「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)  (อ่าน 78781 ครั้ง)

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


อืม... คุณภัณว่าร้ายเข้าขั้นมิจฉาชีพแล้ว
พ่ออาทิตย์อัสดงของป้านี่ร้ายกว่า เพราะผิดคดีอาญาข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว
แต่ก็สมกันนะคะ เกลือจิ้มเกลือ... หรือจะเรียกทั้งสองหนุ่มนี่ว่า 'คู่รักนักแซงค์' ดีไหมเอ่ย? ฮ่า ฮ่า ฮ่า

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :L2:


ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :katai2-1: :katai2-1: o13

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ขนมก็หวานอร่อยกลมกล่อม

แต่สองคนนี้เผ็ดร้อนเป็นต้มยำหม้อไฟเลยทีเดียว

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
มองว่าพระเอกเรื่องนี้ทำเกินกว่าเหตุ แสบนะคนนี้
ถ้าเป็นโจรขโมยแบบในเรื่องโดนแจ้งความไปแล้ว
รอดเพราะอีกฝ่ายคือนายเอกหนุ่มบลัอกเก้อ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
4th Entry : จุดไต้ตำตอ




เสียงรถราที่วิ่งผ่านไปมาขณะรับประทานอาหารกลางวันคล้ายกับเป็นบทเพลงบรรเลงไปแล้วด้วยความเคยชิน อาทิตย์อัสดงนั่งเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวโดยมีรุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นมารวมมื้อกลางวัน ณ ร้านเดียวกันด้วย

ร่างโปร่งตักข้าวเข้าปากแล้วก็พลันนึกขึ้นได้ถึงเรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยปากถาม

“เรื่องงานนอกที่พี่เต็มหามาให้นี่เป็นไงมั่งวะ”

ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่เขาไม่เห็นเพื่อนพูดถึง หรือบ่นหึ่งให้ได้ยินจึงนึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วหนึ่งฤทัยมักจะบ่นถึงความเรื่องมากของลูกค้าให้ฟังในบางครั้งเวลาที่ไม่พอใจ

“หรือว่าคราวนี้ราบรื่นดี?”

“จะว่าราบรื่นก็คงได้มั้งนะ ยังไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรมากมาย คือกูยังมองไม่ค่อยเห็นภาพว่ะ แล้วพวกเวิร์ดดิ้งที่จะใช้อะไรงี้อีก”

“คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง?”

“รายละเอียดมันเยอะไง ปกติกูรับแต่งานออกแบบชิ้นเล็กๆ แต่คราวนี้เป็นโบรชัวร์รายละเอียดมันเลยเยอะหน่อย กูเลยยังจับทางไม่ค่อยได้ ตัวนายจ้างก็คุยดีนะ ดูอัธยาศัยดีเป็นกันเอง นี่กูเลยว่าจะขอนัดคุยแบบเจอหน้า เผื่อจะสะดวกขึ้น แต่จริงๆ ก็นัดไว้แล้วแหละ คืนนี้”

“อ๋อ จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน” หนุ่มหน้าตี๋พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูดน้ำจากหลอด ก่อนจะนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง “ว่าแต่นายจ้างคราวนี้เป็นผู้หญิงใช่ไหมวะ”

“ผู้ชาย”

คำตอบที่ได้รับมาแทบจะทำให้อาทิตย์อัสดงพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มไปออกจากปาก เขาต้องหุบปากฉับพลันเพื่อไม่ให้มันซ่านกระเซ็นออกไปแล้วกลืนลงคออย่างยากลำบาก ราวกับมันกลายเป็นของแข็งแทนของเหลวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ทำแหล่งความรู้ควบบันเทิงของเด็กๆ กูก็นึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก แล้วก็อะไรนะ มึงนัดไปคุยงานกันคืนนี้”

“อืม ทำไมอะ”

หนึ่งฤทัยยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำบ้าง สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ผิดกับเพื่อนชายที่เบิกตากว้างกว่าเดิม

“มึงจะบ้าเหรอ นัดกับผู้ชายค่ำๆ มืดๆ”

“อ้าว ทำไมอะ ก็กูนัดคุยงาน”

“นัดคุยงานก็อันตรายเว้ย ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง เพิ่งคุยงานกันแค่สองสามครั้งด้วยไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมต้องนัดตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็นัดได้ อย่างเสาร์อาทิตย์เงี้ย ไม่ใช่งานด่วนไม่ใช่หรือไง”

“มึงนี่คิดมากเป็นตาแก่หัวโบราณไปได้ ก็เขาว่างตอนนั้น กูก็เลิกงานก่อนหน้านั้นไม่เท่าไร อีกอย่างกูเป็นคนขอนัดเขาเอง ไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายขอนัดสักหน่อย”

หญิงสาวส่ายหน้าให้กับความคิดของเพื่อนสนิทที่ดูจะเป็นห่วงเธอขึ้นมาเสียดื้อๆ พลางทำหน้าเอื้อมระอา ทว่าอาทิตย์อัสดงกลับทำสีหน้ากังวล ต่างกันโดยสิ้นเชิง

“เอาเป็นว่า วันนี้กูไปด้วย ให้กูไปดูก่อนว่าเขาไว้ใจได้ไหม ถึงกูจะเห็นหน้ามึงจนเบื่อแล้ว แล้วกูก็ต้องฝืนใจพูดอยู่หน่อยๆ แต่มึงไม่ใช่คนขี้เหร่”

“จะบอกว่ากูสวยก็พูดมาเถอะ อย่าทำกระดากปากเลย”

หนึ่งฤทัยยิ้มแป้นราวกับถูกชมไปแล้ว ขณะที่อาทิตย์อัสดงได้แต่ทำหน้าหน่าย ส่ายศีรษะและบอกเพียงสั้นๆ

“เอาเป็นว่ากูไปด้วย จบ”

เมื่อตัดสินใจเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจึงมายังสถานที่นัดหมายพร้อมกับหนึ่งฤทัย เธอโทรหาลูกค้าหลังจากมาหยุดหน้าร้านกาแฟ ซึ่งอีกฝ่ายก็บอกไว้ว่าให้เข้ามาได้เลย เพราะมารออยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งบอกตำแหน่งที่ตนเองนั่งอยู่ด้วย ทั้งคู่จึงเข้าไปตามคำบอก ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะหนึ่ง

ชายหนุ่มหน้าตาดีและบุคลิกดูดีสมกับเป็นเจ้าของกิจการดังที่ว่ามองอาทิตย์อัสดงด้วยความฉงนเล็กน้อย นึกประหลาดใจที่มีคนอื่นมาด้วย ซึ่งร่างโปร่งก็พออ่านสายตานั้นออก และก็รู้สึกว่ามันคงแปลกที่มีบุคคลไม่เกี่ยวข้องติดสอยห้อยตามมา จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

“พวกคุณนัดดึกไปหน่อยน่ะครับ ผมก็เลยมาเป็นเพื่อน ให้ผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียวมันอันตราย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมไม่เข้าไปก้าวก่ายงานหรอก จะนั่งรอที่โต๊ะข้างๆ นี่ล่ะครับ เชิญตามสบาย”

ว่าแล้วก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อย เพราะดูอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะอายุมากกว่าตนเองอย่างน้อยสองปี ซึ่งทางนั้นก็ผงกศีรษะตอบรับด้วยเช่นกัน ก่อนอาทิตย์อัสดงจะย้ายร่างไปยังตำแหน่งที่อ้างถึงเมื่อครู่แล้วหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เบาะนุ่ม พลางเหลือบมองการคุยงานของเพื่อนเป็นระยะ




สองมือใหญ่บีบนวดเฟ้นก้อนสีขาวครีมอย่างเป็นจังหวะ ควักแล้วตลบให้เข้ารูปก่อนจะกดขยำมันซ้ำไม่ผ่อนแรง หน่วยตาดำขลับจับจ้องราวกับกำลังหลงใหลก้อนนวลเนียนนั้นจนหลงลืมเวลา จดจ่อสมาธิอยู่แต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด กระทั่งเสียงโทรศัพท์ซึ่งวางไว้ข้างๆ ดังนั้นจึงยอมเงยศีรษะขึ้น

ภันวัฒน์เหลือบมองหน้าจอเครื่องสื่อสารอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นชื่อที่แสดงขึ้นมาก็ยื่นมือไปปัดเบาๆ เหนือโทรศัพท์หนึ่งครั้งเพื่อรับสาย

“มีอะไร”

ไม่ต้องขยับตัวเข้าไปใกล้หรือยื่นปากเข้าหา ไมค์และลำโพงของเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมก็ทำงานของมัน

[ว่างปะเนี่ย ออกมาหน่อยดิ]

“กูไม่ว่าง ทำขนมอยู่ นี่กูต้องทำตารางให้มึงดูไหมว่ากูทำขนมวันไหนบ้าง”

[อ้าวเหรอ อยู่ร้านอะดิ ถ้าทำตารางให้จะเป็นพระคุณ ถุย]

“มีอะไรจะคุยก็มาที่ร้านแล้วกัน เดี๋ยวเปิดประตูให้”

คล้ายกับการตัดจบประโยคสนทนาเมื่อมือหนากลับไปขยี้ขยำก้อนสีขาวอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังนวดแป้งขนมปังสำหรับใช้ทำโทสต์

ไวท์เบรดเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องทำเป็นประจำทุกวันเพื่อความสดใหม่ ส่วนขนมอื่นๆ จำพวกเค้ก เขาทำวันเว้นวัน และจัดแบ่งจำนวนให้เพียงพอขายต่อหนึ่งวัน หากจำนวนที่จัดแบ่งขายไม่หมดในหนึ่งวัน จะไม่มีการเอามาขายทบซ้ำ ส่วนแพนเค้กและวาฟเฟิล จุ๊บแจงและเป็นหนึ่งสามารถผสมแป้งเองได้

หลังจากนั้นไม่นาน ปลายสายที่ติดต่อมาเมื่อครู่ก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ภันวัฒน์เหลือบตามองไปยังฝั่งตรงข้ามครัวขนมบนชั้นสามของร้านซึ่งแบ่งเป็นห้องทำงานขนาดเล็ก สังเกตบนมอนิเตอร์ที่เปิดภาพกล้องวงจรปิดตัวที่อยู่หน้าร้าน เมื่อคาดเดาได้ว่าเป็นเพื่อนของตนเองจึงรับโทรศัพท์อีกครั้ง

“แป๊บ”

เขาบอกไปแค่นั้นและนวดโดต่อไปอีกสักพักให้เนื้อเนียนเข้าที่ ก่อนจะใส่พิมพ์แล้วทิ้งให้มันขึ้นฟูตามกำหนดเวลา จากนั้นจึงค่อยลงไปชั้นล่างเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือนยามวิกาล ซึ่งอีกฝ่ายที่คอยอยู่ข้างนอกมาร่วมครึ่งชั่วโมงก็ทำหน้าหงิก

“ทีหลังบอกกูก่อนก็ได้ว่ากูต้องรอกี่นาทีมึงถึงจะพร้อมมาเปิดประตูให้ กูจะได้ไม่ต้องมายืนตากยุง”

“มึงก็รู้ว่าเวลาทำขนม กูไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างอื่น”

“เออ ครับๆ ขนมสำคัญที่สุดสำหรับมึงนั่นแหละ”

พอก้าวเข้ามาในร้านแล้วร่างสูงที่มาใหม่ก็เดินตามเจ้าของร้านขึ้นไปที่ชั้นสาม นั่งลงบนที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ห่างจากเคาน์เตอร์ครัวซึ่งแบ่งฟากครัวกับพื้นที่ใช้สอยอื่นๆ อย่างชัดเจน เพราะเคยมาที่นี่แล้วโดนด่าตอนย่างกรายเข้าไปในพื้นที่ส่วนครัว เขายังจำได้ว่ามันพูดกับเขาว่าอะไร

‘อย่าเอาตัวเหม็นๆ ของมึงเข้ามาในครัวกู’

ตอนนั้นเล่นเอาเขาเกือบหน้าหงายเลยทีเดียว

“แล้วมีอะไรล่ะ”

ภันวัฒน์เมินเพื่อนร่างขนาดทัดเทียมกันแล้วกลับสู่โลกส่วนตัวอีกครั้ง ตาจับจ้องอุปกรณ์ทำขนมขณะที่มือหยิบจับนั่นนี่ไปเรื่อย คิดว่าขนมชิ้นต่อไปเขาจะทำอะไรดี ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่แยแสเพื่อนที่อุตส่าห์ถ่อสังขารมาหาเสียทีเดียว

“พรุ่งนี้มึงว่างปะ”

“ก็...” เสียงทุ้มใหญ่ครางในลำคอพลางนึกถึงตารางงานในวันพรุ่งนี้ไปด้วย เอกสารสำคัญๆ วันนี้เขาเคลียร์ไปหมดแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เข้างานเร็วหน่อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากจะกลับเร็วกว่าปกติ “พอว่าง ทำไม”

“งั้นไปกับกูหน่อย”

“ไปไหน”

“เอาน่า เอาไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”

หัวคิ้วหนาขยับเข้าหากันเล็กน้อย ประหลาดใจเพื่อนรักที่อยู่ๆ ก็มาชวน มิหนำซ้ำยังไม่บอกเหตุผล ทว่าก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และเหมือนเกรียงไกรจะเข้าใจ จึงเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“แล้วไอ้เรื่องบล็อกเกอร์คนนั้น ว่าไงมั่ง แผนล่อเสือออกจากถ้ำใช้ได้มะ เจอตัวหรือยัง”

“เจอแล้ว”

คำถามออกมายาวเหยียด แต่คำตอบกลับสั้นกุด เหมือนว่าเจ้าตัวไม่ค่อยอยากอธิบายเพิ่มเติมนัก จึงยิ่งชวนให้รู้สึกสนใจ เกรียงไกรโพล่งเสียงออกมาอย่างเริงร่า

“นั่นไง กูว่าแล้ว นี่มึงต้องนับถือความฉลาดของกูเลยนะ ถ้ากูไม่บอก มึงคงจะโง่ดักดานอยู่แบบนั้น”

ใบหน้าที่เอาแต่ก้มมองขนมที่กำลังง่วนทำอยู่เชิดขึ้นอย่างเร็วพลัน หน่วยตาคมตวัดมองเพื่อนราวกับเขม้นมองผู้ล่าฝ่ายศัตรู ริมฝีปากหยักได้รูปขยับอย่างเชื่องช้า

“ถ้ากูไม่เสียดายว่าขนมกูจะเสียของ กูปาใส่หัวมึงพร้อมทั้งชามไปแล้ว”

“โธ่ๆๆ ทำเป็นยอมรับความจริงไม่ได้” ยิ้มทะเล้นคลี่ออกมาอย่างสะใจ หัวคิ้วขยับยกขึ้นลงสลับสองข้างไปมา พานให้ยิ่งน่าหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก “แล้วยังไงอะ เขาตกลงจะอัพบล็อกแก้ให้มึงไหม”

“ไม่ หมอนั่นบอกว่าให้กูทำขนมให้เขายอมรับได้ก่อน ถึงจะยอมอัพแก้ให้”

“อ้าว” เสียงร้องอย่างผิดหวังระคนประหลาดใจดังมาจากร่างที่อยู่อีกฟากของเคาน์เตอร์ “ขนมของมึง กูก็ว่าอร่อยดีนะ”

“เออ กูก็ไม่รู้ยังไง เมื่อวันก่อนเอาขนมที่ลองทำไปให้ ก็ไม่ได้คำตอบ”

“ทำไมวะ หรือว่าเล่นตัว กลัวเสียหน้า”

เกรียงไกรคาดการณ์สถานการณ์เท่าที่พอจะเป็นไปได้ เพราะเป็นใครก็คงไม่อยากจะประจานความผิดพลาดของตนเองนักหรอก โดยเฉพาะท่ามกลางสังคมโซเชียลที่เต็มไปด้วยนักเลงคีย์บอร์ด

“หมอนั่นหลับคาขนมกู”

คำตอบที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาและเกินกว่าจะความคาดหมายทำให้ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นก้องไปทั่วทั้งชั้นสามของร้านห้องนั่งเล่น

เกรียงไกรหัวเราะจนเจ็บท้อง รู้สึกเหมือนหางตาจะเริ่มเปียกขึ้นมานิดหน่อย

“โอ๊ย กูยกให้เป็นมุกตลกประจำปีนี้ของกูเลย ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะของเพื่อนราวกับจะซ้ำเติมกันอย่างไรไม่รู้ และมันก็พานทำให้ภันวัฒน์ย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากเขาต้องวิ่งเป็นหนูติดจั่นด้วยความร้อนรนภายในบ้านของบล็อกเกอร์หนุ่ม สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกหนทางเดียวเพื่อความอยู่รอด



ร่างสูงหันไปมองหน้าต่างอีกรอบ ก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหามันอีกครั้ง เพราะดูท่าว่าจะเป็นทางเดียวที่เขาสามารถออกไปได้ เขาพิจารณามุ้งลวดก่อนจะถอดมันออกมา มองที่กรอบหน้าต่างทั้งสี่ด้านแล้วจึงตกลงปลงใจ

‘ช่วยไม่ได้นะ คุณบังคับให้ผมทำเอง’

คล้ายกับจะพูดกับเจ้าของบ้านอย่างไรอย่างนั้นทั้งที่อีกฝ่ายไม่อยู่ จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ไปยังตู้ซึ่งเป็นชั้นวางโทรทัศน์ คาดหวังว่าจะเจออะไรบางอย่างที่ต้องการ และโชคก็ค่อนข้างเข้าข้างเพราะเจอสิ่งที่หวังเอาไว้

เขาหยิบกล่องเครื่องมือออกมา คว้าไขควงแฉกมาไว้ในมือ จับมันให้มั่นแล้วตรงเข้าไปหาหน้าต่าง จัดการไขน็อตซึ่งยึดวงกบกับเหล็กดัดสีขาวเอาไว้ แม้ว่าจะต้องออกแรงมากเสียงจนแทบแขนหลุด แต่ในที่สุดนกรอบเหล็กนั่นก็แยกออกจากกรอบไม้ได้

ภันวัฒน์วางเหล็กดัดที่ถอดทิ้งเอาไว้นอกหน้าต่างแล้วก้าวข้ามออกมาอย่างง่ายดาย ดูนาฬิกาข้อมือซ้ำอีกครั้ง เห็นว่าตอนนี้เข็มยาวของนาฬิกาเลยเลขหกมานิดหน่อยแล้วก็รีบโยนไขควงเข้าในบ้านไป ก่อนจะปีนข้ามรั้วของบ้านไปอย่างรวดเร็ว

ร่างสูงเข้าประจำที่ในรถยนต์พร้อมกับสตาร์ทและเหยียบคันเร่งออกไปทันที พลางเลื่อนมือไปปรับเครื่องปรับอากาศให้ลมเป่าออกมาแรงที่สุดด้วย เพราะเมื่อครู่เขาเสียเหงื่อไปไม่น้อย ขณะที่สายตาจับจ้องถนน ขับรถสวีดสวาดที่สุดเท่าที่เคย ก่อนจะมาถึงที่หมายได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด

ขายาวสาวเร็วๆ ไปยังห้องทำงานของตนเอง แต่ก็ยังไว้ทีไม่ให้เสียบุคลิกของผู้มีตำแหน่งสูง ไม่ให้ใครจับได้ว่าเขากำลังรีบร้อนแค่ไหน และพอเดินผ่านหน้าโต๊ะทำงานของเลขานุการสาวจนเข้าไปอยู่ในห้องได้ ลมหายใจเฮือกใหญ่ก็ถูกปล่อยออกมาราวกับหมดแรง

แต่ไม่ทันให้ได้พักผ่อนอย่างใจคิด เสียงเคาะประตูก็ดังตามมาทันที นนทิยาอุ้มแฟ้มเอกสารพลางก้าวเข้ามา เธอเหลือบตามองเจ้านายของตนเล็กน้อยราวกับกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยเสียงออกมา

‘ชุดเมื่อวานนี่คะ’

‘อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ผมขอดูเอกสารแป๊บหนึ่ง’

ภันวัฒน์เก๊กมาดขรึมสุดชีวิต กล่าวด้วยเสียงที่ปรับให้ราบเรียบที่สุดและยื่นมือออกไปเพื่อรับแฟ้มที่เลขานุการสาวกอดอยู่ ซึ่งเธอก็ยื่นให้เขาแต่โดยดี เพราะเหลืออีกประมาณห้านาทีจะต้องเข้าประชุมแล้ว




“แล้วไงต่ออะ เขาหลับได้ไงวะ”

“กูไปหาตอนตีสองกว่าๆ”

น้ำเสียงที่แจกแจงรายละเอียดนั้นเรียบนิ่งราวกับไม่รู้สึกสำนึกใดๆ ทั้งสิ้นถึงการกระทำของตนเองที่ไปล่วงล้ำเวลาของผู้อื่นในยามวิกาล จนคนฟังต้องย้อนเสียงกลับมา

“เออ มิน่าล่ะ สมควร”

“ก็วันนั้นกูเพิ่งเลิกงานนี่หว่า ดันมีเคสร้องเรียนจากลูกค้าที่ห้องจัดเลี้ยง กว่าจะเคลียร์ได้”

คำตอบที่ได้รับมาพอจะทำให้เกรียงไกรเข้าใจได้ เพราะงานของเพื่อนเขามักจะเป็นเช่นนี้ เนื่องด้วยเป็นผู้จัดการฝ่าย จึงต้องรับผิดชอบดูแลงานทั้งหมดทุกแผนกที่อยู่ภายใต้ส่วนงานของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดกรณีฉุกเฉินซึ่งส่งผลกระทบกับลูกค้า ก็มักจะเป็นฝ่ายออกหน้ามากกว่าผู้จัดการแผนกเสียอีก จะเรียกว่าเป็นผู้มีใจบริการก็คงได้กระมัง

“แล้วทำไมมึงไม่ไปวันรุ่งขึ้นล่ะวะ”

“กูทำขนมไว้ตั้งแต่คืนก่อนแล้ว มึงคิดว่ากูควรเอาขนมที่ไม่ได้เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ไปให้เขาชิมเหรอวะ”

มันก็จริง ได้ยินเสียงพึมพำดังเบาๆ มาแบบนั้น แล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลง ก่อนจะกลับมาเป็นสถานที่และวันเวลานัดหมายสำหรับวันพรุ่งนี้และเกรียงไกรก็กลับไป เพราะรู้ว่าเพื่อนต้องทำขนมอีกหลายชั่วโมงจึงไม่อยากรบกวนเวลาอีก




รถยนต์สีเทาดำเลื่อนตัวเข้าจอดภายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เมื่อใกล้ถึงเวลานัด ภันวัฒน์เลื่อนรถเข้าจอดอย่างเรียบร้อยก่อนจะตรงไปยังจุดหมาย ซึ่งคือร้านกาแฟชื่อดังที่มักจะมีคนพลุกพล่านหนาตาอยู่เสมอโดยเฉพาะในช่วงเวลาสองทุ่มเช่นนี้

เมื่อไปถึงร้านก็เห็นว่าเพื่อนนั่งประจำที่โต๊ะหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ เนื่องจากปกติแล้วเป็นเขาเสียอีกที่มักจะมาก่อนเวลา ถึงจะโดนเลขานุการตำหนิบ่อยๆ เรื่องว่าชอบแวบไปแวบมาในเวลางาน ถึงกระนั้นเขาก็ถือว่าเป็นคนที่รักษาเวลาพอสมควร และแท้จริงแล้วอาการเตร็ดเตร่ของเขาที่นนทิยาเรียกว่า ‘อู้งาน’ นั้น ก็เพียงแค่ชอบไปเดินตรวจตราตามแผนกที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเองเท่านั้น เพราะเบื่อการทำงานนั่งโต๊ะ

“ไหงมึงถึงมาก่อนกูได้วะ”

หลังจากทิ้งกายลงบนเก้าอี้ตัวเคียงข้างกันแล้วก็เอ่ยถามขึ้นทันที

“กูนัดดีลงานไว้ ก็ต้องมาก่อนเวลานัดสิวะ”

“อ๋อ” ภันวัฒน์ครางในลำคอเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังถามต่อ “แล้วมึงจะให้กูมาด้วยทำไม”

เมื่อถูกถามเช่นนั้น เกรียงไกรก็ขยับตัวชิดเพื่อนมากขึ้นอีกหน่อยก่อนจะอธิบายเสียงเบา ราวกับเป็นความลับขั้นสุดยอดและกลัวว่าใครจะได้ยิน

“ก็คนที่กูดีลงานด้วยเป็นสาวสวย”

“เลยถูกใจมึงว่างั้น”

เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภันวัฒน์จะรู้ว่าเพื่อนชอบผู้หญิงสไตล์ไหน และแฟนของเกรียงไกรคนก่อนๆ ก็เป็นสาวสวยทั้งนั้น

“เออ แต่ว่าติดปัญหานี่สิ”

“ปัญหาเรื่อง”

คิ้วหนาย่นเข้าหากันเล็กน้อยพลางครางเสียงถาม เพราะปกติแล้วเพื่อนเจ้าสำราญคารมดีไม่เห็นจะต้องการความช่วยเหลือเรื่องการจีบหญิงจากเขาแม้แต่ครั้งเดียว เรียกได้ว่าหากคิดจะสอยดาว เกรียงไกรก็ทำได้สบายๆ

“มีหมามาเฝ้า”

จากที่จับหัวคิ้วมาชนกันคราวนี้ก็กลายเป็นคลายออกแล้วเลิกขึ้นเล็กน้อย

“แฟน? เฮ้ย เขามีแฟนแล้ว มึงยังจะไปแยกเขาอีก ชั่วจริงเพื่อนกู”

“กูว่าไม่ใช่แฟนหรอก”

คำตอบสวนกลับมาทันควันราวกับรอตอบอยู่แล้ว

“มึงแน่ใจได้ไง”

“เซนส์กูเองแหละ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นแฟนกัน แล้วก็แน่ใจด้วย แต่คงห่วงเพื่อน มึงมาช่วยเป็นไม้กันหมาให้หน่อยดิวะ”

ไม่รู้คำพูดที่ว่าเขาไม่ใช่แฟนกัน จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน หากว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว เขาก็ไม่อยากจะเป็นตัวแปรที่จะทำให้คนรักมีปัญหากัน จึงอดชั่งใจไม่ได้ เกรียงไกรจึงทำหน้าอ้อนวอน

“นะมึง ช่วยกูหน่อย กูขอร้องล่ะ พลีส”

เงียบเพื่อช่างน้ำหนักตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ ภันวัฒน์ก็ยินยอม เพราะเกรียงไกรไม่เคยขอร้องเขาในเรื่องแบบนี้มาก่อน แสดงว่าเจ้าตัวต้องสนใจผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ ไหนๆ แล้วเขาก็ขอดูทีท่าไปด้วยเลยแล้วกัน เผื่อว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว เขาจะได้ห้ามปรามเพื่อนได้

“สวัสดีค่ะ คุณจอม ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า”

เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เรียกให้ชายหนุ่มทั้งสองคนซึ่งอยู่ระหว่างกึ่งจบบทสนทนาหันไปมอง ทว่าฉับพลันที่สายตาของภันวัฒน์สบกับร่างของเธอ เขากลับต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะบุคคลที่อยู่ข้างเธอ ซึ่งฝ่ายนั้นก็มีอาการไม่ต่างกัน จากนั้นเสียงของทั้งคู่ก็เปล่งออกมาพร้อมกันและเป็นคำเดียวกัน

“คุณ!”

ช่วงเวลาราวกับหยุดนิ่งไปสักพักหนึ่ง เกรียงไกรละหนึ่งฤทัยต่างหันไปมองเพื่อนของตนเองสลับกับมองอีกฝ่าย ก่อนจะเป็นเกรียงไกรที่เรียกสติกลับคืนมาได้ และผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเชื้อเชิญให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวนั่งลง จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อน ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“มึงรู้จักด้วยเหรอวะ”

“ก็เจ้าของบล็อกนั่นไง”

ภันวัฒน์ตอบกลับโดยที่เบี่ยงสายตากลับมาหาคนถามเพียงเล็กน้อย ส่วนความสนใจทั้งหมดหยุดอยู่ที่อาทิตย์อัสดงที่ลังเลอยู่ว่าตนควรจะนั่งดีไหม จนถูกเพื่อนสาวดึงแขนให้นั่งลงจึงค่อยทรุดร่างยังเก้าอี้

“เฮ้ย จริงดิ โลกกลมจังวะ”

อย่าแต่เกรียงไกรไม่อยากเชื่อเลย เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่า ‘หมา’ ที่มาคอยเฝ้าเหยื่อที่เกรียงไกรบอกจะเป็นชายคนนี้ ทว่าหลังจากทำความเข้าใจแล้ว กลับกลายเป็นว่าใบหน้าของต้นเหตุของเรื่องปรากฏยิ้มพรายจนน่าขนลุก หน่วยตาเรียวคมมองเพื่อนอย่างเป็นประกาย

“อะไรของมึง”

เพราะถูกดึงความสนใจมากกว่าฝ่ายที่เพิ่งมาถึง สุดท้ายภันวัฒน์จึงหันมาสบตาเพื่อนรักเต็มๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้อย่างไรชอบกล เกรียงไกรขยับตัวอีกเล็กน้อยแล้วกระซิบใกล้หูคนข้างๆ

“ไหนๆ มึงก็รู้จักเขาแล้ว งั้นก็ช่วยกูหน่อยแล้วกัน ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยไง หนึ่ง มึงได้ช่วยเพื่อน สอง มึงได้จัดการให้เจ้าของบล็อกนี่ยอมขอขมามึงซะ”

ข้อเสนอนี้เกือบทำคนฟังหัวเราะ เหมือนว่าจะเป็นการหว่านล้อมที่ดูอีกฝ่ายจะได้ผลประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาเจรจากับอาทิตย์อัสดงอย่างชัดเจนแล้ว ต่อให้เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะ หรือเล่นงานด้วยวิธีแยบยลอื่นๆ ก็คงไม่ได้ผล เพราะดูท่าฝ่ายนั้นจะเป็นพวกหัวดื้อใช้ได้เลยทีเดียว

“กูว่าเหมือนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอซะมากกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างที่มึงว่าซะอีก”

“ไอ้หน้าตี๋นั่นร้ายขนาดนั้นเชียว”

หลังจากถามเพื่อนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองคนที่กำลังพูดถึง แต่สายตาก็ปะทะเข้ากับหน้าสวยๆ ของหนึ่งฤทัยเสียก่อน เกรียงไกรจึงต้องยิ้มให้แบบติดขัด เพราะเริ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคงสงสัยแล้วว่าเขากับภันวัฒน์คุยอะไรกันอยู่ ดูออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อยด้วยซ้ำ

“เอ่อ คุณขวัญสั่งเครื่องดื่มอะไรก่อนดีไหมครับ”

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ”

เธอยิ้มตอบก่อนหันไปหาเพื่อนคล้ายจะชวนให้ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ด้วยกัน แต่อาทิตย์อัสดงก็ออกตัวว่าจะไปซื้อให้แทนเสียก่อน พอเห็นว่าร่างโปร่งลุกออกไปจากโต๊ะแล้ว เกรียงไกรก็ตีตักคนข้างๆ เบาๆ คล้ายกับส่งสัญญาณให้ตามไปจัดการทำหน้าที่ได้แล้ว ภันวัฒน์จึงทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมานิดๆ จากนั้นก็ลุกออกจากโต๊ะไป






อ่านต่อข้างล่าง

v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2016 01:31:10 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v


v


เครื่องดื่มสองแก้วถูกถือกลับมาที่โต๊ะตัวเดิม แต่เมื่อเห็นว่าใครอีกคนที่นั่งประจันหน้ากับตนเมื่อครู่ไม่อยู่ที่โต๊ะนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงวางแก้วเครื่องดื่มของหนึ่งฤทัยให้เจ้าตัว ก่อนจะแยกตัวมานั่งโต๊ะที่อยู่ฟากตรงข้ามซึ่งมีทางเดินกั้นไว้ เพื่อให้ทั้งสองคนได้พูดคุยเรื่องงานกันได้สะดวกขึ้น

แต่ถัดจากนั้นไม่ถึงห้านาที ภันวัฒน์ก็เดินย้อนกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มในมือ เขามองโต๊ะที่เกรียงไกรและหนึ่งฤทัยนั่งอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเบือนสายตามายังอาทิตย์อัสดงที่เงยหน้าขึ้นมองมาทางตนเช่นกัน พานให้บล็อกเกอร์หนุ่มชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเมื่อครู่เขาคิดว่าอีกฝ่ายกลับไปแล้ว

เมื่อสบตาเข้ากับคนที่เหมือนจะเป็นอริ แต่ก็ไม่ใช่แล้ว ร่างสมส่วนก็ขยับเข้ามาใกล้ และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างง่ายดาย จนคนที่นั่งอยู่ก่อนเปิดปาก

“คุณมานั่งตรงนี้ทำไม”

“โต๊ะนู้นก็เพื่อนคุณกับเพื่อนผมคุยงานกัน ส่วนโต๊ะอื่นๆ ก็ต้องเผื่อแผ่ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการบ้างไม่ใช่เหรอ”

เหมือนโดนตอกกลับมากลายๆ ว่าไร้ความเกรงใจอย่างไรอย่างนั้น อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าหน้าชาไปครึ่งแถบ จึงเปลี่ยนจุดหมายมาเป็นแก้วกาแฟที่อยู่ตรงหน้า ดูดน้ำสีขุ่นนั้นเข้าปาก

จากนั้น...ความเงียบก็โรยตัวลงมา

ทั้งที่มีเพียงเสียงพูดคุย เสียงอุปกรณ์สำหรับทำเครื่องดื่ม เสียงผู้คนเดินไปมาภายในร้าน กระนั้นร่างโปร่งกลับรู้สึกราวกับโต๊ะที่ตนกับคนตรงข้ามนั่งอยู่นั้นถูกตัดขาดออกจากโลกทั้งหมด เกิดเป็นความกระอักกระอ่วน อึดอัดจนเริ่มอุปาทานไปเองว่ายากแม้แต่จะขยับตัว ถึงจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดบล็อกของตนเอง และดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องยอมเค้นเสียงออกมาพลางมองอีกร่างที่ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านกับบรรยากาศนี้เลย

“วันก่อนคุณทำแย่มากนะครับ”

คนที่ถูกกล่าวถึงเบือนหน้ากลับมาหาคู่สนทนาหลังจากทิ้งสายตาไปเรื่อยเพื่อรอเวลา มองสบตาเรียวที่ดูขึงขังคล้ายจะย้ำในคำพูดของเจ้าตัว ก่อนจะพูดออกมาอย่างสบายๆ

“คุณเป็นคนขังผมก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ก็คุณไม่ยอมตื่น”

“ผมบอกคุณแล้วว่าให้ทิ้งกุญแจเอาไว้”

“ผมก็บอกคุณแล้วเหมือนกันว่าผมไม่ได้บ้าหรือโง่ อย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะใส่เหล็กดัดคืนให้ผมสิ เกิดขโมยขึ้นบ้านผมขึ้นมาจะว่ายังไง”

“ผมรีบนี่นา ไม่มีเวลาให้ใส่คืนคุณหรอก”

กลายเป็นการถกเถียงอย่างไร้ประโยชน์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น สีหน้าที่ดูจริงจังเมื่อครู่ของอาทิตย์อัสดงแปรเปลี่ยนไปเป็นไม่พอใจน้อยๆ ก่อนถ้อยคำต่อว่าคล้ายตัดพ้อจะดังตามมา

“คุณรู้ไหมว่ากว่าผมจะใส่คืนได้ ผมต้องไขน็อตจนปวดแขนข้ามวัน”

ได้ยินเช่นนั้น หน่วยตาสีเดียวกับราตรีก็เหลือบมองท่อนแขนเรียวยาวของอีกฝ่าย ทว่าสายตานั้นกลับทำให้คนถูกมองรู้สึกแปลกพิกล

หรือเขากำลังคิดไปเองว่าสายตาสำรวจตรวจตรานั้นเหมือนกับว่ากำลังลวนลามและคุกคาม

เมื่อรู้สึกเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงจึงโพล่งถามเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดมองกันเสียที

“อะไรของคุณ”


“แค่กำลังมองอยู่ว่าที่คุณพูดมามันน่าจะจริง”

จากที่เมื่อครู่รู้สึกแปลกๆ กลับกลายเป็นรู้สึกร้อนขึ้นมาบนหน้าฉับพลัน ไม่ใช่ความรู้สึกพิสดารประเภทเขินอายอย่างแน่นอน แต่เป็นความโมโหโทโส เพราะมันเหมือนเขากำลังโดนดูถูกว่าอ่อนแอไร้กำลัง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ากำลังของตนสู้คนตรงหน้าไม่ได้ก็ตาม

ร่างโปร่งหุบปากฉับ เลิกเสวนากับฝ่ายตรงข้าม พลางหันเหสายตาไปทางอื่น วางตัวนิ่งเฉยเพื่อปิดกั้นการมีอยู่ของอีกฝ่ายอย่างที่สมควรทำตั้งแต่ทีแรก ทว่าเสียงทุ้มใหญ่ก็ดังขึ้นอีก

“เมื่อคืนกลับกันกี่โมงครับ”

จะไม่ตอบก็กระไรอยู่ ปากเรียวบางจึงขยับเบาๆ ทั้งที่ยังหันหน้าไปทางอื่น

“เกือบๆ ห้าทุ่ม”

“ถ้างั้น” ภันวัฒน์พักเสียงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดูนาฬิกาข้อมือ จากนี้กว่าจะถึงเวลาที่ประมาณไว้นั้นยังอีกนาน จึงเสนอ “ไปหาอะไรกินกันเถอะคุณ ผมยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันเลย”

“แล้วคุณมาชวนผมทำไม อยากกินก็ไปกินเองคนเดียวสิครับ”

“กินคนเดียวในร้านอาหารมันดูแปลกๆ ออก”

พูดจบ ร่างสูงก็ลุกขึ้นมาจากตำแหน่งที่นั่ง เดินไปยังโต๊ะข้างๆ เพื่อบอกเพื่อน ซึ่งเกรียงไกรก็ทำหน้าเหลอหลาตอบกลับมาว่า ‘เออๆ’ ขณะที่สายตาเหลือบทางอาทิตย์อัสดงไปด้วย คล้ายจะถามว่าจะเอาอย่างไรกับผู้ชายคนนั้น ภันวัฒน์จึงเดินย้อนกลับไปยังโต๊ะที่ตนเพิ่งจากมาอีกครั้ง

มือหนาคว้าเข้าที่ท่อนแขนของร่างที่นั่งอยู่ ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นจนร่างนั้นต้องลุกตามอย่างงุนงง อีกทั้งยังลากให้ออกไปนอกร้านด้วยกันโดยไร้คำอธิบาย

“เฮ้ยๆ คุณลากผมออกมาด้วยทำไม ผมกินตั้งแต่ก่อนมาที่นี่แล้ว”

“ก็ผมหิวนี่คุณ ยังไงคุณก็ต้องนั่งรอเพื่อนคุณคุยกับเพื่อนผมให้เสร็จอยู่ดี ไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อนดีกว่า”

“แต่ผมไม่อยากไป”

ไม่มีการฟังคำโต้แย้งใดๆ เพราะร่างโปร่งถูกฉุดให้เดินออกมาไกลจากร้านกาแฟนั้นแล้ว จึงได้แต่ยินยอมดึงแขนของตนเองออกพลางบอก ‘ก็ได้ๆ’ เพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ เพราะเริ่มจะถูกสายตาของคนรอบข้างจับจ้องจนกลายเป็นจุดเด่นเกินไปแล้ว

“คุณว่ากินอะไรดี”

“เรื่องของคุณสิครับ คุณหิว คุณอยากกิน ไม่ใช่ผมสักหน่อย”

“โอเค งั้นเอาพวกปิ้งย่างแล้วกัน ผมไม่ได้กินนานแล้ว”

“.....”

ไร้ตอบจากคนที่เดินอยู่ข้างๆ ตาคมจึงเหลือบมองเล็กน้อย เห็นว่าร่างที่เล็กกว่านั้นมองตรงไปด้านหน้า ราวกับไม่อยากจะหันมามองหน้ากันอย่างไรอย่างนั้นก็หลุดยิ้มออกมาเบาๆ ในใจรู้สึกว่าตลกดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าตลกอะไร




--------------------
เลขตอนซ้ำกับที่อัพคราวก่อน เพราะเรารวบตอนแล้วแบ่งใหม่ค่ะ
ไม่ชินกับตอนสั้นๆ เลยแต่งลงจังหวะตอนแต่งไม่ค่อยถูก หลังจากนี้ความยาวก็จะประมาณนี้ค่ะ

เมนต์คราวที่แล้ว "ตอนนี้สอนให้รู้ว่าอย่าขังคนบ้าไว้ในบ้านตัวเอง" กับ "เรื่องเกี่ยวกับขนมหวานกับโจร"
อ่านแล้วขำค้างเลย ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็ขอบคุณคอมเมนต์อื่นๆ ด้วยค่ะ

Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2016 22:21:07 โดย undersky »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ดูเหมือนความสัมพันธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เนอะ

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เข้มข้มมาก มาต่อไวๆ นะ

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


จริง ๆ หนูอาทิตย์อัสดงน่าจะพิจารณาคุณภัณของป้าโดยเร็วนะลูก
พ่อมีคุณสมบัติดี ๆ หลากหลายจนป้าล่ะกลัวใจว่าจะมีใครมาสอยเธอไปจากอกหนูเข้าเสียก่อน...
ไม่ว่าจะเป็นแซงค์กระเป๋าตังค์เก่ง เจรจามัดมือชกดีเลิศ เปิดเหล็กดัดงัดแงะบ้าน แถมยังหน้าด้านลากคนอื่นไปกินข้าวด้วยอีก
บอกเลยว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณภัณของป้าเก่งกาจด้านศาสตร์มืดขนาดนี้... หนูต้องไฝ้ว์กับคนทั้งบางเพื่อคุณภัณเลยล่ะจ๊ะ
(อีป้า... ที่เขียนมามันใช่เหรอ?! - แหม่... ก็นะ ขอแซวพระเอกหน่อยเห๊อะ! คนอะไร๊ ทำไมมันภัณวัฒน์ได้ขนาดนี้วะ! สงสารอาทิตย์อัสดงเป็นที่สุด จุด ๆ นี้ - ปาดเหงื่อแพร่บ!)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^  :L1:


ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่






เมื่อไปถึงร้านแล้วภันวัฒน์ก็สั่งอาหารมาเป็นจำนวนมาก และเมื่ออาหารมาเสิร์ฟเขาก็จัดการส่งเนื้อสีแดงฉ่ำลงเตาย่างอย่างรวดเร็ว เรียวปากหยักหนาได้รูปขยับบอก

“กินด้วยกันสิคุณ”

“คุณกินของคุณไปเถอะครับ”

“แต่พวกปิ้งย่าง มันต้องกินสองคนขึ้นไปถึงจะอร่อย สนุกนะ”

“แค่ผมมานั่งประดับที่โต๊ะด้วยก็น่าจะพอแล้วมั้งครับ”

น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายตอบกลับมา และมันก็ทำให้คนฟังรู้สึกขัดใจอย่างไรชอบกล มือหนาจึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูที่เพิ่งสุกใหม่ๆ มาชิดริมฝีปากของคนที่ปิดปากสนิทจนเจ้าตัวร้อง

“โอ๊ย ร้อนนะคุณ”

“ชิ้นนี้โดนปากคุณแล้ว คุณต้องกินลงไปซะ”

“คุณจะบังคับผมเพื่อ?”

“ไม่รู้สิ”

คำตอบหลุดออกมาอย่างง่ายดายและไร้เหตุผล ภันวัฒน์กระทุ้งชิ้นเนื้อหมูสุกนั้นเข้าหาปากของอาทิตย์อัสดงเป็นระยะ พลางยักคิ้วให้เพื่อคะยั้นคะยอให้งับมันไปสักที ร่างโปร่งที่คล้ายว่าโดนบีบบังคับกลายๆ จึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างอิดหนาระอาใจ และยอมอ้าปากกินหมูชิ้นนั้นเข้าไปอย่างจำยอม

“คุณกินเนื้อหรือเปล่า”

ชิ้นเนื้อวัวรวมทั้งเนื้อหมูหลายชิ้นที่สุกแล้วถูกคีบมาวางลงบนจานเล็กๆ ตรงหน้าร่างสูง ขณะที่เจ้าตัวเอ่ยถามไปด้วย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเชื้อสายจีนมากอยู่ ถึงได้ตาเรียว ผิวขาว จนสามารถบอกได้ทันทีที่เห็น แม้ว่าตนจะมีเชื้อสายจีนอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ชัดเจนเท่าอีกฝ่าย เพราะหน้าตาและผิวพรรณของเขากระเดียดมาทางไทยเสียมากกว่า

“กิน ผมไม่เลือกกินหรอกครับ”

“ถ้างั้นกินนี่ไปด้วย”

คราวนี้เป็นเนื้อวัวสุกที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า อาทิตย์อัสดงชะงักแล้วเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะตอบมา

“คุณจะให้ผมกินให้ได้ว่างั้น”

“ผมสั่งมาเผื่อคุณด้วย เผื่อคุณหิว”

“ผมก็บอกคุณแล้วว่าผมกินมาแล้ว”

ถึงจะตอบแบบนั้น แต่ว่ามือขวาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบชิ้นเนื้อที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเข้าปาก เพราะตระหนักว่าหากเขายังปฏิเสธต่อไป อีกฝ่ายก็คงตื๊ออยู่อย่างนี้

กินไปพลางก็มองหน้าคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะมานั่งกินอาหารกับคนที่เพิ่งรู้จักเพียงแค่ครึ่งเดือน มิหนำซ้ำยังเจอกันแบบนับครั้งได้ และการพบกันครั้งแรกก็ค่อนข้างจะไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจสักเท่าไร คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกอย่างหนึ่งได้

“ว่าแต่คุณจะคืนสร้อยให้ผมได้หรือยัง”

มือที่กำลังจับตะเกียบยกขึ้นชะงักไป ภันวัฒน์เงยขึ้นมองหน้าอาทิตย์อัสดงอยู่ชั่วครู่

“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ คุณเป็นคนเสนอเองนะ แล้วจะให้ผมคืนสร้อยให้คุณได้ยังไงในเมื่อคุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเรื่องขนมเลย”

“งั้นก็เอาขนมที่คุณทำมาให้ชิมซะสิครับ ผมจะได้ตัดสินสักที แต่ช่วยทำให้มันดีๆ แบบทีเดียวผ่านด้วยนะครับ เพราะผมไม่ให้อยากให้มันวุ่นวายคาราคาซังต่อไปเรื่อยๆ”

“ผมว่าคราวก่อนคุณเป็นคนผิดเองนะที่หลับไปก่อน”

เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง แต่ใช่ว่าอาทิตย์อัสดงจะเออออยอมรับผิดโดยดุษณี

“น่าจะเพราะตัวคุณเองมากกว่านะครับที่เอาขนมมาดึกขนาดนั้น แถมยังบุกรุกบ้านผมอีก”

เหมือนว่าจะญาติดีกันได้ไม่เท่าไร ก็ปะทะคารมกันอีก บรรยากาศที่เหมือนจะดีขึ้นเริ่มดิ่งลงเรื่อยๆ ความเงียบเบียดแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน ทั้งคู่กลับไปสนใจกับการจัดการอาหารที่เหลืออยู่จนหมดโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

กระทั่งจ่ายเงินแบบหารครึ่งซึ่งอาทิตย์อัสดงเป็นฝ่ายยื่นเงินครึ่งหนึ่งมาให้ ทั้งคู่ก็ออกจากร้าน เดินเคียงกันมาเพื่อกลับไปร้านกาแฟโดยทำราวกับคนไม่รู้จัก ทั้งที่เพิ่งกินหมูย่างเนื้อย่างจากเตาเดียวกันแท้ๆ และก่อนที่จะจมลงสู่ความเงียบทะมึนกว่านี้ เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของภันวัฒน์ก็ดังขึ้นมาทำลายความกดอากาศรอบตัวที่ต่ำลงมาเสียก่อน

คิ้วหนาย่นระยะเข้าหากันเมื่อมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอหลังจากหยิบอุปกรณ์ที่กำลังส่งเสียงร้องออกมา นิ้วหนากดปุ่มรับสายและขยับกายห่างออกไปจากร่างโปร่งเล็กน้อยเพื่อสนทนากับปลายสายได้อย่างเป็นส่วนตัวขึ้น

อาทิตย์อัสดงมองตามร่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำออกไป เพราะไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่ตนเองต้องรอ แต่เพียงพักเดียวร่างสูงก็เดินตามมาจนทันกัน และก้าวเข้าไปในร้านกาแฟพร้อมๆ กัน

ที่โต๊ะเดิม เกรียงไกรกับหนึ่งฤทัยยังนั่งคุยกันอยู่ บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งกางวางเอาไว้ มีรอยดินสอปากกาขีดเขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น คาดว่าคงกำลังปรึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบโบรชัวร์ แต่บรรยากาศระหว่างทั้งคู่กลับดูสบายๆ เป็นกันเองมากกว่าเมื่อวาน

ภันวัฒน์ตรงดิ่งไปยังโต๊ะนั้นและหยุดลงที่เก้าอี้ซึ่งตนเคยนั่งอยู่ เรียกให้เกรียงไกรหันมามองอย่างงุนงงเล็กน้อย เพราะคิดว่าเพื่อนจะไปนานกว่านี้ และหากกลับมาแล้ว ก็คงจะแยกไปนั่งโต๊ะอีกตัวมากกว่าจะเดินมาหาเขาโดยตรง แต่สีหน้าคร่ำเคร่งที่แสดงอยู่บนดวงหน้าคมคร้ามนั้นกลับทำให้ต้องประหลาดใจเล็กน้อย

“มีอะไรเหรอ”

“กูจะกลับก่อน”

เสียงร้อง ‘อ้าว’ ดังอยู่ในใจของชายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันหลุดออกมาเป็นคำถามถึงเหตุผล ภันวัฒน์ก็ตอบกลับมาก่อน

“ฐานโทรมา”

หลังจากได้ยินคำตอบนั้น เกรียงไกรก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีกนอกจากพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ ภันวัฒน์จึงหมุนตัวกลับแล้วเดินผ่านร่างอาทิตย์อัสดงออกจากร้านไป ขณะที่ร่างโปร่งได้แต่มอง ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ผลุนผลันกลับไปทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำเหมือนจะอยู่จนกระทั่งเพื่อนของพวกเขาคุยงานกันเสร็จด้วยซ้ำ





เมื่อออกจากร้านมา ร่างกำยำก็ตรงไปยังรถยนต์ของตนเอง มุ่งไปสู่จุดหมายที่สอบถามมาจากเจ้าของปลายสายที่ติดต่อมาเมื่อสักครู่ เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็มาถึงผับแห่งหนึ่ง เสียงเพลงดังเสียดแทงแก้วหูจนอยากยกมือขึ้นมาปิด แสงไฟหลากสีสันสลับกันไปมาจนน่าเวียนหัว ยิ่งจำนวนประชากรที่อยู่ภายในสถานที่ที่ไม่ได้ใหญ่โตแห่งนี้ขวักไขว่ ก็ยิ่งทำให้สมองมึนงง

เขาไม่ค่อยชอบสถานที่อโคจรเช่นนี้เท่าไรนัก แต่ว่าคนที่เขามาหาดูจะชอบมันเสียเหลือเกิน

“ดื่มด้วยกันไหมครับ”

“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”

เข้าร้านมาไม่ทันไร ก็ถูกคนที่ตนเดินฝ่าเข้ามาชวนเสียแล้ว ร่างสูงปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อรักษามารยาทเล็กน้อยตามความเคยชิน ก่อนจะก้าวเดินต่อไป โดยนัยน์ตาดำสนิทกวาดมองไปทั่วบริเวณเพื่อหาร่างที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี สอดส่องไปจนทั่วไม่ให้คลาดสายตา พลางย่างก้าวผ่านผู้คนคลาคล่ำไปด้วย และในที่สุดเขาก็สะดุดตาเข้ากับเป้าหมาย สองเท้าจึงรีบสืบเข้าหาอย่างเร็วไว

ร่างนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งตามลำพัง ซบหน้าลงกับโต๊ะประหนึ่งคนเมามายไม่ได้สติ แต่แม้จะเห็นเพียงเท่านั้น ภันวัฒน์ก็คาดเดาได้ว่าใช่คนที่เขามาหา จึงไม่ลังเลที่จะสะกิดเรียกเพื่อให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้ว่าเจ้าของร่างนั้นยังมีสติอยู่ครบถ้วน

กรอบหน้าที่เชิดขึ้นหลังจากถูกแตะที่ต้นแขนเบาๆ แดงก่ำ ทว่าไม่ใช่เพียงใบหน้า ดวงตาก็เช่นกัน อีกทั้งใบหน้าเล็กๆ ที่ได้เห็นนั้นยังเปียกชื้น แต่เมื่อตาแดงๆ มองเห็นว่าคนที่มาอยู่ข้างๆ เป็นใคร แรงที่เหลืออยู่เพื่อพยุงร่างก็เหมือนจะหมดไป และโถมตัวเข้าใส่ภันวัฒน์เต็มกำลัง จนแขนแกร่งต้องยกขึ้นมาเพื่อรับเอาไว้

“พี่ภัน...”

เสียงสะอึกสะอื้นดังลอดออกมาพร้อมกับอ้อมแขนเล็กๆ นั้นกอดกระชับแผ่นหลังกว้างราวกับใช้เป็นที่พักพิง ภันวัฒน์ยกมือขึ้นจะลูบศีรษะเพื่อปลอบประโลม ความรู้สึกสงสารถาโถมเข้ามาจับใจ

“กลับบ้านเถอะ”

“ผม...ไม่อยากกลับ”

เสียงแหบพร่าตอบกลับมาทันทีที่เขาเอ่ยชวน แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้แปลกใจนักด้วยรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไปนอนห้องพี่นะ”

คราวนี้ไม่มีคำตอบเป็นเสียงพูด มีเพียงศีรษะเล็กๆ ที่แนบชิดแผ่นอกอยู่ผงกขึ้นลงหลายๆ ที ภันวัฒน์จึงดึงแขนของร่างที่เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขาให้ทิ้งระยะห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจับข้อมือแล้วจูงให้ออกจากร้านด้วยกัน เพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง

ห้องของเขา...

ภันวัฒน์พาร่างเล็กๆ ที่ราวกับไร้เรี่ยวแรงจึงทำได้แต่เพียงเดินลากเท้าไปยังห้องของตนเองที่คอนโดมิเนียมซึ่งจัดได้ว่าดูหรูหราพอประมาณ เขาเปิดไฟในห้องและตรงไปยังห้องนอนเป็นสิ่งแรก และปล่อยให้ร่างนั้นทรุดลงกับเตียงนุ่ม

ร่างเล็กดูเหม่อลอยดั่งสติพร่าเบลอ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย

พอเขาถามว่า ‘อาบน้ำก่อนไหม จะได้นอน’ ศีรษะกลมเล็กก็ส่ายไปมาเบาๆ ซึ่งเขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าน่าจะได้คำตอบเช่นนี้ จึงผละไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมาก่อนจะตรงไปที่ห้องอาบน้ำ เอาผ้าชุบน้ำจนเปียกแล้วบิดหมาดๆ เดินกลับมาหาร่างบนเตียงอีกครั้ง

สัมผัสเย็นๆ ลูบไล้ใบหน้าที่เคยเปียกชื้น ถึงกระนั้นคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ยังทิ้งร่องรอย เขาจึงต้องกำจัดมันออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ แม้รู้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เลยก็ตาม

“นอนเลยไหม”

เขาถามอีกครั้ง เจ้าของร่างเล็กพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อย ให้เขาช่วยประคองร่างลงที่นอนด้วยพร้อมกัน

ภันวัฒน์ดึงผ้าขึ้นมาห่มให้จนถึงอก หยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศมาเปิดให้อุณหภูมิเหมาะสำหรับการนอน จากนั้นหันมาบอกอีกที

“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน แล้วจะมานอนด้วย”

ฝ่ายนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ก็เหมือนว่าจะรับรู้ เพราะหลังจากได้ยินเช่นนั้นก็ปิดเปลือกตาลง คล้ายกับว่าตนเองได้กลับมายังแหล่งพักพิงที่วางใจได้

ร่างสูงทิ้งสายตาอยู่บนเตียงชั่วครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นดูจะสงบลงได้แล้วก็หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วตรงไปเข้าห้องน้ำ ขจัดคราบเหงื่อไคลและกลิ่นต่างๆ มากมายที่ประสบพบเจอมาทั้งวัน ก่อนจะออกมาใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย และย้ายกายกลับมายังเตียงอีกครั้ง

แรงยวบจากที่นอนและไออุ่นจากกายมนุษย์ที่สูงกว่าอุณหภูมิห้องทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกตัว ร่างเล็กขยับเข้าหาร่างที่ใหญ่โตกว่า ซึ่งภันวัฒน์ก็เขยิบตัวเข้าหาอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน ท่อนแขนแกร่งเลื่อนสูงขึ้นเล็กน้อย โอบกอดร่างนั้นไว้ขณะที่ศีรษะเล็กก็ซุกซบลงบนอกทั้งที่ไม่ได้เปิดเปลือกตา

ภันวัฒน์ลอบผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา จรดข้างแก้มเข้ากับกลุ่มผมสีดำนั้นราวกับทะนุถนอมพร้อมกับหลับตาลง ด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทรา...





หากให้พูดถึงชายคนนี้ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อแปดปีก่อน

ในตอนนั้นเขายังเป็นนักศึกษาปีสี่ คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการโรงแรม เกรียงไกรเองก็เช่นกัน พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งและสนิทกันเรื่อยมาจนกระทั่งปีสุดท้าย

เสียงถอนหายใจของภันวัฒน์ดังเบาๆ เมื่อกดตัดสายโทรศัพท์ที่เพิ่งสนทนาจบเมื่อครู่ พานให้เกรียงไกรที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเลิกคิ้วสงสัยและเอ่ยถาม

“เป็นอะไรของมึง”

“ทำไมถึงชอบมีคนมาตื๊อจีบกูวะ ทั้งที่คนที่กูอยากคบด้วยจริงๆ หาไม่ได้เลยสักที”

เป็นคำบ่นที่ทำเอาเพื่อนรักรู้สึกหมั่นไส้อยู่นิดหน่อย ด้วยเพราะภันวัฒน์เป็นชายรูปร่างดี ผลการเรียนก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าเขา อีกทั้งยังบุคลิกดี หน้าตาถึงจะไม่ได้หล่อเหลาขนาดเป็นพระเอกละครได้ แต่โดยรวมแล้วก็ถือได้ว่ามีเสน่ห์ ถึงไม่ต้องใช้คารมสักนิดก็พอจะทำให้ผู้หญิงเข้าหาได้ไม่ยาก

ผิดกับเขาที่ถ้าเดินท่อมๆ เข้าไปชวนสาวคุย ก็จะถูกเมินก่อนในตอนแรก ต้องอาศัยลูกตื๊อนิดหน่อยจนอีกฝ่าย ยอมคุยด้วย ถึงจะได้ใช้วาทศิลป์ซึ่งเป็นอาวุธเฉพาะตัวพิฆาต

“ก็สเปกมึงมันแปลก”

“แปลกตรงไหน ก็แค่ชอบผู้หญิงอกเล็ก สะโพกไม่ต้องใหญ่แต่ขอตูดกลมกลึง”

ภันวัฒน์ไม่เข้าใจสักนิด ที่โดนตราหน้าว่าชอบของแปลก คิ้วหนาเลิกขึ้นถามเพื่อน แต่กลับถูกสวนกลับมาทันที

“นั่นแหละแปลกแล้ว ปกติผู้ชายคนไหนๆ ก็ชอบแบบอึ๋มๆ เต็มไม้เต็มมือกันทั้งนั้น ผู้หญิงแบบนั้นที่เข้าหามึง มึงก็เขี่ยทิ้งแบบไม่แล แล้วจะหาแฟนได้ยังไง พวกอกเล็กๆ ก็มีแต่แห้งๆ ไม่มีตูดให้มึงขยำหรอก ทำไมไม่หาแฟนเป็นผู้ชายเสียเลยล่ะ”

คนมั่นใจว่าตัวเองไม่แปลกชะงักไปทันควันหลังจากโดนสวนกลับมาเช่นนั้น เพราะไม่เคยคิดมาก่อน แต่เมื่อเกรียงไกรได้เห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็รีบพูดโพล่ง

“เฮ้ยๆ เงียบไปอย่างนี้หรือมึงจะเอาจริง”

ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ไม่คาดฝัน

“จะว่าไปมันก็น่าลองดูเหมือนกัน”

เกรียงไกรถึงกับตาเหลือกไปชั่วครู่





หลังจากได้รับแนะนำจากเพื่อนสุดสนิท ภันวัฒน์ก็อยากจะลองเริ่มต้นดู เพราะเมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้วมันก็เป็นอย่างที่เกรียงไกรว่าจริง ผู้หญิงแบบที่เขาต้องการหายากเกินไป ถ้าไม่ยึดติดว่าต้องเป็นผู้หญิง มันก็น่าจะมีตัวเลือกมากขึ้น อีกทั้งหากเป็นผู้ชาย ก็ตัดปัญหาเรื่องหน้าอกอันใหญ่โตไปได้เลย เขาจึงมุ่งสู่สถานที่ซึ่งจะทำให้เขาได้ค้นพบกับโลกใหม่ที่ยังไม่เคยย่างกรายเข้าไป

สถานที่แห่งนั้นไม่ได้ต่างกับสถานบันเทิงทั่วไปนัก เพราะมีการเปิดเพลงสนุกสนาน มีดีเจที่ช่วยกระตุ้นความบันเทิง และแสงไฟหลากสีวิบวับๆ สลับกันไปมา ยกเว้นก็แต่ผู้คนในสถานที่แห่งนี้แออัดไปด้วยผู้ชายเต็มไปหมด ยากจะมองเห็นผู้หญิงได้

เมื่อได้เหยียบย่างมาสถานที่นี้แล้ว ชายหนุ่มร่างสูง ผิวเข้มนิดๆ แต่ดูดีด้วยบุคลิกและเครื่องหน้าคมคายก็เรียกสายตาของคนที่เผอิญหันมาเห็นได้ไม่ยาก มีใครหลายคนเริ่มขยับเข้าหา ชักชวนไปร่วมโต๊ะ ชวนดื่มชวนเต้น แต่ก็ยังไม่มีใครที่พอจะทำให้เขาสนใจได้

คนเพิ่งเคยมีประสบการณ์ครั้งแรกในการเข้ามายัง ‘ผับเกย์’ ยืนนิ่งมองสำรวจไปรอบๆ ว่าตนควรจะแทรกร่างเข้าไปตรงไหน หรือว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปลึกขึ้น เพื่อว่าจะมีใครที่พอสะดุดตาให้เขาได้ใช้เวลายามค่ำคืน เปิดประสบการณ์ซาบซ่านด้วยเป็นครั้งแรกได้บ้าง ซึ่งมันไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด

ปลายสายตาของเขา ปะทะเข้ากับร่างหนึ่ง...

ร่างเล็กกว่าผู้ชายหลายๆ คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น อีกก้าว... อีกก้าว... และอีกก้าว

ก้าวมันต่อไปจนกระทั่งเกือบจะมาหยุดลงตรงหน้าร่างนั้นอย่างไม่รู้ตัว เจ้าของร่างเล็กหันมามองเขา ผลิยิ้มน้อยๆ ด้วยริมฝีปากแดงจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับดูฉ่ำชื้น ใบหน้าเล็กกระจิริด ผมสีดำสั้นจนเกือบจะเกรียนด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีเคราบางๆ อยู่ตรงปลายคาง แต่กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าขัดตา

ดูอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายขนานแท้ แต่กลับ... ให้ความรู้สึกว่าน่ากอด

เหมือนโดนสะกดด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ขายาวก้าวเดินต่อไป ตรงไปยังร่างนั้น ก่อนจะหยุดลงตรงหน้า

ใบหน้าเล็กๆ นั้นเชยขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาหาราวกับสงสัย พลอยให้ภันวัฒน์เห็นเครื่องหน้าของร่างกะทัดรัดได้ชัดเจนขึ้น ดวงตาสีดำที่ล้อแสงไฟ มีขนตางอนยาวปกคลุมอยู่ด้านบน แม้ว่าในสถานที่แห่งนี้จะค่อนข้างสลัว ถึงกระนั้นก็ยังเห็นได้ชัดเจนมาก

“น้องเป็นเกย์หรือเปล่า”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอเห็นดังนั้น ปากก็หลุดคำถามออกมาเสียแล้ว อีกฝ่ายริมฝีปากกระตุกเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มที่ผุดออกมาน่ามองจนภันวัฒน์ต้องทิ้งสายตาค้างไว้

“พี่เพิ่งเคยจีบเกย์หรือไง ที่นี่ส่วนใหญ่ก็มีแต่เกย์ทั้งนั้น”

“ก็ใช่จริงๆ นั่นแหละ พี่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เพราะเพื่อนบอกว่าน่าจะเหมาะกับเกย์มากกว่าหาแฟนเป็นผู้หญิงก็เลยมาที่นี่ดู”

หลังจากได้ยินคำตอบนั้น ร่างที่อยู่ตรงหน้าภันวัฒน์ก็ชะงักไปเล็กน้อย มองใบหน้าคมคายอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนกลีบปากเล็กๆ จะขยับอีกครั้ง

“ผมชื่อฐานทัพ จะรับวันไนท์สแตนด์กับพี่ก็ได้ พี่จะลองหรือเปล่า”

ได้ยินแล้วร่างสูงก็นึกแปลกใจ ไม่คิดว่ามันจะง่ายดายแบบนี้ แต่คงเพราะเขาทิ้งเวลาตะลึงนานไปสักหน่อย คนที่บอกว่าชื่อ ‘ฐานทัพ’ จึงเอียงคอน้อยๆ ราวกับจะขอคำตอบ ภันวัฒน์จึงตอบกลับไปก่อนที่จะเสียเรื่อง

“ก็ดีสิ งั้นรบกวนหน่อยนะ”

เมื่อว่าแบบนั้นแล้ว เสียงหัวเราะจากคนตัวเล็กก็ดังขึ้นมาอีกระลอก

“งั้นไปงั้นเถอะ เดี๋ยวพาไปโรงแรมใกล้ๆ นี้ ที่ประจำของผมเองแหละ”

ฐานทัพเสนอแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน ดูท่าทางจะเคยชินกับเรื่องแบบนี้แล้วเสียด้วยซ้ำ ทำให้ภันวัฒน์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ตามไปยังสถานที่ที่ว่ามา ซึ่งมันก็ไม่ใช่อะไรที่หรูหรา แค่มีเตียง มีห้องน้ำ ให้สามารถทำอะไรต่อมิอะไรเท่าที่จำเป็นได้

เขารอฐานทัพอาบน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนร่างเล็กจะออกมา ไม่ได้ใส่ชุดคลุมอาบน้ำปกปิดเรือนร่าง แค่คลุมผ้าเช็ดตัวไว้ที่ช่วงล่างเท่านั้น จึงมองเห็นผิวที่เปียกหมาดๆ ด้านบนได้ทั้งหมด

ฐานทัพมีรูปร่างเล็กแบบบางอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชาย เรียกได้ว่าเป็นคนที่โครงเล็กมาก ส่วนสูงน่าจะห่างจากเขาประมาณสิบห้าเซนติเมตรได้ แต่ด้วยความที่มีโครงกระดูกเล็ก เลยทำให้ดูตัวเล็กยิ่งกว่าผู้หญิงที่มีส่วนสูงระดับเดียวกันเสียอีก

“ผมเตรียมตัวเสร็จแล้ว พี่จะอาบน้ำก่อน หรือว่าทำเลย”

เจ้าตัวส่งยิ้มบางๆ ให้เขาที่ยืนพิจารณารูปร่างที่ไม่เคยเห็นพลางถาม เรียกสติให้กลับคืนกลับมาอีกครั้ง

“ฐานทัพล่ะชอบแบบไหน”

“ผมแบบไหนก็ได้ แต่เรียกฐานก็พอ”

“งั้น... ทำเลยไหม”

เมื่อเจ้าตัวอนุญาต ภันวัฒน์ก็เสนอ เขารู้สึกไม่อยากเสียเวลา การได้เห็นร่างที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงห้วงอารมณ์บางอย่าง สายตาเผลอทอดมองยังอกบางที่มีเม็ดสีเข้มประดับอยู่ทั้งสองข้าง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันน่ามองทั้งที่เป็นของผู้ชาย

“ถ้างั้น” ฐานทัพขยับเท้าย่างเข้ามา ก่อนจะผลักภันวัฒน์ให้นั่งลงบนเตียง จากนั้นก็ขึ้นไปคร่อมร่างที่ใหญ่กว่าเอาไว้ ใช้หัวเข่าขนาบชิดต้นขาแข็งแกร่งของภันวัฒน์โดยไม่ให้เสียเวลา “ก็เริ่มเลยแล้วกัน”

หลังสิ้นคำนั้น มือเรียวขนาดสมตัวก็วางบนบ่ากว้าง ริมฝีปากเล็กบางเฉียบเบียดชิดเข้ามาประกบกลีบปากหยักหนา ค่อยๆ ใช้ปลายลิ้นไล่ชอนไปตามร่องปากเบาๆ จนอีกฝ่ายเผยออ้าแล้วจึงเข้าไปเล็มเลียภายใน

ภันวัฒน์ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ เป็นครั้งแรกที่เขาจูบผู้ชายก็ว่าได้ แต่ว่ามันไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจสักนิด ลีลาที่วาดลวดลายอยู่ในปากของเขาทำให้ความสำราญเข้ามาเกาะกุมทีละเล็กทีละน้อย จากที่เคยเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อน ก็เปลี่ยนเป็นผู้ล่าบ้าง

เขาตวัดลิ้นหยอกกระเซ้าฐานทัพจนได้ยินเสียงครางเบาๆ ก่อนจะพลิกร่างให้คนที่เกือบจะนั่งคร่อมบนตนเองลงไปนอนแผ่บนที่นอนโดยมีเขาทาบทับอยู่แทน ดูดรัดกลีบเนื้อด้วยจังหวะที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมั่นใจได้ว่าคงทิ้งรอยช้ำไว้แน่ๆ ขณะที่มือใหญ่กวาดลูบไปทั่วแผ่นอกเรียบแบนแล้วเคล้นคลึงส่วนที่นูนเด่นขึ้นอย่างสำเริงสำราญ

ร่างน้อยแอ่นตัวเมื่อริมฝีปากที่รุกเร้าอยู่เมื่อครู่ไล่ต่ำ มอบความหอมหวานที่ดุดันให้เขาจนปล่อยเสียงร้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ้าเช็ดตัวที่เคยปกคลุมส่วนอ่อนไหวหลุดหายไปเพราะแรงบิดเร้าที่ก่อกำเนิด เผยให้เห็นส่วนที่กำลังตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา

“เดี๋ยวๆ พี่”

มือเล็กจับใบหน้าของภันวัฒน์ที่กำลังหมกหมุ่นกับติ่งเนื้อเล็กๆ บนอกจนลืมเลือนทุกสิ่ง พานให้ภันวัฒน์เงยหน้าขึ้นมาอย่างขัดใจเล็กน้อย

“ใช้นั่นสิ”

จุดหมายของสิ่งที่ระบุไว้คือหัวเตียง มันมีซองพลาสติกที่ดูคุ้นตาวางอยู่ ส่วนข้างๆ กันนั้นเป็นขวดอะไรบางอย่าง ร่างสูงจึงยื่นมือไปหยิบมันมา ก่อนจะตามด้วยเสียงของร่างด้านใต้อีกครั้ง

“ขยายให้ผมก่อน แล้วพี่อยากจะทำอะไรก็ทำเลย”

ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นแหบพร่าพราวเสน่ห์ แฝงไว้ซึ่งอารมณ์หวามไหว เหมือนกิ่งไม้เรียวเล็กที่โยกเอนเพราะแรงลม ดวงตาที่ฉ่ำอยู่ก่อนแล้ววาวระยับยิ่งกว่าเดิม เหมือนผลไม้วิเศษสุกปลั่งกำลังล่อลวงให้ยื่นมือเข้าไปหาแล้วคว้ามันเอาไว้ แม้รู้ทั้งรู้ว่าหากทำเช่นนั้นจะได้รับโทษทัณฑ์

และภันวัฒน์ก็เด็ดดม สวามปามกลืนกินมันจนไม่เหลือ...

ราวกับสัตว์ร้ายตะกรุมตะกราม





หลังจากพลังกำลังฟื้นคืนมาอีกครั้ง เมื่อถามร่างเล็กๆ นั้นว่าจะขอเบอร์ติดต่อได้ไหม คำตอบที่ได้กลับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ฐานทัพส่งยิ้มบางๆ มือเรียวนั้นแตะลงบนแก้มเบาๆ ประทับจุมพิตค้างนิ่งไว้เสมือนขนนกหล่นทับบนริมฝีปาก

“ผมไม่นอนกับคนเดิมซ้ำครั้งที่สองหรอกครับ ก็ผมชอบวันไนท์สแตนด์นี่นา”

“.....”

“ถึงเซ็กซ์ของพี่จะถึงใจผมอยู่เหมือนกันก็เถอะ”

รอยยิ้มผลิกว้างกว่าเดิมราวกับหยอกล้อ ร่างแบบบางหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่โดยไม่ทิ้งแววอาลัยใดๆ สักอย่าง ก่อนจะออกจากห้องไป

ภันวัฒน์อึ้งค้างไปหลายนาที เพราะเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก โลกใหม่ที่ได้ค้นพบ คนแบบที่ไม่เคยพบเห็น พอย้อนคิดไปแล้วก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา มือหนาเสยผมตนเองเบาๆ ก่อนจะจัดการกับเครื่องแต่งกายบ้าง เพราะเวลานี้ร่างของเขายังเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ ปิดป้องของสงวน

“เป็นไงมั่งวะมึง ตกลงได้ลองยัง”

ภันวัฒน์เกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อเหตุการณ์เป็นไปตามคาด หลังจากไปถึงมหาวิทยาลัยในวันถัดไปและได้พบหน้าเกรียงไกร

“มึงรีบไปปะ”

“กูรู้จักมึงมากี่ปีแล้ว ถ้ามึงตัดสินใจอะไร มึงไม่รอให้เสียเวลาหรอก”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาอีกระลอก ก่อนเสียงทุ้มของคนถูกซักจะสวนกลับมา

“เออๆ กูยอมรับ ไปทำตามที่มึงเสนอมาแล้ว”

“แล้วเป็นไง ถูกใจมึงปะ”

ดวงตาของเกรียงไกรวาววับขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบไม่ปิดบัง ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ไม่ได้ต่อว่าใดๆ

“กับเกย์ก็ดีนะ ฟิตกว่าผู้หญิงอีก แถมไม่มีนมเด้งๆ มาดันมาเบียดให้รำคาญ”

คำตอบที่ได้รับทำให้เกรียงไกรตะลึงค้างไปเล็กน้อย รู้สึกมึนตึ้บขึ้นมาชั่วครู่ราวกับถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ ทว่าก็เรียกสติกลับมาได้ ก่อนจะผ่อนเสียงหัวเราะออกมา แม้จะเป็นเสียงหัวเราะแห้งๆ นิดหน่อย

“นี่มึงมาถูกทางแล้วเหรอเนี่ย กูนี่เป็นพระมาโปรดมึงแท้ๆ”

นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มคบกับผู้ชาย เรียกว่าฐานทัพเป็นผู้ชายคนแรกที่เขามีประสบการณ์ด้วยก็ว่าได้

แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ต้องการติดต่อกันอีกครั้ง คล้ายๆ กับว่าแค่เป็นผู้ชายรักสนุก ใช้ผู้ชายคนแล้วคนเล่าก็ทิ้ง ไม่คิดจะสานต่อหรือผูกมัดมาตั้งแต่แรก ดังนั้นหากเขาไม่ไปที่ผับนั้น คงไม่มีทางได้เจอร่างเล็กอีก แต่เมื่อปีที่แล้วเขากลับได้พบฐานทัพโดยบังเอิญ ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบสี่ปีเปลี่ยนไปไม่น้อยเลย

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ในปัจจุบัน...



แสงสว่างในยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ด้านหลังเปลือกตาราวกับถูกเข็มเล็กๆ แยงจนต้องเปิดตาขึ้น ใบหน้าคมคร้ามขยับเล็กน้อยมองร่างแบบบางที่อยู่ในอ้อมกอดอยู่ชั่วครู่ มือหนาแตะลูบเบาๆ ที่ใต้ขอบตาล่างเมื่อรู้สึกว่ามันแดงช้ำกว่าปกติ

กายสูงชันร่างขึ้นอย่างแผ่วเบา พยายามวางร่างเล็กอย่างเบามือไม่ให้รู้สึกถึงการขยับเขยื้อน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปหยิบถุงเจลสีฟ้าในตู้เย็นที่เขาซื้อมาประจำเอาไว้ในตู้เย็นด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เพื่อใช้ลดอาการไข้ ถือมันกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง และวางลงเปลือกตาบางที่ยังปิดอยู่ค่อยๆ

สัมผัสเย็นยะเยือกที่ประทับลงบนตำแหน่งที่อ่อนไหว ทำให้มือเรียวขยับเล็กน้อย เลื่อนขึ้นมาเพื่อหยิบบางสิ่งที่วางอยู่บนหน้าออก แต่ก็ถูกเสียงทุ้มปราม

“วางเอาไว้อย่างนั้นแหละ ตาบวมหมดแล้ว”

“ขอโทษครับ”

เสียงแหบแห้งผิดปกติตอบกลับมา มือหนาจึงลูบศีรษะเล็กเบาๆ ภันวัฒน์พึมพำเสียงในลำคอราวกับลังเลว่าควรจะส่งไปถึงอีกคนดีหรือเปล่า ถึงกระนั้นก็ยังพูดออกมา

“ถ้าเหนื่อยนัก ก็หยุดเถอะ”










------------------
โผล่มาช่วงเทศกาลอีกแล้ว
ใจจริงอยากอัพตั้งแต่วันจันทร์แล้วค่ะ แต่ว่างานทับถมเหลือเกิน

ใครอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ต่อกับตอนเก่าที่เคยอ่านไว้
ย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้วอีกรอบนะคะ เพราะเรารวมตอนใหม่

Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2017 17:07:59 โดย undersky »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไม่รัก ไม่มีเยื่อใย พึ่งพิงได้

อืม...ความสัมพันธ์แบบนิยามได้ยาก


ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ความสัมพันธ์ที่แปลกดี
เกรียงไกรนี่ก็ส่งเสริมเพื่อนได้ดีมาก

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


อา... มีตัวละครใหม่โผล่มาแล้ว
แต่ไม่นะ ยังไงเราก็จะเชียร์พ่ออาทิตย์อัสดงกับหัวหน้าโจรต่อไป!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ ^^   :mew1:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
6th Entry : หูทวนลม






หากนิยามช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินจนเกือบดำเช่นนี้ คงเรียกได้ว่า ‘ยามวิกาล’ อย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งกลับกำลังยืนอยู่หน้าบ้านที่เคยมาเยี่ยมเยือนแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมกับกดปุ่มสัญญาณรัวๆ เพื่อเรียกคนที่อยู่ภายในให้ออกมา

ทันทีที่ประตูของตัวบ้านเปิดออก ก็ได้เห็นใบหน้ามุ่ยของเจ้าของบ้านแต่ไกล เจ้าตัวพาร่างสูงโปร่งในชุดเบาสบายเหมาะกับการนอนมายังประตูรั้ว และพ่นคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

“มาทำไมดึกๆ ผมต้องตื่นไปทำงานตอนเช้านะคุณ แล้วแทนที่จะเข้ามาเลยก็น่าจะโทรมาบอกก่อน”

“ก็ผมเพิ่งเสร็จงาน แล้วก็รีบเอาขนมมาเลย อีกอย่างคุณบล็อกเบอร์ผมด้วยไม่ใช่หรือไง”

คนไร้กาลเทศะเอ่ยอ้าง ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าของบ้านนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วระหว่างที่ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบกลับไป เสียงใหญ่ทุ้มก็ดังขึ้นอีก

“เปิดประตูสิครับ”

“คราวก่อนก็มาเสียเที่ยวไปรอบหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ คุณน่าจะจำได้แล้วนะ”

“นี่ผมอุตส่าห์มาเร็วกว่าคราวก่อนตั้งสองชั่วโมงเชียวนะ คุณก็จะน่าจะเห็นแก่ความพยายามของผมบ้าง”

ภันวัฒน์ไม่ยอมแพ้ ด้วยไม่อยากจะมาเสียเที่ยวอีก เพราะจะว่าที่นี่ไม่ไกลจากที่พักของเขาก็ไม่ใช่ แต่อาทิตย์อัสดงก็ใช่ว่าจะเห็นใจกัน

“แต่ผมง่วงแล้ว นี่เป็นเวลานอนของผม เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน คุณก็กลับบ้านไปได้แล้ว”

พูดเสร็จเท่านั้น ร่างโปร่งก็ทำท่าจะเดินเข้าบ้านไป แต่แล้วก็ต้องเหลียวหลังกลับไปอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงปริศนาที่ทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ลางร้ายมาเยือนเพราะเจ้าของร้านขนมไม่ยอมง่ายๆ ร่างสูงถือวิสาสะปีนประตูรั้วเข้าบ้านไปเฉยเลย จนอาทิตย์อัสดงเบิกตาที่สะลึมสะลืออยู่ขึ้นกว้าง

“เฮ้ยคุณ ปีนเข้าบ้านผมได้ไง”

“คุณง่วง ผมก็ง่วงเหมือนกัน ถ้าคุณบอกว่าจะชิมพรุ่งนี้ ผมรอพรุ่งนี้ก็ได้

“กลับออกไปครับ”

อาทิตย์อัสดงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ดวงตาเรียวจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง แต่คนหน้าด้านก็ยังไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด มีหน้ามาใช้มือดันหลังที่แคบกว่าที่คิดไว้เพื่อให้เจ้าบ้านเดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน

“เฮ้ยคุณ”

แม้ว่าร่างโปร่งจะพยายามจิกเท้าไม่ยอมทำตามอีกฝ่าย แต่เรื่องพลังกำลังเป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้วว่าสู้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมกับแขกยามวิกาลที่ไม่ได้อยากต้อนรับแม้แต่น้อย

เสียงถอนหายใจ ‘เฮ้อ’ ดังออกมาจากกลีบปากเรียวบาง อาทิตย์อัสดงทิ้งร่างบนโซฟา ขณะที่ภันวัฒน์ทำตัวเสมอเจ้าของบ้านเดินเอาขนมที่ใส่กล่องอย่างดีไปเก็บไว้ในตู้เย็น ล้างมือที่เมื่อครู่เพิ่งใช้พาตัวเองบุกรุกเข้ามา

“ผมเหนื่อยเหมือนกัน อยากจะพัก คืนนี้ขอนอนที่นี่แล้วกัน”

ร่างใหญ่เอ่ยอย่างนั้นพลางเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นอีกครั้ง หวังเป็นการขออนุญาต แม้จะรู้โดยไม่ต้องพินิจพิเคราะห์ให้มากความว่าคงไม่ได้รับการต้อนรับอย่างง่ายดายอยู่แล้ว แต่ก็ตกลงปลงใจแล้วว่าจะไม่ฟัง ยังคงยึดคติว่าเจ้าของบล็อก Tea Party ก่อความเดือนร้อนให้ตนเองอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจให้มากนัก จนเหมือนอาจจะดูหน้าด้านไปบ้าง ทว่าเมื่อเดินมาถึงโซฟา ก็ได้พบกับตอบที่ไม่คาดคิด

อาทิตย์อัสดงเลื้อยตัวหลับคาโซฟาไปแล้ว

ไม่รู้ทำไมเห็นภาพนั้นแล้วภันวัฒน์ถึงหลุดเสียงหัวเราะหึๆ ออกมา มันดูไร้เหตุผลและไร้คำตอบ แต่ก็ต้องยอมรับเสียงหัวเราะนั้น ก่อนทิ้งสายตาไว้ยังร่างที่เหยียดยาวเต็มโซฟาสีครีมจนเกือบขาว

ท่าทางจะเป็นคนที่ชอบสีขาวจริงๆ

มองร่างที่หากเทียบกับตนเองแล้วอาจเรียกได้ว่าผอมบางต่อไปอีกครู่หนึ่งก็ชักง่วงขึ้นมาบ้าง หน่วยตาคมเหลือบมองเพดาน ก่อนจะหลุบตาลงมองภาพตรงหน้าอีกรอบ ขบคิดว่าควรจะขึ้นไปนอนที่ชั้นบนดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็อ้าปากหาวแล้วเลือกที่จะ...เดินไปยังโซฟาตัวเดียวกัน และทิ้งร่างลงตรงว่างอันน้อยนั้น เพราะโซฟาที่เหลืออีกสองตัวเป็นแบบนั่งเดี่ยว





คงเพราะตื่นเวลานี้ทุกๆ วันไม่เว้นแม้แต่วันหยุด จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วที่จะลืมตาขึ้นได้โดยไม่ต้องมีนาฬิกาปลุก หากว่าไม่นอนผิดเวลา ก็จะตื่นราวๆ นี้เสมอ จะเรียกว่าเป็นหนุ่มอนามัยจัดก็คงไม่ผิดนัก

ทันทีที่ลืมตาขึ้นอาทิตย์อัสดงก็ยันร่างขึ้นพร้อมกับก้าวขาลงจากเตียง ทว่าในวันนี้จังหวะกลับผิดไป เพราะแทนที่จะได้เหยียบพื้นกลับเกือบหน้าคะมำเพราะสะดุดอะไรบางอย่าง เคราะห์ดีที่ปฏิกิริยาของร่างกายทำงานอย่างรวดเร็ว ทำให้สองมือยัดโต๊ะกลางที่ทำจากกระจกเอาไว้ได้ทัน ก่อนหน้าจะฟาดลงบนแผ่นใสไปเต็มๆ

หัวใจหล่นวูบนึกว่าจะกระเด็นหลุดออกมาเสียแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ที่ยังอยู่ในท่าโก้งโค้งก็ยังหอบหายใจราวกับไปวิ่งรอบบ้านมาสักสิบรอบ เสียงหายใจหอบถี่ประสานกับเสียงหัวใจเต้นระรัวอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โต๊ะกลาง

ห้องนั่งเล่น

และ...

เมื่อระลึกได้ว่าตนกำลังอยู่ที่ไหนก็หันหัวกลับไปหาต้นเหตุที่ทำให้เขาเกือบเลือดตกยางออกแต่เช้า เห็นร่างของคนคุ้นหน้ากำลังนอนแผ่สบายแล้วก็เบิกตาเหลือกกว้าง เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งนี้ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเต้นอยู่ตรงขมับเป็นจังหวะตุบๆ พร้อมกับลมหายใจและหัวใจที่กลับสู่สภาวะปกติ

เข้าใจแล้วว่าที่เขาสะดุ้งก็เพราะร่างบิ๊กเบิ้มนี่ ไม่ใช่อะไร

และในจังหวะเดียวกันนั้นก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกาลเทศะนั่นจะเปิดเปลือกตาขึ้นมา เหลือบมามองเขา ตามด้วยเปล่งเสียงที่มันฟังขัดหูชอบกลทั้งยังทำสีหน้าซื่อบื้อ

“ยืนท่าอะไรของคุณน่ะ”

รู้สึกตัวทันทีว่าตนเองกำลังยืนค้างอยู่ในท่าไหน ร่างโปร่งจึงรีบยืดตัวเต็มความสูงทันควันก่อนจะตอบคำถามนั้นกลับไป

“ก็สะดุดคุณนั่นแหละ ใครบอกให้มานอนบนโซฟา มิน่าเมื่อคืนนอนแล้วเหมือนโดนผีอำ อึดอัดเหมือนขยับตัวไม่ได้”

“เดี๋ยวนอนบนห้อง คุณก็บ่นอีก เลยนอนบนโซฟานี่ไงครับ แล้วนี่จะชิมขนมผมได้หรือยัง”

อีกฝ่ายตอบมาหน้าตาย เหมือนไม่รู้สึกสำนึกใดๆ ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังทวงถามได้หน้าตาเฉยจนอาทิตย์อัสดงต้องสูดลมหายใจแรงๆ

“ตื่นมาก็จะให้กินเลยนะ ผมไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟันหรือไง”

“ถ้าแปรงเดียวคุณก็บอกว่าชิมขนมไม่รู้รสอีก เพราะติดกลิ่นยาสีฟัน”

แต่ผู้บุกรุกก็ยังเถียง พานให้ร่างโปร่งอดจะทำหน้าหงิกขึ้นมาแบบอัตโนมัติไม่ได้ เพราะเหมือนโดนรู้ทัน สุดท้ายก็ต้องยอมตอบแบบขอไปที

“เออๆ เดี๋ยวชิมให้”

พูดเสร็จเจ้าตัวก็ขึ้นห้องไปอาบน้ำแปรงฟัน ส่วนภันวัฒน์ไปหาน้ำยาบ้วนปากในห้องน้ำชั้นล่างและเอาสบู่ที่อยู่แถวนั้นมาล้างหน้าล้างตา ก่อนจะนำขนมออกมาจากตู้เย็นพร้อมน้ำดื่มอีกหนึ่งแก้ว แถมเตรียมช้อนชาเอาไว้ให้เสร็จสรรพรอให้อีกฝ่ายลงมาจะได้จัดการได้เลย

เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง อาทิตย์อัสดงเหลือบตามองโต๊ะอาหารเล็กน้อย เพราะเหมือนทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วน้ำมากระดกน้ำเข้าปากเพื่อให้ปากไม่มีรสยาสีฟัน จากนั้นชิมขนมที่สร้างความเดือดร้อนให้ แต่พอชิมแล้วก็บอกออกมาแค่สั้นๆ

“ไปทำกลับมาใหม่”

“เฮ้ย อะไรคุณ วิจารณ์สิว่ามันเป็นยังไง บอกแค่ว่าไปทำมาใหม่ผมจะรู้ได้ไง”

ภันวัฒน์โวยทันที แต่อาทิตย์อัสดงก็ยังทำหูทวนลมและบอกซ้ำราวกับแก้คำพูดของตนเอง

“ไม่ใช่ไปทำกลับมาใหม่สิ แต่เป็นไปทำใหม่อีกที”

เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายว่าแตกต่างกันตรงไหน ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ไม่คิดยอมรับ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างโปร่งพลางถามพร้อมกับจับคางอีกฝ่ายขึ้น

“ลิ้นคุณมีปัญหาหรือเปล่า ไหนดูซิ”

มิหนำซ้ำยังบีบแก้มเพื่อให้เจ้าของลิ้นที่ว่ายอมอ้าปากออกแต่โดยดี และชะโงกหน้าไปดูลิ้นใกล้ๆ เสียอีก

อาทิตย์อัสดงตาเหลืออีกขึ้นอีกรอบ พยายามขยับตัวถอยหนี แต่เพราะคีมเหล็กที่ล็อกคางตนเองอยู่ยังไม่ยอมปล่อยออกง่ายๆ จึงต้องใช้มือปัดออกแทน ก่อนจะหลุดเป็นอิสระได้

“คุณบ้าหรือเปล่า”

“ก็แค่จะดูว่าลิ้นคุณปกติไหม ทำไมถึงบอกว่าขนมผมไม่อร่อย”

“ไม่ใช่มันไม่อร่อย แต่ส่วนผสมมันยังไม่ดี”

ได้ยินดังนั้นก็อดคิดตามไม่ได้ จะว่าไปมันก็จริงเพราะเขายังไม่เคยได้ยินเจ้าของบล็อกคนนี้พูดเลยสักครั้งว่าขนมเขาไม่อร่อย แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันไม่ดีตรงไหน คิดจนคิ้วขมวดเข้าหากันอยู่สักพัก เสียงของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ดังขึ้นราวกับจะทำลายสมาธิ

“ผมถามจริงเถอะ คุณเป็นเกย์หรือเปล่า ถึงได้มาเที่ยวบีบปากขอดูลิ้นผู้ชาย”

ใบหน้าขาวตี๋ติดแววระแวดระวังเหมือนไม่ไว้ใจ แต่ก็คงไม่ผิดนัก หากลองพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่บุคคลตรงหน้ากระทำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ส่อพฤติกรรมไปทางนั้นแล้วเสียส่วนมาก ซึ่งภันวัฒน์ก็ไม่คิดปฏิเสธแม้จะฉุกคิดไปเล็กน้อยกับคำระบุรสนิยมที่ชัดเจน

“จะเรียกว่าเป็นเกย์ก็คงได้ล่ะมั้ง”

ได้ยินเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงก็เขยิบตัวออกห่างอีกนิด ถามอย่างหวาดเกรงปนงงๆ เพราะฟันธงกับตัวเองไปแล้วครึ่งหนึ่งว่าใช่ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกับคำตอบครึ่งๆ กลางๆ

“หมายความว่าไง”

“จริงๆ ผมก็ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงล่ะนะ แต่พักหลังๆ นิยมผู้ชายมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีผู้หญิงที่ตรงสเปกผม”

“เหรอ”

ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดีเมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็คิดว่าควรจะต้องระวังๆ ผู้ชายคนนี้ไว้บ้างแล้ว เพราะถึงแม้ตนเองจะไม่ได้มีอคติหรือรังเกียจคนที่มีรสนิยมต่างกัน แต่แนวโน้มที่อีกฝ่ายจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังก็มีมาก หากทบทวนถึงสิ่งที่เขาเคยประสบมาจากคนคนนี้

“เรื่องขนม เดี๋ยวเสาร์นี้ผมจะทำมาให้ชิมอีกแล้วกัน”

เห็นท่าว่าบล็อกเกอร์หนุ่มจะทิ้งจิตไว้กับเรื่องเมื่อครู่มากไปหน่อย ภันวัฒน์จึงดึงร่างโปร่งกลับมาสู่บทสนทนาที่ต้องการอีกครั้ง แต่แล้วก็ได้รับคำปฏิเสธ

“เสาร์อาทิตย์นี้ผมไม่ว่าง มีคนจ้างไปรีวิวร้านขนมที่ต่างจังหวัด”

“ถ้างั้นผมขอไปด้วย”

“เฮ้ย” เสียงร้องหลุดดังก่อนจะรู้ตัวเสียอีก อาทิตย์อัสดงรู้สึว่าตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้ เขาก็หลุดเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นคำนี้บ่อยเสียเหลือเกิน “ทำไมคุณต้องตามไปด้วย”

“ก็ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากนี่ครับ ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานมากขึ้น ผมก็ยิ่งขาดรายได้สิ ตอนนี้ผมก็ขาดรายได้จาการขายขนมไปหนึ่งชิ้นแล้ว”

คล้ายกับว่าจะเป็นการตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้สึกสำนึกผิดอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งแท้จริงเขาก็ต้องการแฝงเจตนานั้นเอาไว้ ทว่าก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะหลังจากงดขาย Sweet Butterfly ได้สักพัก เขาก็เพิ่มขนมเมนูใหม่เข้าไปแทนเพื่อชดเชยในส่วนนั้น

ใครจะบ้างดขายแล้วเสียรายได้ไปฟรีๆ ตั้งสองเดือนกัน

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าการเจรจาเสร็จสิ้น ภันวัฒน์ก็ออกตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากบ้านเดี่ยวสีขาวหลังเล็กไป

อาทิตย์อัสดงมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยหลังจากผู้บุกรุกยามวิกาลกลับไปแล้ว พลางคิดไปว่าตัวเองแสดงตัวออกไปเสียขนาดนั้น และอีกฝ่ายก็ยอมกลับไปง่ายๆ แต่โดยดีคงไม่คิดจะตามเขาไปในวันสุดสัปดาห์นี้อย่างที่บอกไว้หรอก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ถามว่าเขาไปที่ไหน กี่โมง





เสื้อผ้าถูกเก็บลงกระเป๋าอย่างเรียบร้อย เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในช่วงสองวัน อาทิตย์อัสดงวางแผนไว้ในหัวตนเองว่าหลังจากไปทำงานตามที่ถูกว่าจ้างมาเสร็จ จะขับรถสำรวจภายในจังหวัดนั้นเพื่อเสาะหาร้านขนมหวานร้านอื่นๆ เพื่อรีวิวเพิ่มเติม เพราะไหนๆ ก็ได้เดินทางมาแล้ว จึงไม่อยากปล่อยให้เสียเที่ยว

การรับงานว่าจ้างรีวิวร้านขนม เดิมทีแล้วไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะการสร้างบล็อกและการรีวิวขนมล้วนต่างเริ่มมาจากความชอบส่วนตัวทั้งนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ก็มีผู้คนเข้ามาติดตามบล็อกของเขามากขึ้น มีคนลองไปกินตามร้านที่เขาอัพไว้ในบล็อกและคอมเมนต์ตอบกลับมาบ้าง จนการอ่านคอมเมนต์ในบล็อกกลายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว

อารมณ์คงคล้ายๆ พวกคนแต่งนิยายกระมัง เมื่อเห็นคนเข้ามาอ่านสิ่งที่เราเผยแพร่ออกไปด้วยความรักและได้รับการตอบรับที่ดีย่อมทำให้รู้สึกยินดีปีติ แม้ว่าสิ่งที่เขาอัพในบล็อกจะไม่ใช่เรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ พร้อมรูปประกอบ แต่หากมันทำให้คนที่ได้อ่านมีความรู้สึกร่วมด้วย เขาก็รู้สึกประทับใจ

เมื่อมีผู้คนเข้ามาติดตามมากขึ้น เป็นที่พูดถึงมากขึ้น ก็พลอยให้มีคนสนใจในตัวเขา หรือ Sunset ผู้เป็นเจ้าของบล็อก Tea Party มากขึ้น และมันก็เกิดเป็นกระแสอ่อนๆ ขึ้นมาว่าหากร้านขนมร้านไหนถูกอัพในบล็อกของเขา จะมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการว่าจ้าง แม้ว่าเขาจะไม่ทิ้งที่อยู่ติดต่อใดๆ ไว้ในบล็อกนอกจากข้อความทางบล็อกเลยก็ตาม

นับแต่นั้นมาก็เริ่มมีการว่าจ้างให้เขาไปรีวิวร้านขนมเป็นระยะ ซึ่งค่าจ้างไม่ได้มากมาย เพียงแค่ออกค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางและค่าที่พักอาศัยให้ พร้อมกับค่าเสียเวลาเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ยินดีแล้ว ดีเสียอีก เพราะเขาจะได้ไปชิมขนมในร้านต่างๆ ที่ห่างกไกลโดยที่สามารถไปตัวเปล่าได้ ไม่มีอะไรต้องเสียเลย

อาทิตย์อัสดงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังจากกดปิดโทรศัพท์เมื่ออ่านข้อความในบล็อกของตนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนอน จากนั้นดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหน้าอก ปิดเปลือกตาลง เพียงนึกถึงวันพรุ่งนี้ก็เริ่มรู้สึกอยากให้ถึงเร็วๆ เสียแล้ว ซึ่งพรุ่งนี้ก็ไม่ยาวนานอย่างที่คิด ลืมตาอีกครั้งก็พบว่าเป็นวันใหม่แล้ว

ร่างโปร่งตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันจนเรียบร้อยก่อนจะหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กที่มีเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนเพียงหนึ่งคืนแล้วจึงเดินลงไปชั้นล่าง ภายในบ้านยังเงียบสงบเหมือนเคย เพราะเขาอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังมาห้าปีแล้ว นับตั้งแต่พ่อกับแม่ที่อายุมากเสียชีวิตไป

เขาเป็นลูกหลง อายุห่างจากพี่สาวสิบหกปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พ่อกับแม่จะสูงวัยมากเมื่อเขาอายุได้ยี่สิบสามปี พ่อกับแม่เสียชีวิตในช่วงไล่เลี่ยกันเพราะโรคของคนชรา ส่วนพี่สาวมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เขาจึงต้องอาศัยอยู่คนเดียวในบ้านหลังเก่า

อาหารเช้าเป็นไปอย่างง่ายๆ เช่นเคย อาทิตย์อัสดงกินเพียงแค่โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปซองเดียวเป็นการรองท้องเท่านั้น เพราะตั้งใจว่าจะไปหาอาหารเช้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะเมื่อถึงที่หมายแล้ว เนื่องจากว่าครั้งนี้เขาไปแค่ชลบุรีจึงไม่ถือว่าเป็นการหิ้วท้องรอนานจนเกินไป

เมื่อล้างชามเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทาง ร่างโปร่งสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าอีกครั้ง ก่อนจะก้าวออกจากบ้าน ทว่าเพียงก้าวเดียวที่พ้นจากประตูเขาก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน อุทาน ‘เฮ้ย’ อย่างลืมตัว เพราะร่างสูงใหญ่คุ้นตานั่งปักหลักรออยู่

“คุณปีนประตูบ้านผมเข้ามาแบบนี้ ผมแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกได้นะ”

ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงตัดใจ ไม่ก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะไม่มีการติดต่อมาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ไม่นึกว่าจะมานั่งรอกันหน้าบ้านขนาดนี้

“หูย คุณ อย่าใจแคบเลยน่า”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากฝ่ายนั้นทำให้คิ้วของบล็อกเกอร์หนุ่มกระตุกยิบ มันฟังเหมือนว่าเขาเป็นคนผิดมากกว่าคนที่เป็นฝ่ายผิดตัวจริงเสียอีก

“ใจแคบอะไร ก็คุณบุกรุกบ้านผมชัดๆ”

“เรื่องเล็กน้อยเอง อีกอย่างผมไม่ได้ทำความเสียหายให้บ้านคุณสักหน่อย”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่คุณก็ควรจะรู้จักกาลเทศะบ้างนะครับ”

ท้ายประโยคร่างโปร่งกดเสียงต่ำเข้มกว่าปกติเป็นเท่าตัว ราวกับจะย้ำว่า ‘อย่างน้อย’ แต่คนที่ถูกเตือนกลับไม่ยี่หระ ภันวัฒน์ยักไหล่แบบสบายๆ ตอบกลับมาสั้นๆ

“หยุมหยิมน่าคุณ”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ จากตรงไหนสักแห่งแถวหัวของตนเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นขมับหรือกลางหว่างคิ้วกันแน่หลังจากได้ยินคำตอบนั้น แล้วได้แต่บอกตนเองว่าพูดไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะอย่างไรคนตรงหน้าก็หน้าด้านเกินลิมิตชาวบ้านอยู่แล้ว ทำไมถึงลืมไปได้

“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม”

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ยังเอ่ยถามออกมา เพราะหากพูดให้ชัดเจน เขาก็จะได้ปฏิเสธให้ชัดเจนได้

“ก็จะไปต่างจังหวัดกับคุณด้วยไงครับ”

ภันวัฒน์ตอบกลับมาด้วยโทนเสียงเย็นสบายระคนสดชื่น คล้ายกับอมลูกอมรสมินต์ แต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกร้อนรุ่มเหมือนกำลังถูกอังด้วยเตา

“ผมไม่ได้อนุญาตให้คุณไปด้วยเลยนะครับ”

“ไปคนเดียวน่าเบื่อออกจะตาย ไปสองคนนั่นแหละดีแล้ว”

“ผมไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น”

“แต่คุณก็คงตั้งใจไป ‘เที่ยวเล่น’ ด้วยไม่ใช่หรือไงครับ”

เหมือนกับโดนอ่านความคิด อาทิตย์อัสดงรู้สึกอย่างนั้นเพราะน้ำเสียงที่เน้นย้ำคำอย่างชัดเจน อีกทั้งฝั่งนั้นยิ้มเหยียดยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูปราดเดียวก็รู้สึกว่ามันเหมือนจะรู้ทันและต้องการหยอกเย้าให้เขาโมโห

“มันก็เรื่องของผม คุณบอกว่ามีงานเยอะ ไม่มีเวลาว่างไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะตามผมมาทำไม”

“คุณคงเคยได้ยินคำพูดของซุนวูใช่ไหมล่ะครับ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

ร่างสูงทำหน้าเหนือกว่า พานให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนตนเองโดนไล้ต้อนอย่างไรอย่างนั้น ถึงกระนั้นก็ยังยอกย้อน

“ไม่เห็นเกี่ยว”

“เพราะผมไม่รู้เหตุผลที่คุณปฏิเสธขนมของผม เพราะฉะนั้นผมก็ต้องทำความรู้จักคุณเสียก่อน ผมจะได้รู้ว่าคุณมีวิจารณญาณแบบไหนถึงได้ตัดสินขนมของผมออกมาแบบนั้นไง”

“มันไม่จำเป็นเลยสักนิด” ลมหายใจแห่งความเบื่อหน่ายถูกพ่นออกมาจากจมูกของหนุ่มหน้าขาว “ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนขนาดนั้นแม้แต่น้อย แต่ถ้าคุณยังมองไม่เห็นจุดบกพร่องในขนมของตัวเอง ผมว่าคุณยังขาดคุณสมบัติของการเป็นปาติซิเย่ที่ดีอยู่”

เหมือนจะหวดไม้เข้าใส่ถูกจุด ร่างของภันวัฒน์แข็งกึกไปครู่หนึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับความรู้สึกที่พุ่งหลาวจากปลายเท้าและแล่นจี๊ดขึ้นมาถึงก้านสมอง

“เอาเป็นว่าผมตัดสินใจว่าอย่างนั้น”

คำพูดที่หลุดออกมาในประโยคต่อไปทำให้คนฟังงุนงงไม่น้อย ไม่เข้าใจว่า ‘ตัดสินใจว่าอย่างนั้น’ ที่ว่าคืออะไร และไม่มีเวลาเผื่อให้คิด เพราะจู่ๆ ก็ถูกคว้ามือเอาไว้อย่างเร็วพลันพร้อมกับร่างถูกลากให้เดินออกไปทางประตูรั้วด้วยกัน

“เฮ้ยคุณ อะไรเนี่ย”

“ก็จะไปทำงานของคุณไง”

ภันวัฒน์บอกแค่นั้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างฉวยกุญแจบ้านในมือเรียวไปอย่างถือวิสาสะ เปิดประตูรั้วตรงหน้าเสร็จ ก็ตามด้วยเปิดประตูรถของตนเองที่จอดรออยู่หน้าบ้านและผลักร่างที่เล็กกว่าเข้าไป

“ผมไม่ได้จะไปกับคุณ”

บล็อกเกอร์หนุ่มร้องออกมาและอาศัยช่วงที่ร่างใหญ่หันไปล็อกประตูบ้านเพื่อลงจากรถ ทว่าเมื่อลงมาแล้วก็ต้องประจันหน้ากับอีกฝ่ายที่หันกลับมาพอดี

ภันวัฒน์จ้องหน้าอาทิตย์อัสดงนิ่ง ซึ่งร่างโปร่งก็ทำเช่นเดียวกัน ราวกับทั้งสองคนกำลังต่อสู้ทางสายตา ทว่าครู่ต่อมาเสียงทุ้มใหญ่ก็ดังขึ้นดั่งจะปิดกั้นทางเลือกจนมิด

“เลือกเอาว่าคุณจะไปกับผม หรือว่าจะให้ผม-จูบ-คุณ-อย่าง-ดูด-ดื่ม-ตรง-นี้”

จากที่จ้องตาเพื่อเอาชนะกลับกลายเป็นว่าดวงตาแข็งทื่อไปแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าประสาทสัมผัสหยุดทำงานไปชั่วคราว และยังไม่ทันจะได้ขยับร่างกายหรือว่าต่อต้านด้วยคำพูดใดๆ เสียงจากอีกฝ่ายก็ดังข่มขึ้นอีก

“ผมไม่เดือดร้อนหรอกนะ เพราะยังไงผมก็เป็นเกย์อยู่แล้ว อาจจะเรียกว่าได้กำไรด้วยซ้ำ แต่ว่าคุณ...” หน่วยตาคมเหลือบมองอย่างเจ้าเล่ห์แฝงนัยแห่งชัยชนะของผู้เหนือกว่า “คงไม่อยากได้กำไรหรอกใช่ไหมครับ”

ไม่เพียงแค่ข่มขู่ด้วยคำพูด แต่ยังโน้มใบหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาพอประมาณเข้ามาใกล้ จนอาทิตย์อัสดงที่ได้สติอย่างฉับพลันเพราะลมหายใจที่รดลงบนหน้า ต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลีกหนี

และสุดท้ายก็จนมุม

“โอเคๆ ผมยอมก็ได้”

คำตอบที่รอคอยอยู่แล้วเรียกรอยยิ้มพอใจจากกร่างสูงใหญ่กว่าได้ ภันวัฒน์ยักไหล่อย่างสบายๆ ก่อนพูดออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ก็แค่เนี้ย”

ทว่าสำหรับอาทิตย์อัสดงแล้ว เจ้าตัวขดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะพันได้ พึมพำกับตัวเอง ‘แค่เนี้ยกับผีดิ’ ก่อนจะต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่ามือใหญ่ยื่นมาจับประตูให้เปิดกว้างกว่าเดิม

“เชิญครับ”

หากไม่นับตอนเป็นเด็ก นี่คงเป็นครั้งแรกเลยกระมังที่มีผู้ชายมาเปิดประตูรถให้

ร่างโปร่งเก้ๆ กังๆ พลางรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นการบีบบังคับกลายๆ ให้เขาขึ้นรถเสียมากกว่า แต่ก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ ก่อนจะจำใจยอมขึ้นรถไป

ประตูรถปิดลงตามหลังเมื่อร่างอาทิตย์อัสดงถึงเบาะ จากนั้นภันวัฒน์ก็เคลื่อนตัวมายังที่นั่งฝั่งคนขับ ขยับขึ้นนั่งที่ประจำ

ทั้งที่การเคลื่อนไหวทุกอย่างดูเรียบง่าย ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ร่างโปร่งกลับรู้สึกเหมือนไม่พอใจตงิดๆ

อาจเพราะเมื่อมองใบหน้าของร่างสูงแล้วกลับเห็นรอยยิ้มติดอยู่เหมือนพึงพอใจเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำยังมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังมาจากร่างนั้นอีกก็เป็นได้







----------------------
วันพิเศษมา เราก็มา orz

Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2017 17:07:41 โดย undersky »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
บุกรุก ข่มขู่ คุกคาม ลักพาตัว

ยังข้อหาไหนที่ปาติซิเยคนนี้ยังไม่ได้ทำบ้าง?

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


คุณคะ!!! บอกอิชั้นหน่อยเถิดว่าพ่อพระเอกเป็นปาติซิเย่ที่ตรงไหน
ไอ้สิ่งที่คุณภัณทำน่ะมันคุณสมบัติอันดีของอาชญากรชื่อกระฉ่อนโลกทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอคะ?
แล้วพ่อ sunset ของป้า... หนูต้องหัดขัดขืนพ่อหัวหน้าโจรบ้างไรบ้าง คนอ่านจะได้ได้กำไรเพราะเห็นหนูโดนจูบค่าที่พยศบ้างยังไงคะลูก คืนความสดใสและกำไรให้แก่คนอ่านน่ะค่ะลูก ทำเป็นไหม?... เดี๋ยว!!!

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^  :L2:


ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สนุกและฮามากครับ
เรื่องนี้พระเอกคงเป็นโจรที่ทำขนมได้อร่อยที่สุด

ออฟไลน์ imfckwn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
555555555555555

น่ารักจริงๆ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
7th Entry : กระชับมิตร






ภายในห้องโดยสารเงียบสงัดทันทีที่เครื่องยนต์ทำงาน รถยนต์สีเทาดำเคลื่อนตัวออกอย่างไม่เร่งรีบ เครื่องปรับอากาศกำลังทำให้อากาศในพื้นที่คับแคบนี้เย็นสมดุลกันทุกตารางนิ้ว

“คุณรู้เหรอว่าจะต้องไปที่ไหน”

เมื่อใกล้ถึงป้อมยามหน้าหมู่บ้านมากขึ้นไปทุกที เสียงของบล็อกเกอร์หนุ่มก็ดังขึ้นถามอย่างอดไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายทำเหมือนรู้ถึงจุดหมายของเขาทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาก็ทำให้แทบอ้าปากค้างเช่นเคย

“ไม่รู้หรอก”

“แล้วคุณไม่คิดจะถามผมหรือไง เกิดไปผิดทางจะว่ายังไงล่ะครับ”

ปลายเสียงสะบัดเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าภันวัฒน์จะตอบหน้าตายได้ขนาดนี้

ต่อมทุกข์ร้อนของหมอนี่อาจจะพังย่อยยับมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ได้กระมัง หรือไม่ก็คงไม่มีมาตั้งแต่เกิด

เหมือนกับเยื่อหุ้มหนังหน้าที่ทำด้วยซีเมนต์นั่นแหละ

“ผมก็รอคุณบอกอยู่ไงครับ”

ปวดประสาท

คำเดียวเลยจริงๆ ที่อาทิตย์อัสดงรู้สึกได้ในตอนนี้ อยากจะเอามือขึ้นมากุมหัวแล้วทุบๆ ให้รู้สึกว่าอะไรที่แล่นปึกๆ อยู่ในสมองหลุดออกไป พลางคิดว่าหากต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้ต่อไปอีกหน่อย เขาอาจจะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

“ผมจะไปชลบุรี”

“โอเค ว่าแต่คุณกินอะไรมาหรือยัง”

เจ้าของร้านขนมพ่วงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมตอบอย่างสบายๆ ตามด้วยถาม ทำให้คนฟังไพล่นึกไปถึงอาหารมื้อนั้นขึ้นมา

เนื้อกับหมูย่าง...

แค่นึกก็อิ่มแล้ว จึงรีบออกปากปฏิเสธอย่างเร็วพลัน เพราะกลัวว่าจะต้องแวะข้างทางแล้วต้องกินข้าวเป็นเพื่อนอีกฝ่ายอีก

“กินแล้วครับ แล้วก็ไม่อยากกินอะไรเพิ่มแล้วในตอนนี้”

ทว่าภันวัฒน์กลับเหมือนไม่ได้ยินคำตอบอย่างไรอย่างนั้น ยังคงพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการต่อไป จนอาทิตย์อัสดงนึกชื่นชมขึ้นมาอยู่ในใจ

ยังเป็นคนที่คงเอกลักษณ์ ‘หน้าด้าน’ ได้อย่างถึงที่สุดจริงๆ

“ผมทำขนมมาให้คุณชิมด้วย”

“คุณไม่ได้ยินคำตอบของผมเหรอครับ”

“ได้ยินชัดเจนเลย”

“แล้วคุณยังจะให้ผมกินอีกเพื่อ?”

“ว่ากันว่าอาหารกับขนมมันแยกกระเพาะกันนา”

ประโยคที่ว่ามาจากน้ำเสียงที่เหมือนจงใจปรับให้ดูไร้เดียงสาเป็นพิเศษ ซึ่งมันสร้างความหมั่นไส้ได้มากกว่า

“คุณมีสี่กระเพาะหรือไงครับ”

“ถ้ามีอย่างนั้นก็คงดีน่ะสิ กระเพาะแรกไว้เก็บอาหาร กระเพาะสองไว้เก็บขนม กระเพาะสามไว้เก็บเครื่องดื่ม ส่วนกระเพาะสี่ไว้เก็บอะไรดีล่ะคุณ”

ยังมีหน้ามาเล่นลิ้น ดวงหน้าคมเข้มหันมาทางคนที่สนทนาด้วยพลางเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าทะเล้นยียวน จนอาทิตย์อัสดงช่วยตอบคำถามให้ในใจ

ปากอย่างนี้น่าเก็บ ‘ตีน’ ชาวบ้านนะ

“หรือจะเก็บ ‘คน’ ดี”

เสียงทุ้มดังอีกระลอกเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งเบาะข้างๆ ยังคงเงียบ แต่ว่าแววตาที่สะท้อนมองเขากลับมาไม่ได้เงียบตามไปด้วย มันเคลือบไว้ด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน ถึงโง่ก็มองออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร ซึ่งมันก็ทำให้ภันวัฒน์รู้สึกสนุกอย่างไรชอบกล

ปกติเขาก็เป็นคนที่เรียกได้ว่าชอบเล่นสนุกอยู่แล้ว พอมาเจอปฏิกิริยาแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก

“ขนมอยู่ไหนล่ะครับ”

เหมือนจะตัดรำคาญ หรือไม่ก็ไม่อยากสานต่อบทสนทนาเชิงนี้ต่อไปอีก ร่างโปร่งจึงโพล่งขึ้นเช่นนั้น ซึ่งภันวัฒน์ก็ยักไหล่เบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก

“เบาะหลังน่ะ แต่คราวนี้คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนด้วย ผมไม่รับคำตอบแค่ว่า ‘ไปทำมาใหม่’ หรือ ‘ไปทำอีกที’ แล้วนะ”

อาทิตย์อัสดงตีหน้าเฉยแล้วเอียวตัวไปหยิบกล่องพลาสติกซึ่งวางอยู่บนเบาะหลังมา เมื่อเปิดฝาออกก็พบว่ามีช้อนวางอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว ราวกับเตรียมพร้อมอย่างรู้งาน พานให้อดเหลือบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ไม่ได้

สักพักก็ดึงสายตากลับมา ขนมยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม ดูสวย น่ารัก ชวนกิน ร่างโปร่งหยิบช้อนขึ้นมาจ้วงชิ้นเค้กไปแบบพอดีคำก่อนส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียดพิถีพิถันคล้ายกับจะซึมซับทุกอณูสัมผัสและรสชาติเข้าไป จากนั้นก็วางช้อนลง

ภาพเมื่อครู่นี้เข้าสู่สายตาของภันวัฒน์เป็นพักๆ เพราะเขาเหลือบมองเป็นระยะด้วยตั้งตารอคอยคำตอบ ในใจรู้สึกลุ้นไปด้วยว่า ‘คราวนี้แหละจะต้องสำเร็จ’ ทว่า...

“ผมว่าคุณเสียเอกลักษณ์ของขนมชิ้นนี้ไปแล้วนะ”

เหมือนฟ้าผ่ากลางหัว ภันวัฒน์แทบเหยียบเบรกกะทันหัน ดีว่าดึงสติไว้ได้ทันจึงค่อยๆ เลื่อนรถเข้าจอดข้างทาง และเปิดไฟขอทางเอาไว้

“หมายความว่าไง”

“ก็อย่างที่ผมพูดนั่นแหละครับ”

คำตอบที่ได้รับมาไม่ชัดเจนเอาเสียเลย ช่างทำขนมที่ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนเพราะเข้าคอร์สเรียนมาจากอังกฤษนิ่งอึ้ง และคงด้วยความสงสัยหรืออาจจะเป็นรำคาญสักอย่าง อาทิตย์อัสดงจึงระบายลมหายใจออกมาทางจมูก ก่อนจะใบ้ให้

“คุณคิดว่าเอกลักษณ์ของขนมชิ้นนี้คืออะไรครับ”

“กลิ่นหอมของเนย และความเข้ากันของรสชาติกับซอสสตรอเบอร์รี่”

“คุณก็เข้าใจถูกนี่ครับ แล้วทำไมถึงทำขนมแบบนี้ออกมาให้ผมกินล่ะ”

ไม่ต่างจากโดนฮุคด้วยหมัดขวาเต็มเหนี่ยว ภันวัฒน์รู้สึกหน้าชามึนงงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบช้อนที่ถูกทิ้งไว้ในกล่องบนตักของร่างด้านข้าง และตักขนมที่เพิ่งถูกกินไปคำเดียวเข้าปาก เคี้ยวรสชาติที่อยู่แทรกอยู่ภายในชิ้นนุ่มเด้งเหมือนฟองน้ำ ก่อนจะต้องเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิวต่างจากทุกที

“ขอโทษครับ”

มันไม่ได้รสชาติแย่ แต่ก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่ามา รสชาติที่กลมกล่อมเข้ากันดีเสียสมดุลจนมีรสของซอสสตรอเบอร์รี่แหลมปรี๊ดขึ้นมา

“ผมจะบอกคุณตรงๆ ก็ได้”

เห็นท่าทีที่ผิดแผกไปจากทุกทีของร่างสูง อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก สีหน้าสลดทำให้เหมือนมีอะไรแหลมๆ แทงจึกตรงหัวใจจนน่ารำคาญ และมันก็ทำให้รู้สึกว่าตนเองกำลังทำเรื่องที่ผิด ทั้งที่มันไม่ได้ผิดเลยสักนิด

“ขนมของคุณน่ะ อร่อยครับ แต่ที่บอกว่ามีจุดบกพร่องตามหมายเหตุก็เพราะว่ามันหวานไปนิด แต่ก็แค่นิดเดียว แล้วก็ค่อนข้างจะมัน ผู้หญิงส่วนมากไม่ค่อยชอบของมันๆ เท่าไร ยิ่งเป็นเนยที่เป็นไขมันอิ่มตัวด้วยแล้ว มันสลายยาก ถ้าคุณลดปริมาณเนยที่ปาดบนหน้าให้บางที่สุด ก็น่าจะช่วยได้ เพราะเนยในเนื้อแป้งผมว่ามันกำลังดีอยู่แล้ว”

“.....”

ความเงียบเข้ามาปกคลุมระหว่างคนทั้งคู่ อาทิตย์อัสดงไม่มีอะไรจะต้องพูดต่อ ในขณะที่ภันวัฒน์พูดอะไรไม่ออก

เขามองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้อย่างไร ทั้งที่มันเป็นปัจจัยสำคัญแท้ๆ

อาจจะเป็นเรื่องสมควรแล้วก็ได้ที่ได้รับการรีวิวจากอีกฝ่ายแบบนั้นจนเกิดผลกระทบขึ้นกับร้าน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่รู้ตัวไปตลอดว่าตนเองทำผิดพลาดไปในฐานะปาทิซิเย่

“...ขอบคุณครับ”

ไม่มีคำใดที่จะเอื้อนเอ่ยได้มากกว่าคำนี้ ภันวัฒน์รู้สึกเช่นนั้นจากใจจริง สำนึกตัวแล้วว่าตนเองเป็นคนผิด อาจจะตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เขามองดูแต่คนอื่นจนหลงลืมมองดูตัวเอง

“ถ้าผมจะทำขนมมาให้คุณชิมใหม่ คุณจะรังเกียจไหม”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามีน้ำหนักมากกว่าครั้งไหน ไม่ใช่ในแง่ของระดับความดัง เพราะเสียงที่ส่งออกมาเบากว่าที่ผ่านมาทั้งที่เป็นถ้อยคำง่ายๆ แต่เป็นการแฝงความรู้สึกสำนึกจากใจ ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็สัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งที่อีกฝ่ายแบกรับอยู่

“ก็ได้ครับ แต่อย่ามาดึกๆ ดื่นๆ รบกวนการนอนของผมอีกล่ะ”

ประโยคท้ายทำให้ใบหน้าที่สลดลงเมื่อครู่กลับมาผลิยิ้มได้อีกครั้ง และไม่รู้ทำไมความรู้สึกว่าช่องอกแคบลงจนอึดอัดเมื่อครู่ของร่างโปร่งจึงหายไป ตัวเบาสบายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์อัสดงย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“แล้วอีกอย่าง”

เสียงทุ้มต่ำดังมาอีก คราวนี้ฟังได้ชัดเจนขึ้น ไม่มีความรู้สึกอื่นๆ สอดแทรกมาให้หดหู่หรือกดดันไปด้วย บล็อกเกอร์หนุ่มจึงจับจ้องใบหน้าที่หันมาทางตนอย่างเต็มที่

“ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณนะ”

เหมือนจะเป็นคำถาม แต่ก็ไม่ใช่คำถามหรือเปล่า?

อาทิตย์อัสดงนึกสงสัยในใจ แต่ก็ประหลาดใจในเวลาเดียวกันที่อยู่ๆ ก็ถูกขอแบบนั้น

“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”

“ก็มันน่าเสียดายนี่นา ที่ถ้าจบเรื่องขนมแล้วผมกับคุณจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปเลย ไหนๆ ก็รู้จักกันแล้ว แล้วคุณก็ชอบขนมมากๆ ด้วย หรือคุณไม่คิดว่ามันดีเหรอ ที่มีเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ผู้ชายที่ชอบขนมหวาน หายากออกจะตาย”

เหตุผลที่ร่างสูงกล่าวออกมาฟังขึ้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเอาเข้าจริง แม้แต่ในที่ทำงานของอาทิตย์อัสดงก็ไม่มีผู้ชายคนนั้นชอบกินขนมเลยสักคน หลายๆ คนมองว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะกับผู้หญิงด้วยซ้ำ

“อย่างนั้นก็ได้ครับ”

หลังจากได้ยินคำตอบ ภันวัฒน์ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ พูด ‘ขอบคุณ’ เบาๆ ก่อนจะเคลื่อนรถออกจากจุดที่จอดอยู่ไปอีกครั้ง





ไม่ถึงสามชั่วโมง ทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย มันเป็นโรงแรมขนาดกลางที่ผู้ว่าจ้างของอาทิตย์อัสดงจองไว้ให้ และก่อนจะไปถึงเคาน์เตอร์เช็กอิน ร่างโปร่งก็พลันนึกได้

“คุณพักที่ไหนน่ะ”

“ผมเหรอ” คนถูกถามเอ่ยย้อนคล้ายกับจะถามกลับอย่างไม่แน่ใจ ทั้งที่แน่ใจดีอยู่แล้ว ก่อนจะตอบกลับมา “ก็นอนกับคุณไง”

“ว่าไงนะ?!”

เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางบนใบหน้าขาวๆ นั้นดังเป็นพิเศษ

“ผมก็นอนห้องเดียวกับคุณไงครับ”

ภันวัฒน์ตอบย้ำอีกครั้งให้ชัดเจนกว่าคราวแรก ซึ่งก็ทำให้อาทิตย์อัสดงยังคงรู้สึกมึนตื้อเหมือนโดนค้อนใหญ่ๆ ทุบลงมาบนหัวอย่างรุนแรงไม่หาย

“คุณจะนอนห้องเดียวกับผมได้ยังไง ห้องพักของผมเป็นเตียงเดี่ยวนะคุณ แล้วอีกอย่าง ผมรู้นะว่าคุณมีเงิน ไม่งั้นคงไม่เป็นเจ้าของร้านขนมได้ แล้วคุณก็ทำงานที่โรงแรมด้วยใช่ไหมล่ะ ท่าทางตำแหน่งจะไม่ใช่แค่พนักงานธรรมดาด้วย”

ร่างโปร่งพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่เจอกันในโรงแรมขึ้นมา เครื่องแต่งกายของฝ่ายตรงข้ามแม้จะเป็นสูทที่ดูธรรมดา แต่มันก็มีตรงไหนสักแห่งที่ดูจะไม่ใช่แบบเดียวกับพนักงานทั่วไปใส่กัน

“เพราะฉะนั้นใช้เงินของคุณแล้วอย่ามาเบียดเบียนผมเลยครับ”

“แต่มันเปลืองนี่ครับ ผมมีเงินก็จริงอยู่ แต่ประหยัดไว้ย่อมดีกว่า เกิดวันหนึ่งผมเป็นอะไรไปจนทำงานไม่ได้ หรือแก่ตัวลงไป จะได้มีเงินใช้จ่ายไงครับ”

“คิดการณ์ไกลไปแล้วครับ”

อาทิตย์อัสดงเถียงกลับหัวเขียวหน้าดำ แต่ภันวัฒน์ก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดาย

“เอาน่าคุณ ช่วยชาติประหยัดไงครับ เคยเห็นโฆษณารณรงค์ ทางเดียวกันไปด้วยกันไหมครับ”

“มันคนละเรื่องแล้ว”

“สรุปว่า ผมนอนห้องเดียวกับคุณนั่นแหละ”

สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงกำยำก็ออกเดินนำตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอิน จัดการแจ้งชื่อผู้เข้าพักที่จองไว้ซึ่งไม่ใช่ชื่อของตัวเอง ก่อนจะบอก

“ขอเปลี่ยนจากห้องซิงเกิลเป็นทวินเบดครับ”

“รบกวนขอบัตรประชาชนของคุณอาทิตย์อัสดงด้วยนะคะ”

พนักงานตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในจังหวะเดียวกับเจ้าของชื่อเดินมาถึงพอดี ภันวัฒน์จึงหันไปบอก

“เขาขอบัตรประชาชนน่ะคุณ”

ทำเอาร่างโปร่งถึงกับค่อนขอดอยู่ในใจ พร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินออกมาเพราะเมื่อมองไปทางพนักงานสาวก็เห็นว่าเธอกำลังมองมาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังรอคอย

ไหนบอกว่าจะเป็นเพื่อนกันไง ถ้าจะเป็นเพื่อนก็อย่ากวนตีนหน้าตายกันสิวะ

“เดี๋ยวส่วนต่างผมจ่ายเพิ่มเอง”

“ไม่ต้อง คุณน่ะจ่ายค่าห้องของคุณไปเถอะครับ” เจ้าของหน้าตี๋ๆ ไม่คิดรับน้ำใจ ปฏิเสธอย่างรวดเร็วก่อนจะอ้าปากออกอีกครั้ง “คุณครับ เรื่องห้องพัก ไม่ต้องเปลี่ยน...”

“เปลี่ยนห้องพักเรียบร้อยแล้วนะคะ ส่วนต่างค่าห้องเพิ่มเติมจำนวน...”

ไม่ทันจะได้เอ่ยแย้งการกระทำอย่างถือวิสาสะของอีกคน พนักงานสาวก็แทรกเสียงมา พร้อมกับแจ้งจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มให้เรียบร้อย ซึ่งภันวัฒน์ก็ยื่นบัตรเครดิตของตัวเองออกไปเร็วพลันจนอาทิตย์อัสดงตะครุบยั้งไว้ไม่ทัน การ์ดถูกรูดตามด้วยสลิปถูกจะปริ๊นท์ออกมาส่งให้เซ็นต่อหน้าต่อตา

“เรียบร้อยแล้วคุณ”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับตัวเองอ้าปากค้างอยู่ไม่ต่างจากคนขากรรไกรค้าง ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก เหมือนการไหลของเวลาระหว่างตนกับคนที่เหลือมีความเร็วไม่เท่ากัน สิ่งที่เกิดขึ้นถึงได้รวดเร็วเหลือเกิน

“มีความสุขกับการเข้าพักที่โรงแรมของเรานะคะ”

พนักงานสาวกล่าวอีกครั้งหลังจากภันวัฒน์รับคีย์การ์ดไป

“ไปกันหรือยังคุณ จะได้เอาของไปเก็บ นัดร้านไว้กี่โมงล่ะ”

เสียงทุ้มใหญ่ดังเรียกสติร่างโปร่งให้กลับคืนมา อาทิตย์อัสดงเดินตามร่างสูงกว่าไปอย่างโต้แย้งไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าห้องพักของตนอยู่ที่ไหน และมันก็สายไปแล้วที่เขาจะขอเปลี่ยนห้องพักใหม่ หรือแม้กระทั่งจองห้องพักเพิ่มในตอนนี้






ห้องพักของทั้งคู่ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดแออัดคับแคบ แม้เมื่อเทียบกับโรงแรมที่ภันวัฒน์ทำงานอยู่ จะนับว่าเป็นห้องทวินเบดที่ค่อนข้างเล็กเลยทีเดียวก็ตาม ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพักค้างคืนในหนึ่งคืนนี้

ทั้งคู่หยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมาแขวนเพื่อกันยับ แม้ว่าจะมีเพียงสองชุด หนึ่งคือชุดนอน และอีกหนึ่งคือชุดสำหรับใส่ในวันพรุ่งนี้ หลังจากจัดเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย อาทิตย์อัสดงก็คว้าแท็บเล็ตคู่กายของตนมาถือไว้ ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป

“อ้าว จะไปแล้วเหรอคุณ”

ภันวัฒน์ทักก่อนที่อีกร่างจะทันได้ออกจากห้อง ด้วยไม่คิดว่าร่างโปร่งจะปุบปับออกไปทั้งที่เพิ่งมาถึง

“ผมจะไปหาอะไรแถวๆ นี้กินก่อน แล้วค่อยไปร้าน”

“งั้นผมไปด้วย”

“ไม่จำเป็นมั้งครับ คุณอยากจะทำอะไรก็ตามสะดวกคุณเลย”

“ผมสะดวกไปกับคุณไง ผมจะได้ไปชิมด้วยว่าขนมร้านอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง เพื่อจะเป็นไอเดียไปปรับปรุงขนมตัวเอง”

“กระตือรือร้นขึ้นมาผิดหูผิดตาเลยนะครับ”

คล้ายกับการค่อนแขวะอยู่ในที แต่อาทิตย์อัสดงก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ เพราะไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว และมันก็คงดีหากว่าอีกฝ่ายอยากจะเก็บเกี่ยวประโยชน์จากร้านอื่นๆ เพื่อไปพัฒนาขนมของร้านตัวเอง

ทั้งคู่เดินออกไปนอกโรงแรม ด้วยเพราะบริเวณนี้อยู่ติดกับย่านท่องเที่ยวจึงไม่ร้างแต่ก็ไม่พลุกพล่านมากนัก มีร้านอาหารรายทางตั้งอยู่ประปราย อาทิตย์อัสดงจึงเลือกเข้าไปในร้านหนึ่งในนั้นโดยไม่ได้สอบถามคนที่เดินมาด้วยกัน

ภันวัฒน์เดินตามเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน และสั่งอาหารตามสั่งง่ายๆ มากินเช่นเดียวกับอีกคน ทั้งโต๊ะมีแต่ความเงียบ ไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้น ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้อึดอัดนัก อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าต่างจากคราวก่อนๆ เวลาที่ตนอยู่กับผู้ชายคนนี้

คงเพราะปรับความเข้าใจ (?) กันได้แล้วกระมัง

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มทั้งสองก็ออกจากร้านอีกครั้ง คราวนี้ภันวัฒน์เอ่ยปาก

“ร้านไกลไหมครับ”

“ไม่ไกลหรอกนะผมว่า”

คำต่อท้ายประโยคฟังแปลกไปสักหน่อย พานให้คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงอากัปกิริยาเช่นนั้น ร่างโปร่งจึงเอ่ยถึงรายละเอียดเส้นทางที่ได้รับข้อมูลจากลูกค้า พร้อมกับเปิดแผนที่ในแท็บเล็ตที่ผู้ว่าจ้างมาส่งให้

“ผมว่าแผนที่มันออกจะโล้นไปหน่อยนะ กะระยะทางไม่ถูกหรอก” คนที่มีประสบการณ์เคยใช้กูเกิลแมปตามหาบ้านคนอื่นมาแล้วบอก ก่อนจะยื่นมือออกไป “ยืมหน่อย”

แท็บเล็ตของรักของอาทิตย์อัสดงไปอยู่ในมือของภันวัฒน์อย่างง่ายดาย ผู้จัดการหนุ่มค้นหาชื่อร้านขนมที่จะไปจากในแอปพลิเคชันที่เคยใช้ เพราะถ้ามีบอกไว้ก็คงง่ายที่จะคำนวณระยะทาง หรืออย่างน้อยที่สุดให้รู้ระยะทางจากจุดที่อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ถึงจุดสังเกตที่ใกล้ที่สุดของร้านนั้นก็ยังดี

“เดินไปอีกประมาณหนึ่งกิโล คุณจะเอาหรือเปล่า หรือจะกลับไปเอารถดี”

“ไกลขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ถ้าเดินเรื่อยๆ สักสิบห้านาทีก็ถึง ไม่ถึงขนาดว่าไกลหรอกครับ”

แผ่นอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมถูกส่งคืนให้ อาทิตย์อัสดงรับไปก่อนกดล็อกหน้าจอและถือแนบลำตัวอีกครั้ง

ทั้งคู่ออกเดินไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่รีบร้อน ถือว่าเป็นการเดินย่อยอาหารไปในตัวเพื่อเตรียมรับศึกต่อไป กระทั่งถึงร้าน ใช้เวลายี่สิบนาทีโดยประมาณ ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้นิดหน่อยเพราะชะลอฝีเท้าให้ก้าวสั้นกว่าปกติ เนื่องด้วยยังไม่ถึงเวลานัด และเพื่อถ่วงเวลาย่อยอาหารให้นานขึ้น

เมื่อเข้าไปแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มก็เดินแยกตัวไปก่อน เพื่อไปแจ้งพนักงานของร้านตรงเข้าเคาน์เตอร์ให้ติดต่อเจ้าของร้านซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างให้ ขณะที่ภันวัฒน์ก็เดินไปหาที่นั่งมุมดีๆ พลางมองตามร่างสูงโปร่งไปด้วย

รออยู่ตรงเคาน์เตอร์สักครู่ เจ้าของร้านก็ออกมาแนะนำตัว พูดคุยกันเล็กน้อยเพื่อย้ำข้อตกลงที่ได้คุยกันไปก่อนหน้านี้ทางอีเมลแล้ว

เป็นกฎของอาทิตย์อัสดงว่าถึงแม้ว่าจะได้รับการว่าจ้าง แต่ผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิ์มากะเกณฑ์ผลของการการรีวิว ชายที่ชื่อ Sunset เจ้าของบล็อก Tea Party จะลงข้อมูลตามความเป็นจริงเท่านั้น หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ก็ถือว่าไม่มีการจ้างงานเกิดขึ้น ส่วนทางนั้นสามารถระบุได้ว่าต้องการให้เขารีวิวขนมอะไรบ้าง

“ว่ายังไงบ้างครับ”

ร่างโปร่งเดินมายังโต๊ะที่ภันวัฒน์นั่งอยู่อย่างลืมตัวหลังจากคุยกับเจ้าของร้านเสร็จเรียบร้อย ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งโต๊ะเดียวกัน แต่เพราะมาที่ร้านด้วยกันจึงเผลอตัวไปว่าจะต้องนั่งด้วยกันไปด้วย

“เดี๋ยวเขาเอามาเสิร์ฟครับ เขาออเดอร์ขนมที่อยากให้รีวิวไว้แล้ว ส่วนคุณ อยากกินชิ้นไหนก็สั่งเองตามสะดวกเลยครับ”

สักพักขนมที่อยู่ในรายชื่อที่ต้องการให้รีวิวก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งหมดมีห้าชิ้นด้วยกัน อาทิตย์อัสดงเลื่อนมาตรงหน้า แล้วหยิบแท็บเล็ตมาถ่ายรูปทีละชิ้น ก่อนจะดึงปากกาออกมาและเปิดแอปพลิชั่นสำหรับวาดรูป ทว่าการใช้งานของเขาผิดประเภทไปสักหน่อย เพราะไม่ได้ใช้วาดรูปตามวัตถุประสงค์มัน หากแต่ใช้สำหรับจดบันทึกการชิม

ขนมถูกส่งเข้าปากอย่างช้าๆ ร่างโปร่งค่อยๆ เคี้ยวอย่างระมัดระวังราวกับสิ่งที่อยู่ภายในปากเป็นของบอบบางที่จำเป็นต้องทะนุถนอม จากนั้นก็จดบางอย่างลงไปในแท็บเล็ตอย่างที่เคยทำมาเสมอ เมื่อชิมองค์ประกอบทั้งหมดของขนมชิ้นหนึ่งแล้วก็ดื่มน้ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่โดยที่ยังกินชิ้นเดิมไม่หมด

ภันวัฒน์มองภาพนั้นด้วยความสนใจ แม้ว่ามันจะเป็นภาพที่เคยเห็นมาแล้ว ถึงกระนั้นมันก็ยังตรึงสายตาของเขาอยู่ดี อาทิตย์อัสดงอาจจะเป็นคนแรกก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเพิ่งเคยเห็นคนที่จริงจังและเอาใจใส่การกินขนมถึงขนาดนี้ และมันก็ทำให้เขาอดรู้สึกดีไม่ได้

นั่นคงเพราะ...เขาเองก็รักขนม และรู้สึกดีใจที่มีคนรู้สึกเช่นเดียวกัน

อีกทั้งการได้เห็นคนกินขนมอย่างละเมียดละไมราวกับมันเป็นของสำคัญล้ำค่าก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกปลื้มปริ่มในใจในฐานะช่างทำขนม

ร่างสูงรอจนกระทั่งขนมทั้งห้าชิ้นถูกชิมหมดแล้ว และอาทิตย์อัสดงเก็บปากกาคืนที จึงได้เอ่ยถาม

“ทำไมคุณเขียนรีวิวแบบนั้นล่ะครับ ปกติผมจะเห็นคนรีวิวว่าอร่อยไม่อร่อย รสชาติแบบนั้นแบบนี้ แต่คุณรีวิวแบบให้คะแนนรสชาติแต่ละรส หวาน +1 เค็ม+1 เปรี้ยว+1 มัน+1 อะไรพวกนี้”

หลังจากชิมขนมเสร็จ ก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการจัดเก็บที่เหลือ ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ไม่ได้แสดงกิริยาต่างออกไปจากตอนชิมแม้แต่น้อย เขาคงยังกินมันอย่างบรรจงไปทีละชิ้นๆ แต่เมื่อได้ยินคำถาม เจ้าตัวก็เบี่ยงหน้ามามองคนที่นั่งอยู่ด้านติดกันของโต๊ะ

“ความชอบของคนเราไม่เหมือนกันหรอกครับ สำหรับผมมันอาจจะอร่อย แต่สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ ดังนั้นผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินแทนคนอื่นได้ว่ามันอร่อยไม่อร่อย สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงแค่บอกรสชาติว่าอะไรเป็นแบบไหน ส่วนถูกปากหรือไม่อร่อยนั้นขึ้นอยู่วิจารณญาณของคนกินเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง“

คำตอบที่คาดไม่ถึงทำให้คนฟังรู้สึกประทับใจได้อย่างอัศจรรย์ ภันวัฒน์อึ้งไปชั่วครู่ น้อยคนนักที่จะให้ความสำคัญกับการรีวิวถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ความพึงพอใจส่วนตน แล้วยัดเยียดให้คนอื่นคิดตาม

“เป็นความคิดที่ดังจังนะครับ”

ร่างสูงอดชื่นชมไม่ได้ ในช่วงเวลานั้นความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปในคนละทิศทางกับความคิดเดิม ทว่าอาทิตย์อัสดงกลับยิ้มแหยเล็กน้อยตอบกลับมา

“ผมไม่ได้คิดมากอะไรถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่เลี่ยงการโดนด่า”

เจ้าของคำตอบหันไปตักขนมกินอีกครั้งอย่างสบายๆ ผิดกับอีกคนที่รู้สึกเบาโหวงในใจ ไม่ใช่ว่ารู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างถูกยกออกไป แต่เป็นความรู้สึกเบาสบายที่เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล

อาจเพราะคำตอบนั้นที่เหมือนกับการถ่อมตัว

หรืออาจเพราะรอยยิ้มนิดๆ ที่ได้เห็น

หรืออาจเพราะ... อะไรเขาก็ไม่รู้แน่เหมือนกัน

รู้แต่ว่ารู้สึกอย่างนั้น

และมันก็ทำให้เผลอปล่อยคำพูดหลุดออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว

“แต่ได้ยินแบบนั้นแล้ว ผมรู้สึกดีนะครับ”





------------------------------

ไม่ได้มาวันมาฆะ เพราะตั้งแต่วาเลนไทน์ก็เพิ่งจะได้ว่างวันนี้เป็นวันแรก TT

ตอนหน้าคุณภันน่าจะได้ข้อหาเพิ่มอีก


Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2016 20:40:47 โดย undersky »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
นั่นสินะ
เพราะอะไรก็ไม่รู้
แต่รู้ว่ามันดีกับหัวใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
คุยกันดีดีแล้ว ดีใจจัง

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
จริงๆ คนนิสัยแบบภันนี่ ถ้าเป็นในชีวิตจริง ผมโคตรเกลียดเลย แต่คนแต่งเก่งมากที่ทำให้รู้สึกน่าเอ็นดูได้ในเรื่องนี้
ขำเรื่องการไหลของเวลาที่มีความเร็วไม่เท่ากัน อย่างกับทฤษฎีฟิสิกส์เลย

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
8th Entry : ร่วมชะตากรรม






จากสีฟ้าที่เคยสว่างเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน บัดนี้กลับมืดครึ้ม ชายหนุ่มทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ส่อเค้าลางไม่ดี รู้สึกสองจิตสองใจขึ้นมา จึงเบือนหน้าหันมองกันอยู่ชั่วครู่ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“เอาไงล่ะคุณ”

ภันวัฒน์เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนเมื่อมองหน้ากันสักพักแล้วยังดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้

“คงยังไม่ตกเร็วๆ นี้มั้ง ถ้ารีบเดินหน่อยก็น่าจะทัน”

เมื่อตรึกตรองถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากโรงแรมถึงสถานที่แห่งนี้ อาทิตย์อัสดงก็คาดเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะแม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มผิดกับตอนมาถึงที่นี่ลิบลับ แต่ยังไม่ถึงขนาดมีสัญญาณว่าฝนจะตกแบบฉับพลัน

“ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะครับ”

ร่างสูงรีบสนับสนุนพลางก้าวเท้าออกไปจากที่กำบังของร้านเบเกอรี่ พานให้ร่างโปร่งเดินตามกัน ทว่าเหมือนอย่างที่โบราณเขาบอกว่าฝนฟ้าเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ฝนห่าใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมาไม่ทันให้ตั้งตัว

“เฮ้ย ฝนตกแล้วคุณ รีบวิ่งเร็วเข้าเถอะ”

ผู้จัดการหนุ่มบอกและรีบสาวเท้าก้าวยาวกว่าเดิม ขณะที่อีกคนซึ่งได้ยินประโยคนั้นก็เร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี เพราะจากที่เม็ดน้ำพร่างพรายลงมาเม็ดห่างๆ ในตอนนี้เริ่มลงถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่ดีแล้วคุณ ผมว่าหาที่หลบฝนก่อนดีกว่า”

เมื่อดูท่าว่าจะไปไม่ตลอดรอดฝั่งจริงๆ อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยเสนอ ระยะก้าวของภันวัฒน์จึงหยุดลงและเปลี่ยนเป็นมองหาสถานที่ที่จะพอให้หยุดพักกลางทางได้

“งั้นไปหลบตรงตึกตรงนั้นกัน”

มือยาวชี้นิ้วไปที่อาคารหลังหนึ่งซึ่งมีชายคายื่นออกมาเล็กน้อยพอให้หลบฝนได้ เมื่อเห็นดังนั้นร่างโปร่งก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนทั้งคู่จะรีบเร่งตรงไปยังจุดหมายที่ช่วยให้ปลอดภัยจากการเปียกปอน

สายฝนกระหน่ำลงมาแรงขึ้น จากการคาดการณ์ว่าคงกลับไปถึงโรงแรมได้ทันกลับกลายเป็นติดแหง็กอยู่ระหว่างทาง ทั้งสองต่างมองไปยังเบื้องหน้า ท้องฟ้าสีเทาครึ้มดูสว่างขึ้นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย ทว่าปริมาณน้ำที่สาดเทลงมาจากเบื้องบนกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

สองร่างยืนทิ้งระยะกันเกือบสองช่วงแขน ฟังเสียงฝนกะเทาะลงพื้นถี่ๆ จนน้ำเริ่มเจิ่งนองบนพื้น เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อย จากห้านาทีเป็นสิบนาที จวบจนสิบห้านาที สายฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง บรรยากาศรอบข้างนอกจากเสียงน้ำฝนแล้วกลับเต็มไปด้วยความเงียบ พลอยให้ความอึดอัดค่อยๆ มาเยี่ยมเยือนช้าๆ

อาทิตย์อัสดงมองเส้นน้ำเบื้องหน้าที่สาดลงมากระทบกับพื้น พลางเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายเป็นระยะด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เงียบต่อไปเช่นนี้หรือว่าจะเปิดปากพูดอะไรดี พลางนึกตำหนิอีกฝ่ายในใจไม่ได้

ทั้งที่ปกติจะหาเรื่องมาพูดมากแท้ๆ

“เอ่อ...”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดผิดกับทุกที จึงตัดสินใจเองว่าจะทำลายความเงียบนั้นเสีย ทว่าฉับพลันที่อ้าปากออก เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็แทรกขึ้นมา พร้อมกับสัมผัสเย็นเฉียบที่สาดเข้าใส่ด้านหน้าเต็มเปี่ยม

รถกระบะคันหนึ่งวิ่งจากไป ทิ้งร่องรอยของน้ำเจิ่งนองบนพื้นไว้บนร่างของผู้ชายสองคน...

“แม่งเอ๊ย ขับรถยังไงวะ”

เสียงสบถดังออกมาแทนคำพูดที่พยายามจะเกริ่นนำร่อง อาทิตย์อัสดงยกแขนขึ้นใช้ต้นแขนเสื้อเช็ดน้ำที่เปียกลู่บนหน้าตัวเอง ซึ่งภันวัฒน์ก็ไม่ได้ทำต่างกันนัก หากแต่สิ่งที่ใช้เช็ดคราบน้ำเปียกๆ เป็นมือใหญ่

ทั้งสองหันมองหน้ากันสักพัก ส่องสายตาสำรวจร่างกันและกัน แล้วก็พบว่ามีสภาพไม่ต่างกันเลย เสื้อด้านหน้าเปียกทั้งหมด รวมไปถึงกางเกงและรองเท้าด้วย เห็นแล้วก็พานให้หงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”

“ฮะ...อะ” เมื่อถูกทัก ร่างโปร่งก็ชะงักไปเล็กน้อยจนต้องตั้งสติอยู่ชั่วครู่ “ผมจะถามว่าคุณว่าฝนจะตกอีกนานไหม”

“น่าจะนานอยู่ล่ะมั้ง เพราะดูไม่มีแววว่าจะเบาลงเลย”

“.....”

หลังจากได้ยินคำตอบ บล็อกเกอร์หนุ่มก็เงียบไป เปิดโอกาสให้ร่างสูงเอ่ยปากขึ้นมาอีกรอบ

“ไปกันเถอะ”

“เห?”

ใบหน้าขาวตี๋ดูงุนงงเล็กน้อย สบตามองคนที่หันมาประจันหน้ากันอยู่อย่างไม่แน่ใจ

“ไหนๆ ก็เปียกโชกขนาดนี้แล้ว ทนเปียกอีกสักหน่อยแล้วรีบไปอาบน้ำดีกว่านะผมว่า”

ได้ยินข้อเสนอดังนั้นก็ต้องขบคิดตามเล็กน้อย แต่เมื่อชั่งใจดีแล้วเสียงพ่นลมหายใจอย่างตัดใจยอมแพ้ธรรมชาติก็ดังออกมา อาทิตย์อัสดงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกมาจากร่มเงาของตัวอาคาร

ภันวัฒน์ออกเดินตามร่างโปร่งที่ก้าวด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย คงเพราะอยากถึงที่หมายเร็วๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็กลับมาเดินเคียงข้างกันได้

ท้องนภาสีครามครึ้ม สายฝนเย็นเฉียบเปียกลู่ผิวเนื้อของคนทั้งคู่

อาทิตย์อัสดงกระชับแท็บเล็ตไว้ในอ้อมกอดให้แน่นที่สุด รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องแย่จริงๆ ที่ฝนมาตกเอาตอนนี้





กว่าจะมาถึงโรงแรมก็เปียกปอนกันไปทั้งตัว ทั้งสองคนรีบขึ้นไปยังห้องพักโดยเร็วที่สุด ภันวัฒน์เสียบคีย์การ์ดก่อนก้าวล่วงเข้ามา ตามด้วยอาทิตย์อัสดงแทรกตัวเข้ามาอย่างฉับพลัน และคว้าผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้าขึ้นเช็ดของชิ้นสำคัญ

“รีบอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”

เสียงทุ้มใหญ่เปล่งบอก ร่างโปร่งจึงวางแท็บเล็ตลงบนเคาน์เตอร์วางโทรทัศน์ ก่อนจะตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักอีกครั้ง ทว่าก็ต้องชะงักเพราะร่างใหญ่กว่าทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่ามือของอีกคนจับสิ่งใดอยู่ ก็อดถามไม่ได้

“คุณจะอาบก่อนเหรอ”

“คุณก็เปียก ผมก็เปียก ก็อาบด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”

“เดี๋ยวนะๆ” คำตอบที่ได้รับมาทำให้อาทิตย์อัสดงร้องออกมา ก่อนจะตั้งสติย้อนคิดความหมายของสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ “หมายความว่าไง”

“คุณกับผม อาบน้ำด้วยกันไง”

“จะอาบได้ไง มีห้องน้ำห้องเดียว”

ไม่ต้องใช้ความคิดใดๆ ประโยคนี้ก็หลุดออกมาจากร่างโปร่งแล้ว ทว่าภันวัฒน์กลับตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับถอดเสื้อไปด้วย

“ก็อาบพร้อมกันไปเลยสิ ผู้ชายเหมือนกัน มีอะไรเหมือนๆ กัน ไม่เห็นเป็นไร”

ผิดจากอาทิตย์อัสดงที่อึ้งค้างไปแบบไม่ทันตั้งตัว

ถ้าคุณไม่ใช่เกย์น่ะนะ

แต่ไม่ทันได้เถียงอะไร มือหนาของคนที่เปลือยไปแล้วครึ่งตัวกลับรุนหลังให้เดินไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และห่างกันเพียงสองก้าวเท่านั้น

“ไปเถอะๆ ทิ้งไว้แบบนี้นานๆ เดี๋ยวได้ป่วยจริงๆ หรอก”

ทั้งอ้างเหตุผลทั้งโดนดันหลังให้รีบๆ เข้าไปในห้องน้ำจนกระทั่งก้าวเข้ามาภายในอาณาเขตนั้นทั้งตัวแล้ว จึงยากที่อาทิตย์อัสดงจะปฏิเสธออกไปได้อีก ครั้นจะผลักอีกฝ่ายออกให้พ้นประตูก็รู้แก่ใจดีว่าสู้แรงไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องจำยอม

“งั้นผมอาบในอ่าง คุณอาบฝักบัว”

บอกเสร็จ ร่างโปร่งก็ตรงไปยังอ่างอาบน้ำแล้วรูดม่านปิดทันที แบ่งสัดส่วนพื้นที่อย่างชัดเจน ซึ่งภันวัฒน์ก็แค่มองตามอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะยักไหล่เบาๆ และตรงไปยังอีกฟากซึ่งเป็นตู้อาบน้ำแบบฝักบัว เปลื้องผ้าส่วนที่เหลืออยู่ออกแล้วจึงเข้าไปชำระล้างกายที่นั่น

แต่เพียงครู่เดียว

ครืด...

เสียงอะไรบางอย่างถูกลากก็ดังขึ้น พร้อมการปรากฏตัวของร่างบึกบึน คนที่อยู่ฟากในของม่านพลาสติกที่ถูกรูดไปชิดมุมด้านหนึ่งเบิกโพลงตะลึงตะลาน เมื่อเห็นร่างชายอีกคนยืนอยู่หน้าอ่างอาบน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวชั่วคราวของตนเอง

“คุณทำอะไร!”

ทั้งร่างแข็งค้าง อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าควรจะยกมือขึ้นมาปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตนดีหรือไม่ ในเมื่ออีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะอายไหมที่ถูกเห็นตอนล่อนจ้อนทั้งตัวแบบนี้ หรือควรจะรังเกียจที่เห็นทุกซอกทุกมุมร่างกายของอีกฝ่ายที่แน่นขนัดด้วยกล้ามเนื้อดี รู้แต่ว่าถ้าถอยตอนนี้คงถูกตราหน้าว่ากลัวจนหัวหดแน่ๆ ซึ่งเขาไม่ยินดีกับคำสบประมาทนั้น จึงได้แต่ยืนนิ่งงันในท่าถูสบู่โดยมีฝักบัวที่สายของมันช่างสั้นเหลือเกิน นอนแอ้งแม้งอยู่ในอ่างสีขาว ปล่อยน้ำออกมาให้ไหลลงท่ออยู่อย่างนั้น

“เปียกฝนมาเย็นๆ ผมก็อยากแช่น้ำอุ่นๆ บ้าง”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงไปมากกว่านั้น เจ้าของเสียงทุ้มๆ ที่กล่าวออกมาอย่างเรียบนิ่งก็ก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำโดยพลัน ส่งผลให้คนที่เปิดตาขึ้นอย่างตื่นตระหนกยกเท้าจะก้าวหนี แต่ก็ถูกรั้งแขนเอาไว้

“จะรีบไปไหน สบู่ยังเต็มตัวคุณอยู่เลย”

“ก็... ก็คุณ”

เหมือนสมองเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ หรือไม่ก็ขัดข้องที่ไหนสักแห่ง อาจเกิดการลัดวงจรโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เสียงที่ออกมาจึงกระท่อนกระแท่นเช่นนั้น

สายตาเรียวคมสีนิลจึงเลื่อนมายังส่วนสงวนกลางร่างของร่างโปร่ง ก่อนจะเบนกลับไปยังใบหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มอีกครั้ง

“เอาน่า ของคุณก็ขนาดมาตรฐานชายไทยนี่ ไม่ได้เล็กจนต้องอายสักหน่อย มาแช่น้ำกับผมเหอะ

นอกจากรั้งด้วยคำพูดแล้ว มือที่จับแขนอีกฝ่ายอยู่ก็ไม่ยอมปล่อย ภันวัฒน์ใช้มือที่ว่างอีกข้างอุดจุกของอ่างอาบน้ำให้น้ำที่ไหลจากฝักบัวเติมเต็มอ่างน้ำ มิหนำซ้ำยังเทสบู่ลงอ่างเสียเยอะราวกับเด็กๆ ที่เล่นสนุก ตามด้วยกดบ่าของร่างโปร่งให้นั่งพร้อมเร่ง

“นั่งเร็วๆ”

อาทิตย์อัสดงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อดทิ้งคำถามไว้ในใจตนเองอย่างสงสัยไม่ได้ว่าสรุปเขาต้องแช่น้ำกับหมอนี่หรือ สุดท้ายเลยได้แต่นั่งเอ๋อเอาแผ่นหลังชิดขอบอ่างให้ได้มากที่สุด หดขาเข้าชิดตัวอย่างเก้ๆ กังๆ ขณะที่ร่างสูงก็หย่อนตัวลงนั่งเช่นกัน

ภันวัฒน์เอนหลังพิงกับขอบอ่างอีกฝั่ง ยืดขาเหยียดยาวออกมาพาดทับเท้าของอีกคนเอาไว้

“น้ำอุ่นดีจัง”

ใบหน้าสีเข้มเชิดขึ้น ดวงตาปิดลงดูเคลิ้มสบายอย่างน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ผิดเพี้ยน ผิดกับอีกร่างหนึ่งที่ได้แต่นั่งตัวเกร็ง

“เจอฝนเย็นๆ แล้วได้มาแช่น้ำอุ่นๆ นี่มันดีจริงๆ นะคุณว่าไหม”

เป็นคำถามที่คนฟังตอบไม่ถูกเลยทีเดียว

พอเห็นว่าคนที่ตนพูดด้วยไม่ตอบรับอีกทั้งยังนั่งตัวลีบแปลกๆ อีกต่างหาก ภันวัฒน์ก็ไถลตัวเข้ามาใกล้เกินอาณาเขตครึ่งอ่าง ใช้มือหยาบใหญ่ตบลงบนบ่าของร่างนั้นสองสามครั้งด้วยกำลังพอสมควร จนตัวของอาทิตย์อัสดงแทบสะดุ้ง

“ไม่ต้องเกร็งหรอกน่า ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก นึกซะว่ามาออนเซ็นก็ได้”

แม้ร่างสูงจะให้เหตุผลที่ฟังดูขึ้นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ กระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ยังทำใจให้สบายอย่างที่ว่าไม่ได้จริงๆ

ออนเซ็นที่ไหนบ่อเล็กขนาดนี้

แค่เขาแช่น้ำคนเดียวก็เต็มอ่างอยู่แล้ว นี่ยังมีผู้ชายตัวใหญ่มาเบียด ยิ่งทำให้อ่างเหมือนเล็กลงไปอีก

ร่างสูงกลับไปนั่งผึ่งผายที่เดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าควรวางสายตาของตนเองไว้ตรงไหน เพราะมองไปเบื้องหน้าก็เห็นชายหน้าด้านเปลือยกาย ครั้นจะหันหลังกลับ ก็รู้สึกว่าอันตรายต่ออวัยวะเบื้องล่างของตัวเอง จึงยิ่งทำให้อึดอัดมากเข้าไปใหญ่ ทว่า...

“คุณเติมน้ำอุ่นเพิ่มให้หน่อยสิ น้ำเริ่มเย็นแล้ว”

แช่น้ำไปได้เพียงชั่วประเดี๋ยว น้ำยังไม่ทันเต็มอ่างดีเลยด้วยซ้ำ เสียงทุ้มใหญ่ก็ดังขึ้นอีก

คิ้วของอาทิตย์อัสดงมุ่นเข้าหากัน ปรามาสอีกฝ่ายไว้ในใจว่านอกจากมาแย่งแช่อ่างแล้วยังมีหน้ามาบอกให้เติมน้ำอีก แต่ก็ยอมหันไปปรับปริมาณความร้อนของน้ำที่เติมลงมาในอ่างให้อย่างที่ถูกบอก

ในไม่ช้า น้ำที่อยู่เหนือเอวเพียงเล็กน้อยก็ปริ่มขึ้นมาเสมออก พร้อมกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น พานให้ร่างสูงยิ่งรู้สึกสบายตัว ตรงข้ามกับบล็อกเกอร์หน้าตี๋โดยสิ้นเชิง

“ไหนๆ เราก็อาบน้ำด้วยกันแล้ว คุณถูหลังให้ผมหน่อยสิ”

ดูเหมือนความเงียบจะเป็นอุปสรรคระหว่างกัน ภันวัฒน์จึงใช้ค้อนคำพูดทุบมันลงไปจนทลาย แต่เรียกว่ากระเจิดกระเจิงอาจจะเข้าท่าในความคิดของอาทิตย์อัสดงมากกว่า เพราะร่างโปร่งแทบสะดุ้งโหยง หน่วยตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนถลน

“ทำไมผมจะต้องถูหลังให้คุณด้วยล่ะ คุณอยากจะขัดจะถูตรงไหนก็เรื่องของคุณสิ”

“ก็ให้ถูหลังเองมันไม่ถนัดนี่ ยังไงมีคนถูให้ก็ดีกว่า ผมว่าโอกาสกำลังดีเลย”

“แต่ผมไม่คิดจะทำให้คุณหรอกนะครับ”

ถึงอย่างไรอาทิตย์อัสดงก็ยืนกรานปฏิเสธ ภันวัฒน์จึงเสนอความคิดใหม่

“งั้นผมถูให้คุณก่อนก็ได้”

“เฮ้ย ไม่ต้อง ผมไม่ได้อยากให้ใครมาถูหลังให้ คุณถอยไปห่างๆ เลย”

อาทิตย์อัสดงเลิกลั่กตอบพลางกระถดตัวหนีสุดขอบอ่างทั้งที่แต่เดิมก็นั่งชิดขอบอยู่แล้ว เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ทำเสียงจึกจักในลำคอเหมือนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร ก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วถามขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนประเด็นไป

“เพื่อนของคุณ...ที่ชื่อขวัญ เป็นคนยังไง”

คำถามนั้นชวนให้คนฟังแปลกใจเล็กน้อย

“คุณถามทำไม หรือว่าเพื่อนผมดันไปตรงกับสเปกคุณเข้า”

“ไม่ใช่หรอก แต่เพื่อนผมต่างหาก เห็นแบบนั้นมันก็เลวเอาเรื่อง”

คำสุดท้ายทำให้หนุ่มบล็อกเกอร์ไม่ต้องตรึกตรองอะไรอีก ร่างโปร่งลุกพรวด เตรียมก้าวขาออกจากอ่าง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงข้อมือไว้ทัน

“จะไปไหน”

“ก็โทรไปบอกเพื่อนผมให้ระวังเพื่อนคุณไว้น่ะสิ”

“ไม่ต้องไปหรอก ผมพูดเล่น”

หลังพูดจบ มือซึ่งจับบริเวณข้อมืออยู่ก็ออกแรงกระตุกดึงร่างที่ยืนอยู่ให้กลับลงมา จึงกลายเป็นว่าอาทิตย์อัสดงหล่นลงกระแทกภันวัฒน์เข้าเต็มๆ เสียงน้ำสาดกระเซ็นแทรกด้วยเสียงร้องโอยดังกังวานในห้องเงียบ ขณะที่แขนซึ่งเคยใช้พันธนาการอีกฝ่ายไว้เลื่อนเปลี่ยนมาโอบรอบเอวแทน

ด้วยอารามตกใจ คนถูกรั้งตัวรีบหันกลับไปอ้าปากจะต่อว่า ทว่าก็ต้องตะลึงพรึงเพริงและนิ่งค้างไปชั่วขณะ เพราะหน้าของตนเองและอีกคนอยู่ใกล้กันมากเสียจนจมูกเฉี่ยวกัน พลอยให้อึ้งงันกันไปทั้งคู่

ร่างที่ขาวกว่าและอยู่ด้านบนซึ่งเหมือนจะทับตักอีกฝ่ายอยู่นั้นพยายามดึงสติกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปตามเดิม รู้สึกหัวใจเต้นระรัวเร็ว ระบบหายใจขัดข้องจนลมหายใจติดขัดอย่างผิดปกติ แล้วก็ต้องสะดุ้งวาบไปอีกเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่แนบเข้ากับบ่าของตนเอง

ตัวแข็งค้างจนขยับไม่ได้ดั่งถูกแช่แข็งเฉียบพลัน

ทว่า...ทั้งอย่างนั้นภายในกลับรู้สึกร้อนวูบๆ อย่างบอกไม่ถูก

ตรงข้ามกับอีกคนที่กลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ภันวัฒน์ซุกหน้ากับบ่าของคนบนตักอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะเจ็บหรือขำดี เพราะเมื่อครู่ที่ร่างโปร่งหล่นลงมาทับ มันกระแทกโดนอวัยวะสำคัญเข้าพอดี แต่ขณะเดียวกันลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ทำให้รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก

“ทะ...ทำอะไร...ของคุณ”

เสียงสะดุดเป็นท่อนๆ อย่างกับการเล่นเพลงในแผ่นซีดีเก่าเก็บเกินใช้งานดังมาจากคนที่นั่งตัวเกร็งไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่กระผีก ราวกับกลัวว่าหากขยับแล้วจะเกิดเห็นวินาศภัยหรือมหันตภัยล้างโลกอย่างไรอย่างนั้น

“ก็คุณกระแทกลงมาจนผมจุก”

ภันวัฒน์ตอบกลับโดยที่น้ำเสียงไม่เปลี่ยนโทนไปเลยแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ชัดเจน แต่กระนั้นคนฟังก็เข้าใจได้ และแม้จะไม่อยากนึกถึงเท่าไรว่าไอ้ที่จุกน่ะคือตรงไหน ก็เผลอนึกไปถึงจนได้ แล้วก็ทำให้รู้สึกตะลึงตะลานขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะจุดที่ว่ามันอยู่ใต้บั้นท้ายของตัวเองเต็มๆ

กายโปร่งสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อมือที่วางอยู่รอบเอวกระชับแน่นมากกว่าเดิม ใบหน้าคมคร้ามซุกเข้าหาบ่ามากขึ้นจนลมหายใจร้อนๆ พ่นออกมาสัมผัสผิวจนรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาตรงบริเวณนั้นเป็นจังหวะ ยิ่งทำให้หัวใจที่สั่นระรัวอยู่แล้วยิ่งสะท้านกว่าเดิม

อาทิตย์อัสดงได้แต่นั่งแข็งทื่ออยู่เช่นนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อน เพราะเกรงว่าส่วนที่สัมผัสกันจะยิ่งเสียดสีไปกว่านั้นแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล และอดคิดกับตนเองไม่ได้ ทั้งที่โดนผู้ชายกอดแน่นแบบนี้ แทนที่จะรู้สึกอี๋ แขยง ขนลุก แต่กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย มิหนำซ้ำยังมาใจสั่นร้อนวูบๆ วาบๆ แบบนี้อีก

นี่มันอะไรกันวะ เกิดเหตุพิศดารอะไรหรือไง

โดยหารู้ไม่ว่ามุมปากของคนที่นั่งอยู่ด้านหลังกดลึกลงเป็น...รอยยิ้ม







อ่านต่อข้างล่าง


v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2016 09:15:55 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน



v



v




กว่าจะขึ้นจากอ่างอาบน้ำได้ก็หลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง ร่างสูงยอมคลายอ้อมกอดและผละหน้าจากตำแหน่งที่ซุกซบอยู่ เนื่องจากไม่อยากกลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายต้องขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน เพราะดูท่าทางว่าทางนั้นจะพยายามหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ยอมกระดิกตัวแม้แต่นิดเดียว

เมื่อได้รับอิสรภาพ อาทิตย์อัสดงก็รีบลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำและเดินดุ่มๆ ไปที่ตู้อาบน้ำแบบฝักบัวเพื่อล้างคราบสบู่ที่ติดอยู่บนร่าง ก่อนจะรีบถลาตัวออกจากห้องน้ำให้เร็วโดยพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับว่าตนกำลังครั่นคร้ามเพียงใด

หลังจากนั้นไม่นานหนุ่มร่างสูงก็ออกจากห้องน้ำตามมา ไม่วายชำเลืองมองอีกคนที่ออกมาก่อนซึ่งกำลังแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ไอความร้อนจากกายคนแผ่มาถึงกันได้อย่างง่ายดาย และมันก็ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างกันนั้นใกล้แค่ไหน ถึงกระนั้นก็ยังต้องทำเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเพื่อไม่ให้ตัวเองขายหน้า

กระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจึงได้ผละห่างออกมาอย่างแนบเนียน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปิดโทรทัศน์ดูเพื่อทำให้ภายในห้องไม่เงียบเกินไปจนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงและสร้างหัวข้อสนทนาขึ้นมา

“คุณพูดจริงๆ เหรอเรื่องเพื่อนของคุณ”

“เรื่องไหน” เสียงทุ้มดังมาจากหน้าตู้เสื้อผ้า “ที่ว่าเพื่อนผมสนใจเพื่อนคุณ หรือว่าเพื่อนผมเลว”

“ก็ทั้งคู่นั่นแหละ”

มือใหญ่ติดกระดุมกางเกงจนเรียบร้อยก่อนเดินมายังเตียงอีกหลังที่อยู่ข้างกับร่างโปร่งแล้วนั่งลง

“คำตอบแรกคือจริง ส่วนคำตอบที่สอง เพื่อนผมไม่ทำอะไรเพื่อนคุณหรอก นอกจากเพื่อนคุณจะยินยอมและเต็มใจ”

ได้ยินดังนั้นแล้วอาทิตย์อัสดงก็ถลึงตามอง เพราะราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังดถูกเพื่อนของเขาอยู่ ภันวัฒน์จึงเสริมเหมือนรู้ทันความคิด

“เราก็โตๆ กันแล้ว ควรพูดอะไรตรงๆ ไม่ควรจะอ้อมค้อมให้เสียเวลาจริงไหม”

คำต่อว่าที่วิ่งวนเข้ามาในหัวของหนุ่มร่างโปร่งเมื่อครู่หยุดลงก่อนจะจางหายไปหลังจากนั้นไม่นาน ด้วยเข้าใจคำพูดนี้ เขายอมรับว่าในยุคสมัยนี้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนไม่ว่าจะเพศไหนกับเพศไหน ก็ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินทั้งนั้น

แม้จะค้านอยู่หน่อยๆ เพราะประโยคก่อนหน้าฟังดูไม่ดีนัก แต่สุดท้ายอาทิตย์อัสดงก็นิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงออกไป ก่อนจะกลับไปยังห้องน้ำอีกครั้ง เพราะนึกขึ้นได้ว่าถอดชุดเปียกๆ ทิ้งเอาไว้

เสื้อถูกหยิบขึ้นมาบิดให้หมาดก่อนจะสะบัดๆ เพื่อให้มันแห้งได้ง่าย จากนั้นจึงหยิบกางเกงหวังจะทำเช่นเดียวกันบ้าง แต่น้ำหนักตรงกระเป๋ากางเกงที่ถ่วงเอาไว้ก็ทำให้นึกอีกอย่างขึ้นมาได้

ข้างหนึ่งเป็นกระเป๋าเงิน ส่วนอีกข้าง...เป็นโทรศัพท์

รู้สึกตัวแล้วอาทิตย์อัสดงก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมากดดูเพื่อตรวจสอบว่ามันมีปัญหาจากความเปียกชื้นหรือไม่ ซึ่งก็พบว่าโดยภาพรวมมันไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ใช่ว่าจะไว้วางใจได้จึงลองทดสอบการใช้งานหลายๆ อย่างดู จนในที่สุดก็พบสิ่งหนึ่ง

เหมือนน้ำจะเข้าลำโพง...

เสียงเพลงที่ดังออกมาจากเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นแตกอู้อย่างชัดเจน ยิ่งเปิดเสียงดังเท่าไร ก็ยิ่งได้ยินชัด เหมือนมีน้ำเกาะอยู่ภายในอย่างไรอย่างนั้น

มือเรียวจึงต้องคว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่บนชั้นในห้องน้ำขึ้นมาและพยายามเช็ดซับบริเวณที่เปียกทั้งหมด พร้อมทั้งเคาะจุดที่มีปัญหาลงบนผืนผ้าที่พับให้หนาสักหน่อยเพื่อป้องกันการกระแทก หวังให้น้ำที่ติดอยู่ภายในกระเด็นออกมาบ้าง แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม

รู้อย่างนั้นแล้วก็ได้แต่หอบหิ้วเสื้อผ้าที่เปียกออกมาแขวนกับไม้แขวนเสื้อ และเกี่ยวไม้แขวนไว้กับประตูตู้เพื่อผึ่งเสื้อผ้าชั่วคราว ก่อนเดินกลับมายังเตียงนอนพร้อมกับโทรศัพท์และผ้าขนหนู เสียงถอนหายใจดังออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เรียกให้คนที่อยู่ในห้องอีกคนหนึ่งหันมองตาม

“มีอะไรเหรอคุณ”

“ก็โทรศัพท์น่ะสิ เปียกฝนจนน้ำเข้าลำโพง”

อาทิตย์อัสดงตอบเสียงเหนื่อยอ่อน พานให้ภันวัฒน์นึกขึ้นได้เช่นกันว่าลืมเช็กโทรศัพท์ของตนเองไปเลย จึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าเปียกๆ ที่กองไว้ในห้องน้ำขึ้นมา ล้วงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกง เมื่อลองกดดูก็พบว่า...อาการหนักกว่าอีกคนเสียอีก

เปิดไม่ติดเลยด้วยซ้ำ

เสียงถอนหายใจดังออกมาไม่ต่างกัน ก่อนภันวัฒน์จะบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าเปียกๆ และผึ่งไว้ที่ราวภายในห้องน้ำ ก่อนตรงไปเปิดลิ้นชักตรงเคาน์เตอร์ที่อ่างล้างหน้า หยิบไดร์เป่าผมติดมือออกมาจากห้องน้ำ

“ของคุณยังดี ของผมนี่สิ ดับไปเลย”

อาจเพราะความหนาของกางเกงกระมัง ผลที่ออกมาจึงต่างกัน ภันวัฒน์สวมกางเกงสแล็ค ขณะที่อาทิตย์อัสดงสวมกางเกงยีน

“ใช้นี่สิ”

ร่างสูงเดินไปหยุดหน้าเตียงที่อีกคนนั่งอยู่ก่อนหย่อนตัวลงแล้วยื่นไดร์เป่าผมให้

“ใช้ไดร์เป่ามันจะไม่พังเหรอ”

“ถ้าเปิดลมเบาๆ แล้วถือห่างหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหานะ”

คำแนะนำนั้นพอจะน่าสนใจอยู่ ทว่าอาทิตย์อัสดงก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี หน่วยตาเรียวมองสิ่งที่อยู่ในมือของภันวัฒน์สลับกับที่อยู่ในมือตนเองสองสามครั้ง ก่อนจะตัดสินใจยอมยื่นมือออกมาคว้าไดร์เป่าผมไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีก่อนจะย้ายร่างไปที่เคาน์เตอร์โทรทัศน์เพื่อเสียบปลั๊กและเปิดการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น

เสียงเครื่องจักรทำงานพร้อมกับลมเป่าออกมาจากปากกระบอกเบาๆ บล็อกเกอร์หนุ่มหันช่องลำโพงของโทรศัพท์ไปยังทิศทางที่ลมถูกพ่นออกมา ขยับเข้าถอยออกห่างเป็นพักๆ เพราะเกรงว่าหากแช่เอาไว้ในตำแหน่งเดิมนานอาจจะส่งผลให้แผงวงจรโทรศัพท์เสียหายก็เป็นได้ ราวห้านาทีเห็นจะได้ก็ลองเปิดเพลงเพื่อทดสอบลำโพงอีกครั้ง

“เฮ้ย หายจริงด้วยอะคุณ”

เสียงร้องอย่างดีใจดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน รอยยิ้มผุดออกมาอย่างไม่รู้ตัวยามหันไปทางคนที่เสนอวิธีช่วยเหลือ ทำให้คนมองอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“ดีแล้วล่ะ”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณมากนะครับ”

อาทิตย์อัสดงบอกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังหรือวางฟอร์มใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะดึงปลั๊กของไดร์เป่าผมออกจากเต้า

“ว่าแต่...” แม้ว่าจะรู้สึกยินดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทว่าภันวัฒน์ก็เอ่ยออกมาอย่างลังเลใจเมื่อเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง “แท็บเล็ตของคุณน่ะ จะไม่เช็กสักหน่อยเหรอ”

“เฮ้ย”

เมื่อถูกทัก อาทิตย์อัสดงก็ร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ ลืมเสียสนิทว่าสิ่งนั้นมันน่าเป็นห่วงมากกว่าโทรศัพท์มือถือเสียอีก เพราะว่ามันฝ่าฝนมาเต็มๆ

“หวังว่าคงจะไม่เจ๊งไปแล้วหรอกนะ”

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

ภันวัฒน์ให้กำลังใจแต่น้ำเสียงฟังดูหดหู่ไปสักหน่อยพลอยให้คนฟังใจแป้วไปด้วย มือเรียววางโทรศัพท์ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วและย่างเท้าเข้าหาแท็บเล็ตซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างช้าๆ ราวกับเกรงกลัวว่าจะพบความจริงอันโหดร้าย และดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลย เพราะว่าแท็บเล็ตสีขาวนอนตายสนิท กดเปิดเท่าไรก็ไม่ติดสักที

เห็นดังนั้นพร้อมกับได้ยินเสียงถอนหายใจก็รู้คำตอบได้ทันที ร่างสูงจึงเสนอเพื่อปลอบใจ

“เอาไว้กลับกรุงเทพฯ แล้วเอาไปซ่อมที่ศูนย์แล้วกัน”

“เครื่องตกน้ำ เปียกน้ำ หมดประกันนะครับ”

“ถ้างั้นก็ไว้ซื้อเครื่องใหม่แล้วกัน”

ผู้จัดการหนุ่มพูดอย่างสบายๆ แต่ร่างโปร่งกลับถอนหายใจอีกที เพราะคิดว่าหากเอาไปซ่อมร้านตู้ ก็กลัวว่าอายุการใช้งานจะสั้นลง เสี่ยงอันตราย หรือมันอาจจะขัดข้องทีหลังก็ได้ เนื่องจากเคยเปียกน้ำมาก่อน

สุดท้ายอาทิตย์อัสดงจึงต้องจำใจยอมรับคำพูดนั้น แล้วเดินมาขึ้นเตียงซึ่งมีอีกคนนั่งอยู่อย่างเสียไม่ได้ ทว่าก็เหลือบมาเห็นสร้อยพระที่คอของอีกฝ่าย จับจ้องมันอยู่ชั่วครู่หนึ่งเพราะลืมไปเสียสนิทว่ามันถูกยึดเป็นตัวประกันเอาไว้

“อยากได้คืนเหรอ”

เมื่อมองตามสายตาของบล็อกเกอร์หนุ่มมา ภันวัฒน์ก็รู้ว่าจุดหมายของฝ่ายนั้นคืออะไร

“ก็ต้องอยากสิคุณ ถามอะไรแปลกๆ สร้อยนั่นแม่ผมให้ไว้ใส่คุ้มครองผมนะ แต่พอคุณเอาไป ชีวิตผมก็วุ่นวาย”

ใจของร่างโปร่งอยากจะสื่อว่าวุ่นวายเพราะมีอีกฝ่ายเข้ามาพัวพันด้วย ซึ่งคนถูกมองก็อ่านสายตาได้จึงยอมถอดสร้อยออกมา

“ผมให้คุณใส่นอนคืนนึงก็ได้ เอาไว้คุ้มครองคุณไง”

อาทิตย์อัสดงหรี่ตามองอย่างจับผิด พยายามตีความคำพูดเมื่อครู่ว่าหมายถึงอะไร ภันวัฒน์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ กับสายตาหวาดระแวงนั้นก่อนจะตอบ

“คุ้มครองให้คุณนอนหลับสบาย ไม่โดนผมลักหลับคืนนี้ล่ะมั้ง”

ได้ยินดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็ถลึงตาฉับใส่ทันที แล้วรีบคว้าสร้อยมาสวมคออย่างรวดเร็ว จนภันวัฒน์อดขำไม่ได้ พลางคิดว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายนั้นช่างตลกดีจริงๆ ตั้งแต่ในห้องน้ำแล้ว และมันก็ทำให้เขา...

รู้สึกชักจะติดใจผู้ชายชื่ออาทิตย์อัสดงเข้าจริงๆ เสียแล้ว จากที่ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร







---------------------------
ไม่ได้แต่งเพิ่มสักตัวมา 1 เดือนเต็มๆ แล้ว ชักต่ออารมณ์ไม่ถูก
แต่ก็หวังว่าจะยังมีคนอ่านอยู่นะคะ

ป.ล. ขอบคุณคอมเมนต์ข้างบนที่เมตตาเอ็นดูคุณภันผู้หน้าด้าน ข้อหาเยอะนะคะ
Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2016 09:15:23 โดย undersky »

ออฟไลน์ synsyn.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี้ดมาต่อล้าวว ยังไม่จุใจเยย >3<

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ตอนนี้ชอบภันขึ้นมาอีกหน่อย ในฐานะที่รุกได้เนียนดีมาก 555
วันที่ update เดือนผิดอยู่นะครับ

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ยังรออ่านอยู่นะ ชอบสำนวนกะเนื้อเรื่องจ้า

ออฟไลน์ cinnsin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบก็จีบเลย ชอบก็จีบเลยเซ่ ~ ชูวับ ชูวับ~
ไม่สิ.. จับอาทิตย์อัสดงทำเมียเลยคุณภั---- //โดนคนที่กำลังจะเป็นเมียลากไปฆ่า :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
รุกคืบได้ดีมาก

สวดมนต์กันผีอำด้วยนะอาทิตย์อัสดง
เอ..อีตาภัณยังเป็นคนอยู่นี่นา งั้นก็เสร็จสิ! อิอิ  :z1:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
9th Entry : รุกคืบ






ความตั้งใจดั้งเดิมในการมาที่นี่คือ หลังจากไปทำงานตามคำว่าจ้างเสร็จแล้วก็ออกตะเวนหาร้านเบเกอรี่น่านั่งเพื่อเก็บรีวิวไปเรื่อยทั้งสองวันก่อนขับรถกลับกรุงเทพฯ แต่กลับกลายเป็นว่าแผนล่ม พังไม่เป็นท่าตั้งแต่วันแรก เพราะอยู่ๆ ฝนก็สาดเทลงมา อีกทั้งแท็บเล็ตที่ใช้งานอยู่เป็นประจำยังเสีย เปิดไม่ติดเสียอีก อาทิตย์อัสดงจึงต้องตัดใจ

ทั้งคู่เช็กเอาท์ออกจากโรงแรมในตอนสายๆ หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเรียบร้อยแล้ว เพราะแพ็คเกจห้องพักที่จองมีบริการอาหารเช้าให้ด้วย กระเป๋าเสื้อผ้าถูกหอบมาขึ้นรถก่อนการเดินทางจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งอย่างแสนเสียดายที่มาต่างจังหวัดทั้งทีแต่กลับไม่คุ้มเอาเสียเลย

สีหน้าของร่างโปร่งบ่งบอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจนว่าเสียดายเพียงใด พานให้คนที่เป็นสารถีต้องเบือนหน้ามาดูคนที่นั่งเบาะข้างๆ อยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นมา

“ไหนๆ ก็มาทะเลทั้งที เราแวะเดินเล่นกันหน่อยไหม”

“คุณครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของคนถูกถามค่อนข้างห้วน “คุณคิดว่าแดดเมืองไทยตอนสิบเอ็ดโมงมันเย็นมากเหรอครับ”

ทว่าแทนที่คนที่เหมือนถูกตำหนิกลายๆ เพราะชวนโดยไม่คิดหน้าคิดหลังจะสะดุ้งสะเทือนบ้างกลับไม่เลยแม้แต่น้อย ภันวัฒน์ยิ้มแฉ่งตอบแบบไม่อนาทรแสงแดด

“แหม ก็ผมเห็นคุณหน้าบูดนี่”

เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างโปร่ง นึกเอือมระอาคนหน้าด้านที่ยังมีหน้ามายิ้มให้เหมือนกับเป็นเรื่องสนุกเสียอีก

“เอาน่า แค่แป๊บเดียวเอง ไม่ทำให้ผิวขาวจั๊วะของคุณดำขึ้นมาได้หรอก ขนาดผมดำอยู่แล้วยังไม่กลัวเลย”

จะเรียกว่าผิวดำก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่เป็นผิวเข้มใกล้แทนเสียมากกว่า หรือหากเรียกให้ดูเลิศหรูอีกนิดว่าเป็นสีน้ำผึ้งก็คงไม่ผิด ภันวัฒน์ยื่นแขนข้างซ้ายที่ละจากพวงมาลัยรถมาเทียบกับแขนขาวๆ ของอาทิตย์อัสดงที่วางอยู่บนตักเพื่อเน้นย้ำ

“อีกอย่าง คุณเป็นพระอาทิตย์อยู่แล้ว จะกลัวพระอาทิตย์อีกทำไม จริงไหมครับ”

รอยยิ้มเย็นสบายผลิจากใบหน้าคมคร้าม คนถูกอ้างว่าเป็นพระอาทิตย์ผ่อนลมหายใจออกมาอีกหนึ่งระลอกอย่างเสียไม่ได้เพราะไม่รู้จะเถียงอีกฝ่ายอย่างไร ซึ่งนั่นก็เท่ากับการตกปากรับคำในสายตาของภันวัฒน์ เขาสังเกตเส้นทางชายหาดที่ตนกำลังจะขับเลียบพร้อมกับดูว่าตรงไหนบ้างที่สามารถจอดรถได้ชั่วคราวก่อนจะหยุดเครื่องยนต์ตรงนั้น

“ไปกันคุณ”

ตำแหน่งที่ทั้งสองคนอยู่ ณ ปัจจุบันค่อนข้างไปทางท้ายหาด ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่รังสีอัลตราไวโอเลตค่อนข้างแรง บริเวณชายหาดส่วนนี้จึงเงียบสงบมากเป็นพิเศษ ทั้งสองคนเดินข้ามถนนไปยังชายหาดที่นับว่าไม่ได้ขาวสะอาดนักเมื่อเทียบกับจังหวัดเกาะขึ้นชื่อ

แสงแดดแรงๆ ยามสายบาดผิวให้รู้สึกร้อนไม่น้อย ผนวกกับลมที่พัดพาความเค็มกับไอแดดมาก็ทำให้รู้สึกเหนอะหนะเล็กน้อย อาทิตย์อัสดงไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกดีกับบรรยากาศแบบนี้หรือเปล่า แต่ก็ยังย่ำเท้าเดินต่อไป

“ถอดรองเท้าเดินสิคุณ”

ร่างสูงเอ่ยบอกหลังจากจัดการเท้าของตนเองอย่างที่ว่าเรียบร้อยแล้ว เพราะรองเท้าเป็นแบบมีสายคาดทำให้เดินลำบากเมื่อทรายเข้าไปขังอยู่ภายใน

“ไม่ร้อนเหรอคุณ”

“จะว่าร้อนก็ร้อนอยู่นะ”

“แล้วคุณให้ผมถอดรองเท้าทำไม คุณอยากถอดก็ถอดไปคนเดียวสิครับ”

“คุณนี่ มาถึงทะเล ไม่เหยียบทรายด้วยเท้าเปล่าถือว่าไม่ถึงนะ”

ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มักมีข้ออ้างแปลกๆ เสมอ แต่ก็น่าแปลกอีกเช่นกันที่มันชักนำให้ต้องทำตามแม้จะคิดว่าไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

อาทิตย์อัสดงยอมถอดรองเท้าออกด้วยความสงสัยในใจว่าทำไมตนเองต้องทำตาม อาจเพราะใจหนึ่งรู้สึกว่าคงเพราะรอยยิ้มของอีกฝ่ายกระมังที่ทำให้รู้สึกว่าการทำอะไรอย่างที่ฝ่ายนั้นบอกมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

“ร้อน!”

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่เมื่อถอดรองเท้าและเท้าสัมผัสกับทรายแล้วร่างโปร่งก็ร้องลั่น เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มอีกคนได้เป็นอย่างดี ภันวัฒน์หัวเราะก๊ากใหญ่ที่อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเหนือความคาดหมาย

“คุณหลอกผมใช่ไหมเนี่ย”

“ฮ่าๆ ผมหลอกอะไรคุณ คุณก็เห็นว่าผมถอดรองเท้าก่อนคุณซะอีก”

ไร้ข้อโต้เถียงเพราะหลักฐานก็เห็นอยู่ชัดๆ คาตา ทว่าบล็อกเกอร์หนุ่มก็คิดว่าจะไม่ยอมทำตามอีกแล้ว จึงรีบสวมรองเท้ากลับคืนตำแหน่งเดิมทั้งที่ถอดได้ข้างเดียว แต่ภันวัฒน์ก็ไวกว่า มือใหญ่รีบคว้ารองเท้าข้างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“อะไรของคุณ”

“ไหนๆ ก็ถอดแล้ว ถอดสองข้างเลย”

“ผมไม่หนังหนาอย่างคุณสักหน่อย”

“ถอดเร็วๆ”

อีกฝ่ายไม่ฟังแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเร่งกันเสียอีก อาทิตย์อัสดงหน้าบูดบึ้งรีบเอื้อมตัวไปดึงรองเท้าในมือใหญ่คืน แต่ภันวัฒน์ก็เอารองเท้าทั้งสองข้างของตนเองและของอีกคนที่ถืออยู่ไปซ่อนด้านหลัง

“คุณๆ นู่น”

เพราะดูทีท่าว่าอย่างไรหนุ่มหน้าตาตี๋ก็จะเอารองเท้าคืนให้ได้ ภันวัฒน์จึงเรียกพลางชี้นิ้วมือข้างที่ปล่อยให้ว่างได้ไปทางด้านหลังของร่างโปร่ง

“อะไร ผมไม่หลงกลโดนคุณหลอกหรอกนะ”

“อ้าว งั้นเหรอ ถ้างั้น...”

คำแรกร่างสูงทำเสียงเหมือนเสียดาย แต่ประโยคท้ายกลับแฝงด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกมืออีกข้างที่มีรองเท้าอยู่กลับมาทางด้านหน้าแล้วหยิบรองเท้าของอีกคนแยกออกมา จากนั้นก็...

ฟิ้ว

รองเท้าหนึ่งข้างของอาทิตย์อัสดงลอยละลิ่วไปตามแรงส่งของช่างทำขนมหวาน พานให้ผู้เป็นเจ้าของหันไปมองตามตาเหลือก

“ทำอะไรของคุณเนี่ย”

“พอดีว่ารองเท้าคุณมันร้อนไง ผมเลยช่วยให้มันไปรับลม เมื่อกี้ผมก็บอกคุณแล้วว่านู่นๆ ให้คุณไปรอรับก็ไม่เชื่อ”

เป็นข้ออ้างหน้าด้านๆ ชัดๆ บล็อกเกอร์หนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต่างกับอีกคนที่ใบหน้าเคลือบด้วยรอมยิ้ม มิหนำซ้ำยังเปิดประเด็นเรื่องอื่นขึ้นมาอีกพร้อมกับทิ้งรองเท้าของเจ้าตัวลงบนพื้นทรายแล้วสวมทันที ตัดโอกาสให้ร่างโปร่งได้เอาคืน

“ว่าแต่คุณคืนสร้อยให้ผมได้หรือยัง”

“คืน?” คนฟังทำหน้าอึ้งตะลึงงันกับคำถามนั้น ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง “คำว่าคืน มันเอาไว้ใช้สำหรับคนที่เป็นเจ้าของไม่ใช่เหรอครับ”

ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ยังพูดต่อราวกับไม่รู้สึกใดๆ กับคำพูดเหน็บแนมกลายๆ

“งั้นขอยืมต่อก็ได้”

“หา! ผมคงให้คุณยืมหรอก”

ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้นมา อาทิตย์อัสดงร้องพลางรีบตะครุบสร้อยที่คอกำไว้แน่น แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาได้ของคืนมาแล้ว ไม่มีทางจะส่งกลับไปในมือของร่างสูงอีกแน่นอน ถึงมันจะดูเหมือนผิดข้อตกลงร่วมกันที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกก็ตาม

“ถ้างั้น...” ร่างสูงทำท่าคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มสบายๆ “ให้ผมปล้นแล้วกัน”

จากนั้นก็ยื่นมือไปหมายจะจับสร้อยที่คอของคนตรงหน้า อาทิตย์อัสดงรู้ทันจึงรีบหมุนสร้อยให้ตำแหน่งตะขอเลื่อนไปอยู่ด้านหลังคอแทนเพื่อความปลอดภัย แต่ใช่ว่าภันวัฒน์จะยอมรามือง่ายดายแบบนั้น

ร่างสูงก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวใหญ่ ทำให้ร่างของทั้งสองคนที่อยู่ห่างกันไม่มากอยู่แล้วยิ่งประจันหน้ากันอย่างใกล้ชิด และมันก็ช้าเกินกว่าฝ่ายตกเป็นเหยื่อจะรู้ทัน มือใหญ่จึงอ้อมไปหลังคอได้อย่างง่ายดาย

ภันวัฒน์ก้มหน้าลงไปเล็กน้อยพลางยื้อมือที่เรียวเล็กกว่าออกเพื่อจนปลดตะขอสร้อยสีทองให้หลุดจากคอขาวๆ ได้ ทำให้กายที่ใกล้กันยิ่งแนบชิดกันเสมือนกอด ใบหน้าคมสันอยู่ใกล้ศีรษะของคนที่สูงน้อยกว่าเสียจนจมูกแตะเส้นผมนุ่มสีน้ำตาล

ห้วงเวลาเหมือนหยุดค้างไปครู่หนึ่งเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสของกันและกันที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าร่างสูงจะหลุดจากภวังค์ได้ก่อนจึงกระซิบบอก ณ ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้ล่าถอยออกไป

“หัวคุณหอมดีเนอะ”

เส้นผมที่โดนลมจากอีกฝ่าย ไม่ใช่ลมธรรมชาติพัดพลิ้วเล็กน้อยจนรู้สึกได้ ทำให้เจ้าของมันชะงักค้างยิ่งกว่าเดิม เพราะร่วมด้วยอาการหวิวๆ ตรงอก เนื่องจากไม่คิดว่าจะเจอคำพูดแบบนี้ แต่หลังจากตั้งสติได้ก็รีบผลักคนตรงหน้าออกอย่างรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตเลยว่าสร้อยที่หวงนักหนาเมื่อครู่หลุดติดมือร่างสูงไปด้วย

“พูดอะไรของคุณ ขนลุก”

อาทิตย์อัสดงเอามือลูบแขนตัวเองทั้งที่จริงๆ ไม่ได้ขนลุกพลางเอ่ยแบบนั้นไปด้วย

เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้วที่อีกฝ่ายพูดจาประหลาดทำให้เขาต้องนอนผวาไปเป็นชั่วโมง เกรงว่าฝ่ายนั้นจะอุตริลุกขึ้นมาทำเรื่องคาดไม่ถึงอย่างที่ปากว่าไว้ กว่าเขาจะข่มตาหลับลงได้ ก็ตอนได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าคนที่ตนหวาดระแวงอยู่หลับไปแล้วนั่นแหละ

“งั้นผมช่วยเลียให้ขนกลับมาลู่เหมือนเดิมดีไหม”

คนที่ได้เห็นกิริยากระหยิ่มยิ้ม เอ่ยทะเล้น ผิดกับอีกคน บล็อกหนุ่มอึ้ง อ้าปากค้างไปชั่วครู่ ไปต่อไม่ถูก ยิ่งสบนัยน์ตาคมเข้มสีนิลคู่นั้นแล้วเห็นประกายวับวาวก็ยิ่งทำให้รู้ว่าตนเองเผชิญกับทางตันเสียแล้ว จึงรีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเดินไปใส่รองเท้าที่ถูกปาไปไกล พลางพูดทั้งที่หันหลังให้อีกฝ่าย

“กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวจะถึงเย็นเกินไป”

ภันวัฒน์มองตามหลังดวงตะวันยามเย็นในร่างบุคคล ยิ้มกับตัวเองเพราะรู้ทันว่าร่างโปร่งกำลังทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงสวมสร้อยที่ยึดคืนมาแล้วลงที่คอและเดินตามคนที่นำไปก่อน ทว่าเมื่อไปถึงรถยนต์สีเทาดำซึ่งจอดอยู่อีกฟากถนนก็ต้องหลุดยิ้มขำอีก

“เดินจ้ำมาก่อน สุดท้ายก็ต้องยืนรอ นึกว่าตัวเองมีกุญแจหรือไงครับ”

“คุณรู้ไหม บางทีคุณก็ทำให้ผมคิดว่า ปากอย่างนี้น่าโดนเตะสักที”

เจ้าของคำพูดทำตาขวางใส่เล็กน้อยราวกับจะตอกย้ำให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจนว่าตนเองรู้สึกเช่นนั้น ทว่ากลับส่งผลในทางตรงข้าม เพราะภันวัฒน์ตอบหน้ายิ้มยินดี

“เพราะทำคุณเขินน่ะเหรอ”

เป็นอีกครั้งที่อาทิตย์อัสดงไปต่อไม่ถูกอยู่ชั่วครู่ เขารีบปฏิเสธ ‘ผมจะเขินคุณทำไม’ ก่อนเร่ง ‘เปิดประตูรถได้แล้ว ผมร้อน’ พลอยให้เสียงพึมพำที่ดูออกจะดังไปสักหน่อยลอยออกมาจากปากของร่างสูง

“ร้อนรุ่มใจที่ถูกจับได้หรือเปล่าน้อ”

ภันวัฒน์กระหยิ่มยิ้มพลางเหลือบตามองคนที่ตนกลั่นแกล้ง เห็นเจ้าตัวทำหน้ามุ่ยๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะต้องการข่มความอายหรือว่าไม่พอใจจริงๆ กันแน่ แต่ก็ตีความเข้าข้างตัวเองเอาไว้ก่อน ใบหน้าจึงประดับด้วยรอยยิ้มไม่สร่างซาจนน่าหมั่นไส้ในความคิดของอีกคน จากนั้นจึงค่อยกดปุ่มปลดล็อกประตูรถจากรีโมทในมือ

หนุ่มบล็อกเกอร์หน้าตี๋เข้าไปนั่งประจำที่ข้างคนขับในรถก่อน คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยโดยตีสีหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไว้อย่างสุดความสามารถ ถึงกระนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่ลอดผ่านเข้ามาทางประตูรถอีกฟาก

ร่างสูงกำยำย่อตัวลงมานั่งในรถ ก่อนปิดประตูและคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วจึงออกรถไป ทว่าแม้จะเคลื่อนรถมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ยังหันมามองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างอยู่เรื่อยๆ ซึ่งใช่ว่าคนถูกมองจะไม่รู้สึกอะไร และมันก็ทำให้อึดอัดแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ ถึงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

“มองอะไรของคุณ”

“ผมก็มองไปเรื่อยเปื่อยแหละ”

คำตอบสะท้อนกลับมาเป็นเสียงทุ้มๆ หลังจากนั้นไม่นาน แถมด้วยรอยยิ้มบางๆ พิมพ์ประดับอยู่บนดวงหน้าคมคร้ามนั้นเสียอีก ยิ่งพานให้คนเห็นทวีความหมั่นไส้

“ขับรถก็มองข้างหน้าสิครับ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะว่ายังไง”

“แหมคุณ” เสียงร้องราวกับเหน็บแนมกลายๆ ดังขึ้นนำ “ก็ต้องมองกระจกข้างด้วยสิ เผื่ออยู่ดีๆ มีรถแซงขึ้นมา มันก็อันตรายนะครับ”

“มองกระจกข้าง จริงๆ เหรอครับ”

ท้ายคำพูดร่างโปร่งเน้นเสียงมากกว่าปกติบ่งให้รู้ว่าไม่เชื่อเลยสักนิด ทว่าภันวัฒน์ก็ทำเสียงซื่อตอบอย่างไร้เดียงสา

“อื้ม”

อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตัวเองพูดคำว่า ‘หมั่น’ อยู่ในใจไปกี่รอบตั้งแต่ได้ยินคำตอบนั้น เขาเบือนหน้าหนีมาทางกระจกหน้าต่างก่อนจะปิดเปลือกตาลง ตัดสินใจว่าเข้าสู่ทางสงบดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับคนบ้าอย่างผู้ชายคนข้างๆ

ความเงียบกลับเข้าสู่ห้องโดยสารอีกครั้งเมื่อบล็อกเกอร์หนุ่มปิดการรับรู้ของตนเอง ถึงกระนั้นใช่ว่าการกระทำของภันวัฒน์จะหยุดลง เขายังหันไปมองคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ และแสร้งหลับหรือเริ่มหลับจริงแล้วไม่รู้ด้วยความครึ้มใจ

ถ้าได้รู้สึกแบบนี้บ่อยๆ ก็คงดี







กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็หลังจากนั้นอีกสองชั่วโมงกว่าๆ จากช่วงสายของวันดวงตะวันก็ย้ายมาสู่ทิศตะวันตกมากขึ้น ภันวัฒน์เคลื่อนรถเข้ามาภายในตัวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จอดรถเข้าที่ให้เรียบร้อยก่อนจะหันไปมองคนที่หลับลึกมาตลอดทาง แล้วก็...

...หลุดยิ้มออกมาอีกครั้งจนได้

“จะปลุกยังไงดีนะ”

ดับเครื่องยนต์แล้วความคิดนั้นก็บังเกิดขึ้นมาฉับพลัน เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นแม้แต่น้อย ครั้นจะเรียกหรือใช้มือสะกิดก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินไป เขาอยากดูปฏิกิริยาตลกๆ จากอีกฝ่ายมากกว่า

คิดหาคำตอบอยู่ชั่วครู่รอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ภันวัฒน์ปลดเข็มขัดนิรภัยที่ล็อกร่างตนเองออก ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้คนที่ยังอยู่ในนิทรา ให้ใบหน้าไปอยู่ตรงกับหูของอีกฝ่าย จากนั้น...

ฟู่วววววว

เป่าลมเข้าไปในหู

อาทิตย์อัสดงสะดุ้งโหยงร้อง ‘เฮ้ย’ ออกมาเสียงดังลั่น ดีว่าเจ้าตัวถูกเข็มขัดนิรภัยล็อกตัวไว้หนึ่งชั้นจึงไม่เป็นอันตรายถึงขั้นหัวโหม่งหลังคารถ ตรงข้ามกับผู้กระทำราวกับกลับด้าน

เสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจดังมาจากหนุ่มช่างทำขนม พานให้ใบหน้าของคนเพิ่งตื่นมุ่ยลง คิ้วขมวดฉับ ขึ้นเสียงข่ม

“คุณ!”

ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังแก้ตัวได้หน้าตาเฉยราวกับไม่รู้สึกถึงความผิดใดๆ ทั้งสิ้น

“ก็คุณไม่ตื่นเองนี่ครับ”


“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาเป่าหูผมเล่นได้นี่ครับ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”

บล็อกเกอร์หนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับเอาจริงเอาจัง แต่ภันวัฒน์กลับลงความเห็นกับตัวเองว่าอาจจะเป็นแค่การข่มความรู้สึกต่างๆ นานาที่เกิดจากการตั้งตัวไม่ทันที่ถูกทำอะไรแบบนี้ก็เป็นได้

“การมีหัวใจอ่อนเยาว์ จะช่วยให้สุขภาพกายใจดีขึ้นนะครับ”

ร่างสูงยิ้มน้อยๆ แต่แฝงแววทะเล้นอยู่ในที อารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้คนเห็นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จึงรีบมองสำรวจสถานที่ที่ตนอยู่ในตอนนี้ เมื่อพบว่าน่าจะเป็นลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าสักที่จึงปลดเข็มขัดนิรภัยออก

“ถึงห้างฯ แล้วใช่ไหม ถ้างั้นผมขอไปจัดการเรื่องแท็บเล็ตก่อนล่ะ ลาล่ะครับ”

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิคุณ จะรีบลากันไปไหน”

“ผมก็ไปทำธุระของผม ส่วนคุณจะไปไหนก็เรื่องของคุณแล้วนี่ครับ” ประโยคช่างตัดรอนกันได้อย่างไร้เยื่อใย มิหนำซ้ำยังไม่วายมารยาทดีบอก “ขอบคุณสำหรับการขับรถทั้งสองวันและค่าน้ำมันนะครับ”

“โหย คุณ ขี้งกไปนะ”

ดวงหน้าคมสันบิดบู้ขึ้นมาอย่างฉับพลันหลังจากได้ยินดังนั้น แต่ก็ไม่ได้แจ่มแจ้งว่าเป็นอาการไม่พอใจ เหมือนเป็นการแสร้งทำเสียมากกว่า

“คุณจะให้ผมช่วยออกค่าน้ำมันเท่าไรล่ะครับ”

“ผมไม่ได้ขี้ตืดขนาดนั้นสักหน่อย”

แล้วจะเอาอย่างไร

ประโยคกระแทกกระทั้นดังขึ้นในหัวของอาทิตย์อัสดง คิ้วเรียวปั้นปมใต้หน้าผากได้รูปทรง เห็นเท่านั้นก็กระจ่างแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ยังยิ้มเย็นสบายให้อย่างไม่ทุกข์ร้อน

“จ่ายค่าแรงของผมเป็นยิ้มหวานๆ สักทีก็ได้นี่ครับ”

“บ้าหรือเปล่า”

แทนที่จะหงุดหงิดฉุนเฉียวกลับไป อารมณ์อย่างที่ว่ามลายหายไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เสียงหลุดออกจากปากโดยไม่ทันยั้งคิดและตรึกตรองให้ดี

“แน่ะๆ ยิ้มอยู่ล่ะสิ”

“ผมไม่ได้ยิ้ม คุณนั่นแหละยิ้ม”

“หูย อย่าขี้งกเลยนะ”

“คุณจะบังคับคนที่ไม่อยากยิ้ม ให้ยิ้มคุณให้คุณได้ยังไง”

“ไม่ได้อยากยิ้มหรอกเหรอ”

ร่างสูงทำหน้าสงสัยราวกับเด็กน้อยอ่อนเดียงสา จนคนเห็นต้องพ่นลมหายใจออกมาจากจมูก รู้สึกเหนื่อยใจที่ต้องรับมือคนสติไม่ดีอย่างนี้

“ก็ได้ๆ” อาทิตย์อัสดงตัดใจ แสร้งทำเป็นฉีกยิ้มให้ด้วยการใช้ปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้างเกี่ยวมุมปากขึ้น “เท่านี้ พอใจหรือยังครับ”

“ตลกดีๆ คุณค้างอยู่ท่านี้ก่อนนะ ผมขอถ่ายรูปก่อน”

ภันวัฒน์แตะกระเป๋ากางเกงของตัวเองพัลวัน ทำเหมือนว่าจะเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปจริงๆ ส่งผลให้มือของร่างโปร่งลดลงจากตำแหน่งเดิมทันควัน ก่อนน้ำเสียงเสียดายจะดังมาจากร่างสูง

“เอ้อ ผมลืมไป โทรศัพท์ผมเจ๊งเหมือนกันนี่นา อดถ่ายรูปเลยสิเนี่ย เสียดายจัง”

ใช่เรื่องที่สมควรเสียดายเหรอ

อาทิตย์อัสดงร้องเช่นนั้นอยู่ในใจ พลางส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา

“ผมว่าเราไปหาอะไรกินกันแล้วค่อยไปจัดการเรื่องโทรศัพท์ของผมกับแท็บเล็ตของคุณกันเถอะ”

“หา”

ทั้งที่คิดว่าจบเรื่องแล้ว จะได้แยกย้ายกันไปเสียที อีกฝ่ายกลับพูดมาแบบนั้นได้หน้าตาเฉย มิหนำซ้ำยังออกเดินนำ แต่ไม่ใช่เท่านั้น พอเห็นว่าเขาไม่เดินตามยังหันกลับมากวักมือเรียก

“มาเร็วสิคุณ”

ร่างโปรงถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อโดนมัดมือชกทั้งที่ยังงง ได้แต่ก้าวขาเดินตามไปพร้อมกับประกอบสติที่หมุนคว้างอยู่ภายในหัวไปด้วย กระทั่งมาถึงร้านอาหารนั่นแหละ ถึงจะรู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดกลับมาเข้าที่เข้าทาง

“กินอาหารญี่ปุ่นแล้วกันนะ”

“ไม่ถามผมสักคำ”

แม้จะไม่ได้ติดขัดเรื่องอาหารแต่อย่างใด ทว่าก็ไม่อยากคล้อยตามอีกฝ่ายมากนักจนเหมือนตนเองยินยอมพร้อมใจจะเป็นผู้ตาม แต่ก็ใช่ว่าภันวัฒน์จะสน เขาตอบกลับมาหน้าตาเฉย

“ก็เห็นคุณเดินตามเงียบๆ ไม่เสนอนี่ แล้วผมก็คิดว่าคุณไม่น่าจะเป็นคนประเภทเลือกกินด้วย”

เถียงไม่ออก เจ้าของหน้าขาวตี๋รู้สึกอย่างนั้น จึงต้องยื่นมือไปเลื่อนเมนูอาหารที่พนักงานนำมาให้เพื่อออเดอร์

ทั้งคู่ต่างสั่งอาหารที่ตนเองอยากกิน ระหว่างรอนั้นความเงียบเข้ามาห้อมล้อมสองคนอีกครั้ง ซึ่งภันวัฒน์ผู้ถนัดในเรื่องทำลายความสงบและก่อความปั่นป่วนให้ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นคนพูดแทรกความเงียบขึ้นมาก่อนอีกเช่นเคย

“ว่าแต่...แท็บเล็ตคุณเสียแล้วขนมที่คุณไปกินมาเมื่อวานล่ะ ทำยังไง”

“ผมตั้งให้มันอัพโหลดรูปขึ้นแอคเคานท์ทุกครั้งที่ถ่ายน่ะ ไม่มีปัญหาหรอก”

“พวกคะแนนรีวิวด้วยเหรอ”

“ครับ ผมเขียนใส่เมโมแล้วเซฟเป็นรูป”

“อ๋อ”

ร่างสูงครางเสียงยาวพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนหน้านี้เขาวิตกนิดหน่อยว่าบล็อกเกอร์หนุ่มจะเดือดร้อนที่งานเสียหาย

“แล้วเสร็จจากนี่คุณจะไปไหนอีกหรือเปล่า”

“คงไม่หรอก ผมว่าจะกลับไปอัพบล็อก รับงานเขามาแล้ว ทิ้งค้างไว้หลายวันคงไม่ดี”

“อืม คุณมีความรับผิดชอบดีนะ”

ภันวัฒน์บอกยิ้มๆ ด้วยความชื่นชม แต่แม้เห็นเท่านั้นจะเข้าใจเจตนาได้ อาทิตย์อัสดงก็เลือกที่จะสวนเสียงกลับด้วยความหมายที่แตกต่าง

“คุณคิดว่าผมไม่มีเหรอครับ”

“หูย ผมไม่กล้าว่าคุณหรอกครับ”

“ก่อนหน้านี้คุณว่าผมไว้โคตรเยอะเลยนี่ครับ”

ตาเรียวเหลือบมองร่างสูงด้วยท่าทีเหนือกว่า ราวกับจะต่อว่าอย่างไรอย่างนั้น

“ที่ไหนๆ ไม่มีๆ” ภันวัฒน์รีบร้องพลางปัดมือไปมาตรงหน้า “ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา มีอะไรก็ต้องหยวนๆ กันนะ”

ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ท่าทีเช่นนั้นพร้อมกับคำพูดนั่นก็ทำให้มุมปากของอาทิตย์อัสดงกดลึกลงเป็นรอยยิ้มนิดๆ โดยไม่รู้ตัว

ภันวัฒน์มองสิ่งหายากนั้น หรือจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้กระมังที่เขาได้เห็นรอยยิ้มนี้ และมันก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะเห็นรอยยิ้มที่กว้างกว่านี้จากคนคนนี้อย่างไรไม่รู้ แขนใหญ่ยกขึ้นชันกับโต๊ะ เอามือเท้าคางพลางระบายยิ้มบางๆ กับตัวเอง

“ยิ้มเคลิ้มอะไรของคุณน่ะ”

ทว่าในสายตาของคนที่เห็น มันไม่ใช่การยิ้มบางเบาอย่างที่เจ้าตัวคิด แต่กลับเป็นอะไรที่แฝงความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น

“คุณเห็นว่าผมยิ้มเคลิ้มเหรอ”

“คิดเรื่องอะไรลามกอยู่เหรอครับ”

ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นการย้อนถามกลับ ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากเจ้าของยิ้มเคลิ้มให้ฉีกกว้างมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกขบขันเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างชัดเจนตรงประเด็น

“ผมยิ้มแบบนั้น ก็เพราะเห็นคุณยิ้มนั่นแหละ”

“หา?”

อาทิตย์อัสดงทำหน้างง ครางเสียงออกมาอย่างไม่เข้าใจ เขายิ้มตั้งแต่เมื่อไร แล้วถ้าเขายิ้มจริง ทำไมเขายิ้มแล้วคนตรงหน้าต้องยิ้มแบบนั้น

“พอเห็นคุณยิ้มแล้ว รู้ไหมผมรู้สึกยังไง”

คำถามนั้นทำให้ยิ่งงวยงงมากขึ้นกว่าเดิม อาทิตย์อัสดงเอียงคอเล็กน้อยราวกับว่าทำเช่นนั้นแล้วจะทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่มันกลับทำให้คนมองพอใจและตื้อๆ อยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก เสียงทุ้มหลุดออกจากปากเบาหวิวดั่งปล่อยให้มันล่องลอยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ผมชอบนะ”

ประโยคนั้นราวกับก้องอยู่ในหูคนฟัง ขนลุกเกรียวซู่ขึ้นมาทั้งร่าง ถึงกระนั้นเสียงทุ้มใหญ่ที่แผ่วเบาก็ยังไม่จบลง

“เห็นคุณยิ้มแล้วมันทำให้ผมอยากทำให้คุณยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมอีก”

“.....”

“นี่”

อาทิตย์อัสดงได้แต่มองภาพตรงหน้าค้างอยู่อย่างนั้น ช่วงเวลาเหมือนหยุดเดินชั่วคราว ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างนอกจากเสียงของชายที่อยู่ตรงหน้า

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณแล้ว”

ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ร่างกายชาไปหมดเหมือนโดนสาป โดยเฉพาะหลังจากได้ยินประโยคต่อมาที่เหมือนจะพุ่งทะลุมากลางอกซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เจิดจ้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“แต่เปลี่ยนเป็นจีบคุณแทนได้ไหม”





--------------------------------
ตอนนี้มาเร็วเกินคาด
รู้สึกว่าชอบตอนนี้นะ แต่งเองชอบเองซะงั้น


ป.ล. ขอบคุณ insomniac ที่บอกเรื่องลงเดือนผิดนะคะ ไม่ได้ดูเลย
ขอบคุณ em1979 ด้วยค่ะที่บอกว่าชอบสำนวน กำลังคิดอยู่เลยว่ามันดูน่าเบื่อหรือเปล่า ติดนิสัยชอบบรรยายเยอะด้วย

Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2016 16:31:49 โดย undersky »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด