขาน่ารัก”

พอได้ยินคำว่า ‘น่ารัก’ เกรียงไกรก็ขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบเป็นปม เพราะนึกไม่ออกว่าผู้ชายหน้าตี๋ ตัวสูงชะลูดเกินร้อยเจ็ดสิบห้าแบบนั้นจะน่ารักได้อย่างไร ไม่ว่าจะเรียกความทรงจำครั้งที่เคยเจอกันออกมาสักเท่าไร ก็ไม่เห็นเค้าความน่ารักของอีกฝ่ายอยู่ดี ยังไม่นับรวมถึงความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าตอนที่ได้เจอกัน เพราะดันเป็นไม้กันหมาให้ว่าที่แฟนของเขาอีก

“น่ารักตรงไหนวะ กูนึกภาพไม่ออกเลย”

“มึงไม่ต้องนึกภาพออกหรอก ความน่ารักของเขา กูเห็นคนเดียวก็พอแล้ว”

“ถุย”

เสียงขากน้ำลายด้วยความหมั่นไส้อย่างเสียมารยาทต่อสถานที่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนฟังได้ เกรียงไกรทำหน้าหน่ายก่อนจะถามต่อ

“ว่าแต่ถึงขั้นไหนแล้ววะ อย่าบอกนะว่ามึงไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ เขาถึงได้หนีไปเอาท์ติ้งกับบริษัทโดยไม่บอกมึง”

“ไม่ถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ”

“เขาไม่เอามึง”

ยังเล่าไม่ทันจบ เพื่อนซี้ก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสมเพชอย่างสะใจ ภันวัฒน์จึงถลึงตาใส่ชั่วครู่

“เขามีอดีตฝังใจอะไรสักอย่าง ก็เลยไม่อยากมีความรักอีก แต่กูก็สังเกตได้ว่าเขาหวั่นไหวกับกูเหมือนกัน”

“มึงคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าวะ”

ถึงจะรู้แก่ใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก ภันวัฒน์มีคุณสมบัติเพียบพร้อมพอที่จะให้ใครต่อใครมาตกหลุมรักได้ แต่ก็อดจะกล่าวอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ เพราะเห็นว่าความรักครั้งนี้ของเพื่อนมีอุปสรรค จะเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ได้กระมัง ที่อีกฝ่ายไม่โอเคเซย์เยสเมื่อภันวัฒน์ออกปากขอคบ

“มึงนี่นา เดี๋ยวกูก็แช่งให้คุณขวัญอะไรนั่นเมินมึงหรอก”

“โนๆ อย่ามาพาลกูสิ กูก็แค่เห็นแปลกดี ให้กูได้แซวมึงมั่งเหอะ แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

“ก็ตะล่อมต่อไป จนกว่าเขาจะใจอ่อนนั่นแหละ กูเชื่อว่าสักวันมันต้องสำเร็จ แต่ช่วงนี้กูก็ห่วงๆ เขาว่ะ ได้ข่าวว่าโดนแฟนเก่ารังควาน ก่อนหน้านี้ก็เครียดจนสลบไปต่อหน้าต่อตากูเลย เห็นแล้วใจกูงี้แทบร่วงไปกองกับพื้น”

“เออ มึงเป็นประเภทห่วงคนที่มึงรู้สึกดีด้วยไปทั่วนั่นแหละ อย่างฐานนั่นไง”

เกรียงไกรคล้อยตามอย่างเห็นด้วย เพราะรู้จักนิสัยของเพื่อนรักดี ตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว

“หรือมึงคิดว่าสถานการณ์อย่างฐาน จะไม่ให้กูเป็นห่วงได้”

โดนเพื่อนตอกกลับมาเช่นนั้น หนุ่มเจ้าของธุรกิจก็ได้แต่ยักไหล่ ไร้การโต้ตอบทางเสียง เพราะเรื่องนั้นเขาก็รู้ดีเช่นกัน

“แล้วนี่มึงจะไปหาเขาหรือเปล่า เพื่อนคุณขวัญน่ะ กลับคืนนี้ใช่ไหมล่ะ”

“เขาชื่อฟรีเว้ย จำไว้ด้วย ว่าที่แฟนเพื่อนมึงอะ”

“อู้หู ออกตัวเร็วจริงนะ”

สีหน้ายิ้มแซวของเพื่อนทำให้ภันวัฒน์รู้สึกหมั่นไส้กลายๆ จึงสวนกลับไปบ้าง

“หรือว่ามึงจะไม่ไปหาคุณขวัญของมึงล่ะ”

“ไปสิครับ จะรออะไร”

เหมือนติดเบรกได้ เกรียงไกรเปลี่ยนอารมณ์สนุกขำขันเป็นหน้าระรื่นด้วยความปรีดาที่จะได้เจอคนที่ตนหมายปองทันควัน

“งั้นก็แยกย้าย มึงไปหาคนของมึง กูไปหาคนของกู เค?”

สิ้นเสียงนั้น กายกำยำก็ผุดขึ้นจากเก้าอี้ทรงสูง วางแก้วที่อยู่ในมือพร้อมกับธนบัตรมูลค่าเกินกว่าค่าเครื่องดื่ม เตรียมตัวจะก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้แม้แต่วินาที พลอยให้คนที่เห็นเลิ่กลั่กลุกขึ้นเช่นเดียวกัน เสียงร้องดังขึ้นตามหลังคนที่เดินนำไปก่อนทั้งที่มือของเจ้าตัวยังคงง่วนกับการหาค่าเครื่องดื่มในกระเป๋าเงิน

“เฮ้ย เดี๋ยว มึงรีบไปเปล่า อีกตั้งเกือบสามชั่วโมง”





แม้จะรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา และกว่าคนที่ตนรอคอยจะกลับมาถึงบ้านก็คงต้องเดินทางอีกประมาณยี่สิบนาทีเป็นอย่างน้อย ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ห้ามใจของตนเองที่อยากจะมารอที่หน้าบ้านของอาทิตย์อัสดงเร็วๆ ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นร่างสูงจึงมาสถานที่นัดพบเอาฝ่ายเดียวตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มเสียด้วยซ้ำ

เขาออกมายืนรออยู่หน้าบ้านที่ยังคงมีบรรยากาศเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันที่ใจซึ่งกระวนกระวายด้วยความเป็นห่วงแปรเปลี่ยนเป็นความคะนึงหา และเฝ้ารอการมาถึงของอีกคนด้วยความใจเย็น มองถนนที่เปลี่ยวเหงาเพราะไม่มีรถราสัญจร มองท้องฟ้าสีครึ้มที่อ้างว้าง พลางนั่งทับบนกระโปรงรถบ้าง เอนพิงตัวรถบ้างฆ่าเวลาไปเรื่อย

กระทั่งเสียงเครื่องยนต์ดังมาใกล้ พร้อมกับแสงไฟสีนวลสว่างสาดมาจากต้นทาง สายตาที่ทอดยาวไปอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายก็เบนกลับมาสบยังต้นกำเนิด รถยนต์สีขาวหยุดลงตรงหน้า เพราะไม่สามารถเคลื่อนสู่ตัวบ้านที่ถูกเขาจอดรถขวางกั้นเอาไว้ได้

สองขายาวก้าวตรงไปใกล้ประตูรถ ทอดสายตาผ่านกระจกหน้าบานกว้างซึ่งถูกปิดด้วยฟิล์มเข้มกันแสง ไม่แน่ใจว่ากาลเวลายาวนานแค่ไหนที่เขาสบตากับคนที่อยู่ภายใน แล้วฝ่ายนั้นถึงยอมเปิดประตูฝั่งคนขับออกมาเผชิญหน้ากัน แต่เพียงเห็นดังนั้น เขากลับรู้สึกว่าเวลาแห่งการรอคอยที่ผ่านมานั้นช่างสั้นเหลือเกิน

คุ้มค่ากับการรอคอย...

เขาได้พบกับคนที่อยากเจอมากที่สุดสักที

อาทิตย์อัสดงมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความสับสน ความว้าวุ่นในใจก่อกำเนิด เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พูดประโยคไหนออกไปดี คล้ายว่าเสียงที่เคยมีอยู่อันตรธานไปจนหมดสิ้น จึงได้แต่สบกับดวงตาคมเข้มที่เป็นประกายวาววับซึ่งสะท้อนภาพเขาอยู่บนนั้น

“ยินดีต้อนรับกลับครับ”

ความเงียบครองตัวอยู่นาน กว่าเสียงแรกจะดังขึ้นจากปากของร่างสูง ภันวัฒน์ฉุดมุมปากขึ้นเล็กน้อย ระบายยิ้มอ่อนโยนส่งให้

อาทิตย์อัสดงรู้สึกหัวใจกระตุกในเสี้ยววินาทีนั้น หัวสมองเบลอราวกับถูกทุบด้วยหมอนที่อ่อนนุ่ม ขนนกที่อยู่ในภายปลิวว่อนทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่ปัจจุบันจะมีคนใช้หมอนขนนกขนเป็ดอยู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเช่นนั้น

“ผม...ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ”

อาจเพราะเห็นว่าร่างโปร่งได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่มีเสียงใดหลุดจากปาก ภันวัฒน์จึงเอ่ย และไม่ทันที่ผู้ถูกขออนุญาตจะเปล่งเสียงออกมา ทั้งร่างก็ถูกร่างสูงใหญ่กว่ารวบเข้าไปกอดทั้งตัวแล้ว

อดีตบล็อกเกอร์ได้แต่ตัวแข็งทื่อ ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดที่ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ แม้ในใจจะคิดว่าควรผลักอีกฝ่ายออกไปเสีย ไม่สมควรที่เขาจะปล่อยให้ภันวัฒน์ทำเช่นนี้ ทว่าเรี่ยวแรงที่สมควรมีกลับไม่เหลืออยู่

ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเพราะความตกใจที่ถูกรั้งตัวเข้าไปกอดทำท่าราวกับจะปิดลงเสียให้ได้เพื่อซับไออุ่นนี้ ในสมองหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ที่เพื่อนสาวมาพูดคุยด้วย



‘มึงกับเพื่อนคุณจอมที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่นี่มีอะไรกันหรือเปล่าวะ’

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ พอมีเวลาว่างให้ผ่อนคลายก่อนต้องขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ หนึ่งฤทัยก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อาทิตย์อัสดงหันขวับกลับไปทางคนที่อยู่ด้านข้างอย่างลืมตัว ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก็คงสายไปเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ตอบได้จึงมีเพียง...

‘ก็...รู้จักกันนิดหน่อย’

‘แน่ใจเหรอวะ’

ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าหญิงสาวจะเชื่อในคำตอบ เธอหรี่ตามองเพื่อนรักราวกับจับผิดเสียเต็มประดาอย่างไม่ปิดบัง พลอยให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างน่าพิศวง อึกอักเหมือนน้ำกำลังท่วมคอและใกล้จะล้นออกมาทางปาก

‘มึงถามทำไม’

‘มึงตอบมาก่อนสิ’

‘กูก็ตอบไปแล้วไงว่ารู้จักกัน’

แม้จะย้ำคำตอบเดิมเพื่อให้เพื่อนเชื่อถือ แต่ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะใบหน้าของหญิงสาวยังคงไม่เปลี่ยนไปสักนิด และมันก็ทำให้ไพล่คิดไปว่าหรืออีกฝ่ายจะเล่าเรื่องราวอะไรของเขาให้เพื่อนฟัง และทางฝ่ายนั้นก็มาเล่าต่ออีกที

อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ เพราะเขาไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าชายชื่อภันวัฒน์จะทำอะไรบ้าง

‘อ๋อใช่ นั่นสินะ มึงรู้จักเขาตั้งแต่ก่อนที่จะเจอกันที่ร้านกาแฟวันนั้นอีก’

คล้ายว่าหนึ่งฤทัยจะนึกอะไรออก ถึงได้กล่าวอ้างขึ้นมา และมันก็กดดันร่างโปร่งให้ยิ่งจนมุมากขึ้นไปอีก

‘เออ ก็ได้ กูเล่าก็ได้ คือ...’ เพราะดูเหมือนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป อาทิตย์อัสดงจึงยอมตัดใจเล่าความจริง แต่ก็เพียงส่วนเริ่มต้นที่สามารถเล่าได้เท่านั้น ‘กูเขียนรีวิวขนมของร้านเขา แล้วเขาไม่พอใจ ก็เลยได้รู้จักกัน เท่านั้นแหละ’

‘แล้วหลังจากนั้นล่ะ มีความสัมพันธ์กันยังไง’

แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะยังไม่พอใจในคำตอบอยู่ดี เธอขยับเท้าเข้ามาใกล้ชายหนุ่มเพื่อสร้างแรงกดดันให้มากกว่าเก่า จนอาทิตย์อัสดงเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา

มันยากที่จะพูดว่า...เขากำลังถูกภันวัฒน์จีบอยู่

‘เขาชอบมึงเหรอ’

ราวกับว่าจะให้เพื่อนรอนานเกินไปแล้ว เจ้าตัวจึงโพล่งถามขึ้นมาแบบขวานผ่าซากเสียเลย และมันก็เป็นดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของคนถูกถาม นัยน์ตาเรียวเลิ่กลั่กกลิ้งกลอกไปมาอย่างน่าสงสัย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันสลับกับคลายออกคล้ายคนไม่รู้จะพูดแก้ตัวอย่างไร

‘กะอีแค่เรื่องแค่นี้ ทำไมบอกกูไม่ได้วะ ต้องปิดบังด้วยหรือไง’

เสียงพ่นลมหายใจดังมาจากจมูกของร่างเพรียวระหง เธอทำประหนึ่งมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียเหลือเกิน ขณะที่สำหรับอาทิตย์อัสดงแล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่จนเขาสิ้นไร้ทางออกยามนึกถึง

‘หรือมึงคิดว่ากูจะแซวมึง’

‘เปล่า กูไม่ได้คิดแบบนั้น กูแค่... ไม่รู้จะพูดยังไงเฉยๆ’

‘เหรอ’ คำตอบรับนั้นเสมือนไม่ยี่หระในคำตอบที่ได้ฟังแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำเธอยังพูดจี้ใจดำ ‘มึงทำแบบนี้ยิ่งส่อพิรุธว่ามันไม่ใช่แค่นั้น’

‘เปล่า ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรอกเว้ย’

ไร้เสียงตอบรับจากหญิงสาว เธอจ้องหน้าเพื่อนรักราวกับจะดูความผิดปกติ ยิ่งทำให้คนถูกจ้องจับผิดรู้สึกร้อนรนจนไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ควรทิ้งสายตาไว้ที่ไหน หรือว่าใช้คำพูดใดให้ออกจากหัวข้อสนทนานี้ได้

‘แต่กูว่าฝั่งนั้นมีเยอะนะ’

อยู่ๆ เสียงที่เคยไล่เบี้ยเพื่อให้สารภาพก็แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นน้ำเสียงเรียบนิ่งจนชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจ จากที่ลุกลี้ลุกลนอยู่เมื่อครู่ก็กลายเป็นสงบลงด้วยเช่นกัน อาทิตย์อัสดงจับจ้องไปที่หน้าเพื่อนสาวเป็นครั้งแรกนับจากเริ่มต้นการสนทนา คล้ายกับว่า...อยากรู้

‘พูดอะไรของมึง’

แต่ก็แสร้งทำเป็นพูดเหมือนไม่ได้มีความต้องการนั้นอยู่ในใจ ทว่าหนึ่งฤทัยก็จับกระแสอ่อนๆ ที่แฝงอยู่ในนั้นได้อยู่ดี

เพื่อนของเธอสนใจ...

‘ผู้ชายคนนั้นน่ะ เพื่อนคุณจอม...เขาเป็นห่วงมึงนะ’

‘พะ...พูดอะไรของมึง’

‘เขาให้คุณจอมโทรมาถามกูว่า กูรู้หรือเปล่าว่ามึงไปไหน’

น้ำเสียงและแววตาที่ส่งออกมาจากเพื่อนรักสะท้อนถึงความจริงจัง ทำให้หัวใจที่เต้นอยู่ในอกด้วยความหวาดระแวงขยับจังหวะถี่ขึ้นด้วยความรู้สึกแปลดพิสดาร จาระไนออกมาไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน

‘มึงรู้ไหมว่าเขาโทรมาตอนกี่โมง’

‘กะ กูจะไปรู้ได้ยังไง กูไม่ได้เป็นคนรับโทรศัพท์นี่หว่า’

สิ่งที่เปล่งออกมาสั่นเครือผิดจังหวะอย่างไม่อาจห้าม แม้กระนั้นร่างโปร่งก็ยังพยายามจะใช้คำพูดราวกับไม่แยแสให้มากที่สุด

‘ตอนตีสาม’

เพียงได้ฟัง ก้อนเนื้อในอกก็ราวกับกลายสภาพเป็นเหล็ก มันสั่นสะท้านดั่งถูกบางอย่างตีเบาๆ แต่กลับก้องสะเทือนเป็นระลอกซ้อนอยู่ภายใน

‘ผู้ชายคนนั้นน่ะ... เขาติดต่อมึงไม่ได้ ถึงได้อยากรู้ว่ามึงอยู่ที่ไหนตอนตีสาม’

ภาพใบหน้าของคนที่ถูกกล่าวถึงผุดขึ้นมาทีละน้อย จากสีอ่อนจางค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพที่ชัดเจน

‘ทั้งที่รอตอนเช้าค่อยถามก็ได้ แต่เขากลับร้อนใจให้เพื่อนโทรมาถามคนที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่เลยสักนิดตอนกลางดึกแบบนั้น มันไม่น่าแปลกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...’

ยิ่งคำพูดของหนึ่งฤทัยแจกแจงชัดขึ้น ทั้งเสียงหัวใจและภาพลวงตาที่ปรากฏในมโนสำนึกก็ยิ่งแจ่มแจ้งจนไม่สามารถสลัดทิ้งได้

‘เขาเป็นห่วงมึงมากจนทนรอตอนเช้าไม่ไหว’

อาทิตย์อัสดงพร่ำบอกตนเองว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้ชายคนนั้นมักทำอะไรเอาแต่ใจโดยไร้ความเกรงใจอยู่แล้ว บุกรุกบ้านเขาตอนตีสองก็เคยมาแล้ว นับประสาอะไรกับตีสาม

‘มึงบอกว่าเขาเป็นเจ้าของร้านขนมที่มึงเคยรีวิวใช่ไหม กูคิดว่า...บางทีนะ เขาอาจจะรู้เรื่องบล็อกของมึงแล้วเกิดเป็นห่วงมึงขึ้นมาก็ได้’

ใช่... ก็แค่ช้ากว่านั้นไปหนึ่งชั่วโมง

ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ

ไม่มีเลย...

ทว่าทั้งที่พยายามบอกตนเองเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันกลับไม่สามารถกลบทับร่องรอยคำพูดของเพื่อนสนิทได้เลยแม้แต่น้อย





ร่างของอาทิตย์อัสดงยังคงแข็งค้างอยู่ในอ้อมกอดของภันวัฒน์เช่นนั้น โดยไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขาไม่สามารถยกแขนขึ้นมาเพื่อผลักไสอีกฝ่ายได้จริงๆ ยามคิดว่าอ้อมแขนเป็นความห่วงใยที่ถูกถักทอขึ้น

หากภันวัฒน์รู้เรื่องในบล็อกเขาของจริง เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกเช่นนั้น

แม้จะค้านตัวเองอีกสักพันครั้งว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เป็นแค่การหลงตัวเอง เพราะอีกฝ่ายบอกว่าสนใจในตัวเขา ทว่าคำตอบสุดท้ายที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

ความอบอุ่นที่แผ่ซึมออกมาจากอีกฝ่าย อุณหภูมิร่างกายที่สัมผัสได้นั้นราวกับจะห่อคลุมร่างของเขาเอาไว้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งต่างๆ ที่กดทับอยู่มลายหายไป จนอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันช่างลำบากเหลือเกินที่จะปฏิเสธ

ทั้งที่ใจอยากขับไล่ รู้ว่าต้องผละตัวถอยห่าง เพราะไม่อยากเพลี่ยงพล้ำไปมากกว่านี้

แต่ก็ทำใจทำเช่นนั้นไม่ได้

จวบจนกระทั่งร่างสูงเป็นฝ่ายค่อยๆ คลายวงแขนเสียเอง ร่างโปร่งจึงได้พบกับอิสรภาพอีกครั้ง พันธนการหลุดร่อนออกไปแล้ว แต่ช่างน่าแปลกที่มันกลับทำให้รู้ว่าร่างกายหนักขึ้นมาจนยากจะขยับ

รอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับอยู่บนดวงหน้าคมคร้าม กลับยิ่งคล้ายศิลาแผ่นยักษ์ที่กดลงบนบ่า

อาทิตย์อัสดงพยายามฝืนทนต่อความรู้สึกนั้น ใคร่ครวญว่าตนควรดึงคำพูดไหนออกมาป้องกันการบุกรุกของฝ่ายตรงข้ามซึ่งกำลังล้ำอาณาเขตที่หวงแหนเข้ามาเรื่อยๆ

“มาทำอะไรที่นี่ครับ”

นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาคิดได้ แต่ละม้ายว่าคนฟังคำถามจะล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะยกประโยคนี้ขึ้นมา ถึงตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมน้ำเสียงฉาดฉาน

“ผมคิดถึงคุณน่ะ”

ดุจคำพูดตอกฝาโลง กักขังไม่ให้อดีตบล็อกเกอร์หาทางหนีไปได้ อาทิตย์อัสดงก้มหน้าเงียบ มองปลายเท้าของตนเองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเสียงทุ้มใหญ่จะดังขึ้นอีกครา

“คุณ...นอนหลับสบายดีหรือเปล่าครับ”

ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะซักถามรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความใคร่รู้ก็เป็นได้ เพราะชอบถือวิสาสะทำอะไรโดยไม่สนใจความต้องการของเขาอยู่แล้ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

มือหยาบหนาแตะแก้มซีดเบาๆ ออกแรงเพียงนิดก็สามารถช้อนกรอบหน้าขาวตี๋ขึ้นมาประจันหน้ากันได้แล้ว แม้ว่าร่างโปร่งจะคิดว่าตนพยายามกดน้ำหนักไม่ให้เงยหน้าขึ้นไปสบตากันอย่างสุดความสามารถแล้วแท้ๆ แต่ภันวัฒน์กลับทำได้สำเร็จอย่างง่ายดาย ราวกับไม่ต้องออกแรงใดๆ เลย

หน่วยตาสองต่างสีประสานกันชั่วครู่หนึ่ง ก่อนลูกแก้วสีนิลจะกวาดไปทั่วหน้าของร่างที่เล็กกว่า จับจ้องใต้ดวงตาพร้อมกับไล้ปลายนิ้วโป้งของมือที่ทาบอยู่บนโครงหน้านั้นเบาๆ ตรงตำแหน่งที่บุ๋มลึก

“ผม...”

อยากพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ‘ผมหลับสบายดี’ แต่ไม่รู้เหตุใดเสียงที่ออกมากลับกลืนหายไปในความเงียบและความมืดยามค่ำคืนเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาคู่ที่สะท้อนภาพของตนเองอยู่

อาทิตย์อัสดงรับรู้ได้ถึงจังหวะหนักๆ ที่ไหวระรัวอยู่กลางอกจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออก เรี่ยวแรงหายไปเรื่อยๆ ราวกับใต้เท้ามีหลุมปรากฏขึ้นและสูบพลังกายของเขาไปจนหมดสิ้น

“ถ้าไม่เป็นอย่างที่พูด ก็อย่าพยายามโกหกผมเลยนะ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่ม ผิดกลับรูปร่างจนไม่น่าเชื่อว่าจะอบอุ่นและอ่อนโยนได้ขนาดนี้ จากที่เคยแตะอยู่ใต้ขอบตา นิ้วโป้งสากเลื่อนลงมายังกลีบปากแล้วแตะเบาๆ

หากให้อธิบาย ตอนนี้อาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับตนเองเป็นเนยแช่แข็งที่กำลังถูกไอความร้อนเป่าพัดจนค่อยๆ ละลายลง

อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ทีไร เขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย

รู้แน่อยู่ในใจว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ และอะไรไม่ควรทำ แต่ก็ล้มเหลวอยู่เสมอ

ยิ่งในเวลาที่สภาพจิตใจกำลังหลงทิศอยู่ในความมืดเช่นนี้ แสงสว่างที่ถูกส่องมาด้วยภันวัฒน์ก็ยิ่งชักนำให้เขาก้าวเดินตามไปด้วยไม่รู้ตัว

“ผม... ไม่เป็นอะไร”

ร่างโปร่งพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฝืนยกมือขึ้นมาดึงมือของอีกฝ่ายออก

สวิตช์ที่ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองถูกสับลง ความสว่างที่ส่องประกายเลือนรางอยู่ดับวูบอย่างฉับพลัน เขาตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง แต่กระนั้น...

...ยังดีเสียกว่าการหลงมัวเมาไปกับแสงไฟที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ที่ปลายทาง

ภันวัฒน์ไม่ได้บังคับมือของตนเองเพื่อยกขึ้นมาสานต่อการกระทำเมื่อสักครู่ เขายิ้มบางๆ ราวกับอ่อนใจกับความใจแข็งของอีกฝ่าย ที่แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างที่กำลังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”

“ครับ”

สถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ควรจะเป็น บรรยากาศแปลกประหลาดที่ไม่สมควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำอันตรธานไป เหลือเพียงความเงียบของเวลาดึกสงัด กับไอเย็นเพียงน้อยนิดของลมหนาวที่ปะปนมากับอากาศช่วงใกล้สิ้นปี

ไม่มีความอบอุ่นที่อุปาทานไปเองหลงเหลืออยู่แล้ว

แต่ก็ดีแล้ว

อาทิตย์อัสดงย้ำกับตนเองเช่นนั้น

“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก คุณเองเถอะ ทำงานเยอะไม่ใช่เหรอครับ พักผ่อนน้อยจะเสียสุขภาพ”

ร่างโปร่งพูดราวกับว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทว่านั่นกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย

“เป็นห่วงผมเหรอครับ”

ชะงักกึกไปโดยพลันหลังจากได้ยินข้อกล่าวหาที่เข้าข้างตนเองของอีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงชักสีหน้าให้ตึงเล็กน้อย

“เปล่าหรอกครับ ผมพูดตามมารยาทเฉยๆ”

แต่ดูเหมือนว่าคำแก้ตัวนั้นจะไม่เข้าหูคนฟังเสียเท่าไร ภันวัฒน์เผยยิ้มทะเล้นตามแบบฉบับของตนเอง พลอยให้เจ้าของหน้าตี๋ต้องตรึงสีหน้าเดิมไว้ แล้วรีบตัดจบการสนทนา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ อยากพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้าด้วย”

ได้เห็นสีหน้าที่อีกฝ่ายเพียรปั้นให้ดูเย็นชา ปาติซิเย่หนุ่มก็ยิ้มอย่างขบขัน รู้สึกเอ็นดูในความพยายามนั้น พร้อมกับโล่งใจไปด้วยที่อย่างน้อยร่างโปร่งก็ยังสามารถโต้ตอบเขาได้อยู่ ไม่ได้อาการย่ำแย่อย่างเช่นก่อนหน้านี้

“ก็ได้ครับ อย่างน้อยผมก็ได้เห็นหน้าคุณแล้ว ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์”

รอยยิ้มยังไม่จางไป แต่กลับสร้างความรู้สึกหมั่นไส้ให้พอกพูนในใจของคนเห็นเสียมากกว่า อาทิตย์อัสดงจึงเดินผ่านร่างสมส่วนไปเปิดประตู ก่อนจะย้อนกลับมาขึ้นรถ

“ช่วยขยับรถให้ด้วยครับ”

ภันวัฒน์ขยับถอยห่างไปขึ้นรถของตนเองอีกครั้ง และเมื่อทำดังนั้น รถของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เคลื่อนเข้าไปภายใน อาทิตย์อัสดงดับเครื่องเมื่อสิ้นธุระกับพาหนะ ตามด้วยคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กมากระชับในมือ

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

เมื่อเดินกลับมายังประตูบ้านเพื่อทำการล็อกให้เรียบร้อย เสียงของอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้จัดการหนุ่มลดกระจกหน้าต่างลง เผยให้เห็นใบหน้าที่เคลือบด้วยรอยยิ้มกว้าง มือหนาโบกไปมาเบาๆ

ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี อดีตบล็อกเกอร์จึงสวนกลับไปเพียง ‘ขอบคุณครับ’ เพราะเกรงว่าหากพูดอะไรอย่างอื่นนอกจากนี้ อย่างเช่น เช่นกันครับ หรือขับรถดีๆ นะครับ อาจจะโดนคำพูดเข้าข้างตัวเองของอีกฝ่ายโจมตีก็เป็นได้

อาทิตย์อัสดงหันหลังกลับ เดินเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปอีก ไม่มองด้วยซ้ำว่ารถที่จอดอยู่หน้าบ้านเคลื่อนตัวออกไปหรือยัง จนกระทั่งขึ้นห้องนอน จัดการของในกระเป๋าเดินทาง รวมถึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมนอนเรียบร้อยจึงดับไฟ ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม

มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเป็นครั้งสุดท้าย แม้รู้ว่าไม่มีสิ่งสร้างความชุ่มชื้นให้หัวใจอีกแล้ว เมื่อเห็นเครื่องหมายสีแดงพร้อมตัวเลขบนแอปพลิเคชั่นสนทนาสีเขียวก็อดกดเข้าไปดูไม่ได้ นิ้วเรียวเลื่อนลงไปหาข้อความที่ยังไม่ได้เปิดซึ่งอยู่ด้านล่าง เผลอหลงลืมไปว่ามันเป็นข้อความของใคร

กระทั่งเจอต้นตอของสัญญาณเตือน... นิ้วมือก็นิ่งค้างอยู่เช่นนั้น

สายตาที่กำลังจับจ้องมันอยู่ก็เช่นเดียวกัน

ข้อความของคนเพียงคนเดียวที่เขาไม่เปิดอ่าน

สติกเกอร์อะไรสักอย่างที่ถูกส่งมา

เมื่อนึกถึงผู้เป็นเจ้าของมันก็ทำให้ย้อนระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนขึ้นมาอีก

อ้อมกอดนั่น

คำพูดนั้น...

จิตใจกำลังล่องลอยไปห้วงเวลาที่เพิ่งผ่านพ้น แต่แล้วกลับต้องสะดุ้งขึ้นมาครามครันเพราะสิ่งที่อยู่ในมือส่งเสียงร้องเบาๆ

ข้อความที่มองเห็นอยู่เมื่อครู่หายไปจากตำแหน่งเดิม และทันใดนั้นราวกับมีเสียงกระซิบพร่ำดังอยู่ในใจ

‘ตามหาสิ ตามหาสิ’

คล้ายกับว่าเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิตย์อัสดงเลื่อนนิ้วหัวแม่มือลงหลังจากตรึกตรองอยู่ราวห้านาทีว่าควรจะทำเช่นนั้นหรือไม่ และเขาก็พ่ายแพ้

จอภาพที่อยู่เบื้องหน้าเลื่อนลงมาจนมองเห็นข้อความของบุคคลที่เพิ่งส่งมาล่าสุด

มันเป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาเพียงครั้งเดียวและหยุดไป ไม่มีอะไรต่อจากนั้น ดั่งปรารถนาให้มองเห็นมันได้ครบถ้วนแม้ไม่ต้องเปิดอ่าน และไม่มีสิ่งใดมาลบล้างมันไปก่อนที่จะได้เห็น ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือเจตนาก็ตาม



‘ถ้าอยากฝันดี ก็ฝันถึงผมนะครับ’



หน่วยตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องอยู่ที่ตัวอักษรเหล่านั้นพักหนึ่ง ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ แต่แม้ภายนอกจะเป็นเช่นนั้น ภายในกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

ภาพใบหน้าของภันวัฒน์ที่มีรอยยิ้มสยายกว้างผุดขึ้นในสมอง ประหนึ่งเป็นภาพประกอบคำพูด ครั้นพยายามนึกเรื่องอื่นมาปิดทับ แต่ก็ไม่สามารถทำลายภาพนั้นไปได้ คล้ายว่าจะหลอกหลอนกันอย่างไรอย่างนั้น และมันก็เป็นดั่งแรงบีบคั้น ไล่ต้อนร่างโปร่งไปเรื่อยๆ

อาทิตย์อัสดงปล่อยโทรศัพท์ลงจากมือ ซุกหน้าเข้ากับหมอนอย่างแรงด้วยความรู้สึกไร้หนทางออก กำแพงหนาแข็งแกร่งที่เคยก่อล้อมตัวเองเอาไว้ เพียงหวังให้มันป้องกันคนบุกรุกเข้ามากำลังกลายเป็นดาบสองคม

มันคืนสนองเขาด้วยการกักขังไม่ให้หนีออกไปไหนได้








---------------------
คุณอาทิตย์ดูท่าจะแย่ซะแล้ว

ตอนหน้าจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้น

Undel2Sky



ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เฮ้ออออออออออออ  :ling2: เราไม่รู้ว่าเราควรรู้สึกยังไงแล้วค่ะ คือเราเข้าใจคุณอาทิตย์นะคะ รู้ด้วยแหละว่าถ้าเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไม่จบคุณอาทิตย์ก็จะไม่มีวันเปิดรับใครเข้ามาได้ แต่จะให้คุณอาทิตย์ไปคุยกับเธอเราว่าก็ยากอีกอ่ะ คุณอาทิตย์ไม่เข้แข็งพอที่จะทำแบบนั้นหรือไม่ก็อดีตนั่นคงหนักหนาจริงๆ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกสงสารคุณภันนะคะ ทำไมไม่รู้ เหมือนกับเรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่คุณภันควรฝ่าฟันให้ได้ถึงจะได้หัวใจคุณอาทิตย์มา แต่เราก็ตงิดนะคะ คุณภันเป็นห่วงคนที่รู้จักตลอด ฐานทัพก็เหมือนกัน แต่มันจะดีเหรอคะ คือเราเข้าใจนะคะ คือมันปล่อยไว้ไม่ได้ก็ต้องช่วยแหละ แต่ถ้าคุณภันจะรักคุณอาทิตย์จริงๆก็เลิกเถอะค่ะ เราว่าคุณอาทิตย์รับไม่ไหวหรอกค่ะที่จะให้คุณภันยังใจดีไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนแรกอ่ะ เราหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแหละมั้ง  :mew4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หวั่นไหวจนกำแพงพริ้วแล้วฟรี

ฮักก็ช่างขยันเจาะซะเหลือเกิน

ตอนนี้อ่านแล้วอุ่น ๆ เขิน ๆ อิอิ

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
ฟรีดูหม่นตลอดเลย
สงสารจัง

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
21st Entry : จับได้ไล่ทัน






ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะกระจกดังขึ้นเบาๆ เรียกให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าเงยขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวขนมอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา ภันวัฒน์ก็ระบายยิ้มเล็กน้อย ล้างมือเพียงชั่วครู่ก่อนจะตรงไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายที่ถือถาดอยู่

“ขอบคุณค่ะ”

พร่างฟ้าส่งยิ้มพลางก้าวเข้ามาภายใน แล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่ห่างออกไปเพื่อวางถาดขนม จากนั้นค่อยหันมาทักทายพี่ชายที่มุ่งหน้ากลับไปยังงานที่ยังติดพันอยู่

“ทำอะไรอยู่คะที่รัก”

“ทำมาการองครับ จะทำด้วยกันไหม”

ภันวัฒน์ตอบกลับมาโดยที่หน้ายังคงก้มอยู่กับแป้งที่กำลังผสมอยู่ ส่วนพร่างฟ้าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สตูลบาร์อย่างคุ้นเคย มือบางหยิบช้อนขึ้นตัดทาร์ตผลไม้ส่งเข้าปาก

“ไม่เอาหรอก มาการองทำยาก เกิดพร่างช่วยทำแล้วแป้งไม่เซตตัวขึ้นมาจะเสียของเปล่าๆ ว่าแต่ปกติพี่ภันไม่ได้ทำมาการองขายไม่ใช่เหรอคะ”

เป็นอย่างที่ผู้เป็นน้องสาวว่า มาการองเป็นขนมที่นานๆ ครั้งภันวัฒน์จะทำเสียที ด้วยเพราะต้องใช้เวลาและความระมัดระวังในการทำมากกว่าขนมชนิดอื่นๆ เขาจึงเลี่ยงที่จะทำหากไม่จำเป็น

“พี่จะทำให้คนพิเศษน่ะ”

ได้ยินคำตอบเช่นนั้น คนที่นั่งใจเย็นอยู่เมื่อครู่ก็หน้าตึงขึ้นอย่างโดยพลัน และเหมือนภันวัฒน์จะรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวต้องมีท่าทีเช่นนั้นแน่ จึงขยายความประโยคเมื่อครู่ต่อ

“พอดีว่าเขากลับมาอยู่บ้านหลังจากไม่ได้เจอกันนาน แต่ก็ไม่รู้นะว่าเขาจะกินหรือเปล่า เพราะเห็นกินแต่ผลไม้กับพวกแคลอรี่ต่ำอยู่ตลอด”

หน้าที่ตึงอยู่เมื่อครู่คลายออกอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานอย่างพึงพอใจหลังจากตีความได้ว่า ‘คนพิเศษ’ ที่เอ่ยถึงเป็นใคร เสียงใสตอบกลับ

“พร่างก็กินขนมทุกอย่างที่พี่ภันทำนะ”

“แต่พี่เห็นพร่างกินแค่ทาร์ตผลไม้กับน้ำส้ม”

ไม่เพียงแค่ใช้คำพูด แต่หน่วยตาจากใบหน้าคมคร้ามที่ก้มอยู่ยังปรายมองไปสู่ตำแหน่งของสิ่งที่กล่าวถึง คนที่เหมือนถูกแขวะกลายๆ จึงทำหน้ายู่ ปากยื่นใส่ราวกับเด็ก

“ก็ผู้หญิงอายุใกล้เบญจเพสเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของความอ้วนนี่นา”

คำแก้ตัวของน้องสาวทำให้ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ และกลับมาจดจ่ออยู่กับการตีส่วนผสมให้เข้ากับอีกครั้ง

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจนถึงปีใหม่ พร่างจะเข้าออฟฟิศไปช่วยงานพี่ภันนะ”

ภันวัฒน์ไม่รู้สึกตกใจต่อคำพูดนั้น เพราะคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว พร่างฟ้าติดเขามาก ดังนั้นหากมีเวลาเจ้าตัวต้องพยายามอยู่กับเขาให้มากที่สุด เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆ พรรณีน้อยใจด้วยซ้ำที่ลูกสาวติดพี่ชายซึ่งมีสายเลือดร่วมกันเพียงเสี้ยวเดียวมากกว่าผู้เป็นแม่แท้ๆ

“ช่วยงานนะ ไม่ใช่ช่วยยุ่ง”

“พร่างรู้แล้วล่ะน่า พร่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ อีกปีเดียวก็เรียนจบปริญญาโทแล้ว เผลอๆ จะเก่งกว่าพี่ภันด้วย”

ชายหนุ่มอมยิ้มกับตนเองหลังได้ยินวาจาวางโตของน้องสาว หากให้นึกภาพตอนนี้ เจ้าตัวคงกำลังเชิดหน้าพูดจนจมูกยื่นยาวออกมาเหมือนพิน็อคคิโอแน่

“พร่างเก่งกว่าพี่ก็ดีแล้ว จะได้รับช่วงต่อจากพ่อ”

“แต่พ่ออยากให้พี่ภันรับตำแหน่งมากกว่านะ”

“แต่พี่ก็อยากให้พร่างรับมากกว่า จะเชื่อพ่อเราหรือเชื่อพี่ล่ะ”

ภันวัฒน์มั่นใจพอตัวว่าพร่างฟ้าเชื่อฟังเขามากกว่าพ่อของเจ้าตัวอยู่แล้ว จึงมักตะล่อมน้องสาวเช่นนี้เสมอ ซึ่งมันก็ทำให้พร่างฟ้าพูดไม่ออก เธอทำปากยื่นอีกครั้งและตักทาร์ตเข้าปาก

“ไว้อีกสามวันพี่จะเอามาการองไปให้ที่บ้านแล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนาเดิมจบลงแล้ว ร่างสูงจึงเปลี่ยนเข้าสู่เรื่องใหม่เพื่อทำลายความเงียบลง

“ก็ได้ค่ะ พี่ภันจะอยู่ถึงดึกเลยหรือเปล่า”

น้ำส้มไหลผ่านลำคอของหญิงสาวหลังจากทาร์ตที่อยู่ในถาดหมดลงแล้ว

“คงอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพี่ต้องทำบัญชีแล้วก็ขนมอื่นๆ เตรียมเอาไว้ขายอีก พร่างไม่ออกไปหาเพื่อนๆ บ้างเหรอ ตั้งแต่กลับมายังไม่ไปไหนเลยนี่นา เอาแต่ติดพี่”

ท้ายประโยคน้ำเสียงเจือหัวเราะคล้ายกับต้องการกระเซ้า พร่างฟ้าจึงทำหน้าปากยื่นใส่อีกครั้งแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม

“ก็ว่าจะไปนี่แหละ ไม่ต้องมาไล่นะ”

เสียงที่เอ่ยออกมาผสมความงอนง้ออย่างชัดแจ้ง จนรอยยิ้มของคนได้ยินปรากฏขึ้นมาใบหน้าสีเข้ม ภันวัฒน์เข้าใจเจตนาดีว่าน้องสาวเอ่ยประชดเสียมากกว่า เขาจึงแสร้งหยอกเพิ่ม

“งั้นก็ขับรถระวังๆ นะครับ แล้วก็อย่ากลับดึกมากล่ะ”

“พี่ภันอะ” คล้ายกับโดนไล่ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ความตั้งใจจริงของอีกฝ่ายก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดแผดเสียงใส่ไม่ได้ “งั้นไปก็ได้ค่ะ พร่างกลับแล้วนะ”

“ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

จากที่เอาแต่ก้มหน้าสนใจมองแต่ขนมราวกับว่ามันเป็นใบหน้าของคนที่หลงใหลนักหนาจนไม่อยากถอนสายตา ปาติซิเย่หนุ่มก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาจนได้ มือใหญ่ยกขึ้นมาโบกเบาๆ เป็นการส่งท้าย ก่อนร่างเพรียวระหงของหญิงสาวจะค่อยๆ ลับหายไปจากประตูกระจกพร้อมกับถาดที่เจ้าตัวถือขึ้นมาด้วย

จากนั้นร่างสูงก็กลับเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง เตรียมขนมจำนวนมากและหลากหลายประเภทจนกระทั่งเย็น จึงเริ่มงานตรวจสอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายจวบจนใกล้เวลาปิดร้านจึงค่อยดับไฟและลงไปชั้นล่าง

จุ๊บแจงและเป็นหนึ่งที่เข้างานกะบ่ายกำลังช่วยกันเก็บกวาดร้านอยู่พอดี ภันวัฒน์จึงเข้าไปช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามไปด้วย

“วันนี้พร่างถามอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ได้ถามค่ะ/ครับ”

ทั้งสองคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ถึงกระนั้นใบหน้าของภันวัฒน์ก็ปรากฏรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เห็นดังนั้นพนักงานทั้งคู่จึงลอบมองกันด้วยสายตาเลิ่กลั่กราวกับคนทำความผิด ยิ่งเรียกน้ำเสียงขำขันจากผู้เป็นนายได้

“ตอบพร้อมกันดีนะ”

ภันวัฒน์ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ ก่อนก้าวออกจากร้านไป แต่เพียงเท่านี้จุ๊บแจงและเป็นหนึ่งต่างก็รู้ว่าความแตกเสียแล้ว





มาการองหลากสีสันสวยงามถูกจัดลงกล่องสองกล่องอย่างพิถีพิถัน พร้อมกับใบหน้าของคนที่ดูแลมันถูกประดับรอยยิ้มยามนึกถึงผู้รับ ภันวัฒน์หิ้วกล่องทั้งคู่ลงจากชั้นบนมายังด้านล่าง แวะเคาน์เตอร์ซึ่งมีพนักงานประจำร้านคอยบริการลูกค้าอยู่

“พี่ไปก่อนนะ ฝากดูแลร้านด้วยล่ะ”

เป็นคำล่ำลาง่ายๆ ที่ผู้เป็นเจ้าของร้านมักบอกพนักงานทั้งคู่ เขาไม่ต้องห่วงเรื่องปิดร้าน เพราะทั้งเป็นจุ๊บแจงและเป็นหนึ่งต่างคุ้นเคยกับมันดีอยู่แล้ว อีกทั้งทั้งคู่ก็ไว้ใจได้เพราะไม่เคยก่อเรื่องเสียหายใดๆ มิหนำซ้ำยังดูออกจะจงรักภักดีต่อเขาเสียด้วยซ้ำ

คงเพราะการมอบสิ่งไหนให้ใคร ก็มักจะได้รับสิ่งเหล่านั้นตอบแทนจากคนคนนั้นกระมัง

ร่างสูงเลื่อนรถลงจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์แล้ว ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเป้าหมาย บอกตำแหน่งของตนเองและย้ำว่ากำลังรออยู่ ไม่นานร่างของเด็กสาวก็มาปรากฏที่หน้าประตู

“ทำไมพี่ภันไม่เข้าไปในบ้านล่ะ”
พราวดาวที่ถูกเรียกออกมารับกล่องมาการองกล่องหนึ่งเอาไว้ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พอดีพี่มีธุระอื่นต่อน่ะ ถ้าเข้าไปคงต้องอยู่ต่อยาวแน่ๆ”

น้องสาวคนเล็กเหมือนจะเข้าใจ ถึงพยักหน้าน้อยๆ ขณะผู้เป็นพี่ชายเหลือบมองเข้าไปในบ้านที่มีบริเวณกว้างขวาง

“แล้วนี่พร่างกลับมาหรือยัง”

“พี่พร่างยังไม่กลับค่ะ เห็นบอกว่ามีสังสรรค์กับเพื่อนต่อตามประสาสาวๆ”

ได้ยินเช่นนั้นภันวัฒน์ก็ผุดยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าคงเป็นเช่นนี้ เพราะพอช่วยงานเขาที่โรงแรมเสร็จ พร่างฟ้าก็รีบแจ้นออกไปจากห้องทำงาน มิหนำซ้ำยังบอกว่าต้องไปทำสวยก่อน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกตามติดไปยังสถานที่ต่อไป

“งั้นพี่ไปก่อนนะ แบ่งๆ กันกินด้วยล่ะ เหลือไว้พร่างด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวพี่จะโดนงอน”

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะนั้นบ่งบอกให้คนฟังรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เดือดร้อนแต่อย่างใดหากโดนงอน พราวดาวระบายยิ้มกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ที่เธอเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ตอนนั้นเธอยังเคยแข่งกับพี่สาวเพื่อแย่งพี่ชายใจดีคนนี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็พ่ายแพ้หลุดลุ่ย

“ค่า ขับรถดีๆ นะคะ”

“ครับ เป็นเด็กดีนะ”

มือหนาวางลงบนศีรษะเล็กแล้วขยี้เบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันหลังกลับขึ้นรถไปยังจุดหมายที่แท้จริง

ไปยังสถานที่ที่มี ‘คนพิเศษ’ ซึ่งเขาตั้งใจทำมาการองไปให้

อาจเรียกว่าเขาเป็นคนปลิ้นปล้อนก็ได้ที่หลอกพร่างฟ้าว่า ‘คนพิเศษ’ นั้นคือเธอ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะพูดความจริง หากบอกไปแล้วถูกน้องสาวกีดกันอีกเขาคงลำบาก เพราะแค่ลำพังถูกอาทิตย์อัสดงปฏิเสธและถอยห่างอย่างเต็มที่ เขาก็หัวหมุนแล้ว

รถยนต์สีเทาดำค่อยๆ หยุดลงก่อนจะถึงบ้านหลังสีขาวหลังคาสีเทาเล็กน้อย เพราะวันนี้รถยนต์สีขาวที่ควรจอดอยู่ด้านในกลับจอดขวางอยู่หน้าประตูบ้าน และเมื่อลงจากรถ ภันวัฒน์ก็ต้องยู่จมูกในทันที กลิ่นเน่าเหม็นของอะไรบางอย่างฟุ้งไปทั่วอากาศเบื้องหน้า ครั้นเดินมาถึงรถที่จอดขวางอยู่และมองไปยังตัวบ้าน นัยน์ตาคมก็ต้องเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ พิศวงงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่

เขาไม่ได้มาเพียงไม่กี่วัน บ้านขาวสะอาดที่เคยเห็น กลายสภาพเป็นสุสานขยะไปแล้วหรือ

มันอาจจะไม่ได้เยอะมากถึงขนาดนั้น แต่พื้นที่ที่ไม่เคยมีขยะสักชิ้นกลับมีขยะสดเกลื่อนกระจายอยู่ พร้อมด้วยผู้เป็นเจ้าของบ้านกำลังเก็บกวาดมันอย่างแข็งขัน ดูจากสภาพเหงื่อโทรมกายนั้นแล้ว ก็คะเนได้ว่าคงทำมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแล้ว

“เล่นอะไรอยู่เหรอครับ”

ทันทีที่ขายาวย่างก้าวเข้ามาใกล้ประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงทุ้มก็เอ่ยถาม

คนที่กำลังใช้ที่โกยผงตักผักสดซึ่งดูจะเน่ามาหลายวันแล้วจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีแขกมาเยือนถึงหน้าบ้านเงยหน้าขึ้น ใบหน้านั้นเปียกไปด้วยเหงื่อไคล สีหน้าไม่สบอารมณ์ฉายชัด เสียงที่เปล่งเป็นคำตอบห้าวห้วนอย่างไม่พอใจ

“คุณเห็นผมสนุกอยู่เหรอครับ”

“โธ่ ผมล้อเล่นน่ะ เห็นว่าคุณอาจจะซีเรียสอยู่”

“คำพูดของคุณจะทำให้ผมยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมนะ”

แม้ว่าร่างโปร่งจะขยับปากตอบ แต่มือก็ยังไม่หยุด ภันวัฒน์จึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้ แต่ก็ต้องชะงักเพราะโดนอีกฝ่ายร้องบอกเสียงดัง

“อย่าเหยียบนะคุณ เดี๋ยวมันแตกแล้วไส้ทะลักยิ่งเละเทะไปกันใหญ่”

มะเขือเทศบิดเบี้ยวผิดรูปสีคล้ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าพอดี ภันวัฒน์จึงต้องรีบชักเท้าที่ยกค้างอยู่กลางอากาศกลับไปที่เดิม ก่อนจะย้ายร่างไปยังมุมด้านขวาของประตูรั้ว วางกล่องขนมที่ถือมาด้วยไว้บนเสา ถอดรองเท้าหนังและถุงเท้าออก จากนั้นถกขากางเกงขึ้นสูง พร้อมด้วยแขนเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่

“มาคุณ เดี๋ยวผมช่วย”

“ผมมีพี่โกยผงอันเดียว”

อาทิตย์อัสดงตอบพลางยกที่โกยผงในมือซึ่งบรรจุเศษขยะขึ้นมาเทใส่ถุงขยะขนาดใหญ่

“งั้นมีไม้กวาดทางมะพร้าวบ้างหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีเลยครับ ปกติผมใช้ไม้กวาดดอกหญ้ากวาดเอาน่ะ”

เมื่อไม่มีหนทางอื่นที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ภันวัฒน์จึงย่อตัวลงแล้วใช้มือเปล่าหยิบเศษซากสิ่งปฏิกูลมาโยนใส่ถุงขยะทีละชิ้นๆ

ภาพที่เห็นนั้นทำเอาร่างโปร่งถึงกับตาเหลือกโพรงด้วยความตกใจ

“เฮ้ยคุณ ทำไมใช้มือหยิบล่ะ”

“ก็ไม่มีอย่างอื่นนี่ครับ เดี๋ยวชิ้นใหญ่ๆ ผมจัดการเอง คุณโกยพวกชิ้นเล็กๆ ไปแล้วกัน”

“แต่มันสกปรกนะคุณ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของคุณเลยที่ต้องมาช่วย”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกวูบหวิวในใจชอบกลที่เห็นคนซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ มาช่วยเหลือกันแบบนี้โดยไม่คำนึงถึงว่ามันเป็นการเก็บขยะสกปรกเน่าเหม็น

“ไม่ใช่เรื่องของผมก็จริง แต่เป็นเรื่องของคุณใช่ไหมล่ะครับ เพราะแบบนั้นแหละ ผมถึงยิ่งต้องช่วย”

หากไม่ติดความหมายที่แฝงเร้นมากับประโยคนั้น ใครต่อใครที่ได้ยินคำพูดนี้อาจจะมองว่าอีกฝ่ายเป็นเทพบุตรเสียด้วยซ้ำ ร่างโปร่งก็เช่นเดียวกัน และเพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องแย้ง

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ แค่นี้กลิ่นก็คงติดตัวคุณแย่แล้ว ล้างมือแล้วกลับไปเถอะครับ”

“ผมอยากช่วยคุณนะ ถ้าผมไม่ช่วย แล้วเมื่อไรคุณจะทำเสร็จล่ะ ไหนจะต้องขัดล้างพื้น แล้วก็กำจัดกลิ่นอีก”

“แต่...”

“อย่าดื้อสิครับ”

ไม่ทันได้หาข้ออ้างอะไรมาหว่านล้อม เสียงทุ้มก็เปล่งออกมาอย่างเคร่งขรึม ราวกับจะดุกันอย่างไรอย่างนั้น อาทิตย์อัสดงจึงต้องเงียบเสียงลงไป ฟันคมขบเบาๆ ที่กลีบปาก ดั่งกำลังพยายามครุ่นคิดหาหนทางอื่นที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือของคนปรารถนาดี แต่แท้จริงแล้วในสมองกลับคิดสิ่งใดไม่ออกเลย

ท้ายที่สุดต่างคนจึงต้องลงมือทำงานที่ถูกแบ่งแยกเอาไว้โดยผู้ที่ไม่ใช่เจ้าบ้านอย่างเงียบๆ

กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป พวกเศษซากที่เคยกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นหน้าบ้านก็ลดลงจนเกือบหมด เหลือเพียงเศษชิ้นเล็กๆ ที่ร่างโปร่งพยายามโกยขึ้นแล้ว แต่มันก็ไม่ติดขึ้นมากับที่โกยผง

“เดี๋ยวผมจัดการเอง”

ภันวัฒน์เสนอตัวเมื่อเห็นความพยายามหลายครั้งของอีกฝ่าย เขาใช้สันมือทั้งสองข้างกวาดลากบนพื้นเข้าหากัน จนเศษเล็กเศษน้อยเข้ามาอยู่ในอุ้งมือได้ ก่อนจะเอามันไปเทใส่ถุงขยะ

“เรียบร้อย คุณมัดปากถุงได้เลย”

ร่างโปร่งทำตามคำบอกอย่างว่าง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องถกเถียงอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ความทุ่มเทช่วยเหลือของร่างสูงทำให้เขาทึ่งและตะลึงไป จนอดรู้สึกระอาใจไม่ได้ที่ผลักไสไล่ส่งอีกฝ่ายราวกับเป็นบุคคลน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะวันนี้ หรือ...วันก่อนหน้านี้

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งเห็นความดีงามในตัวของภันวัฒน์

ความดีที่มาจากความบริสุทธิ์ใจ

น่าละอายเหลือเกินที่เขาทำร้ายอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครา

หรือว่า...

เขาควรปล่อยวาง ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ในเมื่อเขาไม่สามารถหลีกหนีหรือหลบเลี่ยงผู้ชายคนนี้ได้

“ที่เหลือก็จัดการขัดล้างล่ะนะ คุณเตรียมผงซักฟอกกับต่อสายยางมาเลยครับ”

อาทิตย์อัสดงเดินไปเปิดน้ำออกจากก๊อกในระดับเบา ฉีดไล่สิ่งปฏิกูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่สามารถทำความสะอาดก่อนหน้านี้ได้ และคราบน้ำสกปรกที่เลอะเทอะอยู่ จากนั้นไปยังบริเวณที่เก็บอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดหน้าบ้าน หยิบผงซักฟองออกมาเทลงพื้น

“ขอด้วยครับ”

มือหนาทั้งสองข้างแบออกตรงหน้าหลังร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ อาทิตย์อัสดงยังไม่ทันได้คิดอะไร ก็เทลงผงซักฟอกบนฝ่ามือใหญ่นั้นเสียแล้ว กว่าจะคิดได้ว่าควรถามถึงเหตุผล ก็ได้รับคำตอบจากการกระทำตรงหน้า

“คุณทำอะไรน่ะ เอาแฟ้บล้างมือ เดี๋ยวมือก็พังหรอก”

ภันวัฒน์ชะงักการกระทำของตนเองเล็กน้อยเมื่อถูกทัก

“ถ้าผมไม่ล้างมือก่อน เดี๋ยวมีกลิ่นติดแปรงขัดพื้นไปด้วย”

“ไม่ต้องก็ได้ ผมจัดการเอง ไว้เสร็จแล้ว ผมเอาสบู่มาให้”

“ผมล้างมือเสร็จแล้วล่ะ”

รอยยิ้มบานแฉ่งปรากฏบนใบหน้าสีเข้ม ราวกับจะแดกดันกลายๆ ว่ามันสายไปเสียแล้ว จากนั้นกายกำยำก็เคลื่อนเข้าหาไม้ขัดพื้นซึ่งอยู่ไม่ไกล หยิบมันมาตั้งท่าอย่างทะมัดทะแมงแล้วเริ่มลงมือขัดพื้นอย่างขมีขมัน ก่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านจะได้เอ่ยปากห้ามปรามเสียอีก

“คุณ เดี๋ยวผมขัดเอง แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว”

ร่างโปร่งขยับย้ายร่างเข้ามาประชิด พลางใช้มือข้างที่ว่างจากสายยางมาดึงไม้ขัดพื้นไปด้วย แต่ภันวัฒน์ก็แสร้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้อีกคนต้องเบนหลังถอยไป

“หน้าที่คุณคือฉีดน้ำแล้วก็เทแฟ้บครับ ไหนๆ ผมก็ขัดไปแล้ว ก็ให้ผมขัดจนเสร็จเถอะ”

ไม่รู้ว่าเป็นประโยคขอร้องหรือประโยคบังคับกันแน่ เสียงถอนหายใจอย่างหน่ายใจดังมาจากเจ้าของบ้าน ด้วยรู้ว่าต่อให้ถกเถียงกันไปก็มีแต่เขาที่ยอมแพ้ จึงรับหน้าที่ตามที่อีกฝ่ายว่ามาอีกจนได้

กระทั่งเสร็จสิ้น พื้นที่เคยสกปรกกลับมาสะอาดดังเดิมแล้ว อาทิตย์อัสดงก็จดจ้องที่ร่างโทรมเหงื่อไม่แพ้ตัวเองก่อนหน้านี้อยู่สักพักโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำ

“คุณอยู่ที่นี่สักสิบห้านาทีนะครับ”

คำบอกนั้นทำให้ภันวัฒน์งงงวยพอสมควร เขามองหน้าอาทิตย์อัสดงได้เพียงชั่วครู่ เพราะหลังจากนั้นร่างโปร่งก็ตรงดิ่งไปยังรถยนต์สีขาวเสียแล้ว

ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นนัก ทำไมอยู่ๆ อีกฝ่ายถึงขับรถออกไปเสียดื้อๆ ภันวัฒน์ยืนมองตำแหน่งที่รถสีขาวเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางความมืดที่ไล่ระดับลงเรื่อยๆ จนครบสิบห้านาทีอย่างที่เจ้าของบ้านบอก เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นอีกคราวพร้อมกับแสงไฟสว่างปรากฏขึ้น อาทิตย์อัสดงกลับมาพร้อมกับหิ้วถุงอะไรบางอย่างมาด้วย

“เข้ามาก่อนสิครับ”

อาจเป็นประโยคที่ต้องตรวจสอบว่าตนเองหูฝาดไปหรือเปล่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นครั้งแรกที่ร่างสูงได้ยินคำต้อนรับจากอีกฝ่าย ครั้นย่างก้าวเข้ามาภายใน ก็ถูกบอก ‘นั่งบนโซฟาก่อนนะครับ’ ซึ่งภันวัฒน์ก็ได้แต่ทำตามโดยที่มีเครื่องหมายคำถามวนเวียนอยู่ในสมอง

เขามองภาพอดีตบล็อกเกอร์เดินไปทางห้องครัว ทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ๆ ด้วยความสงสัย ทั้งต้มน้ำ เอาน้ำแข็งเทลงอ่าง หั่นอะไรบางอย่างใส่ลงไป จะคิดว่ากำลังทำอาหารอยู่ก็ดูจะพิลึกเกินไป จึงยิ่งทำให้ไม่เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีก

แต่แล้วคำตอบก็มาเยือนเมื่อร่างโปร่งย้อนกลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครา อาทิตย์อัสดงวางอ่างน้ำขนาดเล็กที่น่าจะพอเหมาะกับการล้างผักลงบนโต๊ะกลางตรงหน้าเขา ภายในนั้นบรรจุน้ำสีขาวๆ มีฟองลอยอยู่พอประมาณ จากนั้นเจ้าตัวก็ย้อนกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง และยกอ่างน้ำอีกใบหนึ่งมา คราวนี้เป็นน้ำสีน้ำตาล มีมะนาวถูกหั่นเป็นแว่นลอยอยู่

“แช่มือในล้างนั้นก่อนครับ เป็นสบู่ฆ่าเชื้อ เสร็จแล้วก็มาแช่อ่างนี้ ดับกลิ่นเหม็น”

หลังนั่งลงข้างกัน ร่างโปร่งก็เริ่มอธิบาย ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัยอยู่ดี จะเรียกว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ได้ เขาแจ่มแจ้งแล้วว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่เหมือนจะยังไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายอยู่ดี เพราะมันเหมือนกับว่า...

อาทิตย์อัสดงกำลังแสดงความใส่ใจ

ภันวัฒน์เกือบจะหัวเราะตัวเองอยู่แล้วที่เผลอคิดอะไรแบบนั้นออกมาได้ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เสียงห้าวทุ้มที่คีย์สูงกว่าตนเองนิดหน่อยก็ทำให้รู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบลงมา

“คงไม่ดีถ้าจะให้มือของช่างทำขนมมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

ประหลาด... ประหลาดมาก

มันประหลาดจริงๆ

ถึงจะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่มือใหญ่ก็ยินยอมแช่ลงไปในอ่างใบแรก เขาถูมือไปมาทุกซอกทุกมุมอย่างถ้วนทั่ว โดยเฉพาะซอกเล็บสั้นๆ ที่อาจจะเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรคเอาไว้ เพราะมันคงไม่ดีจริงๆ สำหรับคนที่ทำงานทางด้านนี้แล้วปล่อยให้มือสกปรก

ล้างมือในอ่างแรกอยู่ครู่ใหญ่ๆ จนคิดว่าน่าจะพอแล้ว ภันวัฒน์ก็ยกมือขึ้น เตรียมจะย้ายลงมาแช่มือยังอ่างที่สอง ซึ่งเป็นน้ำชากับมะนาวที่นิยมใช้ขจัดกลิ่นเหม็นคาว เขารู้สึกใจพองโตยามคิดว่าอีกฝ่ายถึงขนาดเอาน้ำแข็งมาเทใส่เพื่อลดความร้อนจากน้ำชาที่ต้มใหม่ๆ ให้

วันนี้ใจดีจังแฮะ

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ทว่ายังไม่ทันจุ่มมือลงไปในน้ำสีน้ำตาลเหมือนกับดวงตาของคนใจดีเป็นพิเศษก็ต้องถูกรั้งไว้ก่อน และไม่ใช่เพียงเสียงเท่านั้น แต่มือเรียวยังเลื่อนมาจับมือเขาเอาไว้ ทำเอาภันวัฒน์หันหน้าไปมองคนที่นั่งข้างๆ อย่างตกตะลึง แต่เจ้าตัวที่ถูกจ้องกลับสนอกสนใจอยู่แต่กับมือของเขา

อาทิตย์อัสดงจับมือภันวัฒน์เอาไว้ด้วยมือหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหยิบผ้าขนหนูที่หยิบมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ขึ้นมาเช็ดคราบฟองที่ติดอยู่ให้อย่างเบามือด้วยความตั้งอกตั้งใจ ราวกับกำลังทำเรื่องสำคัญอย่างไรอย่างนั้น

สัมผัสที่ได้รับผนวกกับภาพสีหน้าที่กำลังเอาใส่ใจมือของตนทำให้ร่างสูงรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด อะไรบางอย่างในอกของเขากำลังเร่งจังหวะขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันในลำคอก็คล้ายกับมีก้อนแข็งๆ จุกขึ้นมาจนต้องกลืนน้ำลายลงไปแรงๆ

ริมฝีปากแห้งผากในบัดดลราวกับคนอดยากหิวโหยจนต้องเม้มเข้าหากัน เอาลิ้นแตะเบาๆ ไล่เลียไปเพื่อให้มันชุ่มชื้น พร้อมกับหน่วยตากวาดมองไปทั่วใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มผิวขาวที่อยู่ห่างเพียงห้าสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ ก่อนจะหยุดนิ่งเนิ่นนานอยู่ที่สันกราม ซอกคอ และริมฝีปาก

น้ำลายถูกกลืนลงคออีกเอื๊อกใหญ่

“แช่ได้แล้วล่ะครับ”

เสี้ยวหน้าที่จดจ้องอยู่เมื่อครู่นี้หันมาโดยมีรอยยิ้มจางแต้มอยู่น้อยๆ ทำให้ภันวัฒน์แทบสะดุ้ง สติที่กำลังจะเตลิดไปไกลกลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง อดรู้สึกไม่ได้เลยว่าวันนี้อาทิตย์อัสดงทำตัวน่ารัก...

น่ารักเสียจนเขาอยากขย้ำเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ

แต่หากปล่อยสัญชาตญาณให้ออกมาคึกคะนอง บรรยากาศดีๆ ที่หาได้ยากนี้ต้องทลายลงอย่างแน่นอน ดังนั้นร่างใหญ่จึงทำได้เพียงควบคุมสติของตนให้อยู่ในกรอบและขอบเขตที่จะไม่หน้ามืดตามัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ นี้เอาไว้

“น่าจะพอแล้วมั้งครับ ลองดมดูสิครับว่ายังเหม็นอีกหรือเปล่า”

ถึงจะอยากหยุดเวลาในตอนนี้เอาไว้แค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ภันวัฒน์รู้สึกเสียดายไม่น้อย นับเป็นครั้งแรกก็ได้กระมังที่เขาอยู่กับใครสักคนแล้วรู้สึกหยุดเวลาเอาไว้แบบนี้

ร่างสูงยกมือขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เผยแววออกมาว่ากำลังลุ้นผลของความตั้งใจของตนเองอยู่ จมูกโด่งสันสูดกลิ่นจากมือของตนที่ยกขึ้นมา ทั้งฝ่ามือ หลังมือ และปลายเล็บ ดูเหมือนว่าจะไม่มีกลิ่นใดๆ แล้วกระมัง

“ผมไม่ค่อยแน่ใจ คุณช่วยดมด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

อาจเพราะความเห็นแก่ตัวของตนก็เป็นได้ จึงอยากเก็บเกี่ยวอะไรสักอย่างอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าจะต้องผิดหวังก็ตาม ทว่าสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้นอีกคราว

อาทิตย์อัสดงยื่นมือมาจับมือหยาบใหญ่ทั้งคู่ไว้ ดึงมันเข้าไปใกล้กับปลายจมูก จากนั้นสูดลมหายใจเบาๆ จนปาติซิเยหนุ่มรู้สึกได้ เหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นทำให้ร่างสูงแทบช็อก ไม่อยากเชื่อว่าตนไม่ได้กำลังฝันอยู่ นัยน์ตาคมกะพริบปริบๆ หลายครั้ง

“ไม่มีกลิ่นแล้วนะครับ ผมว่าเดี๋ยวคุณไปล้างมือในห้องน้ำอีกรอบหนึ่งแล้วกันนะครับ อ่างน้ำพวกนี้ผมจัดการเอง”

สิ้นเสียงนั้นใบหน้าขาวตี๋ยังประดับยิ้มบางๆ ให้เสียอีก ภันวัฒน์มองเจ้าของร่างโปร่งผุดลุกขึ้นพร้อมกับยกอ่างน้ำไปอ่างหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา เขาสะบัดหัวไปมาหลายครั้ง แต่ขณะเดียวกันใบหน้าก็สยายยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้ มันเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงยิ้มเหมือนคนบ้าขึ้นมาเสียเฉยๆ







อ่านต่อข้างล่าง


v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
่ต่อจากข้างบน



v




v


ร่างสูงยกอ่างน้ำอีกใบที่เหลือตามไปวางที่อ่างล้างจาน อาทิตย์อัสดงเอ่ยเบาๆ ‘ขอบคุณครับ เข้าไปล้างมือในห้องน้ำสิครับ’ ภันวัฒน์จึงแทบเดินตัวลอยไปยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายบอก กระทั่งจัดการกับมือของตนเรียบร้อย ก็ก้าวออกมาที่ห้องครัวอีกครั้ง แล้วพลันนึกเรื่องหนึ่งได้

“ว่าแต่คุณแจ้งตำรวจหรือยังครับ”

“ยังเลยครับ กลับมาบ้านแล้วเจอกองขยะอยู่เต็มหน้าบ้าน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว”

“นั่นสินะ” เสียงทุ้มครางออกมาเบาๆ ต่อให้ไม่ใช่คนรักความสะอาดอะไร แต่เจอขยะเหม็นโฉ่อยู่หน้าบ้าน เป็นใครก็ต้องจัดการก่อน “แล้วพอจะรู้ไหมครับว่ามันมาได้ยังไง ผมว่าอยู่ๆ คงไม่มีรถขยะมาเทผิดที่หรอก”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น”

ตอบเช่นนั้นแล้วร่างโปร่งก็เงียบเสียงลงไป ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายเมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าครุ่นคิด คล้ายกำลังควานหาตัวคนร้ายภายในสมอง

“แล้วคุณมีกล้องวงจรปิดหรือเปล่าครับ ถ้าติดกล้องไว้ อาจจะเห็นคนร้ายก็ได้”

ภันวัฒน์คิดขึ้นมาได้อีกอย่าง แม้จะไม่แน่ใจก็ตาม เพราะเขาไม่เคยสังเกตถึงมัน

“มีนะครับ แต่ว่าผมไม่ค่อยได้เปิดเช็กเท่าไร เพราะไม่มีเหตุจำเป็น”

“แต่คราวนี้เหตุจำเป็นเลยล่ะครับ”

สีหน้ามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังเคลือบทับบนใบหน้าของผู้จัดการหนุ่มเช่นกัน เห็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็เห็นด้วย เขาเอื้อนเสียงออกมา ‘ถ้างั้นคงต้องขึ้นไปเช็กดูจากคอมบนห้อง’ จากนั้นเดินนำขึ้นไปยังห้องนอน เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนโดยที่ภันวัฒน์มายืนอยู่ข้างๆ

“เปิดดูตั้งแต่ช่วงที่คุณออกจากบ้านเลยครับ”

ร่างโปร่งพยักหน้าน้อยๆ เมื่อได้รับคำแนะนำหลังจากเข้าสู่โปรแกรมย้อนดูบันทึกของกล้องวงจรปิด กดเร่งภาพให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา หลังจากนั้นประมาณห้านาทีเห็นจะได้ ภาพอะไรบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งขนถุงขนาดใหญ่หลายถุงลงมา จากนั้นโยนถุงเหล่านั้นเข้ามาในบ้านตามด้วยปีนรั้วเข้ามา เธอใช้ของมีคมสักอย่างกรีดถุงเหล่านั้นแล้วยกขึ้น เทสิ่งที่อยู่ภายในออกมาจนเกลื่อนกระจายเละเทะ จนเมื่อถุงเหล่านั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า เธอก็เก็บมันกลับ

“เห็นคนร้ายเต็มๆ เลยนะครับ”

ภันวัฒน์ยิ้มหย่องขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีหลักฐานเอาผิดอีกฝ่ายได้ แต่ครั้นมองไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ เจ้าตัวกลับนิ่งค้าง สายตาจับจ้องไปยังกรอบสี่เหลี่ยมตรงหน้าราวกับตกตะลึง ขณะที่มือซึ่งวางบนเมาส์อยู่สั่นเล็กน้อย

เพียงเห็นเท่านั้นก็ราวกับมีลางร้ายพาดผ่าน ร่างสูงรู้สึกใจไม่ดีเท่าไร ในสมองควานหาคำตอบเร็วพลัน แต่เหมือนว่ามันรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้วจึงพบได้อย่างง่ายดาย เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาทั้งที่ค่อนข้างแน่ใจ

“...แฟนเก่าคุณเหรอ เขายังรังควานคุณอีกเหรอ”





--------------------------
ช่วงนี้ตัวเองรู้สึกเนือยๆ ยังไงไม่รู้ ตรงข้ามกับคุณภันเลย orz

Undel2Sky


ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
คุณอาทิตย์ของเราาาาาาาาาาาา คุณอาทิตย์คะะะะะ โอ๊ยยยยยย ทำไมตอนนี้คุณอาทิตย์น่ารักขนาดนี้คะะะะ เราว่านะคะ เนี่ยแหละ คนใจดี อ่อนโยนแบบนี้จะทิ้งลกทิ้งเมียเหรอคะ ไม่ เราว่าไม่ค่ะ มันต้องมีอะไรดำมืดกว่านั้น ฮื้ออออ คุณภันคะ คราวนี้ไปไหนไม่ได้แล้วนะคะ คุณอาทิตย์เปิดใจให้ขนาดนี้แล้ว คว้าโอกาสนี้ไว้แล้วพุ่งเข้าใส่ค่ะ! แล้วก็นะคะ น้องสาวคุณภันนี่เขาจะมากลั่นแกล้งอะไรคุณอาทิตย์ไหมคะ อย่านะคะ คุณอาทิตย์น่ารักขนาดนี้เชียวนะคะ ฮื้อออ แต่แบบ ในความน่ารัก... เราขอสักหน่อยค่ะ นี่ต้องสับรางบ่อยขนาดไหนถึงสามารถทำให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองพิเศษทั้งที่หมายถึงอีกคนได้คะ โคตรเจ้าชู้ค่ะคุณภัน ขอย้ำอีกครั้ง ถ้าจะถอยจากคุณอาทิตย์ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะคะ ดูแลคุณอาทิตย์ให้ดีด้วย! แต่ตอนนี้คุณภันก็น่ารักจริงๆอ่ะค่ะ เฮ้อ จริงๆคุณภันก็เป็นคนจริงใจนี่คะ เลยทลายกำแพงคุณอาทิตย์ได้เลยอ่ะ อยากให้เขาหวานกันแล้ววววววว แต่เราก็แอบติดใจนิดนึงนะคะ บ้านคุณอาทิตย์มีกล้องวงจรปิด แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็คงเคยมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันรึเปล่าคะ ไม่งั้นจู่ๆใครจะมาติดกล้องไว้ในบ้าน ฮื้ออออ แฟนเก่าคุณอาทิตย์นี่มีอาการทางจิตรึเปล่าคะ เราเริ่มกลัวแล้วนะคะ  :mew5:

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ผมมีพี่โกยผงอันเดียว  >> ที่โกยผง

แช่มือในล้างนั้นก่อนครับ   >> มันดูแปลกๆอ่ะค่ะ แช่มือในอ่าง ล้างมือในอ่าง อะไรแบบนี้ป่ะคะ

ที่เขาอยู่กับใครสักคนแล้วรู้สึกหยุดเวลาเอาไว้แบบนี้   >> อันนี้น่าจะ รู้สึกอยากหยุดเวลา นะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
มาการองถูกทิ้งไว้ที่หัวเสา เพราะคุณฮักได้ความหวานไปเต็ม ๆ แม้จะมาพร้อมกับกลิ่นเน่าก็เถอะ

 :laugh:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ทำไมต้องตามมารังควาญกันขนาดนี้
น่าจะแจ้งตำรวจจับเลยนะ หลักฐานครบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ







แม้สมองจะมึนชาเพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยไม่คิดว่าคนรักเก่าจะกล้าทำถึงเพียงนี้ ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงกลับยังรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่ทาบลงมาบนหลังมือ ไอร้อนที่ถ่ายทอดมาจากอีกคนนั้นแสดงถึงความห่วงใย แต่ในขณะเดียวกันก็บ่งชี้ว่าร่างสูงรู้เรื่องของตนแล้ว แต่เจ้าตัวกลับไม่พูดถึงมันสักนิด นับตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากไปเที่ยวกับพวกที่บริษัท

“สามทุ่มกว่าแล้ว หาอะไรกินดีกว่าครับ ผมหิวแล้ว”

ภันวัฒน์เอ่ยชวนพร้อมกับดึงมือร่างโปร่งให้ลุกจากเก้าอี้ ราวกับต้องการเคลื่อนย้ายคนที่กำลังหัวหมุนเพราะรับไม่ทันกับข้อมูลอันตราย สติของอาทิตย์อัสดงจึงกลับมา เขาเดินลงมายังห้องครัวทั้งที่ยังโดนจับมือไว้

“ดึกแบบนี้แล้ว กินอะไรดีครับ มาม่าดีไหม เดี๋ยวมื้อนี้ผมจะแสดงฝีมือเอง”

ดูท่าว่าความปรารถนาดีของผู้จัดการหนุ่มจะสัมฤทธิผล เพราะหลังจากได้ยินเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงก็หลุดจากความรู้สึกก่อนหน้านี้

“แค่ใส่น้ำแล้วต้ม ต้องใช้คำว่าแสดงฝีมือเลยเหรอครับ”

“ก็มีให้ได้ยินบ่อยๆ นี่ครับ ว่าฝีมือทำกับข้าวห่วย ขนาดทำมาม่ายังไม่อร่อย”

ใบหน้ายิ้มแย้มปราศจากนัยอื่นใดซึ่งมาพร้อมประโยคนั้น เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์เสียจนคนเห็นพลอยยิ้มไปด้วยอย่างลืมตัว มือที่จับกันอยู่เมื่อครู่หลุดออกจากกันตามธรรมชาติเมื่อผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้

“สองซอง พอหรือเปล่าครับ”

“เพิ่มอีกซองแบ่งกันไหมครับ เหนื่อยมาแบบนี้ต้องโด๊ปสักหน่อย คุณใส่พวกเครื่องอย่างอื่นหรือเปล่า ผัก ไข่?”

สีหน้าของภันวัฒน์ยังคงแจ่มจรัส ทั้งที่เพิ่งพูดออกจากปากว่า ‘เหนื่อยมาแบบนี้’ แต่หากจะว่าไป อาทิตย์อัสดงแทบไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าตรงกับคำว่า ‘เหนื่อย’ เลยสักครั้ง หรือจริงๆ แล้วอาจพูดได้ว่า ไม่เคยเห็นภันวัฒน์ทำหน้าหดหู่ ทดท้อ โกรธขึ้งแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากก็เป็นใบหน้าเรียบเฉยที่ดูคล้ายว่ากำลังคิดอะไรสักอย่าง ที่เหลือโดยส่วนมากเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม ทะเล้น และเจ้าเล่ห์เพียงเท่านั้น

“ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้กินแค่อิ่มก็พอ ใส่เยอะผมว่าเสียรสชาติ”

หลังตอบไปเช่นนั้น คนอาสาว่าจะแสดงฝีมือก็เริ่มเทของในบรรจุภัณฑ์ลงหม้อ เติมน้ำ และตั้งบนเตา

“เส้นแข็งหรือนิ่มครับ”

“แบบนุ่มๆ ครับ”

แม้ว่าสายตาจะจดจ้องไปที่อาหารพิเศษในคืนวันนี้ ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ลอบอมยิ้มกับตนเอง เพราะดูเหมือนว่าคนที่จิตใจถูกทำลายไปบางส่วนจะเปลี่ยนอารมณ์แล้ว ถึงได้ต่อบทสนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงไม่แฝงแววใดๆ

เห็นว่าร่างสูงกำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ร่างโปร่งจึงเยื้องย่างไปยังตู้เย็น หยิบน้ำมาเทลงแก้วเตรียมไว้ให้บนโต๊ะอาหาร ก่อนเตรียมชามให้พร้อมสำหรับอาหารมื้อค่ำ

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ถูกปรุงรสชาติจากเครื่องปรุงที่ติดมาในซองก็ถูกวางลงบนโต๊ะอาหาร ทั้งคู่นั้นเผชิญหน้ากันจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเช่นทุกครั้ง ระหว่างกินก็คุยกันไปด้วย

“เป็นไงบ้างครับ อร่อยไหม”

คำถามนั้นทำให้คนที่กำลังก้มหน้าส่งเส้นสีนวลเข้าปากต้องเงยหน้าขึ้น

“กล้าถามนะคุณ” อาทิตย์อัสดงตอบคล้ายแขวะเล็กน้อย เพราะกรรมวิธีทำอาหารช่างง่ายดายเกินกว่าจะคิดว่ามันจะออกมารสชาติแย่ได้ แต่ถึงกระนั้น... “แต่ก็อร่อยดีนะครับ”

“ใช่ไหมล่ะครับ ผมใส่เครื่องปรุงไปพร้อมต้มเส้นเลย รสชาติจะได้ซึมเข้าไปในเส้นด้วย นี่เป็นเคล็บลับของผมเลยนะ”

ถ้อยคำอธิบายอย่างกระตือรือร้นราวกับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครล่วงรู้อย่างแน่นอนถูกส่งออกมา ซึ่งมันก็ส่งผลให้ร่างโปร่งที่ฟังอยู่หลุดเสียงหัวเราะอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มชวนบทสนทนาบ้าง

“ไม่คิดเหมือนกันนะครับว่าคุณจะกินมาม่าด้วย”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็คุณดูเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกิน ที่บ้านน่าจะไม่ค่อยชอบให้กินของพวกนี้เท่าไร”

ภันวัฒน์อดยิ้มไม่ได้ เพราะคำถามเช่นนั้นดั่งลอบเร้นความหมายว่าอีกฝ่ายคิดถึงเรื่องของตนอยู่เหมือนกัน

“ผมออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เข้ามหา’ลัยน่ะครับ เรื่องแค่นี้ธรรมดาจะตาย”

“ไม่ได้อยู่บ้านลุงกับป้าเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงประหลาดใจ

“ถึงจะใกล้ชิดสนิทสนม หรือพวกเขาต้อนรับเอ็นดูผมยังไง ก็ต้องมีความคิดชั่วครั้งชั่วคราวอยู่ดีที่รู้สึกว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริง ผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ เลยออกมาอยู่คนเดียวดีกว่า สบายใจดี”

เจ้าของเรื่องราวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงแววเหงาเอาไว้ด้วย พลอยให้ร่างโปร่งรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร ด้วยเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ และมันคงแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน ผู้จัดการหนุ่มจึงรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรบอย่างจึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน

“ว่าคุณจะทำยังไงดีกับคนร้ายครับ แจ้งตำรวจ หรือว่าจะลองติดต่อเพื่อคุยให้รู้เรื่อง”

ทว่าเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วอดีตบล็อกเกอร์ก็ได้สติอีกครั้ง แต่ความรู้สึกหดหู่ เจ็บร้าวไม่รุนแรงเท่ากับครั้งอื่นๆ คงเพราะว่าเมื่อครู่ร่างสูงช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้กระมัง

“ผมไม่มีทางที่ติดต่อเขาได้หรอกครับ”

ภันวัฒน์เลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ อาทิตย์อัสดงจึงอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเคล้าเสียงเหนื่อยอ่อน

“ผมตัดขาดทางติดต่อไปหมดแล้ว มีแต่ทางเขาที่ติดต่อผมได้ ทางบล็อกกับบ้าน แต่บล็อกก็ปิดไปแล้ว เพราะงั้นเขาเลยมาที่บ้านมั้งครับ เพราะที่ทำงานผม เขาไม่เคยไป”

“แล้วคุณอยากแก้ปัญหาแบบไหนครับ”

เมื่อประโยคนั้นเริ่มขึ้น อาหารที่กินอยู่ก็หมดลงพอดี ผู้จัดการหนุ่มลุกขึ้นเก็บชามทั้งของตนเองและของผู้เป็นเจ้าของบ้านไปล้าง ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงเพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกินหมดไปก่อนแล้ว แต่รอให้เขากินหมดก่อนถึงค่อยลุก

“ผมอยากคุยให้รู้เรื่องมากกว่า แต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหน”

ร่างโปร่งลุกมาช่วยล้างชามด้วยเหมือนที่เคยทำครั้งก่อน แต่บรรยากาศในเวลานี้กลับเปลี่ยนไป ไม่อึมครึมเช่นเก่าจึงไม่อึดอัด คล้ายพูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจเสียมากกว่า ซึ่งก็ทำให้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะได้พูดคุยเรื่องนี้กับใครสักคน แม้แต่หนึ่งฤทัย หลังจากจบเรื่องครั้งนั้นเขาและเธอก็ไม่เคยแตะต้องมันอีก เว้นก็แต่ก่อนหน้านี้ที่เขาอาการแย่จริงๆ เธอจึงต้องคาดคั้น

“ผมว่าเดี๋ยวเขาต้องกลับมาแหละ อาจจะมาพรุ่งนี้เลยก็ได้”

“ทำไมล่ะครับ”

แปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายบอกเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงเบี่ยงหน้าไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความใคร่รู้ ดวงตาเรียวขยายกว้างกว่าปกติเล็กน้อย

“เขาต้องอยากรู้แหละว่าคุณมีปฏิกิริยายังไง ตอบโต้แบบไหน จะลุกขึ้นมาเขียนป้ายติดหน้าบ้านหรือเปล่าว่า ที่หมาทิ้งขยะอะไรแบบนี้”

ได้ยินเช่นนั้น จากที่เคยสนอกสนใจในคำแจกแจง ร่างโปร่งก็เกือบหลุดเสียงขบขันออกมา

ทั้งที่บทสนทนาเป็นเรื่องจริงจัง แต่ภันวัฒน์กับพาเขาฉีกอารมณ์ไปอีกทางได้ อาทิตย์อัสดงอดรู้สึกชื่นชมจากใจไม่ได้ แล้วก็ขอบคุณเจตนาดีที่ไม่อยากให้เขาคิดมากด้วย

“ทำไมผมต้องเขียนป้ายมาติดด้วยล่ะครับ”

เมื่อล้างจานและเก็บวางบนชั้นเพื่อผึ่งแล้ว ทั้งคู่ก็หันหน้ามาคุยกัน สองร่างยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวหน้าอ่างล้างจานราวกับไม่เกรงกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าเปียก อาจเพราะก่อนหน้านี้อาบเหงื่อต่างน้ำมาแล้วก็เป็นได้ การที่เสื้อจะเปียกน้ำที่กระเซ็นมาเปรอะอ่างจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

“ก็ผมเห็นตามข่าวนี่ครับ พวกติดป้ายวอนขอความเห็นใจโจรไม่ให้ปล้นบ้านเป็นครั้งที่สิบ”

คราวนี้เจ้าของหน้าตี๋หลุดยิ้มออกมาจริงๆ แบบห้ามไม่ได้ ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยกเรื่องเช่นนั้นมาประกอบกับเหตุการณ์ในครั้งนี้จนกลายเป็นเรื่องขำขันไปเลย แต่ทว่าประโยคต่อมาของหนุ่มร่างสูงก็ทำให้เจ้าของร่างโปร่งต้องปรับอารมณ์เสียใหม่

“พรุ่งนี้วันศุกร์ ผมเข้างานช่วงเย็นพอดี ให้ผมช่วยจับตาดูให้ช่วงที่คุณไม่อยู่ดีไหมครับ ถ้าเขามา ผมจะได้ล็อกตัวเอาไว้ก่อน”

“เอ๊ะ”

อารมณ์ของอาทิตย์อัสดงพลิกกลับไปกลับมาราวกับอยู่บนเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวจนน่าฉงน

“ก็ถ้าเขามาช่วงที่คุณไปทำงานแล้วเอาขยะมาทิ้งอีก คงได้เหนื่อยกันอีกวันแน่ คุณอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ”

“แต่อาจจะไม่เร็วแบบนั้นก็ได้ กว่าจะได้ขยะมามากขนาดนั้น”

อาทิตย์อัสดงค้าน แต่ภันวัฒน์ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย

“ขยะพวกนั้น จะไปขอที่ตลาดมาสักเท่าไรก็ได้ครับ พวกพ่อค้าแม่ค้าคงยินดียกให้เลยล่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ทำให้ร่างโปร่งอดยอมรับอยู่ในใจไม่ได้ว่า ‘มันก็จริง’ ภันวัฒน์ที่เห็นท่าทางนั้นจึงเกริ่นขึ้นอีกครั้ง

“คุณคงไม่ยินดีเท่าไรถ้าจะให้ผมเก็บกุญแจบ้านไว้ เพราะงั้นคืนนี้ให้ผมค้างที่นี่แล้วกันนะครับ”

คนฟังได้แต่ตกตะลึงที่อีกคนสามารถหาเหตุมาอ้างจนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ และดูเหมือนผู้เสนอตัวจะรู้ว่าร่างโปร่งยังลังเล อีกทั้งไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องทำขนาดนั้น เพราะแค่เขาเข้าออกจากบ้านช่วงที่เจ้าของบ้านอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจแล้ว ภันวัฒน์จึงใช้คำพูดดักไว้ก่อน

“ให้ผมนอนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นก็ได้ครับ ถ้าคุณไม่อยากให้ผมใกล้ชิดคุณจนเกินไป”

“ไม่หรอกครับ”

ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าคำตอบต้องเห็นดีเห็นงามกับความคิดนั้นแน่ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับตรงข้าม ภันวัฒน์ตะลึง แล้วยิ่งตะลึงกว่าเดิมหลังประโยคถัดไปหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า

“คุณนอนที่ห้องนอนกับผมก็ได้”

“หมายถึงให้นอนบนพื้นเหรอครับ”

“เปล่าครับ นอนบนเตียงนั้นแหละ”

ใบหน้าของหนุ่มผิวเข้มปรากฏรอยตะลึงตะลานอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบนี้ คนพูดที่สังเกตสีหน้านั้นได้จึงบอกออกมาอีกครั้ง

“ถ้าคุณจะไม่เข้ามากอดผมตอนนอนเหมือนอย่างคราวก่อน ผมก็โอเค”

ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนตนเองหูฝาด ดวงตาเรียวคมยังคงเบิกโตไม่เลิก คล้ายคนตื่นตระหนกจนสติหลุดลอยอย่างไรอย่างนั้น

“ผมว่าเดี๋ยวคุณอาบน้ำก่อนดีกว่า ผมจะเตรียมเสื้อผ้าสำหรับนอนกับผ้าขนหนูให้”

อาทิตย์อัสดงถือโอกาสนี้พูดต่อ จากนั้นก็เดินนำขึ้นบันไดไป แล้วเตรียมของให้อย่างที่บอกจริงๆ เพราะเมื่อร่างสูงตั้งสติได้ และเดินตามขึ้นไปยังชั้นบน ของที่ว่าก็ถูกยื่นมาให้ เขารับมันไปอย่างงุนงง รู้สึกสมองกลายเป็นปมเชือกที่ถูกขึงอย่างแรงจนมึนตื้อทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างล้วนเหนือความคาดหมาย ราวกับว่าเขากำลังฝันไปอย่างไรอย่างนั้น

ดังนั้นเมื่อเข้ามาในห้องน้ำแล้ว เจ้าตัวจึงเผลอหยิกตัวเอง แล้วก็พบว่ามันเจ็บไม่เบาเลยทีเดียว

ถ้าอย่างนั้น... นี่ก็ไม่ใช่ความฝันจริงๆ?





เมื่อส่งอีกคนเข้าห้องอาบน้ำไปแล้ว ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ย้อนกลับไปยังชั้นล่างอีกครั้ง เพราะจำต้องไปล็อกประตูหน้าบ้าน ทว่าเมื่อไปถึงจุดหมาย ของสิ่งหนึ่งกลับสะดุดตาอย่างเลี่ยงไม่ได้

อาทิตย์อัสดงมองรองรองเท้าหนังสีดำวางอยู่หน้าประตู มันเงาวับบ่งให้รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของดูแลมันอย่างดี อาจด้วยอาชีพที่ต้องดูดีอยู่เสมอเพราะถือเป็นหน้าเป็นตาของโรงแรมด้วยกระมัง ร่างโปร่งจึงหยิบมันติดมือมาด้วยหลังจากล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อหันหลังกลับ สายตาก็ปะทะเข้ากับพื้นที่ที่เคยมีสิ่งปฏิกูลส่งกลิ่นเน่าเหม็นเกลื่อนกระจาย บริเวณนั้นสะอาดหมดจด ไร้คราบใดๆ นอกจากร่องรอยของความเก่าและคราบที่สะสมยาวนานจนขจัดออกไม่ได้ เห็นเช่นนั้นแล้วในใจก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

ภาพของชายร่างกำยำช่วยเก็บขยะ ขัดล้างโดยไม่รังเกียจแม้แต่น้อย

สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในช่วงเวลานั้นมีเพียงความต้องการช่วยเหลืออย่างเต็มใจ

ถึงเขาจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าภันวัฒน์ไม่ได้หวังผลอะไรในการทำดีด้วย แต่กระนั้นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริง ความอยากช่วยเหลือจากใจจริง มันเอ่อท้นออกมาจากร่างของชายคนนั้นจนเขารู้สึกอึดอัดราวกับกำลังจะจมน้ำ นั่นเป็นเหตุให้เขายอมลดปราการลงหนึ่งชั้น เพราะรู้สึกผิดที่จะขับไล่ไสส่งอีกฝ่ายต่อไป และมันคงน่าละอายเกินไปที่ทำเช่นนั้นกับคนที่ปรารถนาดีต่อตัวเอง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำนับจากนี้ไปจึงไม่ใช่การกีดกันหรือขับไล่อีกฝ่าย

แต่เป็น...การยังยั้งชั่งใจตัวเอง

หลังล็อกประตูบ้านทั้งชั้นนอกและชั้นใน รวมทั้งตรวจดูสวิตช์อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว อาทิตย์อัสดงกลับขึ้นมาข้างบนอีกครั้ง และเมื่อเปิดประตูห้องออกเพื่อเข้าไปด้านใน ก็ประจวบเหมาะกับผู้พักอาศัยในค่ำคืนนี้ออกมาจากห้องน้ำพอดี

“เดี๋ยวผมขอยืมไดร์เป่าผมหน่อยนะครับ”

ศีรษะของภันวัฒน์เปียกหมาดๆ ขณะที่เจ้าตัวใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมไปด้วย ร่างโปร่งจึงตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบสิ่งที่ถูกระบุไว้ในคำพูดเมื่อครู่ให้ร่างสูง เสียงทุ้มตอบกลับ ‘ขอบคุณครับ’ เบาๆ เจ้าของร่างขาวจึงเอ่ยขอตัวเพื่อไปอาบน้ำบ้าง

จนเมื่ออาบเสร็จ กายโปร่งในชุดนอนก็กลับออกมาอีกครั้ง เขาใช้ไดร์เป่าผมซึ่งถูกวางลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์โดยคนใช้งานมันก่อนหน้านี้ ราวกับรู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องใช้ต่อ

มือเรียวเปิดสวิตช์และเป่าผมอย่างลวกๆ เพราะไม่จำเป็นต้องใส่ใจนักว่าจะเสียทรง เพราะถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ต้องนอนอยู่แล้ว ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้เลยว่า นับตั้งแต่ที่ย่างก้าวออกมาจากห้องซึ่งถูกแบ่งสัดส่วนเอาไว้นั้น ถูกสายตาของใครอีกคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา

ภันวัฒน์ซึ่งนั่งอยู่บนเตียงและพิงหลังกับหัวเตียงเอาไว้ มองภาพพระอาทิตย์ยามเย็นคนนั้นแล้วอมยิ้มกับตนเอง นึกไม่ถึงว่าจะได้มีช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะการบีบบังคับ ไล่ต้อน มัดมือชกเอาฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายเต็มใจที่จะร่วมเตียงกับเขาในคืนนี้

ถึงจะรู้แน่ว่ายังไม่สามารถทำอะไรข้ามขั้นไปมากกว่านี้ได้ แต่กระนั้นก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดี

เพราะมันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ

อย่างน้อยอาทิตย์อัสดงก็ยอมเปิดใจให้เขาแล้วหนึ่งในสี่ส่วน หรืออาจจะครึ่งหนึ่ง

ผมที่พลิ้วไสวไปตามสายลมร้อนเปลี่ยนสถานะจากหมาดเป็นแห้งแล้ว อดีตบล็อกเกอร์จึงนำไดร์เป่าผมไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าดังเดิม พลางหันมาถาม

“คุณจะทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ ผมจะได้ยังไม่ปิดไฟ”

“ไม่หรอกครับ สี่ทุ่มกว่าแล้ว นอนเลยก็ได้ครับ คุณต้องตื่นเช้านี่ ผมไม่ค่อยอยากกวนเท่าไร”

ทั้งที่ก่อนหน้าเคยเกิดเหตุการณ์บุกบ้านตอนตีสองด้วยซ้ำ ทว่าในเวลานี้สถานการณ์และคำพูดของร่างสูงกลับพลิกกลับด้านไปหนึ่งตลบ

อาทิตย์อัสดงเปิดโคมไฟที่หัวเตียงและเดินย้อนกลับไปที่ประตูห้องเพื่อปิดสวิตช์ไฟบนเพดาน ทำให้ห้องที่เคยสว่างด้วยสีขาวกลับกลายเป็นสีสีส้มอ่อน

บรรยากาศเป็นใจชะมัด

ผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมอดคิดเช่นนั้นอยู่ในใจไม่ได้ นัยน์ตาดำขลับส่องประกายแวววับแม้จะตกอยู่ภายใต้แสงสลัว จนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของห้องเยื้องกายมาทิ้งลงบนเตียงจนที่นอนนุ่มพอประมาณยวบลง เสียงของกายโปร่งดังขึ้นอีกคราว

“แอร์เย็นไปไหมครับ หรือว่าร้อนเกินไป”

“พอดีแล้วล่ะครับ”

“งั้นผมไม่ปรับอุณหภูมิเพิ่มนะ”

“ครับ”

เสียงทุ้มใหญ่ขานรับเป็นการยืนยัน เจ้าของห้องจึงเอี้ยวตัวไปทางข้างเตียงเล็กน้อย ยื่นมือเรียวออกไปหาโคมไฟซึ่งอยู่บนโต๊ะที่หัวเตียง ทว่ายังไม่ทันจะแตะโดนมือกลับต้องชะงักลงไปก่อนเพราะเสียงของคนที่อยู่ด้านหลัง

“ถ้านอนแล้วคุณกลัวหัวปลา หัวไก่ เลือดหมูไหลนองมาหลอกหลอนในฝัน จะกอดผมก็ได้นะครับ ผมอนุญาตให้กอดฟรี เพราะยังไงชื่อของผมก็แปลว่ากอดอยู่แล้ว”

ประโยคที่เหมือนจะไร้ที่มาที่ไป แต่ขณะเดียวกันก็มีที่มาที่ไปนั้นทำให้ร่างโปร่งต้องเบี่ยงหน้ากลับมาทางเจ้าของเสียง ภันวัฒน์ทอดตัวลงบนที่นอนแล้วตะแคงข้างหันมายิ้มเผล่ให้อย่างอารมณ์ดี อาทิตย์อัสดงมองด้วยสายตาละม้ายเอือมเล็กน้อยและตอบกลับไป

“ชื่อคุณไม่ได้แปลว่ารักหรือไงครับ”

ทว่าประโยคนั้นกลับทำให้คนที่ยิ้มอยู่ยิ้มค้างราวกับถูกหยุดเวลา ภันวัฒน์รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ ขึ้นมาจนก้อง รับรู้ได้ถึงจังหวะหนักๆ ที่ทุบอยู่ใต้แผ่นอกหนาแกร่ง เพราะคำว่ารักถูกเปล่งออกมาจากน้ำเสียงของคนที่อยู่ตรงหน้า

แม้รู้ดีว่าเป็นการพูดถึงชื่อ ไม่ได้มีเจตนาหมายถึงความรู้สึกที่มีให้ แต่กระนั้นกลับระงับอาการที่กำลังก่อเกิดนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันความแปลกประหลาดใจ ฉงน สงสัย พิศวง มหัศจรรย์ ความรู้สึกประเภทนี้นานัปการรุมเร้าขึ้นมาจนแน่นสมอง

เขาไม่คิดว่าตัวเองจะยังมีความรู้สึกใจเต้นเพราะคำพูดเดียวของใครสักคนหลงเหลืออยู่ในช่วงที่วัยล่วงเข้าสามสิบแล้ว มันนานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยเกิดความรู้สึกเหล่านี้กับตนเองมาก่อน

ที่ผ่านมาอย่างน้อยก็ในช่วงสิบปีมานี้ คนที่เขาคบด้วยล้วนเป็นคนที่เขารู้สึกดีด้วยและคิดว่าเข้ากันได้ ไม่มีความรู้สึกหอมหวาน อ่อนไหว เหมือนสมัยตอนชั้นมัธยมต้นจนพลั้งเผลอคิดว่านี่เป็นความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่มาโดยตลอด

แต่แม้ในใจจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นจนอดทึ่งไม่ได้ ถึงกระนั้นร่างสูงก็ยังรักษาความเป็นตัวเองและตอบกลับไปอย่างหยอกกระเซ้า

“ก็สำหรับคุณตอนนี้ ชื่อผมคงมีความหมายแค่ในระดับนี้ เอาไว้อีกหน่อย ตอนที่คุณรักผมแล้ว ผมค่อยเลื่อนระดับไปแปลว่าแบบนั้นก็ยังทันถมเถ”

รอยยิ้มฉายบนกรอบหน้าคมคาย ทำให้คนฟังหลงคิดด้วยซ้ำว่า หรือตนเองจะโดนหลอกเรื่องชื่อ จริงๆ แล้วชื่อฮัก ที่เจ้าตัววอนขอให้เขาเรียกนั้น เป็นชื่อที่ภันวัฒน์ตั้งมาเพื่อหวังจะเล่นมุกนี้ในสักวันหนึ่ง

พอคิดเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกว่าภันวัฒน์ช่างเป็นคนที่มีชั้นเชิงเสียจริงๆ





ประตูไม้ถูกปิดลงพร้อมกับล็อกกลอนจากด้านในเอาไว้ด้วยความเบามือที่สุด หลังจากผู้เป็นเจ้าของบ้านก้าวออกมาจากภายในแล้ว แม้จะรู้ว่าเพียงแค่เสียงปิดประตูบ้าน ไม่มีทางดังไปถึงห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบนที่มีใครบางคนกำลังหลับอยู่ก็ตาม

ร่างโปร่งหันหลังกลับ สวมรองเท้าและก้าวเดินตรงไปยังประตูรั้วของบ้าน ทว่าก่อนจะถึงประตูรั้วที่มีระดับความสูงเหนือศีรษะตนเองราวครึ่งชั่วแขนสายตาก็พลันประสบกับกล่องอะไรบางอย่างบนเสาของรั้วบ้าน มือเรียวจึงเอื้อมขึ้นหยิบมันลงมา พิจารณาด้วยความฉงนอยู่ไม่น้อย

ทว่าครั้นเปิดมาเห็นของที่อยู่ภายใน ดวงหน้าขาวตี๋ก็เบือนกลับไปมองยังห้องนอนชั้นบน เพราะสิ่งที่พบนั้นคือมาการองสีสันสวยน่ากินไม่น้อย และคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาจะเห็นปาทิซิเย่เจ้าสำราญคนนั้นถือมันมาด้วยเมื่อวานนี้ คงจะวางลืมทิ้งไว้เป็นแน่ เพราะแม้แต่รองเท้าของเจ้าตัว เขาก็เป็นคนจัดเก็บให้นอกจากนั้นยังมีกระดาษใบเล็กๆ แปะอยู่บนฝากล่องระบุเหตุผลที่มันมาอยู่ที่นี่ด้วย



ผมทำให้มาคุณกินเล่นครับ ของหวานอร่อยๆ จะทำให้มีความสุข ^_^




ในเมื่อเป็นน้ำใจและความห่วงใยที่อีกฝ่ายส่งต่อมา หากปฏิเสธก็คงเป็นการเสียมารยาท อีกทั้งเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ตัดรอนชายคนนั้นอย่างเหี้ยมโหดอีก แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมามันจะไม่เคยสำเร็จก็ตาม แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีผลกระทบกับจิตใจหรือความรู้สึกไม่มากก็น้อย ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกผิดจริงๆ ดังนั้นกล่องหูหิ้วขนาดกำลังน่ารักจึงถูกอาทิตย์อัสดงถือขึ้นไปยังรถยนต์สีขาวด้วย

ถึงที่ทำงาน กล่องใบนั้นถูกวางลงบนโต๊ะ อาทิตย์อัสดงง่วนอยู่กับงานที่สะสมมาตลอดช่วงหลายวัน เพราะแม้ว่าจะจัดการไปได้บางส่วน แต่ก็ยังมีส่วนที่เกิดความเสียหายระหว่างที่อาการของตนอยู่ในช่วงย่ำแย่ เพราะงานที่ทำอยู่เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ อาการเหล่านั้นจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจ

แต่วันนี้เขารู้สึกปลอดโปร่งมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา จิตใจสงบและสมองโล่งอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว จึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว

“วันนี้มึงดูอารมณ์ดีดีนะ”

“มึงว่างั้นเหรอ”

ชายหนุ่มเหลือบมามองเพื่อนข้างตัวเล็กน้อยโดยที่ไม่หยุดมือซึ่งกำลังขยับเมาส์ ใบหน้าที่เคยมีแววหมองน้อยๆ เพราะยังไม่คืนสภาพในวันนี้ดูเปล่งปลั่งกว่าทุกวัน ไม่มีความรู้สึกด้านลบแผ่ซ่านมากับบรรยากาศของเจ้าตัว

“อืม แต่ก็ดีแล้วล่ะ ถ้ามึงได้เจอเรื่องดีๆ แล้วมีความสุข กูก็ดีใจ”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเดียวกับคำพูดอย่างชัดเจนจนคนฟังรับรู้ได อาทิตย์อัสดงหันไปทางหนึ่งฤทัยเป็นครั้งแรกของวัน ระบายรอยยิ้มที่ไม่มีแววระทมทุกข์ให้เห็น

“ขอบใจว่ะ”

เห็นภาพเบื้องหน้านั้นแล้วยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกชุ่มฉ่ำใจ อยากขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้นได้ และกลับมาเป็นอาทิตย์ที่สว่างไสวเหมือนเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘แล้วอะไรล่ะที่ทำให้พระอาทิตย์ดวงนี้เป็นเช่นนั้น’ นัยน์ตาเรียวยาวจึงกวาดสำรวจเพื่อหาต้นตอ

แล้วก็เจอจริงๆ...

กล่องขนมสีขาวมีลวดลายเล็กๆ น่ารักวางอยู่บนโต๊ะของเพื่อนที่วางทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า มือบางยื่นไปจับที่หูหิ้วซึ่งเป็นกระดาษเช่นเดียวกับตัวกล่อง

“นี่อะไรอะ” แม้จะถามเช่นนั้น แต่เธอก็หยิบกล่องออกมาเปิดดู เห็นภายในเป็นขนมน่ารับประทานแล้วก็เอ่ยถามต่อ “มาการองน่ากินว่ะ ขอชิมได้ปะ”

ร่างโปร่งเหลือบสายตาไปทางเพื่อนเล็กน้อยราวกับเป็นสัญชาตมนุษย์ แต่เพียงครู่เดียวอะไรบางอย่างก็มากระทบใจทำให้รู้สึกลนลานขึ้นมาในอก แม้กระนั้นก็ยังปั้นหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พยายามไม่ให้คนฟังรู้สึกติดใจสงสัย ทั้งที่อยากจะยื่นมือออกไปปิดฝากล่องใจจะขาด แต่ก็ต้องหักห้ามใจตนเองไว้

“ไม่รู้ว่าเสียหรือยัง วางทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ได้แช่ตู้เย็นด้วย จะลองเสี่ยงไหม”

อาทิตย์อัสดงลอบเม้มปากตนเองแน่น ก่อนจะนึกได้ว่าข้อความที่ถูกติดไว้บนฝากล่องถูกแกะออกไปแล้วเมื่อตอนอยู่บนรถ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารู้สึกไม่อยากให้เพื่อนกินอยู่ดี ทั้งที่รู้ดีว่ามันก็แค่ขนม ไม่จำเป็นต้องหวงเลย

“อ้าว แล้วนี่ก็ไม่เอาไปแช่ตู้เย็นด้วย ป่านนี้เสียแล้วมั้ง กูไม่กินแล้วกัน เดี๋ยวจู๊ดๆ แล้วหมดสวยพอดี”

“เออๆ ก็ตามใจ”

ร่างโปร่งตอบด้วยถ้อยคำที่ธรรมดาที่สุด พลางสังเกตเป็นระยะว่าเพื่อนสาวนำมันกลับไปวางยังที่เดิมหรือยัง เมื่อเห็นว่าหนึ่งฤทัยทำตามที่คาดหวังก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ

ผ่านไปสักระยะ หลังจากหญิงสาวคลายความสนใจขนมที่วางอยู่บนโต๊ะตนแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงเปิดกล่องออกและส่งขนมเข้าปาก

รสชาติหอมหวานปริมาณพอดีแผ่นซ่านอยู่ในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้จริงๆ ตามคำบอกของผู้ทำ มันไม่ได้เน่าเสียจากสภาพอากาศหรืออุณหภูมิและไม่มีกลิ่นแปลกปลอมใดๆ เลย ดังนั้นมือซ้ายจึงหยิบชิ้นต่อไปเข้าปากอย่างลืมตัว โดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกสายตาของคนข้างๆ จับจ้องอยู่ทุกครั้งที่ขนมชิ้นเล็กถูกส่งเข้าปากที่มีรอยยิ้มติดอยู่

หนึ่งฤทัยมองพลางคิดว่า...หรือขนมนั่นจะได้มาจากเจ้าของร้านขนมคนนั้น?

และแล้วมาการองร่วมสิบชิ้นก็หมดจากกล่องไปด้วยเวลาไม่นาน เมื่อรู้ตัวว่าขนมที่ใครคนหนึ่งตั้งใจทำมาให้ตนเองหมดลงแล้ว อาทิตย์อัสดงก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้

จะว่ามันอร่อยจนอยากกินอีกก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามีอะไรซุกซ่อนมากกว่านั้น

แต่แม้จะคิดเช่นนั้น ความว่างเปล่าที่ปรากฏอยู่ในกล่องก็เป็นหลักฐานว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จึงยอมตัดใจและพยายามลบเลื่อนความคับข้องในใจนั้นไปจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

อดีตบล็อกเกอร์ตรงกลับบ้านตามเวลาเลิกงานโดยไม่รอเพื่อนสาวเช่นเดียวกับทุกครั้ง เพราะว่าไม่อยากให้คนที่เสนอตัวว่าจะอยู่เฝ้าบ้านต้องไปทำงานสาย ทว่าเมื่อขับรถไปถึงหน้าบ้านแล้ว จิตใจที่เบาสบายมาตลอดทั้งวันก็เริ่มปั่นป่วน นิ้วมือเย็นลงกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้มีแค่รถยนต์คันสีเทาดำของภันวัฒน์เพียงคันเดียว






อ่านต่อข้างล่าง

v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน



v


v

ทั้งที่ไม่อยากคิดให้วุ่นวายใจ หรือตีตนไปก่อนไข้ แต่ก็คิดเป็นอื่นไม่ได้

อาทิตย์อัสดงหยุดรถลงยังบริเวณที่เลยหน้าประตูรั้วไปเล็กน้อย เพราะพื้นที่ถูกขวางกั้น ก่อนจะลงมาจากรถช้าๆ ด้วยย่างเท้าที่ไม่มั่นคงนัก เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเท้าติดพื้นอยู่หรือไม่ มันคล้ายว่าจะซวนเซลอยไปอย่างไรอย่างนั้น

กระทั่งไปหยุดที่ประตูบานใหญ่ เขาไขกุญแจออกด้วยมือสั่นเทา ค่อยๆ ขยับเท้าเข้ามาภายใน และดูเหมือนคนที่อยู่ในบ้านจะรู้ตัวกระมัง ถึงเปิดประตูและออกมาต้อนรับ

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

ภันวัฒน์พูดด้วยเสียงทุ้มนุ่มเบาสบาย ไม่แฝงแววอื่นใดให้คนฟังรู้สึกหนักใจแม้แต่น้อย ราวกับว่าสถานการณ์ปกติ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเคลือบแคลงหรือหนักใจทั้งสิ้น ตรงข้ามกับหลักฐานที่เห็นอย่างชัดเจน

“คุณ...”

เสียงที่หลุดออกมาจากปากของร่างโปร่งเบาหวิวคล้ายจะลอยไปกับอากาศทันทีที่ออกจากปาก ระบุสถานะทางใจให้ภันวัฒน์รับรู้ได้อย่างชัดเจน ร่างสูงจึงสืบเท้าเข้ามาใกล้ เผชิญหน้ากันและยื่นมือมาดึงมือเรียวเอาไว้ เขากุมมันเบาๆ พร้อมกับจับจ้องใบหน้าขาวที่แสดงสีหน้าพรั่นพรึง แล้วจึงคลี่ยิ้มบางเบาเพื่อให้คนเห็นสบายใจขึ้น

“มา...เหรอครับ”

แม้ไม่ต้องระบุชื่อ ภันวัฒน์ก็รู้ว่าบุคคลที่เจาะจงถึงเป็นใคร เขาพยักหน้าเบาๆ พร้อมกระชับมือที่จับเอาไว้ด้วย เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับคนที่กำลังหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

อาทิตย์อัสดงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่าในลำคอแข็งสากจนเจ็บไปหมด ถึงกระนั้นก็ยังเค้นเสียงออกมาถาม พลางพยายามปรับสภาพจิตใจของตนให้ผ่อนคลายที่สุด กล่อมตัวเองด้วยใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้าม และดูเหมือนมันจะช่วยให้ความรู้สึกปั่นปวนที่ตีรวนอยู่ในอกสงบลงได้ไม่น้อย

“แล้วคุณยังไม่ไปทำงานอีกเหรอครับ เห็นบอกว่าเข้างานตอนเย็น”

ภันวัฒน์ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนตอบ

“เข้าเลทนิดหน่อยครับ เพราะยังไงคืนนี้ก็อยู่ดึก แล้วก็อยากอยู่เป็นพยานด้วย”

“ขอบคุณนะครับ”

ไม่มีคำอื่นใดจะพูดไปได้มากกว่านี้ ร่างโปร่งจึงได้แต่เอ่ยคำนั้นออกมา ไม่เพียงแต่รู้สึกขอบคุณทางคำพูด แต่ขอบคุณอยู่ในใจด้วยที่อีกฝ่ายไม่ทิ้งเขาไว้และให้เผชิญหน้ากับอดีตเพียงลำพัง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะอยู่กับคุณจนกว่าเขาจะได้กลับ”

คล้ายกับรู้ว่าแม้จะพยายามทำเหมือนสงบใจได้ส่วนหนึ่ง แต่ความรู้สึกสารพันยังก่อคลื่นลมอยู่ในใจของร่างโปร่ง ภันวัฒน์จึงเอ่ยอีกครั้ง มิหนำซ้ำยังดึงมือเรียวที่จับเอาอยู่ขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ดั่งร่ายคาถาแห่งความเข้มแข็งให้อย่างไรอย่างนั้น และดูท่าว่ามันจะใช้การได้ดีเสียด้วย เพราะเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบา ทว่าอบอุ่นนั้น อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกอุ่นวาบในใจ คลื่นพายุที่ก่อนความพินาศในใจถูกทำลายในชั่วพริบตาเดียวจนราวกับเป็นเรื่องโกหกเสียด้วยซ้ำ

“ไปเผชิญหน้ากันนะครับ ไปทำให้มันจบ แล้วคุณจะได้เป็นอิสระสักที”

ใบหน้าคมคร้ามยังไม่ละทิ้งรอยยิ้มไปเลย ละม้ายกับจะใช้มันเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ อดีตบล็อกเกอร์จึงยอมพยักหน้าเบาๆ เพื่อปฏิบัติตามคำเสนอนั้น เขาเดินเข้าบ้านไปทั้งที่ถูกกุมมือเอาไว้หลวมๆ ประหนึ่งแรงเพียงน้อยนิดที่ส่งมาจากมือใหญ่นั้นเป็นเชือกพันธนาการเอาไว้จนไม่สามารถปลดออกได้






---------------------
เรื่องพาร์ทนี้ใกล้เคลียร์แล้ว
คุณภันแววพระเอกจับระยิบระยับยันตอนหน้า


Undel2Sky

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เป็นตอนที่หวานมากเลยค่ะ คุณอาทิตย์นี่คือเรื่องราวดีๆในชีวิตของคุณภัน คุณภันเองก็เหมือนกัน ฮืออออออ ยอมแล้วค่ะ ตอนนี้คุณภันพระเอกมากจริงๆ 555555 ดูสิคะ คนที่รู้ว่าคุณอาทิตย์คิดอะไร รู้ว่าพูดแบบไหนทำแบบไหนคุณอาทิตย์จะสบายใจ คนแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้เหรอคะ ไม่ค่ะไม่ คุณอาทิตย์คะ แรกๆคุณอาทิตย์อาจจะแค่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวางจิตใจ แต่อยู่ๆไปเราเชื่อว่าคุณอาทิตย์ก็จะเริ่มรักคุณภันเองค่ะ ฮืออออ ทำไมเราต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยคะ ยังจำความรู้สึกตอนเกลียดคุณภันแรกได้อยู่เลยอ่ะ 55555555 แต่ตอนนี้คุณภันน่ารักจริงๆค่ะ หวังว่าจะน่ารักแบบนี้ไปเรื่อยๆนะคะะะะ แล้วก็ขอให้การคุยครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยเถอะค่ะ เฮ้อออ  :mew4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นี่เป็นปาติซิเยร์หรือวีรบุรุษ?
รัศมีพระเอกวิ้งวับจับตามากกกกก

ขำฟรีที่หวงขนม ต่อไปก็หวงคนทำด้วยเนอะ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
พัฒนาการจากโจรเป็นพระเอกได้ภายในไม่กี่ตอน
นับถือเลยพ่อปาทิซิเย่

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ตอนนี้รังสีพระเอกคุณภัณฯ จับมากกกกกกกกกกกก ---มันจ้าซะเหลือเกิน

รอเคลียร์ปมนะคะ ฟรีทำได้อยู่แล้ว พระเอกอยู่ด้วยทั้งคนนี่งุ้ย ♥

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
23th Entry : มัดมือชก






การพบหน้าคนที่ไม่ได้เจอกันมาตลอดหนึ่งปีเป็นเรื่องที่ทำให้ก้อนเนื้อในอกสั่นโยกได้ไม่น้อย อาทิตย์อัสดงพยายามสูดลมหายใจลึกและช้าที่สุด มือซึ่งจับอยู่กับมือของคนที่อยู่ข้างกายกระชับแน่นขึ้นด้วยแรงของตนเองผิดจากก่อนหน้านี้ ดั่งจะให้มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและช่วยพยุงความอ่อนไหวที่ทำให้เหมือนจะอ่อนแรง

“ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกนะเอม”

แม้เคยคิดว่ามันยากที่จะกลับมาพูดคุยกับอดีตคนรักได้อีกครั้ง แต่ร่างโปร่งก็ทำได้สำเร็จ เขามองหญิงสาวที่สภาพต่างไปจากอดีต เธอที่เคยสดใสเห็นแล้วรู้สึกสดชื่นเหมือนดอกไม้เบ่งบานกลับกลายเป็นดอกไม้ที่ร่วงหล่นและถูกเหยียบย่ำจนบอบช้ำ ไม่มีเค้าเดิมสักนิด

“ให้ผมแก้มัดเธอไหมครับ”

เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน อาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะเบาๆ ปฏิเสธ การให้เธออยู่ในสภาพที่ขัดขืนไม่ได้เช่นนี้อาจจะดีกว่าก็เป็นได้ คาดเดาได้ว่าที่เธอถูกจับมัดมือไพล่หลังรวมทั้งมัดขาเอาไว้เช่นนี้คงเพราะตอนโดนภันวัฒน์จับได้ เธอพยายามหนีอย่างเต็มที่นั่นเอง

“เอมทำแบบนี้ทำไม”

ด้วยไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อไปนานกว่านี้ ผู้เสียหายในคดีจึงสอบถามอย่างตรงประเด็น ซึ่งสายตาของเจ้าหล่อนที่ตอบกลับมาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดปัง ราวกับจงใจให้เห็นเสียด้วยซ้ำว่าเธอชิงชังอดีตคนรักของตนเองแค่ไหน

“ล้างแค้นไง”

“ล้างแค้น?”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้ความหวาดหวั่นที่เคยมีสลายไปทันควัน อดีตบล็อกเกอร์เกือบพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกด้วยซ้ำกับคำพูดน่าตลกนั้น

“นั่นควรเป็นคำพูดที่ฟรีต้องเป็นคนพูดหรือเปล่าเอม”

“ก็เพราะฟรี เพราะฟรีนั่นแหละที่ทำให้เอมต้องเป็นแบบนี้ เพราะฟรีคนเดียว!”

เสียงกรีดร้องหวีดแหลมดังขึ้นมาจนแสบแก้วหู แต่กระนั้นมือที่ชายทั้งสองจับกันไว้ก็ยังไม่คลายออกเพื่อเอามาใช้อุดหู

“คนที่ทำให้ฟรีต้องเลือกแบบนั้นคือเอมเองไม่ใช่เหรอ”

“ทำไม ทำไมล่ะ! ทำไมฟรีต้องทิ้งเอมไปด้วย ทำไมต้องให้เอมเลือกผู้ชายคนนั้น เห็นไหม ฟรีเห็นไหมว่าสภาพเอมเป็นยังไง”

เธอยังคงเสียงที่แหลมสูงไว้เช่นเดิม อารมณ์โกรธเกรี้ยวโหมกระพือจนเปลวเพลิงแห่งความแค้นลุกโชน

“ฟรีไม่อยากพูดหรอกนะว่ามันเป็นสิ่งที่เอมควรจะยอมรับมันไป”

“แต่ก็พูดออกมาแล้วนี่ พูดออกมาแล้ว ทำเป็นคนดี แต่จริงๆ แล้วก็สาปส่งเอมใช่ไหมล่ะ อยากให้เอมย่อยยับจะได้สาแก่ใจใช่ไหมล่ะ”

จากที่เคยหวีดร้องด้วยโทสะ สิ่งที่เปล่งออกมาจากหญิงสาวเริ่มคลอด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาของเธอสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่คลายทิฐิที่โชติช่วง

“ฟรีไม่เคยสาปส่งเอมหรอกนะ เพราะทำแบบนั้นต่างหากที่ทำให้ฟรีทรมาน ฟรีตัดขาดจากเอมทุกอย่างแล้ว ตรงคนต่างไป ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”

“ก็ฟรียังสุขสบายดี ทั้งที่เอมต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ ฟรีมีชีวิตที่ดี แต่เอมต้องทุกข์ทรมาน ทั้งโดนทิ้ง ทั้งต้องทำงานงกๆ เลี้ยงลูกคนเดียว มันไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมสักนิด ทำไม ทำไม...”

ร่างโปร่งส่ายศีรษะเบาๆ มีคำพูดมากมายที่อยากสวนกลับไปเหลือเกิน แต่คิดว่าเจ้าตัวคงบอบช้ำเกินกว่าจะรับฟัง เพราะถ้อยคำที่เธอพูดออกมาคล้ายคนสูญเสียสติไปครึ่งหนึ่ง ภาพตรงหน้าสร้างความรู้สึกเวทนาให้เขาไม่น้อย ไม่เคยนึกว่าคนรักเก่าจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เธอเป็นคนทำลายทุกอย่างไป ก็น่าจะมีชีวิตที่มีความสุขจากการลงทุนทำลายมันไปไม่ใช่หรือ

แต่ในเวลานี้มันกลับตรงข้ามกัน เอมิกากลับใช้ชีวิตอย่างน่าสังเวช

“ฟรีจะไม่พูดอะไรต่อไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเราต่างคนต่างอยู่กันไปเถอะ เอมลืมไปเถอะว่าฟรีมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย เราลาจากการแค่ตรงนี้ อย่าทำลายตัวเองอีกเลย เพราะยิ่งทำแบบนี้ก็มีแต่เอมที่จะต้องเสียใจ การทำร้ายคนอื่นไม่ได้ช่วยให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรอกนะ”

“ฟรีด่าเอมเหรอ ด่าเอมเหรอ! ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าเอมเสียใจขนาดไหน”

เขารู้ว่าความเสียใจของเธอไม่ได้มาจากการที่เรื่องระหว่างเขากับเธอต้องจบกันหรอก แต่เป็นเพราะทางที่เธอเดินไปไม่ได้สวยหรูต่างหาก

“ฟรีเคยเสียใจ เสียใจมากกับการกระทำของเอม เอมหักหลังกันทั้งที่ฟรีทุ่มเทให้ทุกอย่าง และก็เชื่อใจตลอด เพราะฉะนั้นจบกันเท่านี้ อโหสิกรรมให้กันไปด้วยดีเถอะ”

“อย่ามาพูดเป็นพ่อพระไปหน่อยเลย ทั้งที่กำลังทำบาปกับเอม ทำให้เอมต้องเดือดร้อนจน่าสมเพชขนาดนี้แท้ๆ ถ้าฟรีเป็นพ่อของเด็กคนนั้นต่อไป เอมก็ไม่ต้องมีชีวิตแบบนี้แล้ว ยังจะกล้ามาพูดอีกเหรอว่าให้ต่างคนต่างอยู่ สำนึกซะบ้างสิว่าฟรีทำเรื่องต่ำช้าขนาดไหน สำนึกบ้างสิ! ชดใช้ให้เอมเลยนะ ชดใช้มาเลย”

ดูเหมือนว่าแม้จะพยายามพูดคุยต่อไปก็ไม่ช่วยให้คนที่ถูกความแค้นบดบังจิตใจเข้าใจได้อยู่ดี อาทิตย์อัสดงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คล้ายจะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา

“มันเป็นความผิดฟรีเหรอ”

“ใช่ ฟรีนั่นแหละผิด ฟรีนั่นแหละที่ผิดที่ทำร้ายเอม ทิ้งเอมไป แล้วไอ้หมอนั่น ไอ้เฮงซวยก็ยังมาทิ้งเอมไปอีก”

“ฟรีผิดจริงๆ น่ะเหรอ”

“ผิด ฟรีผิด ถ้าฟรีไม่ทิ้งเอม เราก็ได้อยู่กันอย่างสุขสบายสามคนพ่อแม่ลูกแล้ว”

“เอมไม่ผิดสักนิดเลยเหรอ”

“เอมจะผิดได้ยังไง เอมเป็นผู้เสียหายนะ”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ ก้อนหินขนาดใหญ่จากที่ไหนไม่อาจรู้ได้ร่วงลงมาหล่นทับถมอยู่ภายในอก แม้กระนั้นมันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด หากแต่เป็นความเวทนา

ผู้หญิงที่เขาเคยรัก เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ

“เอม ฟรีขอเถอะนะ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นกันอีกเลย ปล่อยวางซะ ทำหน้าที่แม่ให้ดี เลี้ยงลูกให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่ดี ฟรีเชื่อว่าเอมทำได้”

“ปากดี!”

หญิงสาวถลึงตามองเมื่อถูกสั่งสอนราวกับตนเองเป็นคนเลวเสียเต็มประดา เธอมองอดีตคนรักตาขวาง ก่อนจะตวัดสายตาไปทางชายอีกคนที่บังอาจจับตัวเธอเอาไว้ แถมยังมัดเธอให้ไปไหนไม่ได้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยสักนิด ทว่าฉับพลันดวงตาเคลือบแค้นก็เพิ่งสังเกตเห็นบางอย่าง

“วิปริต น่าขยะแขยง ที่สุขสบายอยู่ตอนนี้ก็เพราะหันตูดให้ผู้ชายสินะ”

ถ้อยคำเสียดสีผุดออกมาจากกลีบปากที่เอาแต่พ่นคำพูดร้ายกาจครั้งแล้วครั้งเล่า อาทิตย์อัสดงสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกตัวว่าตนยังจับมือของชายอีกคนไว้จึงรีบดึงมันออก พร้อมๆ กับรู้สึกดั่งหัวใจโดนกรีดจนเจ็บจุก หน่วยตาคู่ที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์

ทว่าไม่ทันจะได้คลายมือออกจากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย กลับถูกมือใหญ่กระชับไว้ ภันวัฒน์จับมือร่างโปร่งให้แน่นขึ้นอีก คล้ายกับต้องการบอกว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไป น้ำเสียงที่เคยถูกปิดกั้นเอาไว้มาพักใหญ่ถ่ายทอดออกมาอย่างนิ่งเรียบ

“ผมไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับผม หรือรู้สึกยังไงกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา และผมก็ไม่รู้ว่าในอดีตคุณทำอะไรไว้บ้าง ฟรีถึงต้องเจ็บช้ำเพราะการกระทำของคุณ แต่ผม...กล้าพูดได้ว่าผมจะไม่มีวันทำแบบคุณ จะไม่มีวันทำให้เขาต้องรู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด”

“เหอะ ไอ้พวกปากดี ทำเป็นพูดดีก็ต้องอยู่ด้วยกันสินะ น่ารังเกียจจริงๆ”

“ผมว่าเราคงเจรจากันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร เอาเป็นว่า...ผมขอพูดแบบรวบรัดเลยแล้วกัน”

เสียงทุ้มหยุดไปชั่วครู่ ใบหน้าคมคร้ามที่เคยนิ่งเฉยแปรเปลี่ยน มันเคร่งขรึมจนดุดันขึ้นมาในบัดดล หน่วยตาสีนิลจ้องทมึงไปยังใบหน้าของหญิงสาว เรียวปากวาดยิ้มบางเบา แต่มันเปรียบดุจการแสยะเขี้ยวของสัตว์ป่าดุร้าย บรรยากาศของร่างสูงผิดแผกไปโดยสิ้นเชิง

เอมิการู้สึกได้ถึงภัยคุกคามเพียงแค่การเปลี่ยนสีหน้าของอีกฝ่าย เธอรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไป เขาไม่เคยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าภันวัฒน์ที่มักสนุกสนานอยู่เสมอจะดูน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้

“ถ้าคุณยังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับฟรีอีก ผมคงต้องส่งตัวคุณให้ตำรวจ ข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญ บุกรุกเคหสถาน เพราะผมมีทั้งหลักฐานว่าคุณเอาขยะสดเข้ามาทิ้งในบ้านของฟรีจริงๆ แล้วผมก็ถ่ายคลิปสารภาพของคุณไว้หมดแล้ว แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ยังกล้าที่จะรังควานฟรีอีก ผมคงต้องใช้อิทธิพลมืดสักอย่างที่ผมมี จัดการกับคุณ คุณอาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่ว่าผม...มีอำนาจที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึงพอสมควรเลยล่ะ ถ้าคุณอยากจะลองพิสูจน์ดู ผมก็เต็มใจจะให้บริการคุณอย่างถึงใจ”

ปิดท้ายด้วยการคลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ราวกับจะเชือดเฉือนกันให้ร่างขาดสะบั้น ความกดดันแผ่รอบตัว ประดุจเงามืดกำลังไล่คุกคาม เอมิกาเย็นสะท้านไปทั้งร่าง และสั่นเยือกมากขึ้นไปอีกเมื่อร่างสูงใหญ่เจ้าของคำพูดนั้นย่างเท้าเข้ามาใกล้เธอ

ภันวัฒน์ปลดผ้าที่ใช้รัดข้อมือและข้อเท้าของเอมิกาออกเพื่อให้เธอกลับมาสู่อิสรภาพอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าหล่อนรีบดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทะเลดังมีอะไรบางอย่างพันแข้งขาอยู่จนเกือบล้มหน้าคะมำบนโซฟา จากนั้นก็รีบพุ่งตัวอย่างกระเสือกกระสนตรงไปยังประตูบ้านอย่างรวดเร็ว

“อย่าลืมนะครับ ถ้าอยากลองท้าทายดู ผมยินดีเต็มที่เลย”

ร่างสูงส่งเสียงไล่หลังตามไป แม้เสียงที่เปล่งออกมาจะแฝงไว้ซึ่งความขบขันอยู่น้อยๆ แต่กลับสั่นประสาทผู้ฟังที่หนีตายออกจากบ้าน เธอเซล้มที่หน้าประตู ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานจนสามารถขึ้นรถไปได้

ดูจากสภาพนี้แล้ว คงสามารถยืนยันได้ว่า เธอคงไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีกเป็นแน่

“ผมเพิ่งเคยเห็นคุณทำท่าน่ากลัวแบบนี้นะครับ”

เห็นสภาพของคนรักเก่าแล้วอาทิตย์อัสดงก็อดพูดเช่นนั้นไม่ได้ เขาเบี่ยงหน้ากลับมาทางคนที่ยืนอยู่ห่างไปเล็กน้อย ทว่าบรรยากาศที่ทั้งบีบคั้นและสัมผัสได้ถึงอันตรายกลับสูญสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ดั่งไม่เคยมีมาก่อน กลับมาเป็นความเบาสบายเช่นเดียวกับทุกที

“ปกติผมก็ไม่ใช่คนน่ากลัวนี่ครับ จริงไหม”

คำถามนั้นร่างโปร่งไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน อาจจะเป็นอย่างที่คนเขาว่ากันก็ได้ว่าคนที่ปกติแล้วอารมณ์ดี เวลาโมโหหรือไม่พอใจ จะน่ากลัวมากๆ

“ว่าแต่...ที่ว่าคุณมีอิทธิพลมืดที่กฎหมายเอื้อมมือไม่ถึง นี่จริงหรือเปล่าครับ”

เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ ตามละครทั่วไป แต่ในชีวิตจริงแล้ว คงหาคนใกล้ตัวที่เป็นเช่นนั้นไม่ได้ง่ายๆ อดีตบล็อกเกอร์จึงรู้สึกสงสัย

“เรื่องนั้น...” ร่างสูงขยับตัวเข้ามาใกล้ พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ก็ต้องโกหกทั้งเพอยู่แล้วสิครับ ผมจะไปมีอิทธิพลแบบนั้นได้ยังไง ก็แค่คนธรรมดา”

“จริงเหรอครับ”

ทั้งที่เจ้าตัวออกจะยืนยันด้วยน้ำเสียงชัดเจน คนฟังกลับไม่เชื่อง่ายๆ เพราะภันวัฒน์ทำงานอยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่โต บางทีอาจมีโอกาสได้พูดคุยอย่างถูกคอกับคนที่มีอิทธิพลกว้างขวางสักคนก็เป็นได้

“จริงสิครับ ผมไม่โกหกคุณอยู่แล้ว ก็แค่ขู่ให้ผู้หญิงคนนั้นกลัว แล้วก็เลิกยุ่งกับคุณเท่านั้นแหละ ผมไม่ใช่คนน่ากลัวหรอก ไม่ต้องกังวล ไม่มีทางที่คุณจะถูกอุ้มไปนั่งยางอะไรพรรค์นั้นหรอก แต่ถ้าอุ้มขึ้นเตียงผม นี่ก็อีกเรื่องนะ”

คำหยอกล้อดังตามมาในหางประโยค พร้อมด้วยหน่วยตาคมเข้มขยิบลงข้างหนึ่ง ยิ่งสลัดบรรยากาศคุกุร่นด้วยไอความมืดให้สลายไปจนไม่เหลือแม้แต่น้อย อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตนควรจะขำดีหรือเปล่ากับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะถึงจะรู้เจตนาว่าต้องการให้เขาเลิกคิดมากเรื่องนั้น แต่ความหมายของประโยคออกจะทำให้รู้สึกตลกฝืดจนขนลุกไปหน่อย

“เอาเป็นว่าผมคิดว่าเขาคงไม่กลับมาแล้วล่ะครับ สบายใจได้”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำสีหน้าติดใจสงสัยอะไรอีก ภันวัฒน์จึงสรุปซ้ำ

“ขอบคุณนะครับ ทั้งที่ผมคุยกับเธอไม่รู้เรื่องแท้ๆ”

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่ บางทีไม้อ่อนก็ไม่มีแรงพอที่จะคัดง้างคนบางคน”

ภันวัฒน์ยิ้มให้ส่งท้าย ก่อนจะยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็เริ่มขอตัว ร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงเสนอตัวออกมาส่งเพื่อตอบแทนน้ำใจและความช่วยเหลือตลอดทั้งวันนี้ ทว่าฉับพลันที่ออกมาถึงประตูรั้วของบ้าน อาทิตย์อัสดงก็นึกขึ้นมาได้ เขาเอ่ยปาก ‘รอเดี๋ยวนะครับ’ ก่อนจะตรงไปยังรถยนต์สีขาวของตนเอง หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากในรถหลังจากปลดล็อกด้วยรีโมทที่ยังถือค้างอยู่ในมือตั้งแต่เข้าบ้านไปแล้ว

กล่องกระดาษสีขาวตกแต่งลวดลายถูกยื่นมาให้ร่างกำยำที่เอียงคอนิดๆ มองด้วยความสงสัยในพฤติกรรมของอีกฝ่าย แต่หลังจากได้เห็นว่าสิ่งที่ถูกส่งมาให้คืออะไร เขาก็นิ่งงันไปชั่วครู่ ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามา ด้วยไม่รู้ว่าเหตุผลที่ของสิ่งนั้นถูกส่งคืนมาให้คืออะไร

จะบอกว่าเป็นของที่เขาลืมเอาไว้

หรือว่า...ไม่ยอมรับขนมที่เขาอยากมอบให้จากใจจริง

ทว่า

“ผมกินหมดแล้วล่ะ อร่อยมากครับ ขอบคุณนะครับที่เอามาฝาก”

คำตอบที่ได้รับไม่ใช่อย่างที่เจ้าตัวคิดหรือแม้แต่เฉียดใกล้ ทำให้ผู้ลงมือทำขนมให้อย่างตั้งใจถึงกับยิ้มแก้มปริ ในอกเต็มตื้นไปด้วยความปรีดาล้นเหลือ ผิดกับผู้ที่ส่งกล่องคืนไปที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำไมตนจะต้องคืนกล่องเปล่าคืนคนที่ให้มาด้วย ทั้งที่จะทิ้งไปเสียก็ได้

ราวกับว่า...อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากินขนมข้างในไปหมดแล้วจริงๆ

แต่ครั้นจะดึงมือกลับมาก็ไม่ทันเสียแล้ว มือหนารับกล่องสีขาวลวดลายน่ารักมา เปิดกล่องออกราวกับต้องการพิสูจน์ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้หลอกให้ดีใจเล่น แต่เมื่อเปิดฝาส่วนที่เป็นหูหิ้วออกแล้ว มันกลับยิ่งทำให้เขาคับแน่นอกด้วยความสุขมากขึ้นไปอีก เพราะกระดาษที่สมควรติดอยู่บนกล่องไม่อยู่แล้ว

อาทิตย์อัสดงกินขนมที่เขาทำให้ด้วยความเต็มใจ และรับรู้ถึงข้อความที่เขาเขียนไว้ให้

ตอนนี้เขากำลังดวงขึ้นหรืออย่างไร?

ภันวัฒน์อดถามตนเองไม่ได้ ขณะเดียวกันหน่วยตาคมก็จับจ้องไปยังใบหน้าขาวผ่องที่ยังหลงเหลือความเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย ความทรงจำเลวร้ายและอดีตที่ตามรังควานจบลงแล้ว บัดนี้...ต่อจากนี้ผู้ชายตรงหน้าเขาคงจะใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง และคงกลับมามีสีหน้าสดชื่นได้อีก

เมื่อคิดดังนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำซึมขึ้นจากบ่อ เขาเอ่ยปากออกมาอย่างไม่รั้งรอ ลืมใคร่ครวญให้ดีเสียด้วยซ้ำว่าจะถูกปฏิเสธหรือไม่

“สิ้นปีนี้ไปเที่ยวกันนะครับ พอดีผมได้หยุดสองสามวัน”

“เอ๋ สิ้นปีเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงทำหน้างุนงงระคนประหลาดใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ ถูกชวนเช่นนี้ ภันวัฒน์พยักหน้าหงึกหงักตอบคำถามนั้น พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงที่ดูอ้อนวอนเล็กน้อย

“นะครับ ผมไม่ค่อยได้เที่ยวปีใหม่เลย ปกติก็ทำงานตลอด”

“แต่ว่าผมไปเที่ยวกับพี่สาวแล้วก็หลานทุกๆ ปีอยู่แล้วนะครับ”

“ถ้างั้นปีนี้ก็เปลี่ยนเป็นไปกับผมสิครับ คุณจะได้ไปปลดปล่อย และผ่อนคลายจากเรื่องที่ผ่านมาด้วยไง”

น้ำเสียงกระตือรือร้นถูกส่งออกมาจากปากหยักหนา ใบหน้าคมเข้มของคนพูดเปี่ยมด้วยความตั้งอกตั้งใจจนคนเห็นรู้สึกปฏิเสธลำบาก จึงได้แต่ยึกยักไม่ตอบคำถาม

“เอาเป็นว่าตามนี้แล้วกันนะครับ”

เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบที่ตนเองจะพึ่งพอใจได้ง่ายๆ แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายยากที่จะปฏิเสธเสียงแข็งใส่ด้วยเช่นกัน ภันวัฒน์ก็อาศัยความว่องไวกล่าวเช่นนั้น แล้วผลุบตัวเข้าไปในรถยนต์สีเทาดำโดยที่ร่างโปร่งไม่ทันตั้งตัว

“แล้วเจอกันนะครับ”

น้ำเสียงสดใสดังออกมาจากคนที่เข้าประจำที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าต่างสีเข้มจะถูกเลื่อนปิดโดยทันที ราวกับว่าป้องกันไม่ให้ใครอีกคนแทรกเสียงขึ้นมาคัดค้านได้ จากนั้นเลื่อนรถออกไปอย่างรวดเร็ว อาทิตย์อัสดงที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจึงได้แต่มองตามรถทั้งที่ยังอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น

“เดี๋ยว...”

รถยนต์สีเทาดำแล่นออกไปไกลจนเริ่มลับตาแล้ว ร่างโปร่งหลุบตาลง ถอนหายใจแผ่วเบากับการกลับไปเสียดื้อๆ ของอีกฝ่าย แล้วจึงกลับเข้าบ้านอีกครา ทว่าเมื่อปิดประตูรั้วและหันกลับมา ก็รู้สึกติดใจขึ้นมาว่าภันวัฒน์จับตัวอดีตคนรักของเขาไว้อย่างไร และเอมิกามาตั้งแต่เมื่อใด

ขายาวสาวเร็วเข้าไปในตัวบ้านเพื่อหาคำตอบ เขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรมตรวจดูวิดีโอในกล้องวงจรปิดเช่นเดียวกับเมื่อวาน

ภาพที่ปรากฏบนมอนิเตอร์ระบุเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆ หญิงสาวคนหนึ่งหอบถุงขยะถุงโตหลายต่อหลายถุงโยนข้ามรั้วเข้ามาในบ้าน ตามด้วยร่างของเธอปีนตามเข้ามา แต่ฉับพลันที่เธอจะลงมือกรีดถุงใบหนึ่ง ก็ถูกร่างอันใหญ่โตกระชากมือเอาไว้

พละกำลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้มีดในมือของเธอหล่นลงพื้นอย่างง่ายดาย เจ้าหล่อนถูกจับหมุนแขนไพล่หลังเอาไว้ได้ในเสี้ยวพริบตา จากนั้นก็ถูกพาตัวเข้ามาในบ้าน ต่อจากนั้นราวห้านาทีได้ ภันวัฒน์เดินกลับมาที่หน้าบ้านอีกครั้ง เขาโยนถุงขยะทั้งหมดออกไป ก่อนจะปีนออกไปนอกบ้านด้วย แล้วจับถุงเน่าเหม็นเหล่านั้นใส่ท้ายรถที่เปิดค้างไว้ ราวกับภาพย้อนกลับการกระทำของหญิงสาว

สิ่งที่ได้เห็นทั้งหมดบนจอสี่เหลี่ยมทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกแปลกประหลาดจนน่าพิศวง เพราะใบหน้าและพฤติกรรมของคนรักเก่าที่ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่มาตลอดกลับไม่ส่งผลใดๆ กับความรู้สึกของเขาในเวลานี้แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เมื่อได้เห็นว่าชายคนนั้นเก็บถุงขยะเหล่านั้นกลับไปคืนที่รถ เขากลับรู้สึกแน่นในอกอย่างไรชอบกล

แน่นเพราะ...ซาบซึ้งใจกับความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายเหลือเกิน





เสียงผู้คนจอแจในช่วงเย็นของวันภายในร้านอาหารดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับชายหนุ่มสองคนที่มานั่งรับประทานอาหารร่วมกันแล้วดูออกจะแปลกสักหน่อย เพราะคนหนึ่งดูจะมีความสุขและมีรอยยิ้มติดหน้าจางๆ อยู่ตลอดเวลา ผิดกับชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นช่วงๆ

“ดูมึงจะแฮปปี้ดีนะ”

เกรียงไกรทักทายเพื่อนรักที่นัดเขามากินข้าวเย็นด้วยกันในวันนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เพราะโดยปกติแล้วพวกเขาจะนัดดื่มกันเสียมากกว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะใครอีกคนซึ่งจะตามมาในภายหลังเป็นคนขอเอาไว้

หนึ่งฤทัยอยากทำความรู้จักกับภันวัฒน์อย่างเป็นทางการ

“เออดิ ช่วงนี้กูมีความสุขว่ะ”

“หน้าบานจนกูหมั่นไส้เลยเนี่ย”

“ช่วยไม่ได้นี่หว่า ช่วงนี้ฟรีใจดีกับกูจนกูตะลึงไปหลายรอบเลย”

“เขาอาจจะหลอกให้มึงตายใจเล่น แล้วหักดิบให้มึงกระอักเลือดก็ได้”

เกรียงไกรทำหน้าเจ้าเล่ห์มองมา พร้อมด้วยส่งเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอเบาๆ จนภันวัฒน์รู้สึกอยากปาช้อนที่อยู่ในจานตรงหน้าใส่หน้าเพื่อนรักเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยั้งไว้ทัน

“ว่าแต่คุณขวัญของมึงจะมากี่โมง กูชักจะหิวแล้วนะเนี่ย”

“อีกสักพัก เขาทำงานออฟฟิศนี่หว่า ไม่ใช่หลักลอยเหมือนมึงกับกู”

“ของกูก็ออฟฟิศเหมือนกันนะเว้ย แต่ว่ากูรีบหนีมาก่อน”

ภันวัฒน์ตอบกลับราวกับต้องการค้าน แต่ประโยคหลังระบุชัดถึงเหตุผลที่สามารถมาถึงตามเวลานัดหมายได้ ซึ่งมันก็ทำให้คนที่ฟังแปลกใจไม่น้อย

“หนีอะไรวะ หนีคุณนนนี่หรือไง”

“เปล่าหรอก กูหนีพร่างต่างหาก”

น้ำเปล่าในแก้วถูกจิบนิดๆ แก้กระหายหลังจากตอบไปเช่นนั้น แต่เกรียงไกรเลิกคิ้วกับคำอธิบายเพิ่มเติม

“พร่าง? อ๋อ มิน่าถึงได้โทรมาถามกูว่าอยู่ที่ไหน”

“ไอ้เวร...” เสียงที่พูดอยู่ค้างไว้เท่านั้น ใบหน้าคมคร้ามที่ดูภูมิฐานนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเสียงพึมพำจะดังขึ้นมาแทรกกลางความเงียบ “ฉิบหายแล้ว”

ภันวัฒน์รีบล้วงลงในกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตั้งเวลาปลุกภายใต้การกำบังของโต๊ะทันทีเมื่อเห็นว่าบุคคลที่ตนกำลังพูดถึงอยู่นั้นเดินตรงมาทางนี้

เขาตั้งเวลาให้นาฬิกาในโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากนี้ห้านาที ก่อนจะยัดมันกลับลงกระเป๋าดังเดิม พลางส่งยิ้มที่ปั้นแต่งให้ดูปกติ ไม่แฝงความรู้สึกใดๆ ออกไป ขณะที่เกรียงไกรซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองอากัปกิริยาของเพื่อนอย่างงงงวยพลางถาม ‘อะไรของมึง’ แต่คำตอบก็มาถึงทางด้านหลังของเขาก่อนที่คนถูกถามจะตอบเสียอีก

“เจอตัวซะทีนะคะพี่ภัน”

“อ้าว พร่าง”

เจ้าของกิจการสถานเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์สำหรับเด็กหันกลับไปทางต้นเสียง เห็นหญิงสาวร่างสะคราญก็ร้องทัก เข้าใจขึ้นมาในบัดดลว่าเหตุใดเพื่อนถึงมีอาการลุกลี้ลุกลนขึ้นมาเสียเฉยๆ

“สวัสดีค่ะ พี่จอม”

ทักทายอีกบุคคลหนึ่งแล้ว พร่างฟ้าก็ตรงมานั่งยังเก้าอี้ว่างฝั่งเดียวกับภันวัฒน์

“สวัสดีครับ พร่าง คิดถึงพี่หรือไงครับถึงมาหาถึงที่เลย”

คนถูกทักเอ่ยตอบพลางเหลือบมองทางเพื่อนสนิทไปด้วย เห็นว่าภันวัฒน์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คล้ายพยายามไม่สร้างพิรุธใดๆ จึงแสร้งถาม ด้วยรู้ว่าตอนนี้เพื่อนมีชนักติดหลังอยู่ เพราะกิตติศัพท์ของน้องสาวคนสวย เขาก็รู้มาไม่น้อยเหมือนกัน

“เปล่าหรอกคะ พอดีพร่างถามคุณนนนี่มา เห็นบอกว่าพี่ภันจะมาหาเพื่อน เลยรีบออกมาจากโรงแรมก่อน พร่างก็เลยตงิดใจน่ะค่ะ ว่าจะใช่พี่จอมหรือเปล่า”

คำตอบของพร่างฟ้าทำให้กล้ามเนื้อบนร่างของภันวัฒน์เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งที่รีบลอบออกมาตอนที่พร่างฟ้าไม่อยู่ในห้องทำงานแล้ว แต่ก็ยังพลาดอีกจนได้ โชคดีว่าเขามาหาเกรียงไกรจริงๆ จึงมีหลักฐานที่อยู่ชัดเจน

“แต่พี่ภันก็ใจร้ายจังนะ ทำไมไม่รอพร่างเลย แค่นัดกับพี่จอม ชวนพร่างมาก็ได้ พี่จอมคงไม่ไล่พร่างหรือไม่พอใจหรอกที่พร่างจะมาด้วย จริงไหมคะ”

เสียงหวานเอื้อนออกมาพร้อมกับดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสวยงาม เธอหันไปทางเกรียงไกรราวกับจะให้อีกฝ่ายสนับสนุนคำพูดของเธอ พลอยให้คนที่ถูกถามอย่างบีบคั้น เริ่มรู้สึกหายใจลำบากไปด้วย เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนแล้วว่าลำบากแค่ไหนกับการมีน้องสาวเกาะติดแจ

หากเป็นช่วงเวลาปกติ กิริยาของพร่างฟ้าคงน่ารักน่าเอ็นดูดี แต่ในยามที่ภันวัฒน์ติดพันอยู่กับคนใดคนหนึ่ง หรือหมายปั้นจะคบหากันในฐานะคนรัก พร่างฟ้าจะกลายเป็นอุปสรรคขวากหนามที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

“คือพอดีว่า...”

เมื่อเข้าใจสถานการณ์ของเพื่อนมากขึ้น เกรียงไกรจึงรู้สึกอยากช่วยขึ้นมา แต่เมื่ออ้าปากออกเพื่อหาข้อแก้ตัวให้ เสียงโทรศัพท์ของภันวัฒน์ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน มันเป็นเสียงของนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ซึ่งดูเหมือนจะดังได้จังหวะพอเหมาะพอเจาะ

ภันวัฒน์รีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาและกดปิดสัญญาณปลุกอย่างรวดเร็ว จากนั้นนำมันแนบเข้ากับหูฝั่งที่พร่างฟ้าจะไม่เห็นหน้าจอในทันที

“ครับ สวัสดีครับคุณนน... เอ๊ะ จริงเหรอครับ ด่วนเลยเหรอครับ ได้ครับ... ครับ... เข้าใจแล้วครับ”

เสียงสนทนาฝ่ายเดียวดังให้อีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยได้ยิน หลังจากจบประโยคสุดท้าย ภันวัฒน์รีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีรีบร้อนก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“เดี๋ยวกูต้องกลับก่อนนะ พอดีมีปัญหานิดหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเพื่อนทั้งที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งยืน ก่อนจะหันมาทางน้องสาว “พี่ไปก่อนนะพร่าง พร่างอยู่กินข้าวกับไอ้จอมไปแล้วกันวันนี้ พี่มีธุระด่วนน่ะ”

พอรวบรัดพูดจนจบ ร่างสูงก็ย้ายร่างออกมาจากโต๊ะโดยพลัน เขายกมือขึ้นตั้งข้างหนึ่งราวกับจะขอโทษขอโพยเพื่อนสนิทที่ตนต้องรีบชิ่งหนีและทิ้งระเบิดไว้ให้ จากนั้นก็สาวเท้าเร็วๆ ออกจากร้านอาหารไปทั้งที่เกรียงไกรและพร่างฟ้ายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ

กระทั่งนั่งลงบนเบาะรถแล้ว ภันวัฒน์ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาเพื่อน

‘ฝากรับมือต่อด้วย’

หลังจากนั้นไม่นานข้อความจากฝ่ายตรงข้ามก็ถูกส่งมา คำด่ากราดยาวเหยียดก่อนจะจบด้วย

‘มึงลืมหรือไง กูนัดคุณขวัญไว้นะเว้ย’

ชายหนุ่มยิ้มออกมาหลังจากอ่านข้อความของเพื่อน เขาทำเป็นไม่เห็นคำผรุสวาทต่างๆ นานา แล้วมุ่งตอบข้อความสุดท้าย

‘อุตส่าห์ให้ตัวช่วยแล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อยสิวะ’

‘ประโยคห่าอะไรล่ะ’

‘มึงก็เลือกเอาสิ 1.ใช้พร่างทำให้คุณขวัญเข้าใจผิดแล้วลาขาด 2.ใช้พร่างทำให้คุณขวัญหึงแล้วยอมรับรัก’


เมื่อตอบไปเช่นนั้น คำสบถก็ตามติดมาเป็นกระบุงโกย เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ระเบิดหัวเราะกับตนเอง ก่อนจะเก็บโทรศัพท์แล้วขับรถออกไป

วันนี้เขามีธุระจะต้องจัดการ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็ถึงวันที่เขาจะไปเที่ยวกับอาทิตย์อัสดงแล้ว





อ่านต่อข้างล่าง

v


v

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2016 20:38:32 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v


แม้จะย่างเข้าสู่ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่แล้ว คนที่เคยตื่นในเวลาประจำโดยไม่ต้องพึ่งพานาฬิกาปลุกก็ยังคงตื่นเช้าเท่ากับเวลาไปทำงาน อาทิตย์อัสดงหมายมั่นว่าจะถือโอกาสนี้ทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เพราะกำหนดการที่คุยกับพี่สาวไว้ว่าจะไปเที่ยวด้วยกันคือวันพรุ่งนี้ และยาวต่อไปอีกสามวัน

ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามแผนการที่วางเอาไว้อย่างดิบดี เสียงสัญญาณที่ดังขึ้นหน้าบ้านตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเคารพธงชาติก็เรียกให้หัวคิ้วของร่างโปร่งขยับเข้ากัน ฉับพลันนั้นคำพูดของชายคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง

‘สิ้นปีนี้ไปเที่ยวกันนะครับ’

เพียงเท่านั้นประสาททุกส่วนในร่างกายก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมา อดีตบล็อกเกอร์กระสับกระส่ายอย่างไม่อาจห้ามได้ ไม่ใช่เพราะลืมว่าเคยถูกเจ้าของร้านขนมชวนเอาไว้ แต่เพราะจำได้ต่างหากเขาถึงได้พยายามลืมและคิดไปว่าคงไม่เป็นจริงหรอก พยายามหลอกตัวเองไว้ว่าภันวัฒน์ไม่มีทางทำอย่างที่พูด ทั้งที่รู้แจ้งแก่ใจมากแค่ไหนว่าอีกฝ่ายไม่เคยโกหกเขาเลยสักครั้ง

เสียงที่หน้าบ้านยังคงดังอย่างต่อเนื่อง คงเพราะรู้ว่าเขาตื่นแล้ว และไม่ได้ออกไปไหนด้วย มิหนำซ้ำอาจจะเห็นตัวเขาแล้วก็ได้ จึงยิ่งก่อความลังเลให้มากขึ้น อาทิตย์อัสดงขบเม้มปากอย่างครุ่นคิด แต่เมื่อมองผ่านหน้าต่างไปยังประตูรั้วแล้วพบว่าร่างสมส่วนทำท่าจะปีนประตูเข้ามาก็ต้องรีบร้อนฉวยกุญแจบ้านแล้วออกไปแสดงตัว

“ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่าปีนเข้ามา”

“ก็คุณไม่ยอมออกมาสักทีนี่ครับ ผมเห็นเดินวนไปวนมาอยู่ตั้งนานแล้ว”

นั่นปะไร เห็นจริงๆ ด้วย

ร่างโปร่งอุทานกับตนเอง รู้สึกขายหน้าที่ทำอะไรพิลึกให้อีกฝ่ายเห็นอีกแล้ว ก่อนจะยอมเปิดประตูรั้วออกแต่โดยดีเมื่ออีกร่างที่ค้างอยู่กลางประตูครึ่งหนึ่งกลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง คล้ายกับใช้หลักจิตวิทยาบีบให้เขาจนตรอก และเปิดประตูให้เอง

“แล้วมาทำไมแต่เช้าล่ะครับ”

“มารับคุณไปเที่ยวด้วยกันไงครับ อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว”

ภันวัฒน์เอียงคอมองราวกับว่าสงสัย แต่แท้จริงใช่ว่าคะเนไม่ได้ว่าร่างโปร่งเพียงแสร้งลืมเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าของหน้าตี๋ๆ รู้เช่นกัน

“ผมยังไม่รับปากเลยนะครับว่าจะไป”

อดีตบล็อกเกอร์ค้านด้วยน้ำเสียงเรียบ บ่งบอกให้รู้ว่าสถานการณ์ ณ เวลานี้คืออะไร แต่ก็ป่วยการ เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะร่างสูงโปร่งกลับถูกกายกำยำคว้าเอาไว้ในอ้อมแขนและยกตัวขึ้นจนเท้าลอย คล้ายกับการอุ้มเด็กอย่างไรอย่างนั้น

“เดี๋ยว คุณ ทำอะไร”

เสียงร้องหลงจนผิดคีย์มาพร้อมกับสีหน้าตะลึงตะลานของคนที่ถูกอุ้มเอาเสียง่ายๆ ราวกับน้ำหนักตัวเบาหวิวจนน่าตกใจ ทั้งที่ตนก็ใช่ว่าจะตัวเล็กเสียเมื่อไร อีกทั้งยังเคยถูกบอกด้วยซ้ำว่าตอนอุ้มเขา เจ้าตัวคนอุ้มต้องลำบากลำบนจนน่าสังเวชแค่ไหน

แต่กระนั้นผู้จัดการหนุ่มก็พาร่างโปร่งมาถึงประตูรถฝั่งข้างคนขับจนได้ มือหนาละออกข้างหนึ่งพยายามใช้แขนข้างเดียวรับน้ำหนักที่ทิ้งลงมาเอาไว้ไม่ต่ำกว่าหกสิบกิโลกรัม เปิดประตูออกก่อนจะพาอาทิตย์อัสดงขึ้นนั่งบนเบาะ และปิดท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่กับประโยคที่ทำให้คนได้ยินยิ่งพรึงเพริดมากกว่าเดิม

“เป็นเด็กดีนะครับที่รัก”

อาทิตย์อัสดงชาไปทั้งตัว ใบหน้าร้อนฉ่าครามครัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้กับหู และไม่คิดว่าจะมีใครพูดเช่นนี้กับเขาเช่นกัน

คำว่า ‘ที่รัก’ ก้องกังวานอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังรู้สึกว่าเสียงนั้นนุ่มลุ่มลึกเป็นพิเศษกว่าครั้งไหนๆ ขณะเดียวกันหัวสมองก็อื้ออึง ร่างกายหยุดชะงัก ราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกหยุดป้อนพลังงานและไม่สามารถใช้งานได้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่กว่าจะรู้ตัว ภันวัฒน์ก็ล็อกประตูรั้วของบ้านและขึ้นมาบนรถแล้ว



----------
ถึงราศีพระเอกจะจับ แต่คุณภันก็ยังไม่ทิ้งคอนเซปต์โจรนะคะ 555

มุ่งสู่พาร์ทสุดท้ายของเรื่อง
32 ตอนจบเป็นที่แน่ชัดแล้วค่ะ


Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2016 00:15:52 โดย undersky »

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
อีก 10 ตอนจะจบแล้ววววว ฮื้ออออ พาร์ทสุดท้ายนี่เป็นเรื่องของน้องพร่างป่ะคะเนี่ย โอ๊ยยย แต่ตอนนี้คุณภันหล่อร้ายมากนะคะ ทำเราคิดเลยว่าเกิดแกหน้ามืดขึ้นมาเรื่องนี้จะกลายเป็นจำเลยรักรึเปล่า 555555555 เราดีใจนะคะที่คุณอาทิตย์หลุดพ้นจากเรื่องในอดีตสักที ปกติเราคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องสำนึกผิดซะอีกค่ะ แต่แบบนี้นี่แสดงให้เห็นชัดเลยว่าทำไมคุณอาทิตย์ถึงตัดขาดไป นอกจากเรื่องนอกใจนี่คนแบบนี้ใครจะไปอยู่ด้วยคะ สงสารก็แต่ลูกเธออ่ะค่ะ แบบนี้ใครจะดูแล แม่ก็ดูไม่ใส่ใจอ่ะ เฮ้อออ แต่เพราะมีผู้หญิงคนนี้คุณภันเลยขยับเข้ามาใกล้คุณอาทิตย์ขึ้นเรื่อยๆแบบฉุดไม่อยู่แล้วนะคะ ความจริงเรารู้สึกว่าคุณอาทิตย์รับรักคุณภันแล้วด้วยอ่ะ แต่แค่ยังไม่แน่ใจในอะไรบางอย่างอยู่ เออ จริงด้วยค่ะ เห็นคำว่าอดีตบล็อกเกอร์ทีไรใจหายทุกทีเลย ชื่อเรื่องคือบล็อกเกอร์แท้ๆ หวังว่าคุณอาทิตย์จะกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้งนะคะ เฮ้ออออ นี่อ่านไปอ่านมา นอกจากเรารู้สึกว่าคุณภันรุกหนักมากแล้ว หลังๆมานี่ตั้งแต่คุณภันช่วยเก็บขยะให้ ทำไมเราเริ่มรู้สึกว่าคุณอาทิตย์เริ่มอ่อยกลับแล้วเหหมือนกันคะ ทำไม แอร๊ยยยย แบบนี้คุณภันจะไม่หลงยังไงไหวคะ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่เด็ดเท่า ที่รัก แล้วค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ข่นบ้า! คุณอาทิตย์เขินมากแค่ไหนรู้ไหมคะะะะ แล้วนี่จะพาไปเที่ยวไหนคะ อย่าลืมโทรไปเตี๊ยมกับคุณนนก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องพร่างรู้โดนเละแน่เลย เราว่ารีบหาแฟนให้น้องสักคนไหมคะ 555555

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ไม่มีเคล้าเดิมสักนิด  >> เค้าเดิม

คำพูดน่าตลกนั้น   >> นั่น

มีความพูดมากมาย   >> คำพูด

ข้อห้ามก่อความเดือดร้อนรำคาญ >> ข้อหา   

ความตั้งใจอกตั้งใจ  >> ความตั้งอกตั้งใจ

พลอยให้ทำ  >> พลอยทำให้

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะะ  :mew3:

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ชักชอบโหมดโจรขึ้นมาหน่อยๆ หล่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด