พิมพ์หน้านี้ - 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: undersky ที่ 21-11-2015 19:41:44

หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-11-2015 19:41:44
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
(http://upic.me/i/nf/blocker1.jpg)


Contents
P r o l o g u e (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3235902#msg3235902)
1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3240658#msg3240658)
2nd Entry : ปิดประตูตีแมว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3264458#msg3264458)
3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3271327#msg3271327)
4th Entry : จุดไต้ตำตอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3289849#msg3289849)
5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3301651#msg3301651)
6th Entry : หูทวนลม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3307648#msg3307648)
7th Entry : กระชับมิตร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3319198#msg3319198)
8th Entry : ร่วมชะตากรรม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3333331#msg3333331)
9th Entry : รุกคืบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3340892#msg3340892)
10th Entry : แรมเดือน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3351572#msg3351572)
11th Entry : อิ่มอุ่น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3362076#msg3362076)
12th Entry : ขันอาสา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3365543#msg3365543)
13th Entry : ทางเลือก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3369766#msg3369766)
14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3375091#msg3375091)
15th Entry : ฝนตั้งเค้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3383923#msg3383923)
16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3390171#msg3390171)
17th Entry : หวานอมขมกลืน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3393661#msg3393661)
18th Entry : พะวักพะวน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3399002#msg3399002)
19th Entry : จนแต้ม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3402216#msg3402216)
20th Entry : ดาบสองคม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3408933#msg3408933)
21st Entry : จับได้ไล่ทัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3415287#msg3415287)
22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3420754#msg3420754)
23rd Entry : มัดมือชก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3423918#msg3423918)
24th Entry : ฟ้าหลังฝน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3428500#msg3428500)
25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3437405#msg3437405)
26th Entry : เกินคาด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3442726#msg3442726)
27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3452028#msg3452028)
28th Entry : หน้าชื่นอกตรม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3461241#msg3461241)
29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3467776#msg3467776)
30th Entry : พายเรือในอ่าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3478354#msg3478354)
31st Entry : จุดหมายปลายทาง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3486839#msg3486839)
32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3496174#msg3496174)
E p i l o g u e (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.msg3502788#msg3502788)



นิยายเรื่องอื่นๆ
- It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29969.0)
- It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.0)
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-11-2015 19:47:39




P r o l o g u e






เสียงเพลงอคูสติกเบาๆ คลอไปกับบรรยากาศหอมหวนด้วยกลิ่นอายอบอุ่น ไอกาแฟและกลิ่นหอมหวานของขนมคละเคล้าเข้ากันอย่างลงตัว จนรู้สึกว่าร่างกายที่หนักอึ้งผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด อุณหภูมิกำลังดีไม่ร้อนอบอ้าวหรือหนาวเหน็บทำให้ทุกคนที่อยู่ภายใน ‘ห้องนั่งเล่น’ แห่งนี้ต่างมีรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นคนที่มารวมกันเป็นกลุ่ม คนที่มาเป็นคู่ หรือแม้กระทั่งคนที่มาเพียงลำพังล้วนได้เสพความสุขแสนเบาสบาย ราวกับอยู่ในสถานที่พิเศษ

บรรยากาศดี เครื่องดื่มกลมกล่อม ของหวานถูกปาก

สิ่งเหล่านี้ทำให้ ‘ห้องนั่งเล่น’ เป็นร้านขนมหวานที่อยู่ในใจใครหลายๆ คนและมักจะย้อนกลับมาใช้บริการซ้ำเมื่อมีโอกาส เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกดีราวกับได้อยู่ในดินแดนที่ไร้ซึ่งความกังวลแล้ว การตกแต่งยังหลากหลายให้อยากลิ้มลองบรรยากาศแปลกใหม่ หากเป็นร้านขนมหวานอื่นๆ คงจะยึดรูปแบบการตกแต่งเพียงแค่อย่างเดียว ทว่าที่นี่ผิดจากที่อื่นนัก เพราะแต่ละมุมมีการตกแต่งที่แตกต่างกัน

วินเทจ พาสเทล คลาสสิก โมเดิร์น แม้กระทั่งห้องญี่ปุ่น หรือบ้านตุ๊กตา

ร้านสองคูหา สองชั้น หน้าร้านชั้นล่างเป็นกระจกใส ตีกรอบด้วยไม้สีขาว และผนังปูนเปลือย กันสาดลายทางสลับสีขาวกับแดงอ่อน ชั้นบนมีระเบียงเล็กๆ ทำจากโลหะเคลือบสีดำ รอยผุกร่อนจากแดดลมฝนช่วยส่งให้มันมีเสน่ห์ จักรยานรุ่นเก่าบุโรทั่งพร้อมไฟหน้าดวงใหญ่ กับกระถางต้นไม้เล็กๆ ประดับบนนั้นยิ่งเสริมความคลาสสิกให้ร้านมากขึ้นไปอีก

ทุกอย่างที่ว่ามาผ่านการรังสรรค์จากจินตนาการของเจ้าของร้านหนุ่มวัยสามสิบทั้งสิ้น

ทิฆัมพรเปลี่ยนสีมาได้ราวสองชั่วโมงเศษ เข้าสู่ช่วงเวลาปิดร้าน ชายหนุ่มร่างสมส่วนผละจากเคาน์เตอร์ของร้านซึ่งทำจากไม้ชั้นดีลายสวยมายังประตูด้านหน้า พลิกป้ายที่แขวนเอาไว้จาก ‘OPEN’ เป็น ‘CLOSED’ อย่างเช่นทุกวันที่มีโอกาสมาเฝ้าร้านด้วยตัวเอง

“ปิดร้านแล้ว จุ๊บแจงกับหนึ่งเก็บกวาดร้านได้เลยนะ”

“ค่ะ/ครับ พี่ภัน”

ภันวัฒน์บอกลูกจ้างสาวอายุน้อยกว่าร่วมห้าปีก่อนกลับมายังเคาน์เตอร์อีกครั้ง เขาตรวจสอบรายการขนมและเครื่องดื่มที่ขายได้ทั้งหมดในวันนี้ และคำนวณรายได้ที่รับมาว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อมันถูกต้องตรงกัน ไม่มีส่วนเหลือส่วนขาดก็นำเงินเก็บเข้าเซฟซึ่งอยู่ด้านใต้เคาน์เตอร์สำหรับเป็นทุนต่อยอดในการทำธุรกิจต่อไป

จากนั้นหันกลับมายังตู้กระจกซึ่งมีสินค้าบางชนิดที่ยังขายไม่หมด ตามปกติแล้วขนมในตู้นี้จะเหลือจำนวนไม่มาก บางวันเขาก็ให้จุ๊บแจงและเป็นหนึ่ง ลูกจ้างประจำที่คอยช่วยงานในร้านเอากลับไปทาน หรือเอาไปฝากที่บ้าน หากวันไหนเด็กพาร์ทไทม์อยู่จนถึงปิดร้าน เขาก็เผื่อแผ่ให้ด้วย แต่ว่าในช่วงสองสามวันนี้ค่อนข้างแปลก

ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน มองขนมที่เหลืออยู่เกือบเต็มถาด ก่อนจะย้อนกลับไปดูรายการสินค้าที่ขายได้ในวันนี้อีกครั้ง รวมทั้งยอดขายเมื่อวานนี้และวันก่อนหน้านี้ด้วย

“ช่วงนี้ยอดขายของ Sweet Butterfly ตกลงหรือเปล่า”

เสียงทุ้มเข้มเอื้อนออกมาจากริมฝีปากหยักหนาได้รูป ไม่ได้เอ่ยถามใครเป็นพิเศษ เพราะเวลานี้คนที่เหลืออยู่ในร้านชั้นล่างมีเพียงเจ้าตัวและจุ๊บแจงเท่านั้น เนื่องจากหน้าที่หลังปิดร้านของเป็นหนึ่งคือการเก็บกวาดที่ชั้นบน

“นั่นสิคะ จุ๊บแจงก็แปลกใจ ปกติขายได้เกือบหมด แต่ช่วงอาทิตย์นี้ดูขายไม่ค่อยได้เลยค่ะ”

เขาตงิดใจมาตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่คิดว่าคงเป็นเหตุการณ์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นทีจึงไม่ใส่ใจนัก ทว่าเมื่อตรึกตรองให้ดีแล้ว มันก็ผิดปกติจริงๆ

ขนมขายไม่ได้เพียงชนิดเดียว และยอดขายตกลงทุกวัน

“จุ๊บแจงได้แนะนำลูกค้าบ้างหรือเปล่า”

“แนะนำนะคะ เพราะเห็นว่าขายไม่ดี แต่ลูกค้าดูไม่ค่อยสนใจเลยค่ะ”

“แปลก”

ภันวัฒน์ครางเบาๆ อยู่ในลำคอ หัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันไม่คลายออก เพราะนอกจากต้องหาสาเหตุที่ Sweet Butterfly ขายไม่ดีแล้ว ยังต้องหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อให้มันขายได้ดีขึ้น ทว่าจะให้คิดหาวิธีรับมือได้ในทันทีทันใดนั้นคงเป็นเรื่องยาก

“พี่ภัน พี่ภัน!”

เสียงตึงตังพร้อมกับเสียงเรียกจากพนักงานหนุ่มดังนำมาก่อนเจ้าตัวจะวิ่งลงมาจากบันได พานให้คนที่ถูกเรียกและไม่ถูกเรียกหันไปมองอย่างสงสัย เพราะปกติแล้วเป็นหนึ่งไม่ใช่คนที่จะโหวกเหวกหากไม่มีเรื่องจำเป็น

“มีอะไร วิ่งหนีอะไรมาหรือไง”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

เมื่อสิ้นเสียงเจ้าตัวก็มาหยุดลงตรงหน้าเจ้าของร้านด้วยสีหน้าตื่นตระหนก มือขวายื่นสมาร์ทโฟนออกมาหาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“อะไรของแกเนี่ย”

“เพลิน... เพลินส่งมาให้ดู”

เพลินคือชื่อแฟนสาวของเป็นหนึ่งที่ภันวัฒน์รู้จักดี เพราะเคยมาที่ร้านนี้อยู่หลายครั้ง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมอีกฝ่ายต้องตื่นตกใจขนาดนั้น ร่างสูงรับโทรศัพท์มาดู ขณะที่จุ๊บแจงเองก็ชะโงกหน้ามาดูด้วย แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเครื่องสีดำนั้นแล้ว จากที่ข้องใจก็แปรเปลี่ยน

คิ้วหนาขมวดฉับเข้าหากันมากกว่าครั้งไหน ดวงตาดำขลับจ้องเป้งไปยังตัวหนังสือเหล่านั้นพร้อมรูปถ่ายสีสันสวยงามของขนมหน้าตาน่ารับประทานซึ่งคุ้นตาเป็นอย่างดี รูปหน้าคมคายที่ดูดีแม้ในสายตาของผู้ชายด้วยกันดูดุดันขึ้นครามครัน จนจุ๊บแจงที่ยืนอยู่ข้างกันถึงกับต้องกระเถิบตัวให้ห่างเล็กน้อย เพราะเพิ่งเคยเห็นภันวัฒน์แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจนและแผ่ออร่าที่ชวนให้ขนลุกเป็นครั้งแรก

และหลังจากนั้น...เสียงทุ้มแหบต่ำดังในลำคอ

“เจ้าของบล็อกนี่เป็นใคร”






---------------
เปิดเรื่องใหม่แล้วค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ

Undel2Sky



หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 21-11-2015 20:01:32
เปิดเรื่องมาแบบร้านขนมนี่ท้องเราประท้วงมากนะคะ แงงงงงงงงงงงง อยากกินนนนนนนนน เห็นภาพอนาคตเลยว่าต่อไปต้องอ่านอย่างทึรนทุรายแน่ๆเลยค่ะ คุณภัณใจเย็นๆนะคะ เจ้าของบล็อกแกอาจจะเข้าใจผิดนะคะ แต่พูดแล้วบล็อกนี้คงดังพอตัว ไม่งั้นคนคงไม่เชื่อกันแบบนี้แน่เลย ดีนะเค้าไม่ค่อยอ่านรีวิว อยากกินอะไรก็กินเลย เอาตัวเองเข้าเสี่ยง 5555555 แต่จะไปตามหาเจ้าของบล็อกนี่ันก็คงไม่ง่ายอ่ะเนอะ ยังไงก็ขอให้คุณภัณหาเจอเร็วๆนะคะ แล้วจับมาปรับทัศนคติซะ มากินให้เลิกพูดว่าไม่อร่อยเลย เรารอตอนต่อไปนะคะ  >_<
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 21-11-2015 21:01:39
จับเจ้าของบล็อคมาทำเมีย เอ้ย! ทำขนมให้ที่ร้านเลยค่ะ

เนื้อเรื่องน่าสนใจมากเลย อ่านตอนแรกก็เริ่มติดใจแล้ว
รู้สึกอยากพุ่งเข้าไปนั่งเล่นที่ร้านมากเลยค่ะ 5555

จะรออ่านตอนหน้าน้า  o13
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-11-2015 21:53:40
มีแววว่าชีวิตอาจจะถึงคราวซวยนะคะบล็อคเกอร์
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 22-11-2015 01:09:49
จขบ.กะลังจะซวย เอิ้กๆ
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: oss_tw ที่ 22-11-2015 11:09:35
 o22

เสร็จแน่ เจ้าของบล็อก อิอิ

รอตอนต่อไปนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Kaemmiizz ที่ 22-11-2015 21:58:14
จขบ.งานเข้าล่ะเว้ย ซวยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 22-11-2015 22:38:27
พออ่านถึงประโยคที่ว่า"ขนมเหลืออยู่เกือบเต็มถาด" น้ำลายก็เริ่มมาละ :hao6:
นี่เราไม่ได้ตะกละใช่มะ? :hao4:
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 22-11-2015 23:57:35
หิวเลย
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || P r o l o g u e [21/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 23-11-2015 10:48:02
้เปิดเรื่องมาน่าติดตามมากกกก
แต่กลัวใจตรงที่คุณบล้อกเก้อจะเปลี่ยนเรื่องขนมหวานเป็นขนมขมหรือเปล่า 55555
ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ [26/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 26-11-2015 23:14:04
1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ






กลิ่น +3
ความหวาน +2
ความเค็ม +1
ความเปรี้ยว +1
ความมัน +3
ความกลมกล่อม +4
เนื้อสัมผัส +4
**อาจจะไม่เหมาะกับสาวๆ สักเท่าไร



รูปถ่ายขนมเค้กชิ้นเล็กขนาดเท่ากำมือ รูปทรงกระบอกเตี้ย ปาดหน้าบางๆ ด้วยเนยสด ราดทับด้วยซอสสตรอเบอร์รี่ และมีใบมินต์กับผลสตรอเบอร์รี่สดผ่าซีกเป็นรูปผีเสื้อประดับอยู่ด้านบนอย่างสวยงามถูกแปะหราประกอบกับข้อความเหล่านั้น เป็นสิ่งที่อยู่ในสายตาของภันวัฒน์ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมาตั้งแต่หลายวันก่อน หลังจากได้รู้จักบล็อก ‘Tea Party’ จากเป็นหนึ่ง

เขามั่นใจว่ามันคือสาเหตุที่ทำให้ขนมของเขาขายไม่ออก เพราะจำนวนผู้เข้าชมบล็อกหลักพันต่อสัปดาห์ และหลักหมื่นต่อเดือนนั้นเป็นตัวการันตีได้เป็นอย่างดี ว่ามันเป็นบล็อกยอดนิยมสำหรับผู้คนที่ชื่นชอบขนมหวานมากขนาดไหน

ไม่ใช่เพียงแค่ร้านของเขาเพียงร้านเดียวที่ถูก ‘วิจารณ์’ หรือภาษาสุภาพที่ใช้กันอย่างแพร่หลายว่า ‘รีวิว’ แต่ยังมีอีกหลายร้านที่อยู่ในบล็อกนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้านขนมชื่อดัง ร้านเล็กร้านย่อย ก็ปรากฏอยู่ในบล็อกนี้ทั้งสิ้น และการรีวิวก็ช่างแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านชาวช่อง ทว่าอิทธิพลของมันกลับล้นเหลืออย่างคาดไม่ถึง หากไม่ประสบกับมันด้วยตัวเองคงไม่มีทางเชื่อ

ทุกครั้งที่หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูบล็อกนี้ เขาจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเสมอ เพราะนอกจากได้แต่เปิดดูมันให้หงุดหงิดแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เจ้าของบล็อกเป็นใครไม่รู้ รู้แต่ใช้ชื่อในการโพสต์ว่า ‘Sunset’ อีกทั้งยังไม่สามารถติดต่อเป็นการส่วนตัวได้ เพราะไม่ได้ลงรายละเอียดสำหรับติดต่อไว้ ไม่ว่าทางอีเมล เฟซบุ๊ก ไลน์ เบอร์โทรศัพท์ นอกจากประโยคที่บอกเอาไว้ในหน้า Home ว่า ‘หากต้องการติดต่อให้ส่งข้อความมาทางบล็อก’ เท่านั้น

แน่นอนว่าเขาคิดจะติดต่อไปทางนั้น แต่หากเขาพิมพ์ด่า หรือเรียกตัวออกมา คงทำให้ไก่ตื่นและอาจจะหนีไป หรือไม่ก็เมินเฉยต่อข้อความของเขาก็เป็นได้ ครั้นจะโพสต์ในช่องคอมเมนต์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร้านของเขา ก็จะกลายเป็นการประจานถึงความด้อยปัญญาของตนเองเสียมากกว่า เพราะผลเสียย่อมมีมากกว่าผลดี ภันวัฒน์จึงได้แต่หาลู่ทางอื่น เพื่อกระชากตัวเจ้าของบล็อกนี้ออกมาให้ได้

มือหนาไล้วนที่ปากแก้วทรงเตี้ยซึ่งมีเครื่องดื่มสีอำพันบรรจุอยู่อีกหนึ่งรอบ ก่อนจะยกมันขึ้นกระดกให้ของเหลวไหลเข้าปาก ก่อนจะวางมันลงด้วยน้ำหนักมือที่มากกว่าปกติเล็กน้อย จากนั้นเรียกบาร์เทนเดอร์ที่เพิ่งเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกสองเก้าอี้

“แบบเดิมอีกแก้วครับ”

สั่งแล้วก็หันกลับมาทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์นัก ชั่วครู่หนึ่งเสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้นใกล้ๆ

“โทษทีว่ะ ช้าไปหน่อย”

คนที่เพิ่งมาใหม่ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างกัน ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มสำหรับตัวเองบ้าง โทรศัพท์ที่เคยเป็นเป้าสายตาจึงถูกเก็บเข้ากระเป๋าของคนที่มาก่อน ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำถูกส่งไปให้คนมาสาย

“ครึ่งชั่วโมงนี่กูว่าไม่หน่อยนะ ถ้าให้กูรออีกสักสิบนาที มึงไปหากูที่คอนโดฯ ได้เลย ไอ้จอม”

“โธ่ๆ อย่าเอากฎร้านมาใช้กับกูสิวะ”

เกรียงไกรตอบด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย แล้วหันไปขอบคุณบาร์เทนเดอร์ที่วางแก้วเครื่องดื่มลงตรงหน้า จิบแอลกอฮอลล์สีสวยลงลำคอดับกระหาย

ร้านที่ว่า คือ ห้องนั่งเล่น ร้านเบเกอรี่ของภันวัฒน์ซึ่งมีกฎอันแปลกประหลาดเหมือนร้านอินเตอร์เน็ต คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง โดยค่าชั่วโมงนั้นจ่ายด้วยออเดอร์ขนมหรือเครื่องดื่ม

“ว่าแต่ เรียกมานี่มีเรื่องอะไรวะ”

ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องปรึกษาแล้วจะนัดกันไม่ได้ ปกติทั้งภันวัฒน์และเกรียงไกรต่างก็นัดสังสรรค์กันอยู่บ่อยๆ ด้วยเพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว

“มึงดูนี่”

ในเมื่อเพื่อนเปิดประเด็นมาอย่างฉับพลัน ภันวัฒน์จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เปิดเบราเซอร์เพื่อให้ดูเว็บเพจที่ตนเองเปิดค้างไว้อยู่ ซึ่งเกรียงไกรก็รับไปก่อนจะมุ่นคิ้วอ่านอย่างฉงน ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก

“แล้ว?”

“ก็เพราะไอ้บล็อกนี่ เลยทำให้ขนมร้านกูขายไม่ออก”

“เฮ้ย เป็นไปได้เหรอวะ ก็แค่บล็อกรีวิวขนมบนเน็ต”

“เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปแล้ว มึงดูจำนวนคนเข้าชมดิ”

ถูกระบุตำแหน่งให้มอง คนได้ฟังก็เลื่อนสายตาไปยังจุดหมาย เมื่อเห็นตัวเลขนั้นแล้วก็อดอุทานออกมาไม่ได้

“เยอะนี่หว่า”

“ก็เออดิ ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้เลย”

“แล้วมึงไม่ลองติดต่อไปล่ะ”

“ไม่ทิ้งที่ติดต่อให้สักอย่าง นอกจากว่าให้ส่งข้อความไปทางบล็อก”

พูดแล้วภันวัฒน์ก็ชักสีหน้ายุ่งยากขึ้นมาประดับ มือหนากระชับแก้วขึ้นมาจรดขอบปากอีกครั้งและกรอกน้ำสีสวยเข้าปากเต็มอึกอย่างไม่สะท้านสะเทือน

“แล้วมึงไม่ลองส่งเข้าไปดูล่ะ อ้างว่าจ้างเขามารีวิวร้านมึงอะไรงี้”

หลังจากเสนอความคิดเห็นนั้นไป เกรียงไกรก็ถูกตวัดตามองอย่างขวางๆ เหมือนกับเผลอทำอะไรผิดหรือไม่ก็ไปเหยียบกับระเบิดเข้า เสียงที่ตอบกลับมาสะบัดห้วนกว่าเมื่อครู่นี้อีกเล็กน้อย

“เขารู้จักร้านกูแล้วไหม แล้วมึงคิดว่าถ้ากูจ้างไปเขาจะมารีวิวซ้ำอีกเหรอ”

“เออ จริงด้วย แล้วจะทำไง”

“กูถึงให้มึงมาช่วยกูคิดไง ว่าจะเอาไงดี”

“นี่มึงคงแค้นมากใช่ไหม”

“ไม่ได้แค้นเว้ย แต่กูไม่ค่อยพอใจเท่าไร กูทำมาค้าขายนะมึง ตั้งใจทำขนมให้ลูกค้ากิน แต่มีใครที่ไหนไม่รู้มาวิจารณ์ขนมกูแล้วก็ทำให้ลูกค้าไม่ซื้อ เป็นมึง มึงจะยังนั่งยิ้มแฉ่งได้อยู่หรือไง”

โดนถามย้อนกลับมา เกรียงไกรก็ยิ้มแหยตอบกลับ ตระหนักได้ว่าตนเองเพิ่งถามเรื่องโง่ๆ ออกไป ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนเพื่อนรักที่ยังตีหน้ายักษ์อยู่ไม่หาย

“แล้วมึงรู้จักหน้าค่าตาเจ้าของบล็อกนี่หรือเปล่า”

“ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก เพราะมาร้านวันที่กูไม่ได้เข้าร้าน กูลองถามจุ๊บแจงกับหนึ่งแล้ว พวกนั้นก็จำไม่ได้ กูเลยไปเปิดเทปกล้องวงจรปิดดู”

“แล้วเจอปะ”

คนฟังมีสีหน้าลุ้นนิดหน่อย เพราะชักจะเริ่มอยากรู้เหมือนกัน

“เจอดิ กูนี่จ้องจนตาจะติดกับจออยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของบล็อกนั่นมากี่โมง”

“แล้วเป็นไง”

“เป็นผู้ชาย อายุน่าจะน้อยกว่ากูสักสองสามปีมั้ง เห็นนั่งจดอะไรลงในแท็บเล็ตแล้วก็ถ่ายรูปอยู่ น่าจะใช่คนนี้แหละ”

“เออ แต่จะว่าไป ถึงรู้จักหน้า แต่ไม่ทางติดต่อได้ ก็จบกัน”

สิ้นประโยคนั้น เสียงถอนลมหายใจก็ดังขึ้นแทรกเพลงแจ๊ซที่คลออยู่เบาๆ แสงไฟที่ถูกหรี่ลงให้สลัวในบาร์ของโรงแรมทำให้มองเห็นหน้ากันได้ไม่ชัดนัก ถึงกระนั้นเกรียงไกรก็รู้ได้ว่าสีหน้าของเพื่อนรักเป็นอย่างไรในเวลานี้ เขาหยิบแก้วใบเดิมขึ้นมาจิบอีกครั้ง พลางนึกหาหนทางช่วยเหลือคนที่ร่ำเรียนมาด้วยกันหลายปี และยังคบค้ากันอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะผ่านมานับสิบปีแล้ว ก่อนแสงไฟวูบหนึ่งจะสาดเข้ามาในสมองอย่างฉับพลัน

“เออนี่มึง”

ภันวัฒน์เหลือบตามองเพื่อนเล็กน้อย ปากยังจรดอยู่ที่ปากแก้วซึ่งเพิ่งหยิบขึ้นมา เงี่ยหูรอฟังคำพูดต่อมา

“ในเมื่อควานหาเหยื่อเองไม่ได้ ทำไมไม่ใช้กลยุทธ์หลอกล่อแทนล่ะวะ”

คิ้วหนาของคนฟังเลิกขึ้นนิดๆ พลางคิดตาม

“มึงลืมไปแล้วหรือไง ว่างานประจำของมึงคืออะไร เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ซะสิ”








ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังมาตามมารยาท ก่อนร่างเพรียวของหญิงสาวในชุดสูทจะย่างก้าวเข้ามา เธอตรงเข้ามายังโต๊ะขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้อง ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหลังจากอีกฝ่ายผายมือเป็นเชิงอนุญาต

“คุณภันมีอะไรจะให้ทำเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

ไม่บ่อยครั้งนักที่นนทิยาจะถูกเรียกให้เข้ามาพบในห้องของผู้เป็นเจ้านาย เป็นเธอเสียอีกที่ต้องคอยไล่ตามจิกให้เจ้านายมาทำงานเพราะเจ้าตัวชอบชิ่งหนีอยู่บ่อยๆ เหตุการณ์ที่มีกระดาษโน้ตข้อความว่า ‘มาถึงแล้วเข้ามาพบผมด้วย’ วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอจึงค่อนข้างน่าประหลาดใจ

“ผมจะจัดอีเวนท์พิเศษขึ้นมา อยากให้คุณช่วยร่างเอกสารให้หน่อย”

“จัดอีเวนท์ เจ้านายของนนนี่เนี่ยเหรอคะ จะขยันจัดอีเวนท์”

ยังไม่ทันไรก็โดนเลขานุการสุดแสบที่อายุมากกว่าห้าปีแขวะเข้าให้เสียแล้ว แต่ภันวัฒน์ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะตั้งแต่ทำงานมาก็เป็นแบบนี้ตลอด จะว่าเป็นเรื่องสนุกก็ว่าได้ เพราะทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อ ถึงบางครั้งจะน่ารำคาญกับความเข้มงวดของเธอก็ตาม

“คุณนนครับ”

“นนนี่ค่ะ”

“คุณนนว่าขนมของโรงแรมเราอร่อยไหมครับ”

“อร่อยสิคะ เป็นของขึ้นชื่อเลยทีเดียว”

เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่แก้ไขคำเรียกชื่อของตน ก็มักจะถูกเมินเฉยใส่ตลอด เธอจึงเลือกจะแก้แค่ครั้งเดียว แม้ว่าเจ้านายของเธอจะไม่เคยจำเลยก็ตาม ไม่รู้ว่าเพราะแกล้งหรือเพราะจงใจกันแน่ เธอเดาไม่ถูกนัก

“แต่ว่ายอดไม่ค่อยดีเท่าไรใช่ไหมล่ะครับ”

“ก็น่าจะอย่างนั้นนะคะ”

“เพราะแบบนั้น ผมก็เลยอยากจะจัดอีเวนท์บุฟเฟต์ขนมหวานของโรงแรมเราขึ้นมา ลดราคาพิเศษเพื่อโปรโมทให้ลูกค้าสนใจ ถึงขนมจะอร่อยและขึ้นชื่อขนาดไหน แต่ถ้าไม่ได้รับเผยแพร่เป็นวงกว้าง ยอดขายก็คงไม่กระเตื้อง จริงไหมครับ”

“ค่ะ”

ภันวัฒน์เหยียดยิ้มนิดๆ เมื่ออะไรๆ เริ่มเข้าทาง หลังจากได้รับคำแนะนำจากเกรียงไกร เขาก็คิดหาลู่ทางไปต่อ อาศัยหน้าที่การงานเพื่อหลอกล่อ ฉุดกระชากเสือออกมาจากถ้ำให้ได้ นับว่าเป็นแผนการที่มองเห็นแสงสว่างรำไรเลยทีเดียว

“ผมว่าจะให้มีอีเวนท์ช่วงต้นเดือนหน้า ตอนบ่ายๆ ของวันเสาร์อาทิตย์ สักสองสัปดาห์ก็น่าจะพอแล้ว ถ้านานไปจะลดความตื่นตัวและขาดความสดใหม่ ขนมของเรามีหลายสิบชนิด คงจะจัดเซตสักสี่เซตได้ เดี๋ยวผมจะให้รายละเอียดอีกทีว่าจะจัดเซตขนมอะไรบ้าง ส่วนคุณนนช่วยกำหนดเวลากับประเมินราคาที่เหมาะสมแล้วทำเอกสารส่งมาให้ผมดูหน่อย ผมจะได้เอาเข้าที่ประชุมกับผู้จัดการฝ่ายอื่นๆ สัปดาห์หน้า ก่อนส่งให้เบื้องบนพิจารณาอีกที”

“ได้ค่ะ”

หลังจากรับทราบสาระสำคัญของการเข้าพบผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมแล้ว นนทิยาก็กลับออกไปจากห้องทำงาน ขณะที่ภันวัฒน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้สูงจรดต้นคอ พลางระบายยิ้มอย่างสบายอารมณ์

แผนการของเขาในครั้งนี้เข้าท่าแน่นอน และมันก็มีโอกาสที่จะสำเร็จสูงมาก

คอยดูเถอะ เจ้าบล็อกเกอร์คนนั้น ฉันจะต้องจับตัวให้ได้







การดำเนินงานตามแผนงานบุฟเฟต์ขนมหวาน ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำขนมหวานของโรงแรมให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเพิ่มยอดขาย โดยมีจุดประสงค์อื่นแฝงเร้นนั้นเป็นไปได้ด้วยดี มีผู้คนสนใจและตอบรับอีเวนท์ครั้งนี้อย่างหนาตา

ช่วงเวลาน้ำชาตั้งแต่บ่ายสองโมงถึงบ่ายสี่โมงคือกำหนดเวลาของอีเวนท์นี้ ภันวัฒน์คอยจับตาดูลูกค้าอย่างทั่วถึงตลอดช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อไม่ให้เหยื่อของตนเองหลุดรอดไปได้ โดยอ้างว่ามาดูความเรียบร้อยของงาน และดูกระแสตอบรับ เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับการจัดอีเวนท์ครั้งต่อๆ ไป ทว่าเขาต้องผิดหวังในสัปดาห์แรก

เจ้าของบล็อกคนนั้นไม่มา

แม้กระนั้นก็ไม่ได้ทิ้งความหวังเสียทีเดียว ด้วยคิดว่าอีเวนท์นี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก ดังนั้นผู้ชายคนนั้นที่ดูจะชื่นชอบการ ‘วิจารณ์’ ขนมหวานเสียเหลือเกินไม่น่าจะพลาดโอกาสในครั้งนี้ ในวันเสาร์ของสัปดาห์ต่อมา ร่างสูงจึงออกมาสำรวจตรวจตราอีกครั้ง พยายามลอบมองเพื่อหาเป้าหมายอย่างไม่ให้เสียมารยาท พลางส่งยิ้มขอบคุณเหล่าบุคคลที่มาใช้บริการเป็นระยะ กระทั่ง...

สายตาสะดุดอยู่ที่บุคคลหนึ่งซึ่งเพิ่งย่างเท้าเข้ามาในอาณาเขตของตน

รูปร่างหน้าตาแบบนั้น... ไม่ผิดแน่

หัวใจของชายหนุ่มวัยสามสิบเต้นระรัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อพบเป้าหมาย ต้องสะกดกลั้นห้ามตนเองเอาไว้ไม่ให้รุดตรงไปลากตัวชายคนนั้นออกมาจากห้องอาหารอย่างอุกอาจจนกลายเป็นเรื่องเอิกเกริก

หน่วยตาคมปลาบจับจ้องเหยื่อร่างสูงโปร่งที่ตรงไปหยิบขนมหลากหลายชิ้นลงจานและตรงไปยังโต๊ะว่าง ร่างนั้นหยิบแท็บเล็ตเครื่องเดิมขึ้นมาถ่ายรูปขนมทุกชนิดที่หยิบมา และค่อยๆ ละเลียดชิมอย่างพิถีพิถันราวกับกำลังสร้างผลงานศิลปะ จนคนมองอดรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้กับการเอาใส่ใจของกินถึงขนาดนี้ ทว่าครู่เดียวก็ต้องตั้งสติขึ้นมาใหม่ พลางบอกตนเอง

อย่าเพิ่งไปชมศัตรูสิฟะ

มือเรียวหยิบปากกาจากแท็บเล็ตจดบางอย่างลงไป คงเป็นการประเมินรสชาติของขนมแต่ละชนิดกระมัง ก่อนจะวนกลับมาชิมรสชาติของขนมชิ้นต่อไปโดยที่ยังกินชิ้นก่อนไม่หมดด้วยเกรงว่าจะอิ่มเสียก่อน? ภันวัฒน์คาดเดาอยู่ในใจก่อนจะต้องสะดุ้ง หลุดสายตาออกจากภาพที่จดจ้องอยู่เป็นนาน

“ประทานโทษนะครับ เมื่อสักครู่คุณลูกค้าว่าอะไรนะครับ”

เสียงทุ้มเอื้อนถามหญิงสาวที่มายืนอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้อย่างนุ่มนวล แจกรอยยิ้มการค้าไปพอประมาณ

“คือว่า... ไม่ทราบว่าห้องน้ำไปทางไหนคะ”

“ออกจากประตู เลี้ยวไปทางซ้าย นิดเดียวก็ถึงแล้วครับ”

เขาส่งยิ้มอ่อนโยนลงกว่าเดิมหลังจากฟังคำถามอีกรอบ พลางอธิบายเส้นทางให้ลูกค้าสาวรับฟัง เธอคนนั้นยิ้มกว้างตอบรับ พวงแก้มขึ้นสีอย่างฉับพลัน จ้องมองดวงตาเขาด้วยประกายบางอย่าง แต่ภันวัฒน์ยังคงยิ้มค้างไว้ตามมารยาท ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จากที่ยิ้มแฝงนัยไปให้ สาวเจ้าจึงต้องค่อยๆ คลายยิ้มลงแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะเดินจากไป เพราะหว่านเสน่ห์ใส่พนักงานหนุ่มภูมิฐานที่ดูท่าทางจะมีตำแหน่งสูงไม่สำเร็จ

เมื่อลูกค้าที่มารบกวนเวลาของตนจากไปแล้ว ชายหนุ่มก็เบี่ยงความสนใจกลับไปยังร่างเดิมอีกครั้ง มองคนที่ก้มหน้าก้มตาจดบางอย่างลงบนแท็บเล็ต เส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เคยอยู่ทรงตกลงมาปรกหน้ามากกว่าเดิม ราวกับกำลังทำอะไรสักอย่างอย่างเป็นจริงเป็นจัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วตักขนมชิ้นต่อไป

เหตุการณ์วนลูปอยู่อย่างนั้นเกือบสองชั่วโมง

ขนมทุกอย่างที่ถูกจัดสรรมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะถูกนำมาวางบนโต๊ะของชายคนนั้นจนครบทุกชนิด ในตอนแรกภันวัฒน์คิดว่าอีกฝ่ายคงจะลุกจากเก้าอี้ไปหลังจากทำการชิมขนมเสร็จ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าตัวยังคงนั่งต่อ ค่อยๆ ละเลียดกินขนมทีละนิดๆ

แม้ว่าขนมแต่ละชิ้นจะมีขนาดเล็ก ตักไม่กี่คำก็สามารถรับประทานหมดได้ง่ายๆ แต่กับขนมยี่สิบชิ้นย่อมไม่ง่ายแน่ ถึงกระนั้น...มันก็หมด สร้างความประหลาดใจให้กับภันวัฒน์ค่อนข้างมาก เพราะในทีแรกเขาคิดว่าบล็อกเกอร์คนนั้นเพียงแค่ต้องการชิมเพื่อหาข้อมูลลงบล็อกเพิ่มชื่อเสียงแก่ตนเอง แต่ดูท่าว่าจะไม่ใช่เพียงเท่านั้น

หมอนั่นก็ชอบขนมเหมือนกัน... งั้นสิ?

จวบจนหมดเวลาของงานเลี้ยงขนมหวานแสนอร่อยที่เนรมิตไว้ เหยื่อที่จ้องเล็งมาตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาภายในห้องอาหารก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาก่อนจะก้าวออกจากห้อง

ภันวัฒน์เดินตามร่างโปร่งนั้นอย่างเงียบเชียบไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ทิ้งห่างเพียงแค่ห้าก้าวยาวๆ โดยประมาณ ติดตามไปกระทั่งพ้นจากทางเข้าห้องแล้วมือใหญ่ก็ฉวยข้อมืออีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย!”

เหยื่อที่โดนตะครุบอุทานออกมาด้วยความตกใจ เบือนหน้าหันมาทางด้านหลังอย่างฉับพลัน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงตกประหม่า แต่ไม่ทันได้เอ่ยเสียงต่อจากนั้นก็ถูกฉุดลากให้เดินไปด้วยกัน

คล้ายกับถูกถูลู่ถู่กังอย่างไรอย่างนั้น แต่เพราะเชี่ยวชาญในเส้นทางที่เดินมานับครั้งไม่ถ้วน ภันวัฒน์จึงสามารถหลีกหนีทางพลุกพล่านจนสามารถมาอยู่ที่บันไดฉุกเฉินได้โดยที่ไม่มีใครเห็น เขาผลักร่างที่ตนลากมาจนชนกำแพง แท็บเล็ตในมือชายหนุ่มร่างสูงเพรียวเกือบร่วงหล่นพื้น ดีกว่ารีบกระชับมือไว้ได้ทัน

“คุณเป็นใคร ลากผมมาทำไม”

“คุณคือเจ้าของบล็อก Tea Party ใช่ไหม”

เมื่ออีกฝ่ายเปิดประเด็นมา ผู้จัดการหนุ่มก็ไม่รอช้า รีบสวนเสียงกลับไปทันที

“ใช่ แล้วทำไม”

“คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ผมเดือดร้อน”

“เดือดร้อน?”

เสียงถามค่อนไปทางสงสัย ดวงหน้าได้รูปเชยขึ้นสบตาคนที่สูงกว่าตนประมาณห้าเซนติเมตรเห็นจะได้ ท่าทางขึงขังของอีกฝ่ายนั้นดูราวกับไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระโดยง่ายแน่ๆ

“ก็เพราะข้อความในบล็อกของคุณทำให้ขนมที่ผมทำขายไม่ออกน่ะสิ รู้ไหมว่าผมต้องขาดทุนเท่าไร ตอนนี้ผมต้องงดขายขนมชิ้นนั้นไปเลย เดือนหนึ่งแล้ว”

“อย่ามาปรักปรำผม ผมไม่ใช่ผู้ทรงอิทธิพลที่จะกะเกณฑ์ลูกค้าของคุณได้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงก็แสดงว่าขนมของคุณต่างหากที่มีจุดบกพร่อง ลูกค้าของคุณมีวิจารณญาณพอที่จะตัดสินใจเองว่าอันไหนเขาควรกิน อันไหนไม่ควร ไม่เกี่ยวกับการรีวิวของผมสักหน่อย”

ทั้งที่ให้เหตุผลไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังเถียงฉอดๆ ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนความร้อนกำลังพุ่งขึ้นจากปลายเท้าแผ่ลามขึ้นมาถึงศีรษะ เขาจับแขนทั้งสองข้างของคนตรงหน้ารวบตรึงขึ้นติดผนัง จนฝ่ายนั้นต้องกำแท็บเล็ตในมือให้แน่นกว่าเดิมพลางพยายามดึงแขนของตนเองออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะถึงมีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน ทว่าอีกฝ่ายก็ยังมีกล้ามเนื้อมากกว่า

มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของคนที่ตนกักขังเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง หยิบโทรศัพท์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นออกมากดโทรเข้าเบอร์ตนเอง ดีว่ามันไม่ได้ถูกล็อกด้วยรหัสเอาไว้ เขาถึงทำอะไรอย่างที่ใจต้องการได้

“เฮ้ยคุณ! ปล่อยผมนะ แล้วเอาโทรศัพท์ผมคืนมาด้วย”

ร่างโปร่งพยายามขัดขืนสุดกำลัง ถึงกระนั้นกลับไม่เป็นผล เมื่อดึงตัวออกมาจากการกักขังได้พอประมาณก็ถูกคนตรงหน้าดันตัวเข้ามาจนกระแทกกำแพงอีกระลอก

ใบหน้าคมคร้ามขึงเข้มอย่างเอาจริงเอาจัง ก่อนจะยัดโทรศัพท์คืนให้เจ้าของมัน จากนั้นย้ายตำแหน่งมือไปตะปบป้าบเข้าที่บั้นท้าย จนชายหนุ่มสะดุ้งโหยงนัยน์ตาเหลือกโปนด้วยความตกใจ ยิ่งออกแรงต่อต้านมากขึ้นไปใหญ่ แต่ก็ไม่ต่างจากเดิม

“อย่ามาดูกำลังของคนที่ต้องนวดแป้งขนมทุกวันนะคุณ”

เสียงทุ้มราวกับคำรามอยู่ข้างหู ใบหน้าเบียดชิดจนลมหายใจรดริน บล็อกเกอร์หนุ่มกลั้นหายใจอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะต้องเปิดตาจนแทบถลนเมื่อรู้ตัวอีกทีว่ากระเป๋าเงินของตนถูกฉกไปแล้ว มิหนำซ้ำมือที่เคยพันธนาการไว้ยังถูกปล่อยออกและแทนที่ด้วยร่างใหญ่โตทาบชิดเข้ามา

แผ่นหลังกว้างเบียดทับอกของตนจนร่างเกือบบี้แบนติดผนัง ร่างโปร่งพยายามดันตัวออกจากกำแพง หวังให้อีกฝ่ายกระเด็นหรือถอยห่างออกไปบ้าง แต่กลับมีแต่จะทำให้ตนเองเจ็บตัวมากกว่าเดิม เพราะทุกครั้งที่ดันร่างใหญ่ออกก็จะถูกดันกลับมาด้วยกำลังที่มากกว่า จึงได้แต่พยายามชะเง้อมองว่าเจ้าของร้านขนมกำลังจะทำอะไรกันแน่ ขณะมือข้างเดียวที่ว่างอยู่เอื้อมคว้าทรัพย์สินของตน แต่ด้วยส่วนสูงที่ห่างกันไม่มากก็ทำให้ร่างที่เล็กกว่าไม่ว่าจะแนวดิ่งหรือแนวราบคล้ายกับเกยคางอยู่บนบ่าคนด้านหน้าอย่างไรอย่างนั้น

ภันวัฒน์ยังมีสีหน้านิ่งเฉย ราวกับไม่รับรู้ถึงความพยายามของคนที่ตนหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ และใช้สองมือหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยสองใบออกจากในนั้น ก่อนจะพลิกตัวกลับมา พานให้คนที่พยายามดันตัวอย่างสุดกำลังเกือบล้มหน้าคะมำที่อยู่ๆ หลักค้ำที่แข็งแกร่งก็ถอยห่าง

แบงก์สีม่วงถูกยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของร่างโปร่ง ตำแหน่งเดียวกับที่หยิบกระเป๋าเงินออกมา จากนั้นปาติซิเย่หนุ่มก็จับกระเป๋าใบที่ว่าใส่ลงในกระเป๋ากางเกงของตนเองแทน ต่อด้วยกล่าวประโยคที่ราวกับยื่นคำขาด พลางทิ้งตัวถอยห่างออกมาจากร่างผอมบางกว่ามากกว่าเดิม และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้าอยากได้คืนก็ไปที่ห้องนั่งเล่น วันเสาร์หน้า”






ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าหงุดหงิดระดับไหนดี มันยิ่งกว่าเลเวลแม็กซ์เสียอีกเมื่อย้อนคิดกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ใบหน้าได้รูปของชายหนุ่มย่นยู่หลังจากเปิดแท็บเล็ตดูบล็อกของตนเองที่เคยลงรีวิวขนมของร้าน ‘ห้องนั่งเล่น’ เอาไว้

ขนมรสชาติดี แต่ก็อย่างที่หมายเหตุไว้ เขาไม่ได้บิดเบือนความจริงตรงไหน

แล้วทำไมหมอนั่นถึงต้องมาโมโหกันด้วยวะ?!

ที่น่าเจ็บใจยิ่งนั้นคือ ตนเองไม่สามารถสู้กำลังอีกคนได้ทั้งที่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แม้อีกฝ่ายจะดูตัวใหญ่กว่าไม่ว่าจะแนวราบหรือแนวดิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้ถึงขนาดผอมแห้งขี้ก้าง และยังสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรปลายๆ ไม่คิดว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เขากลับไร้กำลังขนาดนี้ แล้วยังโดยยึดกระเป๋าเงินไปเสียเฉยๆ ซะอีก ถ้าแค่บัตรประชาชนยังพอว่า หากเป็นแบบนั้นเขาคงปล่อยทิ้ง ยินดียอมทำบัตรใหม่

คิดแล้วก็ทิ้งศีรษะลงบนโต๊ะทำงานอย่างเซ็งๆ หมดอารมณ์จะทำอะไร แค่นึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าต้องไปพบหน้าก็พานทำให้ยิ่งรู้สึกอารมณ์ไม่สงบ แต่จะตัดใจไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะไหนจะของสำคัญ ไหนจะศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย สุดท้ายก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้น

“เฮ้อ”

“เป็นอะไรของมึงวะ ไปเร็ว เลิกงานแล้วๆ ไปหาอะไรกินกัน”

เพื่อนสาวที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันเดินมาหยุดด้านหลัง พลางเอ่ยเสียงถามอย่างสงสัย ชายหนุ่มจึงต้องเงยหน้าขึ้นมาเก็บข้าวของบนโต๊ะให้เป็นที่เป็นทางกว่าเดิมสักหน่อย ก่อนปิดคอมพิวเตอร์ หยิบแท็บเล็ตคู่กายมากระชับไว้ไม่ห่างมือแล้วลุกขึ้นมาเคียงเพื่อน

เธอเป็นหญิงสาวที่จะว่าหน้าตาสะสวยก็คงไม่ผิด แต่เพราะคบหากันมาตั้งแต่เข้าทำงานที่บริษัทแห่งนี้ อีกทั้งอายุเท่ากันและเข้างานมาในช่วงไล่เลี่ยกันจึงสนิทกันได้เร็ว ทำให้ความสวยที่มีถูกลดทอนลงไปในสายตา

ทั้งคู่เดินลงไปชั้นล่าง เพราะบริษัทที่ทำงานอยู่นั้นไม่ใหญ่โตนัก เป็นอาคารห้าชั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีลิฟต์ จากนั้นตรงไปยังร้านข้าวหน้าปากซอยที่เริ่มมีผู้คนพลุกพล่าน เพราะได้เวลาเลิกงานของเหล่าพนักงานบริษัทมาสักพักแล้ว ท้องฟ้าย้ายเข้าสู่โทนสีมืด แสงสว่างจากร้านรวงอาคารจึงสว่างประปราย

ชายหนุ่มกับหญิงสาวนั่งตรงข้ามกัน โดยปกติพวกเขามักจะเลิกงานพร้อมๆ กันและมารับประทานอาหารด้วยกันเช่นนี้ โดยเฉพาะวันศุกร์ที่หนุ่มบล็อกเกอร์จะมีสีหน้าแจ่มใส เพราะวันต่อไปเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ อีกทั้งยังเป็นวันที่ได้ทำงานอดิเรกอย่างที่ใจชอบ ทว่าวันนี้สีหน้ากลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

หญิงสาวกำลังจะเอ่ยถามว่า ‘เป็นอะไรของมึง’ อีกสักรอบ เพราะเห็นทีท่าไม่คุ้นตาเช่นนั้น ทว่าเสียงโทรศัพท์จากฝ่ายนั้นก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงพลางมองเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอ พันคิ้วให้มุ่นเข้าหากันสักครู่ด้วยความสงสัยเพราะไม่ได้บันทึกเบอร์ที่ติดต่อเข้ามาไว้ ก่อนกดรับอย่างงุนงง เพราะเดิมทีเขาไม่ใช่คนที่จะแจกจ่ายเบอร์ไปทั่ว และก็ไม่ได้มีลูกค้านอกอย่างหนึ่งฤทัย เพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย

“สวัสดีครับ”

[สวัสดีครับ]

เสียงทุ้มต่ำแต่มีพลังดังอยู่ข้างหู รู้สึกคุ้นเคยอยู่เหมือนเคยได้ยินที่ไหน แต่ในเวลาเดียวกันก็เหมือนกับไม่เคยได้ยิน พานให้ยิ่งเคลือบแคลงหนักเข้าไปใหญ่ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทว่าดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ถึงข้อนี้จึงเปิดเผยตัว

[ผมเอง เจ้าของร้านห้องนั่งเล่น]

โจรขโมยกระเป๋าตังค์!

นั่นคือความคิดแรกที่แวบเข้ามา

[ผมจะโทรมาบอกว่า อย่าลืมที่นัดกันไว้พรุ่งนี้]

ไม่ได้นัดเว้ย โดยมัดมือชกต่างหาก

เขาอยากจะเถียงไปแบบนั้น แต่สิ่งที่ลอดออกไปจากปากกลับเป็นสิ่งอื่น

“ผมไม่ได้นัดกับคุณเอาไว้สักหน่อย”

[คุณไม่อยากได้กระเป๋าเงินคืนเหรอครับ]

ยังมีหน้าเอาตัวประกันมาขู่อีก

[ผมจะรอเจอคุณนะครับ คุณอาทิตย์อัสดง]

สิ้นประโยคที่ราวกับประโยคแสนหวาน แต่แฝงด้วยนัย โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป

‘คุณอาทิตย์อัสดง’ ละโทรศัพท์ออกมาจากหู ผ่อนลมหายใจแรงๆ อย่างหงุดหงิด รู้สึกว่าแค่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็เหมือนถูกกระตุ้นให้กอไฟในร่างโหมกระพือขึ้นมา

อาหารเย็นถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ แต่คนที่สั่งมันไว้กลับไม่มีทีท่าว่าอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าตี๋ๆ แต่ไม่ถึงกับตาตี่เป็นขีดเดียวมุ่ยอย่างเห็นได้ชัด จนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอดถามประโยคเดิมซ้ำไม่ได้

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ไอ้ฟรี เดี๋ยวก็ฮึดอัด เดี๋ยวก็ทำหน้าเหมือนกินหนอนเข้าไป”

“ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลยว่ะ”

“เฮ้ย เป็นไปไม่ได้”

หนึ่งฤทัยร้องอย่างตกตะลึง เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาห้าปี เธอไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทไม่อยากให้ถึงวันเสาร์เลยสักครั้ง ปกติแล้วถ้าถึงวันสุดสัปดาห์เมื่อไรจะหน้าบานเสียด้วยซ้ำ

“กูไม่อยากให้ถึงจริงๆ”

เสียงเซ็งๆ ถูกส่งออกมาอีกครั้งโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม พร้อมกับมือเรียวจับช้อนขึ้นมาตักข้าวเข้าปากอย่างไม่สบอารมณ์






--------------------
มาต่อตอนที่ 1 แล้วค่ะ
อ่านแล้วเป็นยังไงบ้าง บอกกล่าวเล่าแถลงได้นะคะ  :mew1:
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ [26/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-11-2015 00:49:39
มาอ่านอีก
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ [26/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 27-11-2015 01:13:55
มัดมือชกสุด ๆ 555
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ [26/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 28-11-2015 12:22:40

อา...คุณภัณนี่ร้ายนะคะ เด็ดขาดดีแท้
เอาซี่ ถ้ายังจะไม่มาเจอหน้า ก็อย่าหวังว่าเงินในกระเป๋าและบัตรเครดิตจะปลอดภัย
(เฮ่ย! นี่พระเอกนิยายเว่ยไม่ใช่มิจฉาชีพ!!!)

รออ่านตอนต่อไป อยากรู้เหลือเกินว่าบลอกเกอร์กับเจ้าของร้านกาแฟจะลงเอยกันยังไง
ขอบคุณมากค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ [26/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 28-11-2015 14:56:01
พระเอกเหรอ? อาชีพเสริมพี่คือโจรปะนี่ คล่องซะ :hao3:
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 1st Entry : ล่อเสือออกจากถ้ำ [26/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 28-11-2015 15:49:07
ึคนนวดแป้งนี่เค้าต้องมือไวด้วยป่ะคะ?
ทั้งฉุด ทั้งดึง ทั้งเอาเงินออกมาจากกระเป๋าเค้าด้วยเนี่ย
โถๆๆๆ น่าสงสารคุณบล็อกเกอร์คนนั้นจริงๆ

 :hao7:
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 2nd Entry : ปิดประตูตีแมว [23/12/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 23-12-2015 21:49:24
2nd Entry : ปิดประตูตีแมว






ขณะที่คนหนึ่งสิ้นแรง อีกคนกลับหน้าระรื่น ภันวัฒน์วางโทรศัพท์มือถือของตนเองลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ ดวงตาจับจ้องบัตรประชาชนของใครบางคนที่ตนเป็นคนยึดไว้ซึ่งอยู่ในมือ กวาดตามองใบหน้าในรูปถ่ายก่อนย้ายไปที่ชื่อ-นามสกุลซึ่งปรากฏอยู่ เข้าใจแล้วชื่อที่ใช้ในบล็อกมาจากไหน จากนั้นก็โยนมันลงบนโต๊ะทำงานซึ่งมีกระเป๋าเงินสีเทาอ่อนวางอยู่

พรุ่งนี้เขาจะได้เคลียร์ปัญหาคาราคารังที่ทำให้เขาหนักอกมาเกือบเดือนสักที

เขาจะต้องทำให้อาทิตย์อัสดงยอมแก้ไขข้อมูลในบล็อกนั่นให้ได้ แล้วก็ต้องลงข้อความขอโทษด้วย นอกจากนั้นก็ต้องเรียกค่าเสียหายเพื่อชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความมักง่ายของเจ้าตัว

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ประตูหน้าห้องเปิดออกมาหลังจากเสียงนั้นดังอยู่ชั่วครู่ ร่างที่ก้าวเข้ามาเป็นหญิงสาวคนเดิม เธอมาพร้อมกับแฟ้มในมือ และยื่นส่งให้กับผู้เป็นเจ้านาย

“รายงานสรุปเรื่องอีเวนท์บุฟเฟต์ขนมหวานของสองสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ”

“ขอบคุณครับ คุณนน”

“นนนี่ค่ะ”

แม้จะถูกค้านเรื่องชื่อ แต่ผู้จัดการหนุ่มกลับทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินเสียงใดๆ เขาเปิดดูเอกสารในแฟ้มพร้อมกับฮัมเพลงในลำคอไปด้วย พานให้เลขานุการสาวประหลาดใจ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะแม้เจ้านายของเธอจะเป็นคนสบายๆ แต่วันนี้ก็ดูผิดปกติอยู่ดี

“วันนี้คุณภันดูอารมณ์จังเลยนะคะ”

“ดูออกด้วยเหรอ”

ไม่ได้ตอบโดยตรง แต่แสร้งยื้อบทสนทนาแบบคลุมเครือ

“ดูออกสิคะ นนนี่ไม่ได้ตาบอดหูหนวกนะคะ”

“พรุ่งนี้ผมมีเดทน่ะ”

นนทิยามุ่นคิ้วเข้ามาหากันแทนที่ตำแหน่งเดิม เจ้านายของเธอเป็นชายหนุ่มภูมิฐาน หน้าตาจะเรียกว่าหล่อเหลาก็คงไม่กระดาก เพราะคมเข้มมีเสน่ห์ จึงไม่แปลกหากจะมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เข้ามาในชีวิตบ้าง แต่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเรื่องแบบนี้ ไม่รู้แน่ว่าเพราะไม่เคยพูดถึง หรือไม่เคยเอามาเป็นสาระด้วยสับรางไม่หวาดไม่ไหว

“จะอวดเหรอคะ”

“ผมเห็นคุณสงสัย ก็เลยบอกเฉยๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณค่ะ”

สิ้นเสียงของเธอ ปลายปากกาในมือชายหนุ่มก็ตวัดลายเซ็นบนเอกสารเสร็จพอดี เขาปิดแฟ้มส่งมันคืนให้เธอก่อนเตือนย้ำ

“พรุ่งนี้ผมหยุดนะ อย่าโทรมารบกวนผมล่ะ”

“นนนี่จะโทรเฉพาะแค่เวลาเจ้านายหนีงานเท่านั้นแหละค่ะ”

เธอรับแฟ้มมาถือไว้ และแถมด้วยการแขวะกันอีกฝ่ายอีกเช่นเคย แต่คนโดนลูกน้องปีนเกลียวใส่กลับยักไหล่ไม่ใส่ใจ

“ผมว่าผมมีความรับผิดชอบพอดูนะ”

“ก็แค่พอดูน่ะค่ะ” ตอบเหมือนไม่ใส่ใจแล้วเธอก็เอ่ยขอตัว ก่อนจะก้าวถอยหลังสองสามก้าว และหมุนตัวเดินออกจากห้องไปตามมารยาทที่ดี

ประตูห้องทำงานปิดลง มือหนาเลื่อนออกมาจับบัตรประชาชนที่วางแผ่อยู่บนโต๊ะอีกรอบ ภันวัฒน์เดาะลิ้นเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ จากนั้นจับมันใส่ลงในกระเป๋าเงินที่วางอยู่ข้างกัน

อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ ซะแล้ว






ท้องนภาเปื้อนด้วยสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ เสียงระฆังประตูดังเบาๆ ขณะที่พื้นที่ภายในร้านซึ่งอุ่นอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร่างสูงที่นั่งชะเง้อมองประตูมาตลอดทั้งวันยกตัวลงจากเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์เมื่อเห็นว่าคู่นัดหมายเพิ่งผ่านประตูเข้ามา

“มาซะดึกเลยนะครับ”

“คุณไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะต้องมากี่โมง มันก็ต้องแล้วแต่ผมสะดวกไม่ใช่เหรอครับ”

ขาเรียวก้าวเข้ามาพร้อมตอบคำทักทายที่เหมือนจะสุภาพอยู่ในที แต่ได้ยินเมื่อไรก็รู้ว่าเจตนาของคนพูดไม่ได้ต้องการสุภาพถึงขนาดนั้น

“นั่งก่อนสิครับ”

“ไม่จำเป็นหรอก ผมแค่มาเอากระเป๋าตังค์ของผมคืน”

แทนที่จะตอบอะไรกลับมาบ้าง ชายร่างสูงผิวสีเข้มกว่าที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กลับรินน้ำลงแก้วอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เหมือนกับจะยั่วโมโหกัน ก่อนจะเดินถือมันมาวางบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นบริเวณที่ตกแต่งแนวโมเดิร์น พื้นโต๊ะเป็นกระจกใสแต่งสีเป็นลวดลายสดงาม จากนั้นก็หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ราวกับจะระบุว่าให้แขกที่มาเยือนนั่งฝั่งที่มีแก้วน้ำตั้งอยู่อย่างไรอย่างนั้น

อาทิตย์อัสดงยืนมองกิริยาของภันวัฒน์อย่างไม่สบอารมณ์อยู่ชั่วครู่ แต่เพราะอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกเหนือจากนั้น ดั่งรอให้ตนลงไปนั่งประจันหน้ากัน จึงยอมสืบเท้าเข้าไปใกล้และทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในตำแหน่งที่เว้นไว้ให้อย่างช่วยไม่ได้

“คืนกระเป๋าตังค์ผมได้หรือยังครับ”

“ทำไมใจร้อนจังเลยล่ะครับ ทีตอนสร้างความเดือดร้อนให้ผม ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร”

คิ้วเรียวดำของบล็อกเกอร์หนุ่มขมวดฉับทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เริ่มรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ารับมือยากขึ้นมาทันใด

“คุณต้องการอะไร”

“ง่ายๆ” เสียงทุ้มเอื้อนออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นใจ แต่สร้างความกดดันให้คนมองเห็นได้ไม่น้อย “ลบเอนทรี่ที่คุณอัพเกี่ยวกับ Sweet Butterfly ซะ แล้วก็ต้องอัพบล็อกขอโทษร้านของผมด้วย”

“ผมว่าคงไม่จำเป็นมั้งครับ”

ไม่ต้องคิดตรึกตรองให้เสียเวลา อาทิตย์อัสดงสวนคำตอบกลับมาฉับพลัน มองสบตาร่างสูงโดยไม่หลีกเลี่ยง ให้รู้กันไปเลยว่าเขาไม่อ่อนข้อให้แน่นอน

ในเมื่อเขาไม่ผิด

"ถ้าอย่างนั้นผมคงคืนของให้คุณไม่ได้”

สิ่งที่ตอบกลับมาไม่ไกลจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อครู่ อาทิตย์อัสดงลอบสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความไม่พอใจเอาไว้ ปกติเขาเป็นคนค่อนข้างใจเย็น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายคนนี้แล้วกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตนกลายเป็นภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุเมื่อไรก็ได้

“ก็ได้ ถ้าอยากได้คุณเอาไปเลย ผมทำบัตรใหม่ทั้งหมดก็ได้ ไม่มีปัญหา”

นั่นคือหนทางเดียวที่จะรับมืออีกฝ่ายได้

“ดูท่าคุณไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไรเลยนะ”

นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองดวงหน้าขาวสะอ้าน จับจ้องที่ดวงตาสีน้ำตาลเรียวที่เสริมให้รู้ว่าร่างโปร่งมีเชื้อสายจีนมากเป็นพิเศษ เพื่อจับสังเกตเหยื่อไม่ให้หลุดลอดไปได้ แต่ฝ่ายนั้นกลับใจเย็นเกินคาด

“ถ้าหมดธุระแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

กายโปร่งได้สัดส่วนลุกขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้ขยับเขยื้อนออกห่างจากโต๊ะก็ถูกรั้งเอาไว้ มือหยาบผลักจนล้มจ้ำลงไปกระแทกกับเก้าอี้อีกหน ก่อนดวงตาเรียวคมดั่งเหยี่ยวจะโฉบไปสะดุดเข้ากับลำคอขาว บริเวณนั้นมีแสงสว่างส่องประกาย พานให้มือใหญ่เอื้อมคว้าครามครัน

“เฮ้ย”

คอเสื้อที่ถูกแหวกด้วยมือหนาพร้อมกับน้ำหนักที่ทิ้งลงมาแหวกว่ายตรงนั้นพลันทำให้ทั้งร่างสะดุ้ง อาทิตย์อัสดงร้องอุทานอย่างไม่ทันตั้งตัว และยิ่งเบิกตากว้างมากขึ้นเมื่อร่างที่ใหญ่กว่าลุกขึ้นชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาทางตนเอง ใบหน้าใกล้กันเสียจนขนลุกซู่ มือเรียวคว้าขวับที่ข้อแขนของอีกฝ่าย หวังจะดึงออก

“นี่มันคุกคามทางเพศแล้วนะ ผมแจ้งตำรวจได้”

“คุณคิดว่าเราอยู่ประเทศไหน ตำรวจเขาไม่สนใจปัญหาหยุมหยิมแบบนี้หรอก”

คำตอบที่ได้รับกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่แสดงถึงความสะทกสะท้านทำให้อาทิตย์อัสดงนิ่งอึ้งไป ทว่าไม่เพียงเท่านั้น ประโยคต่อไปยังดังตามมาให้ยิ่งตะลึงงันมากขึ้นไปอีก

“ไม่ต้องห่วง คุณไม่ใช่สเปกผม”

ทั้งที่พูดออกมาแบบนั้นแต่ว่ามือยังคงลูบคลำแถวหน้าอกอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะละมือออกพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ติดมือไปด้วย

“สร้อยผม!”

เข้าใจในตอนนี้เองว่าที่ร่างสูงล้วงเข้ามาในอกเสื้อเขาก็เพื่อการไหน บล็อกเกอร์หนุ่มลูบจับตำแหน่งที่เคยมีสร้อยสีทองอยู่ราวกับจะยืนยันให้แน่ใจ ว่ามันหายไปจากคอของตนเองจริงๆ ซึ่งมันก็ว่างเปล่าอย่างที่เห็น

“เอาสร้อยผมคืนมา สร้อยนั่นแม่ให้ผมมานะ”

“ผมขอสร้อยเส้นนี้เป็นตัวประกันแล้วกัน จนกว่าคุณจะลบรีวิวนั่นออกแล้วก็ขอโทษ ผมถึงจะคืนให้”

ภันวัฒน์พูดอย่างวางมาด ก่อนจะเอาสร้อยคอทองคำน้ำหนักประมาณสองบาทที่ห้อยพระอยู่หนึ่งองค์ยัดเข้าใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง และตามด้วยโยนกระเป๋าเงินที่เคยยึดมาก่อนหน้านี้คืนให้

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเดือดดาลอยู่ในใจ จ้องมองร่างใหญ่กว่าด้วยดวงตาอาฆาต ไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือผิดกันแน่ที่มาที่นี่ในวันนี้ บางทีการที่เขาตัดใจจากกระเป๋าเงินของตัวเองอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วก็ได้ เพราะข้อเรียกร้องของอีกฝ่ายมันมากเกินกว่าเขาจะยินยอมทำให้ได้ เขาไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีตัวเองด้วยการอัพอะไรที่ไม่จริง

“ผมขอยื่นข้อเสนออื่น”

ร่างโปร่งพยายามคิดหาหนทางอย่างเต็มกำลัง อย่างน้อยก็เจอกันครึ่งทาง และหวังว่าผู้ชายตรงหน้าคงไม่ไร้เหตุผล

“ข้อเสนออะไรครับ”

“คุณปรับปรุงขนมของคุณมาให้ผมชิม ถ้าผมยอมรับได้ ผมถึงจะแก้ไขข้อมูลให้ ส่วนเรื่องที่ทำให้คุณเดือดร้อน ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะส่งผลกระทบกับร้านของคุณ ผมต้องขอโทษด้วย”

“คุณว่ามันไม่ง่ายไปเหรอ”

“แต่เราก็ควรจะเดินมาเจอกันครึ่งทาง ผมไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ขนมของคุณแบบเสียๆ หายๆ เลย ขนมชิ้นอื่นๆ ผมก็ให้คะแนนคุณดีไม่ใช่เหรอ ก็แค่มีหนึ่งชิ้นที่มันยังมีจุดบกพร่องอยู่ ถ้าคุณแก้ไขมันได้ ก็เป็นผลดีกับคุณเอง ไม่ใช่ผม”

ประโยคแรกๆ ภันวัฒน์เกือบทำเป็นหูทวนลมได้ แต่ประโยคท้ายกลับทำให้เขาต้องครุ่นคิดตาม ซึ่งมันก็เปิดโอกาสให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น กระหยิ่มยิ้มกับไหวพริบและทัศนคติของตนเอง พลางเอ่ยอธิบายต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลา

จะโจมตีศัตรูให้ล่าถอยและพ่ายแพ้ไป ก็ต้องโจมตีด้วยคอมโบ

“ลองพิจารณาดูนะครับ ถ้าคุณสามารถปรับปรุงขนมชิ้นนั้นให้ออกมาสมบูรณ์ได้ และผมรีวิวแก้ไขให้คุณ นอกจากจะเรียกลูกค้าเพิ่มให้คุณแล้ว ลูกค้าจะยังรู้สึกชื่นชมเสียอีกที่คุณพัฒนาสินค้าของตัวเอง เพราะมันแสดงว่าคุณมีความรับผิดชอบ และใส่ใจในตัวลูกค้า”

เกิดความเงียบหลังจากสิ้นเสียงนั้น ภันวัฒน์รวบรวมคำกล่าวอ้างนั้นแล้วพิจารณาไปที่ละประโยค และก็ต้องรู้สึกเห็นด้วยอยู่ในใจ เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียทีเดียว

“ก็ได้”

ได้ยินเสียงทุ้มต่ำในลำคอดังขึ้นมาอย่างยอมรับในเหตุผลของตน อาทิตย์อัสดงก็ผลิยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ร้อง ‘เยส’ อยู่ในใจดังๆ ที่แผนสำเร็จจนได้ ก่อนจะยื่นมือออกมา

“งั้นก็ขอสร้อยผมคืนด้วยครับ”

ฉับพลันนั้นริมฝีปากที่ยิ้มอยู่ก็กลายเป็นรอยยิ้มค้าง

“ผมยังคืนให้ไม่ได้หรอก”

“อ้าว ทำไมล่ะ ก็ตกลงกันได้แล้ว”

“คุณบอกเองว่าครึ่งทาง”

หนุ่มตี๋รู้สึกเหมือนว่าจะเกิดอาการช็อกขึ้นสมองเฉียบพลัน อ้าปากพะงาบนึกคำพูดไม่ออก เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบสวนกลับมาแบบนี้

“ผมจะปรับปรุงขนมแล้วเอาให้คุณชิมตามที่คุณบอก ส่วนผมเก็บสร้อยพระของคุณไว้ จนกว่าคุณจะยอมรับขนมของผม แบบนี้สิถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่เหรอครับ”

“.....”

“ถ้าผมไม่พยายามทำขนมให้ออกมาดี ร้านของผมก็ต้องเสียชื่ออยู่อย่างนี้ ส่วนคุณก็ไม่ได้สร้อยคืน แต่ถ้าผมทำขนมออกมาดี คุณยอมรับได้ คุณก็ได้สร้อยคืน”

“.....”

“ถ้าได้ผลประโยชน์ก็ได้ทั้งคู่ แต่ถ้าเสียผลประโยชน์ก็เสียทั้งคู่ ก็แฟร์ดีนี่ครับ”

ร่างโปร่งอึ้งกว่าเก่าเสียอีกเมื่ออีกฝ่ายคิดคำนวณไปไกลมากกว่าที่ตนคิดไว้ จะเรียกว่าเป็นคนมองการณ์ไกล วิสัยทัศน์ดี หรือจะบอกว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผนดี เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำ

“ว่าอย่างไรครับ”

ภันวัฒน์ถามความเห็นราวกับจะย้ำเพื่อให้ตัดสินใจเสียที ร่างสูงยอบกายลง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งด้วยท่วงท่าสบายๆ ทิ้งเวลาให้คู่เจรจาคิดนิดหน่อย ทั้งที่สุดท้ายคำตอบที่อาทิตย์อัสดงเลือกได้มีเพียงคำตอบเดียว

“ตกลงตามนั้นก็ได้ครับ” ตอบกลับอย่างจนหนทางแล้วก็ยื่นมือไปหยิบกระเป๋าเงินกลับคืนมา จากนั้นลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่ง “งั้นผมขอตัวกลับก่อน”

ทว่าก้าวขาออกไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงทุ้มจากคนด้านหลังก็ดังให้ต้องเหลียวหน้ากลับไป

“จ่ายค่าน้ำด้วยสิครับ คุณอาทิตย์อัสดง”

จะเรียกว่า เงิบ ก็คงได้

“หา คุณเป็นคนเรียกผมมาเองนะ แล้วน้ำนี่ผมก็ไม่ได้สั่งด้วย”

“นี่มันของซื้อของขายนะคุณ”

เจ้าตัวตอบด้วยรอยยิ้มที่พานให้คนมองรู้สึกว่ามันช่างยียวนกวนประสาทเสียเหลือเกิน

คนโดนทวงค่าน้ำเปล่าที่ไม่ได้ดื่มแม้แต่หยดเดียวยอมเดินกลับไป ควักเหรียญบาทสองเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมาวางบนโต๊ะด้วยน้ำหนักที่มากกว่าธรรมดาสักหน่อยพลางบอก

“หวังว่าแค่นี้คงพอนะ”

เสร็จกิจสุดท้ายที่คงท้ายสุดแล้ว ก็ได้เดินออกมาจากร้านจริงๆ เสียที ร่างโปร่งพึมพำกับตัวเองเบาๆ โดยไม่หันกลับไปมองใครอีกคนที่อยู่ในร้านนั้น

อะไรของแม่งวะ ไอ้ปลาตีนสิแย่นั่น






Rrrrrr Rrrrrrr

เสียงรบกวนดังซ้ำอยู่หลายระลอก เดี๋ยวดับเดี๋ยวหยุดจนน่าเวียนหัว มือเรียวควานสะเปะสะปะหาต้นกำเนิดเสียงที่คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้ๆ หัวเตียงก่อนจะค่อยๆ ปรือเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น พร้อมกับคว้าสิ่งนั้นเอาไว้ได้ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหมือนสีชาเหลือบมองดูแสงสว่างบนจอสี่เหลี่ยม ใช้สติอันเลือนรางของตนประมวลผลตัวเลขซึ่งปรากฏอยู่และลงความเห็นได้อย่างฉับพลัน

เบอร์ใครวะ

ตั้งคำถามกับตนเองเสร็จแล้วก็เลื่อนสายตาไปยังแถบสเตตัสด้านบน ก่อนจะเบิกตาโพลง เพราะว่ามันกำลังบอกเวลาว่าคือตีสอง พานให้นึกก่นด่าอยู่ในใจว่าใครอุตริโทรมายามวิกาลแบบนี้ แล้วจึงกดตัดสายทิ้งไป ทว่าเพียงชั่วประเดี๋ยว สัญญาณว่ามีโทรศัพท์โทรเข้ามาอีกสายก็ดังขึ้น เป็นเบอร์เดียวกับเมื่อครู่เด๊ะ

“อะไรวะเนี่ย”

เสียงแหบพร่าเพราะจำต้องตื่นนอนมาอย่างไม่เต็มใจระบายออกมาเบาๆ จากนั้นมือเรียวกดตัดสายอีกครั้ง ตามด้วยจัดการบล็อกเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อกวนยามดึกเสียเลย คิดว่าคราวนี้แหละจะได้นอนอย่างสงบเสียที จึงผละออกจากสิ่งรบกวนเมื่อครู่แล้วเลื้อยตัวลงบนที่นอนด้วยท่าที่สบายที่สุด

ทว่า...

Rrrrrr Rrrrrrr

โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งราวกับกำลังจะทดสอบความอดทนกัน อาทิตย์อัสดงพลิกตัวขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์แล้วคว้ากล่องสื่อสารนั้นมาอีกรอบ ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นไม่ใช่ตัวเลขเดิม แน่นอนล่ะ เพราะว่าเขาบล็อกมันไปแล้ว แต่ที่น่าประหลาดใจ ก็คือมันมีความคล้ายคลึงกัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างฉับพลัน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมรับสายที่ดังมาครู่หนึ่งแล้วอยู่ดี

ปุ่มรูปหูโทรศัพท์สีแดงถูกกดอย่างง่ายดาย ก่อนจะตามด้วยการเข้ารายการบล็อกเบอร์โทร ทว่าทำดังนั้นแล้วแทนที่จะสบายใจจบสิ้นกันเสียทีกลับกลายเป็นการก่อสงครามขนาดย่อมแทน เพราะเหตุการณ์วนลูปกลับมายังที่เดิมอีกครั้ง

โทรเข้า ถูกบล็อก โทรเข้า ถูกบล็อก อยู่เช่นนั้นราวๆ ยี่สิบสาย จนความอดทนของคนที่ถูกทำลายการนอนแสนสงบหมดลงเรื่อยๆ

“ไอ้บ้านั่นมันมีกี่เบอร์กันวะ”

สุดท้ายก็ยอมกดรับสายในที่สุด พลางนึกหงุดหงิดในใจที่ตนเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมท้อถอยและค่อนข้างหัวรั้น เพราะหากเป็นคนอื่น คงปิดเครื่องหนีเพื่อความสงบสุขของตนเองไปแล้ว ไม่ต่อสู้เพื่อเอาชนะอยู่อย่างนี้

“ไม่ทราบว่าจะโทรมาทำไมนักหนาครับ”

ประโยคแรกที่ทักทายคู่ต่อสู้ที่มีความอดทนพอๆ กันเต็มไปด้วยความไม่พอใจในน้ำเสียง แต่สิ่งที่ตอบกลับมาจากอีกฝ่ายนั้นกลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

[ก็คุณไม่รับสักที ผมก็ต้องโทรต่อไปสิ]

นอกจากน้ำเสียงยังไม่มีเค้าของความง่วงงุนแล้ว เสียงที่ระบุได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกหัวร้อนฉ่าขึ้นมาทันที

“ผมบล็อกเบอร์คุณไปขนาดนี้แล้ว คุณก็น่าจะรู้ตัวว่าผมไม่ต้องการรับสาย คุณก็ควรจะหยุดโทรได้แล้ว คุณมีกี่เบอร์กันแน่ ผมบล็อกเบอร์คุณจนนิ้วจะหงิกอยู่แล้ว”

[ผมใช้เบอร์ที่ทำงานโทรน่ะ มีเป็นร้อยสาย ถ้าคุณบล็อกไหวก็เชิญตามสะดวก]

รู้สึกเหมือนความร้อนแล่นเข้ามาในหัวอีกระลอก คงให้ความจำกัดความถึงความรู้สึกของร่างบนเตียงได้เพียงเท่านั้น มือเรียววางบนหน้าผากของตนเองเพื่อพิสูจน์ว่าตอนนี้ตนกำลังตัวร้อนขึ้นจริงๆ หรือว่าเป็นการอุปาทานไปเองกันแน่

“แล้วใครบอกให้คุณโทรมาตอนนี้กันล่ะครับ รู้ไหมว่ากี่โมงแล้ว”

[ตีสอง สิบสามนาที ทำไมล่ะครับ]

“คุณคิดว่ามันใช่เวลาที่จะมาโทรหาคนอื่นไหมครับ”

[ก็ผมเพิ่งทำงานเสร็จนี่ครับ แล้วเมื่อคืนผมทำขนมไว้ อยากให้คุณมาช่วยชิมหน่อย]

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ร่างโปร่งตะลึงงันได้เล็กน้อย ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายบอกว่าเพิ่งเสร็จงาน แต่เป็นเพราะประโยคที่ว่า ‘อยากให้ช่วยชิมหน่อย’ ต่างหาก

“คุณจะให้ผมขับรถออกไปตอนนี้เนี่ยนะ”

[ถ้าคุณไม่สะดวก ผมไปหาคุณก็ได้ คุณอยู่ที่อยู่ตามบัตรประชาชนหรือเปล่า]

เป็นอีกครั้งที่คนฟังต้องตกตะลึง เบิกตาขึ้นกับความคิดพิลึกพิลั่นของปลายสาย

นี่มันจะบุกบ้านกันเลยเหรอ

“นี่คุณครับ จะไม่มีมารยาทก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย”

สิ้นประโยคนั้น ปุ่มวางสายก็ถูกกดอีกครั้ง และตามด้วยปุ่มเปิดเครื่องอย่างเร็วพลันเพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนก่อกวนยามวิกาลอาศัยจังหวะโทรเข้ามาอีก พลางงึมงำกับตนเองอย่างอดไม่ได้

หมอนั่นต้องบ้าไปแล้ว





ตรู๊ด... ตรู๊ด... ตรู๊ดๆๆ ตรู๊ดๆๆๆ

เสียงสัญญาณเดิมดังซ้ำกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้ว่าจะไม่ย่อท้อและติดต่ออีกฝ่ายได้เป็นผลสำเร็จ ทว่าคราวนี้กลับต้องยอมถอดใจ เพราะดูเหมือนปลายสายจะปิดเครื่องหนีไปแล้วจริงๆ ภันวัฒน์เดาะลิ้นเบาๆ อย่างขัดอารมณ์ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะล้มเลิกความตั้งใจของตนเอง

เขาเปิดแกลเลอรี่รูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือ หารูปบัตรประชาชนของร่างโปร่งที่ถ่ายเอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โชคดีที่เขาถ่ายมันเก็บไว้ เผื่อว่าจะมีกรณีฉุกเฉิน เช่น อีกฝ่ายหนีหน้า ติดต่อไม่ได้ เป็นต้น แต่ก็ไม่คิดว่าจะถูกนำมาใช้รวดเร็วเช่นนี้

หน่วยตาคมกวาดมองตัวอักษรระบุที่อยู่ ดูไม่ไกลมากเท่าไรนัก ก่อนจะเบือนสายตาลงต่ำเพื่อสังเกตวันออกบัตร เพิ่งจะออกบัตรใหม่ปีนี้ แสดงว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ที่อยู่ก็น่าจะเป็นที่อยู่ปัจจุบันด้วย รับรู้ถึงความจริงข้อนี้ มุมปากได้รูปก็กระตุกเบาๆ

มือหนาเอื้อมหยิบกุญแจรถยนต์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าไปยังรถยนต์ของตนเอง นึกขอบคุณเทคโนโลยีก้าวหน้าในยุคนี้ขึ้นมาอย่างซาบซึ้ง เพราะมีทั้งเนวิเกเตอร์ในรถ และกูเกิลแมปที่ทำให้การค้นหาสถานที่หนึ่งง่ายดายกว่าที่คิด

ไม่นานก็มาถึงสถานที่เป้าหมาย ถึงจะขับรถเลยหน้าบ้านที่ว่านั้นไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ลำบากอะไรที่ต้องถอยกลับมา ร่างสูงกำยำก้าวลงจากรถหลังจากดับเครื่อง สังเกตตัวบ้านเดี่ยวสองชั้นสไตล์โมเดิร์นสีขาวเทาขนาดเล็กที่น่าจะเหมาะกับการอยู่กันไม่เกินสี่คน มีสวนด้านข้างขนาดหย่อมให้พอร่มรื่น และรถยนต์สีขาวจอดอยู่หนึ่งคัน ก่อนจะบ่นอุบเบาๆ

“ลืมไปเลยแฮะ ถ้าในบ้านมีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะ?”

เป็นเรื่องที่ลืมคิดไปเสียสนิท ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะถอดใจแล้วขับรถกลับบ้านตนเองไป ภันวัฒน์สาวเท้าเข้าไปใกล้อาณาเขตบ้านมากขึ้น ส่องสายตาสำรวจดูว่ามีอะไรที่พอจะบอกได้บ้างว่าบ้านหลังนี้มีสมาชิกอยู่กี่คน ประจวบกับสายตาเล็งเห็นชั้นวางรองเท้าพอดี เป็นชั้นวางแบบเรียบง่ายที่มีรองเท้าอยู่สี่คู่ รองเท้าผ้าใบ รองเท้าหนัง รองเท้าแตะ และรองเท้าแตะแบบหุ้มส้น

เห็นแบบนั้นแล้วเหมือนกำลังใจเพิ่มขึ้นมาอีกโข เพราะระบุได้ว่า...เป้าหมายอยู่ลำพังคนเดียว

ชายหนุ่มย้ายร่างของตนเองมายังเสาประตู และยื่นมือไปกดกริ่งหลายครั้ง ในคราวแรกบ้านยังเงียบสนิท แต่สักพักไฟจากชั้นบนก็เริ่มเปิด ตามด้วยชั้นล่าง และสุดท้ายก็หน้าบ้าน ก่อนที่จะเจ้าบ้านจะเดินหน้ามุ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจ

“นี่มันจะตีสามแล้วนะคุณ”

ได้รับการต้อนรับอย่างยินดีจากเจ้าของบ้านเลยทีเดียว ทว่าภันวัฒน์ก็ยังทำเป็นหูทวนลม

“ก็ให้ผมเข้าไปสิครับ”

“ผมไม่มีอารมณ์มีชิมขนมให้คุณหรอกนะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ผมต้องตื่นเช้าด้วย”

“ถ้าคุณคิดว่าผมมารบกวน คุณก็น่าจะรีบทำให้มันจบๆ ไปนะ ยิ่งคุณค้านก็ยิ่งเสียเวลา ไม่อยากรีบนอนเร็วๆ เหรอครับ”

ถูกถามมาแบบนี้ คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์อยากกระโดดขึ้นเตียงเต็มแก่ แต่กลับต้องพยายามเบิ่งตาให้มากที่สุดจึงไร้ข้อโต้เถียงที่พอจะคิดได้ทัน ร่างโปร่งจำยอมเปิดประตูรั้วของบ้านออกและเชื้อเชิญแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้าน

อาทิตย์อัสดงเดินนำเข้ามาในบ้านโดยมีร่างสูงเจ้าของร้านขนมเดินตามมาติดๆ กัน ก่อนจะเปิดไฟที่ห้องอาหารควบห้องครัวซึ่งมีขนาดใหญ่พอประมาณ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาเทใส่แก้วเพื่อดื่มเอง ไม่ได้ส่งให้แขกตามมารยาทอย่างที่ควรเป็น แล้วเดินไปหยิบช้อนกาแฟติดมือมาด้วยหนึ่งคัน จากนั้นหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว วางแก้วที่ถือค้างไว้ลงบนโต๊ะ

มองร่างโปร่งเคลื่อนไหวจนหยุดนิ่งแล้ว ภันวัฒน์ก็ยอบตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเคียงกัน ตามด้วยวางกล่องพลาสติกที่ใส่ขนมเอาไว้ลงบนโต๊ะแล้วจึงเลื่อนให้ไปอยู่ตรงหน้าคนที่ตนมาหา มือเรียวเปิดกล่องสีขาวขุ่นนั้นอย่างช้าๆ พิจารณาขนมเจ้าปัญหาที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมด

เหมือนสมองมึนเบลอ ภาพเริ่มพร่าลงกว่าปกติ หน่วยตาที่ฝืนเปิดขึ้นเพราะโดนรบกวนปรือลงทีละน้อย ถึงกระนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มก็ยังจ้วงช้อนคันเล็กลงไปบนชิ้นสีครีม ตักมันเข้าปากแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างเชื่องช้าพร้อมกับตาที่ปิดต่ำลงมากกว่าเดิมทุกทีๆ ราวกับว่ายิ่งขยับปากเคี้ยวก็ยิ่งกล่อมให้ผล็อยหลับ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

อาทิตย์อัสดงกลืนขนมเข้าไปหมดคำ พร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงสนิท

คนที่ยังตาสว่างอยู่เพราะนอนดึกเป็นประจำเนื่องด้วยต้องดูแลรับผิดชอบงานให้เรียบร้อยเอียงคอมองอย่างสงสัย รอคอยคำตอบจากหนุ่มข้างกายว่าเป็นอย่างไรอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะตอบมา จนต้องชะเง้อคอมองไปด้านหน้าอีกเล็กน้อยเพื่อสังเกตหน้าฝ่ายนั้นชัดๆ แล้วก็ถึงกับเบิกตากับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่คิดว่าจะมีคนประเภทที่หลับระหว่างกินอยู่ได้ด้วย

“เฮ้ย หลับจริงอะ”

เพราะไม่แน่ใจมือหนาจึงโบกไปมาตรงหน้าหนุ่มหน้าตี๋ ทว่าก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับ เสียงทุ้มเรียก ‘คุณ คุณ คุณอาทิตย์อัสดง’ อยู่หลายหน แต่ก็เหมือนว่าคนที่ถูกเรียกจะหูหนวกไปแล้วในตอนนี้ ภันวัฒน์จึงกำมือจนเหลือแต่นิ้วชี้แล้วจิ้มไปที่ช้อนในมือเรียว

ปึก

ช้อนร่วงลงบนโต๊ะอย่างง่ายดาย...

“เป็นไปได้ไงเนี่ย คุณตื่นก่อน ตอบผมมาก่อน”

มือหนาแตะแขนพลางเขย่าร่างที่กำลังหลับตา แต่รายนั้นส่งเสียงหึ่งๆ เหมือนคนกำลังรำคาญก่อนจะยกมือขึ้นปัดไปมา จากนั้นก็...

กดศีรษะลงเรื่อยๆ จนมันจรดกับโต๊ะ

ชัทดาวน์ตัวเองอย่างถาวรเป็นที่เรียบร้อย

ถึงกระนั้นร่างสูงก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างง่ายๆ เขย่าตัวอีกฝ่ายพลางบอกอีกที

“ถ้าไม่ได้คำตอบจากคุณ ผมจะไม่กลับนะ นี่คุณ”

แต่ก็ไร้ประโยชน์เหมือนเดิม

เสียงถอนหายใจยาวๆ ทอดออกมาจากปลายจมูกโด่งสันอย่างสุดเซ็ง เพราะเขาอุตส่าห์ถ่อมาถึงบ้านอาทิตย์อัสดง แต่เจ้าตัวกลับหลับต่อหน้าเขาได้อย่างหน้าตาเฉย ถ้าตอบคำถามของเขาแล้วหลับ เขาจะเชิญให้หลับตามสบายด้วยความเต็มใจเลย เพราะตารางงานของเขาใช่ว่าจะว่างมากเสียเมื่อไร

ภันวัฒน์เหม่อตามองร่างที่หลับสนิทอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอีกครั้ง ตีสามแล้ว และความพยายามของเขาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าถ้าอีกฝ่ายตื่นจะยังจำรสชาติขนมของเขาได้หรือไม่ คิดดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจต่ออีกรอบ จากนั้นจึงฉุดตัวขึ้นจากเก้าอี้

“กลับบ้านก็เสียเวลา”

รำพันกับตนเองเบาๆ แล้วจึงกวาดตามองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้ เหลือบไปเห็นว่ามีบันไดเล็กๆ นำสู่ชั้นบนอยู่ไม่ไกล จึงสาวเท้าไปยังตำแหน่งนั้น ก้าวขึ้นไปบนความต่างระดับทีละขั้นๆ จนปรากฏประตูห้องสองบาน

ห้องด้านหน้าเขาคิดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของอาทิตย์อัสดง ส่วนอีกห้อง... เท้าใหญ่สืบเข้าหามัน หมุนลูกบิดประตูเบาๆ ก่อนจะปรากฏความว่างเปล่า ไม่ใช่ทั้งห้องเก็บของ ห้องพระ หรืออะไรอื่นๆ ที่อาจจะจินตนการตามได้ แต่เป็นห้องว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรสักอย่าง

เห็นดังนั้นก็ปิดประตูลงโดยไม่ต้องคิดให้มากความ ก่อนจะเดินไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงขนาดกลางกว้างห้าฟุต มีผ้านวมคลุมอยู่อย่างไม่เรียบร้อย ดูก็รู้ว่าเจ้าของเตียงเพิ่งลุกไปได้ไม่นาน ส่วนโต๊ะทำงานมีของวางกระจัดกระจายอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขนาดรก ตู้เสื้อผ้าเรียบๆ อยู่ริมผนัง

ภายในห้องตกแต่งด้วยสีขาวเสียเป็นส่วนใหญ่ ดูสะอาดสะอ้านตาเหมาะกับหน้าตี๋ๆ ผิวขาวของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เห็นบรรยากาศนี้แล้วก็ชวนให้รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยิ่งอุณหภูมิในห้องกำลังดี เพราะเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานอยู่

“ขอเป็นค่าชดเชยที่ทำให้มาเสียเที่ยวแล้วกัน”

ภันวัฒน์ตรงไปยังเตียงหลังนั้น ทิ้งร่างลงไปและดึงผ้านวมมาคลุมตัวเองไว้ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง

อ่า... สบาย




--------------------
อัพตอนใหม่แล้วค่ะ


ปล. คุณภันก็ยังคงทำตัวเป็นโจรต่อไปค่ะ :hao3:

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 2nd Entry : ปิดประตูตีแมว [23/12/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-12-2015 22:48:04
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมาก
เนื้อเนื้องเกี่ยวกับขนมหวานชอบเลย เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก

มาต่อไวๆ นะ อย่าหายนาน อิอิ
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 2nd Entry : ปิดประตูตีแมว [23/12/58]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-12-2015 09:13:16
พระเอกเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ
ควรเอาเวลาไปปรับปรุงขนมตัวเองถึงจะถูก
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 2nd Entry : ปิดประตูตีแมว [23/12/58]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 24-12-2015 10:26:27
นี่ผู้บริหารหรือโจรห้าร้อย55555
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 2nd Entry : ปิดประตูตีแมว [23/12/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 28-12-2015 17:18:45


พระเอกของป้า... อีกนิดนี่ก็มิจฉาชีพแล้วลูก
ตบกระเป๋าตังค์ ข่มขู่ ค้ากำไรเกินควร... พ่อเป็นทุกสิ่งครบครันในภัณเดียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เป็นกำลังใจให้ &  Happy New Year ล่วงหน้าค่ะ ^^  :L1:

หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่ [1/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 01-01-2016 19:54:56
3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่






เปลือกตาเปิดขึ้นก่อนจะรับรู้ได้ถึงสติที่กลับคืนมาอีกครั้ง แล้วก็นึกแปลกใจกับท่าทางของตนเองในเวลานี้ อาทิตย์อัสดงยกใบหน้าขึ้นจากโต๊ะพลางยืดแขนเหยียดยาวออกมาเพื่อผ่อนคลายความปวดเมื่อยที่ต้องนั่งฟุบหลับตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา พลางถามตัวเองว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

แต่ครั้นสายตาไปสบเข้ากับกล่องพลาสติกที่มีขนมอยู่ภายใน และชิ้นขนมนั้นแหว่งไปเนื่องจากการถูกตัก อีกทั้งมีช้อนกาแฟวางอยู่บนโต๊ะก็เริ่มประกอบความทรงจำขึ้นมาได้

“เพราะไอ้หมอนั่นเลย”

อดจะค่อนขอดคนที่มารบกวนเวลานอนไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นบิดร่างเพื่อยืดกล้ามเนื้ออีกครั้ง ขณะเดียวกันก็เหลือบตามองนาฬิกาติดผนังไปด้วยว่าเวลาเท่าไรแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าปลายเข็มสั้นชี้ที่เลขหกอยู่จึงเบาใจว่าไม่ได้ตื่นสาย

เขาเทขนมที่เหลือนั้นลงถังขยะ เพราะคิดว่ามันน่าจะเสียแล้วเนื่องจากถูกตักกินและวางทิ้งไว้นอกตู้เย็นหลายชั่วโมง จากนั้นล้างกล่อง ช้อนกาแฟ และแก้วน้ำนำมาผึ่งให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปสำรวจห้องรับแขกควบห้องนั่งเล่น และประตูบ้านก็พบว่าไม่ได้ล็อก

“หมอนั่นกลับไปแทนที่จะปลุกกันสักหน่อย เกิดมีโจรขึ้นบ้าน จะทำยังไงวะ ไม่ขนไปหมดบ้านเหรอ”

จากนั้นก็เดินกลับมาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ตรงไปยังห้องนอนของตนเอง มือเรียวเปิดประตูออกพร้อมกับเท้าที่ก้าวเข้าไปในพื้นที่ ทว่าเมื่อเข้าไปภายในแล้วกลับต้องผงะไปชั่วครู่เพราะเห็นอะไรกระดิกได้อยู่บนเตียง เล่นเอาหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ

ร่างโปร่งตั้งสติอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกใจคอไม่ดีชอบกล คิดว่าคงไม่ใช่ผี เพราะถ้ามีเขาคงเจอไปนานแล้ว แต่ก็หวังอีกด้วยเช่นกันว่าจะไม่ใช่โจร

ขายาวสืบก้าวเข้าไปอย่างระวัง แผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อไม่ให้เกิดเสียง และไม่ให้สิ่งมีชีวิตปริศนาใต้ผ้าห่มผืนนั้นรู้ตัว ย่องเข้าไป ย่องเข้า ก่อนจะไปหยุดหน้าเตียง และทันใดนั้น...

ลมหายใจถูกถอนออกมาจนเกือบหมดปอดภายในวินาทีเดียว

“กลับไปโดยไม่บอกยังพอว่า แต่ไอ้ที่มานอนบนเตียงชาวบ้านโดยที่ยังไม่ได้ขอเจ้าของนี่มัน...”

ความรู้สึกร้อนพวยพุ่งขึ้นมาบนหัว ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายดี

อาทิตย์อัสดงก้าวขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะจัดการสั่งสอนคนที่รุกรานอาณาเขตของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยการยันเท้าใส่ร่างใหญ่ๆ นั่นอย่างรุนแรง จนร่างสีเกือบแทนกระเด้งกระดอนหล่นตุบลงไปข้างเตียง จากนั้นก็รีบอำพรางร่างของตน แสร้งทำเป็นว่าอีกฝ่ายกลิ้งตกลงไปเองด้วยการไปนอนแบ็บแปะพื้นอยู่อีกฟากของเตียง

“โอ๊ย”

เสียงโอดครวญดังขึ้นมาตามหลังเสียงวัตถุขนาดใหญ่กระแทกพื้นดังตุบ ภันวัฒน์ฝืนเปิดเปลือกตามอง แล้วก็พบว่าตัวเองลงมานอนกองอยู่บนพื้น

เจ้าตัวยันกายขึ้นนั่ง หันมองไปรอบๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น งุนงงว่าตกเตียงมาได้อย่างไร พลางจับศีรษะไปด้วยเพราะเมื่อครู่มันกระแทกพื้นพอดี แต่สิ่งที่มองเห็นกลับมีเพียงห้องที่เงียบเชียบว่างเปล่า ไร้เงาคนอื่นใดนอกจากตัวเอง แล้วก็เพิ่งระลึกได้ว่าเมื่อคืนเขามานอนที่บ้านของอาทิตย์อัสดง

ฉับพลันนั้นราวกับมีเสียงเคาะเบาๆ จากระฆังแก้วเสียงใส หน่วยตาคมหรี่ลงเล็กน้อยราวกับกำลังวิเคราะห์อะไรบางอย่าง ก่อนจะชันร่างขึ้น

ภันวัฒน์ก้าวขึ้นเตียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินข้ามจากฟากหนึ่งของเตียงไปยังอีกฟาก แล้วมองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด ร่างคุ้นตานอนหน้าคว่ำอยู่ตรงนั้น เห็นแล้วไม่รู้ว่าจะขำที่อีกฝ่ายมาทำตัวเป็นจิ้งจกโดนเหยียบบี้อยู่อย่างนี้ หรือโมโหที่ถีบเขาลงจากเตียงดี ก่อนที่จะ...

“โอ๊ย”

เสียงเดียวกันกับเมื่อครู่ร้องลั่น แต่ต้นกำเนิดเสียงมาจากคนละคน เจ้าของเสียงหันขวับกลับมาด้านบนอย่างรวดเร็ว ร้องแร่แห่กระเชอ

“เอาเท้าคุณออกไปเลย”

“อ้าว คุณมานอนทำอะไรตรงนี้ ผมไม่ทันเห็น ขอโทษทีๆ”

ร่างสูงใหญ่ตีหน้าเหลอหลา แสร้งพูดด้วยความตกใจที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อได้เด็ดขาดว่ารู้สึกอย่างนั้น ก่อนจะยกเท้าที่เหยียบหลังอีกฝ่ายไว้ ขณะที่อาทิตย์อัสดงรีบยกตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างรวดเร็ว เผชิญหน้ากันในระดับสายตาที่ต่างออกไป

“ผมรู้ว่าคุณจงใจ ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อหรอก”

“คุณเองก็จงใจถีบผมลงจากเตียงไม่ใช่เหรอครับ”

“แล้วใครใช้ให้คุณไม่มีมารยาท มานอนบ้านคนอื่น เตียงคนอื่นหน้าตาเฉยแบบนี้ล่ะครับ”

ใบหน้าขาวขึงตึงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยดูเอาเรื่อง เพราะอีกฝ่ายก่อความวุ่นวายให้เขามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ภันวัฒน์ก็ใช่จะปล่อยให้ร่างโปร่งต่อว่าต่อขานกันฝ่ายเดียว

“โธ่คุณ ก็มันดึกแล้ว ผมก็เหนื่อยก็ง่วงเป็นเหมือนกันนะ คุณต่างหากที่ต้องพึงสำนึกด้วยว่าคุณทำให้ผมเดือดร้อน ทำให้ร้านของผมเสียชื่อ”

วกเข้าเรื่องเดิมอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ค่อยเข้าหูคนฟังนัก

“ผมไม่เห็นว่าร้านอื่นเขาจะเดือดร้อนกันตรงไหนเลย”

“ก็ช่างร้านอื่นสิ นี่ร้านผม”

เหมือนจะจนแต้มกลายๆ อาทิตย์อัสดงเริ่มไม่รู้จะตอบโต้อีกฝ่ายอย่างไรดี สุดท้ายก็บ่ายเบี่ยงประเด็น

“ผมว่าคุณกลับบ้านคุณไปได้แล้วล่ะ หมดธุระกับผมแล้ว”

“คุณยังไม่ได้ตอบเรื่องขนมของผมเลยนะ”

ถึงจะรู้ว่าโดนไล่ แต่ร่างสูงก็ยังลอยหน้าลอยตาอ้างเหตุผลที่ฟังขึ้นออกมา พานให้คนฟังต้องลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างอิดหนาระอาใจ

“คุณเอามาให้ผมชิมตอนตีสาม คุณคิดว่าผมยังมีสติครบถ้วนพอจะตอบคำถามคุณได้อยู่อีกเหรอครับ”

“ก็ได้ ถือว่าผมพลาดเอง แต่ว่าตอนนี้ผมยังง่วงอยู่ ผมขอนอนต่ออีกหน่อยแล้วกัน เพราะกว่าจะเข้าออฟฟิศก็คงสายๆ”

ไม่เพียงแค่ตอบออกมาเป็นคำพูด ภันวัฒน์ยังประกาศเจตนารมณ์ของตนเองโดยการทรุดตัวลงนอนบนเตียงพร้อมดึงผ้านวมมาคลุมจนถึงอกเสียอีก เป็นภาพที่อาทิตย์อัสดงไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเสียด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้น เขาอ้าปากค้างอยู่ชั่วครู่ พะงาบปากอยู่สองสามที ก่อนจะเค้นลมออกมาจากคอได้

“คุณจะไปทำงานกี่โมงก็เรื่องของคุณ แต่ผมต้องเข้าออฟฟิศตอนเช้า แล้วคุณจะมานอนต่อได้ยังไง”

“ทิ้งกุญแจไว้สิครับ”

รู้สึกเหมือนโดนของแข็งๆ ทุบที่ท้ายทอยอย่างไรอย่างนั้น ร่างโปร่งถึงกับพูดไม่ออก ต้องคลำหาเสียงของตนเองอยู่อีกสักพัก ก่อนจะย้อนประโยคกลับไปได้

“เราเป็นเพื่อนกันเหรอ”

“เปล่า”

ร่างที่นอนตอบหน้าตาเฉยพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เขาขยับตัวพลิกตะแคงข้างเพื่อหาตำแหน่งที่สบายตัวที่สุดโดยไม่สนใจสีหน้าเจ้าของเตียงสักนิดว่ากำลังตะลึงงันขนาดไหน

“แล้วคุณจะให้ผมทิ้งกุญแจไว้ให้คุณเนี่ยนะ คุณเห็นผมเป็นคนบ้าหรือไง”

“ทิ้งกุญแจสำรองไว้นั่นแหละ พอผมออกไปเดี๋ยวผมเอากุญแจคุณไปทำลายทิ้งเอง ไม่ต้องห่วง”

สิ้นเสียง ดวงตาที่เปิดอยู่ก็ปิดลงทันที ปิดการรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ร่างโปร่งมองค้างด้วยหัวสมองที่มึนตื้อ คิดอะไรไม่ออก

ไม่เคยเจอใครหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย ให้ตายสิ!






หลังจากรู้สึกเหมือนหัวสมองเออเรอร์ไปชั่วขณะเพราะโดนไวรัสที่เรียกว่าภันวัฒน์อินเฟกต์เข้ามา อาทิตย์อัสดงก็ถอดใจชั่วครู่เนื่องจากว่าเจ็ดโมงกว่าเข้าไปแล้ว ขืนเขายังต่อล้อต่อเถียงกับคนหน้าด้านต่อ คงจะต้องไปทำงานสายแน่ จึงตัดสินใจว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยลากร่างใหญ่นั้นลงจากเตียง ทว่า...

เมื่อสวมเสื้อผ้าในชุดทำงานแบบสบายๆ แค่เสื้อโปโลกับกางเกงยีนเรียบร้อยและกลับมายังเตียงนอนอีกครั้ง ก็ต้องรู้สึกหนักใจขึ้นมา เพราะร่างที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนนั้นดูจะสบายเกินกว่าเหตุ นอกจากนอนหลับหน้ายิ้มจนดูน่าหมั่นไส้แล้ว ยังส่งเสียงกรนอย่างสบายอารมณ์

“คุณ คุณ!”

“.....”

“ลุกขึ้นมาได้แล้ว ผมต้องออกไปทำงานแล้ว”

เรียกก็แล้ว ดึงแขนก็แล้ว แต่ไม่มีวี่แววว่าจะยอมตื่นเลย ไม่รู้ว่าจงใจกวนประสาทหรือว่าหลับลึกกันแน่ ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ลงความเห็นว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า หากทบทวนจากประสบการณ์ที่มีร่วมกับผู้ชายคนนี้

“หรือจะให้ผมกระทืบคุณก่อนดีครับ”

ไม่พูดเปล่า แต่ยังขึ้นเตียงมายืนเคียงร่างที่จมอยู่บนที่นอนเสียด้วย หน่วยตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบลงมองอีกฝ่ายที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก่อนจะยกขาขึ้นจนทำมุมฉาก

“ผมจะนับแล้วนะ”

“.....”

“หนึ่ง”

“.....”

“สอง”

“.....”

“สะ...เฮ้ย!!”

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เงียบมาตลอดแท้ๆ แต่พอนับสามพร้อมกับยกขาให้สูงขึ้นเตรียมกระทืบไปที่ท้องของร่างสูงให้สุดแรง มือที่สอดอยู่ใต้ผ้านวมอยู่ๆ ก็คว้าเข้าที่ขาของบล็อกเกอร์หนุ่มพร้อมกับกระชากจนร่างเหวี่ยงลงไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว

หน้าของสองคนประจันกัน

หน่วยตาคมเปิดขึ้นราวกับกำลังหรี่มอง

เสียงทุ้มเล็ดลอดออกมาจากปากที่ขยับเพียงนิดเดียว

“ถ้าคุณยังกวนผมนอนอยู่อีกละก็ ผมจะปล้ำคุณซะตรงนี้ โอเคไหมครับ”

ขนลุกซู่ขึ้นมาครามครัน ทั้งร่างของอาทิตย์อัสดงชะงักแข็งค้าง ไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายนักหรอก แต่แววตาที่จับจ้องมาราวกับกำลังจ้องตะครุบเหยื่อนั่นก็ทำให้รู้สึกใจสั่นแปลกๆ

นี่เรากำลังกลัวอยู่เหรอวะ?!

“คุณไม่กล้าทำหรอก”

เหมือนกับจะไม่ยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ จึงโพล่งตอบกลับไปเช่นนั้น ซึ่งแววตาที่ดูยังตื่นไม่เต็มตาดีก็วาวด้วยสีเข้มขึ้นราวกับมีประกายบางอย่างสาดแสงออกมา และพริบตาเดียวร่างที่นอนติดพื้นผ้าสีขาวก็ลุกขึ้นคร่อม ทาบเงาทับลงมา ไม่ปล่อยให้คนตกใจได้ร้อง ใบหน้าคมสันก็ฉกลงมาอย่างรวดเร็ว

ปุบ

คงต้องขอบคุณปฏิกิริยาตอบรับที่ฉับไวของตนเอง เพราะมือของอาทิตย์อัสดงตะปบปากของร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนได้อย่างฉิวเฉียดชนิดว่าเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนกลีบเนื้อนิ่มๆ สีเข้มนั้นจะประกบลงมาพอดิบพอดี

ทั้งที่เพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆ แต่บล็อกเกอร์หนุ่มกลับรู้สึกว่าหลังเปียกๆ ชอบกล และทั้งที่ในห้องก็เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกร้อนแปลกๆ อีกทั้งยังรู้สึกแฉะๆ ที่หน้า เหมือนเหงื่อกำลังแตกซ่กอย่างไรอย่างนั้น

หัวใจเต้นตุบๆ อยู่ในอกราวกับอยากจะทะลุออกมาเต้นแซมบ้าข้างนอก จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้งพร้อมกับออกแรงดันปากที่ตนใช้มือปิดเอาไว้ให้ห่างออกไป แต่ก็เหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะคนที่มีกำลังมากกว่าพยายามจะต้านกลับมา

“โอเค เข้าใจแล้วๆ”

สุดท้ายหนทางที่เลือกได้ในช่วงคับขันแบบนี้ก็มีเพียงประโยคเดียว ร่างโปร่งร้องเสียงดังเร็วรัว และดูมันจะรื่นหูคนฟังไม่น้อย ร่างที่พยายามเทน้ำหนักลงมาถึงได้ล่าถอยไป พลิกกายลงยังที่นอนอีกครั้งแล้วกลับไปยังดินแดนแห่งความฝันราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นสักอย่าง ขณะที่อีกฝ่ายยันตัวขึ้นนั่ง เอามือกุมหน้าอกข้างซ้ายหายใจหอบ พลางสบถพึมพำอยู่ในลำคอ และเหลือบตาไปมองร่างกำยำที่นอนอยู่ข้างๆ

“แม่ง หัวใจเกือบวายแล้วไง”

อาทิตย์อัสดงสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกหนึ่งครั้งก่อนจะผ่อนออกมายาวๆ ทางปาก ปรับสภาพร่างกายให้เป็นปกติ แล้วลุกขึ้นจากเตียงมา แต่ก็ไม่วายหันไปมองคนบุกรุกไร้มารยาทที่นอนอืดอยู่อีกรอบเป็นครั้งสุดท้าย จึงค่อยจากมา

ประตูห้องนอนถูกปิด ขาเรียวยาวก้าวลงบันไดช้าๆ ในสมองขบคิดค้นหาทางออกสักอย่าง กระทั่งลงมาถึงชั้นล่าง หยิบกระเป๋าเงิน กุญแจรถ กุญแจบ้านออกมาจากตู้ของชั้นวางโทรทัศน์ และผุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันก็...

ดูชั่วร้ายไม่เบา





สมองมึนเบลออยู่ชั่วครู่ แต่หลังจากลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจยาวๆ สักที ระบบความคิดก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ภันวัฒน์มองรอบห้องสีขาวประหนึ่งจะสำรวจอีกสักรอบ และมันก็ต่างจากความทรงจำสุดท้าย เงียบสงบ ว่างเปล่า ไร้เงาคน ก่อนจะประมวลผลได้ว่าเจ้าของบ้านที่โต้เถียงกับเขาอยู่เมื่อครู่ คงจะออกไปทำงานแล้ว

หน่วยตาคมจับจ้องนาฬิกาบนผนัง เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งสิบโมงแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะเคลื่อนย้ายร่างของตนเองเสียที คิดได้ดังนั้นก็ตรงไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องนอน ล้างหน้า และบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่อยู่บนชั้นในห้องน้ำอย่างถือวิสาสะ จากนั้นจึงตรงออกมาจากห้อง ย่างกรายเข้าสู่พื้นที่ชั้นล่าง

ทว่า...เมื่อเดินไปถึงประตูบ้านแล้วกลับต้องตาเหลือก

“เฮ้ย ทำไมเปิดไม่ได้วะ”

มือหนาพยายามพยักประตูไม้ออก แต่ไม่มีวี่แววว่ามันจะขยับแม้แต่น้อย เมื่อลองมองบนมองล่างเพื่อสำรวจดูว่าลงกลอนอยู่หรือไม่ ก็เห็นกระจ่างแจ้งเต็มสองตาว่าไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมถึงเปิดไม่ได้ ตาคมกลิ้งกลอกอยู่ในกระบอกตาเพื่อหาคำตอบ และทันใดนั้นก็เหมือนจะได้คำตอบสะท้อนกลับเข้ามาก้องในหัว

“อย่าบอกว่าหมอนั่น...!”

ลองเขย่าประตูดูอีกครั้ง แต่ก็เหมือนว่ามันจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ เหมือนว่าจะติดล็อกบางอย่างจากด้านนอก เสียงคำรามจึงดังในคอแกร่งอย่างไม่สบอารมณ์ ข้อมือใหญ่ถูกยกขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเวลาดูอีกที แต่ก็ต้องเกือบสะดุ้งเพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นมาเสียก่อน

ชื่อที่เป็นสายเรียกเข้าทำให้ภันวัฒน์รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาชอบกล เขากดรับสายพลางกระแอม ราวกับจะเคลียร์ลำคอให้โล่งๆ เข้าไว้ก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับคุณนน”

[นนนี่ค่ะ คุณภันทราบไหมคะว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว]

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาโหดใช้ได้ จนชายหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับยิ้มเจื่อนไปด้วย ตามด้วยโต้ตอบกลับไปด้วยเสียงเบากว่าปกติเล็กน้อย พลางยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง

“ก็...สิบโมง...สิบ...สามนาทีไงครับ”

[คุณภันลืมหรือไงคะว่าวันนี้คุณต้องเข้าประชุมตอนสิบเอ็ดโมง]

“หูย เรื่องสำคัญแบบนั้นผมไม่ลืมหรอกครับ”

[แล้วทำไมคุณเจ้านายของนนนี่ยังไม่โผล่หัวมาสักทีล่ะคะ]

ผู้หญิงที่กล้าพูดกับเขาแบบนี้ได้คงมีแค่นนทิยาคนเดียวเท่านั้นแหละ เพราะนอกจากเธอจะอายุมากกว่าเขาสี่ปี เธอยังทำงานในตำแหน่งเลขานุการให้ผู้จัดการคนก่อนก่อนเขาจะเข้ามารับช่วงต่อและยังอ่อนประสบการณ์ เรียกได้ว่าเพราะได้เธอช่วยไว้หลายๆ ครั้ง เขาถึงเอาตัวรอดมาได้อยู่เสมอก็ว่าได้

“กำลังจะไปนั่นแหละครับ พอดีมีแอคซิเดนท์นิดหน่อย แต่รับรองว่าไปถึงก่อนเวลาแน่นอน”

[ขอให้มันจริงแล้วกันนะคะ ไม่อย่างนั้นละก็...คงไม่ต้องบอกนะคะว่านนนี่จะตอบคุณไพฑูรย์ว่ายังไง]

คำขู่ของหญิงสาวทำให้เขาต้องลอบกลืนน้ำหลายอีกครั้ง เพราะคนที่เธอกล่าวอ้างถึงก็คือลุงของเขาซึ่งเป็นประธานบอร์ดบริหารนั่นเอง

เขาถูกลุงชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังไม่สิบขวบ เพราะพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต มีเขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ ท่านส่งเสียเขาให้ร่ำเรียนจนจบปริญญาโทที่ต่างประเทศ อีกทั้งยังออกทุนเปิดร้านตามความฝันให้เขาด้วย โดยแลกกับการที่เขาต้องมารับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงของโรงแรมแห่งนี้

“ครับ จะรีบไปให้เร็วที่สุดเลยครับ”

เมื่อได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจแล้ว นนทิยาก็ตัดสายโทรศัพท์ไป ภันวัฒน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ไม่มีเวลาให้เขาต้องมาพร่ำรำพันหรือโอดครวญใดๆ แล้ว ร่างสูงหันซ้ายแลขวาเพื่อหาทางออก ก่อนจะวิ่งกลับไปที่ด้านหลังบ้าน ด้วยหวังว่าบ้านหลังนี้จะมีประตูหลังให้ออกไปได้ แต่ว่ามันก็เปล่าประโยชน์ ในห้องครัวถูกปิดกำแพงทึบทั้งหมด จนอดบ่นไม่ได้

“สร้างบ้านยังไงเนี่ย ไม่มีประตูหลังอย่างนี้ เกิดไฟไหม้ขึ้นมาได้ตายกันยกครัวหรอก”

แม้จะกระปอดกระแปดไปเช่นนั้น แต่ขายาวๆ ก็ยังสาวไปทางนั้นทีทางนี้ที ออกไปยังส่วนหน้าซึ่งเป็นห้องรับแขกกึ่งห้องนั่งเล่น มองไปยังหน้าต่างแล้วก็พุ่งตรงเข้าไปหามัน

มุ้งลวดถูกปิดไว้อย่างเรียบร้อย มีฝุ่นเกาะเพียงเล็กน้อย แสดงถึงความเอาใจใส่พอสมควร อีกฟากของมุ้งลวดนั้นมีเหล็กดัดสีขาวถูกติดเอาไว้อย่างแน่หนา พอสืบเท้าไปอีกด้านของห้องก็พบกับสิ่งเดียวกัน

“เฮ้ย ติดเหล็กดัดไว้แบบนี้แล้วจะออกไปยังไงวะ”

เมื่อไม่เห็นทางออกความกระวนกระวายก็ยิ่งลุกลามในใจพร้อมกับเวลาที่เดินผ่านไปมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนรนรุกคืบแผดเผา เพราะถ้าเขาไปเข้าประชุมไม่ทัน นอกจากโดนลุงตำหนิแล้ว ยังมีพวกกรรมการกับผู้จัดการฝ่ายอื่นๆ อีก คิดแล้วก็อยากจะทึ้งหัวขึ้นมา

“คิดสิๆๆๆๆ คิดสิโว้ย”

นอกจากจะเกิดความรู้สึกเหมือนเริ่มจะเป็นบ้า ก็อดเข่นเขี้ยวถึงตัวการไม่ได้

“เล่นกันเจ็บแสบนักนะ คุณอาทิตย์อัสดง!”

เดินเป็นหนูติดจั่นได้สักพัก ก็ยกนาฬิกาข้อมือมาดูอีกรอบ ตอนนี้เวลาสิบโมงยี่สิบสี่นาทีแล้ว เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงนิดๆ ให้เขาบึ่งรถไป ถ้าไม่รีบออกไปตอนนี้ต้องไม่ทันแน่

“ช่วยไม่ได้นะ คุณบังคับให้ผมทำเอง”





เสียงก๊อกแก๊กดังตามจังหวะนิ้วมือ ขณะที่หน่วยตาจดจ้องที่จอสี่เหลี่ยมอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่วันนี้มีบางอย่างแปลกไป กระทั่งหญิงสาวที่นั่งอยู่โต๊ะเคียงข้างกันยังอดที่จะเอ่ยทักไม่ได้ พลางคิดไปว่าช่วงนี้เพื่อนของเธออาจจะสติไม่ดีไปแล้ว

“เป็นอะไรของมึงวะ อยู่ดีๆ ก็นั่งยิ้ม บ้าปะเนี่ย”

“กูนั่งยิ้มเหรอ”

“เออ หรือว่าแพ็คเกจที่ทำอยู่นี่มีอะไร”

หนึ่งฤทัยเอื้อมตัวมามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของอาทิตย์อัสดงเผื่อว่าจะพบคำตอบ แต่ก็เห็นเพียงอาร์ตเวิร์กของซองพลาสติกรูปมะเขือเทศเท่านั้น

“ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรแล้วนั่งยิ้มทำไมวะ”

“กูนึกอะไรได้แล้วก็ขำขึ้นมาเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”

ชายหนุ่มตอบพลางนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมาทันที อดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้ฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว อาจจะติดแหง็กอยู่ในบ้านเพราะโดนเขาขังเอาไว้ คิดแล้วก็ขำขึ้นมาอีกทั้งที่ตนเองก็ไม่ใช่พวกเส้นตื้นกับตลกมุกง่ายๆ

“ประหลาดเว้ย พักนี่สงสัยจะอากาศร้อนไปเนอะ อาทิตย์ก่อนนั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์ มาอาทิตย์นี้นั่งขำ เพื่อนกูบ้าไปแล้ว”

“มึงทำเป็นไม่เห็นก็จบๆ เรื่องไปแล้ว”

“เจ้าค่ะ”

เธอตอบกลับด้วยอารมณ์ไม่ใส่ใจก็ได้พร้อมส่งเสียง ‘ชิ’ ปิดท้ายอีกหนึ่งที แล้วไถลเก้าอี้กลับไปยังตำแหน่งที่เหมาะกับการทำงานของเธอต่อ แต่สักพักก็หันมาหาชายหนุ่มข้างๆ อีก

“บ่ายสามกว่าละ ไปหาอะไรกินเล่นหน่อยไหม เดี๋ยวกูต้องไปเอาปรู๊ฟที่ชั้นล่างด้วย โรงพิมพ์โทรมาเมื่อกี้ว่าเอามาส่งแล้ว”

เนื่องจากบริษัทที่ทำงานอยู่เป็นบริษัทออกแบบบรรจุภัณฑ์ซึ่งจะรับงานมาตามออร์เดอร์ลูกค้า ดังนั้นการทำงานจึงค่อนข้างอิสระ กฎระเบียบไม่ค่อยเคร่งครัดนัก เพราะต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ถึงจะสามารถออกแบบได้ ถึงกระนั้นก็มีกฎเหล็กคือต้องทำงานส่งตรงตามกำหนดของลูกค้า บางครั้งจึงทำงานกันแบบสบายๆ แต่บางคราวก็คร่ำเคร่งคล้ายกับติดอยู่ในคุกก็ไม่ปาน ทั้งอึดอัดทั้งเครียด โดยเฉพาะช่วงที่บรีฟงานใหม่ๆ และตอนลูกค้าไม่พอใจแบบที่ทำไปเสนอ

“ก็ได้ แต่วันนี้กูว่าจะกลับเร็วหน่อยนะ”

หนึ่งฤทัยเหลือบตามองเพื่อนนิดหน่อยอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วอาทิตย์อัสดงจะไม่ค่อยสนใจเรื่องเวลานัก ส่วนมากเขาจะอยู่รอจนเธอกลับแล้วแวะกินอาหารเย็นด้วยกันเสียมากกว่า เพราะเธอและเขาต่างก็ไม่มีคนรักที่คบหากันอยู่ในช่วงเวลานี้ จะให้กินข้าวคนเดียวก็โหวงๆ เหวงๆ จึงตัดสินใจกินข้าวด้วยกันเกือบทุกวัน

สองหนุ่มสาวเดินลงบันไดไปชั้นล่าง พวกเขาทำงานที่ชั้นสามจึงไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟต์ แต่เอาเข้าจริงบริษัทที่พวกเขาทำงานก็ไม่มีลิฟต์หรอก เพราะเป็นอาคารห้าชั้นมันจึงไม่จำเป็น ทว่าลงบันไดไปถึงชั้นหนึ่ง ก็ต้องชะงักเท้าทั้งคู่ และคำทักทายบุคคลที่สามก็ดังจากหญิงสาวเป็นคนแรก

“ก็ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงร้อนขึ้น ที่แท้อยู่ๆ พระอาทิตย์สองดวงมาเจอกันนี่เอง”

ใบหน้าสวยแต้มยิ้มเล็กน้อยให้อีกฝ่ายที่ได้พบหน้า ก่อนเสียงจากฝ่ายนั้นจะดังขึ้น มือใหญ่ดันศีรษะของหนึ่งฤทัยเบาๆ

“มุกนี้ไม่ค่อยผ่านนะขวัญ ไปคิดมุกใหญ่ไป๊”

“โหย พี่เต็มอะ ผลักหัวน้องได้ลงคอ หมดสวยกันพอดี”

เต็ม หรือตะวัน พระอาทิตย์อีกดวงหนึ่งที่โคจรมาพบกับอาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะเบาๆ ที่โดนประท้วง ถึงจะเห็นด้วยในคำว่า ‘สวย’ ของหญิงสาว แต่จะให้ยอมรับตรงๆ ก็เป็นเรื่องยาก เพราะในความคิดของเขา เธอออกจะห้าวหาญเหมือนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘สวยเสียของ’

“ว่าแต่หนุ่มเซลล์มาเดินดักกันแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”

เพราะพอลงจากบันไดมา แทนที่จะได้เดินตรงออกไปหาร้านขนมหรือผลไม้ใกล้ๆ นี้มา กลับโดนรุ่นพี่อีกแผนกมาขวางทางเสียก่อน เธอจึงอดถามไม่ได้

“ก็จะคุยกับเรานั่นแหละ พอดีเพื่อนลูกค้าที่พี่ติดต่อด้วยเขากำลังหาคนออกแบบโบรชัวร์สวนสนุกสำหรับเด็กน่ะ เลยฝากมาถามว่ามีใครที่พี่พอจะแนะนำได้ไหม เราชอบรับงานนอกไม่ใช่เหรอ พี่เลยลองมาถามดู”

คนที่ถูกถามคือหนึ่งฤทัย เพราะเธอรับงานนอกเป็นปกติอยู่แล้ว ผิดกับอาทิตย์อัสดงที่ไม่สนใจรับงานนอก เพราะต้องเผื่อเวลาสำหรับวันหยุดไว้ให้งานอดิเรกที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ

“ก็น่าสนใจดีนะพี่เต็ม ว่าแต่สวนสนุกสำหรับเด็กนี่ยังไงอะ”

“จริงๆ จะเรียกว่าสวนสนุกก็ไม่ค่อยถูกเท่าไรนะ เห็นเขาบอกว่าเป็นแนวซิทูเอชั่นนะ จำลองบทบาทอาชีพ คล้ายๆ คิดส์ซาเนียนั่นแหละ เขาจะเอาไปโปรโมทตามโรงเรียน”

หลังจากได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเธอก็เป็นประกายทันที

“อ๋อ งั้นก็น่าลองดูนะพี่ ดูน่าสนุกดีด้วย ว่าแต่ให้ขวัญติดต่อเองได้เลยหรือว่าต้องติดต่อผ่านพี่ล่ะ”

“ขวัญติดต่อเองเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไลน์รายละเอียดให้”

“ฮิฮิ ขอบคุณค่า”

“ได้เงินแล้วเลี้ยงด้วยนะ”

กล่าวขอบคุณไม่ทันไรก็โดนทวงบุญคุณเสียแล้ว ใบหน้าของหญิงสาวที่ระบายยิ้มอยู่หุบฉับในทันใด พลางโต้กลับไป ‘ที่แท้หางานให้เพราะหวังกินฟรีนี่เอง’ เรียกเสียงหัวเราะจากสองหนุ่มได้ทันที

จากนั้นรุ่นพี่รุ่นน้องต่างแผนกก็ล่ำลากัน ก่อนสองเพื่อนซี้จะไปหาซื้ออาหารว่างและขนมมารับประทานกันตามจุดประสงค์แต่แรกเริ่ม แล้วจึงค่อยกลับมาทำงานอีกครั้ง

ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น อาทิตย์อัสดงก็ขอลากลับก่อน เขาแวะซื้อข้าวเย็นของตนเอง เพราะอาศัยอยู่ลำพังจึงไม่ชอบทำอาหารเท่าไรนัก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นวันหยุด เพราะรู้สึกขี้เกียจและเสียเวลา อีกทั้งยังต้องกินคนเดียว สู้ซื้อมากินเองยังง่ายเสียกว่า

ต่อให้อาหารอร่อยแค่ไหน แต่ถ้ากินคนเดียวก็รสชาติเปลี่ยนเป็นไม่อร่อยได้

ร่างโปร่งกลับมาบ้านก็นึกแปลกใจ เพราะรถที่จอดอยู่หน้าบ้านอันตรธานหายไปแล้ว เมื่อเช้านี้รถคันสีเทาดำยังจอดขวางประตูหน้าบ้านจนเขาไม่สามารถเอารถของตนเองออกจากบ้านได้ แล้วต้องอาศัยรถโดยสารเพื่อไปทำงานเลย

เห็นดังนั้นก็รีบไขกุญแจบ้าน เปิดประตูเข้าไปอย่างเร็วพลัน และเมื่อเข้าไปภายในบ้านแล้วก็ยิ่งประหลาดใจ เพราะภายในบ้านเงียบสงัด ไม่มีแสงไฟเปิดสักดวง ครั้นขึ้นไปชั้นบนที่น่าจะมีห้องใครบางคนนอนอยู่เช่นเดียวกับเมื่อเช้า ก็พบความว่างเปล่า มีเพียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอยู่ ไร้ร่างใครคนนั้น

ออกไปได้อย่างไร ออกไปตอนไหน

คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัว ก่อนอาทิตย์อัสดงจะวิ่งลงไปข้างล่างอีกครั้ง ตอนเข้ามาเขาจำได้ว่าต้องไขกุญแจที่ล็อกไว้เมื่อเช้าเพื่อเข้ามาด้านใน ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะหนีพ้นจากบ้านปิดตายนี้ได้

แล้วทำไม

คำถามเกิดขึ้นอีกครั้งในใจ บล็อกเกอร์หนุ่มวิ่งวนไปนอกบ้านยังสนามหญ้าขนาดย่อมเพียงแค่พอให้ใช้ผ่อนคลายอารมณ์ได้ซึ่งอยู่ขนาบกับตัวบ้าน แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลง เพราะหลักฐานที่ทำให้อีกฝ่ายหนีไปได้นั้นวางอยู่คาตา

เสียงร้องหลุดออกมาจากลำคออย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ไอ้บ้านั่น!!”




------------------------
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ใครที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนก็มาอ่านกันนะคะ

คุณภันเพิ่มเลเวลการเป็นโจรให้สูงขึ้นอีก


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่ [1/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Makamza00 ที่ 01-01-2016 21:17:18
ไม่รู้ว่าควรจะเม้นว่ายังไงดีเลยค่ะ - -
ควรจะบอกว่า ให้ลงไปนอนด้วยกับเลยหรือว่า หน้าด้านดีคะ ???
อารมณ์ของนายเอกเราคงจะประมาณนี้  :z6:
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่ [1/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 01-01-2016 22:00:25
หนังหน้าภันทนทานมากอ่ะ555555
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่ [1/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 02-01-2016 00:35:04
 o13 o13 o13 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「 บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 3rd Entry : ได้ทีขี่แพะไล่ [1/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 05-01-2016 18:20:45


อ่านไปอ่านมาก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้สนุกมาก ๆ เลย
คือ คิดไม่ออกเหมือนกันว่าคนสองคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยจะกลับมาเจอกันจนผูกพันกัน หรือก่อร่างสร้างรักกันยังไง
แต่สุดท้าย... ก็ได้คำตอบจากการกัดไม่ปล่อยของตาภัณนี่เอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ตาภัณนี่สุดยอดเลยแฮะ ที่ป้าเชียร์หนูเพราะความหน้ามึนของหนูโดยเฉพาะเลยนะลูก ฮ่า ฮ่า ฮ่า
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการนะคะ ^^  :กอด1:


หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 10-01-2016 07:10:07
ตอนนี้สอนให้รู้ว่าอย่าขังคนบ้าในบ้านตัวเอง 5555
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-01-2016 19:08:05
สนุกมากครับ เรื่องเกี่ยวกับขนมหวานกับโจร 555
พล๊อตเรื่องให้ความรู้สึกร่วมสมัยดีจัง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 10-01-2016 22:29:33
ทันกันซินะ แต่พ่อขนมหวานของเราร้ายกว่า
น้องอาทิตย์ก็อย่ากวนพี่แกกลับแรงซิคะ
พี่เขาลูกบ้าเยอะเอาคืนแรงกว่าเดิมตลอดนะ 555
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 12-01-2016 09:35:03


อืม... คุณภัณว่าร้ายเข้าขั้นมิจฉาชีพแล้ว
พ่ออาทิตย์อัสดงของป้านี่ร้ายกว่า เพราะผิดคดีอาญาข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว
แต่ก็สมกันนะคะ เกลือจิ้มเกลือ... หรือจะเรียกทั้งสองหนุ่มนี่ว่า 'คู่รักนักแซงค์' ดีไหมเอ่ย? ฮ่า ฮ่า ฮ่า

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :L2:

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 12-01-2016 23:06:30
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ  :katai2-1: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-01-2016 00:42:17
ขนมก็หวานอร่อยกลมกล่อม

แต่สองคนนี้เผ็ดร้อนเป็นต้มยำหม้อไฟเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : ขี้แพ้ชวนตี [10/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 13-01-2016 01:50:58
มองว่าพระเอกเรื่องนี้ทำเกินกว่าเหตุ แสบนะคนนี้
ถ้าเป็นโจรขโมยแบบในเรื่องโดนแจ้งความไปแล้ว
รอดเพราะอีกฝ่ายคือนายเอกหนุ่มบลัอกเก้อ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : จุดไต้ตำตอ [23/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 23-01-2016 01:26:51
4th Entry : จุดไต้ตำตอ




เสียงรถราที่วิ่งผ่านไปมาขณะรับประทานอาหารกลางวันคล้ายกับเป็นบทเพลงบรรเลงไปแล้วด้วยความเคยชิน อาทิตย์อัสดงนั่งเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวโดยมีรุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นมารวมมื้อกลางวัน ณ ร้านเดียวกันด้วย

ร่างโปร่งตักข้าวเข้าปากแล้วก็พลันนึกขึ้นได้ถึงเรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยปากถาม

“เรื่องงานนอกที่พี่เต็มหามาให้นี่เป็นไงมั่งวะ”

ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่เขาไม่เห็นเพื่อนพูดถึง หรือบ่นหึ่งให้ได้ยินจึงนึกแปลกใจ เพราะปกติแล้วหนึ่งฤทัยมักจะบ่นถึงความเรื่องมากของลูกค้าให้ฟังในบางครั้งเวลาที่ไม่พอใจ

“หรือว่าคราวนี้ราบรื่นดี?”

“จะว่าราบรื่นก็คงได้มั้งนะ ยังไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรมากมาย คือกูยังมองไม่ค่อยเห็นภาพว่ะ แล้วพวกเวิร์ดดิ้งที่จะใช้อะไรงี้อีก”

“คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง?”

“รายละเอียดมันเยอะไง ปกติกูรับแต่งานออกแบบชิ้นเล็กๆ แต่คราวนี้เป็นโบรชัวร์รายละเอียดมันเลยเยอะหน่อย กูเลยยังจับทางไม่ค่อยได้ ตัวนายจ้างก็คุยดีนะ ดูอัธยาศัยดีเป็นกันเอง นี่กูเลยว่าจะขอนัดคุยแบบเจอหน้า เผื่อจะสะดวกขึ้น แต่จริงๆ ก็นัดไว้แล้วแหละ คืนนี้”

“อ๋อ จะว่าไปก็ดีเหมือนกัน” หนุ่มหน้าตี๋พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย พลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูดน้ำจากหลอด ก่อนจะนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง “ว่าแต่นายจ้างคราวนี้เป็นผู้หญิงใช่ไหมวะ”

“ผู้ชาย”

คำตอบที่ได้รับมาแทบจะทำให้อาทิตย์อัสดงพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มไปออกจากปาก เขาต้องหุบปากฉับพลันเพื่อไม่ให้มันซ่านกระเซ็นออกไปแล้วกลืนลงคออย่างยากลำบาก ราวกับมันกลายเป็นของแข็งแทนของเหลวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ทำแหล่งความรู้ควบบันเทิงของเด็กๆ กูก็นึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก แล้วก็อะไรนะ มึงนัดไปคุยงานกันคืนนี้”

“อืม ทำไมอะ”

หนึ่งฤทัยยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำบ้าง สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ผิดกับเพื่อนชายที่เบิกตากว้างกว่าเดิม

“มึงจะบ้าเหรอ นัดกับผู้ชายค่ำๆ มืดๆ”

“อ้าว ทำไมอะ ก็กูนัดคุยงาน”

“นัดคุยงานก็อันตรายเว้ย ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง เพิ่งคุยงานกันแค่สองสามครั้งด้วยไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมต้องนัดตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็นัดได้ อย่างเสาร์อาทิตย์เงี้ย ไม่ใช่งานด่วนไม่ใช่หรือไง”

“มึงนี่คิดมากเป็นตาแก่หัวโบราณไปได้ ก็เขาว่างตอนนั้น กูก็เลิกงานก่อนหน้านั้นไม่เท่าไร อีกอย่างกูเป็นคนขอนัดเขาเอง ไม่ใช่เขาเป็นฝ่ายขอนัดสักหน่อย”

หญิงสาวส่ายหน้าให้กับความคิดของเพื่อนสนิทที่ดูจะเป็นห่วงเธอขึ้นมาเสียดื้อๆ พลางทำหน้าเอื้อมระอา ทว่าอาทิตย์อัสดงกลับทำสีหน้ากังวล ต่างกันโดยสิ้นเชิง

“เอาเป็นว่า วันนี้กูไปด้วย ให้กูไปดูก่อนว่าเขาไว้ใจได้ไหม ถึงกูจะเห็นหน้ามึงจนเบื่อแล้ว แล้วกูก็ต้องฝืนใจพูดอยู่หน่อยๆ แต่มึงไม่ใช่คนขี้เหร่”

“จะบอกว่ากูสวยก็พูดมาเถอะ อย่าทำกระดากปากเลย”

หนึ่งฤทัยยิ้มแป้นราวกับถูกชมไปแล้ว ขณะที่อาทิตย์อัสดงได้แต่ทำหน้าหน่าย ส่ายศีรษะและบอกเพียงสั้นๆ

“เอาเป็นว่ากูไปด้วย จบ”

เมื่อตัดสินใจเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจึงมายังสถานที่นัดหมายพร้อมกับหนึ่งฤทัย เธอโทรหาลูกค้าหลังจากมาหยุดหน้าร้านกาแฟ ซึ่งอีกฝ่ายก็บอกไว้ว่าให้เข้ามาได้เลย เพราะมารออยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งบอกตำแหน่งที่ตนเองนั่งอยู่ด้วย ทั้งคู่จึงเข้าไปตามคำบอก ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะหนึ่ง

ชายหนุ่มหน้าตาดีและบุคลิกดูดีสมกับเป็นเจ้าของกิจการดังที่ว่ามองอาทิตย์อัสดงด้วยความฉงนเล็กน้อย นึกประหลาดใจที่มีคนอื่นมาด้วย ซึ่งร่างโปร่งก็พออ่านสายตานั้นออก และก็รู้สึกว่ามันคงแปลกที่มีบุคคลไม่เกี่ยวข้องติดสอยห้อยตามมา จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

“พวกคุณนัดดึกไปหน่อยน่ะครับ ผมก็เลยมาเป็นเพื่อน ให้ผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียวมันอันตราย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมไม่เข้าไปก้าวก่ายงานหรอก จะนั่งรอที่โต๊ะข้างๆ นี่ล่ะครับ เชิญตามสบาย”

ว่าแล้วก็โค้งศีรษะให้เล็กน้อย เพราะดูอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะอายุมากกว่าตนเองอย่างน้อยสองปี ซึ่งทางนั้นก็ผงกศีรษะตอบรับด้วยเช่นกัน ก่อนอาทิตย์อัสดงจะย้ายร่างไปยังตำแหน่งที่อ้างถึงเมื่อครู่แล้วหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เบาะนุ่ม พลางเหลือบมองการคุยงานของเพื่อนเป็นระยะ




สองมือใหญ่บีบนวดเฟ้นก้อนสีขาวครีมอย่างเป็นจังหวะ ควักแล้วตลบให้เข้ารูปก่อนจะกดขยำมันซ้ำไม่ผ่อนแรง หน่วยตาดำขลับจับจ้องราวกับกำลังหลงใหลก้อนนวลเนียนนั้นจนหลงลืมเวลา จดจ่อสมาธิอยู่แต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด กระทั่งเสียงโทรศัพท์ซึ่งวางไว้ข้างๆ ดังนั้นจึงยอมเงยศีรษะขึ้น

ภันวัฒน์เหลือบมองหน้าจอเครื่องสื่อสารอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นชื่อที่แสดงขึ้นมาก็ยื่นมือไปปัดเบาๆ เหนือโทรศัพท์หนึ่งครั้งเพื่อรับสาย

“มีอะไร”

ไม่ต้องขยับตัวเข้าไปใกล้หรือยื่นปากเข้าหา ไมค์และลำโพงของเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมก็ทำงานของมัน

[ว่างปะเนี่ย ออกมาหน่อยดิ]

“กูไม่ว่าง ทำขนมอยู่ นี่กูต้องทำตารางให้มึงดูไหมว่ากูทำขนมวันไหนบ้าง”

[อ้าวเหรอ อยู่ร้านอะดิ ถ้าทำตารางให้จะเป็นพระคุณ ถุย]

“มีอะไรจะคุยก็มาที่ร้านแล้วกัน เดี๋ยวเปิดประตูให้”

คล้ายกับการตัดจบประโยคสนทนาเมื่อมือหนากลับไปขยี้ขยำก้อนสีขาวอีกครั้ง ตอนนี้เขากำลังนวดแป้งขนมปังสำหรับใช้ทำโทสต์

ไวท์เบรดเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องทำเป็นประจำทุกวันเพื่อความสดใหม่ ส่วนขนมอื่นๆ จำพวกเค้ก เขาทำวันเว้นวัน และจัดแบ่งจำนวนให้เพียงพอขายต่อหนึ่งวัน หากจำนวนที่จัดแบ่งขายไม่หมดในหนึ่งวัน จะไม่มีการเอามาขายทบซ้ำ ส่วนแพนเค้กและวาฟเฟิล จุ๊บแจงและเป็นหนึ่งสามารถผสมแป้งเองได้

หลังจากนั้นไม่นาน ปลายสายที่ติดต่อมาเมื่อครู่ก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ภันวัฒน์เหลือบตามองไปยังฝั่งตรงข้ามครัวขนมบนชั้นสามของร้านซึ่งแบ่งเป็นห้องทำงานขนาดเล็ก สังเกตบนมอนิเตอร์ที่เปิดภาพกล้องวงจรปิดตัวที่อยู่หน้าร้าน เมื่อคาดเดาได้ว่าเป็นเพื่อนของตนเองจึงรับโทรศัพท์อีกครั้ง

“แป๊บ”

เขาบอกไปแค่นั้นและนวดโดต่อไปอีกสักพักให้เนื้อเนียนเข้าที่ ก่อนจะใส่พิมพ์แล้วทิ้งให้มันขึ้นฟูตามกำหนดเวลา จากนั้นจึงค่อยลงไปชั้นล่างเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือนยามวิกาล ซึ่งอีกฝ่ายที่คอยอยู่ข้างนอกมาร่วมครึ่งชั่วโมงก็ทำหน้าหงิก

“ทีหลังบอกกูก่อนก็ได้ว่ากูต้องรอกี่นาทีมึงถึงจะพร้อมมาเปิดประตูให้ กูจะได้ไม่ต้องมายืนตากยุง”

“มึงก็รู้ว่าเวลาทำขนม กูไม่ค่อยสนใจอะไรอย่างอื่น”

“เออ ครับๆ ขนมสำคัญที่สุดสำหรับมึงนั่นแหละ”

พอก้าวเข้ามาในร้านแล้วร่างสูงที่มาใหม่ก็เดินตามเจ้าของร้านขึ้นไปที่ชั้นสาม นั่งลงบนที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ห่างจากเคาน์เตอร์ครัวซึ่งแบ่งฟากครัวกับพื้นที่ใช้สอยอื่นๆ อย่างชัดเจน เพราะเคยมาที่นี่แล้วโดนด่าตอนย่างกรายเข้าไปในพื้นที่ส่วนครัว เขายังจำได้ว่ามันพูดกับเขาว่าอะไร

‘อย่าเอาตัวเหม็นๆ ของมึงเข้ามาในครัวกู’

ตอนนั้นเล่นเอาเขาเกือบหน้าหงายเลยทีเดียว

“แล้วมีอะไรล่ะ”

ภันวัฒน์เมินเพื่อนร่างขนาดทัดเทียมกันแล้วกลับสู่โลกส่วนตัวอีกครั้ง ตาจับจ้องอุปกรณ์ทำขนมขณะที่มือหยิบจับนั่นนี่ไปเรื่อย คิดว่าขนมชิ้นต่อไปเขาจะทำอะไรดี ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่แยแสเพื่อนที่อุตส่าห์ถ่อสังขารมาหาเสียทีเดียว

“พรุ่งนี้มึงว่างปะ”

“ก็...” เสียงทุ้มใหญ่ครางในลำคอพลางนึกถึงตารางงานในวันพรุ่งนี้ไปด้วย เอกสารสำคัญๆ วันนี้เขาเคลียร์ไปหมดแล้ว ถ้าพรุ่งนี้เข้างานเร็วหน่อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากจะกลับเร็วกว่าปกติ “พอว่าง ทำไม”

“งั้นไปกับกูหน่อย”

“ไปไหน”

“เอาน่า เอาไว้พรุ่งนี้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”

หัวคิ้วหนาขยับเข้าหากันเล็กน้อย ประหลาดใจเพื่อนรักที่อยู่ๆ ก็มาชวน มิหนำซ้ำยังไม่บอกเหตุผล ทว่าก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และเหมือนเกรียงไกรจะเข้าใจ จึงเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“แล้วไอ้เรื่องบล็อกเกอร์คนนั้น ว่าไงมั่ง แผนล่อเสือออกจากถ้ำใช้ได้มะ เจอตัวหรือยัง”

“เจอแล้ว”

คำถามออกมายาวเหยียด แต่คำตอบกลับสั้นกุด เหมือนว่าเจ้าตัวไม่ค่อยอยากอธิบายเพิ่มเติมนัก จึงยิ่งชวนให้รู้สึกสนใจ เกรียงไกรโพล่งเสียงออกมาอย่างเริงร่า

“นั่นไง กูว่าแล้ว นี่มึงต้องนับถือความฉลาดของกูเลยนะ ถ้ากูไม่บอก มึงคงจะโง่ดักดานอยู่แบบนั้น”

ใบหน้าที่เอาแต่ก้มมองขนมที่กำลังง่วนทำอยู่เชิดขึ้นอย่างเร็วพลัน หน่วยตาคมตวัดมองเพื่อนราวกับเขม้นมองผู้ล่าฝ่ายศัตรู ริมฝีปากหยักได้รูปขยับอย่างเชื่องช้า

“ถ้ากูไม่เสียดายว่าขนมกูจะเสียของ กูปาใส่หัวมึงพร้อมทั้งชามไปแล้ว”

“โธ่ๆๆ ทำเป็นยอมรับความจริงไม่ได้” ยิ้มทะเล้นคลี่ออกมาอย่างสะใจ หัวคิ้วขยับยกขึ้นลงสลับสองข้างไปมา พานให้ยิ่งน่าหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก “แล้วยังไงอะ เขาตกลงจะอัพบล็อกแก้ให้มึงไหม”

“ไม่ หมอนั่นบอกว่าให้กูทำขนมให้เขายอมรับได้ก่อน ถึงจะยอมอัพแก้ให้”

“อ้าว” เสียงร้องอย่างผิดหวังระคนประหลาดใจดังมาจากร่างที่อยู่อีกฟากของเคาน์เตอร์ “ขนมของมึง กูก็ว่าอร่อยดีนะ”

“เออ กูก็ไม่รู้ยังไง เมื่อวันก่อนเอาขนมที่ลองทำไปให้ ก็ไม่ได้คำตอบ”

“ทำไมวะ หรือว่าเล่นตัว กลัวเสียหน้า”

เกรียงไกรคาดการณ์สถานการณ์เท่าที่พอจะเป็นไปได้ เพราะเป็นใครก็คงไม่อยากจะประจานความผิดพลาดของตนเองนักหรอก โดยเฉพาะท่ามกลางสังคมโซเชียลที่เต็มไปด้วยนักเลงคีย์บอร์ด

“หมอนั่นหลับคาขนมกู”

คำตอบที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาและเกินกว่าจะความคาดหมายทำให้ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดหัวเราะดังลั่นก้องไปทั่วทั้งชั้นสามของร้านห้องนั่งเล่น

เกรียงไกรหัวเราะจนเจ็บท้อง รู้สึกเหมือนหางตาจะเริ่มเปียกขึ้นมานิดหน่อย

“โอ๊ย กูยกให้เป็นมุกตลกประจำปีนี้ของกูเลย ฮ่าๆๆ”

เสียงหัวเราะของเพื่อนราวกับจะซ้ำเติมกันอย่างไรไม่รู้ และมันก็พานทำให้ภันวัฒน์ย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากเขาต้องวิ่งเป็นหนูติดจั่นด้วยความร้อนรนภายในบ้านของบล็อกเกอร์หนุ่ม สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกหนทางเดียวเพื่อความอยู่รอด



ร่างสูงหันไปมองหน้าต่างอีกรอบ ก่อนจะสืบเท้าเข้าไปหามันอีกครั้ง เพราะดูท่าว่าจะเป็นทางเดียวที่เขาสามารถออกไปได้ เขาพิจารณามุ้งลวดก่อนจะถอดมันออกมา มองที่กรอบหน้าต่างทั้งสี่ด้านแล้วจึงตกลงปลงใจ

‘ช่วยไม่ได้นะ คุณบังคับให้ผมทำเอง’

คล้ายกับจะพูดกับเจ้าของบ้านอย่างไรอย่างนั้นทั้งที่อีกฝ่ายไม่อยู่ จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ ไปยังตู้ซึ่งเป็นชั้นวางโทรทัศน์ คาดหวังว่าจะเจออะไรบางอย่างที่ต้องการ และโชคก็ค่อนข้างเข้าข้างเพราะเจอสิ่งที่หวังเอาไว้

เขาหยิบกล่องเครื่องมือออกมา คว้าไขควงแฉกมาไว้ในมือ จับมันให้มั่นแล้วตรงเข้าไปหาหน้าต่าง จัดการไขน็อตซึ่งยึดวงกบกับเหล็กดัดสีขาวเอาไว้ แม้ว่าจะต้องออกแรงมากเสียงจนแทบแขนหลุด แต่ในที่สุดนกรอบเหล็กนั่นก็แยกออกจากกรอบไม้ได้

ภันวัฒน์วางเหล็กดัดที่ถอดทิ้งเอาไว้นอกหน้าต่างแล้วก้าวข้ามออกมาอย่างง่ายดาย ดูนาฬิกาข้อมือซ้ำอีกครั้ง เห็นว่าตอนนี้เข็มยาวของนาฬิกาเลยเลขหกมานิดหน่อยแล้วก็รีบโยนไขควงเข้าในบ้านไป ก่อนจะปีนข้ามรั้วของบ้านไปอย่างรวดเร็ว

ร่างสูงเข้าประจำที่ในรถยนต์พร้อมกับสตาร์ทและเหยียบคันเร่งออกไปทันที พลางเลื่อนมือไปปรับเครื่องปรับอากาศให้ลมเป่าออกมาแรงที่สุดด้วย เพราะเมื่อครู่เขาเสียเหงื่อไปไม่น้อย ขณะที่สายตาจับจ้องถนน ขับรถสวีดสวาดที่สุดเท่าที่เคย ก่อนจะมาถึงที่หมายได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด

ขายาวสาวเร็วๆ ไปยังห้องทำงานของตนเอง แต่ก็ยังไว้ทีไม่ให้เสียบุคลิกของผู้มีตำแหน่งสูง ไม่ให้ใครจับได้ว่าเขากำลังรีบร้อนแค่ไหน และพอเดินผ่านหน้าโต๊ะทำงานของเลขานุการสาวจนเข้าไปอยู่ในห้องได้ ลมหายใจเฮือกใหญ่ก็ถูกปล่อยออกมาราวกับหมดแรง

แต่ไม่ทันให้ได้พักผ่อนอย่างใจคิด เสียงเคาะประตูก็ดังตามมาทันที นนทิยาอุ้มแฟ้มเอกสารพลางก้าวเข้ามา เธอเหลือบตามองเจ้านายของตนเล็กน้อยราวกับกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยเสียงออกมา

‘ชุดเมื่อวานนี่คะ’

‘อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ผมขอดูเอกสารแป๊บหนึ่ง’

ภันวัฒน์เก๊กมาดขรึมสุดชีวิต กล่าวด้วยเสียงที่ปรับให้ราบเรียบที่สุดและยื่นมือออกไปเพื่อรับแฟ้มที่เลขานุการสาวกอดอยู่ ซึ่งเธอก็ยื่นให้เขาแต่โดยดี เพราะเหลืออีกประมาณห้านาทีจะต้องเข้าประชุมแล้ว




“แล้วไงต่ออะ เขาหลับได้ไงวะ”

“กูไปหาตอนตีสองกว่าๆ”

น้ำเสียงที่แจกแจงรายละเอียดนั้นเรียบนิ่งราวกับไม่รู้สึกสำนึกใดๆ ทั้งสิ้นถึงการกระทำของตนเองที่ไปล่วงล้ำเวลาของผู้อื่นในยามวิกาล จนคนฟังต้องย้อนเสียงกลับมา

“เออ มิน่าล่ะ สมควร”

“ก็วันนั้นกูเพิ่งเลิกงานนี่หว่า ดันมีเคสร้องเรียนจากลูกค้าที่ห้องจัดเลี้ยง กว่าจะเคลียร์ได้”

คำตอบที่ได้รับมาพอจะทำให้เกรียงไกรเข้าใจได้ เพราะงานของเพื่อนเขามักจะเป็นเช่นนี้ เนื่องด้วยเป็นผู้จัดการฝ่าย จึงต้องรับผิดชอบดูแลงานทั้งหมดทุกแผนกที่อยู่ภายใต้ส่วนงานของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดกรณีฉุกเฉินซึ่งส่งผลกระทบกับลูกค้า ก็มักจะเป็นฝ่ายออกหน้ามากกว่าผู้จัดการแผนกเสียอีก จะเรียกว่าเป็นผู้มีใจบริการก็คงได้กระมัง

“แล้วทำไมมึงไม่ไปวันรุ่งขึ้นล่ะวะ”

“กูทำขนมไว้ตั้งแต่คืนก่อนแล้ว มึงคิดว่ากูควรเอาขนมที่ไม่ได้เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ไปให้เขาชิมเหรอวะ”

มันก็จริง ได้ยินเสียงพึมพำดังเบาๆ มาแบบนั้น แล้วบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลง ก่อนจะกลับมาเป็นสถานที่และวันเวลานัดหมายสำหรับวันพรุ่งนี้และเกรียงไกรก็กลับไป เพราะรู้ว่าเพื่อนต้องทำขนมอีกหลายชั่วโมงจึงไม่อยากรบกวนเวลาอีก




รถยนต์สีเทาดำเลื่อนตัวเข้าจอดภายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เมื่อใกล้ถึงเวลานัด ภันวัฒน์เลื่อนรถเข้าจอดอย่างเรียบร้อยก่อนจะตรงไปยังจุดหมาย ซึ่งคือร้านกาแฟชื่อดังที่มักจะมีคนพลุกพล่านหนาตาอยู่เสมอโดยเฉพาะในช่วงเวลาสองทุ่มเช่นนี้

เมื่อไปถึงร้านก็เห็นว่าเพื่อนนั่งประจำที่โต๊ะหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ เนื่องจากปกติแล้วเป็นเขาเสียอีกที่มักจะมาก่อนเวลา ถึงจะโดนเลขานุการตำหนิบ่อยๆ เรื่องว่าชอบแวบไปแวบมาในเวลางาน ถึงกระนั้นเขาก็ถือว่าเป็นคนที่รักษาเวลาพอสมควร และแท้จริงแล้วอาการเตร็ดเตร่ของเขาที่นนทิยาเรียกว่า ‘อู้งาน’ นั้น ก็เพียงแค่ชอบไปเดินตรวจตราตามแผนกที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเองเท่านั้น เพราะเบื่อการทำงานนั่งโต๊ะ

“ไหงมึงถึงมาก่อนกูได้วะ”

หลังจากทิ้งกายลงบนเก้าอี้ตัวเคียงข้างกันแล้วก็เอ่ยถามขึ้นทันที

“กูนัดดีลงานไว้ ก็ต้องมาก่อนเวลานัดสิวะ”

“อ๋อ” ภันวัฒน์ครางในลำคอเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังถามต่อ “แล้วมึงจะให้กูมาด้วยทำไม”

เมื่อถูกถามเช่นนั้น เกรียงไกรก็ขยับตัวชิดเพื่อนมากขึ้นอีกหน่อยก่อนจะอธิบายเสียงเบา ราวกับเป็นความลับขั้นสุดยอดและกลัวว่าใครจะได้ยิน

“ก็คนที่กูดีลงานด้วยเป็นสาวสวย”

“เลยถูกใจมึงว่างั้น”

เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภันวัฒน์จะรู้ว่าเพื่อนชอบผู้หญิงสไตล์ไหน และแฟนของเกรียงไกรคนก่อนๆ ก็เป็นสาวสวยทั้งนั้น

“เออ แต่ว่าติดปัญหานี่สิ”

“ปัญหาเรื่อง”

คิ้วหนาย่นเข้าหากันเล็กน้อยพลางครางเสียงถาม เพราะปกติแล้วเพื่อนเจ้าสำราญคารมดีไม่เห็นจะต้องการความช่วยเหลือเรื่องการจีบหญิงจากเขาแม้แต่ครั้งเดียว เรียกได้ว่าหากคิดจะสอยดาว เกรียงไกรก็ทำได้สบายๆ

“มีหมามาเฝ้า”

จากที่จับหัวคิ้วมาชนกันคราวนี้ก็กลายเป็นคลายออกแล้วเลิกขึ้นเล็กน้อย

“แฟน? เฮ้ย เขามีแฟนแล้ว มึงยังจะไปแยกเขาอีก ชั่วจริงเพื่อนกู”

“กูว่าไม่ใช่แฟนหรอก”

คำตอบสวนกลับมาทันควันราวกับรอตอบอยู่แล้ว

“มึงแน่ใจได้ไง”

“เซนส์กูเองแหละ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นแฟนกัน แล้วก็แน่ใจด้วย แต่คงห่วงเพื่อน มึงมาช่วยเป็นไม้กันหมาให้หน่อยดิวะ”

ไม่รู้คำพูดที่ว่าเขาไม่ใช่แฟนกัน จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน หากว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว เขาก็ไม่อยากจะเป็นตัวแปรที่จะทำให้คนรักมีปัญหากัน จึงอดชั่งใจไม่ได้ เกรียงไกรจึงทำหน้าอ้อนวอน

“นะมึง ช่วยกูหน่อย กูขอร้องล่ะ พลีส”

เงียบเพื่อช่างน้ำหนักตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ ภันวัฒน์ก็ยินยอม เพราะเกรียงไกรไม่เคยขอร้องเขาในเรื่องแบบนี้มาก่อน แสดงว่าเจ้าตัวต้องสนใจผู้หญิงคนนี้มากจริงๆ ไหนๆ แล้วเขาก็ขอดูทีท่าไปด้วยเลยแล้วกัน เผื่อว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว เขาจะได้ห้ามปรามเพื่อนได้

“สวัสดีค่ะ คุณจอม ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า”

เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เรียกให้ชายหนุ่มทั้งสองคนซึ่งอยู่ระหว่างกึ่งจบบทสนทนาหันไปมอง ทว่าฉับพลันที่สายตาของภันวัฒน์สบกับร่างของเธอ เขากลับต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะบุคคลที่อยู่ข้างเธอ ซึ่งฝ่ายนั้นก็มีอาการไม่ต่างกัน จากนั้นเสียงของทั้งคู่ก็เปล่งออกมาพร้อมกันและเป็นคำเดียวกัน

“คุณ!”

ช่วงเวลาราวกับหยุดนิ่งไปสักพักหนึ่ง เกรียงไกรละหนึ่งฤทัยต่างหันไปมองเพื่อนของตนเองสลับกับมองอีกฝ่าย ก่อนจะเป็นเกรียงไกรที่เรียกสติกลับคืนมาได้ และผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเชื้อเชิญให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวนั่งลง จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อน ให้ได้ยินกันแค่สองคน

“มึงรู้จักด้วยเหรอวะ”

“ก็เจ้าของบล็อกนั่นไง”

ภันวัฒน์ตอบกลับโดยที่เบี่ยงสายตากลับมาหาคนถามเพียงเล็กน้อย ส่วนความสนใจทั้งหมดหยุดอยู่ที่อาทิตย์อัสดงที่ลังเลอยู่ว่าตนควรจะนั่งดีไหม จนถูกเพื่อนสาวดึงแขนให้นั่งลงจึงค่อยทรุดร่างยังเก้าอี้

“เฮ้ย จริงดิ โลกกลมจังวะ”

อย่าแต่เกรียงไกรไม่อยากเชื่อเลย เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่า ‘หมา’ ที่มาคอยเฝ้าเหยื่อที่เกรียงไกรบอกจะเป็นชายคนนี้ ทว่าหลังจากทำความเข้าใจแล้ว กลับกลายเป็นว่าใบหน้าของต้นเหตุของเรื่องปรากฏยิ้มพรายจนน่าขนลุก หน่วยตาเรียวคมมองเพื่อนอย่างเป็นประกาย

“อะไรของมึง”

เพราะถูกดึงความสนใจมากกว่าฝ่ายที่เพิ่งมาถึง สุดท้ายภันวัฒน์จึงหันมาสบตาเพื่อนรักเต็มๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้อย่างไรชอบกล เกรียงไกรขยับตัวอีกเล็กน้อยแล้วกระซิบใกล้หูคนข้างๆ

“ไหนๆ มึงก็รู้จักเขาแล้ว งั้นก็ช่วยกูหน่อยแล้วกัน ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยไง หนึ่ง มึงได้ช่วยเพื่อน สอง มึงได้จัดการให้เจ้าของบล็อกนี่ยอมขอขมามึงซะ”

ข้อเสนอนี้เกือบทำคนฟังหัวเราะ เหมือนว่าจะเป็นการหว่านล้อมที่ดูอีกฝ่ายจะได้ผลประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาเจรจากับอาทิตย์อัสดงอย่างชัดเจนแล้ว ต่อให้เขาพูดจนปากเปียกปากแฉะ หรือเล่นงานด้วยวิธีแยบยลอื่นๆ ก็คงไม่ได้ผล เพราะดูท่าฝ่ายนั้นจะเป็นพวกหัวดื้อใช้ได้เลยทีเดียว

“กูว่าเหมือนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอซะมากกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างที่มึงว่าซะอีก”

“ไอ้หน้าตี๋นั่นร้ายขนาดนั้นเชียว”

หลังจากถามเพื่อนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองคนที่กำลังพูดถึง แต่สายตาก็ปะทะเข้ากับหน้าสวยๆ ของหนึ่งฤทัยเสียก่อน เกรียงไกรจึงต้องยิ้มให้แบบติดขัด เพราะเริ่มรู้ตัวว่าอีกฝ่ายคงสงสัยแล้วว่าเขากับภันวัฒน์คุยอะไรกันอยู่ ดูออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อยด้วยซ้ำ

“เอ่อ คุณขวัญสั่งเครื่องดื่มอะไรก่อนดีไหมครับ”

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ”

เธอยิ้มตอบก่อนหันไปหาเพื่อนคล้ายจะชวนให้ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ด้วยกัน แต่อาทิตย์อัสดงก็ออกตัวว่าจะไปซื้อให้แทนเสียก่อน พอเห็นว่าร่างโปร่งลุกออกไปจากโต๊ะแล้ว เกรียงไกรก็ตีตักคนข้างๆ เบาๆ คล้ายกับส่งสัญญาณให้ตามไปจัดการทำหน้าที่ได้แล้ว ภันวัฒน์จึงทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมานิดๆ จากนั้นก็ลุกออกจากโต๊ะไป






อ่านต่อข้างล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : จุดไต้ตำตอ [23/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 23-01-2016 01:27:37
ต่อจากข้างบน


v


v


เครื่องดื่มสองแก้วถูกถือกลับมาที่โต๊ะตัวเดิม แต่เมื่อเห็นว่าใครอีกคนที่นั่งประจันหน้ากับตนเมื่อครู่ไม่อยู่ที่โต๊ะนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงวางแก้วเครื่องดื่มของหนึ่งฤทัยให้เจ้าตัว ก่อนจะแยกตัวมานั่งโต๊ะที่อยู่ฟากตรงข้ามซึ่งมีทางเดินกั้นไว้ เพื่อให้ทั้งสองคนได้พูดคุยเรื่องงานกันได้สะดวกขึ้น

แต่ถัดจากนั้นไม่ถึงห้านาที ภันวัฒน์ก็เดินย้อนกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มในมือ เขามองโต๊ะที่เกรียงไกรและหนึ่งฤทัยนั่งอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเบือนสายตามายังอาทิตย์อัสดงที่เงยหน้าขึ้นมองมาทางตนเช่นกัน พานให้บล็อกเกอร์หนุ่มชะงักค้างไปเล็กน้อย เพราะเมื่อครู่เขาคิดว่าอีกฝ่ายกลับไปแล้ว

เมื่อสบตาเข้ากับคนที่เหมือนจะเป็นอริ แต่ก็ไม่ใช่แล้ว ร่างสมส่วนก็ขยับเข้ามาใกล้ และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างง่ายดาย จนคนที่นั่งอยู่ก่อนเปิดปาก

“คุณมานั่งตรงนี้ทำไม”

“โต๊ะนู้นก็เพื่อนคุณกับเพื่อนผมคุยงานกัน ส่วนโต๊ะอื่นๆ ก็ต้องเผื่อแผ่ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการบ้างไม่ใช่เหรอ”

เหมือนโดนตอกกลับมากลายๆ ว่าไร้ความเกรงใจอย่างไรอย่างนั้น อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าหน้าชาไปครึ่งแถบ จึงเปลี่ยนจุดหมายมาเป็นแก้วกาแฟที่อยู่ตรงหน้า ดูดน้ำสีขุ่นนั้นเข้าปาก

จากนั้น...ความเงียบก็โรยตัวลงมา

ทั้งที่มีเพียงเสียงพูดคุย เสียงอุปกรณ์สำหรับทำเครื่องดื่ม เสียงผู้คนเดินไปมาภายในร้าน กระนั้นร่างโปร่งกลับรู้สึกราวกับโต๊ะที่ตนกับคนตรงข้ามนั่งอยู่นั้นถูกตัดขาดออกจากโลกทั้งหมด เกิดเป็นความกระอักกระอ่วน อึดอัดจนเริ่มอุปาทานไปเองว่ายากแม้แต่จะขยับตัว ถึงจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดบล็อกของตนเอง และดูนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องยอมเค้นเสียงออกมาพลางมองอีกร่างที่ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านกับบรรยากาศนี้เลย

“วันก่อนคุณทำแย่มากนะครับ”

คนที่ถูกกล่าวถึงเบือนหน้ากลับมาหาคู่สนทนาหลังจากทิ้งสายตาไปเรื่อยเพื่อรอเวลา มองสบตาเรียวที่ดูขึงขังคล้ายจะย้ำในคำพูดของเจ้าตัว ก่อนจะพูดออกมาอย่างสบายๆ

“คุณเป็นคนขังผมก่อนไม่ใช่เหรอ”

“ก็คุณไม่ยอมตื่น”

“ผมบอกคุณแล้วว่าให้ทิ้งกุญแจเอาไว้”

“ผมก็บอกคุณแล้วเหมือนกันว่าผมไม่ได้บ้าหรือโง่ อย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะใส่เหล็กดัดคืนให้ผมสิ เกิดขโมยขึ้นบ้านผมขึ้นมาจะว่ายังไง”

“ผมรีบนี่นา ไม่มีเวลาให้ใส่คืนคุณหรอก”

กลายเป็นการถกเถียงอย่างไร้ประโยชน์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น สีหน้าที่ดูจริงจังเมื่อครู่ของอาทิตย์อัสดงแปรเปลี่ยนไปเป็นไม่พอใจน้อยๆ ก่อนถ้อยคำต่อว่าคล้ายตัดพ้อจะดังตามมา

“คุณรู้ไหมว่ากว่าผมจะใส่คืนได้ ผมต้องไขน็อตจนปวดแขนข้ามวัน”

ได้ยินเช่นนั้น หน่วยตาสีเดียวกับราตรีก็เหลือบมองท่อนแขนเรียวยาวของอีกฝ่าย ทว่าสายตานั้นกลับทำให้คนถูกมองรู้สึกแปลกพิกล

หรือเขากำลังคิดไปเองว่าสายตาสำรวจตรวจตรานั้นเหมือนกับว่ากำลังลวนลามและคุกคาม

เมื่อรู้สึกเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงจึงโพล่งถามเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดมองกันเสียที

“อะไรของคุณ”


“แค่กำลังมองอยู่ว่าที่คุณพูดมามันน่าจะจริง”

จากที่เมื่อครู่รู้สึกแปลกๆ กลับกลายเป็นรู้สึกร้อนขึ้นมาบนหน้าฉับพลัน ไม่ใช่ความรู้สึกพิสดารประเภทเขินอายอย่างแน่นอน แต่เป็นความโมโหโทโส เพราะมันเหมือนเขากำลังโดนดูถูกว่าอ่อนแอไร้กำลัง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ากำลังของตนสู้คนตรงหน้าไม่ได้ก็ตาม

ร่างโปร่งหุบปากฉับ เลิกเสวนากับฝ่ายตรงข้าม พลางหันเหสายตาไปทางอื่น วางตัวนิ่งเฉยเพื่อปิดกั้นการมีอยู่ของอีกฝ่ายอย่างที่สมควรทำตั้งแต่ทีแรก ทว่าเสียงทุ้มใหญ่ก็ดังขึ้นอีก

“เมื่อคืนกลับกันกี่โมงครับ”

จะไม่ตอบก็กระไรอยู่ ปากเรียวบางจึงขยับเบาๆ ทั้งที่ยังหันหน้าไปทางอื่น

“เกือบๆ ห้าทุ่ม”

“ถ้างั้น” ภันวัฒน์พักเสียงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดูนาฬิกาข้อมือ จากนี้กว่าจะถึงเวลาที่ประมาณไว้นั้นยังอีกนาน จึงเสนอ “ไปหาอะไรกินกันเถอะคุณ ผมยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันเลย”

“แล้วคุณมาชวนผมทำไม อยากกินก็ไปกินเองคนเดียวสิครับ”

“กินคนเดียวในร้านอาหารมันดูแปลกๆ ออก”

พูดจบ ร่างสูงก็ลุกขึ้นมาจากตำแหน่งที่นั่ง เดินไปยังโต๊ะข้างๆ เพื่อบอกเพื่อน ซึ่งเกรียงไกรก็ทำหน้าเหลอหลาตอบกลับมาว่า ‘เออๆ’ ขณะที่สายตาเหลือบทางอาทิตย์อัสดงไปด้วย คล้ายจะถามว่าจะเอาอย่างไรกับผู้ชายคนนั้น ภันวัฒน์จึงเดินย้อนกลับไปยังโต๊ะที่ตนเพิ่งจากมาอีกครั้ง

มือหนาคว้าเข้าที่ท่อนแขนของร่างที่นั่งอยู่ ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นจนร่างนั้นต้องลุกตามอย่างงุนงง อีกทั้งยังลากให้ออกไปนอกร้านด้วยกันโดยไร้คำอธิบาย

“เฮ้ยๆ คุณลากผมออกมาด้วยทำไม ผมกินตั้งแต่ก่อนมาที่นี่แล้ว”

“ก็ผมหิวนี่คุณ ยังไงคุณก็ต้องนั่งรอเพื่อนคุณคุยกับเพื่อนผมให้เสร็จอยู่ดี ไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อนดีกว่า”

“แต่ผมไม่อยากไป”

ไม่มีการฟังคำโต้แย้งใดๆ เพราะร่างโปร่งถูกฉุดให้เดินออกมาไกลจากร้านกาแฟนั้นแล้ว จึงได้แต่ยินยอมดึงแขนของตนเองออกพลางบอก ‘ก็ได้ๆ’ เพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ เพราะเริ่มจะถูกสายตาของคนรอบข้างจับจ้องจนกลายเป็นจุดเด่นเกินไปแล้ว

“คุณว่ากินอะไรดี”

“เรื่องของคุณสิครับ คุณหิว คุณอยากกิน ไม่ใช่ผมสักหน่อย”

“โอเค งั้นเอาพวกปิ้งย่างแล้วกัน ผมไม่ได้กินนานแล้ว”

“.....”

ไร้ตอบจากคนที่เดินอยู่ข้างๆ ตาคมจึงเหลือบมองเล็กน้อย เห็นว่าร่างที่เล็กกว่านั้นมองตรงไปด้านหน้า ราวกับไม่อยากจะหันมามองหน้ากันอย่างไรอย่างนั้นก็หลุดยิ้มออกมาเบาๆ ในใจรู้สึกว่าตลกดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าตลกอะไร




--------------------
เลขตอนซ้ำกับที่อัพคราวก่อน เพราะเรารวบตอนแล้วแบ่งใหม่ค่ะ
ไม่ชินกับตอนสั้นๆ เลยแต่งลงจังหวะตอนแต่งไม่ค่อยถูก หลังจากนี้ความยาวก็จะประมาณนี้ค่ะ

เมนต์คราวที่แล้ว "ตอนนี้สอนให้รู้ว่าอย่าขังคนบ้าไว้ในบ้านตัวเอง" กับ "เรื่องเกี่ยวกับขนมหวานกับโจร"
อ่านแล้วขำค้างเลย ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็ขอบคุณคอมเมนต์อื่นๆ ด้วยค่ะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : จุดไต้ตำตอ [23/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-01-2016 08:08:48
ดูเหมือนความสัมพันธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : จุดไต้ตำตอ [23/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 23-01-2016 09:29:13
เข้มข้มมาก มาต่อไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 4th Entry : จุดไต้ตำตอ [23/1/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 26-01-2016 13:30:30


จริง ๆ หนูอาทิตย์อัสดงน่าจะพิจารณาคุณภัณของป้าโดยเร็วนะลูก
พ่อมีคุณสมบัติดี ๆ หลากหลายจนป้าล่ะกลัวใจว่าจะมีใครมาสอยเธอไปจากอกหนูเข้าเสียก่อน...
ไม่ว่าจะเป็นแซงค์กระเป๋าตังค์เก่ง เจรจามัดมือชกดีเลิศ เปิดเหล็กดัดงัดแงะบ้าน แถมยังหน้าด้านลากคนอื่นไปกินข้าวด้วยอีก
บอกเลยว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าคุณภัณของป้าเก่งกาจด้านศาสตร์มืดขนาดนี้... หนูต้องไฝ้ว์กับคนทั้งบางเพื่อคุณภัณเลยล่ะจ๊ะ
(อีป้า... ที่เขียนมามันใช่เหรอ?! - แหม่... ก็นะ ขอแซวพระเอกหน่อยเห๊อะ! คนอะไร๊ ทำไมมันภัณวัฒน์ได้ขนาดนี้วะ! สงสารอาทิตย์อัสดงเป็นที่สุด จุด ๆ นี้ - ปาดเหงื่อแพร่บ!)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^  :L1:

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่ [6/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-02-2016 22:12:15
5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่






เมื่อไปถึงร้านแล้วภันวัฒน์ก็สั่งอาหารมาเป็นจำนวนมาก และเมื่ออาหารมาเสิร์ฟเขาก็จัดการส่งเนื้อสีแดงฉ่ำลงเตาย่างอย่างรวดเร็ว เรียวปากหยักหนาได้รูปขยับบอก

“กินด้วยกันสิคุณ”

“คุณกินของคุณไปเถอะครับ”

“แต่พวกปิ้งย่าง มันต้องกินสองคนขึ้นไปถึงจะอร่อย สนุกนะ”

“แค่ผมมานั่งประดับที่โต๊ะด้วยก็น่าจะพอแล้วมั้งครับ”

น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายตอบกลับมา และมันก็ทำให้คนฟังรู้สึกขัดใจอย่างไรชอบกล มือหนาจึงใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูที่เพิ่งสุกใหม่ๆ มาชิดริมฝีปากของคนที่ปิดปากสนิทจนเจ้าตัวร้อง

“โอ๊ย ร้อนนะคุณ”

“ชิ้นนี้โดนปากคุณแล้ว คุณต้องกินลงไปซะ”

“คุณจะบังคับผมเพื่อ?”

“ไม่รู้สิ”

คำตอบหลุดออกมาอย่างง่ายดายและไร้เหตุผล ภันวัฒน์กระทุ้งชิ้นเนื้อหมูสุกนั้นเข้าหาปากของอาทิตย์อัสดงเป็นระยะ พลางยักคิ้วให้เพื่อคะยั้นคะยอให้งับมันไปสักที ร่างโปร่งที่คล้ายว่าโดนบีบบังคับกลายๆ จึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างอิดหนาระอาใจ และยอมอ้าปากกินหมูชิ้นนั้นเข้าไปอย่างจำยอม

“คุณกินเนื้อหรือเปล่า”

ชิ้นเนื้อวัวรวมทั้งเนื้อหมูหลายชิ้นที่สุกแล้วถูกคีบมาวางลงบนจานเล็กๆ ตรงหน้าร่างสูง ขณะที่เจ้าตัวเอ่ยถามไปด้วย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเชื้อสายจีนมากอยู่ ถึงได้ตาเรียว ผิวขาว จนสามารถบอกได้ทันทีที่เห็น แม้ว่าตนจะมีเชื้อสายจีนอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ชัดเจนเท่าอีกฝ่าย เพราะหน้าตาและผิวพรรณของเขากระเดียดมาทางไทยเสียมากกว่า

“กิน ผมไม่เลือกกินหรอกครับ”

“ถ้างั้นกินนี่ไปด้วย”

คราวนี้เป็นเนื้อวัวสุกที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า อาทิตย์อัสดงชะงักแล้วเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะตอบมา

“คุณจะให้ผมกินให้ได้ว่างั้น”

“ผมสั่งมาเผื่อคุณด้วย เผื่อคุณหิว”

“ผมก็บอกคุณแล้วว่าผมกินมาแล้ว”

ถึงจะตอบแบบนั้น แต่ว่ามือขวาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบชิ้นเนื้อที่ถูกยื่นมาตรงหน้าเข้าปาก เพราะตระหนักว่าหากเขายังปฏิเสธต่อไป อีกฝ่ายก็คงตื๊ออยู่อย่างนี้

กินไปพลางก็มองหน้าคนที่อยู่ตรงข้ามด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะมานั่งกินอาหารกับคนที่เพิ่งรู้จักเพียงแค่ครึ่งเดือน มิหนำซ้ำยังเจอกันแบบนับครั้งได้ และการพบกันครั้งแรกก็ค่อนข้างจะไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจสักเท่าไร คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกอย่างหนึ่งได้

“ว่าแต่คุณจะคืนสร้อยให้ผมได้หรือยัง”

มือที่กำลังจับตะเกียบยกขึ้นชะงักไป ภันวัฒน์เงยขึ้นมองหน้าอาทิตย์อัสดงอยู่ชั่วครู่

“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ คุณเป็นคนเสนอเองนะ แล้วจะให้ผมคืนสร้อยให้คุณได้ยังไงในเมื่อคุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเรื่องขนมเลย”

“งั้นก็เอาขนมที่คุณทำมาให้ชิมซะสิครับ ผมจะได้ตัดสินสักที แต่ช่วยทำให้มันดีๆ แบบทีเดียวผ่านด้วยนะครับ เพราะผมไม่ให้อยากให้มันวุ่นวายคาราคาซังต่อไปเรื่อยๆ”

“ผมว่าคราวก่อนคุณเป็นคนผิดเองนะที่หลับไปก่อน”

เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง แต่ใช่ว่าอาทิตย์อัสดงจะเออออยอมรับผิดโดยดุษณี

“น่าจะเพราะตัวคุณเองมากกว่านะครับที่เอาขนมมาดึกขนาดนั้น แถมยังบุกรุกบ้านผมอีก”

เหมือนว่าจะญาติดีกันได้ไม่เท่าไร ก็ปะทะคารมกันอีก บรรยากาศที่เหมือนจะดีขึ้นเริ่มดิ่งลงเรื่อยๆ ความเงียบเบียดแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน ทั้งคู่กลับไปสนใจกับการจัดการอาหารที่เหลืออยู่จนหมดโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

กระทั่งจ่ายเงินแบบหารครึ่งซึ่งอาทิตย์อัสดงเป็นฝ่ายยื่นเงินครึ่งหนึ่งมาให้ ทั้งคู่ก็ออกจากร้าน เดินเคียงกันมาเพื่อกลับไปร้านกาแฟโดยทำราวกับคนไม่รู้จัก ทั้งที่เพิ่งกินหมูย่างเนื้อย่างจากเตาเดียวกันแท้ๆ และก่อนที่จะจมลงสู่ความเงียบทะมึนกว่านี้ เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของภันวัฒน์ก็ดังขึ้นมาทำลายความกดอากาศรอบตัวที่ต่ำลงมาเสียก่อน

คิ้วหนาย่นระยะเข้าหากันเมื่อมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอหลังจากหยิบอุปกรณ์ที่กำลังส่งเสียงร้องออกมา นิ้วหนากดปุ่มรับสายและขยับกายห่างออกไปจากร่างโปร่งเล็กน้อยเพื่อสนทนากับปลายสายได้อย่างเป็นส่วนตัวขึ้น

อาทิตย์อัสดงมองตามร่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำออกไป เพราะไม่เห็นว่ามีความจำเป็นที่ตนเองต้องรอ แต่เพียงพักเดียวร่างสูงก็เดินตามมาจนทันกัน และก้าวเข้าไปในร้านกาแฟพร้อมๆ กัน

ที่โต๊ะเดิม เกรียงไกรกับหนึ่งฤทัยยังนั่งคุยกันอยู่ บนโต๊ะมีกระดาษแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งกางวางเอาไว้ มีรอยดินสอปากกาขีดเขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น คาดว่าคงกำลังปรึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการออกแบบโบรชัวร์ แต่บรรยากาศระหว่างทั้งคู่กลับดูสบายๆ เป็นกันเองมากกว่าเมื่อวาน

ภันวัฒน์ตรงดิ่งไปยังโต๊ะนั้นและหยุดลงที่เก้าอี้ซึ่งตนเคยนั่งอยู่ เรียกให้เกรียงไกรหันมามองอย่างงุนงงเล็กน้อย เพราะคิดว่าเพื่อนจะไปนานกว่านี้ และหากกลับมาแล้ว ก็คงจะแยกไปนั่งโต๊ะอีกตัวมากกว่าจะเดินมาหาเขาโดยตรง แต่สีหน้าคร่ำเคร่งที่แสดงอยู่บนดวงหน้าคมคร้ามนั้นกลับทำให้ต้องประหลาดใจเล็กน้อย

“มีอะไรเหรอ”

“กูจะกลับก่อน”

เสียงร้อง ‘อ้าว’ ดังอยู่ในใจของชายหนุ่ม แต่ยังไม่ทันหลุดออกมาเป็นคำถามถึงเหตุผล ภันวัฒน์ก็ตอบกลับมาก่อน

“ฐานโทรมา”

หลังจากได้ยินคำตอบนั้น เกรียงไกรก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีกนอกจากพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ ภันวัฒน์จึงหมุนตัวกลับแล้วเดินผ่านร่างอาทิตย์อัสดงออกจากร้านไป ขณะที่ร่างโปร่งได้แต่มอง ที่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ผลุนผลันกลับไปทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำเหมือนจะอยู่จนกระทั่งเพื่อนของพวกเขาคุยงานกันเสร็จด้วยซ้ำ





เมื่อออกจากร้านมา ร่างกำยำก็ตรงไปยังรถยนต์ของตนเอง มุ่งไปสู่จุดหมายที่สอบถามมาจากเจ้าของปลายสายที่ติดต่อมาเมื่อสักครู่ เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็มาถึงผับแห่งหนึ่ง เสียงเพลงดังเสียดแทงแก้วหูจนอยากยกมือขึ้นมาปิด แสงไฟหลากสีสันสลับกันไปมาจนน่าเวียนหัว ยิ่งจำนวนประชากรที่อยู่ภายในสถานที่ที่ไม่ได้ใหญ่โตแห่งนี้ขวักไขว่ ก็ยิ่งทำให้สมองมึนงง

เขาไม่ค่อยชอบสถานที่อโคจรเช่นนี้เท่าไรนัก แต่ว่าคนที่เขามาหาดูจะชอบมันเสียเหลือเกิน

“ดื่มด้วยกันไหมครับ”

“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ”

เข้าร้านมาไม่ทันไร ก็ถูกคนที่ตนเดินฝ่าเข้ามาชวนเสียแล้ว ร่างสูงปฏิเสธอย่างสุภาพก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อรักษามารยาทเล็กน้อยตามความเคยชิน ก่อนจะก้าวเดินต่อไป โดยนัยน์ตาดำสนิทกวาดมองไปทั่วบริเวณเพื่อหาร่างที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี สอดส่องไปจนทั่วไม่ให้คลาดสายตา พลางย่างก้าวผ่านผู้คนคลาคล่ำไปด้วย และในที่สุดเขาก็สะดุดตาเข้ากับเป้าหมาย สองเท้าจึงรีบสืบเข้าหาอย่างเร็วไว

ร่างนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะหนึ่งตามลำพัง ซบหน้าลงกับโต๊ะประหนึ่งคนเมามายไม่ได้สติ แต่แม้จะเห็นเพียงเท่านั้น ภันวัฒน์ก็คาดเดาได้ว่าใช่คนที่เขามาหา จึงไม่ลังเลที่จะสะกิดเรียกเพื่อให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเพราะรู้ว่าเจ้าของร่างนั้นยังมีสติอยู่ครบถ้วน

กรอบหน้าที่เชิดขึ้นหลังจากถูกแตะที่ต้นแขนเบาๆ แดงก่ำ ทว่าไม่ใช่เพียงใบหน้า ดวงตาก็เช่นกัน อีกทั้งใบหน้าเล็กๆ ที่ได้เห็นนั้นยังเปียกชื้น แต่เมื่อตาแดงๆ มองเห็นว่าคนที่มาอยู่ข้างๆ เป็นใคร แรงที่เหลืออยู่เพื่อพยุงร่างก็เหมือนจะหมดไป และโถมตัวเข้าใส่ภันวัฒน์เต็มกำลัง จนแขนแกร่งต้องยกขึ้นมาเพื่อรับเอาไว้

“พี่ภัน...”

เสียงสะอึกสะอื้นดังลอดออกมาพร้อมกับอ้อมแขนเล็กๆ นั้นกอดกระชับแผ่นหลังกว้างราวกับใช้เป็นที่พักพิง ภันวัฒน์ยกมือขึ้นจะลูบศีรษะเพื่อปลอบประโลม ความรู้สึกสงสารถาโถมเข้ามาจับใจ

“กลับบ้านเถอะ”

“ผม...ไม่อยากกลับ”

เสียงแหบพร่าตอบกลับมาทันทีที่เขาเอ่ยชวน แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้แปลกใจนักด้วยรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไปนอนห้องพี่นะ”

คราวนี้ไม่มีคำตอบเป็นเสียงพูด มีเพียงศีรษะเล็กๆ ที่แนบชิดแผ่นอกอยู่ผงกขึ้นลงหลายๆ ที ภันวัฒน์จึงดึงแขนของร่างที่เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับเขาให้ทิ้งระยะห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจับข้อมือแล้วจูงให้ออกจากร้านด้วยกัน เพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง

ห้องของเขา...

ภันวัฒน์พาร่างเล็กๆ ที่ราวกับไร้เรี่ยวแรงจึงทำได้แต่เพียงเดินลากเท้าไปยังห้องของตนเองที่คอนโดมิเนียมซึ่งจัดได้ว่าดูหรูหราพอประมาณ เขาเปิดไฟในห้องและตรงไปยังห้องนอนเป็นสิ่งแรก และปล่อยให้ร่างนั้นทรุดลงกับเตียงนุ่ม

ร่างเล็กดูเหม่อลอยดั่งสติพร่าเบลอ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย

พอเขาถามว่า ‘อาบน้ำก่อนไหม จะได้นอน’ ศีรษะกลมเล็กก็ส่ายไปมาเบาๆ ซึ่งเขาก็พอรู้อยู่แล้วว่าน่าจะได้คำตอบเช่นนี้ จึงผละไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมาก่อนจะตรงไปที่ห้องอาบน้ำ เอาผ้าชุบน้ำจนเปียกแล้วบิดหมาดๆ เดินกลับมาหาร่างบนเตียงอีกครั้ง

สัมผัสเย็นๆ ลูบไล้ใบหน้าที่เคยเปียกชื้น ถึงกระนั้นคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ยังทิ้งร่องรอย เขาจึงต้องกำจัดมันออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ แม้รู้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เลยก็ตาม

“นอนเลยไหม”

เขาถามอีกครั้ง เจ้าของร่างเล็กพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อย ให้เขาช่วยประคองร่างลงที่นอนด้วยพร้อมกัน

ภันวัฒน์ดึงผ้าขึ้นมาห่มให้จนถึงอก หยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศมาเปิดให้อุณหภูมิเหมาะสำหรับการนอน จากนั้นหันมาบอกอีกที

“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน แล้วจะมานอนด้วย”

ฝ่ายนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ก็เหมือนว่าจะรับรู้ เพราะหลังจากได้ยินเช่นนั้นก็ปิดเปลือกตาลง คล้ายกับว่าตนเองได้กลับมายังแหล่งพักพิงที่วางใจได้

ร่างสูงทิ้งสายตาอยู่บนเตียงชั่วครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นดูจะสงบลงได้แล้วก็หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วตรงไปเข้าห้องน้ำ ขจัดคราบเหงื่อไคลและกลิ่นต่างๆ มากมายที่ประสบพบเจอมาทั้งวัน ก่อนจะออกมาใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย และย้ายกายกลับมายังเตียงอีกครั้ง

แรงยวบจากที่นอนและไออุ่นจากกายมนุษย์ที่สูงกว่าอุณหภูมิห้องทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกตัว ร่างเล็กขยับเข้าหาร่างที่ใหญ่โตกว่า ซึ่งภันวัฒน์ก็เขยิบตัวเข้าหาอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน ท่อนแขนแกร่งเลื่อนสูงขึ้นเล็กน้อย โอบกอดร่างนั้นไว้ขณะที่ศีรษะเล็กก็ซุกซบลงบนอกทั้งที่ไม่ได้เปิดเปลือกตา

ภันวัฒน์ลอบผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา จรดข้างแก้มเข้ากับกลุ่มผมสีดำนั้นราวกับทะนุถนอมพร้อมกับหลับตาลง ด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทรา...





หากให้พูดถึงชายคนนี้ คงต้องย้อนกลับไปเมื่อแปดปีก่อน

ในตอนนั้นเขายังเป็นนักศึกษาปีสี่ คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการโรงแรม เกรียงไกรเองก็เช่นกัน พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งและสนิทกันเรื่อยมาจนกระทั่งปีสุดท้าย

เสียงถอนหายใจของภันวัฒน์ดังเบาๆ เมื่อกดตัดสายโทรศัพท์ที่เพิ่งสนทนาจบเมื่อครู่ พานให้เกรียงไกรที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเลิกคิ้วสงสัยและเอ่ยถาม

“เป็นอะไรของมึง”

“ทำไมถึงชอบมีคนมาตื๊อจีบกูวะ ทั้งที่คนที่กูอยากคบด้วยจริงๆ หาไม่ได้เลยสักที”

เป็นคำบ่นที่ทำเอาเพื่อนรักรู้สึกหมั่นไส้อยู่นิดหน่อย ด้วยเพราะภันวัฒน์เป็นชายรูปร่างดี ผลการเรียนก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เพราะอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าเขา อีกทั้งยังบุคลิกดี หน้าตาถึงจะไม่ได้หล่อเหลาขนาดเป็นพระเอกละครได้ แต่โดยรวมแล้วก็ถือได้ว่ามีเสน่ห์ ถึงไม่ต้องใช้คารมสักนิดก็พอจะทำให้ผู้หญิงเข้าหาได้ไม่ยาก

ผิดกับเขาที่ถ้าเดินท่อมๆ เข้าไปชวนสาวคุย ก็จะถูกเมินก่อนในตอนแรก ต้องอาศัยลูกตื๊อนิดหน่อยจนอีกฝ่าย ยอมคุยด้วย ถึงจะได้ใช้วาทศิลป์ซึ่งเป็นอาวุธเฉพาะตัวพิฆาต

“ก็สเปกมึงมันแปลก”

“แปลกตรงไหน ก็แค่ชอบผู้หญิงอกเล็ก สะโพกไม่ต้องใหญ่แต่ขอตูดกลมกลึง”

ภันวัฒน์ไม่เข้าใจสักนิด ที่โดนตราหน้าว่าชอบของแปลก คิ้วหนาเลิกขึ้นถามเพื่อน แต่กลับถูกสวนกลับมาทันที

“นั่นแหละแปลกแล้ว ปกติผู้ชายคนไหนๆ ก็ชอบแบบอึ๋มๆ เต็มไม้เต็มมือกันทั้งนั้น ผู้หญิงแบบนั้นที่เข้าหามึง มึงก็เขี่ยทิ้งแบบไม่แล แล้วจะหาแฟนได้ยังไง พวกอกเล็กๆ ก็มีแต่แห้งๆ ไม่มีตูดให้มึงขยำหรอก ทำไมไม่หาแฟนเป็นผู้ชายเสียเลยล่ะ”

คนมั่นใจว่าตัวเองไม่แปลกชะงักไปทันควันหลังจากโดนสวนกลับมาเช่นนั้น เพราะไม่เคยคิดมาก่อน แต่เมื่อเกรียงไกรได้เห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็รีบพูดโพล่ง

“เฮ้ยๆ เงียบไปอย่างนี้หรือมึงจะเอาจริง”

ซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ไม่คาดฝัน

“จะว่าไปมันก็น่าลองดูเหมือนกัน”

เกรียงไกรถึงกับตาเหลือกไปชั่วครู่





หลังจากได้รับแนะนำจากเพื่อนสุดสนิท ภันวัฒน์ก็อยากจะลองเริ่มต้นดู เพราะเมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้วมันก็เป็นอย่างที่เกรียงไกรว่าจริง ผู้หญิงแบบที่เขาต้องการหายากเกินไป ถ้าไม่ยึดติดว่าต้องเป็นผู้หญิง มันก็น่าจะมีตัวเลือกมากขึ้น อีกทั้งหากเป็นผู้ชาย ก็ตัดปัญหาเรื่องหน้าอกอันใหญ่โตไปได้เลย เขาจึงมุ่งสู่สถานที่ซึ่งจะทำให้เขาได้ค้นพบกับโลกใหม่ที่ยังไม่เคยย่างกรายเข้าไป

สถานที่แห่งนั้นไม่ได้ต่างกับสถานบันเทิงทั่วไปนัก เพราะมีการเปิดเพลงสนุกสนาน มีดีเจที่ช่วยกระตุ้นความบันเทิง และแสงไฟหลากสีวิบวับๆ สลับกันไปมา ยกเว้นก็แต่ผู้คนในสถานที่แห่งนี้แออัดไปด้วยผู้ชายเต็มไปหมด ยากจะมองเห็นผู้หญิงได้

เมื่อได้เหยียบย่างมาสถานที่นี้แล้ว ชายหนุ่มร่างสูง ผิวเข้มนิดๆ แต่ดูดีด้วยบุคลิกและเครื่องหน้าคมคายก็เรียกสายตาของคนที่เผอิญหันมาเห็นได้ไม่ยาก มีใครหลายคนเริ่มขยับเข้าหา ชักชวนไปร่วมโต๊ะ ชวนดื่มชวนเต้น แต่ก็ยังไม่มีใครที่พอจะทำให้เขาสนใจได้

คนเพิ่งเคยมีประสบการณ์ครั้งแรกในการเข้ามายัง ‘ผับเกย์’ ยืนนิ่งมองสำรวจไปรอบๆ ว่าตนควรจะแทรกร่างเข้าไปตรงไหน หรือว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปลึกขึ้น เพื่อว่าจะมีใครที่พอสะดุดตาให้เขาได้ใช้เวลายามค่ำคืน เปิดประสบการณ์ซาบซ่านด้วยเป็นครั้งแรกได้บ้าง ซึ่งมันไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด

ปลายสายตาของเขา ปะทะเข้ากับร่างหนึ่ง...

ร่างเล็กกว่าผู้ชายหลายๆ คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น อีกก้าว... อีกก้าว... และอีกก้าว

ก้าวมันต่อไปจนกระทั่งเกือบจะมาหยุดลงตรงหน้าร่างนั้นอย่างไม่รู้ตัว เจ้าของร่างเล็กหันมามองเขา ผลิยิ้มน้อยๆ ด้วยริมฝีปากแดงจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับดูฉ่ำชื้น ใบหน้าเล็กกระจิริด ผมสีดำสั้นจนเกือบจะเกรียนด้วยซ้ำ อีกทั้งยังมีเคราบางๆ อยู่ตรงปลายคาง แต่กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าขัดตา

ดูอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ผู้ชายขนานแท้ แต่กลับ... ให้ความรู้สึกว่าน่ากอด

เหมือนโดนสะกดด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ขายาวก้าวเดินต่อไป ตรงไปยังร่างนั้น ก่อนจะหยุดลงตรงหน้า

ใบหน้าเล็กๆ นั้นเชยขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาหาราวกับสงสัย พลอยให้ภันวัฒน์เห็นเครื่องหน้าของร่างกะทัดรัดได้ชัดเจนขึ้น ดวงตาสีดำที่ล้อแสงไฟ มีขนตางอนยาวปกคลุมอยู่ด้านบน แม้ว่าในสถานที่แห่งนี้จะค่อนข้างสลัว ถึงกระนั้นก็ยังเห็นได้ชัดเจนมาก

“น้องเป็นเกย์หรือเปล่า”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอเห็นดังนั้น ปากก็หลุดคำถามออกมาเสียแล้ว อีกฝ่ายริมฝีปากกระตุกเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มที่ผุดออกมาน่ามองจนภันวัฒน์ต้องทิ้งสายตาค้างไว้

“พี่เพิ่งเคยจีบเกย์หรือไง ที่นี่ส่วนใหญ่ก็มีแต่เกย์ทั้งนั้น”

“ก็ใช่จริงๆ นั่นแหละ พี่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เพราะเพื่อนบอกว่าน่าจะเหมาะกับเกย์มากกว่าหาแฟนเป็นผู้หญิงก็เลยมาที่นี่ดู”

หลังจากได้ยินคำตอบนั้น ร่างที่อยู่ตรงหน้าภันวัฒน์ก็ชะงักไปเล็กน้อย มองใบหน้าคมคายอยู่ชั่วครู่ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนกลีบปากเล็กๆ จะขยับอีกครั้ง

“ผมชื่อฐานทัพ จะรับวันไนท์สแตนด์กับพี่ก็ได้ พี่จะลองหรือเปล่า”

ได้ยินแล้วร่างสูงก็นึกแปลกใจ ไม่คิดว่ามันจะง่ายดายแบบนี้ แต่คงเพราะเขาทิ้งเวลาตะลึงนานไปสักหน่อย คนที่บอกว่าชื่อ ‘ฐานทัพ’ จึงเอียงคอน้อยๆ ราวกับจะขอคำตอบ ภันวัฒน์จึงตอบกลับไปก่อนที่จะเสียเรื่อง

“ก็ดีสิ งั้นรบกวนหน่อยนะ”

เมื่อว่าแบบนั้นแล้ว เสียงหัวเราะจากคนตัวเล็กก็ดังขึ้นมาอีกระลอก

“งั้นไปงั้นเถอะ เดี๋ยวพาไปโรงแรมใกล้ๆ นี้ ที่ประจำของผมเองแหละ”

ฐานทัพเสนอแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน ดูท่าทางจะเคยชินกับเรื่องแบบนี้แล้วเสียด้วยซ้ำ ทำให้ภันวัฒน์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ตามไปยังสถานที่ที่ว่ามา ซึ่งมันก็ไม่ใช่อะไรที่หรูหรา แค่มีเตียง มีห้องน้ำ ให้สามารถทำอะไรต่อมิอะไรเท่าที่จำเป็นได้

เขารอฐานทัพอาบน้ำอยู่พักหนึ่ง ก่อนร่างเล็กจะออกมา ไม่ได้ใส่ชุดคลุมอาบน้ำปกปิดเรือนร่าง แค่คลุมผ้าเช็ดตัวไว้ที่ช่วงล่างเท่านั้น จึงมองเห็นผิวที่เปียกหมาดๆ ด้านบนได้ทั้งหมด

ฐานทัพมีรูปร่างเล็กแบบบางอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ชาย เรียกได้ว่าเป็นคนที่โครงเล็กมาก ส่วนสูงน่าจะห่างจากเขาประมาณสิบห้าเซนติเมตรได้ แต่ด้วยความที่มีโครงกระดูกเล็ก เลยทำให้ดูตัวเล็กยิ่งกว่าผู้หญิงที่มีส่วนสูงระดับเดียวกันเสียอีก

“ผมเตรียมตัวเสร็จแล้ว พี่จะอาบน้ำก่อน หรือว่าทำเลย”

เจ้าตัวส่งยิ้มบางๆ ให้เขาที่ยืนพิจารณารูปร่างที่ไม่เคยเห็นพลางถาม เรียกสติให้กลับคืนกลับมาอีกครั้ง

“ฐานทัพล่ะชอบแบบไหน”

“ผมแบบไหนก็ได้ แต่เรียกฐานก็พอ”

“งั้น... ทำเลยไหม”

เมื่อเจ้าตัวอนุญาต ภันวัฒน์ก็เสนอ เขารู้สึกไม่อยากเสียเวลา การได้เห็นร่างที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงห้วงอารมณ์บางอย่าง สายตาเผลอทอดมองยังอกบางที่มีเม็ดสีเข้มประดับอยู่ทั้งสองข้าง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามันน่ามองทั้งที่เป็นของผู้ชาย

“ถ้างั้น” ฐานทัพขยับเท้าย่างเข้ามา ก่อนจะผลักภันวัฒน์ให้นั่งลงบนเตียง จากนั้นก็ขึ้นไปคร่อมร่างที่ใหญ่กว่าเอาไว้ ใช้หัวเข่าขนาบชิดต้นขาแข็งแกร่งของภันวัฒน์โดยไม่ให้เสียเวลา “ก็เริ่มเลยแล้วกัน”

หลังสิ้นคำนั้น มือเรียวขนาดสมตัวก็วางบนบ่ากว้าง ริมฝีปากเล็กบางเฉียบเบียดชิดเข้ามาประกบกลีบปากหยักหนา ค่อยๆ ใช้ปลายลิ้นไล่ชอนไปตามร่องปากเบาๆ จนอีกฝ่ายเผยออ้าแล้วจึงเข้าไปเล็มเลียภายใน

ภันวัฒน์ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ เป็นครั้งแรกที่เขาจูบผู้ชายก็ว่าได้ แต่ว่ามันไม่ได้ทำให้รู้สึกรังเกียจสักนิด ลีลาที่วาดลวดลายอยู่ในปากของเขาทำให้ความสำราญเข้ามาเกาะกุมทีละเล็กทีละน้อย จากที่เคยเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อน ก็เปลี่ยนเป็นผู้ล่าบ้าง

เขาตวัดลิ้นหยอกกระเซ้าฐานทัพจนได้ยินเสียงครางเบาๆ ก่อนจะพลิกร่างให้คนที่เกือบจะนั่งคร่อมบนตนเองลงไปนอนแผ่บนที่นอนโดยมีเขาทาบทับอยู่แทน ดูดรัดกลีบเนื้อด้วยจังหวะที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมั่นใจได้ว่าคงทิ้งรอยช้ำไว้แน่ๆ ขณะที่มือใหญ่กวาดลูบไปทั่วแผ่นอกเรียบแบนแล้วเคล้นคลึงส่วนที่นูนเด่นขึ้นอย่างสำเริงสำราญ

ร่างน้อยแอ่นตัวเมื่อริมฝีปากที่รุกเร้าอยู่เมื่อครู่ไล่ต่ำ มอบความหอมหวานที่ดุดันให้เขาจนปล่อยเสียงร้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ้าเช็ดตัวที่เคยปกคลุมส่วนอ่อนไหวหลุดหายไปเพราะแรงบิดเร้าที่ก่อกำเนิด เผยให้เห็นส่วนที่กำลังตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา

“เดี๋ยวๆ พี่”

มือเล็กจับใบหน้าของภันวัฒน์ที่กำลังหมกหมุ่นกับติ่งเนื้อเล็กๆ บนอกจนลืมเลือนทุกสิ่ง พานให้ภันวัฒน์เงยหน้าขึ้นมาอย่างขัดใจเล็กน้อย

“ใช้นั่นสิ”

จุดหมายของสิ่งที่ระบุไว้คือหัวเตียง มันมีซองพลาสติกที่ดูคุ้นตาวางอยู่ ส่วนข้างๆ กันนั้นเป็นขวดอะไรบางอย่าง ร่างสูงจึงยื่นมือไปหยิบมันมา ก่อนจะตามด้วยเสียงของร่างด้านใต้อีกครั้ง

“ขยายให้ผมก่อน แล้วพี่อยากจะทำอะไรก็ทำเลย”

ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นแหบพร่าพราวเสน่ห์ แฝงไว้ซึ่งอารมณ์หวามไหว เหมือนกิ่งไม้เรียวเล็กที่โยกเอนเพราะแรงลม ดวงตาที่ฉ่ำอยู่ก่อนแล้ววาวระยับยิ่งกว่าเดิม เหมือนผลไม้วิเศษสุกปลั่งกำลังล่อลวงให้ยื่นมือเข้าไปหาแล้วคว้ามันเอาไว้ แม้รู้ทั้งรู้ว่าหากทำเช่นนั้นจะได้รับโทษทัณฑ์

และภันวัฒน์ก็เด็ดดม สวามปามกลืนกินมันจนไม่เหลือ...

ราวกับสัตว์ร้ายตะกรุมตะกราม





หลังจากพลังกำลังฟื้นคืนมาอีกครั้ง เมื่อถามร่างเล็กๆ นั้นว่าจะขอเบอร์ติดต่อได้ไหม คำตอบที่ได้กลับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ฐานทัพส่งยิ้มบางๆ มือเรียวนั้นแตะลงบนแก้มเบาๆ ประทับจุมพิตค้างนิ่งไว้เสมือนขนนกหล่นทับบนริมฝีปาก

“ผมไม่นอนกับคนเดิมซ้ำครั้งที่สองหรอกครับ ก็ผมชอบวันไนท์สแตนด์นี่นา”

“.....”

“ถึงเซ็กซ์ของพี่จะถึงใจผมอยู่เหมือนกันก็เถอะ”

รอยยิ้มผลิกว้างกว่าเดิมราวกับหยอกล้อ ร่างแบบบางหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่โดยไม่ทิ้งแววอาลัยใดๆ สักอย่าง ก่อนจะออกจากห้องไป

ภันวัฒน์อึ้งค้างไปหลายนาที เพราะเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก โลกใหม่ที่ได้ค้นพบ คนแบบที่ไม่เคยพบเห็น พอย้อนคิดไปแล้วก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา มือหนาเสยผมตนเองเบาๆ ก่อนจะจัดการกับเครื่องแต่งกายบ้าง เพราะเวลานี้ร่างของเขายังเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ ปิดป้องของสงวน

“เป็นไงมั่งวะมึง ตกลงได้ลองยัง”

ภันวัฒน์เกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อเหตุการณ์เป็นไปตามคาด หลังจากไปถึงมหาวิทยาลัยในวันถัดไปและได้พบหน้าเกรียงไกร

“มึงรีบไปปะ”

“กูรู้จักมึงมากี่ปีแล้ว ถ้ามึงตัดสินใจอะไร มึงไม่รอให้เสียเวลาหรอก”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาอีกระลอก ก่อนเสียงทุ้มของคนถูกซักจะสวนกลับมา

“เออๆ กูยอมรับ ไปทำตามที่มึงเสนอมาแล้ว”

“แล้วเป็นไง ถูกใจมึงปะ”

ดวงตาของเกรียงไกรวาววับขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบไม่ปิดบัง ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ไม่ได้ต่อว่าใดๆ

“กับเกย์ก็ดีนะ ฟิตกว่าผู้หญิงอีก แถมไม่มีนมเด้งๆ มาดันมาเบียดให้รำคาญ”

คำตอบที่ได้รับทำให้เกรียงไกรตะลึงค้างไปเล็กน้อย รู้สึกมึนตึ้บขึ้นมาชั่วครู่ราวกับถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ ทว่าก็เรียกสติกลับมาได้ ก่อนจะผ่อนเสียงหัวเราะออกมา แม้จะเป็นเสียงหัวเราะแห้งๆ นิดหน่อย

“นี่มึงมาถูกทางแล้วเหรอเนี่ย กูนี่เป็นพระมาโปรดมึงแท้ๆ”

นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มคบกับผู้ชาย เรียกว่าฐานทัพเป็นผู้ชายคนแรกที่เขามีประสบการณ์ด้วยก็ว่าได้

แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ต้องการติดต่อกันอีกครั้ง คล้ายๆ กับว่าแค่เป็นผู้ชายรักสนุก ใช้ผู้ชายคนแล้วคนเล่าก็ทิ้ง ไม่คิดจะสานต่อหรือผูกมัดมาตั้งแต่แรก ดังนั้นหากเขาไม่ไปที่ผับนั้น คงไม่มีทางได้เจอร่างเล็กอีก แต่เมื่อปีที่แล้วเขากลับได้พบฐานทัพโดยบังเอิญ ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบสี่ปีเปลี่ยนไปไม่น้อยเลย

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ในปัจจุบัน...



แสงสว่างในยามเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ด้านหลังเปลือกตาราวกับถูกเข็มเล็กๆ แยงจนต้องเปิดตาขึ้น ใบหน้าคมคร้ามขยับเล็กน้อยมองร่างแบบบางที่อยู่ในอ้อมกอดอยู่ชั่วครู่ มือหนาแตะลูบเบาๆ ที่ใต้ขอบตาล่างเมื่อรู้สึกว่ามันแดงช้ำกว่าปกติ

กายสูงชันร่างขึ้นอย่างแผ่วเบา พยายามวางร่างเล็กอย่างเบามือไม่ให้รู้สึกถึงการขยับเขยื้อน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปหยิบถุงเจลสีฟ้าในตู้เย็นที่เขาซื้อมาประจำเอาไว้ในตู้เย็นด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่เพื่อใช้ลดอาการไข้ ถือมันกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง และวางลงเปลือกตาบางที่ยังปิดอยู่ค่อยๆ

สัมผัสเย็นยะเยือกที่ประทับลงบนตำแหน่งที่อ่อนไหว ทำให้มือเรียวขยับเล็กน้อย เลื่อนขึ้นมาเพื่อหยิบบางสิ่งที่วางอยู่บนหน้าออก แต่ก็ถูกเสียงทุ้มปราม

“วางเอาไว้อย่างนั้นแหละ ตาบวมหมดแล้ว”

“ขอโทษครับ”

เสียงแหบแห้งผิดปกติตอบกลับมา มือหนาจึงลูบศีรษะเล็กเบาๆ ภันวัฒน์พึมพำเสียงในลำคอราวกับลังเลว่าควรจะส่งไปถึงอีกคนดีหรือเปล่า ถึงกระนั้นก็ยังพูดออกมา

“ถ้าเหนื่อยนัก ก็หยุดเถอะ”










------------------
โผล่มาช่วงเทศกาลอีกแล้ว
ใจจริงอยากอัพตั้งแต่วันจันทร์แล้วค่ะ แต่ว่างานทับถมเหลือเกิน

ใครอ่านแล้วรู้สึกว่าไม่ต่อกับตอนเก่าที่เคยอ่านไว้
ย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้วอีกรอบนะคะ เพราะเรารวมตอนใหม่

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่ [6/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-02-2016 23:06:55
ไม่รัก ไม่มีเยื่อใย พึ่งพิงได้

อืม...ความสัมพันธ์แบบนิยามได้ยาก

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่ [6/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-02-2016 05:35:43
ความสัมพันธ์ที่แปลกดี
เกรียงไกรนี่ก็ส่งเสริมเพื่อนได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 5th Entry : เรื่องเก่าเล่าใหม่ [6/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 10-02-2016 14:43:57


อา... มีตัวละครใหม่โผล่มาแล้ว
แต่ไม่นะ ยังไงเราก็จะเชียร์พ่ออาทิตย์อัสดงกับหัวหน้าโจรต่อไป!!

เป็นกำลังใจให้ค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ ^^   :mew1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 6th Entry : หูทวนลม [14/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 14-02-2016 16:23:40
6th Entry : หูทวนลม






หากนิยามช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินจนเกือบดำเช่นนี้ คงเรียกได้ว่า ‘ยามวิกาล’ อย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งกลับกำลังยืนอยู่หน้าบ้านที่เคยมาเยี่ยมเยือนแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมกับกดปุ่มสัญญาณรัวๆ เพื่อเรียกคนที่อยู่ภายในให้ออกมา

ทันทีที่ประตูของตัวบ้านเปิดออก ก็ได้เห็นใบหน้ามุ่ยของเจ้าของบ้านแต่ไกล เจ้าตัวพาร่างสูงโปร่งในชุดเบาสบายเหมาะกับการนอนมายังประตูรั้ว และพ่นคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

“มาทำไมดึกๆ ผมต้องตื่นไปทำงานตอนเช้านะคุณ แล้วแทนที่จะเข้ามาเลยก็น่าจะโทรมาบอกก่อน”

“ก็ผมเพิ่งเสร็จงาน แล้วก็รีบเอาขนมมาเลย อีกอย่างคุณบล็อกเบอร์ผมด้วยไม่ใช่หรือไง”

คนไร้กาลเทศะเอ่ยอ้าง ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าของบ้านนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองทำเช่นนั้นจริงๆ แล้วระหว่างที่ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบกลับไป เสียงใหญ่ทุ้มก็ดังขึ้นอีก

“เปิดประตูสิครับ”

“คราวก่อนก็มาเสียเที่ยวไปรอบหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ คุณน่าจะจำได้แล้วนะ”

“นี่ผมอุตส่าห์มาเร็วกว่าคราวก่อนตั้งสองชั่วโมงเชียวนะ คุณก็จะน่าจะเห็นแก่ความพยายามของผมบ้าง”

ภันวัฒน์ไม่ยอมแพ้ ด้วยไม่อยากจะมาเสียเที่ยวอีก เพราะจะว่าที่นี่ไม่ไกลจากที่พักของเขาก็ไม่ใช่ แต่อาทิตย์อัสดงก็ใช่ว่าจะเห็นใจกัน

“แต่ผมง่วงแล้ว นี่เป็นเวลานอนของผม เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน คุณก็กลับบ้านไปได้แล้ว”

พูดเสร็จเท่านั้น ร่างโปร่งก็ทำท่าจะเดินเข้าบ้านไป แต่แล้วก็ต้องเหลียวหลังกลับไปอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงปริศนาที่ทำให้รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ลางร้ายมาเยือนเพราะเจ้าของร้านขนมไม่ยอมง่ายๆ ร่างสูงถือวิสาสะปีนประตูรั้วเข้าบ้านไปเฉยเลย จนอาทิตย์อัสดงเบิกตาที่สะลึมสะลืออยู่ขึ้นกว้าง

“เฮ้ยคุณ ปีนเข้าบ้านผมได้ไง”

“คุณง่วง ผมก็ง่วงเหมือนกัน ถ้าคุณบอกว่าจะชิมพรุ่งนี้ ผมรอพรุ่งนี้ก็ได้

“กลับออกไปครับ”

อาทิตย์อัสดงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ดวงตาเรียวจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง แต่คนหน้าด้านก็ยังไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด มีหน้ามาใช้มือดันหลังที่แคบกว่าที่คิดไว้เพื่อให้เจ้าบ้านเดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน

“เฮ้ยคุณ”

แม้ว่าร่างโปร่งจะพยายามจิกเท้าไม่ยอมทำตามอีกฝ่าย แต่เรื่องพลังกำลังเป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้วว่าสู้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องก้าวเข้ามาในบ้านพร้อมกับแขกยามวิกาลที่ไม่ได้อยากต้อนรับแม้แต่น้อย

เสียงถอนหายใจ ‘เฮ้อ’ ดังออกมาจากกลีบปากเรียวบาง อาทิตย์อัสดงทิ้งร่างบนโซฟา ขณะที่ภันวัฒน์ทำตัวเสมอเจ้าของบ้านเดินเอาขนมที่ใส่กล่องอย่างดีไปเก็บไว้ในตู้เย็น ล้างมือที่เมื่อครู่เพิ่งใช้พาตัวเองบุกรุกเข้ามา

“ผมเหนื่อยเหมือนกัน อยากจะพัก คืนนี้ขอนอนที่นี่แล้วกัน”

ร่างใหญ่เอ่ยอย่างนั้นพลางเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นอีกครั้ง หวังเป็นการขออนุญาต แม้จะรู้โดยไม่ต้องพินิจพิเคราะห์ให้มากความว่าคงไม่ได้รับการต้อนรับอย่างง่ายดายอยู่แล้ว แต่ก็ตกลงปลงใจแล้วว่าจะไม่ฟัง ยังคงยึดคติว่าเจ้าของบล็อก Tea Party ก่อความเดือนร้อนให้ตนเองอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจให้มากนัก จนเหมือนอาจจะดูหน้าด้านไปบ้าง ทว่าเมื่อเดินมาถึงโซฟา ก็ได้พบกับตอบที่ไม่คาดคิด

อาทิตย์อัสดงเลื้อยตัวหลับคาโซฟาไปแล้ว

ไม่รู้ทำไมเห็นภาพนั้นแล้วภันวัฒน์ถึงหลุดเสียงหัวเราะหึๆ ออกมา มันดูไร้เหตุผลและไร้คำตอบ แต่ก็ต้องยอมรับเสียงหัวเราะนั้น ก่อนทิ้งสายตาไว้ยังร่างที่เหยียดยาวเต็มโซฟาสีครีมจนเกือบขาว

ท่าทางจะเป็นคนที่ชอบสีขาวจริงๆ

มองร่างที่หากเทียบกับตนเองแล้วอาจเรียกได้ว่าผอมบางต่อไปอีกครู่หนึ่งก็ชักง่วงขึ้นมาบ้าง หน่วยตาคมเหลือบมองเพดาน ก่อนจะหลุบตาลงมองภาพตรงหน้าอีกรอบ ขบคิดว่าควรจะขึ้นไปนอนที่ชั้นบนดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็อ้าปากหาวแล้วเลือกที่จะ...เดินไปยังโซฟาตัวเดียวกัน และทิ้งร่างลงตรงว่างอันน้อยนั้น เพราะโซฟาที่เหลืออีกสองตัวเป็นแบบนั่งเดี่ยว





คงเพราะตื่นเวลานี้ทุกๆ วันไม่เว้นแม้แต่วันหยุด จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วที่จะลืมตาขึ้นได้โดยไม่ต้องมีนาฬิกาปลุก หากว่าไม่นอนผิดเวลา ก็จะตื่นราวๆ นี้เสมอ จะเรียกว่าเป็นหนุ่มอนามัยจัดก็คงไม่ผิดนัก

ทันทีที่ลืมตาขึ้นอาทิตย์อัสดงก็ยันร่างขึ้นพร้อมกับก้าวขาลงจากเตียง ทว่าในวันนี้จังหวะกลับผิดไป เพราะแทนที่จะได้เหยียบพื้นกลับเกือบหน้าคะมำเพราะสะดุดอะไรบางอย่าง เคราะห์ดีที่ปฏิกิริยาของร่างกายทำงานอย่างรวดเร็ว ทำให้สองมือยัดโต๊ะกลางที่ทำจากกระจกเอาไว้ได้ทัน ก่อนหน้าจะฟาดลงบนแผ่นใสไปเต็มๆ

หัวใจหล่นวูบนึกว่าจะกระเด็นหลุดออกมาเสียแล้ว แม้กระทั่งตอนนี้ที่ยังอยู่ในท่าโก้งโค้งก็ยังหอบหายใจราวกับไปวิ่งรอบบ้านมาสักสิบรอบ เสียงหายใจหอบถี่ประสานกับเสียงหัวใจเต้นระรัวอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โต๊ะกลาง

ห้องนั่งเล่น

และ...

เมื่อระลึกได้ว่าตนกำลังอยู่ที่ไหนก็หันหัวกลับไปหาต้นเหตุที่ทำให้เขาเกือบเลือดตกยางออกแต่เช้า เห็นร่างของคนคุ้นหน้ากำลังนอนแผ่สบายแล้วก็เบิกตาเหลือกกว้าง เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งนี้ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเต้นอยู่ตรงขมับเป็นจังหวะตุบๆ พร้อมกับลมหายใจและหัวใจที่กลับสู่สภาวะปกติ

เข้าใจแล้วว่าที่เขาสะดุ้งก็เพราะร่างบิ๊กเบิ้มนี่ ไม่ใช่อะไร

และในจังหวะเดียวกันนั้นก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกาลเทศะนั่นจะเปิดเปลือกตาขึ้นมา เหลือบมามองเขา ตามด้วยเปล่งเสียงที่มันฟังขัดหูชอบกลทั้งยังทำสีหน้าซื่อบื้อ

“ยืนท่าอะไรของคุณน่ะ”

รู้สึกตัวทันทีว่าตนเองกำลังยืนค้างอยู่ในท่าไหน ร่างโปร่งจึงรีบยืดตัวเต็มความสูงทันควันก่อนจะตอบคำถามนั้นกลับไป

“ก็สะดุดคุณนั่นแหละ ใครบอกให้มานอนบนโซฟา มิน่าเมื่อคืนนอนแล้วเหมือนโดนผีอำ อึดอัดเหมือนขยับตัวไม่ได้”

“เดี๋ยวนอนบนห้อง คุณก็บ่นอีก เลยนอนบนโซฟานี่ไงครับ แล้วนี่จะชิมขนมผมได้หรือยัง”

อีกฝ่ายตอบมาหน้าตาย เหมือนไม่รู้สึกสำนึกใดๆ ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังทวงถามได้หน้าตาเฉยจนอาทิตย์อัสดงต้องสูดลมหายใจแรงๆ

“ตื่นมาก็จะให้กินเลยนะ ผมไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟันหรือไง”

“ถ้าแปรงเดียวคุณก็บอกว่าชิมขนมไม่รู้รสอีก เพราะติดกลิ่นยาสีฟัน”

แต่ผู้บุกรุกก็ยังเถียง พานให้ร่างโปร่งอดจะทำหน้าหงิกขึ้นมาแบบอัตโนมัติไม่ได้ เพราะเหมือนโดนรู้ทัน สุดท้ายก็ต้องยอมตอบแบบขอไปที

“เออๆ เดี๋ยวชิมให้”

พูดเสร็จเจ้าตัวก็ขึ้นห้องไปอาบน้ำแปรงฟัน ส่วนภันวัฒน์ไปหาน้ำยาบ้วนปากในห้องน้ำชั้นล่างและเอาสบู่ที่อยู่แถวนั้นมาล้างหน้าล้างตา ก่อนจะนำขนมออกมาจากตู้เย็นพร้อมน้ำดื่มอีกหนึ่งแก้ว แถมเตรียมช้อนชาเอาไว้ให้เสร็จสรรพรอให้อีกฝ่ายลงมาจะได้จัดการได้เลย

เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง อาทิตย์อัสดงเหลือบตามองโต๊ะอาหารเล็กน้อย เพราะเหมือนทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ก่อนจะเดินไปหยิบแก้วน้ำมากระดกน้ำเข้าปากเพื่อให้ปากไม่มีรสยาสีฟัน จากนั้นชิมขนมที่สร้างความเดือดร้อนให้ แต่พอชิมแล้วก็บอกออกมาแค่สั้นๆ

“ไปทำกลับมาใหม่”

“เฮ้ย อะไรคุณ วิจารณ์สิว่ามันเป็นยังไง บอกแค่ว่าไปทำมาใหม่ผมจะรู้ได้ไง”

ภันวัฒน์โวยทันที แต่อาทิตย์อัสดงก็ยังทำหูทวนลมและบอกซ้ำราวกับแก้คำพูดของตนเอง

“ไม่ใช่ไปทำกลับมาใหม่สิ แต่เป็นไปทำใหม่อีกที”

เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายว่าแตกต่างกันตรงไหน ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ไม่คิดยอมรับ เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างโปร่งพลางถามพร้อมกับจับคางอีกฝ่ายขึ้น

“ลิ้นคุณมีปัญหาหรือเปล่า ไหนดูซิ”

มิหนำซ้ำยังบีบแก้มเพื่อให้เจ้าของลิ้นที่ว่ายอมอ้าปากออกแต่โดยดี และชะโงกหน้าไปดูลิ้นใกล้ๆ เสียอีก

อาทิตย์อัสดงตาเหลืออีกขึ้นอีกรอบ พยายามขยับตัวถอยหนี แต่เพราะคีมเหล็กที่ล็อกคางตนเองอยู่ยังไม่ยอมปล่อยออกง่ายๆ จึงต้องใช้มือปัดออกแทน ก่อนจะหลุดเป็นอิสระได้

“คุณบ้าหรือเปล่า”

“ก็แค่จะดูว่าลิ้นคุณปกติไหม ทำไมถึงบอกว่าขนมผมไม่อร่อย”

“ไม่ใช่มันไม่อร่อย แต่ส่วนผสมมันยังไม่ดี”

ได้ยินดังนั้นก็อดคิดตามไม่ได้ จะว่าไปมันก็จริงเพราะเขายังไม่เคยได้ยินเจ้าของบล็อกคนนี้พูดเลยสักครั้งว่าขนมเขาไม่อร่อย แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันไม่ดีตรงไหน คิดจนคิ้วขมวดเข้าหากันอยู่สักพัก เสียงของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ดังขึ้นราวกับจะทำลายสมาธิ

“ผมถามจริงเถอะ คุณเป็นเกย์หรือเปล่า ถึงได้มาเที่ยวบีบปากขอดูลิ้นผู้ชาย”

ใบหน้าขาวตี๋ติดแววระแวดระวังเหมือนไม่ไว้ใจ แต่ก็คงไม่ผิดนัก หากลองพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่บุคคลตรงหน้ากระทำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ส่อพฤติกรรมไปทางนั้นแล้วเสียส่วนมาก ซึ่งภันวัฒน์ก็ไม่คิดปฏิเสธแม้จะฉุกคิดไปเล็กน้อยกับคำระบุรสนิยมที่ชัดเจน

“จะเรียกว่าเป็นเกย์ก็คงได้ล่ะมั้ง”

ได้ยินเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงก็เขยิบตัวออกห่างอีกนิด ถามอย่างหวาดเกรงปนงงๆ เพราะฟันธงกับตัวเองไปแล้วครึ่งหนึ่งว่าใช่ แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกับคำตอบครึ่งๆ กลางๆ

“หมายความว่าไง”

“จริงๆ ผมก็ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิงล่ะนะ แต่พักหลังๆ นิยมผู้ชายมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีผู้หญิงที่ตรงสเปกผม”

“เหรอ”

ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดีเมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็คิดว่าควรจะต้องระวังๆ ผู้ชายคนนี้ไว้บ้างแล้ว เพราะถึงแม้ตนเองจะไม่ได้มีอคติหรือรังเกียจคนที่มีรสนิยมต่างกัน แต่แนวโน้มที่อีกฝ่ายจะทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังก็มีมาก หากทบทวนถึงสิ่งที่เขาเคยประสบมาจากคนคนนี้

“เรื่องขนม เดี๋ยวเสาร์นี้ผมจะทำมาให้ชิมอีกแล้วกัน”

เห็นท่าว่าบล็อกเกอร์หนุ่มจะทิ้งจิตไว้กับเรื่องเมื่อครู่มากไปหน่อย ภันวัฒน์จึงดึงร่างโปร่งกลับมาสู่บทสนทนาที่ต้องการอีกครั้ง แต่แล้วก็ได้รับคำปฏิเสธ

“เสาร์อาทิตย์นี้ผมไม่ว่าง มีคนจ้างไปรีวิวร้านขนมที่ต่างจังหวัด”

“ถ้างั้นผมขอไปด้วย”

“เฮ้ย” เสียงร้องหลุดดังก่อนจะรู้ตัวเสียอีก อาทิตย์อัสดงรู้สึว่าตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้ เขาก็หลุดเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นคำนี้บ่อยเสียเหลือเกิน “ทำไมคุณต้องตามไปด้วย”

“ก็ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากนี่ครับ ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานมากขึ้น ผมก็ยิ่งขาดรายได้สิ ตอนนี้ผมก็ขาดรายได้จาการขายขนมไปหนึ่งชิ้นแล้ว”

คล้ายกับว่าจะเป็นการตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้สึกสำนึกผิดอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งแท้จริงเขาก็ต้องการแฝงเจตนานั้นเอาไว้ ทว่าก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะหลังจากงดขาย Sweet Butterfly ได้สักพัก เขาก็เพิ่มขนมเมนูใหม่เข้าไปแทนเพื่อชดเชยในส่วนนั้น

ใครจะบ้างดขายแล้วเสียรายได้ไปฟรีๆ ตั้งสองเดือนกัน

“งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าการเจรจาเสร็จสิ้น ภันวัฒน์ก็ออกตัวอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากบ้านเดี่ยวสีขาวหลังเล็กไป

อาทิตย์อัสดงมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยหลังจากผู้บุกรุกยามวิกาลกลับไปแล้ว พลางคิดไปว่าตัวเองแสดงตัวออกไปเสียขนาดนั้น และอีกฝ่ายก็ยอมกลับไปง่ายๆ แต่โดยดีคงไม่คิดจะตามเขาไปในวันสุดสัปดาห์นี้อย่างที่บอกไว้หรอก เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ถามว่าเขาไปที่ไหน กี่โมง





เสื้อผ้าถูกเก็บลงกระเป๋าอย่างเรียบร้อย เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางในช่วงสองวัน อาทิตย์อัสดงวางแผนไว้ในหัวตนเองว่าหลังจากไปทำงานตามที่ถูกว่าจ้างมาเสร็จ จะขับรถสำรวจภายในจังหวัดนั้นเพื่อเสาะหาร้านขนมหวานร้านอื่นๆ เพื่อรีวิวเพิ่มเติม เพราะไหนๆ ก็ได้เดินทางมาแล้ว จึงไม่อยากปล่อยให้เสียเที่ยว

การรับงานว่าจ้างรีวิวร้านขนม เดิมทีแล้วไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะการสร้างบล็อกและการรีวิวขนมล้วนต่างเริ่มมาจากความชอบส่วนตัวทั้งนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ก็มีผู้คนเข้ามาติดตามบล็อกของเขามากขึ้น มีคนลองไปกินตามร้านที่เขาอัพไว้ในบล็อกและคอมเมนต์ตอบกลับมาบ้าง จนการอ่านคอมเมนต์ในบล็อกกลายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว

อารมณ์คงคล้ายๆ พวกคนแต่งนิยายกระมัง เมื่อเห็นคนเข้ามาอ่านสิ่งที่เราเผยแพร่ออกไปด้วยความรักและได้รับการตอบรับที่ดีย่อมทำให้รู้สึกยินดีปีติ แม้ว่าสิ่งที่เขาอัพในบล็อกจะไม่ใช่เรื่องราวน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นเพียงข้อความสั้นๆ พร้อมรูปประกอบ แต่หากมันทำให้คนที่ได้อ่านมีความรู้สึกร่วมด้วย เขาก็รู้สึกประทับใจ

เมื่อมีผู้คนเข้ามาติดตามมากขึ้น เป็นที่พูดถึงมากขึ้น ก็พลอยให้มีคนสนใจในตัวเขา หรือ Sunset ผู้เป็นเจ้าของบล็อก Tea Party มากขึ้น และมันก็เกิดเป็นกระแสอ่อนๆ ขึ้นมาว่าหากร้านขนมร้านไหนถูกอัพในบล็อกของเขา จะมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการว่าจ้าง แม้ว่าเขาจะไม่ทิ้งที่อยู่ติดต่อใดๆ ไว้ในบล็อกนอกจากข้อความทางบล็อกเลยก็ตาม

นับแต่นั้นมาก็เริ่มมีการว่าจ้างให้เขาไปรีวิวร้านขนมเป็นระยะ ซึ่งค่าจ้างไม่ได้มากมาย เพียงแค่ออกค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางและค่าที่พักอาศัยให้ พร้อมกับค่าเสียเวลาเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ยินดีแล้ว ดีเสียอีก เพราะเขาจะได้ไปชิมขนมในร้านต่างๆ ที่ห่างกไกลโดยที่สามารถไปตัวเปล่าได้ ไม่มีอะไรต้องเสียเลย

อาทิตย์อัสดงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังจากกดปิดโทรศัพท์เมื่ออ่านข้อความในบล็อกของตนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนอน จากนั้นดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหน้าอก ปิดเปลือกตาลง เพียงนึกถึงวันพรุ่งนี้ก็เริ่มรู้สึกอยากให้ถึงเร็วๆ เสียแล้ว ซึ่งพรุ่งนี้ก็ไม่ยาวนานอย่างที่คิด ลืมตาอีกครั้งก็พบว่าเป็นวันใหม่แล้ว

ร่างโปร่งตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันจนเรียบร้อยก่อนจะหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กที่มีเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนเพียงหนึ่งคืนแล้วจึงเดินลงไปชั้นล่าง ภายในบ้านยังเงียบสงบเหมือนเคย เพราะเขาอาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังมาห้าปีแล้ว นับตั้งแต่พ่อกับแม่ที่อายุมากเสียชีวิตไป

เขาเป็นลูกหลง อายุห่างจากพี่สาวสิบหกปี ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พ่อกับแม่จะสูงวัยมากเมื่อเขาอายุได้ยี่สิบสามปี พ่อกับแม่เสียชีวิตในช่วงไล่เลี่ยกันเพราะโรคของคนชรา ส่วนพี่สาวมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เขาจึงต้องอาศัยอยู่คนเดียวในบ้านหลังเก่า

อาหารเช้าเป็นไปอย่างง่ายๆ เช่นเคย อาทิตย์อัสดงกินเพียงแค่โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปซองเดียวเป็นการรองท้องเท่านั้น เพราะตั้งใจว่าจะไปหาอาหารเช้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะเมื่อถึงที่หมายแล้ว เนื่องจากว่าครั้งนี้เขาไปแค่ชลบุรีจึงไม่ถือว่าเป็นการหิ้วท้องรอนานจนเกินไป

เมื่อล้างชามเรียบร้อยก็ได้เวลาออกเดินทาง ร่างโปร่งสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าอีกครั้ง ก่อนจะก้าวออกจากบ้าน ทว่าเพียงก้าวเดียวที่พ้นจากประตูเขาก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยน อุทาน ‘เฮ้ย’ อย่างลืมตัว เพราะร่างสูงใหญ่คุ้นตานั่งปักหลักรออยู่

“คุณปีนประตูบ้านผมเข้ามาแบบนี้ ผมแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกได้นะ”

ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงตัดใจ ไม่ก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะไม่มีการติดต่อมาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ไม่นึกว่าจะมานั่งรอกันหน้าบ้านขนาดนี้

“หูย คุณ อย่าใจแคบเลยน่า”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากฝ่ายนั้นทำให้คิ้วของบล็อกเกอร์หนุ่มกระตุกยิบ มันฟังเหมือนว่าเขาเป็นคนผิดมากกว่าคนที่เป็นฝ่ายผิดตัวจริงเสียอีก

“ใจแคบอะไร ก็คุณบุกรุกบ้านผมชัดๆ”

“เรื่องเล็กน้อยเอง อีกอย่างผมไม่ได้ทำความเสียหายให้บ้านคุณสักหน่อย”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่คุณก็ควรจะรู้จักกาลเทศะบ้างนะครับ”

ท้ายประโยคร่างโปร่งกดเสียงต่ำเข้มกว่าปกติเป็นเท่าตัว ราวกับจะย้ำว่า ‘อย่างน้อย’ แต่คนที่ถูกเตือนกลับไม่ยี่หระ ภันวัฒน์ยักไหล่แบบสบายๆ ตอบกลับมาสั้นๆ

“หยุมหยิมน่าคุณ”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ จากตรงไหนสักแห่งแถวหัวของตนเอง ไม่แน่ใจว่าเป็นขมับหรือกลางหว่างคิ้วกันแน่หลังจากได้ยินคำตอบนั้น แล้วได้แต่บอกตนเองว่าพูดไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะอย่างไรคนตรงหน้าก็หน้าด้านเกินลิมิตชาวบ้านอยู่แล้ว ทำไมถึงลืมไปได้

“แล้วคุณมาที่นี่ทำไม”

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ยังเอ่ยถามออกมา เพราะหากพูดให้ชัดเจน เขาก็จะได้ปฏิเสธให้ชัดเจนได้

“ก็จะไปต่างจังหวัดกับคุณด้วยไงครับ”

ภันวัฒน์ตอบกลับมาด้วยโทนเสียงเย็นสบายระคนสดชื่น คล้ายกับอมลูกอมรสมินต์ แต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกร้อนรุ่มเหมือนกำลังถูกอังด้วยเตา

“ผมไม่ได้อนุญาตให้คุณไปด้วยเลยนะครับ”

“ไปคนเดียวน่าเบื่อออกจะตาย ไปสองคนนั่นแหละดีแล้ว”

“ผมไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น”

“แต่คุณก็คงตั้งใจไป ‘เที่ยวเล่น’ ด้วยไม่ใช่หรือไงครับ”

เหมือนกับโดนอ่านความคิด อาทิตย์อัสดงรู้สึกอย่างนั้นเพราะน้ำเสียงที่เน้นย้ำคำอย่างชัดเจน อีกทั้งฝั่งนั้นยิ้มเหยียดยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ดูปราดเดียวก็รู้สึกว่ามันเหมือนจะรู้ทันและต้องการหยอกเย้าให้เขาโมโห

“มันก็เรื่องของผม คุณบอกว่ามีงานเยอะ ไม่มีเวลาว่างไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะตามผมมาทำไม”

“คุณคงเคยได้ยินคำพูดของซุนวูใช่ไหมล่ะครับ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

ร่างสูงทำหน้าเหนือกว่า พานให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนตนเองโดนไล้ต้อนอย่างไรอย่างนั้น ถึงกระนั้นก็ยังยอกย้อน

“ไม่เห็นเกี่ยว”

“เพราะผมไม่รู้เหตุผลที่คุณปฏิเสธขนมของผม เพราะฉะนั้นผมก็ต้องทำความรู้จักคุณเสียก่อน ผมจะได้รู้ว่าคุณมีวิจารณญาณแบบไหนถึงได้ตัดสินขนมของผมออกมาแบบนั้นไง”

“มันไม่จำเป็นเลยสักนิด” ลมหายใจแห่งความเบื่อหน่ายถูกพ่นออกมาจากจมูกของหนุ่มหน้าขาว “ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนขนาดนั้นแม้แต่น้อย แต่ถ้าคุณยังมองไม่เห็นจุดบกพร่องในขนมของตัวเอง ผมว่าคุณยังขาดคุณสมบัติของการเป็นปาติซิเย่ที่ดีอยู่”

เหมือนจะหวดไม้เข้าใส่ถูกจุด ร่างของภันวัฒน์แข็งกึกไปครู่หนึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับความรู้สึกที่พุ่งหลาวจากปลายเท้าและแล่นจี๊ดขึ้นมาถึงก้านสมอง

“เอาเป็นว่าผมตัดสินใจว่าอย่างนั้น”

คำพูดที่หลุดออกมาในประโยคต่อไปทำให้คนฟังงุนงงไม่น้อย ไม่เข้าใจว่า ‘ตัดสินใจว่าอย่างนั้น’ ที่ว่าคืออะไร และไม่มีเวลาเผื่อให้คิด เพราะจู่ๆ ก็ถูกคว้ามือเอาไว้อย่างเร็วพลันพร้อมกับร่างถูกลากให้เดินออกไปทางประตูรั้วด้วยกัน

“เฮ้ยคุณ อะไรเนี่ย”

“ก็จะไปทำงานของคุณไง”

ภันวัฒน์บอกแค่นั้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างฉวยกุญแจบ้านในมือเรียวไปอย่างถือวิสาสะ เปิดประตูรั้วตรงหน้าเสร็จ ก็ตามด้วยเปิดประตูรถของตนเองที่จอดรออยู่หน้าบ้านและผลักร่างที่เล็กกว่าเข้าไป

“ผมไม่ได้จะไปกับคุณ”

บล็อกเกอร์หนุ่มร้องออกมาและอาศัยช่วงที่ร่างใหญ่หันไปล็อกประตูบ้านเพื่อลงจากรถ ทว่าเมื่อลงมาแล้วก็ต้องประจันหน้ากับอีกฝ่ายที่หันกลับมาพอดี

ภันวัฒน์จ้องหน้าอาทิตย์อัสดงนิ่ง ซึ่งร่างโปร่งก็ทำเช่นเดียวกัน ราวกับทั้งสองคนกำลังต่อสู้ทางสายตา ทว่าครู่ต่อมาเสียงทุ้มใหญ่ก็ดังขึ้นดั่งจะปิดกั้นทางเลือกจนมิด

“เลือกเอาว่าคุณจะไปกับผม หรือว่าจะให้ผม-จูบ-คุณ-อย่าง-ดูด-ดื่ม-ตรง-นี้”

จากที่จ้องตาเพื่อเอาชนะกลับกลายเป็นว่าดวงตาแข็งทื่อไปแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าประสาทสัมผัสหยุดทำงานไปชั่วคราว และยังไม่ทันจะได้ขยับร่างกายหรือว่าต่อต้านด้วยคำพูดใดๆ เสียงจากอีกฝ่ายก็ดังข่มขึ้นอีก

“ผมไม่เดือดร้อนหรอกนะ เพราะยังไงผมก็เป็นเกย์อยู่แล้ว อาจจะเรียกว่าได้กำไรด้วยซ้ำ แต่ว่าคุณ...” หน่วยตาคมเหลือบมองอย่างเจ้าเล่ห์แฝงนัยแห่งชัยชนะของผู้เหนือกว่า “คงไม่อยากได้กำไรหรอกใช่ไหมครับ”

ไม่เพียงแค่ข่มขู่ด้วยคำพูด แต่ยังโน้มใบหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาพอประมาณเข้ามาใกล้ จนอาทิตย์อัสดงที่ได้สติอย่างฉับพลันเพราะลมหายใจที่รดลงบนหน้า ต้องเอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลีกหนี

และสุดท้ายก็จนมุม

“โอเคๆ ผมยอมก็ได้”

คำตอบที่รอคอยอยู่แล้วเรียกรอยยิ้มพอใจจากกร่างสูงใหญ่กว่าได้ ภันวัฒน์ยักไหล่อย่างสบายๆ ก่อนพูดออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ก็แค่เนี้ย”

ทว่าสำหรับอาทิตย์อัสดงแล้ว เจ้าตัวขดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะพันได้ พึมพำกับตัวเอง ‘แค่เนี้ยกับผีดิ’ ก่อนจะต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่ามือใหญ่ยื่นมาจับประตูให้เปิดกว้างกว่าเดิม

“เชิญครับ”

หากไม่นับตอนเป็นเด็ก นี่คงเป็นครั้งแรกเลยกระมังที่มีผู้ชายมาเปิดประตูรถให้

ร่างโปร่งเก้ๆ กังๆ พลางรู้สึกแปลกๆ ที่ถูกปฏิบัติด้วยแบบนี้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นการบีบบังคับกลายๆ ให้เขาขึ้นรถเสียมากกว่า แต่ก็อดรู้สึกแบบนั้นไม่ได้ ก่อนจะจำใจยอมขึ้นรถไป

ประตูรถปิดลงตามหลังเมื่อร่างอาทิตย์อัสดงถึงเบาะ จากนั้นภันวัฒน์ก็เคลื่อนตัวมายังที่นั่งฝั่งคนขับ ขยับขึ้นนั่งที่ประจำ

ทั้งที่การเคลื่อนไหวทุกอย่างดูเรียบง่าย ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ร่างโปร่งกลับรู้สึกเหมือนไม่พอใจตงิดๆ

อาจเพราะเมื่อมองใบหน้าของร่างสูงแล้วกลับเห็นรอยยิ้มติดอยู่เหมือนพึงพอใจเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำยังมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังมาจากร่างนั้นอีกก็เป็นได้







----------------------
วันพิเศษมา เราก็มา orz

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 6th Entry : หูทวนลม [14/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-02-2016 19:39:44
บุกรุก ข่มขู่ คุกคาม ลักพาตัว

ยังข้อหาไหนที่ปาติซิเยคนนี้ยังไม่ได้ทำบ้าง?
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 6th Entry : หูทวนลม [14/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 16-02-2016 17:05:06


คุณคะ!!! บอกอิชั้นหน่อยเถิดว่าพ่อพระเอกเป็นปาติซิเย่ที่ตรงไหน
ไอ้สิ่งที่คุณภัณทำน่ะมันคุณสมบัติอันดีของอาชญากรชื่อกระฉ่อนโลกทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอคะ?
แล้วพ่อ sunset ของป้า... หนูต้องหัดขัดขืนพ่อหัวหน้าโจรบ้างไรบ้าง คนอ่านจะได้ได้กำไรเพราะเห็นหนูโดนจูบค่าที่พยศบ้างยังไงคะลูก คืนความสดใสและกำไรให้แก่คนอ่านน่ะค่ะลูก ทำเป็นไหม?... เดี๋ยว!!!

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^  :L2:

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 6th Entry : หูทวนลม [14/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 19-02-2016 11:22:40
สนุกและฮามากครับ
เรื่องนี้พระเอกคงเป็นโจรที่ทำขนมได้อร่อยที่สุด
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 6th Entry : หูทวนลม [14/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: imfckwn ที่ 19-02-2016 12:07:08
555555555555555

น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 7th Entry : กระชับมิตร [28/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 28-02-2016 16:11:46
7th Entry : กระชับมิตร






ภายในห้องโดยสารเงียบสงัดทันทีที่เครื่องยนต์ทำงาน รถยนต์สีเทาดำเคลื่อนตัวออกอย่างไม่เร่งรีบ เครื่องปรับอากาศกำลังทำให้อากาศในพื้นที่คับแคบนี้เย็นสมดุลกันทุกตารางนิ้ว

“คุณรู้เหรอว่าจะต้องไปที่ไหน”

เมื่อใกล้ถึงป้อมยามหน้าหมู่บ้านมากขึ้นไปทุกที เสียงของบล็อกเกอร์หนุ่มก็ดังขึ้นถามอย่างอดไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายทำเหมือนรู้ถึงจุดหมายของเขาทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาก็ทำให้แทบอ้าปากค้างเช่นเคย

“ไม่รู้หรอก”

“แล้วคุณไม่คิดจะถามผมหรือไง เกิดไปผิดทางจะว่ายังไงล่ะครับ”

ปลายเสียงสะบัดเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าภันวัฒน์จะตอบหน้าตายได้ขนาดนี้

ต่อมทุกข์ร้อนของหมอนี่อาจจะพังย่อยยับมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ได้กระมัง หรือไม่ก็คงไม่มีมาตั้งแต่เกิด

เหมือนกับเยื่อหุ้มหนังหน้าที่ทำด้วยซีเมนต์นั่นแหละ

“ผมก็รอคุณบอกอยู่ไงครับ”

ปวดประสาท

คำเดียวเลยจริงๆ ที่อาทิตย์อัสดงรู้สึกได้ในตอนนี้ อยากจะเอามือขึ้นมากุมหัวแล้วทุบๆ ให้รู้สึกว่าอะไรที่แล่นปึกๆ อยู่ในสมองหลุดออกไป พลางคิดว่าหากต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้ต่อไปอีกหน่อย เขาอาจจะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

“ผมจะไปชลบุรี”

“โอเค ว่าแต่คุณกินอะไรมาหรือยัง”

เจ้าของร้านขนมพ่วงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมตอบอย่างสบายๆ ตามด้วยถาม ทำให้คนฟังไพล่นึกไปถึงอาหารมื้อนั้นขึ้นมา

เนื้อกับหมูย่าง...

แค่นึกก็อิ่มแล้ว จึงรีบออกปากปฏิเสธอย่างเร็วพลัน เพราะกลัวว่าจะต้องแวะข้างทางแล้วต้องกินข้าวเป็นเพื่อนอีกฝ่ายอีก

“กินแล้วครับ แล้วก็ไม่อยากกินอะไรเพิ่มแล้วในตอนนี้”

ทว่าภันวัฒน์กลับเหมือนไม่ได้ยินคำตอบอย่างไรอย่างนั้น ยังคงพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการต่อไป จนอาทิตย์อัสดงนึกชื่นชมขึ้นมาอยู่ในใจ

ยังเป็นคนที่คงเอกลักษณ์ ‘หน้าด้าน’ ได้อย่างถึงที่สุดจริงๆ

“ผมทำขนมมาให้คุณชิมด้วย”

“คุณไม่ได้ยินคำตอบของผมเหรอครับ”

“ได้ยินชัดเจนเลย”

“แล้วคุณยังจะให้ผมกินอีกเพื่อ?”

“ว่ากันว่าอาหารกับขนมมันแยกกระเพาะกันนา”

ประโยคที่ว่ามาจากน้ำเสียงที่เหมือนจงใจปรับให้ดูไร้เดียงสาเป็นพิเศษ ซึ่งมันสร้างความหมั่นไส้ได้มากกว่า

“คุณมีสี่กระเพาะหรือไงครับ”

“ถ้ามีอย่างนั้นก็คงดีน่ะสิ กระเพาะแรกไว้เก็บอาหาร กระเพาะสองไว้เก็บขนม กระเพาะสามไว้เก็บเครื่องดื่ม ส่วนกระเพาะสี่ไว้เก็บอะไรดีล่ะคุณ”

ยังมีหน้ามาเล่นลิ้น ดวงหน้าคมเข้มหันมาทางคนที่สนทนาด้วยพลางเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าทะเล้นยียวน จนอาทิตย์อัสดงช่วยตอบคำถามให้ในใจ

ปากอย่างนี้น่าเก็บ ‘ตีน’ ชาวบ้านนะ

“หรือจะเก็บ ‘คน’ ดี”

เสียงทุ้มดังอีกระลอกเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งเบาะข้างๆ ยังคงเงียบ แต่ว่าแววตาที่สะท้อนมองเขากลับมาไม่ได้เงียบตามไปด้วย มันเคลือบไว้ด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจน ถึงโง่ก็มองออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร ซึ่งมันก็ทำให้ภันวัฒน์รู้สึกสนุกอย่างไรชอบกล

ปกติเขาก็เป็นคนที่เรียกได้ว่าชอบเล่นสนุกอยู่แล้ว พอมาเจอปฏิกิริยาแบบนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกสนุก

“ขนมอยู่ไหนล่ะครับ”

เหมือนจะตัดรำคาญ หรือไม่ก็ไม่อยากสานต่อบทสนทนาเชิงนี้ต่อไปอีก ร่างโปร่งจึงโพล่งขึ้นเช่นนั้น ซึ่งภันวัฒน์ก็ยักไหล่เบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก

“เบาะหลังน่ะ แต่คราวนี้คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนด้วย ผมไม่รับคำตอบแค่ว่า ‘ไปทำมาใหม่’ หรือ ‘ไปทำอีกที’ แล้วนะ”

อาทิตย์อัสดงตีหน้าเฉยแล้วเอียวตัวไปหยิบกล่องพลาสติกซึ่งวางอยู่บนเบาะหลังมา เมื่อเปิดฝาออกก็พบว่ามีช้อนวางอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว ราวกับเตรียมพร้อมอย่างรู้งาน พานให้อดเหลือบมองคนที่กำลังขับรถอยู่ไม่ได้

สักพักก็ดึงสายตากลับมา ขนมยังคงมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิม ดูสวย น่ารัก ชวนกิน ร่างโปร่งหยิบช้อนขึ้นมาจ้วงชิ้นเค้กไปแบบพอดีคำก่อนส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียดพิถีพิถันคล้ายกับจะซึมซับทุกอณูสัมผัสและรสชาติเข้าไป จากนั้นก็วางช้อนลง

ภาพเมื่อครู่นี้เข้าสู่สายตาของภันวัฒน์เป็นพักๆ เพราะเขาเหลือบมองเป็นระยะด้วยตั้งตารอคอยคำตอบ ในใจรู้สึกลุ้นไปด้วยว่า ‘คราวนี้แหละจะต้องสำเร็จ’ ทว่า...

“ผมว่าคุณเสียเอกลักษณ์ของขนมชิ้นนี้ไปแล้วนะ”

เหมือนฟ้าผ่ากลางหัว ภันวัฒน์แทบเหยียบเบรกกะทันหัน ดีว่าดึงสติไว้ได้ทันจึงค่อยๆ เลื่อนรถเข้าจอดข้างทาง และเปิดไฟขอทางเอาไว้

“หมายความว่าไง”

“ก็อย่างที่ผมพูดนั่นแหละครับ”

คำตอบที่ได้รับมาไม่ชัดเจนเอาเสียเลย ช่างทำขนมที่ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนเพราะเข้าคอร์สเรียนมาจากอังกฤษนิ่งอึ้ง และคงด้วยความสงสัยหรืออาจจะเป็นรำคาญสักอย่าง อาทิตย์อัสดงจึงระบายลมหายใจออกมาทางจมูก ก่อนจะใบ้ให้

“คุณคิดว่าเอกลักษณ์ของขนมชิ้นนี้คืออะไรครับ”

“กลิ่นหอมของเนย และความเข้ากันของรสชาติกับซอสสตรอเบอร์รี่”

“คุณก็เข้าใจถูกนี่ครับ แล้วทำไมถึงทำขนมแบบนี้ออกมาให้ผมกินล่ะ”

ไม่ต่างจากโดนฮุคด้วยหมัดขวาเต็มเหนี่ยว ภันวัฒน์รู้สึกหน้าชามึนงงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบช้อนที่ถูกทิ้งไว้ในกล่องบนตักของร่างด้านข้าง และตักขนมที่เพิ่งถูกกินไปคำเดียวเข้าปาก เคี้ยวรสชาติที่อยู่แทรกอยู่ภายในชิ้นนุ่มเด้งเหมือนฟองน้ำ ก่อนจะต้องเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิวต่างจากทุกที

“ขอโทษครับ”

มันไม่ได้รสชาติแย่ แต่ก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่ามา รสชาติที่กลมกล่อมเข้ากันดีเสียสมดุลจนมีรสของซอสสตรอเบอร์รี่แหลมปรี๊ดขึ้นมา

“ผมจะบอกคุณตรงๆ ก็ได้”

เห็นท่าทีที่ผิดแผกไปจากทุกทีของร่างสูง อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก สีหน้าสลดทำให้เหมือนมีอะไรแหลมๆ แทงจึกตรงหัวใจจนน่ารำคาญ และมันก็ทำให้รู้สึกว่าตนเองกำลังทำเรื่องที่ผิด ทั้งที่มันไม่ได้ผิดเลยสักนิด

“ขนมของคุณน่ะ อร่อยครับ แต่ที่บอกว่ามีจุดบกพร่องตามหมายเหตุก็เพราะว่ามันหวานไปนิด แต่ก็แค่นิดเดียว แล้วก็ค่อนข้างจะมัน ผู้หญิงส่วนมากไม่ค่อยชอบของมันๆ เท่าไร ยิ่งเป็นเนยที่เป็นไขมันอิ่มตัวด้วยแล้ว มันสลายยาก ถ้าคุณลดปริมาณเนยที่ปาดบนหน้าให้บางที่สุด ก็น่าจะช่วยได้ เพราะเนยในเนื้อแป้งผมว่ามันกำลังดีอยู่แล้ว”

“.....”

ความเงียบเข้ามาปกคลุมระหว่างคนทั้งคู่ อาทิตย์อัสดงไม่มีอะไรจะต้องพูดต่อ ในขณะที่ภันวัฒน์พูดอะไรไม่ออก

เขามองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้อย่างไร ทั้งที่มันเป็นปัจจัยสำคัญแท้ๆ

อาจจะเป็นเรื่องสมควรแล้วก็ได้ที่ได้รับการรีวิวจากอีกฝ่ายแบบนั้นจนเกิดผลกระทบขึ้นกับร้าน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่รู้ตัวไปตลอดว่าตนเองทำผิดพลาดไปในฐานะปาทิซิเย่

“...ขอบคุณครับ”

ไม่มีคำใดที่จะเอื้อนเอ่ยได้มากกว่าคำนี้ ภันวัฒน์รู้สึกเช่นนั้นจากใจจริง สำนึกตัวแล้วว่าตนเองเป็นคนผิด อาจจะตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เขามองดูแต่คนอื่นจนหลงลืมมองดูตัวเอง

“ถ้าผมจะทำขนมมาให้คุณชิมใหม่ คุณจะรังเกียจไหม”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามีน้ำหนักมากกว่าครั้งไหน ไม่ใช่ในแง่ของระดับความดัง เพราะเสียงที่ส่งออกมาเบากว่าที่ผ่านมาทั้งที่เป็นถ้อยคำง่ายๆ แต่เป็นการแฝงความรู้สึกสำนึกจากใจ ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็สัมผัสได้ถึงความหนักอึ้งที่อีกฝ่ายแบกรับอยู่

“ก็ได้ครับ แต่อย่ามาดึกๆ ดื่นๆ รบกวนการนอนของผมอีกล่ะ”

ประโยคท้ายทำให้ใบหน้าที่สลดลงเมื่อครู่กลับมาผลิยิ้มได้อีกครั้ง และไม่รู้ทำไมความรู้สึกว่าช่องอกแคบลงจนอึดอัดเมื่อครู่ของร่างโปร่งจึงหายไป ตัวเบาสบายขึ้นอย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์อัสดงย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“แล้วอีกอย่าง”

เสียงทุ้มต่ำดังมาอีก คราวนี้ฟังได้ชัดเจนขึ้น ไม่มีความรู้สึกอื่นๆ สอดแทรกมาให้หดหู่หรือกดดันไปด้วย บล็อกเกอร์หนุ่มจึงจับจ้องใบหน้าที่หันมาทางตนอย่างเต็มที่

“ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณนะ”

เหมือนจะเป็นคำถาม แต่ก็ไม่ใช่คำถามหรือเปล่า?

อาทิตย์อัสดงนึกสงสัยในใจ แต่ก็ประหลาดใจในเวลาเดียวกันที่อยู่ๆ ก็ถูกขอแบบนั้น

“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ”

“ก็มันน่าเสียดายนี่นา ที่ถ้าจบเรื่องขนมแล้วผมกับคุณจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปเลย ไหนๆ ก็รู้จักกันแล้ว แล้วคุณก็ชอบขนมมากๆ ด้วย หรือคุณไม่คิดว่ามันดีเหรอ ที่มีเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ผู้ชายที่ชอบขนมหวาน หายากออกจะตาย”

เหตุผลที่ร่างสูงกล่าวออกมาฟังขึ้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเอาเข้าจริง แม้แต่ในที่ทำงานของอาทิตย์อัสดงก็ไม่มีผู้ชายคนนั้นชอบกินขนมเลยสักคน หลายๆ คนมองว่ามันเป็นเรื่องที่เหมาะกับผู้หญิงด้วยซ้ำ

“อย่างนั้นก็ได้ครับ”

หลังจากได้ยินคำตอบ ภันวัฒน์ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ พูด ‘ขอบคุณ’ เบาๆ ก่อนจะเคลื่อนรถออกจากจุดที่จอดอยู่ไปอีกครั้ง





ไม่ถึงสามชั่วโมง ทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย มันเป็นโรงแรมขนาดกลางที่ผู้ว่าจ้างของอาทิตย์อัสดงจองไว้ให้ และก่อนจะไปถึงเคาน์เตอร์เช็กอิน ร่างโปร่งก็พลันนึกได้

“คุณพักที่ไหนน่ะ”

“ผมเหรอ” คนถูกถามเอ่ยย้อนคล้ายกับจะถามกลับอย่างไม่แน่ใจ ทั้งที่แน่ใจดีอยู่แล้ว ก่อนจะตอบกลับมา “ก็นอนกับคุณไง”

“ว่าไงนะ?!”

เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบางบนใบหน้าขาวๆ นั้นดังเป็นพิเศษ

“ผมก็นอนห้องเดียวกับคุณไงครับ”

ภันวัฒน์ตอบย้ำอีกครั้งให้ชัดเจนกว่าคราวแรก ซึ่งก็ทำให้อาทิตย์อัสดงยังคงรู้สึกมึนตื้อเหมือนโดนค้อนใหญ่ๆ ทุบลงมาบนหัวอย่างรุนแรงไม่หาย

“คุณจะนอนห้องเดียวกับผมได้ยังไง ห้องพักของผมเป็นเตียงเดี่ยวนะคุณ แล้วอีกอย่าง ผมรู้นะว่าคุณมีเงิน ไม่งั้นคงไม่เป็นเจ้าของร้านขนมได้ แล้วคุณก็ทำงานที่โรงแรมด้วยใช่ไหมล่ะ ท่าทางตำแหน่งจะไม่ใช่แค่พนักงานธรรมดาด้วย”

ร่างโปร่งพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่เจอกันในโรงแรมขึ้นมา เครื่องแต่งกายของฝ่ายตรงข้ามแม้จะเป็นสูทที่ดูธรรมดา แต่มันก็มีตรงไหนสักแห่งที่ดูจะไม่ใช่แบบเดียวกับพนักงานทั่วไปใส่กัน

“เพราะฉะนั้นใช้เงินของคุณแล้วอย่ามาเบียดเบียนผมเลยครับ”

“แต่มันเปลืองนี่ครับ ผมมีเงินก็จริงอยู่ แต่ประหยัดไว้ย่อมดีกว่า เกิดวันหนึ่งผมเป็นอะไรไปจนทำงานไม่ได้ หรือแก่ตัวลงไป จะได้มีเงินใช้จ่ายไงครับ”

“คิดการณ์ไกลไปแล้วครับ”

อาทิตย์อัสดงเถียงกลับหัวเขียวหน้าดำ แต่ภันวัฒน์ก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างง่ายดาย

“เอาน่าคุณ ช่วยชาติประหยัดไงครับ เคยเห็นโฆษณารณรงค์ ทางเดียวกันไปด้วยกันไหมครับ”

“มันคนละเรื่องแล้ว”

“สรุปว่า ผมนอนห้องเดียวกับคุณนั่นแหละ”

สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงกำยำก็ออกเดินนำตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอิน จัดการแจ้งชื่อผู้เข้าพักที่จองไว้ซึ่งไม่ใช่ชื่อของตัวเอง ก่อนจะบอก

“ขอเปลี่ยนจากห้องซิงเกิลเป็นทวินเบดครับ”

“รบกวนขอบัตรประชาชนของคุณอาทิตย์อัสดงด้วยนะคะ”

พนักงานตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในจังหวะเดียวกับเจ้าของชื่อเดินมาถึงพอดี ภันวัฒน์จึงหันไปบอก

“เขาขอบัตรประชาชนน่ะคุณ”

ทำเอาร่างโปร่งถึงกับค่อนขอดอยู่ในใจ พร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินออกมาเพราะเมื่อมองไปทางพนักงานสาวก็เห็นว่าเธอกำลังมองมาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังรอคอย

ไหนบอกว่าจะเป็นเพื่อนกันไง ถ้าจะเป็นเพื่อนก็อย่ากวนตีนหน้าตายกันสิวะ

“เดี๋ยวส่วนต่างผมจ่ายเพิ่มเอง”

“ไม่ต้อง คุณน่ะจ่ายค่าห้องของคุณไปเถอะครับ” เจ้าของหน้าตี๋ๆ ไม่คิดรับน้ำใจ ปฏิเสธอย่างรวดเร็วก่อนจะอ้าปากออกอีกครั้ง “คุณครับ เรื่องห้องพัก ไม่ต้องเปลี่ยน...”

“เปลี่ยนห้องพักเรียบร้อยแล้วนะคะ ส่วนต่างค่าห้องเพิ่มเติมจำนวน...”

ไม่ทันจะได้เอ่ยแย้งการกระทำอย่างถือวิสาสะของอีกคน พนักงานสาวก็แทรกเสียงมา พร้อมกับแจ้งจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มให้เรียบร้อย ซึ่งภันวัฒน์ก็ยื่นบัตรเครดิตของตัวเองออกไปเร็วพลันจนอาทิตย์อัสดงตะครุบยั้งไว้ไม่ทัน การ์ดถูกรูดตามด้วยสลิปถูกจะปริ๊นท์ออกมาส่งให้เซ็นต่อหน้าต่อตา

“เรียบร้อยแล้วคุณ”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับตัวเองอ้าปากค้างอยู่ไม่ต่างจากคนขากรรไกรค้าง ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก เหมือนการไหลของเวลาระหว่างตนกับคนที่เหลือมีความเร็วไม่เท่ากัน สิ่งที่เกิดขึ้นถึงได้รวดเร็วเหลือเกิน

“มีความสุขกับการเข้าพักที่โรงแรมของเรานะคะ”

พนักงานสาวกล่าวอีกครั้งหลังจากภันวัฒน์รับคีย์การ์ดไป

“ไปกันหรือยังคุณ จะได้เอาของไปเก็บ นัดร้านไว้กี่โมงล่ะ”

เสียงทุ้มใหญ่ดังเรียกสติร่างโปร่งให้กลับคืนมา อาทิตย์อัสดงเดินตามร่างสูงกว่าไปอย่างโต้แย้งไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าห้องพักของตนอยู่ที่ไหน และมันก็สายไปแล้วที่เขาจะขอเปลี่ยนห้องพักใหม่ หรือแม้กระทั่งจองห้องพักเพิ่มในตอนนี้






ห้องพักของทั้งคู่ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ไม่ถึงขนาดแออัดคับแคบ แม้เมื่อเทียบกับโรงแรมที่ภันวัฒน์ทำงานอยู่ จะนับว่าเป็นห้องทวินเบดที่ค่อนข้างเล็กเลยทีเดียวก็ตาม ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพักค้างคืนในหนึ่งคืนนี้

ทั้งคู่หยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมาแขวนเพื่อกันยับ แม้ว่าจะมีเพียงสองชุด หนึ่งคือชุดนอน และอีกหนึ่งคือชุดสำหรับใส่ในวันพรุ่งนี้ หลังจากจัดเก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย อาทิตย์อัสดงก็คว้าแท็บเล็ตคู่กายของตนมาถือไว้ ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป

“อ้าว จะไปแล้วเหรอคุณ”

ภันวัฒน์ทักก่อนที่อีกร่างจะทันได้ออกจากห้อง ด้วยไม่คิดว่าร่างโปร่งจะปุบปับออกไปทั้งที่เพิ่งมาถึง

“ผมจะไปหาอะไรแถวๆ นี้กินก่อน แล้วค่อยไปร้าน”

“งั้นผมไปด้วย”

“ไม่จำเป็นมั้งครับ คุณอยากจะทำอะไรก็ตามสะดวกคุณเลย”

“ผมสะดวกไปกับคุณไง ผมจะได้ไปชิมด้วยว่าขนมร้านอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง เพื่อจะเป็นไอเดียไปปรับปรุงขนมตัวเอง”

“กระตือรือร้นขึ้นมาผิดหูผิดตาเลยนะครับ”

คล้ายกับการค่อนแขวะอยู่ในที แต่อาทิตย์อัสดงก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ เพราะไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว และมันก็คงดีหากว่าอีกฝ่ายอยากจะเก็บเกี่ยวประโยชน์จากร้านอื่นๆ เพื่อไปพัฒนาขนมของร้านตัวเอง

ทั้งคู่เดินออกไปนอกโรงแรม ด้วยเพราะบริเวณนี้อยู่ติดกับย่านท่องเที่ยวจึงไม่ร้างแต่ก็ไม่พลุกพล่านมากนัก มีร้านอาหารรายทางตั้งอยู่ประปราย อาทิตย์อัสดงจึงเลือกเข้าไปในร้านหนึ่งในนั้นโดยไม่ได้สอบถามคนที่เดินมาด้วยกัน

ภันวัฒน์เดินตามเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน และสั่งอาหารตามสั่งง่ายๆ มากินเช่นเดียวกับอีกคน ทั้งโต๊ะมีแต่ความเงียบ ไม่มีการสนทนาใดๆ เกิดขึ้น ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้อึดอัดนัก อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าต่างจากคราวก่อนๆ เวลาที่ตนอยู่กับผู้ชายคนนี้

คงเพราะปรับความเข้าใจ (?) กันได้แล้วกระมัง

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มทั้งสองก็ออกจากร้านอีกครั้ง คราวนี้ภันวัฒน์เอ่ยปาก

“ร้านไกลไหมครับ”

“ไม่ไกลหรอกนะผมว่า”

คำต่อท้ายประโยคฟังแปลกไปสักหน่อย พานให้คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงอากัปกิริยาเช่นนั้น ร่างโปร่งจึงเอ่ยถึงรายละเอียดเส้นทางที่ได้รับข้อมูลจากลูกค้า พร้อมกับเปิดแผนที่ในแท็บเล็ตที่ผู้ว่าจ้างมาส่งให้

“ผมว่าแผนที่มันออกจะโล้นไปหน่อยนะ กะระยะทางไม่ถูกหรอก” คนที่มีประสบการณ์เคยใช้กูเกิลแมปตามหาบ้านคนอื่นมาแล้วบอก ก่อนจะยื่นมือออกไป “ยืมหน่อย”

แท็บเล็ตของรักของอาทิตย์อัสดงไปอยู่ในมือของภันวัฒน์อย่างง่ายดาย ผู้จัดการหนุ่มค้นหาชื่อร้านขนมที่จะไปจากในแอปพลิเคชันที่เคยใช้ เพราะถ้ามีบอกไว้ก็คงง่ายที่จะคำนวณระยะทาง หรืออย่างน้อยที่สุดให้รู้ระยะทางจากจุดที่อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ถึงจุดสังเกตที่ใกล้ที่สุดของร้านนั้นก็ยังดี

“เดินไปอีกประมาณหนึ่งกิโล คุณจะเอาหรือเปล่า หรือจะกลับไปเอารถดี”

“ไกลขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ถ้าเดินเรื่อยๆ สักสิบห้านาทีก็ถึง ไม่ถึงขนาดว่าไกลหรอกครับ”

แผ่นอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมถูกส่งคืนให้ อาทิตย์อัสดงรับไปก่อนกดล็อกหน้าจอและถือแนบลำตัวอีกครั้ง

ทั้งคู่ออกเดินไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่รีบร้อน ถือว่าเป็นการเดินย่อยอาหารไปในตัวเพื่อเตรียมรับศึกต่อไป กระทั่งถึงร้าน ใช้เวลายี่สิบนาทีโดยประมาณ ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้นิดหน่อยเพราะชะลอฝีเท้าให้ก้าวสั้นกว่าปกติ เนื่องด้วยยังไม่ถึงเวลานัด และเพื่อถ่วงเวลาย่อยอาหารให้นานขึ้น

เมื่อเข้าไปแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มก็เดินแยกตัวไปก่อน เพื่อไปแจ้งพนักงานของร้านตรงเข้าเคาน์เตอร์ให้ติดต่อเจ้าของร้านซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างให้ ขณะที่ภันวัฒน์ก็เดินไปหาที่นั่งมุมดีๆ พลางมองตามร่างสูงโปร่งไปด้วย

รออยู่ตรงเคาน์เตอร์สักครู่ เจ้าของร้านก็ออกมาแนะนำตัว พูดคุยกันเล็กน้อยเพื่อย้ำข้อตกลงที่ได้คุยกันไปก่อนหน้านี้ทางอีเมลแล้ว

เป็นกฎของอาทิตย์อัสดงว่าถึงแม้ว่าจะได้รับการว่าจ้าง แต่ผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิ์มากะเกณฑ์ผลของการการรีวิว ชายที่ชื่อ Sunset เจ้าของบล็อก Tea Party จะลงข้อมูลตามความเป็นจริงเท่านั้น หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ก็ถือว่าไม่มีการจ้างงานเกิดขึ้น ส่วนทางนั้นสามารถระบุได้ว่าต้องการให้เขารีวิวขนมอะไรบ้าง

“ว่ายังไงบ้างครับ”

ร่างโปร่งเดินมายังโต๊ะที่ภันวัฒน์นั่งอยู่อย่างลืมตัวหลังจากคุยกับเจ้าของร้านเสร็จเรียบร้อย ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมานั่งโต๊ะเดียวกัน แต่เพราะมาที่ร้านด้วยกันจึงเผลอตัวไปว่าจะต้องนั่งด้วยกันไปด้วย

“เดี๋ยวเขาเอามาเสิร์ฟครับ เขาออเดอร์ขนมที่อยากให้รีวิวไว้แล้ว ส่วนคุณ อยากกินชิ้นไหนก็สั่งเองตามสะดวกเลยครับ”

สักพักขนมที่อยู่ในรายชื่อที่ต้องการให้รีวิวก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งหมดมีห้าชิ้นด้วยกัน อาทิตย์อัสดงเลื่อนมาตรงหน้า แล้วหยิบแท็บเล็ตมาถ่ายรูปทีละชิ้น ก่อนจะดึงปากกาออกมาและเปิดแอปพลิชั่นสำหรับวาดรูป ทว่าการใช้งานของเขาผิดประเภทไปสักหน่อย เพราะไม่ได้ใช้วาดรูปตามวัตถุประสงค์มัน หากแต่ใช้สำหรับจดบันทึกการชิม

ขนมถูกส่งเข้าปากอย่างช้าๆ ร่างโปร่งค่อยๆ เคี้ยวอย่างระมัดระวังราวกับสิ่งที่อยู่ภายในปากเป็นของบอบบางที่จำเป็นต้องทะนุถนอม จากนั้นก็จดบางอย่างลงไปในแท็บเล็ตอย่างที่เคยทำมาเสมอ เมื่อชิมองค์ประกอบทั้งหมดของขนมชิ้นหนึ่งแล้วก็ดื่มน้ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่โดยที่ยังกินชิ้นเดิมไม่หมด

ภันวัฒน์มองภาพนั้นด้วยความสนใจ แม้ว่ามันจะเป็นภาพที่เคยเห็นมาแล้ว ถึงกระนั้นมันก็ยังตรึงสายตาของเขาอยู่ดี อาทิตย์อัสดงอาจจะเป็นคนแรกก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเพิ่งเคยเห็นคนที่จริงจังและเอาใจใส่การกินขนมถึงขนาดนี้ และมันก็ทำให้เขาอดรู้สึกดีไม่ได้

นั่นคงเพราะ...เขาเองก็รักขนม และรู้สึกดีใจที่มีคนรู้สึกเช่นเดียวกัน

อีกทั้งการได้เห็นคนกินขนมอย่างละเมียดละไมราวกับมันเป็นของสำคัญล้ำค่าก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกปลื้มปริ่มในใจในฐานะช่างทำขนม

ร่างสูงรอจนกระทั่งขนมทั้งห้าชิ้นถูกชิมหมดแล้ว และอาทิตย์อัสดงเก็บปากกาคืนที จึงได้เอ่ยถาม

“ทำไมคุณเขียนรีวิวแบบนั้นล่ะครับ ปกติผมจะเห็นคนรีวิวว่าอร่อยไม่อร่อย รสชาติแบบนั้นแบบนี้ แต่คุณรีวิวแบบให้คะแนนรสชาติแต่ละรส หวาน +1 เค็ม+1 เปรี้ยว+1 มัน+1 อะไรพวกนี้”

หลังจากชิมขนมเสร็จ ก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการจัดเก็บที่เหลือ ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ไม่ได้แสดงกิริยาต่างออกไปจากตอนชิมแม้แต่น้อย เขาคงยังกินมันอย่างบรรจงไปทีละชิ้นๆ แต่เมื่อได้ยินคำถาม เจ้าตัวก็เบี่ยงหน้ามามองคนที่นั่งอยู่ด้านติดกันของโต๊ะ

“ความชอบของคนเราไม่เหมือนกันหรอกครับ สำหรับผมมันอาจจะอร่อย แต่สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ ดังนั้นผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินแทนคนอื่นได้ว่ามันอร่อยไม่อร่อย สิ่งที่ผมทำได้ก็เพียงแค่บอกรสชาติว่าอะไรเป็นแบบไหน ส่วนถูกปากหรือไม่อร่อยนั้นขึ้นอยู่วิจารณญาณของคนกินเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง“

คำตอบที่คาดไม่ถึงทำให้คนฟังรู้สึกประทับใจได้อย่างอัศจรรย์ ภันวัฒน์อึ้งไปชั่วครู่ น้อยคนนักที่จะให้ความสำคัญกับการรีวิวถึงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ความพึงพอใจส่วนตน แล้วยัดเยียดให้คนอื่นคิดตาม

“เป็นความคิดที่ดังจังนะครับ”

ร่างสูงอดชื่นชมไม่ได้ ในช่วงเวลานั้นความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเริ่มเปลี่ยนไปในคนละทิศทางกับความคิดเดิม ทว่าอาทิตย์อัสดงกลับยิ้มแหยเล็กน้อยตอบกลับมา

“ผมไม่ได้คิดมากอะไรถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็แค่เลี่ยงการโดนด่า”

เจ้าของคำตอบหันไปตักขนมกินอีกครั้งอย่างสบายๆ ผิดกับอีกคนที่รู้สึกเบาโหวงในใจ ไม่ใช่ว่ารู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างถูกยกออกไป แต่เป็นความรู้สึกเบาสบายที่เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผล

อาจเพราะคำตอบนั้นที่เหมือนกับการถ่อมตัว

หรืออาจเพราะรอยยิ้มนิดๆ ที่ได้เห็น

หรืออาจเพราะ... อะไรเขาก็ไม่รู้แน่เหมือนกัน

รู้แต่ว่ารู้สึกอย่างนั้น

และมันก็ทำให้เผลอปล่อยคำพูดหลุดออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัว

“แต่ได้ยินแบบนั้นแล้ว ผมรู้สึกดีนะครับ”





------------------------------

ไม่ได้มาวันมาฆะ เพราะตั้งแต่วาเลนไทน์ก็เพิ่งจะได้ว่างวันนี้เป็นวันแรก TT

ตอนหน้าคุณภันน่าจะได้ข้อหาเพิ่มอีก


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 7th Entry : กระชับมิตร [28/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-02-2016 23:11:32
นั่นสินะ
เพราะอะไรก็ไม่รู้
แต่รู้ว่ามันดีกับหัวใจ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 7th Entry : กระชับมิตร [28/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 29-02-2016 03:04:13
คุยกันดีดีแล้ว ดีใจจัง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 7th Entry : กระชับมิตร [28/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-02-2016 06:33:24
จริงๆ คนนิสัยแบบภันนี่ ถ้าเป็นในชีวิตจริง ผมโคตรเกลียดเลย แต่คนแต่งเก่งมากที่ทำให้รู้สึกน่าเอ็นดูได้ในเรื่องนี้
ขำเรื่องการไหลของเวลาที่มีความเร็วไม่เท่ากัน อย่างกับทฤษฎีฟิสิกส์เลย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 15-03-2016 23:11:31
8th Entry : ร่วมชะตากรรม






จากสีฟ้าที่เคยสว่างเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน บัดนี้กลับมืดครึ้ม ชายหนุ่มทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องหน้าที่ส่อเค้าลางไม่ดี รู้สึกสองจิตสองใจขึ้นมา จึงเบือนหน้าหันมองกันอยู่ชั่วครู่ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“เอาไงล่ะคุณ”

ภันวัฒน์เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนเมื่อมองหน้ากันสักพักแล้วยังดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้

“คงยังไม่ตกเร็วๆ นี้มั้ง ถ้ารีบเดินหน่อยก็น่าจะทัน”

เมื่อตรึกตรองถึงระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากโรงแรมถึงสถานที่แห่งนี้ อาทิตย์อัสดงก็คาดเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะแม้ท้องฟ้าจะมืดครึ้มผิดกับตอนมาถึงที่นี่ลิบลับ แต่ยังไม่ถึงขนาดมีสัญญาณว่าฝนจะตกแบบฉับพลัน

“ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะครับ”

ร่างสูงรีบสนับสนุนพลางก้าวเท้าออกไปจากที่กำบังของร้านเบเกอรี่ พานให้ร่างโปร่งเดินตามกัน ทว่าเหมือนอย่างที่โบราณเขาบอกว่าฝนฟ้าเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ฝนห่าใหญ่ก็ร่วงหล่นลงมาไม่ทันให้ตั้งตัว

“เฮ้ย ฝนตกแล้วคุณ รีบวิ่งเร็วเข้าเถอะ”

ผู้จัดการหนุ่มบอกและรีบสาวเท้าก้าวยาวกว่าเดิม ขณะที่อีกคนซึ่งได้ยินประโยคนั้นก็เร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี เพราะจากที่เม็ดน้ำพร่างพรายลงมาเม็ดห่างๆ ในตอนนี้เริ่มลงถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่ดีแล้วคุณ ผมว่าหาที่หลบฝนก่อนดีกว่า”

เมื่อดูท่าว่าจะไปไม่ตลอดรอดฝั่งจริงๆ อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยเสนอ ระยะก้าวของภันวัฒน์จึงหยุดลงและเปลี่ยนเป็นมองหาสถานที่ที่จะพอให้หยุดพักกลางทางได้

“งั้นไปหลบตรงตึกตรงนั้นกัน”

มือยาวชี้นิ้วไปที่อาคารหลังหนึ่งซึ่งมีชายคายื่นออกมาเล็กน้อยพอให้หลบฝนได้ เมื่อเห็นดังนั้นร่างโปร่งก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนทั้งคู่จะรีบเร่งตรงไปยังจุดหมายที่ช่วยให้ปลอดภัยจากการเปียกปอน

สายฝนกระหน่ำลงมาแรงขึ้น จากการคาดการณ์ว่าคงกลับไปถึงโรงแรมได้ทันกลับกลายเป็นติดแหง็กอยู่ระหว่างทาง ทั้งสองต่างมองไปยังเบื้องหน้า ท้องฟ้าสีเทาครึ้มดูสว่างขึ้นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย ทว่าปริมาณน้ำที่สาดเทลงมาจากเบื้องบนกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

สองร่างยืนทิ้งระยะกันเกือบสองช่วงแขน ฟังเสียงฝนกะเทาะลงพื้นถี่ๆ จนน้ำเริ่มเจิ่งนองบนพื้น เวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อย จากห้านาทีเป็นสิบนาที จวบจนสิบห้านาที สายฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง บรรยากาศรอบข้างนอกจากเสียงน้ำฝนแล้วกลับเต็มไปด้วยความเงียบ พลอยให้ความอึดอัดค่อยๆ มาเยี่ยมเยือนช้าๆ

อาทิตย์อัสดงมองเส้นน้ำเบื้องหน้าที่สาดลงมากระทบกับพื้น พลางเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายเป็นระยะด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เงียบต่อไปเช่นนี้หรือว่าจะเปิดปากพูดอะไรดี พลางนึกตำหนิอีกฝ่ายในใจไม่ได้

ทั้งที่ปกติจะหาเรื่องมาพูดมากแท้ๆ

“เอ่อ...”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดผิดกับทุกที จึงตัดสินใจเองว่าจะทำลายความเงียบนั้นเสีย ทว่าฉับพลันที่อ้าปากออก เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็แทรกขึ้นมา พร้อมกับสัมผัสเย็นเฉียบที่สาดเข้าใส่ด้านหน้าเต็มเปี่ยม

รถกระบะคันหนึ่งวิ่งจากไป ทิ้งร่องรอยของน้ำเจิ่งนองบนพื้นไว้บนร่างของผู้ชายสองคน...

“แม่งเอ๊ย ขับรถยังไงวะ”

เสียงสบถดังออกมาแทนคำพูดที่พยายามจะเกริ่นนำร่อง อาทิตย์อัสดงยกแขนขึ้นใช้ต้นแขนเสื้อเช็ดน้ำที่เปียกลู่บนหน้าตัวเอง ซึ่งภันวัฒน์ก็ไม่ได้ทำต่างกันนัก หากแต่สิ่งที่ใช้เช็ดคราบน้ำเปียกๆ เป็นมือใหญ่

ทั้งสองหันมองหน้ากันสักพัก ส่องสายตาสำรวจร่างกันและกัน แล้วก็พบว่ามีสภาพไม่ต่างกันเลย เสื้อด้านหน้าเปียกทั้งหมด รวมไปถึงกางเกงและรองเท้าด้วย เห็นแล้วก็พานให้หงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ”

“ฮะ...อะ” เมื่อถูกทัก ร่างโปร่งก็ชะงักไปเล็กน้อยจนต้องตั้งสติอยู่ชั่วครู่ “ผมจะถามว่าคุณว่าฝนจะตกอีกนานไหม”

“น่าจะนานอยู่ล่ะมั้ง เพราะดูไม่มีแววว่าจะเบาลงเลย”

“.....”

หลังจากได้ยินคำตอบ บล็อกเกอร์หนุ่มก็เงียบไป เปิดโอกาสให้ร่างสูงเอ่ยปากขึ้นมาอีกรอบ

“ไปกันเถอะ”

“เห?”

ใบหน้าขาวตี๋ดูงุนงงเล็กน้อย สบตามองคนที่หันมาประจันหน้ากันอยู่อย่างไม่แน่ใจ

“ไหนๆ ก็เปียกโชกขนาดนี้แล้ว ทนเปียกอีกสักหน่อยแล้วรีบไปอาบน้ำดีกว่านะผมว่า”

ได้ยินข้อเสนอดังนั้นก็ต้องขบคิดตามเล็กน้อย แต่เมื่อชั่งใจดีแล้วเสียงพ่นลมหายใจอย่างตัดใจยอมแพ้ธรรมชาติก็ดังออกมา อาทิตย์อัสดงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินออกมาจากร่มเงาของตัวอาคาร

ภันวัฒน์ออกเดินตามร่างโปร่งที่ก้าวด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติเล็กน้อย คงเพราะอยากถึงที่หมายเร็วๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็กลับมาเดินเคียงข้างกันได้

ท้องนภาสีครามครึ้ม สายฝนเย็นเฉียบเปียกลู่ผิวเนื้อของคนทั้งคู่

อาทิตย์อัสดงกระชับแท็บเล็ตไว้ในอ้อมกอดให้แน่นที่สุด รู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องแย่จริงๆ ที่ฝนมาตกเอาตอนนี้





กว่าจะมาถึงโรงแรมก็เปียกปอนกันไปทั้งตัว ทั้งสองคนรีบขึ้นไปยังห้องพักโดยเร็วที่สุด ภันวัฒน์เสียบคีย์การ์ดก่อนก้าวล่วงเข้ามา ตามด้วยอาทิตย์อัสดงแทรกตัวเข้ามาอย่างฉับพลัน และคว้าผ้าเช็ดตัวในตู้เสื้อผ้าขึ้นเช็ดของชิ้นสำคัญ

“รีบอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”

เสียงทุ้มใหญ่เปล่งบอก ร่างโปร่งจึงวางแท็บเล็ตลงบนเคาน์เตอร์วางโทรทัศน์ ก่อนจะตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักอีกครั้ง ทว่าก็ต้องชะงักเพราะร่างใหญ่กว่าทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่ามือของอีกคนจับสิ่งใดอยู่ ก็อดถามไม่ได้

“คุณจะอาบก่อนเหรอ”

“คุณก็เปียก ผมก็เปียก ก็อาบด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”

“เดี๋ยวนะๆ” คำตอบที่ได้รับมาทำให้อาทิตย์อัสดงร้องออกมา ก่อนจะตั้งสติย้อนคิดความหมายของสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ “หมายความว่าไง”

“คุณกับผม อาบน้ำด้วยกันไง”

“จะอาบได้ไง มีห้องน้ำห้องเดียว”

ไม่ต้องใช้ความคิดใดๆ ประโยคนี้ก็หลุดออกมาจากร่างโปร่งแล้ว ทว่าภันวัฒน์กลับตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับถอดเสื้อไปด้วย

“ก็อาบพร้อมกันไปเลยสิ ผู้ชายเหมือนกัน มีอะไรเหมือนๆ กัน ไม่เห็นเป็นไร”

ผิดจากอาทิตย์อัสดงที่อึ้งค้างไปแบบไม่ทันตั้งตัว

ถ้าคุณไม่ใช่เกย์น่ะนะ

แต่ไม่ทันได้เถียงอะไร มือหนาของคนที่เปลือยไปแล้วครึ่งตัวกลับรุนหลังให้เดินไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และห่างกันเพียงสองก้าวเท่านั้น

“ไปเถอะๆ ทิ้งไว้แบบนี้นานๆ เดี๋ยวได้ป่วยจริงๆ หรอก”

ทั้งอ้างเหตุผลทั้งโดนดันหลังให้รีบๆ เข้าไปในห้องน้ำจนกระทั่งก้าวเข้ามาภายในอาณาเขตนั้นทั้งตัวแล้ว จึงยากที่อาทิตย์อัสดงจะปฏิเสธออกไปได้อีก ครั้นจะผลักอีกฝ่ายออกให้พ้นประตูก็รู้แก่ใจดีว่าสู้แรงไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องจำยอม

“งั้นผมอาบในอ่าง คุณอาบฝักบัว”

บอกเสร็จ ร่างโปร่งก็ตรงไปยังอ่างอาบน้ำแล้วรูดม่านปิดทันที แบ่งสัดส่วนพื้นที่อย่างชัดเจน ซึ่งภันวัฒน์ก็แค่มองตามอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะยักไหล่เบาๆ และตรงไปยังอีกฟากซึ่งเป็นตู้อาบน้ำแบบฝักบัว เปลื้องผ้าส่วนที่เหลืออยู่ออกแล้วจึงเข้าไปชำระล้างกายที่นั่น

แต่เพียงครู่เดียว

ครืด...

เสียงอะไรบางอย่างถูกลากก็ดังขึ้น พร้อมการปรากฏตัวของร่างบึกบึน คนที่อยู่ฟากในของม่านพลาสติกที่ถูกรูดไปชิดมุมด้านหนึ่งเบิกโพลงตะลึงตะลาน เมื่อเห็นร่างชายอีกคนยืนอยู่หน้าอ่างอาบน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวชั่วคราวของตนเอง

“คุณทำอะไร!”

ทั้งร่างแข็งค้าง อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าควรจะยกมือขึ้นมาปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของตนดีหรือไม่ ในเมื่ออีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะอายไหมที่ถูกเห็นตอนล่อนจ้อนทั้งตัวแบบนี้ หรือควรจะรังเกียจที่เห็นทุกซอกทุกมุมร่างกายของอีกฝ่ายที่แน่นขนัดด้วยกล้ามเนื้อดี รู้แต่ว่าถ้าถอยตอนนี้คงถูกตราหน้าว่ากลัวจนหัวหดแน่ๆ ซึ่งเขาไม่ยินดีกับคำสบประมาทนั้น จึงได้แต่ยืนนิ่งงันในท่าถูสบู่โดยมีฝักบัวที่สายของมันช่างสั้นเหลือเกิน นอนแอ้งแม้งอยู่ในอ่างสีขาว ปล่อยน้ำออกมาให้ไหลลงท่ออยู่อย่างนั้น

“เปียกฝนมาเย็นๆ ผมก็อยากแช่น้ำอุ่นๆ บ้าง”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงไปมากกว่านั้น เจ้าของเสียงทุ้มๆ ที่กล่าวออกมาอย่างเรียบนิ่งก็ก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำโดยพลัน ส่งผลให้คนที่เปิดตาขึ้นอย่างตื่นตระหนกยกเท้าจะก้าวหนี แต่ก็ถูกรั้งแขนเอาไว้

“จะรีบไปไหน สบู่ยังเต็มตัวคุณอยู่เลย”

“ก็... ก็คุณ”

เหมือนสมองเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ หรือไม่ก็ขัดข้องที่ไหนสักแห่ง อาจเกิดการลัดวงจรโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เสียงที่ออกมาจึงกระท่อนกระแท่นเช่นนั้น

สายตาเรียวคมสีนิลจึงเลื่อนมายังส่วนสงวนกลางร่างของร่างโปร่ง ก่อนจะเบนกลับไปยังใบหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มอีกครั้ง

“เอาน่า ของคุณก็ขนาดมาตรฐานชายไทยนี่ ไม่ได้เล็กจนต้องอายสักหน่อย มาแช่น้ำกับผมเหอะ

นอกจากรั้งด้วยคำพูดแล้ว มือที่จับแขนอีกฝ่ายอยู่ก็ไม่ยอมปล่อย ภันวัฒน์ใช้มือที่ว่างอีกข้างอุดจุกของอ่างอาบน้ำให้น้ำที่ไหลจากฝักบัวเติมเต็มอ่างน้ำ มิหนำซ้ำยังเทสบู่ลงอ่างเสียเยอะราวกับเด็กๆ ที่เล่นสนุก ตามด้วยกดบ่าของร่างโปร่งให้นั่งพร้อมเร่ง

“นั่งเร็วๆ”

อาทิตย์อัสดงมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อดทิ้งคำถามไว้ในใจตนเองอย่างสงสัยไม่ได้ว่าสรุปเขาต้องแช่น้ำกับหมอนี่หรือ สุดท้ายเลยได้แต่นั่งเอ๋อเอาแผ่นหลังชิดขอบอ่างให้ได้มากที่สุด หดขาเข้าชิดตัวอย่างเก้ๆ กังๆ ขณะที่ร่างสูงก็หย่อนตัวลงนั่งเช่นกัน

ภันวัฒน์เอนหลังพิงกับขอบอ่างอีกฝั่ง ยืดขาเหยียดยาวออกมาพาดทับเท้าของอีกคนเอาไว้

“น้ำอุ่นดีจัง”

ใบหน้าสีเข้มเชิดขึ้น ดวงตาปิดลงดูเคลิ้มสบายอย่างน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ผิดเพี้ยน ผิดกับอีกร่างหนึ่งที่ได้แต่นั่งตัวเกร็ง

“เจอฝนเย็นๆ แล้วได้มาแช่น้ำอุ่นๆ นี่มันดีจริงๆ นะคุณว่าไหม”

เป็นคำถามที่คนฟังตอบไม่ถูกเลยทีเดียว

พอเห็นว่าคนที่ตนพูดด้วยไม่ตอบรับอีกทั้งยังนั่งตัวลีบแปลกๆ อีกต่างหาก ภันวัฒน์ก็ไถลตัวเข้ามาใกล้เกินอาณาเขตครึ่งอ่าง ใช้มือหยาบใหญ่ตบลงบนบ่าของร่างนั้นสองสามครั้งด้วยกำลังพอสมควร จนตัวของอาทิตย์อัสดงแทบสะดุ้ง

“ไม่ต้องเกร็งหรอกน่า ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก นึกซะว่ามาออนเซ็นก็ได้”

แม้ร่างสูงจะให้เหตุผลที่ฟังดูขึ้นหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ กระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ยังทำใจให้สบายอย่างที่ว่าไม่ได้จริงๆ

ออนเซ็นที่ไหนบ่อเล็กขนาดนี้

แค่เขาแช่น้ำคนเดียวก็เต็มอ่างอยู่แล้ว นี่ยังมีผู้ชายตัวใหญ่มาเบียด ยิ่งทำให้อ่างเหมือนเล็กลงไปอีก

ร่างสูงกลับไปนั่งผึ่งผายที่เดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าควรวางสายตาของตนเองไว้ตรงไหน เพราะมองไปเบื้องหน้าก็เห็นชายหน้าด้านเปลือยกาย ครั้นจะหันหลังกลับ ก็รู้สึกว่าอันตรายต่ออวัยวะเบื้องล่างของตัวเอง จึงยิ่งทำให้อึดอัดมากเข้าไปใหญ่ ทว่า...

“คุณเติมน้ำอุ่นเพิ่มให้หน่อยสิ น้ำเริ่มเย็นแล้ว”

แช่น้ำไปได้เพียงชั่วประเดี๋ยว น้ำยังไม่ทันเต็มอ่างดีเลยด้วยซ้ำ เสียงทุ้มใหญ่ก็ดังขึ้นอีก

คิ้วของอาทิตย์อัสดงมุ่นเข้าหากัน ปรามาสอีกฝ่ายไว้ในใจว่านอกจากมาแย่งแช่อ่างแล้วยังมีหน้ามาบอกให้เติมน้ำอีก แต่ก็ยอมหันไปปรับปริมาณความร้อนของน้ำที่เติมลงมาในอ่างให้อย่างที่ถูกบอก

ในไม่ช้า น้ำที่อยู่เหนือเอวเพียงเล็กน้อยก็ปริ่มขึ้นมาเสมออก พร้อมกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น พานให้ร่างสูงยิ่งรู้สึกสบายตัว ตรงข้ามกับบล็อกเกอร์หน้าตี๋โดยสิ้นเชิง

“ไหนๆ เราก็อาบน้ำด้วยกันแล้ว คุณถูหลังให้ผมหน่อยสิ”

ดูเหมือนความเงียบจะเป็นอุปสรรคระหว่างกัน ภันวัฒน์จึงใช้ค้อนคำพูดทุบมันลงไปจนทลาย แต่เรียกว่ากระเจิดกระเจิงอาจจะเข้าท่าในความคิดของอาทิตย์อัสดงมากกว่า เพราะร่างโปร่งแทบสะดุ้งโหยง หน่วยตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนถลน

“ทำไมผมจะต้องถูหลังให้คุณด้วยล่ะ คุณอยากจะขัดจะถูตรงไหนก็เรื่องของคุณสิ”

“ก็ให้ถูหลังเองมันไม่ถนัดนี่ ยังไงมีคนถูให้ก็ดีกว่า ผมว่าโอกาสกำลังดีเลย”

“แต่ผมไม่คิดจะทำให้คุณหรอกนะครับ”

ถึงอย่างไรอาทิตย์อัสดงก็ยืนกรานปฏิเสธ ภันวัฒน์จึงเสนอความคิดใหม่

“งั้นผมถูให้คุณก่อนก็ได้”

“เฮ้ย ไม่ต้อง ผมไม่ได้อยากให้ใครมาถูหลังให้ คุณถอยไปห่างๆ เลย”

อาทิตย์อัสดงเลิกลั่กตอบพลางกระถดตัวหนีสุดขอบอ่างทั้งที่แต่เดิมก็นั่งชิดขอบอยู่แล้ว เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ทำเสียงจึกจักในลำคอเหมือนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร ก่อนจะเงียบไปสักพักแล้วถามขึ้นมาอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนประเด็นไป

“เพื่อนของคุณ...ที่ชื่อขวัญ เป็นคนยังไง”

คำถามนั้นชวนให้คนฟังแปลกใจเล็กน้อย

“คุณถามทำไม หรือว่าเพื่อนผมดันไปตรงกับสเปกคุณเข้า”

“ไม่ใช่หรอก แต่เพื่อนผมต่างหาก เห็นแบบนั้นมันก็เลวเอาเรื่อง”

คำสุดท้ายทำให้หนุ่มบล็อกเกอร์ไม่ต้องตรึกตรองอะไรอีก ร่างโปร่งลุกพรวด เตรียมก้าวขาออกจากอ่าง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงข้อมือไว้ทัน

“จะไปไหน”

“ก็โทรไปบอกเพื่อนผมให้ระวังเพื่อนคุณไว้น่ะสิ”

“ไม่ต้องไปหรอก ผมพูดเล่น”

หลังพูดจบ มือซึ่งจับบริเวณข้อมืออยู่ก็ออกแรงกระตุกดึงร่างที่ยืนอยู่ให้กลับลงมา จึงกลายเป็นว่าอาทิตย์อัสดงหล่นลงกระแทกภันวัฒน์เข้าเต็มๆ เสียงน้ำสาดกระเซ็นแทรกด้วยเสียงร้องโอยดังกังวานในห้องเงียบ ขณะที่แขนซึ่งเคยใช้พันธนาการอีกฝ่ายไว้เลื่อนเปลี่ยนมาโอบรอบเอวแทน

ด้วยอารามตกใจ คนถูกรั้งตัวรีบหันกลับไปอ้าปากจะต่อว่า ทว่าก็ต้องตะลึงพรึงเพริงและนิ่งค้างไปชั่วขณะ เพราะหน้าของตนเองและอีกคนอยู่ใกล้กันมากเสียจนจมูกเฉี่ยวกัน พลอยให้อึ้งงันกันไปทั้งคู่

ร่างที่ขาวกว่าและอยู่ด้านบนซึ่งเหมือนจะทับตักอีกฝ่ายอยู่นั้นพยายามดึงสติกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปตามเดิม รู้สึกหัวใจเต้นระรัวเร็ว ระบบหายใจขัดข้องจนลมหายใจติดขัดอย่างผิดปกติ แล้วก็ต้องสะดุ้งวาบไปอีกเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่แนบเข้ากับบ่าของตนเอง

ตัวแข็งค้างจนขยับไม่ได้ดั่งถูกแช่แข็งเฉียบพลัน

ทว่า...ทั้งอย่างนั้นภายในกลับรู้สึกร้อนวูบๆ อย่างบอกไม่ถูก

ตรงข้ามกับอีกคนที่กลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว ภันวัฒน์ซุกหน้ากับบ่าของคนบนตักอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะเจ็บหรือขำดี เพราะเมื่อครู่ที่ร่างโปร่งหล่นลงมาทับ มันกระแทกโดนอวัยวะสำคัญเข้าพอดี แต่ขณะเดียวกันลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ทำให้รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก

“ทะ...ทำอะไร...ของคุณ”

เสียงสะดุดเป็นท่อนๆ อย่างกับการเล่นเพลงในแผ่นซีดีเก่าเก็บเกินใช้งานดังมาจากคนที่นั่งตัวเกร็งไม่ขยับเขยื้อนกายแม้แต่กระผีก ราวกับกลัวว่าหากขยับแล้วจะเกิดเห็นวินาศภัยหรือมหันตภัยล้างโลกอย่างไรอย่างนั้น

“ก็คุณกระแทกลงมาจนผมจุก”

ภันวัฒน์ตอบกลับโดยที่น้ำเสียงไม่เปลี่ยนโทนไปเลยแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ชัดเจน แต่กระนั้นคนฟังก็เข้าใจได้ และแม้จะไม่อยากนึกถึงเท่าไรว่าไอ้ที่จุกน่ะคือตรงไหน ก็เผลอนึกไปถึงจนได้ แล้วก็ทำให้รู้สึกตะลึงตะลานขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะจุดที่ว่ามันอยู่ใต้บั้นท้ายของตัวเองเต็มๆ

กายโปร่งสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อมือที่วางอยู่รอบเอวกระชับแน่นมากกว่าเดิม ใบหน้าคมคร้ามซุกเข้าหาบ่ามากขึ้นจนลมหายใจร้อนๆ พ่นออกมาสัมผัสผิวจนรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาตรงบริเวณนั้นเป็นจังหวะ ยิ่งทำให้หัวใจที่สั่นระรัวอยู่แล้วยิ่งสะท้านกว่าเดิม

อาทิตย์อัสดงได้แต่นั่งแข็งทื่ออยู่เช่นนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อน เพราะเกรงว่าส่วนที่สัมผัสกันจะยิ่งเสียดสีไปกว่านั้นแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สินส่วนบุคคล และอดคิดกับตนเองไม่ได้ ทั้งที่โดนผู้ชายกอดแน่นแบบนี้ แทนที่จะรู้สึกอี๋ แขยง ขนลุก แต่กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย มิหนำซ้ำยังมาใจสั่นร้อนวูบๆ วาบๆ แบบนี้อีก

นี่มันอะไรกันวะ เกิดเหตุพิศดารอะไรหรือไง

โดยหารู้ไม่ว่ามุมปากของคนที่นั่งอยู่ด้านหลังกดลึกลงเป็น...รอยยิ้ม







อ่านต่อข้างล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 15-03-2016 23:12:57
ต่อจากข้างบน



v



v




กว่าจะขึ้นจากอ่างอาบน้ำได้ก็หลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง ร่างสูงยอมคลายอ้อมกอดและผละหน้าจากตำแหน่งที่ซุกซบอยู่ เนื่องจากไม่อยากกลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายต้องขาดอากาศหายใจตายเสียก่อน เพราะดูท่าทางว่าทางนั้นจะพยายามหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ยอมกระดิกตัวแม้แต่นิดเดียว

เมื่อได้รับอิสรภาพ อาทิตย์อัสดงก็รีบลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำและเดินดุ่มๆ ไปที่ตู้อาบน้ำแบบฝักบัวเพื่อล้างคราบสบู่ที่ติดอยู่บนร่าง ก่อนจะรีบถลาตัวออกจากห้องน้ำให้เร็วโดยพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับว่าตนกำลังครั่นคร้ามเพียงใด

หลังจากนั้นไม่นานหนุ่มร่างสูงก็ออกจากห้องน้ำตามมา ไม่วายชำเลืองมองอีกคนที่ออกมาก่อนซึ่งกำลังแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ไอความร้อนจากกายคนแผ่มาถึงกันได้อย่างง่ายดาย และมันก็ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างกันนั้นใกล้แค่ไหน ถึงกระนั้นก็ยังต้องทำเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเพื่อไม่ให้ตัวเองขายหน้า

กระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจึงได้ผละห่างออกมาอย่างแนบเนียน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปิดโทรทัศน์ดูเพื่อทำให้ภายในห้องไม่เงียบเกินไปจนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงและสร้างหัวข้อสนทนาขึ้นมา

“คุณพูดจริงๆ เหรอเรื่องเพื่อนของคุณ”

“เรื่องไหน” เสียงทุ้มดังมาจากหน้าตู้เสื้อผ้า “ที่ว่าเพื่อนผมสนใจเพื่อนคุณ หรือว่าเพื่อนผมเลว”

“ก็ทั้งคู่นั่นแหละ”

มือใหญ่ติดกระดุมกางเกงจนเรียบร้อยก่อนเดินมายังเตียงอีกหลังที่อยู่ข้างกับร่างโปร่งแล้วนั่งลง

“คำตอบแรกคือจริง ส่วนคำตอบที่สอง เพื่อนผมไม่ทำอะไรเพื่อนคุณหรอก นอกจากเพื่อนคุณจะยินยอมและเต็มใจ”

ได้ยินดังนั้นแล้วอาทิตย์อัสดงก็ถลึงตามอง เพราะราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังดถูกเพื่อนของเขาอยู่ ภันวัฒน์จึงเสริมเหมือนรู้ทันความคิด

“เราก็โตๆ กันแล้ว ควรพูดอะไรตรงๆ ไม่ควรจะอ้อมค้อมให้เสียเวลาจริงไหม”

คำต่อว่าที่วิ่งวนเข้ามาในหัวของหนุ่มร่างโปร่งเมื่อครู่หยุดลงก่อนจะจางหายไปหลังจากนั้นไม่นาน ด้วยเข้าใจคำพูดนี้ เขายอมรับว่าในยุคสมัยนี้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนไม่ว่าจะเพศไหนกับเพศไหน ก็ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินทั้งนั้น

แม้จะค้านอยู่หน่อยๆ เพราะประโยคก่อนหน้าฟังดูไม่ดีนัก แต่สุดท้ายอาทิตย์อัสดงก็นิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงออกไป ก่อนจะกลับไปยังห้องน้ำอีกครั้ง เพราะนึกขึ้นได้ว่าถอดชุดเปียกๆ ทิ้งเอาไว้

เสื้อถูกหยิบขึ้นมาบิดให้หมาดก่อนจะสะบัดๆ เพื่อให้มันแห้งได้ง่าย จากนั้นจึงหยิบกางเกงหวังจะทำเช่นเดียวกันบ้าง แต่น้ำหนักตรงกระเป๋ากางเกงที่ถ่วงเอาไว้ก็ทำให้นึกอีกอย่างขึ้นมาได้

ข้างหนึ่งเป็นกระเป๋าเงิน ส่วนอีกข้าง...เป็นโทรศัพท์

รู้สึกตัวแล้วอาทิตย์อัสดงก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมากดดูเพื่อตรวจสอบว่ามันมีปัญหาจากความเปียกชื้นหรือไม่ ซึ่งก็พบว่าโดยภาพรวมมันไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ใช่ว่าจะไว้วางใจได้จึงลองทดสอบการใช้งานหลายๆ อย่างดู จนในที่สุดก็พบสิ่งหนึ่ง

เหมือนน้ำจะเข้าลำโพง...

เสียงเพลงที่ดังออกมาจากเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นแตกอู้อย่างชัดเจน ยิ่งเปิดเสียงดังเท่าไร ก็ยิ่งได้ยินชัด เหมือนมีน้ำเกาะอยู่ภายในอย่างไรอย่างนั้น

มือเรียวจึงต้องคว้าผ้าขนหนูที่วางอยู่บนชั้นในห้องน้ำขึ้นมาและพยายามเช็ดซับบริเวณที่เปียกทั้งหมด พร้อมทั้งเคาะจุดที่มีปัญหาลงบนผืนผ้าที่พับให้หนาสักหน่อยเพื่อป้องกันการกระแทก หวังให้น้ำที่ติดอยู่ภายในกระเด็นออกมาบ้าง แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม

รู้อย่างนั้นแล้วก็ได้แต่หอบหิ้วเสื้อผ้าที่เปียกออกมาแขวนกับไม้แขวนเสื้อ และเกี่ยวไม้แขวนไว้กับประตูตู้เพื่อผึ่งเสื้อผ้าชั่วคราว ก่อนเดินกลับมายังเตียงนอนพร้อมกับโทรศัพท์และผ้าขนหนู เสียงถอนหายใจดังออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เรียกให้คนที่อยู่ในห้องอีกคนหนึ่งหันมองตาม

“มีอะไรเหรอคุณ”

“ก็โทรศัพท์น่ะสิ เปียกฝนจนน้ำเข้าลำโพง”

อาทิตย์อัสดงตอบเสียงเหนื่อยอ่อน พานให้ภันวัฒน์นึกขึ้นได้เช่นกันว่าลืมเช็กโทรศัพท์ของตนเองไปเลย จึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าเปียกๆ ที่กองไว้ในห้องน้ำขึ้นมา ล้วงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกง เมื่อลองกดดูก็พบว่า...อาการหนักกว่าอีกคนเสียอีก

เปิดไม่ติดเลยด้วยซ้ำ

เสียงถอนหายใจดังออกมาไม่ต่างกัน ก่อนภันวัฒน์จะบิดน้ำออกจากเสื้อผ้าเปียกๆ และผึ่งไว้ที่ราวภายในห้องน้ำ ก่อนตรงไปเปิดลิ้นชักตรงเคาน์เตอร์ที่อ่างล้างหน้า หยิบไดร์เป่าผมติดมือออกมาจากห้องน้ำ

“ของคุณยังดี ของผมนี่สิ ดับไปเลย”

อาจเพราะความหนาของกางเกงกระมัง ผลที่ออกมาจึงต่างกัน ภันวัฒน์สวมกางเกงสแล็ค ขณะที่อาทิตย์อัสดงสวมกางเกงยีน

“ใช้นี่สิ”

ร่างสูงเดินไปหยุดหน้าเตียงที่อีกคนนั่งอยู่ก่อนหย่อนตัวลงแล้วยื่นไดร์เป่าผมให้

“ใช้ไดร์เป่ามันจะไม่พังเหรอ”

“ถ้าเปิดลมเบาๆ แล้วถือห่างหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหานะ”

คำแนะนำนั้นพอจะน่าสนใจอยู่ ทว่าอาทิตย์อัสดงก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี หน่วยตาเรียวมองสิ่งที่อยู่ในมือของภันวัฒน์สลับกับที่อยู่ในมือตนเองสองสามครั้ง ก่อนจะตัดสินใจยอมยื่นมือออกมาคว้าไดร์เป่าผมไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีก่อนจะย้ายร่างไปที่เคาน์เตอร์โทรทัศน์เพื่อเสียบปลั๊กและเปิดการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น

เสียงเครื่องจักรทำงานพร้อมกับลมเป่าออกมาจากปากกระบอกเบาๆ บล็อกเกอร์หนุ่มหันช่องลำโพงของโทรศัพท์ไปยังทิศทางที่ลมถูกพ่นออกมา ขยับเข้าถอยออกห่างเป็นพักๆ เพราะเกรงว่าหากแช่เอาไว้ในตำแหน่งเดิมนานอาจจะส่งผลให้แผงวงจรโทรศัพท์เสียหายก็เป็นได้ ราวห้านาทีเห็นจะได้ก็ลองเปิดเพลงเพื่อทดสอบลำโพงอีกครั้ง

“เฮ้ย หายจริงด้วยอะคุณ”

เสียงร้องอย่างดีใจดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน รอยยิ้มผุดออกมาอย่างไม่รู้ตัวยามหันไปทางคนที่เสนอวิธีช่วยเหลือ ทำให้คนมองอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“ดีแล้วล่ะ”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณมากนะครับ”

อาทิตย์อัสดงบอกความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบังหรือวางฟอร์มใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะดึงปลั๊กของไดร์เป่าผมออกจากเต้า

“ว่าแต่...” แม้ว่าจะรู้สึกยินดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ทว่าภันวัฒน์ก็เอ่ยออกมาอย่างลังเลใจเมื่อเหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง “แท็บเล็ตของคุณน่ะ จะไม่เช็กสักหน่อยเหรอ”

“เฮ้ย”

เมื่อถูกทัก อาทิตย์อัสดงก็ร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ ลืมเสียสนิทว่าสิ่งนั้นมันน่าเป็นห่วงมากกว่าโทรศัพท์มือถือเสียอีก เพราะว่ามันฝ่าฝนมาเต็มๆ

“หวังว่าคงจะไม่เจ๊งไปแล้วหรอกนะ”

“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

ภันวัฒน์ให้กำลังใจแต่น้ำเสียงฟังดูหดหู่ไปสักหน่อยพลอยให้คนฟังใจแป้วไปด้วย มือเรียววางโทรศัพท์ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วและย่างเท้าเข้าหาแท็บเล็ตซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างช้าๆ ราวกับเกรงกลัวว่าจะพบความจริงอันโหดร้าย และดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลย เพราะว่าแท็บเล็ตสีขาวนอนตายสนิท กดเปิดเท่าไรก็ไม่ติดสักที

เห็นดังนั้นพร้อมกับได้ยินเสียงถอนหายใจก็รู้คำตอบได้ทันที ร่างสูงจึงเสนอเพื่อปลอบใจ

“เอาไว้กลับกรุงเทพฯ แล้วเอาไปซ่อมที่ศูนย์แล้วกัน”

“เครื่องตกน้ำ เปียกน้ำ หมดประกันนะครับ”

“ถ้างั้นก็ไว้ซื้อเครื่องใหม่แล้วกัน”

ผู้จัดการหนุ่มพูดอย่างสบายๆ แต่ร่างโปร่งกลับถอนหายใจอีกที เพราะคิดว่าหากเอาไปซ่อมร้านตู้ ก็กลัวว่าอายุการใช้งานจะสั้นลง เสี่ยงอันตราย หรือมันอาจจะขัดข้องทีหลังก็ได้ เนื่องจากเคยเปียกน้ำมาก่อน

สุดท้ายอาทิตย์อัสดงจึงต้องจำใจยอมรับคำพูดนั้น แล้วเดินมาขึ้นเตียงซึ่งมีอีกคนนั่งอยู่อย่างเสียไม่ได้ ทว่าก็เหลือบมาเห็นสร้อยพระที่คอของอีกฝ่าย จับจ้องมันอยู่ชั่วครู่หนึ่งเพราะลืมไปเสียสนิทว่ามันถูกยึดเป็นตัวประกันเอาไว้

“อยากได้คืนเหรอ”

เมื่อมองตามสายตาของบล็อกเกอร์หนุ่มมา ภันวัฒน์ก็รู้ว่าจุดหมายของฝ่ายนั้นคืออะไร

“ก็ต้องอยากสิคุณ ถามอะไรแปลกๆ สร้อยนั่นแม่ผมให้ไว้ใส่คุ้มครองผมนะ แต่พอคุณเอาไป ชีวิตผมก็วุ่นวาย”

ใจของร่างโปร่งอยากจะสื่อว่าวุ่นวายเพราะมีอีกฝ่ายเข้ามาพัวพันด้วย ซึ่งคนถูกมองก็อ่านสายตาได้จึงยอมถอดสร้อยออกมา

“ผมให้คุณใส่นอนคืนนึงก็ได้ เอาไว้คุ้มครองคุณไง”

อาทิตย์อัสดงหรี่ตามองอย่างจับผิด พยายามตีความคำพูดเมื่อครู่ว่าหมายถึงอะไร ภันวัฒน์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ กับสายตาหวาดระแวงนั้นก่อนจะตอบ

“คุ้มครองให้คุณนอนหลับสบาย ไม่โดนผมลักหลับคืนนี้ล่ะมั้ง”

ได้ยินดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็ถลึงตาฉับใส่ทันที แล้วรีบคว้าสร้อยมาสวมคออย่างรวดเร็ว จนภันวัฒน์อดขำไม่ได้ พลางคิดว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายนั้นช่างตลกดีจริงๆ ตั้งแต่ในห้องน้ำแล้ว และมันก็ทำให้เขา...

รู้สึกชักจะติดใจผู้ชายชื่ออาทิตย์อัสดงเข้าจริงๆ เสียแล้ว จากที่ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร







---------------------------
ไม่ได้แต่งเพิ่มสักตัวมา 1 เดือนเต็มๆ แล้ว ชักต่ออารมณ์ไม่ถูก
แต่ก็หวังว่าจะยังมีคนอ่านอยู่นะคะ

ป.ล. ขอบคุณคอมเมนต์ข้างบนที่เมตตาเอ็นดูคุณภันผู้หน้าด้าน ข้อหาเยอะนะคะ
Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: synsyn. ที่ 16-03-2016 01:33:42
กรี้ดมาต่อล้าวว ยังไม่จุใจเยย >3<
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 16-03-2016 05:42:19
ตอนนี้ชอบภันขึ้นมาอีกหน่อย ในฐานะที่รุกได้เนียนดีมาก 555
วันที่ update เดือนผิดอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/2/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 16-03-2016 07:51:36
ยังรออ่านอยู่นะ ชอบสำนวนกะเนื้อเรื่องจ้า
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 16-03-2016 14:00:11
ชอบก็จีบเลย ชอบก็จีบเลยเซ่ ~ ชูวับ ชูวับ~
ไม่สิ.. จับอาทิตย์อัสดงทำเมียเลยคุณภั---- //โดนคนที่กำลังจะเป็นเมียลากไปฆ่า :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 8th Entry : ร่วมชะตากรรม [15/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-03-2016 22:30:31
รุกคืบได้ดีมาก

สวดมนต์กันผีอำด้วยนะอาทิตย์อัสดง
เอ..อีตาภัณยังเป็นคนอยู่นี่นา งั้นก็เสร็จสิ! อิอิ  :z1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 23-03-2016 16:20:00
9th Entry : รุกคืบ






ความตั้งใจดั้งเดิมในการมาที่นี่คือ หลังจากไปทำงานตามคำว่าจ้างเสร็จแล้วก็ออกตะเวนหาร้านเบเกอรี่น่านั่งเพื่อเก็บรีวิวไปเรื่อยทั้งสองวันก่อนขับรถกลับกรุงเทพฯ แต่กลับกลายเป็นว่าแผนล่ม พังไม่เป็นท่าตั้งแต่วันแรก เพราะอยู่ๆ ฝนก็สาดเทลงมา อีกทั้งแท็บเล็ตที่ใช้งานอยู่เป็นประจำยังเสีย เปิดไม่ติดเสียอีก อาทิตย์อัสดงจึงต้องตัดใจ

ทั้งคู่เช็กเอาท์ออกจากโรงแรมในตอนสายๆ หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารเรียบร้อยแล้ว เพราะแพ็คเกจห้องพักที่จองมีบริการอาหารเช้าให้ด้วย กระเป๋าเสื้อผ้าถูกหอบมาขึ้นรถก่อนการเดินทางจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งอย่างแสนเสียดายที่มาต่างจังหวัดทั้งทีแต่กลับไม่คุ้มเอาเสียเลย

สีหน้าของร่างโปร่งบ่งบอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจนว่าเสียดายเพียงใด พานให้คนที่เป็นสารถีต้องเบือนหน้ามาดูคนที่นั่งเบาะข้างๆ อยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นมา

“ไหนๆ ก็มาทะเลทั้งที เราแวะเดินเล่นกันหน่อยไหม”

“คุณครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของคนถูกถามค่อนข้างห้วน “คุณคิดว่าแดดเมืองไทยตอนสิบเอ็ดโมงมันเย็นมากเหรอครับ”

ทว่าแทนที่คนที่เหมือนถูกตำหนิกลายๆ เพราะชวนโดยไม่คิดหน้าคิดหลังจะสะดุ้งสะเทือนบ้างกลับไม่เลยแม้แต่น้อย ภันวัฒน์ยิ้มแฉ่งตอบแบบไม่อนาทรแสงแดด

“แหม ก็ผมเห็นคุณหน้าบูดนี่”

เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างโปร่ง นึกเอือมระอาคนหน้าด้านที่ยังมีหน้ามายิ้มให้เหมือนกับเป็นเรื่องสนุกเสียอีก

“เอาน่า แค่แป๊บเดียวเอง ไม่ทำให้ผิวขาวจั๊วะของคุณดำขึ้นมาได้หรอก ขนาดผมดำอยู่แล้วยังไม่กลัวเลย”

จะเรียกว่าผิวดำก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่เป็นผิวเข้มใกล้แทนเสียมากกว่า หรือหากเรียกให้ดูเลิศหรูอีกนิดว่าเป็นสีน้ำผึ้งก็คงไม่ผิด ภันวัฒน์ยื่นแขนข้างซ้ายที่ละจากพวงมาลัยรถมาเทียบกับแขนขาวๆ ของอาทิตย์อัสดงที่วางอยู่บนตักเพื่อเน้นย้ำ

“อีกอย่าง คุณเป็นพระอาทิตย์อยู่แล้ว จะกลัวพระอาทิตย์อีกทำไม จริงไหมครับ”

รอยยิ้มเย็นสบายผลิจากใบหน้าคมคร้าม คนถูกอ้างว่าเป็นพระอาทิตย์ผ่อนลมหายใจออกมาอีกหนึ่งระลอกอย่างเสียไม่ได้เพราะไม่รู้จะเถียงอีกฝ่ายอย่างไร ซึ่งนั่นก็เท่ากับการตกปากรับคำในสายตาของภันวัฒน์ เขาสังเกตเส้นทางชายหาดที่ตนกำลังจะขับเลียบพร้อมกับดูว่าตรงไหนบ้างที่สามารถจอดรถได้ชั่วคราวก่อนจะหยุดเครื่องยนต์ตรงนั้น

“ไปกันคุณ”

ตำแหน่งที่ทั้งสองคนอยู่ ณ ปัจจุบันค่อนข้างไปทางท้ายหาด ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่รังสีอัลตราไวโอเลตค่อนข้างแรง บริเวณชายหาดส่วนนี้จึงเงียบสงบมากเป็นพิเศษ ทั้งสองคนเดินข้ามถนนไปยังชายหาดที่นับว่าไม่ได้ขาวสะอาดนักเมื่อเทียบกับจังหวัดเกาะขึ้นชื่อ

แสงแดดแรงๆ ยามสายบาดผิวให้รู้สึกร้อนไม่น้อย ผนวกกับลมที่พัดพาความเค็มกับไอแดดมาก็ทำให้รู้สึกเหนอะหนะเล็กน้อย อาทิตย์อัสดงไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกดีกับบรรยากาศแบบนี้หรือเปล่า แต่ก็ยังย่ำเท้าเดินต่อไป

“ถอดรองเท้าเดินสิคุณ”

ร่างสูงเอ่ยบอกหลังจากจัดการเท้าของตนเองอย่างที่ว่าเรียบร้อยแล้ว เพราะรองเท้าเป็นแบบมีสายคาดทำให้เดินลำบากเมื่อทรายเข้าไปขังอยู่ภายใน

“ไม่ร้อนเหรอคุณ”

“จะว่าร้อนก็ร้อนอยู่นะ”

“แล้วคุณให้ผมถอดรองเท้าทำไม คุณอยากถอดก็ถอดไปคนเดียวสิครับ”

“คุณนี่ มาถึงทะเล ไม่เหยียบทรายด้วยเท้าเปล่าถือว่าไม่ถึงนะ”

ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มักมีข้ออ้างแปลกๆ เสมอ แต่ก็น่าแปลกอีกเช่นกันที่มันชักนำให้ต้องทำตามแม้จะคิดว่าไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

อาทิตย์อัสดงยอมถอดรองเท้าออกด้วยความสงสัยในใจว่าทำไมตนเองต้องทำตาม อาจเพราะใจหนึ่งรู้สึกว่าคงเพราะรอยยิ้มของอีกฝ่ายกระมังที่ทำให้รู้สึกว่าการทำอะไรอย่างที่ฝ่ายนั้นบอกมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

“ร้อน!”

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่เมื่อถอดรองเท้าและเท้าสัมผัสกับทรายแล้วร่างโปร่งก็ร้องลั่น เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มอีกคนได้เป็นอย่างดี ภันวัฒน์หัวเราะก๊ากใหญ่ที่อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาเหนือความคาดหมาย

“คุณหลอกผมใช่ไหมเนี่ย”

“ฮ่าๆ ผมหลอกอะไรคุณ คุณก็เห็นว่าผมถอดรองเท้าก่อนคุณซะอีก”

ไร้ข้อโต้เถียงเพราะหลักฐานก็เห็นอยู่ชัดๆ คาตา ทว่าบล็อกเกอร์หนุ่มก็คิดว่าจะไม่ยอมทำตามอีกแล้ว จึงรีบสวมรองเท้ากลับคืนตำแหน่งเดิมทั้งที่ถอดได้ข้างเดียว แต่ภันวัฒน์ก็ไวกว่า มือใหญ่รีบคว้ารองเท้าข้างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“อะไรของคุณ”

“ไหนๆ ก็ถอดแล้ว ถอดสองข้างเลย”

“ผมไม่หนังหนาอย่างคุณสักหน่อย”

“ถอดเร็วๆ”

อีกฝ่ายไม่ฟังแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเร่งกันเสียอีก อาทิตย์อัสดงหน้าบูดบึ้งรีบเอื้อมตัวไปดึงรองเท้าในมือใหญ่คืน แต่ภันวัฒน์ก็เอารองเท้าทั้งสองข้างของตนเองและของอีกคนที่ถืออยู่ไปซ่อนด้านหลัง

“คุณๆ นู่น”

เพราะดูทีท่าว่าอย่างไรหนุ่มหน้าตาตี๋ก็จะเอารองเท้าคืนให้ได้ ภันวัฒน์จึงเรียกพลางชี้นิ้วมือข้างที่ปล่อยให้ว่างได้ไปทางด้านหลังของร่างโปร่ง

“อะไร ผมไม่หลงกลโดนคุณหลอกหรอกนะ”

“อ้าว งั้นเหรอ ถ้างั้น...”

คำแรกร่างสูงทำเสียงเหมือนเสียดาย แต่ประโยคท้ายกลับแฝงด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกมืออีกข้างที่มีรองเท้าอยู่กลับมาทางด้านหน้าแล้วหยิบรองเท้าของอีกคนแยกออกมา จากนั้นก็...

ฟิ้ว

รองเท้าหนึ่งข้างของอาทิตย์อัสดงลอยละลิ่วไปตามแรงส่งของช่างทำขนมหวาน พานให้ผู้เป็นเจ้าของหันไปมองตามตาเหลือก

“ทำอะไรของคุณเนี่ย”

“พอดีว่ารองเท้าคุณมันร้อนไง ผมเลยช่วยให้มันไปรับลม เมื่อกี้ผมก็บอกคุณแล้วว่านู่นๆ ให้คุณไปรอรับก็ไม่เชื่อ”

เป็นข้ออ้างหน้าด้านๆ ชัดๆ บล็อกเกอร์หนุ่มเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต่างกับอีกคนที่ใบหน้าเคลือบด้วยรอมยิ้ม มิหนำซ้ำยังเปิดประเด็นเรื่องอื่นขึ้นมาอีกพร้อมกับทิ้งรองเท้าของเจ้าตัวลงบนพื้นทรายแล้วสวมทันที ตัดโอกาสให้ร่างโปร่งได้เอาคืน

“ว่าแต่คุณคืนสร้อยให้ผมได้หรือยัง”

“คืน?” คนฟังทำหน้าอึ้งตะลึงงันกับคำถามนั้น ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่ง “คำว่าคืน มันเอาไว้ใช้สำหรับคนที่เป็นเจ้าของไม่ใช่เหรอครับ”

ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ยังพูดต่อราวกับไม่รู้สึกใดๆ กับคำพูดเหน็บแนมกลายๆ

“งั้นขอยืมต่อก็ได้”

“หา! ผมคงให้คุณยืมหรอก”

ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้นมา อาทิตย์อัสดงร้องพลางรีบตะครุบสร้อยที่คอกำไว้แน่น แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาได้ของคืนมาแล้ว ไม่มีทางจะส่งกลับไปในมือของร่างสูงอีกแน่นอน ถึงมันจะดูเหมือนผิดข้อตกลงร่วมกันที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกก็ตาม

“ถ้างั้น...” ร่างสูงทำท่าคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้ายิ้มสบายๆ “ให้ผมปล้นแล้วกัน”

จากนั้นก็ยื่นมือไปหมายจะจับสร้อยที่คอของคนตรงหน้า อาทิตย์อัสดงรู้ทันจึงรีบหมุนสร้อยให้ตำแหน่งตะขอเลื่อนไปอยู่ด้านหลังคอแทนเพื่อความปลอดภัย แต่ใช่ว่าภันวัฒน์จะยอมรามือง่ายดายแบบนั้น

ร่างสูงก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าวใหญ่ ทำให้ร่างของทั้งสองคนที่อยู่ห่างกันไม่มากอยู่แล้วยิ่งประจันหน้ากันอย่างใกล้ชิด และมันก็ช้าเกินกว่าฝ่ายตกเป็นเหยื่อจะรู้ทัน มือใหญ่จึงอ้อมไปหลังคอได้อย่างง่ายดาย

ภันวัฒน์ก้มหน้าลงไปเล็กน้อยพลางยื้อมือที่เรียวเล็กกว่าออกเพื่อจนปลดตะขอสร้อยสีทองให้หลุดจากคอขาวๆ ได้ ทำให้กายที่ใกล้กันยิ่งแนบชิดกันเสมือนกอด ใบหน้าคมสันอยู่ใกล้ศีรษะของคนที่สูงน้อยกว่าเสียจนจมูกแตะเส้นผมนุ่มสีน้ำตาล

ห้วงเวลาเหมือนหยุดค้างไปครู่หนึ่งเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสของกันและกันที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าร่างสูงจะหลุดจากภวังค์ได้ก่อนจึงกระซิบบอก ณ ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้ล่าถอยออกไป

“หัวคุณหอมดีเนอะ”

เส้นผมที่โดนลมจากอีกฝ่าย ไม่ใช่ลมธรรมชาติพัดพลิ้วเล็กน้อยจนรู้สึกได้ ทำให้เจ้าของมันชะงักค้างยิ่งกว่าเดิม เพราะร่วมด้วยอาการหวิวๆ ตรงอก เนื่องจากไม่คิดว่าจะเจอคำพูดแบบนี้ แต่หลังจากตั้งสติได้ก็รีบผลักคนตรงหน้าออกอย่างรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตเลยว่าสร้อยที่หวงนักหนาเมื่อครู่หลุดติดมือร่างสูงไปด้วย

“พูดอะไรของคุณ ขนลุก”

อาทิตย์อัสดงเอามือลูบแขนตัวเองทั้งที่จริงๆ ไม่ได้ขนลุกพลางเอ่ยแบบนั้นไปด้วย

เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้วที่อีกฝ่ายพูดจาประหลาดทำให้เขาต้องนอนผวาไปเป็นชั่วโมง เกรงว่าฝ่ายนั้นจะอุตริลุกขึ้นมาทำเรื่องคาดไม่ถึงอย่างที่ปากว่าไว้ กว่าเขาจะข่มตาหลับลงได้ ก็ตอนได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าคนที่ตนหวาดระแวงอยู่หลับไปแล้วนั่นแหละ

“งั้นผมช่วยเลียให้ขนกลับมาลู่เหมือนเดิมดีไหม”

คนที่ได้เห็นกิริยากระหยิ่มยิ้ม เอ่ยทะเล้น ผิดกับอีกคน บล็อกหนุ่มอึ้ง อ้าปากค้างไปชั่วครู่ ไปต่อไม่ถูก ยิ่งสบนัยน์ตาคมเข้มสีนิลคู่นั้นแล้วเห็นประกายวับวาวก็ยิ่งทำให้รู้ว่าตนเองเผชิญกับทางตันเสียแล้ว จึงรีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และเดินไปใส่รองเท้าที่ถูกปาไปไกล พลางพูดทั้งที่หันหลังให้อีกฝ่าย

“กลับกันได้แล้ว เดี๋ยวจะถึงเย็นเกินไป”

ภันวัฒน์มองตามหลังดวงตะวันยามเย็นในร่างบุคคล ยิ้มกับตัวเองเพราะรู้ทันว่าร่างโปร่งกำลังทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงสวมสร้อยที่ยึดคืนมาแล้วลงที่คอและเดินตามคนที่นำไปก่อน ทว่าเมื่อไปถึงรถยนต์สีเทาดำซึ่งจอดอยู่อีกฟากถนนก็ต้องหลุดยิ้มขำอีก

“เดินจ้ำมาก่อน สุดท้ายก็ต้องยืนรอ นึกว่าตัวเองมีกุญแจหรือไงครับ”

“คุณรู้ไหม บางทีคุณก็ทำให้ผมคิดว่า ปากอย่างนี้น่าโดนเตะสักที”

เจ้าของคำพูดทำตาขวางใส่เล็กน้อยราวกับจะตอกย้ำให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจนว่าตนเองรู้สึกเช่นนั้น ทว่ากลับส่งผลในทางตรงข้าม เพราะภันวัฒน์ตอบหน้ายิ้มยินดี

“เพราะทำคุณเขินน่ะเหรอ”

เป็นอีกครั้งที่อาทิตย์อัสดงไปต่อไม่ถูกอยู่ชั่วครู่ เขารีบปฏิเสธ ‘ผมจะเขินคุณทำไม’ ก่อนเร่ง ‘เปิดประตูรถได้แล้ว ผมร้อน’ พลอยให้เสียงพึมพำที่ดูออกจะดังไปสักหน่อยลอยออกมาจากปากของร่างสูง

“ร้อนรุ่มใจที่ถูกจับได้หรือเปล่าน้อ”

ภันวัฒน์กระหยิ่มยิ้มพลางเหลือบตามองคนที่ตนกลั่นแกล้ง เห็นเจ้าตัวทำหน้ามุ่ยๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าเพราะต้องการข่มความอายหรือว่าไม่พอใจจริงๆ กันแน่ แต่ก็ตีความเข้าข้างตัวเองเอาไว้ก่อน ใบหน้าจึงประดับด้วยรอยยิ้มไม่สร่างซาจนน่าหมั่นไส้ในความคิดของอีกคน จากนั้นจึงค่อยกดปุ่มปลดล็อกประตูรถจากรีโมทในมือ

หนุ่มบล็อกเกอร์หน้าตี๋เข้าไปนั่งประจำที่ข้างคนขับในรถก่อน คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยโดยตีสีหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ไว้อย่างสุดความสามารถ ถึงกระนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่ลอดผ่านเข้ามาทางประตูรถอีกฟาก

ร่างสูงกำยำย่อตัวลงมานั่งในรถ ก่อนปิดประตูและคาดเข็มขัดให้เรียบร้อย แล้วจึงออกรถไป ทว่าแม้จะเคลื่อนรถมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ยังหันมามองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างอยู่เรื่อยๆ ซึ่งใช่ว่าคนถูกมองจะไม่รู้สึกอะไร และมันก็ทำให้อึดอัดแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ ถึงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป

“มองอะไรของคุณ”

“ผมก็มองไปเรื่อยเปื่อยแหละ”

คำตอบสะท้อนกลับมาเป็นเสียงทุ้มๆ หลังจากนั้นไม่นาน แถมด้วยรอยยิ้มบางๆ พิมพ์ประดับอยู่บนดวงหน้าคมคร้ามนั้นเสียอีก ยิ่งพานให้คนเห็นทวีความหมั่นไส้

“ขับรถก็มองข้างหน้าสิครับ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะว่ายังไง”

“แหมคุณ” เสียงร้องราวกับเหน็บแนมกลายๆ ดังขึ้นนำ “ก็ต้องมองกระจกข้างด้วยสิ เผื่ออยู่ดีๆ มีรถแซงขึ้นมา มันก็อันตรายนะครับ”

“มองกระจกข้าง จริงๆ เหรอครับ”

ท้ายคำพูดร่างโปร่งเน้นเสียงมากกว่าปกติบ่งให้รู้ว่าไม่เชื่อเลยสักนิด ทว่าภันวัฒน์ก็ทำเสียงซื่อตอบอย่างไร้เดียงสา

“อื้ม”

อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตัวเองพูดคำว่า ‘หมั่น’ อยู่ในใจไปกี่รอบตั้งแต่ได้ยินคำตอบนั้น เขาเบือนหน้าหนีมาทางกระจกหน้าต่างก่อนจะปิดเปลือกตาลง ตัดสินใจว่าเข้าสู่ทางสงบดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับคนบ้าอย่างผู้ชายคนข้างๆ

ความเงียบกลับเข้าสู่ห้องโดยสารอีกครั้งเมื่อบล็อกเกอร์หนุ่มปิดการรับรู้ของตนเอง ถึงกระนั้นใช่ว่าการกระทำของภันวัฒน์จะหยุดลง เขายังหันไปมองคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ และแสร้งหลับหรือเริ่มหลับจริงแล้วไม่รู้ด้วยความครึ้มใจ

ถ้าได้รู้สึกแบบนี้บ่อยๆ ก็คงดี







กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็หลังจากนั้นอีกสองชั่วโมงกว่าๆ จากช่วงสายของวันดวงตะวันก็ย้ายมาสู่ทิศตะวันตกมากขึ้น ภันวัฒน์เคลื่อนรถเข้ามาภายในตัวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จอดรถเข้าที่ให้เรียบร้อยก่อนจะหันไปมองคนที่หลับลึกมาตลอดทาง แล้วก็...

...หลุดยิ้มออกมาอีกครั้งจนได้

“จะปลุกยังไงดีนะ”

ดับเครื่องยนต์แล้วความคิดนั้นก็บังเกิดขึ้นมาฉับพลัน เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นแม้แต่น้อย ครั้นจะเรียกหรือใช้มือสะกิดก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินไป เขาอยากดูปฏิกิริยาตลกๆ จากอีกฝ่ายมากกว่า

คิดหาคำตอบอยู่ชั่วครู่รอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ภันวัฒน์ปลดเข็มขัดนิรภัยที่ล็อกร่างตนเองออก ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้คนที่ยังอยู่ในนิทรา ให้ใบหน้าไปอยู่ตรงกับหูของอีกฝ่าย จากนั้น...

ฟู่วววววว

เป่าลมเข้าไปในหู

อาทิตย์อัสดงสะดุ้งโหยงร้อง ‘เฮ้ย’ ออกมาเสียงดังลั่น ดีว่าเจ้าตัวถูกเข็มขัดนิรภัยล็อกตัวไว้หนึ่งชั้นจึงไม่เป็นอันตรายถึงขั้นหัวโหม่งหลังคารถ ตรงข้ามกับผู้กระทำราวกับกลับด้าน

เสียงหัวเราะอย่างพออกพอใจดังมาจากหนุ่มช่างทำขนม พานให้ใบหน้าของคนเพิ่งตื่นมุ่ยลง คิ้วขมวดฉับ ขึ้นเสียงข่ม

“คุณ!”

ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ยังแก้ตัวได้หน้าตาเฉยราวกับไม่รู้สึกถึงความผิดใดๆ ทั้งสิ้น

“ก็คุณไม่ตื่นเองนี่ครับ”


“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาเป่าหูผมเล่นได้นี่ครับ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”

บล็อกเกอร์หนุ่มตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับเอาจริงเอาจัง แต่ภันวัฒน์กลับลงความเห็นกับตัวเองว่าอาจจะเป็นแค่การข่มความรู้สึกต่างๆ นานาที่เกิดจากการตั้งตัวไม่ทันที่ถูกทำอะไรแบบนี้ก็เป็นได้

“การมีหัวใจอ่อนเยาว์ จะช่วยให้สุขภาพกายใจดีขึ้นนะครับ”

ร่างสูงยิ้มน้อยๆ แต่แฝงแววทะเล้นอยู่ในที อารมณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้คนเห็นรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา จึงรีบมองสำรวจสถานที่ที่ตนอยู่ในตอนนี้ เมื่อพบว่าน่าจะเป็นลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าสักที่จึงปลดเข็มขัดนิรภัยออก

“ถึงห้างฯ แล้วใช่ไหม ถ้างั้นผมขอไปจัดการเรื่องแท็บเล็ตก่อนล่ะ ลาล่ะครับ”

“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิคุณ จะรีบลากันไปไหน”

“ผมก็ไปทำธุระของผม ส่วนคุณจะไปไหนก็เรื่องของคุณแล้วนี่ครับ” ประโยคช่างตัดรอนกันได้อย่างไร้เยื่อใย มิหนำซ้ำยังไม่วายมารยาทดีบอก “ขอบคุณสำหรับการขับรถทั้งสองวันและค่าน้ำมันนะครับ”

“โหย คุณ ขี้งกไปนะ”

ดวงหน้าคมสันบิดบู้ขึ้นมาอย่างฉับพลันหลังจากได้ยินดังนั้น แต่ก็ไม่ได้แจ่มแจ้งว่าเป็นอาการไม่พอใจ เหมือนเป็นการแสร้งทำเสียมากกว่า

“คุณจะให้ผมช่วยออกค่าน้ำมันเท่าไรล่ะครับ”

“ผมไม่ได้ขี้ตืดขนาดนั้นสักหน่อย”

แล้วจะเอาอย่างไร

ประโยคกระแทกกระทั้นดังขึ้นในหัวของอาทิตย์อัสดง คิ้วเรียวปั้นปมใต้หน้าผากได้รูปทรง เห็นเท่านั้นก็กระจ่างแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ยังยิ้มเย็นสบายให้อย่างไม่ทุกข์ร้อน

“จ่ายค่าแรงของผมเป็นยิ้มหวานๆ สักทีก็ได้นี่ครับ”

“บ้าหรือเปล่า”

แทนที่จะหงุดหงิดฉุนเฉียวกลับไป อารมณ์อย่างที่ว่ามลายหายไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เสียงหลุดออกจากปากโดยไม่ทันยั้งคิดและตรึกตรองให้ดี

“แน่ะๆ ยิ้มอยู่ล่ะสิ”

“ผมไม่ได้ยิ้ม คุณนั่นแหละยิ้ม”

“หูย อย่าขี้งกเลยนะ”

“คุณจะบังคับคนที่ไม่อยากยิ้ม ให้ยิ้มคุณให้คุณได้ยังไง”

“ไม่ได้อยากยิ้มหรอกเหรอ”

ร่างสูงทำหน้าสงสัยราวกับเด็กน้อยอ่อนเดียงสา จนคนเห็นต้องพ่นลมหายใจออกมาจากจมูก รู้สึกเหนื่อยใจที่ต้องรับมือคนสติไม่ดีอย่างนี้

“ก็ได้ๆ” อาทิตย์อัสดงตัดใจ แสร้งทำเป็นฉีกยิ้มให้ด้วยการใช้ปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้างเกี่ยวมุมปากขึ้น “เท่านี้ พอใจหรือยังครับ”

“ตลกดีๆ คุณค้างอยู่ท่านี้ก่อนนะ ผมขอถ่ายรูปก่อน”

ภันวัฒน์แตะกระเป๋ากางเกงของตัวเองพัลวัน ทำเหมือนว่าจะเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปจริงๆ ส่งผลให้มือของร่างโปร่งลดลงจากตำแหน่งเดิมทันควัน ก่อนน้ำเสียงเสียดายจะดังมาจากร่างสูง

“เอ้อ ผมลืมไป โทรศัพท์ผมเจ๊งเหมือนกันนี่นา อดถ่ายรูปเลยสิเนี่ย เสียดายจัง”

ใช่เรื่องที่สมควรเสียดายเหรอ

อาทิตย์อัสดงร้องเช่นนั้นอยู่ในใจ พลางส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา

“ผมว่าเราไปหาอะไรกินกันแล้วค่อยไปจัดการเรื่องโทรศัพท์ของผมกับแท็บเล็ตของคุณกันเถอะ”

“หา”

ทั้งที่คิดว่าจบเรื่องแล้ว จะได้แยกย้ายกันไปเสียที อีกฝ่ายกลับพูดมาแบบนั้นได้หน้าตาเฉย มิหนำซ้ำยังออกเดินนำ แต่ไม่ใช่เท่านั้น พอเห็นว่าเขาไม่เดินตามยังหันกลับมากวักมือเรียก

“มาเร็วสิคุณ”

ร่างโปรงถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อโดนมัดมือชกทั้งที่ยังงง ได้แต่ก้าวขาเดินตามไปพร้อมกับประกอบสติที่หมุนคว้างอยู่ภายในหัวไปด้วย กระทั่งมาถึงร้านอาหารนั่นแหละ ถึงจะรู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดกลับมาเข้าที่เข้าทาง

“กินอาหารญี่ปุ่นแล้วกันนะ”

“ไม่ถามผมสักคำ”

แม้จะไม่ได้ติดขัดเรื่องอาหารแต่อย่างใด ทว่าก็ไม่อยากคล้อยตามอีกฝ่ายมากนักจนเหมือนตนเองยินยอมพร้อมใจจะเป็นผู้ตาม แต่ก็ใช่ว่าภันวัฒน์จะสน เขาตอบกลับมาหน้าตาเฉย

“ก็เห็นคุณเดินตามเงียบๆ ไม่เสนอนี่ แล้วผมก็คิดว่าคุณไม่น่าจะเป็นคนประเภทเลือกกินด้วย”

เถียงไม่ออก เจ้าของหน้าขาวตี๋รู้สึกอย่างนั้น จึงต้องยื่นมือไปเลื่อนเมนูอาหารที่พนักงานนำมาให้เพื่อออเดอร์

ทั้งคู่ต่างสั่งอาหารที่ตนเองอยากกิน ระหว่างรอนั้นความเงียบเข้ามาห้อมล้อมสองคนอีกครั้ง ซึ่งภันวัฒน์ผู้ถนัดในเรื่องทำลายความสงบและก่อความปั่นป่วนให้ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นคนพูดแทรกความเงียบขึ้นมาก่อนอีกเช่นเคย

“ว่าแต่...แท็บเล็ตคุณเสียแล้วขนมที่คุณไปกินมาเมื่อวานล่ะ ทำยังไง”

“ผมตั้งให้มันอัพโหลดรูปขึ้นแอคเคานท์ทุกครั้งที่ถ่ายน่ะ ไม่มีปัญหาหรอก”

“พวกคะแนนรีวิวด้วยเหรอ”

“ครับ ผมเขียนใส่เมโมแล้วเซฟเป็นรูป”

“อ๋อ”

ร่างสูงครางเสียงยาวพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนหน้านี้เขาวิตกนิดหน่อยว่าบล็อกเกอร์หนุ่มจะเดือดร้อนที่งานเสียหาย

“แล้วเสร็จจากนี่คุณจะไปไหนอีกหรือเปล่า”

“คงไม่หรอก ผมว่าจะกลับไปอัพบล็อก รับงานเขามาแล้ว ทิ้งค้างไว้หลายวันคงไม่ดี”

“อืม คุณมีความรับผิดชอบดีนะ”

ภันวัฒน์บอกยิ้มๆ ด้วยความชื่นชม แต่แม้เห็นเท่านั้นจะเข้าใจเจตนาได้ อาทิตย์อัสดงก็เลือกที่จะสวนเสียงกลับด้วยความหมายที่แตกต่าง

“คุณคิดว่าผมไม่มีเหรอครับ”

“หูย ผมไม่กล้าว่าคุณหรอกครับ”

“ก่อนหน้านี้คุณว่าผมไว้โคตรเยอะเลยนี่ครับ”

ตาเรียวเหลือบมองร่างสูงด้วยท่าทีเหนือกว่า ราวกับจะต่อว่าอย่างไรอย่างนั้น

“ที่ไหนๆ ไม่มีๆ” ภันวัฒน์รีบร้องพลางปัดมือไปมาตรงหน้า “ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา มีอะไรก็ต้องหยวนๆ กันนะ”

ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ท่าทีเช่นนั้นพร้อมกับคำพูดนั่นก็ทำให้มุมปากของอาทิตย์อัสดงกดลึกลงเป็นรอยยิ้มนิดๆ โดยไม่รู้ตัว

ภันวัฒน์มองสิ่งหายากนั้น หรือจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้กระมังที่เขาได้เห็นรอยยิ้มนี้ และมันก็ทำให้เขารู้สึกอยากจะเห็นรอยยิ้มที่กว้างกว่านี้จากคนคนนี้อย่างไรไม่รู้ แขนใหญ่ยกขึ้นชันกับโต๊ะ เอามือเท้าคางพลางระบายยิ้มบางๆ กับตัวเอง

“ยิ้มเคลิ้มอะไรของคุณน่ะ”

ทว่าในสายตาของคนที่เห็น มันไม่ใช่การยิ้มบางเบาอย่างที่เจ้าตัวคิด แต่กลับเป็นอะไรที่แฝงความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น

“คุณเห็นว่าผมยิ้มเคลิ้มเหรอ”

“คิดเรื่องอะไรลามกอยู่เหรอครับ”

ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นการย้อนถามกลับ ซึ่งเรียกรอยยิ้มจากเจ้าของยิ้มเคลิ้มให้ฉีกกว้างมากกว่าเดิมด้วยความรู้สึกขบขันเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างชัดเจนตรงประเด็น

“ผมยิ้มแบบนั้น ก็เพราะเห็นคุณยิ้มนั่นแหละ”

“หา?”

อาทิตย์อัสดงทำหน้างง ครางเสียงออกมาอย่างไม่เข้าใจ เขายิ้มตั้งแต่เมื่อไร แล้วถ้าเขายิ้มจริง ทำไมเขายิ้มแล้วคนตรงหน้าต้องยิ้มแบบนั้น

“พอเห็นคุณยิ้มแล้ว รู้ไหมผมรู้สึกยังไง”

คำถามนั้นทำให้ยิ่งงวยงงมากขึ้นกว่าเดิม อาทิตย์อัสดงเอียงคอเล็กน้อยราวกับว่าทำเช่นนั้นแล้วจะทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น แต่มันกลับทำให้คนมองพอใจและตื้อๆ อยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก เสียงทุ้มหลุดออกจากปากเบาหวิวดั่งปล่อยให้มันล่องลอยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ผมชอบนะ”

ประโยคนั้นราวกับก้องอยู่ในหูคนฟัง ขนลุกเกรียวซู่ขึ้นมาทั้งร่าง ถึงกระนั้นเสียงทุ้มใหญ่ที่แผ่วเบาก็ยังไม่จบลง

“เห็นคุณยิ้มแล้วมันทำให้ผมอยากทำให้คุณยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมอีก”

“.....”

“นี่”

อาทิตย์อัสดงได้แต่มองภาพตรงหน้าค้างอยู่อย่างนั้น ช่วงเวลาเหมือนหยุดเดินชั่วคราว ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างนอกจากเสียงของชายที่อยู่ตรงหน้า

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณแล้ว”

ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ร่างกายชาไปหมดเหมือนโดนสาป โดยเฉพาะหลังจากได้ยินประโยคต่อมาที่เหมือนจะพุ่งทะลุมากลางอกซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เจิดจ้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“แต่เปลี่ยนเป็นจีบคุณแทนได้ไหม”





--------------------------------
ตอนนี้มาเร็วเกินคาด
รู้สึกว่าชอบตอนนี้นะ แต่งเองชอบเองซะงั้น


ป.ล. ขอบคุณ insomniac ที่บอกเรื่องลงเดือนผิดนะคะ ไม่ได้ดูเลย
ขอบคุณ em1979 ด้วยค่ะที่บอกว่าชอบสำนวน กำลังคิดอยู่เลยว่ามันดูน่าเบื่อหรือเปล่า ติดนิสัยชอบบรรยายเยอะด้วย

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-03-2016 17:53:16
พ่อปาติซิเย่จอมอาชญากร
ทั้งขู่ให้เสียวว่าจะเสียสินทรัพย์ส่วนตั๊ว...ส่วนตัว ทั้งถอดสร้อยจากคอเจ้าของ
ขโมยรองเม้าเขาไปปาเล่น เป่าหูโดยไม่ได้รับอนุญาต
แล้วยังมาพูดจาคุกคามสุขภาพหัวใจอีก

มันจะน่าตกหลุมรักเกินไปแล้ว  :impress2:

อาทิตย์อัสดงจ๊ะ ไหน ๆ ก็ต้องตกจากฟ้าในยามเย็นอยู่แล้ว ก็ช่วย ๆ ตกลงหลุมที่คุณภัณขุดไว้กว้างเท่ามหาสมุทรเลยเถอะนะ
ฉันจะรอฟิน อิอิ 

 
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: *-*คาเมะ*-* ที่ 23-03-2016 20:32:34
ละมุน ชอบๆ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-03-2016 20:57:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 24-03-2016 00:10:28
น่ารักเเบบกวนตีนๆ 5555
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 24-03-2016 06:58:47
โห จีบกันตรงๆ แบบนี้ เล่นเอาอาทิตย์อัสดงไปไม่ถูกเลย 555
สนุกดี มาอัพต่อไวๆ นะ รออ่านอยู่
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-03-2016 11:18:17
ไม่รู้จะน่ารักหรือน่าหมั่นไส่ดี แต่ก็ได้ใจไปพอดูเลยครับ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 24-03-2016 15:04:31
โอ๊ย กรี๊ดมากค่ะ จำได้ว่าตอนแรกมาอ่านบทแรกไว้แล้วเราก็ลืมไปเลย วันนี้มาเห็นอีกทีเลยรีบตามอ่านเลยค่ะ ตอนแรกแบบเกลียดคุณภัณมาก แบบ โคตรน่ารำคาญอ่ะ เป็นเราจะถีบให้ไปไกลๆ ยิ่งตอนมาบุกบ้านตอนตีสามนี่เราเชียร์คุณอาทิตย์อัสดงให้เอามีดเสียบพุงเลยค่ะ หมั่นไส้ รู้แหละว่าร้อนรน แต่มันใช่เวลาป่ะ แล้วพอแกโดนขังนี่เราขำมาก 555555555 ด้วยความสะใจค่ะ แล้วดูค่ะดู ดูเธอทำ ทำไมถึงทำกับน้องอาทิตย์ได้ ฮืออออออออ เราเชื่อว่าน้องต้องหมุนไขควงอยู่นานมาก ฮืออออ สงสารนะคะ แต่ก็ขำ นี่เป็นนิยายตลกโปกฮาหรืออย่างไร แต่พอน้องอาทิตย์แกถูกลากบ่อยเข้านี่ก็เหมือนจะปลงนะคะ อารมณ์แบบ เออ จะทำไรก็ทำเหอะ เราชอบตอนสุดท้ายน้องบอกตรงๆนะคะว่าเพราะอะไร หลังจากนั้นคือคุณภัณหงอยมาก เราว่าจริงๆแกอยากรีบกลับบ้านไปแก้ขนมใหม่ แต่พอดีต้องพาน้องอาทิตย์ไปส่งไง แล้วดูค่ะ ไปเที่ยวคราวนี้คุณภัณแกคุ้มสุดนะคะเราว่า แทะโลมมากอ่ะ นี่คือไม่ยอมพลาดโอกาสสักครั้งนะคะ นิดๆหน่อยๆก็เอาอ่ะ ฉากในห้องน้ำนี่เราว่ามีคนฉวยโอกาสนะคะ มากด้วยอ่ะ คือแบบ มากกกกกกกก คุณภัณนี่มรอะไรดีบ้าง คนบ้าง ขอให้ได้แตะเหอะ เล่นซะน้องอาทิตย์กลัวเลยไหม เราว่าไปด้วยกันครั้งนี้เหมือนเขาได้ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นเยอะเลยอ่ะค่ะ จากตอนแรกนี่เราว่าคุณภัณแกแค้นฝังหุ่น ไปๆมาๆก็เริ่มชอบคุณอาทิตย์อัสดงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนว่าเป็นเพื่อนกันได้ไหมนี่เราก็เขินแล้วนะคะ พอได้เจอรอยยิ้มเดียวนี่แบบ ยิ้มสยบวิญญาณมาก เพลงลอยมาในหัวคุณภัณแน่ๆค่ะ เรามั่นใจ "ใช่เลย คือคนนี้เลย ที่รอมาตั้งนาน ที่ใจต้องการ ประมาณนี้เลย" ฮือออออ ทำน้องอาทิตย์วูบเลยรู้ไหมคะ แต่นี่ประโยคหลังมาเร็วไง เขินจนลืมใจหายเลย 555555555 เราว่า 2 คนนี้นี่เหมือนค่อยๆผูกพันกันจากขนมมาก จากตอนแรกเกลียดก็เหมือนเริ่มมองเห็นข้อดีของอีกฝ่าย ค่อยๆยอมรับกันมากขึ้น แล้วก็รักกันไม่รู้ตัว โอ๊ย กรี๊ดดด มันดูอบอุ่นละมุนละไมมาก ฮือออ แต่เราว่าอนาคตคุณฐานทัพนี่ต้องมาเป็นประเด็นสำคัญ โหยยย คนแรกเลยนะคะ แล้วแบบ ยังติดต่อกันอ่ะ แน่ๆเลย แต่เราว่ามันอาจจะไม่ดราม่ามากนะคะ จากตอนก่อนๆที่คุณฐานแกเมามาน้อนห้องคุณภัณ เราว่าแกอกหักมา แกคงมีคนที่ชอบแล้วแน่ๆ ฮืออออ เราโคตรเดา 555555 ไม่เดาละ รออ่านตอนต่อไปนะค้าาา ขอบคุณสำหรับทุกตอนค่า กอดด   :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 9th Entry : รุกคืบ [23/3/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 24-03-2016 18:39:02
จะบ้าตายกับประโยคสุดท้าย ตัดสินใจเร็วไปรึเปล่าพ่อคุ๊ณณณ

อ่านรวดเดียวหมดเลย ชอบบบ ตอนหน้ามาไวๆ นะคะ

 :-[
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 05-04-2016 22:42:25
10th Entry : แรมเดือน






ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าอาทิตย์อัสดงจะคืนสติหลังจากได้ยินประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน และก็ไม่ใช่การดึงสติของตนกลับมาด้วยตัวเอง แต่เป็นเพราะพนักงานนำอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟถึงทำให้บรรยากาศแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นหมดไปได้ ทว่ามันก็ไม่เชิงว่าจะหายเป็นปลิดทิ้งเสียทีเดียว

“ผมว่า...รีบกินเถอะ ผมอยากรีบกลับแล้ว”

ถ้อยคำที่ร่างโปร่งเอ่ยออกมาตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่เท่านั้นก็ชัดเจนมากแล้วสำหรับคนฟังที่ชำนาญเรื่องการอ่านท่าทางของคนอื่น เพราะทำงานในแวดวงบริการ

“เดี๋ยวจัดการธุระเสร็จแล้ว ผมไปส่งคุณนะ”

เพราะไม่อยากไล่บี้หรือคาดคั้นมากเกินไป ภันวัฒน์จึงไม่ไล่ต้อนด้วยความสนุกเหมือนที่ผ่านมาต่อ ถึงกระนั้นการเสนอตัวเพียงเท่านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มหน้าตี๋ปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว เขาก้มหน้าคีบซูชิเข้าปากพลางตอบแบบตัดรอน

“ไม่ต้องหรอก ผมเกรงใจ”

ภันวัฒน์ไม่ตอบอะไร เพียงแค่ลอบมองกิริยาอาการของคนตรงหน้าไปด้วย เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวราวกับกำลังจะหาหนอนชาเขียวที่แฝงตัวอยู่ในเมล็ดข้าวก็ไม่ปาน

คงจะเกร็งน่าดู

รอยยิ้มผลิจากดวงหน้าหล่อจางๆ เมื่อคิดดังนั้น ก่อนจะหันความสนใจมาที่อาหารของตนเองบ้าง เพราะไม่อยากกดดันอีกฝ่ายมากเกินไป

เดี๋ยวเหยื่อตื่น คงหมดโอกาสกันพอดี

หลังจากกินอาหารเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปที่ร้านโทรศัพท์ด้วยกัน เนื่องจากต่างใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแบรนด์เดียวกันจึงได้ไปจัดการพร้อมๆ กันได้

ภันวัฒน์เลือกรุ่นโทรศัพท์คล้ายๆ เดิมที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุด เมื่อตรวจสอบการทำงานของเครื่องว่าไม่มีปัญหาและจ่ายเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเปลี่ยนซิมการ์ด ซึ่งทันทีที่ซิมการ์ดถูกใส่ลงในโทรศัพท์ และเปิดเครื่องจนเรียบร้อยแล้ว เสียงข้อความก็ดังขึ้นเตือนว่ามีผู้ติดต่อมาและฝากข้อความไว้

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากเลขานุการจอมจิกแขวะของตนเอง และเมื่อคิดว่าจะโทรศัพท์ติดต่อกลับไป ชื่อของคนที่กำลังนึกถึงก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์เสียก่อน

เสียงเพลงที่ดังมาจากคนข้างๆ เรียกสายตาจากอาทิตย์อัสดงที่เพิ่งจัดการเรื่องแท็บเล็ตเสร็จได้เล็กน้อย

“แป๊บหนึ่งนะครับ”

ร่างสูงหันมาบอกคนที่อยู่ข้างๆ แล้วปลีกตัวออกมา พร้อมกับกดปุ่มรับสายไปด้วย และไม่ทันกรอกเสียงลงไป เสียงจากอีกฟากของโทรศัพท์ก็ดังมาเสียก่อน

[ทำไมถึงเพิ่งเปิดเครื่องล่ะคะ เจ้านาย]

“โทรศัพท์ผมเสียน่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าครับ เห็นโทรมาหลายครั้ง ยังไม่ทันกดดูข้อความ คุณนนก็โทรมาเสียก่อน”

[นนนี่ค่ะ มีเอกสารด่วนที่ต้องเซ็น แล้วก็มีงานอื่นๆ อีกมากด้วยค่ะ ฝ่ายบัญชีก็ติดต่อมาหลายครั้ง]

พอได้ยินชื่อฝ่ายที่ติดต่อมาทางเลขานุการ ภันวัฒน์ก็แทบร้องอึ๋ยออกมา เพราะเป็นฝ่ายที่เรียกได้ว่าไม่ถูกโฉลกกับเขามากที่สุด

งานผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มต้องพัวพันกับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ดังนั้นหากทำเอกสารหรือคำนวณงบประมาณในแต่ละเดือนไม่ดี หรือหากต้องการยื่นข้อเสนอที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายก็มักจะมีปัญหากับทางฝ่ายนั้นเสมอ

“โอเคครับ เดี๋ยวผมจะรีบเข้าไป”

เมื่อตัดบทเช่นนั้นจบ ร่างสูงก็กดวางสายก่อนจะหมุนตัวกลับมา มองคนที่ยืนรออยู่ในตำแหน่งเดิมด้วยยิ้มเจื่อนๆ เล็กน้อย

“ผมต้องรีบกลับแล้วล่ะ ขอโทษด้วยที่คงไปส่งคุณไม่ได้แล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้”

แม้จะตอบเช่นนั้น แต่อาทิตย์อัสดงกลับรู้สึกโล่งอกเล็กน้อยที่จะได้จากลาคนที่พูดจาพิลึกพิลั่นว่าจะ ‘จีบ’ เขาเสียที เพราะคาดเดาไม่ออกว่าหากอีกฝ่ายไปส่งที่บ้านจะเกิดอะไรขึ้น หรือฝ่ายนั้นจะพูดอะไรแผลงๆ ออกมาอีกหรือเปล่า

“ครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”

ร่างสูงขอโทษซ้ำ ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวง ก่อนจะขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้อาทิตย์อัสดงจนประจันหน้ากันในระยะห่างเพียงไม่ถึงช่วงแขน จับจ้องใบหน้าขาวสะอ้าน ดวงตาเรียวยาว ทำให้คนที่ต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพราะส่วนสูงที่ต่างกันงุนงง แต่เมื่อได้สบตากันเพียงชั่วครู่ ร่างโปร่งก็ต้องเลื่อนสายตาไปวางที่อื่นนอกเหนือจากตาคมดำขลับแทน เพราะมันรู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกลตอนที่สบกับดวงตาคู่นั้น

“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“ครับ?”

เสียงของอาทิตย์อัสดงเบาจนแทบกลืนหายลงไปในลำคอ

“เลิกบล็อกเบอร์ของผมได้แล้วนะ”

พอได้ยินเรื่องนี้ก็เหมือนว่าความรู้สึกแปลกๆ เมื่อครู่จะหายไป บล็อกเกอร์หนุ่มขยับตัวถอยหลังเล็กน้อย

“เอาไว้ผมจะคิดอีกทีแล้วกันครับ”

“ใจร้ายเหมือนเดิม”

เหมือนเป็นคำตัดพ้อ แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะใบหน้าเข้มสยายยิ้มกว้าง

“งั้นผมกลับก่อนนะ”

“ครับ”

“แล้วก็...”

“แล้วก็บ่อยจังนะครับ รีบไม่ใช่เหรอ”

เห็นอีกฝ่ายมัวแต่ยึกยักนึกคำล่ำลา อาทิตย์อัสดงจึงอดแขวะเบาๆ ไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด แต่เป็นสีหน้ายียวนเสียมากกว่า ทว่า...เพียงชั่วครู่พลันเปลี่ยนไป กลายเป็นนิ่งค้าง ชาวาบไปทั้งใบหน้า เพราะคำพูดต่อมาของเจ้าของร้านขนม

“อย่าลืมคิดถึงผมด้วยล่ะ”

ภันวัฒน์ขยิบตาแถมให้หนึ่งทีและแจกยิ้มเรี่ยร่ายอีกหนึ่งครั้งเมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างพึงพอใจ





แม้ว่าจะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่คำพูดนั้นยังคงก้องอยู่ในหูจนต้องส่ายศีรษะแรงๆ เพื่อสลัดให้มันหลุดออกไป ทว่าใช่ว่าทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยได้ อาทิตย์อัสดงคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ กะว่าหากอาบน้ำเสร็จคงจะชำระล้างเสียงทุ้มๆ กับคำพูดที่น่าจะชวนอี๋นั้นได้ ประหนึ่งมันเป็นขี้ไคล

เขาถอดเสื้อผ้าออก เปิดน้ำผักบัว สระผม จากนั้นถูสบู่ลูบไล้ใบหน้า ไล่ลงมาที่ลำคอกระทั่งถึงอก แล้วก็พลันนึกได้ว่าของบางอย่างที่ควรอยู่ตรงนั้นมันหายไป

“สร้อย...”

หมอนั่นสินะ เอาไปตั้งแต่เมื่อไร

ตั้งคำถามกับตนเองแล้วก็ไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนที่มันน่าจะถูกฉกชิงไป

‘หัวคุณหอมดีนะ’

เพียงเท่านั้น มือเรียวก็ต้องยกขึ้นมาแตะตรงอกด้านซ้าย

“ใจเต้นทำไมวะ”

อาทิตย์อัสดงสะบัดหัวไปมาอีกครั้งและบอกตนเองให้ลืมเรื่องนั้นไป ส่วนเรื่องสร้อย เพราะยังมีข้อตกลงอยู่และเขาก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่คนสับปลับ แม้จะเป็นพวกเดาใจยากและหน้าด้านอยู่สักหน่อยก็เถอะ ดังนั้น...หากถึงปลายอาทิตย์ คงจะเอาขนมมาให้เขาชิมเหมือนอย่างที่เคย

เขาแน่ใจว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายและเขาก็จะได้สร้อยคืน

แต่ทั้งที่คิดว่าเหตุการณ์คงดำเนินไปเช่นนั้น ครั้งนี้กลับไม่ใช่แบบที่คาดการณ์เอาไว้เลย เพราะแม้ว่าจะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว โจรลักสร้อยคนนั้นก็ยังไม่โผล่มาที่บ้านของบล็อกเกอร์หนุ่ม ไม่แม้แต่โทรศัพท์ติดต่อมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะมาทุกสัปดาห์หรืออย่างน้อยที่สุดก็สองสัปดาห์ต่อครั้ง

อาทิตย์อัสดงมองโทรศัพท์ในมือที่ปรากฏเบอร์โทรซึ่งตนเป็นคนบล็อกเอง ชื่อที่ถูกตั้งเอาไว้เพียงชื่อเดียวนอกเหนือจากเบอร์โทรศัพท์ที่มีเลขหมายใกล้เคียงกันคือ ‘โจร’ สายตาจับจ้องอยู่ที่ตำแหน่งนั้นนานเลยทีเดียว และก็หลายครั้งที่นิ้วโป้งเลื่อนไปแตะ สองจิตสองใจว่าจะปลดบล็อกหรือว่าโทรไปดีไหม แต่สุดท้ายแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจ

ทำไมเขาจะต้องติดต่อไปในเมื่อไม่มีความจำเป็นที่ต้องเกี่ยวข้องกัน

ไม่สิ

เสียงร้องค้านดังอยู่ในใจ เพราะนึกได้ว่าสร้อยพระยังเป็นตัวประกันอยู่ที่ฝ่ายนั้น ถ้าหากว่าผู้ชายคนนั้นเกิดหายตัวไปเสียดื้อๆ ไม่ติดต่ออะไรกลับมา เขาจะเอาสร้อยคืนได้อย่างไร

หรือควรไปที่โรงแรมดี?

แต่จากท่าทางแล้ว คงจะเป็นคนตำแหน่งสูง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจเจอตัวได้ยาก แบบนั้นแล้วไปที่ร้านน่าจะดีกว่า...ล่ะมั้ง?

ตรึกตรองและสรุปความกับตนเองเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ตัดสินใจไปยัง ‘ห้องนั่งเล่น’ ในวันถัดมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์

เหตุที่ไปที่นั่นก็เพราะว่าอยากได้สร้อยคืนให้เร็วที่สุดต่างหาก เพราะมันเป็นสร้อยเส้นสำคัญที่แม่ให้เขาสวมติดตัวไว้ตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนเป็นเครื่องรางคุ้มภัยมาโดยตลอด และเขาก็สวมมันโดยไม่ถอดเลยนอกจากเสียจากว่าเปลี่ยนความยาวของสร้อย ไม่ได้สนใจหรอกว่าชายคนนั้นจะหายหัวไปไหน

ร่างโปร่งย่างก้าวเข้ามาในร้าน บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมยังเหมือนที่เคยมาในครั้งก่อนๆ พลันทำให้รู้สึกจิตใจสงบลง เขาชอบกลิ่นแบบนี้ กลิ่นที่ราวกับจะปลอบประโลมใจคน และทำให้รู้สึกอบอุ่น ผนวกกับการตกแต่งของร้านที่มีหลากหลายแต่ลงตัวก็ทำให้บรรยากาศยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นไปอีก เสียงระฆังประตูที่ดังขึ้นยามเปิดประตูก็ราวกับเสียงสวรรค์

หน่วยตาเรียวสีชาเลื่อนไปยังตำแหน่งเคาน์เตอร์ก่อนเป็นอย่างแรกหลังก้าวเข้ามาภายในอาณาเขตนั้นแล้ว แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่มีบุคคลซึ่งต้องการพบ มีเพียงพนักงานชายและหญิงอย่างละคนประจำอยู่เท่านั้น บล็อกเกอร์หนุ่มจึงสาวเท้ายาวๆ มายังเคาน์เตอร์และหย่อนตัวลง เพราะเป็นกฎของร้านว่าหากมาคนเดียวจะต้องนั่งที่เคาน์เตอร์เพื่อเผื่อแผ่พื้นที่สำหรับลูกค้ารายอื่น

“รับอะไรดีคะ”

หญิงสาวที่อยู่อีกฟากของเคาน์เตอร์หันมาถามด้วยรอยยิ้มบริการ แต่กลับดูจริงใจอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากร้านขนมหรือร้านอาหารอื่นๆ ที่มักเห็นอยู่ประจำว่าพนักงานหน้าบูดบึ้งจนอยากจะเบือนหน้าหนี พลอยให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของร้านเลือกพนักงานได้ เพราะเดี๋ยวนี้คนที่มีจิตบริการนั้นหายากยิ่งกว่าหาขุมทรัพย์เสียอีก

“ขอมอคค่าเย็นแก้วหนึ่งครับ”

“ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

เธอตอบรับเสียงหวานก่อนจะหันไปกดรายการสินค้าบนเครื่องแคชเชียร์ครู่สั้นๆ จากนั้นหันกลับมาบอกราคา เขาจ่ายไปตามจำนวนนั้นและรอสักพัก มอคค่าเย็นที่ต้องการก็ถูกนำมาเสิร์ฟใ

เสียงเพลงบรรเลงเบาๆ กับอุณหภูมิเย็นๆ และเครื่องดื่มหอมอร่อยทำให้เบาสบายตัว จิตใจปลอดโปร่งนั้นเป็นเอกลักษณ์เด่นของ ‘ห้องนั่งเล่น’ ก็ว่าได้ ทว่ากลับไม่ใช่สำหรับอาทิตย์อัสดงในวันนี้ เพราะแทนที่จะรู้สึกสบายตัวสบายใจที่ได้ปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศโดยไร้ความกังวล ชายหนุ่มกลับรู้สึกมีบางอย่างติดขัดรบกวนอยู่ในใจ

ทั้งที่มีโอกาสจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาอ่านคอมเมนต์ในบล็อกของตนเอง หรือเปิดเกมเล่นไปตามเรื่องตามราวเพื่อความบันเทิง แต่หลังจากจิบเครื่องดื่มพลางเหม่อมองไปพักหนึ่ง ร่างโปร่งก็เหลือบสายตาไปทางเคาน์เตอร์ หรือหากได้ยินเสียงระฆังประตู ก็จะเผลอหันไปมองยังต้นตอของเสียงนั้น เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งจวบจนครบหนึ่งชั่วโมง เป้าหมายที่เขาคาดหวังว่าจะพบก็ยังไม่โผล่มา

หรือว่าวันนี้จะไม่เข้าร้าน?

เอ่ยถามตนเองในใจเช่นนั้นแล้วหัวคิ้วก็พลันมุ่นเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

มีทั้งความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้พอๆ กัน

เขาสรุปความกับตนเอง และจิบกาแฟที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งแก้วต่อไป

“เอ่อ ขอโทษนะคะ”

แต่ไม่นานหลังจากนั้น พนักงานหญิงที่รับออเดอร์เมื่อชั่วโมงที่แล้วก็หันมาเรียก อาทิตย์อัสดงสะดุ้งเล็กน้อยเพราะใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร

“ครับ”

“ไม่ทราบว่าจะสั่งขนมเพิ่มไหมคะ”

เมื่อได้ยินคำถาม ความรู้สึกระอายก็แล่นวาบขึ้นมาในใจ อาทิตย์อัสดงหน้าชาไปเล็กน้อยเพราะคิดว่าตนคงทำเสียมารยาทมากเกินไป ที่สั่งเครื่องดื่มมาแค่แก้วเดียวแต่นั่งแช่อยู่ในร้านที่มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย

“ขอโทษนะครับ คือ...”

“ไม่ได้จะไล่หรอกค่ะ แต่ว่าเป็นนโยบายจากเจ้าของร้าน ว่าขนมหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าอื่นๆ ที่เข้ามาตามหลังมีที่นั่ง”

ไม่ทันจะได้เอ่ยปากใดๆ พนักงานหญิงก็ตอบกลับมาให้เข้าใจ ซึ่งมันก็ทำให้นึกเรื่องที่ลืมไปเสียสนิทได้ ว่าครั้งที่มารีวิวคราวก่อน เขาเห็นกติกาของร้านในหน้าแรกของเมนูที่เปิดดูอยู่เหมือนกัน แล้วก็คิดว่ามันแปลกดี เพราะไม่เคยเจอร้านที่มีกฎแบบนี้

“แต่หากลูกค้ามาคนเดียวเหมือนมารอใครแล้วสั่งขนมหนึ่งชิ้นหรือเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว ถ้าครบชั่วโมงให้มาบอกน่ะค่ะ ว่าถ้าคู่นัดหมายปล่อยให้คุณรอนานขนาดนี้ แสดงว่าเขาไม่ใส่ใจคุณ เพราะฉะนั้นอย่ารอคนที่ไม่เห็นความสำคัญของคุณต่อไปเลยค่ะ”

ได้ฟังแล้วชายหนุ่มหน้าตี๋ก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ค่อนข้างประหลาด แต่ก็รู้สึกว่ามันดีอย่างบอกไม่ถูก และมันก็ทำให้เขาตัดสินใจว่าจะรอต่อไปอีกสักหน่อย

อีกฝ่ายอาจจะมาเร็วๆ นี้ก็เป็นได้

“งั้นผมขอสั่งขนมเพิ่มอีกสักชิ้นแล้วกันนะครับ เพราะว่าผมมารอเขาเอง ไม่ได้นัดเอาไว้หรอก”

จุ๊บแจง พนักงานหญิงของร้านได้ยินก็แปลกใจ เพราะปกติถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ลูกค้าจะดูเศร้าๆ สักหน่อย เนื่องจากถูกเบี้ยวนัด แต่ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าเธอคนนี้ถึงจะดูยิ้มเหงาๆ แต่ก็ไม่ได้เศร้าเสียทีเดียว

หลังจากขนมชิ้นแรกถูกนำมาเสิร์ฟชิ้นต่อไปก็ตามมาในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง แต่ถึงขนมจะหมดไปสามชิ้นแล้ว บุคคลที่อาทิตย์อัสดงรออยู่ก็ไม่ปรากฏตัว สุดท้ายก็เจ้าตัวจึงต้องตัดใจ อดคิดกับตนเองไม่ได้ว่า เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่มาร้านขนมแล้วไม่ได้รีวิว มิหนำซ้ำยังนั่งนานถึงขนาดนี้เสียอีก





ถัดไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ความคืบหน้าหรือวี่แววของเจ้าของร้านขนมที่สมควรจะติดต่อมาหาก็ยังเป็นศูนย์ อารมณ์ที่ไม่แสดงออกมาเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ บล็อกเกอร์หนุ่มอดรู้สึกไม่ได้จริงๆ ว่าชีวิตประจำวันดูแปลกไป มันเงียบสงบ เงียบเหงา วังเวงอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งที่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

“ดูโทรศัพท์อีกแล้วเหรอวะ”

เสียงเพื่อนสนิทราวกับช่วยเรียกสติที่เหม่อลอยไปที่ไหนสักแห่งกลับมา ร่างโปร่งหันกลับไปมองเพื่อนสาวซึ่งเป็นต้นเสียงอย่างงุนงง

“อะไรของมึง”

“หลายวันมานี้กูเห็นมึงจ้องแต่โทรศัพท์เนี่ย แต่ไม่เห็นโทรสักที เป็นอะไรของมึงวะ ติดอยู่ในห้วงรักหรือไง”

“ฮะ เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว”

เกือบคลำหาเสียงแล้วลากออกมาตอบไม่ถูกหลังจากถูกทักเช่นนั้น เขาไม่เคยนึกคิดมาก่อนว่าจะถูกเข้าใจผิดเช่นนี้ ไม่มีความคิดพรรค์นั้นอยู่ในหัวของเขาสักนิด

ห้วงรักนี่นะ?

เขาจะไปตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็แค่รู้สึกว่า...

มันแปลกๆ นิดหน่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยถูกกวนไว้เสียเยอะ

คิดได้เช่นนั้น เสียงที่เคยได้ยินก็แว่วดังในหูซ้ำอีกครั้งอีก

‘เปลี่ยนเป็นจีบคุณแทนได้ไหม’

ซึ่งมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงต้องสะบัดหัวซ้ำๆ กันหลายทีจนหนึ่งฤทัยได้แต่ข้องใจกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเพื่อน

“จะว่ามึงไม่อินเลิฟได้ยังไงวะ มานั่งสะบัดหัวอยู่แบบนี้ จะไล่ใครออกไปหรือไง”

“ปะ เปล่าเว้ย”

“ติดอ่างเนอะคนเรา”

เหมือนโดนฉมวกแทงจึกเข้ามาในใจอย่างแรง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นแม้แต่น้อย แต่พูดติดขัดไปเอง ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าตนเองเหมือนโดนไล่ต้อนจนจนตรอกอย่างไรชอบกล ในหัวพลางคิดสะระตะหาหนทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เข้าใจผิดนี้ และพลันนึกขึ้นได้

“มึงต่างหากล่ะมั้ง คุณอะไรนั่นน่ะ เป็นไง เดี๋ยวนี้กูไม่ได้ตามไปดูเลยนี่หว่า คืบหน้าถึงไหนแล้ว”

นับตั้งแต่วันที่เจ้าของร้านห้องนั่งเล่นพูดเอาไว้ว่าให้เขาเลิกตามติดเพื่อนสาวคนสนิท เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ถ้าดูแล้วทั้งคู่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ ค่อยขัดขวางในตอนนั้นก็ยังไม่สาย เขาก็ไม่ได้ตามไปเวลาที่หนึ่งฤทัยนัดหมายกับอีกฝ่ายอีกเลย กระทั่งหลังๆ มานี้เขาก็แทบจะลืมไปเสียด้วยซ้ำ

“คุณจอมน่ะเหรอ ก็โอเคดีนะ กูก็กำลังดูๆ อยู่ว่าจะเซย์เยสดีหรือไม่ดี ว่าแต่มึงรู้ได้ไงเนี่ย กูยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลย”

“เพื่อนเขาบอกว่าเขาสนใจมึง กูก็เลยคิดว่าผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้เขาคงรุกจีบมึงไปถึงไหนๆ แล้ว”

“อ๋อ เพื่อนเขาที่ดูหล่อๆ หน้าคมๆ คิ้วเข้มที่เจอวันนั้นใช่ปะ”

คำบรรยายรูปลักษณ์ที่ได้ฟัง ทำให้อาทิตย์อัสดงเผลอจินตนาการตามไปด้วย และพอเห็นภาพใบหน้าที่มีรอยยิ้มทะเล้นขึ้นมา ในใจก็พานรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ที่อีกฝ่ายหายหัวหายตัวไปเสียเฉยๆ มาเดือนกว่าแล้ว

ก็แค่อยากได้สร้อยคืนไวๆ เท่านั้นแหละ

ชายหนุ่มบอกตนเองเช่นนั้น ประโลมใจตนเองซ้ำด้วยการคิดว่ากลัวอีกฝ่ายจะฉกสร้อยแล้วชิงหนีหายเข้ากลีบเมฆ

“อืม”

“เอ้อนี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูนัดกับคุณจอมไว้ จะไปถามรูปสถานที่จริง เพราะเหลือแค่ลงรูปอย่างเดียวก็ส่งอาร์ตเวิร์กไปพิมพ์ได้แล้ว มึงจะไปด้วยกันไหม”

“อ้าว ยังไม่เสร็จอีกเหรอวะ”

อาทิตย์อัสดงประหลาดใจ เพราะเห็นว่ารับงานมาตั้งนานแล้ว

“จริงๆ ก็น่าจะเสร็จตั้งนานแล้วแหละ แต่กูอยากได้รูปสถานที่จริงที่มีบรรยากาศพวกเด็กๆ มาเล่นกัน แต่คุณจอมยังไม่ได้เปิดให้บริการเลย ก็เลยต้องรอให้ดรีมแลนด์เปิดบริการก่อนน่ะ งานก็เลยค้างอยู่อย่างนั้น”

“แล้วตอนนี้เปิดแล้วหรือไง”

“อืม เปิดเมื่ออาทิตย์ก่อน ว่าแต่มึงไปด้วยกันไหม”

“จะให้กูไปเป็นก้างเหรอ”

คำถามนั้นทำให้หญิงสาวร้องเสียงสูง ทำหน้าหน่ายใส่เพื่อนรัก

“ทำงานน่ะมึง ทำงาน กูกับเขายังไม่ได้คบกันเลย จะเป็นก้างได้ไง ไม่ดีเหรอ มึงจะได้ช่วยกูพิจารณาด้วยไง ว่าเพื่อนมึงสมควรมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือยัง”

หลังจากข้อเสนอนั้น บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มตรึกตรองอยู่ในใจ พิจารณากับตนเองว่าจะรับปากดีหรือไม่ ทว่าพอคิดว่าหากเขาไป อาจจะได้เจอคนที่กำลังรออยู่ก็ได้ สุดท้ายก็แง้มปากตอบ

“ไปก็ได้”

“ดีๆ”

หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม รู้สึกพอใจอยู่เล็กน้อยที่เพื่อนรักตอบรับ เพราะช่วงหลังๆ มานี้เธอรู้สึกว่าเพื่อนของตนเอื่อยเชื่อยดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาอย่างไรชอบกล

หรือว่าจะอินเลิฟจริงๆ หว่า?





สถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายอยู่ค่อนไปทางชานเมืองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลำบากในการเดินทาง อาทิตย์อัสดงมาพบกับหนึ่งฤทัยตามเวลานัด ทักทายกันชั่วครู่ก็หันมองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้

พวกเด็กๆ ต่อคิวเข้าใช้บริการแหล่งความรู้เชิงสร้างสรรค์แห่งนี้เป็นจำนวนมาก เสียงของพวกเด็กๆ ดังเซ็งแซ่จนเกือบหูอื้อ ดูท่าว่าได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามเลยทีเดียว ทว่าคู่นัดหมายอีกคนที่น่าจะอยู่ตรงนี้ด้วย เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงา

“แล้วคุณจอมอะไรนั่นล่ะ”

แม้จะถามถึงอีกคน แต่อาทิตย์อัสดงรู้แก่ใจดีว่าเป้าหมายที่ตนต้องการรู้ไม่ใช่เจ้าของชื่อ หากแต่เป็นอีกคนที่เขาหวังว่าจะได้เจอในวันนี้ต่างหาก

“มาตั้งแต่เปิดแล้วล่ะ เดี๋ยวไลน์บอกเขาว่าเรามาถึงแล้ว เขาก็คงเดินออกมาหา”

หนึ่งฤทัยหยิบโทรศัพท์ออกมากดเข้าแอปพลิเคชั่นที่ว่า หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที เกรียงไกรก็ออกมาพบทั้งคู่ตามที่หนึ่งฤทัยบอกไว้ ทว่าไม่ว่าจะข้างกายหรือว่าด้านหลังก็ไม่มีอีกคนหนึ่งที่อาทิตย์อัสดงคาดหวังเอาไว้ คิ้วเรียวขยับชิดเข้าหากันเล็กน้อย

“ขวัญชวนเพื่อนมาด้วย คงไม่เป็นไรนะคะ”

เสียงของเพื่อนสาวที่บอกกับเจ้าของสถานที่เรียกความสนใจของหนุ่มร่างโปร่งหน้าตี๋ให้กลับมาอีกครั้ง อาทิตย์อัสดงทักทายเกรียงไกรพอเป็นพิธี แต้มรอยยิ้มตามมารยาทส่งให้ แต่ภายในใจกลับรู้สึกถึงความว้าวุ่นที่ก่อตัว

ที่ร้านก็ไม่ไป เพื่อนนัดสาวไว้ก็ไม่โผล่

หนีหน้าหรือเปล่า?

ความคิดนั้นแล่นวาบเข้าสู่สมองเมื่อคิดเหตุผลอื่นใดไม่ออก แต่ก็หาเหตุผลรองรับนอกเหนือจากนั้นไม่ได้ เพราะหากเทียบกับคนที่ดูมีฐานะหน้าที่การงานดีแบบนั้น แค่สร้อยพระหนึ่งเส้นคงไม่ได้มีมูลค่าอะไรมาก

ไม่จำเป็นต้องขโมยเลยสักนิด

แล้วทำไม?

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แล้วมันก็ทำให้ยิ่งรู้สึกใจไม่สงบมากกว่าเดิม

“ขวัญ”

บล็อกเกอร์หนุ่มหันไปเรียกหญิงสาว ซึ่งเจ้าตัวก็หันมาถามด้วยความสีหน้าสงสัย

“ว่า”

“กูกลับก่อนนะ”

“อ้าว”

คงบอกอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคำว่า ‘เหวอ’ หนึ่งฤทัยรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งมันก็แสดงออกทางใบหน้าอย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของเพื่อน เธอก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง

“เออๆ กลับไปพักซะเถอะ เห็นหน้ามึงแล้วกูก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน”

“โทษทีนะ”

หลังจากบอกเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงก็โค้งศีรษะให้เกรียงไกรที่อายุมากกว่าเล็กน้อยก่อนจะถอยห่างออกมา ทำให้คนที่เพิ่งมาถึงอดงุนงงอยู่เล็กน้อยไม่ได้ แต่ร่างโปร่งก็หาได้ใส่ใจ เขาตรงกลับไปบ้าน ทิ้งตัวลงบนโซฟาสีขาวสะอาดสะอ้านอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ราวกับคนไร้กำลังจนไม่อยากทำอะไร

กี่วันแล้วนะที่หมอนั่นหายไป

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่คิดแบบนี้ทุกครั้งที่ว่างเว้นจากการทำงาน จนแม้แต่ตัวเองก็ยังนับไม่ถูก อาทิตย์อัสดงเอนหลังพิงโซฟา แหงนหน้าขึ้นพิงพนักนุ่มด้านบน ความกลุ้มใจรุมเร้ามากขึ้นทุกวัน เพราะของที่ถูกยึดไปยังไม่ได้คืน และดูท่าวี่แววจะหดหายไปทีละนิดๆ จนมันเลือนรางลงทุกที

หรือว่าควรจะไปที่โรมแรมจริงๆ

แต่...

สิ่งหนึ่งลอยคว้างขึ้นมาในสมอง

ถ้าไปโรงแรมแล้วเขาจะตามหาหมอนั่นเจอได้อย่างไร ทำงานตำแหน่งไหนก็ไม่รู้ คงไม่บังเอิญเดินๆ ไปแล้วเจอหรอก ที่สำคัญ...

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร








---------------------
กรุบกริบนิดหน่อยพอ
ตอนที่แล้วคุณเขาได้กำไรไปเยอะ ตอนนี้ขอหักดิบซะเลย

จะมีคนเพิ่งรู้ตัวเหมือนคุณอาทิตย์บ้างหรือเปล่านะ


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Jitsupa_milk ที่ 05-04-2016 23:11:25
มาแล้ววว สู้ๆนะ อัสดงงง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 05-04-2016 23:31:18
เง้อออ ทำไมหายเงียบบบ เดือนนึงนี่นานนะคุณผู้จัดการร  :katai1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-04-2016 05:34:37
ไอคนเจ้าเล่ห์วางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 06-04-2016 15:02:56
โถ คุณอาทิตย์อัสดงคะะะ คุณอาทิตย์จะรู้ตัวไหมว่ากำลังเดินตกไปในหลุมพรางคนเจ้าเล่ห์ แงงงง นี่คือการแกล้งหายไปเพื่อดูว่าเราจะร้อนรนไหมคะ คุณอาทิตย์อย่าไปร้อนตามนะคะ เดี๋ยวเขาอยากกลับมาเขาก็มาเองงง 55555555 หรือไม่นี่ก็เ็ฯแผนที่จะทำให้คุณอาทิตย์เลิกบล็อกเบอร์ตัวเองค่ะ คุณอาทิตย์อย่านะคะ อย่าตกหลุมมมม เดี๋ยวปีนกลับมาไม่ได้ แอร๊ยยยย แต่ตอนนี้คุณอาทิตย์แบบ น่ารักจริงจังค่ะ นี่รู้เลยว่าโจรขโมยสติคุณอาทิตย์"ปพร้อมสร้อยแล้วว แงงง ถึงขนาดที่คุณอาทิตย์บอกว่านี่เป็นการกินขนมที่ไม่ได้รีวิวเป็นครั้งแรกเลยอะ คนบ้า มาทำให้คุณิาทิตย์ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ไงคะ นี่เขาหวังว่าจะได้เจอก็ไม่ได้เจอเนี่ย ถ้าคุณอาทิตย์ร้องไห้ขึ้นมาจะทำยังไงคะะะ รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!  :angry2:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 06-04-2016 16:56:51
พระเอกวางแผนอะไรรึเปล่า แบบหายไปให้คิดถึงอ่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 10th Entry : แรมเดือน [5/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 08-04-2016 07:46:59
 o13
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 11th Entry : อิ่มอุ่น [19/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 19-04-2016 23:34:14
11th Entry : อิ่มอุ่น






เป็นความจริงที่อาทิตย์อัสดงเพิ่งรู้สึกตัวเอาตอนนี้เองว่าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เขาไม่เคยเรียกชื่อผู้ชายคนนั้นสักครั้ง และอีกฝ่ายก็ไม่เคยแนะนำตัว ตอนนั้นที่เจอกันที่โรงแรม ถึงจะเห็นว่ามีป้ายชื่อติดอยู่บนอกของฝ่ายนั้นแวบๆ แต่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนั้น เขาไม่มีเวลามาดูหรอกว่าตัวอักษรบนป้ายชื่ออ่านว่าอะไร

แน่นอนว่ารู้แบบนี้แล้วยิ่งตามตัวยากมากขึ้นไปใหญ่

หรือทางออกสุดท้าย...

โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อที่ตั้งเอาไว้เพียงหนึ่งคำสั้นๆ ถูกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้อง นิ้วมือแตะที่หน้าจอสี่เหลี่ยมระบบสัมผัส เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการปลดบล็อก ทว่า...

ติ๊งหน่อง

เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นมาเสียก่อนจนคนที่กะจิตกะใจไม่ได้อยู่ที่ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์สะดุ้งโหยง รู้สึกใจหายไปชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนจะต้องลูบอกของตัวเองราวกับปลอบให้ขวัญกลับมา

ติ๊งหน่อง

เสียงเดิมดังขึ้นอีกครา เรียกเรียวหน้าขาวตี๋ให้เบือนไปทางหน้าต่างหน้าบ้าน เมื่อมองหาต้นตอ สิ่งที่เห็นมีเพียงกรอบร่างที่ไม่ชัดเจนนัก เพราะท้องฟ้าภายนอกกลายเป็นสีดำแล้ว ล่วงเลยเวลาาหนึ่งทุ่มมาหมาดๆ จึงทำให้อดแปลกใจไม่ได้ที่มีคนมาหาในเวลานี้

นานแล้วที่ไม่มีใครมาหาเขาที่บ้าน ยกเว้นก็แต่...

เมื่อความคิดนั้นโลดแล่นเข้ามาในสมอง หัวใจก็เร่งจังหวะขึ้นมาราวกับว่ามันเชื่อมต่อจนสัมพันธ์กัน มันกระตุกรัวจนรู้สึกว่าเหมือนจะทะลุออกมาอย่างไรอย่างนั้น มือเรียวจึงต้องยกขึ้นกุมมันเอาไว้เผื่อว่าจะช่วยบรรเทาอาการแปลกประหลาดนี้ได้

“จะตื่นเต้นอะไรขนาดนี้วะ บ้าปะเนี่ย”

ก่นด่าตนเองแล้วร่างโปร่งก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกลาง ก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้านเพื่อไปหาผู้มาเยือน ไม่รู้ทำไมพอยิ่งก้าวเท้าเข้าไปใกล้ประตูรั้วมากขึ้นเท่าไร ก้อนเนื้อในอกถึงได้เต้นจังหวะถี่มากขึ้นเท่านั้น

วี่แววว่าเขาจะได้สร้อยคืน มันกลับคืนมาสินะ

ยิ่งใกล้ประตูมากขึ้น ยิ่งเห็นร่างของอาคันตุกะชัดเจนขึ้น

หัวใจสั่นระรัว...

กระทั่งระยะห่างเหลือเพียงน้อยนิด ใจที่เคยว้าวุ่นกลับสงบลงได้อย่างน่าประหลาด จังหวะสั่นรัวในอกค่อยๆ ลดความเร็วลง

“มาทำไมครับ”

ประโยคแรกที่หลุดจากปากช่างต่างจากความรู้สึกที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”

เสียงทุ้มที่ห่างหายจากการได้ยินมาเดือนครึ่งกระทบโสตประสาทอีกคราว ก่อนมือหยาบหนาจะดันร่างเพรียวบางกว่าให้พ้นจากประตูบ้านและอุกอาจเข้าไปราวกับได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของแล้ว จากนั้นตรงเข้าไปห้องนั่งเล่น ดึงร่างของบล็อกเกอร์หนุ่มให้นั่งลงบนโซฟาแล้วตามด้วยทิ้งร่างตนเองนอนหนุนศีรษะบนตัก

อาทิตย์อัสดงทำหน้าประหลาดใจเกินอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พยายามผลักอีกฝ่ายที่ใช้กำลังกับตนออกไปให้พ้น เพราะยังไม่ได้พูดคุยกันเป็นกิจจะลักษณะเลยด้วยซ้ำก็จะถูกบุกบ้านเอาเสียดื้อๆ มิหนำซ้ำยังถูกเอาตักไปใช้ต่างหมอน แต่ภันวัฒน์ก็จับมือเรียวเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย

“ขอผมนอนหน่อย ผมเหนื่อยมากเลย”

พูดจบหน่วยตาที่เคยคมเข้มแฝงประกายอยู่สม่ำเสมอแต่บัดนี้กลับดูหมองก็หลับลง เสมือนคนหมดเรี่ยวแรงจริงๆ อาทิตย์อัสดงจึงจำต้องเปลี่ยนใจ แทนที่จะขับไล่ก็ยอมปล่อยให้นอนอยู่อย่างนั้น เพราะเมื่อมองหน้าของคนบนตักดีๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่าดูซูบโทรมลงกว่าที่เคย

ตลอดเดือนกว่าไปทำอะไรมากันแน่ สภาพเลยเป็นอย่างนี้

ความสงสัยกะพริบอยู่ในสมองราวกับหลอดนีออนใกล้หมดอายุ ทั้งที่รู้ว่าไร้คำตอบและแม้จะคิดได้ว่าสงสัยไปก็ไม่มีประโยชน์ ทว่าแสงสลัวนั้นก็ยังติดๆ ดับๆ อยู่ในความคิดไม่จาง และเพราะถูกกักตัวเอาไว้ภายใต้ร่างกายที่ใหญ่โต บล็อกเกอร์หนุ่มตี๋จึงไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้สะดวกนัก แม้กระทั่งจะเอื้อมตัวไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกลางมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาก็ยังรู้สึกลำบากจึงตัดใจ

อาทิตย์อัสดงได้แต่นั่งเหม่อมองไปเรื่อยเปื่อยสลับก้มมองคนที่อยู่บนตัก เพราะทางเลือกของเป้าสายตามีจำกัด แต่เมื่อมองๆ ไปสักพัก ความเงียบ ความเบื่อก็ทำให้เริ่มรู้สึกง่วงตาม ตาค่อยๆ ปิดลงเรื่อยๆ ก่อนศีรษะจะเอนลงไปยังพนักด้านหลัง แล้วปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อนไปตามธรรมชาติ





ลืมตาอีกครั้ง ฟากนภาสีเข้มที่เห็นจากนอกหน้าต่างก็มืดลงกว่าเดิมแล้ว ฉับพลันนั้นก็เริ่มรู้สึกถึงอาการเจ็บจี๊ดที่ขาทั้งสองข้าง เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าคนที่อาศัยตักของตนพักพิงยังคงหลับสนิทอยู่ทั้งที่ขาของเขาเป็นเหน็บชาจนไร้ความรู้สึกอื่นไปแล้ว

ครั้นเหลือบตาไปมองยังนาฬิกาบนผนัง อาทิตย์อัสดงก็พบว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว จึงพยายามยกศีรษะของคนหลับขึ้น ก่อนจะเอี้ยวตัวไปยังโซฟาเดี่ยวตัวใกล้ๆ เพื่อหยิบหมอนมารองไว้ แล้วเดินกะผลกกะเผลกเกือบล้มเพื่อเข้าครัวไปทำอาหาร เพราะตั้งแต่กลับมา เขายังไม่ได้กินอะไรเลย

เปิดตู้เย็นมาหาของที่พอจะทำเป็นกับข้าวง่ายๆ ได้ก็ต้องหันหลังกลับไปมองบุคคลที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาว อดคิดไม่ได้ว่าจะต้องทำเผื่อหรือไม่ แต่จิตสำนึกด้านดีก็ตอบออกมาก่อนจิตสำนึกด้านร้ายจะโลดแล่นในความคิด

ถ้าทำกินเองคนเดียว คงจะเสียมารยาทไปหน่อย

แต่ว่า...ให้นอนตักแล้วยังต้องมาทำอาหารให้กินอีกเหรอเนี่ย

แม้จะพร่ำบ่นกับตัวเองในใจ ถึงกระนั้นชายร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของบ้านก็หุงข้าวและเริ่มทำอาหารสำหรับสองคนอยู่ดี กระทั่งเสร็จ ตั้งโต๊ะเรียบร้อยจึงเดินย้อนกลับไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง ปลุกโจรชายนิทราที่หลับใหลให้กลับมาสู่โลกแห่งความจริง

ภันวัฒน์ลืมตาขึ้น กะพริบตาอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้เข้าที่ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นจากโซฟาและมองหน้าคนที่มาเรียกสติ

“คุณกินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยครับ”

หนุ่มร่างสูงยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อให้ตาสว่างมากกว่าเดิม จากนั้นยกมือเสยผมให้เข้าที่เล็กน้อย

“ผมทำกับข้าวไว้แล้ว มากินสิ”

ดวงตาที่ติดแววง่วงงุนอยู่เล็กน้อยเบิกกว้างขึ้นนิดหน่อยด้วยความประหลาดใจ แต่แววแห่งความปีติก็คลอเคลือบอยู่บนลูกแก้วสีนิลคู่นั้น

“ขอบคุณครับ”

รอยยิ้มบรรจงแต้มบนกรอบหน้าคมเข้มอย่างสดใส พานให้ใจของคนมองกระตุกเบาๆ เหมือนโดนไฟดูดไปหนึ่งครั้ง เพราะมันดูจริงใจไร้การเสแสร้งหรือหยอกล้อเช่นทุกที

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ ก่อนจะกระแอมในลำคอเบาๆ ไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะอุปาทานไปเองว่ามีก้อนอะไรบางอย่างหน่วงติดอยู่ในลำคอ จากนั้นก็เอ่ยเสียงออกมาแผ่วเบาทั้งที่ตั้งใจให้ดังขึ้นแท้ๆ

“ไปกินข้าวกันเถอะ สามทุ่มกว่าแล้ว”

ร่างโปร่งผิวขาวผ่องราวกับจะเรืองแสงขึ้นมาในความมืดหันหลังแล้วเดินนำออกไปก่อน ปล่อยให้คนที่ยังนั่งจมอยู่บนโซฟามองตามโดยมีรอยยิ้มประทับอยู่บนใบหน้าเล็กน้อย

ภันวัฒน์รู้สึกอิ่มใจพิกล เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินตามคนที่นำไปก่อนแล้ว เห็นอาหารที่เป็นเพียงผัดผักง่ายๆ กับต้มจืดเต้าหู้ไข่และข้าวสวยร้อนๆ อยู่บนโต๊ะอาหารโดยมีอีกร่างนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งหนึ่งแล้วก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

มันเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในครอบครัวเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น

“ผมไม่ได้กินข้าวในบ้านมานานแล้วเหมือนกันนะ” กายกำยำทิ้งตัวลงยังเก้าอี้ฝั่งที่ว่างอยู่ และเอ่ยปากออกมา “คุณทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆ เลย”

ประโยคนั้นเหมือนจะเป็นการบอกเล่าโดยไม่ได้หวังคำตอบใดๆ ซึ่งไม่แปลกที่อาทิตย์อัสดงจะนิ่งเงียบ ทว่าแม้ภายนอกจะเห็นเป็นเช่นนั้น แต่ภายในใจของร่างโปร่งกลับครวญคิดไปถึงเรื่องไกลห่างออกไป

บรรยากาศที่มีใครสักคนมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่โต๊ะอาหารของบ้าน

คนคนนั้นกำลังกินอาหารที่เขาทำ

นั่งกันด้วยกันภายในบ้านหลังนี้

นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้กินข้าวกับใครสักคนในบ้านหลังนี้?

คำถามเกิดขึ้นในใจโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะบรรยากาศพาไปทำให้ความหดหู่เจือจางเข้ามาในอากาศ ความคิดถึง ความโหยหาครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งไม่มีอีกแล้วเข้ามากะเทาะเปลือกหัวใจที่อ่อนบางลงชั่วคราว จนความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ไหลซึมออกมา

มันเป็นช่วงเวลาที่แสนคิดถึง

“รสชาติอาหารของคุณก็ดีนะ ถูกปากผมเลย”

อาจเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนกำลังจ่อมจมอยู่กับห้วงคำนึงบางอย่าง เสียงใหญ่ทุ้มต่ำจึงดังขึ้นมา โดยการเลือกบทสนทนาที่ไม่ได้เป็นการฝืนดึงหรือบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องถอนตัวออกมาจากที่นั่น แต่เป็นเรียกช้าๆ ให้เจ้าตัวก้าวออกมาพบกับแสงสว่าง

อาทิตย์อัสดงสูดกลิ่นอายของปัจจุบันและปรับสายตารับภาพที่อยู่เบื้องหน้า... ใบหน้าคมสันสีน้ำผึ้ง ก่อนจะเอื้อนเสียงออกมา

“ผมว่าก็งั้นๆ ธรรมดาแหละ ใครก็ทำได้”

“ถ้าอย่างนั้นผมมาฝากท้องบ่อยๆ ก็คงได้ใช่ไหม”

รอยยิ้มเย็นสบายผลิจากแก้มที่ซูบลงกว่าที่เคยเล็กน้อย ถึงกระนั้นมันก็ยังดูจะช่วยให้บรรยากาศรอบข้างสดชื่นขึ้นเหมือนเดิม แม้ร่างโปร่งจะลงความเห็นว่ามันเป็นรอยยิ้มกวนอารมณ์ก็ตาม

“คุณครับ ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น”

“แต่คุณก็ว่างมากกว่าผมนะ”

ทั้งที่ไม่อยากยอมรับ แต่บล็อกเกอร์หนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเผลอคิดว่า ‘ก็จริง’ อยู่ในใจไปชั่วแวบหนึ่ง และก็พลอยให้นึกเจ็บใจอยู่นิดๆ ที่ตอบสนองอีกฝ่ายไปเสียได้

“ว่าแต่...”

“ครับ”

“เมื่อไรคุณจะทำขนมให้ผมชิมสักที”

เพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องทำอาหารให้อีกฝ่ายกิน ถึงได้บ่ายเบี่ยงมาเป็นประเด็นอื่น ซึ่งสมควรจะเป็นหัวข้อหลักที่ต้องพูดคุยเสียด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนจะถูกเข้าใจเจตนาผิดไปไกลโข

“แหมๆ คุณอยากกินขนมฝีมือผมล่ะสิ”

“คุณครับ ตั้งสตินิดนึง”

อาทิตย์อัสดงพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอาเต็มแก่แบบไม่ปิดบัง ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนที่หายหน้าหายตาไปเดือนครึ่งได้

“ผมกลัวว่าคุณจะชิ่งหนี ไม่ยอมคืนสร้อยผมต่างหาก”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ไหมล่ะครับ”

“คุณว่างหรือไง”

ตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายกับคนกำลังจับผิดอย่างไรอย่างนั้น แท้ที่จริงแล้วต้องการเหน็บแนบเสียมากกว่า

“พรุ่งนี้ผมว่าง”

“.....”

“ว่างจริงๆ นะ ว่างทั้งวัน มีเวลาทั้งวัน ยกให้คุณหมดเลยก็ได้”

เห็นสีหน้าของร่างโปร่งเหมือนคนไม่เชื่อในคำพูดของตน ภันวัฒน์จึงต้องย้ำให้ชัดเจนอย่างสุดตัว

“โอเค เชื่อแล้วน่าว่าคุณว่าง แต่ผมไม่อยากได้เวลาทั้งวันของคุณหรอกนะ แล้วก็อย่าปีนรั้วเข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ ด้วย”

ท้ายคำพูดนั้นเหมือนเป็นการตำหนิ แต่ไม่รู้ทำไมพอฟังแล้วหนุ่มผิวเข้มถึงรู้สึกว่าชอบใจอย่างบอกไม่ถูก





ตามคำบอกเล่าเอ่ยอ้างของคนที่บอกว่า ‘ว่างทั้งวัน’ เจ้าตัวถึงได้เสนอหน้ามาเยี่ยมบ้านอาทิตย์อัสดงตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่อาจเรียกได้ว่าสายด้วยซ้ำ พลอยให้ใบหน้าของเจ้าถิ่นย่นยู่ไม่สบอารมณ์ไปเล็กน้อย ถึงกระนั้นก็ไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับภันวัฒน์สักนิด เขายิ้มหน้าระรื่นบอกว่า...

“ผมมาฝากท้องกับอาหารเช้าของคุณ”

“บ้านผมไม่ใช่ภัตตาคารนะครับ”

ถึงปากจะบอกแบบนั้น แต่อาทิตย์อัสดงที่กำลังจะอาหารเช้าง่ายๆ เพื่อรองท้องของตนเองอยู่พอดี ก็เปิดตู้เย็นและหยิบวัตถุดิบเตรียมอาหารเพิ่มขึ้นสำหรับอีกท้องหนึ่งที่ยังว่างอยู่ดี

เพียงไม่นาน อาหารรสจืดที่เหมาะกับมื้อเช้าก็ถูกเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร เป็นครั้งที่สองแล้วที่ทั้งคู่ได้ร่วมโต๊ะกันในบ้านหลังนี้ แม้เมื่อคืนจะรู้สึกอยู่หน่อยๆ ว่ามันทำให้นึกถึงอดีตที่แสนอบอุ่น ครอบครัวสุขสันต์ แต่วันนี้ความรู้สึกนั้นกลับแปรเปลี่ยนไป

จะว่าอย่างไรดี...

อาทิตย์อัสดงบอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกที่มันเอ่อขึ้นมาในอกเป็นความรู้สึกแบบไหน บอกได้แต่เพียงว่ามันทำให้เขาอิ่ม...ได้อย่างน่าพิศวง

ไม่ใช่เพราะกินอาหารแล้วทำให้อิ่มท้อง

แต่เป็นความ...อิ่มอกอิ่มใจงั้นเหรอ?

ทำไมล่ะ

คำถามดังย้อนกลับมาขณะตักข้าวเข้าปากไปด้วย หน่วยตาเรียวสีชาเหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังกินอาหารฝีมือตนเองอยู่เช่นกัน แต่เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวหรืออย่างไรไม่ทราบ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันเข้าอย่างพอเหมาะพอเจาะ

บล็อกเกอร์หนุ่มถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก รู้สึกมือไม้เก้งก้างขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะต้องรับรอยยิ้มทะเล้นแต่เจิดจ้าของอีกฝ่ายกลับมาพร้อมกับประโยคว่า

“แอบมองผมแบบนี้ ผมคิดค่าเสียหายนะ”

“มันแค่บังเอิญหรอกครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าอาหารฝีมือผมถูกปากคุณหรือเปล่า คุณกินได้ไหม”

ทั้งที่อาทิตย์อัสดงคิดว่าตนเองหาข้ออ้างแก้ตัวหลบเลี่ยงไปได้อย่างเข้าท่าที่สุดแล้ว แต่คำถามของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับทำให้เขาแทบสำลักข้าวออกมาเดี๋ยวนั้น

“คุณอยากกินผมเหรอ”

“แค่ก แค่ก”

“อะไร แค่นี้ถึงกับสำลักเลยเชียว”

น้ำเสียงหยอกเย้าดังมาพร้อมกับมือหนาที่ยื่นแก้วน้ำให้ดื่ม เพื่อจะได้โล่งคอขึ้น ซึ่งแม้จะไม่อยากรับน้ำใจนี้ แต่ก็ไอโครกเกินกว่าจะปฏิเสธมันได้ มือเรียวจึงต้องรับแก้วทรงสูงที่จริงๆ แล้วเป็นของตนนั่นแหละขึ้นมาดื่มน้ำอึกๆ ลงไป

เมื่อเคลียร์คอให้กลับมาสู่สภาวะปกติได้ แม้ว่าหน้าจะแดงเพราะการสำลักแทบตายเมื่อครู่ ร่างโปร่งก็ยืดตัวขึ้นนั่งตัวตรง กระแอมเพื่อให้เสียงกลับเข้าที่ก่อนจะพูดออกมา

“พูดบ้าอะไรของคุณเนี่ย”

“ก็คุณถามว่า ‘คุณกินได้ไหม’ ”

ภันวัฒน์ตอบกลับด้วยหน้าตาเฉยราวกับเด็กใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่มีพิษมีภัยเลยสักนิด ทั้งที่สำหรับอาทิตย์อัสดงแล้วรู้สึกว่าร่างสูงเหมือนสารกัมมันตภาพรังสีเสียมากกว่า เพราะดูจ้องจะทำลายล้างให้เขาซวนเซเดินเป๋เหลือเกิน

“ตกภาษาไทยหรือไงครับ”

“แต่ผมก็อยากให้คุณกินผมอยู่นะ แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะกินคุณมากกว่า”

คนตัวโตทำหูทวนลมได้หน้าตายอย่างที่สุด มิหนำซ้ำยังยอกย้อนกลับมาเสียจนอาทิตย์อัสดงเริ่มจะกำหมัด อยากต่อยเพราะคำพูดพล่อยๆ ประโยคสุดท้าย

“กินอะไรของคุณ”

“ผมพูดไม่ชัดเจนเหรอ อืม...”

ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าน่าหมั่นไส้ระดับไหนดี แต่มันก็ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายกระตุกยิบๆ เลยเชียวล่ะ

ร่างโปร่งมองคนตรงหน้าที่ลอยหน้าลอยตาตอบแล้วก็รู้สึกแบบนั้นโดยไม่มีความคิดอื่นมาเจือปนเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะเสียงครางในลำคอคำสุดท้ายที่จงใจลากให้ยาวเท่ากับการใช้ความคิด

“ผมอยากจะกลืนกินคุณ แบบนี้น่าจะชัดเจนกว่าเนอะ”

ไม่เพียงแต่พูดคำพูดติดเรทออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแล้ว ยังยิ้มหล่อเย็นสบายเหมือนมีลมเย็นๆ มาพัดเป่าหน้าอย่างทุกทีเสียอีก ผิดกับร่างโปร่งที่เริ่มตัวสั่นกึกๆ เพราะไม่รู้จะสวนถ้อยคำกลับไปอย่างไรดีแล้ว มิหนำซ้ำพอได้เห็นรอยยิ้มติดค้างอยู่บนใบหน้าคมเข้มนั้นก็ยิ่งทำให้สมองเหมือนจะทำงานผิดปกติเข้าไปใหญ่

“ผมว่า...คุณรีบกินดีกว่าจะได้รีบกลับ”

ทว่าสุดท้ายก็สามารถค้นหาประโยคตอบกลับอีกฝ่ายได้ แต่ทางนั้นก็ย่นหัวคิ้วเข้าหากันนิดหน่อย ทำสีหน้าราวกับเด็กถูกขัดใจ

“รีบไล่กันจังเลยนะครับ ผมไม่ได้เจอคุณเป็นเดือน ให้ผมเห็นหน้านานๆ หน่อยไม่ได้เหรอ”

ท้ายประโยคติดน้ำเสียงอ้อนออดจนรู้สึกจักจี้อย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์อัสดงต้องขบฟันลงบนริมฝีปากเพื่อไม่ให้ตัวเองขนลุกซู่ขึ้นมา

“เมื่อคืนยังไม่พอเหรอครับ”

ออกจะดูสองแง่สองง่ามไปหน่อยหากคนนอกที่ไม่รู้เรื่องมาได้ยิน แต่ทั้งสองคนต่างเข้าใจมันได้ดี เพราะเมื่อคืนนี้ทั้งที่กินข้าวเสร็จแล้ว ภันวัฒน์กลับไม่ยอมกลับบ้าน ตื๊อจะอยู่ค้างที่นี่ให้ได้ จนเจ้าของบ้านต้องเอ่ยปากว่า



‘อย่างน้อยก็กลับไปอาบน้ำนอนที่บ้านคุณแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน คุณคงไม่อยากให้ผมต้องมาคอยดมกลิ่นตัวเหม็นๆ ของคุณทั้งคืนหรอกนะ’



นั่นแหละร่างสูงหน้าหล่อถึงได้ยอมจรลีกลับถิ่นตัวเองไป แต่ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ถึงความจริง ‘กลิ่นตัว’ ที่ว่านั่นจะไม่ได้เหม็นอย่างที่ว่าเลยก็ตาม เพราะบนร่างของภันวัฒน์ที่อาทิตย์อัสดงได้พบเมื่อวานมีแต่กลิ่นหวานๆ ของขนม กลิ่นน้ำหอมเย็นสดชื่น และกลิ่นเหงื่อจางๆ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

“ให้อยู่กับคุณ เท่าไรก็ไม่พอหรอก”

“ช่วงนี้เมาน้ำตาลเหรอครับ”

เพราะคำพูดของอีกฝ่ายหวานชวนเลี่ยนมากๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นจึงอดจะย้อนเสียงกลับไปไม่ได้ แม้ใจจริงแล้วจะไม่อยากยอมรับเลยสักนิดว่าตนเองกำลังโดนอีกฝ่ายหยอดอยู่

“ผมก็ว่างั้นแหละ ตลอดช่วงที่ผมไม่ได้มาหาคุณ ผมเกือบจะได้กินนอนอยู่ในครัวขนมแล้ว ทั้งที่ร้าน ที่โรงแรม”

ความสงสัยที่เคยทิ้งรอยไว้ในสมองกะพริบแสงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น และมันก็แสดงออกมาทางสีหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวสักนิด แต่คนที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่กลับเห็นมันได้อย่างชัดเจน ดังนั้นมุมปากของภันวัฒน์จึงกดลึกลงไปอีก

“ตั้งแต่วันนั้น...ที่เราแยกกัน ผมก็ต้องเข้าไปเคลียร์เอกสารด่วน ลับคารมกับฝ่ายบัญชี แล้วก็ต่อด้วยเข้าครัวขนมอบเพราะพ่อครัวใหญ่ประสบอุบัติเหตุจนแขนหักไปข้างหนึ่ง และต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลอีกเกือบสัปดาห์ ถึงจะมีผู้ช่วยพ่อครัวใหญ่อยู่ แต่ก็ทำงานกันไม่ทันอยู่ดี ผมที่สามารถทำขนมได้และรับผิดชอบฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มโดยตรงจึงต้องเข้าไปช่วยเสริมชั่วคราวจนแทบไม่ได้พักเลย ถึงขนาดต้องเปิดห้องในโรงแรมนอนด้วยซ้ำ เพราะขับรถกลับคอนโดฯ ไม่ไหว”

แต่ก็ยังขับรถมาที่บ้านเขา...เมื่อคืน

ประโยคนั้นดังก้องขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนแม้แต่อาทิตย์อัสดงยังตกใจตัวเองด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นเขาก็หลบเลี่ยงการพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ หรือสอบถามเหตุผลที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ถ่อมาหาเขาถึงบ้านทั้งที่เหน็ดเหนื่อยเสียขนาดนั้น

เพราะกลัว...

กลัวจะได้รับคำตอบที่ทำให้ต้องรู้สึกพิลึกพิลั่นในอกอย่างบอกไม่ถูกอีก

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณก็ควรจะนอนพักมากกว่ามาที่นี่นะครับ”

“ผมก็มาพักอยู่นี่ไง”

คำตอบที่ได้รับมาฟังไม่เข้าใจสักนิด พานให้ร่างโปร่งเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงนอย่างลืมตัว ซึ่งภันวัฒน์ก็เต็มใจอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ความเหนื่อยล้าหายไปเป็นปลิดทิ้งผิดจากเมื่อวาน

“แค่เห็นหน้าคุณ ผมก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

ชะงักไปทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ และมันก็เหมือนจะเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเจ้าตัวถึงมาหาเขาที่บ้านเมื่อคืนนี้ด้วย แต่มันเป็นคำตอบที่ไม่ดีเสียเลยในความคิดของบล็อกเกอร์หนุ่มหน้าตี๋ เพราะมันทำให้ในอกชาวูบแปลกๆ

“ขอโทษนะครับ” อาทิตย์อัสดงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เอ่ยเสียงออกไปแผ่วเบา มองหน้าฝ่ายตรงข้ามแบบไม่เต็มสายตาสักเท่าไร พอทางนั้นเอียงคอนิดๆ เหมือนสงสัยจึงพูดต่อ “ที่คุณว่า...จะ...จีบผม...นี่คุณ...พูดจริงๆ เหรอ”

เสียงที่ออกมาขาดหายเป็นช่วงๆ เพราะกระดากเกินกว่าจะพูดออกมาเต็มเสียง ถึงแม้คำพูดนั้นจะถูกประกาศออกมาอย่างชัดแจ้งแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี

มันก็ไม่ใช่ว่า...ไม่มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะล้อเล่นนี่

ผู้ชายคนนี้อาจจะนึกสนุกอยากแกล้งเขาก็ได้

“คุณไม่เชื่อผม หรือคุณคิดว่าตัวผมไม่น่าเชื่อเหรอครับ”

เจอถามกลับมาอย่างนี้ ร่างโปร่งก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก มันคล้ายกับโดนกดดันด้วยมวลสารบางอย่างจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เหมือนโดนต่อว่ากลายๆ หรือไม่ก็...เขากำลังมองอีกฝ่ายในแง่ร้ายอย่างไรอย่างนั้น จนต้องแก้ต่างออกไป

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมก็แค่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น”

“.....”

บรรยากาศที่ดูเหมือนจะบีบรัดให้หายใจได้ยากขึ้นยังไม่หมดไป อาทิตย์อัสดงจึงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกกว่าปกติแล้วแจกแจงมากขึ้น

“ก็คุณเคยบอกว่าผมไม่ใช่สเปกของคุณ”

“ครับ”

เหมือนว่าการอธิบายนี้จะช่วยให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง เพราะร่างสูงตอบกลับมาเสียงเรียบ แต่ก็ยังไม่ยิ้มอยู่ดี สีหน้าของเขาดูจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้ง

“คุณตรงข้ามกับสเปกผมทุกอย่าง ผมชอบผู้ชายตัวเล็ก ชอบคนช่างเอาใจ แต่คุณตัวก็ไม่เล็ก แถมไม่สนใจผมเลยด้วยซ้ำ ออกจะขับไล่ไสส่งเสียอีกต่างหาก”

เหมือนโดนถากถางกลายๆ อย่างไรไม่รู้ พานให้อาทิตย์อัสดงต้องกลืนน้ำลายลงคอ ทั้งที่รู้ตัวดีว่าตนเองไม่ผิดสักนิด แต่กลับรู้สึกแบบนั้นเสียได้

“ก็... ผมไม่ได้ชอบคุณนี่ครับ จะให้ผมต้องสนใจเอาใจใส่คุณเพื่ออะไร”

“นั่นน่ะสิ” ภันวัฒน์โคลงศีรษะไปมา ยอมรับโดยดุษณี ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยต่อ ให้คนฟังเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เพราะแบบนั้นผมเลยบอกว่าผมจะจีบคุณไง”

“เอ่อ...” เสียงที่เหมือนจะหายไปครึ่งหนึ่งครางออกมาอย่างไม่แน่ใจจนต้องกระแอมอีกครั้ง “คุณพูดแบบนี้ ไม่คิดเลยหรือไงครับว่าผมจะรู้สึกไม่ดี รังเกียจ หรืออะไรอื่นๆ”

ทั้งที่คำถามนี้น่าจะตอบยาก แต่เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก็ตอบมันกลับมาอย่างง่ายดาย

“ผมคิดว่าคุณคงไม่ใจแคบแบบนั้นหรอก”

“คุณตอบแบบนี้นี่เหมือนมัดมือชกกันเลยว่าผมห้ามรังเกียจ ห้ามปฏิเสธ และต้องยอมให้คุณจีบผม”

“ถ้าคุณเต็มใจ ผมก็ยินดีนะ”

รอยยิ้มที่หายไปกลับคืนสู่ใบหน้าคมเข้มอีกครั้ง จนบรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่หายไปในพริบตาราวกับเป็นเรื่องโกหก มันสว่าง เจิดจ้า และเย็นสบาย ทำให้ความอึดอัดในใจของบล็อกเกอร์หนุ่มปลิวหายไปด้วยเช่นกัน





-------------------
คุณโจรมาเร็วไปนิด ไม่งั้นได้ปลดบล็อกไปแล้ว

ช่วงสงกรานต์นี่ เลเวลความขี้เกียจอัพพรวดๆ เลย

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 11th Entry : อิ่มอุ่น [19/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 20-04-2016 05:04:17
คุณกินได้ไหม?
แหม ถามอะไรอย่างนั้น กินได้สิ มาเสิร์ฟให้ถึงบ้าน
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 11th Entry : อิ่มอุ่น [19/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 20-04-2016 13:22:55
คุณอาทิตย์ของเราเจอสกิลอ่อยขั้นสูงเข้าแล้วค่ะ คุณภันกลับมาพร้อมขุดหลุมมาก 555555 บรรยากาศดูอบอวลไปด้วยความรักยังไงไม่รู้ค่ะ เหมือนเริ่มรู้สึกดีกันขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยก็จะรักกันแล้วว คุณอาทิตย์อัสดงนี่ดูเหมือนไม่สนใจนะคะ แต่เก็บทุกรายละเอียดอ่ะ เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าคุณอาทิตย์ไม่ใช่แบบที่คุณภันชอบ คุณอาทิตย์ยังจำได้อยู่เลยอ่ะะะ นี่หมายความว่าสนใจเขามากพอตัวเลยนะคะ แต่เราติดใจประโยค คุณกินได้ไหม โอ๊ยยยยยยยยยยย ไม่คิดเลยจริงๆค่ะว่ามันจะมีความหมายอื่น แล้วยังต่อด้วยผมอยากกลืนกินคุณทั้งตัว ตามสบายเลยค่ะ ฮือออ กินกันไปเลยยยย เราว่าอนาคตนี่นอกจากจะมาฝากท้องเช้ากลางวัรเย็น ต่อไปคนเนียนอาจจะย้ายข้าวของมาอยู่ด้วยเลยนะคะ คุณอาทิตย์ถูกจับไว้แล้วค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 11th Entry : อิ่มอุ่น [19/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 20-04-2016 14:02:01
ตอนนี้แค่มาฝากท้องกินข้าว อีกสักพักคงย้ายเข้ามาอยู่และกินเจ้าของบ้านด้วยแน่นอน
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 24-04-2016 22:47:52
12th Entry : ขันอาสา






เพราะไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกหน้าสิ่วหน้าขวานดีหรือเปล่าอย่างไร อาทิตย์อัสดงจึงต้องคุ้ยหาเรื่องอื่นขึ้นมาเปิดประเด็นใหม่แทน ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้เขากลุ้มใจมาตลอดเดือนครึ่ง และมันก็เป็นเหตุให้ร่างสูงหน้าคมเอ่ยปากชวน



‘งั้นไปที่ร้านผมกัน เดี๋ยวผมจะทำให้คุณชิมเลย’



ด้วยเหตุนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มจึงจำต้องมายังร้านห้องนั่งเล่นเป็นครั้งที่สาม

บรรยากาศของร้านยังไม่เปลี่ยนไป มอบความอบอุ่นผ่อนคลายให้ลูกค้าที่มารับบริการ ประจวบกับวันนี้เป็นวันเสาร์ด้วยแล้วยิ่งมีคนหนาตาจนเกือบแน่นร้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกพลุกพล่น ลดทอนจุดเด่นของร้านนี้ไปแม้แต่น้อย

อาทิตย์อัสดงคิดว่าอย่างนั้น จนกระทั่ง...เห็นใบหน้าหญิงสาวคุ้นตาที่เคาน์เตอร์

เวรล่ะ

เสียงอุทานสบถดังก้องขึ้นในใจ ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเขาเพิ่งมานั่งแช่ในร้านนี้หลายชั่วโมง และยังได้คุยกันอีกต่างหาก ถึงจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจำหน้าเขาได้หรือเปล่า ด้วยเพราะใบหน้าขาวตี๋ๆ แบบนี้มีกันเกลื่อน อีกทั้งฝ่ายนั้นต้องดูแลลูกค้าอยู่ตลอด ย่อมเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่จะจำใครได้สักคน

“สวัสดีค่ะ พี่ภัน”

“สวัสดีครับ จุ๊บแจง”

แต่... ความคิดของร่างโปร่งกลับไม่เป็นความจริง เพราะจุ๊บแจง พนักงานประจำของร้าน ลูกจ้างมือหนึ่งของภันวัฒน์หันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร ชนิดที่ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าจำกันได้อย่างแน่นอน อาทิตย์อัสดงจึงอดรู้สึกชื้นแฉะที่ใบหน้าและแผ่นหลังไม่ได้ เขาหูอื้อตาลายขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

หวังว่าเธอคงจะไม่พูดโพล่งออกมาหรอกนะ

ว่าอ้าว นั่นคุณลูกค้าที่มานั่งอยู่ในร้านคนเดียวตั้งสี่ห้าชั่วโมงนี่คะ

สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกปรากฏเด่นชัดบนดวงหน้าขาวใส พานให้หญิงสาวเอียงคอมองด้วยความฉงน ก่อนจะเหลือบไปมองทางคนที่เดินนำหน้าอยู่หนึ่งก้าว ซึ่งเป็นเจ้านายของเธอ ดั่งกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว

“เอ่อ คุณ”

“ผมว่าคนเยอะแบบนี้ เอาไว้วันอื่นดีไหม คุณทำมาให้ผมชิมที่บ้านก็ได้”

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้เอ่ยทักใดๆ หรือหาข้อสรุปให้ตัวเองได้แล้วแปรมันเป็นคำพูด เสียงของอาทิตย์อัสดงก็หลุดออกมาเสียก่อน

“คุณเป็นคนบอกว่าอยากให้มันจบเร็วๆ ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวผมทำให้คุณชิม แล้วก็คืนสร้อยคุณเลยไง”

“แต่ว่ามันจะลำบากคุณนะครับ คุณคงไม่สะดวกหรอก”

พยายามแล้ว อาทิตย์อัสดงพยายามหาข้ออ้างที่แนบเนียมเพื่อพาตัวเองออกไปจากตรงนี้แล้ว ทว่า...

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ ตามผมมาสิ”

รอยยิ้มเย็นสบายราวกับไม่มีเรื่องใดๆ ให้ต้องกังวลถูกแจงจ่ายมาให้ ก่อนร่างสูงจะหันไปบอกพนักงานสาว และพนักงานหนุ่มที่เพิ่งหันกลับมาจากเตาพร้อมแพนเค้กในจานบนมือ

“พี่ขึ้นไปข้างบนก่อนนะ”

“ครับ/ค่ะ”

ทั้งคู่ตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คนเอ่ยบอกก้าวนำให้ผู้ติดตามมองอย่างงุนงง แต่ไม่วายเหลือบสายตาไปทางหญิงสาวคนเดิม ซึ่งเจ้าหล่อนก็สิ่งยิ้มให้ต้องรู้สึกเสียวสันหลังไปอีกหนึ่งวาบ

เกือบแล้วไหมล่ะ

ลมหายใจถูกปล่อยพรูออกจากปากอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มหน้าขาวที่สีหน้าซีดลงไปกว่าเดิมเล็กน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกโล่งใจราวกับอะไรบางอย่างที่กดทับในอกมลายหายไป รู้สึกดีที่อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นไม่หลุดปากออกมา

มันคงประหลาดแน่ๆ ถ้าผู้ชายที่เดินนำเขาอยู่รู้ว่าเขามาที่ร้านนี้ แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะถูกเข้าใจไปในทางไหน แต่ที่แน่ๆ เขาคงแก้ตัวได้แค่ว่า ร้อนใจเพราะนึกว่าจะโดนขโมยสร้อยไป เท่านั้น

ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม

ร่างโปร่งถูกพาขึ้นมาที่ชั้นสาม มันเป็นห้องกระจกใสขนาดใหญ่ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือห้องทำงาน มีมอนิเตอร์ซึ่งกำลังฉายภาพในกล้องวงจรปิดอยู่หกจอ และโต๊ะทำงานขนาดใหญ่พร้อมคอมพิวเตอร์ ส่วนอีกห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงสามเท่า เป็นห้องครัวขนม ซึ่งมีทั้งตู้แช่ขนาดใหญ่ เตาอบ เคาน์เตอร์ และอุปกรณ์สำหรับทำขนมเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ ดูเท่านี้ก็รู้ว่าเจ้าของห้องใส่ใจและให้ความสำคัญแค่ไหน

เขาชอบกินขนมหวานก็จริง แต่เพิ่งเคยเหยียบย่างเข้ามาในครัวขนมของจริงเป็นครั้งแรก

“คุณนั่งรอตรงนั้นก็ได้”

มือหนายื่นนิ้วชี้ไปทางเก้าอี้สตูลบาร์ที่อยู่ด้านหน้าเคานเตอร์แคบๆ เหมือนใช้มันเป็นที่รับรองแขกซึ่งมาเยือนอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้เป็นประจำอยู่แล้ว จากนั้นเสียงทุ้มเอ่ยต่อ

“เดี๋ยวผมขอเวลาทำขนมสักพัก เสร็จแล้วจะให้คุณชิมครับ”

ว่าอย่างนั้นจบ เจ้าของเสียงก็หยิบผ้ากันเปื้อนจากตู้เล็กบนชั้นเหนือศีรษะออกมาสวมทับเสื้อโปโลสีฟ้าสดใส ต่อด้วยหยิบวัตถุดิบและอุปกรณ์สำหรับทำขนมออกมาเตรียมพร้อม จนดูเหมือนว่าจะครบทั้งหมดแล้วถึงค่อยไปล้างมือ ก่อนจะย้ายร่างกลับมาที่เคาน์เตอร์ขนาดใหญ่อีกครั้ง และเริ่มลงมือทำขนมเจ้าปัญหา

หน่วยตาเรียวสีน้ำตาลทอดมองภาพนั้นอย่างสนใจ อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าขนมแต่ละอย่างต้องทำแบบไหน เริ่มต้นจากอะไรด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาเคยเห็นมาตลอดคือผลงานที่เสร็จสิ้นแล้ว ไม่เคยเห็นความเหนื่อยยากของคนทำขนมที่ต้องทุ่มเทความตั้งใจและความใส่ใจลงไปเพื่อให้ได้ขนมสักชิ้น

แต่ในวันนี้...เขาได้เห็นมันอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว

ใบหน้าคมคร้ามที่เคยยียวนบ้างล่ะ ยิ้มสบายอารมณ์บ้างล่ะ กวนตีนบ้างล่ะ เวลานี้กลับกำลังเคลือบด้วยไปด้วยความเอาใจใส่ ความตั้งใจ และมุ่งมั่น จนกลายเป็นภาพแปลกตา และมันก็ทำให้รู้สึกประทับใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขามองภาพนั้นโดยไม่ได้ละสายตาด้วยซ้ำ ใคร่รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีด้านแบบนี้ด้วยหืรออย่างไม่อยากเชื่อสายตา จนเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งที่ตนเองนั่งอยู่ไม่เพียงพอต่อการมองเห็นด้วยซ้ำ

ปลายเท้าที่ปล่อยให้ลอยเหนือพื้นนิดๆ บนเก้าอี้ทรงสูงหย่อนลงมาแตะพื้นอีกคราว ค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปหาตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตรอย่างสนใจ แผ่วเบา ระมัดระวัง ราวกับกำลังย่องเข้าหาสัตว์ร้ายที่กำลังหลับใหลด้วยเกรงว่ามันจะตื่นขึ้นมาขย้ำตนเอง

กระทั่งระยะทางหมดลง ร่างโปร่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ยืนมองใบหน้าที่ยังคงจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่กำลังทำ สลับกับส่วนผสมของวัตถุดิบที่ถูกคลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างพิถีพิถันจากแรงกาย ก่อนนำไปเข้าเครื่องตีแป้งอยู่หลายนาทีเพื่อให้เนื้อขนมเนียนละเอียด จากนั้นเทลงบล็อกเพื่อเข้าเตาอบ ตั้งเวลาตามสมควรแล้วเจ้าตัวก็ล้างมืออีกครั้ง

“เฮ้ย คุณ”

ไม่เพียงเสียงทุ้มเท่านั้นที่ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ แม้แต่สีหน้าก็แสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าเจ้าตัวตกใจจริงๆ เมื่อเห็นใครอีกคนที่น่าจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงอีกเคาน์เตอร์ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายเมตรมาอยู่ต่อหน้า

“คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าผมมายืนอยู่ตรงนี้”

อาทิตย์อัสดงทำสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เพราะว่าเขามายืนอยู่นานพอสมควรแล้ว แต่ดูจากอาการของอีกฝ่าย ดูท่าว่าจะไม่รู้ตัวเลยจริงๆ

จดจ่อกับการทำขนมถึงขนาดนั้นเลย

“ผมไม่รู้จริงๆ เวลาผมทำขนมส่วนมากผมจะมีสมาธิอยู่กับการทำ จนไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างเท่าไรน่ะ ขอโทษด้วยนะครับ”

“ทำไมคุณต้องขอโทษผมด้วยล่ะ ผมลุกขึ้นมาดูเอง คุณทำหน้าที่ของคุณไปก็ถูกแล้ว”

ร่างโปร่งตอบอย่างตรงไปตรงมาตามสิ่งที่คิด พลางเดินตามร่างสูงที่ก้าวนำกลับมายังเคาน์เตอร์แคบๆ ซึ่งตนเคยปักหลักอยู่ก่อนหน้านี้ นั่งบนเก้าอี้สตูลบาร์ตัวติดกัน และหันหน้าเข้าหากันเพื่อพูดคุยราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“แต่ผมก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าคุณจะมีสมาธิกับขนมจนไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบตัวเลย”

“ผมก็ถูกจอม เอ่อ... เพื่อนของผมที่จีบเพื่อนคุณบอกอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ตอนที่ผมทำขนม ผมจะไม่คุยโทรศัพท์น่ะ เพราะงั้นส่วนมากถ้ามันมีธุระสำคัญ มันก็จะมาหาผมที่นี่ พอคุยจบแล้วก็จะกลับเลย”

“อ๋อ”

บล็อกเกอร์หนุ่มครางเสียงในใจ เริ่มเข้าใจว่าเคาน์เตอร์กับเก้าอี้ตรงนี้อาจจะมีไว้เพื่อการนี้ก็ได้

“ว่าแต่” ภันวัฒน์เหลือบมองฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย เกริ่นเสียงคล้ายว่าลังเลนิดหน่อยก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “คุณแพ้ผู้ชายแบบไหน”

อาทิตย์อัสดงชะงักไปเล็กน้อย ที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็เข้าประเด็นเรื่องนี้มาเสียเฉยๆ

“ผมไม่ได้เป็นเกย์เหมือนคุณนะครับ ถึงจะต้องแพ้ผู้ชายแบบไหน แล้วอีกอย่าง ขนาดผมไม่ใช่สเปกคุณ คุณยังจะมาจีบผมเลย”

“ก็นั่นน่ะสิ”

ภันวัฒน์โคลงศีรษะเหมือนยอมรับและเห็นด้วยกับคำพูดนั้น อาทิตย์อัสดงจึงอดสงสัยไม่ได้

“แต่ว่าทำไมอยู่ๆ คุณถึงคิดพิเรนทร์จะมาจีบผมซะล่ะ ทั้งที่คุณก็พูดอย่างเต็มปากเต็มคำแท้ๆ ว่าไม่สนใจผมหรอก ผมก็แค่ผู้ชายธรรมดาหาได้เกลื่อนถนน แถมตอนแรกๆ คุณยังดูจะไม่ชอบผมด้วยซ้ำ เพราะหาว่าผมทำให้ร้านของคุณเดือดร้อน”

“เพราะอยู่กับคุณแล้วผมสนุกน่ะสิ”

“หะ”

ร่างโปร่งครางเสียงออกมาอย่างไม่เข้าใจ ว่ามันน่าสนุกตรงไหน ตรงข้ามกับภันวัฒน์ที่ยังตอบกลับมาด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอบอุ่นนิดๆ ดวงตาเป็นประกายหน่อยๆ

“ผมชอบมองสีหน้าคุณน่ะ”

“หา”

“เวลาที่ไม่เจอคุณ ผมก็คิดถึงคุณนะ”

“เอ่อ...”

คราวนี้อาทิตย์อัสดงเริ่มกลายเป็นว่าไปไม่ถูกแล้ว รู้สึกเหมือนมึนๆ หัวขึ้นมากะทันหัน มีเสียงวิ้งๆ ในหู ขนลุกซู่ๆ ขึ้นมาอีกแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่อาการขนลุกแบบที่อี๋ๆ อะไรสักอย่างที่น่าขยะแขยง แต่เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่บอกไม่ถูก

“ผมก็เลยรู้สึกว่าผมสนใจคุณ อยากใกล้ชิดกับคุณให้มากกว่านี้”

งั้นก็หมายความว่า...ยังไม่ได้ชอบ...จริงๆ สินะ

คล้ายว่าจะรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างไรชอบกลจนเกือบจะถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปพูดคุยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ถ้าคุณอยากเป็นเพื่อนกับผม ผมยินดีนะ แต่ถ้าคุณคิดที่จะจีบผม ไม่ว่าเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็น หรือจริงจังก็ตาม ผมว่าอย่าดีกว่า”

“ทำไมล่ะครับ” คราวนี้สีหน้าของภันวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “หรือคุณจะบอกว่า เพราะคุณไม่ได้ชอบผู้ชาย ไม่มีทางที่คุณจะมาชอบผมหรอก”

“จะว่าแบบนั้นก็ได้”

เสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้ออกมาอย่างเต็มที่นัก บล็อกเกอร์หนุ่มเลื่อนสายตาไปสบกับอีกฝ่ายอย่างจริงจังกว่าเมื่อครู่นี้ ทอดมองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ราวกับจะบอกให้รู้ถึงความแน่วแน่ของตนเอง

“ผมก็ไม่ได้ถึงขนาดยึดติดหรอกนะว่าจะต้องรักชอบแต่ผู้หญิง เพียงแต่ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นกับผู้ชายมาก่อน แล้วก็...”

ประโยคอธิบายที่ดูมุ่งมั่นเมื่อสักครู่แหบแห้งลงไปจนเสียงเหือดหาย ใบหน้าที่หันมาประจันกันอย่างตรงไปตรงมาหลบเลี่ยง อาทิตย์อัสดงทอดสายตาไปยังที่ไหนสักแห่งซึ่งคนมองไม่อาจระบุได้ เพราะมันไกลเกินกว่าจะหาจุดหมาย ก่อนเสียงเบาหวิวจะลอยออกมาจากกลีบปากเรียวบางแผ่วเบา คล้ายว่าไม่ต้องการให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ก็ต้องการให้ได้ยินเช่นเดียวกัน

“ผม...ไม่คิดจะมีความรักอีกหรอกครับ”

“.....”

ช่วยไม่ได้ที่ความเงียบจะโรยตัวลงมาในจังหวะนี้ เพราะคนฟังเองก็รับรู้ถึงความรู้สึกกล้ำกลืนของคนพูดอยู่ไม่น้อย น้ำเสียง สีหน้า บรรยากาศที่โอบล้อมรอบกายร่างโปร่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจน

“คุณกลัว”

น้ำเสียงที่เกริ่นออกมาเป็นคำถามเบากว่าปกติกึ่งหนึ่งโดยธรรมชาติ ราวกับโดนบรรยากาศรอบข้างตัดทอนเสียงให้เบาลงอย่างไรอย่างนั้น จนแม้แต่ร่างสูงก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“ครับ ผมกลัว”

อาทิตย์อัสดงยอมรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องปิดบังหรือเสแสร้ง มันอาจจะดูทำให้ตัวเองเป็นคนน่าสมเพช น่าสงสาร หรือขี้ขลาดก็แล้วแต่ แต่มันเป็นการดีที่สุดหากเขาจะหลีกเลี่ยงมันได้ ทว่า...

มันกลับให้ผลตรงข้าม

“งั้นถ้าผมจะอาสา... ทำให้คุณหายกลัวล่ะ”

ภันวัฒน์เสนอตัว กายสูงขยับลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่มาเผชิญหน้ากับคนที่หลบเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือสายตาของเขาในเวลานี้ สบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นราวกับจะบอกให้รู้ว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ถึงกระนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มกลับเหยียดยิ้มเหนื่อยอ่อนทีละน้อย

“อย่าดีกว่าครับ ผมว่าคุณจะเสียเวลาเปล่า อย่างคุณน่ะ มีคนอีกมากมายอยากจะขอความรักเลยล่ะ เชื่อผมสิ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณลองเป็นคนนั้นให้หน่อยได้ไหม”

“อย่าทำให้ผมลำบากใจเลยครับ”

สีหน้าเศร้าๆ ที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับประโยคนี้ ทำให้ภันวัฒน์ไม่คิดบีบคั้นอีกฝ่ายอีก เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจ

“งั้นก็ได้ครับ”

แต่แม้จะตอบเช่นนั้น ทว่าในใจของเขาไม่ได้เปลี่ยนความตั้งใจที่จะพยายามขยับความสัมพันธ์เข้าไปใกล้ร่างโปร่งให้มากขึ้นเลยสักนิด

มันไม่ง่ายนักหรอกที่เขาจะสนใจใครสักคน และมันก็ไม่ง่ายเช่นกันที่คนที่เขาเล็งไว้จะปฏิเสธเขาได้

เขาเชื่อแบบนั้น... และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ขนมที่อบไว้ก็ได้เวลานำออกจากเตา เชฟขนมลุกจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ไปยังเตาอบ นำขนมออกมาผึ่งให้เย็นสักพัก และดำเนินการต่อเพื่อให้มันออกมาเป็นรูปเป็นร่าง กระทั่งมันสมบูรณ์เรียบร้อยก็จัดใส่จานและยกมาให้คนที่รอชิมอยู่

“เสร็จแล้วครับ”

ขนมหน้าตาคุ้นเคยที่เห็นมาตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาปรากฏตรงหน้าอาทิตย์อัสดง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ชิมมันตั้งแต่เสร็จใหม่ๆ และได้เห็นกระบวนการทำทุกขั้นตอนตั้งแต่ยังเป็นวัตถุดิบ

“ชิมเลยสิครับ”

จากใบหน้าที่ดูคล้ายจริงจังเมื่อตอนสนทนากันเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าลุ้นระทึกด้วยความอยากรู้อยากเห็นราวกับเด็กๆ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จนคนเห็นเกือบหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

มือเรียวขาวหยิบช้อนขึ้นมาตักเค้กเนยสดหน้าตาน่ารักสีสวยขึ้นมาหนึ่งคำเข้าปาก ค่อยๆ บรรจงเคี้ยวเพื่อสัมผัสรสชาติทีละนิด กลิ่นหอมของเนย ไข่ไก่ แป้ง ใบมินต์ อบอวลไปทั่วทั้งปากพานให้รู้สึกสดชื่น รสชาติหวาน เค็ม มัน ผสานเปรี้ยวนิดๆ กลมกล่อมกันอย่างลงตัว ไม่มีรสไหนโดดขึ้นมาเป็นพิเศษ และไม่รู้สึกถึงความมันแฉะของเนยสด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นขนมชิ้นนี้ทำให้รอยยิ้มผลิออกมานิดบนใบหน้าขาวตี๋

“อร่อยแล้วครับ ลดความหวานลงนิดหน่อยด้วยสินะครับ”

เป็นครั้งแรกที่ได้รับคำตอบนี้จากร่างโปร่งโดยตรง มันไม่ใช่แค่ ‘โอเคแล้ว’ หรือ ‘ใช้ได้แล้ว’ เมื่อได้ฟัง พ่อครัวที่ลงมือทำเองก็ถึงกับปลื้มปริ่มขึ้นมา รอยยิ้มผุดกว้างจนสว่างไสวราวกับภาพมายา เสียงทุ้มเอื้อนถามละม้ายไม่เชื่อหูตัวเอง

“จริงนะ”

“แล้วผมจะโกหกทำไมล่ะครับ”

ตอบไปแล้วร่างโปร่งก็อดขำไม่ได้จริงๆ เพราะอีกฝ่ายยังหน้ายิ้มบานแฉ่งอยู่เลย

“ค่อยยังชั่ว ขอบคุณคุณมากนะ คุณอาทิตย์อัสดง”

ชื่อเรียกเต็มยศทำให้เจ้าของชื่อพลันนึกขึ้นได้ ก่อนจะบอกเสียงเรียบ

“เรียกฟรีก็ได้ครับ”

“ครับ ฟรี”

จาก ‘คุณอาทิตย์อัสดง’ ที่เป็นทางการ กลายเป็น ‘ฟรี’ แค่สั้นๆ ราวกับคนสนิทสนมกัน

คำเรียกที่ถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำเอาคนได้ยินเกือบตั้งตัวไม่ทัน ทั้งที่เป็นคนบอกเองว่าให้เรียกแบบนั้นแท้ๆ และก็ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเสียงใหญ่ทุ้มนั้นก้องอยู่ในหูชอบกล

“ว่าแต่...”

คนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ผลิบานราวดอกไม้ค่อยๆ หุบลงทีละนิดด้วยความสงสัย เพราะดูเหมือนบล็อกเกอร์หนุ่มหน้าตี๋จะทำหน้าจริงจังเสียเหลือเกิน

“คุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย”

ชะงักงันไปในทันที ร่างสูงทำหน้าเหลอหลาหลังได้ยินคำถาม

“คุณ...ไม่รู้ชื่อของผมเหรอ”

“แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อคุณไม่เคยแนะนำตัวหรือว่าบอกผมเลยสักครั้ง”

“อ้อ ขอโทษทีๆ”

ร่างสูงยิ้มแห้งเป็นเชิงขอโทษตามปากว่า เพราะเมื่อย้อนคิดดูแล้วก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ นับตั้งแต่รู้จักกันมา เขายังไม่เคยพูดชื่อตัวเองให้อาทิตย์อัสดงได้ยินเลยสักครั้ง แต่...

“เมื่อกี้เด็กในร้านก็เรียกชื่อผมไม่ใช่เหรอครับ”

คำถามนั้นราวกับหนามแหลมๆ ของอะไรสักอย่างพุ่งตรงเข้าใส่หลังของอาทิตย์อัสดง มันแทงฉึกอย่างรุนแรงจนแทบสะดุ้ง ในใจรู้สึกเลิ่กลั่กขึ้นมาครามครัน เพราะไม่คิดว่าจะโดนย้อนถามกลับมาเช่นนี้ จึงต้องรีบหาข้อแก้ตัวพัลวัน

“เอ่อ... พอดีว่าผมไม่ทันฟังน่ะครับ”

เหมือนว่าจะฟังขึ้นอยู่หน่อยๆ กระมัง ภันวัฒน์ถึงโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อยคล้ายจะเข้าใจ จากนั้นเริ่มแนะนำตัวเองใหม่อย่างเป็นทางการ

“ผมชื่อฮักครับ”

“ฮัก?”

เมื่อได้ฟังชื่อของอีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงก็ครางออกมาราวกับย้อนถามเพื่อความแน่ใจ ภันวัฒน์จึงผุดยิ้มบางๆ ตอบ

“ครับ ฮักที่ภาษาพื้นถิ่นเหนือกับอีสานแปลว่ารัก ภาษาอังกฤษแปลว่ากอดน่ะครับ”

“ชื่อแปลกดีนะครับ” เพราะไม่เคยได้ยินชื่อแบบนี้มาก่อน อาทิตย์อัสดงจึงรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ “แต่ความหมายดีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน ก็บอกให้รู้ว่าคนตั้งรักคุณอยู่ดี”

“พ่อกับแม่ผมช่วยกันตั้งน่ะครับ แม่เล่าให้ฟังว่าตอนผมเกิด ทะเลาะกับพ่อ เพราะคนหนึ่งอยากได้ภาษาไทย อีกคนอยากได้ภาษาอังกฤษเพื่อจะได้ทันสมัย แต่สุดท้ายก็มาจบกันที่ตรงนี้ จริงๆ แล้วผมก็ชอบชื่อนี้นะ แต่ตอนนี้ไม่มีคนเรียกผมด้วยชื่อนี้แล้ว”

แววตาและสีหน้าที่ปรากฏบนดวงหน้าคมคร้าม บอกเล่าความรู้สึกได้เป็นอย่างดี หน่วยตาสีดำนั้นเป็นประกายแวววาวเหมือนลูกแก้วต้องแสงอาทิตย์ ขณะที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยความอ่อนโยน ทว่าท้ายประโยคนั้นแววตากลับวูบหม่นลง

“ทำไมล่ะครับ”

เห็นความแตกต่างอย่างโจ่งแจ้งระหว่างหัวและหางประโยคแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มก็ห้ามปากไม่ให้ถามไม่ได้

ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของตนเองแต่อย่างใด หากเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติตามสัญชาตญาณเสียมากกว่า ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยอมรับว่าถามไปน่ะดีแล้ว

“ตอนเด็กๆ ผมประสบอุบัติเหตุน่ะครับ ทั้งครอบครัวเลย คุณคงเคยเห็นเหตุการณ์อย่างพวกตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกหลุดออกมาทับรถคันข้างๆ ตามข่าวอุบัติเหตุใช่ไหมครับ”

ภันวัฒน์ไม่ได้เจตนาจะสร้างคำถามขึ้นในประโยคนี้ เป็นแค่การเกริ่นนำเพื่อเข้าสู่เรื่องราวที่จะเล่าเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้คนฟังวูบหวิวขึ้นมาในอก รู้สึกว่าตนเองทำเรื่องแย่ๆ ไปเสียแล้วที่เอ่ยถามออกมา ริมฝีปากบางพยายามอ้า ’ผม...’ แต่ก็ถูกรอยยิ้มอ่อนจางจากคนตรงหน้าห้ามไว้เสียก่อน

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องที่เล่าไม่ได้ เพียงแต่ผมก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อนเหมือนกัน”

ความรู้สึกหลากหลายซ้อนทับเข้ามาในใจของอาทิตย์อัสดงในเวลานั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกเห็นใจ ความรู้สึกไม่เข้าใจ มันปนเปกันหมด ในอกถูกความรู้สึกเหล่านั้นอัดไว้แน่นจนอึดอัด

“เล่าต่อนะครับ” เขายิ้มเล็กน้อยคล้ายเป็นการขออนุญาต “ตอนนั้นรถคันที่ขับนำอยู่ถูกคอนเทนเนอร์จากรถบรรทุกเลนข้างๆ หล่นลงมาทับ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก พ่อของผมรีบเบรกรถเพื่อให้ไม่ชนเข้าไปซ้ำ แต่ว่ารถคันข้างหลังไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เลยขับมาชนท้ายรถของพ่อผมอย่างแรงจนรถพุ่งชนตู้คอนเทนเนอร์ที่ทับรถคันหน้าอยู่ จากนั้น...ผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย”

“.....”

ความเงียบมาเยี่ยมเยือน ณ วินาทีนั้น อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออก เพียงจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เล่ามาก็ทำให้รู้แล้วว่ามันเป็นโศกนาฏกรรม

“ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมอยู่ที่โรงพยาบาล คนที่อยู่ในห้องพักฟื้นของผมมีลุงกับป้าแค่สองคน พวกเขาเล่าให้ผมฟังว่าพ่อกับแม่ของผมเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนผมรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ แค่หัวแตกกับแขนเดาะเฉยๆ เพราะแรงกระแทกตอนที่รถคันหลังชนท้ายมา ทำให้ตัวผมหล่นลงไปบนพื้นรถพอดี ช่องว่างตรงนั้นช่วยป้องกันให้ผมรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ใช้เวลาไปนานมากกับการตัดถ่างเพื่อเอาตัวผมออกมา”

ทั้งที่เรื่องที่เล่า เป็นเรื่องน่าสลดหดหู่ของเจ้าตัวแท้ๆ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของอาทิตย์อัสดง ภันวัฒน์กลับคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้มากกว่าเดิม ราวกับจะปลอบประโลมกัน

“หลังจากนั้นลุงป้าก็รับผมไปเลี้ยงเป็นลูกอีกคน แล้วก็ขอให้พระตั้งชื่อให้ผมใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะผมเหมือนตายไปแล้วรอบหนึ่ง นับตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่นของผมก็เคยไม่ถูกเรียกอีกเลย โดยเฉพาะลุงกับป้าที่ยิ่งปลื้มกับชื่อภันวัฒน์ที่ผมได้มา เพราะบ้านนั้นเป็นครอบครัว พ.พาน ก็เลยเอาแต่เรียกผมว่าภันๆ เพื่อจะได้เหมือนเป็นลูกชายคนโต”

ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ร่างโปร่งก็เข้าใจถ่องแท้ถึงความเป็นมา แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า...

“ทำไมคุณถึงเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังล่ะครับ”

มุมปากของร่างสูงกระตุกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยตอบนุ่มนวล

“ไม่รู้สิครับ อาจเพราะมันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว และผมก็อยากย้ำเตือนกับตัวเอง หรือไม่ก็ผมอาจจะแค่อยากเล่าให้ใครสักคนฟังล่ะมั้ง แล้วเผอิญคนคนนั้นเป็นคุณ”

คำตอบที่ออกมาไม่แจ่มแจ้งไปทางใดทางหนึ่ง ถึงกระนั้นสิ่งหนึ่งที่แน่ชัดคือ... มันทำให้ภันวัฒน์รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับตะกอนความทรงจำที่นอนก้นทับถมกันอยู่มาช้านานถูกขูดลอกออกไป ราวกับเขารอเวลาที่จะเล่าเรื่องราวของตนให้ใครสักคนฟังมานานแล้ว แต่ครั้งนี้เพิ่งมีโอกาสเป็นครั้งแรก

ทั้งที่เขาสนิทกับเกรียงไกรมาก แต่เขากลับไม่เคยเล่าและไม่คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

มันคงดูแปลกๆ กระมัง หากมาเล่าเรื่องโศกนาฏกรรมของครอบครัวตัวเองให้เพื่อนฟัง เหมือนกับว่ากำลังเรียกร้องความเห็นใจ

ทว่าแม้จะคิดอย่างนั้น แต่กับอาทิตย์อัสดงแล้ว เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย

“แล้ว เอ่อ...ชื่อคุณล่ะครับ แฟนของคุณไม่เคยเรียกเลยเหรอครับ”

เพราะรู้สึกว่าหากคุยเรื่องนี้ต่อไป จะถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นรัดรึงตนเองให้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากจนเกินไป บล็อกเกอร์หนุ่มจึงเบี่ยงทิศออกมาเล็กน้อย

“แฟนคนก่อนๆ ของผม ส่วนมากจะรู้จักผมอยู่ก่อนแล้ว หรือไม่ก็เรียกตามเพื่อนๆ ผม อีกอย่างผมก็ไม่เคยบอกชื่อนี้กับใครด้วย เพราะมันคงแปลกถ้าต้องมาอธิบายทุกครั้งว่าทำไมเพื่อนรู้จักผมในชื่อภัน แต่ผมกลับแนะนำตัวด้วยอีกชื่อ ก็เลยไม่มีใครเคยเรียกชื่อเล่นจริงๆ ของผม”

“งั้นทำไมถึงแนะนำตัวเองกับผมว่าฮักแทนที่จะเป็นภันเหมือนอย่างคนอื่นๆ ล่ะครับ”

กว่าร่างโปร่งจะรู้ตัวว่าพลั้งเผลอถามอะไรออกไปและมันอาจจะเข้าตัวเองก็เป็นได้ ก็หยุดยั้งปากตนเองไว้ไม่ทันเสียแล้ว หนุ่มหน้าตี๋พยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ไม่แสดงอาการกระอักกระอ่วนออกมาให้อีกฝ่ายเห็น เพราะเกรงว่าฝ่ายนั้นจะจับพิรุธได้ว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไรต่อคำถามนี้

“เพราะผมคงคิดถึงเวลาใครสักคนเรียกผมด้วยชื่อนั้นล่ะมั้งครับ”

แม้อาทิตย์อัสดงจะห้ามปรามสีหน้าของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมของภันวัฒน์ได้

เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอึดอัดใจ แต่เขาก็ไม่คิดจะแบ่งเวลาให้ทางนั้นได้หายใจเช่นกัน จึงตอบออกไปจากใจจริง พลางยกยิ้มนิดๆ ที่หากว่าผู้หญิงหรือเกย์ฝ่ายรับได้เห็น คงต้องตกหลุมเสน่ห์ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะภันวัฒน์มีเสน่ห์เช่นนั้นอยู่ล้นเหลือซึ่งเจ้าตัวก็รู้ดี จึงไม่ได้ใช้มันมากนัก แต่สำหรับชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว เขาไม่ใช้ไม่ได้

“เอ่อ...”

สีหน้าที่ทำให้คนมองรู้สึกใจสั่นแปลกๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับตนทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกคอแห้งผากในบัดดล เสียงเลือนหายไปจนต้องกระแอมเบาๆ เพื่อให้คล่องคอขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยประโยคใดต่อจากนั้น เสียงใหญ่ทุ้มที่นุ่มเป็นพิเศษก็ดังสวนแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“นะครับ ช่วยเรียกผมด้วยชื่อนั้น เรียกว่าผมฮักด้วยนะครับ ฟรี”

ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ยินอย่างนั้นแล้ว ใจที่อยากจะแข็งกลับอ่อนยวบลงโดยพลัน...





--------------------
กว่าจะได้แนะนำตัวจริงจังก็ตอนที่ 12

ตอนที่แล้วอัพไปแล้วเพิ่งรู้สึกว่ากินข้าวกันทั้งตอนเลยนี่นา
แต่ก็สมกับชื่อตอนล่ะนะ อิ่มกันไปเลย

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 24-04-2016 23:22:23
อั๊ยยะะะะะะ ฮักฟรี
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-04-2016 23:26:34
ฮักน่าสงสารขนาด

ฟรีปฏิเสธก็ช่าง ตื๊อให้สุดๆ มีเรื่องนี้แหละที่สมควรทำหน้ามึน
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 25-04-2016 00:02:48
พี่ฮักรีบทำแต้มเร็วเข้า พี่ฟรีกำลังหวั่นไหวเลยนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-04-2016 00:37:46
ฟรี ฮัก

แนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว จีบอย่างเป็นทางการได้แล้วสินะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-04-2016 07:34:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 25-04-2016 10:21:19
โง้ยยยย จีบกันเข้าไปปปป เรามีความรู้สึกแปลกที่ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าตอนที่คุณอาทิตย์ถามว่าตัวเองไม่ใช่แบบที่ชอบแล้วทำไมจีบ แล้วคุณภันบอกว่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกดี คุณอาทิตย์คิดว่า ก็ไม่ได้ชอบจริงๆสินะ... คืออัลไลคะะะะ นี่หมายความว่าถ้าคุณภันชอบตัวเองเข้าจริงๆก็จะรับพิจารณาใช่ไหมคะเนี่ย แล้วหลังจากเล่าเรื่องในอดีตที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังก็เหมือนได้ขยับเข้าใกล้กันอีกนิดนะคะ เราว่าเพราะคุณอาทิตย์ถามด้วยแหละว่าคุณชื่ออะไร แล้วจากตอนก่อน คือมันให้อารมณ์เหมือนคุณอาทิตย์เป็นคนที่ทำให้อุ่นเหมือนกับคนในครอบครัวคนหนึ่ง ก็เลยทำให้คุณภันเล่าให้ฟังล่ะมั้งคะ เรานึกภาพคุณอาทิตย์เรียกคุณภันว่าฮัก เขินนนนน 55555 คุณภันนี่ต้องตีความไปว่าคุณอาทิตย์บอกว่ารักแน่ๆ ขนาดคุณกินได้ไหมยังไปไกลขนาดนั้นเลย โอ๊ยย ทำไมเป็นคนแบบนี้คะคุณภันนนน เราว่ายิ่งอ่านคุณอาทิตย์ยิ่งน่ารักนะคะ คือให้ความรู้สึกว่าเป็นคนขี้เกรงใจ เหมือนจะเป็นพวกปากร้าย แต่ก็ใจดีมาก ดูเป็นคนไม่กล้าทำร้ายจิตใจใครและคิดมากอีก ทำไมรวมกันแล้วน่ารักกกก คุณภันคะ เราว่าคุณภันก็ชอบน้องฟรีแล้วล่ะค่ะ นี่กั๊กไว้กลัวเขาปฏิเสธหรือยังไม่แน่ใจตัวเองค้าาา ไม่ร้ล่ะสิว่าคุณอาทิตย์แอบหลงตัวเองเข้าแล้ว คิดถูกจริงๆนะคะที่พามานั่งทำขนมกินขนมกัน 2 คน ที่แท้คุณอาทิตย์ก็แพ้คนจริงจังและใส่ใจสิ่งที่ตัวเองรัก รู้นะว่าแอบคิดไปเลยว่าถ้าเก็นคนที่คุณภันรักก็คงจะได้รับการใส่ใจแบบนั้นเหมือกัน 55555555555555 เรานี่โคตรมโน แงงง  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 12th Entry : ขันอาสา [24/4/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 25-04-2016 17:54:17
เหมือนเพิ่งเริ่มต้นยังไงไม่รู้  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 01-05-2016 17:42:51
13th Entry : ทางเลือก






ไม่รู้ว่าเสน่ห์ของตนที่ไม่ต้องบริหารนักเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่กลับต้องรีบจ้วงออกมาใช้ต่อหน้าพระอาทิตย์ยามเย็นคนนั้นได้ผลบ้างหรือเปล่า แต่อย่างน้อยคำอ้อนวอนของภันวัฒน์ก็สัมฤทธิ์ผล เพราะได้ยินเสียงตอบรับ ‘ครับ’ จากร่างโปร่งมาอย่างอ่อนแรง

หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ไล่ต้อนอาทิตย์อัสดงให้จนมุมจนต้องลำบากใจไปมากกว่านั้น เพียงระบายยิ้มอย่างสบายๆ เพื่อคลายความกดดันที่อีกฝ่ายจะต้องแบกรับ ก่อนจะสนทนากันอีกเล็กน้อยและปล่อยให้กลับบ้านได้แต่โดยดีแบบไม่เหนี่ยวรั้ง ถึงกระนั้นก็ขันอาสาว่าจะขอไปส่ง แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

“ให้ผมกลับเองดีกว่าครับ คุณเหนื่อยอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนเยอะๆ ดีกว่านะครับ”

รู้ว่าเป็นข้ออ้างอยู่เต็มอก ถึงกระนั้นดวงหน้าคมคร้ามสีน้ำผึ้งกลับแต้มยิ้มจาง รู้สึกเย็นในอก เสมือนลมสดชื่นกลิ่นเปปเปอร์มินต์พัดวูบผ่านไป ทว่าเมื่อเดินมาส่งบล็อกเกอร์หนุ่มที่หน้าร้านก็พลันนึกขึ้นได้

“เอ่อ สร้อยของคุณ”

“อ้อ จริงด้วย”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะลืมไปเช่นกัน จึงร้องออกมาขณะที่ดวงตาเหลือกโพลงอย่างไม่ปิดบัง พานให้ภันวัฒน์อดยิ้มขำไม่ได้ จนถูกตัดพ้อกลายๆ

“อย่างยิ้มแบบนั้นสิครับ มันทำให้ผมขายหน้า”

“ผมยิ้มแบบไหนกันครับ”

“ยิ้มเหมือนคุณมองว่าผมป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนเด็ก”


“ยิ้มแบบเอ็นดูน่ะเหรอครับ”

“ไม่รู้สิครับ”

ตอบมาแบบนั้นแท้ๆ แต่ก็ทำหน้างอนเหมือนจะเป็นเด็กจริงๆ ด้วย

มุมที่แตกต่างจากเคยเห็น ทำให้เจ้าของร้านขนมรู้สึกว่าความสุขปริ่มขึ้นมาในอกอีกแล้ว หากเทียบให้หัวใจมีปริมาตรหนึ่งลิตร ป่านนี้มันคงโป่งพองจนแทบจะล้นปริอยู่ร่อมร่อ

“แต่ผมชอบเวลาคุณทำหน้าแบบนี้นะครับ”

ปากของบล็อกเกอร์หนุ่มอ้าขึ้นเหมือนจะพะงาบงับอากาศเพราะพูดอะไรไม่ออก จนภันวัฒน์หลุดยิ้มขำ แต่กระนั้นก็ไม่อยากกลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจอีกต่อไป จึงถอดสร้อยซึ่งสวมติดคออยู่คืนให้ผู้เป็นเจ้าของตัวจริง

“ขอบคุณนะครับสำหรับบทเรียนและคำแนะนำ แต่ว่าคุณอย่าเผลอให้ใครมายึดไปได้อีกนะครับ”

ทั้งที่เอ่ยขอบคุณและเตือนด้วยความปรารถนาดี แต่ทว่าหัวคิ้วของคนฟังกลับขมวดเข้าหากัน พลางสวนตอบพร้อมสวมสร้อยลงบนคอเหมือนเดิม ด้วยความรู้สึกอุ่นใจที่ในที่สุด ของสำคัญก็กลับมาอยู่กับตนเองอีกครั้ง และจะไม่มีใครพรากมันไปอีก

“คงมีแต่คุณมั้งครับ ที่ฉวยสร้อยคนไม่รู้จักไปได้หน้าตาเฉย จนผมต้องสร้างเงื่อนไขแปลกๆ”

“แต่มาคิดดูดีๆ แล้ว ต่อให้ผมกลับไปแก้ไขใหม่ได้ ผมก็ยืนยันจะทำแบบเดิมนะ เพราะมันทำให้ผมรู้จักคุณมากขึ้นไง”

“.....”

อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างสูงจึงเป็นฝ่ายกล่าวคำล่ำลา

“ถ้าอย่างนั้นเดินทางกลับดีๆ นะครับ แล้วไว้แวะมาที่ร้านผมอีกนะ มีขนมอีกตั้งหลายอย่างที่คุณยังไม่เคยชิม อ้อแล้วก็อย่างลืมเขียนรีวิวแก้เรื่องขนมให้ผมด้วยนะ”

“ครับๆ ไม่ลืมหรอก ผมรู้ว่าผมต้องรับผิดชอบตรงส่วนไหน ส่วนเรื่องขนมที่ร้านคุณ ไว้มีโอกาสผมจะแวะมาชิมอย่างอื่นนะครับ”

ลงท้ายใบหน้าที่ติดจะหงิกงอย่นยู่อยู่เมื่อครู่ก็เปื้อนรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยจนได้เพราะขนม พลอยทำให้ภันวัฒน์ยิ่งชื้นในใจ

“หรือถ้าผมว่างเมื่อไร จะไปหาคุณที่บ้านนะครับ”

แต่เพียงครู่เดียวหน้ายิ้มๆ ของอีกฝ่ายก็หุบลงเสียแล้ว อากัปกิริยาที่พลิกผันไปราวร้อยแปดสิบองศาทำให้หนุ่มช่างทำขนมลอบยิ้มอยู่ในใจ

“แล้วก็...ปลดบล็อกเบอร์ผมได้แล้วนะครับ”

คำพูดประโยคเดิมดังมาอีกครั้งหลังจากคราวก่อนเจ้าตัวเคยพูดไว้แล้วหายตัวไปเกือบสองเดือนให้อีกคนต้องว้าวุ่นใจ อาทิตย์อัสดงตอบกลับพลางเดินไปริมฟุตปาธเพื่อเรียกรถแท็กซี่ซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาใกล้พอดี

“ไว้จะพิจารณานะครับ”

แต่เท่านั้นก็ทำให้คนฟังกดยิ้มลึกตรงมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว





เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในรอบหลายเดือนก็ว่าได้ที่ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกลับมาเยือนสถานที่แห่งนี้ หากไม่เพราะเมื่อวานได้รับโทรศัพท์จากผู้มีสถานะเป็นลุงว่าให้กลับมากินข้าวที่บ้านบ้าง เขาคงไม่ได้เยียบย่างมาที่นี่

ไม่ใช่เพราะรู้สึกกระดากว่าตนเองเป็นคนภายนอกครอบครัวนี้ หรือถูกกีดกันรังเกียจแต่อย่างใด แต่ด้วยความเกรงใจเพราะได้รับการอุ้มชูดูแลดีเกินกว่าควรจะได้รับต่างหากถึงทำให้เขาไม่ค่อยอยากมายังบ้านที่เรียกได้ว่าคฤหาสน์หลังนี้

ภันวัฒน์สืบเท้าเข้าไปภายในตัวอาคารที่โอ่อ่า เพียงเข้ามาก็มีหญิงรับใช้มาคอยดูแลบริการแล้ว เขาส่ายหน้าพลางสอบถามถึงผู้เปรียบเสมือนบุพการีทั้งสอง พบว่าทั้งคู่อยู่ในห้องนั่งเล่น รอคอยการกลับมาของตนเองอยู่จึงสาวเท้าด้วยจังหวะเร็วขึ้นเพื่อไปยังจุดหมาย

“กลับมาจนได้นะตาภัน”

คำทักทายแรกมาจากไพฑูรย์ผู้เป็นลุง ขณะที่พรรณีผู้เป็นป้ากวักมือเรียกให้ไปนั่งเคียงข้าง เขาจึงต้องขยับเท้าไปหา เมื่อหย่อนร่างลงนั่งก็ได้รับการลูบคลำแขนและใบหน้าเป็นการทักทาย

“ดูผอมซูบซีดลงไปนะตาภัน”

“พอดีช่วงก่อนหน้านี้งานหนักน่ะครับป้า”

“ได้ข่าวว่าต้องไปช่วยงานในครัวขนมด้วยหรือ คุณนี่ก็ใจร้าย ใช้งานหลานหนักเกินไปนะคะ แทนที่จะจ้างคนมาเพิ่ม”

พรรณีหันไปตำหนิสามี ตวัดตาค้อนใส่ขวับใหญ่จนภันวัฒน์ต้องรีบแทรกเสียงบอก เพราะลุงของตนใช้หางตาชี้ใส่ภรรยาว่าดูสิๆ เข้าข้างหลานอีกตามเคย

“ไม่หรอกครับ ก็แค่งานชั่วคราว จะจ้างคนเพิ่มใช่ว่าจะหาได้เลยทันที แล้วถ้าจ้างก็ต้องจ้างระยะยาวด้วย มันจะเป็นการเพิ่มบุคลากรโดยเช่นเหตุนะครับ”

“แต่ภันก็ต้องอดหลับอดนอน ไหนจะงานเอกสาร งานดูแลคนในปกครอง แล้วต้องลงครัวทำขนมเอง และยังงานที่ร้านอีก มันเสียสุขภาพนะจ๊ะ”

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ป้า ยังไงก็ผ่านมาด้วยดีแล้ว ต่อไปก็กลับมาสู่สภาพเดิม แถมนี่ผมยังได้วันหยุดตั้งสามวันอีกต่างหาก”

“จ้าๆ งั้นกลับมาคราวนี้ต้องกินเยอะๆ นะจ๊ะ จะได้แข็งแรง แล้วก็พักผ่อนให้เพียงพอด้วย”

“ครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”

ภันวัฒน์แต้มยิ้มประดับใบหน้าเพื่อให้ผู้เป็นป้าหายเป็นห่วง ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปทางผู้อาวุโสอีกคน เห็นทางนั้นส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายก็อดขบขันในใจไม่ได้ เพราะเขากลับมาบ้านนี้ทีไร เป็นต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เสมอ

ป้ารักเขาเหมือนลูกแท้ๆ เพราะบ้านนี้มีแต่ลูกสาว เขาจึงเป็นลูกชายคนเดียว ขณะที่ลุงเลี้ยงเขาแบบปล่อยบ้างห่วงบ้าง เพราะเป็นผู้ชาย แต่ก็เป็นลูกชายคนเดียวของน้องชายที่เสียไป อารมณ์ของญาติผู้ใหญ่ทั้งสองจึงแตกต่างกันสิ้นเชิง

“แล้วพราวล่ะครับ”

เขาถามถึงลูกสาวคนเล็กของไพฑูรย์ ซึ่งปีนี้จะจบมัธยมปลายแล้ว เป็นเด็กที่สดใสร่าเริง แต่ก็เอาการเอางานดี ตอนเด็กๆ ติดเขาค่อนข้างมาก แต่ก็ห่างๆ กันไปเพราะเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ และเมื่อกลับมาก็ย้ายออกไปอยู่คอนโดมิเนียมของตนเอง ทว่าทุกครั้งที่พี่ใหญ่กลับมาก็มักจะทำตัวน่าเอ็นดูใส่เสมอ

“อ่านหนังสืออยู่ในห้องนู่นแน่ะ กลัวแต่ว่าจะสอบไม่ผ่าน ป้าล่ะห้วงห่วง กลัวว่าจะฝืนตัวเอง”

“งั้นผมขึ้นไปตามพราวนะครับ จะได้มากินข้าวกัน ใกล้ถึงเวลาตั้งโต๊ะแล้วด้วย”

“ดีจ้ะ ภันไปหา น้องจะได้ยอมห่างหนังสือบ้าง”

หลังจากได้รับคำอนุญาต ร่างสูงกำยำก็ผุดลุกจากเก้าอี้ทรงหรู เดินขึ้นบันไดตรงโถงซึ่งอยู่ด้านนอกห้องนั่งเล่นไปยังชั้นบนที่เป็นห้องของน้องสาว

เมื่อเคาะประตูสองสามครั้ง ก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาก่อนเจ้าตัวเปิดประตู ปรากฏร่างของเด็กสาวผมยาวสีดำ นุ่งเสื้อยืดสบายๆ กับกางเกงขาสั้นอยู่ด้านหลังบานไม้ หลังจากเห็นใบหน้าของเขาแล้ว เจ้าตัวก็เบิกตาโพลงร้องเสียงดัง

“พี่ภัน!” มือเล็กคว้ามือเขามาจับไว้ ก่อนจะลากให้เข้าไปในห้อง “สอนตรงนี้หน่อย”

หาได้เป็นความคิดถึงไม่ เพราะมาถึงก็เรียกให้สอนหนังสือตรงจุดที่ไม่เข้าใจทันที จนภันวัฒน์ต้องวางมือใหญ่โตเมื่อเทียบกับอีกฝ่ายบนศีรษะกลมเล็กแล้วผลักออกพลางบอก

“พอเลยๆ พี่ขึ้นมาตามไปกินข้าว ไม่ได้มาช่วยติวหนังสือสักหน่อย”

“ก็ใกล้จะสอบแอดฯ แล้วนี่นา พราวกลัวสอบไม่ติด”

พราวดาวทำเสียงกระเง้ากระงอนเหมือนเด็กน้อยงอนผู้ใหญ่ ปากยื่นเล็กน้อยอย่างน่าเอ็นดูจนคนสูงวัยกว่าต้องส่ายศีรษะเบาๆ และสั่งสอน

“อ่านหนังสือเยอะน่ะได้ แต่ว่าต้องรู้จักพักผ่อนด้วย รู้ไหมว่าแม่เราเป็นห่วงขนาดไหน”

“พราวรู้ แต่มันก็กังวลอยู่ดี”

“น้องสาวพี่เก่งอยู่แล้ว เกิดหักโหมมากเกินไป ถึงวันสอบจริงขึ้นมาดันป่วยขึ้นมา ที่พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่านะ”

ได้ยินเช่นนั้นเจ้าตัวก็สลดลงทันควัน ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างน่าสงสาร

“ไปครับ ลงไปกินข้าวกัน แล้ววันนี้ห้ามอ่านหนังสือแล้วนะ”

“พราวว่าครอบครัวนี้ต้องประหลาดแน่ๆ บ้านไหนๆ เขาก็มีแต่อยากให้ลูกให้น้องอ่านหนังสือเพื่อให้สอบติดมหา’ลัยดีๆ แต่บ้านนี้กลับบอกให้เลิกอ่านซะงั้น”

“เพราะพราวอ่านมากเกินไปต่างหาก ไปเร็ว”

มือหนายื่นไปด้านหน้าหาเด็กสาวราวกับเป็นสัญญาณอีกทางหนึ่ง ร่างเล็กสะโอดสะโองจึงยิ้มกว้าง เข้ามากอดแขนไว้อย่างสนิทสนมและลงไปชั้นล่างด้วยกัน





ที่โต๊ะอาหารเย็นในครอบครัววันนี้ดูอบอุ่นขึ้นทันตา เพราะนอกจากลูกสาวคนเล็กจะยอมลงมากินข้าวแบบไม่เกี่ยงงอนขอต่อเวลาแล้ว ยังมีคนที่เป็นดั่งลูกชายคนโตของบ้านมาร่วมวงด้วย

เสียงช้อนส้อมกระทบจานเป็นจังหวะ ภันวัฒน์เอาใจน้องสาวโดยการตักอาหารที่เธอชอบให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็บริการพี่ชายเป็นอย่างดีด้วยการตักของโปรดของพี่ให้เช่นกัน

“แล้วนี่เมื่อไรจะรับเป็นผู้จัดการโรงแรมสักทีล่ะ”

รับประทานอาหารไปสักพัก พูดคุยกันเรื่องทั่วไปแล้วก็เข้าสู่ประเด็นใหม่โดยไพฑูรย์ เขาถามหลังจากเคี้ยวอาหารในปากจนหมดและตักคำใหม่เข้าปากราวกับเป็นเรื่องสนทนาธรรมดา ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

“ให้ผมทำตำแหน่งที่ผมถนัดนั่นแหละดีแล้วครับ”

“เดี๋ยวอีกหน่อย อย่างไรภันก็ต้องขึ้นเป็นกรรมการ แล้วก็เป็นประธานอยู่ดี อย่าลืมสิว่าตัวเองมีหุ้นอยู่ด้วย”

“หุ้นนิดหุ้นหน่อยแค่พอมีเงินปันผลไว้ใช้จ่ายเองครับลุง ให้ผมทำงานใหญ่จะข้ามหัวผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเปล่าๆ”

หุ้นที่ว่านี่ก็มาจากส่วนของบิดาที่เสียชีวิตไปยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาได้รับตกทอดมาตอนบรรลุนิติภาวะ และที่เขาได้ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มมาอย่างง่ายๆ หลังเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศก็ด้วยเหตุนี้ส่วนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังมีสถานะพ่วงท้ายที่พนักงานในโรงแรมต่างรู้กันด้วยว่าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธาน แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม แต่ภันวัฒน์ก็ถูกวางตัวเอาไว้คร่าวๆ แล้ว เพราะประธานมีแต่ลูกสาว เขาจึงเข้างานตามอำเภอใจแล้วแต่สะดวกได้โดยไม่โดนตำหนิ ทว่าเจ้าตัวก็มีความรับผิดชอบพอที่จะไม่ทิ้งงานของตนเอง ออกจะขยันหมั่นเพียรเสียด้วยซ้ำเพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกหรือครหา จะมีก็แต่ในสายตาเลขานุการสาวเท่านั้นที่มองว่าเขาเอ้อระเหยลอยชาย

“แล้วอีกอย่างถึงผมจะเรียนจบบริหารโรงแรมกับธุรกิจมา แต่ก็ไม่เก่งถึงขนาดจะขึ้นเป็นประธานหรอก ให้พร่างกับพราวรับไปเถอะครับ”

แม้ว่าภันวัฒน์จะประกาศเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตนเองมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไพฑูรย์ก็แย้งเสียทุกครั้ง

“ทำไมภันจะทำไม่ได้ ภันยังบริหารร้านตัวเองได้เลย”

“ตัวเลขรายรับรายจ่ายต่อเดือนของที่ร้านอย่างมากก็หลักหมื่น แต่ของโรงแรมมันหลักล้าน เทียบกันไม่ได้หรอกครับ”

พอเห็นว่าขืนยังคุยเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี เพราะต่างฝ่ายต่างยึดความคิดของตน อีกทั้งบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น พรรณีจึงย้ายประเด็น

“แล้วนี่เรื่องแฟนล่ะจ๊ะ เมื่อไรจะหาเจ้าสาวสักทีล่ะ อายุสามสิบแล้วนะ”

แต่ดูเหมือนว่าหัวข้อที่เลือกมาจะไม่ค่อยหนีพ้นบรรยกาศเดิมสักเท่าไร ภันวัฒน์หันไปตอบผู้เป็นป้าด้วยเสียงเรียบ

“อายุสามสิบสำหรับผู้ชายมันเพิ่งแค่เริ่มต้นเองครับ แล้วก็เรื่องนี้ผมขอเลือกด้วยตัวเองแล้วกันครับ ป้ากับลุงก็รู้ว่าช่วงหลังมานี้ผมเน้นคบกับผู้ชาย”

ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดเรื่องที่เขานิยมชมชอบผู้ชาย เพราะหลังจากมีความสัมพันธ์ทางกายกับฐานทัพในครั้งนั้น และเริ่มคบหากับผู้ชายด้วยกันอย่างเป็นทางการ เขาก็ยอมรับกับครอบครัวนี้อย่างตรงไปตรงมา

ในคราวแรกที่พรรณีรู้ นางแทบลมจับเพราะไม่เคยคิดหรือรู้สึกระแคะระคายแม้แต่น้อยว่าหลานชายที่รักประดุจลูกจะเบี่ยงเบนมาทางนี้ เช่นเดียวกับไพฑูรย์ที่ตะลึงงันไม่น้อย ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ยืนยันคำพูดของตนเองอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่ได้ปิดกั้นผู้หญิง เพียงแต่เปิดรับผู้ชายเพิ่มเข้ามาเท่านั้น และเขาก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ยังคงเป็นหลานชายคนเดิมที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ผู้อาวุโสทั้งสองจึงยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความคาดหวังว่าหลานชายจะเลือกผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่ดี

“แต่ภันก็ยังสนใจผู้หญิงอยู่ใช่ไหมจ๊ะ”

“ครับ แต่ผมกำหนดไม่ได้หรอกว่าสุดท้ายจะเป็นใคร เอาเป็นว่าผมชอบคนไหนก็คนนั้น เพศไหนก็ช่างมันเถอะครับ”

ดูเหมือนคำถามแฝงแววเกลี่ยกล่อมของพรรณีจะไม่สำเร็จ คราวนี้ไพฑูรย์จึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องบ้าง

“พร่างจะกลับมาวันที่ยี่สิบนี้นะ”

ได้ผลชะงัด เพราะภันวัฒน์เบิกตา เลิกคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าสงสัยตลอดช่วงปีใหม่ เขาจะต้องยุ่งหนักกว่าเดิมเสียแล้ว





ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตนเองที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย หลังจากกลับมาจาก ‘ห้องนั่งเล่น’ ในวันถัดไปอาทิตย์อัสดงจึงอัพบล็อกและลงรายละเอียดรีวิว Sweet Butterfly รอบใหม่ เขาใช้รูปเดิมจากคราวที่แล้ว เพราะครั้งนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ก่อน แต่เพราะลักษณะภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป มันจึงไม่ใช่ปัญหา จากนั้นลงรายละเอียดคะแนนอย่างที่เคยๆ ทำมา

คะแนนความหวานถูกลดไปหนึ่งคะแนน ขณะที่คะแนนความมันลดสองคะแนน และความกลมกล่อมเพิ่มจากเดิมอีกหนึ่งคะแนน พร้อมทั้งลงหมายเหตุเพิ่มเติม



ผมได้รับการติดต่อจากเจ้าของร้านหลังจากลงรีวิวไปคราวก่อน เขาเห็นว่าขนมของตัวเองยังมีจุดบกพร่องอยู่ จึงขอปรับปรุงสูตรและขอให้ผมช่วยชิมให้อีกครั้ง ซึ่งผมก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งดีที่เขาอยากทำเพื่อลูกค้าในปัจจุบันและในภายภาคหน้า จึงยินดีตอบรับข้อเสนอนั้น และผลก็ออกมาอย่างที่เห็นครับ คุณผู้หญิงทั้งหลายไม่ต้องกังวลกับขนมชิ้นนี้แล้วไปลองพิสูจน์มันด้วยตัวเองดูนะครับ



หากจะเรียกว่าเป็นข้อความที่ค่อนข้างสร้างภาพ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเหตุการณ์เบื้องหลังตรงข้ามกับข้อความเหล่านั้นเลยก็ว่าได้ กว่าทุกอย่างจะลงเอยอย่างเรียบร้อยเช่นนี้ได้ เขาต้องผ่านอะไรมามาก ทว่าเมื่อมันจบลงแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วก็เผลอคลี่ริมฝีปากออกและกดมุมลึกลงกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา เตรียมกดหารายชื่อคนที่เขากล่าวถึงในบล็อก ทว่าหลังจากเห็นชื่อนั้นแล้ว นิ้วที่กำลังจะสไลด์เพื่อโทรออกก็ต้องชะงักค้าง เสียงสุดท้ายที่ได้ยินเมื่อวานซืนก้องเข้ามาในหัว

‘แล้วก็...ปลดบล็อกเบอร์ผมได้แล้วนะครับ’

เขายังไม่ได้ปลดบล็อกเบอร์ของผู้ชายคนนั้น คนที่ขอให้เขาเรียกว่า ‘ฮัก’

หน่วยตาสีชาจับจ้องจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าค้างอยู่เช่นนั้น ขณะที่มือยังไม่เคลื่อนไหวไปไหน ในสมองนึกคิดถึงสิ่งต่างๆ น้ำเสียง ถ้อยคำ สีหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำป่าหลากลงมาจากตำแหน่งสูง คล้ายกับว่าตนมีความทรงจำมากมายกับชายคนนั้น ทั้งที่มันไม่ใช่อย่างนั้น

อาทิตย์อัสดงยอมรับว่าการได้เป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายอาจจะเป็นเรื่องที่ดี อย่างที่เจ้าตัวบอกไว้ คนที่ชื่นชอบขนมหวานเหมือนกันไม่ได้หาได้ง่ายๆ ดังนั้นหากมีเพื่อนที่สามารถพูดคุยในสิ่งเดียวกันได้ย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน และเขาก็รู้สึกยินดีด้วยซ้ำที่ได้มีเพื่อนคุยเรื่องอดิเรกเสียที

ในเรื่องรสนิยมทางเพศก็เช่นกัน เขาไม่ได้ยี่หระว่ามันจะเป็นแบไหน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่ว่าเป็นเพศไหน เขาไม่เคยรู้สึกเดียดฉันท์ ดังนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกออกมาว่าเป็นเกย์ เขาก็สามารถคบหาในฐานะเพื่อนได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

ทว่า...เพราะภันวัฒน์บีบลู่ทางของความสัมพันธ์ฉันเพื่อนให้แคบลง บล็อกเกอร์หนุ่มจึงเริ่มไม่แน่ใจ

มือที่ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้จนวางทิ้งค้างอยู่กลางความว่างเปล่าจึงขยับลง ออกจากเมนูรายชื่อและกดล็อกโทรศัพท์กลับไปเช่นเก่า จากนั้นวางมันลงบนโต๊ะหนังสือข้างแล็บท็อปที่เปิดค้างอยู่

เขายังปลดบล็อกเบอร์นั้นไม่ได้

ทั้งที่ตัดสินใจอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่รู้เหตุใดความรู้สึกหม่นๆ ถึงอัดแน่นอยู่ในใจ หนักอึ้งในอกจนอึดอัด ลมหายใจผ่อนออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งใช้งานเสร็จก่อนจะโยนร่างทิ้งไปบนเตียงสีขาวสะอ้าน ดึงหมอนข้างมากอดและซบหน้าลงแนบ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มั่นใจในความรู้สึกของตนเอง หรือเกรงกลัวว่าหากใกล้ชิดกับใครสักคน หัวใจจะเอนเอียงโอนอ่อน อาทิตย์อัสดงแน่ใจว่าตนล็อกหัวใจได้อย่างแน่นหนาแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวล่วงผ่านปราการนั้นเข้ามา

กับภันวัฒน์ก็เช่นกัน

แต่ทั้งที่เชื่อมั่นเช่นนั้น เขากลับไม่กล้าเผชิญหน้าอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา ไม่กล้าที่จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นเข้าใกล้มากกว่านี้ ไม่กล้านิ่งเฉยปล่อยให้ภันวัฒน์ได้ทำตามอำเภอใจอยู่หน้าประตูบานนั้น เพราะเกรงว่าหากผู้ชายคนนั้นทุบกำปั้นลงมาซ้ำๆ จะเกิดรอยปริแยก ทั้งที่หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้

ลองแล้ว ลองคิดจินตนการแล้ว หากเป็นผู้ชายคนอื่นในแผนกที่ทำงานล่ะ หากเป็นตะวันล่ะ ความมั่นใจของตนจะสั่นคลอนแบบนี้ไหม

คำตอบคือ ไม่

ไม่แม้สักนิด

หรือแท้จริงแล้ว เพราะเป็นคนคนนี้ เป็นภันวัฒน์ต่างหากที่ทำให้เขาหวั่นเกรงว่ากำแพงซึ่งก่อทับประตูไว้อย่างแข็งแกร่งจะพังทลาย

เพราะเขาไม่รังเกียจยามใกล้ชิดหรือถูกสัมผัสโดยภันวัฒน์ ถึงได้หวาดกลัว ถึงต้องป้องกันตัวเองให้มิดชิด และไม่เปิดโอกาสให้มากไปกว่านี้





กว่าผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มจะได้มีโอกาสเปิดดูบล็อก Tea Party ก็อีกหลายวันหลังจากนั้น เพราะแม้จะหลุดพ้นจากช่วงเวลาที่ต้องโหมงานจนร่างกายแทบบดย่อยเป็นชิ้นส่วนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ค่อยมีเวลาเว้นว่างให้เอ้อระเหยสักเท่าไร เนื่องจากงานบางส่วนที่ยังไม่ต้องเร่งรีบอนุมัติซึ่งผัดผ่อนเอาไว้แห่แหนต่อคิวให้ต้องสะสาง ไม่ใช่นั้นจะพอกเป็นดินติดหางหมู

เอนทรี่สุดท้ายที่ถูกอัพไว้เป็นสิ่งที่เรียกรอยยิ้มของชายหนุ่มได้ ภันวัฒน์กวาดสายตาไปตามตัวหนังสือที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีทั้งสำหรับเขาและเจ้าของบล็อก หากแต่รอยยิ้มไม่ได้เกิดการความดีใจว่าในที่สุดอาทิตย์อัสดงก็ช่วยลบล้างข้อบกพร่องของขนมให้เสียที แต่เนื่องจากเนื้อหาถ้อยคำที่อีกฝ่ายเลือกใช้ต่างหากที่ทำให้หุบยิ้มไม่ลง จนนึกอยากขอบคุณร่างโปร่งขึ้นมาทันใด

นิ้วใหญ่กร้านรีบเลื่อนจอโทรศัพท์เพื่อกลับสู่หน้าจอหลัก เข้าสู่สมุดโทรศัพท์เพื่อติดต่อไปยังเป้าหมาย ครั้นเมื่อต่อสายแล้วกลับต้องนิ่วหน้าไปเล็กน้อย เพราะเสียงสัญญาณที่ดังอยู่ยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะว่าเบอร์โทรศัพท์ของเขายังถูกสกัดกั้นไว้ไม่ให้ติดต่ออีกฝ่ายได้ เสียงทุ้มบ่นพึมพำ

“ยังไม่ปลดบล็อกอีกเหรอ”

รู้สึกผิดหวังอยู่เจือจางที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากบล็อกเกอร์หนุ่ม ร่างสูงจึงเปลี่ยนมาเข้าแอปพลิเคชั่นสนทนา ตั้งใจว่าจะลองกดส่งข้อความผ่านชื่อที่แสดงอยู่ในหน้ารายชื่อเพื่อนซึ่งตนเพิ่งกดเพิ่มเพื่อนจากเบอร์โทรศัพท์เมื่อไม่กี่วันก่อน

“ส่งสติกเกอร์ไปก่อนแล้วกัน”

เพราะไม่รู้ว่าจะทักทายอีกฝ่ายไปอย่างไร จะโพล่งคำขอบคุณไปทางนั้นอาจงงได้ ผู้จัดการหนุ่มจึงเอาอะไรที่ดูเป็นกลางไว้ก่อน เขาส่งสติกเกอร์คำทักทายไป และกะว่าค่อยบอกว่าเป็นตนตอนที่ร่างโปร่งตอบกลับมา ทว่าหลังจากส่งไปสักพัก ก็ยังไม่มีข้อความแสดงว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความนั้นแล้ว

“อาจจะไม่ว่างก็ได้มั้ง”

ไหวไหล่เบาๆ เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาจากบล็อเกอร์หนุ่มยังเป็นศูนย์ จึงกลับมาทำงานที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยแทน ทว่าทำไปได้ชั่วครู่เสียงโทรศัพท์เครื่องบนโต๊ะก็เรียกความสนใจให้หันไปหา เขายกหูรับก่อนจะมีเสียงเลขานุการสาวดังมา

[นนนี่ค่ะ คุณภันไม่ได้จะออกไปเป็นสปายเหรอคะ]

ดั่งเป็นโค้ดลับอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันก็เตือนให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ เพราะเมื่อเช้าเขาบอกนนทิยาเอาไว้ว่าจะออกไปสำรวจดูบริการของโรงแรมอื่นช่วงบ่าย เนื่องจากตลอดหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา เขาแทบฝังร่างอยู่ในโรงแรมนี้ จึงไม่ได้ติดตามว่าบริการในส่วนขอบเขตงานของตนเองของโรงแรมอื่นมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปเช่นไรแล้ว

“อ้อครับ ผมทำงานเพลินไปเลย ขอบคุณนะครับ”

ได้ยินเสียงขานรับ ‘ค่ะ’ แล้วตนจึงวางสายไป และย้ายมือไปยังโทรศัพท์มือถือแทน หน่วยตาคมจ้องตัวเลขบอกเวลาที่ปรากฏบนหน้าจอ จากนั้นเข้าเมนูสมุดรายชื่ออีกครั้ง คราวนี้เปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นอีกคนก่อนจะกดโทรออก

เสียงสัญญาณดังอยู่ไม่กี่ครั้งก่อนน้ำเสียงต่ำทุ้มทว่าสดใสจะดังมาจากปลายสาย

[ครับ พี่ภัน]

“ฐานว่างหรือเปล่าครับ”

เขาถามไปยังคนอีกฟากทั้งที่รู้ว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ถึงจะเป็นช่วงบ่ายแก่แบบนี้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ค่อยติดขัดอะไร เพราะฐานทัพเป็นนักศึกษาปริญญาโท หาใช่มนุษย์เงินเดือน ดังนั้นเขาจึงมักชวนฐานทัพออกมาเช่นนี้ยามที่ต้องการไปดูความคืบหน้าของคู่แข่ง แต่ก็เฉพาะในส่วนของห้องอาหารเท่านั้น หากเป็นส่วนของเลานจ์หรือบาร์ คู่หูของเขาจะเป็นเกรียงไกรเสียมากกว่า

จะว่าไปก็ไม่ได้ติดต่อรายนั้นนานแล้วเหมือนกัน สงสัยคงต้องชวนไปดื่มบ้าง

[ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่า]

“ว่าจะชวนไปโรงแรมสักหน่อย”

ทั้งที่ประโยคนั้นกำกวมว่าต้นสายปลายเหตุที่ชวนคืออะไร แต่ฐานทัพกลับย้อนเสียงกลับมาโดยไม่มีวี่แววสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

[ชวนเดทเหรอ]

“ไปไหมล่ะ”

[ไม่เห็นต้องถามเลยนี่]

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดังอย่างสดใส ภันวัฒน์จึงพลอยยิ้มไปด้วย ก่อนจะสอบถามจุดหมายปลายทางที่ตนต้องไปรับหนุ่มร่างเล็ก ตามด้วยกดวางสายหลังจากบอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะไปถึง







อ่านต่อข้างล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 01-05-2016 17:43:32

ต่อจากข้างบน


v


v



กาแฟในถ้วยเซรามิคไร้ลวดลายถูกจรดเบาๆ ลงบนริมฝีปากของร่างสูงเมื่ออาหารมื้อบ่ายแก่จบลง เขาเก็บบันทึกข้อมูลบริการของห้องอาหารภายในโรงแรมที่ตระเวนสำรวจมาสามแห่งไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว ทั้งด้านดีและจุดบกพร่องที่สมควรแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ชนิดและปริมาณของอาหาร ราคา รวมไปถึงสุขอนามัย

“แล้วนี่เป็นยังไงบ้างล่ะ ยังมีปัญหาแบบเดิมไหม”

วางถ้วยในมือเสร็จก็หันไปสบตาร่างเล็กกว่ามากซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฐานทัพหยุดมือที่คนกาแฟในถ้วยตรงหน้าตนอย่างเรื่อยเปื่อยราวกับลานที่ไขไว้กำลังจะหมดลง

“ผมว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าถามเลยนะพี่ภัน”

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ภันวัฒน์ต้องยิ้มอย่างอ่อนใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายและอมทุกข์ให้เห็นอยู่รางๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

“แล้วนอกจากเรียนได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างหรือเปล่าล่ะ”

ฐานทัพกลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้งหลังจากจบปริญญาตรีและเข้าทำงานอยู่สามปี แต่ชีวิตของนักศึกษาปริญญาโทย่อมไม่ครื้นเครงห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนฝูงเหมือนอย่างตอนเรียนปริญญาตรีอยู่แล้ว เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

ยิ่งอยู่กับตัวเองมากเท่าไร เรื่องที่ไม่ควรจะใส่ใจก็เก็บเอามาคิด

เรื่องที่ยิ่งเครียดอยู่แล้ว ก็ยิ่งกัดกร่อนจิตใจ

“ก็เรื่อยเปื่อยแหละครับ พี่ก็รู้อยู่ ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรหรอก”

“เที่ยวกลางคืนน่ะเหรอ พี่บอกให้เพลาๆ ลงแล้วไง”

“แล้วใครล่ะครับที่ไม่ว่างมาหาผมเลย”

เจ้าตัวทำเสียงกระเง้ากระงอดกึ่งประชดประชัน จับจ้องมายังดวงหน้าเรียวคมดังจะโบ้ยความผิดให้อย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งภันวัฒน์ก็ยอมรับความผิดนั้นในส่วนหนึ่ง เพราะเขาเคยเอ่ยปากแท้ๆ ว่ายินดีจะดูแล

“พอดีช่วงนี้พี่ยุ่งๆ น่ะ ถ้ามีเวลาพี่ก็ติดต่อฐานอยู่แล้ว”

ร่างเล็กเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก จึงไม่ได้เอ่ยปากยอกย้อนใดๆ อีก ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ และสานหัวข้อสนทนาบทใหม่ด้วยดวงตากลมโตที่เป็นประกายวาววับ

“แล้วคืนนี้พี่จะอยู่กับผมหรือเปล่าล่ะ”

ภันวัฒน์นิ่งค้างไปชั่วครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีนิลจ้องมองไปยังกรอบหน้าเล็กกลมเบื้องหน้า พลางไพล่นึกไปถึงอีกคนที่อยู่ๆ ก็แวบเข้ามาในหัว

เขาอยาก...

มือหนาเลื่อนมาหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างมือ กดดูข้อความที่ตนส่งไปให้ใครบางคนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าฝ่ายนั้นจะเปิดอ่านข้อความ สุดท้ายจึงเอ่ย

“พี่มีธุระต่อน่ะ”

“โห่” เสียงร้องอย่างเสียดายดังมาอย่างไม่ปิดบัง ฐานทัพบ่นต่อ “น่าเบื่อ”

“ไว้คราวหน้านะ”

ผู้จัดการหนุ่มเจือยิ้มบางบนหน้าคมคร้าม ทำให้ใจคนมองอ่อนลง แต่ไม่วายทำหน้าบึ้งเล็กน้อยอย่างที่คนเห็นรู้ได้ทันทีว่าเจตนา

“ก็ได้”

ร่างสูงส่ายศีรษะเล็กน้อยกับท่าทีเอาแต่ใจแต่กลับดูน่ารักของคนตัวเล็ก ครวญคิดไปถึงคนที่ป่านนี้คงนั่งทำงานอยู่กระมัง เพราะใช้ชีวิตเป็นพนักงานกินเงินเดือนไม่ต่างจากตน อดคิดไม่ได้ว่า...เขาตัดสินใจได้ง่ายเหลือเกิน

ระหว่างฐานทัพที่รู้จักมาแปดปีนับตั้งแต่เจอกันครั้งแรก และอีกสองปีที่ได้มาคบหากัน

กับอาทิตย์อัสดงที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่สี่เดือน...






-------------------
ได้แนะนำตัวกันตอน 12 แล้วกว่าจะได้เรียกชื่อจริงๆ นี่อีกกี่ตอนนะ?


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 01-05-2016 19:15:22
สู้ ๆ ค่ะ จีบต่อไปอย่าให้ขาดช่วงค่ะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 01-05-2016 19:36:05
เราสงสารคุณอาทิตย์ยังไงไม่รู้ค่ะ มีความรู้สึกว่าคุณภันยังไม่คู่ควร อยากเก็บไว้เป็นของตัวเอง คือเราคิดว่าคุณอาทิตย์นี่เริ่เปิดใจมากขึ้นทุกที แต่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตที่คุณอาทิตย์เหมือนจะกลัวการผูกพันคืออะไรนะคะ เฮ้ออ อ่านแล้วอึดอัดนิดนึงค่ะ แต่ดีแล้วที่ไม่ปลดบล็อก อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาได้ง่ายๆค่ะถ้าเรายังไม่พร้อม ดูหน้าคุณภันค่ะ หล่อ รวย รู้เลยว่าคั่วมาเยอะแน่ๆ คุณอาทิตย์ต้องเตรียมรับมือไว้เยอะนะคะ ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งขยับเข้าไปใกล้เลยค่ะ ส่วนคุณภันเราก็ว่าเวลาอยู่กับครอบครัวก็ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นนะคะ แต่นอกบ้านนี่ดูเจ้าชู้มากอ่ะ อย่ามาบอกว่าคบไปเรื่อยๆเพื่อหาคนที่ถูกใจค่ะ เรารู้ทันนะคะ 55555 แต่มันก็พูดยากนะคะ กับน้องฐานนี่เราว่าก็แปลกๆอ่ะ คือน้องเขาเป็นอะไรเหรอคะ? ตอนแรกเข้าใจว่าน้องเขามีแฟนใหม่แล้วรักกันมาก แต่อะไรคือคืนนี้จะอยู่กับผมไหม เราว่ามันแปลกอ่ะ จะว่าเพราะเป็นคนแรกก็ไม่น่าใช่ คุณภันก็คงไม่ใช่เอ็นดูคนที่เคยนอนด้วยแบบน้องชายมั้ง ใครจะนอนกับน้องชายตัวเอง เราสับสนนนน แต่เพราะอย่างนี้เราเลยคิดว่าคุณภันยังไม่พอสำหรับคุณอาทิตย์อ่ะค่ะ จงโดนบล็อกต่อไปซะ ถึงสุดท้ายคุณภันจะเลือกบุกบ้านคุณอาทิตย์แต่เราก็ว่านะคะ ย่าไปเลย อย่าทำคุณอาทิตย์ลำบากใจเลยค่ะ โอ๊ย แต่ถ้าไม่ไปหาเลยเราว่าคุณอาทิตย์จะซึมเศร้า เราสับสนเหบือเกินค่ะ ทำไมแบบนี้อ่ะ ขอความกระจ่างให้เราเถอะค่ะะะะะ คุณอาทิตย์อย่าไปเรียกนะคะฮักเนี่ย อย่าาาา เดี๋ยวเสียเปรียบ สรุปเรื่องนี้คนอ่านมโนสุดค่ะ โอ๊ยยยยย 555555555555  :hao7:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-05-2016 20:06:04
เกิดอะไรขึ้นกับฟรีในอดีต? อยากให้อาทิตย์อัสดงดวงนี้งดงามและสดใส
อย่าปิดใจกับคุณฮักเลยนะ เขาออกจะใจง่ายหลงหนุ่มบล็อกเกอร์ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 01-05-2016 20:13:28
อีพี่ฮักกกกก! รู้สึกหมั่นขึ้นมาหน่อยๆ จะจีบพี่ฟรีแต่ก็คุยกับคนอื่นด้วยนี่มัน.. พี่ฟรีรู้เข้าก็คงไม่ปลื้มหรอกนะคะ  :m16: #ทีมพี่ฟรี
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-05-2016 20:17:20
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 13th Entry : ทางเลือก [1/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 02-05-2016 03:01:04
เลือกถูกแล้ว
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง [8/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 08-05-2016 19:42:36
14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง






กว่าจะออกมาจากโรงแรม ท้องนภาก็แปรเป็นสีแห่งสนธยาแล้ว ภันวัฒน์ได้ส่งฐานทัพแค่ครึ่งทาง เพราะเจ้าตัวออกปากว่าจะไปเที่ยวต่อ เมื่อได้ฟังเช่นนั้นชายซึ่งสูงวัยกว่าก็ได้แต่อ่อนใจ

ฐานทัพเป็นคนดื้อ ทั้งดื้อดึง ดึ้อด้าน และดื้อเงียบ

“อย่ากลับดึกมากนะ แล้วก็ระวังตัวด้วย”

ประโยคหลังกล่าวเตือนด้วยความจริงจัง ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีเสน่ห์มากแค่ไหน เขาได้ลิ้มลองจนติดใจและหลงใหลมาแล้ว แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้ดูมีจริตสาวสักกระผีก แต่ดวงตากลมโต ขนตางอนยาว รูปหน้ากลมเล็ก และสรีระที่บอกได้คำเดียวว่าเล็กกระชับมือ ก็ทำให้เหล่าเกย์ถูกใจเอาได้ง่ายๆ

“หวงเหรอ”

คนถูกเตือนเผยยิ้มร้าย กล่าวกระแซะให้คนฟังส่ายศีรษะเบาๆ อีกครั้ง ถึงกระนั้นก็พูดตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘ทั้งหวงทั้งห่วงเลยล่ะครับ’ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจให้แต้มบนหน้าของคนถามได้

“ดีๆ งั้นผมไปก่อนนะ”

ฐานทัพบอกอย่างชื่นมื่น ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ส่งยิ้มให้อีกหนึ่งครั้งและลงจากรถไป

ภันวัฒน์มองตามร่างแบบบางของนักศึกษาวัยยี่สิบหกจนร่างนั้นลับหายไปไกลแล้วจึงค่อยเคลื่อนรถออกไปจากจุดจอด

เวลาย่ำค่ำลงทุกที จุดหมายปลายทางจากที่คิดไว้ก่อนหน้านี้เข้มสีขึ้นเป็นภาพที่ชัดเจน รถยนต์สีเทาดำจึงเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางนั้นโดยไม่ต้องอาศัยการย้ำคิด หลังจากนั้นเพียงครึ่งชั่วโมงก็ได้มาหยุดล้อลงยังหน้าบ้านที่คุ้นเคย

แสงหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ส่องสว่างอยู่ภายในซึ่งเห็นได้ผ่านทางหน้าต่างทำให้คนที่มาเยือนโดยไม่บอกกล่าวใจชื้น แม้จะมั่นใจอยู่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่บ้าน แต่ก็เผื่อใจเอาไว้ว่าหากฝ่ายนั้นต้องทำงานจนกลับดึกเขาอาจจะมาเสียเที่ยวก็เป็นได้

กายกำยำลงมาเหยียบพื้นคอนกรีตที่หน้าประตูรั้วหลังดับเครื่องยนต์สนิท กดสัญญาณเรียกที่หน้าประตูอยู่สองสามครั้ง ประตูของตัวบ้านก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้านั้นที่เผลอเป็นต้องนึกถึง ก็รู้สึกว่าริมฝีปากกำลังยกขึ้นโดยอัตโนมัติ

หัวใจกำลังเต้นอย่างเริงร่าจนรู้สึกได้

ทว่า...

“ทำไมหน้ามุ่ยจังครับ”

อีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าตรงกันข้าม แม้จะไม่ได้ชัดเจนอย่างที่ตนเอ่ยทักออกไป แต่บนใบหน้าของอาทิตย์อัสดงก็ปรากฏริ้วรอยของความยุ่งยากใจ ทว่าสาเหตุไม่ใช่การมาเยือนของเขา ภันวัฒน์เชื่อเช่นนั้น เพราะเห็นว่ามันประทับอยู่บนดวงหน้าขาวตี๋ก่อนที่เจ้าตัวจะมาประจันหน้ากับเขาเสียอีก

“พอดีผมกำลังติดพันกับเรื่องบางอย่างอยู่น่ะ”

ได้ฟังเช่นนั้น หนุ่มร่างสูงสง่าพลันเลิกคิ้วขึ้นเ เสียงทุ้มที่สูงกว่าเล็กน้อยเอื้อนต่อ

“ว่าแต่คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ้อ” ภันวัฒน์ครางเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะจาระไน “พอดีผมเห็นว่าคุณอัพรีวิวในบล็อกแล้ว ก็เลยจะมาขอบคุณน่ะครับ เพราะผมโทรติดต่อคุณไม่ได้ ไลน์คุณก็ไม่อ่าน”

หลังสิ้นเสียงของปาติซิเย่หนุ่ม อาทิตย์อัสดงชะงักไปครู่สั้นๆ ก่อนจะปรับสีหน้าใหม่ให้ดูแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังติดแววกังวลอะไรบางอย่างอยู่ดี

“ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อมาถึงนี่เลยนี่ครับ เปลืองเวลา เปลืองค่าน้ำมันเปล่าๆ”

“งั้นถ้าผมบอกว่า...คิดถึง อยากเจอหน้าคุณล่ะครับ”

รอยยิ้มถูกยกขึ้นประดับบนหน้าภันวัฒน์ราวกับสวมหน้ากาก แต่หน้ากากนั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นมาด้วยความรู้สึกจากใจจริง มันจึงสาดเซาะในใจของคนฟังได้ไม่น้อย

ร่างโปร่งหลุบตาลงต่ำราวกับไม่กล้าเผชิญหน้ากันตรงๆ เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ขยับถอยห่างไปเล็กน้อย จากนั้นจึงค้อมตัวต่ำลงและเอียงตัวไปทางด้านข้างนิดหน่อย พลางช้อนสายตามองคนที่ก้มหน้าอยู่

“ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่ครับ”

สิ่งที่เผยให้เห็นบนหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มไม่ใช่สีหน้าเอียงอาย หรือว่าหมั่นไส้ หากแต่เป็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกคล้ายสะกดกลั้นอะไรสักอย่างอยู่เสียมากกว่า

มือหนาทั้งสองยื่นประคองพวงแก้มของคนที่กึ่งก้มหน้าให้แหงนขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง พร้อมยืดตัวกลับมายังตำแหน่งเดิม

“คุณ...”

เสียงแผ่วหวิวหลุดออกมาจากกลีบปากบางสีระเรื่อ มือเรียวยกขึ้นมาเพื่อดึงมือของอีกฝ่ายออก ภันวัฒน์ยิ้มน้อยๆ ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงสุขุม

“รู้ไหมครับ ยิ่งคุณปิดกั้นตัวเอง คุณก็ยิ่งทรมาน”

“ผมไม่ได้ทำแบบนั้นหรอกครับ”

ถ้อยคำที่เอ่ยเอื้อนแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่าเป็นคำแก้ตัว

“ถ้าไม่ได้ทำแบบนั้น คุณก็ต้องเผชิญหน้าผมเหมือนอย่างที่ผ่านมาสิครับ”

“.....”

“คุณน่ะ ยังไม่ต้องเปิดรับผมก็ได้ แต่แค่อย่าหลบซ่อน อย่าหลีกหนีจากผมก็พอ ผมไม่อยากให้คุณทำร้ายตัวเองหรอกนะ”

อาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกย้อนกลับมาเช่นนั้น เขาหลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเองอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้าอีกฝ่ายแบบไหน ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ มันถึงกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมา

เพราะภันวัฒน์บอกว่าจะจีบเขา

หรือเพราะเขารู้สึกตัวแล้วว่าผู้ชายคนนี้อันตราย

สภาพของอีกฝ่ายที่เห็น ทำให้ร่างสูงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก ถึงเขาจะพูดออกไปตามตรงว่าสนใจอาทิตย์อัสดง แต่ก็ไม่คิดจะบีบคั้นให้ตอบรับเขาในเวลานี้ เขายินดีค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีน้อย แล้วทุบทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่มาขวางทางเอาไว้ จนสุดท้ายไปถึงปลายทาง...หัวใจเปลือยเปล่าที่เจ้าตัวกอดเก็บมันเอาไว้อย่างหวงแหนและหวาดกลัว

“แล้ว...ที่ว่าคุณติดพันอะไรบางอย่างอยู่ นั่นเรื่องอะไรเหรอครับ เผื่อผมจะช่วยได้”

ท้ายที่สุดก็ต้องยอมละทิ้งความรู้สึกเมื่อครู่ไปก่อน เพราะดูเหมือนร่างโปร่งจะยังไม่พร้อมขยับเขยื้อนไปมากกว่านี้ ซึ่งมันก็ราวกับเส้นเชือกที่ทอดลงมาระหว่างที่อาทิตย์อัสดงกำลังจะก้าวพลัดตกเหว เจ้าตัวถึงได้คว้ามันเอาไว้โดยไม่ต้องตรึกตรอง

“ผมกำลังหาร้านเค้กเพื่อสั่งทำเค้กวันเกิดให้หลานชายวันมะรืนอยู่น่ะครับ เพราะว่าร้านประจำเขาปิดกิจการไปแล้ว ผมผิดเองแหละที่ดันชะล่าใจว่าไม่น่ามีปัญหา เลยไม่ได้สำรองร้านอื่นเอาไว้ แต่พอลองหาข้อมูลและโทรไปสอบถามแล้ว ไม่มีร้านไหนรับทำเค้กนมสดอย่างที่อยากได้เลย”

“เค้กนมสดเหรอครับ อืม... ส่วนมากถ้าไม่ใช่ร้านที่ขายอยู่ประจำก็ไม่ค่อยรับทำกันหรอกครับ ส่วนร้านที่รับทำก็จะทำตามรูปแบบสูตรของเขา”

ได้ยินคำชี้แนะจากมือโปรแล้วก็ยิ่งส่งผลให้คนฟังจิตใจห่อเหี่ยวลงไปอีก มันแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าอย่างชัดแจ้ง ภันวัฒน์จึงอดยื่นความช่วยเหลือให้ไม่ได้

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมแนะนำร้านให้”

“เอ๋ จริงเหรอครับ ร้านไหนเหรอครับ”

ฉับพลันที่ได้ฟัง ราวกับมีเม็ดทรายต้องแสงแดดส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาในใจที่ดำมืด ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น มันก็ถูกลมวูบใหญ่พัดหายไปอย่างรวดเร็ว

“ร้านผมไงครับ”

อาทิตย์อัสดงเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนเปล่งเสียงออกมา

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะลองหาร้านอื่นๆ ดู ต้องรบกวนคุณ...ผมเกรงใจ”

หางประโยคแผ่วลงเพราะรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายที่มีเจตนาดี แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะถอยห่างออกมา ไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับอีกฝ่ายมากไปกว่านี้

เขาจะทำอย่างแนบเนียนที่สุด

“แต่...เหลือเวลาอีกแค่สองวันเองนี่ครับ ไม่มีเวลาหาร้านหรอก ไม่เชื่อมือผมเหรอ”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสร้างความหนักใจให้คนฟังมากยิ่งขึ้น ร่างโปร่งหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิด เขากำลังลังเลว่าควรจะถอนตัวออกมาตอนนี้ หรือว่า...ผัดผ่อนไปก่อน เพราะในเวลานี้เขาเข้าตาจนจริงๆ

แล้วสุดท้าย...

“ก็ได้ครับ”

บล็อกเกอร์หนุ่มตอบอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ไม่ใช่เพราะอ่อนใจต่ออีกฝ่าย แต่อ่อนใจกับความอ่อนแอของตนเองต่างหาก

อีกสักครั้งก็ได้ แค่อีกครั้งเดียว แล้วเขาจะไม่ติดต่อภันวัฒน์อีก

“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยจดรายละเอียดให้ผมหน่อย ว่าต้องการแบบไหน แล้ววันมะรืน ช่วงประมาณหกโมงเย็น คุณมาที่ร้านผมนะ เดี๋ยวผมจะให้คุณแต่งหน้าเค้กเองด้วย”

รอยยิ้มยินดีและเต็มใจตามสไตล์นักบริการ แต่ดูจะจริงใจเป็นอย่างยิ่งกว่านั้นฉายออกมาจากดวงหน้าคมเข้ม พานให้คนได้เห็นต้องถอนหายใจกับตัวเอง และย้ำอีกครั้ง

แค่ครั้งเดียว... ครั้งเดียวจริงๆ





ตลอดทั้งวันของวันมะรืน ไม่รู้กี่ครั้งแล้วที่เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกมาจากชายหนุ่มซึ่งนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางเหมือนว่ากำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่แท้จริงแล้วมือที่กุมเมาส์อยู่กลับไม่ขยับสักนิด จนหญิงสาวโต๊ะข้างๆ อดจะเหล่มามองไม่ได้

“เป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย รู้สึกว่าพักนี้กูจะพูดประโยคแนวนี้อยู่บ่อยๆ นะ”

คล้ายว่าเป็นการบ่นกับตนเองเสียงมากกว่า เพราะว่าคนที่ตนพูดถึงเหมือนจะไม่ได้ยินใดๆ ทั้งสิ้น หนึ่งฤทัยจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบริมใบหู

“เลิกงานแล้วโว้ย”

เสียงดังพอดู จึงทำให้คนที่สติเหมือนจะหลุดลอยไปไกลสะดุ้งโหยง หันขวับมามองเพื่อนสนิทด้วยดวงตาเบิกกว้าง

“อะไรของมึงเนี่ย เสียงดังฉิบหาย”

“จ้ะๆ” หนึ่งฤทัยครางรับด้วยเสียงเอือมระอา ก่อนจะผ่อนเสียงออกมาด้วยน้ำหนักที่ต่างกัน “แล้วใครกันล่ะวะ ใจลอยไปถึงดาวพลูโต”

“ใครใจลอย”

“อู้ยย กูมั้งเนี่ย” เธอย้อนเสียงกวนประสาท จากนั้นเปลี่ยนหัวเรื่อง “ว่าแต่วันนี้วันเกิดน้องโฟล์คไม่ใช่เหรอ มึงไม่รีบกลับหรือไง จะห้าโมงครึ่งแล้วเนี่ย”

“ห้าโมงครึ่ง!”

เสียงร้องดังออกมาจนแทบต้องอุดหู อาทิตย์อัสดงตาเหลือกลาน หันไปมองนาฬิกาบนมอนิเตอร์ แล้วก็ได้รับข้อมูลตรงกับที่เพื่อนสาวบอกอย่างไม่ผิดเพี้ยน เสียงอุทาน ‘เวรแล้วไงๆ’ ดังอยู่เนืองๆ ขณะที่เจ้าของเสียงรีบปิดคอมพิวเตอร์อย่างเร็วรี่

“มึง กูไปแล้วนะ” พอกดปุ่มชัทดาวน์เครื่องปุ๊บก็รีบหันไปบอกเพื่อนที่ช่วยเตือน “ฝากปิดยูพีเอสด้วย”

จากนั้นก็คว้ากระเป๋าพร้อมแท็บเล็ตอย่างเร็วไว แล้ววิ่งแจ้นออกจากห้องทำงานทันทีโดยไม่หันหลังกลับมามองเพื่อนสักนิด ว่ากำลังมองตามด้วยสีหน้าเหลอหลาเพราะไม่ทันตั้งตัว

ขาเรียวก้าวกระโดดลงบันไดเร็วเท่าที่สามารถทำได้ ข้ามสองขั้นบ้าง สามขั้นบ้าง กระทั่งมาถึงชั้นล่างจนสำเร็จ ก่อนจะพุ่งทะยานไปยังรถยนต์สีขาว เตรียมพร้อมสตาร์ทเครื่อง แต่อนิจจาเครื่องยนต์กลับไม่ทำงานอย่างที่ใจคิด เหมือนที่เขาว่าไว้ ยิ่งรีบเร่งยิ่งมีปัญหา เหมือนทุกอย่างบนโลกพร้อมจะขัดขวางอย่างไรอย่างนั้น

“โธ่เว้ย อะไรวะเนี่ย ทำไมสตาร์ทไม่ติดเอาวันนี้”

ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เห็นว่าเข็มยาวผ่านเลขหกไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกร้อนรน เขานัดไปรับขนมเค้กตอนหกโมงเย็น แต่กว่าจะฝ่าการจราจรในตอนนี้ไป หกโมงครึ่งจะถึงหรือเปล่าเขายังต้องคิดดูก่อนเลย และยังมามีปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเสียอีก

อาทิตย์อัสดงรู้สึกอยากจะบ้าตายเสียเดี๋ยวนั้น เพราะนอกจากไม่อยากผิดนัดแล้ว ยังต้องกังวลเรื่องหลานชายคนเล็กด้วย เนื่องจากรายนั้นเพิ่งจะหกขวบ แถมคาดหวังกับเค้กวันเกิดมาก ด้วยเขามักซื้อมันจากร้านประจำไปให้ทุกปี ดังนั้นหากไม่มีเค้กวันเกิดที่เขานำไปให้ คงเป็นวันเกิดที่ไม่สมบูรณ์อย่างแน่นอน

ไม่รู้ว่าถ้าเขาไปสาย หลายชายจะมองตาละห้อยขนาดไหนเมื่อได้พบกัน

ในเมื่อไม่สามารถพึ่งพารถของตนเองได้แล้ว อาทิตย์อัสดงจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งออกไปจากอาณาบริเวณของบริษัทอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่ายหารถแท็กซี่สักคัน แต่ฟ้าก็ไม่เป็นใจเอาเสียเลย ครั้นเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็ต้องผิดหวังอีก

“โอ๊ย ทำไงดีวะเนี่ย ทำไมพอรีบแล้วเป็นงี้ทุกทีเลยวะ”

ชายหนุ่มพร่ำบ่นกับตนเองเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว ยิ่งดูนาฬิกาก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจ คิดว่าจะวิ่งไปเพื่อหารถในสถานที่ที่มีรถพลุกพล่านกว่านี้ แต่ก็เกรงว่าสภาพตนเองยามไปถึงบ้านของพี่สาวจะดูน่าอนาถเกินไป สุดท้ายจึงต้องตัดใจ ได้แต่พยายามทำใจสงบมองหารถสาธารณะอยู่เช่นนั้น

ปรี๊น

เหมือนสวรรค์โปรดหรืออย่างไร อยู่ๆ รถคันหนึ่งแล่นออกมานอกบริษัท เมื่อหันไปดูก็พลันนึกได้ ว่าเหตุใดตนจึงไม่ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสาว คงเพราะร้อนใจจนมืดแปดด้านกระมัง แต่มาคิดได้ตอนนี้คงสายไปเสียแล้ว

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ ฟรี”

เจ้าของรถสีบรอนซ์ที่บีบแตรเมื่อครู่โผล่หน้าจากหน้าต่างมาถาม

“ผมหาแท็กซี่อยู่ครับ พี่เต็ม พอดีรถเสีย”

“อ้าวเหรอ จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“เอ่อ...”

รู้สึกเกรงใจอยู่หรอก แต่หากปฏิเสธตอนนี้จะกลายเป็นการกระทำโง่ๆ เสียเปล่าๆ อาทิตย์อัสดงจึงสาวเท้าตรงไปยังรถของตะวัน เปิดประตูแล้วหย่อนก้นนั่ง ตามด้วยคาดเข็มขัดนิรภัยโดยไม่อิดออด

“ผมจะไปร้านเค้กน่ะพี่ พอดีนัดรับเค้กวันเกิดของหลานชายเอาไว้”

“อ๋อ งั้นบอกทางแล้วกัน เดี๋ยวพี่บริการส่งถึงร้านเลย”

ตะวันตอบด้วยรอยยิ้มเต็มใจ ก่อนจะเคลื่อนรถออกไป เมื่อเป็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความกังวลเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งนั่นก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เป็นสารถีชัดเจนยิ่งขึ้น

การแลกเปลี่ยนบทสนาดำเนินไปเรื่อยๆ ดังบ้างหยุดบ้างระหว่างผ่านการจราจรที่ไหลตามอัตภาพของช่วงเวลาเลิกงาน

“ฟรีรู้เรื่องเอาท์ติ้งแล้วใช่หรือเปล่า”

“ครับ ไปทะเลอีกเหมือนเดิมเลย”

แม้จะพูดเหมือนบ่นอยู่กลายๆ ทว่าก็ไม่ได้รังเกียจที่จะไปแต่อย่างใด เพราะมันเปรียบเสมือนของขวัญสำหรับพนักงานกินเงินเดือนที่ได้ไปพักผ่อนโดยทิ้งเรื่องงานเอาไว้เบื้องหลัง และที่สำคัญ...ได้ไปฟรี เพราะบริษัทออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แบบนี้ควรจะบอกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

“ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นกลางที่สุดแล้ว ใครไปก็ได้ ไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าไปน้ำตกหรือภูเขา บางคนก็ปีนขึ้นไม่ไหว บางคนก็ไม่ชอบเดินป่า จะยุ่งยากเสียเปล่าๆ”

ตะวันตอบพลางหันมามองหน้าคู่สนทนาชั่วแวบหนึ่ง ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถึงรู้สึกว่ามันน่าเบื่อไปหน่อยก็ตามที่ไม่ได้ลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ แต่ก็ยังดีที่มีการเวียนสถานที่ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าไปที่เดิมซ้ำๆ กัน

หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็ย่นระยะเข้าสู่จุดหมายปลายทาง อาทิตย์อัสดงสามารถเดินทางมาถึง ‘ห้องนั่งเล่น’ ได้ แม้จะสายกว่าที่นัดเจ้าของร้านไว้สิบห้านาที เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกพลางหันไปกล่าวขอบคุณคนที่มีน้ำใจมาส่งด้วยความรู้สึกติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวง

“ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่เจอพี่ ผมต้องมาสายกว่านี้แน่”

“ไม่เป็นไรหรอก คนรู้จักมักจี่กัน จะไม่ช่วยเหลือกันได้ยังไง”

ตะวันแจงด้วยรอยยิ้ม เขาเต็มใจมากด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้อง ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็อดขอบคุณซ้ำไม่ได้

“แต่ก็ต้องขอบคุณมากๆ อยู่ดีแหละครับ ถ้างั้นเดี๋ยวผมลงไปเอาเค้กก่อนนะครับ ไม่งั้นจะสายมากกว่านี้”

พูดจบ อาทิตย์อัสดงทำท่าจะเปิดประตูรถและก้าวลงไปทันที ทว่ากลับต้องหยุดการกระทำของตนลงก่อนเพราะเสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัย

“เอ้อ แล้วจะให้พี่รอหรือเปล่า เอาเค้กเสร็จต้องไปบ้านต่อใช่ไหมล่ะ”

“อ๋อ” หนุ่มหน้าตี๋ครางเสียงยาว “ไม่ต้องหรอกครับ ผมคงอยู่ที่ร้านนี่สักพักด้วย เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปเองครับ”

“เอาอย่างนั้นเหรอ ถ้าสักครึ่งชั่วโมง พี่ไม่มีปัญหานะ”

“จะรบกวนพี่เปล่าๆ เพราะผมไม่รู้ว่าเค้กจะเสร็จเมื่อไรด้วย”

คำตอบนั้นทำให้คนฟังประหลาดใจไม่น้อย เพราะรุ่นน้องบอกว่ามารับเค้ก แต่ในตอนนี้กลับตอบสิ่งที่ย้อนแย้งกัน

“เค้กยังไม่เสร็จเหรอ”

“เอ่อ...” เมื่อถูกถาม อาทิตย์อัสดงก็ตอบไม่ถูก พยายามควานหาคำตอบจากคลังคำพูดที่มีอยู่ก่อนจะเอ่ยเสียงไม่ให้ประโยคที่ประกอบขึ้นมาดูแปลกประหลาดนักสำหรับคนฟัง “พอดีผมขอเขาเขียนหน้าเค้กเองด้วยน่ะครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ตะวันก็ครางเสียงยาวเหมือนกับเข้าใจ ถึงกระนั้นก็ยังย้อนคำถามเดิมอีกรอบ

“ให้พี่รอก็ได้นะ คงไม่นานขนาดนั้นหรอก”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

เพราะแค่นี้ก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียเวลามากแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มตอบกลับไปด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด เพราะถึงจะคุ้นเคยกับตะวันในระดับหนึ่ง แต่การรบกวนรุ่นพี่มากๆ คงไม่ดี

“ก็ได้ๆ ถ้ามันทำให้ฟรีลำบากใจ พี่ขอโทษด้วยนะ”

ราวกับจะบีบเค้นไล่บี้กันทางคำพูด เพราะแม้สีหน้าของตะวันจะนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงออกมาว่าไม่พอใจที่เขาไม่ยอมรับน้ำใจ แต่น้ำเสียงก็แววแฝงอยู่เล็กน้อย ทำให้อาทิตย์อัสดงยิ่งรู้สึกยุ่งยากใจมากขึ้นไปอีก

“ขอโทษจริงๆ ครับ พี่ไม่ได้ทำให้ผมลำบากใจหรอก แต่ผมไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไรจริงๆ ผมไม่อยากรบกวนพี่ ผมเกรงใจครับ แค่พี่มาส่ง ผมก็ขอบคุณมากๆ แล้ว”

“โอเคครับ พี่จะกลับก่อน แต่พี่ไม่ได้ทำให้ฟรีลำบากใจแน่นะ”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

คำตอบสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มที่พยายามสยายให้กว้างกว่าครั้งไหนๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะคิดมากเกินไป ซึ่งมันก็ทำให้ตะวันยอมลดความตั้งใจของตนเองลง

เมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของคนอาวุโสกว่าแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงผงกหัวก่อนก้าวลงมาจากรถ ปิดประตูอย่างเบามือและโค้งศีรษะให้อย่างมีมารยาทอีกครั้ง พลางมองส่งรถของตะวันจนห่างไปเกือบสุดสายตา ถึงค่อยก้าวล่วงเข้าประตูร้านมา

“ผมมาพบเจ้าของร้านครับ”

นับว่าเป็นเรื่องดีก็ได้กระมังที่เวลานี้คนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ไม่ใช่หญิงสาวที่คุ้นหน้า แต่เป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง อาทิตย์อัสดงจึงไม่ต้องรับสายตาครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างจากเธอ

มันจะไม่น่าคิดมากหรอก ถ้าเขาไม่ได้มานั่งรอในวันนั้น...

รู้สึกว่าตนทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงอย่างไรไม่รู้

“สักครู่นะครับ”

เป็นหนึ่ง พนักงานชายซึ่งประจำเคาน์เตอร์ในวันนี้แทนจุ๊บแจงแจ้ง ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อไปยังชั้นบน ได้ยินเสียงตอบรับ ‘ครับ ทราบแล้วครับ’ ของเด็กหนุ่ม จากนั้นเจ้าตัวก็วางหูลงและหันมาบอก

“เดี๋ยวคุณขึ้นไปชั้นสามได้เลยครับ”

“อ้อ ขอบคุณครับ”

ร่างโปร่งครางเสียงตอบพร้อมพยักหน้าน้อยๆ เดินไปตามทางที่พนักงานหนุ่มผายมือให้ รู้สึกประหม่านิดหน่อยที่ต้องเดินฝ่าฝูงชนในร้าน ถึงจะรู้ว่าชั้นสองของร้านก็เป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า แต่เมื่อต้องเดินผ่ากลางร้านเพื่อขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ แม้ลูกค้าจะไม่ได้มากเท่าวันหยุดที่เขาเคยมาครั้งก่อนก็ตาม

“สวัสดีครับ”

เมื่อเหยียบย่างมาสู่ชั้นที่เป็นอาณาเขตพิเศษ บล็อกเกอร์หนุ่มก็เอ่ยทักทายผู้ที่อยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว เห็นภันวัฒน์กำลังยกอะไรบางอย่างออกมาจากตู้แช่เย็นพอดีจึงรีบสืบเท้าเข้าไปหา เพราะคะเนได้ว่านั่นคงเป็นเค้กที่เขาสั่งทำไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมมาช้า”

“ไม่หรอกครับ รถคงติดใช่ไหมครับ”

ภันวัฒน์ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนและสวมผ้ากันเปื้อนทับ วันนี้ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มเย็นสบายที่ส่งให้ทำให้ความรุ่มร้อนในใจของอาทิตย์อัสดงซึ่งกรุ่นอยู่ในอกก่อนหน้านี้คลายลง

นี่อาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาเริ่มจะรู้สึกไม่ชอบในตัวภันวัฒน์ก็เป็นได้

รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายแบบนั้น ไม่ชอบเอาเสียเลย

“ผมออกมาช้าด้วยแหละครับ แถมรถดันสตาร์ทไม่ติดอีก ไม่อยากจะเรียกวันซวยเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นวันเกิดของหลานผม”

“แย่จังนะครับ แล้วนี่คุณมายังไง แท็กซี่เหรอ”

“อ้อ พี่ที่บริษัทมาส่งน่ะครับ พอดีเจอกันระหว่างผมรอแท็กซี่”

ภันวัฒน์ครางตอบเสียง ‘อ๋อ’ ตอบประโยคนั้น ก่อนจะเข้าเรื่อง

“ผมทำเค้กตามที่คุณขอทุกอย่างเลย ว่าแต่คุณจะแต่งหน้าเค้กแบบไหนดี”

นอกจากหยิบเค้กขนาดสามปอนด์ออกมาจากตู้แช่แล้ว ร่างสูงยังหยิบวัตถุดิบออกมาวางบนเคาน์เตอร์เสียจนมากมาย ทั้งผลเชอร์รี่แดงอวบปลั่ง สตรอเบอร์รี่ลูกโต เรนโบว์สีสันสดใส แผ่นช็อกโกแลต ครีมแต่งหน้าเค้กสำหรับเขียนข้อความหลากหลายสี และยังมีอื่นๆ อีกจิปาถะ

“งั้นเอาอันนี้แล้วกันครับ”

อาทิตย์อัสดงหยิบแผ่นน้ำตาลรูปสัตว์หน้าตาน่ารักสีสันสวยงามขึ้นมา

“เขียนข้อความไหมครับ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

ภันวัฒน์เหลือวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ไว้ที่เคาน์เตอร์เช่นเดิม พลางหยิบของอื่นๆ กลับเข้าตู้แช่เพื่อรักษาอายุของมัน แต่กระนั้นก็ยังเผื่อเชอร์รี่เอาไว้อีกห้าลูกและสตรอเบอร์รี่ลูกโตอีกหนึ่ง

“ผมว่าเอาสตรอเบอร์รี่วางตรงกลาง แล้วก็เอาเชอร์รี่แต่งรอบๆ ส่วนน้ำตาลแผ่นประดับสักสองสามตัวก็พอครับ กินน้ำตาลมากๆ จะไม่ดีนะครับ ถึงจะเป็นเด็กๆ ก็เถอะ”

เหมือนว่าจะเป็นจุดด่างในความทรงจำอย่างหนึ่งของคนพูด และมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงอดจะยิ้มแหยออกมาไม่ได้ เขาครางเสียงเบาๆ ‘ขอโทษนะครับ’ ก่อนหยิบผลไม้วางลงยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายเสนอ และปิดท้ายด้วยน้ำตาลแผ่นรูปสัตว์จำนวนสามตัวตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอก

“เอ่อ... แล้วเขียนข้อความนี่...”

“ไหนๆ คุณก็แต่งหน้าเค้กเองแล้ว ลองเขียนเองดูดีไหมครับ”

ได้ยินข้อเสนอ ร่างโปร่งก็กวาดตามองไปยังครีมแต่งหน้าเค้กหลากสีสัน ดูเหมือนมันจะพร้อมใช้งานแล้ว

“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง คุณเขียนให้ผมได้ไหม”

“ผมว่าคุณเขียนเองดีกว่านะ จะได้ไปอวดหลานคุณด้วยไง ว่าคุณเป็นคนเขียนให้เอง ผมว่าน่าภูมิใจออกนะ ทั้งตัวคุณและหลานคุณด้วย เขาต้องปลื้มมากแน่ๆ”

เพียงได้ฟังก็พานให้นึกหน้าหลานชายคนเล็กของตนออกแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกมีลูกฮึดขึ้นมา

“ก็ได้ครับ”

มือเรียวยื่นไปหาครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก จับมันมาถือไว้ให้มั่น ตามด้วยจรดลงไปเหนือผิวหน้าเค้กสีขาวเล็กน้อย ออกแรงบีบให้เนื้อครีมสีฟ้าค่อยๆ ผุดออกมา ทว่า...

ฝ่ามือที่ประกบทาบลงมาบนหลังมือ และความอุ่นของอะไรบางอย่างซึ่งแนบเข้ามาชิดแผ่นหลังกลับทำให้ต้องสะดุ้งโหยง








-----------------------
ต่อตอนหน้าจ้า

จะถึงร้อยแล้ว  :katai2-1:

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง [8/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 08-05-2016 20:09:55
ไม่ไว้ใจฮักซักเท่าไหร่ แต่ก็เอาใจช่วยนะ

ชอบจังเวลาอ่านเรื่องที่นายเอกระวังตัวแบบนี้
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง [8/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 08-05-2016 22:54:32
เราเริ่มสับสนแล้วค่ะ ทำยังไงดี ฮืออออออ ที่แน่ๆเราไม่ชอบคุณภัน อันนี้จริงจัง กับน้องฐานทัพนี่ก็ตัดกันไม่ขาดนะคะ ดูมีเยื่อใยมากกว่าคนรู้จักหรือแฟนเก่า แล้วคุณภันก็บอกเองว่าน่าหลงใหล ดังนั้นคนนี้เรายังไม่ให้ผ่านค่ะ เกลียดดดดด ถ้ายังลืมคนเกาไม่ได้แล้วจะไปจีบคนใหม่ทำไมมมม คิดสิคะว่าถ้าคุณอาทิตย์รู้เข้าจะเสียใจไหม ฮะะะะะ คิดสิคะ!!!!!! โมโห ฮือออ แต่คุณรุ่นพี่นี่เราก็ไม่เอาอ่ะค่ะ ดูแกเป็นคนแปลกๆ แล้วคุณอาทิตย์ก็ดูอึดอัดด้วย คนนี้เราก็ไม่โอเค แล้วสรุปใครควรคู่กับคุณอาทิตย์คะ? เราเอง 55555555555 พูดเล่นค่ะ แต่คุณอาทิตย์คะ ถ้าเราจะถอยห่างแล้วก็อย่าผลัดวันไปเรื่อยค่ะ เราต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ค่ะ! จบเรื่องเค้กนี่ย้ายบ้านหนีเลยดีไหมคะ บ้านเรายังมีห้องว่าง (นี่ก็เต๊าะตลอด 5555555555) เอาจริงๆนะคะ ความจริงจากใจ เราเชียร์คุณภันค่ะ แต่เราโมโหกับการกระทำของแก เราไม่เข้าใจจจจจ กับแฟนเก่าจะอะไรขนาดนั้นคะะะ ไปเลยค่ะ ถ้ายังรักเขาก็อย่ามาหาคุณอาทิตย์ อย่าคิดว่าคุณอาทิตย์ไม่ได้สนตัวเองเลยไปกับคนอื่นได้ บริสุทธิ์ใจ มันไม่ใช่อ่ะเธอ ถ้าจะเริ่มจีบเขาก็ควรเคลียร์ตัวเองก่อนค่ะ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไป! (ประโยคนี้ย้ำหลายรอบจัง แงงงง) แต่เราจริงจังนะคะ เราอึดอัดอ่ะค่ะ ยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด อยากให้มันชัดเจนแล้วววววว ไม่เอารุ่นพี่คนนั้นนะคะ เรารำคาญ ฮืออออ ทำไมเรื่องมากแบบนี้ 55555555 รอคอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะคะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง [8/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-05-2016 23:42:22
ตบเข่าดังฉาด!

ฉันว่าแล้ว! งานเขียนหน้าเค้กนี่ต้องมาพร้อมงานจับมือเขียน

มันดีงาม

คุณฮักคะ กรุณาเคลียร์เรื่องน้องฐานทัพด่วน ๆ
จะจีบคุณฟรีต้องมาใส ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 14th Entry : ผัดวันประกันพรุ่ง [8/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: THiiCHA ที่ 09-05-2016 00:14:32
งื้อออ ตัดฉับได้ค้างงงงงง มาก !!!! 
มาต่อเลยนะ
จะงอลแล้วนะ T^T   
ปล. หนีอะไรก็หนีไป หนีใจตัวเองจะได้เร้ออออ 
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 15th Entry : ฝนตั้งเค้า [21/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-05-2016 18:33:22
15th Entry : ฝนตั้งเค้า






“จับแบบนี้ครับ”

เสียงทุ้มที่กระซิบนั้นใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนของสายลม มันกระทบเข้ากับใบหู อาทิตย์อัสดงหันหน้ากลับไปอย่างเร็วพลันตามสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่กลับกลายเป็นต้องเผชิญกับอันตรายที่มากกว่า เพราะใบหน้าคมคายสีน้ำผึ้งอยู่ใกล้มากเหลือเกิน

ใกล้เสียจนปลายจมูกแทบชนกัน...

“เอ่อ... คุณ”

สิ่งที่หลุดลอดออกจากปากกาของบล็อกเกอร์หนุ่มหน้าตี๋มีเพียงความแผ่วเบาทั้งนั้น มันเบาเสียยิ่งกว่ากระดาษแผ่นบางๆ เสียอีก และมันก็เปราะบางปลิวไปตามกระแสลมได้ง่ายราวกับหล่นลงมาจากตึกสูง นัยน์ตาสีชาจับจ้องดวงตาสีเดียวกับรัตติกาลไร้ดาวราวกับมีใครมาทากาวให้มันแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ไม่สามารถปิดเปลือกตาลงมาได้

ฉับพลันนั้นรอยยิ้มผลิบานบนดวงหน้าหล่อเหลาได้รูป ร่างโปร่งสัมผัสถึงมันได้ผ่านดวงตาของอีกฝ่ายทั้งที่อยู่ในระยะที่ใกล้เกินไปจนไม่อาจเห็นได้ และมันก็ทำให้เสียงอะไรบางอย่างดังก้องมาจากที่ที่อยู่ลึกลงไปในร่างกาย มันกังวานจนหาตำแหน่งที่มาที่แน่นอนไม่ได้

“คุณจับเหมือนจับปากกาแบบนั้น จะไม่มีแรงบีบครีมเอานะครับ แล้วตัวหนังสือก็จะออกมาไม่สวยด้วย”

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่อาทิตย์อัสสดงกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังนุ่มกว่าที่ผ่านมา เขาตั้งสติแล้วผละตัวให้ห่างออกมาเล็กน้อย แต่ก็ได้ระยะแค่เศษเสี้ยวของความคิดเท่านั้น เพราะว่าร่างชิดกับเคาน์เตอร์เสียแล้ว

“เอ่อ ถอยไปหน่อยได้ไหมครับ”

เพราะไม่มีหนทางอื่น ร่างโปร่งจึงต้องออกปากเองด้วยสีหน้าลำบากใจ ภันวัฒน์แสดงความเห็นใจด้วยการขยับตัวห่างอีกนิด พอให้อีกคนหายใจได้คล่องขึ้น ถึงกระนั้นหน่วยตาคมกริบก็ยังจดจ้องที่เรียวหน้าขาวกระจ่าง

“จับแบบนี้ถูกไหมครับ”

เกรงว่าจะก่อให้เกิดมวลอากาศลงมากทับร่างของตนไปมากกว่านี้ บล็อกเกอร์หนุ่มจึงเค้นเสียงออกมาอีกครั้ง พร้อมทั้งเปลี่ยนวิธีจับห่อครีมสีฟ้าที่อยู่ในมือเสียใหม่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถูกวิธีอยู่ดี มือหยาบใหญ่ทั้งสองข้างจึงเลื่อนมาจับภันวัฒน์จับปลายห่อพลาสติกที่อยู่ต่ำกว่ามือของผู้ไร้ประสบการณ์ด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งจับมือเรียวบางกว่าให้ย้ายที จากการกำเนื้อครีมเต็มๆ มือเลื่อนไปยังตำแหน่งที่สูงกว่านั้น ให้เนื้อครีมสีฟ้านั่นอยู่ใต้สันมือที่กำไว้

“ถ้าจับแบบนั้น ตอนบีบ ครีมคงพุ่งใส่หน้าคุณหมดแน่”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าช่างน่าขายหน้าเหลือเกินเมื่อได้ยินคำชี้แจง ได้แต่อ้อมแอ้มพูดไม่เต็มเสียงนัก พลางก้มหน้าไปด้วย

“ขอบคุณครับ”

จากนั้นบิดลำตัวที่เผชิญอยู่กับอีกฝ่ายกึ่งหนึ่งให้หันกลับมาขนานกับเคาน์เตอร์อีกครั้ง และเริ่มเขียนตัวอักษรที่ต้องการลงบนหน้าเค้กอย่างระมัดระวัง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก ตัวหนังสือบดเบี้ยวคดเคี้ยวไม่ต่างจากเด็กอนุบาล พานให้ผู้ชำนาญการถึงกับอมยิ้มขำ

“ผมช่วยไหม”

“ก็ดีนะครับ”

ร่างโปร่งได้พบปะความน่าอายของตนอีกอย่างหนึ่งบนพื้นสีขาวนั้นแล้วก็ต้องตอบรับคำเสนออย่างเลี่ยงไม่ได้ เขากำลังจะหันตัวและส่งของในมือให้ ทว่าก็ถูกร่างใหญ่กว่าประกบเข้ามาชิดใกล้อีกครั้ง และมันก็เป็นการอุปาทานไปเองอย่างชัดแจ้งว่ารับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย

“คือ... คุณเอาไปเขียนดีกว่าครับ”

“คุณเขียนแหละดีแล้วครับ จะได้เป็นลายมือของคุณ”

ทั้งที่หาทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้แล้ว แต่ทางออกกลับถูกคนที่เอาแผ่นอกหนาแกร่งมาพิงแนบบนหลังโปกปูนปิดทับจนไม่สามารถหลบลี้ไปได้

“แต่ว่า...”

“เขียนเถอะครับ เดี๋ยวเสร็จช้า หลานชายคุณจะรอนานนะ”

เหมือนการเอาหลานมาอ้างชัดๆ

ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ยอมผ่อนลมหายใจออกมาอย่างจำยอม ยกมือที่กำถุงบีบครีมออกมาตรงหน้าอีกครา ซึ่งก็มีมือหนาเข้ามาปิดทับที่หลังมือและช่วยประคับประคองมันไว้ ขณะที่อีกมือของร่างใหญ่ยื่นมาเท้าเคาน์เตอร์ไว้ราวกับจะกักขังเขาไว้อยู่ในกรงมนุษย์ที่ชื่อภันวัฒน์

ไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไรดี

ร่างโปร่งรู้สึกร้อนวูบๆ ที่หน้าและเหมือนมีรถไฟขบวนใหญ่มาวิ่งวนเสียงดังกึงกังอยู่ในอกจนสนั่นหวั่นไหว ได้แต่บอกตนเองว่าจดจ่ออยู่ที่เค้กซะ ทำให้เสร็จเร็วๆ จะได้พ้นไปจากสภาพนี้เสียที แต่สติที่เฝ้าเพ่งจดจ้องก็มีอันต้องหลุดเป็นพักๆ เมื่อลมร้อนจากคนที่ซ้อนตัวอยู่ด้านหลังพ่นผ่านใบหู

“หลานชายคุณกี่ขวบแล้วครับ”

ทั้งที่เฝ้าอธิษฐานอยู่ในใจให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปอย่างเงียบๆ โดยเร็วที่สุด ทว่าเสียงที่ดังมาจากข้างหูในระยะประชิดก็ทำลายความปรารถนานั้นลงอย่างราบคาบ อาทิตย์อัสดงได้แต่สะกดกลั้นความรู้สึกที่แล่นวูบขึ้นมาที่หูเพราะลมร้อนที่รู้สึกได้และน้ำเสียงนุ่มๆ จากอีกฝ่าย ก่อนจะตอบออกไปโดยระวังเพื่อให้ดูว่าตนเป็นปกติดี

“หกขวบครับ”

แต่ช่างน่าสังเวชที่เสียงตอบนั้นกลับกระท่อนกระแท่นตรงข้ามกับความตั้งใจอันแรงกล้า เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงภาวนาว่าขอให้มันเป็นบทสนทนาสุดท้าย

ทว่ามันก็ไม่เป็นจริง

“หลานคนเดียวเหรอครับ”

“หลานคนเล็ก...ครับ”

จะลอยไปถึงหูของอีกฝ่ายไหม

เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของเจ้าตัวคนพูด อาทิตย์อัสดงปฏิเสธไม่ได้ว่าตนคิดเช่นนั้นจริงๆ ยามตอบคำถาม

“แสดงว่าพี่คุณกับคุณอายุต่างกันเยอะเหรอครับ”

“ครับ ...ต่างกันสิบหกปี”

“เยอะจังนะครับ”

“ครับ”

ไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว บล็อกเกอร์หนุ่มพยายามสูดลมหายใจให้ลึก สงวนคำพูดของตนเองให้ได้มากที่สุด เพราะเกรงว่าหากส่งเสียงอะไรมากไปกว่านี้ จะยิ่งกลายเป็นการแฉตัวเองว่ากำลังรู้สึกสั่นสะท้านเพียงใด

ดุจสายลมต้นพายุพัดโหมผ่านกิ่งไม้ผอมชะลูดจนเอนโยก

หัวใจก็เต้นระส่ำแทบทะลุ จนกลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงมันได้

ร้อนไปหมดทั้งมือ หู และแผ่นหลัง ราวกับถูกเตาที่ไฟกำลังลุกโหมอิงอยู่จนเหงื่อแตกซ่าน เฉอะแฉะอย่างน่ารำคาญ

“เสร็จแล้วครับ”

กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาอันยาวนานนี้ อาทิตย์อัสดงไม่แน่ใจว่าตนหยุดหายใจไปแล้วกี่รอบ เขารีบบอกเมื่อเขียนตัวหนังสือสุดท้ายเสร็จ ตั้งสมาธิกับตนเองว่าจะไม่ยอมหันไปทางด้านหลังเด็ดขาดจนกว่าจะรู้สึกว่าน้ำหนักที่ทิ้งทับลงมาหายไป

“ยินดีด้วยครับ”

ดูเหมือนว่าภันวัฒน์จะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายเท่าไร จึงยอมถอยห่างออกมาอย่างไม่อิดออด ดวงหน้าคมคร้ามเผยยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน จนอาทิตย์อัสดงที่จะหันไปขอบคุณต้องปะทะกับรอยยิ้มนั้นเต็มๆ ซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกวูบเหมือนลมหนาวพัดเข้ามาอย่างจัง

ทั้งที่แผ่นหลังยังรู้สึกร้อนชื้นอยู่แท้ๆ

“...ขอบคุณครับ”

สุดท้ายก็เค้นเสียงที่ตกลงไปอยู่ที่ปลายเท้าขึ้นมาได้ ร่างโปร่งหันกลับมายังเค้กที่ตกแต่งเสร็จเรียบร้อยด้วยฝีมือตนเองเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าที่อันตรายนัก

“แล้วนี่ผมจะเอาไปยังไงดีครับ”

เพราะกลัวว่าความเงียบจะทำให้บรรยากาศแปลกๆ เกิดขึ้น บล็อกเกอร์หนุ่มจึงสร้างประโยคคำถาม ซึ่งคำตอบก็ดังมาอย่างง่ายดาย

“ผมเตรียมกล่องกับน้ำแข็งแห้งไว้ให้แล้วครับ”

หลังคำพูดของนั้น ภันวัฒน์ก็เริ่มเคลื่อนย้ายตัว ไปหยิบอุปกรณ์ที่บอกไว้มาให้ เขาประกอบกล่องกระดาษขึ้น ก่อนจะนำเค้กวางลงไป จากนั้นหยิบกระติกชนิดพิเศษซึ่งทำจากสแตนเลสมา เปิดมันออกและหยิบห่อกระดาษอะไรบางอย่างขึ้นมา

เมื่อเขาคลายกระดาษออกพร้อมหย่อนใส่มุมของกล่องเค้กจึงรู้ว่าเป็นน้ำแข็งแห้ง

“อยู่ได้สองสามชั่วโมงครับ แต่คิดว่าเค้กคงไปถึงก่อนหน้านั้นได้”

“อะ... ขอบคุณครับ ค่าเค้กเท่าไรเหรอครับ”

“ฟรีครับ”

“ครับ?”

หนุ่มหน้าตี๋ทำหน้าเหลอหลาขานเสียงกลับไปว่าอีกฝ่ายเรียกทำไม และดูเหมือนคนเห็นจะเข้าใจได้จึงผุดยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า

“เปล่าครับ ไม่ได้เรียกชื่อคุณ แต่หมายถึงค่าเค้กนี่ฟรีครับ ผมไม่คิดเงิน”

รู้สึกถึงความน่าอับอายจนไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหนดี เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายต่ออยู่ชั่วครู่ทีเดียวหลังได้ยินคำอธิบาย ทว่าสุดท้ายก็สวนเสียงกลับไปได้เพราะเนื้อหาของประโยคเมื่อครู่

“จะให้ฟรีได้ยังไงกันครับ ของซื้อของขาย”

“ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดหลานชายคุณจากผมแล้วกันครับ”

“แต่ว่า...”

อาทิตย์อัสดงพยายามจะเถียงต่อ แต่ก็ถูกอุดปากด้วยภาพร่างสูงตรงหน้าเอาสันนิ้วชี้แตะที่ปากของเจ้าตัวเอาไว้เป็นสัญญาณให้เขาห้ามพูดต่อ

“มีคนมอบของขวัญให้หลานชาย คุณควรจะยินดีรับมันไว้นะครับ”

คล้ายกับถูกบอกว่า ‘เป็นของที่ให้หลานชายต่างหาก น้าชายไม่ควรถือวิสาสะปฏิเสธ’ อย่างไรอย่างนั้น บล็อกเกอร์หนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากรับคำ

“ก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ ทั้งทำเค้กให้แล้วยังให้ฟรีอีก”

เป็นน้ำใจที่เหลือคณาในสถานการณ์ที่เขากำลังเดือดร้อนจริงๆ แต่หากนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย เขาคงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ไม่อยากติดหนี้บุญคุณ ไม่อยากมีอะไรให้ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันอีก

ไม่อยากติดค้างจนไม่สามารถถอยห่างอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจ

“ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี งั้นทำอาหารให้ผมกินสักมื้อสิครับ ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือคุณอยู่นะ”

คล้ายกับอ่านใจกันได้ ปาติซิเย่หนุ่มจึงแทรกเสียงออกมาอีกคราว ซึ่งมันก็ทำให้อาทิตย์อัสดงอดรู้สึกไม่ได้ว่าราวกับมีหนามแหลมขนาดใหญ่ทิ่มลงบนหัวใจ จนปั้นหน้าไม่ถูก

“ผมเห็นคุณทำหน้ายุ่งยากอยู่น่ะ คงรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณผมใช่ไหมล่ะ”

“ก็ได้ครับ”

จะได้จบๆ กันไปอย่างไม่มีอะไรกวนใจอีก อาทิตย์อัสดงตัดสินใจเช่นนั้นพลางรับกล่องเค้กที่ภันวัฒน์ใส่ถุงหูหิ้วแล้วมาให้ กำลังจะล่ำลาอีกฝ่ายอยู่แล้วเชียว แต่เสียงทุ้มก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

“ว่าแต่คุณจะไปยังไงล่ะครับ รถเสียไม่ใช่เหรอ”

ได้ยินดังนั้นร่างโปร่งก็แทบละล่ำละลักตอบไป

“ผมไปแท็กซี่ครับ”

“เอ ถ้างั้นผมไปส่งแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับ” ร่างสูงฉีกยิ้มให้เหมือนจะปัดเป่าความกังวลให้หายไป “ผมคิดค่าบริการเป็นอาหารที่คุณจะทำให้ผมกินแล้วไง นะ”

คำลงท้ายนั้นไม่เหมือนกับการสอบถาม แต่เป็นดั่งการบังคับกลายๆ เสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้เสียงที่นุ่มนวลเพียงใด แต่อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกเช่นนั้น

เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา รับรู้ถึงการจนตรอกของตนเอง

หันไปทางไหนก็เจอแต่กำแพง

“ก็ได้ครับ รบกวนด้วยนะครับ”

ภันวัฒน์ขยายยิ้มกว้างราวกับผีเสื้อสยายปีก ก่อนจะชักชวน ‘ถ้างั้นไปกันเถอะครับ เดี๋ยวจะไปถึงช้า’ จากนั้นออกเดินนำไปยังชั้นล่าง ซึ่งร่างโปร่งก็ได้แต่ต้องเดินตามไปสถานเดียว

เมื่อเข้ามาในรถที่เปรียประดุจที่รโหฐานเคลื่อนที่ ความรู้สึกบางอย่างก็อัดเข้ามาในอกจนแน่น หลังจากบอกสถานที่ปลายทาง อาทิตย์อัสดงก็ขยับตัวไม่ถูก ร่างกายหนักอึ้งเหมือนหิน จะหันไปทางซ้ายทีก็ราวกับมีเสียงลั่นกึกๆ ตามมา จึงพยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด

“นั่งตัวแข็งทื่อแบบนั้นไม่เมื่อยเหรอครับ”

สัญญาณจราจรสีแดงทำงาน ห้องโดยสารจึงหยุดเคลื่อนที่ ภันวัฒน์ใช้โอกาสนี้หันมาสอบถามอย่างโจ่งแจ้ง เพราะเขาเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งหลังตรง ไม่กระดิกกระเดี้ยตัวตั้งแต่ออกจากร้านมาแล้ว

“คือ... ผมกลัวเค้กจะเละน่ะครับ”

เป็นข้ออ้างที่นับว่าใช้ได้ ร่างโปร่งบอกตนเองเช่นนั้นในใจ เพราะว่ากล่องเค้กขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนตัก แม้จะรู้สึกเย็นๆ อยู่บ้าง แต่ก็ปลอดภัยกว่าจะนำมันไปวางไว้ที่เบาะด้านหลัง

“แค่หันคอ หรือหันตัวช่วงบน คงไม่กระเทือนถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

เสียงทุ้มพูดเจือหัวเราะ เพราะพอจะเข้าใจว่าร่างโปร่งกำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ ทว่าเพียงครู่เดียวก็ต้องหันหน้ากลับไปยังกระจกด้านหน้าใหม่ เพราะแสงไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

“ผมแค่อยากระวังเพิ่มเฉยๆ”

“อยู่กับผมแล้วกลัวเหรอครับ”

การแจกแจงเพิ่มเติมถูกผลักตกจนกระเด็นไปไกล ภันวัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยที่ไม่ได้หันมา ทว่านั่นก็ทำให้ใบหน้าที่ตั้งมั่นจนแข็งอยู่บนคอของบล็อกเกอร์ต้องหันมาทางร่างสูงจนได้

“ผมไม่ได้กลัว”

“กลัวสิครับ คุณกลัวว่าจะใจอ่อนให้ผมใช่ไหม”

ถูกตอกกลับมาเช่นนี้ ร่างโปร่งก็ได้แต่อ้ำอึ้งในใจ ริมฝีปากเรียวเม้มเข้าหากันแน่น ขบมันจนเจ็บเพราะโดนคำพูดที่เปรียบเสมือนอาวุธแทงเข้ามาในหัวใจอย่างรุนแรง เหมือนจะจับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายได้ ภันวัฒน์จึงเสริมต่อ

“แต่คุณจำไว้เลยนะครับ”

“.....”

“ถึงบางครั้งผมจะยอมอ่อนให้ แต่ผมจะไม่ปล่อยคุณไปหรอก”

คำพูดเหมือนแฝงด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ราวกับจ้องจะทำร้ายกันก็ไม่ปาน แต่อาทิตย์อัสดงเข้าใจดีว่ามันหมายความในแง่ไหน

ไม่ยอมปล่อยเขาไป...

เพราะแบบนี้อย่างไร เขาถึงต้องหนี

จำต้องหลีกห่างให้ไกลที่สุด เพราะเขาสังหรณ์อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นบุคคลอันตรายเช่นนี้

ต้องเอาตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือผู้ชายคนนี้ให้ได้

เขาไม่อยาก...รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว

“ผมขอร้องได้ไหมครับ”

ลองวิงวอนดู แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหลือเกิน

“ผมทำไม่ได้หรอกครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมสนใจคุณ และผมก็อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับคุณไปมากกว่านี้”

“ทั้งที่ผมไม่ต้องการน่ะเหรอครับ”

“แต่สักวันคุณจะต้องการผมอย่างแน่นอน”

“ผมว่าคุณมั่นใจในตัวเองเกินเหตุไปนะครับ”

“เพราะผมเห็นความหวั่นไหวในตัวคุณต่างหาก ผมถึงมั่นใจ”

ภันวัฒน์หันหน้ามาประจันกันชั่วครู่หนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ส่งให้ใบหน้าดูดีนั้นดูหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม ทว่าอาทิตย์อัสดงก็ตัดการรับรู้ในเรื่องนั้นออกทันที

“ผมอยากรู้จริงๆ ว่าอะไรทำให้คุณกลัวได้ขนาดนี้”

“.....”

คำถามนั้นดังอื้ออึงอยู่ในหูของร่างโปร่ง ราวกับมันกำลังถูกกักขังเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดจากภายนอก เสมือนคนหูดับ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกร้าวในอกคล้ายกับอะไรบางอย่างกำลังถูกโยกคลอน

“เลี้ยวขวาข้างหน้าก็ถึงแล้วครับ”

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง คล้ายกับเป็นการปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย เสียงของอาทิตย์อัสดงก็ดังขึ้นอีกคราวเมื่อรถเข้ามาในหมู่บ้านของพี่สาวได้ระยะหนึ่ง เขาทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้มีการสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด กระทั่งรถเคลื่อนมาจอดยังหน้าบ้านที่ตนบอก

“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเหลือผม ส่วนเรื่องค่าตอบแทน ไว้ผมพร้อมแล้วจะติดต่อไปนะครับ”

สิ้นเสียง ร่างโปร่งก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก เตรียมตัวจะก้าวลงจากรถทันที แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงข้อมือไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวครับ”

“คระ...”

ไม่ทันตอบได้จบคำ ดวงตาสีอ่อนกลับต้องเบิกโพลงค้างไว้เช่นนั้น เห็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นภาพช้าประหนึ่งเวลาถูกหน่วงเอาไว้เกินความจริง

มือหนาแตะเข้ากับปากของเจ้าตัว ก่อนจะยื่นมาทาบบนแก้มของเขา

แม้เพียงสัมผัสเบาๆ แต่มันกลับเสมือนเครื่องหยุดเวลา

อาทิตย์อัสดงนิ่งค้างไปเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่ เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็แทบสำลักอากาศ เพราะกระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็วสวนทางกับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

“ขอให้มีความสุขกับการฉลองวันเกิดหลานชายนะครับ”

ภันวัฒน์ระบายยิ้มแต้มบนกรอบหน้า พานให้ร่างโปร่งทำอะไรไม่ถูก เขารู้สึกเลิ่กลั่ก ร่างกายเก้งก้างขึ้นมาในบัดดล พยายามรั้งสติให้ได้มากที่สุดก่อนจะเอื้อนเสียงออกมา

“ขอ...ขอตัวก่อนครับ”

จากนั้นเผ่นแผล่วออกจากรถไปอย่างรวดเร็วดุจแมวผวา กระโจนให้ห่างจากสิ่งที่ทำให้ตนหวาดกลัวมากที่สุด เปิดประตูรั้วเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว ปิดประตูตามด้วยความไวแสงโดยไม่หันมองโครงเหล็กเครื่องที่แล้วผลุบเข้าไปในตัวบ้าน ไม่ห่วงขนมเค้กในมือแล้วว่าจะล้มเละขนาดไหน

ก้อนเนื้อในอกไหวระทึก ไม่ต่างจากคนหนีความผิดสักนิด

“น้าฟรีมาแล้วๆ”

เสียงเด็กน้อยที่เป็นเจ้าของวันเกิดดังมาพร้อมกับกระโดดเด้งร่างอย่างตื่นเต้นเข้ามาหาร่างสูงใหญ่กว่าที่รู้สึกขาอ่อนเปลี้ยทันทีที่เข้ามาในพื้นที่ปลอดภัย

“น้าฟรีๆ”

เสียงแจ้วยังร้องเรียกพร้อมกับมือจ้อยดึงขากางเกงผู้เป็นน้าชาย แต่ก็ยังไม่ได้รับเสียงตอบรับใดๆ เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย ก่อนจะกระตุกขากางเกงอีกครั้ง

“น้าฟรีเป็นอะไร ทำไมหน้าแดงแจ๋เลย”

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลอีกเช่นเดิม เจ้าตัวเล็กปล่อยมือออก หมุนตัวกลับ หลังจากนั้นก็วิ่งกลับไปหามารดา ‘แม่ แม่ น้าฟรีเป็นอะไรไม่รู้’ อรุโณทัยจึงรีบออกมาจากครัวด้วยความร้อนใจ ทว่าเมื่อมาประจันหน้ากับน้องชาย คิ้วเรียวก็มุ่นเข้าหากัน

“ฟรี เป็นไข้เหรอ ทำไมหน้าแดงแบบนี้”

มือนุ่มแม้จะกร้านเพราะการทำงานบ้านแนบลงบนหน้าผาก สัมผัสที่เย็นกว่าใบหน้าของตน ทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งเล็กน้อย

“ครับพี่แฟร์”

“ไม่สบายหรือเปล่า พี่เห็นหน้าแดงมาก น้องโฟล์คถึงขนาดรีบไปตามพี่จากในครัว”

“อ้อ เปล่าครับ ไม่เป็นอะไร”

อาทิตย์อัสดงได้แต่ตอบเสียงแห้ง ยิ้มแหยให้สองแม่ลูกที่จ้องมองเขาอย่างสงสัย โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่ทำหน้างุนงงเอ่ยถาม

“น้าฟรีไม่ได้ไม่สบายแน่นะ โฟล์คอยากกินเค้กวันเกิดกับน้าฟรีนะ”

ไม่เพียงแค่ประโยคที่พูดออกมาเท่านั้นที่น่าฟัง น้ำเสียงยังออดอ้อนช่วยให้สภาพร่างกายรวมทั้งจิตใจที่ดูจะรวนไปหมดเพราะการกระทำของใครอีกคนเริ่มเข้าที่เข้าทาง อาทิตย์อัสดงยิ้มกว้างได้มากขึ้น ควบคุมลมหายใจและการเต้นของหัวใจได้ทีน้อย พลางยกกล่องเค้กขึ้นมาโชว์

“นี่ไง เค้กวันเกิดของโฟล์ค ไว้กินข้าวเสร็จแล้วเรามากินด้วยกันนะครับ”

“ครับๆ เย้”

เด็กน้อยดีใจ กระโดดหย่องแหย่ง ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ที่ผู้ใหญ่คนไหนๆ ก็ไม่อาจมีได้ อาทิตย์อัสดงคิดเช่นนั้น ทว่า...

ไม่รู้เหตุใด รอยยิ้มเย็นสบายและสว่างเจิดจ้าของภันวัฒน์ ถึงผุดขึ้นมาทับรอยยิ้มของหลานชายในวินาทีนั้นเสียได้ และมันก็ทำให้หัวใจที่เริ่มกลับมาเต้นด้วยจังหวะเดิมเปลี่ยนเป็นเร่งจังหวะขึ้นอีกครั้ง






เพราะนานๆ ทีจะได้มีงานสังสรรค์ร่วมกับญาติของตน อาทิตย์อัสดงจึงรู้สึกสนุกเต็มที่ หลังจากรับประทานอาหารร่วมกับหลานชายทั้งสาม พี่สาว และพี่เขย ก็มานั่งเล่นเกมกระดานเสริมความรู้ง่ายๆ เพราะหลานชายคนโตอายุย่างสิบขวบแล้ว

เล่นสนุกกันได้ชั่วโมงกว่าๆ เพื่อรอให้อาหารค่ำที่รับประทานไปย่อยเรียบร้อย เตรียมพร้อมรับขนมประจำงานวันเกิดเข้าไปใหม่ อรุโณทัยก็เตรียมจานกับมีดให้พร้อมในห้องนั่งเล่น จากนั้นพี่เขยเป็นคนนำเค้กซึ่งถูกแช่อยู่ในตู้เย็นออกมาจุดเทียนและเดินกลับมาหาพวกเราทุกคน ขณะที่อรุโณทัยช่วยปิดไฟ

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู”

เสียงร้องเพลงวันเกิดดังจากสมาชิกทั้งหกคน แม้แต่เจ้าของวันเกิดที่ยิ้มพลางร้องเพลงอย่างเริงร่า ตบมือเปาะแปะอย่างมีความสุข พลอยให้คนเห็นหุบยิ้มไม่ลงเลยทีเดียว โดยเฉพาะอาทิตย์อัสดงที่ยิ้มแก้มแทบปริเมื่อหลานคนเล็กบอกว่า

“เค้กน่ากินมากเลยครับน้าฟรี”

“น้าแต่งหน้าเค้กเองเลยนะ จะบอกให้”

ได้ยินดังนั้นจึงอดโอ้อวดออกไปไม่ได้ และไพล่คิดไปถึงว่าเป็นอย่างที่คนลงมือทำเค้กนี้บอกจริงๆ เพราะหลานชายรีบร้องกลับมาทันที

“โห น้าฟรีเก่งจัง”

ความสุขท่วมท้นเข้ามาในใจจนเอ่อไปหมด ทว่ามันกลับไม่ทะลักล้นออกมา อาจเพราะเขาสามารถขยายบ่อกักเก็บความสุขได้มากเท่าต้องการก็เป็นได้

“ถ้างั้นโฟล์คต้องกินเยอะๆ นะครับ น้าฟรีให้เขาทำให้แบบที่โฟล์คชอบเลย”

“ขอบคุณครับ”

“วันเกิดเฟียตเอาบ้างนะน้าฟรี”

“วันเกิดฟอร์ดด้วย”

หลานชายอีกสองคนรีบแทรกเสียงร้องกันใหญ่ จนผู้เป็นพ่อกับแม่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ พี่เขยถึงกับเอ่ยแซว

“สงสัยงานซื้อเค้กต้องเป็นหน้าที่ประจำของฟรีแล้วล่ะมั้ง”

“ผมก็ซื้อให้ตลอดอยู่แล้วล่ะครับ แต่ดูท่าว่าจากนี้ไปถ้าพลาดสักงาน คงโดนบ่นแน่ๆ”

เสียงหัวเราะคลอตามกันไปอย่างสนุกสนาน เป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากจากคนหนุ่มซึ่งอาศัยอยู่ตัวคนเดียว อาทิตย์อัสดงจึงตักตวงมันไว้อย่างเต็มที่ แต่ทั้งที่มีความสุขเสียขนาดนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน อารมณ์กลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

นิ้วเรียวเลื่อนเปิดดูคอมเมนต์ในบล็อกของตนเองตามปกติ รู้สึกยินดีที่มีหลายคนติดตาม ทั้งบอกเล่าเรื่องราวหลังจากได้ไปชิมรสชาติขนมตามร้านที่เขารีวิวเอาไว้ บ้างก็ให้กำลังใจและบอกว่าจะติดตามผลงานต่อไป สร้างความรู้สึกปริ่มเปรมใจได้ไม่น้อย

อาทิตย์อัสดงยิ้มกริ่มทุกครั้งที่อ่านข้อความเหล่านั้น มันเหมือนเชื้อเพลิงต่อไฟไม่ให้มอดดับ และยิ่งทำให้เขามีความสุขกับการทำงานอดิเรกของตนมากยิ่งขึ้น ทว่า...

มือที่ค้างอยู่บนเมาส์ชะงักกึกทันทีที่สายตาส่งภาพบางอย่างลงมายังประสาทการรับรู้ ไม่ต้องประมวลผลให้มากความ ตัวหนังสือเหล่านั้นก็เสียดแทงเข้ามาในอกดุจคมหอก ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่เจ็บร้าวขึ้นมาจนอยากจะเอามือกุมมันไว้ แต่ทั้งร่างกลับแข็งค้าง ไม่สามารถขยับกายได้อย่างที่หวัง

ไม่รู้ว่าผ่านเวลาไปนานแค่ไหนกันแน่ กว่านิ้วที่แข็งทื่อจะยอมขยับตามอำนาจสั่งการของสมอง ร่างโปร่งกดลบคอมเมนต์นั้นออกทันที ซึ่งข้อความต้นเหตุนั้นก็หายไปอย่างง่ายดาย ทว่าแม้จะลบมันออกไปแล้ว...

มันกลับฝังลึกในหัวใจ ในความคิด... ไม่สามารถลบออกไปได้ง่ายๆ เลย

บล็อกเกอร์หนุ่มกดปิดคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว พยายามฉุดตัวเองให้กลับมายังโลกทางนี้ โลกออนไลน์ที่ทำให้มีความสุขเมื่อครู่ ถูกทำลายย่อยยับเพียงข้อความนั้น

เขาอยากลืม อยากทำเป็นมองไม่เห็นมัน

หลังจากปิดคอมพิวเตอร์ได้เรียบร้อย กายโปร่งจึงทิ้งลงที่นอนอย่างรุนแรง หวังให้ความรู้สึกต่างๆ ที่พุ่งขึ้นมารุมเร้าจิตใจกระเด็นกระดอนหายตามสภาพร่างกายที่ถูกส่งขึ้นเหนือที่นอนนุ่มนิดๆ แต่ว่ามันไม่ง่ายเลย แม้ว่าจะปิดตาแน่น ข่มตาสักเท่าไร ก็ไม่อาจกำจัดมันได้

คืนนี้เขาจะหลับลงได้อย่างไร







---------------------
เป็นตอน 2 in 1
เอ๋ เกิดอะไรขึ้นน้อ?


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 15th Entry : ฝนตั้งเค้า [21/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-05-2016 21:56:44
อดีตกลับมาหลอกหลอนใช่ไหม
อยากรู้จังว่าฝังใจกับอะไรมากมาย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 15th Entry : ฝนตั้งเค้า [21/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 22-05-2016 00:01:04
เอาแล้ววววว... งานนี้ฟรีต้องต่อสู้ทั้งอดีตทั้ง(ว่าที่)อนาคตเลยนะเนี่ย...
มาอยู่กับเค้าเถอะฟรี---- //โดนฮักไล่ฆ่า
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 15th Entry : ฝนตั้งเค้า [21/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-05-2016 00:35:48
รู้สึกเหมือนได้ใส่ชุดขาวฟูฟ่อง วิ่งเล่นในทุ่งหญ้าเขียวขจี ใต้ผืนฟ้าสีคราม มีเมฆประปราย
แล้วก็ก้าวพลาดกลิ้งลงเหวในบัดดล
เฮ้อ!

ฟรีกลัวอะไร ใครทำให้เจ็บช้ำจนต้องระวังตัวระวังใจขนาดนั้น

ว่าแต่.....ขี้ฉวยโอกาสว่ะฮัก ลูกล่อลูกชนเยอะจนน่าหมั่นไส้ ชิ!
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 15th Entry : ฝนตั้งเค้า [21/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 22-05-2016 14:07:11
อยากรู้ว่าฟรีกลัวอะไรอะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 15th Entry : ฝนตั้งเค้า [21/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 22-05-2016 22:00:27
อดีตของคุณอาทิตย์จะเปิดเผยแล้วใช่ไหมคะะะะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด คุณภันคะ! เราขอร้อง จบกับเขาแล้วมารักคุณอาทิตย์ได้ไหม อย่านะคะ อย่าบอกว่าจบกัันไปนานแล้ว การกระทำมันไม่ใช่อ่ะ ฮือออ ไม่เอา อย่าดูแลทุกคนจนไม่รู้ว่าคนไหนพิเศษจริงๆสิคะ เราชอบนะคะตอนคุณภันบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยไปอ่ะ กรี๊ดมากค่ะ โอ๊ยยยย ออร่าพระเอกพุ่งหลังจากหมั่นไส้มาหลายตอน 5555555 แล้วการขอไปกินข้าวที่บ้านนี่เป็นหนึ่งในแผนการให้คุณอาทิตย์ปลดบล็อกอีกรึเป่าคะเนี่ย เฮ้อ คุณอาทิตย์ดูกลัวมากจริงๆด้วยแหละค่ะ เราสงสารคุณอาทิตย์นะคะ ิ่งตอนที่คิดว่าจะต้องหนีจากคุณภันให้ได้นี่เรายิ่งสงสาร เราว่ามันค่อนข้างเห็นได้ชัดจริงๆอ่ะค่ะว่าคุณอาทิตย์หวั่นไหว แต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้เพราะอะไรรรร ฮือออออ ความจริงคุณอาทิตย์เป็นคนที่ดูใส่ใจคนอื่น ขี้เหงา แล้วก็น่าจะเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนะคะ ไม่รู้อะไรทำให้คุณอาทิตย์กลายมาเป็นแบบนี้ แต่เราเอาใจช่วยค่ะ คุณอาทิตย์ต้องผ่านทุกอย่างไปได้แน่ๆค่ะ อย่างน้อยครอบครัวคุณอาทิตย์ก็รักคุณอาทิตย์มากนะคะ ไม่สบายใจอะไรก็ไปหาหลานๆได้ค่ะ เด็กๆทำให้คุณอาทิตย์สบายใจขึ้นได้แน่ค่ะ นิดนึงก็ยังดี สู้ๆนะคะ

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

เกรงว่าจะก่อให้เกิดมวลอากาศลงมากทับร่างของตนไปมากกว่านี้  >>กดทับ

ส่วนอีกมือหนึ่งจับมือเรียวบางกว่าให้ย้ายที  >> ที่

โปกปูนปิดทับ  >> โบก

โครงเหล็กเครื่องที่   >> เคลื่อน

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะะะ ขออดีตของคุณอาทิตย์เถอะค่ะะะะะะะ  :o12:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-05-2016 23:06:21
16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว






ไม่ใช่เพียงคืนเดียวที่บล็อกเกอร์หนุ่มต้องยอมรับความเจ็บร้าวซึ่งแทรกเข้ามาโดยไม่อนาทรต่อความยินยอมพร้อมใจ หลายวันผันผ่านพร้อมกับข้อความใหม่ๆ ถูกโพสต์ลงไป แม้ว่าจะลบข้อความเหล่านั้นจากบุคคลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าสักกี่ครั้ง วันต่อไปมันก็ยังผุดใหม่ราวกับไม่หลาบจำ

สีหน้าหม่นหมองประจักษ์สู่สายตาผู้คนที่ได้พบเห็น ใต้ดวงตาดำลึกผิดจากสีขาวกระจ่างที่เคยมีมา หนึ่งฤทัยจึงอดเป็นห่วงเพื่อนของตนเองไม่ได้

“มึง ไหวหรือเปล่าวะ”

“กูไม่เป็นไร”

ทั้งที่ตอบไปเช่นนั้น แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับอ่อนระโหยกว่าปกติหลายเท่านัก

“มึงมีอะไร เล่าให้กูฟังก็ได้นะ”

หลายวันที่ผ่านมา อาการของเพื่อนเธอหนักขึ้นทุกวัน แต่เจ้าตัวกลับปิดปากเงียบ ไม่ยอมเอ่ยถึงสาเหตุใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าเธอจะคาดคั้นแล้วก็ตาม

“หน้ามึงทั้งหมองทั้งซีด ตาก็ดำขนาดนี้ มึงได้นอนบ้างหรือเปล่า”

“กูนอน”

“แต่นอนไม่หลับใช่ไหม ไม่ต้องมาโกหกกู”

คำพูดรู้ทันของเพื่อนรักทำให้อาทิตย์อัสดงหุบปากเงียบ ไม่ตอบใดๆ ทั้งสิ้น ช่วงพักกลางวันเขาก็พยายามบังคับเปลือกตาให้ปิดลง ทว่ามันเป็นได้แค่การฝืน เพราะแม้ว่าหนึ่งฤทัยจะขอร้องพี่ๆ ร่วมแผนกว่าให้เบาเสียงพูดคุยลง เพื่อให้เชาได้นอนพักผ่อนบ้าง แต่มันก็เปล่าประโยชน์

“มึงจะไม่บอกกูจริงๆ เหรอ กูเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่เหรอ”

“กูยังโอเค ไว้ถ้ากูไม่ไหวจริงๆ กูจะบอกมึงนะ”

แม้ว่าจะได้รับคำตอบมาเช่นนั้น หนึ่งฤทัยก็ยังส่ายศีรษะอย่างไม่ยอมรับอยู่ดี เธอรู้ว่าเพื่อนสนิทไม่มีทางปริปากออกมาบอกเธอหรอก นอกจากจะเป็นอะไรไปแล้วนั่นแหละถึงได้ยอมพูด

เหมือนกับครั้งนั้น...

“วันนี้ให้กูไปส่งที่บ้านไหม”

“ไม่เป็นไรๆ มึงนี่ห่วงเกินไปแล้วนะ กูรู้ว่ามึงมีงานนอกที่รับไว้เยอะแยะ มาห่วงกูนี่เสียเวลาเปล่าชัดๆ”

ดังตัดรอนกันอย่างไม่อ้อมค้อม หญิงสาวจึงได้แต่เงียบ เลิกพูดเรื่องนี้ และตัดสินใจกับตนเองว่าจะรอดูสถานการณ์ไปอีกสักพักแล้วกัน





เหงื่อเย็นๆ ผุดจับโครงหน้า ร่างของชายหนุ่มกระสับกระส่ายไปมาราวกับหลีกหนีของร้อน เปลือกตาที่ปิดลงขยับยุกยิกไปมาคล้ายคนทรมาน แล้วสักพัก...

เฮือก!

ดวงตาที่ปิดอยู่ลืมโพลงขึ้นพรวด ทั้งร่างกระเด้งขึ้นดุจถูกแผดเผา อาทิตย์อัสดงหอบหายใจอย่างรุนแรง ดังจะกอบโกยอากาศทั้งหมดเข้าไปในคราวเดียว ตัวที่ยืดขึ้นจนอกแอ่นค่อยๆ คลายสภาพลง แผ่นหลังแนบเข้ากับโซฟาสีขาว ก่อนจะปล่อยลมหายใจที่เมื่อครู่ฝืนยัดเข้าไปในปอดออกมา

เป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้วที่อาทิตย์อัสดงฝืนสังขารบังคับร่างกายที่ขยับเคลื่อนไหวได้ยากกว่าปกติหลายเท่า เพราะหน้าที่การงานนั้นสำคัญ เขาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถึงจะนอนไม่หลับหลายวันติดต่อกัน หรืออย่างมากก็หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เพราะไม่ว่าเมื่อไรที่เข้าสู่ห้วงฝัน จะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยฝันร้ายทุกครั้งก็ตาม

กระทั่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ ร่างกายอ่อนล้าเต็มที่ สมองเริ่มไม่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ มันมึนตื้อไปหมด จนเขารู้สึกตัวหนักเกินกว่าจะเคลื่อนไหวร่างกาย จึงได้แต่นั่งเหม่อลอยนิ่งๆ โดยเปล่าประโยชน์ต่อไปเรื่อยๆ ปลายสายตาไม่มีจุดหมายอะไรสักอย่าง เพียงทิ้งค้างอยู่กลางอากาศซึ่งสมองไม่อาจระบุได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

แต่ดูเหมือนเมื่อครู่สภาพร่างกายจะทัดทานความเหนื่อยล้าไม่ไหว

สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมีเพียงบล็อก Tea Party ที่อัพไว้ล่าสุด ไม่ว่าร่างกายจะต่อต้านสักเพียงใด สมองจะมึนชาสักแค่ไหน เขาก็ต้องเข้าไปเช็กมันทุกๆ สองหรือสามชั่วโมง และเหตุการณ์ก็วนเข้าสู่ที่เดิมซ้ำๆ

มาอีกแล้ว...

ข้อความของคนคนนั้น ผุดขึ้นมาราวกับจ้องรังควาน

จองเวรเขาอย่างไม่ลดละ

ทรมาน... ทรมานจนไม่หายใจไม่ออก

อาทิตย์อัสดงรวบรวมกำลังที่มีอยู่กดลบข้อความไป ก่อนจะต้องหยุดหายใจทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจกลั้น เพราะนอกจากข้อความนั้นแล้วยังมีความอื่นๆ ตามมา

ข้อความที่เต็มไปด้วยความสงสัย

ประเด็นที่ผูกโยงไปกับข้อความที่เขาลบทิ้ง

ลุกลามราวกับไฟลามทุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ใช่ว่าช่วงแรกๆ ไม่มี มันมีสอดแทรกอยู่บ้างประปราย แต่พอเขาลบข้อความต้นเหตุนั้นแล้วมันก็สงบไป ไม่มีใครติดใจสงสัย แต่เมื่อนานวันเข้า พายุแห่งความกังขาก็ก่อตัว ยิ่งมีคนเข้ามาชมบล็อกมากเท่าไร ยิ่งมีคนติดตามงานของเขามากแค่ไหน ความอยากรู้อยากเห็นก็ยิ่งขยายวงกว้าง

ทำอย่างไร ต้องทำอย่างไร

ตุ้มน้ำหนักถ่วงลงในอกจนแทบยกร่างไม่ขึ้น คับแน่นอยู่ภายในจนยากจะหายใจ

อึดอัดเหลือเกิน...

แม้จะรู้สึกทุกข์ทรมานเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะคนที่อยู่ในเงามืดยังคงวนเวียนก่อความไม่สงบอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่วงเข้าสู่วันอาทิตย์ เลยมายังวันจันทร์ ครบหนึ่งสัปดาห์แล้วด้วยซ้ำ แต่ทางฝ่ายนั้นกลับยังไม่ละความพยายาม

อาทิตย์อัสดงได้แต่ทำตัวตามปกติที่สุด บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าใส่ใจในข้อความเหล่านั้นมากนัก ทั้งที่เพียงกวาดตาอ่านอย่างรวดเร็วที่สุด ก็ยังทำให้ปวดใจได้ขนาดนี้ แค่เห็นตัวหนังสือเล่านั้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็พรั่งพรูราวกับถูกรื้อออกมาจากลิ้นชักที่ลึกที่สุด

พอสักทีได้ไหม...

เหนื่อย เขาเหนื่อยเหลือเกิน

อยากจะอ้อนวอนใครคนนั้นให้หยุดการกระทำนี้เสีย แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่สามารถติดต่อกับทางนั้นได้ และทั้งหมดเป็นเพราะเขาเอง

เขาเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง

ไม่สิ มันเป็นทางเดียวที่เขาเลือกได้ต่างหาก

ร่างโปร่งที่มองเพียงภายนอกก็รับรู้ได้ว่ากำลังอ่อนล้าอย่างที่สุดทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง นึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าตนควรจะทำอย่างไร จะสามารถพาร่างที่อ่อนระโหยไร้แรงพยุงนี้ไปทำงานอย่างปกติได้หรือไม่

ขนาดวันนี้หนึ่งฤทัยยังขู่บังคับว่าอย่างไรก็ต้องมาส่งเขาที่บ้านให้ได้ ถึงจะไม่ยอมบอกอะไร แต่ก็ขอให้ช่วยรับน้ำใจในฐานะเพื่อนด้วย เขาจึงยอมให้เธอขับรถมาส่งถึงบ้านได้

ศีรษะทิ้งลงบนเบาะนุ่มสีขาวอย่างคนหมดอาลัย ทั้งที่มือยังกำโทรศัพท์และเปิดไปยังหน้าบล็อกเดิมๆ

อีกแล้ว มันมาอีกแล้ว

จากที่เคยปวดร้าว ทรมาน ในเวลานี้มันบีบคั้น

น้ำตาใสๆ เกือบจะเอ่อล้นออกมา ไม่รู้ว่าเพราะความเจ็บปวด เจ็บช้ำ หรือเพราะสมองที่ปวดตุบๆ จนตาแสบพร่าไปหมดกันแน่

“จะต้องทรมานกันอีกแค่ไหนถึงจะพอใจ”

เสียงที่เปล่งออกมาได้นั้นช่างเบาหวิว เหือดแห้ง

รู้สึกแล้ว แน่ใจแล้วว่าตัวเองเข้มแข็งไม่พอ ตัวเองที่อ่อนแอเอง

ทั้งที่ควรจะโกรธแค้น แต่มันกลับเจ็บปวดพะอืดพะอม

“ผ่านไปเป็นปีแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังรู้สึกแบบนี้อยู่วะ”

อาทิตย์อัสดงทุบอกตัวเอง แต่ก็เบาเหลือเกิน เขาอยากจะทุบลงไปให้แรงกว่านี้ เผื่อมันจะหลาบจำบ้างว่าเคยผ่านประสบการณ์แบบไหนมา และควรจะฝังมันลงไปในดิน กลบให้มิดแล้วลืมไปให้หมด แต่ความทรงจำเหล่านั้นกลับยังไม่หายไปเลย

หัวปวดตุบๆ ราวกับใครมาย่ำเท้าอยู่ข้างใน หรือไม่ก็อาจจะมีหนอนมาชอนไชอยู่ภายในนั้นก็ได้ ความคิดพิลึกพิศดารผุดขึ้นมาในหัวขณะที่ยกหลังมือขึ้นมาวางทาบหน้าผากเอาไว้ หวังให้มันช่วงบรรเทาอาการเหล่านั้นสักเล็กน้อยก็ยังดี ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ใช่ว่าทำเช่นนั้นแล้วจะช่วยได้

ไม่ใช่ว่าไม่พึ่งยา แต่ดูเหมือนว่าถ้ากินยามากไปกว่านี้อาจจะเกินขนาดจนเข้าต้องเข้าโรงพยาบาลก็เป็นได้ จึงได้แต่กัดฟันทนความเจ็บปวดนี้เอาไว้ให้ได้มากและนานที่สุด

เมื่อนอนทิ้งร่างลงบนโซฟาแล้วเปลือกตาก็เหมือนจะหนักขึ้น อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้ที่เขาจะได้นอนพักผ่อนอย่างจริงจังเสียที ร่างกายอาจจะประท้วงว่าถึงที่สุดแล้วก็เป็นได้ แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก เพราะเขารู้สึกปวดและมึนหัวเกินกว่าจะข่มตาลงได้จริง แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงหวังว่ามันจะเป็นไปได้

อาทิตย์อัสดงคิดเช่นนั้น ทว่าเสียงสัญญาณจากหน้าประตูบ้านก็ทำให้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดกลับคืนมา ร่างสะโหลสะเหลยันขึ้นจากเบาะนุ่ม ชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่าง เผลอคาดเดาไปว่าอาจจะเป็นเชฟขนมคนนั้นก็เป็นได้ แต่อีกใจหนึ่งก็หวนนึกถึงเพื่อนสาวที่มาส่งเมื่อชั่วโมงก่อนว่าเธออาจจะย้อนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงกับข้าว

สุดท้ายเพราะไม่รู้แน่ว่าจะเป็นใคร ในตอนนี้ตาของเขาพร่าเลือนเกินกว่าจะจับภาพบุคคลที่อยู่หน้าประตูบ้านได้ประกอบกับฟ้าสีครามหย่อนตัวเข้าหาความมืดมากขึ้นจึงจำต้องพาร่างกะปลกกะเปลี้ยออกไป

แต่ครั้นเดินออกมาจากประตูบ้านได้ไม่กี่ก้าว ขาก็สิ้นเรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด

กายโปร่งหล่นวูบลงกับพื้น อาทิตย์อัสดงรู้สึกหน้ามืดจนเห็นภาพเบื้องหน้าเป็นสีดำทั้งหมด ได้ยินเสียงแว่วคุ้นหูตะโกนเรียกชื่อตนเอง

“ฟรี!!”

คนมาเยือนร้องด้วยอารามตกใจซึ่งพุ่งพรวดขึ้นมา ขณะที่หัวใจเหมือนหล่นตุบตกลงไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขากระโจนขึ้นประตูรั้วก่อนปีนขึ้นไปและกระโดดลงมาจากจุดสูงสุด จากนั้นวิ่งตรงเข้าไปหาร่างโปร่งที่ดูอ่อนแรงเสียเหลือเกิน

“เป็นไงบ้างครับ”

“ผม...มองไม่เห็น”

ได้รับคำตอบแล้วหัวใจของภันวัฒน์ก็เหมือนหยุดไปหนึ่งจังหวะ เขาค่อยๆ พยุงร่างของอาทิตย์อัสดงขึ้นช้าๆ ประคองเอาไว้พลางพาเดินเข้าไปในบ้าน

“ค่อยๆ เดินนะครับ ข้างหน้ามีขั้นบันได”

มือซ้ายโอบประคองเอวไว้ ขณะที่มือขวาจับแขนร่างโปร่งไว้ด้วย ปากบอกให้ระมัดระวัง ช่วยเหลือเท่าที่ตนเองสามารถ ก่อนจะเปิดประตูบ้านและพาบล็อกเกอร์หนุ่มเข้าไปในบ้านจนสำเร็จ

“นั่งก่อนนะครับ” เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นก็พยุงกายโปร่งให้นั่งลงบนโซฟายาวอย่างนุ่มนวล จากนั้นดันให้กายให้เอนลงไป “นอนลงเลยครับ”

อาทิตย์อัสดงทำตามคำเอ่ยของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายเพราะเวลานี้มันยากเกินกว่าที่เขาจะพึ่งพาตนเองแล้ว

ภันวัฒน์มองใบหน้าซีดเผือดขาดสี ทั้งใบหน้าและริมฝีปาก ใต้ตาลึกคล้ำตัดกับสีหน้าที่เหมือนกระดาษด้วยความเป็นห่วง รู้สึกปวดใจอยู่นิดๆ ที่ได้เห็นภาพเช่นนี้

ไม่เจอแค่อาทิตย์เดียว ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้

ร่างสูงเค้นเสียงถามตัวเองทั้งที่รู้ว่าไม่มีคำตอบที่รออยู่

“เป็นยังไงบ้างครับ”

“ไม่รู้สิครับ”

เสียงที่ตอบกลับมาอ่อนระโหยผิดจากครั้งที่ได้สนทนากัน ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ปริร้าวในใจของภันวัฒน์ได้มากขึ้น เขาวางมือลงบนหน้าผากของอาทิตย์อัสดง แสดงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบังและถือโอกาสวัดไข้ไปในตัว ขณะเดียวกันก็รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตนได้หยุดงานวันพรุ่งนี้ ถึงได้ตัดสินใจมาหาอีกฝ่ายที่บ้านโดยใช้ข้ออ้างว่ามาทวงบุญคุณ ไม่เช่นนั้นอาทิตย์อัสดงจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่อาจรู้ได้เลย

“ตัวอุ่นหน่อยๆ นะครับ ปวดหัวไหม”

ถามพลางทิ้งมือหนาอยู่บนนั้น มือของภันวัฒน์ที่เพิ่งออกมาจากรถยนต์อาจจะเย็นกำลังดีก็เป็นได้ ถึงทำให้ร่างโปร่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อถูกสัมผัส อาทิตย์อัสดงจึงหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกสบายนั้นอย่างเนิบช้า

แม้จะไร้คำตอบ แต่สีหน้าที่คลายลงของคนที่นอนอยู่ทำให้ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกเบาใจลง เพราะดูเหมือนอย่างน้อยเจ้าตัวจะไม่ได้ทรมาน เขาทิ้งมือไว้แบบนั้นพลางหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ บนพื้นที่อันน้อยนิดๆ กวาดสายตาไปตามใบหน้าของคนที่ไม่ได้พบหน้ากันเกือบสิบวัน ดั่งจะช่วยให้คลายความคิดถึง

เพียงครู่สั้นๆ เปลือกตาที่ปิดทับตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนก็สงบนิ่งลง ไม่มีรอยขยับเขยื้อนเช่นเดียวกับยามที่มีสติอยู่ ลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกเข้าที่สม่ำเสมอกันผิดกับตอนแรกที่ดูเหมือนจะปั่นป่วน เมื่อเลื่อนมืออีกข้างไปสัมผัสกับผิวแก้มที่อุณหภูมิสูงนิดๆ ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับกลับมา

ท่าทางว่าจะหลับไปแล้ว

รู้ดังนั้นภันวัฒน์ก็ผละมือที่วางแนบบนหน้าผากของร่างโปร่งออกอย่างเชื่องช้า พลางสังเกตอาการอีกฝ่ายไปด้วย แต่ก็ไม่มีอะไรผิดแผกจากเดิม จึงมั่นใจได้ว่าบล็อกเกอร์หนุ่มหลับไปแล้วจริงๆ

น่าจะหลับอีกนานล่ะมั้ง

ร่างสูงเบือนสายตามองนาฬิกาติดผนังเพื่อตรวจสอบเวลาอีกครั้ง พบว่าหนึ่งทุ่มกว่าแล้วจึงชันตัวขึ้นลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นพิจารณาร่างสูงโปร่งอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจย่อตัวลงเล็กน้อย สอดท่อนแขนเข้าใต้ข้อพับขาและใต้คอ ช้อนร่างนั้นขึ้นมาประคองไว้แนบอก

น้ำหนักตัวของคนไม่ได้สติถ่ายเทลงมามากกว่าที่ประมาณไว้ อาจเพราะไม่มีสติอยู่ด้วยจึงทำให้รู้สึกว่าหนักมากขึ้น นึกเสียดายว่าหากอีกฝ่ายตัวเล็กกว่านี้อีกสักหน่อยเขาคงอุ้มได้สบายกว่านี้ แต่กระนั้นก็ยินดีที่จะต้องเสียพลังงานเพิ่มเพื่อให้อาทิตย์อัสดงได้พักผ่อนอย่างสบายที่สุด

สองขาก้าวไปตามทางเดิน มุ่งตรงสู่ชั้นบนเพื่อไปยังห้องนอน การเดินทางตรงดูไม่ใช่ปัญหา แต่การขึ้นบันไดที่ไม่ได้กว้างมากนั้นค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว ภันวัฒน์สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะกระชับร่างในอ้อมแขนให้ถนัดถนี่ขึ้นอีกครั้ง จากนั้นจึงก้าวย่างขึ้นมาอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย

กระทั่งเมื่อเข้ามายังห้องที่เป็นปลายทางได้แล้ว เขาก็วางตัวหนุ่มหน้าตี๋ลงอย่างแผ่วเบา รู้สึกแขนอ่อนล้าไปบ้างเมื่อน้ำหนักที่เคยกดอยู่บนแขนหายไปแล้ว

ร่างสูงสะบัดแขนเบาๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ พลางเปิดเครื่องปรับอากาศให้อุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไปด้วย เพราะแม้ว่าคนป่วยจะมีอุณหภูมิสูงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขนาดระบุได้ว่าเป็นไข้ จากนั้นจึงตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ

เขานำผ้าขนหนูผืนนุ่มไปซับน้ำหมาดๆ ในห้องน้ำ เพื่อมาเช็ดหน้าให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะตามไล้ผืนผ้านั้นมายังลำคอ ปลดกระดุมสองเม็ดแรกออกแล้วจึงเลื่อนผ้ามายังอก ปิดท้ายด้วยการเช็ดแขนและฝ่ามือ

เช็ดเนื้อเช็ดตัวเพื่อให้ร่างโปร่งสบายตัวยิ่งขึ้นแล้ว นัยน์ตาคมก็ยังคงจับจ้องที่ดวงหน้าเรียวได้รูป ปัดผมหน้าที่ปรกลงมาเล็กน้อย ไล้นิ้วไปตามใต้ดวงตาที่คล้ำเป็นพิเศษ อดรู้สึกเป็นห่วงจากใจจริงไม่ได้ และอยากรู้ด้วยเช่นกันว่าเหตุใดอาทิตย์อัสดงจึงมีสภาพเช่นนี้ แต่ก็รู้ตัวดีว่าหากถามไป ก็คงไม่ได้รับคำตอบ

เขายังมีสถานะต่ำเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมเปิดใจระบายความในใจได้

ถึงกระนั้นก็ยังหวังว่าสักวัน... สักวันหนึ่งเขาจะได้รับโอกาสนั้น

คิดกับตนเองใช่นั้นแล้ว ภันวัฒน์ก็โน้มตัวลงไปด้านหน้า ก้มริมฝีปากแนบกับหน้าผากมนของคนนอนหลับอยู่อย่างแผ่วเบา ปิดดวงตาของตนเพื่อซึมซับความรู้สึกที่ก่อตัวอย่างมั่นคงอยู่ภายในอก ณ เวลานี้

เขาห่วงใย... อาทิตย์อัสดงมากจริงๆ





ลืมตาอีกครั้งก็พบว่ามีแสงส่องเข้ามาภายในห้องสีสว่าง เปลือกตาที่คลายตัวไปนานกะพริบเปิดปิดสลับกันไปมาอยู่หลายครั้ง เพื่อปรับสภาพให้เข้าที่พร้อมใช้งาน ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาบนผนังซึ่งอยู่เบื้องหน้าตนเอง

เกือบสิบโมงแล้วเหรอ

อาทิตย์อัสดงครางเสียงอยู่ในใจ พลางนึกย้อนถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งตอนนี้ เท่าที่พอจะจำได้คือเหมือนว่าจะมีใครสักคนมาหาเขาที่บ้าน แล้วหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ค่อยได้เลย

มานอนที่ห้องได้อย่างไร

ขณะที่สงสัยเช่นนั้นก็พลิกหน้าไปด้านที่มีความสว่างส่องเข้ามาถึง พลันนั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรแยงเข้าที่แก้มเบาๆ จึงเอื้อมมือขึ้นมาจับ มันคือกระดาษโน้ตแผ่นประมาณฝ่ามือซึ่งน่าจะมาจากโต๊ะหนังสือที่อยู่ชิดผนังฝั่งตรงข้าม

ความสงสัยก่อตัวขึ้นอีกระลอก เพราะจำไม่ได้ว่าได้เอากระดาษอะไรมาวางไว้ตรงนี้ด้วย ทว่าเมื่อเห็นข้อความบนนั้นแล้วก็ทำให้ได้รับคำตอบของข้อสงสัยก่อนหน้านี้ ลายมือที่เหมือนจะหวัดแต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีบ่งบอกถึงลักษณะของความเป็นผู้นำปรากฏอยู่บนนั้น



ผมทำข้าวต้มไว้ในครัว ถ้าคุณตื่นแล้วลุกไหวก็ลงไปกินด้วยนะครับ อย่าลืมกินยาล่ะ



เพียงแค่ประโยคเท่านี้ก็ทำให้รับรู้ได้ถึงความใส่ใจของอีกฝ่ายแล้ว ทว่าประโยคสุดท้ายที่ทิ้งเอาไว้ใต้ข้อความเหล่านั้นกลับยิ่งตอกย้ำมันให้ชัดเจน



ผมเป็นห่วงคุณนะ



ริมฝีปากเรียวเม้มเข้าหากันแน่น บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบไหนกำลังจู่โจมหัวใจตนเองอยู่ในเวลานี้ มันปั่นป่วนไปหมดเมื่อคิดว่าใครคนนั้นมาหาเขา พาเขาขึ้นมาที่ห้องนอน และทำอาหารไว้ให้

ทั้งที่ไม่อยากเกี่ยวพันด้วยแท้ๆ

บล็อกเกอร์หนุ่มตัดพ้อกับตนเอง ก่อนจะค่อยๆ ดันกายเพื่อลุกขึ้นนั่ง รู้สึกอาการดีขึ้นมา เขาไม่ปวดหัวและวิงเวียนแล้ว ออกจะประหลาดใจด้วยซ้ำที่เขาหลับไป มิหนำซ้ำยังหลับสนิทจนถึงเวลาสายเสียขนาดนี้ ทั้งที่ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อให้ฝืนเท่าไร เขาก็ประสบแต่ความล้มเหลว

ทว่าเมื่อยันตัวขึ้นนั่งแล้วกลับเกือบจะหงายหลังลงไปบนที่นอนอีกครั้งเพราะแรงดึงรั้งจากอะไรบางอย่าง เมื่อหันหน้าไปมองทางต้นตอของมัน หัวใจก็โลดเต้นขึ้นมาโดยพลัน ราวกับถูกเหวี่ยงออกไปโดยที่มีสายบันจี้จัมพ์ผูกเอาไว้ เย็นเยือกไปทั้งร่างกาย เพราะมันเป็นภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น

ภันวัฒน์อยู่ตรงนี้

...นอนกอดเอวเขาเอาไว้อยู่

‘มาได้อย่างไร’ คำถามนี้ไม่น่าอยากรู้คำตอบเท่า ‘ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ’

ทั้งที่เขียนโน้ตทิ้งเอาไว้แล้ว แต่กลับยังปรากฏตัวอยู่ที่นี่ กอดเขาเอาไว้...

ทั้งคืนอย่างนั้นเหรอ?

ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดคำถามเลยสักนิด แต่ว่ามันก็ผุดขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าเขาจะยินดีหรือไม่

อาทิตย์อัสดงรู้สึกตัวชาด้วยความสับสนไปครู่ใหญ่ ก่อนจะบอกตนเองว่า ‘จะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด’ จากนั้นจึงวางมือลงบนท่อนแขนที่โอบรอบเอวตนเองออกช้าๆ พยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อยกแขนใหญ่ได้ ดวงตาคมที่ถูกซ่อนอยู่ก็เผยออกมา

นัยน์ตาสีนิลจับจ้องมาที่ร่างโปร่งที่ใบหน้าซับสีขึ้นกว่าเมื่อวาน ภันวัฒน์จับจ้องกรอบหน้านั้นพลางสำรวจไปด้วย เสียงทุ้มหลุดลอดออกมาจากกลีบปากที่ดูบวมหนาเป็นพิเศษเพราะเพิ่งตื่นนอน

“ตื่นแล้วเหรอครับ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

แม้ว่าเป็นคำถามที่ตอบได้อย่างง่ายดาย แต่อาทิตย์อัสดงกลับรู้สึกว่าตนกำลังหลงทางอยู่ท่ามกลางตัวหนังสือมากมาย เขาไม่รู้จะเลือกคำไหนมาตอบดี กระทั่งร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่ลุกขึ้นมานั่งต่อหน้า ขยับดวงหน้าคมเข้มเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งแนบลงบนหน้าผาก

“อุณหภูมิปกติแล้วนี่ครับ ปวดหัวหรือเปล่า”

ราวกับไม่สนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ภันวัฒน์สอบถามในสิ่งที่ตนอยากรู้เพียงเท่านั้น แต่แม้จะไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมาเลยก็ตาม แต่เขาก็คาดการณ์ได้เมื่อกวาดตามองสีหน้าของอาทิตย์อัสดงจนถ้วนทั่ว

“หิวไหมครับ”

ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในความเงียบอึ้งนานเกินไปแล้ว ร่างโปร่งจึงได้สติอีกครั้ง พยายามสูดลมหายใจให้ลึกแต่แผ่วเบาที่สุดเพราะเกรงว่าจะเผลอสูดเอากลิ่นกายของอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้เสียเหลือเกินเข้าไปด้วย จากนั้นกระแอมเพื่อให้ก้อนอะไรสักอย่างที่ขัดอยู่กลางลำคอมลายหายไป และปั้นเสียงออกมา

“คุณมาได้ยังไง”

“ก็ขับรถมาไงครับ”

“ไม่ ผมหมายถึง...” อาทิตย์อัสดงมีสีหน้าสับสนเล็กน้อย หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเพื่ออะไร อาจจะกำลังหาคำพูดอะไรสักอย่างมาอธิบายคำพูดของตนเองก็ได้ ก่อนจะรู้ตัวว่ามีอะไรอยู่ในมือ “ก็คุณเขียนโน้ตทิ้งเอาไว้แล้วนี่ไง”

“อ๋อ...”

ภันวัฒน์ครางเสียงออกมายาวเหยียด ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้



หลังจากทำข้าวต้มและขึ้นไปเช็กอาการของเจ้าของบ้านอีกครั้ง ภันวัฒน์ก็ลงจากชั้นบนและตรงไปยังโต๊ะกลางในห้องนั่งเล่น เพราะเห็นว่ากุญแจบ้านถูกวางทิ้งไว้บนนั้น จากนั้นจึงมุ่งไปสู่ร้านขนมของตนเองตามกำหนดการเดิม ซึ่งกว่าภารกิจที่คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวันจะเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยจนเกือบเที่ยงคืน

เขาย้อนกลับมายังบ้านของอาทิตย์อัสดงอีกคราว ไฟในบ้านยังคงปิดสนิท เงียบกริบดังเช่นยามที่เขาออกมา จึงเปิดประตูบ้านและแล่นรถเข้าไปจอดอย่างถือวิสาสะเอาเอง ตามด้วยย่างก้าวเข้าไปภายใน ตรงไปยังห้องครัว แต่ก็เห็นว่าอาหารที่สมควรจะพร่องลงไปบ้าง มันกลับเหมือนไม่ถูกแตะต้อง จึงเก็บอาหารเข้าตู้เย็น เพราะดูจากเวลาแล้ว อีกฝ่ายคงจะไม่ตื่นขึ้นมาในคืนนี้แล้ว หลังจากนั้นก็เคลื่อนย้ายตัวกลับมายังชั้นบน

เปิดประตูห้องเข้าไป ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้รู้สึกสบายตัว เขาสืบเท้าเข้าไปภายในห้องพลางคลำมือเพื่อหาสวิตช์ไฟ เปิดมันอย่างไม่เกรงใจผู้ที่น่าจะอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว เพราะอยากเห็นอีกฝ่ายให้ชัดๆ เผื่อว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก่อนจะตรงไปยังเตียงนอน

‘ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงจะหลับสนิทจนถึงเช้าเลยล่ะมั้ง’

เมื่อเห็นว่าร่างนั้นยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ภันวัฒน์ก็ไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย ปลดกระดุมเสื้อและถอดเข็มขัดกางเกงออกเพื่อให้ชุดซึ่งสวมอยู่สบายตัวยิ่งขึ้น จากนั้นตรงไปปิดไฟแล้วกลับมาทอดตัวลงบนที่นอน

แขนแกร่งโอบกระชับร่างโปร่งที่หล่นร่วงลงไปในห้วงนิทราเอาไว้ ปิดท้ายด้วยการแตะริมฝีปากลงบนศีรษะของคนที่สติโบยบินไปแสนไกล ราวกับร่ายมนต์เพื่อให้คนที่นอนอยู่หลับฝันดี








อ่านต่อด้านล่าง


v


v

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-05-2016 23:07:03


ต่อจากข้างบน


v



v




“ผมเป็นห่วงคุณน่ะ ก็เลยไม่อยากปล่อยคุณไว้คนเดียว”

เมื่อคำที่เคยเห็นเป็นตัวอักษรแปรสภาพเป็นเสียงที่ทั้งทุ้มและนุ่ม อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกอ่อนแรงเหลือกำลัง

ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ

เขาขยับร่างกายไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกไปหมด ราวกับมันถูกความร้อนเผาผลาญจนแทบสลาย จึงเป็นภันวัฒน์เสียเองที่เปล่งเสียงออกมาเมื่อเห็นอากัปกิริยานิ่งสงบของคนตรงหน้า

“ว่าแต่คุณหิวไหมครับ ผมว่าเราไปกินข้าวกันดีกว่านะ เพราะว่าผมหิวมากๆ แล้ว”

ผู้จัดการหนุ่มทำเสียงอ่อนดั่งกำลังออดอ้อนอีกฝ่ายอยู่พลางเอามือลูบท้องไปด้วย เรียกสติที่ลอยคว้างจนคว้าจับไม่ถูกให้กลับคืนมายังร่องรอยเดิมของมัน

“อ้อ ครับ”

ร่างโปร่งตอบเสียงติดแหบเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะการหลับใหลเป็นเวลานาน ทว่าเป็นเพราะถ้อยคำจากปากของชายผู้นี้ต่างหาก จากนั้นจึงค่อยรั้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน

อาทิตย์อัสดงมึนงงอยู่ชั่วครู่ เพราะแม้จะได้สติคืนกลับมาแล้ว มันก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ละม้ายทำตกหล่นตามรายทางไปบางส่วน ก่อนจะต้องสูดลมหายใจลึก ตั้งสติให้มั่นอีกครั้งแล้วจึงค่อยสาวเท้าตรงไปยังห้องอาบน้ำ แต่ยังไม่ทันเปิดประตู เสียงจากคนด้านหลังก็ดังขึ้นก่อน

“อย่าเพิ่งอาบน้ำนะครับ เผื่อว่าไข้กลับ”

แม้อาการเมื่อคืนจะเรียกว่าไข้คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ร่างสูงก็อยากระวังเอาไว้ก่อน ซึ่งเจ้าของหน้าขาวตี๋ก็ยอมพยักหน้าให้เบาๆ แล้วเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูลงไปชั่วครู่

ครั้นออกมาจากห้องน้ำ อีกคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ภายในห้องนอนกลับไม่อยู่แล้ว มันไร้สัญญาณชีพจากบุคคลอื่นนอกเหนือไปจากตัวเอง อาทิตย์อัสดงจึงพอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงลงไปชั้นล่างก่อนแล้ว

ขาเรียวสาวตามระยะก้าวโดยปกติ บล็อกเกอร์หนุ่มรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น ความเป็นตัวเองเริ่มกลับมา หลังจากมันร่วนไปชั่วครู่เพราะเหตุการณ์ที่เหนือความคาดคิดและคำพูดเกินความคาดเดา กระทั่งไปถึงห้องครัว ก็พบว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หน้าเตา

“ผมอุ่นข้าวต้มที่ทำไว้เมื่อคืนครับ อีกสักพักก็เสร็จแล้ว”

ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ว่าเขาลงมายังชั้นล่างแล้ว จึงบอกออกมาทั้งที่ยังไม่ถูกถาม

อาทิตย์อัสดงเดินไปนั่งยังโต๊ะอาหาร เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรดี หรือควรจะเปิดบทสนทนาบทไหนจึงได้แต่เงียบ รอจนชายผิวเข้มที่ดูเหมาะกับการอยู่หน้าเตาไปอีกแบบนำข้าวต้มพร้อมกับที่อุ่นเรียบร้อยแล้วมาเสิร์ฟพร้อมช้อนและน้ำดื่ม

ร่างสูงเตรียมจะนั่งลงเพราะเตรียมอาหารเผื่อในส่วนของตนเองด้วย ทว่าเสียงทัก ‘เดี๋ยว’ จากเจ้าของบ้านก็ทำให้ต้องชะงักไป จึงอยู่ในสภาพที่หย่อนตัวลงแบบครึ่งๆ กลางๆ พลางเอียงคอด้วยความสงสัย

“คุณจะกินทั้งที่ไม่ได้แปรงฟันเหรอครับ”

“อ๋อ” ภันวัฒน์ครางเสียงตามด้วยผลิยิ้มบนหน้าเล็กน้อย “ผมใช้น้ำยาบ้วนปากของคุณบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหา”

ได้ยินดังนั้นบล็อกเกอร์หนุ่มก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ภันวัฒน์ถือโอกาสนั้นนั่งประจำที่ แต่ครั้นนั่งลงแล้วคนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นเสียเอง ราวกับกำลังเล่นมากระดกกันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“มีอะไรเหรอครับ”

คนถูกถามไม่ตอบอะไร แต่เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ครัว เปิดตู้ด้านซ้ายสุดซึ่งอยู่ระดับเดียวกับศีรษะและหยิบบางอย่างออกมายื่นให้

“ไปแปรงฟันก่อนสิครับ”

ภันวัฒน์ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สืบเท้าเข้าหาร่างโปร่งบางกว่าตน ยื่นมือออกมารับน้ำใจจากอย่างเต็มที่ แต่เมื่อกำลังจะแตะแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมได้ อาทิตย์อัสดงกลับพูดขึ้นขัดอีกครั้ง

“มีอะไรน่ายิ้มถึงขนาดนั้นด้วยเหรอครับ”

อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันกลับทำให้ร่างใหญ่ยิ้มแฉ่ง ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดเช่นกันที่อาทิตย์อัสดงส่งคำถามนั้นออกไป เพราะคำตอบที่ได้รับ...

“เพราะมันเหมือนว่าคุณยอมให้ผมขยับเข้าไปใกล้คุณมากขึ้นอีกนิดไงครับ”

ร่างโปร่งรู้สึกมึนงงไปชั่วครู่ เนื่องจากไม่ได้คิดอะไรไปแบบนั้นเลย จริงอยู่ว่าเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายช่วยเหลือเขา สมควรจะตอบแทนบ้าง และการให้แปรงสีฟันไปแปรงฟันก่อนกินอาหารก็เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่า ‘ขี้ประติ๋ว’ เสียด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับตีความไปในทางที่ไกลจากความตั้งใจเดิมของเขาไกลโข

“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องแปรงแล้วกันครับ”

อาทิตย์อัสดงชักมือกลับโดยเร็วพลันเมื่อรั้งสติกลับมาได้ เขาหันขวับกลับไปยังตู้ที่อยู่ข้างๆ ชูแปรงสีฟันเข้าเก็บที่เดิมของมัน แต่ไม่ทันจะทำได้สำเร็จ ก็ถูกร่างใหญ่ขยับเข้ามาเบียดชิด มือหนาคว้าทับมือเรียวที่กำลังจะปล่อยของในมือลง

“อย่าเพิ่งใจร้อนสิครับ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาที่น้ำเสียงดูแหบพร่ากว่าปกติดังเฉียดหูไป ทำให้ร่างโปร่งไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้

อาทิตย์นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากขยับมือไปมากกว่านี้ร่างกายที่ประชิดกันอยู่จะยิ่งย่นระยะแนบแน่นมากไปกว่านี้ ครั้นจะเปล่งเสียงอะไรสักอย่างออกมาก็นึกคำพูดไม่ออก จึงได้แค่พยายามเบี่ยงหน้ากลับมาหาฝ่ายที่อยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้าที่สุด

อย่างน้อยให้เขาได้สยบข่มทางสายตาก็ยังดี

แต่เมื่อหันไปแล้วกลับยิ่งต้องหยุดหายใจเพราะรับรู้ถึงความใกล้ชิดที่มากกว่า

ใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ

นัยน์ตาสีราตรีดำขลับจับจ้องมา ราวกับว่ากำลังร่ายเวทคาถาให้ต้องประสานสายตาตอบ ติดตรึงอยู่บนลูกแก้วคู่นั้นจนไม่สามารถละสายตาออกห่างได้

อาทิตย์อัสดงได้แต่ทอดสายตามองดวงตาคู่นั้นที่ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยใจที่สั่นไหว ก่อนจะหยีตาปิดแน่นเมื่อรับรู้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่ได้เห็นเริ่มไม่ชัดเจนมากขึ้นทุกที ขณะที่ลมร้อนจากลมหายใจกลิ่นเปปเปอร์มินต์พัดแผ่วเข้ามาปะทะใบหน้าจนมันลามร้อนจากใบหน้าไปสู่ทั่วร่าง

หัวใจเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมา สัมพันธ์กับระยะห่างของใบหน้าที่ชิดเข้ามาเรื่อยๆ




----------------
รู้สึกเหมือนอารมณ์ตอนนี้จะสลับกับตอนที่แล้ว?

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 30-05-2016 09:16:00
ใคร ทำไม ยังไง เรื่องอะไรที่ทำให้เครียดจนนอนไม่หลับถึงกะล้ม
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 30-05-2016 10:59:54
ชอบเจ้าของร้านขนมกับคุณบล็อกเก้อ นะค๊ะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 30-05-2016 13:41:42
โอ๊ยยยยย คุณอาทิตย์ของเราาาาาาาาาา บุคคลปริศนาเจ้าของคอมเม้นนี่เป็นใครกันคะ มาปลุกอดีตของคุณอาทิตย์ทำไมมม เราก็ไม่รู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้น แต่ต้องเป็นเรื่องหนักหนาจริงๆล่ะค่ะที่ทำให้คุณอาทิตย์ถึงกับเครียดตลอดเวลา เฮ้อ เราอยากให้ปมนี้คลี่คลายจังค่ะ ให้เรากลับไปด่าคุณภันต่อเถอะค่ะ ไม่อยากสงสารคุณอาทิตย์แล้ววว พูดถึงคุณภัน ตอนนี้โคตรเท่ค่ะ บอกก่อนว่าเราไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่มันก็ต้องพูดจริงๆ เราขอเลิกหมั่นไส้คุณภันแป๊บนะคะ เราว่าตอนนี้คุณอาทิตย์อาจจะกำลังแย่ แต่มันจะไม่เลวร้ายไปทั้งหมดเพราะตอนนี้คุณอาทิตย์มีคุณภันอยู่ด้วยแล้ว ในความรู้สึกเราคุณภันเป็นผู้ชายอบอุ่นค่ะ เราเชื่อว่าแกจะสามารถดูแลคุณอาทิตย์ได้ และจะจับมือคุณอาทิตย์ผ่านเรื่องนี้ไปได้ในที่สุดเช่นกัน ดูสิคะ แค่คุณภันมา นอนกอดไว้ คุณอาทิตย์ก็หลับได้อย่างสบายใจแล้ว มันคงต้องเป็ฯคุนๆนี้แล้วล่ะค่ะคุณอาทิตย์ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภันแล้วนะคะว่าจะทลายกำแพงของ "ฟรี" ไปได้รึเปล่า ฮื้ออออ ตกใจจนหลุดเรียกฟรีนี่แสดงว่าจิตใต้สำนึกอยากเรียกอยู่ตลอดเวลานะคะ อิอิ เราขอร้องล่ะค่ะ พาเราฝ่ามรสุมที่นะคะ ชื่อตอน "ไม่รู้เนื้อรู้ตัว" นี่ เราเดาเต็มที่มากว่าหมายความว่าคุณอาทิตย์ไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าอยากพึ่งคุณภันนะคะ แอร๊ยยยย ป่วยก็มีคนดูแล ตื่นมาก็มีคนทำกับข้าวให้แล้วนั่งกินเป็นเพื่อน โอ๊ยยยยย เราว่าถ้าผ่านพายุลูกนี้ไปได้เราจะได้พบความละมุนน 5555555 รอนะคะะ รออย่างจริงจัง อย่าทำให้เราเครียดนานนะคะ  :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 30-05-2016 16:18:56
โหย.. พี่ฟรีน่าสงสารมากอ่ะ ถึงขั้นล้มนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะเนี่ย..
พี่ฮักห้ามทำพี่ฟรีเสียใจเด็ดขาดเลยนะ! ไม่งั้นหนูจะไปบึ้มบ้านพี่แน่ -^-
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: saotome ที่ 01-06-2016 22:58:26
อิ้วๆ จะจูบหรา
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 16th Entry : ไม่รู้เนื้อรู้ตัว [29/5/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-06-2016 09:05:24
หลับตาตามฟรีไปด้วยเลย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 17th Entry : หวานอมขมกลืน [3/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 03-06-2016 22:18:23
17th Entry : หวานอมขมกลืน






RRrrr

ราวกับสัญญาณช่วยชีวิตดังขึ้น ร่างโปร่งสะดุ้งโหยงเบิกตาเรียวขึ้นมาจนโต ประจันหน้ากับร่างสูงที่ถอยห่างออกไปเล็กน้อย รู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้นจนอยากจะพ่นลมหายใจออกมาในรวดเดียว

RRrrr

เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำเพื่อเรียกสติที่คล้ายว่าจะเตลิดเปิดเปิงไปชั่วครู่ให้กลับคืนมาโดยสมบูรณ์ อาทิตย์อัสดงชักมือที่กำแปรงสีฟันค้างอยู่ลง ซึ่งภันวัฒน์ก็ปล่อยมือที่ตนกุมเอาไว้ออกเช่นเดียวกัน

“มือถือผม”

ร่างโปร่งบอกพลางดันวัตถุในมือใส่อกของคนที่อยู่ตรงหน้า เมื่ออีกฝ่ายรับมันไปอย่างไม่มีทางเลือกแล้ว จึงเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่วางโทรศัพท์ทิ้งไว้ หยิบมันขึ้นมารับสายหลังจากเห็นว่าเป็นเพื่อนรักที่โทรเข้ามา

[มึงเป็นอะไรหรือเปล่า]

ไม่ทันได้ส่งเสียงออกไป ก็ถูกสวนประโยคกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเสียก่อน

“กูไม่เป็นไร แค่ตื่นสายนิดหน่อย ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกมึง

[ตื่นสายเหรอ]

หนึ่งฤทัยทวนคำตอบ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

[เออๆ งั้นก็ดีแล้ว แสดงว่านอนหลับสนิทสินะ กูนึกว่ามึงเป็นอะไรเสียอีก กะว่าถ้าคราวนี้ไม่รับสาย ตอนเที่ยงกูจะแวะเข้าไปหาแล้ว]

ได้ยินคำพูดของเพื่อนเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าเมื่อคืนเขาหลับสนิทไปจริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็บ่ายเบี่ยงประเด็นที่จะตอบ

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่วันนี้กูคงไม่เข้าไปแล้ว ฝากลาพี่โหน่งให้ด้วยแล้วกัน”

[ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าแต่เย็นนี้จะให้กูเข้าไปหาหรือเปล่า จะได้ซื้อผลไม้ไปฝาก กินผลไม้เยอะๆ จะได้สดชื่น หน้าตาไม่ซูบซีด]

หลังคำถามนั้นอาทิตย์อัสดงเหลือบตาไปมองทางคนที่อยู่ในห้องครัว แต่เห็นว่าร่างใหญ่นั้นไม่อยู่ที่นั่นแล้ว คาดว่าคงจะเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำกระมัง

“ไม่ต้องหรอก กูดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงมากก็ได้ กูบอกแล้วไงว่ากูโอเค”

[แน่นะ]

ถึงจะย้ำเช่นนั้นเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็จำไม่ได้ แต่หนึ่งฤทัยก็ยังถามซ้ำ ร่างโปร่งจึงต้องยืนยันให้ชัดเจนมากขึ้นอีก

“จริงๆ จริงแบบสุดๆ พรุ่งนี้มึงรอดูเลย กูจะเอาหน้าบลิ๊งไปให้มึงดู โอเค้”

[จ้าๆ เชื่อแล้ว งั้นเท่านี้ก่อนแล้วกัน มึงจะได้พักผ่อน]

น้ำเสียงที่แตกต่างออกไป ละม้ายจำใจยอมแพ้ดังออกมา ร่างโปร่งกล่าวลา ‘เจอกันพรุ่งนี้’ เท่านั้นก่อนจะกดวางสายไป เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและวางโทรศัพท์ลงยังโต๊ะกลางเช่นเดิม กลีบปากเม้มเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนที่โทรศัพท์จะดัง

ถ้าหนึ่งฤทัยไม่โทรมา

เขากับผู้ชายคนนั้นจะ...จูบกันงั้นเหรอ?

แค่คิดก็รู้สึกร้อนเห่อขึ้นมาจนคันยุบยับไปทั้งใบหน้าและลามไปทั้งแขน ราวกับว่าเขาเพิ่งวิ่งมาราธอนมาอย่างไรอย่างนั้น

“คุณ”

“.....”

“คุณ”

เสียงที่เข้ามาในโสตประสาทเบาๆ ทำให้สะดุ้งและรู้สึกตัวว่าสติกำลังโบยบินออกไปโดยไม่ได้รับคำอนุญาต บล็อกเกอร์หนุ่มหันกลับไปมองคนที่ออกมาจากห้องน้ำแล้ว กระแอมเบาๆ ก่อนจะส่งเสียงออกไป

“ครับ”

“มากินข้าวเถอะครับ”

ได้ยินดังนั้นถึงนึกขึ้นได้ว่าตนทำอะไรค้างอยู่ อาทิตย์อัสดงยันตัวขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะเดินกลับไปยังที่โต๊ะอาหารเช่นเดิม เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับร่างสูงแล้วจึงเหลือบตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย ภันวัฒน์ยกช้อนขึ้นตักข้าวต้มขึ้นกินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งเกิดอะไรแบบนั้นขึ้น

“มีอะไรหรือเปล่า”

“หา?”

น้ำเสียงบ่งบอกถึงความงงงวยอย่างชัดเจน ผู้จัดการหนุ่มจึงต้องขยายความเพิ่ม

“คุณมองหน้าผมอยู่”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

ร่างโปร่งรีบตอบกลับไปราวกับร้อนรน พลางคว้าช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มเปล่าเข้าปากจนอีกฝ่ายต้องบอก

“ตักกับไปด้วยสิครับ กินเปล่าๆ มันไม่อร่อยนะ”

ราวกับคนป้ำเป๋อไปชั่วคราว อาทิตย์อัสดงรู้สึกเช่นนั้น ก่อนจะยื่นมือมาตักกับตามคำบอก คลุกข้าวต้มเม็ดสวยที่ดูจะเละลงกว่าปกติเล็กน้อยเพราะผ่านความร้อนมาถึงสองครั้งเข้าปากโดยไม่พูดอะไร ขณะที่อีกฝ่ายมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนผืนหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังขบขันอะไรสักอย่าง ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ยังทำเป็นมองไม่เห็น

กระทั่งอาหารและกับหมด บล็อกเกอร์หนุ่มจึงหยิบจานชามยกตรงไปยังอ่าง แต่ครึ่งหนึ่งของภาชนะที่ถูกใช้งานก็ถูกร่างใหญ่คว้าเอาไว้ก่อน ภันวัฒน์ขยับร่างมายืนเคียงอาทิตย์อัสดงที่อ่างล้างจาน

“เดี๋ยวผมล้างให้เอง คุณไปพักเถอะ”

อ้าปากเตรียมจะสวนเสียงคำว่า ‘แต่’ ทว่าก็ถูกกายที่สูงสง่ากว่าเขม่นมองราวกับจะดุจึงต้องหุบปากลงไป

มีคนล้างจานให้ก็สะดวกสบายมิใช่หรือ

บอกกับตนเองเช่นนั้นแล้ว ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ยินยอมเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นอีกคราว ทิ้งตัวเอนหลังด้วยท่าที่ผ่อนคลายที่สุดพลางดึงหมอนอิงที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมากอดด้วยไม่รู้จะทำอะไรดี จวบจนอาสาสมัครล้างจานเดินกลับมานั่งลงยังที่ว่างด้านข้างราวกับเป็นเรื่องปกติ ถึงได้คิดคำพูดขึ้นมาได้

“วันนี้คุณไม่ไปทำงานเหรอ”

เห็นว่าเกือบจะเข้าสู่ช่วงเที่ยงแล้วจึงอดสงสัยไม่ได้ ซึ่งคำตอบก็มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ ที่ราวกับจะหว่านเสน่ห์ให้ลุ่มหลง

“วันนี้ผมหยุดน่ะ”

“แล้วคุณไม่ต้องเข้าร้านเหรอ”

“เมื่อคืนผมไปทำขนมมาแล้ว ค่อยเข้าไปมืดๆ ก็ได้”

“แล้วคุณ...”

คล้ายว่าพยายามหาคำถามที่จะชักจูงอีกฝ่ายให้ออกไปจากบ้านตนเองให้ได้อย่างไรอย่างนั้น แต่ภันวัฒน์ก็จับได้ไล่ทันในทันที

“วันนี้คำถามเยอะจังนะครับ”

อาทิตย์อัสดงเกือบจะสำลักน้ำลายตนเอง ณ ตอนนั้น รับรู้แล้วว่าถูกรู้ทันจึงต้องเบนทิศ

“คุณบอกว่าไปทำขนมเมื่อคืน แสดงว่าคุณเปิดประตูบ้านผมทิ้งไว้เหรอครับ”

“ผมก็ใช้กุญแจบ้านคุณล็อกสิครับ”

“แล้วคุณเอากุญแจมาจากไหน”

“ก็คุณวางทิ้งไว้บนโต๊ะตัวนี้เองนี่นา”

ดูเหมือนว่าช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ตนจะมีความทรงจำค่อนข้างเลอะๆ เลือนๆ ก็เป็นได้ อาทิตย์อัสดงจึงมุ่นคิ้วเข้าหากันราวกับจำไม่ได้ว่าทิ้งกุญแจบ้านไว้แบบนั้น และมันก็ทำให้ไพล่คิดไปถึงอีกเรื่อง

“ผมขึ้นไปนอนที่ห้องได้ยังไงครับ เท่าที่จำได้เหมือนผมจะอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นคุณมา แล้วก็...” เสียงขาดหาย รอยย่นตรงหัวคิ้วหดระยะเข้าหากันมากกว่าเดิม ราวกับกำลังพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก “ผมเดินขึ้นไปเองสินะ น่าจะละเมอ”

น้ำเสียงที่เอ่ยดูเลือนลอยเล็กน้อย ประหนึ่งพูดออกมาโดยการนึกภาพในใจว่าคงเป็นเช่นนั้น ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองให้ดี ซึ่งมันก็ทำให้เสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาจากคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง

เสียงหัวเราะทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มต้องเชยหน้าขึ้นมองอีกคนอย่างฉงนว่ามีอะไรน่าขำ ยิ่งทำให้รอยยิ้มของภันวัฒน์กว้างขึ้นอีก เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะกลับมา

“คุณไม่ได้เดินขึ้นไปเองหรอก ผมต่างหากที่อุ้มขึ้นไป”

ได้ยินดังนั้นเจ้าของหน้าขาวตี๋ก็เบิกตาจนกลมโตขึ้นมากกว่าปกติเกือบเท่าตัว ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่คำอธิบายเพิ่มเติมก็ยังตามมาดังจะยืนยันว่าเป็นความจริง

“เกิดมาผมก็เพิ่งเคยอุ้มคนตัวใหญ่แบบคุณนะ ทุลักทุเลจนเกือบตกบันไดแน่ะ”

อาทิตย์อัสดงไม่รู้ควรจะรู้สึกสังเวชภันวัฒน์ที่ต้องลำบากลำบนอย่างน่าขำเช่นนั้น หรือว่าอับอายจนอยากเอาหัวมุดไปอยู่ที่ไหนสักทีดี จึงได้แต่หน้าร้อนฉ่าขึ้นมา

“คุณอุ้มผม...เนี่ยนะ?”

“ใช่ๆ ตอนเดินพื้นราบก็โอเคนะ ตัวคุณไม่ได้หนักเท่าไรหรอก แต่ตอนขึ้นบันไดเนี่ยแหละ เสียวสุดๆ ว่าจะหงายหลังหรือเปล่า”

ร่างโปร่งรู้สึกหน้าชาจนต้องเอามือกุมหน้าเอาไว้ให้มิดชิดเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย

“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบาก จริงๆ คุณไม่ต้องแบกผมขึ้นไปบนห้องก็ได้ ทิ้งให้ผมนอนบนโซฟาก็พอแล้ว”

เจ้าตัวได้แต่พูดให้เสียงลอดผ่านฝ่ามือที่ปิดบังใบหน้าอยู่ ไม่รู้ทำไมเห็นดังนั้นแล้วภันวัฒน์จึงรู้สึกว่าน่าเอ็นดู เขายิ้มกริ่มกับตนเองก่อนจะตอบเหตุผล

“อาการคุณดูไม่ดีเลย ให้นอนโซฟาคงจะไม่สบายตัว ใช่ไหมล่ะครับ”

คำถามนั้นทำให้คนถูกถามต้องครุ่นคิด มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่เขาก็ไม่แน่ใจหรอก หากแต่เมื่อคิดไปถึงการนอนบนเตียงแล้วก็ทำให้โยงไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าขึ้นมา

ทันทีที่ลืมตาก็ได้เห็นหน้าคนที่ตนเองอยากเลี่ยงมาโดยตลอด

“ถ้าอย่างนั้นคุณเรียกให้ผมลุกขึ้นมาเองก็ได้”

“คุณคงลุกไม่ไหวหรอกครับ แล้วก็...”

หน่วยตาคมดำขลับกวาดมองใบหน้าที่เผยออกมาทีละนิดเมื่อเห็นว่าตนเงียบไป จดจ้องดั่งต้องการสื่อความนัยอะไรบางอย่าง จนอาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับถูกตรึงเอาไว้ให้ไม่สามารถเบี่ยงสายตาหลบเลี่ยงไปทางอื่นได้ ได้แต่รอคอยคำพูดถัดไปที่จะออกมาจากอีกฝ่าย

“อย่าพยายามหาข้ออ้างเพื่อเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วเลยครับ เพราะมันเป็นอดีตที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จึงมีแต่จะต้องยอมรับและทิ้งมันไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าคุณจะยินดีหรือไม่ก็ตาม”

เสมือนหอกเล่มใหญ่เสียดผ่านผิวเนื้อเข้ามาในอก อาทิตย์อัสดงรับรู้ได้ถึงสัมผัสคมกริบที่ค่อยๆ แหวกประสาทสัมผัสเข้ามา มันเจ็บจนปวดหนึบ เพราะสิ่งที่ภันวัฒน์พูดนอกจากจะถูกต้องตามสถานการณ์นี้แล้ว ยังยืดโยงไปเกี่ยวเข้ากับความลับที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ในอก

“ฟรี ฟรีครับ”

“.....”

“ฟรี!”

เสียงที่เรียกดังขึ้นทำให้บล็อกเกอร์หนุ่มสะท้านเฮือกทั้งกาย รับรู้บรรยากาศรอบตัวได้อีกครั้ง แต่ยังไม่วายมึนงง สีหน้าแสดงออกอย่างชัดแจ้งจนคนเห็นอดไม่ได้ที่จะถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่ได้เป็นอะไรครับ ว่าแต่...”

เขาหยุดเสียงพูดครู่สั้นๆ คิดอยู่ในใจว่าจะหยิบคำพูดไหนมาต่อบทสนทนาดี ฉับพลันหนึ่งก็นึกขึ้นได้

สิ่งที่เขาสมควรทำที่สุดในเวลานี้

“คุณไม่มีธุระอะไรแล้ว น่าจะกลับไปพักนะครับ วันหยุดทั้งที”

มุ่งสู่ประเด็นที่ตนเคยพยายามอ้อมค้อมมาตลอด แต่อีกฝ่ายกลับตอบอย่างไม่ยินดีตอบสนอง

“ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่า”

ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มีความพยายามที่จะเข้าหาเขานัก ทั้งที่ปฏิเสธไปอย่างชัดเจนและบอกเหตุผลไปแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาครามครัน เพราะมันทำให้เขายากที่จะผลักไสภันวัฒน์มากขึ้น

ยิ่งถูกรุกไล่เข้าหา เขาก็ยิ่งต้องเสียเวลาตั้งรับ และมันก็ทำให้วิ่งหนีได้ล่าช้าลงเท่านั้น

“คุณไม่ต้องใส่ใจผมก็ได้ คุณจะทำอะไรก็ได้ ตามสบายเลย ขอแค่ให้ผมอยู่ใกล้ๆ ก็พอ”

“ผมว่า... คุณไม่ค่อยเหมาะกับบทผู้ชายที่แสนดี คอยเฝ้ามองคนที่ตัวเองสนใจสักเท่าไรนะ”

ดูจากบุคลิกของร่างสูงแล้วน่าจะเป็นเช่นนั้น พนันได้เลยว่าที่ผ่านมาคงมีแต่คนเข้าหาเป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก ทัศนคติ หรือฐานะ ก็ดูจะเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง แน่นอนว่าดูสมบูรณ์แบบกว่าเขาหลายเท่า

“นั่นก็แล้วแต่ว่าคนคนนั้นเป็นแบบไหนมากกว่า ในเมื่อคุณไม่สนใจผม ก็ต้องเป็นฝ่ายผมสิที่คอยใส่ใจคุณ”

“ตรรกะประหลาดดีนะครับ”

“เพื่อความสมดุลไงคุณ” ภันวัฒน์ยิ้มย่องราวกับว่าตนทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วและน่าเชิดชู ก่อนจะขยับสะโพกเล็กน้อย กระเถิบร่างที่อยู่ใกล้ร่างโปร่งให้ระยะห่างลดลงอีก “เอางี้ดีกว่า คุณมีหนังอะไรสนุกๆ ให้ผมดูหรือเปล่า เดี๋ยวผมจะอยู่ดูหนังเฉยๆ ส่วนคุณก็นอนพักผ่อนไป ดีไหมครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อยากพักแล้ว”

ร่างกายรับรู้มาตลอดว่ายามที่หลับตาลงจะเป็นเช่นไร อาทิตย์อัสดงจึงสวนคำตอบกลับไปทันควัน แต่นั่นก็ทำให้ภันวัฒน์ยิ้มอ่อน มือหนายกขึ้นลูบศีรษะคนนั่งข้างเบาๆ

“พักเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนเอง”

ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังเผชิญเรื่องแบบไหนอยู่ แต่ร่างสูงก็ทำประดุจรู้ทะลุปรุโปร่ง ทว่าช่างน่าประหลาดเหลือเกินที่เพียงมือใหญ่นั้นลูบผมเบาๆ กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ขนาดนี้ สีหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มอ่อนลง แม้คิดว่าตนควรปัดมือนั้นทิ้งเสียมากกว่า

“นะ”

เสียงทุ้มดังอีกคล้ายเอื้อนเอ่ยประโยคขอร้อง อาทิตย์อัสดงจึงยอมผ่อนกายลงเล็กน้อย จากนั้นเอนตัวลงยังโซฟาอย่างเชื่องช้า พร้อมกับย้ายหมอนในอ้อมกอดไปยังใต้ศีรษะ ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบรับการกระทำจากอีกฝ่าย

ภันวัฒน์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ขาของคนข้างหลังยืดออกมาได้เต็มที่ พลางถาม ‘กอดหมอนไหมครับ’ พร้อมฉวยหมอนอิงที่อยู่ใกล้ตัวขึ้นมาส่งให้ และคนถูกถามก็รับมันไปกอดแนบอกแต่โดยดี เห็นดังนั้นแล้วผู้จัดการหนุ่มก็โน้มกายเข้าหาเล็กน้อย

อาทิตย์อัสดงลืมตามองใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ ใคร่รู้ขณะเดียวกันก็หวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ตาที่ลืมอยู่เบิกโพลงยิ่งขึ้น

ริมฝีปากของภันวัฒน์กดแนบเข้าที่หน้าผากเบาๆ

หากมีสตินับได้คงสักสามวินาทีกระมัง แต่สำหรับอาทิตย์อัสดงกลับไม่รู้ว่ามันยาวนานแค่ไหน

“ฝันดีนะครับ”

กระทั่งเสียงนั้นดังอีกคราเปลือกตาจึงกะพริบถี่เช่นเดียวกับแมลงปอกระพือปีก จากนั้นภายในอกก็เกิดเสียงทึบๆ ตามมาระรัว ความร้อนแล่นไหลไถลมาสู่ใบหน้า ไม่แน่ใจว่าหายใจอยู่หรือเปล่าไปชั่วคราว

เมื่อเรียกสติได้มือเรียวที่กอดหมอนอยู่ก็ยิ่งขยำมันแน่น ถ้าไม่คิดว่ามันคงน่าอับอายอย่างมาก เขาคงดึงหมอนขึ้นมาปิดหน้าไปแล้ว แต่เพราะไตร่ตรองดีแล้วว่าทำเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ๆ เจ้าตัวจึงเพียงขบริมฝีปากแน่น พยายามกล่อมตัวเองให้กลับคืนสภาวะปกติที่สุด พร้อมกับหลับตา แสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำอุกอาจของอีกฝ่าย ทั้งที่ในใจร้องร่ำว่า...

เจอแบบนี้ใครหลับลงก็บ้าแล้ว!

แต่ทั้งที่คิดว่าเป็นแบบนั้น ร่างโปร่งกลับเข้าสู่ภวังค์ได้ง่ายดายหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ราวกับคนอดยากหิวโหยการนอนจนยากต่อต้าน

ภันวัฒน์มองภาพใบหน้าที่ดวงตาปิดพริ้ม มือซึ่งกำแน่นอยู่ที่หมอนคลายลง จึงจุดยิ้มที่กรอบหน้าคมคายด้วยความพึงพอใจ เพราะแม้ว่าสีหน้าของบล็อกเกอร์หนุ่มจะดีขึ้นมากกว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังมีร่องรอยของความเหนื่อยล้าที่เจ้าตัวไม่แสดงออกมาแฝงอยู่

จากนั้นกายสูงค่อยฉุดตัวลุกขึ้น เดินตรงไปยังโทรทัศน์ซึ่งมีเครื่องเล่นดีวีดีอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีแผ่นหนังวางเรียงอยู่ระเกะระกะนิดหน่อย บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของมันไม่ใส่ใจจะจัดเก็บนัก เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น ใส่เครื่องเล่นอย่างถือวิสาสะ และกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม ตามด้วยกดรีโมทเปิดเสียงโทรทัศน์ในระดับเบาที่สุดเท่าที่จะได้ยิน แล้วมองสลับกล่องสี่เหลี่ยมที่เริ่มฉายภาพกับใบหน้าของคนหลับที่อยู่ด้านหลัง

เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับสบาย ไม่รู้ทำไมถึงสัมผัสได้ถึงความสุขใจ





เย็นย่ำแล้วกว่าดวงตาปิดสนิทจะเปิดขึ้น สิ่งแรกที่อาทิตย์อัสดงเห็นไม่ใช่เพดานหรืออากาศเบื้องหน้า หากแต่เป็นร่างของภันวัฒน์ที่เอนพิงพนักโดยมีเท้าของเขาพาดอยู่บนตัก เจ้าของร่างนั้นกอดอกหลับตา ดูท่าว่าคงจะหลับไปเช่นเดียวกัน

เห็นดังนั้นก็รีบชักขาของตนเองลงสู่พื้น หันมองรอบบริเวณเพื่อรับรู้ถึงสภาพซึ่งเปลี่ยนแปลงไปนับจากที่สติดับวูบ ไม่นึกคิดเลยว่าจะหลับได้สนิท ไม่มีฝันร้ายแผ้วพานราวกับหลายคืนที่ผ่านมาเป็นเรื่องโกหก เขาเพ้อพกฟุ้งซ่านไปเอง

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

อยู่กับผู้ชายคนนี้ เขาสบายใจจนกระทั่งสามารถหลับได้ทั้งที่หวาดกลัวเชียวหรือ

ฉับพลันที่ความคิดนั้นท่วมท้นออกมา อาทิตย์อัสดงรู้สึกกลัว ตัวเขาในจิตใจกำลังนั่งกอดตัวเองซุกอยู่ที่มุมมืด ทั้งร่างสั่นเทิ้ม

สัญญาณเตือนอันตรายหวีดร้องจนแสบแก้วหู

ไม่เอาแล้ว เขาต้องออกไป ต้องอยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่จะให้ปลุกคนที่นอนหลับอยู่เพื่อไล่กลับบ้าน ก็ออกจะเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างไร้มารยาทไปสักหน่อย อาทิตย์อัสดงจึงได้แต่มองอีกฝ่าย ครุ่นคิดหาวิธีออกที่ดีที่สุดและไม่เป็นการขับไล่อย่างน่าเกลียดจนเกินไป ทว่าก็จนปัญญา

เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อให้ภันวัฒน์ล้มเลิกความตั้งใจเสีย

เพราะตลอดที่ผ่านมาชายคนนี้ไม่เคยเปิดรับคำพูดทำนองนั้นของเขาสักครั้ง

คล้ายคนหูหนวกตาบอดที่เอาแต่จะพุ่งชนจุดหมาย

แง่หนึ่งก็นับได้ว่าเป็นคนที่น่าชื่นชมมากทีเดียว เพราะมีความมุ่งมั่นถึงเพียงนั้น

แต่ในอีกแง่ ฉายชัดถึงความดันทุรัง ดื้อรั้น และมันก็ก่อความลำบากให้เขาเสียเหลือเกิน

หลังจากนั้นไม่นาน เสมือนว่าร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มแล้ว ร่างสูงจึงกลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง เขาลืมตาหันมองรอบด้าน พบว่าเจ้าของบ้านตื่นแล้วเช่นกัน ร่างโปร่งนั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จ้องมองมาทางเขา และพอสายตาประสานกัน อาทิตย์อัสดงก็หันหน้าไปทางอื่นทันควัน

“กี่โมงแล้วเหรอครับ”

เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองไปทางฝั่งผนังพอดี จึงใช้ประโยชน์ในคราวเดียว ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็อึกอักเล็กน้อยก่อนจะส่งคำตอบกลับมา

“สี่โมงครึ่งแล้ว”

“งั้นผมว่า วันนี้เราสั่งอะไรจากข้างนอกมากินดีไหม ถึงจริงๆ ผมจะอยากกินอาหารฝีมือคุณมากกว่าก็เถอะ แต่ไม่อยากให้คุณเหนื่อย”

ยามได้ยินประโยคกลาง อาทิตย์อัสดงกลับคิดสิ่งหนึ่งได้ฉับพลัน

เขาติดหนี้บุญคุณคนคนนี้อยู่ จำต้องสะสางเพื่อขจัดเรื่องค้างคา จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดชอบชั่วดีตอนโยนตัวเองออกห่างความใกล้ชิดที่มีระหว่างกัน ณ ปัจจุบันนี้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำให้เอง”

“อยากรีบใช้หนี้กันเร็วขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

คล้ายว่าผู้จัดการหนุ่มจะรู้ทัน ถึงได้สวนเสียงกลับมาอย่างไม่รีรอ ใบหน้าคมคร้ามประทับด้วยประโยคคำถามแฝงแววแดกดันอย่างไรชอบกล อาจคิดไปเองก็ได้ แต่ร่างโปร่งกลับรู้สึกเช่นนั้นโดยไม่อาจปฏิเสธ จึงโต้แย้งกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

“ที่คุณมาหาผมตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เหรอครับ”

“มันก็ใช่ครับ ผมมาหาคุณเพราะผมอยากกินอาหารฝีมือคุณ แต่ไม่ใช่ว่าผมอยากให้คุณใช้หนี้เร็วๆ เพราะคุณจะใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงการเจอกับผม ใช่ไหมล่ะครับ”

ทั้งที่พอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายรู้ทัน เพราะไม่ว่าครั้งไหนๆ เจ้าตัวก็ใช้ความฉลาดเป็นกรดไล่เบี้ยเขาจนมุมได้เสมอ ถึงกระนั้นเมื่อได้ยินกับหูของตนเองแล้ว กลับรู้สึกว่ามันจี้ใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ผมทำเพื่อตัวเอง และทำเพื่อคุณครับ อย่าเสียเวลาเลยนะครับ ถือว่าขอร้อง”

อาทิตย์อัสดงเอ่ยเสียงอ่อน เขาไม่เคยวอนขอใครเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และเขาก็เต็มใจทำหากว่ามันจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างที่ต้องการ

“ผมทำไม่ได้ครับ”

คำตอบพุ่งตรงออกมาอย่างแน่วแน่ราวกับศรที่ถูกง้างออกมาจากคันธนูหลังจากเล็งเป้าเป็นอย่างดีแล้ว มันไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่มิลลิเมตรเดียวจากหัวใจของคนฟัง ทำให้หน่วยตาของบล็อกเกอร์หนุ่มหลุบต่ำลง รู้สึกทดท้อในใจว่าจะทำเช่นไรถึงจะผลักไสอีกฝ่ายให้พ้นไปจากชีวิตตนเองได้

ไม่อยากทำร้าย หรือใช้วิธีที่ร้ายกาจ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกย่ำแย่ต่ออีกฝ่าย ออกจะรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

เขายอมรับในเรื่องนั้น

และเพราะยอมรับมันนั่นแหละ ถึงทำให้เขายิ่งหวาดกลัวเหลือคณา

ในคราวแรกที่ได้รู้จักกันเขาอาจไม่พอใจในการกระทำของภันวัฒน์ แต่ยิ่งได้ทำความรู้จักลึกซึ้งมากเพียงใด ความอคติที่เคยมีก็หันเหเข้าสู่ทิศตรงกันข้าม และกว่าจะรู้ตัว มันก็ล่วงเข้ามาในเขตอันตรายเสียแล้ว

“ยิ่งคุณต่อต้านผมเท่าไร ผมก็ยิ่งดื้อดึง รู้ไหมครับ”

อาทิตย์อัสดงได้แต่เงียบ กับคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“การที่คุณหวาดกลัวผม มันยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากเข้าใจคุณมากขึ้น สนใจคุณมากขึ้น อยากทำให้คุณยอมเปิดรับผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคุณ”

หากเขาเป็นคนปกติทั่วไป ไม่ได้มีเหตุการณ์ฝังรากลึกจนขุดถอนโคนต้นไม่ออกเช่นนี้ เขาอาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้

ร่างโปร่งบอกกับตนเองเช่นนั้น แต่เพราะมันไม่ใช่ เขายังคงเป็นคนที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ และหวั่นกลัวการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มันถึงได้พบกับจุดจบเช่นนี้

“ปล่อยให้ผมพยายามของผมเองคนเดียวได้ไหมครับ คุณจะนิ่งเฉยต่อไปก็ได้ คุณจะตั้งป้อมแน่นหนาสักกี่ชั้นก็ได้ แล้วผมจะเป็นคนทลายมันเอง คุณไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่างเดียว”

อ่อนอกอ่อนใจเหลือประมาณกับชายคนนี้ ข้อเสนอนั้นน่าฟังราวกับว่าเป็นเรื่องเรียบง่าย ประหนึ่งว่าเขากำลังรอคอยสักคนที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะไม่อาจทำใจปล่อยวางมันลงได้ง่ายๆ จึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นานอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียว กว่าอาทิตย์อัสดงจะขับเสียงของตนเองออกมาได้

“คุณอยากกินอะไรเป็นอาหารเย็นครับ”

อาจเป็นการปัดบทสนทนาเดิมทิ้งอย่างไม่ไยดี และน่าทุเรศที่สุดก็เป็นได้ แม้กระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ไม่แยแสมัน ยังคงตีหน้าเฉยอย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่ภายในใจเกิดความรู้สึกซับซ้อนจนหาคำมาจาระไนไม่ได้

ภันวัฒน์ถอนหายใจเบาบางอย่างไม่ปิดบัง บอกตนเองว่าทำได้เพียงยอมรับการวิ่งหนีของอีกฝ่าย มันอาจเร็วเกินไปที่จะฝืนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม

จะยอมไปก่อนก็ได้ แต่ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้

“อะไรก็ได้ครับที่คุณอยากกิน”

หลังจากนั้นอาหารมื้อเย็นที่ดูจะเร็วกว่าเวลาไปสักหน่อยก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบสงบเมื่อเจ้าของบ้านทำ ‘อะไรก็ได้ครับที่คุณอยากกิน’ เสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนต่างไม่มีคำพูดคำจาใดๆ ต่อกัน พานให้บรรยากาศอึมครึมโรยตัวลงมาอย่างหนาแน่น รวมตัวกันจนเป็นเมฆครึ้มแผ่นกระจายภายในห้องรับประทานอาหาร

และอาหารมื้อนั้นก็จบลงเช่นนั้นด้วยความรู้สึกอึดอัดในใจ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ตนปรารถนาอย่างแท้จริง แต่ไม่รู้เหตุใดอาทิตย์อัสดงกลับรู้สึกแน่นหน้าอก ประหนึ่งดำดิ่งอยู่ในน้ำลึกและอากาศในถังออกซิเจนที่ช่วยประคองการใช้ชีวิตอยู่ใต้โลกบาดาลกำลังจะหมด

กระอักกระอ่วน คิดอยากพูดอะไรมากมายเพื่อทำลายความรู้สึกนี้ แต่ไม่มีวลีไหน บริบทใดลอยเด่นขึ้นมาในสมอง มีเพียงความว่างเปล่าที่อืดตื้อบรรจุอยู่จนแทบจะระเบิดออก

ภันวัฒน์ที่เงียบแบบนี้ เขาไม่เคยรับมือมาก่อน

เพราะความอ่อนด้อยประสบการณ์หรือ ถึงทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองและทรมาน

เมื่อล้างจานเสร็จโดยมีลูกมือมาช่วยประจำการโดยไม่มีการขออนุญาตหรือเรียกร้องเฉกเช่นมื้อสาย แต่กลับรับส่งหน้าที่กันได้ราวกับรู้ใจ จึงทำงานได้อย่างฉับไว ทั้งที่ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ดังขึ้นมาสักนิด ทั้งคู่ก็กลับมายังห้องนั่งเล่นอีกครั้ง








อ่านต่อด้านล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 17th Entry : หวานอมขมกลืน [3/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 03-06-2016 22:19:09
ต่อจากข้างบน



v



v




อาทิตย์อัสดงทิ้งตัวลงโซฟาหลังเดิมที่ใช้รองร่างมาเกือบตลอดทั้งวัน ขบฟันเข้ากับด้านในของริมฝีปาก ครุ่นคิดว่าควรจะทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์เช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องอึดอัดและรู้สึกผิดติดอยู่ในใจจนแกะไม่ออก เพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขาหายใจไม่สะดวกมากแล้ว ทว่าทันใดนั้นภันวัฒน์มายืนต่อหน้า สายตาจับจ้องมาที่เขา

ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นเผชิญอย่างใคร่รู้ เพราะไม่มีสิ่งใดจะทำได้ไปมากกว่านี้ และเมื่อสายตาสอดประสานกัน เสียงจากชายหนุ่มผิวเข้มที่อยู่เบื้องหน้าพลันดังขึ้น

“ผมจะกลับแล้วครับ”

น้ำเสียงที่ได้ยินดูราบเรียบกว่าปกติ ไม่มีรอยยิ้มทะเล้น เค้าเงาของความยียวนอยู่บนผืนหน้าคมคาย เห็นดังนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนกระแสไฟแล่นปราดอยู่ในอกจนร่างชา ความรู้สึกละม้ายหดหู่เหงาเศร้าเผยกายออกมาจนพูดไม่ออก

“เหรอ... เหรอครับ ถ้าอย่างนั้น... ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

คำพูดกระท่อนกระแท่นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจสักนิด แต่หากคิดจะแก้ไขมันก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงได้แต่หลุบตาลง ก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงต้นเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ประสาทรับรู้ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงหูเท่านั้น

“ช่วยออกไปส่งผมที่หน้าบ้านหน่อยได้ไหมครับ”

นิ่งค้างไปครู่หนึ่งหลังจากประโยคนั้นดังมาจากฝั่งตรงข้าม บล็อกเกอร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นอีกครา มองอีกฝ่ายที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน หน่วยตาดวงคมทอดลงมายังเขาที่อยู่ในระดับต่ำกว่า

แววตาคู่นั้นที่ได้เห็น สายตาที่มองมา คล้ายสะท้อนภาพเขาอย่างชัดเจน ทั้งที่อยู่ในระยะห่างซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ แต่กลับคิดไปเช่นนั้น และมันก็ทำให้เสียงตอบรับดังในลำคออย่างไม่ตั้งใจ

“อืม”

เบาแสนเบา แต่มันกลับไปกระทบกับส่วนรับเสียงของร่างสูงได้อย่างไรไม่อาจทราบได้ ภันวัฒน์ยอมขยับเท้า ผละห่างออกมาเล็กน้อยราวกับหลีกทางให้อีกฝ่ายลุกขึ้นและก้าวล่วงออกมา คนที่ถูกเชื้อเชิญไปโดยปริยายจึงนำไปยังหน้าบ้าน และหยุดฝีเท้าที่ประตู มือเรียวเปิดรั้วสูงที่ไม่อาจกั้นชายที่เดินตามหลังได้เลยสักคราค้างไว้

ยามสนธยาท้องฟ้าสีแสดสดขณะเดียวกันก็หม่นครึ้ม ดวงตะวันที่เคยกลมซ่อนตัวหลังผืนดินเกินกว่าครึ่งดวง บรรยากาศโพล้เพล้ที่เคยไม่ใส่ใจ ในเวลานี้กลับยิ่งบีบรัดอารมณ์ความรู้สึกที่สาธยายออกมาได้ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่แจ่มชัดในความนึกคิดของอาทิตย์อัสดง...

มันไม่ใช่ความสุขอย่างแน่นอน

ภันวัฒน์ก้าวล่วงเลยเขตอาณาบริเวณของบ้าน มายืนประจันหน้ากัน ยังคงไร้คำพูดเช่นเดิม มีเพียงสายตาที่สื่อนัยอะไรสักอย่างที่คนมองอ่านไม่ออก จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายได้

หรือบางที...อาจจะแสร้งทำเป็นอ่านไม่ออกก็เป็นได้

อาทิตย์อัสดงไม่อยากคิดหาคำตอบว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่

“ถ้าอย่างนั้น...กลับดีๆ นะครับ”

ล่ำลาด้วยประโยคเดิมอีกคราว เพราะไม่รู้ว่าหากตนไม่พูดอะไรออกมาสักอย่าง ความเงียบเนิ่นนานนี้จะจบลงเมื่อไร แต่ครานี้ปาติซิเย่หนุ่มวาดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยจนแทบไม่เห็น ราวกับว่าเจ้าตัวรอคำพูดนี้มาตลอดทั้งที่มันเคยผ่านหูมาแล้วหนึ่งครั้ง

ทว่าเพียงเท่านั้น แค่การขยับมุมปากเพียงน้อยกลับทำให้ความรู้สึกหลากหลายในใจของคนเห็นสลายตัว สิ่งที่ฝังอยู่ภายในอกพองตัวดุจถูกสูบลมเข้าไปอย่างรวดเร็ว และมันก็ชักจูง โน้มน้าว หรืออาจจะเหนี่ยวนำให้ดวงหน้าขาวปรากฏรอยยิ้มได้เช่นเดียวกัน

ร่างโปร่งรู้สึกตัว... รู้สึกถึงริมฝีปากและแก้มที่ขยับตัวเปลี่ยนทิศไป ทว่าไม่อาจยับยั้งมันได้ ได้แต่ต้องข่มให้สิ่งเหล่านั้นกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด แต่มันคงดูประดักประเดิดในสายตาของคนมองเหลือเกิน กลีบปากที่เหยียดออกเพียงน้อยนิดในคราวแรกของภันวัฒน์จึงขยับขยายกว้างขึ้น

ความสดใสเบ่งบานกลับมา ก่อนใบหน้าคมเข้มจะเขยื้อนย่นเข้ามาใกล้

อาทิตย์อัสดงเบิกตาขึ้นน้อยๆ กับระยะทางที่หดสั้นลงในเวลากระชั้นชิด แต่เพียงวูบเดียว เพียงกะพริบตาครั้งเดียวเท่านั้น สัมผัสจากอะไรบางอย่างก็แนบทาบกับริมฝีปากเขาเสียแล้ว

รู้สึกว่ามันเป็นช่วงสั้นๆ ราวกับไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่สิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาจนประทับ

แต่รู้สึกนานเหลือเกินยามมันประกบทิ้งค้างลงมา

ดวงตาได้แต่เปิดขึ้นกว้างเสมือนถูกทากาวเอาไว้จนไม่สามารถปิดได้ หายใจไม่ออกคล้ายถูกปิดกั้น ขณะเดียวกัน...กลับมีเสียงรัวกลองดังอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าคอ มันทุบดังตึงๆ หลายครั้งจนกลัวจะมีอะไรกระเด้งกระดอนออกมา

และเมื่อความนุ่มหยุ่นที่แต้มทับบนริมฝีปากจากไป ความวูบหวิวราวกับสายลมเหน็บหนาวก็พัดผ่านจนกายสะท้าน ใบหน้าที่เคยอยู่ใกล้จนมองไม่ออกกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกคราว พร้อมรอยยิ้มประดับที่จับสัญญาณได้ถึงวี่แววของความสุข

“ผมไปนะครับ แล้วเจอกันใหม่”

ทิ้งประโยคนั้นไว้ จากนั้นร่างสมส่วนก็หมุนตัวกลับไปยังอีกด้าน เปิดประตูรถแล้วลับร่างเข้าไปในนั้น ก่อนพาหนะสีเทาดำจะแล่นจากไป ขณะที่อาทิตย์อัสดงทำได้เพียงยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่าประตูบ้านจะถูกปิดลง บล็อกเกอร์หนุ่มทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ เดินกลับมาในตัวบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าตนเข้ามาอย่างไรกันแน่ ทั้งที่คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว แม้ล็อกบ้าน เดินขึ้นห้องนอนก็ยังรู้สึกว่าไร้สติเต็มที สิ่งที่รับรู้และรบกวนใจอยู่ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว

สัมผัสที่หลงเหลือร่องรอยไว้บนริมฝีปาก

มันร้อนและอ่อนนุ่ม

สายน้ำไหลผ่านร่างกายไป ขณะที่มือถูสบู่ไปเรื่อยเปื่อย ล้างเนื้อล้างตัวจนเสร็จแล้ว แต่ความร้อนที่ถูกทาบทาด้วยคนอื่นก็ยังไม่คลายลง แม้กระทั่งสวมเสื้อผ้าเบาสบายเหมาะสมกับการนอนและทิ้งตัวลงบนเตียงก็แล้ว มันก็ยังวิ่งวนเวียนอยู่ภายในสมอง สลับกับใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของร่องรอยนั้น และเหตุการณ์รวมทั้งคำพูดต่างๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังแห่แหนมารวมตัว

อาทิตย์อัสดงฝืนหลับตา แม้จะเรียกได้ว่ายิ่งกว่านอนแต่หัวค่ำก็ตามเพราะไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้คอยก่อกวนเรื่อยไป มันเป็นทางหนีที่ง่ายดายที่สุดที่เขาจะทำได้ในเวลานี้ ทว่าดูเหมือนมันจะมีพลานุภาพสูงเกินกว่ากิจวัตรง่ายๆ จะมาคร่ามันไป

ตาแข็ง...

ไม่ได้กินกาแฟแท้ๆ แต่อาการเช่นนั้นกลับก่อเกิดขึ้นในคืนนี้ ครั้นพยายามนับแกะ นอนพลิกตัวไปมา ก็ยังไร้ผล ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดสิ่งที่ลอยล่องอยู่ในหัวและสติออกไปไม่ได้เลย สุดท้ายจึงเลือกที่จะล้มเลิกความตั้งใจ

มือเรียวกวาดลูบไปบนที่นอนราวกับหาอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พบ คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพบคำตอบว่าตนไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือติดมามาด้วย กายโปร่งจึงยันขึ้นเหนือเตียง ก่อนตรงออกจากห้องไปยังชั้นล่าง เพราะเท่าที่เรียกความทรงจำกลับมาได้ ดูเหมือนเขาจะทิ้งมันไว้ที่ห้องนั่งเล่น

เป็นเช่นนั้นจริง เพราะเมื่อไปถึงจุดหมายในห้องนั่งเล่นมืดซึ่งมีแสงไฟสลัวรางจากถนนด้านนอก พบว่ามันวางอยู่บนโต๊ะกลาง เจ้าของกายขาวคว้ามันขึ้นมาปลดล็อก นึกถึงกิจกรรมอย่างแรกที่ตนมักทำสม่ำเสมอยามที่มีสิ่งนี้อยู่ในมือ

บล็อกของเขา...

ความคิดนั้นราวกับดึงสติรับรู้ให้หวนคืนกลับมาได้ ทว่าฉับพลันที่ระลึกถึงมัน ความรู้สึกบางอย่างก็ถาโถม

เขาลืม...

ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้เช็กบล็อกเลยตั้งแต่ภันวัฒน์มาที่นี่

ตัวชาวูบขึ้นมาในบัดดลเหมือนถูกน้ำเย็นจากขั้วโลกสาดในคราวเดียวจนเปียกตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นิ้วหัวแม่มือเลื่อนกดเข้าไปดูเอนทรี่ล่าสุด แล้วดวงตาที่สะท้อนแววตะลึงงันก็ยิ่งพรึงเพริดยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเห็นจำนวนคอมเมนต์ มันมากมายมหาศาลกว่าครั้งไหนๆ ที่เขาได้เห็น

ลมหายใจหยุดไปชั่วคราว มือสั่นเทาอย่างอ่อนแรง

อาทิตย์อัสดงพยายามใช้เรี่ยวแรงที่เค้นออกมาเพื่อกดดูคอมเมนต์และเลื่อนหาสิ่งที่เขารู้ว่ามันจะมี

ข้อความของใครคนนั้น...

และมันก็เป็นอย่างที่เขาแน่ใจ

ภาพบางอย่างถูกแนบมาหลายต่อหลายรูปทุกๆ สองชั่วโมง ปิดท้ายด้วยตัวหนังสือที่ราวกับตั้งใจให้มันใหญ่เป็นพิเศษ  และเมื่อได้อ่านจนเข้าใจความหมาย ขาที่หยัดยืนอยู่ได้ก็สิ้นแรง ทั้งร่างทรุดฮวบลงกองกับพื้น ใบหน้าที่ซีดเผือดจนขาดสีเลือดซุกลงกับสองเข่า

ความปวดร้าวแล่นริ้วมาจุกอกจนต้องกัดริมฝีปากแน่นท่ามกลางความมืดที่แสนเงียบงันและวังเวง...






---------------------------
อ่านตอนนี้แล้วควรรู้สึกยังไงนะ
น่าจะดีใจ ถ้าไม่ได้อ่านช่วงท้ายก่อนตอนจบ?

ป.ล. ตอนหน้าจะมีคีย์เวิร์ดว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตของคุณอาทิตย์อัสดงค่ะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 17th Entry : หวานอมขมกลืน [3/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 03-06-2016 22:55:37
รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง... ฮื้อออออ เอาตอนแรกก่อน ตอนนี้เรายอมแล้วค่ะ เต็มที่ค่ะคุณภัน สู้ๆนะคะ ทลายกำแพงของคุณอาทิตย์ให้ได้นะคะ แต่ทำลายแบบนุ่มนวลหน่อยเถอะค่ะ คุณอาทิตย์ของเราเปราะบางนะคะ แต่จะผิดไหมคะเนี่ย ถ้าเราจะอยากให้คุณภันย้ายสำมะโนครัวมาอยู่กับคุณอาทิตย์มันซะเลย นี่ดูก็รู้นะคะว่าคุณอาทิตย์ตกหลุมคุณภันไปลึกมากแล้ว ไม่น่าจะขึ้นมาได้แล้วด้วย แต่มันก็ติดตรงอดีตคุณอาทิตย์นี่แหละค่ะ คนเก่าของคุณภันด้วย เฮ้อ ขออย่าให้ 2 เรื่องนี้มาพร้อมกันเลยเถอะค่ะ เรากลัวคุณอาทิตย์พังกว่านี้ แต่ว่ากันจริงๆนะคะ เรามีความรู้สึกว่าอดีตคุณอาทิตย์นี่คือแฟนเก่า? อันนี้เราก็ไม่รู้ แต่ถ้าใช่ ก็อย่างที่คุณันบอกแหละค่ะ อดีตมันผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปทำอะไรกับมันไม่ได้แล้ว คุณอาทิตย์ต้องก้าวต่อไปแล้วค่ะ มีคนรอจับมือพาคุณอาทิตย์ไปแล้วนะคะ โอ๊ยยยย เราอึดอัดตลอดเวลาเลย ทำยังไงดีคะ เราขอตอนต่อไปเลยได้ไหมคะ ไม่อยากรับความหน่วงแล้ว ฮืออออ ไอ้เราอ่ะไม่เท่าไหร่ค่ะ กลัวคุณอาทิตย์เป็นอะไรไปจริงๆ คุณภันคะ อย่ายอมแพ้นะคะ เช้าถึงเย็นถึงดีกว่าค่ะ ถึงคุณอาทิตย์จะแสดงออกว่าไม่อยากอยู่ใกล้มากๆ แต่หน้าด้านเข้าไว้นะคะ! ความจริงคุณอาทิตย์อยู่ใกล้คุณภันแล้วสบายใจที่สุดเลยค่ะ ดูดิ แค่คุณภันมาคุณอาทิตย์ก็กินอิ่มนอนหลับ ลืมเรื่องไม่สบายใจไปหมดเลย เฮ้ออออ คิดถึงจูบของคุณภันเข้าไว้นะคะ อย่างน้อยเขินก็ดีกว่าเครียดแหละค่ะ เปิดใจรับคนใหม่เข้ามาบ้างเถอะนะคะ เอ... หรือว่าแฟนเก่านี่คือตัดกันไม่ขาดคะ! ฮื้อออ เรากลัวเหลือเกิน คนที่ทำให้คุณอาทิตย์เป็นแบบนี้นี่อย่าให้รู้นะคะว่าบ้านอยู่ไหน เราจะไปเผา ฮึ่ม

ปล. เราเจอคำผิดนิดหน่อยนะคะ

สีหน้าแสดงออกอย่างชัดแจ้งจนคนเห็นอดไม่ได้ที่ถาม  >> อันนี้น่าจะ ที่จะถาม นะคะ

เจอแบบนี้ใครหลับคงก็บ้าแล้ว!  >> อันนี้น่าจะหลับลง

เพราะมีความมุ่งมันถึงเพียงนั้น  >> มุ่งมั่น

แต่ไม่มีวลีไหน บริบทได้ลอยเด่นขึ้นมาในสมอง  >> อันนี้ บริบทใด รึเปล่าอ่ะคะ

ทว่าทันใดนั้นภันวัฒน์มายืนต่อหน้า  >> ตรงนีมันน่าจะมีคำเชื่อมแบบ กลับมายืนต่อหน้า / ก็มายืนตรงหน้า ไหมอ่ะคะ

ประสาทรับรู้ที่ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงหูเท่านั้น  >> ตรงนี้มี ที่ ตัวเดียวป่ะคะ

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะ มาเร็วๆนะคะะะะ กรี๊ดดดดดดดดดด  :z3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 17th Entry : หวานอมขมกลืน [3/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 04-06-2016 07:35:48
ตอนนี้ทิ้งได้อึมครึมมาก
อาทิตย์เคยไปทำอะไรใครไว้เหรอ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 17th Entry : หวานอมขมกลืน [3/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: saotome ที่ 04-06-2016 09:32:30
อยากรู้ว่าเขาคือใคร :ling1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 17th Entry : หวานอมขมกลืน [3/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-06-2016 16:48:53
คล้าย ๆ จะพ้นน้ำ แต่แล้วถูกฉุดลงมาใหม่

ตะเกียกตะกายไม่พ้นสักที

ปล. พ่อปาติซิเย่ขี้ขโมย จุ๊บเขาเฉยเลย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 18th Entry : พะวักพะวน [11/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 11-06-2016 15:13:27
18th Entry : พะวักพะวน






แม้ว่าจะล่วงเข้าสู่ช่วงดึกแล้ว สถานแห่งนี้ก็ยังคงมีเสียงผู้คนจอแจไม่ขาดไม่ต่างจากในเวลากลางวัน ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาเออก รวมถึงญาติมิตรที่มารับและมาส่งต่างกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ ภันวัฒน์เป็นหนึ่งในนั้นเช่นนั้น วันนี้เขาได้รับมอบหมายให้มารับน้องสาว หรือก็คือพร่างฟ้า ลูกสาวคนโตของผู้ชุบเลี้ยงตนเองมาตลอดยี่สิบปี

สายตาสาดส่องไปทั่วประตูของผู้โดยสารขาเข้า เลยเวลาเครื่องบินลงจอดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว อีกไม่นานคนที่เขารออยู่ก็คงจะออกมาแล้ว และก็เป็นดังคาด

สาวร่างเพรียวระหงในชุดจั๊มสูทสีน้ำเงิน เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าอย่างสวยงามก้าวออกมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต เธอกวาดสายตาไปทางซ้ายที ทางขวาที และหยุดที่จุดจุดหนึ่ง ก่อนจะตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว จากนั้นโผเข้ากอดชายหนุ่มร่างกำยำเสียแน่น ทิ้งกระเป๋าไว้เบื้องหลัง

“คิดถึงพี่ภันจังเลย”

มาถึงตัวได้แล้ว พร่างฟ้าก็กดริมฝีปากเข้ากับแก้มของภันวัฒน์ สูดลมหายใจแรงๆ ก่อนจะย้ายไปทำอย่างเดียวกันที่แก้มอีกข้างของร่างสูง

“ครับๆ รู้แล้ว”

ภันวัฒน์ยิ้มขำกับอากัปกิริยาของน้องสาว ก่อนจะดันตัวเธอออกเล็กน้อย ทำให้คนที่เข้ามากอดต้องยอมผละจากอย่างไม่เต็มใจเท่าไร เธอทำหน้าบู้ยู่ปากใส่ราวกับเด็กเอาแต่ใจทั้งที่เป็นสาวสะพรั่งแล้ว

“พี่ภันไม่เห็นบอกว่าคิดถึงพร่างเลย”

“คิดถึงสิครับ แต่ก่อนพร่างขึ้นเครื่องมาก็เพิ่งวิดีโอคอลหาพี่เองไม่ใช่เหรอ”

“มันเทียบไม่ได้กับที่ไม่ได้เจอมาตั้งเกือบปีหรอก”

เธอบ่นน้อยๆ จนชายหนุ่มได้แต่ส่ายศีรษะ ยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู จนผมลอนใหญ่สีดำสนิทยุ่งนิดๆ เพราะแม้จะไม่เจอกันเกือบปีอย่างที่อีกฝ่ายว่า แต่เจ้าตัวก็ยังเป็นน้องสาวแสนงอนในสายตาของเขา

“โอเคครับ งั้นไว้ค่อยไปบ่นที่บ้านนะ เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปจัดกระเป๋าต่อด้วย พรุ่งนี้พี่ต้องขึ้นเชียงราย”

“โหย อะไรอะ”

พร่างฟ้าทำแก้มป่อง ขณะภันวัฒน์เดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบโตมา เมื่อกลับมาหยุดยังที่ที่น้องสาวยืนอยู่ เจ้าหล่อนก็คล้องแขนเข้ากับแขนของภันวัฒน์ทันที ราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ

“ต้องไปดูไร่กาแฟที่เขายื่นเรื่องเสนอมา”

“งั้นพร่างไปด้วย”

“เพิ่งจะกลับมา ไม่เหนื่อยหรือไง แล้วพี่ก็ไปทำงานนะ”

“ไม่รู้ล่ะจะไปด้วย แล้วก็คืนนี้พร่างจะไม่กลับบ้าน ไปนอนคอนโดฯ พี่ภันนี่แหละ”

คำพูดไม่คล้ายว่าเป็นการขอร้องสักนิด แต่เป็นคำสั่งมากกว่า นอกจากนั้นยังแนบศีรษะเข้ากับต้นแขนล่ำๆ ของพี่ชายเสียอีก

“ไม่คิดถึงพ่อกับแม่เราหรือไง”

“เดี๋ยวอีกสองสามวันก็เจอกันแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พร่างอยากอยู่กับพี่ภันมากกว่า จะไปสำรวจห้องของพี่ภันด้วย ว่าแอบเอาคนมาซุกไว้หรือเปล่าตอนพร่างไม่อยู่”

ได้ยินเช่นนั้น ภันวัฒน์ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา เพราะน้องสาวของเขาคนนี้หวงพี่ชายสุดชีวิตเลยทีเดียว ประวัติที่ผ่านมาก็มีไม่ใช่น้อย เล่นเอาเขาเหนื่อยอยู่หลายครั้ง ดังนั้นเวลาที่เขาคบกับใคร จะพยายามปกปิดพร่างฟ้าเอาไว้เพื่อความสงบสุขของตนเองและคนรัก

“เอาแต่พูดถึงพี่ แล้วพร่างล่ะ ไปอยู่เมืองนอก ไม่มีแฟนหล่อๆ ไปแล้วหรือไง”

“ไม่มีหรอก เพราะพร่างมาตรฐานสูง ถ้าอย่างน้อยไม่ได้เท่าพี่ภัน พร่างก็ไม่แลหรอก”

“พูดแบบนี้ระหว่างขึ้นคานนะ”

ภันวัฒน์หยอกล้อ พลางเก็บกระเป๋าขึ้นท้ายรถเมื่อเดินมาถึง จากนั้นเปิดประตูให้น้องสาวคนสวยขึ้นประจำที่นั่งด้านข้างคนขับ ตามด้วยตนเองก่อนจะเคลื่อนรถช้าๆ

“ไม่กลัวหรอก เพราะถึงขึ้นคาน พี่ภันก็เลี้ยงพร่างไปตลอดชีวิตได้อยู่แล้ว”

“โอ้โห นี่ตั้งใจจะเกาะพี่ไปจนแก่เลยงั้นสิ”

“ช่าย เพราะงั้นเตรียมตัวไว้ให้ดี”

พร่างฟ้าทำสีหน้าเหมือนเข่นเขี้ยวพลางข่มขู่ จนเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของภันวัฒน์ซ้ำ โดยมีเสียงหัวเราะของเธอตามมาติดๆ ภายในนั้นรถจึงอบอวลไปด้วยเสียงแห่งความสุขของสองพี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน

กระทั่งถึงคอนโดมิเนียมของชายหนุ่ม พร่างฟ้าสำรวจภายในห้องอย่างที่กล่าวไว้ แต่ไม่มีร่องรอยใดๆ ที่ระบุได้ว่าพี่ชายแอบมีคนรักในช่วงที่เธอไม่อยู่

“ไม่พบวัตถุต้องสงสัย”

ชายหนุ่มหัวเราะหลังออกมาจากห้องน้ำเมื่อได้ยินประโยคที่ราวกับนักสืบกำลังค้นหาหลักฐาน มือใหญ่ขยี้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับน้ำบนเส้นผม

“งั้นก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว ถ้าจะไปกับพี่ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้านะ”

“ตอนนี้พี่ภันไม่มีใครแน่นะ บอกไว้ก่อน ถ้าจะมีแฟนละก็ ไม่ได้ระดับที่สูงกว่าพร่าง พร่างไม่ยอมรับนะ”

น้องสาวหันมาทำตาเขียวคล้ายข่มขู่ เรียกรอยยิ้มจากผู้จัดการหนุ่มได้อีกระลอก

“ระดับพร่างนี่มันสูงเกินไปนะ มีพ่อเป็นเจ้าของโรงแรม เรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก แถมสวยหยาดเยิ้ม”

ประโยคแรกๆ คนฟังยังเฉยๆ แต่ประโยคหลังสุดนี้ทำให้เจ้าหล่อนใช้หลังมือสะบัดเส้นผมจนสยาย ประหนึ่งภาคภูมิใจและพึงพอใจเสียเหลือเกิน

“ถูกต้องค่ะ ต้องได้ระดับนี้เท่านั้น”

“แต่ว่า” ภันวัฒน์ค้านด้วยเสียงไม่ดังนัก แต่ก็ไม่เบาเช่นกัน “เรื่องของความรัก มันไม่สามารถจำกัดได้หรอกว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร กับใคร ไม่ใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะระบุสเปกที่ต้องการแล้วผลิตขึ้นมาได้หรอกนะ”

ใบหน้าของหญิงสาวหงิกงอขึ้นมาทันควัน ดวงตากลมโตจับจ้องที่พี่ชายแสนรักแสนหวงซึ่งอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กไม่รู้ประสา

“พูดแบบนี้แสดงว่ามีคนที่เล็งไว้แล้วใช่ไหม”

ภันวัฒน์ไม่ตอบ แต่ลอยหน้าลอยตาเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อแต่งกายให้เรียบร้อยหลังจากนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมาพักหนึ่ง

“พี่ภัน เล่ามาเลย”

พร่างฟ้าทำเสียเข้มขึ้น แต่คนถูกถามก็ยังทำเฉย หยิบเสื้อผ้ามาใส่พลางบอก

“ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวพี่จัดที่นอนให้ ถ้าชักช้าพรุ่งนี้ไม่ตื่น พี่ทิ้งไว้ที่นี่จริงๆ ด้วยนะ”

และคำขู่ก็สัมฤทธิผล หญิงสาวทำปากยู่ไม่พอใจ แต่กระนั้นก็ยอมสะบัดก้นเดินไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งจะเป็นที่พักของเธอในคืนนี้ พร้อมกับบอกก่อนที่จะออกไปจากประตู

“เอากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กมาให้พร่างด้วยนะ แล้วก็...ถึงพี่ไม่เล่า พร่างก็หาทางรู้เองได้”

ปิดท้ายด้วยการหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วยอีกดอก





การเดินทางไปยังเชียงรายเป็นไปตามกำหนดการของผู้จัดการฝ่ายอาหารและจัดเลี้ยง แม้ผู้เป็นน้องสาวจะง่วงงาวหาวนอนไปบ้าง แต่เมื่อพี่ชายสุดที่รักบอกว่าถ้าไม่ลุกจะทิ้งไว้ก็ทำให้เจ้าตัวยอมกระเด้งร่างขึ้นมาจากเตียงนอนจนได้ และเมื่อไปถึงสนามบิน รถของไร่กาแฟซึ่งนัดหมายไว้ก็นำพาไปยังจุดหมาย

ไร่กว้างขวาง สีเขียวประจักษ์ชัดเต็มสองตา บรรยากาศและอากาศดีๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

หลังพักผ่อนในที่พักซึ่งเป็นบ้านเจ้าของไร่ได้สองสามชั่วโมงและรับประทานอาหาร แดดก็ร่มลมตกพอดี จึงเข้าสู่ตารางงานในวันแรก คือการเที่ยวชมไร่กาแฟที่ทางเจ้าของไร่ภูมิใจนำเสนอ

ภันวัฒน์ได้ความรู้จากการแนะนำส่วนการทำงานต่างๆ ภายในไร่ รายละเอียดในการปลูก การดูแล ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว จำนวนผลผลิตในแต่ละปี และการคัดกรองผลผลิตคุณภาพ เพื่อใช้พิจารณาว่าจะตอบตกลงในการเซ็นสัญญาซื้อขายผลผลิตระหว่างไร่แห่งนี้และโรงแรมหรือไม่

เขาเก็บภาพพร้อมทั้งจดรายละเอียดลงบนโทรศัพท์มือถือสำหรับทำรายงานส่งฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กระทั่งเย็นย่ำก็ร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวเจ้าของไร่

อากาศยามกลางคืนนั้นเย็นกว่าตอนกลางวันมาก เพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาว ร่างสูงออกมายืนตากน้ำค้างอยู่ที่ระเบียงของห้องพักตนเอง ทอดสายตามองภูเขาซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ก็เห็นรูปร่างและความสูงใหญ่ของมันได้อย่างชัดเจน

ท้องฟ้าที่นี่มืดมากกว่าในกรุงเทพฯ ค่อนข้างมาก เพราะไม่มีแสงสีต่างๆ รบกวน ทำให้ความงดงามของดวงจันทร์ได้แจ่มชัด หมู่ดาวกระจายเกลื่อนจนเหมือนทำอัญมณีหล่นไว้บนผ้ากำมะหยี่สีดำ ขับให้มันยิ่งส่องประกายวิ้งวับจับตา

เห็นแล้วก็พานให้นึกถึงใครอีกคนหนึ่งขึ้นมา

หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้าอาทิตย์อัสดง ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ครั้นจะโทรหาก็รู้ว่าไม่สามารถติดต่อได้ ถึงกระนั้นมือใหญ่ก็ยังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและปลดล็อก ก่อนเข้าสู่หน้าจอแอปพลิเคชั่นที่ใช้ทักทาย

ชื่อและสเตตัสของอีกฝ่ายยังคงเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

และสติกเกอร์ที่เขาส่งไปเป็นสัปดาห์แล้ว ก็ยังคงไม่มีตัวหนังสือตอบสนองว่าผู้รับเปิดดูมันแล้ว

“ใจแข็งจริงๆ นะ”

แม้เหมือนจะเป็นคำบ่น แต่ริมฝีปากกลับผลิรอยยิ้มอยู่น้อยๆ

นิ้วใหญ่เลื่อนปิดแอปพลิเคชั่นไป และเปลี่ยนไปยังเบราเซอร์แทน ในใจพร่ำคิด

ไม่เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ แต่อย่างน้อยก็ยังมีข้อความที่คนในความคิดถึงบอกกล่าวถึงเขา

ที่อยู่บล็อกปรากฏขึ้นที่แอดเดรสบาร์ หลังจากกดลงบนรายชื่อที่บุ๊กมาร์กเอาไว้ ความรื่นรมย์ก่อตัวขึ้นจนเผยบนผืนหน้าของภันวัฒน์ ทว่าฉับพลันที่แถบสีฟ้าวิ่งอย่างรวดเร็วจากขอบด้านซ้ายไปสุดที่ด้านขวา คิ้วหนากลับขมวดเข้าหากัน

หน้าบล็อก Tea Party ที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปอ่านข้อความกลายเป็นหน้าสีขาว ข้อความแสดงว่าไม่สามารถเปิดเว็บเพจนั้นได้สร้างความฉงน

ภันวัฒน์จับจ้องตัวหนังสือบนช่องที่อยู่อีกครั้ง มันเป็นตัวหนังสือที่ถูกต้อง ไม่มีส่วนใดผิด และยิ่งเป็นไม่ได้ด้วยเหตุผลประการทั้งปวง เพราะมันเป็นลิงค์จากบุ๊กมาร์กที่เขาเคยเปิดอยู่หลายครั้ง

ความว่างเปล่าที่แสดงอยู่ เสมือนว่าไม่มีบล็อกนั้นอีกแล้ว

ถูกลบไปหรือ

คำถามนี้ผุดขึ้นเป็นสิ่งแรก แต่คำตอบที่ค้านกันก็ดังตามมา

เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกลบทิ้ง เพราะแม้ไม่เคยถาม แต่เขารู้ว่าอาทิตย์อัสดงภาคภูมิใจกับบล็อกนี้มากเพียงใด เจ้าตัวเพียรสร้างมันมาหลายปี จำนวนคนเข้าชมและติดตามไม่น้อย ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ

ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไม

หาคำตอบไม่ได้ ความสับสนวิ่งอลหม่านอยู่ภายในสมอง

มือหนากดรีเฟรชซ้ำๆ เผื่อว่ามันอาจจะเกิดการขัดข้องทางเครือข่าย หรือไม่ก็เป็นปัญหาที่เซิฟเวอร์ เขาถึงขนาดเข้าไปเช็กบล็อกอื่นๆ จากโดเมนเดียวกัน แต่คำตอบที่ได้กลับไม่เหมือนกัน

เขาสามารถเปิดดูบล็อกอื่นได้ตามปกติ

เพียงรู้ดังนั้น ใจที่กระวนกระวายอยู่แล้วก็พลันร้อนรุ่ม ไม่รู้สึกสงบได้อีกต่อไป ภันวัฒน์รีบกดเข้าเมนูสมุดรายชื่อ กดโทรออกไปยังเบอร์ที่เขาเคยพยายามติดต่อหลายครั้ง แต่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้ตลอด และในความนี้มันก็ยังคงเดิม

ไม่สามารถติดต่อได้

สีหน้าที่เคยทะเล้นอยู่เป็นนิจฉายชัดถึงความสับสน จังหวะลมหายใจเริ่มรวน ดวงตาคมกลอกกลับไปมาพร้อมกับสมองครุ่นคิดหาทางไปด้วย ไขว่คว้าหาทางที่จะนำไปสู่คำตอบ ไล่ความทรงจำตั้งแต่ครั้งล่าสุดไปจนกระทั่งถึงครั้งแรก นอกเหนือจากเจ้าตัวแล้ว มีอะไรที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงบล็อกนี้ได้บ้าง

ฉับพลันนั้นราวกับมีแสงสว่างวาบขึ้นมาเมื่อย้อนไปถึงความทรงจำแรกสุด

เขารีบกดโทรออกไปยังเบอร์หนึ่งด้วยความกระสับกระส่าย มือสั่นขึ้นมาด้วยความร้อนรนในใจ ดั่งคนหลงทางพยายามกระเสือกกระสนหาทางออก และเมื่ออีกฝ่ายรับสาย เสียงทุ้มก็กรอกลงไปโดยไม่สนใจคำทักทาย

“หนึ่ง อยู่กับเพลินหรือเปล่า”

[เปล่าครับ แต่ก็กำลังคุยโทรศัพท์กันอยู่พอดี ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าครับ]

เสียงถามบ่งชัดถึงความสงสัย แต่ภันวัฒน์ก็เมินมันไปแล้วถามถึงสิ่งที่ตนเองต้องการที่สุดในเวลานี้

“พี่มีเรื่องจะถามเพลิน เกี่ยวกับบล็อก Tea Party หนึ่งช่วยถามให้พี่หน่อย หรือเอาเบอร์เพลินมาก็ได้ เดี๋ยวพี่โทรถามเอง”

[อ้อ งั้นเดี๋ยวผมรวมสายให้แล้วกัน รอแป๊บนะครับ]

เป็นหนึ่งตอบแค่นั้น ก่อนจะมีเสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นมา ชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นจากอีกฝ่าย ตามด้วยเสียงทักทายของหญิงสาว เจ้าของร้านเบเกอรี่จึงรีบเข้าประเด็น ซึ่งก็ได้คำตอบที่อยากรู้จากหญิงสาวในทันที ราวกับเธอรู้ว่าอะไรคือเนื้อหาส่วนสำคัญ

[ผู้หญิงคนนั้นคอยเอาเรื่องมาโพสต์ตลอดเลยค่ะ ตอนแรกๆ ทุกคนก็คิดว่ามาเล่าเรื่องความรักกับเจ้าของบล็อก หลายๆ คนก็เลยเชียร์ แล้วก็อยากรู้เรื่องต่อ แต่โพสต์ของผู้หญิงคนนั้นถูกลบออกเร็วตลอด เลยไม่เป็นกระแสเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าไม่มีคนพูดถึง บางคนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็โพสต์ถาม แล้วมีคนเล่าต่ออีกที อยู่มาวันหนึ่งจากที่โพสต์เล่าเรื่องก็กลายเป็นว่ามีรูปประกอบมาด้วย]

ขณะที่ฟัง คิ้วหนาวนปมเข้าหากันเรื่อยๆ คำพูดที่เคยได้ยินมาจากเจ้าของบล็อกดังก้องในหู

‘ผม...ไม่คิดจะมีความรักอีกหรอกครับ’

‘คุณกลัว’

‘ครับ ผมกลัว’


เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ

[โพสต์ทุกสองชั่วโมงเลยค่ะ เป็นรูปเด็กคนหนึ่ง น่าจะเพิ่งได้ขวบเดียวเองมั้งคะ คนที่ตามบล็อกอยู่อวยพรกันใหญ่ เพราะคิดว่าทั้งสองคนได้แต่งงานมีลูกด้วยกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเย็นวันนั้น มีโพสต์สุดท้ายโผล่มาพร้อมรูปกับข้อความว่า นายจะไม่ดูดำดูดีลูกชายของเรา และทิ้งขวางเมียอย่างไม่ไยดีแบบนี้เหรอ ไร้ความรับผิดชอบจังนะ ผู้ชายสารเลว]

แม้น้ำเสียงซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะไม่บ่งอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหา แต่มันกลับไม่ช่วยให้ภันวัฒน์รู้สึกดีขึ้นสักนิด ภายในใจของเขาดุจมีหมอกปกคลุม และหมอกเหล่านั้นก็เข้มสีขึ้นเรื่อยๆ จนอดไพล่คิดไปถึงอีกคนไม่ได้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไร

เขาห่วงเหลือเกิน

[แต่น่าแปลกนะคะที่วันนั้นรูปกลับไม่ถูกลบออก ทั้งที่ปกติเจ้าของบล็อกจะตามไล่ลบทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนั้นโพสต์ แล้วพอมันไม่ได้ถูกลบออก คนที่เห็นเนื้อหานั้นก็ต่อว่า ด่าเจ้าของบล็อกแบบสาดเสียเทเสียโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า อาจจะเป็นคำพูดของฝ่ายหญิงเองคนเดียวก็ได้]

ได้ฟังดังนั้น เหตุผลเดียวที่ร่างสูงนึกได้มีเพียง...เพราะเจ้าของบล็อกไม่สามารถลบมันออกได้

และสาเหตุที่ลบมันออกไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่ได้เปิดเข้าไปดู

วันนั้น...

ต้องเป็นวันที่อาทิตย์อัสดงหมดสติไปแน่ๆ

“เพราะแบบนี้สินะ สภาพของคุณถึงได้ย่ำแย่แบบนั้น”

เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วราวกับกำลังพูดกับใครบางคนอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อนึกถึงสภาพของอีกฝ่ายที่ได้เห็นในวันนั้น หัวใจก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมา ความหดหู่ห่อหุ้มความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดจนบรรยากาศสวยงามที่ห้อมล้อมตนเองอยู่หมองหม่นลงในบัดดล

เขาช่างโง่เหลือเกินที่ไม่รู้อะไรเลย

ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่หวาดกลัวที่สุด

[คะ พี่ภัน]

เหมือนว่าเสียงนั้นจะส่งไปถึงปลายสาย ภันวัฒน์จึงต้องรวบรวมสติที่ลอยไปหาใครอีกคนให้กลับมาจดจ่ออยู่กับคู่สนทนา แต่ก็ทำได้เพียงครึ่งเดียว ไม่ว่าอย่างไร ใจก็คะนึงถึงคนที่อยู่ตัวคนเดียว

“ไม่มีอะไรครับ แล้วยังไงต่อ”

[ค่ะ หลังจากนั้นบล็อกก็ถูกลบไป คืนนั้นเพลินเข้าไปเช็กดูอีกทีก่อนนอน มันก็ถูกลบไปแล้ว]

สำหรับภันวัฒน์ที่เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ผูกพันใดๆ กับบล็อกนั้นยังรู้สึกเจ็บร้าวเมื่อรู้ที่มาที่ไป แล้วอาทิตย์อัสดงเล่า จะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเท่าใดกัน

ผู้หญิงคนนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ความขลาดกลัวย้อนกลับมาทำร้าย แต่ยังทำลายความภาคภูมิใจและความสุขในปัจจุบันจนพังทลายป่นปี้

เพียงคิดถึงอีกฝ่ายในวันนั้น ภันวัฒน์ก็รู้สึกปวดปลาบไปทั้งอก

ใจของเขาโลดแล่นออกไปยังที่แสนไกล ไปยังตำแหน่งที่ใครอีกคนอยู่แล้วด้วยซ้ำ

อยากไปหาเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะรู้ว่าทำไม่ได้ เขายังจัดการงานที่นี่ไม่เสร็จสิ้น จึงได้แต่ข่มความรู้สึกมหาศาลที่ก่อร่างสูงใหญ่เอาไว้

“ขอบคุณมากนะครับเพลิน”

[ไม่เป็นไรค่ะ]

“ขอบใจหนึ่งด้วยนะ”

[ไม่เป็นไรครับ]

แม้ว่าใจของคนฟังเรื่องราวคงจะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นไม่น้อย แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมาได้มีเพียงแค่นี้ ภันวัฒน์ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา ไม่ให้เล็ดลอดไปยังปลายสายทั้งสอง ก่อนจะล่ำลาซ้ำอีกครั้งแล้วจึงวางสายไป

นัยน์ตาคมสีเดียวกับราตรีนี้ทอดมองไปยังเบื้องบน ความสว่างไสวที่สวยงามในคราแรกที่เห็น กลับไม่เป็นเช่นเดิมอีกแล้ว





กำหนดการของผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มยังคงดำเนินต่อไปในวันที่สอง เขาประชุมกับเจ้าของไร่ เพื่อสรุปเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน กว่าจะเรียบร้อยก็ล่วงเข้าสู่ช่วงสาย ตารางงานในการเดินทางไกลครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว และมันก็ทำให้ภันวัฒน์รีบเร่งไปเก็บของใช้ภายในห้อง

หลังจากเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทาง ชายหนุ่มตรงไปยังห้องพักของน้องสาว ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งวันนี้ พร่างฟ้าคอยอยู่เคียงเขาตลอดประหนึ่งเป็นตัวแทนเลขานุการ คอยพยักหน้า สอบถามข้อสงสัยอยู่เนืองๆ คงเพราะวิสัยทัศน์และแบบแผนชีวิตที่วางมา ว่าหากเรียนจบปริญญาโทแล้ว เธอจะต้องมารับตำแหน่งบริหารตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในโรงแรม

เคาะประตูสองสามครั้ง เสียงใสก็ขานรับพร้อมประตูที่เปิดออก ใบหน้าแจ่มใสชื่นมื่นดูมีความสุขของเธอทำให้ภันวัฒน์รู้สึกผิดไม่น้อยกับเรื่องที่เขาจะพูดต่อไปนี้

“เดี๋ยวเราจะกลับกันเลยนะ”

“กลับ?”

พร่างฟ้าทวนคำพูดของพี่ชายอย่างประหลาดใจ ดวงตาขยายกว้างขึ้นเล็กน้อย

“ขอโทษนะ พอดีพี่มีธุระ”

“จะมีธุระได้ยังไง ไฟล์ทกลับมันตอนเย็นไม่ใช่เหรอคะพี่ภัน นี่ยังไม่เที่ยงเลยนะ พร่างคิดว่าเราจะไปเที่ยวกันต่อซะอีก พี่ภันพาพร่างเที่ยวก่อนนะ อุตส่าห์ได้มาทั้งที”

เสียงอ้อนวอนของหญิงสาวทำให้ร่างสูงรู้สึกลำบากใจ เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ครุ่นคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลจริงๆ ที่เขาจะปฏิเสธคำขอร้องของน้องสาว แต่เขาก็ไม่มีอารมณ์จะเที่ยวเล่นจริงๆ

“นะ นะ น้า พี่ภัน พาพร่างเที่ยวกันก่อนนะคะ เรากลับไฟล์ทเดิมก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

มือบางเกี่ยวรัดที่ท่อนแขนแกร่ง แนบใบหน้าโศกเศร้าเข้ากับต้นแขนกำยำ ส่งน้ำเสียงเว้าวอนกว่าเดิม พลางช้อนสายตามองพี่ชายราวกับเด็กเล็กๆ เอาแต่ใจ จนสุดท้ายคนถูกอ้อนก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้

“โอเคครับ ไปเที่ยวกัน เก็บกระเป๋าเสร็จหรือยัง”

“เกือบเรียบร้อยแล้วค่า พี่ภันรอแป๊บหนึ่งนะ”

จากสีหน้าสลดอย่างน่าสงสาร ก็กลับมาสดใสอีกครา พร่างฟ้าปล่อยมือจากร่างสูงแล้วกระโดดเข้าไปเก็บของลงกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอต่อ กระทั่งเรียบร้อยจึงหันมาหาพี่ชายที่ยืนรอ เปล่งเสียงด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“พร้อมแล้วค่ะ”

ได้ยินดังนั้น ภันวัฒน์จึงเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าของเธอมาถือ ก่อนย่างก้าวออกมาจากห้องพัก พร้อมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองที่วางไว้หน้าห้อง ลงไปยังห้องรับแขกซึ่งมีผู้เป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของไร่นั่งอยู่

“จะกลับกันแล้วเหรอครับ”

ผู้เป็นเจ้าถิ่นทำสีหน้าประหลาดใจ ฉุดตัวขึ้นยืนเพื่อสนทนา พร่างฟ้าจึงเป็นฝ่ายบอก

“เราจะไปเที่ยวกันก่อนน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมให้คนงานคอยขับรถให้นะครับ จะได้เที่ยวสะดวก”

“ขอบคุณมากครับ”

หากปฏิเสธข้อเสนอไปจะเป็นการเสียมารยาท ภันวัฒน์จึงกล่าวขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของอีกฝ่าย ก่อนทางนั้นจะมอบเมล็ดกาแฟสดใหม่เป็นของฝากแล้วเดินนำลงไปยังหน้าบ้าน เรียกให้คนงานในไร่คนหนึ่งนำรถมาและพาแขกทั้งสองคนไปท่องเที่ยว

แม้สถานที่ที่ได้เยี่ยมเยือนหลายๆ ที่จะมีความน่าสนใจ สวยงาม จนใบหน้าของพร่างฟ้าระบายยิ้มไม่หุบ ทว่าสำหรับภันวัฒน์แล้ว เขาไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมบรรยากาศแม้แต่น้อย เพราะในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลถึงคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไร และเขาไม่สามารถติดต่อได้

แต่แล้วในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง หลังจากขึ้นเครื่องบินและกลับกรุงเทพฯ ได้ ภันวัฒน์ก็พาพร่างฟ้าไปยังบ้านของเจ้าตัว เพราะกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบที่เธอหอบหิ้วมาจากต่างประเทศ ถูกนำเก็บไว้ในรถของเขาตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว

ร่างสูงส่งพร่างฟ้าเพียงแค่หน้าบ้าน ด้วยรู้ว่าหากเข้าไปในบ้านหลังนั้น ใช่ว่าจะสามารถปลีกตัวออกมาได้ง่ายๆ เขาจะต้องถูกชักชวนให้อยู่รับประทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับสมาชิกในครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแน่นอน ดังนั้นเมื่อพร่างฟ้ายอมลงจากรถด้วยคำอ้างของเขาว่าจำเป็นต้องไปทำธุระสำคัญต่อ ชายหนุ่มก็ออกรถไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการโดยเร็วที่สุด






อ่านต่อข้างล่าง

v



v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 18th Entry : พะวักพะวน [11/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 11-06-2016 15:14:08


ต่อจากข้างบน


v


v



รถยนต์สีเทาดำจอดลงหน้าบ้านหลังเดิมที่เคยมาเยี่ยมเยือนหลายครั้งในช่วงที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เวลาเกือบสองทุ่มมากขึ้นไปทุกที แต่เมื่อลงมาจากรถ จ้องมองเข้าไปยังตัวบ้าน กลับมีเพียงความมืดมิดที่ได้เห็น รถยนต์สีขาวที่ควรจอดอยู่ภายในอาณาเขตบ้าน กลับไม่อยู่ในตำแหน่งของมัน

ไม่อยู่?

คิ้วหนามุ่นเข้าหากัน ถึงกระนั้นก็ตอบตนเองไปว่าอีกฝ่ายอาจจะออกไปข้างนอกและยังไม่กลับมาก็เป็นได้ จึงยืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้าน แต่ทั้งยืนรอ นั่งรอ พิงรถรออยู่สองชั่วโมงแล้ว กลับไม่มีทีท่าว่าคนที่เฝ้ารออยู่จะกลับมา

ภันวัฒน์ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้งเมื่อรอต่อไปอีกประมาณสิบห้านาที แม้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบจึงยอมตัดใจก่อนชั่วคราว เพราะแม้ว่าใจจะห่วงพะวงถึงใครอีกคน เขาก็มีหน้าที่สำคัญของตนเองต้องไปทำ

ถึงคิววันที่ต้องเขาทำขนมของร้าน

หลังจากผ่อนลมหายใจออกมาทางปาก กายสมส่วนก็หมุนกลับหลังแล้วขึ้นรถ มุ่งตรงไปสู่จุดหมายอีกแห่งเพื่อรับผิดชอบงานให้ดีที่สุด

ใช้เวลาทำหน้าที่ปาติซิเย่อยู่ประมาณสี่ชั่วโมง ภันวัฒน์ก็เข้าสู่ห้องโดยสารอีกครั้ง เขากลับมายังบ้านของอาทิตย์อัสดงด้วยใจที่หวังว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาแล้ว แต่เมื่อไปถึง สิ่งที่รอต้อนรับเขาอยู่กลับเป็นเช่นเดิม

ตัวบ้านเงียบสงัด ไร้แสงสว่าง รถยนต์สีขาวปลอดยังไม่กลับมา

เพียงเห็นเท่านั้น ใจก็เริ่มกระวนกระวายอีกคราว เขายกข้อมือขึ้นมาดูเวลาให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าใจผิดไป แต่ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

ตีสองแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่กลับ

ไปไหนของเขากันนะ

ครั้นจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปสอบถามกับเจ้าตัว ก็รู้แก่ใจดีว่าไม่มีทางที่เขาจะสามารถติดต่อได้ เพราะฝ่ายนั้นยังไม่ยอมเปิดโอกาส ร่างสูงกวาดสายตามองไปรอบๆ ถนนตัดผ่านหน้าบ้านเงียบงัน ไม่มีรถสัญจรผ่านไปมา แม้แต่เดิมถนนแห่งนี้จะมีไม่ค่อยมีรถผ่านอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นถนนส่วนบุคคลก็ตาม

กายกำยำเอนพิงกับประตูรถ กอดอกไว้ราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาความพะวักพะวนที่ก่อตัวขึ้นในใจลงบ้าง ทว่าปลายเท้ากลับยกเคาะกับพื้นคอนกรีตด้วยจังหวะถี่ๆ บอกสภาพให้รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยแม้แต่น้อย เขายังรู้สึกใจไม่สงบเช่นเดิม

ผ่านไปอีกชั่วโมง ย่างเข้าสู่ตีสาม ใครคนนั้นที่เฝ้ารอแล้วรอเฝ้าเล่าก็ยังไม่กลับมา

ความหวังที่พยายามกดเอาไว้ไม่ให้ล่องลอยจากไปไหนเริ่มดันตัวต่อต้านดั่งต้องการอิสรภาพ

ภันวัฒน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ต่อสายไปยังบุคคลที่รู้ดีว่าไม่มีทางรับ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาความรู้สึกในเวลานี้ของตนไปทิ้งไว้ที่ไหน

เป็นดังคาด สัญญาณถูกกีดกั้น

เขาถอนหายใจออกมายาวๆ หนึ่งครั้ง หลับตาลงอย่างอ่อนล้า ไม่ใช่ความอ่อนล้าทางร่างกาย หากแต่เป็นความเหนื่อยอ่อนทางจิตใจ สมองขบคิดหาทางออก ควานทางในความมืดเผื่อว่าจะหยิบจับอะไรที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาได้บ้าง และดูเหมือนว่าจะโชคดี เพราะเขาสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำ

มือหนาขยับอย่างรวดเร็ว กดโทรศัพท์โทรออกหาใครอีกคนโดยมองข้ามเรื่องเวลา รอสายอยู่สักพักเสียงง่วงเงียก็ดังแทรกมา

[โทรมาทำไมวะไอ้ภัน]

“กูมีเรื่องจะให้มึงช่วย”

ภันวัฒน์แทรกเสียงออกไปลิ้นรัว ก่อนที่เพื่อนรักจะมีช่องว่างด่าทอเขาที่โทรปลุกยามวิกาล

[ช่วย?]

เกรียงไกรถามอย่างประหลาดใจ คล้ายว่าสติที่ห่างหายไปด้วยการหลับใหลจะกลับคืนมาแล้ว ร่างสูงจึงรีบรวบรัดพูดในคราวเดียว

“คนที่มึงจีบอยู่ คุณขวัญใช่ปะวะ คนนั้น่ะ ที่เป็นเพื่อนกับเจ้าของบล็อกที่กูมีเรื่องด้วย มึงจำได้ไหม กูอยากให้มึงถามเขาให้หน่อยว่าตอนนี้เพื่อนเขาอยู่ที่ไหน”

[หา]

อีกฝ่ายร้องอย่างตกใจและไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่งก็เงียบไป ราวกับกำลังทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ยินว่าถูกต้องหรือไม่ ภันวัฒน์จึงย้ำ

“ขอร้องล่ะ ช่วยกูหน่อย”

[เออๆ รอก่อนแล้วกัน แต่กูไม่รู้นะว่าคุณขวัญจะรับโทรศัพท์หรือเปล่า]

เพราะนานครั้งที่เพื่อนจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา แม้ไม่เข้าใจสักนิดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเพื่อนของเขาจึงร้อนใจเช่นนั้น แต่เกรียงไกรก็จำยอม ถึงกระนั้นไม่วายแขวะเพื่อนกลายๆ

“ขอบใจว่ะ”

สิ้นเสียงนั้น ปลายสายก็ตัดไป ภันวัฒน์กำโทรศัพท์ไว้ในมือ เฝ้ารอการติดต่อกลับมาจากเพื่อนที่พอจะช่วยเหลือตนเองได้

แต่การรอคอยมักยาวนานกว่าเวลาที่ผ่านไปจริงเสมอ ดังนั้นจากที่พอจะสงบใจลงได้บ้าง ก็กลับมาร้อนรุ่มอีกครั้ง ทั้งที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบเพื่อดูว่าเกรียงไกรยังไม่ติดต่อกลับมาจริงหรือ แล้วพบว่าเพิ่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็ตาม

ชายหนุ่มเริ่มยืนนิ่งทนรอต่อไปไม่ไหว เขาเอนตัวพิงรถ ไขว้ขาสลับเท้า กอดอก พร้อมกับเคาะนิ้วลงบนแขนตนเองไปด้วย กระทั่งเสียงที่รอคอยดังขึ้นมา ก็รีบกดรับสายโดยที่เสียงร้องครั้งแรกยังไม่จบด้วยซ้ำ

“ว่าไงวะ”

[รีบจริงวุ้ยมึงนี่]

“ว่ามาๆ”

ไม่สนใจคำบ่นของเพื่อนสักนิด เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายของเกรียงไกรดังมาจากลำโพงที่แนบติดหู ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็กรองมันออกจากการได้ยิน เพราะเป็นเสียงที่ไร้ความหมาย เพื่อรอฟังสิ่งที่ต้องการที่สุดให้ชัดเจน

[คุณขวัญบอกว่าตอนนี้ไปเอาท์ติ้งที่ต่างจังหวัดกัน คงกลับถึงกรุงเทพฯ ประมาณสี่ทุ่ม]

“เหรอ เออ ขอบใจมาก”

[เฮ้ย เดี๋ยว]

เพราะดูเหมือนว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือจะตัดสายทิ้งในทันทีที่ได้ข้อมูลสำคัญ เกรียงไกรจึงร้องห้ามเอาไว้ก่อน

“มีอะไรวะ”

[กูต่างหากต้องถามมึง แต่ตอนนี้กูง่วงแล้ว ไว้พรุ่งนี้มึงต้องออกมาดื่มกับกู ห้ามปฏิเสธ]

คล้ายกับมัดมือชก เพราะเมื่อกล่าวจบ อีกฝ่ายก็ตัดสายเร็วพลัน

ภันวัฒน์มองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ส่องแสงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดล็อกแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง ทบทวนคำตอบที่ได้รับมาจากเพื่อนรักก่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้า

ยามค่ำคืนที่ปราศจากเสียงรบกวนใดๆ ท้องฟ้ากลับขมุกขมัวดุจรมด้วยควันไฟ ไม่มืดมิดพร่างพรายด้วยของหมู่ดาราดังเช่นเมื่อคืนที่เขาได้เห็น ราวกับว่ามันเป็นจิตใจอันบอบช้ำที่บล็อกเกอร์หนุ่มแบกเอาไว้ และมันก็ทำให้รู้สึกว่า...

เขาอยากให้อาทิตย์อัสดงได้เห็นท้องฟ้าแจ่มสว่างด้วยธรรมชาติสวยงามเช่นนั้นสักครั้ง





-------------------
ตอนนี้ไม่มีคุณอาทิตย์อัสดงเลย แต่ก็เฉลยเรื่องในบล็อกแล้วนะคะ


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 18th Entry : พะวักพะวน [11/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 11-06-2016 15:57:09
คุณอาทิตย์ของเค้า  :hao5: คุณอาทิตย์ขาาาา ฮืออออออ คุณภันคะ เราจะบอก นี่เป็นโอกาสดีของคุณภันที่อาจจะไม่มีเข้ามาอีกแล้วในชีวิตนี้นะคะ ถ้าได้เจอคุณอาทิตย์คราวนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้อีกนะคะ ที่รักของเค้าบอบช้ำขนาดนี้ เราไม่รู้เราอคติรึเปล่า แต่เราคิดว่าคนอย่างคุณอาทิตย์ คนที่รักหลานขนาดนั้นจะไม่ดีใจเหรอคะที่ตัวเองมีลูก เราว่าคุณอาทิตย์ไม่น่าทิ้งลูกได้นะคะ มันต้องมีอะไรเบื้องหลังแหละ แต่เราเสียใจจจจ คุณอาทิตย์ถึงขนาดปิดบล็อกเลยอ่ะ ทางนึงเราว่ามันก็ดีนะคะ อะไรที่ทำให้เราเจ็บก็ตัดมันทิ้งไป แต่พอดีนี่มันเป็นสิ่งที่คุณอาทิตย์รักอีก โอ๊ยยยยย เหมือนทำลายความสุขของตัวเองไปเพื่อไม่ให้ทุกข์มากกว่าเดิมไงไม่รู้ เลือกทางไหนก็เจ็บทั้งนั้น แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน เธอต้องการอะไรรรรร จะว่าอยากให้คุณอาทิตย์ไปเลี้ยงลูกก็ไม่น่าใช่อ่ะค่ะ คุณอาทิตย์กับเธอนี่น่าจะจบกันไม่สวย ไม่งั้นคุณอาทิตย์คงไม่ฝังใจขนาดนี้ ยังไงเราก็อยู่ทีมคุณอาทิตย์ค่ะ บังคับคุณภันอยู่ทีมคุณอาทิตย์ด้วย ห้ามย้ายทีมนะคะ กรี๊ดดดดด แล้วคือ น้องพร่างฟ้านี่ก็แปลกๆอ่ะค่ะ น้องคิดกับคุณภันมากกว่าพี่ชายป่ะเนี่ย ถ้าใช่นี่เราสงสารคุณอาทิตย์เหลือเกินค่ะ มาอยู่กับเราเถอะ เราสัญญาจะไม่ทำให้เสียใจค่ะ กรี๊ดดดดด แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้คุณอาทิตย์ก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะคะ คุณอาทิตย์มีเพื่อน มีหลาน มีพี่สาวแล้วยังมีคุณภัน(ที่ไม่รู้คุณอาทิตย์จะอยากได้รึเปล่า แต่คุณอาทิตย์ก็จำเป็นต้องมีผู้ชายคนนี้) อยู่นะคะ คุณอาทิตย์ต้องผ่านทุกเรื่องไปได้แน่ๆค่ะ!

คุณนักเขียนคะ อย่าใจร้ายกับเราเลยนะคะ พาเราออกจากดราม่าเถอะค่ะ เรารับไม่ไหว จิตใจเราบอบบาง  :o12:

ปล. เราเจอคำผิดอยู่คำนึงนะคะ

 คนนั้น่ะ  คนนั้นน่ะ ป่ะคะ

เรารอตอนต่อไปนะคะะะ ฮืออออออออ  :mew4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 18th Entry : พะวักพะวน [11/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-06-2016 16:06:40
อดีตที่ตามมาหลอกหลอนมันร้ายแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะ
ภันนี่เป็นโอกาสแล้วที่จะพลิกจากโจรมาเป็นฮีโร่
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 18th Entry : พะวักพะวน [11/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-06-2016 19:26:53
ฟรีกลับมาให้ฮักปลอบใจเร้ว!
ฮักขวัญหายแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 19th Entry : จนแต้ม [15/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 15-06-2016 19:58:07
19th Entry : จนแต้ม





เสียงลมพัดเป็นระลอกประสานเข้ากับคลื่นซัดเซาะหาดทรายเป็นบรรยากาศผ่อนคลายที่น่าไขว่คว้าเอาไว้ เมื่อรวมเข้ากับการได้มาพักผ่อนตามสบายสามวันสองคืนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยิ่งทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษ

เหล่าพนักงานที่ได้รับสิทธิพิเศษประจำปีต่างสนุกสนานไปกับโอกาสที่หาได้เพียงครั้งเดียวในรอบปีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะบ่ายวันที่สองของการมาท่องเที่ยว ทุกคนต่างยิ่งใช้เวลาอย่างคุ้มค่า สุดเหวี่ยงไปกับมัน

ทั้งที่รอบบริเวณเต็มไปด้วยความครื้นเครง เสียงครึกครื้นดังไปทุกหย่อม ผู้คนสนุกสนานไปด้วยกันไม่ว่าจะเป็นบนหาดหรือในทะเล กลับมีใครคนหนึ่งนั่งกอดเข่าบนผืนทราย ทอดสายตาออกไปยังเส้นขอบฟ้าโดยไร้ความสนใจบรรยากาศรอบตัว ราวกับว่าอยู่คนละมิติเวลาอย่างไรอย่างนั้น แม้กระทั่งร่างหนึ่งลงนั่งข้างๆ ก็ยังไม่รู้ตัว

หญิงสาวชะโงกหน้ามองไปยังคนที่นั่งทอดอาลัยมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะมองไม่เห็นเธอสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใจลอยไปถึงแห่งหนใด จึงต้องกระแอมเสียงเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อเรียกให้เจ้าตัวกลับมาสู่โลกทางนี้

“ไม่ไปเล่นกับคนอื่นๆ เหรอ”

“.....”

ไร้การตอบสนองใดๆ ความเงียบเข้าจับตัวเป็นก้อนแข็ง หนึ่งฤทัยจึงกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ในสภาพที่ควรเป็น ครู่หนึ่งกว่าเสียงของคนที่ถูกถามจะดังขึ้นมา

“ไม่ค่อยมีอารมณ์ มึงล่ะ”

“กูเล่นกลับมาแล้ว เลยมาพักเหนื่อยเนี่ย”

แม้ว่าเพื่อนรักจะไม่หันมามอง แต่หนึ่งฤทัยก็ดึงเสื้อยืดเปียกชื้นที่สวมอยู่ออกมาจากตัวเพื่อประกอบคำพูด

“อืม”

อาทิตย์อัสดงตอบเพียงสั้นๆ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ทำให้เสียงเป่าลมหายใจดังออกมาจากคนข้างๆ หนึ่งฤทัยสังเกตอาการของเพื่อนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและสภาพร่างกายที่ดูอ่อนล้าแล้วก็รู้สึกไม่ดีสักเท่าไร

นับจากวันที่เพื่อนหยุดงานและเธอโทรไปหา เจ้าตัวก็กลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ทั้งที่บอกมาแท้ๆ ว่าจะเอาหน้าบลิ๊งๆ มาให้ดู สิ่งที่เธอพบในวันถัดไปกลับเป็นสีหน้าที่ดูแย่ยิ่งกว่าเสียอีก และทั้งที่เธอคิดว่าหากได้มาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเช่นนี้ เพื่อนรักอาจจะกลับมาร่าเริงได้ แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับตรงกันข้าม

อาทิตย์อัสดงยังคงผูกใจกับอะไรบางอย่าง และก็ทำให้พบกับความเจ็บปวดทรมาน

“กูรู้แล้วนะ”

เสียงใสเกริ่นขึ้นอีกครั้งเพื่อชักจูงเข้าสู่ประเด็นที่อีกคนเลี่ยงการพูดคุยมาตลอด

เธอช่างโง่นักที่เพิ่งมารู้เอาเมื่อสองวันก่อนนี้เอง

อาการของเพื่อนย่ำแย่ลงเรื่อยๆ คล้ายซอมบี้มากขึ้นไปทุกที เธอจึงเริ่มขบคิดถึงต้นเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง ไตร่ตรองถึงสิ่งที่สร้างผลกระทบมหาศาลต่อเพื่อนของเธอ และสุดท้าย...เธอก็เข้าไปดูในบล็อกที่แทบไม่เคยแตะต้อง

คำตอบของคำถามที่เธอเฝ้าถามมานานเกือบสองสัปดาห์ปรากฏบนหน้าจอสี่เหลี่ยม

“เกิดอะไรขึ้นกับบล็อกของมึง”

คำว่า ‘บล็อก’ คล้ายตัวจุดชนวน ใจที่ปล่อยให้เลื่อนลอยจนหลงทางถูกกระชากกับลับมา เสียงทิ้งขว้างลมหายใจแว่วมาให้หนึ่งฤทัยได้ยิน เธอจึงโน้มน้าวยิ่งขึ้น ด้วยรู้ว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์

“เล่าให้กูฟังไม่ได้เลยเหรอ”

“.....”

“มึงก็รู้ว่ากูร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมึงมาตั้งแต่เข้าบริษัทพร้อมกัน”

ดั่งถูกตำหนิที่หลงลืมช่วงเวลายาวนานร่วมห้าปีอย่างง่ายดาย อาทิตย์อัสดงหลุบตาลง ก้มหน้าเล็กน้อยราวกับกำลังตัดสินใจ เขาสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งแรงๆ ก่อนจะปล่อยมันออกมาทางปาก

“กูไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน”

เสียงเนิบนาบอ่อนแรงค่อยๆ ผุดออกมาจากริมฝีปากที่หนักเหมือนหิน แต่เท่านั้นก็ทำให้คนรอฟังรู้สึกใจชื้นขึ้นมาแล้ว หญิงสาวเขยิบช่องว่างระหว่างกันให้แคบลง ประหนึ่งว่าเรื่องที่จะคุยต่อไปนี้เป็นความลับที่ห้ามผู้ใดได้ยิน

“เริ่มตั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นสิ มึงค่อยๆ เล่ามาก็ได้ กูมีเวลาฟังมึงเสมอ”

รอยยิ้มแตะลงบนแก้มของหนึ่งฤทัย แม้ว่าเพื่อนข้างกายจะไม่หันมามองหน้าเธอก็ตาม แต่เธอแน่ใจว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ

“เอมกลับมา”

“อีนั่น”

เพียงได้ยินชื่อก็แสลงหู หญิงสาวสบถออกมาอย่างลืมตัวแม้จะยังไม่ได้ฟังเรื่องราวใดๆ เพราะแค่คิดว่าเจ้าของชื่ออัปมงคลนั่นกลับมา ก็ทำให้เธอแทบปรี๊ดแตกแล้ว นึกถึงความฉิบหายที่จะตามมาได้ในทันที

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงมีสภาพเช่นนี้

“มันทำอะไร”

พอรู้สึกสงบใจลงได้หน่อย หนึ่งฤทัยก็กลับมาสานต่อบทสนทนาอีกครั้ง เธอพยายามปรามใจให้เย็นเพื่อรอฟังวีรกรรมชั้นเลวที่นังอสรพิษทำเอาไว้

“มาป่วนในบล็อก”

“แล้วมันโพสต์อะไรเอาไว้มั่ง”

หญิงสาวสอบถามเพิ่มด้วยน้ำเสียงที่พยายามใจเย็น

“โพสต์เรื่องเก่าๆ กูตามลบแล้ว แต่...”

“แต่...”

มาถึงตรงนี้ เธอกำมือเพื่อระงับอารมณ์ไม่ให้พลุ่งพล่านฉุนเฉียวออกมาก่อนจะรู้ความจริง

“กูลบเรื่องที่โพสต์ว่ากูทิ้งลูกทิ้งเมียไม่ทัน”

“อีสัตว์!”

ไม่ทันยั้งปาก คำหยาบคายจึงออกมาจากปากพร้อมกับร่างที่ทะลึงพรวดขึ้นมายืนเสียแล้ว เสียงด่าทอของหนึ่งฤทัยดังสะท้านไปทั่วชายหาดจนคนที่ทำกิจกรรมอยู่ละแวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

หญิงสาวเหลือบตามองรอบด้าน รู้ตัวว่าตนตกเป็นเป้าสายตาก็ตอบกลับไปว่า ‘ไม่มีอะไร’ จากนั้นหมุนตัวกลับมายืนเผชิญหน้าเพื่อนที่นั่งกอดเข่าอยู่ในท่าเดิม เธอพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าคำด่านั้น แต่ก็ดังพอให้อาทิตย์อัสดงได้ยิน

“แล้วคนในบล็อกที่เคยชื่นชมมึง เคยติดตามมึงก็แห่กันด่าสาดเสียเทเสียสินะ”

คำตอบที่ได้รับจากชายหนุ่มมีเพียงการผงกศีรษะเบาๆ เพื่อยืนยันคำตอบเท่านั้น หนึ่งฤทัยถอนหายใจแรง นึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

“ถ้ากูเจอตัวนะ จะตบล้างน้ำให้หน้าเบี้ยวเลยคอยดู แม่งเอ๊ย ผู้หญิงอะไรชั้วชั่ว นอกจากตัวเองชั่วแล้วยังกุเรื่องให้คนอื่นชั่วเหมือนตัวเองอีก แค่คำว่าสารเลวยังไม่พอเลย”

ปิดท้ายประโยคด้วยการเตะทรายบริเวณนั้นแรงๆ อีกหนึ่งที และเตะซ้ำอีกด้วยอารมณ์ฮึดฮัดราวกับจะใช้มันเพื่อช่วยให้ความคุกรุ่นในใจบรรเทา จนสักพักใหญ่ๆ เจ้าตัวถึงได้อารมณ์เย็นลง แล้วทรุดตัวนั่งยองต่อหน้าร่างโปร่ง

“แล้วเรื่องบล็อก มึงจะทำยังไงต่อ ลบทิ้งไปแล้ว”

“กูคง...”

เสียงเหือดหายก่อนหยุดชะงักไป เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่ลบบล็อกที่หวงแหนและสร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่ ดั่งประคบประหงมลูกน้อยมาหลายปีจนมีผู้คนชื่นชมยอมรับ อาทิตย์อัสดงไม่เคยตรึกตรองถึงหนทางที่จะดำเนินต่อ

“ไม่รู้สิ กูคง...” ดั่งมีก้อนแห่งความผิดหวังกีดขวางลำคอเอาไว้ไม่ให้พูดออกมา อาทิตย์อัสดงพยายามกลืนน้ำลายแรงๆ เพื่อดันมันลงไป ก่อนจะเอ่ยเสียงออกมาได้อีกครั้ง แต่มันก็อ่อนระโหยเหลือเกิน “ไม่ทำอีกแล้วมั้ง”

“มึงจะยอมแพ้เหรอ”

ถึงใจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น ทว่าร่างโปร่งกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเข็ดขยาด

“แล้วถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้งล่ะ”

“เออ นั่นสินะ อีนั่นยิ่งหน้าด้านหน้าทน กัดไม่ปล่อยอยู่ด้วย ทั้งที่มึงต่างหากที่สมควรจะทำแบบนั้น”

สิ้นเสียงของเพื่อนผู้ล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดในอดีต บทสนทนาของคนทั้งคู่ก็ขาดลง ราวกับว่าต่างคนต่างกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

“แม่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าเสียดายว่ะ บล็อกที่มึงอุตส่าห์ตั้งใจทำมาหลายปี พังเพราะอีจัญไรนั่นตัวเดียว”

“มันก็ช่วยไม่ได้”

เสียงของอาทิตย์อัสดงยังคงแผ่วเบาเช่นคนอ่อนล้า ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเหนื่อยเหลือเกิน อดีตอันเลวร้ายหวนคืนกลับมาหลอกหลอนกัน

ความผิดพลาดในชีวิตยังคงตามติดประดุจจะดึงเขาลงไปยังหุบเหวของความมืดมิดอยู่เสมอ

มีเพียงวันเดียวในนั้นที่เขาหลับได้เต็มตา...

คิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วอาทิตย์อัสดงก็รู้สึกสะท้อนใจ ช่วงเวลานี้เขาอ่อนล้าเกินกว่าจะใช้ความคิดใดๆ เกี่ยวกับคนคนนั้น อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เขาได้มาที่นี่ เพราะไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรหากต้องประจันหน้ากันในระหว่างที่เขาอ่อนแอ

“หวังว่ามันคงจะไม่มารังควานมึงอีกนะ”

“ไม่หรอกมั้ง เพราะว่าวิธีติดต่ออะไรกูก็ตัดหมดแล้ว เว้นแต่บ้าน”

คล้ายกระตุ้นความหวาดระแวงของหญิงสาวขึ้นมา หนึ่งฤทัยจ้องเขม็งไปยังเพื่อน พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน

“ถ้ามันกล้าบุกบ้านมึง มึงโทรแจ้งตำรวจเลยนะ ฉิบหายละ”

อยู่ๆ ก็เหมือนว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงร้องเสียงดัง ทำสีหน้าตื่นเต้น และละล่ำละลักพูดออกมา

“มึงดันลบบล็อกไปแล้ว ไม่งั้นนะ แจ้งตำรวจจับมันข้อหาหมิ่นประมาทพร้อมกับทำผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ได้ด้วย โอ๊ย เสียดายว่ะแม่ง”

เสียงโหยหวนของเพื่อนที่ดูเอาจริงเอาจังเสียเหลือเกินทำให้รอยยิ้มที่เลือนหายไปครึ่งเดือนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของอดีตบล็อกเกอร์จางๆ อาทิตย์อัสดงหัวเราะคิกเบาๆ รู้สึกซึ้งในน้ำใจของเพื่อนที่อยากช่วยเขาอย่างเต็มที่

“ขอบใจว่ะขวัญ”

หลังจากได้ยินเสียงที่ไม่ได้ยินมานาน และเห็นใบหน้าดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยนั้นแล้ว หนึ่งฤทัยก็พลอยยิ้มไปด้วย เธอรู้สึกใจชื้น สบายใจขึ้นมาหน่อย ที่อย่างน้อยเพื่อนดูทุกข์ทรมานน้อยลง มือบางยื่นไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมยกยิ้มกว้าง

“เรื่องเล็กน้อยน่า จริงๆ มึงไม่ควรเก็บเอาไว้คนเดียวนะ มีอะไรทุกข์ใจก็บอกกูได้ เล่าให้กูฟังได้ กูพร้อมรับฟังและหาทางช่วยมึงเสมอ เห็นมึงอมทุกข์อยู่คนเดียว บอกตรงๆ กูรู้สึกไม่ดีเลย ไว้ใจกูให้มากกว่านี้สิวะ เข้าใจหรือเปล่า”

ได้ยินเช่นนี้แล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกแสบบริเวณขอบตา ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความชุ่มชื้น เขาซาบซึ้งในความปรารถนาดีที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้เหลือเกิน และดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงชายหนุ่มเท่านั้น เพราะเจ้าตัวคนพูดก็เริ่มมีน้ำเอ่อนิดๆ ในดวงตา

“ไอ้บ้า อย่าทำซึ้งสิวะ”

เสียงแหบพร่าลงไปจากประโยคเมื่อครู่ ทำให้รอยยิ้มของอาทิตย์อัสดงวาดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย

“มึงเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง”

“อะไร กูไม่ได้เริ่ม” ปฏิเสธเสียเสียงแข็ง แต่ว่าน้ำเสียงกลับสั่นและแหบแห้งมากกว่าเดิม หนึ่งฤทัยยกหลังมือปาดขอบตาเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “กูไปเล่นน้ำทะเลต่อดีกว่า พวกนั้นเรียกแล้ว”

ทั้งที่ไม่มีใครเรียกแท้ๆ แต่มือบางก็ยื่นออกไปชี้ด้านข้างสะเปะสะปะ จากนั้นฉุดตัวลุกขึ้นและวิ่งออกไป ไม่รอฟังว่าคนที่ตนเองล่ำลาจะพูดอะไร ทำให้อีกคนที่เหลืออดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

“ขอบใจมึงมากวะขวัญ มึงเป็นเพื่อนรักของกูจริงๆ”

เสียงแผ่วหวิวถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปตามสายลม หวังให้ถึงหูของคนที่เพิ่งวิ่งไปเมื่อสักครู่ และคาดว่ามันคงถึงจริงๆ กระมัง เพราะหนึ่งฤทัยหันหน้ากลับมาแลบลิ้นใส่ แล้วมุ่งหน้าไปยังเหล่าคนที่กำลังเล่นน้ำทะเลกันอยู่อีกครั้ง

หลังหญิงสาวจากไป ความสงบก็มาเยือนอีกครา อาทิตย์อัสดงโยนตัวเองออกจากวงโคจรของโลกนี้ ไปยังอีกมิติหนึ่งที่สร้างขึ้นเอง แม้ว่าการได้ระบายเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นจะทำให้รู้สึกสบายใจได้บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด

ความรู้สึกประเดประดังยังไม่จางหายไป... มันยังเล่นงานเขาซ้ำๆ เมื่อเห็นว่ามีช่องว่าง

เผลอเมื่อไรมีอันต้องหวนนึกถึงย่างก้าวแห่งความล้มเหลว จนทำให้เขาตกลงไปในหลุมดำทะมึน

ปีนป่ายขึ้นมาได้ยากเหลือเกิน เพราะภายในนั้นเต็มไปด้วยโคลนดูดสีมะเมื่อม

“ทำไมมาเล่นมิวสิคอยู่คนเดียวล่ะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงหย่อนกายลงนั่งข้างๆ คงเพราะมันดังกว่าปกติด้วยต้องการเรียกให้คนที่ทอดใจไปไกลรู้สึกถึงการมาเยือนก็เป็นได้ อาทิตย์อัสดงจึงดึงสายตากลับและหันมองยังผู้มาใหม่

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

เมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่จากฝ่ายขาย ร่างโปร่งก็ส่งยิ้มให้น้อยๆ ตามมารยาทที่ดี แม้ใจจะไม่ได้อยากยิ้มสักเท่าไรก็ตาม เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น อาจจะถูกสงสัยเอาได้

“พี่สังเกตมาหลายวันแล้วนะ” ตะวันเอียงศีรษะเล็กน้อย คล้ายว่าชะโงกมองคนที่เบี่ยงหน้ากลับไปยังผืนทะเลเบื้องหน้า “หมู่นี้ฟรีดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ”

“.....”

เพราะไม่รู้จะตอบประโยคบอกเล่าแฝงคำถามนั้นอย่างไร อาทิตย์อัสดงจึงทำได้เพียงเงียบ

“ทั้งที่ได้มาทะเลแท้ๆ แต่ก็ยังดูอึมครึมอยู่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

ทิ้งช่วงจังหวะหลังประโยคโจ่งแจ้งนั้นแล้ว ร่างโปร่งจำต้องตอบออกไป

“...ไม่หรอกครับ พี่คิดมากไปหรือเปล่า”

“หืม ไม่นะ ฟรีดูต่างจากปกติจริงๆ ถ้ามีปัญหาคิดไม่ตก จะปรึกษาพี่ก็ได้นะ ถือว่าเป็นผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนไง”

เจ้าของเสียงระบายยิ้มพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวประโยคคล้ายโอ้อวดตัว แต่ก็ไม่ได้ดูหยิ่งผยองเกินควร ให้ความรู้สึกถึงความใส่ใจเสียมากกว่า ส่งผลให้อาทิตย์อัสดงคลี่ยิ้มอีกครั้งและตอบอย่างรักษาน้ำใจ เพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเล่าเรื่องของตนเองให้ใครสักคนฟัง

“ไว้ถ้ามี ผมจะคิดดู”

“ท่าทางว่าจะมีวันนั้นยากสินะ”

ถูกจับได้จนได้ แต่จากสีหน้าและน้ำเสียงของตะวัน รู้ได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด เขาพูดด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่อยากให้คู่สนทนาคิดมาก

“แล้วนี่ไม่ไปเล่นกับคนอื่นเหรอ เมื่อวานก็เอาแต่นั่งอยู่ริมหาดนี่นา ไม่เบื่อหรือไง”

“ไม่ดีกว่าพี่ ผมไม่ค่อยมีอารมณ์อยากเล่นเท่าไร”

เมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป คนที่พยายามขีดเส้นคั่นระหว่างกันก็เริ่มเบาใจลง

“คงไม่ใช่กลัวดำหรอกใช่ไหม”

“ถ้าผมกลัวดำ คงไม่มานั่งตากแดดแบบนี้หรอกครับ”

อาจจะเป็นมุกที่อยากให้คนฟังอารมณ์ดีก็เป็นได้ ร่างโปร่งจึงยอมลดความแน่นหนาของปราการที่สร้างไว้ลงหนึ่งระดับ แต่ใช่ว่าการกระทำเพื่อรักษามารยาทจะปิดบังความหม่นเศร้าได้ ตะวันเล่นลิ้นต่อ

“นั่นสินะ ก็ฟรีขาวเรืองแสงซะขนาดนี้ ดำอีกหน่อยก็ไม่หมองหรอก”

“ผมดำยากน่ะครับ”

“ชักเริ่มอิจฉาขึ้นมาแล้วสิ”

ตะวันทำปากยู่เล็กน้อย คล้ายอิจฉาที่อีกฝ่ายมีต้นทุนชั้นดี เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นเบาๆ

การแสร้งยิ้ม หรือหัวเราะเป็นเรื่องที่เหนื่อย

อาทิตย์อัสดงเพิ่งเข้าใจมันเดี๋ยวนี้

“ฟรีว่างอยู่แบบนี้ งั้นไปขี่เจสกีกันไหม”

“ไม่ดีกว่า ผมไม่ค่อยอยากเล่นอะไรเท่าไร”

“ดำน้ำก็ได้ แก้เบื่อดีออก ไปเปลี่ยนบรรยากาศลอยอยู่กลางทะเล เผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้นก็ได้นะ”

“ขอบคุณที่หวังดีนะพี่ แต่ผมโอเคดี แค่รู้สึกเบื่อๆ เฉยๆ”

หาข้อแก้ตัวที่คิดว่าดีแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังถูกคนอายุมากกว่าแย้ง

“ก็นั่นไงล่ะ” รุ่นพี่ฝ่ายขายปรบมือดังป้าบครั้งหนึ่ง “เพราะนั่งอยู่แบบนี้ไง ถึงได้เบื่อ งั้นอย่างน้อย ไปเดินเล่นกินลมกับพี่ก็ได้ หวังว่าแค่นี้ฟรีคงจะไม่ขี้เกียจเกินไปนะครับ นั่งอยู่นานๆ เดี๋ยวรากได้งอกพอดี”

“มันเป็นพื้นทรายครับ รากงอกอยากสักหน่อย”

แม้จะตอบเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะปฏิเสธได้อีก อาทิตย์อัสดงยอมยกร่างขึ้นจากทรายสีครีม ทำให้อีกคนที่เห็นภาพนั้นรู้สึกกระฉับกระเฉงรีบฉุดตัวขึ้นยืนอย่างรวดเร็วราวกับจะแข่งกัน

“งั้นไปทางนั้นนะ แล้วค่อยเดินกลับมาทางบ้านพัก”

“ครับ”

อดีตบล็อกเกอร์ส่งยิ้มให้เล็กน้อย แม้ว่ามันจะแฝงแววฝืดฝืนอยู่ในที แต่เวลานี้ตะวันมองไม่เห็นมันแล้วอย่างสิ้นเชิง

ทั้งคู่เดินไปยังทางที่ตะวันชี้ ค่อยๆ ออกห่างกลุ่มพนักงานในบริษัท ด้วยฤดูนี้เป็นฤดูหนาว คนจึงไม่นิยมมาทะเลสักเท่าไร เพราะต่างแห่กันไปสัมผัสความหนาวเย็นที่ภาคเหนือเสียมากกว่า ทะเลจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านนักเมื่อเทียบกับฤดูอื่นๆ

สองคนสาวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ลมมีไอเย็นเพียงเล็กน้อย เพราะพระอาทิตย์ยังคงทำงานดีแม้ว่าจะล่วงเข้าช่วงเย็นแล้ว ตะวันคลี่ยิ้มบางเบาราวกับสายลมหอบความสุขมาให้ พลางเหลือบมองอาทิตย์อัสดงเป็นระยะ

“เหมือนว่าเราจะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอะไรร่วมกันเลยเนอะ”

อยู่ๆ เสียงจากด้านข้างก็ดังมา ร่างโปร่งหันไปมองรุ่นพี่ซึ่งมีขนาดตัวไกลเคียงกัน เขายังคงรักษามารยาทที่รุ่นน้องพึ่งปฏิบัติต่อรุ่นพี่อยู่ เพราะอยู่คนละแผนกจึงไม่ถึงขนาดสนิทจนเล่นหัวกันได้อย่างรุ่นพี่แผนกเดียวกัน หากให้เทียบ หนึ่งฤทัยสนิทกับตะวันมากกว่าเขาเสียอีก

“ก็ผมกับพี่ไม่ค่อยต้องประสานงานนี่ครับ”

“นั่นสิ แปลกดีเหมือนกัน ทั้งที่พี่ก็คุยกับขวัญบ่อยออก มีทั้งเบอร์ ทั้งไลน์ แต่กับฟรี พี่ไม่มีซะงั้น”

พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาทิตย์อัสดงรู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน เพราะเจอกันในบริษัทออกบ่อย แต่ดูเหมือนว่าเขากับอีกฝ่ายจะติดต่อกันน้อยจนน่าประหลาด

“ถ้างั้นพี่เต็มเมมเบอร์ไว้เลยครับ”

ร่างโปร่งหยิบโทรศัพท์ออกมายื่นให้คนอายุมากกว่าเพื่อบันทึกเบอร์ไว้ เห็นดังนั้นตะวันก็รู้สึกลิงโลด ระบายยิ้มออกมา พลางส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้รุ่นน้องด้วย

“งั้นฟรีเมมเบอร์ฟรีไว้ด้วยนะ แล้วก็พี่ขอแอดไลน์ไว้เลย”

“ได้ครับ”

อาทิตย์อัสดงรับมาก่อนบันทึกเบอร์ของตนลงไปแล้วส่งคืน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝายจะกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างในโทรศัพท์เขาอยู่ จึงอดชะโงกไปด้วยความสนใจไม่ได้

“มีอะไรเหรอครับ”

“อืม... มีข้อความที่ฟรียังไม่เปิดดูน่ะ”

“อ๋อ”

เสียงร้องดังมาจากปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติโดยไม่ได้ตั้งใจ อาทิตย์อัสดงรู้แก่ใจว่าข้อความที่ไม่ได้เปิดดูถูกส่งมาจากใคร และเขาก็ตั้งใจทิ้งมันไว้แบบนั้น

“ฟรี”

“ครับ”

อาการนิ่งเงียบของเจ้าของโทรศัพท์ที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นทำให้ตะวันเรียกอีกครั้ง ร่างโปร่งจึงได้สติขึ้นมา

“เปล่า ไม่มีอะไรครับ ทิ้งไว้แบบนั้นแหละ”

“แต่ไม่อ่านจะดีเหรอ เขาอาจจะคุยเรื่องสำคัญก็ได้”

“ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ เห็นว่าผมไม่อ่าน เขาก็ต้องโทรมาสิครับ”

แม้จะรู้เต็มอกว่าเจ้าของข้อความนั้นไม่มีทางโทรหาเขาได้ แต่อาทิตย์อัสดงก็ตอบกลับไปอย่างไม่แยแสโดยอ้างอิงจากสัญชาตญาณของมนุษย์ ซึ่งมันก็มีน้ำหนักพอที่ตะวันจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและล้มเลิกความสนใจไป

อาทิตย์อัสดงเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงเมื่อได้รับมันคืนมา เดินทอดน่องและทอดสายตาผ่านอากาศเบื้องหน้าราวกับชื่นชมทัศนียภาพทั้งที่ความจริงนั้นต่างโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย ทว่าเพียงครู่เดียวก็ต้องหันไปทางด้านหลังเพราะเสียงร้องจากรุ่นพี่

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ร่างโปร่งก้มมองตะวันที่ตัวงอพร้อมกับยกเท้าขึ้นมาด้วย เมื่อเห็นว่าที่นิ้วเท้าของอีกฝ่ายมีเลือดซึมค่อนข้างมากก็ตระหนกเล็กน้อย

“น่าจะโดนเปลือกหอยบาด โอ๊ย เจ็บ”

“ผมว่าไปทำแผลก่อนดีกว่า”

เพราะเดินย้อนกลับมาจากทางเดิมบ้างแล้ว ระยะทางจากบ้านพักจึงไม่ไกลนัก อาทิตย์อัสดงยกแขนคนอายุมากกว่าขึ้นแล้วพาดลงบนบ่าของตนเอง พยุงคนเดินไม่ถนัดที่เท้าโชกเลือดอย่างช้าๆ กระทั่งไปถึงที่หมาย

ตะวันนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ซึ่งอยู่ด้านในตัวบ้านโดยอาทิตย์อัสดงวิ่งเข้าไปในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กพร้อมกับกระเป๋าใส่ยาสามัญเล็กๆ น้อยๆ ที่เอามาจากกรุงเทพฯ ด้วยมา จากนั้นตรงไปยังครัว หยิบกะละมังใบย่อมแล้วย้อนกลับมาหาคนบาดเจ็บอีกครั้ง

กายโปร่งนั่งลงกับพื้น จับเท้าของตะวันแช่ลงน้ำเพื่อล้างทรายออกไป แล้ววางเท้าเปียกๆ นั้นลงบนตักของตนซึ่งปูผ้าขนหนูรองเอาไว้และซับมันให้แห้ง

“เอ่อ ฟรี นั่นมันกะละมังล้างจานไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมบอกเขาให้เปลี่ยนใหม่ก็ได้ ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวผมออกเอง”

“ไม่ ไม่ได้หรอก ถ้าเขาให้จ่ายเดี๋ยวพี่จัดการเอง เพราะพี่เจ็บตัว ฟรีถึงต้องเอามาใช้ ไม่เป็นไรหรอก”

รู้ว่าเถียงต่อไปคงไม่มีประโยชน์ อาทิตย์อัสดงจึงไม่ได้เอ่ยแย้งใดๆ อีก เขาหันไปหยิบอุปกรณ์ฆ่าเชื้อและทำแผลมาจัดการให้อย่างรวดเร็วจนพันผ้าปิดแผลไว้ได้อย่างเรียบร้อย

ทว่าแม้จะเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่มันกลับดูยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของตะวัน เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขาถึงขนาดนี้ ทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด แค่พยุงเขากลับมาที่บ้านพักและปล่อยให้เขาทำแผลเองก็ได้ แต่ว่าพระอาทิตย์ดวงนี้กลับทำให้เขาจนเสร็จสิ้น

“ขอบคุณนะฟรี ที่ช่วยทำแผลให้”

“ไม่หรอกพี่ เรื่องเล็ก พี่เต็มล้างเท้าอีกข้างเลยสิ คงเดินไปห้องน้ำไม่สะดวกใช่ไหม”

ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น มือเรียวยังจับเท้าอีกข้างที่เปื้อนทรายของตะวันลงในอ่างน้ำและยกขึ้นมาเช็ดให้เสียอีก ปรนบัติอย่างดีจนคนถูกปฏิบัติด้วยรู้สึกอิ่มเอมในใจ ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นออกมาทีละน้อย ภายในอกแน่นไปหมด บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกักเก็บเอาไว้ตลอดคล้ายว่าจะปะทุขึ้นมา

“กินเหล้ากันไหม”

และก่อนที่สิ่งนั้นจะเผยออกมาอย่างหมดเปลือก ตะวันก็โพล่งสิ่งที่ควานหาได้เป็นสิ่งแรกขึ้นมา เพราะสายตาปะทะกับขวดเหล้าที่เหลือทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนพอดี

“กินเหล้าตอนนี้ เดี๋ยวเลือดก็พุ่งหรอก”

คนพูดหลุดขำเล็กน้อยกับประโยคเมื่อครู่ ทว่าแม้จะเป็นการขบขันจากความป้ำเป๋อหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็ทำให้คนมองรู้สึกราวกับภายในอกถูกลมขนานใหญ่สูบเข้ามา เพราะนานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ รอยยิ้มที่ไม่ใช่การแสร้งทำเพื่อรักษามารยาท

ตะวันรู้สึกอุ่นชื้นอยู่ในใจที่อย่างน้อยตนก็สามารถทำให้อาทิตย์อัสดงที่หดหู่มาหลายสัปดาห์หัวเราะได้ และคงเพราะความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่เต็มอกในเวลานี้กระมัง ถึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าสามารถพูดในสิ่งที่ตนเองแอบซ่อนเอาไว้มาเนิ่นนานได้

“ฟรี”

“ครับ”

อาทิตย์อัสดงเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า พลางเช็ดมือกับผ้าขนหนูเปียกชื้นที่เมื่อสักครู่เพิ่งใช้มันเช็ดเท้าให้รุ่นพี่

“มันก็ปีกว่าแล้วเนอะ”

“ครับ?”

เจ้าของเสียงเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้รับคำพูดประโยคนั้น เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่เมื่อมองสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายกลับรู้สึกได้ว่าเรื่องที่ตะวันกำลังจะพูดเป็นเรื่องสำคัญ

“ตั้งแต่ฟรีเลิกกับแฟนเก่า”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับไฟฟ้าช็อตไปทั่วทั้งตัวจนขนลุกชันไปทั้งร่าง บรรยากาศเบาสบายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องไปยังใบหน้าของตะวันนิ่งงัน ไร้แววใด มันแข็งค้างไร้ประกายชีวิต ภายในนิ่งสงบดุจถูกหยุดเวลาเอาไว้






อ่านต่อข้างล่าง


v



v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 19th Entry : จนแต้ม [15/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 15-06-2016 19:58:39
ต่อจากข้างบน



v



v



“มีอะไรครับ”

น้ำเสียงที่พูดออกมาแข็งกระด้างจนคนฟังรู้สึกได้ ตะวันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พลางบอกตนเองให้หาญกล้าเข้าไว้

“พี่... พี่...รู้สึก...ชอบฟรีน่ะ”

“.....”

“ชอบมาตั้งแต่ที่ฟรีเข้ามาทำงานใหม่ๆ แล้ว”

เหมือนการสนทนาฝ่ายเดียว แต่คงไม่แปลกนัก หากแต่ความเงียบเฉียบจากคนที่ตนเองสารภาพนั้นทำให้รู้สึกราวกับถูกเชือดเฉือนด้วยความเหยียบเย็น ถึงกระนั้นก็ยังพยายามคุมสติเอาไว้ให้มั่นและเปล่งเสียงต่อไป

“แต่ว่าฟรีมีแฟนแล้ว พี่ก็เลยไม่กล้าพูด พอรู้ว่าฟรีเลิกกับแฟน ถึงจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ว่าพี่...ดีใจนะ”

“.....”

“ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังไม่กล้าพูดออกมาหรอก เพราะอยากให้ฟรีทำใจเรื่องแฟนให้ได้ก่อน แต่ว่า...มันผ่านมาปีกว่าแล้ว พี่เลยคิดว่าฟรีน่าจะพร้อมเปิดใจแล้ว”

“.....”

“ใช่ไหม”

คำลงท้ายในรูปประโยคคำถามดังขึ้นอย่างไม่แน่ใจ มันเต็มไปด้วยความสั่นไหว คล้ายกับเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดทุกเมื่อยามสะกิดเบาๆ

อาทิตย์อัสดงจ้องคนตรงหน้านิ่ง เหมือนกำลังพิจารณาคำสารภาพนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากแต่ไม่ใช่ เขาไม่แม้แต่จะนำมาตรึกตรองด้วยซ้ำ เพียงแค่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายมั่นใจแล้วหรือว่ารู้สึกเช่นนั้นกับเขาจริงๆ

“ขอโทษด้วยนะครับ”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเรียบเฉยดั่งคนไร้ความรู้สึก ไม่เจือกระแสใดๆ ทั้งสิ้นเสมือนธารใกล้จับตัวเป็นน้ำแข็ง พาให้ใจของคนฟังลู่ลงเล็กน้อย ทว่าใช่ตะวันจะยอมแพ้เสียเดี๋ยวนั้น

“เพราะพี่เป็นผู้ชายเหรอครับ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น” ร่างโปร่งยังใช้โทนเสียงเดิมตอบกลับมา สีหน้าคงความสงบนิ่งเอาไว้อย่างหนักแน่น “ไม่ว่าพี่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมก็ไม่คิดจะตอบรับหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ หรือว่าฟรียังลืมแฟนเก่าไม่ได้”

“ถ้าถามว่าลืมได้ไหม ผมคงพูดไม่ได้ว่าลืม แต่ที่ผมตอบรับพี่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นหรอก”

“แล้วทำไมล่ะ หรือว่าเรายังไม่สนิทกันมากพอ อยากให้ใช้เวลาอีกสักหน่อยเพื่อทำความรู้จักกันมากกว่านี้ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ยินดีนะ พี่รอได้”

ดวงตาของตะวันส่องประกายแห่งความหวังขึ้นมาในชั่วพริบตาเมื่อคิดเข้าข้างตนเอง แต่เพียงครู่เดียว แสงสว่างนั้นก็ดับวูบลงเพราะน้ำคำจากอาทิตย์อัสดง

“ต่อให้มีโอกาสสนิทกันมากกว่านี้ ผมก็มั่นใจว่าตัวเองจะยืนยันคำตอบเดิม”

ถ้อยคำและน้ำเสียงที่ตอบกลับมาดุจหินผาแข็งแกร่งที่ไม่มีวันทลายลงได้ ตะวันรู้สึกเช่นนั้นทันทีที่ได้ยินมัน จนไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นจริงได้

คงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคตตนเองจะรู้สึกอย่างไร

เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน

แต่เมื่อได้สบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ไร้แววของการเคลื่อนไหว ราวกับมันถูกแช่แข็งเอาไว้ ความคิดนั้นของตะวันก็สูญสลายไปราวกับมันเป็นเพียงภาพมายาลวงตา

“ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยเลยเหรอที่ฟรีจะหวั่นไหว ต่อให้พี่ทำดีสักแค่ไหน ฟรีก็จะไม่รู้สึกดีกับพี่เลยสักนิดเหรอ”

“ขอโทษครับ”

คำขอโทษดังซ้ำราวกับจะบีบคั้นให้ต้องยอมรับโดยดุษณี ตะวันขบริมฝีปากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าควรจะสรรหาคำใดมาเหนี่ยวรั้งให้อีกฝ่ายใช้เวลาไตร่ตรองเพิ่มสักนิด และดูเหมือนอาทิตย์อัสดงจะอ่านใจได้จึงแจงย้ำ

“สถานะของพี่เต็มสำหรับผม คือรุ่นพี่ที่ทำงาน นิสัยดี มีน้ำใจ แล้วผมก็ดีใจที่ได้รู้จักกัน ซึ่งมันจะไม่เปลี่ยนไปครับ ต่อให้ห้าปี สิบปี หรือยี่สิบปีก็ตาม และผมก็จะดีใจมากกว่าหากพี่ให้ผมเป็นแค่รุ่นน้องที่ร่วมงานกัน ผมไม่อยากให้พี่เสียเวลาเปล่าทั้งที่ตัวเองรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรัง”

“ตัดรอนกันอย่างโหดร้ายเลยรู้ไหม”

ตะวันไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีที่ถูกขีดเส้นแบ่งไว้ชัดเจนเสียขนาดนี้ มิหนำซ้ำเจ้าตัวคนพูดยังไม่มีท่าทีหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น

“สักวันหนึ่ง พี่จะดีใจที่ผมพูดแบบนี้นะ”

อาทิตย์อัสดงยิ้มน้อยๆ ไพล่คิดไปถึงวันที่ตะวันมีคนรักซึ่งยินยอมพร้อมใจจะเดินไปในเส้นทางสายเดียวกัน ทำให้ตะวันไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นความปรารถนาดีที่โหดเหี้ยม จึงได้แต่จำยอมรับไป แต่กระนั้นก็อดถามไม่ได้

“แล้วถ้าเป็นคนอื่นล่ะ ถ้ามีใครสักคนมาสารภาพรักกับฟรีอีก ฟรีจะตอบแบบนี้หรือเปล่า”

“คนอื่นเหรอครับ” ร่างโปร่งทวนคำถามราวกับถ่วงเวลาเพื่อคิดวิเคราะห์ แต่มันก็สั้นเพียงหนึ่งช่วงหายใจ ประหนึ่งคำตอบถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว “ทุกคนมีสถานะเดิมของตัวเองอยู่แล้ว ผมคงไม่เปลี่ยนสถานะที่ดีอยู่แล้วไปหรอกครับ”

“หมายความว่าต่อให้เป็นคนอื่นก็ปฏิเสธงั้นเหรอ”

“ครับ แล้วผมก็ค่อนข้างมั่นใจในความมั่นคงของตัวเองด้วย”

อาทิตย์อัสดงผลิยิ้มจาง ตอบคำถามนั้นโดยไม่มีวี่แววของความลังเลแม้แต่น้อย ราวกับว่าไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา เขาไม่เคยเปลี่ยนสถานะของคนที่ได้รู้จักอยู่แล้วเป็นอื่น แม้กระทั่งคนรักที่ผ่านมา เขาไม่เคยใช้สถานะเพื่อนเพื่อเข้าหา ทว่า...

ทั้งที่น่าจะเป็นเช่นนั้น

ทั้งที่น่าจะเป็นแบบนั้นไม่ว่ากับใคร

แต่กับใครคนนั้น...เขากลับตอบอย่างหนักแน่นไม่ได้เลย







-----------------
มาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
มาส่องทางฝั่งฟรีบ้าง เราส่งขวัญเป็นตัวแทนของทุกคนค่ะ


สปอยล์ว่าตอนหน้าทั้งสองคนจะกลับมาเจอกันแล้ว


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 19th Entry : จนแต้ม [15/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-06-2016 20:13:55
โอ๊ยยยยยย

มันค้างงงงงงงงงง  :katai1:

นังนั่นเป็นใคร มันทำอะไรฟรี อยากจะลากมาตบ ๆๆๆๆๆ
สงสารพี่ตะวัน อกหักมารักกับน้องนะคะ ไม่ใช่!

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 19th Entry : จนแต้ม [15/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 15-06-2016 21:32:31
คุณขวัญคะ เรารู้ว่าคุณขวัญเครียดและเป็นห่วงเพื่อนมากแค่ไหน แต่เราอดไม่ได้จริงๆค่ะ 5555555555555555555555555 โอ๊ยยยยยย มันน่าให้ผู้หญิงคนนั้นมาเจอคุณขวัญนะคะ โดนตบคอนหรีตหลุดแน่เลย แต่แบบนี้แล้วจะยังไงต่อคะเนี่ย เขาคงไม่ยอมหยุดง่ายๆด้วย เฮ้อออ คุณอาทิตย์เข้มแข็งไว้นะคะ ยังไงตรงนี้ก็มีคุณขวัญอยู่กลับไปก็จะมีใครอีกคนรออยู่เหมือนกัน... ส่วนพี่ตะวัน... ยอมรับว่ายังหมั่นไส้นะคะ แต่ดูเหมือนแกโดนตัดออกจากวงจรแล้วมั้งคะ ขอให้โชคดีนะคะ สักวันพี่คงได้เจอกับคนที่พี่รัก และรักพี่ แต่การมีพี่ตะวันนี่คือเรื่องดีเหมือนกันนะคะ มันเหมือนการเปรียบเทียบโดยไม่ได้ตั้งใจอ่ะค่ะ คนหนึ่งรู้จักกันมานานก็จริงแต่คุณอาทิตย์ขีดเส้นไว้ชัดเจนและไม่มีทางลบเส้นนี้ออก กับอีกคนที่รู้จักไม่นานเท่าแต่คุณอาทิตย์ต้องตั้งกำแพงแทนการขีดเส้นเลยอ่ะ ดูก็รู้ว่าใครทำให้หวั่นไหวได้มากกว่า เฮ้อออ แต่คราวนี้ก็งานยากแล้วค่ะคุณภัน เราก็นึกภาพไม่ออกนะคะตอนนี้ว่าคุณภันจะเปิดใจคุณอาทิตย์ยังไง ทั้งที่เหมือนได้เข้าใกล้อีกนิดแต่จริงๆมันยังไกลมากอยู่ดี เราภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ เฮ้อออ

ปล. เราเจอคำผิดคำนึงนะคะ

ความเหยียบเย็น  >> เยียบเย็น

รอตอนต่อไปนะคะะะะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 19th Entry : จนแต้ม [15/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: saotome ที่ 16-06-2016 21:13:53
อ้ากกกก
ยัยนั่นคือใคร
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 20th Entry : ดาบสองคม [24/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 24-06-2016 22:02:09
20th Entry : ดาบสองคม






เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงราวกับขับกล่อมผู้คน แสงไฟสลัวและห่อหุ้มด้วยไอเย็นพอประมาณช่วยให้บรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อนและดื่มด่ำไปกับช่วงเวลายามค่ำคืน ถึงกระนั้นชายหนุ่มสองคนซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์คงจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับความพิเศษนี้สักเท่าไร เพราะหลังจากเกรียงไกรทิ้งคำถามไว้ว่า ‘ไหนลองเล่ามาสิ’ ก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสองคน

“อืม... จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ”

ภันวัฒน์รับเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์ก่อนตอบคำถาม เพราะอยากรอให้ร่างกายผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและตึงเครียดจากการทำงานมาตลอดทั้งวันเสียหน่อย แต่ทันทีที่มาถึงและหย่อนก้นลงนั่ง เพื่อนก็ยิงคำถามใส่

“ก็เริ่มจากจุดเริ่มต้นไง มึงบอกว่าเขาเป็นบล็อกเกอร์ที่รีวิวขนมของมึงไม่ใช่เหรอ แล้วยังไง ทำไมอยู่ๆ ถึงมาถามหาเขา”

“ก็ไม่มีอะไรมาก ไม่เห็นจะน่าถามเลยนี่หว่า”

คนถูกถามไหวไหล่ตอบราวกับเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ เพราะคิดว่าเพื่อนน่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยาก จากนั้นกรอกเครื่องดื่มเข้าปาก วันนี้เขาสั่งม็อกเทล เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ เพราะว่ามีแผนการสำคัญหลังจากนี้ ดังนั้นจะเข้าโหมดผ่อนคลายแบบสุดตัวไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“อย่าบอกนะว่าแกปิ๊งเขาน่ะ”

“ก็อย่างที่ว่า”

“เฮ้ย”

เกรียงไกรถึงกับร้องเสียงหลงหลังจากได้ยิน แต่ภันวัฒน์ยังมีท่าทีนิ่งเฉยเสมือนมันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดตรงไหน เขาจิบเครื่องดื่มสีสวยที่ไม่ค่อยเข้ากับภาพลักษณ์เสียเท่าไรอย่างสบายอารมณ์

“เอาจริงดิ”

“ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยวะ”

ภันวัฒน์เกือบจะหลุดขำกับการแสดงออกของเพื่อนที่โจ่งแจ้งเสียเหลือเกิน

“ก็สเปกมึงไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า แล้วเป็นไงมาไงวะเนี่ย แถมยังเงียบกริบ ไม่ปล่อยให้กูระแคะระคายสักนิด”

“กูจำเป็นต้องบอกมึงทุกเรื่องไหมเนี่ย” ผู้จัดการหนุ่มพูดพลางพ่นหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยังเล่าให้ฟัง “ตอนแรกๆ ก็ไม่ใช่สเปกอย่างที่มึงว่านั่นแหละ แต่พอได้คุย ได้รู้จักมากขึ้น กูรู้สึกว่าเขาน่ารัก”

พอได้ยินคำว่า ‘น่ารัก’ เกรียงไกรก็ขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบเป็นปม เพราะนึกไม่ออกว่าผู้ชายหน้าตี๋ ตัวสูงชะลูดเกินร้อยเจ็ดสิบห้าแบบนั้นจะน่ารักได้อย่างไร ไม่ว่าจะเรียกความทรงจำครั้งที่เคยเจอกันออกมาสักเท่าไร ก็ไม่เห็นเค้าความน่ารักของอีกฝ่ายอยู่ดี ยังไม่นับรวมถึงความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าตอนที่ได้เจอกัน เพราะดันเป็นไม้กันหมาให้ว่าที่แฟนของเขาอีก

“น่ารักตรงไหนวะ กูนึกภาพไม่ออกเลย”

“มึงไม่ต้องนึกภาพออกหรอก ความน่ารักของเขา กูเห็นคนเดียวก็พอแล้ว”

“ถุย”

เสียงขากน้ำลายด้วยความหมั่นไส้อย่างเสียมารยาทต่อสถานที่เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนฟังได้ เกรียงไกรทำหน้าหน่ายก่อนจะถามต่อ

“ว่าแต่ถึงขั้นไหนแล้ววะ อย่าบอกนะว่ามึงไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ เขาถึงได้หนีไปเอาท์ติ้งกับบริษัทโดยไม่บอกมึง”

“ไม่ถึงขั้นไหนทั้งนั้นแหละ”

“เขาไม่เอามึง”

ยังเล่าไม่ทันจบ เพื่อนซี้ก็แทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสมเพชอย่างสะใจ ภันวัฒน์จึงถลึงตาใส่ชั่วครู่

“เขามีอดีตฝังใจอะไรสักอย่าง ก็เลยไม่อยากมีความรักอีก แต่กูก็สังเกตได้ว่าเขาหวั่นไหวกับกูเหมือนกัน”

“มึงคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าวะ”

ถึงจะรู้แก่ใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก ภันวัฒน์มีคุณสมบัติเพียบพร้อมพอที่จะให้ใครต่อใครมาตกหลุมรักได้ แต่ก็อดจะกล่าวอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ เพราะเห็นว่าความรักครั้งนี้ของเพื่อนมีอุปสรรค จะเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ได้กระมัง ที่อีกฝ่ายไม่โอเคเซย์เยสเมื่อภันวัฒน์ออกปากขอคบ

“มึงนี่นา เดี๋ยวกูก็แช่งให้คุณขวัญอะไรนั่นเมินมึงหรอก”

“โนๆ อย่ามาพาลกูสิ กูก็แค่เห็นแปลกดี ให้กูได้แซวมึงมั่งเหอะ แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

“ก็ตะล่อมต่อไป จนกว่าเขาจะใจอ่อนนั่นแหละ กูเชื่อว่าสักวันมันต้องสำเร็จ แต่ช่วงนี้กูก็ห่วงๆ เขาว่ะ ได้ข่าวว่าโดนแฟนเก่ารังควาน ก่อนหน้านี้ก็เครียดจนสลบไปต่อหน้าต่อตากูเลย เห็นแล้วใจกูงี้แทบร่วงไปกองกับพื้น”

“เออ มึงเป็นประเภทห่วงคนที่มึงรู้สึกดีด้วยไปทั่วนั่นแหละ อย่างฐานนั่นไง”

เกรียงไกรคล้อยตามอย่างเห็นด้วย เพราะรู้จักนิสัยของเพื่อนรักดี ตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว

“หรือมึงคิดว่าสถานการณ์อย่างฐาน จะไม่ให้กูเป็นห่วงได้”

โดนเพื่อนตอกกลับมาเช่นนั้น หนุ่มเจ้าของธุรกิจก็ได้แต่ยักไหล่ ไร้การโต้ตอบทางเสียง เพราะเรื่องนั้นเขาก็รู้ดีเช่นกัน

“แล้วนี่มึงจะไปหาเขาหรือเปล่า เพื่อนคุณขวัญน่ะ กลับคืนนี้ใช่ไหมล่ะ”

“เขาชื่อฟรีเว้ย จำไว้ด้วย ว่าที่แฟนเพื่อนมึงอะ”

“อู้หู ออกตัวเร็วจริงนะ”

สีหน้ายิ้มแซวของเพื่อนทำให้ภันวัฒน์รู้สึกหมั่นไส้กลายๆ จึงสวนกลับไปบ้าง

“หรือว่ามึงจะไม่ไปหาคุณขวัญของมึงล่ะ”

“ไปสิครับ จะรออะไร”

เหมือนติดเบรกได้ เกรียงไกรเปลี่ยนอารมณ์สนุกขำขันเป็นหน้าระรื่นด้วยความปรีดาที่จะได้เจอคนที่ตนหมายปองทันควัน

“งั้นก็แยกย้าย มึงไปหาคนของมึง กูไปหาคนของกู เค?”

สิ้นเสียงนั้น กายกำยำก็ผุดขึ้นจากเก้าอี้ทรงสูง วางแก้วที่อยู่ในมือพร้อมกับธนบัตรมูลค่าเกินกว่าค่าเครื่องดื่ม เตรียมตัวจะก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไม่ได้แม้แต่วินาที พลอยให้คนที่เห็นเลิ่กลั่กลุกขึ้นเช่นเดียวกัน เสียงร้องดังขึ้นตามหลังคนที่เดินนำไปก่อนทั้งที่มือของเจ้าตัวยังคงง่วนกับการหาค่าเครื่องดื่มในกระเป๋าเงิน

“เฮ้ย เดี๋ยว มึงรีบไปเปล่า อีกตั้งเกือบสามชั่วโมง”





แม้จะรู้ว่ายังไม่ถึงเวลา และกว่าคนที่ตนรอคอยจะกลับมาถึงบ้านก็คงต้องเดินทางอีกประมาณยี่สิบนาทีเป็นอย่างน้อย ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ห้ามใจของตนเองที่อยากจะมารอที่หน้าบ้านของอาทิตย์อัสดงเร็วๆ ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นร่างสูงจึงมาสถานที่นัดพบเอาฝ่ายเดียวตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มเสียด้วยซ้ำ

เขาออกมายืนรออยู่หน้าบ้านที่ยังคงมีบรรยากาศเหมือนเมื่อวานไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันที่ใจซึ่งกระวนกระวายด้วยความเป็นห่วงแปรเปลี่ยนเป็นความคะนึงหา และเฝ้ารอการมาถึงของอีกคนด้วยความใจเย็น มองถนนที่เปลี่ยวเหงาเพราะไม่มีรถราสัญจร มองท้องฟ้าสีครึ้มที่อ้างว้าง พลางนั่งทับบนกระโปรงรถบ้าง เอนพิงตัวรถบ้างฆ่าเวลาไปเรื่อย

กระทั่งเสียงเครื่องยนต์ดังมาใกล้ พร้อมกับแสงไฟสีนวลสว่างสาดมาจากต้นทาง สายตาที่ทอดยาวไปอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายก็เบนกลับมาสบยังต้นกำเนิด รถยนต์สีขาวหยุดลงตรงหน้า เพราะไม่สามารถเคลื่อนสู่ตัวบ้านที่ถูกเขาจอดรถขวางกั้นเอาไว้ได้

สองขายาวก้าวตรงไปใกล้ประตูรถ ทอดสายตาผ่านกระจกหน้าบานกว้างซึ่งถูกปิดด้วยฟิล์มเข้มกันแสง ไม่แน่ใจว่ากาลเวลายาวนานแค่ไหนที่เขาสบตากับคนที่อยู่ภายใน แล้วฝ่ายนั้นถึงยอมเปิดประตูฝั่งคนขับออกมาเผชิญหน้ากัน แต่เพียงเห็นดังนั้น เขากลับรู้สึกว่าเวลาแห่งการรอคอยที่ผ่านมานั้นช่างสั้นเหลือเกิน

คุ้มค่ากับการรอคอย...

เขาได้พบกับคนที่อยากเจอมากที่สุดสักที

อาทิตย์อัสดงมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความสับสน ความว้าวุ่นในใจก่อกำเนิด เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พูดประโยคไหนออกไปดี คล้ายว่าเสียงที่เคยมีอยู่อันตรธานไปจนหมดสิ้น จึงได้แต่สบกับดวงตาคมเข้มที่เป็นประกายวาววับซึ่งสะท้อนภาพเขาอยู่บนนั้น

“ยินดีต้อนรับกลับครับ”

ความเงียบครองตัวอยู่นาน กว่าเสียงแรกจะดังขึ้นจากปากของร่างสูง ภันวัฒน์ฉุดมุมปากขึ้นเล็กน้อย ระบายยิ้มอ่อนโยนส่งให้

อาทิตย์อัสดงรู้สึกหัวใจกระตุกในเสี้ยววินาทีนั้น หัวสมองเบลอราวกับถูกทุบด้วยหมอนที่อ่อนนุ่ม ขนนกที่อยู่ในภายปลิวว่อนทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่ปัจจุบันจะมีคนใช้หมอนขนนกขนเป็ดอยู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเช่นนั้น

“ผม...ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ”

อาจเพราะเห็นว่าร่างโปร่งได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่มีเสียงใดหลุดจากปาก ภันวัฒน์จึงเอ่ย และไม่ทันที่ผู้ถูกขออนุญาตจะเปล่งเสียงออกมา ทั้งร่างก็ถูกร่างสูงใหญ่กว่ารวบเข้าไปกอดทั้งตัวแล้ว

อดีตบล็อกเกอร์ได้แต่ตัวแข็งทื่อ ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดที่ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ แม้ในใจจะคิดว่าควรผลักอีกฝ่ายออกไปเสีย ไม่สมควรที่เขาจะปล่อยให้ภันวัฒน์ทำเช่นนี้ ทว่าเรี่ยวแรงที่สมควรมีกลับไม่เหลืออยู่

ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเพราะความตกใจที่ถูกรั้งตัวเข้าไปกอดทำท่าราวกับจะปิดลงเสียให้ได้เพื่อซับไออุ่นนี้ ในสมองหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเช้า ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ที่เพื่อนสาวมาพูดคุยด้วย



‘มึงกับเพื่อนคุณจอมที่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่นี่มีอะไรกันหรือเปล่าวะ’

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ พอมีเวลาว่างให้ผ่อนคลายก่อนต้องขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ หนึ่งฤทัยก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อาทิตย์อัสดงหันขวับกลับไปทางคนที่อยู่ด้านข้างอย่างลืมตัว ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก็คงสายไปเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ตอบได้จึงมีเพียง...

‘ก็...รู้จักกันนิดหน่อย’

‘แน่ใจเหรอวะ’

ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าหญิงสาวจะเชื่อในคำตอบ เธอหรี่ตามองเพื่อนรักราวกับจับผิดเสียเต็มประดาอย่างไม่ปิดบัง พลอยให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างน่าพิศวง อึกอักเหมือนน้ำกำลังท่วมคอและใกล้จะล้นออกมาทางปาก

‘มึงถามทำไม’

‘มึงตอบมาก่อนสิ’

‘กูก็ตอบไปแล้วไงว่ารู้จักกัน’

แม้จะย้ำคำตอบเดิมเพื่อให้เพื่อนเชื่อถือ แต่ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะใบหน้าของหญิงสาวยังคงไม่เปลี่ยนไปสักนิด และมันก็ทำให้ไพล่คิดไปว่าหรืออีกฝ่ายจะเล่าเรื่องราวอะไรของเขาให้เพื่อนฟัง และทางฝ่ายนั้นก็มาเล่าต่ออีกที

อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ เพราะเขาไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าชายชื่อภันวัฒน์จะทำอะไรบ้าง

‘อ๋อใช่ นั่นสินะ มึงรู้จักเขาตั้งแต่ก่อนที่จะเจอกันที่ร้านกาแฟวันนั้นอีก’

คล้ายว่าหนึ่งฤทัยจะนึกอะไรออก ถึงได้กล่าวอ้างขึ้นมา และมันก็กดดันร่างโปร่งให้ยิ่งจนมุมากขึ้นไปอีก

‘เออ ก็ได้ กูเล่าก็ได้ คือ...’ เพราะดูเหมือนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป อาทิตย์อัสดงจึงยอมตัดใจเล่าความจริง แต่ก็เพียงส่วนเริ่มต้นที่สามารถเล่าได้เท่านั้น ‘กูเขียนรีวิวขนมของร้านเขา แล้วเขาไม่พอใจ ก็เลยได้รู้จักกัน เท่านั้นแหละ’

‘แล้วหลังจากนั้นล่ะ มีความสัมพันธ์กันยังไง’

แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหล่อนจะยังไม่พอใจในคำตอบอยู่ดี เธอขยับเท้าเข้ามาใกล้ชายหนุ่มเพื่อสร้างแรงกดดันให้มากกว่าเก่า จนอาทิตย์อัสดงเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา

มันยากที่จะพูดว่า...เขากำลังถูกภันวัฒน์จีบอยู่

‘เขาชอบมึงเหรอ’

ราวกับว่าจะให้เพื่อนรอนานเกินไปแล้ว เจ้าตัวจึงโพล่งถามขึ้นมาแบบขวานผ่าซากเสียเลย และมันก็เป็นดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางใจของคนถูกถาม นัยน์ตาเรียวเลิ่กลั่กกลิ้งกลอกไปมาอย่างน่าสงสัย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันสลับกับคลายออกคล้ายคนไม่รู้จะพูดแก้ตัวอย่างไร

‘กะอีแค่เรื่องแค่นี้ ทำไมบอกกูไม่ได้วะ ต้องปิดบังด้วยหรือไง’

เสียงพ่นลมหายใจดังมาจากจมูกของร่างเพรียวระหง เธอทำประหนึ่งมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียเหลือเกิน ขณะที่สำหรับอาทิตย์อัสดงแล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่จนเขาสิ้นไร้ทางออกยามนึกถึง

‘หรือมึงคิดว่ากูจะแซวมึง’

‘เปล่า กูไม่ได้คิดแบบนั้น กูแค่... ไม่รู้จะพูดยังไงเฉยๆ’

‘เหรอ’ คำตอบรับนั้นเสมือนไม่ยี่หระในคำตอบที่ได้ฟังแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำเธอยังพูดจี้ใจดำ ‘มึงทำแบบนี้ยิ่งส่อพิรุธว่ามันไม่ใช่แค่นั้น’

‘เปล่า ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรอกเว้ย’

ไร้เสียงตอบรับจากหญิงสาว เธอจ้องหน้าเพื่อนรักราวกับจะดูความผิดปกติ ยิ่งทำให้คนถูกจ้องจับผิดรู้สึกร้อนรนจนไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ควรทิ้งสายตาไว้ที่ไหน หรือว่าใช้คำพูดใดให้ออกจากหัวข้อสนทนานี้ได้

‘แต่กูว่าฝั่งนั้นมีเยอะนะ’

อยู่ๆ เสียงที่เคยไล่เบี้ยเพื่อให้สารภาพก็แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นน้ำเสียงเรียบนิ่งจนชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจ จากที่ลุกลี้ลุกลนอยู่เมื่อครู่ก็กลายเป็นสงบลงด้วยเช่นกัน อาทิตย์อัสดงจับจ้องไปที่หน้าเพื่อนสาวเป็นครั้งแรกนับจากเริ่มต้นการสนทนา คล้ายกับว่า...อยากรู้

‘พูดอะไรของมึง’

แต่ก็แสร้งทำเป็นพูดเหมือนไม่ได้มีความต้องการนั้นอยู่ในใจ ทว่าหนึ่งฤทัยก็จับกระแสอ่อนๆ ที่แฝงอยู่ในนั้นได้อยู่ดี

เพื่อนของเธอสนใจ...

‘ผู้ชายคนนั้นน่ะ เพื่อนคุณจอม...เขาเป็นห่วงมึงนะ’

‘พะ...พูดอะไรของมึง’

‘เขาให้คุณจอมโทรมาถามกูว่า กูรู้หรือเปล่าว่ามึงไปไหน’

น้ำเสียงและแววตาที่ส่งออกมาจากเพื่อนรักสะท้อนถึงความจริงจัง ทำให้หัวใจที่เต้นอยู่ในอกด้วยความหวาดระแวงขยับจังหวะถี่ขึ้นด้วยความรู้สึกแปลดพิสดาร จาระไนออกมาไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน

‘มึงรู้ไหมว่าเขาโทรมาตอนกี่โมง’

‘กะ กูจะไปรู้ได้ยังไง กูไม่ได้เป็นคนรับโทรศัพท์นี่หว่า’

สิ่งที่เปล่งออกมาสั่นเครือผิดจังหวะอย่างไม่อาจห้าม แม้กระนั้นร่างโปร่งก็ยังพยายามจะใช้คำพูดราวกับไม่แยแสให้มากที่สุด

‘ตอนตีสาม’

เพียงได้ฟัง ก้อนเนื้อในอกก็ราวกับกลายสภาพเป็นเหล็ก มันสั่นสะท้านดั่งถูกบางอย่างตีเบาๆ แต่กลับก้องสะเทือนเป็นระลอกซ้อนอยู่ภายใน

‘ผู้ชายคนนั้นน่ะ... เขาติดต่อมึงไม่ได้ ถึงได้อยากรู้ว่ามึงอยู่ที่ไหนตอนตีสาม’

ภาพใบหน้าของคนที่ถูกกล่าวถึงผุดขึ้นมาทีละน้อย จากสีอ่อนจางค่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาพที่ชัดเจน

‘ทั้งที่รอตอนเช้าค่อยถามก็ได้ แต่เขากลับร้อนใจให้เพื่อนโทรมาถามคนที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่เลยสักนิดตอนกลางดึกแบบนั้น มันไม่น่าแปลกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...’

ยิ่งคำพูดของหนึ่งฤทัยแจกแจงชัดขึ้น ทั้งเสียงหัวใจและภาพลวงตาที่ปรากฏในมโนสำนึกก็ยิ่งแจ่มแจ้งจนไม่สามารถสลัดทิ้งได้

‘เขาเป็นห่วงมึงมากจนทนรอตอนเช้าไม่ไหว’

อาทิตย์อัสดงพร่ำบอกตนเองว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้ชายคนนั้นมักทำอะไรเอาแต่ใจโดยไร้ความเกรงใจอยู่แล้ว บุกรุกบ้านเขาตอนตีสองก็เคยมาแล้ว นับประสาอะไรกับตีสาม

‘มึงบอกว่าเขาเป็นเจ้าของร้านขนมที่มึงเคยรีวิวใช่ไหม กูคิดว่า...บางทีนะ เขาอาจจะรู้เรื่องบล็อกของมึงแล้วเกิดเป็นห่วงมึงขึ้นมาก็ได้’

ใช่... ก็แค่ช้ากว่านั้นไปหนึ่งชั่วโมง

ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ

ไม่มีเลย...

ทว่าทั้งที่พยายามบอกตนเองเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันกลับไม่สามารถกลบทับร่องรอยคำพูดของเพื่อนสนิทได้เลยแม้แต่น้อย





ร่างของอาทิตย์อัสดงยังคงแข็งค้างอยู่ในอ้อมกอดของภันวัฒน์เช่นนั้น โดยไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขาไม่สามารถยกแขนขึ้นมาเพื่อผลักไสอีกฝ่ายได้จริงๆ ยามคิดว่าอ้อมแขนเป็นความห่วงใยที่ถูกถักทอขึ้น

หากภันวัฒน์รู้เรื่องในบล็อกเขาของจริง เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกเช่นนั้น

แม้จะค้านตัวเองอีกสักพันครั้งว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก เป็นแค่การหลงตัวเอง เพราะอีกฝ่ายบอกว่าสนใจในตัวเขา ทว่าคำตอบสุดท้ายที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

ความอบอุ่นที่แผ่ซึมออกมาจากอีกฝ่าย อุณหภูมิร่างกายที่สัมผัสได้นั้นราวกับจะห่อคลุมร่างของเขาเอาไว้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งต่างๆ ที่กดทับอยู่มลายหายไป จนอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันช่างลำบากเหลือเกินที่จะปฏิเสธ

ทั้งที่ใจอยากขับไล่ รู้ว่าต้องผละตัวถอยห่าง เพราะไม่อยากเพลี่ยงพล้ำไปมากกว่านี้

แต่ก็ทำใจทำเช่นนั้นไม่ได้

จวบจนกระทั่งร่างสูงเป็นฝ่ายค่อยๆ คลายวงแขนเสียเอง ร่างโปร่งจึงได้พบกับอิสรภาพอีกครั้ง พันธนการหลุดร่อนออกไปแล้ว แต่ช่างน่าแปลกที่มันกลับทำให้รู้ว่าร่างกายหนักขึ้นมาจนยากจะขยับ

รอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับอยู่บนดวงหน้าคมคร้าม กลับยิ่งคล้ายศิลาแผ่นยักษ์ที่กดลงบนบ่า

อาทิตย์อัสดงพยายามฝืนทนต่อความรู้สึกนั้น ใคร่ครวญว่าตนควรดึงคำพูดไหนออกมาป้องกันการบุกรุกของฝ่ายตรงข้ามซึ่งกำลังล้ำอาณาเขตที่หวงแหนเข้ามาเรื่อยๆ

“มาทำอะไรที่นี่ครับ”

นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาคิดได้ แต่ละม้ายว่าคนฟังคำถามจะล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะยกประโยคนี้ขึ้นมา ถึงตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมน้ำเสียงฉาดฉาน

“ผมคิดถึงคุณน่ะ”

ดุจคำพูดตอกฝาโลง กักขังไม่ให้อดีตบล็อกเกอร์หาทางหนีไปได้ อาทิตย์อัสดงก้มหน้าเงียบ มองปลายเท้าของตนเองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเสียงทุ้มใหญ่จะดังขึ้นอีกครา

“คุณ...นอนหลับสบายดีหรือเปล่าครับ”

ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะซักถามรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความใคร่รู้ก็เป็นได้ เพราะชอบถือวิสาสะทำอะไรโดยไม่สนใจความต้องการของเขาอยู่แล้ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

มือหยาบหนาแตะแก้มซีดเบาๆ ออกแรงเพียงนิดก็สามารถช้อนกรอบหน้าขาวตี๋ขึ้นมาประจันหน้ากันได้แล้ว แม้ว่าร่างโปร่งจะคิดว่าตนพยายามกดน้ำหนักไม่ให้เงยหน้าขึ้นไปสบตากันอย่างสุดความสามารถแล้วแท้ๆ แต่ภันวัฒน์กลับทำได้สำเร็จอย่างง่ายดาย ราวกับไม่ต้องออกแรงใดๆ เลย

หน่วยตาสองต่างสีประสานกันชั่วครู่หนึ่ง ก่อนลูกแก้วสีนิลจะกวาดไปทั่วหน้าของร่างที่เล็กกว่า จับจ้องใต้ดวงตาพร้อมกับไล้ปลายนิ้วโป้งของมือที่ทาบอยู่บนโครงหน้านั้นเบาๆ ตรงตำแหน่งที่บุ๋มลึก

“ผม...”

อยากพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ‘ผมหลับสบายดี’ แต่ไม่รู้เหตุใดเสียงที่ออกมากลับกลืนหายไปในความเงียบและความมืดยามค่ำคืนเมื่อเผลอสบเข้ากับดวงตาคู่ที่สะท้อนภาพของตนเองอยู่

อาทิตย์อัสดงรับรู้ได้ถึงจังหวะหนักๆ ที่ไหวระรัวอยู่กลางอกจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออก เรี่ยวแรงหายไปเรื่อยๆ ราวกับใต้เท้ามีหลุมปรากฏขึ้นและสูบพลังกายของเขาไปจนหมดสิ้น

“ถ้าไม่เป็นอย่างที่พูด ก็อย่าพยายามโกหกผมเลยนะ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่ม ผิดกลับรูปร่างจนไม่น่าเชื่อว่าจะอบอุ่นและอ่อนโยนได้ขนาดนี้ จากที่เคยแตะอยู่ใต้ขอบตา นิ้วโป้งสากเลื่อนลงมายังกลีบปากแล้วแตะเบาๆ

หากให้อธิบาย ตอนนี้อาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับตนเองเป็นเนยแช่แข็งที่กำลังถูกไอความร้อนเป่าพัดจนค่อยๆ ละลายลง

อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ทีไร เขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย

รู้แน่อยู่ในใจว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ และอะไรไม่ควรทำ แต่ก็ล้มเหลวอยู่เสมอ

ยิ่งในเวลาที่สภาพจิตใจกำลังหลงทิศอยู่ในความมืดเช่นนี้ แสงสว่างที่ถูกส่องมาด้วยภันวัฒน์ก็ยิ่งชักนำให้เขาก้าวเดินตามไปด้วยไม่รู้ตัว

“ผม... ไม่เป็นอะไร”

ร่างโปร่งพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ฝืนยกมือขึ้นมาดึงมือของอีกฝ่ายออก

สวิตช์ที่ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองถูกสับลง ความสว่างที่ส่องประกายเลือนรางอยู่ดับวูบอย่างฉับพลัน เขาตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง แต่กระนั้น...

...ยังดีเสียกว่าการหลงมัวเมาไปกับแสงไฟที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ที่ปลายทาง

ภันวัฒน์ไม่ได้บังคับมือของตนเองเพื่อยกขึ้นมาสานต่อการกระทำเมื่อสักครู่ เขายิ้มบางๆ ราวกับอ่อนใจกับความใจแข็งของอีกฝ่าย ที่แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างที่กำลังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”

“ครับ”

สถานการณ์เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ควรจะเป็น บรรยากาศแปลกประหลาดที่ไม่สมควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำอันตรธานไป เหลือเพียงความเงียบของเวลาดึกสงัด กับไอเย็นเพียงน้อยนิดของลมหนาวที่ปะปนมากับอากาศช่วงใกล้สิ้นปี

ไม่มีความอบอุ่นที่อุปาทานไปเองหลงเหลืออยู่แล้ว

แต่ก็ดีแล้ว

อาทิตย์อัสดงย้ำกับตนเองเช่นนั้น

“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ผมเป็นห่วง”

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก คุณเองเถอะ ทำงานเยอะไม่ใช่เหรอครับ พักผ่อนน้อยจะเสียสุขภาพ”

ร่างโปร่งพูดราวกับว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทว่านั่นกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย

“เป็นห่วงผมเหรอครับ”

ชะงักกึกไปโดยพลันหลังจากได้ยินข้อกล่าวหาที่เข้าข้างตนเองของอีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงชักสีหน้าให้ตึงเล็กน้อย

“เปล่าหรอกครับ ผมพูดตามมารยาทเฉยๆ”

แต่ดูเหมือนว่าคำแก้ตัวนั้นจะไม่เข้าหูคนฟังเสียเท่าไร ภันวัฒน์เผยยิ้มทะเล้นตามแบบฉบับของตนเอง พลอยให้เจ้าของหน้าตี๋ต้องตรึงสีหน้าเดิมไว้ แล้วรีบตัดจบการสนทนา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ อยากพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้าด้วย”

ได้เห็นสีหน้าที่อีกฝ่ายเพียรปั้นให้ดูเย็นชา ปาติซิเย่หนุ่มก็ยิ้มอย่างขบขัน รู้สึกเอ็นดูในความพยายามนั้น พร้อมกับโล่งใจไปด้วยที่อย่างน้อยร่างโปร่งก็ยังสามารถโต้ตอบเขาได้อยู่ ไม่ได้อาการย่ำแย่อย่างเช่นก่อนหน้านี้

“ก็ได้ครับ อย่างน้อยผมก็ได้เห็นหน้าคุณแล้ว ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์”

รอยยิ้มยังไม่จางไป แต่กลับสร้างความรู้สึกหมั่นไส้ให้พอกพูนในใจของคนเห็นเสียมากกว่า อาทิตย์อัสดงจึงเดินผ่านร่างสมส่วนไปเปิดประตู ก่อนจะย้อนกลับมาขึ้นรถ

“ช่วยขยับรถให้ด้วยครับ”

ภันวัฒน์ขยับถอยห่างไปขึ้นรถของตนเองอีกครั้ง และเมื่อทำดังนั้น รถของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เคลื่อนเข้าไปภายใน อาทิตย์อัสดงดับเครื่องเมื่อสิ้นธุระกับพาหนะ ตามด้วยคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็กมากระชับในมือ

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

เมื่อเดินกลับมายังประตูบ้านเพื่อทำการล็อกให้เรียบร้อย เสียงของอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าผู้จัดการหนุ่มลดกระจกหน้าต่างลง เผยให้เห็นใบหน้าที่เคลือบด้วยรอยยิ้มกว้าง มือหนาโบกไปมาเบาๆ

ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี อดีตบล็อกเกอร์จึงสวนกลับไปเพียง ‘ขอบคุณครับ’ เพราะเกรงว่าหากพูดอะไรอย่างอื่นนอกจากนี้ อย่างเช่น เช่นกันครับ หรือขับรถดีๆ นะครับ อาจจะโดนคำพูดเข้าข้างตัวเองของอีกฝ่ายโจมตีก็เป็นได้

อาทิตย์อัสดงหันหลังกลับ เดินเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังกลับไปอีก ไม่มองด้วยซ้ำว่ารถที่จอดอยู่หน้าบ้านเคลื่อนตัวออกไปหรือยัง จนกระทั่งขึ้นห้องนอน จัดการของในกระเป๋าเดินทาง รวมถึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมนอนเรียบร้อยจึงดับไฟ ทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม

มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเป็นครั้งสุดท้าย แม้รู้ว่าไม่มีสิ่งสร้างความชุ่มชื้นให้หัวใจอีกแล้ว เมื่อเห็นเครื่องหมายสีแดงพร้อมตัวเลขบนแอปพลิเคชั่นสนทนาสีเขียวก็อดกดเข้าไปดูไม่ได้ นิ้วเรียวเลื่อนลงไปหาข้อความที่ยังไม่ได้เปิดซึ่งอยู่ด้านล่าง เผลอหลงลืมไปว่ามันเป็นข้อความของใคร

กระทั่งเจอต้นตอของสัญญาณเตือน... นิ้วมือก็นิ่งค้างอยู่เช่นนั้น

สายตาที่กำลังจับจ้องมันอยู่ก็เช่นเดียวกัน

ข้อความของคนเพียงคนเดียวที่เขาไม่เปิดอ่าน

สติกเกอร์อะไรสักอย่างที่ถูกส่งมา

เมื่อนึกถึงผู้เป็นเจ้าของมันก็ทำให้ย้อนระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนขึ้นมาอีก

อ้อมกอดนั่น

คำพูดนั้น...

จิตใจกำลังล่องลอยไปห้วงเวลาที่เพิ่งผ่านพ้น แต่แล้วกลับต้องสะดุ้งขึ้นมาครามครันเพราะสิ่งที่อยู่ในมือส่งเสียงร้องเบาๆ

ข้อความที่มองเห็นอยู่เมื่อครู่หายไปจากตำแหน่งเดิม และทันใดนั้นราวกับมีเสียงกระซิบพร่ำดังอยู่ในใจ

‘ตามหาสิ ตามหาสิ’

คล้ายกับว่าเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อาทิตย์อัสดงเลื่อนนิ้วหัวแม่มือลงหลังจากตรึกตรองอยู่ราวห้านาทีว่าควรจะทำเช่นนั้นหรือไม่ และเขาก็พ่ายแพ้

จอภาพที่อยู่เบื้องหน้าเลื่อนลงมาจนมองเห็นข้อความของบุคคลที่เพิ่งส่งมาล่าสุด

มันเป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาเพียงครั้งเดียวและหยุดไป ไม่มีอะไรต่อจากนั้น ดั่งปรารถนาให้มองเห็นมันได้ครบถ้วนแม้ไม่ต้องเปิดอ่าน และไม่มีสิ่งใดมาลบล้างมันไปก่อนที่จะได้เห็น ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือเจตนาก็ตาม



‘ถ้าอยากฝันดี ก็ฝันถึงผมนะครับ’



หน่วยตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องอยู่ที่ตัวอักษรเหล่านั้นพักหนึ่ง ราวกับเวลาถูกหยุดไว้ แต่แม้ภายนอกจะเป็นเช่นนั้น ภายในกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

ภาพใบหน้าของภันวัฒน์ที่มีรอยยิ้มสยายกว้างผุดขึ้นในสมอง ประหนึ่งเป็นภาพประกอบคำพูด ครั้นพยายามนึกเรื่องอื่นมาปิดทับ แต่ก็ไม่สามารถทำลายภาพนั้นไปได้ คล้ายว่าจะหลอกหลอนกันอย่างไรอย่างนั้น และมันก็เป็นดั่งแรงบีบคั้น ไล่ต้อนร่างโปร่งไปเรื่อยๆ

อาทิตย์อัสดงปล่อยโทรศัพท์ลงจากมือ ซุกหน้าเข้ากับหมอนอย่างแรงด้วยความรู้สึกไร้หนทางออก กำแพงหนาแข็งแกร่งที่เคยก่อล้อมตัวเองเอาไว้ เพียงหวังให้มันป้องกันคนบุกรุกเข้ามากำลังกลายเป็นดาบสองคม

มันคืนสนองเขาด้วยการกักขังไม่ให้หนีออกไปไหนได้








---------------------
คุณอาทิตย์ดูท่าจะแย่ซะแล้ว

ตอนหน้าจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้น

Undel2Sky


หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 20th Entry : ดาบสองคม [24/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 24-06-2016 22:27:21
เฮ้ออออออออออออ  :ling2: เราไม่รู้ว่าเราควรรู้สึกยังไงแล้วค่ะ คือเราเข้าใจคุณอาทิตย์นะคะ รู้ด้วยแหละว่าถ้าเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังไม่จบคุณอาทิตย์ก็จะไม่มีวันเปิดรับใครเข้ามาได้ แต่จะให้คุณอาทิตย์ไปคุยกับเธอเราว่าก็ยากอีกอ่ะ คุณอาทิตย์ไม่เข้แข็งพอที่จะทำแบบนั้นหรือไม่ก็อดีตนั่นคงหนักหนาจริงๆ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกสงสารคุณภันนะคะ ทำไมไม่รู้ เหมือนกับเรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่คุณภันควรฝ่าฟันให้ได้ถึงจะได้หัวใจคุณอาทิตย์มา แต่เราก็ตงิดนะคะ คุณภันเป็นห่วงคนที่รู้จักตลอด ฐานทัพก็เหมือนกัน แต่มันจะดีเหรอคะ คือเราเข้าใจนะคะ คือมันปล่อยไว้ไม่ได้ก็ต้องช่วยแหละ แต่ถ้าคุณภันจะรักคุณอาทิตย์จริงๆก็เลิกเถอะค่ะ เราว่าคุณอาทิตย์รับไม่ไหวหรอกค่ะที่จะให้คุณภันยังใจดีไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนแรกอ่ะ เราหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแหละมั้ง  :mew4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 20th Entry : ดาบสองคม [24/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-06-2016 23:53:08
หวั่นไหวจนกำแพงพริ้วแล้วฟรี

ฮักก็ช่างขยันเจาะซะเหลือเกิน

ตอนนี้อ่านแล้วอุ่น ๆ เขิน ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 20th Entry : ดาบสองคม [24/6/59]
เริ่มหัวข้อโดย: saotome ที่ 26-06-2016 12:00:23
ฟรีดูหม่นตลอดเลย
สงสารจัง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 21st Entry : จับได้ไล่ทัน [3/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 03-07-2016 20:20:27
21st Entry : จับได้ไล่ทัน






ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะกระจกดังขึ้นเบาๆ เรียกให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าเงยขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัวขนมอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเขา ภันวัฒน์ก็ระบายยิ้มเล็กน้อย ล้างมือเพียงชั่วครู่ก่อนจะตรงไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายที่ถือถาดอยู่

“ขอบคุณค่ะ”

พร่างฟ้าส่งยิ้มพลางก้าวเข้ามาภายใน แล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่ห่างออกไปเพื่อวางถาดขนม จากนั้นค่อยหันมาทักทายพี่ชายที่มุ่งหน้ากลับไปยังงานที่ยังติดพันอยู่

“ทำอะไรอยู่คะที่รัก”

“ทำมาการองครับ จะทำด้วยกันไหม”

ภันวัฒน์ตอบกลับมาโดยที่หน้ายังคงก้มอยู่กับแป้งที่กำลังผสมอยู่ ส่วนพร่างฟ้าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สตูลบาร์อย่างคุ้นเคย มือบางหยิบช้อนขึ้นตัดทาร์ตผลไม้ส่งเข้าปาก

“ไม่เอาหรอก มาการองทำยาก เกิดพร่างช่วยทำแล้วแป้งไม่เซตตัวขึ้นมาจะเสียของเปล่าๆ ว่าแต่ปกติพี่ภันไม่ได้ทำมาการองขายไม่ใช่เหรอคะ”

เป็นอย่างที่ผู้เป็นน้องสาวว่า มาการองเป็นขนมที่นานๆ ครั้งภันวัฒน์จะทำเสียที ด้วยเพราะต้องใช้เวลาและความระมัดระวังในการทำมากกว่าขนมชนิดอื่นๆ เขาจึงเลี่ยงที่จะทำหากไม่จำเป็น

“พี่จะทำให้คนพิเศษน่ะ”

ได้ยินคำตอบเช่นนั้น คนที่นั่งใจเย็นอยู่เมื่อครู่ก็หน้าตึงขึ้นอย่างโดยพลัน และเหมือนภันวัฒน์จะรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวต้องมีท่าทีเช่นนั้นแน่ จึงขยายความประโยคเมื่อครู่ต่อ

“พอดีว่าเขากลับมาอยู่บ้านหลังจากไม่ได้เจอกันนาน แต่ก็ไม่รู้นะว่าเขาจะกินหรือเปล่า เพราะเห็นกินแต่ผลไม้กับพวกแคลอรี่ต่ำอยู่ตลอด”

หน้าที่ตึงอยู่เมื่อครู่คลายออกอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานอย่างพึงพอใจหลังจากตีความได้ว่า ‘คนพิเศษ’ ที่เอ่ยถึงเป็นใคร เสียงใสตอบกลับ

“พร่างก็กินขนมทุกอย่างที่พี่ภันทำนะ”

“แต่พี่เห็นพร่างกินแค่ทาร์ตผลไม้กับน้ำส้ม”

ไม่เพียงแค่ใช้คำพูด แต่หน่วยตาจากใบหน้าคมคร้ามที่ก้มอยู่ยังปรายมองไปสู่ตำแหน่งของสิ่งที่กล่าวถึง คนที่เหมือนถูกแขวะกลายๆ จึงทำหน้ายู่ ปากยื่นใส่ราวกับเด็ก

“ก็ผู้หญิงอายุใกล้เบญจเพสเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อของความอ้วนนี่นา”

คำแก้ตัวของน้องสาวทำให้ภันวัฒน์หัวเราะเบาๆ และกลับมาจดจ่ออยู่กับการตีส่วนผสมให้เข้ากับอีกครั้ง

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจนถึงปีใหม่ พร่างจะเข้าออฟฟิศไปช่วยงานพี่ภันนะ”

ภันวัฒน์ไม่รู้สึกตกใจต่อคำพูดนั้น เพราะคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว พร่างฟ้าติดเขามาก ดังนั้นหากมีเวลาเจ้าตัวต้องพยายามอยู่กับเขาให้มากที่สุด เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆ พรรณีน้อยใจด้วยซ้ำที่ลูกสาวติดพี่ชายซึ่งมีสายเลือดร่วมกันเพียงเสี้ยวเดียวมากกว่าผู้เป็นแม่แท้ๆ

“ช่วยงานนะ ไม่ใช่ช่วยยุ่ง”

“พร่างรู้แล้วล่ะน่า พร่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ อีกปีเดียวก็เรียนจบปริญญาโทแล้ว เผลอๆ จะเก่งกว่าพี่ภันด้วย”

ชายหนุ่มอมยิ้มกับตนเองหลังได้ยินวาจาวางโตของน้องสาว หากให้นึกภาพตอนนี้ เจ้าตัวคงกำลังเชิดหน้าพูดจนจมูกยื่นยาวออกมาเหมือนพิน็อคคิโอแน่

“พร่างเก่งกว่าพี่ก็ดีแล้ว จะได้รับช่วงต่อจากพ่อ”

“แต่พ่ออยากให้พี่ภันรับตำแหน่งมากกว่านะ”

“แต่พี่ก็อยากให้พร่างรับมากกว่า จะเชื่อพ่อเราหรือเชื่อพี่ล่ะ”

ภันวัฒน์มั่นใจพอตัวว่าพร่างฟ้าเชื่อฟังเขามากกว่าพ่อของเจ้าตัวอยู่แล้ว จึงมักตะล่อมน้องสาวเช่นนี้เสมอ ซึ่งมันก็ทำให้พร่างฟ้าพูดไม่ออก เธอทำปากยื่นอีกครั้งและตักทาร์ตเข้าปาก

“ไว้อีกสามวันพี่จะเอามาการองไปให้ที่บ้านแล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนาเดิมจบลงแล้ว ร่างสูงจึงเปลี่ยนเข้าสู่เรื่องใหม่เพื่อทำลายความเงียบลง

“ก็ได้ค่ะ พี่ภันจะอยู่ถึงดึกเลยหรือเปล่า”

น้ำส้มไหลผ่านลำคอของหญิงสาวหลังจากทาร์ตที่อยู่ในถาดหมดลงแล้ว

“คงอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวพี่ต้องทำบัญชีแล้วก็ขนมอื่นๆ เตรียมเอาไว้ขายอีก พร่างไม่ออกไปหาเพื่อนๆ บ้างเหรอ ตั้งแต่กลับมายังไม่ไปไหนเลยนี่นา เอาแต่ติดพี่”

ท้ายประโยคน้ำเสียงเจือหัวเราะคล้ายกับต้องการกระเซ้า พร่างฟ้าจึงทำหน้าปากยื่นใส่อีกครั้งแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นก็ตาม

“ก็ว่าจะไปนี่แหละ ไม่ต้องมาไล่นะ”

เสียงที่เอ่ยออกมาผสมความงอนง้ออย่างชัดแจ้ง จนรอยยิ้มของคนได้ยินปรากฏขึ้นมาใบหน้าสีเข้ม ภันวัฒน์เข้าใจเจตนาดีว่าน้องสาวเอ่ยประชดเสียมากกว่า เขาจึงแสร้งหยอกเพิ่ม

“งั้นก็ขับรถระวังๆ นะครับ แล้วก็อย่ากลับดึกมากล่ะ”

“พี่ภันอะ” คล้ายกับโดนไล่ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ความตั้งใจจริงของอีกฝ่ายก็ตาม แต่หญิงสาวก็อดแผดเสียงใส่ไม่ได้ “งั้นไปก็ได้ค่ะ พร่างกลับแล้วนะ”

“ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

จากที่เอาแต่ก้มหน้าสนใจมองแต่ขนมราวกับว่ามันเป็นใบหน้าของคนที่หลงใหลนักหนาจนไม่อยากถอนสายตา ปาติซิเย่หนุ่มก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาจนได้ มือใหญ่ยกขึ้นมาโบกเบาๆ เป็นการส่งท้าย ก่อนร่างเพรียวระหงของหญิงสาวจะค่อยๆ ลับหายไปจากประตูกระจกพร้อมกับถาดที่เจ้าตัวถือขึ้นมาด้วย

จากนั้นร่างสูงก็กลับเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มที่อีกครั้ง เตรียมขนมจำนวนมากและหลากหลายประเภทจนกระทั่งเย็น จึงเริ่มงานตรวจสอบบัญชีรายรับ-รายจ่ายจวบจนใกล้เวลาปิดร้านจึงค่อยดับไฟและลงไปชั้นล่าง

จุ๊บแจงและเป็นหนึ่งที่เข้างานกะบ่ายกำลังช่วยกันเก็บกวาดร้านอยู่พอดี ภันวัฒน์จึงเข้าไปช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามไปด้วย

“วันนี้พร่างถามอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ได้ถามค่ะ/ครับ”

ทั้งสองคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ถึงกระนั้นใบหน้าของภันวัฒน์ก็ปรากฏรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เห็นดังนั้นพนักงานทั้งคู่จึงลอบมองกันด้วยสายตาเลิ่กลั่กราวกับคนทำความผิด ยิ่งเรียกน้ำเสียงขำขันจากผู้เป็นนายได้

“ตอบพร้อมกันดีนะ”

ภันวัฒน์ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ ก่อนก้าวออกจากร้านไป แต่เพียงเท่านี้จุ๊บแจงและเป็นหนึ่งต่างก็รู้ว่าความแตกเสียแล้ว





มาการองหลากสีสันสวยงามถูกจัดลงกล่องสองกล่องอย่างพิถีพิถัน พร้อมกับใบหน้าของคนที่ดูแลมันถูกประดับรอยยิ้มยามนึกถึงผู้รับ ภันวัฒน์หิ้วกล่องทั้งคู่ลงจากชั้นบนมายังด้านล่าง แวะเคาน์เตอร์ซึ่งมีพนักงานประจำร้านคอยบริการลูกค้าอยู่

“พี่ไปก่อนนะ ฝากดูแลร้านด้วยล่ะ”

เป็นคำล่ำลาง่ายๆ ที่ผู้เป็นเจ้าของร้านมักบอกพนักงานทั้งคู่ เขาไม่ต้องห่วงเรื่องปิดร้าน เพราะทั้งเป็นจุ๊บแจงและเป็นหนึ่งต่างคุ้นเคยกับมันดีอยู่แล้ว อีกทั้งทั้งคู่ก็ไว้ใจได้เพราะไม่เคยก่อเรื่องเสียหายใดๆ มิหนำซ้ำยังดูออกจะจงรักภักดีต่อเขาเสียด้วยซ้ำ

คงเพราะการมอบสิ่งไหนให้ใคร ก็มักจะได้รับสิ่งเหล่านั้นตอบแทนจากคนคนนั้นกระมัง

ร่างสูงเลื่อนรถลงจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์แล้ว ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเป้าหมาย บอกตำแหน่งของตนเองและย้ำว่ากำลังรออยู่ ไม่นานร่างของเด็กสาวก็มาปรากฏที่หน้าประตู

“ทำไมพี่ภันไม่เข้าไปในบ้านล่ะ”
พราวดาวที่ถูกเรียกออกมารับกล่องมาการองกล่องหนึ่งเอาไว้ พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พอดีพี่มีธุระอื่นต่อน่ะ ถ้าเข้าไปคงต้องอยู่ต่อยาวแน่ๆ”

น้องสาวคนเล็กเหมือนจะเข้าใจ ถึงพยักหน้าน้อยๆ ขณะผู้เป็นพี่ชายเหลือบมองเข้าไปในบ้านที่มีบริเวณกว้างขวาง

“แล้วนี่พร่างกลับมาหรือยัง”

“พี่พร่างยังไม่กลับค่ะ เห็นบอกว่ามีสังสรรค์กับเพื่อนต่อตามประสาสาวๆ”

ได้ยินเช่นนั้นภันวัฒน์ก็ผุดยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าคงเป็นเช่นนี้ เพราะพอช่วยงานเขาที่โรงแรมเสร็จ พร่างฟ้าก็รีบแจ้นออกไปจากห้องทำงาน มิหนำซ้ำยังบอกว่าต้องไปทำสวยก่อน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกตามติดไปยังสถานที่ต่อไป

“งั้นพี่ไปก่อนนะ แบ่งๆ กันกินด้วยล่ะ เหลือไว้พร่างด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวพี่จะโดนงอน”

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะนั้นบ่งบอกให้คนฟังรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เดือดร้อนแต่อย่างใดหากโดนงอน พราวดาวระบายยิ้มกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ที่เธอเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย ตอนนั้นเธอยังเคยแข่งกับพี่สาวเพื่อแย่งพี่ชายใจดีคนนี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็พ่ายแพ้หลุดลุ่ย

“ค่า ขับรถดีๆ นะคะ”

“ครับ เป็นเด็กดีนะ”

มือหนาวางลงบนศีรษะเล็กแล้วขยี้เบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันหลังกลับขึ้นรถไปยังจุดหมายที่แท้จริง

ไปยังสถานที่ที่มี ‘คนพิเศษ’ ซึ่งเขาตั้งใจทำมาการองไปให้

อาจเรียกว่าเขาเป็นคนปลิ้นปล้อนก็ได้ที่หลอกพร่างฟ้าว่า ‘คนพิเศษ’ นั้นคือเธอ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะพูดความจริง หากบอกไปแล้วถูกน้องสาวกีดกันอีกเขาคงลำบาก เพราะแค่ลำพังถูกอาทิตย์อัสดงปฏิเสธและถอยห่างอย่างเต็มที่ เขาก็หัวหมุนแล้ว

รถยนต์สีเทาดำค่อยๆ หยุดลงก่อนจะถึงบ้านหลังสีขาวหลังคาสีเทาเล็กน้อย เพราะวันนี้รถยนต์สีขาวที่ควรจอดอยู่ด้านในกลับจอดขวางอยู่หน้าประตูบ้าน และเมื่อลงจากรถ ภันวัฒน์ก็ต้องยู่จมูกในทันที กลิ่นเน่าเหม็นของอะไรบางอย่างฟุ้งไปทั่วอากาศเบื้องหน้า ครั้นเดินมาถึงรถที่จอดขวางอยู่และมองไปยังตัวบ้าน นัยน์ตาคมก็ต้องเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ พิศวงงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่

เขาไม่ได้มาเพียงไม่กี่วัน บ้านขาวสะอาดที่เคยเห็น กลายสภาพเป็นสุสานขยะไปแล้วหรือ

มันอาจจะไม่ได้เยอะมากถึงขนาดนั้น แต่พื้นที่ที่ไม่เคยมีขยะสักชิ้นกลับมีขยะสดเกลื่อนกระจายอยู่ พร้อมด้วยผู้เป็นเจ้าของบ้านกำลังเก็บกวาดมันอย่างแข็งขัน ดูจากสภาพเหงื่อโทรมกายนั้นแล้ว ก็คะเนได้ว่าคงทำมาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแล้ว

“เล่นอะไรอยู่เหรอครับ”

ทันทีที่ขายาวย่างก้าวเข้ามาใกล้ประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงทุ้มก็เอ่ยถาม

คนที่กำลังใช้ที่โกยผงตักผักสดซึ่งดูจะเน่ามาหลายวันแล้วจนไม่รู้ตัวเลยว่ามีแขกมาเยือนถึงหน้าบ้านเงยหน้าขึ้น ใบหน้านั้นเปียกไปด้วยเหงื่อไคล สีหน้าไม่สบอารมณ์ฉายชัด เสียงที่เปล่งเป็นคำตอบห้าวห้วนอย่างไม่พอใจ

“คุณเห็นผมสนุกอยู่เหรอครับ”

“โธ่ ผมล้อเล่นน่ะ เห็นว่าคุณอาจจะซีเรียสอยู่”

“คำพูดของคุณจะทำให้ผมยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมนะ”

แม้ว่าร่างโปร่งจะขยับปากตอบ แต่มือก็ยังไม่หยุด ภันวัฒน์จึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้ แต่ก็ต้องชะงักเพราะโดนอีกฝ่ายร้องบอกเสียงดัง

“อย่าเหยียบนะคุณ เดี๋ยวมันแตกแล้วไส้ทะลักยิ่งเละเทะไปกันใหญ่”

มะเขือเทศบิดเบี้ยวผิดรูปสีคล้ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าพอดี ภันวัฒน์จึงต้องรีบชักเท้าที่ยกค้างอยู่กลางอากาศกลับไปที่เดิม ก่อนจะย้ายร่างไปยังมุมด้านขวาของประตูรั้ว วางกล่องขนมที่ถือมาด้วยไว้บนเสา ถอดรองเท้าหนังและถุงเท้าออก จากนั้นถกขากางเกงขึ้นสูง พร้อมด้วยแขนเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่

“มาคุณ เดี๋ยวผมช่วย”

“ผมมีพี่โกยผงอันเดียว”

อาทิตย์อัสดงตอบพลางยกที่โกยผงในมือซึ่งบรรจุเศษขยะขึ้นมาเทใส่ถุงขยะขนาดใหญ่

“งั้นมีไม้กวาดทางมะพร้าวบ้างหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีเลยครับ ปกติผมใช้ไม้กวาดดอกหญ้ากวาดเอาน่ะ”

เมื่อไม่มีหนทางอื่นที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ ภันวัฒน์จึงย่อตัวลงแล้วใช้มือเปล่าหยิบเศษซากสิ่งปฏิกูลมาโยนใส่ถุงขยะทีละชิ้นๆ

ภาพที่เห็นนั้นทำเอาร่างโปร่งถึงกับตาเหลือกโพรงด้วยความตกใจ

“เฮ้ยคุณ ทำไมใช้มือหยิบล่ะ”

“ก็ไม่มีอย่างอื่นนี่ครับ เดี๋ยวชิ้นใหญ่ๆ ผมจัดการเอง คุณโกยพวกชิ้นเล็กๆ ไปแล้วกัน”

“แต่มันสกปรกนะคุณ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของคุณเลยที่ต้องมาช่วย”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกวูบหวิวในใจชอบกลที่เห็นคนซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ มาช่วยเหลือกันแบบนี้โดยไม่คำนึงถึงว่ามันเป็นการเก็บขยะสกปรกเน่าเหม็น

“ไม่ใช่เรื่องของผมก็จริง แต่เป็นเรื่องของคุณใช่ไหมล่ะครับ เพราะแบบนั้นแหละ ผมถึงยิ่งต้องช่วย”

หากไม่ติดความหมายที่แฝงเร้นมากับประโยคนั้น ใครต่อใครที่ได้ยินคำพูดนี้อาจจะมองว่าอีกฝ่ายเป็นเทพบุตรเสียด้วยซ้ำ ร่างโปร่งก็เช่นเดียวกัน และเพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องแย้ง

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ แค่นี้กลิ่นก็คงติดตัวคุณแย่แล้ว ล้างมือแล้วกลับไปเถอะครับ”

“ผมอยากช่วยคุณนะ ถ้าผมไม่ช่วย แล้วเมื่อไรคุณจะทำเสร็จล่ะ ไหนจะต้องขัดล้างพื้น แล้วก็กำจัดกลิ่นอีก”

“แต่...”

“อย่าดื้อสิครับ”

ไม่ทันได้หาข้ออ้างอะไรมาหว่านล้อม เสียงทุ้มก็เปล่งออกมาอย่างเคร่งขรึม ราวกับจะดุกันอย่างไรอย่างนั้น อาทิตย์อัสดงจึงต้องเงียบเสียงลงไป ฟันคมขบเบาๆ ที่กลีบปาก ดั่งกำลังพยายามครุ่นคิดหาหนทางอื่นที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือของคนปรารถนาดี แต่แท้จริงแล้วในสมองกลับคิดสิ่งใดไม่ออกเลย

ท้ายที่สุดต่างคนจึงต้องลงมือทำงานที่ถูกแบ่งแยกเอาไว้โดยผู้ที่ไม่ใช่เจ้าบ้านอย่างเงียบๆ

กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป พวกเศษซากที่เคยกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้นหน้าบ้านก็ลดลงจนเกือบหมด เหลือเพียงเศษชิ้นเล็กๆ ที่ร่างโปร่งพยายามโกยขึ้นแล้ว แต่มันก็ไม่ติดขึ้นมากับที่โกยผง

“เดี๋ยวผมจัดการเอง”

ภันวัฒน์เสนอตัวเมื่อเห็นความพยายามหลายครั้งของอีกฝ่าย เขาใช้สันมือทั้งสองข้างกวาดลากบนพื้นเข้าหากัน จนเศษเล็กเศษน้อยเข้ามาอยู่ในอุ้งมือได้ ก่อนจะเอามันไปเทใส่ถุงขยะ

“เรียบร้อย คุณมัดปากถุงได้เลย”

ร่างโปร่งทำตามคำบอกอย่างว่าง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องถกเถียงอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ความทุ่มเทช่วยเหลือของร่างสูงทำให้เขาทึ่งและตะลึงไป จนอดรู้สึกระอาใจไม่ได้ที่ผลักไสไล่ส่งอีกฝ่ายราวกับเป็นบุคคลน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะวันนี้ หรือ...วันก่อนหน้านี้

ยิ่งผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งเห็นความดีงามในตัวของภันวัฒน์

ความดีที่มาจากความบริสุทธิ์ใจ

น่าละอายเหลือเกินที่เขาทำร้ายอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครา

หรือว่า...

เขาควรปล่อยวาง ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ในเมื่อเขาไม่สามารถหลีกหนีหรือหลบเลี่ยงผู้ชายคนนี้ได้

“ที่เหลือก็จัดการขัดล้างล่ะนะ คุณเตรียมผงซักฟอกกับต่อสายยางมาเลยครับ”

อาทิตย์อัสดงเดินไปเปิดน้ำออกจากก๊อกในระดับเบา ฉีดไล่สิ่งปฏิกูลชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่สามารถทำความสะอาดก่อนหน้านี้ได้ และคราบน้ำสกปรกที่เลอะเทอะอยู่ จากนั้นไปยังบริเวณที่เก็บอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดหน้าบ้าน หยิบผงซักฟองออกมาเทลงพื้น

“ขอด้วยครับ”

มือหนาทั้งสองข้างแบออกตรงหน้าหลังร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ อาทิตย์อัสดงยังไม่ทันได้คิดอะไร ก็เทลงผงซักฟอกบนฝ่ามือใหญ่นั้นเสียแล้ว กว่าจะคิดได้ว่าควรถามถึงเหตุผล ก็ได้รับคำตอบจากการกระทำตรงหน้า

“คุณทำอะไรน่ะ เอาแฟ้บล้างมือ เดี๋ยวมือก็พังหรอก”

ภันวัฒน์ชะงักการกระทำของตนเองเล็กน้อยเมื่อถูกทัก

“ถ้าผมไม่ล้างมือก่อน เดี๋ยวมีกลิ่นติดแปรงขัดพื้นไปด้วย”

“ไม่ต้องก็ได้ ผมจัดการเอง ไว้เสร็จแล้ว ผมเอาสบู่มาให้”

“ผมล้างมือเสร็จแล้วล่ะ”

รอยยิ้มบานแฉ่งปรากฏบนใบหน้าสีเข้ม ราวกับจะแดกดันกลายๆ ว่ามันสายไปเสียแล้ว จากนั้นกายกำยำก็เคลื่อนเข้าหาไม้ขัดพื้นซึ่งอยู่ไม่ไกล หยิบมันมาตั้งท่าอย่างทะมัดทะแมงแล้วเริ่มลงมือขัดพื้นอย่างขมีขมัน ก่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านจะได้เอ่ยปากห้ามปรามเสียอีก

“คุณ เดี๋ยวผมขัดเอง แค่นี้ก็รบกวนคุณมากแล้ว”

ร่างโปร่งขยับย้ายร่างเข้ามาประชิด พลางใช้มือข้างที่ว่างจากสายยางมาดึงไม้ขัดพื้นไปด้วย แต่ภันวัฒน์ก็แสร้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้อีกคนต้องเบนหลังถอยไป

“หน้าที่คุณคือฉีดน้ำแล้วก็เทแฟ้บครับ ไหนๆ ผมก็ขัดไปแล้ว ก็ให้ผมขัดจนเสร็จเถอะ”

ไม่รู้ว่าเป็นประโยคขอร้องหรือประโยคบังคับกันแน่ เสียงถอนหายใจอย่างหน่ายใจดังมาจากเจ้าของบ้าน ด้วยรู้ว่าต่อให้ถกเถียงกันไปก็มีแต่เขาที่ยอมแพ้ จึงรับหน้าที่ตามที่อีกฝ่ายว่ามาอีกจนได้

กระทั่งเสร็จสิ้น พื้นที่เคยสกปรกกลับมาสะอาดดังเดิมแล้ว อาทิตย์อัสดงก็จดจ้องที่ร่างโทรมเหงื่อไม่แพ้ตัวเองก่อนหน้านี้อยู่สักพักโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำ

“คุณอยู่ที่นี่สักสิบห้านาทีนะครับ”

คำบอกนั้นทำให้ภันวัฒน์งงงวยพอสมควร เขามองหน้าอาทิตย์อัสดงได้เพียงชั่วครู่ เพราะหลังจากนั้นร่างโปร่งก็ตรงดิ่งไปยังรถยนต์สีขาวเสียแล้ว

ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นนัก ทำไมอยู่ๆ อีกฝ่ายถึงขับรถออกไปเสียดื้อๆ ภันวัฒน์ยืนมองตำแหน่งที่รถสีขาวเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางความมืดที่ไล่ระดับลงเรื่อยๆ จนครบสิบห้านาทีอย่างที่เจ้าของบ้านบอก เสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นอีกคราวพร้อมกับแสงไฟสว่างปรากฏขึ้น อาทิตย์อัสดงกลับมาพร้อมกับหิ้วถุงอะไรบางอย่างมาด้วย

“เข้ามาก่อนสิครับ”

อาจเป็นประโยคที่ต้องตรวจสอบว่าตนเองหูฝาดไปหรือเปล่าด้วยซ้ำ เพราะเป็นครั้งแรกที่ร่างสูงได้ยินคำต้อนรับจากอีกฝ่าย ครั้นย่างก้าวเข้ามาภายใน ก็ถูกบอก ‘นั่งบนโซฟาก่อนนะครับ’ ซึ่งภันวัฒน์ก็ได้แต่ทำตามโดยที่มีเครื่องหมายคำถามวนเวียนอยู่ในสมอง

เขามองภาพอดีตบล็อกเกอร์เดินไปทางห้องครัว ทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ๆ ด้วยความสงสัย ทั้งต้มน้ำ เอาน้ำแข็งเทลงอ่าง หั่นอะไรบางอย่างใส่ลงไป จะคิดว่ากำลังทำอาหารอยู่ก็ดูจะพิลึกเกินไป จึงยิ่งทำให้ไม่เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีก

แต่แล้วคำตอบก็มาเยือนเมื่อร่างโปร่งย้อนกลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครา อาทิตย์อัสดงวางอ่างน้ำขนาดเล็กที่น่าจะพอเหมาะกับการล้างผักลงบนโต๊ะกลางตรงหน้าเขา ภายในนั้นบรรจุน้ำสีขาวๆ มีฟองลอยอยู่พอประมาณ จากนั้นเจ้าตัวก็ย้อนกลับไปที่ห้องครัวอีกครั้ง และยกอ่างน้ำอีกใบหนึ่งมา คราวนี้เป็นน้ำสีน้ำตาล มีมะนาวถูกหั่นเป็นแว่นลอยอยู่

“แช่มือในล้างนั้นก่อนครับ เป็นสบู่ฆ่าเชื้อ เสร็จแล้วก็มาแช่อ่างนี้ ดับกลิ่นเหม็น”

หลังนั่งลงข้างกัน ร่างโปร่งก็เริ่มอธิบาย ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัยอยู่ดี จะเรียกว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ได้ เขาแจ่มแจ้งแล้วว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่เหมือนจะยังไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายอยู่ดี เพราะมันเหมือนกับว่า...

อาทิตย์อัสดงกำลังแสดงความใส่ใจ

ภันวัฒน์เกือบจะหัวเราะตัวเองอยู่แล้วที่เผลอคิดอะไรแบบนั้นออกมาได้ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เสียงห้าวทุ้มที่คีย์สูงกว่าตนเองนิดหน่อยก็ทำให้รู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบลงมา

“คงไม่ดีถ้าจะให้มือของช่างทำขนมมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

ประหลาด... ประหลาดมาก

มันประหลาดจริงๆ

ถึงจะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่มือใหญ่ก็ยินยอมแช่ลงไปในอ่างใบแรก เขาถูมือไปมาทุกซอกทุกมุมอย่างถ้วนทั่ว โดยเฉพาะซอกเล็บสั้นๆ ที่อาจจะเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรคเอาไว้ เพราะมันคงไม่ดีจริงๆ สำหรับคนที่ทำงานทางด้านนี้แล้วปล่อยให้มือสกปรก

ล้างมือในอ่างแรกอยู่ครู่ใหญ่ๆ จนคิดว่าน่าจะพอแล้ว ภันวัฒน์ก็ยกมือขึ้น เตรียมจะย้ายลงมาแช่มือยังอ่างที่สอง ซึ่งเป็นน้ำชากับมะนาวที่นิยมใช้ขจัดกลิ่นเหม็นคาว เขารู้สึกใจพองโตยามคิดว่าอีกฝ่ายถึงขนาดเอาน้ำแข็งมาเทใส่เพื่อลดความร้อนจากน้ำชาที่ต้มใหม่ๆ ให้

วันนี้ใจดีจังแฮะ

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ทว่ายังไม่ทันจุ่มมือลงไปในน้ำสีน้ำตาลเหมือนกับดวงตาของคนใจดีเป็นพิเศษก็ต้องถูกรั้งไว้ก่อน และไม่ใช่เพียงเสียงเท่านั้น แต่มือเรียวยังเลื่อนมาจับมือเขาเอาไว้ ทำเอาภันวัฒน์หันหน้าไปมองคนที่นั่งข้างๆ อย่างตกตะลึง แต่เจ้าตัวที่ถูกจ้องกลับสนอกสนใจอยู่แต่กับมือของเขา

อาทิตย์อัสดงจับมือภันวัฒน์เอาไว้ด้วยมือหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหยิบผ้าขนหนูที่หยิบมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ขึ้นมาเช็ดคราบฟองที่ติดอยู่ให้อย่างเบามือด้วยความตั้งอกตั้งใจ ราวกับกำลังทำเรื่องสำคัญอย่างไรอย่างนั้น

สัมผัสที่ได้รับผนวกกับภาพสีหน้าที่กำลังเอาใส่ใจมือของตนทำให้ร่างสูงรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด อะไรบางอย่างในอกของเขากำลังเร่งจังหวะขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันในลำคอก็คล้ายกับมีก้อนแข็งๆ จุกขึ้นมาจนต้องกลืนน้ำลายลงไปแรงๆ

ริมฝีปากแห้งผากในบัดดลราวกับคนอดยากหิวโหยจนต้องเม้มเข้าหากัน เอาลิ้นแตะเบาๆ ไล่เลียไปเพื่อให้มันชุ่มชื้น พร้อมกับหน่วยตากวาดมองไปทั่วใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มผิวขาวที่อยู่ห่างเพียงห้าสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ ก่อนจะหยุดนิ่งเนิ่นนานอยู่ที่สันกราม ซอกคอ และริมฝีปาก

น้ำลายถูกกลืนลงคออีกเอื๊อกใหญ่

“แช่ได้แล้วล่ะครับ”

เสี้ยวหน้าที่จดจ้องอยู่เมื่อครู่นี้หันมาโดยมีรอยยิ้มจางแต้มอยู่น้อยๆ ทำให้ภันวัฒน์แทบสะดุ้ง สติที่กำลังจะเตลิดไปไกลกลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง อดรู้สึกไม่ได้เลยว่าวันนี้อาทิตย์อัสดงทำตัวน่ารัก...

น่ารักเสียจนเขาอยากขย้ำเสียเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ

แต่หากปล่อยสัญชาตญาณให้ออกมาคึกคะนอง บรรยากาศดีๆ ที่หาได้ยากนี้ต้องทลายลงอย่างแน่นอน ดังนั้นร่างใหญ่จึงทำได้เพียงควบคุมสติของตนให้อยู่ในกรอบและขอบเขตที่จะไม่หน้ามืดตามัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ นี้เอาไว้

“น่าจะพอแล้วมั้งครับ ลองดมดูสิครับว่ายังเหม็นอีกหรือเปล่า”

ถึงจะอยากหยุดเวลาในตอนนี้เอาไว้แค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ภันวัฒน์รู้สึกเสียดายไม่น้อย นับเป็นครั้งแรกก็ได้กระมังที่เขาอยู่กับใครสักคนแล้วรู้สึกหยุดเวลาเอาไว้แบบนี้

ร่างสูงยกมือขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เผยแววออกมาว่ากำลังลุ้นผลของความตั้งใจของตนเองอยู่ จมูกโด่งสันสูดกลิ่นจากมือของตนที่ยกขึ้นมา ทั้งฝ่ามือ หลังมือ และปลายเล็บ ดูเหมือนว่าจะไม่มีกลิ่นใดๆ แล้วกระมัง

“ผมไม่ค่อยแน่ใจ คุณช่วยดมด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

อาจเพราะความเห็นแก่ตัวของตนก็เป็นได้ จึงอยากเก็บเกี่ยวอะไรสักอย่างอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าจะต้องผิดหวังก็ตาม ทว่าสิ่งประหลาดก็เกิดขึ้นอีกคราว

อาทิตย์อัสดงยื่นมือมาจับมือหยาบใหญ่ทั้งคู่ไว้ ดึงมันเข้าไปใกล้กับปลายจมูก จากนั้นสูดลมหายใจเบาๆ จนปาติซิเยหนุ่มรู้สึกได้ เหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นทำให้ร่างสูงแทบช็อก ไม่อยากเชื่อว่าตนไม่ได้กำลังฝันอยู่ นัยน์ตาคมกะพริบปริบๆ หลายครั้ง

“ไม่มีกลิ่นแล้วนะครับ ผมว่าเดี๋ยวคุณไปล้างมือในห้องน้ำอีกรอบหนึ่งแล้วกันนะครับ อ่างน้ำพวกนี้ผมจัดการเอง”

สิ้นเสียงนั้นใบหน้าขาวตี๋ยังประดับยิ้มบางๆ ให้เสียอีก ภันวัฒน์มองเจ้าของร่างโปร่งผุดลุกขึ้นพร้อมกับยกอ่างน้ำไปอ่างหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา เขาสะบัดหัวไปมาหลายครั้ง แต่ขณะเดียวกันใบหน้าก็สยายยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้ มันเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงยิ้มเหมือนคนบ้าขึ้นมาเสียเฉยๆ







อ่านต่อข้างล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 21st Entry : จับได้ไล่ทัน [3/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 03-07-2016 20:21:01
่ต่อจากข้างบน



v




v


ร่างสูงยกอ่างน้ำอีกใบที่เหลือตามไปวางที่อ่างล้างจาน อาทิตย์อัสดงเอ่ยเบาๆ ‘ขอบคุณครับ เข้าไปล้างมือในห้องน้ำสิครับ’ ภันวัฒน์จึงแทบเดินตัวลอยไปยังตำแหน่งที่อีกฝ่ายบอก กระทั่งจัดการกับมือของตนเรียบร้อย ก็ก้าวออกมาที่ห้องครัวอีกครั้ง แล้วพลันนึกเรื่องหนึ่งได้

“ว่าแต่คุณแจ้งตำรวจหรือยังครับ”

“ยังเลยครับ กลับมาบ้านแล้วเจอกองขยะอยู่เต็มหน้าบ้าน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว”

“นั่นสินะ” เสียงทุ้มครางออกมาเบาๆ ต่อให้ไม่ใช่คนรักความสะอาดอะไร แต่เจอขยะเหม็นโฉ่อยู่หน้าบ้าน เป็นใครก็ต้องจัดการก่อน “แล้วพอจะรู้ไหมครับว่ามันมาได้ยังไง ผมว่าอยู่ๆ คงไม่มีรถขยะมาเทผิดที่หรอก”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น”

ตอบเช่นนั้นแล้วร่างโปร่งก็เงียบเสียงลงไป ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายเมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าครุ่นคิด คล้ายกำลังควานหาตัวคนร้ายภายในสมอง

“แล้วคุณมีกล้องวงจรปิดหรือเปล่าครับ ถ้าติดกล้องไว้ อาจจะเห็นคนร้ายก็ได้”

ภันวัฒน์คิดขึ้นมาได้อีกอย่าง แม้จะไม่แน่ใจก็ตาม เพราะเขาไม่เคยสังเกตถึงมัน

“มีนะครับ แต่ว่าผมไม่ค่อยได้เปิดเช็กเท่าไร เพราะไม่มีเหตุจำเป็น”

“แต่คราวนี้เหตุจำเป็นเลยล่ะครับ”

สีหน้ามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังเคลือบทับบนใบหน้าของผู้จัดการหนุ่มเช่นกัน เห็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงก็เห็นด้วย เขาเอื้อนเสียงออกมา ‘ถ้างั้นคงต้องขึ้นไปเช็กดูจากคอมบนห้อง’ จากนั้นเดินนำขึ้นไปยังห้องนอน เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนโดยที่ภันวัฒน์มายืนอยู่ข้างๆ

“เปิดดูตั้งแต่ช่วงที่คุณออกจากบ้านเลยครับ”

ร่างโปร่งพยักหน้าน้อยๆ เมื่อได้รับคำแนะนำหลังจากเข้าสู่โปรแกรมย้อนดูบันทึกของกล้องวงจรปิด กดเร่งภาพให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ไม่เสียเวลา หลังจากนั้นประมาณห้านาทีเห็นจะได้ ภาพอะไรบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

รถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดอยู่หน้าบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งขนถุงขนาดใหญ่หลายถุงลงมา จากนั้นโยนถุงเหล่านั้นเข้ามาในบ้านตามด้วยปีนรั้วเข้ามา เธอใช้ของมีคมสักอย่างกรีดถุงเหล่านั้นแล้วยกขึ้น เทสิ่งที่อยู่ภายในออกมาจนเกลื่อนกระจายเละเทะ จนเมื่อถุงเหล่านั้นเหลือเพียงความว่างเปล่า เธอก็เก็บมันกลับ

“เห็นคนร้ายเต็มๆ เลยนะครับ”

ภันวัฒน์ยิ้มหย่องขึ้นมาเมื่อเห็นว่ามีหลักฐานเอาผิดอีกฝ่ายได้ แต่ครั้นมองไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ เจ้าตัวกลับนิ่งค้าง สายตาจับจ้องไปยังกรอบสี่เหลี่ยมตรงหน้าราวกับตกตะลึง ขณะที่มือซึ่งวางบนเมาส์อยู่สั่นเล็กน้อย

เพียงเห็นเท่านั้นก็ราวกับมีลางร้ายพาดผ่าน ร่างสูงรู้สึกใจไม่ดีเท่าไร ในสมองควานหาคำตอบเร็วพลัน แต่เหมือนว่ามันรอคอยเขาอยู่ก่อนแล้วจึงพบได้อย่างง่ายดาย เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาทั้งที่ค่อนข้างแน่ใจ

“...แฟนเก่าคุณเหรอ เขายังรังควานคุณอีกเหรอ”





--------------------------
ช่วงนี้ตัวเองรู้สึกเนือยๆ ยังไงไม่รู้ ตรงข้ามกับคุณภันเลย orz

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 21st Entry : จับได้ไล่ทัน [3/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 03-07-2016 21:43:19
คุณอาทิตย์ของเราาาาาาาาาาาา คุณอาทิตย์คะะะะะ โอ๊ยยยยยย ทำไมตอนนี้คุณอาทิตย์น่ารักขนาดนี้คะะะะ เราว่านะคะ เนี่ยแหละ คนใจดี อ่อนโยนแบบนี้จะทิ้งลกทิ้งเมียเหรอคะ ไม่ เราว่าไม่ค่ะ มันต้องมีอะไรดำมืดกว่านั้น ฮื้ออออ คุณภันคะ คราวนี้ไปไหนไม่ได้แล้วนะคะ คุณอาทิตย์เปิดใจให้ขนาดนี้แล้ว คว้าโอกาสนี้ไว้แล้วพุ่งเข้าใส่ค่ะ! แล้วก็นะคะ น้องสาวคุณภันนี่เขาจะมากลั่นแกล้งอะไรคุณอาทิตย์ไหมคะ อย่านะคะ คุณอาทิตย์น่ารักขนาดนี้เชียวนะคะ ฮื้อออ แต่แบบ ในความน่ารัก... เราขอสักหน่อยค่ะ นี่ต้องสับรางบ่อยขนาดไหนถึงสามารถทำให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองพิเศษทั้งที่หมายถึงอีกคนได้คะ โคตรเจ้าชู้ค่ะคุณภัน ขอย้ำอีกครั้ง ถ้าจะถอยจากคุณอาทิตย์ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะคะ ดูแลคุณอาทิตย์ให้ดีด้วย! แต่ตอนนี้คุณภันก็น่ารักจริงๆอ่ะค่ะ เฮ้อ จริงๆคุณภันก็เป็นคนจริงใจนี่คะ เลยทลายกำแพงคุณอาทิตย์ได้เลยอ่ะ อยากให้เขาหวานกันแล้ววววววว แต่เราก็แอบติดใจนิดนึงนะคะ บ้านคุณอาทิตย์มีกล้องวงจรปิด แสดงว่าก่อนหน้านี้ก็คงเคยมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันรึเปล่าคะ ไม่งั้นจู่ๆใครจะมาติดกล้องไว้ในบ้าน ฮื้ออออ แฟนเก่าคุณอาทิตย์นี่มีอาการทางจิตรึเปล่าคะ เราเริ่มกลัวแล้วนะคะ  :mew5:

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ผมมีพี่โกยผงอันเดียว  >> ที่โกยผง

แช่มือในล้างนั้นก่อนครับ   >> มันดูแปลกๆอ่ะค่ะ แช่มือในอ่าง ล้างมือในอ่าง อะไรแบบนี้ป่ะคะ

ที่เขาอยู่กับใครสักคนแล้วรู้สึกหยุดเวลาเอาไว้แบบนี้   >> อันนี้น่าจะ รู้สึกอยากหยุดเวลา นะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 21st Entry : จับได้ไล่ทัน [3/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-07-2016 22:33:15
มาการองถูกทิ้งไว้ที่หัวเสา เพราะคุณฮักได้ความหวานไปเต็ม ๆ แม้จะมาพร้อมกับกลิ่นเน่าก็เถอะ

 :laugh:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 21st Entry : จับได้ไล่ทัน [3/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-07-2016 23:20:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 21st Entry : จับได้ไล่ทัน [3/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 04-07-2016 01:22:09
ทำไมต้องตามมารังควาญกันขนาดนี้
น่าจะแจ้งตำรวจจับเลยนะ หลักฐานครบ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ [10/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 10-07-2016 18:40:45
22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ







แม้สมองจะมึนชาเพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยไม่คิดว่าคนรักเก่าจะกล้าทำถึงเพียงนี้ ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงกลับยังรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่ทาบลงมาบนหลังมือ ไอร้อนที่ถ่ายทอดมาจากอีกคนนั้นแสดงถึงความห่วงใย แต่ในขณะเดียวกันก็บ่งชี้ว่าร่างสูงรู้เรื่องของตนแล้ว แต่เจ้าตัวกลับไม่พูดถึงมันสักนิด นับตั้งแต่วันที่เขากลับมาจากไปเที่ยวกับพวกที่บริษัท

“สามทุ่มกว่าแล้ว หาอะไรกินดีกว่าครับ ผมหิวแล้ว”

ภันวัฒน์เอ่ยชวนพร้อมกับดึงมือร่างโปร่งให้ลุกจากเก้าอี้ ราวกับต้องการเคลื่อนย้ายคนที่กำลังหัวหมุนเพราะรับไม่ทันกับข้อมูลอันตราย สติของอาทิตย์อัสดงจึงกลับมา เขาเดินลงมายังห้องครัวทั้งที่ยังโดนจับมือไว้

“ดึกแบบนี้แล้ว กินอะไรดีครับ มาม่าดีไหม เดี๋ยวมื้อนี้ผมจะแสดงฝีมือเอง”

ดูท่าว่าความปรารถนาดีของผู้จัดการหนุ่มจะสัมฤทธิผล เพราะหลังจากได้ยินเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงก็หลุดจากความรู้สึกก่อนหน้านี้

“แค่ใส่น้ำแล้วต้ม ต้องใช้คำว่าแสดงฝีมือเลยเหรอครับ”

“ก็มีให้ได้ยินบ่อยๆ นี่ครับ ว่าฝีมือทำกับข้าวห่วย ขนาดทำมาม่ายังไม่อร่อย”

ใบหน้ายิ้มแย้มปราศจากนัยอื่นใดซึ่งมาพร้อมประโยคนั้น เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์เสียจนคนเห็นพลอยยิ้มไปด้วยอย่างลืมตัว มือที่จับกันอยู่เมื่อครู่หลุดออกจากกันตามธรรมชาติเมื่อผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้

“สองซอง พอหรือเปล่าครับ”

“เพิ่มอีกซองแบ่งกันไหมครับ เหนื่อยมาแบบนี้ต้องโด๊ปสักหน่อย คุณใส่พวกเครื่องอย่างอื่นหรือเปล่า ผัก ไข่?”

สีหน้าของภันวัฒน์ยังคงแจ่มจรัส ทั้งที่เพิ่งพูดออกจากปากว่า ‘เหนื่อยมาแบบนี้’ แต่หากจะว่าไป อาทิตย์อัสดงแทบไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าตรงกับคำว่า ‘เหนื่อย’ เลยสักครั้ง หรือจริงๆ แล้วอาจพูดได้ว่า ไม่เคยเห็นภันวัฒน์ทำหน้าหดหู่ ทดท้อ โกรธขึ้งแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากก็เป็นใบหน้าเรียบเฉยที่ดูคล้ายว่ากำลังคิดอะไรสักอย่าง ที่เหลือโดยส่วนมากเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม ทะเล้น และเจ้าเล่ห์เพียงเท่านั้น

“ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้กินแค่อิ่มก็พอ ใส่เยอะผมว่าเสียรสชาติ”

หลังตอบไปเช่นนั้น คนอาสาว่าจะแสดงฝีมือก็เริ่มเทของในบรรจุภัณฑ์ลงหม้อ เติมน้ำ และตั้งบนเตา

“เส้นแข็งหรือนิ่มครับ”

“แบบนุ่มๆ ครับ”

แม้ว่าสายตาจะจดจ้องไปที่อาหารพิเศษในคืนวันนี้ ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็ลอบอมยิ้มกับตนเอง เพราะดูเหมือนว่าคนที่จิตใจถูกทำลายไปบางส่วนจะเปลี่ยนอารมณ์แล้ว ถึงได้ต่อบทสนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงไม่แฝงแววใดๆ

เห็นว่าร่างสูงกำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ร่างโปร่งจึงเยื้องย่างไปยังตู้เย็น หยิบน้ำมาเทลงแก้วเตรียมไว้ให้บนโต๊ะอาหาร ก่อนเตรียมชามให้พร้อมสำหรับอาหารมื้อค่ำ

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ถูกปรุงรสชาติจากเครื่องปรุงที่ติดมาในซองก็ถูกวางลงบนโต๊ะอาหาร ทั้งคู่นั้นเผชิญหน้ากันจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเช่นทุกครั้ง ระหว่างกินก็คุยกันไปด้วย

“เป็นไงบ้างครับ อร่อยไหม”

คำถามนั้นทำให้คนที่กำลังก้มหน้าส่งเส้นสีนวลเข้าปากต้องเงยหน้าขึ้น

“กล้าถามนะคุณ” อาทิตย์อัสดงตอบคล้ายแขวะเล็กน้อย เพราะกรรมวิธีทำอาหารช่างง่ายดายเกินกว่าจะคิดว่ามันจะออกมารสชาติแย่ได้ แต่ถึงกระนั้น... “แต่ก็อร่อยดีนะครับ”

“ใช่ไหมล่ะครับ ผมใส่เครื่องปรุงไปพร้อมต้มเส้นเลย รสชาติจะได้ซึมเข้าไปในเส้นด้วย นี่เป็นเคล็บลับของผมเลยนะ”

ถ้อยคำอธิบายอย่างกระตือรือร้นราวกับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครล่วงรู้อย่างแน่นอนถูกส่งออกมา ซึ่งมันก็ส่งผลให้ร่างโปร่งที่ฟังอยู่หลุดเสียงหัวเราะอย่างไม่ได้ตั้งใจ อาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มชวนบทสนทนาบ้าง

“ไม่คิดเหมือนกันนะครับว่าคุณจะกินมาม่าด้วย”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็คุณดูเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกิน ที่บ้านน่าจะไม่ค่อยชอบให้กินของพวกนี้เท่าไร”

ภันวัฒน์อดยิ้มไม่ได้ เพราะคำถามเช่นนั้นดั่งลอบเร้นความหมายว่าอีกฝ่ายคิดถึงเรื่องของตนอยู่เหมือนกัน

“ผมออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่เข้ามหา’ลัยน่ะครับ เรื่องแค่นี้ธรรมดาจะตาย”

“ไม่ได้อยู่บ้านลุงกับป้าเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงประหลาดใจ

“ถึงจะใกล้ชิดสนิทสนม หรือพวกเขาต้อนรับเอ็นดูผมยังไง ก็ต้องมีความคิดชั่วครั้งชั่วคราวอยู่ดีที่รู้สึกว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริง ผมไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนั้นน่ะครับ เลยออกมาอยู่คนเดียวดีกว่า สบายใจดี”

เจ้าของเรื่องราวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่แฝงแววเหงาเอาไว้ด้วย พลอยให้ร่างโปร่งรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร ด้วยเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ และมันคงแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน ผู้จัดการหนุ่มจึงรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรบอย่างจึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน

“ว่าคุณจะทำยังไงดีกับคนร้ายครับ แจ้งตำรวจ หรือว่าจะลองติดต่อเพื่อคุยให้รู้เรื่อง”

ทว่าเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วอดีตบล็อกเกอร์ก็ได้สติอีกครั้ง แต่ความรู้สึกหดหู่ เจ็บร้าวไม่รุนแรงเท่ากับครั้งอื่นๆ คงเพราะว่าเมื่อครู่ร่างสูงช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้กระมัง

“ผมไม่มีทางที่ติดต่อเขาได้หรอกครับ”

ภันวัฒน์เลิกคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ อาทิตย์อัสดงจึงอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเคล้าเสียงเหนื่อยอ่อน

“ผมตัดขาดทางติดต่อไปหมดแล้ว มีแต่ทางเขาที่ติดต่อผมได้ ทางบล็อกกับบ้าน แต่บล็อกก็ปิดไปแล้ว เพราะงั้นเขาเลยมาที่บ้านมั้งครับ เพราะที่ทำงานผม เขาไม่เคยไป”

“แล้วคุณอยากแก้ปัญหาแบบไหนครับ”

เมื่อประโยคนั้นเริ่มขึ้น อาหารที่กินอยู่ก็หมดลงพอดี ผู้จัดการหนุ่มลุกขึ้นเก็บชามทั้งของตนเองและของผู้เป็นเจ้าของบ้านไปล้าง ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงเพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกินหมดไปก่อนแล้ว แต่รอให้เขากินหมดก่อนถึงค่อยลุก

“ผมอยากคุยให้รู้เรื่องมากกว่า แต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหน”

ร่างโปร่งลุกมาช่วยล้างชามด้วยเหมือนที่เคยทำครั้งก่อน แต่บรรยากาศในเวลานี้กลับเปลี่ยนไป ไม่อึมครึมเช่นเก่าจึงไม่อึดอัด คล้ายพูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจเสียมากกว่า ซึ่งก็ทำให้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะได้พูดคุยเรื่องนี้กับใครสักคน แม้แต่หนึ่งฤทัย หลังจากจบเรื่องครั้งนั้นเขาและเธอก็ไม่เคยแตะต้องมันอีก เว้นก็แต่ก่อนหน้านี้ที่เขาอาการแย่จริงๆ เธอจึงต้องคาดคั้น

“ผมว่าเดี๋ยวเขาต้องกลับมาแหละ อาจจะมาพรุ่งนี้เลยก็ได้”

“ทำไมล่ะครับ”

แปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายบอกเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงเบี่ยงหน้าไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความใคร่รู้ ดวงตาเรียวขยายกว้างกว่าปกติเล็กน้อย

“เขาต้องอยากรู้แหละว่าคุณมีปฏิกิริยายังไง ตอบโต้แบบไหน จะลุกขึ้นมาเขียนป้ายติดหน้าบ้านหรือเปล่าว่า ที่หมาทิ้งขยะอะไรแบบนี้”

ได้ยินเช่นนั้น จากที่เคยสนอกสนใจในคำแจกแจง ร่างโปร่งก็เกือบหลุดเสียงขบขันออกมา

ทั้งที่บทสนทนาเป็นเรื่องจริงจัง แต่ภันวัฒน์กับพาเขาฉีกอารมณ์ไปอีกทางได้ อาทิตย์อัสดงอดรู้สึกชื่นชมจากใจไม่ได้ แล้วก็ขอบคุณเจตนาดีที่ไม่อยากให้เขาคิดมากด้วย

“ทำไมผมต้องเขียนป้ายมาติดด้วยล่ะครับ”

เมื่อล้างจานและเก็บวางบนชั้นเพื่อผึ่งแล้ว ทั้งคู่ก็หันหน้ามาคุยกัน สองร่างยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวหน้าอ่างล้างจานราวกับไม่เกรงกลัวว่าจะทำให้เสื้อผ้าเปียก อาจเพราะก่อนหน้านี้อาบเหงื่อต่างน้ำมาแล้วก็เป็นได้ การที่เสื้อจะเปียกน้ำที่กระเซ็นมาเปรอะอ่างจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

“ก็ผมเห็นตามข่าวนี่ครับ พวกติดป้ายวอนขอความเห็นใจโจรไม่ให้ปล้นบ้านเป็นครั้งที่สิบ”

คราวนี้เจ้าของหน้าตี๋หลุดยิ้มออกมาจริงๆ แบบห้ามไม่ได้ ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยกเรื่องเช่นนั้นมาประกอบกับเหตุการณ์ในครั้งนี้จนกลายเป็นเรื่องขำขันไปเลย แต่ทว่าประโยคต่อมาของหนุ่มร่างสูงก็ทำให้เจ้าของร่างโปร่งต้องปรับอารมณ์เสียใหม่

“พรุ่งนี้วันศุกร์ ผมเข้างานช่วงเย็นพอดี ให้ผมช่วยจับตาดูให้ช่วงที่คุณไม่อยู่ดีไหมครับ ถ้าเขามา ผมจะได้ล็อกตัวเอาไว้ก่อน”

“เอ๊ะ”

อารมณ์ของอาทิตย์อัสดงพลิกกลับไปกลับมาราวกับอยู่บนเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวจนน่าฉงน

“ก็ถ้าเขามาช่วงที่คุณไปทำงานแล้วเอาขยะมาทิ้งอีก คงได้เหนื่อยกันอีกวันแน่ คุณอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ”

“แต่อาจจะไม่เร็วแบบนั้นก็ได้ กว่าจะได้ขยะมามากขนาดนั้น”

อาทิตย์อัสดงค้าน แต่ภันวัฒน์ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย

“ขยะพวกนั้น จะไปขอที่ตลาดมาสักเท่าไรก็ได้ครับ พวกพ่อค้าแม่ค้าคงยินดียกให้เลยล่ะ”

เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ทำให้ร่างโปร่งอดยอมรับอยู่ในใจไม่ได้ว่า ‘มันก็จริง’ ภันวัฒน์ที่เห็นท่าทางนั้นจึงเกริ่นขึ้นอีกครั้ง

“คุณคงไม่ยินดีเท่าไรถ้าจะให้ผมเก็บกุญแจบ้านไว้ เพราะงั้นคืนนี้ให้ผมค้างที่นี่แล้วกันนะครับ”

คนฟังได้แต่ตกตะลึงที่อีกคนสามารถหาเหตุมาอ้างจนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ และดูเหมือนผู้เสนอตัวจะรู้ว่าร่างโปร่งยังลังเล อีกทั้งไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้องทำขนาดนั้น เพราะแค่เขาเข้าออกจากบ้านช่วงที่เจ้าของบ้านอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจแล้ว ภันวัฒน์จึงใช้คำพูดดักไว้ก่อน

“ให้ผมนอนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นก็ได้ครับ ถ้าคุณไม่อยากให้ผมใกล้ชิดคุณจนเกินไป”

“ไม่หรอกครับ”

ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าคำตอบต้องเห็นดีเห็นงามกับความคิดนั้นแน่ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับตรงข้าม ภันวัฒน์ตะลึง แล้วยิ่งตะลึงกว่าเดิมหลังประโยคถัดไปหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า

“คุณนอนที่ห้องนอนกับผมก็ได้”

“หมายถึงให้นอนบนพื้นเหรอครับ”

“เปล่าครับ นอนบนเตียงนั้นแหละ”

ใบหน้าของหนุ่มผิวเข้มปรากฏรอยตะลึงตะลานอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบนี้ คนพูดที่สังเกตสีหน้านั้นได้จึงบอกออกมาอีกครั้ง

“ถ้าคุณจะไม่เข้ามากอดผมตอนนอนเหมือนอย่างคราวก่อน ผมก็โอเค”

ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนตนเองหูฝาด ดวงตาเรียวคมยังคงเบิกโตไม่เลิก คล้ายคนตื่นตระหนกจนสติหลุดลอยอย่างไรอย่างนั้น

“ผมว่าเดี๋ยวคุณอาบน้ำก่อนดีกว่า ผมจะเตรียมเสื้อผ้าสำหรับนอนกับผ้าขนหนูให้”

อาทิตย์อัสดงถือโอกาสนี้พูดต่อ จากนั้นก็เดินนำขึ้นบันไดไป แล้วเตรียมของให้อย่างที่บอกจริงๆ เพราะเมื่อร่างสูงตั้งสติได้ และเดินตามขึ้นไปยังชั้นบน ของที่ว่าก็ถูกยื่นมาให้ เขารับมันไปอย่างงุนงง รู้สึกสมองกลายเป็นปมเชือกที่ถูกขึงอย่างแรงจนมึนตื้อทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างล้วนเหนือความคาดหมาย ราวกับว่าเขากำลังฝันไปอย่างไรอย่างนั้น

ดังนั้นเมื่อเข้ามาในห้องน้ำแล้ว เจ้าตัวจึงเผลอหยิกตัวเอง แล้วก็พบว่ามันเจ็บไม่เบาเลยทีเดียว

ถ้าอย่างนั้น... นี่ก็ไม่ใช่ความฝันจริงๆ?





เมื่อส่งอีกคนเข้าห้องอาบน้ำไปแล้ว ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ย้อนกลับไปยังชั้นล่างอีกครั้ง เพราะจำต้องไปล็อกประตูหน้าบ้าน ทว่าเมื่อไปถึงจุดหมาย ของสิ่งหนึ่งกลับสะดุดตาอย่างเลี่ยงไม่ได้

อาทิตย์อัสดงมองรองรองเท้าหนังสีดำวางอยู่หน้าประตู มันเงาวับบ่งให้รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของดูแลมันอย่างดี อาจด้วยอาชีพที่ต้องดูดีอยู่เสมอเพราะถือเป็นหน้าเป็นตาของโรงแรมด้วยกระมัง ร่างโปร่งจึงหยิบมันติดมือมาด้วยหลังจากล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อหันหลังกลับ สายตาก็ปะทะเข้ากับพื้นที่ที่เคยมีสิ่งปฏิกูลส่งกลิ่นเน่าเหม็นเกลื่อนกระจาย บริเวณนั้นสะอาดหมดจด ไร้คราบใดๆ นอกจากร่องรอยของความเก่าและคราบที่สะสมยาวนานจนขจัดออกไม่ได้ เห็นเช่นนั้นแล้วในใจก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

ภาพของชายร่างกำยำช่วยเก็บขยะ ขัดล้างโดยไม่รังเกียจแม้แต่น้อย

สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในช่วงเวลานั้นมีเพียงความต้องการช่วยเหลืออย่างเต็มใจ

ถึงเขาจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าภันวัฒน์ไม่ได้หวังผลอะไรในการทำดีด้วย แต่กระนั้นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจจริง ความอยากช่วยเหลือจากใจจริง มันเอ่อท้นออกมาจากร่างของชายคนนั้นจนเขารู้สึกอึดอัดราวกับกำลังจะจมน้ำ นั่นเป็นเหตุให้เขายอมลดปราการลงหนึ่งชั้น เพราะรู้สึกผิดที่จะขับไล่ไสส่งอีกฝ่ายต่อไป และมันคงน่าละอายเกินไปที่ทำเช่นนั้นกับคนที่ปรารถนาดีต่อตัวเอง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำนับจากนี้ไปจึงไม่ใช่การกีดกันหรือขับไล่อีกฝ่าย

แต่เป็น...การยังยั้งชั่งใจตัวเอง

หลังล็อกประตูบ้านทั้งชั้นนอกและชั้นใน รวมทั้งตรวจดูสวิตช์อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว อาทิตย์อัสดงกลับขึ้นมาข้างบนอีกครั้ง และเมื่อเปิดประตูห้องออกเพื่อเข้าไปด้านใน ก็ประจวบเหมาะกับผู้พักอาศัยในค่ำคืนนี้ออกมาจากห้องน้ำพอดี

“เดี๋ยวผมขอยืมไดร์เป่าผมหน่อยนะครับ”

ศีรษะของภันวัฒน์เปียกหมาดๆ ขณะที่เจ้าตัวใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมไปด้วย ร่างโปร่งจึงตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบสิ่งที่ถูกระบุไว้ในคำพูดเมื่อครู่ให้ร่างสูง เสียงทุ้มตอบกลับ ‘ขอบคุณครับ’ เบาๆ เจ้าของร่างขาวจึงเอ่ยขอตัวเพื่อไปอาบน้ำบ้าง

จนเมื่ออาบเสร็จ กายโปร่งในชุดนอนก็กลับออกมาอีกครั้ง เขาใช้ไดร์เป่าผมซึ่งถูกวางลงบนโต๊ะคอมพิวเตอร์โดยคนใช้งานมันก่อนหน้านี้ ราวกับรู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องใช้ต่อ

มือเรียวเปิดสวิตช์และเป่าผมอย่างลวกๆ เพราะไม่จำเป็นต้องใส่ใจนักว่าจะเสียทรง เพราะถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ต้องนอนอยู่แล้ว ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้เลยว่า นับตั้งแต่ที่ย่างก้าวออกมาจากห้องซึ่งถูกแบ่งสัดส่วนเอาไว้นั้น ถูกสายตาของใครอีกคนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา

ภันวัฒน์ซึ่งนั่งอยู่บนเตียงและพิงหลังกับหัวเตียงเอาไว้ มองภาพพระอาทิตย์ยามเย็นคนนั้นแล้วอมยิ้มกับตนเอง นึกไม่ถึงว่าจะได้มีช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะการบีบบังคับ ไล่ต้อน มัดมือชกเอาฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายเต็มใจที่จะร่วมเตียงกับเขาในคืนนี้

ถึงจะรู้แน่ว่ายังไม่สามารถทำอะไรข้ามขั้นไปมากกว่านี้ได้ แต่กระนั้นก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดี

เพราะมันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการ

อย่างน้อยอาทิตย์อัสดงก็ยอมเปิดใจให้เขาแล้วหนึ่งในสี่ส่วน หรืออาจจะครึ่งหนึ่ง

ผมที่พลิ้วไสวไปตามสายลมร้อนเปลี่ยนสถานะจากหมาดเป็นแห้งแล้ว อดีตบล็อกเกอร์จึงนำไดร์เป่าผมไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าดังเดิม พลางหันมาถาม

“คุณจะทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ ผมจะได้ยังไม่ปิดไฟ”

“ไม่หรอกครับ สี่ทุ่มกว่าแล้ว นอนเลยก็ได้ครับ คุณต้องตื่นเช้านี่ ผมไม่ค่อยอยากกวนเท่าไร”

ทั้งที่ก่อนหน้าเคยเกิดเหตุการณ์บุกบ้านตอนตีสองด้วยซ้ำ ทว่าในเวลานี้สถานการณ์และคำพูดของร่างสูงกลับพลิกกลับด้านไปหนึ่งตลบ

อาทิตย์อัสดงเปิดโคมไฟที่หัวเตียงและเดินย้อนกลับไปที่ประตูห้องเพื่อปิดสวิตช์ไฟบนเพดาน ทำให้ห้องที่เคยสว่างด้วยสีขาวกลับกลายเป็นสีสีส้มอ่อน

บรรยากาศเป็นใจชะมัด

ผู้จัดการแผนกอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมอดคิดเช่นนั้นอยู่ในใจไม่ได้ นัยน์ตาดำขลับส่องประกายแวววับแม้จะตกอยู่ภายใต้แสงสลัว จนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของห้องเยื้องกายมาทิ้งลงบนเตียงจนที่นอนนุ่มพอประมาณยวบลง เสียงของกายโปร่งดังขึ้นอีกคราว

“แอร์เย็นไปไหมครับ หรือว่าร้อนเกินไป”

“พอดีแล้วล่ะครับ”

“งั้นผมไม่ปรับอุณหภูมิเพิ่มนะ”

“ครับ”

เสียงทุ้มใหญ่ขานรับเป็นการยืนยัน เจ้าของห้องจึงเอี้ยวตัวไปทางข้างเตียงเล็กน้อย ยื่นมือเรียวออกไปหาโคมไฟซึ่งอยู่บนโต๊ะที่หัวเตียง ทว่ายังไม่ทันจะแตะโดนมือกลับต้องชะงักลงไปก่อนเพราะเสียงของคนที่อยู่ด้านหลัง

“ถ้านอนแล้วคุณกลัวหัวปลา หัวไก่ เลือดหมูไหลนองมาหลอกหลอนในฝัน จะกอดผมก็ได้นะครับ ผมอนุญาตให้กอดฟรี เพราะยังไงชื่อของผมก็แปลว่ากอดอยู่แล้ว”

ประโยคที่เหมือนจะไร้ที่มาที่ไป แต่ขณะเดียวกันก็มีที่มาที่ไปนั้นทำให้ร่างโปร่งต้องเบี่ยงหน้ากลับมาทางเจ้าของเสียง ภันวัฒน์ทอดตัวลงบนที่นอนแล้วตะแคงข้างหันมายิ้มเผล่ให้อย่างอารมณ์ดี อาทิตย์อัสดงมองด้วยสายตาละม้ายเอือมเล็กน้อยและตอบกลับไป

“ชื่อคุณไม่ได้แปลว่ารักหรือไงครับ”

ทว่าประโยคนั้นกลับทำให้คนที่ยิ้มอยู่ยิ้มค้างราวกับถูกหยุดเวลา ภันวัฒน์รู้สึกหัวใจเต้นตุบๆ ขึ้นมาจนก้อง รับรู้ได้ถึงจังหวะหนักๆ ที่ทุบอยู่ใต้แผ่นอกหนาแกร่ง เพราะคำว่ารักถูกเปล่งออกมาจากน้ำเสียงของคนที่อยู่ตรงหน้า

แม้รู้ดีว่าเป็นการพูดถึงชื่อ ไม่ได้มีเจตนาหมายถึงความรู้สึกที่มีให้ แต่กระนั้นกลับระงับอาการที่กำลังก่อเกิดนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันความแปลกประหลาดใจ ฉงน สงสัย พิศวง มหัศจรรย์ ความรู้สึกประเภทนี้นานัปการรุมเร้าขึ้นมาจนแน่นสมอง

เขาไม่คิดว่าตัวเองจะยังมีความรู้สึกใจเต้นเพราะคำพูดเดียวของใครสักคนหลงเหลืออยู่ในช่วงที่วัยล่วงเข้าสามสิบแล้ว มันนานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยเกิดความรู้สึกเหล่านี้กับตนเองมาก่อน

ที่ผ่านมาอย่างน้อยก็ในช่วงสิบปีมานี้ คนที่เขาคบด้วยล้วนเป็นคนที่เขารู้สึกดีด้วยและคิดว่าเข้ากันได้ ไม่มีความรู้สึกหอมหวาน อ่อนไหว เหมือนสมัยตอนชั้นมัธยมต้นจนพลั้งเผลอคิดว่านี่เป็นความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่มาโดยตลอด

แต่แม้ในใจจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นจนอดทึ่งไม่ได้ ถึงกระนั้นร่างสูงก็ยังรักษาความเป็นตัวเองและตอบกลับไปอย่างหยอกกระเซ้า

“ก็สำหรับคุณตอนนี้ ชื่อผมคงมีความหมายแค่ในระดับนี้ เอาไว้อีกหน่อย ตอนที่คุณรักผมแล้ว ผมค่อยเลื่อนระดับไปแปลว่าแบบนั้นก็ยังทันถมเถ”

รอยยิ้มฉายบนกรอบหน้าคมคาย ทำให้คนฟังหลงคิดด้วยซ้ำว่า หรือตนเองจะโดนหลอกเรื่องชื่อ จริงๆ แล้วชื่อฮัก ที่เจ้าตัววอนขอให้เขาเรียกนั้น เป็นชื่อที่ภันวัฒน์ตั้งมาเพื่อหวังจะเล่นมุกนี้ในสักวันหนึ่ง

พอคิดเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกว่าภันวัฒน์ช่างเป็นคนที่มีชั้นเชิงเสียจริงๆ





ประตูไม้ถูกปิดลงพร้อมกับล็อกกลอนจากด้านในเอาไว้ด้วยความเบามือที่สุด หลังจากผู้เป็นเจ้าของบ้านก้าวออกมาจากภายในแล้ว แม้จะรู้ว่าเพียงแค่เสียงปิดประตูบ้าน ไม่มีทางดังไปถึงห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบนที่มีใครบางคนกำลังหลับอยู่ก็ตาม

ร่างโปร่งหันหลังกลับ สวมรองเท้าและก้าวเดินตรงไปยังประตูรั้วของบ้าน ทว่าก่อนจะถึงประตูรั้วที่มีระดับความสูงเหนือศีรษะตนเองราวครึ่งชั่วแขนสายตาก็พลันประสบกับกล่องอะไรบางอย่างบนเสาของรั้วบ้าน มือเรียวจึงเอื้อมขึ้นหยิบมันลงมา พิจารณาด้วยความฉงนอยู่ไม่น้อย

ทว่าครั้นเปิดมาเห็นของที่อยู่ภายใน ดวงหน้าขาวตี๋ก็เบือนกลับไปมองยังห้องนอนชั้นบน เพราะสิ่งที่พบนั้นคือมาการองสีสันสวยน่ากินไม่น้อย และคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาจะเห็นปาทิซิเย่เจ้าสำราญคนนั้นถือมันมาด้วยเมื่อวานนี้ คงจะวางลืมทิ้งไว้เป็นแน่ เพราะแม้แต่รองเท้าของเจ้าตัว เขาก็เป็นคนจัดเก็บให้นอกจากนั้นยังมีกระดาษใบเล็กๆ แปะอยู่บนฝากล่องระบุเหตุผลที่มันมาอยู่ที่นี่ด้วย



ผมทำให้มาคุณกินเล่นครับ ของหวานอร่อยๆ จะทำให้มีความสุข ^_^




ในเมื่อเป็นน้ำใจและความห่วงใยที่อีกฝ่ายส่งต่อมา หากปฏิเสธก็คงเป็นการเสียมารยาท อีกทั้งเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ตัดรอนชายคนนั้นอย่างเหี้ยมโหดอีก แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมามันจะไม่เคยสำเร็จก็ตาม แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีผลกระทบกับจิตใจหรือความรู้สึกไม่มากก็น้อย ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกผิดจริงๆ ดังนั้นกล่องหูหิ้วขนาดกำลังน่ารักจึงถูกอาทิตย์อัสดงถือขึ้นไปยังรถยนต์สีขาวด้วย

ถึงที่ทำงาน กล่องใบนั้นถูกวางลงบนโต๊ะ อาทิตย์อัสดงง่วนอยู่กับงานที่สะสมมาตลอดช่วงหลายวัน เพราะแม้ว่าจะจัดการไปได้บางส่วน แต่ก็ยังมีส่วนที่เกิดความเสียหายระหว่างที่อาการของตนอยู่ในช่วงย่ำแย่ เพราะงานที่ทำอยู่เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ อาการเหล่านั้นจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจ

แต่วันนี้เขารู้สึกปลอดโปร่งมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา จิตใจสงบและสมองโล่งอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว จึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว

“วันนี้มึงดูอารมณ์ดีดีนะ”

“มึงว่างั้นเหรอ”

ชายหนุ่มเหลือบมามองเพื่อนข้างตัวเล็กน้อยโดยที่ไม่หยุดมือซึ่งกำลังขยับเมาส์ ใบหน้าที่เคยมีแววหมองน้อยๆ เพราะยังไม่คืนสภาพในวันนี้ดูเปล่งปลั่งกว่าทุกวัน ไม่มีความรู้สึกด้านลบแผ่ซ่านมากับบรรยากาศของเจ้าตัว

“อืม แต่ก็ดีแล้วล่ะ ถ้ามึงได้เจอเรื่องดีๆ แล้วมีความสุข กูก็ดีใจ”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเดียวกับคำพูดอย่างชัดเจนจนคนฟังรับรู้ได อาทิตย์อัสดงหันไปทางหนึ่งฤทัยเป็นครั้งแรกของวัน ระบายรอยยิ้มที่ไม่มีแววระทมทุกข์ให้เห็น

“ขอบใจว่ะ”

เห็นภาพเบื้องหน้านั้นแล้วยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกชุ่มฉ่ำใจ อยากขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้นได้ และกลับมาเป็นอาทิตย์ที่สว่างไสวเหมือนเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘แล้วอะไรล่ะที่ทำให้พระอาทิตย์ดวงนี้เป็นเช่นนั้น’ นัยน์ตาเรียวยาวจึงกวาดสำรวจเพื่อหาต้นตอ

แล้วก็เจอจริงๆ...

กล่องขนมสีขาวมีลวดลายเล็กๆ น่ารักวางอยู่บนโต๊ะของเพื่อนที่วางทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า มือบางยื่นไปจับที่หูหิ้วซึ่งเป็นกระดาษเช่นเดียวกับตัวกล่อง

“นี่อะไรอะ” แม้จะถามเช่นนั้น แต่เธอก็หยิบกล่องออกมาเปิดดู เห็นภายในเป็นขนมน่ารับประทานแล้วก็เอ่ยถามต่อ “มาการองน่ากินว่ะ ขอชิมได้ปะ”

ร่างโปร่งเหลือบสายตาไปทางเพื่อนเล็กน้อยราวกับเป็นสัญชาตมนุษย์ แต่เพียงครู่เดียวอะไรบางอย่างก็มากระทบใจทำให้รู้สึกลนลานขึ้นมาในอก แม้กระนั้นก็ยังปั้นหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พยายามไม่ให้คนฟังรู้สึกติดใจสงสัย ทั้งที่อยากจะยื่นมือออกไปปิดฝากล่องใจจะขาด แต่ก็ต้องหักห้ามใจตนเองไว้

“ไม่รู้ว่าเสียหรือยัง วางทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ได้แช่ตู้เย็นด้วย จะลองเสี่ยงไหม”

อาทิตย์อัสดงลอบเม้มปากตนเองแน่น ก่อนจะนึกได้ว่าข้อความที่ถูกติดไว้บนฝากล่องถูกแกะออกไปแล้วเมื่อตอนอยู่บนรถ ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารู้สึกไม่อยากให้เพื่อนกินอยู่ดี ทั้งที่รู้ดีว่ามันก็แค่ขนม ไม่จำเป็นต้องหวงเลย

“อ้าว แล้วนี่ก็ไม่เอาไปแช่ตู้เย็นด้วย ป่านนี้เสียแล้วมั้ง กูไม่กินแล้วกัน เดี๋ยวจู๊ดๆ แล้วหมดสวยพอดี”

“เออๆ ก็ตามใจ”

ร่างโปร่งตอบด้วยถ้อยคำที่ธรรมดาที่สุด พลางสังเกตเป็นระยะว่าเพื่อนสาวนำมันกลับไปวางยังที่เดิมหรือยัง เมื่อเห็นว่าหนึ่งฤทัยทำตามที่คาดหวังก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ

ผ่านไปสักระยะ หลังจากหญิงสาวคลายความสนใจขนมที่วางอยู่บนโต๊ะตนแล้ว อาทิตย์อัสดงจึงเปิดกล่องออกและส่งขนมเข้าปาก

รสชาติหอมหวานปริมาณพอดีแผ่นซ่านอยู่ในปาก ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้จริงๆ ตามคำบอกของผู้ทำ มันไม่ได้เน่าเสียจากสภาพอากาศหรืออุณหภูมิและไม่มีกลิ่นแปลกปลอมใดๆ เลย ดังนั้นมือซ้ายจึงหยิบชิ้นต่อไปเข้าปากอย่างลืมตัว โดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกสายตาของคนข้างๆ จับจ้องอยู่ทุกครั้งที่ขนมชิ้นเล็กถูกส่งเข้าปากที่มีรอยยิ้มติดอยู่

หนึ่งฤทัยมองพลางคิดว่า...หรือขนมนั่นจะได้มาจากเจ้าของร้านขนมคนนั้น?

และแล้วมาการองร่วมสิบชิ้นก็หมดจากกล่องไปด้วยเวลาไม่นาน เมื่อรู้ตัวว่าขนมที่ใครคนหนึ่งตั้งใจทำมาให้ตนเองหมดลงแล้ว อาทิตย์อัสดงก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้

จะว่ามันอร่อยจนอยากกินอีกก็ใช่ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามีอะไรซุกซ่อนมากกว่านั้น

แต่แม้จะคิดเช่นนั้น ความว่างเปล่าที่ปรากฏอยู่ในกล่องก็เป็นหลักฐานว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จึงยอมตัดใจและพยายามลบเลื่อนความคับข้องในใจนั้นไปจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

อดีตบล็อกเกอร์ตรงกลับบ้านตามเวลาเลิกงานโดยไม่รอเพื่อนสาวเช่นเดียวกับทุกครั้ง เพราะว่าไม่อยากให้คนที่เสนอตัวว่าจะอยู่เฝ้าบ้านต้องไปทำงานสาย ทว่าเมื่อขับรถไปถึงหน้าบ้านแล้ว จิตใจที่เบาสบายมาตลอดทั้งวันก็เริ่มปั่นป่วน นิ้วมือเย็นลงกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้มีแค่รถยนต์คันสีเทาดำของภันวัฒน์เพียงคันเดียว






อ่านต่อข้างล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ [10/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 10-07-2016 18:41:09
ต่อจากข้างบน



v


v

ทั้งที่ไม่อยากคิดให้วุ่นวายใจ หรือตีตนไปก่อนไข้ แต่ก็คิดเป็นอื่นไม่ได้

อาทิตย์อัสดงหยุดรถลงยังบริเวณที่เลยหน้าประตูรั้วไปเล็กน้อย เพราะพื้นที่ถูกขวางกั้น ก่อนจะลงมาจากรถช้าๆ ด้วยย่างเท้าที่ไม่มั่นคงนัก เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเท้าติดพื้นอยู่หรือไม่ มันคล้ายว่าจะซวนเซลอยไปอย่างไรอย่างนั้น

กระทั่งไปหยุดที่ประตูบานใหญ่ เขาไขกุญแจออกด้วยมือสั่นเทา ค่อยๆ ขยับเท้าเข้ามาภายใน และดูเหมือนคนที่อยู่ในบ้านจะรู้ตัวกระมัง ถึงเปิดประตูและออกมาต้อนรับ

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

ภันวัฒน์พูดด้วยเสียงทุ้มนุ่มเบาสบาย ไม่แฝงแววอื่นใดให้คนฟังรู้สึกหนักใจแม้แต่น้อย ราวกับว่าสถานการณ์ปกติ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเคลือบแคลงหรือหนักใจทั้งสิ้น ตรงข้ามกับหลักฐานที่เห็นอย่างชัดเจน

“คุณ...”

เสียงที่หลุดออกมาจากปากของร่างโปร่งเบาหวิวคล้ายจะลอยไปกับอากาศทันทีที่ออกจากปาก ระบุสถานะทางใจให้ภันวัฒน์รับรู้ได้อย่างชัดเจน ร่างสูงจึงสืบเท้าเข้ามาใกล้ เผชิญหน้ากันและยื่นมือมาดึงมือเรียวเอาไว้ เขากุมมันเบาๆ พร้อมกับจับจ้องใบหน้าขาวที่แสดงสีหน้าพรั่นพรึง แล้วจึงคลี่ยิ้มบางเบาเพื่อให้คนเห็นสบายใจขึ้น

“มา...เหรอครับ”

แม้ไม่ต้องระบุชื่อ ภันวัฒน์ก็รู้ว่าบุคคลที่เจาะจงถึงเป็นใคร เขาพยักหน้าเบาๆ พร้อมกระชับมือที่จับเอาไว้ด้วย เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับคนที่กำลังหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

อาทิตย์อัสดงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่าในลำคอแข็งสากจนเจ็บไปหมด ถึงกระนั้นก็ยังเค้นเสียงออกมาถาม พลางพยายามปรับสภาพจิตใจของตนให้ผ่อนคลายที่สุด กล่อมตัวเองด้วยใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้าม และดูเหมือนมันจะช่วยให้ความรู้สึกปั่นปวนที่ตีรวนอยู่ในอกสงบลงได้ไม่น้อย

“แล้วคุณยังไม่ไปทำงานอีกเหรอครับ เห็นบอกว่าเข้างานตอนเย็น”

ภันวัฒน์ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนตอบ

“เข้าเลทนิดหน่อยครับ เพราะยังไงคืนนี้ก็อยู่ดึก แล้วก็อยากอยู่เป็นพยานด้วย”

“ขอบคุณนะครับ”

ไม่มีคำอื่นใดจะพูดไปได้มากกว่านี้ ร่างโปร่งจึงได้แต่เอ่ยคำนั้นออกมา ไม่เพียงแต่รู้สึกขอบคุณทางคำพูด แต่ขอบคุณอยู่ในใจด้วยที่อีกฝ่ายไม่ทิ้งเขาไว้และให้เผชิญหน้ากับอดีตเพียงลำพัง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะอยู่กับคุณจนกว่าเขาจะได้กลับ”

คล้ายกับรู้ว่าแม้จะพยายามทำเหมือนสงบใจได้ส่วนหนึ่ง แต่ความรู้สึกสารพันยังก่อคลื่นลมอยู่ในใจของร่างโปร่ง ภันวัฒน์จึงเอ่ยอีกครั้ง มิหนำซ้ำยังดึงมือเรียวที่จับเอาอยู่ขึ้นมาแตะริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ดั่งร่ายคาถาแห่งความเข้มแข็งให้อย่างไรอย่างนั้น และดูท่าว่ามันจะใช้การได้ดีเสียด้วย เพราะเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบา ทว่าอบอุ่นนั้น อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกอุ่นวาบในใจ คลื่นพายุที่ก่อนความพินาศในใจถูกทำลายในชั่วพริบตาเดียวจนราวกับเป็นเรื่องโกหกเสียด้วยซ้ำ

“ไปเผชิญหน้ากันนะครับ ไปทำให้มันจบ แล้วคุณจะได้เป็นอิสระสักที”

ใบหน้าคมคร้ามยังไม่ละทิ้งรอยยิ้มไปเลย ละม้ายกับจะใช้มันเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ อดีตบล็อกเกอร์จึงยอมพยักหน้าเบาๆ เพื่อปฏิบัติตามคำเสนอนั้น เขาเดินเข้าบ้านไปทั้งที่ถูกกุมมือเอาไว้หลวมๆ ประหนึ่งแรงเพียงน้อยนิดที่ส่งมาจากมือใหญ่นั้นเป็นเชือกพันธนาการเอาไว้จนไม่สามารถปลดออกได้






---------------------
เรื่องพาร์ทนี้ใกล้เคลียร์แล้ว
คุณภันแววพระเอกจับระยิบระยับยันตอนหน้า


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ [10/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 10-07-2016 19:58:12
เป็นตอนที่หวานมากเลยค่ะ คุณอาทิตย์นี่คือเรื่องราวดีๆในชีวิตของคุณภัน คุณภันเองก็เหมือนกัน ฮืออออออ ยอมแล้วค่ะ ตอนนี้คุณภันพระเอกมากจริงๆ 555555 ดูสิคะ คนที่รู้ว่าคุณอาทิตย์คิดอะไร รู้ว่าพูดแบบไหนทำแบบไหนคุณอาทิตย์จะสบายใจ คนแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้เหรอคะ ไม่ค่ะไม่ คุณอาทิตย์คะ แรกๆคุณอาทิตย์อาจจะแค่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวางจิตใจ แต่อยู่ๆไปเราเชื่อว่าคุณอาทิตย์ก็จะเริ่มรักคุณภันเองค่ะ ฮืออออ ทำไมเราต้องมาพูดอะไรแบบนี้ด้วยคะ ยังจำความรู้สึกตอนเกลียดคุณภันแรกได้อยู่เลยอ่ะ 55555555 แต่ตอนนี้คุณภันน่ารักจริงๆค่ะ หวังว่าจะน่ารักแบบนี้ไปเรื่อยๆนะคะะะะ แล้วก็ขอให้การคุยครั้งนี้ประสบผลสำเร็จด้วยเถอะค่ะ เฮ้อออ  :mew4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ [10/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-07-2016 21:51:39
นี่เป็นปาติซิเยร์หรือวีรบุรุษ?
รัศมีพระเอกวิ้งวับจับตามากกกกก

ขำฟรีที่หวงขนม ต่อไปก็หวงคนทำด้วยเนอะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ [10/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-07-2016 22:06:18
พัฒนาการจากโจรเป็นพระเอกได้ภายในไม่กี่ตอน
นับถือเลยพ่อปาทิซิเย่
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 22nd Entry : ครึ้มอกครึ้มใจ [10/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 11-07-2016 21:44:36
ตอนนี้รังสีพระเอกคุณภัณฯ จับมากกกกกกกกกกกก ---มันจ้าซะเหลือเกิน

รอเคลียร์ปมนะคะ ฟรีทำได้อยู่แล้ว พระเอกอยู่ด้วยทั้งคนนี่งุ้ย ♥
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 23rd Entry : มัดมือชก [14/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 14-07-2016 22:11:23
23th Entry : มัดมือชก






การพบหน้าคนที่ไม่ได้เจอกันมาตลอดหนึ่งปีเป็นเรื่องที่ทำให้ก้อนเนื้อในอกสั่นโยกได้ไม่น้อย อาทิตย์อัสดงพยายามสูดลมหายใจลึกและช้าที่สุด มือซึ่งจับอยู่กับมือของคนที่อยู่ข้างกายกระชับแน่นขึ้นด้วยแรงของตนเองผิดจากก่อนหน้านี้ ดั่งจะให้มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและช่วยพยุงความอ่อนไหวที่ทำให้เหมือนจะอ่อนแรง

“ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกนะเอม”

แม้เคยคิดว่ามันยากที่จะกลับมาพูดคุยกับอดีตคนรักได้อีกครั้ง แต่ร่างโปร่งก็ทำได้สำเร็จ เขามองหญิงสาวที่สภาพต่างไปจากอดีต เธอที่เคยสดใสเห็นแล้วรู้สึกสดชื่นเหมือนดอกไม้เบ่งบานกลับกลายเป็นดอกไม้ที่ร่วงหล่นและถูกเหยียบย่ำจนบอบช้ำ ไม่มีเค้าเดิมสักนิด

“ให้ผมแก้มัดเธอไหมครับ”

เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน อาทิตย์อัสดงส่ายศีรษะเบาๆ ปฏิเสธ การให้เธออยู่ในสภาพที่ขัดขืนไม่ได้เช่นนี้อาจจะดีกว่าก็เป็นได้ คาดเดาได้ว่าที่เธอถูกจับมัดมือไพล่หลังรวมทั้งมัดขาเอาไว้เช่นนี้คงเพราะตอนโดนภันวัฒน์จับได้ เธอพยายามหนีอย่างเต็มที่นั่นเอง

“เอมทำแบบนี้ทำไม”

ด้วยไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อไปนานกว่านี้ ผู้เสียหายในคดีจึงสอบถามอย่างตรงประเด็น ซึ่งสายตาของเจ้าหล่อนที่ตอบกลับมาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดปัง ราวกับจงใจให้เห็นเสียด้วยซ้ำว่าเธอชิงชังอดีตคนรักของตนเองแค่ไหน

“ล้างแค้นไง”

“ล้างแค้น?”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้ความหวาดหวั่นที่เคยมีสลายไปทันควัน อดีตบล็อกเกอร์เกือบพ่นลมหายใจออกมาทางจมูกด้วยซ้ำกับคำพูดน่าตลกนั้น

“นั่นควรเป็นคำพูดที่ฟรีต้องเป็นคนพูดหรือเปล่าเอม”

“ก็เพราะฟรี เพราะฟรีนั่นแหละที่ทำให้เอมต้องเป็นแบบนี้ เพราะฟรีคนเดียว!”

เสียงกรีดร้องหวีดแหลมดังขึ้นมาจนแสบแก้วหู แต่กระนั้นมือที่ชายทั้งสองจับกันไว้ก็ยังไม่คลายออกเพื่อเอามาใช้อุดหู

“คนที่ทำให้ฟรีต้องเลือกแบบนั้นคือเอมเองไม่ใช่เหรอ”

“ทำไม ทำไมล่ะ! ทำไมฟรีต้องทิ้งเอมไปด้วย ทำไมต้องให้เอมเลือกผู้ชายคนนั้น เห็นไหม ฟรีเห็นไหมว่าสภาพเอมเป็นยังไง”

เธอยังคงเสียงที่แหลมสูงไว้เช่นเดิม อารมณ์โกรธเกรี้ยวโหมกระพือจนเปลวเพลิงแห่งความแค้นลุกโชน

“ฟรีไม่อยากพูดหรอกนะว่ามันเป็นสิ่งที่เอมควรจะยอมรับมันไป”

“แต่ก็พูดออกมาแล้วนี่ พูดออกมาแล้ว ทำเป็นคนดี แต่จริงๆ แล้วก็สาปส่งเอมใช่ไหมล่ะ อยากให้เอมย่อยยับจะได้สาแก่ใจใช่ไหมล่ะ”

จากที่เคยหวีดร้องด้วยโทสะ สิ่งที่เปล่งออกมาจากหญิงสาวเริ่มคลอด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาของเธอสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่คลายทิฐิที่โชติช่วง

“ฟรีไม่เคยสาปส่งเอมหรอกนะ เพราะทำแบบนั้นต่างหากที่ทำให้ฟรีทรมาน ฟรีตัดขาดจากเอมทุกอย่างแล้ว ตรงคนต่างไป ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”

“ก็ฟรียังสุขสบายดี ทั้งที่เอมต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ ฟรีมีชีวิตที่ดี แต่เอมต้องทุกข์ทรมาน ทั้งโดนทิ้ง ทั้งต้องทำงานงกๆ เลี้ยงลูกคนเดียว มันไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมสักนิด ทำไม ทำไม...”

ร่างโปร่งส่ายศีรษะเบาๆ มีคำพูดมากมายที่อยากสวนกลับไปเหลือเกิน แต่คิดว่าเจ้าตัวคงบอบช้ำเกินกว่าจะรับฟัง เพราะถ้อยคำที่เธอพูดออกมาคล้ายคนสูญเสียสติไปครึ่งหนึ่ง ภาพตรงหน้าสร้างความรู้สึกเวทนาให้เขาไม่น้อย ไม่เคยนึกว่าคนรักเก่าจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เธอเป็นคนทำลายทุกอย่างไป ก็น่าจะมีชีวิตที่มีความสุขจากการลงทุนทำลายมันไปไม่ใช่หรือ

แต่ในเวลานี้มันกลับตรงข้ามกัน เอมิกากลับใช้ชีวิตอย่างน่าสังเวช

“ฟรีจะไม่พูดอะไรต่อไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเราต่างคนต่างอยู่กันไปเถอะ เอมลืมไปเถอะว่าฟรีมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ด้วย เราลาจากการแค่ตรงนี้ อย่าทำลายตัวเองอีกเลย เพราะยิ่งทำแบบนี้ก็มีแต่เอมที่จะต้องเสียใจ การทำร้ายคนอื่นไม่ได้ช่วยให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นหรอกนะ”

“ฟรีด่าเอมเหรอ ด่าเอมเหรอ! ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าเอมเสียใจขนาดไหน”

เขารู้ว่าความเสียใจของเธอไม่ได้มาจากการที่เรื่องระหว่างเขากับเธอต้องจบกันหรอก แต่เป็นเพราะทางที่เธอเดินไปไม่ได้สวยหรูต่างหาก

“ฟรีเคยเสียใจ เสียใจมากกับการกระทำของเอม เอมหักหลังกันทั้งที่ฟรีทุ่มเทให้ทุกอย่าง และก็เชื่อใจตลอด เพราะฉะนั้นจบกันเท่านี้ อโหสิกรรมให้กันไปด้วยดีเถอะ”

“อย่ามาพูดเป็นพ่อพระไปหน่อยเลย ทั้งที่กำลังทำบาปกับเอม ทำให้เอมต้องเดือดร้อนจน่าสมเพชขนาดนี้แท้ๆ ถ้าฟรีเป็นพ่อของเด็กคนนั้นต่อไป เอมก็ไม่ต้องมีชีวิตแบบนี้แล้ว ยังจะกล้ามาพูดอีกเหรอว่าให้ต่างคนต่างอยู่ สำนึกซะบ้างสิว่าฟรีทำเรื่องต่ำช้าขนาดไหน สำนึกบ้างสิ! ชดใช้ให้เอมเลยนะ ชดใช้มาเลย”

ดูเหมือนว่าแม้จะพยายามพูดคุยต่อไปก็ไม่ช่วยให้คนที่ถูกความแค้นบดบังจิตใจเข้าใจได้อยู่ดี อาทิตย์อัสดงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คล้ายจะปลดปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมา

“มันเป็นความผิดฟรีเหรอ”

“ใช่ ฟรีนั่นแหละผิด ฟรีนั่นแหละที่ผิดที่ทำร้ายเอม ทิ้งเอมไป แล้วไอ้หมอนั่น ไอ้เฮงซวยก็ยังมาทิ้งเอมไปอีก”

“ฟรีผิดจริงๆ น่ะเหรอ”

“ผิด ฟรีผิด ถ้าฟรีไม่ทิ้งเอม เราก็ได้อยู่กันอย่างสุขสบายสามคนพ่อแม่ลูกแล้ว”

“เอมไม่ผิดสักนิดเลยเหรอ”

“เอมจะผิดได้ยังไง เอมเป็นผู้เสียหายนะ”

คำตอบที่ได้รับ ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกหนักอึ้งในใจ ก้อนหินขนาดใหญ่จากที่ไหนไม่อาจรู้ได้ร่วงลงมาหล่นทับถมอยู่ภายในอก แม้กระนั้นมันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด หากแต่เป็นความเวทนา

ผู้หญิงที่เขาเคยรัก เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวหรือ

“เอม ฟรีขอเถอะนะ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นกันอีกเลย ปล่อยวางซะ ทำหน้าที่แม่ให้ดี เลี้ยงลูกให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่ดี ฟรีเชื่อว่าเอมทำได้”

“ปากดี!”

หญิงสาวถลึงตามองเมื่อถูกสั่งสอนราวกับตนเองเป็นคนเลวเสียเต็มประดา เธอมองอดีตคนรักตาขวาง ก่อนจะตวัดสายตาไปทางชายอีกคนที่บังอาจจับตัวเธอเอาไว้ แถมยังมัดเธอให้ไปไหนไม่ได้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยสักนิด ทว่าฉับพลันดวงตาเคลือบแค้นก็เพิ่งสังเกตเห็นบางอย่าง

“วิปริต น่าขยะแขยง ที่สุขสบายอยู่ตอนนี้ก็เพราะหันตูดให้ผู้ชายสินะ”

ถ้อยคำเสียดสีผุดออกมาจากกลีบปากที่เอาแต่พ่นคำพูดร้ายกาจครั้งแล้วครั้งเล่า อาทิตย์อัสดงสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกตัวว่าตนยังจับมือของชายอีกคนไว้จึงรีบดึงมันออก พร้อมๆ กับรู้สึกดั่งหัวใจโดนกรีดจนเจ็บจุก หน่วยตาคู่ที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์

ทว่าไม่ทันจะได้คลายมือออกจากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย กลับถูกมือใหญ่กระชับไว้ ภันวัฒน์จับมือร่างโปร่งให้แน่นขึ้นอีก คล้ายกับต้องการบอกว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไป น้ำเสียงที่เคยถูกปิดกั้นเอาไว้มาพักใหญ่ถ่ายทอดออกมาอย่างนิ่งเรียบ

“ผมไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับผม หรือรู้สึกยังไงกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา และผมก็ไม่รู้ว่าในอดีตคุณทำอะไรไว้บ้าง ฟรีถึงต้องเจ็บช้ำเพราะการกระทำของคุณ แต่ผม...กล้าพูดได้ว่าผมจะไม่มีวันทำแบบคุณ จะไม่มีวันทำให้เขาต้องรู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด”

“เหอะ ไอ้พวกปากดี ทำเป็นพูดดีก็ต้องอยู่ด้วยกันสินะ น่ารังเกียจจริงๆ”

“ผมว่าเราคงเจรจากันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร เอาเป็นว่า...ผมขอพูดแบบรวบรัดเลยแล้วกัน”

เสียงทุ้มหยุดไปชั่วครู่ ใบหน้าคมคร้ามที่เคยนิ่งเฉยแปรเปลี่ยน มันเคร่งขรึมจนดุดันขึ้นมาในบัดดล หน่วยตาสีนิลจ้องทมึงไปยังใบหน้าของหญิงสาว เรียวปากวาดยิ้มบางเบา แต่มันเปรียบดุจการแสยะเขี้ยวของสัตว์ป่าดุร้าย บรรยากาศของร่างสูงผิดแผกไปโดยสิ้นเชิง

เอมิการู้สึกได้ถึงภัยคุกคามเพียงแค่การเปลี่ยนสีหน้าของอีกฝ่าย เธอรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไป เขาไม่เคยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าภันวัฒน์ที่มักสนุกสนานอยู่เสมอจะดูน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้

“ถ้าคุณยังไม่เลิกยุ่งเกี่ยวกับฟรีอีก ผมคงต้องส่งตัวคุณให้ตำรวจ ข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญ บุกรุกเคหสถาน เพราะผมมีทั้งหลักฐานว่าคุณเอาขยะสดเข้ามาทิ้งในบ้านของฟรีจริงๆ แล้วผมก็ถ่ายคลิปสารภาพของคุณไว้หมดแล้ว แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ยังกล้าที่จะรังควานฟรีอีก ผมคงต้องใช้อิทธิพลมืดสักอย่างที่ผมมี จัดการกับคุณ คุณอาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่ว่าผม...มีอำนาจที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึงพอสมควรเลยล่ะ ถ้าคุณอยากจะลองพิสูจน์ดู ผมก็เต็มใจจะให้บริการคุณอย่างถึงใจ”

ปิดท้ายด้วยการคลี่ยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ราวกับจะเชือดเฉือนกันให้ร่างขาดสะบั้น ความกดดันแผ่รอบตัว ประดุจเงามืดกำลังไล่คุกคาม เอมิกาเย็นสะท้านไปทั้งร่าง และสั่นเยือกมากขึ้นไปอีกเมื่อร่างสูงใหญ่เจ้าของคำพูดนั้นย่างเท้าเข้ามาใกล้เธอ

ภันวัฒน์ปลดผ้าที่ใช้รัดข้อมือและข้อเท้าของเอมิกาออกเพื่อให้เธอกลับมาสู่อิสรภาพอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าหล่อนรีบดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทะเลดังมีอะไรบางอย่างพันแข้งขาอยู่จนเกือบล้มหน้าคะมำบนโซฟา จากนั้นก็รีบพุ่งตัวอย่างกระเสือกกระสนตรงไปยังประตูบ้านอย่างรวดเร็ว

“อย่าลืมนะครับ ถ้าอยากลองท้าทายดู ผมยินดีเต็มที่เลย”

ร่างสูงส่งเสียงไล่หลังตามไป แม้เสียงที่เปล่งออกมาจะแฝงไว้ซึ่งความขบขันอยู่น้อยๆ แต่กลับสั่นประสาทผู้ฟังที่หนีตายออกจากบ้าน เธอเซล้มที่หน้าประตู ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานจนสามารถขึ้นรถไปได้

ดูจากสภาพนี้แล้ว คงสามารถยืนยันได้ว่า เธอคงไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีกเป็นแน่

“ผมเพิ่งเคยเห็นคุณทำท่าน่ากลัวแบบนี้นะครับ”

เห็นสภาพของคนรักเก่าแล้วอาทิตย์อัสดงก็อดพูดเช่นนั้นไม่ได้ เขาเบี่ยงหน้ากลับมาทางคนที่ยืนอยู่ห่างไปเล็กน้อย ทว่าบรรยากาศที่ทั้งบีบคั้นและสัมผัสได้ถึงอันตรายกลับสูญสลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ดั่งไม่เคยมีมาก่อน กลับมาเป็นความเบาสบายเช่นเดียวกับทุกที

“ปกติผมก็ไม่ใช่คนน่ากลัวนี่ครับ จริงไหม”

คำถามนั้นร่างโปร่งไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน อาจจะเป็นอย่างที่คนเขาว่ากันก็ได้ว่าคนที่ปกติแล้วอารมณ์ดี เวลาโมโหหรือไม่พอใจ จะน่ากลัวมากๆ

“ว่าแต่...ที่ว่าคุณมีอิทธิพลมืดที่กฎหมายเอื้อมมือไม่ถึง นี่จริงหรือเปล่าครับ”

เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ ตามละครทั่วไป แต่ในชีวิตจริงแล้ว คงหาคนใกล้ตัวที่เป็นเช่นนั้นไม่ได้ง่ายๆ อดีตบล็อกเกอร์จึงรู้สึกสงสัย

“เรื่องนั้น...” ร่างสูงขยับตัวเข้ามาใกล้ พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ก็ต้องโกหกทั้งเพอยู่แล้วสิครับ ผมจะไปมีอิทธิพลแบบนั้นได้ยังไง ก็แค่คนธรรมดา”

“จริงเหรอครับ”

ทั้งที่เจ้าตัวออกจะยืนยันด้วยน้ำเสียงชัดเจน คนฟังกลับไม่เชื่อง่ายๆ เพราะภันวัฒน์ทำงานอยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่โต บางทีอาจมีโอกาสได้พูดคุยอย่างถูกคอกับคนที่มีอิทธิพลกว้างขวางสักคนก็เป็นได้

“จริงสิครับ ผมไม่โกหกคุณอยู่แล้ว ก็แค่ขู่ให้ผู้หญิงคนนั้นกลัว แล้วก็เลิกยุ่งกับคุณเท่านั้นแหละ ผมไม่ใช่คนน่ากลัวหรอก ไม่ต้องกังวล ไม่มีทางที่คุณจะถูกอุ้มไปนั่งยางอะไรพรรค์นั้นหรอก แต่ถ้าอุ้มขึ้นเตียงผม นี่ก็อีกเรื่องนะ”

คำหยอกล้อดังตามมาในหางประโยค พร้อมด้วยหน่วยตาคมเข้มขยิบลงข้างหนึ่ง ยิ่งสลัดบรรยากาศคุกุร่นด้วยไอความมืดให้สลายไปจนไม่เหลือแม้แต่น้อย อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตนควรจะขำดีหรือเปล่ากับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะถึงจะรู้เจตนาว่าต้องการให้เขาเลิกคิดมากเรื่องนั้น แต่ความหมายของประโยคออกจะทำให้รู้สึกตลกฝืดจนขนลุกไปหน่อย

“เอาเป็นว่าผมคิดว่าเขาคงไม่กลับมาแล้วล่ะครับ สบายใจได้”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำสีหน้าติดใจสงสัยอะไรอีก ภันวัฒน์จึงสรุปซ้ำ

“ขอบคุณนะครับ ทั้งที่ผมคุยกับเธอไม่รู้เรื่องแท้ๆ”

“ก็มันช่วยไม่ได้นี่ บางทีไม้อ่อนก็ไม่มีแรงพอที่จะคัดง้างคนบางคน”

ภันวัฒน์ยิ้มให้ส่งท้าย ก่อนจะยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็เริ่มขอตัว ร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงเสนอตัวออกมาส่งเพื่อตอบแทนน้ำใจและความช่วยเหลือตลอดทั้งวันนี้ ทว่าฉับพลันที่ออกมาถึงประตูรั้วของบ้าน อาทิตย์อัสดงก็นึกขึ้นมาได้ เขาเอ่ยปาก ‘รอเดี๋ยวนะครับ’ ก่อนจะตรงไปยังรถยนต์สีขาวของตนเอง หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากในรถหลังจากปลดล็อกด้วยรีโมทที่ยังถือค้างอยู่ในมือตั้งแต่เข้าบ้านไปแล้ว

กล่องกระดาษสีขาวตกแต่งลวดลายถูกยื่นมาให้ร่างกำยำที่เอียงคอนิดๆ มองด้วยความสงสัยในพฤติกรรมของอีกฝ่าย แต่หลังจากได้เห็นว่าสิ่งที่ถูกส่งมาให้คืออะไร เขาก็นิ่งงันไปชั่วครู่ ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามา ด้วยไม่รู้ว่าเหตุผลที่ของสิ่งนั้นถูกส่งคืนมาให้คืออะไร

จะบอกว่าเป็นของที่เขาลืมเอาไว้

หรือว่า...ไม่ยอมรับขนมที่เขาอยากมอบให้จากใจจริง

ทว่า

“ผมกินหมดแล้วล่ะ อร่อยมากครับ ขอบคุณนะครับที่เอามาฝาก”

คำตอบที่ได้รับไม่ใช่อย่างที่เจ้าตัวคิดหรือแม้แต่เฉียดใกล้ ทำให้ผู้ลงมือทำขนมให้อย่างตั้งใจถึงกับยิ้มแก้มปริ ในอกเต็มตื้นไปด้วยความปรีดาล้นเหลือ ผิดกับผู้ที่ส่งกล่องคืนไปที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำไมตนจะต้องคืนกล่องเปล่าคืนคนที่ให้มาด้วย ทั้งที่จะทิ้งไปเสียก็ได้

ราวกับว่า...อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากินขนมข้างในไปหมดแล้วจริงๆ

แต่ครั้นจะดึงมือกลับมาก็ไม่ทันเสียแล้ว มือหนารับกล่องสีขาวลวดลายน่ารักมา เปิดกล่องออกราวกับต้องการพิสูจน์ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้หลอกให้ดีใจเล่น แต่เมื่อเปิดฝาส่วนที่เป็นหูหิ้วออกแล้ว มันกลับยิ่งทำให้เขาคับแน่นอกด้วยความสุขมากขึ้นไปอีก เพราะกระดาษที่สมควรติดอยู่บนกล่องไม่อยู่แล้ว

อาทิตย์อัสดงกินขนมที่เขาทำให้ด้วยความเต็มใจ และรับรู้ถึงข้อความที่เขาเขียนไว้ให้

ตอนนี้เขากำลังดวงขึ้นหรืออย่างไร?

ภันวัฒน์อดถามตนเองไม่ได้ ขณะเดียวกันหน่วยตาคมก็จับจ้องไปยังใบหน้าขาวผ่องที่ยังหลงเหลือความเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย ความทรงจำเลวร้ายและอดีตที่ตามรังควานจบลงแล้ว บัดนี้...ต่อจากนี้ผู้ชายตรงหน้าเขาคงจะใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง และคงกลับมามีสีหน้าสดชื่นได้อีก

เมื่อคิดดังนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาราวกับน้ำซึมขึ้นจากบ่อ เขาเอ่ยปากออกมาอย่างไม่รั้งรอ ลืมใคร่ครวญให้ดีเสียด้วยซ้ำว่าจะถูกปฏิเสธหรือไม่

“สิ้นปีนี้ไปเที่ยวกันนะครับ พอดีผมได้หยุดสองสามวัน”

“เอ๋ สิ้นปีเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงทำหน้างุนงงระคนประหลาดใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ ถูกชวนเช่นนี้ ภันวัฒน์พยักหน้าหงึกหงักตอบคำถามนั้น พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงที่ดูอ้อนวอนเล็กน้อย

“นะครับ ผมไม่ค่อยได้เที่ยวปีใหม่เลย ปกติก็ทำงานตลอด”

“แต่ว่าผมไปเที่ยวกับพี่สาวแล้วก็หลานทุกๆ ปีอยู่แล้วนะครับ”

“ถ้างั้นปีนี้ก็เปลี่ยนเป็นไปกับผมสิครับ คุณจะได้ไปปลดปล่อย และผ่อนคลายจากเรื่องที่ผ่านมาด้วยไง”

น้ำเสียงกระตือรือร้นถูกส่งออกมาจากปากหยักหนา ใบหน้าคมเข้มของคนพูดเปี่ยมด้วยความตั้งอกตั้งใจจนคนเห็นรู้สึกปฏิเสธลำบาก จึงได้แต่ยึกยักไม่ตอบคำถาม

“เอาเป็นว่าตามนี้แล้วกันนะครับ”

เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้รับคำตอบที่ตนเองจะพึ่งพอใจได้ง่ายๆ แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายยากที่จะปฏิเสธเสียงแข็งใส่ด้วยเช่นกัน ภันวัฒน์ก็อาศัยความว่องไวกล่าวเช่นนั้น แล้วผลุบตัวเข้าไปในรถยนต์สีเทาดำโดยที่ร่างโปร่งไม่ทันตั้งตัว

“แล้วเจอกันนะครับ”

น้ำเสียงสดใสดังออกมาจากคนที่เข้าประจำที่นั่งคนขับเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้าต่างสีเข้มจะถูกเลื่อนปิดโดยทันที ราวกับว่าป้องกันไม่ให้ใครอีกคนแทรกเสียงขึ้นมาคัดค้านได้ จากนั้นเลื่อนรถออกไปอย่างรวดเร็ว อาทิตย์อัสดงที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจึงได้แต่มองตามรถทั้งที่ยังอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น

“เดี๋ยว...”

รถยนต์สีเทาดำแล่นออกไปไกลจนเริ่มลับตาแล้ว ร่างโปร่งหลุบตาลง ถอนหายใจแผ่วเบากับการกลับไปเสียดื้อๆ ของอีกฝ่าย แล้วจึงกลับเข้าบ้านอีกครา ทว่าเมื่อปิดประตูรั้วและหันกลับมา ก็รู้สึกติดใจขึ้นมาว่าภันวัฒน์จับตัวอดีตคนรักของเขาไว้อย่างไร และเอมิกามาตั้งแต่เมื่อใด

ขายาวสาวเร็วเข้าไปในตัวบ้านเพื่อหาคำตอบ เขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และโปรแกรมตรวจดูวิดีโอในกล้องวงจรปิดเช่นเดียวกับเมื่อวาน

ภาพที่ปรากฏบนมอนิเตอร์ระบุเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆ หญิงสาวคนหนึ่งหอบถุงขยะถุงโตหลายต่อหลายถุงโยนข้ามรั้วเข้ามาในบ้าน ตามด้วยร่างของเธอปีนตามเข้ามา แต่ฉับพลันที่เธอจะลงมือกรีดถุงใบหนึ่ง ก็ถูกร่างอันใหญ่โตกระชากมือเอาไว้

พละกำลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทำให้มีดในมือของเธอหล่นลงพื้นอย่างง่ายดาย เจ้าหล่อนถูกจับหมุนแขนไพล่หลังเอาไว้ได้ในเสี้ยวพริบตา จากนั้นก็ถูกพาตัวเข้ามาในบ้าน ต่อจากนั้นราวห้านาทีได้ ภันวัฒน์เดินกลับมาที่หน้าบ้านอีกครั้ง เขาโยนถุงขยะทั้งหมดออกไป ก่อนจะปีนออกไปนอกบ้านด้วย แล้วจับถุงเน่าเหม็นเหล่านั้นใส่ท้ายรถที่เปิดค้างไว้ ราวกับภาพย้อนกลับการกระทำของหญิงสาว

สิ่งที่ได้เห็นทั้งหมดบนจอสี่เหลี่ยมทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกแปลกประหลาดจนน่าพิศวง เพราะใบหน้าและพฤติกรรมของคนรักเก่าที่ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่มาตลอดกลับไม่ส่งผลใดๆ กับความรู้สึกของเขาในเวลานี้แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับชายอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เมื่อได้เห็นว่าชายคนนั้นเก็บถุงขยะเหล่านั้นกลับไปคืนที่รถ เขากลับรู้สึกแน่นในอกอย่างไรชอบกล

แน่นเพราะ...ซาบซึ้งใจกับความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายเหลือเกิน





เสียงผู้คนจอแจในช่วงเย็นของวันภายในร้านอาหารดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับชายหนุ่มสองคนที่มานั่งรับประทานอาหารร่วมกันแล้วดูออกจะแปลกสักหน่อย เพราะคนหนึ่งดูจะมีความสุขและมีรอยยิ้มติดหน้าจางๆ อยู่ตลอดเวลา ผิดกับชายอีกคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นช่วงๆ

“ดูมึงจะแฮปปี้ดีนะ”

เกรียงไกรทักทายเพื่อนรักที่นัดเขามากินข้าวเย็นด้วยกันในวันนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง เพราะโดยปกติแล้วพวกเขาจะนัดดื่มกันเสียมากกว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะใครอีกคนซึ่งจะตามมาในภายหลังเป็นคนขอเอาไว้

หนึ่งฤทัยอยากทำความรู้จักกับภันวัฒน์อย่างเป็นทางการ

“เออดิ ช่วงนี้กูมีความสุขว่ะ”

“หน้าบานจนกูหมั่นไส้เลยเนี่ย”

“ช่วยไม่ได้นี่หว่า ช่วงนี้ฟรีใจดีกับกูจนกูตะลึงไปหลายรอบเลย”

“เขาอาจจะหลอกให้มึงตายใจเล่น แล้วหักดิบให้มึงกระอักเลือดก็ได้”

เกรียงไกรทำหน้าเจ้าเล่ห์มองมา พร้อมด้วยส่งเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอเบาๆ จนภันวัฒน์รู้สึกอยากปาช้อนที่อยู่ในจานตรงหน้าใส่หน้าเพื่อนรักเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยั้งไว้ทัน

“ว่าแต่คุณขวัญของมึงจะมากี่โมง กูชักจะหิวแล้วนะเนี่ย”

“อีกสักพัก เขาทำงานออฟฟิศนี่หว่า ไม่ใช่หลักลอยเหมือนมึงกับกู”

“ของกูก็ออฟฟิศเหมือนกันนะเว้ย แต่ว่ากูรีบหนีมาก่อน”

ภันวัฒน์ตอบกลับราวกับต้องการค้าน แต่ประโยคหลังระบุชัดถึงเหตุผลที่สามารถมาถึงตามเวลานัดหมายได้ ซึ่งมันก็ทำให้คนที่ฟังแปลกใจไม่น้อย

“หนีอะไรวะ หนีคุณนนนี่หรือไง”

“เปล่าหรอก กูหนีพร่างต่างหาก”

น้ำเปล่าในแก้วถูกจิบนิดๆ แก้กระหายหลังจากตอบไปเช่นนั้น แต่เกรียงไกรเลิกคิ้วกับคำอธิบายเพิ่มเติม

“พร่าง? อ๋อ มิน่าถึงได้โทรมาถามกูว่าอยู่ที่ไหน”

“ไอ้เวร...” เสียงที่พูดอยู่ค้างไว้เท่านั้น ใบหน้าคมคร้ามที่ดูภูมิฐานนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเสียงพึมพำจะดังขึ้นมาแทรกกลางความเงียบ “ฉิบหายแล้ว”

ภันวัฒน์รีบล้วงลงในกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดตั้งเวลาปลุกภายใต้การกำบังของโต๊ะทันทีเมื่อเห็นว่าบุคคลที่ตนกำลังพูดถึงอยู่นั้นเดินตรงมาทางนี้

เขาตั้งเวลาให้นาฬิกาในโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากนี้ห้านาที ก่อนจะยัดมันกลับลงกระเป๋าดังเดิม พลางส่งยิ้มที่ปั้นแต่งให้ดูปกติ ไม่แฝงความรู้สึกใดๆ ออกไป ขณะที่เกรียงไกรซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองอากัปกิริยาของเพื่อนอย่างงงงวยพลางถาม ‘อะไรของมึง’ แต่คำตอบก็มาถึงทางด้านหลังของเขาก่อนที่คนถูกถามจะตอบเสียอีก

“เจอตัวซะทีนะคะพี่ภัน”

“อ้าว พร่าง”

เจ้าของกิจการสถานเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์สำหรับเด็กหันกลับไปทางต้นเสียง เห็นหญิงสาวร่างสะคราญก็ร้องทัก เข้าใจขึ้นมาในบัดดลว่าเหตุใดเพื่อนถึงมีอาการลุกลี้ลุกลนขึ้นมาเสียเฉยๆ

“สวัสดีค่ะ พี่จอม”

ทักทายอีกบุคคลหนึ่งแล้ว พร่างฟ้าก็ตรงมานั่งยังเก้าอี้ว่างฝั่งเดียวกับภันวัฒน์

“สวัสดีครับ พร่าง คิดถึงพี่หรือไงครับถึงมาหาถึงที่เลย”

คนถูกทักเอ่ยตอบพลางเหลือบมองทางเพื่อนสนิทไปด้วย เห็นว่าภันวัฒน์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คล้ายพยายามไม่สร้างพิรุธใดๆ จึงแสร้งถาม ด้วยรู้ว่าตอนนี้เพื่อนมีชนักติดหลังอยู่ เพราะกิตติศัพท์ของน้องสาวคนสวย เขาก็รู้มาไม่น้อยเหมือนกัน

“เปล่าหรอกคะ พอดีพร่างถามคุณนนนี่มา เห็นบอกว่าพี่ภันจะมาหาเพื่อน เลยรีบออกมาจากโรงแรมก่อน พร่างก็เลยตงิดใจน่ะค่ะ ว่าจะใช่พี่จอมหรือเปล่า”

คำตอบของพร่างฟ้าทำให้กล้ามเนื้อบนร่างของภันวัฒน์เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งที่รีบลอบออกมาตอนที่พร่างฟ้าไม่อยู่ในห้องทำงานแล้ว แต่ก็ยังพลาดอีกจนได้ โชคดีว่าเขามาหาเกรียงไกรจริงๆ จึงมีหลักฐานที่อยู่ชัดเจน

“แต่พี่ภันก็ใจร้ายจังนะ ทำไมไม่รอพร่างเลย แค่นัดกับพี่จอม ชวนพร่างมาก็ได้ พี่จอมคงไม่ไล่พร่างหรือไม่พอใจหรอกที่พร่างจะมาด้วย จริงไหมคะ”

เสียงหวานเอื้อนออกมาพร้อมกับดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสวยงาม เธอหันไปทางเกรียงไกรราวกับจะให้อีกฝ่ายสนับสนุนคำพูดของเธอ พลอยให้คนที่ถูกถามอย่างบีบคั้น เริ่มรู้สึกหายใจลำบากไปด้วย เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนแล้วว่าลำบากแค่ไหนกับการมีน้องสาวเกาะติดแจ

หากเป็นช่วงเวลาปกติ กิริยาของพร่างฟ้าคงน่ารักน่าเอ็นดูดี แต่ในยามที่ภันวัฒน์ติดพันอยู่กับคนใดคนหนึ่ง หรือหมายปั้นจะคบหากันในฐานะคนรัก พร่างฟ้าจะกลายเป็นอุปสรรคขวากหนามที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

“คือพอดีว่า...”

เมื่อเข้าใจสถานการณ์ของเพื่อนมากขึ้น เกรียงไกรจึงรู้สึกอยากช่วยขึ้นมา แต่เมื่ออ้าปากออกเพื่อหาข้อแก้ตัวให้ เสียงโทรศัพท์ของภันวัฒน์ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน มันเป็นเสียงของนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ซึ่งดูเหมือนจะดังได้จังหวะพอเหมาะพอเจาะ

ภันวัฒน์รีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาและกดปิดสัญญาณปลุกอย่างรวดเร็ว จากนั้นนำมันแนบเข้ากับหูฝั่งที่พร่างฟ้าจะไม่เห็นหน้าจอในทันที

“ครับ สวัสดีครับคุณนน... เอ๊ะ จริงเหรอครับ ด่วนเลยเหรอครับ ได้ครับ... ครับ... เข้าใจแล้วครับ”

เสียงสนทนาฝ่ายเดียวดังให้อีกสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยได้ยิน หลังจากจบประโยคสุดท้าย ภันวัฒน์รีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีรีบร้อนก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“เดี๋ยวกูต้องกลับก่อนนะ พอดีมีปัญหานิดหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเพื่อนทั้งที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งยืน ก่อนจะหันมาทางน้องสาว “พี่ไปก่อนนะพร่าง พร่างอยู่กินข้าวกับไอ้จอมไปแล้วกันวันนี้ พี่มีธุระด่วนน่ะ”

พอรวบรัดพูดจนจบ ร่างสูงก็ย้ายร่างออกมาจากโต๊ะโดยพลัน เขายกมือขึ้นตั้งข้างหนึ่งราวกับจะขอโทษขอโพยเพื่อนสนิทที่ตนต้องรีบชิ่งหนีและทิ้งระเบิดไว้ให้ จากนั้นก็สาวเท้าเร็วๆ ออกจากร้านอาหารไปทั้งที่เกรียงไกรและพร่างฟ้ายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ

กระทั่งนั่งลงบนเบาะรถแล้ว ภันวัฒน์ก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาเพื่อน

‘ฝากรับมือต่อด้วย’

หลังจากนั้นไม่นานข้อความจากฝ่ายตรงข้ามก็ถูกส่งมา คำด่ากราดยาวเหยียดก่อนจะจบด้วย

‘มึงลืมหรือไง กูนัดคุณขวัญไว้นะเว้ย’

ชายหนุ่มยิ้มออกมาหลังจากอ่านข้อความของเพื่อน เขาทำเป็นไม่เห็นคำผรุสวาทต่างๆ นานา แล้วมุ่งตอบข้อความสุดท้าย

‘อุตส่าห์ให้ตัวช่วยแล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์หน่อยสิวะ’

‘ประโยคห่าอะไรล่ะ’

‘มึงก็เลือกเอาสิ 1.ใช้พร่างทำให้คุณขวัญเข้าใจผิดแล้วลาขาด 2.ใช้พร่างทำให้คุณขวัญหึงแล้วยอมรับรัก’


เมื่อตอบไปเช่นนั้น คำสบถก็ตามติดมาเป็นกระบุงโกย เห็นดังนั้นภันวัฒน์ก็ระเบิดหัวเราะกับตนเอง ก่อนจะเก็บโทรศัพท์แล้วขับรถออกไป

วันนี้เขามีธุระจะต้องจัดการ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็ถึงวันที่เขาจะไปเที่ยวกับอาทิตย์อัสดงแล้ว





อ่านต่อข้างล่าง

v


v

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 23rd Entry : มัดมือชก [14/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 14-07-2016 22:12:01
ต่อจากข้างบน


v


v


แม้จะย่างเข้าสู่ช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่แล้ว คนที่เคยตื่นในเวลาประจำโดยไม่ต้องพึ่งพานาฬิกาปลุกก็ยังคงตื่นเช้าเท่ากับเวลาไปทำงาน อาทิตย์อัสดงหมายมั่นว่าจะถือโอกาสนี้ทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เพราะกำหนดการที่คุยกับพี่สาวไว้ว่าจะไปเที่ยวด้วยกันคือวันพรุ่งนี้ และยาวต่อไปอีกสามวัน

ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามแผนการที่วางเอาไว้อย่างดิบดี เสียงสัญญาณที่ดังขึ้นหน้าบ้านตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเคารพธงชาติก็เรียกให้หัวคิ้วของร่างโปร่งขยับเข้ากัน ฉับพลันนั้นคำพูดของชายคนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง

‘สิ้นปีนี้ไปเที่ยวกันนะครับ’

เพียงเท่านั้นประสาททุกส่วนในร่างกายก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมา อดีตบล็อกเกอร์กระสับกระส่ายอย่างไม่อาจห้ามได้ ไม่ใช่เพราะลืมว่าเคยถูกเจ้าของร้านขนมชวนเอาไว้ แต่เพราะจำได้ต่างหากเขาถึงได้พยายามลืมและคิดไปว่าคงไม่เป็นจริงหรอก พยายามหลอกตัวเองไว้ว่าภันวัฒน์ไม่มีทางทำอย่างที่พูด ทั้งที่รู้แจ้งแก่ใจมากแค่ไหนว่าอีกฝ่ายไม่เคยโกหกเขาเลยสักครั้ง

เสียงที่หน้าบ้านยังคงดังอย่างต่อเนื่อง คงเพราะรู้ว่าเขาตื่นแล้ว และไม่ได้ออกไปไหนด้วย มิหนำซ้ำอาจจะเห็นตัวเขาแล้วก็ได้ จึงยิ่งก่อความลังเลให้มากขึ้น อาทิตย์อัสดงขบเม้มปากอย่างครุ่นคิด แต่เมื่อมองผ่านหน้าต่างไปยังประตูรั้วแล้วพบว่าร่างสมส่วนทำท่าจะปีนประตูเข้ามาก็ต้องรีบร้อนฉวยกุญแจบ้านแล้วออกไปแสดงตัว

“ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่าปีนเข้ามา”

“ก็คุณไม่ยอมออกมาสักทีนี่ครับ ผมเห็นเดินวนไปวนมาอยู่ตั้งนานแล้ว”

นั่นปะไร เห็นจริงๆ ด้วย

ร่างโปร่งอุทานกับตนเอง รู้สึกขายหน้าที่ทำอะไรพิลึกให้อีกฝ่ายเห็นอีกแล้ว ก่อนจะยอมเปิดประตูรั้วออกแต่โดยดีเมื่ออีกร่างที่ค้างอยู่กลางประตูครึ่งหนึ่งกลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง คล้ายกับใช้หลักจิตวิทยาบีบให้เขาจนตรอก และเปิดประตูให้เอง

“แล้วมาทำไมแต่เช้าล่ะครับ”

“มารับคุณไปเที่ยวด้วยกันไงครับ อย่าบอกนะว่าลืมแล้ว”

ภันวัฒน์เอียงคอมองราวกับว่าสงสัย แต่แท้จริงใช่ว่าคะเนไม่ได้ว่าร่างโปร่งเพียงแสร้งลืมเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าของหน้าตี๋ๆ รู้เช่นกัน

“ผมยังไม่รับปากเลยนะครับว่าจะไป”

อดีตบล็อกเกอร์ค้านด้วยน้ำเสียงเรียบ บ่งบอกให้รู้ว่าสถานการณ์ ณ เวลานี้คืออะไร แต่ก็ป่วยการ เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะร่างสูงโปร่งกลับถูกกายกำยำคว้าเอาไว้ในอ้อมแขนและยกตัวขึ้นจนเท้าลอย คล้ายกับการอุ้มเด็กอย่างไรอย่างนั้น

“เดี๋ยว คุณ ทำอะไร”

เสียงร้องหลงจนผิดคีย์มาพร้อมกับสีหน้าตะลึงตะลานของคนที่ถูกอุ้มเอาเสียง่ายๆ ราวกับน้ำหนักตัวเบาหวิวจนน่าตกใจ ทั้งที่ตนก็ใช่ว่าจะตัวเล็กเสียเมื่อไร อีกทั้งยังเคยถูกบอกด้วยซ้ำว่าตอนอุ้มเขา เจ้าตัวคนอุ้มต้องลำบากลำบนจนน่าสังเวชแค่ไหน

แต่กระนั้นผู้จัดการหนุ่มก็พาร่างโปร่งมาถึงประตูรถฝั่งข้างคนขับจนได้ มือหนาละออกข้างหนึ่งพยายามใช้แขนข้างเดียวรับน้ำหนักที่ทิ้งลงมาเอาไว้ไม่ต่ำกว่าหกสิบกิโลกรัม เปิดประตูออกก่อนจะพาอาทิตย์อัสดงขึ้นนั่งบนเบาะ และปิดท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่กับประโยคที่ทำให้คนได้ยินยิ่งพรึงเพริดมากกว่าเดิม

“เป็นเด็กดีนะครับที่รัก”

อาทิตย์อัสดงชาไปทั้งตัว ใบหน้าร้อนฉ่าครามครัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้กับหู และไม่คิดว่าจะมีใครพูดเช่นนี้กับเขาเช่นกัน

คำว่า ‘ที่รัก’ ก้องกังวานอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมา อีกทั้งยังรู้สึกว่าเสียงนั้นนุ่มลุ่มลึกเป็นพิเศษกว่าครั้งไหนๆ ขณะเดียวกันหัวสมองก็อื้ออึง ร่างกายหยุดชะงัก ราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกหยุดป้อนพลังงานและไม่สามารถใช้งานได้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่กว่าจะรู้ตัว ภันวัฒน์ก็ล็อกประตูรั้วของบ้านและขึ้นมาบนรถแล้ว



----------
ถึงราศีพระเอกจะจับ แต่คุณภันก็ยังไม่ทิ้งคอนเซปต์โจรนะคะ 555

มุ่งสู่พาร์ทสุดท้ายของเรื่อง
32 ตอนจบเป็นที่แน่ชัดแล้วค่ะ


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 23rd Entry : มัดมือชก [14/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 15-07-2016 16:15:03
อีก 10 ตอนจะจบแล้ววววว ฮื้ออออ พาร์ทสุดท้ายนี่เป็นเรื่องของน้องพร่างป่ะคะเนี่ย โอ๊ยยย แต่ตอนนี้คุณภันหล่อร้ายมากนะคะ ทำเราคิดเลยว่าเกิดแกหน้ามืดขึ้นมาเรื่องนี้จะกลายเป็นจำเลยรักรึเปล่า 555555555 เราดีใจนะคะที่คุณอาทิตย์หลุดพ้นจากเรื่องในอดีตสักที ปกติเราคิดว่าผู้หญิงคนนั้นต้องสำนึกผิดซะอีกค่ะ แต่แบบนี้นี่แสดงให้เห็นชัดเลยว่าทำไมคุณอาทิตย์ถึงตัดขาดไป นอกจากเรื่องนอกใจนี่คนแบบนี้ใครจะไปอยู่ด้วยคะ สงสารก็แต่ลูกเธออ่ะค่ะ แบบนี้ใครจะดูแล แม่ก็ดูไม่ใส่ใจอ่ะ เฮ้อออ แต่เพราะมีผู้หญิงคนนี้คุณภันเลยขยับเข้ามาใกล้คุณอาทิตย์ขึ้นเรื่อยๆแบบฉุดไม่อยู่แล้วนะคะ ความจริงเรารู้สึกว่าคุณอาทิตย์รับรักคุณภันแล้วด้วยอ่ะ แต่แค่ยังไม่แน่ใจในอะไรบางอย่างอยู่ เออ จริงด้วยค่ะ เห็นคำว่าอดีตบล็อกเกอร์ทีไรใจหายทุกทีเลย ชื่อเรื่องคือบล็อกเกอร์แท้ๆ หวังว่าคุณอาทิตย์จะกลับมาเขียนบล็อกอีกครั้งนะคะ เฮ้ออออ นี่อ่านไปอ่านมา นอกจากเรารู้สึกว่าคุณภันรุกหนักมากแล้ว หลังๆมานี่ตั้งแต่คุณภันช่วยเก็บขยะให้ ทำไมเราเริ่มรู้สึกว่าคุณอาทิตย์เริ่มอ่อยกลับแล้วเหหมือนกันคะ ทำไม แอร๊ยยยย แบบนี้คุณภันจะไม่หลงยังไงไหวคะ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่เด็ดเท่า ที่รัก แล้วค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ข่นบ้า! คุณอาทิตย์เขินมากแค่ไหนรู้ไหมคะะะะ แล้วนี่จะพาไปเที่ยวไหนคะ อย่าลืมโทรไปเตี๊ยมกับคุณนนก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องพร่างรู้โดนเละแน่เลย เราว่ารีบหาแฟนให้น้องสักคนไหมคะ 555555

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ไม่มีเคล้าเดิมสักนิด  >> เค้าเดิม

คำพูดน่าตลกนั้น   >> นั่น

มีความพูดมากมาย   >> คำพูด

ข้อห้ามก่อความเดือดร้อนรำคาญ >> ข้อหา   

ความตั้งใจอกตั้งใจ  >> ความตั้งอกตั้งใจ

พลอยให้ทำ  >> พลอยทำให้

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 23rd Entry : มัดมือชก [14/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 16-07-2016 22:09:25
ชักชอบโหมดโจรขึ้นมาหน่อยๆ หล่ะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 23rd Entry : มัดมือชก [14/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-07-2016 23:31:58
ราศีพระเอกดับวูบก็ตอนอุ้มฟรีขึ้นรถไปหน้าตาเฉยเนี่ยแหละ  :เฮ้อ:

สงสารเอมนะ คงกดดันและเสียใจมาก อาจจะรวมกับนิสัยส่วนตัวด้วย เลยทำพฤติกรรมในรูปแบบนี้
ขอให้จบ ๆ กันไปเถอะนะ

พร่างออกจะน่ารัก ทำไมพี่ภัณต้องทำท่าอย่างกับเจอเจ้าหนี้ด้วยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

คำผิด

หน่วยตาสีนิลจ้องทมึงไปยังใบหน้าของหญิงสาว > จ้องถมึง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 23rd Entry : มัดมือชก [14/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-07-2016 08:33:31
รู้แล้วว่าทำไมพรหมลิขิตถึงชักพามาให้ฟรีมาเจอกับคนแบบนี้
เอาไว้รับมือแฟนเก่าโรคจิตนี่เอง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 24th Entry : ฟ้าหลังฝน [20/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-07-2016 20:19:05
24th Entry : ฟ้าหลังฝน






ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกะพริบปริบๆ อยู่หลายครั้งยามสติกลับคืนสู่ร่าง คล้ายก่อนหน้านี้มันโบยบินออกไปท่องในอากาศอยู่พักใหญ่ ใบหน้าขาวกระจ่างหันมาทางคนที่ทำหน้าที่เคลื่อนรถออกจากตำแหน่งเดิม และเปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะดูเหมือนช่วงเวลาที่ทุกอย่างในตัวเขาหยุดเดิน มันจะทำให้ความคิดและการกระทำของเขากำลังจะสายเกินไป

“ทำอะไรของคุณเนี่ย”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องบ้านหรอกครับ ผมตรวจดูความเรียบร้อยทั้งชั้นบนชั้นล่างแล้ว และล็อกกุญแจบ้านให้หมดแล้วด้วย”

กุญแจบ้านที่ว่าถูกยื่นมาให้ต่อหน้า อาทิตย์อัสดงถึงกับตะลึงไปครู่สั้นๆ เพราะไม่รู้ตัวเลยว่าถูกฉวยมันไปจากมือเมื่อไร เขารีบดึงมันกลับและยัดใส่กระเป๋ากางเกงอย่างเร็วรี่ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้นแล้วมันจะอันตรธานไป ขณะเดียวกันกรอบหน้าเรียวขาวก็ร้อนวูบขึ้นมาด้วยประโยคเมื่อครู่

ดั่งคำยืนยันว่าเวลาในตัวของเขาหยุดลงไปนานเพียงใดหลังจากได้ยินคำคำนั้น

อาทิตย์อัสดงต้องตั้งสติอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เขากระแอมเบาๆ เพื่อเคลียร์ลำคอให้ว่างเปล่าหลังจากรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างปีนไต่ขึ้นมาจากภายใน

“ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเลยนะ”

“เรื่องนั้นผมคิดเอาไว้แล้วล่ะ เลยเอาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย เรื่องกางเกงในก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมซื้อของใหม่เตรียมไว้ให้เหมือนกัน”

คำตอบที่ได้ทำให้อาทิตย์อัสดงอดพึมพำออกมาไม่ได้

“เตรียมพร้อมรับมือเหลือเกินนะ”

แต่ภันวัฒน์กลับฮัมเพลงแบบมีความสุขไปราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงนั้นแต่อย่างใด

ผู้จัดการหนุ่มผุดยิ้มบางๆ กับตนเอง พลางนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ เหตุที่เขาต้องหนีพร่างฟ้าก็เพราะว่าต้องเตรียมของใช้สำหรับร่างโปร่งนี้แหละ แล้ววันนี้ก็รีบหลบออกจากคอนโดฯ ตั้งแต่เวลาที่คิดว่าพร่างฟ้าคงยังไม่มาถึงตัวเขาและมันก็สำเร็จด้วยดี

“ว่าแต่จะไปไหนครับ ช่วงปีใหม่สถานที่ท่องเที่ยวคนเต็มหมดไม่ใช่เหรอ ปุบปับจะหาที่ได้ยังไง”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มให้มาประทับลงบนใบหน้าคมเข้มได้ เสียงทุ้มเอื้อนตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนระคนภาคภูมิใจนิดๆ

“ผมลงทุนใช้เส้นสายที่ผมไม่ค่อยชอบใช้เพื่อไปเที่ยวกับคุณโดยเฉพาะเลยนะ”

หากแต่คนฟังได้แต่งงงันที่สถานที่ไม่ถูกระบุมาด้วยทั้งที่ตนถามตรงประเด็น และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่อยากเฉลยมันออกมาในเวลานี้ด้วย เพราะร่างสูงเสเปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ

“คุณกินข้าวเช้าหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดถึง ก็ป่วยการจะเซ้าซี้อีกต่อไป อาทิตย์อัสดงจึงตอบรับคำถามใหม่

“ถ้างั้นผมขอแวะปั๊มสักหน่อยได้ไหมครับ อยากได้อะไรรองท้องสักหน่อย แล้วก็กาแฟสักแก้ว”

“ตามสบายครับ”

สิ้นเสียงนั้นภันวัฒน์ก็ทำอย่างที่บอก ไม่วายหันมาถามด้วยว่าจะลงไปซื้ออะไรไหมเผื่อเอาไว้กินเล่นระหว่างเดินทาง แต่ก็ถูกปฏิเสธไป ร่างสูงจึงลงไปจัดการกับธุระของตนเอง และกลับมาพร้อมของที่กล่าวถึงไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็มีของฝากติดไม้ติดมือให้ใครอีกคนด้วย

“น้ำดื่มครับ”

“ขอบคุณครับ”

ถึงจะไม่ต้องการกินของขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มอะไรเป็นพิเศษระหว่างเดินทาง แต่อย่างไรน้ำดื่มแก้กระหายก็สำคัญอยู่ดี ร่างโปร่งจึงรับน้ำใจนั้นไว้โดยดุษณี พลางคิดไปด้วยว่าภันวัฒน์ช่างเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นเสียจริงๆ เพราะเขามักได้รับการกระทำเช่นนั้นอยู่เสมอ ทั้งที่เคยตัดรอนครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อขึ้นประจำที่นั่ง พาหนะที่จะพาทั้งคู่ไปยังสถานที่หย่อนใจในช่วงหยุดยาวก็ยังไม่เคลื่อนที่ ภันวัฒน์เปิดข้าวกล่องกลิ่นหอมฉุยที่เพิ่งออกมาจากไมโครเวฟขึ้นกิน ถึงข้าวที่อยู่ในกล่องจะถูกส่งเข้าปากรวดเร็ว แต่ท่วงท่าของผู้จัดการหนุ่มก็สำรวม ไม่มูมมาม ตะกละตะกลาม บ่งบอกให้รู้ว่าได้รับการอบรมมาอย่างดี และมีภาพลักษณ์ที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย มิหนำซ้ำหลังดื่มน้ำเมื่อกินข้าวเสร็จแล้วยังตามด้วยอมลูกอมกลิ่นเมนทอลเพื่อดับกลิ่นอาหารที่คละคลุ้งอยู่ในปากเพื่อไม่ให้ส่งกลิ่นรบกวนคนข้างเคียงอีกด้วย

จากนั้นร่างสูงเอี้ยวตัวแทรกกลางระหว่างเบาะทั้งสอง ยื่นมือไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างจากเบาะหลังมายื่นให้คนซึ่งนั่งอยู่เบาะด้านข้าง อาทิตย์อัสดงมองกล่องปริศนาเล็กน้อยก่อนจะรับมา

“คุกกี้ครับ ผมทำมาฝาก ไว้เอากลับไปกินตอนทำงานหลังช่วงปีใหม่แล้วกันนะครับ”

“แล้วทำไมถึงให้ซะตั้งแต่ตอนนี้ล่ะครับ”

เพราะโอกาสที่จะให้ยังมีช่วงขากลับ ร่างโปร่งจึงอดแปลกใจไม่ได้ ภันวัฒน์ระบายยิ้มบางเบาแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นสบายตามสไตล์ของเจ้าตัว

“ผมกลัวว่าจะลืม เพราะมัวแต่ดีใจที่ได้เที่ยวกับคุณน่ะครับ”

คำตอบที่ได้รับมาเหนือความคาดเดา ทำให้คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก และยังมองหน้าอีกฝ่ายลำบากอีกต่างหาก อาทิตย์อัสดงรู้สึกร้อนบนหน้าอยู่น้อยๆ หากจะเรียกว่ารู้สึกเขินอยู่นิดๆ ก็คงไม่ผิดกระมัง จึงเบนหน้าไปทางอื่น ซึ่งปฏิกิริยาเช่นนั้นก็ทำให้กรอบหน้าสีน้ำผึ้งกระจ่างด้วยรอยยิ้มสว่างกว่าเมื่อครู่

ภันวัฒน์ยิ้มค้างอยู่เช่นนั้นพักหนึ่งก่อนจะกลับมาสู่เส้นทางการเดินรถอีกครั้ง ผ่านไปหลายชั่วโมงจนล่วงเข้าสู่บ่ายกว่าเพราะการจราจรที่คับคั่งช่วงเทศกาล สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายที่ต้องการ

ดวงตะวันเลยจุดตั้งฉากมาทำมุมหกสิบองศากับท้องฟ้าแล้ว รถยนต์สีเทาดำเคลื่อนมาหยุดลงยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน รั้วไม้สูงเทียมอกกั้นแบ่งอาณาเขตก่อนทางเข้ามาในพื้นที่นั้นยาวจนน่าทึ่ง และพาให้งงงวยว่ามันคือที่ใดกันแน่

ผู้คุ้นเคยกับสถานที่ลงจากรถมาก่อน พลางบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มประกอบรอยยิ้มเช่นเคย ‘ลงมาสิครับ’ จากนั้นภันวัฒน์เปิดกระโปรงด้านหลังของรถออก หยิบกระเป๋าเดินทางชนิดสะพายหลังขึ้นมาแบกไว้ พร้อมกล่องเก็บความเย็นขนาดใหญ่เกินโอบ

“ที่ไหนครับเนี่ย”

อาทิตย์อัสดงแทบหมุนรอบตัว กวาดสายตามองทั่วบริเวณที่เคยเหยียบย่างเป็นครั้งแรก พื้นที่เหยียบอยู่นี้ไม่ใช่ซีเมนต์ หากแต่เป็นดินแข็งๆ มีต้นหญ้าผุดแซมสะเปะสะปะ ตัวบ้านหลังไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กเบื้องหน้าเป็นบ้านไม้ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติรอบๆ ซึ่งแผ่ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ ราวกับอยู่กลางป่าอย่างไรอย่างนั้น มองออกไปไกลๆ เห็นบึงน้ำขนาดมโหฬาร เสียงนกร้องสลับกับแมลงต่างๆ ดังก้อง

“บ้านของลุงผมเองแหละ ผมขอยืมมา วันนี้เราจะตั้งแคมป์กัน”

ได้ยินเช่นนั้นร่างโปร่งก็ห้ามอาการตกตะลึงไม่ได้ เขาพอรู้ว่าภันวัฒน์มีฐานะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่หากพิจารณาจากสถานที่แห่งนี้แล้ว มันอาจจะเกินกว่าคำว่าดีไปมากโขก็เป็นได้

“ไม่ใช่พื้นที่ป่าของทางการใช่ไหมครับ”

น้ำเสียงและสีหน้าที่บ่งบอกออกมาว่าหวาดระแวงเล็กน้อยว่าเป็นพื้นที่ผิดกฎหมายหรือเปล่าทำให้ภันวัฒน์ที่ขยับเท้ามายืนใกล้ๆ ถึงกับหัวเราะเบาๆ

“ไม่ใช่หรอกครับ จริงๆ มันไม่ใช่ป่าหรอก แต่พอดีว่าลุงของผมเขาอยากได้บ้านพักตากอากาศที่ให้บรรยากาศเหมือนป่า ก็เลยสร้างขึ้นมาบนที่ดินของตัวเอง น่าจะสักประมาณยี่สิบปีได้แล้วมั้งครับ”

รวยขนาดไหนกันถึงทำได้ขนาดนี้

อดีตบล็อกเกอร์อดคิดเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ เพราะมันน่าทึ่งเกินไปแล้ว ตอนนั่งรถมาเขาเห็นรั้วเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น ยังไม่เห็นว่าสุดขอบอาณาเขตของที่นี่คือตรงไหน คงเป็นที่ที่ประเมินมูลค่าไม่ได้กระมัง

“เดี๋ยวคุณรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันนะครับ ผมจะไปขนอุปกรณ์ออกมา”

“อุปกรณ์อะไรเหรอครับ”

หลังจากหายตะลึงและเอาแต่มองไปทั่วๆ แล้ว อาทิตย์อัสดงก็กลับมาจับจ้องที่ดวงหน้าคมเข้มอีกครั้ง

“อุปกรณ์ตั้งแคมป์ไงครับ ผมเก็บเอาไว้ในบ้านน่ะ หรือว่าคุณจะมาช่วยขนด้วยก็ได้นะ ก็มีเต็นท์กับพวกเตาปิ้ง แล้วก็น้ำดื่ม”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมช่วยดีกว่าครับ แต่ว่า...ที่คุณบอกว่าเต็นท์ คือเราจะนอนเต็นท์กันเหรอครับ”

แม้ออกตัวว่าจะช่วยเหลือ ร่างโปร่งก็ยังสงสัยอยู่ดี เขาเดินตามเข้าไปพลางมองสำรวจภายในบ้านที่จัดตกแต่งอย่างง่ายๆ ไม่ได้แสดงถึงความหรูหราหรือร่ำรวยแต่อย่างใด แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความสมถะของคนมีฐานะอยู่ดี

คงอยากให้บรรยากาศแบบอยู่ในป่าจริงๆ

“ครับ ก็มาตั้งแคมป์นี่นา จริงๆ ก็มีแค่ผมคนเดียวแหละที่นานๆ ทีจะมากางเต็นท์นอนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนคนอื่นๆ จะพักอยู่ในบ้านกัน”

ได้รับฟังดังนั้นร่างโปร่งก็ผงกศีรษะเบาๆ มือเรียวรับเต็นท์ซึ่งถูกพับเก็บอยู่ในถุงเป็นอย่างดีเอาไว้

“เดี๋ยวน้ำดื่มกับเตาย่างนี่ผมจะแบกไปเอง คุณช่วยถือกล่องข้างนอกไปทีนะ”

เมื่อมือใหญ่คว้าเตาย่างที่ถูกถอดชิ้นส่วนออกมาให้เหมาะกับการขนถ่ายมากที่สุดแล้วก็วางน้ำดื่มขวดใหญ่หนึ่งแพ็คลงไปในเตาย่างซึ่งมีลักษณะแอ่งและมีตะแกรงกับขาตั้งใส่อยู่

ภันวัฒน์ก้าวนำตรงไปยังหน้าบ้านมาสะพายเป้บนหลัง จากนั้นยกเตาย่างขึ้นอีกคราแล้วออกเดินนำ ส่วนอาทิตย์อัสดงก็ทำหน้าที่ที่ได้รับ ยกกล่องเก็บความเย็นขนาดกลางมาถือเอาไว้

“เราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ”

“ที่อีกด้านของบึงนั้นน่ะครับ” เพราะมือไม่ว่าง ใบหน้าสีน้ำผึ้งจึงผินไปทางที่กล่าวถึงเพื่อระบุตำแหน่ง “อาจจะเหนื่อยสักหน่อยนะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยเดินในป่า”

ดูแล้วระยะทางอาจจะไม่ได้ไกลมากเท่าที่อีกฝ่ายเอ่ยอ้าง แต่เพราะพื้นดินตะปุ่มตะป่ำขรุขระไม่เท่ากันและเต็มไปด้วยหญ้ากับต้นไม้ใหญ่สลับเรียงรายกันอย่างไม่เป็นระเบียบ รวมทั้งรองเท้าแตะที่สวมอยู่ จึงค่อนข้างเดินยากเอาการ เมื่อผนวกกับน้ำหนักเต็นท์ซึ่งสะพายอยู่บนหลังและกล่องเก็บความเย็นที่ยกมา ทำให้เดินไปถึงครึ่งอาทิตย์อัสดงก็ส่งเสียงหอบน้อยๆ ภันวัฒน์ชะลอฝีเท้าที่ก้าวนำทางลง พลางหันมาถาม

“พักก่อนไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ในกล่องเก็บความเย็นนี่มีอะไรเหรอครับ”

“มื้อเย็นกับมื้อเช้าน่ะครับ”

เพราะล่วงเลยมาช่วงบ่ายแล้วกว่าจะมาถึง ดังนั้นก่อนจะเข้ามายังถิ่นทุรกันดารจำลองแห่งนี้ ภันวัฒน์จึงให้แวะลงรับประทานอาหารกลางวันเสียก่อน มื้อต่อไปจึงเป็นอาหารมื้อเย็นที่ต้องปรุงกันกลางป่าขนาดย่อม

“มีอะไรบ้างเหรอครับ”

เมื่อพิจารณาจากขนาดกล่องแล้วน่าจะมีของเยอะพอสมควรร่างโปร่งจึงสงสัย

“ก็เนื้อหมูครับ สามกิโล แล้วก็มีนมสดครึ่งลิตร ไข่ไก่ ผัก กับพวกอุปกรณ์ทำอาหารอีกเล็กๆ น้อยๆ ส่วนข้าวสารผมเอาใส่ไว้ในเป้นี่”

“ดูท่าจะหนักนะครับนั่น ให้ผมช่วยไหม”

หลังได้รับฟังว่านอกจากอีกฝ่ายต้องยกน้ำกับเตาย่างที่น่าจะหนักมากแล้วยังต้องแบกข้าวสารอีก อาทิตย์อัสดงจึงอดเสนอตัวเพื่อช่วยไม่ได้ แต่ดวงหน้าคมคร้ามก็ส่ายไปมา

“ไม่ต้องหรอกครับ ที่คุณแบกนั่นประมาณหกกิโล แต่ของผมแค่เฉพาะที่ถืออยู่นี่รวมๆ ก็ประมาณสิบกิโลได้ เพราะงั้นแบ่งแบบนี้ดีแล้วล่ะครับ ยังไงผมก็เป็นพวกใช้แรงงานประจำอยู่แล้ว อย่าลืมสิครับว่าผมต้องนวดแป้งอยู่ทุกวันนะ”

คำกล่าวอ้างนั้นทำให้รอยยิ้มผลิออกมาน้อยๆ บนแก้มของคนฟัง อาทิตย์อัสดงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พลางคิดว่าขนาดตนแบกของที่มีน้ำหนักน้อยกว่ายังรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ หากต้องแบ่งของอย่างอื่นเพิ่มเติม อาจจะไม่ไหวจริงๆ ก็เป็นได้

“ขอบคุณนะครับ”

“ด้วยความยินดีครับ”

ภันวัฒน์หันมายิ้มกว้างให้ เขารู้สึกชุ่มชื้นในอกอย่างไรชอบกลยามเห็นดวงหน้าสีขาวกระจ่างนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะเขาและเพื่อเขา ร่างสูงยังคงก้าวเดินนำต่อไปเรื่อยๆ อีกสักระยะ ก็มาถึงจุดหมาย

“ถึงแล้วล่ะครับ”

ปลายทางคือริมบึงน้ำขนาดกว้างใหญ่ มองเห็นบ้านซึ่งจากมาอยู่ฝั่งตรงข้ามค่อนข้างไกล นับได้คงประมาณสองร้อยเมตรเป็นอย่างต่ำ แต่ระยะทางที่ต้องวนอ้อมมานั้นน่าจะเป็นกิโลเมตรได้ด้วยซ้ำ

ภันวัฒน์และอาทิตย์อัสดงต่างวางของในมือและบนหลังลงบนพื้นหญ้าที่มีต้นไม้ใหญ่โอบรอบ ถึงกระนั้นก็มีพื้นที่เหลือแหล่พอจะตั้งเต็นท์และจัดวางเตาย่างที่ขนมา อีกทั้งยังใกล้แหล่งน้ำ ทำให้อากาศสดชื่นเย็นสบาย และแดดร่มจากยอดไม้ที่แผ่กิ่งก้านอยู่ด้านบนราวกับเป็นเพดานที่มีรูเล็กๆ ให้แสงสว่างลงมาถึง พอเงยหน้ามองขึ้นไปจึงมีแสงระยิบระยับเหมือนถูกบุด้วยอัญมณี

“เดี๋ยวเรากางเต็นท์ก่อน แล้วจากนั้นก็ไปเก็บฟืนกันนะครับ”

หลังจากวางของทั้งหมดลงแล้ว ภันวัฒน์ก็เอาเต็นท์ออกมากาง เขาวานให้ร่างโปร่งช่วยจับฟลายชีทเอาไว้เพื่อวัดความกว้างทั้งสี่มุมที่ต้องตอกสมอบกลงไป เพียงไม่นานก็ทำการขึงเต็นท์เสร็จเรียบร้อย

ทั้งสองร่างพากันเดินออกไปเก็บไม้แห้งขนาดพอเหมาะมาสำหรับใช้งานในคืนนี้จากพื้นที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สักพักก็กอบมาได้กำใหญ่ ถึงก่อนกลับภันวัฒน์จะดึงไม้บางส่วนที่อดีตบล็อกเกอร์เก็บมาทิ้งไปบ้างเพราะยังเป็นไม้สดใหม่เกินไปก็ตาม

“เท่านี้พอแล้วเหรอครับ”

คนไม่เคยมีประสบการณ์มองกิ่งไม้ทั้งเล็กและใหญ่ซึ่งอยู่ในมือตนและอีกคน

“ครับ ใช้จุดฟืนสำหรับเป็นแสงสว่างแล้วก็สำหรับทำหมูย่างกันคืนนี้ ยังไงก็คงไม่อยู่ดึกมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เยอะมากหรอกครับ”

อาทิตย์อัสดงผงกศีรษะเบาๆ เป็นประสบการณ์ใหม่จริงๆ ที่เขาได้ทำอะไรแบบนี้ ตอนแรกที่อีกฝ่ายบอกว่าจะพาไปเที่ยวสิ้นปี เขานึกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพลุกพล่านด้วยผู้คนเสียอีก แต่สถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในเวลานี้กลับผิดคาดไปไกลลิบ

ภันวัฒน์กลับชอบความสมถะมากกว่าที่คิด

เมื่อคิดดังนั้นไม่รู้เหตุใดถึงได้ผุดยิ้มขึ้นมากับตนเองจางๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลับมาถึงเต็นท์ซึ่งถูกกางไว้เรียบร้อยแล้ว

“เริ่มเย็นแล้วล่ะ ผมว่าเรารีบอาบน้ำกันก่อนดีกว่า”

เจ้าตัวบอกพลางแยกกิ่งไม้เป็นสองกอง สำหรับใส่ลงยังเตาย่างและก่อกองไฟ

“แล้วอาบที่ไหนครับ”

“ข้างหน้านี่ไงครับ”

คำตอบมาพร้อมกับรอยยิ้มอันคุ้นเคย ดวงหน้าสีเข้มเบือนไปทางบึงหน้ากว้างใหญ่เบื้องหน้า พลอยให้อาทิตย์อัสดงตาโต

“ในบึงนี่เหรอครับ”

“ครับ ไม่สกปรกหรอก แหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่เจือสารปนเปื้อน”

หลังแจงอย่างชัดแจ้ง ร่างสูงก็เริ่มรื้อของในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ออกมา หยิบเสื้อผ้าสำหรับสองคนมากองลงบนพื้นเต็นท์ จากนั้นเอาผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งพาดลงบนฟลายชีทของเต็นท์ผ้าใยสังเคราะห์สีน้ำเงินเข้มขนาดพอเหมาะสำหรับสองคน

ภันวัฒน์เริ่มปฏิบัติการถอดผ้าผ่อนออกจากร่างจนคนที่อยู่ด้วยตะลึงตะลานหันหน้าไปทางอื่น เพราะว่าในตอนนี้ร่างของผู้จัดการหนุ่มเปลือยเปล่าล่อนจ้อนทั้งตัว ไม่มีแม้แต่อาภรณ์ผืนเล็กกระจิดปิดบังส่วนเร้นลับ

“เฮ้ย ทำอะไรของคุณน่ะ”

“ไม่มีใครสักหน่อย ไม่เห็นต้องอาย ของผม คุณก็เคยเห็นมาแล้ว”

คำตอบรับแสนง่ายราวกับเป็นเรื่องธรรมดานั้นทำให้คนฟังยิ่งพรึงเพริดกว่าเดิม ทว่าในระหว่างนั้นขายาวก็พาร่างกำยำสมส่วนจนผู้ชายหลายคนต้องอิจฉาลงไปยังบึงน้ำแล้ว

“คุณ ช่วยหยิบไม้ยาวๆ ตรงนั้นให้ผมหน่อย”

เมื่อลงหลักปักเท้าตนได้อย่างปลอดภัย เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกคนที่ยังอยู่บนฝั่งให้ต้องเหลือบซ้ายแลขวาหาไม้ที่ว่า สักพักสายตาก็สบเข้ากับไม้แท่งเรียวยาวที่อาทิตย์อัสดงรู้สึกติดใจมาตลอดทางขากลับจากเก็บฟืนว่าอีกฝ่ายเอามาทำอะไร เพราะมันมีลักษณะเป็นแท่งยาวประมาณความสูงของปาติซิเย่หนุ่มก็ว่าได้ มิหนำซ้ำยังมีขนาดเส้นผาศูนย์กลางใหญ่พอสมควร

ภันวัฒน์รับไม้ที่ส่งมาให้จากบนฝั่ง ใช้มันหยั่งลงในผืนน้ำที่มองด้านใต้ไม่เห็น เดี๋ยวจิ้มลงไปเดี๋ยวยกขึ้น กวาดไปทั่วบริเวณนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะยื่นมือขอไม้ท่อนใหม่ ร่างโปร่งจึงส่งให้พลางทำคิ้วขมวดไปด้วย กระทั่งไม้สี่ท่อนถูกปักลงในผืนน้ำจนตั้งโด่งพ้นพื้นผิวกระเพื่อม จึงเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร

“เอาล่ะ ถึงตาคุณลงอาบน้ำได้แล้วล่ะครับ”

“คุณอาบให้เสร็จก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมค่อยอาบทีหลัง”

คำตอบนั้นเรียกร่างสูงให้ขยับเข้าไปใกล้ฝั่งมากขึ้น ขณะที่คนซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงกว่า ณ เวลานี้กลับถอยหลังหนีด้วยท่าทางอิหลักอิเหลื่อ ภันวัฒน์จึงต้องเร่ง

“เดี๋ยวก็มืดก่อนหรอกคุณ ลงน้ำตอนค่ำแล้วมันอันตรายนะ”

เป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะแสงตะวันที่สาดลงมาเริ่มแปลงสีเข้มมาขึ้นทุกที ตำแหน่งที่คล้อยลงมากกว่าเดิมโข อาทิตย์อัสดงจึงยอมถอดเสื้อผ้าออกอย่างละล้าละลัง มิหนำซ้ำยังหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนเต็นท์มาพันท่อนล่างเสียอีก และนั่นก็ทำให้เสียงทุ้มใหญ่ของคนที่ยังแช่อยู่ในน้ำดังขึ้นอีกคราว

“ถอดออกมาหมดเลยคุณ จะใส่ให้เปียกทำไมล่ะครับ”

“ผมก็มียางอายบ้างสิคุณ”

คนตอบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ อย่างไม่ตั้งใจ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของชายไทยอยู่แล้วที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมแก้ผ้าอาบน้ำร่วมกัน ถึงตีหน้านิ่งเฉยได้ยามที่ต้องเปลื้องผ้าทั้งหมดออกจากร่างต่อหน้าคนอื่น แม้จะเป็นเพศเดียวกันก็ตาม แต่คงต้องยกเว้นผู้ชายตรงหน้าเขาไว้หนึ่งคนกระมัง

“อายอะไรกันล่ะครับ ของคุณ ผมก็เคยเห็นมาเท่าๆ กับที่คุณเห็นของผมนั่นแหละ ถ้าคุณไม่ถอดแล้วลงมาเอง ผมจะขึ้นไปถอดให้แล้วจับคุณลงมานะ”

เพราะร่างโปร่งเอาแต่ยึกยัก ภันวัฒน์จึงขู่สำทับ เมื่อเป็นเช่นนั้นอดีตบล็อกเกอร์จึงไม่อาจเลี่ยงได้ เขาจำใจปลดผ้าขนหนูลงวางที่เดิมพลางมองบริเวณโดยรอบไปด้วยความหวาดระแวง ราวกับกำลังเกรงว่าจะกระทำผิดฐานทำอนาจารกลางที่สาธารณะอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ตามด้วยถอดชิ้นส่วนสุดท้ายที่ปิดของสงวนเอาไว้อย่างเหนียมอาย รู้สึกอับอายอยู่ไม่น้อยที่ตนถูกความรู้สึกเช่นนั้นคุกคาม แทนที่จะพยายามระงับมันเอาไว้ได้

“อย่าออกไปเลยเขตไม้ที่ผมปักไว้นะครับ เพราะนอกเหนือจากนั้นผมไม่รู้ว่าน้ำลึกแค่ไหน แต่ในกรอบนี้ทั้งหมด น้ำแค่ระดับอกผม เพราะฉะนั้นไม่ถึงคางคุณหรอก ปลอดภัยแน่นอน”

เมื่อร่างโปร่งลงน้ำได้ ภันวัฒน์ก็แจงอีกคราว หากทว่ามันกลับทำให้อาทิตย์อัสดงเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ว่าเหตุที่อีกฝ่ายเอาไม้ไปปักไว้เช่นนั้นแท้จริงแล้วก็เพื่อเขา ความกระดากที่รุ่มๆ อยู่เมื่อครู่จึงลดทอนลงทีละน้อยจนหมดสิ้น ความรู้สึกขอบคุณรื้นขึ้นมาอยู่ในใจที่ภันวัฒน์เอาใจใส่ตนถึงเพียงนี้

เจ้าของร่างสีขาวตัดกับธรรมชาติที่รายล้อมค่อยๆ หย่อนตัวลงในน้ำทีละนิด แต่ด้วยความไม่คุ้นเคยกับสถานที่ เมื่อเท้าถึงพื้นดินที่เฉอะแฉะก็เสียหลักจนเกือบหน้าคะมำลงกระแทกน้ำ ดีว่าร่างสูงที่อยู่ในระยะใกล้คว้าตัวเอาไว้ได้ทันจึงไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น

“ขอบคุณครับ”

อาทิตย์อัสดงเอ่ยคำพูดออกมาทันทีเมื่อรู้สึกว่าตนเองปลอดภัย ดวงหน้าที่ปรากฏความตื่นตระหนกเมื่อครู่เชยขึ้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นปั้นไม่ถูก หลังได้รับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดระหว่างกัน และระลึกได้ว่าพวกตนอยู่ในสภาพล่อแหลมเพียงใด

แขนใหญ่โอบอยู่รอบเอวขณะที่ใบหน้าสีน้ำผึ้งเปียกชื้นอยู่ห่างเพียงคืบ

“ระวังด้วยนะครับ พื้นมันไม่สม่ำเสมอกัน อาจจะสะดุดอีกก็ได้”

“คะ...ครับ”

เสียงที่หลุดออกมาลอยแผ่วด้วยความไม่ตั้งใจ ก่อนอ้อมแขนแข็งแกร่งจะละออกไปอย่างเชื่องช้าเสมือนรู้ว่ากำลังทำให้คนตกอยู่ในอ้อมกอดลำบากใจ

“เดี๋ยวผมจะไปเล่นน้ำทางนั้นสักหน่อยแล้วกันนะครับ”

ภันวัฒน์บอกพลางหันหลังกลับและเตรียมทะยานตัวฝ่าผืนน้ำออกไป ฉับพลันนั้นอาทิตย์อัสดงรู้สึกตัวได้ว่าทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากเพราะตัวเองอีกแล้ว จึงโพล่งเสียงขึ้น

“ไม่ต้องทำเพื่อผมขนาดนั้นก็ได้ครับ”

ใบหน้าของคนที่เว้นระยะห่างออกไปหันกลับมา คล้ายกับว่าจะรอฟังคำพูดต่อไป อดีตบล็อกเกอร์เอ่ยเอื้อนเสียงต่อ

“คุณเล่นน้ำตามสบายเถอะครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมก็ขึ้นแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นมาเล่นน้ำด้วยกันไหมล่ะครับ”

“อย่าดีกว่าครับ”

เพราะยังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่กระอักกระอ่วนได้อย่างไร ร่างโปร่งจึงปฏิเสธไปก่อน พลางคิดว่าอย่างน้อยๆ หากไม่ได้อยู่ในสภาพร่างเปล่าเช่นนี้ เขาอาจจะยอมตอบรับไปก็เป็นได้ ถึงกระนั้นก็เหมือนจะช้าไป เพราะภันวัฒน์เป็นฝ่ายรวบรัดตัดความให้โดยการวักน้ำสาดเข้าใส่

“เดี๋ยวคุณ น้ำเข้าปากผมพอดี”

“ก็คุณชักช้าเองนี่ครับ”

หลังได้ยินดังนั้น จากที่ตั้งใจว่าจะต่างคนต่างทำกิจธุระกันไป ก็กลับกลายเป็นว่ามือเรียววักน้ำสาดใส่อีกฝ่ายเช่นกัน และนั่นก็ทำให้เกิดสงครามสาดน้ำขึ้นในไม่ช้า พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายหนุ่มสองคนดังแทรกสอดไปกับบรรยากาศยามพระอาทิตย์กำลังอัสดง





หลังอาบน้ำชำระกายพ่วงเล่นน้ำไปด้วยแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ต้องเผชิญกับความอับอายอีกคราเมื่อขึ้นจากน้ำ เพราะความสนุกสนานจึงทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าบนร่างไร้อาภรณ์ใดปกปิดจนกระทั่งเหยียบย่างขึ้นพื้นดินและเห็นร่างของใครอีกคนแล้วนั่นแหละ เขาเก้ๆ กังๆ อึกอักราวหุ่นยนต์ที่ใกล้หมดสภาพทั้งที่ภันวัฒน์ล่วงหน้าไปถึงเต็นท์ก่อนแล้ว

“เป็นอะไรเหรอครับ”

คงเพราะไม่รู้สึกว่ามีคนเดินตามมา ร่างสูงจึงหันมาสอบถาม เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาสองคู่สบกัน ร่างโปร่งรีบหันหลังทันควัน อากัปกิริยาเช่นนั้นภันวัฒน์เดาได้ทันที เขาขบยิ้มเบาๆ ก่อนบอก

“คุณเข้าไปแต่งตัวไปในเต็นท์แล้วกันนะครับ”

ในเมื่อข้อเสนอดีเยี่ยมถูกยื่นมาให้ มีหรือว่าคนต้องการตัวช่วยจะไม่คว้าไว้ อาทิตย์อัสดงรีบเดินจ้ำด้วยท่าถอยหลังอย่างเร็วไว ดูน่าขันและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกันจนคนเห็นต้องกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้ยิ้มกว้างมากไปกว่านี้ กระทั่งร่างโปร่งมาประชิดตัว เจ้าตัวก็รีบผลุบเข้าไปในพื้นที่เสมือนห้องส่วนตัวอย่างเร็วพลัน

“เสื้อผ้ากองซ้ายของผม ส่วนกองขวาของคุณนะครับ”

นัยน์ตาเรียวพิศมองเสื้อผ้าที่ดูออกว่ายังไม่ผ่านการใช้แต่คงผ่านการซักมาให้แล้ว แม้แต่กางเกงชั้นในยังอยู่ในห่อบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก่อนส่งเสียงทุ้มต่ำที่ราวกับคนพูดอ่อนแรง

“ครับ”

อาทิตย์อัสดงคว้าเสื้อผ้าจากกองที่บอกว่าเป็นของตนแล้วขยับตัวไปให้ห่างจากประตูเต็นท์พอประมาณ แต่งตัวด้วยเวลาไม่นานก็ส่งเสียงถามออกไปทางด้านนอก

“คุณแต่งตัวเสร็จหรือยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแฝงแววขำขันเล็กน้อย ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ขยับตัวเข้าไปใกล้พื้นที่กั้นเขตแดน ซึ่งเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งอยู่ในชุดที่ตนเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ภันวัฒน์ก็ย่อตัวลงหยิบอะไรบางอย่างจากช่องในกระเป๋าสะพาย

“เดี๋ยวทายากันยุงเผื่อไว้ด้วยนะครับ ถึงที่นี่จะไม่มีปลิงหรือทาก เพราะยังไงก็เป็นแค่ป่าประดิษฐ์ที่เหมือนสวนมากกว่าจะเป็นป่าจริง แต่ต้องมียุงแน่นอน”

ไม่เพียงแค่ซองยากันยุงที่ถูกหยิบออกมา ยังมีถุงมือพลาสติกอีกคู่หนึ่งด้วย ภันวัฒน์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พลางยื่นซองยากันยุงและถุงมือข้างหนึ่งให้

“เตรียมพร้อมจังนะครับ”

“เพราะต้องไปทำอาหารเย็นต่ออีก มื้อเปื้อนมันจะไม่ดีน่ะครับ”

ร่างโปร่งพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจและรับของสองสิ่งนั้นไว้ ก่อนจะบรรจงทายาบริเวณแขนขานอกร่มผ้าขณะเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นระยะไปด้วย กระทั่งทาเสร็จเรียบร้อย ร่างสูงก็เอ่ยชวน

“งั้นก็ไปทำมื้อเย็นของเรากันดีกว่าครับ”

มือหนายื่นมารับของที่ถูกใช้แล้ว นำมันไปทิ้งลงถุงขยะที่เตรียมเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มลงมือทำอาหาร






อ่านต่อข้างล่าง


v



v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 24th Entry : ฟ้าหลังฝน [20/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-07-2016 20:19:47

ต่อจากข้างบน



v



v




แม้อาหารมื้อเย็นจะเป็นหมูย่างเพียงอย่างเดียว แต่กลับทำให้รู้สึกอิ่มเอมได้ไม่น้อย เพราะรสสัมผัสนุ่มกำลังดีและอร่อยลิ้นทำให้พลั้งเผลอกินจนลืมตัว กระทั่งไม่นานมันก็หมดลง ท้องอิ่มไปได้โดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

รอยยิ้มติดแต้มบนหน้าของคนทั้งคู่ที่ช่วยกันย่างหมูซึ่งหมักมาอย่างดีจนรสเข้มข้นเข้าเนื้อ พลางช่วยกันเก็บอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานแล้วให้เป็นที่เป็นทางโดยปราศจากการขัดล้างเพราะภันวัฒน์ไม่อยากให้มีสารตกค้างในธรรมชาติที่สร้างมา

“อาบน้ำเสร็จแล้วมากินของอร่อยแบบนี้ มีความสุขดีนะครับ”

“ครับ พูดตามตรง ผมเคยเพิ่งกินหมูย่างอร่อยขนาดนี้ มีเคล็ดลับหรือเปล่าครับ”

ทั้งคู่มานั่งอยู่เคียงกันบนข่อนไม้เล็กๆ หน้ากองไฟที่จุดเพื่อให้ความสว่างยามท้องฟ้ามืดลงแล้วเช่นนี้

“ก็ผสมเหล้านิดหน่อยเพื่อให้เนื้อหมูนิ่มลง แล้วก็หมักทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า มันก็เลยเข้าเนื้อมากเป็นพิเศษน่ะครับ ไม่มีอะไรมาก”

“คราวหลังผมคงต้องลองดูมั่งแล้วล่ะมั้งครับ ตอนแรกที่คุณบอกว่ามีหมูย่างอย่างเดียว ผมยังคิดว่าจะเอียนๆ หรือเปล่า เพราะคุณไม่ยอมหุงข้าวด้วยซ้ำ ถึงจะมีผักแกล้มก็เถอะ แต่ตอนนี้ชักจะติดใจแล้วล่ะครับ หลังๆ ผมแทบลืมกินผักที่เตรียมมาเลย”

บทสนทนาที่ยาวกว่าครั้งไหนๆ และน้ำเสียงที่สื่อออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่ากำลังมีความสุขนั้นทำให้ร่างสูงรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยจนต้องขยายยิ้มกว้างบนใบหน้า แต่หากเทียบกันแล้ว สีหน้าของทั้งสองคนคงไม่ต่างกันนัก

“เอาไว้เดี๋ยวผมจะทำไปฝากบ้างแล้วกันนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

เสียงตอบรับดังกลับมาทันทีโดยไร้การตรึกตรองให้แน่ใจ ทำให้หัวใจของคนฟังรู้สึกพองโตได้เล็กน้อย ภันวัฒน์กำลังรู้สึกว่าร่างโปร่งเปิดใจให้ตนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะบรรยากาศและธรรมชาติที่ช่วยให้ทั้งกายใจผ่อนคลาย จึงไม่ต่อต้านทัดทานเขามากนัก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น วันนี้อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายเบาสบายอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งคู่ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ลมโชยโบกพัดให้เย็นสบาย อาทิตย์อัสดงหลับตาพริ้มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสุดปอดครั้งแล้วครั้งเล่า ความเงียบซึ่งปกคลุมอยู่ถูกเสียงขับขานของแมลงกลางคืนสอดแทรกดุจเพลงบรรเลง

เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างเนิบช้า ไม่เร่งรัด พาให้รู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่กลางนภากาศที่ไร้จุดสิ้นสุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเสียงของเจ้าถิ่นจะดังขึ้นอีกระลอก

“คุณเคยกินนมต้มใส่ไข่ไหมครับ”

“นมต้มใส่ไข่?” เสียงคล้ายกับไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือไม่ย้อนถาม “ผมเคยกินแต่พวกนมสดที่ใส่ในพวกชากาแฟน่ะ ทำไมเหรอครับ”

“เดี๋ยวผมจะทำให้คุณกิน รับรองว่าคุณจะต้องติดใจอีกหนึ่งอย่างแน่ๆ”

“กำลังโฆษณาชวนเชื่อเหรอครับ”

“เป็นการชักจูงให้อยากลิ้มลองต่างหากล่ะครับ”

อาทิตย์อัสดงปฏิเสธไม่ได้ว่าภันวัฒน์เป็นชายผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกใช้คำพูดเท่านั้น แต่ลักษณะน้ำเสียง สีหน้า ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ทำให้บรรยากาศโดยรวมยามเอ่ยวาจาล้วนแล้วแต่โน้มน้าวใจคนฟังได้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาก็โดนสิ่งเหล่านั้นเล่นงานมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

ร่างสูงฉุดตัวขึ้นจากขอนไม้ ตรงกลับไปยังเต็นท์อีกครั้ง เขาหยิบหม้อสนามออกมาจากกระเป๋า อาทิตย์อัสดงซึ่งหันมองตามเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นกระเป๋าโดราเอมอนหรือ ถึงได้มีของหลายสิ่งหลายอย่างถูกดึงออกมาไม่หยุดหย่อน

ของเหลวสีขาวนวลถูกเทออกมาจากขวดนมขนาดหกร้อยมิลลิลิตรซึ่งเก็บอยู่ในกล่องเก็บความเย็นลงในหม้อสนามสีเขียว ก่อนภันวัฒน์จะกลับมายังกองไฟอีกคราว เขาวางมันลงกับพื้น แล้วเริ่มเอาไม้ง่ามที่มีความสูงประมาณหนึ่งศอกซึ่งเก็บมาตอนเก็บฟืนด้วยปักลงในดินขนาบข้างกองไฟ จากนั้นสอดไม้ขนาดยาวพอจะเป็นคานหามเข้ากับหูของหม้อสนามและนำมันไปพาดบนไม้ง่ามทั้งสอง

“ความรู้วิชาลูกเสือน่ะครับ”

ทั้งที่จะเอาเตาปิกนิกซึ่งทั้งใช้งานและพกพาสะดวกมาใช้ก็ได้ แต่เจ้าตัวกลับใช้วิถีชาวบ้านอย่างไม่น่าเชื่อ มิหนำซ้ำยังหันมาพูดด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจเสียอีก จนร่างโปร่งอดจะยิ้มขำขันออกมาไม่ได้

“ดูท่าคุณจะชอบอะไรพวกนี้จริงๆ สินะครับ”

“มันเป็นความสนุกที่หาอะไรมาแทนได้ยากนี่ครับ นอกจากนั้นยังได้ฝึกตัวเองอีกด้วย ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง ทำให้ได้รู้จักคิด ตรึกตรอง วางแผน ส่วนการทำงานที่ต้องลำบากและใช้เวลารอ ก็ช่วยให้รู้จักใจเย็น เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ และเมื่อมันสำเร็จ เราจะได้ลิ้มรสกับความภาคภูมิใจของตัวเองและมีความสุขยิ่งกว่าอะไรที่ง่ายๆ สะดวก และรวดเร็ว ไม่จริงเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงเผลอพยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะระหว่างฟัง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่ถ่องแท้และผู้คนต่างหลงลืมมันไป สังคมปัจจุบันนี้ผู้คนต่างชอบอะไรที่สะดวกและรวดเร็วอย่างที่ว่า จนเริ่มน่าอยู่น้อยลงไปทุกที การที่ได้รู้เช่นนี้ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกชื่นชมแนวคิดของอีกฝ่ายมากขึ้นอีก

ตัวตนของภันวัฒน์นั้นมีเสน่ห์ น่าดึงดูดให้อยากคบหา

คล้ายกับว่าจะทำให้คนที่ได้ใกล้ชิดถลำลึกลงไปทุกที

ดูเหมือนว่านมจะเริ่มเดือดแล้ว ภันวัฒน์จึงต่อยไข่ไก่สองฟองที่หยิบมาด้วยลงไปแล้วใช้ช้อนคนช้าๆ ให้ไข่กระจายตัว สีขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและมีสะเก็ดสีส้มเล็กๆ ลอยบนผิวหน้า

“จริงๆ บรรยากาศแบบนี้เหมาะกับดื่มเหล้านะครับ แต่ว่าคุณไม่คุ้นที่ ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนจะช่วยให้อุ่นท้อง หลับสบายกว่า”

เพียงคำอธิบายก็ทำให้จิตใจเบาสบายแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกเช่นนั้นแม้ยังไม่ได้ดื่มนมที่เริ่มเดือดเลยสักอึก ความประทับใจในตัวของร่างสูงไล่ระดับสูงขึ้นกว่าเดิมเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคำนึงถึงคนที่มาด้วยมากเพียงใด

มือเรียวรับถ้วยบรรจุนม พลางชำเลืองคนที่ยื่นมันมาให้ไปด้วย ภันวัฒน์ยิ้มเล็กน้อยขณะเป่าของเหลวในถ้วยแล้วยกขึ้นดื่มช้าๆ ร่างโปร่งจึงทำตาม รับรสที่ไม่เคยสัมผัสอย่างละเลียดละไมทีละนิด พร้อมกับเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ภูมิใจนำเสนอนัก

กลิ่นนมหอมกรุ่นผสานกับกลิ่นคาวของไข่ไก่กระตุ้นให้อยากลิ้มลองด้วยลิ้น รสชาติที่ผ่านลงในลำคอไปหวานมัน ทำให้อยากดื่มกินมันอีกเรื่อยๆ และความอุ่นกำลังดียังเหมือนกำลังปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน มันช่วยให้รู้สึกอุ่นท้องและสบายใจจริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้ร่างโปร่งอดคิดไม่ได้

ไม่รู้ทำไมเวลาที่อยู่กับภันวัฒน์ เขาถึงได้รู้สึกปลอดโล่ง เบาสบาย เหมือนกับจะปล่อยวางได้ซึ่งทุกสิ่ง

หรือเพราะผู้ชายคนนี้เก่งกาจในการทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกแบบนั้นกันแน่

“อร่อยจริงๆ ด้วยนะครับ”

การตอบรับที่เป็นไปในทางเดียวกับคำแนะนำ เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนหน้าคมคาย นมอุ่นๆ ถูกจิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่างกายและจิตใจ กระทั่งหมดลงไป ถ้วยถูกวางลงบนพื้น

“คืนนี้เห็นดาวชัดดีนะคุณ”

ร่างสูงเงยหน้ามองฟ้าไปยังทิศทางเบื้องหน้าซึ่งมีบึงน้ำ ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนั้นเปิดโล่งแทนที่จะถูกบดบังด้วยต้นไม้ใหญ่ที่เกลื่อนกระจายไปทั่ว

อาทิตย์อัสดงหันมองตาม แล้วก็พบดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าสีมืดที่เห็นได้เด่นชัดกว่าเมื่อช่วงหัวค่ำ เสริมให้บรรยากาศดีกว่าเดิม มิหนำซ้ำอากาศยังเย็นชื้น ไม่ร้อนอบอ้าว ทำให้ผ่อนคลายสบายตัวดี

มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นไปทางอากาศเบื้องบน เก็บภาพมันเอาไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม ขณะที่ตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนมองตามอย่างสงสัยเล็กน้อย

“ใช้โทรศัพท์ถ่าย จะเห็นดาวชัดเหรอครับ”

“ผมแค่อยากเก็บช่วงเวลาดีๆ กับคุณแบบนี้ไว้เฉยๆ เพราะถ้าขอคุณถ่ายรูป คุณคงไม่ยอมหรอกใช่ไหมครับ”

ไร้คำตอบของคำถามนั้นเพราะโดนดักทางเสียก่อนแล้ว ใบหน้าขาวตี๋เงยขึ้นมองผืนสีดำเป็นประกายนั้นอีกรอบ ความเงียบกลับมาเยี่ยมเยือนคนทั้งสองอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนเสียงแผ่วหวิวจะดังขึ้นมาพอให้ได้ยิน

“ขอบคุณนะครับที่ชวนผมมาผ่อนคลายแบบนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ”

กรอบหน้าคมเบี่ยงลงมามองยังเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ คล้ายกับว่ากำลังรอคำพูดต่อไป และสัญชาตญาณของภันวัฒน์ก็ถูกต้อง

“แล้วก็ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ด้วย ตลอดที่ผ่านมาที่คุณเป็นห่วงผม ทำเพื่อผม การมีคุณอยู่ด้วย พูดตรงๆ แล้ว... ผมรู้สึกดีนะครับ ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านมันมาอย่างยากลำบากขนาดไหน คุณช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้เสมอ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ ที่คอยอยู่ข้างๆ ผม”

ราวกับถ้อยคำสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาคนฟังที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะเจอคำพูดทำนองนี้ถึงกับหน้าร้อนขึ้นมา ภันวัฒน์รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นตึกๆ ขึ้นมาอย่างไร้จังหวะ

“คุณเล่นพูดแบบนี้ ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนะครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่เงยอยู่ก้มลงมามองหน้าของคนที่บอกว่า ‘ผมก็เขินเป็น’ แล้วก็เห็นว่ามันกำลังแดงอยู่จริงๆ ถึงจะไม่แดงจัด แต่ก็ไม่ใช่สีปกติ

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างห้ามไม่ได้หลังจากเห็นภาพนั้น หัวใจไหวโงนเงนราวกับกิ่งไม้ริมชะง่อนผาถูกลมโหมซัดจนอาจเพลี่ยงพล้ำตกลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง

มันทั้งน่าหวาดกลัวและน่าหวาดหวั่น แต่ขณะเดียวกันก็พลั้งเผลอคิดว่าหากตกลงไปในนั้นเสียเลย อาจจะช่วยให้ความหวาดกลัวหมดไปก็เป็นได้

ความคิดนั้นวนเวียนหมุนคว้างอยู่ในหัว ไม่อาจยับยั้งหรือสลัดออกได้ เช่นเดียวกับหัวใจที่ยังคงสั่นสะท้านสะเทือนอยู่ภายใน และสายตายังคงจดจ้องอยู่บนผืนหน้าแต้มสีแดงอ่อนโดยไม่สามารถละออกไปได้

หรือบางทีเขาอาจจะต้องยอมรับ...ว่ารู้สึกอะไรบางอย่างกับชายที่ชื่อภันวัฒน์จริงๆ






---------------
เสพสมกันแบบเอาท์ดอร์ < ทำไมคำพูดดูติดเรท

ป.ล. คุณอาทิตย์เปล่าอ่อย แต่แค่แสดงความจริงใจอย่างตรงไปตรงมาเฉยๆ ฮึฮึ


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 24th Entry : ฟ้าหลังฝน [20/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 20-07-2016 20:47:26
โฮ้ยยยยยยยยยยยยย หวานมากกกกกกกก ฮือออออออ ทำไมคะทำไมมมม เราหยุดยิ้มไม่ได้เลยยย อ่านไปนี่เขินไป กรี๊ดดดด ฟ้าหลังฝนมันงดงามแบบนี้เอง ฮื้อออ คุณภันนี่แหละค่ะพระเอก เรามั่นใจแล้ว(?) 55555555555 คุณอาทิตย์นี่ก็ตกหลุมแล้วแน่ๆค่ะ แค่ยังไม่รู้ตัว ส่วนคุณภัน เราเชื่อว่าตอนนี้คุณภันรักคุณอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ แอร๊ยยย ขอให้เขารู้ใจกันเร็วๆนะคะะะ ดราม่าคราวหน้าก็คงเป็นเรื่องน้องพร่างฟ้ามั้ง ฮื้ออออ แต่เราเชื่อว่าถ้าเขาจับมือกันแล้ว เขาจะไม่ปล่อยมือกันง่ายๆแน่ค่ะ! แล้วมีมาอาบน้งอาบน้ำอะไรกัน คุณภันคะ! ตอนอาบน้ำไม่เขิน พอเขาบอกขอบคุณดันเขินนะคะ กรี๊ดดดด นี่ผลัดกันเขินเหรอคะะะะะะ โอ๊ยยยย กลับไปคราวนี้ก็ทิ้งสถานะโสดไว้ที่ริน้ำแล้วกันนะคะ ดูสิ ใส่ใจกันขนาดนี้ ฮื้ออออ ต้องคบกันแล้วล่ะค่ะ  :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 24th Entry : ฟ้าหลังฝน [20/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 20-07-2016 22:19:07
เล่นแบบนี้ยอมไปเหอะ อ่านแล้วจะละลายแแทน
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 24th Entry : ฟ้าหลังฝน [20/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-07-2016 00:06:27
หลงรักเลย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 31-07-2016 19:06:04
25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ






“เขินจนหน้าดำเหรอครับ”

แม้ภายในจะถูกโยกจนความนึกคิดปั่นป่วนไปหมด ใบหน้าตี๋ก็ยังแสร้งยิ้ม แกล้งกระเซ้าแกมหัวเราะเบาๆ พลอยให้คนถูกแซวหัวเราะออกมาด้วย สักพักกว่าเสียงสำราญของคนทั้งคู่จะหายไป ภันวัฒน์กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงจังอีกครั้ง

“ขอผมจับมือได้ไหมครับ”

“คุณแปลกดีนะครับ”คราวนี้อาทิตย์อัสดงย้อนถามด้วยความแปลกใจน้อยๆ เขาเว้นจังหวะการพูดไปครู่สั้นๆ ราวกับจะเผื่อเวลาไว้ให้อีกฝ่ายรู้สึกฉงน พลางย้อนคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาด้วย “ทั้งๆ ที่เคยทำไปแล้วโดยไม่เคยขอ แต่พอจะทำครั้งต่อไป กลับมาขออนุญาตซะงั้น ทั้งตอนที่กอดและตอนที่จับมือ”

แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ความรู้สึกที่สั่นคลอนอยู่ภายในก็ไหวสะท้านยิ่งขึ้น ร่างโปร่งต้องพยายามรักษาสีหน้าเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด

“ก็ตอนนั้นมันเป็นไปตามสถานการณ์นี่ครับ” ภันวัฒน์กล่าวเหมือนแก้ตัว “แต่สถานการณ์นี้มันไม่มีเหตุผลที่ต้องทำ ผมแค่รู้สึกอยากทำเฉยๆ”

ทว่ามันก็สร้างความประหลาดใจให้คนฟังได้มากกว่าเดิม คล้ายกับต้องการจะบอกว่า ‘ถึงไม่มีเหตุผลก็อยากกอดและจับมือ’ พอคิดแบบนั้น จากความรู้สึกหวิวไหวก็แปรเปลี่ยน กลายเป็นกระแสลมอุ่นๆ ไหลวนอยู่ภายในอก จนอบอุ่นไปทั้งร่าง อาทิตย์อัสดงใช้ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างกันอีกครั้งในการสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ก่อนจะเกริ่นนำขึ้น

เขาอยากเปิดใจ อยากระบายทุกสิ่งที่ถูกเก็บงำอยู่ในใจกับผู้ชายคนนี้

“ผมน่ะ...”

ราวกับรู้ว่าบทสนทนาต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงจัง คงเพราะบรรยากาศรอบตัวของอดีตบล็อกเกอร์ที่เปลี่ยนไปก็เป็นได้ ภันวัฒน์จึงขยับตัวเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย และหันมามองอย่างตั้งใจอกตั้งใจฟัง

“คบกับเธอมาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยปีสามครับ คบกันนานมากจนกระทั่งถึงปีที่แล้ว”

เสียงเล่าผุดออกมาอย่างเนิบช้า ประหนึ่งว่าไร้ความรู้สึกใดๆ แต่ก็เจือกระแสความเจ็บปวดจางๆ ให้รู้สัมผัสได้

“เธอบอกว่าเธอท้อง ผมตกใจมากนะที่ได้ยินแบบนั้น เพราะผมป้องกันทุกครั้งไม่เคยขาด แต่ก็มีครั้งหนึ่ง”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสียงที่เคยราบเรียบก็สั่นเครือเล็กน้อย เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังแทรกขึ้นมา คล้ายกับว่าคนพูดกำลังข่มอารมณ์ที่ผลักดันอยู่ภายใน

“เป็นช่วงที่ผมเพิ่งกลับจากเอาท์ติ้ง ตอนนั้นดึกมากแล้ว แต่ผมไม่ได้เจอเธอหลายวันแล้วก็คิดถึง เลยอยากรีบไปหาเธอที่ห้องพัก เธอเปิดประตูออกมาด้วยสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร ผมแปลกใจแต่เธอก็บอกว่ากำลังจะอาบน้ำพอดี ผมเลยบอกว่างั้นผมขอนอนค้างที่นี่นะ อยากนอนกอดเธอ แล้วผมก็เข้าไปในห้อง”

ริมฝีปากที่ขยับอย่างเชื่องช้าขบเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยอีกครั้ง มือที่วางพาดอยู่บนเข่ากำเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“ผมนอนรอเธอบนเตียง ปล่อยให้เธอไปอาบน้ำ พูดแบบนี้อาจจะไม่ดีเท่าไร เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่...ผมเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็มีเธออยู่บนร่างของผมแล้ว พอจะเดาได้ไหมครับ”

ใบหน้าที่ปรากฏวี่แววของคนวิตกกังวล หรืออาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้หันไปทางร่างสูง ภันวัฒน์พยักหน้าช้าๆ เมื่อพอจะคาดการณ์ได้

“ครับ ตัวของผมไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น เธอก็ด้วยเหมือนกัน แล้วของของผมก็อยู่ในตัวของเธอ ผมตกใจร้องถามว่าเธอทำอะไร เธอก็บอกกลับมาว่าอยากทำ แต่รอไม่ไหวก็เลยจัดการเอง แล้วก็หัวเราะเหมือนสนุกสนาน แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าซีดไปแล้ว เพราะว่าผมรู้สึกได้ถึงความเฉอะแฉะ... ผมไม่ได้ใส่ถุงยาง”

“เพราะแบบนั้นเธอก็เลยท้องเหรอครับ”

“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ แต่ผมแปลกใจที่มันเปียกถึงขนาดนั้น เธอบอกว่าเพราะผมหลั่งออกมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะงั้นก็ไม่แปลกหรอก แต่คุณก็รู้ใช่ไหมครับ ผู้ชายน่ะจะไม่รู้ตัวได้ยังไงว่าร่างกายของตัวเองเป็นแบบไหน แต่ก็ปล่อยให้ผ่านเลยเพราะเชื่อคำพูดของเธอและคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แล้วปฏิเสธเธอไป ไม่ได้ทำต่อ หลังจากนั้นเดือนกว่า เธอก็บอกผมว่าเธอท้อง”

มือที่จับกันอยู่บีบแน่นมากขึ้น

“ถึงจะน่าตกใจ แต่ผมก็เต็มใจรับผิดชอบเธอนะ ผมขอเธอแต่งงานด้วยซ้ำ แต่เธอบอกว่าไว้คลอดลูกแล้วค่อยแต่งดีกว่า เพราะเธออยากทำงาน และที่ทำงานของเธอห่างจากบ้านผมไปค่อนข้างมาก เธอก็เลยขออยู่แยกกันอย่างเดิมไปก่อน ถึงอย่างนั้นผมก็ไปหาเธอช่วงวันหยุดเสมอ ไปดูแลเธอกับลูก แล้วผมยังเห่อซื้อของเตรียมเอาไว้ด้วยซ้ำ ห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่เคยเป็นห้องนอนของผมก็ทำเป็นห้องเด็กเตรียมเอาไว้ แล้วผมย้ายข้าวของมาอยู่ห้องพ่อกับแม่แทน”

“ก็คงเป็นความเห่อตามประสาพ่อที่กำลังจะมีลูกนั่นแหละครับ”

“ใช่ครับ ผมกับเธอช่วยกันคิดชื่อไว้แล้วด้วยซ้ำว่าจะให้ลูกชื่ออะไร แต่แล้วเธอก็คลอดก่อนกำหนดครับ”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเรื่องราวนั้นแฝงด้วยความสลดลงเรื่อยๆ

“ผมเป็นห่วงมากว่าลูกจะปลอดภัยดีหรือเปล่า เพราะเคยได้ยินมาว่าถ้าเด็กคลอดก่อนกำหนดจะตัวเล็กและสุขภาพไม่แข็งแรง เพราะงั้นพอหมอออกมาจากห้องคลอดผมก็รีบถามทันทีว่าลูกของผมเป็นยังไงบ้างเพราะว่าคลอดก่อนกำหนด แต่คุณเชื่อไหมครับว่าคำตอบของหมอทำให้ผมชาไปทั้งตัว หมอบอกกับผมว่าเด็กแข็งแรงดีแล้วก็คลอดตามกำหนด”

ใบหน้าที่ตั้งขึ้นและทอดสายตาไปเบื้องหน้าผ่านเลยเปลวไฟไป กลับงุดลงต่ำดั่งคนกลัดกลุ้มหรือไม่ก็หมดสิ้นกำลังใจ ภาพเช่นนั้นทำให้ภันวัฒน์อยากดึงร่างของคนตรงหน้าเข้ามาโอบกอดเอาไว้ แต่ก็ต้องหักห้ามตนเองแล้วกลั่นคำพูดในใจออกมาเป็นน้ำเสียง

“แล้วคุณทำยังไงต่อครับ”

“ผมนึกหาเหตุผลสารพัดว่าผมนับอายุครรภ์ผิดเหรอ หรือว่าเธอจำผิดตอนบอกผม ถ้าไม่อย่างนั้น... อาจจะเป็นถุงยางที่ผมใช้มันหมดสภาพ มีรูรั่ว เพราะเอาจริงๆ มันก็ใช่ว่าจะป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ตอนไปฝากท้องหรือตรวจครรภ์ หมอไม่ได้บอกเหรอครับ”

“เธอไปเองตลอดเลยครับ เธอบอกว่าไปวันธรรมดาดีกว่า เพราะคนไม่เยอะ พอผมบอกว่างั้นเดี๋ยวผมจะลางานแล้วไปด้วย เธอก็จะบอกว่าไปมาแล้วเสมอ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ไปเลยสักครั้งครับ มีแต่ฟิล์มอัลตราซาวด์มาให้ดู”

“แบบนั้น...ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ”

“ครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา ผมเลยถามหมอว่าจะขอให้ตรวจกรุ๊ปเลือดหรือดีเอ็นเอได้ไหม คุณอาจจะมองว่าผมเป็นผู้ชายที่แย่ก็ได้ แต่ตอนนั้นผมนึกอะไรไม่ออกเลย นึกได้แต่เรื่องนี้ เพราะความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ผมนึกได้ก่อนหน้านี้ มันน่าจะเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น พอผมขอไปแบบนั้น หมอก็ทำหน้าเหมือนเห็นใจผมขึ้นมาทันที แล้วก็บอกว่าจะตรวจกรุ๊ปเลือดเด็กให้ แต่เรื่องดีเอ็นเออาจจะต้องรอไปก่อน ผมเลยบอกว่างั้นขอกรุ๊ปเลือดก่อนก็ได้”

“แล้วผลเลือดออกมาเป็นยังไงครับ”

“กรุ๊ปเอบีครับ...เด็กมีเลือดกรุ๊ปเอบี”

เสียงของอาทิตย์อัสดงขาดหาย ราวกับเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรื่องกำลังจะมาถึงจุดจบแล้ว

“เลือดของคุณล่ะครับ”

“ผมเลือดกรุ๊ปโอครับ”

เกิดความเงียบงันขึ้นกลางบทสนทนา เป็นความเงียบที่หนาวเยือกสำหรับทั้งคู่ เพราะมันแทบจะเป็นความรู้พื้นฐานไปแล้ว ว่าหากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีเลือดกรุ๊ปโอ ย่อมไม่มีทางที่เด็กจะมีเลือดกรุ๊ปเอบีได้

“ผมช็อกไปเลยล่ะครับตอนนั้น ข้ออ้างต่างๆ ที่พยายามคิดมาเหมือนโดนคลื่นยักษ์ซัดโครมเดียวแล้วหายไป ความรู้สึกทั้งหมดของผมพังทลายเหมือนอย่างนั้นเลย ผมเสียใจที่เธอหักหลังผม เจ็บปวดที่เธอหลอกลวงผม ทรมานที่เธอให้ความหวังกับผม แต่อะไรก็ไม่มากเท่า...ความรู้สึกพะอืดพะอมที่ก่อตัวขึ้นมาหลังจากผมย้อนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น”

ในเวลานี้ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ภันวัฒน์จะทำได้ เขามองอารมณ์ต่างๆ ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมดอยู่บนใบหน้าซึ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ รับรู้ได้ถึงความรวดร้าวและปั่นป่วนจนไม่รู้จะหาคำใดมาประโลมอีกฝ่ายได้

“เมื่อกี้ผมเล่าใช่ไหมครับ ว่าครั้งเดียวที่ผมมีอะไรกับเธอโดยที่ไม่ได้สวมถุงยางเป็นยังไง นั่นแหละครับ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนั้น ผมจะรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา เพราะมักจะเผลอคิดไปว่าไอ้ของคาวๆ ที่เฉอะแฉะอยู่ข้างในตัวเธอนั่นไม่ใช่ของผม แต่เป็นของคนอื่นต่างหาก แล้วเธอพยายามทำให้เหมือนกับว่าผมเป็นเจ้าของ เพราะผมดันโผล่เข้าไปในช่วงที่เธอกำลังเสพสมกับผู้ชายคนอื่น แล้วก็ถือโอกาสยัดเยียดลูกคนอื่นให้กับผมซะเลย เป็นแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวที่น่าขยะแขยง แค่คิดแบบนั้นผมก็แทบอ้วก”

“.....”

“แค่ทรยศความรักความเชื่อใจของผมยังไม่พอเหรอ ถึงต้องทำกับผมขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่เคยทำให้เธอเสียน้ำตาเลยสักครั้ง”

คำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความทรมานแห่งความเจ็บแค้นและร้าวรานพรั่งพรูออกมาจนหมด ใบหน้าที่เคยเป็นสีขาวเข้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์ กายโปร่งสั่นสะท้านจนคนเห็นรู้สึกปวดใจตามไปด้วย ภันวัฒน์เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้หวาดกลัวความรักนัก

เพราะมันทำให้ต้องทรมานเจียนตายแบบนี้อย่างไรล่ะ

ร่างกำยำผุดลุกจากขอนไม้ที่นั่งอยู่ ขยับมาคุกเข่าต่อหน้าคนที่นั่งตัวเกร็งสั่น โอบรั้งร่างนั้นเข้าสู่อ้อมกอดเอาไว้ มือใหญ่ลูบแผ่นหลังที่ดูเปราะบางในเวลานี้เบาๆ ราวกับจะขับกล่อม เสียงทุ้มดังแผ่วคล้ายขับคลอ

“ไม่เป็นไรแล้วครับ คุณผ่านมันมาแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะ ปล่อยมันผ่านไป แล้วมองไปข้างหน้าแทน”

“ผมเกือบจะลืมความรู้สึกพวกนั้นได้แล้ว ลืมความเสียใจ ความทรมาน ความขยะแขยงพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่เธอก็มารื้อฟื้นมัน”

“ต่อไปนี้ผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีทางมารบกวนคุณอีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยให้เธอทำอีกแน่ เชื่อผมนะ”

มือที่เคยลูบแผ่นหลังเบาๆ เลื่อนขึ้นมาลูบด้านหลังศีรษะแทน มันอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์อัสดงรู้สึกเช่นนั้นจึงยิ่งฝังหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง คำพูดปลอบโยนของภันวัฒน์เหมือนจะซึมเข้าไปในร่าง และไปหลอมรวมกันอยู่ในใจ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและเบาใจได้อย่างน่าพิศวง

นัยน์ตาที่เปิดอยู่ปิดลง ดั่งจะให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดซึมซับความรู้สึกซึ่งตรงข้ามกับอดีตที่ทำร้ายใจกันมาตลอดให้ได้มากที่สุด ชำระล้างความเศร้าตรมน่าสะอิดสะเอียนออกไปให้หมดสิ้น ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าร่างโปร่งจะค่อยๆ ดันร่างใหญ่กว่าออก

“ขอบคุณมากนะครับ”

ใบหน้าที่เคยปรากฏร่องรอยสลับซับซ้อนผ่อนคลายลง แทนที่ด้วยรอยยิ้มที่แต้มลงจางๆ พลอยให้คนเห็นยิ้มตามไปด้วยอย่างสบายใจขึ้น

“ดีแล้วล่ะครับที่คุณสบายใจขึ้น ผมว่าดึกแล้ว เราไปนอนกันดีไหมครับ”

“ครับ...” เสียงขาดหายไปครู่สั้นๆ ก่อนจะดังขึ้นอีก “ขอบคุณนะครับที่รับฟัง”

“ผมต่างหากล่ะครับที่ควรขอบคุณ ที่คุณยอมเล่าให้ฟัง”

รอยยิ้มที่เบ่งบานจนความมืดสลัวไม่อาจบดบังได้นั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกปลอดโล่งยิ่งกว่าเดิม บัดนี้เขาเชื่อจนสนิทใจแล้วว่าภันวัฒน์มีความสามารถน่าเหลือเชื่อในการทำให้เขาสบายใจได้จริงๆ

ทั้งคู่เก็บถ้วยที่เคยมีนมบรรจุอยู่ไปรวมกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานแล้วแต่ยังไม่ได้เก็บล้าง ยกเว้นแต่หม้อสนามที่จะต้องใช้งานในวันพรุ่งนี้ซึ่งภันวัฒน์เทน้ำสะอาดล้างมันและผึ่งเอาไว้

สองร่างมุดเข้าไปในเต็นท์ที่คับแคบหลังดื่มน้ำล้างปากเป็นการปิดท้ายท่ามกลางความมืด เพราะกองไฟที่จุดไว้ถูกดับลงแล้วเพื่อความปลอดภัยยามหลับ

“ผมไม่ได้เอาหมอนมา นอนบนกองเสื้อผ้า คงไม่ลำบากเกินไปนะครับ”

ภันวัฒน์ดึงกองเสื้อผ้าที่พอเห็นรางๆ ผ่านความมืด เลื่อนมายังตำแหน่งของอีกคนซึ่งอยู่ด้านในของเต็นท์ อาทิตย์อัสดงตอบเพียงสั้นๆ ‘ไม่หรอกครับ’ ก่อนจะล้มตัวลงนอนช้าๆ ศีรษะหนุนบนความนุ่มที่ถูกหยิบยื่นมาให้

“แต่ถ้านอนแล้วไม่สบายตัว จะยืมอกผมก็ได้นะ ผมไม่หวง”

เสียงพูดดังคิกคักเหมือนคนอารมณ์ดีลอยมาตามสีดำเบื้องหน้า แต่กระนั้นกลับเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้ ร่างโปร่งจึงถือโอกาสนี้สวนกลับไป ‘ถ้าอย่างนั้นขอยืมหน่อยนะครับ’ พร้อมกำมือหลวมๆ แสร้งทำเป็นหัวแล้ววางลงบนอกของคนที่นอนลงข้างๆ แล้ว แต่เพียงครู่เดียวก็ชักมือ

“พูดเล่นน่ะครับ”

ทว่าช้าไป... มือหยาบคว้าหมับเข้าที่มือนั้นไว้ก่อนจะพลิกร่างเข้าหา ระยะห่างที่ไม่ได้มากมายทำให้ทั้งสองร่างอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดส่องประกายระยิบระยับระบุตำแหน่ง มันสบประสานกันนิ่งนาน แล้วจึงค่อยขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า

อาทิตย์อัสดงมองเห็นกรอบร่างรูปใบหน้าที่สลัวรางเข้ามาใกล้ พลางรู้สึกเหมือนเสียงก้อนเนื้อในอกลั่นสลับเร็วช้า จนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมา ทว่าเพียงชั่วครู่ที่ละความสนใจไปยังอกของตน ความสนใจทั้งหมดก็ต้องพุ่งพรวดขึ้นมายังริมฝีปาก

สัมผัสที่อ่อนนุ่มแต่ชุ่มชื้นแนบทาบลงมาอย่างนุ่มนวล ค่อยเบียดกระแซะแผ่วเบา บดคลึงอย่างโหยหา

มือที่ถูกพันธนาการไว้ขยำเข้ากับอีกฝ่าย ปลายเท้าจิกเกร็งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่รับรู้ได้มันพาความหวามไหวแล่นริ้วไปทั่วร่าง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยากให้มันต่อเนื่องยาวนานมากกว่านี้

ด้วยเหตุนั้นกลีบปากที่นิ่งงันจึงค่อยขยับอย่างเชื่องช้า เผยอออกเล็กน้อย ทาบทับรับไออุ่นที่เน้นย้ำ แม้จะเป็นจังหวะที่ช้ากว่าครึ่งหนึ่ง ทว่ามันกลับทำให้ความปริ่มเปรมล้นตื้อขึ้นมาในอกจนจุกแน่น มือบีบกับมือกร้านเอาไว้ ราวกับจะบอกต่อถึงความปั่นป่วนที่โหมตีอยู่ภายใน

เมื่อถูกดูดดึงกลีบเนื้อแน่นๆ เป็นครั้งสุดท้าย เค้าเงาที่มองไม่เห็นเพราะความใกล้ก็เลื่อนออกห่าง หน่วยตาที่โอบไว้ด้วยความมืดประสานกันอีกครา ก่อนเสียงทุ้มจะเอื้อนออกมา

“ฝันดีนะครับ”

ทั้งที่เพียงได้ยินแค่เสียง แต่อาทิตย์อัสดงกลับรับรู้ได้ว่าคนพูดกำลังยิ้ม จึงพยักหน้าเบาๆ แม้รู้ว่าอีกฝายจะมองไม่เห็นก็ตาม





RRrrr

เสียงที่ปลุกในยามเช้าแทนเสียงร้องจากธรรมชาติกลับเป็นเสียงสังเคราะห์ของเครื่องมือสื่อสาร อาทิตย์อัสดงเปิดเปลือกตาโพลง ก่อนควานหาต้นกำเนิดเสียงด้วยจำได้ว่ามันเป็นของตน เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอแล้วก็ต้องรีบปิดเสียงเร็วพลัน เพราะเหลือบไปเห็นว่าอีกคนที่นอนข้างๆ ยังอยู่ในห้วงฝัน

กายโปร่งค่อยๆ คลานเข่าออกไปนอกเต็นท์ กดรับสายลงไปด้วยความรู้สึกผิด

“ขอโทษครับพี่แฟร์”

[ฟรีอยู่ไหนน่ะ วันนี้เรานัดกันไม่ใช่เหรอ]

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่มีแววตำหนิ แต่แฝงด้วยความห่วงใยเสียมากกว่า ทำให้อดีตบล็อกเกอร์รู้สึกผิดมากกว่าเดิม

“พอดีว่าฟรีมาธุระน่ะครับ มันฉุกละหุกมากก็เลยลืมบอกพี่แฟร์ไปเลย”

คำแก้ตัวเพียงอย่างเดียวที่ใช้ได้ในตอนนี้คงมีเท่านี้ เพราะหากอ้างว่าไปกับเพื่อน คงจะเป็นที่ประหลาดใจของพี่สาว ในเมื่อทุกปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยนัดกับเพื่อนช่วงปีใหม่เลย ด้วยส่วนมากทุกคนจะกลับไปหาครอบครัวกันทั้งนั้น

[อ้าว เหรอ งั้นก็ไม่เป็นไรจ้า พี่นึกว่าฟรีเป็นอะไรไปเสียอีก เพราะว่าถึงเวลานัดแล้วแต่ฟรียังไม่มา โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับ เลยต้องโทรเข้ามือถือนี่แหละ]

“ฟรีขอโทษจริงๆ นะพี่แฟร์ ฝากบอกหลานๆ ด้วยนะว่าฟรีขอโทษที่ไปเที่ยวด้วยไม่ได้แล้ว”

[เอาเถอะๆ ฟรีไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าพวกพี่ไปเที่ยวกันหลายวัน ฟรีจะต้องอยู่คนเดียวตลอดปีใหม่ จะไม่เหงาะแน่นะ]

คำถามนี้ทำให้หน่วยตาเสาะมองเข้าไปในเต็นท์ซึ่งมีอีกร่างอยู่อย่างลืมตัว รู้ตัวอีกทีก็มีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าเสียแล้ว เขากระแอมกับตนเองที่เริ่มจะออกอาการมากเกินไป

“ไม่หรอกครับ พี่แฟร์เที่ยวเต็มที่เลย เที่ยวเผื่อฟรีด้วยนะ”

[จ้าๆ งั้นพี่วางนะ]

“ครับ มีความสุขในการท่องเที่ยวครับ เดินทางปลอดภัย”

หลังได้ยินคำล่ำลาสุดท้ายจากพี่สาว ร่างโปร่งก็กดวางสาย สายตาทอดมองนาฬิกาบนจอ ไม่อยากเชื่อว่าตนจะตื่นสายกว่าเวลาปกติเช่นนี้ ก่อนจะมองไปยังเต็นท์ที่เงียบสงบอีกครั้ง แล้วเม้มปากตนเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในนั้นเมื่อคืนนี้

เขาปล่อยทั้งตัวทั้งใจไปกับความอ่อนโยนที่หอมหวานนั่นมากเกินไปเสียแล้ว

แม้ว่าจะรู้สึกดี แต่มันก็ไม่ปลอดภัยที่จะปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามบรรยากาศ

เพราะหากถลำลึกกว่านี้ เขาอาจจะต้องเสียใจภายหลังก็ได้

ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำสอง ฉะนั้น...ควรที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเองให้มากกว่านี้

ระหว่างนั้นทางเข้าเต็นท์ขยับเล็กน้อยก่อนร่างสูงจะปรากฏกายออกมา อาทิตย์อัสดงชะงักไปเล็กน้อย ในสมองครุ่นคิดว่าควรจะเริ่มต้นสนทนากับอีกฝ่ายอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าจะทำหน้าแบบไหนหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน จึงเอ่ยคำขอโทษที่เสียงโทรศัพท์ทำให้อีกฝ่ายตื่น แต่ภันวัฒน์ส่ายศีรษะช้าๆ

“ไม่หรอกครับ พอดีเลยมากกว่า คุณล้างหน้าล้างปากก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมทำข้าวต้มมื้อเช้าให้”

สีหน้าของร่างสูงไม่มีสิ่งใดแปลกไปจากเดิม คล้ายกับว่าลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นไปเสียสนิท ทำให้อดีตบล็อกเกอร์รู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น

เข้าหน้ากันติดได้มากกว่าที่คิด

ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะทำตัวตามปกติด้วยเช่นกัน

หม้อสนามที่ผึ่งไว้ตลอดคืนแห้งสนิท มันถูกนำมาใช้อีกครั้งด้วยวิธีการเดิม แต่เปลี่ยนสิ่งที่บรรจุภายในเป็นข้าวสารและน้ำ ไฟจากองเดิมลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความร้อนค่อยๆ เปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุกอย่างช้าๆ สักพักน้ำในหม้อก็เดือด

ภันวัฒน์ใส่เครื่องปรุงที่เตรียมมาด้วยและเนื้อหมูสับปั้นเป็นก้อนลงไปเล็กน้อย ตั้งทิ้งไว้อีกครู่หนึ่ง คนเบาๆ ก่อนจะยกลงจากเตา ตามด้วยโรยผักชีต้นหอม ส่งกลิ่นกรุ่นจากควันจนหอมฉุยท่ามกลางธรรมชาติ

“หอมมากเลยครับ”

อาทิตย์อัสดงรับถ้วยข้าวต้มที่ถูกยื่นมาให้ หลังจากเฝ้ามองการทำอาหารในแบบฉบับลูกเสือ ละเลียดชิมมันทีละนิด แล้วก็ต้องตกตะลึงที่รสชาติจะดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ตอนผมเข้าค่ายลูกเสือ ไม่เห็นมันจะออกมาเป็นแบบนี้เลยครับ ทั้งข้าวไม่สุก ไข่เจียวไหม้”

“ตอนนั้นผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละ แต่พอได้ลองทำหลายๆ ครั้ง มันก็ดีขึ้นเอง ตอนนี้ก็เลยเป็นโปรอย่างที่เห็น”

ร่างสูงพูดพลางยกยิ้มทะเล้นก่อนส่งข้าวเข้าปาก พลอยให้คนฟังต้องส่ายหัวตามอย่างระอา แต่ก็เป็นความระอาในระดับที่ทำให้อมยิ้มด้วยเช่นกัน

“แสดงว่าคุณเคยมาตั้งแคมป์แบบนี้หลายครั้งแล้วเหรอครับ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แล้วแต่อารมณ์น่ะครับ ตอนแรกๆ ก็ชวนจอมมาด้วย แต่มาครั้งเดียวมันก็ไม่เอาแล้ว มันบอกว่าไม่ใช่วิถีของมัน หลังจากนั้นผมก็มาคนเดียว มาตั้งเต็นท์นอนเฉยๆ บ้าง หรือบางทีมีอารมณ์นึกครึ้มก็ทำอาหารด้วย หรือถ้าแค่อยากเสพบรรยากาศอย่างเดียว ก็อยู่ในบ้านนั่นแหละครับ”

“อ๋อ แต่มาอยู่แบบนี้ผมว่าก็ได้รีเซ็ตอารมณ์ดีนะ ขอบคุณนะครับที่ชวนมา ถึงจะกึ่งๆ บังคับก็เถอะ”

หน่วยตาเรียวตวัดมองขวางเล็กน้อย ราวกับจะต่อว่าต่อขานกันอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนถูกมองต้องยิ้มแหยเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเสียงหัวเราะจากร่างโปร่งก็หลุดออกมาเบาๆ แล้วตักข้าวต้มกินต่อ

“แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรอีกเหรอครับ ตกปลาอะไรพวกนี้?”

แม้จะน่าสงสัยว่าเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า เพราะไม่เห็นอุปกรณ์ตกปลาอย่างที่ถาม แต่หากพูดถึงการตั้งแคมป์แล้ว การตกปลาย่อมอยู่ในโปรแกรมแน่นอน ทว่าคำตอบที่ได้ต่างจากที่คิด

“เปล่าหรอกครับ ผมไม่ค่อยสันทัดกับวัตถุดิบอาหารที่ยังเป็นอยู่ อย่างปลาเนี่ย ถ้าตกแล้วก็มีแต่จะต้องเอามากิน ถ้าสงสารแล้วปล่อยลงน้ำอีก ก็แทบเท่ากับปล่อยมันไปตายอยู่ เพราะมันเป็นแผลจากการโดนเบ็ดเกี่ยวแล้ว ลงน้ำไปก็ติดเชื้อ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้าจับขึ้นมาแล้วจะฆ่ามันยังไง”

เท่าที่เคยเห็นคงเป็นทุบหัวมัน หรือถ้าเป็นวิธีที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกกรุณาหน่อยหรือเปล่า ก็คงเป็นการตัดหัวล่ะมั้ง

แต่ถึงอย่างไรก็น่าสยองอยู่ดีที่จะลงมือทำเอง

อาทิตย์อัสดงยิ้มแหยได้แต่ตอบว่า ‘นั่นสินะครับ’ อย่างเห็นด้วย

“ผมเลยว่าเดี๋ยวเรากินเสร็จแล้วกลับไปที่บ้านดีกว่า คืนนี้เราจะค้างในบ้านแทน เพราะงั้นอาจจะต้องขอแรงคุณช่วยทำความสะอาดสักหน่อยนะครับ”

“ไม่มีปัญหาครับ”

ดังนั้นเมื่อรับประทานข้าวต้มจนหมดแล้ว ทั้งคู่จึงช่วยกันเก็บของ ก่อนจะแบ่งสัมภาระกันคล้ายกับขามา และเดินย้อนกลับไปยังทางเดิม กระทั่งถึงบ้านพักก็จัดแจงแยกของที่ต้องทำความสะอาด ร่างโปร่งอาสาล้างจานชาม ภันวัฒน์จึงจัดการเรื่องเตาย่างและตะแกรงที่เขรอะขระ จากนั้นจึงมาจัดของเหลือจากการใช้งานให้เข้าที่

“ว่าแต่ผมสงสัยนะครับ”

เมื่อร่างสูงสีน้ำผึ้งเข้ามาเก็บของภายในห้องครัว เสียงของคนที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานก็ดังขึ้น เจ้าตัวผินหน้าไปทางคนที่อยู่ด้านหลังเล็กน้อยราวกับรอฟัง

“จริงๆ ก็น่าจะใช้น้ำไม่หมดอยู่แล้ว ทำไมถึงยกไปทั้งแพ็คล่ะครับ”

หากคำนวณปริมาตร ขวดจุน้ำได้ลิตรครึ่ง หกขวดก็รวมเก้าลิตร เป็นจำนวนที่ใช้งานไม่หมดภายในวันเดียวอยู่แล้วจึงน่าแปลกใจ แต่ร่างโปร่งก็เพิ่งฉุกใจคิดขึ้นมาได้ระหว่างเห็นอีกฝ่ายแบกมันกลับมา

“เพราะไม่รู้ว่าคุณจะแพ้น้ำในบึงหรือเปล่า ผมก็เลยเอาไปเผื่อให้คุณล้างตัวด้วยน่ะครับ”

คำตอบที่แสดงถึงความใส่ใจทำให้มือที่ขยับปิดก๊อกน้ำชะงักไปเล็กน้อย อาทิตย์อัสดงรู้สึกอุ่นวาบในใจพักสั้นๆ ก่อนจะกลับมาหมุนปิดก๊อกน้ำที่ใช้เสร็จแล้ว เขาไม่มีอะไรจะเอ่ยต่อจากนั้น พอดีกับที่ภันวัฒน์จัดของเสร็จเรียบร้อยจึงหันมาชวน

“งั้นต่อไปถึงคิวทำความสะอาดแล้วล่ะครับ เอาแค่ห้องนั่งเล่นกับห้องนอนก็ได้ คืนนี้นอนห้องเดียวกัน...จะได้ไหมครับ”

ราวกับมีคำถามแอบแฝงนัยอื่นมาพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น ร่างโปร่งเลิ่กลั่กไปชั่วครู่ ไม่ใช่เพราะรังเกียจหากต้องนอนร่วมห้องหรือร่วมเตียง เพราะเมื่อคืนนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้ต่างกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยมีอีกหลายครั้ง แต่ว่า...เขากลัวใจตัวเองต่างหาก กลัวว่าจะเผลอไผลทำอะไรอย่างเมื่อคืนนี้อีก และกลัวด้วยว่ามันจะลุกลามเลยเถิดมากไปกว่านั้น

“พอดีว่านอกจากห้องของผมแล้ว ก็มีแค่ห้องลุงกับป้าและห้องน้องสาวอีกสองคนเท่านั้นน่ะครับ เพราะเป็นบ้านพักส่วนตัว จะให้คุณไปนอนห้องอื่นมันก็ยังไงอยู่”

เมื่อเข้าใจได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ซุกซ่อนอะไรอื่นเอาไว้ในคำถามเมื่อครู่ อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย พลางอดต่อว่าตนเองไม่ได้ที่ใจไพล่คิดไปถึงเรื่องอกุศล

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

เมื่อได้ตอบไปเช่นนั้น การทำความสะอาดบ้านจึงเริ่มต้นขึ้น แต่ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ออกมานั่งพึ่งลมยามบ่ายเพื่อหย่อนใจ มองทิวทัศน์ซึ่งแปลกตากว่าเมื่อวานด้วยช่วงเวลาและมุมมอง ราวกับมุมกลับกัน เมื่อได้เห็นสถานที่ซึ่งใช้ตั้งแคมป์เมื่อวานอยู่ลิบๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลกดี

“ตอนเที่ยงนี้เราออกไปหาอะไรกิน แล้วก็ไปเที่ยวข้างนอกดีไหมครับ ตอนเย็นๆ ค่อยกลับมาพายเรือเล่นในบึง”

“ยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่ไกด์จะพาไปแล้วกัน”

อาทิตย์อัสดงหันกลับมาหาคนข้างตัว ส่งยิ้มให้พลางพูด ทำให้ภันวัฒน์ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาเนิ่นนาน

“งั้นถ้าผมพาไปที่ที่อันตรายก็จะไปเหรอครับ”

“อันตรายแบบไหนล่ะครับ”

ร่างโปร่งเอียงคอถาม เสมือนเร่งเร้าเอาคำตอบกลายๆ

“ประมาณว่าอันตรายต่อร่างกายและหัวใจน่ะครับ”

“เสี่ยวดีนะครับ”

อาทิตย์อัสดงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ หากว่าภันวัฒน์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ใช่การยิ้มยียวนพลางขยิบตาไปด้วย คงเป็นไม่ได้ที่เขาจะตอบเช่นนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจที่ไม่เร่งรัดเขาจนมากเกินไป







อ่านต่อข้างล่าง


v



v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 31-07-2016 19:10:00

ต่อจากข้างบน


v



v


ด้วยเวลาที่จำกัด สถานที่ที่แวะไปจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดสองที่ ทิวทัศน์ที่ได้เห็น สถาปัตยกรรมที่ได้สัมผัส รวมถึงวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่นเป็นภาพน่าดูชม

อาทิตย์อัสดงอยากเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้จนต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้วกลับรู้สึกแปลกใจ เพราะคนที่เมื่อคืนเพิ่งบอกว่าอยากเก็บช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตนไว้ กลับไม่ถ่ายรูปไว้สักใบเดียว

“คุณไม่ถ่ายรูปบ้างเหรอครับ”

“ผมอยากเก็บความทรงจำไว้ในใจมากกว่าน่ะครับ”

รอยยิ้มที่มาพร้อมคำพูดนั้นส่งผลให้คนฟังงุนงงได้ไม่น้อย ซึ่งมันคงแสดงออกมาทางสีหน้ามากพอสมควร ภันวัฒน์จึงยกยิ้มบาง หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

“บางช่วงเวลาซึมซับด้วยความรู้สึก มันมีคุณค่าทางใจมากกว่านะครับ”

ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ร่างโปร่งจึงอดถามออกไปไม่ได้

“แล้วเวลาไหนที่เหมาะกับการเก็บด้วยความทรงจำ เวลาไหนควรจะเก็บด้วยกล้องถ่ายรูปล่ะครับ”

“อืม” เสียงทุ้มครางยาว นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบข้างราวกับกำลังเก็บชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายอยู่มาต่อกันเพื่อตอบ “เวลาที่ความรู้สึกมันล้นอกจนเก็บเป็นความทรงจำไม่ไหวล่ะมั้งครับ ถึงเหมาะจะถ่ายเก็บเอาไว้”

ร่างของอาทิตย์อัสดงชะงักค้างขึ้นมาทันที ยิ่งหน่วยตาสีนิลย้อนกลับมาสบกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าภายในอกมันสั่นไหว และเมื่อพลั้งเผลอคิดไปถึงยามที่คนตรงหน้ายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพท้องฟ้าในค่ำคืนที่ผ่าน เสียงสั่นคลอนของกำแพงที่ตั้งเอาไว้ก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด ดุจกำลังถูกขย่มอย่างรุนแรงจนมันทรุดตัวลงอีก

“ผมสัญญากับตัวเองเอาไว้น่ะ”

คงเห็นว่าตนเงียบไปกระมัง เสียงทุ้มจึงดังอีกครั้ง อดีตบล็อกเกอร์อยากจะสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความรู้สึกที่ก่อกวนอยู่ทั้งในสมองและหัวใจออกไป แต่เกรงว่าจะดูน่าสงสัย จึงได้แต่ข่มเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้แทน

“สัญญากับตัวเองว่าอยากให้คุณได้เห็นท้องฟ้าสวยๆ ที่เห็นดาวได้ชัดเจนด้วยกันสักครั้ง”

ทั้งที่ไม่มีเหตุผลจะต้องทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้ชื่นชมท้องฟ้าหรือหมู่ดาวเป็นพิเศษจนต้องให้ความสนใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าตัวเอง ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกอบจนหนทาง เหมือนกำลังถูกรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ปราการที่ตั้งมั่นกร่อนลงทุกที มิหนำซ้ำเขากลับไม่คิดวิ่งหนี

อาจจะเหนื่อยแล้วกับการถูกไล่ต้อนอย่างไม่หยุดพัก ไม่ย่อท้อ

ค่อยๆ กะเทาะ กระทุ้ง ขุด แซะ เข้ามาทีละน้อย จนแทบไม่เหลือความแข็งแกร่งที่เคยมีอยู่

หรือว่าเขา...ในตอนนี้ก็อยากจะยอมแพ้ แล้วคว้ามือที่ยื่นเข้ามาหานั้น?

“ขอบคุณครับ เอ่อ ผมว่าบ่ายกว่าแล้ว เราไปอีกที่ดีไหมครับ”

เพราะไม่อยากคิดให้มากความแล้ว และการเผชิญหน้ากับสีหน้าจริงจังเช่นนั้นของภันวัฒน์ก็ทำให้รู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเกินไปที่จะต้านทาน อาทิตย์อัสดงจึงเลี่ยงไปยังเรื่องอื่น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี

“มีที่หนึ่งที่ผมอยากพาคุณไปครับ”

รอยยิ้มเจือมากับคำพูดเกริ่นนำ ร่างโปร่งขดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แต่กลับได้รับคำตอบเป็นการยักคิ้วหลิ่วตาจากอีกฝ่าย กระทั่งไปถึงจุดหมาย

ร้านเบเกอรี่

เมื่อเห็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงปฏิเสธที่จะเหยียบย่างเข้าไปในทันที เพราะเพียงแค่เห็นมันก็รู้สึกปวดร้าวในใจ เขาหวนนึกถึงบล็อกที่ตนเคยทุ่มเทสร้างมันซึ่งกลายเป็นอดีตไปแล้ว

นับจากวันนั้น...เขาไม่เคยเข้าร้านขนมอีกเลย

แต่ภันวัฒน์ก็ถือวิสาสะดึงมือร่างโปร่งให้เดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับบอกว่า ‘ผมอยากกินนี่ครับ หรือคุณไม่อยาก’ แม้จะเป็นประโยคคำถามที่ง่ายแสนง่าย แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าผ่อนคลายของอีกฝ่ายแล้ว กลับทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกถึงความกล้า

เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานาจบไปแล้ว เขาจะย่ำจมอยู่ที่เดิมต่อไปไม่ได้

ดังนั้นสุดท้ายร่างโปร่งจึงยอมก้าวเข้าไปในพื้นที่นั้นโดยไม่ได้ฝืนต้านอีก

ขบวนของหวานถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระพลางชิมชิ้นนั้นชิ้นนี้ไปด้วย ไม่มีชิ้นไหนเป็นของใครโดยเฉพาะ แต่ต่างคนต่างดื่มด่ำไปกับรสอร่อยและวิเคราะห์วิจารณ์กันอยู่สองคนในฐานะคนที่ชื่นชอบขนมเหมือนกัน

หากนึกย้อนไปถึงช่วงแรกๆ ที่ได้รู้จักกัน คงจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะมีวันที่ได้มานั่งกินขนมร่วมโต๊ะและพูดคุยกันออกรสแบบนี้ เมื่อรู้ตัวอีกที อดีตบล็อกเกอร์กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดกับการกินขนมอีกแล้ว และยังสนุกที่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับขนมได้กินอีกต่างหาก

เวลาล่วงเลยผ่านไปนานจนน่าแปลกใจ พวกเขาใช้เวลาอยู่ในร้านขนมมากกว่าช่วงเวลาที่ใช้ไปกับสถานที่ท่องเที่ยวเสียอีก ดังนั้นกว่าจะกลับมาที่รถอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ก็คล้อยลงต่ำในระดับสายตาเสียแล้ว

โปรแกรมต่อไปคือการพายเรือเล่น ภันวัฒน์เลื่อนเรือสีขาวซึ่งเกยอยู่บนฝั่งทั้งลำลงไปยังบึง ทางฝั่งที่อยู่ใกล้กับบ้านพักนั้นเป็นดินเทลาดลงไปเป็นตลิ่ง ผิดกับฟากตรงข้ามซึ่งเป็นโขดหินเพื่อให้ความรู้สึกเสมือนแอ่งน้ำตกเสียมากกว่า

“ถอดรองเท้าแล้วลงมาเลยครับ”

ภันวัฒน์ร้องบอกโดยที่นำลงไปยืนแช่อยู่ในน้ำสูงเทียมเข่าเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งจึงทำตามอย่างที่อีกฝ่ายว่า และเดินลงไปยังน้ำช้าๆ แต่ซวนเซเล็กน้อยเพราะว่าดินทางฝั่งนี้นุ่มกว่าที่เคยเหยียบย่างเมื่อวาน กระทั่งมาถึงเรือไม้ลำเล็กสีขาว ซึ่งมีภันวัฒน์ประคองมันไว้อยู่

“แล้วผมจะขึ้นยังไงดี”

คำถามที่หลุดมาไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่แค่ยกเท้าเหยียบพื้นเรือมันก็โคลงเคลงจนไม่กล้าจะยกเท้าอีกข้างขึ้นมา เกรงว่าตนจะทรงตัวไม่ได้ แล้วล้มคะมำหน้าฟาดน้ำให้อีกฝ่ายขำเสียมากกว่า


“จับบ่าผมไว้ก็ได้ครับ”

เพราะอีกฝ่ายเสนอมาเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจึงยกเท้าลงจากท่ายักแย่ยักยัน ขยับตัวให้เข้าไปใกล้ร่างกำยำเบื้องหน้า และยกเท้าขึ้นเรืออีกครั้ง แต่ก่อนจะยกเท้าอีกข้าง มือทั้งสองก็วางกดบนไหล่หนาหนั่นเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้ จนกระทั่งสามารถลงไปนั่งบนเรือได้สำเร็จ

ผู้จัดการหนุ่มตามขึ้นเรือได้ในพริบตา และนั่งลงยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามมายิ้มแฉ่งให้อย่างน่าอัศจรรย์ จนร่างโปร่งแทบไม่เชื่อว่าเมื่อครู่ตนจะรู้สึกลำบากถึงขนาดนั้น

คนมีทักษะกับคนไร้ประสบการณ์ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจนรู้สึกว่าน่าหัวเราะจริงๆ

อาทิตย์อัสดงอดคิดไม่ได้ว่าในสายตาของอีกฝ่ายจะมองว่าเขาน่าขบขันบ้างหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะได้คำตอบในทันที เพราะภันวัฒน์ไม่ได้มีสีหน้าแบบนั้นแม้แต่น้อย เขาหันไปให้ความสนใจกับไม้พายมากกว่า

“คนละอันครับ”

“แต่ผมพายไม่เป็น”

“พายสลับจังหวะกันก็ได้ครับ จะได้ไม่เมื่อย แต่ว่าอย่าพายสวนทางกันล่ะ”

ยิ่งบอกแบบนั้นก็ทำให้เจ้าของหน้าตี๋ๆ งกเงิ่นมากขึ้นไปใหญ่ พอไม้พายจากมือใหญ่จ้วงลงน้ำไป ร่างโปร่งก็ลนลานพายตาม สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทำอะไรไม่ถูก คล้ายกับหุ่นยนต์ที่รับข้อมูลมากเกินจนรวนอย่างไรอย่างนั้น จึงเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากร่างใหญ่จนได้

“อย่าหัวเราะสิครับ ก็ผมบอกแล้วว่าพายไม่เป็น”

“ผมหัวเราะเพราะคุณน่าเอ็นดูต่างหาก”

เหตุผลที่ว่ามานั้นราวกับว่าตนเองเป็นเด็กไม่ประสีประสาจนอดจะรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่ได้ หัวคิ้วของอาทิตย์อัสดงขมวดเข้าหากันอย่างไม่ปิดบัง ทำให้คนเห็นยิ่งอมยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม

“เป็นคำชมนะครับ”

“มันเป็นคำชมของเด็กไม่ใช่หรือไงครับ”

“ไม่ต้องเป็นเด็กก็น่าเอ็นดูได้ อย่างคุณไง”

ไม่รู้แล้วว่าตนเองเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกกันแน่ แต่ที่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังถูกแกล้งอย่างแน่นอน มือเรียวจึงขยันขันแข็งทำงาน รีบจ้ำพายสุดแรง จ้วงเอาๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะที่อีกฝ่ายพยายามกลั้นเอาไว้แล้วแต่มันก็หลุดออกมานั่นแหละ ถึงได้รู้ตัว

“คุณพายเข้าฝั่งทำไมเหรอครับ อยากรีบขึ้นบกขนาดนั้นเชียว”

จบคำพูดแล้วเสียงหัวเราะก็ดังอีกรอบ อาทิตย์อัสดงดึงไม้พายมาวางลงพื้นเรือโดยพลัน หน้าบึ้งตึงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มให้ประดับบนผืนหน้าสีน้ำผึ้งจนวางลงไม่ได้

“ผมอยากให้คุณรับรักผมตอนนี้จังเลยครับ”

เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ ดวงตาคมสีดำเป็นประกายวาววับ สะท้อนรอยยิ้มให้เห็นอยู่บนนั้นอย่างชัดแจ้ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ปราการหินเสริมเหล็กกล้าของอาทิตย์อัสดงซึ่งถูกกัดกร่อนเรื่อยมาสั่นคลอนจนแทบพังทลาย

“เพราะคุณน่ารักจนผมอยากฟัดจะแย่อยู่แล้ว”






----------------------
ทำไมคุณอาทิตย์น่ารัก <- แต่งเองชมเอง

ตอนนี้น่าจะชื่อ ยับยั้งชั่งใจไม่ทันแล้ว หรือไม่ก็ ยับยั้งชั่งใจยังไงให้ทัน มากกว่าล่ะมั้ง


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 31-07-2016 20:06:46
น่ารักมากเลยค่ะ ทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-07-2016 20:10:28
ไม่ทันแล้ว

รักไปแล้ว
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-07-2016 20:27:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 31-07-2016 22:33:11
ฮื้ออออออออออออ ไม่ทันได้เตรียมใจเมื่อเห็นเธอเดินจากไป แต่ตัวฉันคงทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความจริงงง เป็นตอนที่หวานมากเลยค่ะ อ่านแล้วหยุดยิ้มไม่ได้ ฮื้ออ คุณภันนี่รักษามาดพระเอกไว้ได้อย่างต่อเนื่องเลยนะคะ แล้วดูค่ะ เขาจูบกัน!!!!!!!! อยากจะกรี๊ดดังๆ โอ๊ยยยย บรรยากาศเขินจนเราเขินตามเลยค่ะ ความจริงคุณภันเป็นผู้ชายอบอุ่นจริงๆด้วยนะคะ รุกต่อไปค่ะคุณภัน นี่คุณอาทิตย์เปิดใจให้จนไม่รู้จะปิดยังไงแล้วค่ะ แต่อดีตคุณอาทิตย์นี่ก็... เฮ้อออ มันผ่านไปแล้วค่ะ ตอนนี้คุณอาทิตย์มีคนที่รักและหวังดีอยู่ข้างๆแล้ว เราก็ไม่รู้ว่ามันจะไปลงเอยแบบเดิมอีกรึเปล่า แต่ตอนนี้คุณอาทิตย์มีความสุขเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ ประโยคสุดท้ายคุณภันนี่... คืนนี้ห้ามลวนลามคุณอาทิตย์เชียวนะคะ อดใจไว้ค่ะ! 5555555  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 31-07-2016 22:44:37
น่ารักน่ารักน่ารักน่าร้ากกกกกกกก

เราก็อยากฟัดฟรีบ้างนะ !
 
:-[
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ [31/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-08-2016 00:08:29
โอ๊ย คุณภันราศีจับขึ้นทุกที
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 26th Entry : เกินคาด [7/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 07-08-2016 18:12:20
26th Entry : เกินคาด






แผนการพายเรือกินลมชมวิวยามเย็นเป็นอันต้องล่ม เมื่ออาทิตย์อัสดงข่มความรู้สึกที่คุกคามขึ้นมาในอก และพยายามกลั้นสีหน้าที่ดูจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไว้ แล้วกล่าว

“ผมว่าไปเตรียมอาหารเย็นดีกว่าครับ”

แต่ใช่ว่าทำเช่นนั้นจะหลีกหนีพ้นได้ เพราะหลังจากนั้นร่างโปร่งก็ต้องเผชิญกับสีหน้ากระหยิ่มยิ้มราวกับล้อเลียนอยู่ในทีของภันวัฒน์ไปตลอดทั้งเย็นจรดดึก

กระทั่งถึงเวลาเข้านอน ความรู้สึกกระดากแซมอายจึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความระแวดระวัง เพราะต้องร่วมเตียงเดียวกันอีกครั้ง ด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับในเต็นท์

ทว่าภันวัฒน์คงจับความรู้สึกได้กระมัง จึงเขยิบร่างเข้ามาชิดใกล้ กระซิบเสียงพร่าชวนสยิวข้างหู

“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”

อาทิตย์อัสดงได้แต่นอนเกร็ง ตัวแข็งทื่อ ต้องข่มตาที่อยากจะเบิกโพลงเสียเหลือเกินให้ปิดแน่นอยู่เกือบค่อนคืน กระทั่งแน่ใจว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ความเงียบและความเย็นสบายยามค่ำคืนจึงดึงร่างโปร่งจมดิ่งม่อยหลับไป

เมื่อรุ่งเช้ามาถึง ภันวัฒน์ก็เอ่ยปากว่า ‘ต้องกลับวันนี้แล้วล่ะครับ เพราะว่าคืนนี้ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว’ ทั้งคู่จึงออกเดินทางกันในช่วงสาย แวะเวียนข้างทางตามสถานที่ต่างๆ บ้างเป็นระยะ และด้วยเหตุที่วันนี้เป็นวันสิ้นปี การเดินทางขาเข้ากรุงเทพฯ จึงสะดวกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ

อาทิตย์อัสดงกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ไร้การโจมตีที่อันตรายต่อร่างกายและหัวใจในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขาเปิดประตูรถพลางจะก้าวลงแต่ก็โดนรั้งเอาไว้ด้วยเสียงของสารถีหนุ่มเสียก่อน

“ลืมคุกกี้ครับ”

กายสมส่วนเอี้ยวตัวแทรกระหว่างสองที่นั่งไปทางด้านหลัง หยิบกล่องคุกกี้ซึ่งถูกนำไปวางที่เบาะหลังแทนเพื่อความสะดวกในการลุกนั่งในช่วงเดินทาง อดีตบล็อกเกอร์จึงรับมันไป เผลอคิดในใจว่าสุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายลืมเสียเอง

“ขอบคุณครับ”

หลังจากรับไปแล้วจึงเปิดประตูอีกครั้ง ร่างโปร่งย่างเท้าลงยังพื้นหน้าบ้านที่เงียบสงบของตน ตามด้วยหันมาเอ่ยลาคนที่มาส่ง แต่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ มือเรียวทำท่าจะเปิดประตูที่เพิ่งปิดลงไปอีกครั้ง แต่ภันวัฒน์ไวกว่า เขาเลื่อนกระจกลงพลางถาม

“มีอะไรเหรอครับ”

“ผมเพิ่งนึกได้ เรื่องเสื้อผ้าที่ผมใส่ไปน่ะครับ เดี๋ยวคุณแบ่งออกมาให้ผมจัดการเองดีกว่า แล้วก็...ค่าเสื้อผ้าที่คุณซื้อมา เท่าไรเหรอครับ เดี๋ยวผมจ่ายให้”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มประดับบนกรอบหน้าคมคร้ามของคนที่อยู่ในรถได้

“ก็ได้ครับ ผมตกลงที่จะให้คุณเอาเสื้อผ้าไปจัดการเอง แต่ว่าค่าเสื้อผ้า ไม่ต้องจ่ายหรอกครับ ถือซะว่าผมซื้อให้คุณ”

“จะเอาแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ”

ร่างโปร่งสวนเสียงกลับอย่างตื่นตระหนก เพราะชุดที่ตนใส่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ชุดเดียว มีทั้งชุดที่ใส่เมื่อวานนี้ตลอดทั้งวัน ชุดที่สวมอยู่ตอนนี้ และยังชุดนอนอีกสองคืนที่อีกฝ่ายจัดแจงส่งให้เขาเปลี่ยนราวกับมันเป็นเสื้อผ้าชนิดใส่แล้วทิ้ง

ยังไม่นับรวมกางเกงชั้นในที่เขาแยกใส่ถุงและถืออยู่ในมือ

“งั้นแลกกันได้ไหมครับ”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เพราะยังไม่รู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนที่อีกฝ่ายเสนอคืออะไร แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเป็นข้อเสนอแปลกประหลาดอะไรหรือไม่

“แลกอะไรครับ”

“ง่ายนิดเดียวครับ แค่คุณเป็นอย่างตอนนี้ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องพยายามต่อต้านผม แล้วก็ยิ้มให้ผมอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องอดกลั้น แค่นั้นก็พอแล้วครับ ได้ไหมครับ”

“แต่ว่ามันเทียบกันไม่ได้หรอกครับ แล้วชุดที่คุณซื้อมาแต่ละชุดก็ไม่ใช่ของถูกๆ ด้วย แถมก็เป็นไซส์ผม ไม่ใช่ไซส์คุณ ยังไงคุณก็เอาไปใส่ต่อไม่ได้”

“ก็จริงอย่างคุณว่านะ มันเทียบกันไม่ได้”

ทั้งที่รู้อยู่แล้ว และเป็นคนพูดออกไปจากปากของตนเองแท้ๆ แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘เทียบกันไม่ได้’ ก็ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาในอก ประดุจโดนเหล็กร้อนๆ แนบทาบเข้ามา เป็นการตีตราแห่งความทรมาน เขาเผลอกำมือเข้าหากันเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาเองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ทว่าเพียงครู่เดียวความรู้สึกเหล่านั้นก็พลิกตลบกลับด้านไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากได้ยินเสียทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง

“ค่าเสื้อผ้าที่ผมซื้อมา เทียบกับความสุขที่ผมได้อยู่กับคุณตลอดสามวันไม่ได้หรอกครับ ยิ่งได้เห็นคุณทำตัวเป็นกันเอง ไม่เอาแต่คิดนั่นนี่เพื่อปิดกั้นตัวเอง คุณรู้ไหมว่าผมมีความสุขแค่ไหน”

ระหว่างที่ระแวดระวังตัวมาตลอดนับตั้งแต่เย็นวาน จนกระทั่งผ่อนคลายลงทีละน้อย คลื่นลมที่หวาดเกรงว่าจะซัดสาดเข้ามาเป็นระลอกกลับนิ่งสงบโดยสิ้นเชิง แต่ในช่วงที่ปลดเปลื้องเกราะป้องกัน เพราะนึกว่าอยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว การโจมตีขนานใหญ่กลับจู่โจมเข้าหาอย่างหนักหน่วงโดยไม่อาจตั้งตัวได้

อาทิตย์อัสดงถึงกับซวนเซจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่แข็งทื่ออยู่เช่นเดิม ภันวัฒน์จึงต้องถามพลางยิ้มแทน

“สรุปว่าแลกไหมครับ”

“...เอามาสิครับ”

หลังจากอ้ำอึ้งอยู่เป็นนาน สุดท้ายร่างโปร่งก็ต้องตอบออกไปโดยไม่ได้ตรอกตอรงให้ดี มือเรียวยื่นเข้าหากรอบหน้าต่างรถที่กลวงโบ๋ไปด้วยเพื่อตัดบทให้การสนทนานี้จบเร็วๆ ร่างสูงใหญ่จึงลงจากรถมาและแยกสัมภาระออกตามที่อีกฝ่ายต้องการ

“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าบ้านก่อนนะครับ”

เมื่อได้รับมอบของกลางในการเจรจาแล้ว เจ้าของหน้าตี๋ๆ ก็หันขวับกลับเข้าบ้านพลางกระชับกองเสื้อผ้าในอ้อมแขนไปด้วย

“ครับ น่าเสียดายนะครับที่วันนี้ผมไม่ได้อยู่กับคุณจนถึงเที่ยงคืน”

ไม่ต้องขยายความมากไปกว่านี้อาทิตย์อัสดงก็เข้าใจความหมายได้ เพราะว่าเป็นวันสิ้นปี เขาเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“น่าเสียดายนะครับ คุณยังต้องทำงานอีก”

“นั่นสิครับ ทั้งที่ผมอยากจะเห็นหน้าคุณเป็นคนแรกตั้งแต่วินาทีแรกที่ขึ้นปีใหม่”

แม้ว่าจะดึงบทสนทนาให้ห่างไกลจากการทำให้อีกฝ่ายพูดประโยคโจมตีกันแล้ว แต่มันก็ไม่สำเร็จ ภันวัฒน์กลับดึงมันเข้าสู่วงโคจรเดิมอีก

“เอ่อ คุณรีบกลับเถอะครับ จะได้พักผ่อนก่อนไปทำงาน”

เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ร่างโปร่งจึงตัดจบอย่างห้วนๆ ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ ด้วยรู้ว่าคำพูดของตนกำลังสร้างความรู้สึกสับสนอลหม่านขึ้นในใจของคนตรงหน้า

“ครับ ไว้ผมจะหามาใหม่นะครับ”

สิ้นเสียงนั้น อาทิตย์อัสดงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วๆ ห่างออกไป เครื่องยนต์เริ่มทำงาน เมื่อมั่นใจได้ว่ารถของอีกฝ่ายกำลังจะเคลื่อนออกไป ร่างโปร่งก็เหลียวหลังกลับมาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทัน เพราะเมื่อหน่วยตาสีชาชำเลืองไปเล็กน้อย ก็สบเข้ากับหน่วยตาคมเข้มซึ่งจับจ้องมาผ่านกระจกรถที่ยังไม่เอาขึ้น

อาทิตย์อัสดงรู้สึกร้อนวูบจากต้นคอขึ้นสู่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว อับอายจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร รู้สึกราวกับถูกจับได้คาหนังคาเขาว่ากำลังกระทำความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงต้องหันขวับ สาวเท้าเร็วๆ เกือบวิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน เปิดประตูและปิดมันเพื่อซ่อนร่างของตนเองให้พ้นจากขอบเขตการมองเห็นของอีกฝ่ายโดยเร็วที่สุด จนสุดท้ายรถยนต์สีเทาดำยอมจากไป ลมหายใจจึงค่อยผ่อนออกมาอย่างโล่งอก





เสียงเข็มนาฬิกาที่หมุนผ่านถูกกลบด้วยเสียงโทรทัศน์ที่เปลี่ยนสลับช่องไปมา เพราะไม่ว่าเปิดไปช่องไหนๆ ก็มีแต่บรรยากาศของการเคานท์ดาวน์ที่สนุกสนานจนไม่มีรายการอื่นๆ ให้ดู

ปีนี้เป็นปีแรกในรอบเกือบสิบปีเสียด้วยซ้ำที่เขาต้องมานั่งเคานท์ดาวน์กับโทรทัศน์ แต่ครั้นจะขึ้นห้องนอนเสียเลยก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะนอนข้ามปี แทนที่จะได้ตื่นรับศักราชใหม่

เวลาแห่งการเริ่มต้นใกล้เข้ามาทุกที เสียงนับพร้อมกันดังลั่นออกมาจากจอสี่เหลี่ยม ถอยหลัง ห้า สี่ สาม และจบลงด้วยศูนย์พร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี เมื่อได้ยินดังนั้นร่างโปร่งรู้สึกราวกับภารกิจของตนลุล่วงอย่างน่าแปลกประหลาด รู้สึกสบายใจที่จะปิดโทรทัศน์ลง

ขาเรียวย่างก้าวขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่ห้องนอน แต่เสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้นมาเสียก่อนจึงต้องยกขึ้นดู เป็นข้อความอวยพรปีใหม่จากผองเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน และพี่น้องที่บริษัท รวมทั้งข้อความจากหนึ่งฤทัยด้วย

เขาอมยิ้มเล็กน้อยกับข้อความที่ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรต่างจากคนอื่นๆ ก่อนจะพิมพ์ส่งกลับไปด้วยถ้อยคำง่ายๆ เช่นเดียวกัน ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงยังหัวเตียงและเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันเพื่อเตรียมตัวเข้านอนจริงๆ แต่เมื่อออกมากลับเห็นไฟกะพริบที่โทรศัพท์เป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา

อาทิตย์อัสดงหยิบมันขึ้นมาเปิดดูเพราะคาดว่าคงเป็นเพื่อนไม่คนใดก็คนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นพี่สาวของตนเองก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ได้เห็นนั้นกลับต่างจากที่คิด และเป็นบุคคลที่ไม่คาดคิด



‘สวัสดีปีใหม่ครับ’



ข้อความจากภันวัฒน์

นัยน์ตาเรียวจับจ้องที่ตัวหนังสือประโยคสั้นๆ นั้นโดยไม่ได้เปิดข้อความจากแอปพลิเคชั่นสนทนาเช่นเดียวกับทุกครั้ง ครุ่นคิดกับตนเองว่าควรจะทำอย่างไรกับมันดี ควรเพิกเฉยดีหรือไม่ ทว่าสุดท้ายแล้วก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘เทศกาลพิเศษ’

หากเมินเฉยไปคงไม่ดีกระมัง แม้ว่ามันจะเป็นคำที่แสนธรรมดา แต่ด้วยเพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่... จึงไม่ควรทำชืดชาต่อคำทักทายตามเทศกาล

ใช่ ก็เพราะว่าเป็นวันปีใหม่

เพราะเป็นวันปีใหม่นั่นแหละ

อาทิตย์อัสดงให้เหตุผลกับตนเอง ราวกับจะตอกย้ำว่าไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เป็นพิเศษ ก่อนจะกดเปิดข้อความนั้นเข้าไปเป็นครั้งแรก สิ่งที่ปรากฏบนจอที่ได้เห็นคือสติกเกอร์และข้อความที่เคยถูกส่งมาก่อนพร้อมกับข้อความใหม่

เขาพิมพ์ประโยคเดียวกันทั้งที่สามารถก๊อบปี้มาวางลงแล้วส่งได้ทันทีลงไป จากนั้นกดส่งให้ผู้รับที่เจียดเวลาทำงานมาส่งข้อความหาตนเอง แต่เพียงครู่เดียวเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นจากอุปกรณ์ในมือ ทว่าแตกต่างจากเดิมเพราะมันเป็นสัญญาณเรียกเข้า พร้อมปรากฏรูปภาพประจำตัวของอีกฝ่ายขึ้นมา

ร่างโปร่งรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาครามครัน เพราะไม่คิดว่าคนที่ตนเพิ่งส่งข้อความหาจะติดต่อเข้ามาโดยตรง เขามองมันอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่สุดท้ายก็ต้องบอกเหตุผลเดิมกับตัวเองอีกครั้ง

เพราะเป็นวันปีใหม่

“สวัสดีครับ”

แทนที่จะได้ยินเสียงจากปลายสาย แต่มีความเงียบแทรกมาแทน หัวคิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงกลับไปเป็นคำเดิม เสียงของอีกฝ่ายถึงได้ดังขึ้น

[ตกใจเลยล่ะครับ]

ประโยคแรกที่ได้ยิน ทำให้คิ้วที่ย่นเข้าหากันคลายออก เปลี่ยนเป็นเลิกขึ้นแทน

“ตกใจอะไรครับ”

[ตกใจที่คุณรับสายน่ะสิครับ ผมโทรไปโดยไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าคุณจะรับ เพราะคิดว่าคงกดทิ้ง ไม่ก็ปล่อยให้ผมยอมวางสายไปเองแน่ๆ]

ได้ฟังคำตอบแล้วอาทิตย์อัสดงก็ต้องยิ้มกับตนเอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เขากะว่าจะทำอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นนั้นหมือนกัน

“แล้วไม่ดีเหรอครับ”

[ดีสิครับ]

เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างกระตือรือต้นจนคนฟังถึงกับนึกภาพออกด้วยซ้ำ ทำให้รอยยิ้มที่เจืออยู่บนหน้าตี๋ยังคงกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง

[แต่ว่าทำไมถึงรับสายล่ะครับ]

“นั่นสินะครับ” ตอบกลับไปแล้วร่างโปร่งก็เว้นจังหวะไปชั่วครู่หนึ่ง คล้ายกับว่านึกหาเหตุผล แต่สุดท้ายแล้วคำตอบก็ยังเหมือนเดิม “คงเพราะเป็นปีใหม่ล่ะมั้งครับ”

[งั้นผมคงต้องขอบคุณวันปีใหม่งั้นสินะครับ]

“ก็คงจะอย่างนั้น”

เสียงหัวเราะหลุดออกมาเบาๆ จากอดีตบล็อกเกอร์ ทำให้ปลายสายพลอยเงียบไปด้วย แต่เพียงครู่เดียวเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นอีก

“ว่าแต่ทำไมถึงโทรมาล่ะครับ คุณไม่ได้ทำงานอยู่เหรอ”

[ทำอยู่นั่นแหละครับ แต่ช่วงที่วุ่นวายที่สุดผ่านไปแล้ว ผมก็เลยพักผ่อนได้นิดหน่อย ก็เลยอยากจะมาสวัสดีปีใหม่คุณก่อน]

“อ้อ ครับ งั้นก็สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะครับ”

[ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ แล้วก็...]

“ครับ”

จังหวะที่หยุดไปชั่วครู่ราวกับจะเรียกความสนใจของร่างโปร่งให้อยากรู้

[คุณได้กินคุกกี้ที่ผมให้ไปหรือยังครับ]

“คุกกี้เหรอครับ” อาทิตย์อัสดงทวนคำ พลางนึกถึงคุกกี้ที่ก่อนหน้านี้เกือบลืมทิ้งไว้บนรถ เขาวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะอาหารที่ห้องครัว “ยังเลยครับ ทำไมเหรอครับ”

[ผมจะบอกว่าอย่าลืมกินนะครับ แล้วก็อย่ากินเกินวันละห้าอันนะครับ]

“ทำไมต้องอย่ากินเกินวันละห้าอันด้วยล่ะครับ”

[เอาไว้คุณเปิดดูก็จะรู้เองนั่นแหละครับ]

คำตอบที่ไม่ชัดเจนพาให้คิ้วของอาทิตย์อัสดงต้องขยับเข้าหากันอีกรอบ เขาสงสัยว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่จนรู้สึกว่าหากวางสายจากอีกฝ่ายแล้วจะต้องลงไปกินมันให้ได้ แม้ว่าแต่เดิมตั้งใจว่าจะนอนแล้วก็ตาม

“คุณพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมสงสัยนะครับ”

[ไม่มีอะไรหรอกครับ]

เสียงหัวเราะแทรกมากับเสียงทุ้มใหญ่ยิ่งกระตุ้นให้ร่างโปร่งอยากรู้ จึงเลี่ยงการสนทนทาต่อเพื่อไปหาคำตอบ

“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมก็รู้คำตอบแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็แค่นี้ก่อนนะครับ”

ทว่าดูเหมือนว่าการตัดสินใจของหนุ่มหน้าตี๋จะทำให้ใบหน้าสีน้ำผึ้งเปื้อนด้วยรอยยิ้ม เพราะน้ำเสียงที่ส่งออกมาเป็นคำราตรีสวัสดิ์ที่คละเคล้าไปด้วยความพึงพอใจอย่างชัดเจน

[ครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ]

หลังจากวางสายไป อาทิตย์อัสดงก็ไปทำตามที่ตนตัดสินใจเมื่อครู่เอาไว้ เป้าหมายคือกล่องคุกกี้ที่อยู่ชั้นล่างบนโต๊ะในห้องครัว ซึ่งเมื่อเปิดกล่องออกมา เขาก็พบว่าภายในไม่ใช่คุกกี้รูปทรงแบนที่มีลักษณะเป็นวงกลมหรือสี่เหลี่ยมอย่างที่เคยเห็นทั่วไป ไม่แม้กระทั่งเป็นคุกกี้รูปสัตว์น่ารัก แต่เป็น...

คุกกี้เสี่ยงทาย

รูปทรงลักษณะสามเหลี่ยมก็ไม่ใช่วงกลมก็ไม่เชิง ป่องพองตรงกลางราวกับบรรจุลมไว้ภายในนั้นมีสีเหลืองนวล บริเวณรอยแยกแคบๆ ตรงปลายด้านหนึ่งมีกระดาษแผ่นเล็กเป็นเส้นยื่นออกมาเล็กน้อย บนนั้นมีตัวเลขหนึ่งถึงห้ากำกับไว้

ให้กินตามหมายเลขนี่เหรอ?

คำถามก่อเกิดในใจอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับมือเรียวหยิบชิ้นที่มีหมายเลขหนึ่งมา เขาดึงกระดาษสีขาวแผ่นนั้นออก บนส่วนที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นมีตัวหนังสือกำกับอยู่ ใจความว่า...

‘กระดาษทำจากไม้’

อ่านแล้วก็ได้แต่งุนงงว่ามันคืออะไรกันแน่ ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ส่งขนมกลิ่นหอมเข้าปาก เคี้ยวมันอย่างช้าๆ รับรสชาติและรสสัมผัสไปพร้อมๆ กัน กลิ่นหอมของวานิลลาลอยฟุ้งอวลไปทั่วทั้งปาก จนอดยิ้มกับตนเองไม่ได้

จากนั้นมือเรียวหยิบชิ้นที่มีหมายเลขสองขึ้นมา ดึงกระดาษที่ถูกซ่อนข้อความเอาไว้มาอ่านดู

‘ดินสอทำจากถ่าน’

แม้เนื้อหาจะมีสองข้อความแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี หรือบางทีอาจจะต้องอ่านทั้งห้าข้อความก็เป็นได้ จึงหยิบชิ้นที่สามและทำอย่างเดิม

‘เป็นของจากธรรมชาติ’

ตามด้วยชิ้นที่สี่

‘เพราะฉะนั้น’

เครื่องหมายปรัศนีลอยล่องเต็มอยู่ภายในหัวของอดีตบล็อกเกอร์ ดวงหน้าขาวตี๋ปรากฏริ้วรอยยุ่งยากใจ ขณะที่ปากเคี้ยวคุกกี้รสอร่อยตุ้ยๆ ไปด้วย จากนั้นหยิบชิ้นที่ห้า ดึงกระดาษออกมาแล้วส่งคุกกี้เข้าปาก

‘ไม่ต้องห่วงเรื่องสารปนเปื้อนครับ’

เพียงอ่านข้อความสุดท้าย เศษคุกกี้ที่คาอยู่ในปากแทบจะพ่นออกมาทั้งหมด อาทิตย์อัสดงต้องพยายามกลืนของที่อยู่ภายในปากให้เรียบร้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันแทบน้ำตาลไหล ไม่คิดแม้แต่น้อยว่าจะมีข้อความไร้สาระเช่นนี้แอบซ่อนอยู่

เมื่อมองลงไปยังกล่องคุกกี้ทรงกระบอกแคบๆ ก็เห็นว่ามันถูกปิดด้วยแผ่นพลาสติกบางๆ เมื่อเปิดออกก็เห็นว่าเป็นคุกกี้เช่นเดียวกับที่ตนกินไปก่อนหน้าแต่คนละสี ถูกจัดวางเอาไว้เช่นเดียวกัน และมีตัวเลขกำกับเช่นเดิม

เหตุผลที่บอกให้กินวันละห้าชิ้นก็เพราะแบบนี้สินะ

ครั้นนึกได้ว่าอีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่าอย่างไร ร่างโปร่งก็ต้องอมยิ้มกับตนเอง ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนใจใคร่รู้ถึงข้อความต่อไปนับจากนี้ แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้พลางบอกตัวเองว่าคงเป็นความบันเทิงประจำวันที่ภันวัฒน์มอบให้เขาสินะ

นัยน์ตาเรียวจับจ้องไปยังทรงกระบอกสูงประมาณหนึ่งคืบครึ่ง รอบด้านปิดทึบจึงคาดเดาได้ยากว่ามันมีจำนวนอยู่เท่าไร

“มีกี่ชั้นกันเนี่ย”

ถามคำถามกับตนเองแล้วก็ตัดใจเพราะคงไม่ได้คำตอบมาอย่างง่ายๆ จนกว่าจะกินไปเรื่อยๆ จึงปิดฝากล่องลงแล้วอมยิ้มกับตนเองอีกครั้งพลางนึกถึงคนที่มอบมันให้มาด้วย

“ขอบคุณนะครับ ผมจะกินวันละห้าชิ้นอย่างที่บอกแล้วกัน”





เพราะเมื่อคืนต้องอยู่ตรวจความเรียบร้อยจนเกือบโต้รุ่ง ดังนั้นกว่าจะได้สติอีกครั้งก็เป็นช่วงตะวันสายโด่ง แต่ก็ไม่มีปัญหากระทบกับงานนัก เนื่องด้วยในวันนี้ภันวัฒน์ก็เข้างานในช่วงเย็นอีกเช่นเคย เพราะหากเทียบกันแล้ว ช่วงกลางคืนย่อมมีความเสี่ยงที่งานจะมีปัญหาได้มากกว่ากลางวัน

ก็เพราะว่ามีการใช้ห้องจัดเลี้ยงเยอะนี่นา

เนื่องจากช่วงปีใหม่เป็นเทศกาลที่ควรใช้เวลาไปกับครอบครัว ดังนั้นแม้แต่พวกพนักงานระดับหัวหน้าก็ได้รับการอนุมัติให้หยุดได้ต่อเนื่องถึงสองวันเต็ม โดยให้ผู้ที่อยู่ในส่วนรับผิดชอบเดียวกันสับเปลี่ยนกันหยุด เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน ภันวัฒน์ซึ่งได้หยุดไปก่อนจึงต้องรับหน้าที่ดูแลในส่วนของผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงควบไปด้วยในตอนนี้

ชายหนุ่มตรงมายังบ้านหลังใหญ่ของไพฑูรย์ เขามาพบพรรณีเพื่อคืนกุญแจของบ้านพักซึ่งยืมไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งขอบคุณอีกฝ่ายด้วยที่ปิดเรื่องนี้ไม่ให้ไปถึงหูของลูกสาว ดังนั้นเมื่อพร่างฟ้าเห็นพี่ชายมาที่บ้านจึงรีบสอบถามเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“ทำไมเมื่อวันก่อนพร่างถึงติดต่อพี่ภันไม่ได้เลยล่ะ โทรไปก็ปิดเครื่องตลอดเลย”

น้องสาวทำหน้ามู่เกาะแขนพี่ชายไว้มั่น ดั่งต้องการกักขังอีกฝ่ายเอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้หลีกหนีไปได้ก่อนเธอจะได้คำตอบ ผิดกับภันวัฒน์ที่ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ

“พี่ไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะครับ”

ร่างสูงไม่เปลี่ยนสีหน้า ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติจนไม่น่าสงสัย ทั้งที่จริงแล้วตนตั้งใจปิดมือถือก็เพราะเกรงว่าจะโดนน้องสาวก่อกวนช่วงที่เขาอยู่กับอาทิตย์อัสดงต่างหาก ทว่ามันก็ใช้กับพร่างฟ้าผู้ติดพี่ชายแจไม่ได้นัก ถ้อยคำกระเง้ากระงอดส่งผ่านมา

“ทำไมพี่ภันไม่เห็นบอกพร่างเลยว่าจะไปเที่ยว พร่างจะได้ไปด้วย”

“ก็พร่างบอกว่าพร่างจะไปเที่ยวปีใหม่กับเพื่อนก่อนไม่ใช่เหรอครับ พี่ก็เลยว่าพร่างคงไม่ว่างหรอก”

“ถ้าพี่ภันบอก พร่างก็แคนเซิลเพื่อนไปแล้ว พร่างก็อยากไปเที่ยวกับพี่ภันมั่งนี่นา งั้นเราไปวันพรุ่งนี้กันก็ได้ นะๆ นะคะ”

“เสียใจด้วยครับ” มือหนาขยุ้มกระหม่อมของน้องสาวเบาๆ อย่างเอ็นดูราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ “วันหยุดพี่หมดแล้ว ต้องทำงานทุกวันเลยล่ะ”

“โธ่ พี่ภันอะ”

พร่างฟ้าตวัดเสียงแสนงอนใส่ ทำหน้าบูบี้ไม่ต่างจากเด็กน้อย เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนผืนหน้าของคนมองได้ ทว่าเพียงครู่เดียวสีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป กลายเป็นขมึงตึงขึ้นมาทัน

“ว่าแต่เพื่อนที่ไปด้วยน่ะ ไม่ใช่พี่จอมใช่ไหมล่ะ พี่ภันไปกับใคร”

ภันวัฒน์เหยียดยิ้มแผ่วเบา พลางนึกสงสารเพื่อนที่คงถูกถามตื๊อเรื่องเขาอย่างแน่นอน

“พี่ไม่ได้มีเพื่อนคนเดียวสักหน่อยนี่”

“เพื่อนจริงๆ แน่นะ ไม่ใช่แฟนแล้วหลอกพร่างหรอกนะ”

“เพื่อนจริงๆ ครับ”

เสียงทุ้มย้ำอย่างหนักแน่นเพื่อให้น้องสาวเชื่อ ซึ่งตามจริงมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาทิตย์อัสดงไม่ได้อยู่ในระดับคนรักอย่างที่น้องสาวหวาดระแวง แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดก็ตาม

“จะยอมเชื่อก็ได้”

น้องสาวทำปากยื่นบอกออกมาอย่างเซ็งๆ ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็รู้สึกว่าตนต้องระวังการกระทำและคำพูดไว้อยู่ดี เพราะเขาไม่รู้ว่าวันที่พร่างฟ้าไปที่ร้านและสอบถามเรื่องเขาจากจุ๊บแจงและเป็นหนึ่ง เธอได้ข้อมูลอะไรไปบ้าง

ดังนั้นช่วงระหว่างหนึ่งสัปดาห์มานี้ ภันวัฒน์จึงไม่ได้ไปหาอาทิตย์อัสดงแม้แต่ครั้งเดียว เขามุ่งมั่นทำงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งน้องสาวที่รักก็คอยจับตาเฝ้ามองเขาเป็นระยะอยู่เสมอ เพราะเวลาที่เธออยู่ประเทศไทยกำลังจะหมดลงแล้ว ชายหนุ่มจึงอาศัยช่องทางเดียวที่ร่างโปร่งอนุญาตให้ติดต่อได้ในการสานต่อความสัมพันธ์

นับตั้งแต่วันปีใหม่เป็นต้นมา เขาก็ติดต่ออาทิตย์อัสดงทางแอปพลิเคชั่นสนทนาอย่างสม่ำเสมอ



‘ให้ส่งข้อความได้อย่างเดียวนะครับ ห้ามคอล’



นั่นเป็นกฎที่ภันวัฒน์ได้รับ เมื่อส่งข้อความไปหาหลังกลับออกมาจากบ้านของผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทว่ามันก็เป็นการเปิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่แล้วสำหรับเขาซึ่งถูกปิดกั้นการติดต่อมาโดยตลอด ฉะนั้นเจ้าตัวจึงปฏิบัติมันอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา

เขาส่งข้อความไปทักทายบ้าง เย้าแหย่บ้าง ซึ่งก็ได้รับการตอบกลับมาทุกครั้ง และทุกคราวที่ได้อ่านตัวหนังสือซึ่งเป็นการตอบรับจากอีกฝ่าย ก็ทำให้ภันวัฒน์รู้สึกเต็มตื้นและอิ่มเอบใจได้เสมอ

อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เปิดใจให้เขาแล้วจริง

ภันวัฒน์รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะประสบความสำเร็จ

เขาไม่ได้เสียแรงเปล่าแต่อย่างใด ความพยายามของเขากำลังสัมฤทธิผลช้าๆ แต่แน่นอน

ดังนั้นในวันนี้ที่พร่างฟ้าไปร่วมงานเลี้ยงอำลากับผองเพื่อน เพราะกำลังจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศในพรุ่งนี้ ผู้จัดการหนุ่มจึงไม่ทิ้งโอกาสของตนเอง

‘คืนนี้ผมไปหาคุณได้ไหมครับ’

ข้อความถูกส่งไปเพียงไม่นาน ก็มีคำตอบส่งกลับมา ทว่ากลับทำให้ต้องผิดหวัง

‘วันนี้ผมนัดกับขวัญไว้น่ะครับ’

‘ไม่เป็นไรครับ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้’


หากข้อความนี้แปรเป็นเสียงภายในใจได้ อาทิตย์อัสดงคงสัมผัสได้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวไม่น้อย เพราะภันวัฒน์วาดหวังเอาไว้ว่าวันนี้เขาจะได้พบคนที่อยากพบ ได้พูดคุย ได้ยินเสียงที่อยากฟัง แต่กลับต้องผิดหวังโดยไม่ได้เตรียมใจเผื่อไว้แม้แต่น้อย ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังพยายามมองโลกในแง่ดีว่ายังมีโอกาสอยู่ ทว่าสิ่งที่ร่างโปร่งส่งกลับมากลับทำให้ใจที่เริ่มพองโตขึ้นอีกครั้งเหี่ยวแฟบลง

‘พรุ่งนี้เหรอครับ’

‘พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เหรอครับ’


จากเมื่อครู่ที่คำตอบมาอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นทิ้งช่วงนานเกินกว่าสองนาที ใจที่เหี่ยวเฉาของหนุ่มร่างใหญ่เริ่มหม่นหมองมากยิ่งขึ้น เขาส่งข้อความตอบกลับไปราวกับขอความเห็นใจ

‘ผมอยากพบคุณจะแย่แล้วนะครับ’

‘คิดถึงมาก’


ภันวัฒน์ส่งข้อความตอบกลับไปสองครั้งต่อเนื่อง เพราะอดรนทนไม่ไหวที่จะรออีกฝ่ายตอบกลับมา ชั่วครู่ใหญ่เลยทีเดียวกว่าประโยคที่รอคอยจะเดินทางมาถึง

‘ไว้พรุ่งนี้ลองถามอีกทีแล้วกันนะครับ’

ไม่ใช่ทั้งการตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ก็ไม่ตัดความหวังเสียทีเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงตอบได้เพียง ‘ครับ’ สั้นๆ ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวลงกว่าเดิม แต่ก็ไม่วายแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากพบมากแค่ไหน

‘หวังว่าพรุ่งนี้จะได้พบกันนะครับ’

ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมานอกเหนือจากนั้น ภันวัฒน์มองหน้าจอที่ยังเปิดค้างเอาไว้ ทอดสายตามองตัวอักษรที่รวมกันเป็นประโยคโดยเฉพาะสิ่งที่มาจากปลายนิ้วมือของตนเอง

ไม่นึกเหมือนกันว่าเขาจะแสดงอาการออดอ้อนขอเรียกร้องอาทิตย์อัสดงได้ถึงขนาดนี้ เพราะโดยปกติแล้วเป็นเขาเสียอีกที่โดนคนรักพะเน้าพะนอคอยเอาใจ แล้วเสียงทุ้มก็ได้แต่รำพึงรำพัน

“คุณจะรู้ไหมว่าทำให้ผมเป็นได้ถึงขนาดนี้”





-------------------
สรุปว่าตอนนี้คุณอาทิตย์หรือคุณภันที่อาการหนักกว่ากัน?

ป.ล. คุณภันเขายังอดใจไว้อยู่นะ


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 26th Entry : เกินคาด [7/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-08-2016 18:46:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 26th Entry : เกินคาด [7/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-08-2016 19:10:12
ก็ตื้อต่อไปสิ
ทางโน้นเขาเป็นผู้ชายแท้นะ ให้เวลาเขานิดนึง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 26th Entry : เกินคาด [7/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 07-08-2016 19:17:16
คือมันเกินคาดตามชื่อตอนเลยค่ะ โอ๊ยยยยยยย คุณอาทิตย์คะะะะะะะะะะะ น่ารักขนาดนี้เป็นเราก็ไม่ไหวค่ะะะ ฮืออออ อยากด้ายยย คุณภันคะ คุณอาทิตย์เปิดทางให้แล้วค่ะ สู้ๆนะคะ ขอบคุณวันปีใหม่ค่ะที่ทำให้คุณอาทิตย์มีข้ออ้างให้ตัวเอง 555555 เราว่าคุณภันนี่ยิ่งนานวันเข้ายิ่งหลงคุณอาทิตย์นะคะ เขาทำอะไรนิดหน่อยคุณภันหลงหมดอ่ะ ต่อไปนะคะคุณภัน เจอหน้าปุ๊บ ให้เรียกเสียงอ่อนค่ะ ฟรีครับ... อ้อนเข้าไปค่ะะะะะ เรารู้ว่าคุณอาทิตย์แพ้ แอร๊ยยย แต่ข้อความในคุกกี้นี่เราแบบ.... -_- สมกับเป็นคุณภันค่ะ 55555 นี่เราว่าเขาตกหลุมกันไปเต็มตัวแล้วนะคะ แต่ก็ค่อยๆแหละค่ะ ค่อยๆจีบกันไปปป นี่คือคุณภันจีบ คุณอาทิตย์อ่อย คุณภันคะ หักห้ามใจไว้ค่ะ! อีกไม่นานวันที่คุณภันรอคอยต้องมาถึงแน่ๆ สู้ต่อไปนะคะ! เราเชียร์คุณภันเป็นพระเอกกก แอร๊ยยยยย

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ตรอกตอรง >> อันนี้น่าจะ ตรึกตรอง นะคะ

พี่ก็เลยว่าพร่างคงไม่ว่างหรอก   >> ตรงนี้น่าจะเพิ่มเป็น พี่ก็เลยคิดว่า ไหมคะ

อิ่มเอบใจ  >> อันนี้น่าจะอิ่มเอม ไม่ก็ อิ่มเอิบ

อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เปิดใจให้เขาแล้วจริง   >> ตรงนี้น่าจะเป็น จริงๆ

สัมฤทธิผล   >> สัมฤทธิ์ผล

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะะ ขอให้น้องพร่างยังจับไม่ได้ ฮืออออ  :katai1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 26th Entry : เกินคาด [7/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 09-08-2016 02:33:43
ใจแข็งจริงๆ มีห้ามโทรหาด้วย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-08-2016 16:31:50
27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ






หางตาที่จับภาพผิดประหลาดได้แวบหนึ่งเรียกให้หนึ่งฤทัยต้องหันไปมองทางด้านข้าง ชายหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนรักกำลังนั่งก้มหน้าตัวสั่นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ใจของเธอรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา ด้วยห่วงใยว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายกับเพื่อนอีกหรือไม่

หญิงสาวไถลเก้าอี้ล้อเลื่อนที่นั่งอยู่เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังที่สุด เพราะเกรงว่าหากเจ้าตัวรู้ว่าเธอสังเกตอาการได้ อาจจะแสร้งกลบเกลื่อนปิดบังก็เป็นได้ ทว่าคำตอบที่เธอได้กลับทำให้เกิดความพิศวงงงงวยขึ้นในใจ

แทนที่อาทิตย์อัสดงจะอดกลั้นความรู้สึกหดหู่ที่โหมซัดจนอย่างที่คิด

กลับกลายเป็น...กำลังกลั้นหัวเราะ

“มึงหัวเราะอยู่เหรอวะเนี่ย”

“อืม กูขำนิดหน่อย”

คำตอบมาพร้อมกับใบหน้าที่ก้มงุดอยู่เมื่อสักครู่เงยขึ้นมา ดวงหน้าขาวตี๋มีรอยยิ้มปรากฏชัดเจน

“ขำอะไรวะ”

อาทิตย์อัสดงมองเพื่อนที่ย้อนถามอย่างงุนงงทั้งยังมองไปยังรอบๆ ตัวเขา ก่อนจะคว้าเศษกระดาษแถบยาวบนโต๊ะเขาขึ้นมาดู

“ไอ้นี่อะไรอะ อ่านแล้วงงๆ”

เมื่อถูกถาม ร่างโปร่งก็เกือบจะหลุดยิ้มออกมาอีก เพราะมันต้องอ่านไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถ้าไม่อ่านเรียงลำดับตั้งแต่อันที่หนึ่งถึงอันที่ห้า

“มาจากคุกกี้เสี่ยงทาย”

เธอครางเสียงเบาๆ ‘คุกกี้?’ ก่อนจะรู้สึกเหมือนว่าความคิดหนึ่งจะแวบเข้าหัวมา

“จากคุณภันน่ะเหรอ ดีจังเนอะ ได้กินขนมอร่อยๆ แบบที่ชอบด้วย อย่างนี้สงสัยกูต้องหาแฟนเป็นคนทำขนมบ้าง”

คำพูดราวกับพร่ำเพ้อของเพื่อนสาวทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยแซว

“แล้วมึงจะเอาคุณจอมไปทิ้งที่ไหนล่ะ”

แต่พอโดนแซวแบบนั้น หญิงสาวก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วตอบมาอย่างขวยเขินนิดๆ

“ทิ้งไว้ในใจกูนี่แหละ”

“โหๆ พูดแบบนี้ แสดงว่ารวบหัวรวบหางเขาไปแล้วสิ”

น้ำเสียงหยอกเอินกับสีหน้าหยอกเหย้าทำให้มือบางฟาดเพียะลงมาที่แขนของร่างโปร่ง อาทิตย์อัสดงอดขำไม่ได้กับท่าทีเขินอายของเพื่อนที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ด้วยเพราะปกติเธอจะออกแนวห้าวๆ มากกว่า ถึงจะขัดหน้าตาไปบ้างก็ตาม

“รวบหัวรวบหางอะไรกันยะ ก็แค่ตกลงเป็นแฟนกันเฉยๆ”

“อ๋อ มึงยอมตกลงได้สักทีนะ เห็นเล่นตัวอยู่ตั้งนาน”

“ไอ้บ้านี่”

หลังจากนั้นคำสบถก็ดังออกมาจากเจ้าของหน้าสวยอีกหลายคำ ก่อนจะวกกลับเข้าประเด็นอีกครั้ง

“ว่าแต่มึงกับคุณภันล่ะ เป็นไงบ้าง แต่ว่าคงคืบหน้าสินะ ไม่งั้นมึงไม่ดูสดชื่น แฮปปี้แบบนี้หรอก”

พอโดนย้อนถามกลับมาบ้าง ร่างโปร่งก็เริ่มอิดออด ดึงเก้าอี้เข้าใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น ทำเหมือนกับว่ากำลังจะเข้าสู่โหมดทำงานเสียดื้อๆ จนหนึ่งฤทัยต้องเลื่อนเก้าอี้เข้าหาอีก

“อย่ามาทำมึนแล้วหนีนะเว้ย ทีกูยังเล่าให้ฟังเลย”

ไม่เพียงไล่จี้มาติดๆ ยังดึงแขนไว้อีกต่างหาก เมื่อเหลือบไปมองนิดๆ ก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังทำหน้าถมึงบีบคั้นให้พูดออกมา

“เอาไว้คุยทีหลังแล้วกัน”

“ก็ได้ งั้นคืนนี้มึงออกไปดื่มกับกู แล้วต้องคายความลับมาให้หมด”

ราวกับคำประกาศิตอย่างไรอย่างนั้น เพราะเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หนึ่งฤทัยก็รีบดึงแขนอาทิตย์อัสดงให้รีบออกจากบริษัททันที

ทั้งสองคนแยกกันขึ้นรถใครรถมันหลังจากระบุร้านเป้าหมายแล้ว และก่อนที่ร่างโปร่งจะแยกไปยังรถของตนเอง หนึ่งฤทัยยังไม่วายชี้หน้าข่มขู่

“ห้ามหนีนะเว้ย”

“เออน่า”

อดีตบล็อกเกอร์ตอบกลับอย่างรำคาญ ก่อนจะขึ้นรถของตนเอง มุ่งไปยังร้านอาหารกึ่งผับที่เคยไปด้วยกันบ่อยๆ เมื่อสั่งอาหารเสร็จ หนึ่งฤทัยก็รีบยิงคำถามใส่อย่างใคร่รู้

“เดี๋ยวนะ”

แต่ยังไม่ทันเล่า เสียงข้อความจากโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาเสียก่อน และเพียงเห็นว่าเจ้าของเสียงเตือนนั้นเป็นใคร รอยยิ้มบางๆ ก็แต้มลงบนใบหน้าขาว

“อะไรอะ ใครๆ”

สีหน้าที่ยากจะได้เห็นของเพื่อนรักทำให้หนึ่งฤทัยสนใจเป็นพิเศษ เธอพยายามโยกตัวข้ามโต๊ะมาเพื่อมองยังหน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่อาทิตย์อัสดงก็เอนตัวไปทางด้านหลัง พร้อมกับกดพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วย

‘วันนี้ผมนัดกับขวัญไว้น่ะครับ’

เพียงครู่เดียวก็มีข้อความตอบกลับมา

‘ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้ก็ได้’

อาทิตย์อัสดงครุ่นคิดเล็กน้อย ทว่าภายในใจกลับรู้สึกได้ถึงความดีใจที่เต้นระริกอยู่ เพราะอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้พบหน้ากันร่วมสัปดาห์อยากจะมาหา

ชักจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้วแฮะ

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอประโยคถัดไป ร่างโปร่งก็รู้สึกว่าหัวใจเร่งจังหวะจนรวนไปหมดแล้ว

‘ผมอยากพบคุณจะแย่แล้วนะครับ’

‘คิดถึงมาก’


ยิ่งได้เห็นประโยคสุดท้าย หัวใจของอาทิตย์อัสดงก็ระดมจังหวะอย่างรุนแรงเกินกว่าพายุโหมซัด อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองอาการหนักกว่าที่คิดไว้เสียอีก

เขาไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาปฏิเสธความคิดและความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ดี เพราะว่ามันชัดเจนเสียเหลือเกินว่าใครอีกคนทะลวงเข้ามาในกำแพงที่ผุกร่อนของเขาสำเร็จแล้วจริงๆ

“คุณภันล่ะสิ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสดงอาการออกไปมากเกินพอดีหรือไม่ เพื่อนสาวถึงโพล่งเสียงออกมาเช่นนั้น ครั้นจะตอบว่าไม่ใช่ก็เป็นการโกหกอย่างโจ่งแจ้งเกินไป แต่จะให้ตอบรับ ก็กระดากเกินกว่าจะพูดออกมาได้ อาทิตย์อัสดงจึงทำได้เพียงกดพิมพ์ข้อความตอบกลับไป และเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับรออยู่แล้ว

“เอาล่ะๆ มึงไม่ต้องตอบกูแล้วล่ะ กูว่ากูคงเดาไม่ผิดหรอก”

หนึ่งฤทัยโยกตัวกลับไปนั่งเต็มก้นตามเดิม พลางเล่นหูเล่นตาเพื่อหยอกกระเซ้าให้อาทิตย์อัสดงต้องขบปากแน่น

“แสดงว่าคืบหน้าไปไกลสินะ เขาคงเอาชนะใจมึงได้”

แม้จะไม่อยากตอบกลับไปเลยมันว่าเป็นความจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่ามา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกัน

เรื่องราวนับตั้งแต่วันกลับมาจากเอาท์ติ้งจึงค่อยๆ ผุดออกมาจากปากของหนุ่มหน้าตี๋ ฟังไปหญิงสาวก็ยิ้ม ผงกศีรษะเข้าใจเหตุการณ์

“ก็น่าอยู่หรอกนะที่มึงใจจะอ่อนน่ะ ก็เล่นเซอร์วิสมึงดีขนาดนี้ กูยังอิจฉา”

เจ้าหล่อนแสร้งทำสีหน้าหมั่นไส้พร้อมตักอาหารเข้าปากไปด้วย หลังจากมันถูกนำมาเสิร์ฟระหว่างที่อาทิตย์อัสดงเล่าเรื่อง

“แล้วมึงกับคุณจอมล่ะ ไม่มีอะไรน่าอิจฉาหรือไง”

“ไม่อะ ของกูแบบธรรมดา แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ใจมึงเป็นกำแพงเหล็ก ต่อให้ยิงปืนใหญ่เข้าไปก็ไม่พัง ต้องใช้วิธีน้ำหยดหินนี่แหละ แต่คุณภันคงเป็นน้ำกรดว่ะ มันถึงได้ผล”

คล้ายกับว่าแซวเพื่อนในประโยคสุดท้าย เธอยกยิ้มก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบนิดๆ เพื่อให้รสชาติอาหารที่เข้าปากกลมกล่อมขึ้นและเพื่อคลายอารมณ์ แต่ก็ให้ลิมิตตนเองอยู่แค่แก้วเดียว เช่นเดียวกับอาทิตย์อัสดงเพราะต้องขับรถกลับทั้งคู่

กระดกเครื่องดื่มสีอำพันที่เคยมีฟองสีขาวจนหมดแล้ว ทั้งสองก็ทิ้งตัวไปกับบรรยากาศสบายๆ ยามค่ำคืนโดยมีเสียงดนตรีสดดังคลอ กระทั่งรู้สึกว่าสมควรแก่เวลาและปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปน่าจะเริ่มเจือจางลง สองหนุ่มสาวก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินและเตรียมออกจากร้าน

ทว่ายังไม่ทันลุกไปไหน สายตาของร่างโปร่งก็เหลือบไปเห็นเหตุการณ์หนึ่งเข้าเสียก่อน เป็นร่างของชายสองคนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้นัก แต่ก็ค่อนข้างเป็นจุดอับสายตาของคนทั่วไปพอสมควร

“เดี๋ยวกูมา”

“ไปไหน”

หนึ่งฤทัยถามด้วยความสงสัย ครั้นจะคิดว่าเพื่อนอยากเข้าห้องน้ำก่อนกลับก็ดูจะไม่ใช่ เพราะว่าเดินไปอีกทางหนึ่ง จนเมื่อมองตามไปเธอถึงได้รู้คำตอบ

ดูเหมือนว่าผู้ชายตัวเล็กจะถูกชายที่สูงกว่าประคองแบบแปลกๆ

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

เมื่อหยุดต่อหน้าคนทั้งสองซึ่งเป็นปลายทางของตน อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยถาม พลางสังเกตอาการของคนทั้งคู่ซึ่งดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

ผู้ชายร่างเล็กดูเมามายแทบไม่ได้สติ แค่ทรงตัวยังไม่ค่อยอยู่เสียด้วยซ้ำ หน้าแดงก่ำไปหมด ขณะที่ชายอีกคนซึ่งโอบรอบเอวหนุ่มตัวเล็กเพื่อพยุงเอาไว้ กลับดูมีสติทุกอย่าง ไม่มีอาการเมามายแม้แต่น้อย

“พอดีเพื่อนผมเมา ผมก็เลยจะพากลับบ้าน”

“เพื่อน? จริงๆ เหรอครับ”

เสียงทุ้มต่ำเอื้อนถาม แสดงสีหน้าให้เห็นถึงความไม่เชื่อใจ เพราะนอกจากคนตัวใหญ่กว่าจะไม่เมาแล้ว ยังซุกไซ้หน้าไปแถวๆ ต้นคอของคนเมาเสียอีก

ถ้าเป็นเพื่อนธรรมดาคงไม่ทำแบบนี้กระมัง

“เพื่อนน่ะสิครับ หมอนี่เมาก็เพราะว่ามีปัญหานิดหน่อย ผมเลยมาเป็นเพื่อนเพราะรู้ว่าเวลามันดื่มแล้วจะไม่รู้ลิมิตตัวเอง มันอันตรายใช่ไหมล่ะครับถ้าจะปล่อยให้มาคนเดียว”

“นั่นสิครับ ก็น่าจะอันตรายอยู่”

อาทิตย์อัสดงพยักหน้าราวกับเห็นด้วย แต่หน่วยตาเรียวไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเชื่อถือเลยสักนิด เขายังจับจ้องอยู่ที่หน้าของคนที่ยังมีสติดีด้วยสีหน้านิ่งเฉย จนฝ่ายนั้นเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา

“ขอทางด้วยครับ ผมจะรีบพาเพื่อนกลับไปพักแล้ว”

แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายใช้ข้ออ้างนั้นแล้วจะทำให้ยินยอมเปิดทางแต่โดยดี เจ้าของหน้าตี๋ซึ่งมีส่วนสูงมากกว่าเขยื้อนเท้าไปดักหน้าเอาไว้ จากนั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อให้พอดีกับส่วนสูงของคนเมา

“คนนี้เพื่อนคุณหรือเปล่าครับ”

“คนนี้”

เสียงทุ้มที่ดูเล็กกว่าผู้ชายทั่วไปอยู่นิดๆ ดังขึ้นจากคนหน้าแดงก่ำ เจ้าตัวเชยหน้าขึ้นมองคนที่ถูกถามถึงอย่างเชื่องช้า มองด้วยดวงตาปรือปรอยที่ฉ่ำด้วยน้ำจนแทบล้นออกมาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่รู้จัก”

“เอ่อ... มันคงเมามาก เลย เลยจำไม่ได้น่ะ” คนพยุงเลิ่กลั่กตอบ จากนั้นหันไปทางคนถูกพยุง “มึงจะบ้าหรือไง ทำเป็นจำเพื่อนไม่ได้ เดี๋ยวกูก็ถูกเข้าใจผิดหรอก”

“ไม่รู้จักแน่ใช่ไหมครับ”

คำพูดของชายคนนั้นไม่เข้าหูของอดีตบล็อกเกอร์สักนิด อาทิตย์อัสดงหันไปถามร่างเล็กอีกครั้งเพื่อตอกย้ำ ซึ่งคำตอบเดิมที่ดังเบาๆ พร้อมกับการพยักหน้านิดๆ ก็ทำให้ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ถลึงตาจ้องฝ่ายนั้นที่หน้าเสีย

“เขาบอกไม่รู้จักครับ จะปล่อยเขาได้หรือยัง”

แม้ว่าจะไม่ได้ร่างหนาหนั่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ แต่เสียงทุ้มต่ำที่ปรับให้ดูเอาจริงเอาจังจนน่าเกรงขาม พร้อมกับส่วนสูงที่มากกว่า ทำให้อาทิตย์อัสดงในสายตาของอีกฝ่ายดูน่ากลัวไม่เบา

ชายคนนั้นสบถออกมาอย่างเสียอารมณ์ก่อนผลักร่างเล็กกว่าใส่อกของร่างโปร่งอย่างแรง จากนั้นวิ่งออกไปราวกับกลัวความผิด อาทิตย์อัสดงจึงประคองร่างเล็กไว้พร้อมกระซิบถาม

“มีเพื่อนมาด้วยหรือเปล่าครับ”

“มาคนเดียว...ล่ะมั้ง”

เสียงแหบหวิวตอบกลับมาตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายกับจะเวทนาอะไรบางอย่าง ร่างกายซวนเซ พยุงตัวเองไม่ไหว ถึงกระนั้นร่างเล็กก็ยังมีสติพูดคุยได้อยู่ ร่างโปร่งจึงชักชวน

“งั้นไปนั่งที่โต๊ะของผมก่อนแล้วกัน รอให้สร่างกว่านี้อีกหน่อยค่อยกลับ ไม่ก็เรียกให้คนมารับนะครับ”

หลังจากบอกด้วยเจตนาที่ดีแล้ว อดีตบล็อกเกอร์ก็พยุงร่างที่เล็กว่าค่อนข้างมากกลับมายังโต๊ะของตน หนึ่งฤทัยจับจ้องยังเพื่อนรักที่ค่อยประคองร่างนั้นให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

“โดนมอมเหรอ”

“น่าจะดื่มจนเมาเลยโดนหิ้วล่ะมั้ง” ตอบเพื่อนเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยอีกเรื่องขึ้นมา “ว่าแต่มึงเหอะ กลับได้แล้วมั้ง สี่ทุ่มกว่าแล้ว”

“แล้วผู้ชายคนนี้ล่ะ”

แม้จะเข้าใจเจตนาของเพื่อนดีว่าเป็นห่วงเธอซึ่งเป็นผู้หญิงที่ต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว แต่หนึ่งฤทัยก็ไม่วายพยักพเยิดหน้าไปทางคนมาใหม่ที่มีสติเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง

“เดี๋ยวกูเฝ้าเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”

“งั้นก็ได้ กูกลับก่อนแล้วกัน มึงก็ระวังตัวด้วยเหมือนกัน ช่วยคนเมา ระวังจะโดนลูกหลงอะไรไปด้วย”

เสียงหัวเราะดังคลอออกมาเบาๆ จากคนฟัง ชายหนุ่มส่ายศีรษะน้อยๆ กับความระแวงเกินเหตุของเพื่อน ก่อนจะโบกมือลาหญิงสาวที่ก้าวออกไปจากโต๊ะแล้ว และย้ายสายตากลับมายังร่างหนุ่มที่คงจะอายุน้อยกว่าตัวเอง จากนั้นพึมพำบ่นเบาๆ

“ไม่ระวังตัวเลยนะ”

แม้ไม่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการของคนรักชอบเพศเดียวกัน แต่เพียงมองร่างที่สติไม่ครบถ้วนตรงหน้านี้ก็ประเมินได้ทันทีว่าคงจะมีผู้ชายประเภทนั้นหมายปองอยู่ไม่น้อย เพราะทั้งร่างเล็กนิดเดียวแล้วยังมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด แม้แต่เขาเองที่ไม่ได้คิดเรื่องพรรค์กับผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายนั้นน่ามอง จนเผลอคิดว่า...

ก็คงเป็นผู้ชายลักษณะนี้กระมังทื่ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าอยากจะทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันเอง

คิดแล้วอาทิตย์อัสดงก็แอบหัวเราะกับตัวเอง ก่อนจะสะกิดเรียก ‘คุณ คุณครับ’ อีกฝ่ายปรือตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมา ครางเสียง ‘หือ’ ราวกับคนง่วง

“ผมว่าโทรให้คนมารับดีกว่านะครับ เพราะว่าดึกแล้ว จะได้รีบพักผ่อนด้วย”

“โทร... โทร นั่นสิครับ โทร โทรศัพท์”

เสียงคนเมาดังซ้ำไปซ้ำมาเป็นคำพูดเดิมราวกับคนติดอ่าง แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ควานมือสะเปะสะปะไปทั่วร่างก่อนจะหาเจ้าของที่ว่าเจอ แล้วกดโทรออกและกรอกเสียงลงไปเมื่อมีคนรับสาย

“มารับหน่อย มารับผมหน่อย อื้อ... อยู่ที่...”

เพราะอีกฝ่ายเว้นช่วงไปนานเหลือเกินก็ยังไม่พูดชื่อสถานที่ออกมา อาทิตย์อัสดงจึงต้องแทรกเสียงบอกชื่อร้านออกไปเบาๆ ให้ร่างเล็กรู้ เจ้าตัวจึงได้พยักหน้าหงึกหงักบอกกับปลายสายไป และยังย้ำประโยคสุดท้าย ‘เร็วๆ’ ก่อนจะกดตัดสายแล้วเอาหัวโขกโต๊ะไปทันที

หลับไปแล้ว?

อาทิตย์อัสดงชะโงกหน้ามองคนโหม่งโต๊ะทั้งที่มือยังถือโทรศัพท์คาอยู่ เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นดูเหมือนจะหลับไปแล้วจึงเอนตัวพิงกลับพนักเก้าอี้เหมือนเดิม พลางคิดว่าปล่อยให้นอนไปแบบนี้น่าจะดีกว่า พอคนที่เจ้าตัวโทรหามาถึง เขาก็ขอตัวกลับ

แต่...จะรู้ไหมนะว่าคนที่มาเป็นใคร อีกฝ่ายจะเจอโต๊ะไหม

ถ้าหาไม่เจอก็คงโทรมากระมัง

สรุปเอาเองแล้วอดีตบล็อกเกอร์ก็เบาใจ จึงหันไปเรียกบริกรแล้วสั่งขนมหวานมากินฆ่าเวลา

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงได้ เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ผมมารับคนของผมน่ะครับ”

ฉับพลันนั้นร่างโปร่งรู้สึกยินดีที่คนเมาจะได้กลับไปพักผ่อนจริงๆ เสียที รวมทั้งตนเองด้วย ทว่าเมื่อหันไปตามเสียงนั้นแล้วอาทิตย์อัสดงกลับต้องเบิกตากว้าง

ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าภายในอกเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

มันบีบรัดขณะเดียวกันก็เสียวแปลบ

แต่ไม่เพียงร่างโปร่งเท่านั้น ชายอีกคนที่เพิ่งมาถึงก็มีอาการเช่นเดียวกัน

“ฟรี...”

เสียงแผ่วเบาถัดจากประโยคเมื่อครู่หลุดออกมาจากปากคนของตรงหน้า แต่อาทิตย์อัสดงแสร้งทำเมินเฉยต่อคำเรียก

“แฟนคุณเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นก็รีบพากลับไปพักผ่อนเถอะครับ เขาหลับไปสักพักแล้ว แล้วก็อีกอย่าง...แฟนเสน่ห์แรงแบบนี้ อย่าปล่อยให้มาเมาอยู่คนเดียวสิครับ มันอันตรายรู้ไหม ถ้าปล่อยทิ้งปล่อยขว้างแบบนั้น คุณอาจจะต้องเสียใจทีหลังก็ได้”

“ผะ...”

“เร็วสิครับ”

ไม่ทันให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงตอบประโยคเหยียดยาวเมื่อครู่ กายโปร่งก็แทรกเสียงขึ้นมาอีกครา แต่เมื่อดูท่าว่าชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้จะไม่ยอมขยับตัวแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่จดจ้องหน้าของเขา มือเรียวจึงยื่นไปสะกิดเรียกคนหลับแทน

“คุณครับ แฟนมารับแล้ว”

เรียกอยู่สองสามครั้ง ใบหน้าที่ก้มอยู่กับโต๊ะก็เงยขึ้นมา พอปรือตาขึ้นนิดๆ เห็นว่าคนคุ้นเคยยืนอยู่ก็รีบโผล่กอดทันที

“มารับแล้วเหรอ พี่ภัน”

เจ้าของชื่อได้แต่ยึกยักกึ่งรับกึ่งเฉยจนโดนกอดรัดแน่นขึ้นอีกจึงต้องกระชับวงแขนตามไปโดยสัญชาตญาณ ถึงกระนั้นดวงตาคู่คมสีดำมืดก็ยังจับจ้องมายังใบหน้าของอาทิตย์อัสดงอยู่ดี

“งั้นผมก็ไม่มีธุระอะไรอีกแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่าผมก็อยากกลับไปพักแล้วเหมือนกัน”

เพราะดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะไม่คืบหน้าไปมากกว่านี้ อดีตบล็อกเกอร์จึงยกตัวขึ้นจากเก้าอี้และเป็นฝ่ายเดินจากมาก่อนทั้งที่ยังไม่ได้เรียกเก็บเงินค่าขนมหวานเสียด้วยซ้ำ

เขาไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์เอง เพราะไม่อยากอยู่ตรงนั้นไปมากกว่านี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องฝืนบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองยังใครอีกคนซึ่งมีร่างเล็กอยู่ในอ้อมแขน

ฟันคมขบลงบนริมฝีปากแน่น กว่าอาทิตย์อัสดงจะรู้ตัวว่ากัดปากของตัวเองอยู่ก็ตอนที่รู้สึกเจ็บไปแล้ว และมันก็ไม่ได้เจ็บเพียงแค่ที่ปากเท่านั้น

ความคิดหมุนวนอยู่ในหัวปนเปกันไปจนไม่รู้ว่า...เป็นความผิดหวังหรือเสียใจกันแน่





ใจร้อนรุ่ม ความกระวนกระวายสุมอยู่ในอกจนรู้สึกได้ถึงไอกรุ่นที่คุอยู่อย่างแจ่มแจ้ง ภันวัฒน์จัดร่างของชายหนุ่มร่างเล็กลงบนเตียงนอนให้เรียบร้อยก่อนจะหลับตาแน่น ความคิดอยากก่นด่าตนเองพวยพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อน ลมหายใจพ่นออกมาอย่างหนักใจ

ไม่รู้ว่าถูกเห็นคาตาแบบนั้น อีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ผิดหวังในตัวเขาสักแค่ไหน

แถมยัง... เรียกฐานทัพว่าแฟนของเขาอีก

มันก็ใช่ที่เขาเรียกฐานทัพออกไปว่า ‘คนของผม’ แต่ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเจตนาร้าย จึงต้องแสดงตัวออกไปอย่างชัดเจนอย่างนั้น ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายที่นั่งหันหลังอยู่หลังต้นไม้จนมองไม่ชัดจะเป็นคนที่เขาเพียรเจาะทะลวงประตูหัวใจอันแข็งแกร่งมานับครึ่งปี

อยากจะด่าทอโลกว่ามันจะกลมเกินไปแล้ว

ลมหายใจผ่อนออกมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกหนักอึ้งไปหมดทั้งหัวใจ มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความออกไปหวังเพียงว่าเขาจะมีโอกาสได้อธิบายอะไรต่อมิอะไรบ้าง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่เหลือเกิน

‘ผมคอลไปได้ไหมครับ’

แม้ผ่านไปห้านาทีแล้ว สิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังมีเพียงความเงียบ อยากจะคิดในแง่ดีเพื่อให้กำลังตนเองว่าร่างโปร่งอาจจะกำลังอาบน้ำก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเข้านอนแล้ว แต่ก็ทำใจให้เย็นคิดเช่นนั้นได้ไม่ถึงนาที

‘ผมขออนุญาตคอลไปนะครับ ฟรี’

‘ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องวันนี้’


ยังคงไร้สัญญาณใดๆ จากเจ้าของชื่อที่เรียกขาน ไม่มีแม้แต่สัญญาณว่าเจ้าตัวเปิดอ่านเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถติดต่อกับอาทิตย์อัสดงผ่านทางแอปพลิเคชั่นนี้ได้แล้ว

หน่วยตาคมปิดลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อนต่อความผิดพลาดของตนเอง เพียงนึกถึงว่าเขาต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะทำให้อีกฝายยอมเปิดใจให้กันได้ก็ยิ่งอ่อนล้า

มันคงไม่เกินกำลังหรอกหากเขาต้องเริ่มต้นใหม่จากจุดเดิม แต่หากเขาไม่สามารถแก้ความเข้าใจผิดได้ มันไม่มีทางที่จะกลับไปเริ่มยังจุดเริ่มต้นอย่างแน่นอน

มันจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่านั้น... อยู่ในสถานการณ์ที่ความน่าเชื่อถือติดลบมหาศาล

คงไม่ได้รับความเชื่อใจอีกแล้ว

คิดดังนั้นแล้วภันวัฒน์ก็ฮึกเหม เขาให้กำลังใจตนเองว่าถูกโกรธหรือถูกต่อว่าที่ผิดสัญญา แต่ได้อธิบายยังดีกว่ารักษาสัญญาแล้วถูกคิดว่าตนเองไม่แยแสอีกฝ่ายเลย ดังนั้นมือใหญ่จึงเริ่มขยับเข้าหาปุ่มที่เคยใช้มันแล้วหนึ่งครั้งเมื่อตอนปีใหม่

เสียงสัญญาณดังให้ได้ยินพร้อมๆ กับก้อนเนื้อใต้อกที่ไหวระรัว มันเป็นจังหวะกระหึ่มก้องอย่างลุ้นระทึกว่าอาทิตย์อัสดงจะยอมรับสายหรือไม่ แม้จะรู้แก่ใจดีว่ามันค่อนข้างเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่พอสมควร

ครั้งแรกไร้การตอบรับจนสัญญาณตัดไป

ครั้งที่สองก็ยังเหมือนเดิม

ความรู้สึกในแง่ดีที่พยายามผลักดันให้คงอยู่มาตลอดค่อยๆ จมลงช้าๆ หน่วยตาคมหลุบต่ำลงอย่างหมดอาลัย แม้ว่าหูจะยังคงฟังเสียงสัญญาณของการติดต่อครั้งที่สามต่อไป

แต่คงไม่มีหวังแล้วกระมัง เขาถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงแล้ว

ทว่า...

มันกลับผิดคาด

“ครับ”

เสียงที่ดังมาทำให้ใจที่เหี่ยวฟีบพองฟูขึ้นมาอย่างฉับพลัน สีหน้าที่หมองหม่นลงสดใสขึ้นทันตา รอยยิ้มเจือบนใบหน้าของปาติซิเย่หนุ่ม

“ผมอยากจะคุยเรื่องวันนี้น่ะครับ คือว่า...”

“ขอโทษครับ แต่ว่าผมจะนอนแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าโทรมาอีกได้ไหมครับ”

คำพูดนั้นราวกับมีดที่เฉือนฟางเส้นสุดท้ายซึ่งรั้งชีวิตเอาไว้ ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนกับหัวใจตนเองหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะใหญ่ๆ ลมหายใจสะดุดจนขาดห้วงลงไป

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมโทรไป...”

ไม่ทันให้พูดจบประโยค ปลายสายก็ตัดไปแล้ว ร่างสูงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินประโยคเมื่อครู่ที่ตนพูดจึงตัดสายไปอย่างกะทันหัน หรือเป็นความตั้งใจแต่เดิมของเจ้าตัวอยู่แล้วที่จะตัดสายหลังจากพูดประโยคแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน

หัวใจของเขาเหมือนร่วงหล่นอย่างไร้เรี่ยวแรง...







------------------
ผ่าง

ตอนนี้เปิดจองหนังสือ "It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ" และ "It's U, It's Me รุก ไล่ รัก" อยู่นะคะ
หากใครสนใจ เข้าไปดูรายละเอียดได้ในเฟซบุ๊กค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/


Undel2Sky


หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Carnival ที่ 21-08-2016 03:35:45
มีความสมน้ำหน้าคุณภัน
แต่ถ้าเคลียร์เรื่องนี้ได้ก็จะมีเรื่องยัยพร่างอีกใช่มั้ย -"-
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 21-08-2016 03:53:41
สงสารฟรีอ่ะ อุตส่าห์เปิดใจแล้ว
เจอแบบนี้ก็ต้องเข้าใจผิดเนอะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-08-2016 11:19:22
เฮ้อ! เห็นใจฮัก
ฟรีจะรู้ไหมว่าฮักต้องฝ่าด่านร้อยแปดกว่าจะมาเจอกัน
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: lovenadd ที่ 21-08-2016 15:54:50
อะไรยังไงอิตาภัณ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 21-08-2016 16:42:40
คุณภันคะ เราเคือนคุณภันตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนะ ตอนนี้บอกได้แค่... สมน้ำหน้าค่ะ! ฮื้ออออ นี่ดีนะคะที่คุณอาทิตย์ยังไม่รู้ว่าฐานทัพเป็นผู้ชายคนแรกแล้วยังไปมาหาสู่กันอยู่ตลอดอีก ไม่งั้นชาตินี้ทั้งชาติบวกไปอีกสามสิบชาติคุณภันก็ไม่ได้เข้าใกล้คุณอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ นี่เรียกว่าฟ้าดินกลั่นแกล้งหรือทำตัวเองคะเนี่ย ต้องเจอแบบนี้ก่อนถึงจะจัดการเรื่องฐานทัพเหรอคะ เฮ้ออ แต่จะว่าคุณภันหมดก็ไม่ได้อ่ะเนอะ เพราะคุณภันเป็นคนใจดีแบบนี้คุณอาทิตย์ถึงรักไง แล้วสถานการณ์ตอนนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำแบบนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่คุณภันจะทำยังไงต่อนั่นล่ะค่ะ แบบนี้คุณอาทิตย์ยังจะกินคุกกี้ต่อไหมเนี่ยคะ เดี๋ยววันต่อมาคุณขวัญงงเลย ทำไมเพื่อนกลับไปใจแข็งอีกแล้ว คุณภันสู้ๆนะคะ คุณอาทิตย์คงไม่ยอมง่ายๆหรอกค่ะ 55555555555

ปล. เราเจอคำผิดคำนึงนะคะ

ฮึกเหม >> ฮึกเหิม

รอตอนต่อไปนะค้าาาา  :mew3: :mew3: :mew3: ความหวานอยู่กับเราได้ไม่นานจริงๆเลยค่ะ ทำไมมมมม
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ [20/8/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-08-2016 19:40:39
เฮ่อ ให้มันได้อย่างนี้สิ
เอ้า งัดสกิลโจรกลับมาใช้สิ บุกถึงตัวเลย แต่เคลียร์คนเก่าให้จบก่อนล่ะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 28th Entry : หน้าชื่นอกตรม [1/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 01-09-2016 23:03:39
28th Entry : หน้าชื่นอกตรม






เพราะเมื่อวานถูกตัดรอนกันอย่างไร้เยื่อใย ภันวัฒน์จึงหมายมั่นว่าวันนี้จะไปหาอาทิตย์อัสดงที่บ้านเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด แต่แม้ตั้งใจเช่นนั้น เขาก็ยังมีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งขวางกั้นเอาไว้อยู่

ชายหนุ่มออกจากคอนโดมิเนียมตั้งแต่เช้าโดยทิ้งร่างของชายอีกคนซึ่งยังหลับใหลอยู่ไว้บนเตียง ตรงไปยังสนามบินเพื่อส่งน้องสาวเดินทางไปเรียนต่อตามกำหนดการ

ทั้งที่เมื่อวานเขายังรู้สึกยินดีที่ในที่สุดพร่างฟ้าก็จะอยู่ห่างหูห่างตาเขาสักพัก เพื่อเขาจะได้ใช้เวลากับอาทิตย์อัสดงอย่างเต็มที่ แต่ในวันนี้ความรู้สึกกลับตาลปัตรไปหมด

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เศร้าที่พร่างจะไม่อยู่ล่ะสิ”

หญิงสาวหยอกล้อเมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายไม่สดใส ภันวัฒน์ได้แต่ยิ้มแหยให้ ด้วยไม่มีอารมณ์แจ่มใสอย่างที่เคย

เมื่อคืนเขาแทบนอนไม่หลับด้วยซ้ำ เพราะใจร้อนรนอยากไปพบหน้าอาทิตย์อัสดงเร็วๆ แม้กระทั่งในตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะปั้นหน้าร่าเริง คุยเล่นกับน้องสาวอย่างสบายๆ แบบหนุ่มเจ้าสำราญอย่างที่เคย

“อือ ก็คงอย่างนั้นมั้ง”

“พี่ภัน ไม่สบายหรือเปล่า”

มือบางยกขึ้นแตะหน้าผากของร่างที่สูงกว่าเกินสิบเซนติเมตรด้วยความเป็นห่วง เพราะไม่เคยเจออาการเช่นนี้ของพี่ชายมาก่อน แต่อุณหภูมิก็ปกติ เธอจึงทำปากยื่นใส่

“ถ้าพี่ภันไม่ยิ้มส่งพร่าง พร่างไม่ไปจริงๆ ด้วยนะ จะอยู่นี่แหละ”

ราวกับประกาศิตอย่างไรอย่างนั้น ภันวัฒน์จึงต้องจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า ค่อยๆ คลี่อย่างเชื่องช้าค้างไว้ นึกตำหนิตนเองในใจที่ไม่เอาไหน ทำให้พร่างฟ้าต้องกังวล

“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้นแหละ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ” ร่องรอยของความร่าเริงค่อยๆ ปรากฏในน้ำเสียง “พร่างเถอะ เดินทางดีๆ ล่ะ”

มือหนาขยุ้มศีรษะของน้องสาวเบาๆ ระบายยิ้มที่ติดอยู่บนหน้าให้กว้างขึ้น และคงเพราะอาการของคนอายุมากกว่ากลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว พร่างฟ้าจึงโถมตัวเข้ากอดแน่น

“พร่างไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย แล้วจะวิดีโอคอลหาบ่อยๆ ที่สำคัญ” เธอดันตัวออกแล้วแหงนหน้ามองใบหน้าคมคายที่ก้มลงมา “อย่าแอบมีแฟนซะล่ะ จับได้ละก็พร่างจะจัดการซะ”

นอกจากคำพูดที่เน้นน้ำหนักเป็นพิเศษแล้ว เธอยังขยำมือตัวเองแน่นเป็นการยืนยันเสียอีก

ภันวัฒน์ส่ายศีรษะช้าๆ กับคำขู่นั้น ก่อนจะมองตามร่างของน้องสาวที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปยังทิศทางเบื้องหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างเพรียวสะคราญเลือนหายไปจากขอบเขตการมองเห็นแล้ว เสียงพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนถึงดังแทรกเสียงอื้ออึ้งของสถานที่

“พี่จะยังมีโอกาสได้เป็นแฟนเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้”





ในยามที่รอคอยเพื่อทำอะไรสักอย่าง เวลามักเดินเชื่องช้าเสมอ ภันวัฒน์มองนาฬิกาในห้องทำงานเป็นรอบที่เท่าไรแล้วเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปรอบโรงแรมด้วยการอ้างกับเลขานุการว่าเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอยู่หลายครั้ง จนถูกรั้งตัวอยู่หลายหน

ดังนั้นกว่าจะถึงเวลาที่เฝ้ารอจึงรู้สึกอ่อนล้าพอประมาณ แต่ถึงกระนั้นใจก็ยังฮึกเหิม ร่างสูงให้กำลังใจตนเองและขับรถมุ่งตรงไปยังจุดหมาย ยิ่งใกล้ปลายทางเท่าไรใจเต้นก็ยิ่งเร่งจังหวะขึ้นมา ลุ้นระทึกว่าคนที่ต้องการพบจะอยู่หรือไม่ แต่เมื่อไปถึงสถานที่นั้นแล้ว ภันวัฒน์ก็รู้สึกโล่งใจยามเห็นรถยนต์สีขาวจอดอยู่

เสียงสัญญาณจากปลายนิ้วดังขึ้นที่หน้าบ้านอยู่หลายครั้ง ก่อนร่างโปร่งของหนุ่มเจ้าของบ้านจะปรากฏขึ้นที่กรอบประตูด้านใน ร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อยพลอยให้ใจของผู้จัดการหนุ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว แต่เพียงครู่มันก็พองฟูขึ้นมาใหม่เพราะอีกฝ่ายขยับเยื้องกายออกมาพบหน้ากัน

“คือว่า...ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณน่ะครับ เรื่องเมื่อวานนี้”

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ร่างสูงจึงรีบโพล่งสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตั้งแต่เมื่อคืน หวังอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงไม่นึกรำคาญจนไม่ยอมเปิดประตูให้เยี่ยมกายเข้าไปเพื่อเสวนา ทว่ามันก็เป็นเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงยังคงยืนอยู่อีกฟากของรั้วสูงสองเมตรด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ปรากฏอารมณ์

“แต่ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องคุยนะครับ ผมเข้าใจดีว่าคนคนนั้นคงเป็นแฟนคุณ หรือว่าคุณห่วงว่าผมจะไปทำอะไรเขาเหรอครับ”

“ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะครับ เอ่อ คือคนเมื่อวานนี้ ฐานทัพ เขาเป็นเหมือนน้องชายของผมคนหนึ่งน่ะครับ ไม่ใช่แฟนของผม อย่าเข้าใจผิดสิครับ”

“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ครับ ถ้าจะบอกว่าเป็นแฟนของคุณ ผมรู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าคุณเป็นเกย์ คุณเป็นคนบอกผมเองนี่นา แล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจด้วยที่คุณจะคบหากับผู้ชาย”

“ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกับฐานไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ”

“ผมบอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับว่าถึงคุณเป็นเกย์ ผมก็สะดวกใจจะคบหาเป็นเพื่อนกับคุณ แต่ว่าผมขอเตือนไว้สักหน่อยนะครับ ว่าระวังไว้หน่อย อย่าปล่อยให้แฟนคุณไปเมาเหล้าอยู่คนเดียวแบบนั้น มันอันตราย ถ้าเมื่อวานผมไม่ได้เข้าไปช่วย อาจจะโดนคนไม่ดีหิ้วไปทำอะไรร้ายๆ ด้วยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วคุณจะมาเสียใจทีหลังนะครับ”

แม้ภันวัฒน์จะพยายมแทรกเสียงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็โดนตัดรอนอย่างเต็มที่ อาทิตย์อัสดงปฏิเสธคำอ้างที่ภันวัฒน์ยืนยันกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าไม่ใช่ข้อแก้ตัวเสียสิ้น ราวกับไม่ไยดีไม่ว่าคำพูดของร่างสูงจะเป็นอย่างไร

“ช่วยฟังผมหน่อยได้ไหมครับ!”

เสียงที่โพล่งขึ้นรุนแรงทั้งในแง่ของน้ำหนักและระดับความดังทำให้ร่างโปร่งเงียบลงไป หน่วยตาเรียวจับจ้องดวงหน้าคมคร้ามอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกหลังจากตะลึงงันยามเจอหน้ากันเมื่อวานนี้

เมื่อได้พิศดูหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ภันวัฒน์ก็รู้สึกตัวว่ากำลังประพฤติตัวไม่ดีต่ออีกฝ่าย แม้ความรู้สึกอัดแน่นจะตีรวนอยู่ในอก แต่เขาไม่ควรใส่อารมณ์เสียด้วยซ้ำทั้งที่เป็นคนผิด เสียงทุ้มจึงเอ่ยอ่อนแผ่ว

“ผมขอโทษที่เสียงดัง แต่ผมอยากให้คุณฟังสักหน่อย จะได้ไหมครับ”

หางประโยคยิ่งเปี่ยมด้วยความโอนอ่อนอย่างชัดเจน มันคล้ายขอร้อง ขอความเห็นใจ หรืออาจจะขอความเมตตา

“คุณอาจจะยังไม่เชื่อผมก็ได้ แต่ผมอยากอธิบายให้คุณเข้าใจ”

แม้ว่าดูสถานการณ์จะเอนเอียงมาในแง่ดีขึ้นบ้างเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายยอมฟัง ถึงกระนั้นก็ไม่มีการเชื้อเชิญให้เข้าบ้านแต่อย่างใด ดั่งเจ้าบ้านกำลังตั้งป้อมปราการขนาดใหญ่เอาไว้เตรียมขับไล่เขาอย่างเต็มที่หากเผยตัวเป็นอริ แต่ภันวัฒน์ก็เลิกใส่ใจเรื่องนั้นแล้วแสดงความจริงใจของตนเองต่อ

“ผมยอมรับกับคุณตรงๆ เลยว่าผมกับฐานเคยมีอะไรกัน แต่มันก็แค่ครั้งเดียว และเรื่องมันก็ผ่านมาแปดปีกว่าแล้ว ตอนนี้ผมกับเขาเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เพราะว่าเขามีปัญหาบางอย่าง ผมก็เลยคอยช่วยเหลือในฐานะพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นห่วงน้องชาย มันก็เท่านั้น ความรู้สึกอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นไม่มีหรอกครับ”

ริมฝีปากของคนฟังเม้มเข้าหากันเล็กน้อยราวกับมีคำอะไรบางอย่างอยากจะพูดออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอยู่ดี

“ผมทั้งทำงานที่โรงแรม ดูแลร้าน ไหนจะต้องคอยทำขนมหลายๆ ชั่วโมงอยู่เกือบทุกวัน ผมไม่มีเวลามากพอจะไปคอยเทียวไล้เทียวขื่อคนหลายๆ คนพร้อมกันหรอกครับ ตอนนี้ผมมีแต่คุณคนเดียว แค่คุณคนเดียวก็ทำให้ผมปั่นป่วน หายใจเข้าออกก็เป็นคุณไปหมดแล้ว”

ปฏิกิริยาจากคนตรงหน้ายังคงเงียบนิ่ง ตาคมสีนิลจับจ้องดวงหน้าเรียวขาวนั้นอย่างจริงจัง ต้องการแสดงความจริงใจให้เห็น

“คุณอาจจะมองว่าผมก็แค่หาข้ออ้างมาแก้ตัวก็ได้ แต่ว่าผมยืนยันได้ว่าผมพูดความจริงทุกอย่าง ที่ผ่านมาคุณก็น่าจะรู้ว่าผมจริงจังกับคุณแค่ไหน แล้วคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เคยโกหกคุณ”

ความเงียบอาบไล้ไปทั่วบรรยากาศ ความหนักอึ้งกดทับลงมาเมื่อหลังจากสิ้นคำพูดของภันวัฒน์แล้วไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาแม้แต่อย่างเดียว ดุจอยู่ท่ามกลางสุญญากาศอันเงียบเชียบจนรู้สึกได้ถึงมวลอากาศที่ลดน้อยถอยลงทุกที ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกถึงความทรมานที่บีบเค้นเข้าหามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ขอโทษนะครับ”

ก้อนเนื้อในอกดิ้นระรัวดั่งกำลังเอาตัวรอด ด้วยไม่รู้ว่าคำขอโทษที่อีกฝ่ายกล่าวมามีความหมายในด้านดีหรือร้าย แต่เพียงไม่นานนับจากนั้น คำตอบก็มาเยือนอย่างแจ่มแจ้ง หน่วยตาสีน้ำตาลเขม้นมองมา

“แต่ถ้าให้พูดตามตรง...ตอนนี้ผมยังเชื่อไม่ลง”

ลมหายใจหายไปวูบหนึ่ง ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนหัวใจซึ่งทำจากกล้ามเนื้อกลายเป็นเศษแก้วที่พังทลาย ณ ตอนนั้น ความดำมืดพุ่งทะยานเข้าหาจนรอบข้างมืดบอด แม้กระนั้นกลับเห็นร่างซึ่งอยู่ตรงหน้าอย่างแจ่มชัด

“ขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ช่วยอย่ามารบกวนผมอีก”

แสงแห่งความหวังที่ริบหรี่เป็นทุนเดิมดับวูบโดยพลัน พร้อมกับร่างของอาทิตย์อัสดงหมุนไปยังทิศทางตรงกันข้าม กายโปร่งเคลื่อนห่างอย่างเชื่องช้า ทว่าห้วงเวลาที่ภันวัฒน์ดำเนินอยู่กลับช้ายิ่งกว่าจะเรียกขานอีกฝ่ายไว้ เพียงพริบตาเดียวเจ้าของบ้านก็ลับร่างหายไปจากการมองเห็นเสียแล้ว

เปลือกตาบางปิดทับดวงตาสีเข้มสนิทแน่น เสียงด่าทอตัวเองสารพัดดังก้องอยู่ในหัว ในอกเจ็บเหมือนมีของแหลมคมทิ่มต่ำอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม ครั้นจะเรียกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปให้ออกมาอีกครั้งก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สองในวันนี้ และหากเขาทำเช่นนั้น จะยิ่งเป็นการทำให้เจ้าตัวผิดหวังซ้ำซากกับตัวเขาที่ดื้อด้านไม่รู้ฟัง แต่ใช่ว่าเขาจะยกธงยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้

ถึงวันนี้ไม่สำเร็จ สักวันมันก็ต้องสำเร็จ





ภายในห้องกว้างขวางซึ่งถูกจัดแต่งอย่างดีสว่างด้วยแสงไฟสีขาว ภันวัฒน์ไม่แปลกใจนักที่ได้เห็นเช่นนี้ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา ร่างของฐานทัพทิ้งตัวอยู่บนโซฟา สายตาทิ้งค้างอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เหมือนเพียงปล่อยให้มันผ่านตาเท่านั้น

“ไม่กลับเหรอ”

กายสมส่วนหย่อนลงนั่งข้างๆ แรงยวบพร้อมน้ำเสียงสุขุมเรียกกรอบหน้าเล็กกลมให้หันมาได้

“ยังไม่อยากกลับ”

เจ้าตัวตอบด้วยสีหน้าหน่าย คล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

“แล้ววันนี้ได้ไปเรียนหรือเปล่า”

“เปล่า ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไร”

“ไม่ค่อยอยากไปหรือกลัวที่จะไปกันแน่”

คำถามปักจึกเข้าไปในใจคนฟังกระมัง ฐานทัพจึงเขม่นมองร่างสูงใหญ่กว่า ภันวัฒน์ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างเข้าใจถ่องแท้ถึงเหตุผลซึ่งซุกซ่อนอยู่ จึงอดพูดจี้ใจซ้ำหนักไม่ได้

“ตอบตัวเองให้ได้ล่ะว่ากลัวเพราะอะไร ไปแล้วเจอ หรือไปแล้วแต่ไม่เจอ”

ยิ่งได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มร่างเล็กก็ยิ่งขบฟันเข้าหากัน ตวัดเสียงเข้มกว่าปกติใส่ ‘ผมรู้น่า พี่ไม่ต้องย้ำหรอก’ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังจอโทรทัศน์ดังเดิม

“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้เมาเละเทะ ทะเลาะกันเหรอ”

“นัดไว้ซะดิบดีแต่ไม่มาต่างหาก”

“ก็เลยดื่มไม่ยั้งว่างั้น”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาให้ได้ยินแฝงแววสลดลงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย พลอยให้ภันวัฒน์รู้สึกเหนื่อยใจตามไปกับปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นของคนที่อยู่ข้างๆ

“เมื่อไรเราจะเลิกใช้เหล้าหนีปัญหา ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไปดื่มจนไร้สติแบบนั้นมันอันตราย พี่รู้ว่าฐานไม่กลัวถ้าจะถูกหิ้วไปทำอะไรต่อมิอะไร ฐานไม่ได้แคร์เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าไม่ได้ถูกทำแค่นั้นล่ะ ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย หรือว่าเป็นพวกซาดิสม์ วิตถาร ฐานจะทำยังไง”

“.....”

คำตอบที่ได้รับมีแต่ความนิ่งเงียบ ฐานทัพก้มหน้ากับคำเตือนที่ไม่ใช่ครั้งแรก เห็นดังนั้นยิ่งทำให้คนสูงวัยกว่าเหนื่อยใจหนักกว่าเก่า

ฐานทัพดื้อแพ่ง ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักคิด แล้วจะไม่ให้เขาห่วงได้อย่างไร

“ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเองสักที”

“จนกว่าจะมีคนรักผมจริงๆ ล่ะมั้ง”

คำตอบนั้นทำให้ภันวัฒน์ชะงักกึกไปทันที รู้สึกเสียดแน่นในอกราวกับถูกอะไรพุ่งปักลงมาทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง แต่เป็นเพราะเขารู้สึกเห็นใจ เวทนาเจ้าของคำพูดนั้นต่างหาก

“ถ้าไม่มีคนรักผม ผมก็ไม่รู้จะรักตัวเองไปทำไม”

ภันวัฒน์รู้สึกอยากจะหาอะไรสักอย่างมาฟาดคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แรงๆ สักหลายที

ทำไมฐานทัพถึงได้มีความคิดแบบนี้ไปได้ เมื่อก่อนก็เที่ยวเล่น รักสนุกจนไม่เห็นคุณค่าตัวเองอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ยิ่งหนักหนากว่าเก่าจนเกินจะเยียวยา

“แล้วที่พี่ห่วงฐานอยู่ทุกวันนี้ หวังดีกับฐานแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ฐานรู้สึกเลยเหรอว่าควรจะห่วงตัวเองบ้าง”

“ผม...ขอโทษ”

เสียงเศร้าสลดกับสีหน้าที่โศกเศร้า ดวงตาที่เคยชุ่มฉ่ำอยู่เสมอคล้ายเปียกลื่นด้วยนัยอื่นจนมันเรื่อสีแดงเล็กน้อยนั้นส่อชัดว่าเจ้าตัวกำลังสำนึกผิด ซึ่งมันก็ทำให้คนเห็นรู้สึกหนักอึ้งในใจ จะต่อว่าต่อขานต่อไปก็สงสาร จึงทำได้เพียงคว้าศีรษะเล็กนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก

“ถ้าฐานรับรู้ว่าพี่หวังดี และเห็นแก่พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ ซะ เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“แล้วก็ถ้ามันยังเลวร้ายต่อไปอยู่อย่างนี้ ก็ต้องยอมเจ็บ ตัดเนื้อร้ายก่อนเราจะตาย เข้าใจไหม”

“ครับ”

ราวกับคำพูดเมื่อครู่เป็นการกำหนดทิศทางเดินให้กระมัง ใบหน้าเล็กจึงยิ่งกดแนบเข้ากับอกแกร่งมากกว่าเดิม พลอยให้เสียงถอนหายใจจากร่างสูงดังลอดออกมาอีกครา

ภันวัฒน์ได้แต่หลับตากอดฐานทัพอยู่ในอ้อมแขนทั้งอย่างนั้นด้วยความรู้สึกทั้งสงสารเด็กกร้านโลกที่ไม่รู้ประสาคนนี้ และสังเวชตนเองเช่นกันที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถคลี่คลายปัญหากับอาทิตย์อัสดงไปได้อย่างราบรื่น





หนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว

แม้จะตั้งปณิธานกับตนเองแล้วว่าจะไม่ละทิ้งความหวังง่ายๆ แต่ไม่ว่าจะติดต่อไปทางโทรศัพท์และไปหาที่บ้านเท่าที่สามารถทำได้ ภันวัฒน์ก็ได้รับแต่ความว่างเปล่า

อาทิตย์อัสดงไม่ตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ทางแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์คงจะโดนบล็อกไปแล้ว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ก็ทำเสมือนเขาไม่มีตัวตน ต่อให้รอนานหลายชั่วโมงหรือกดสัญญาณเรียกเท่าไรก็ไม่ออกมาหา จนเป็นร่างสูงเสียเองที่รู้สึกละอายใจและเกรงใจเพื่อนบ้าน

ปฏิกิริยาที่ได้รับเช่นนี้ แม้จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในแง่หนึ่ง ทว่าเขาจะไม่พูดหรือคิดเรื่องเจ้าเล่ห์อย่างการบอกว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกถึงความไม่พอใจเขา เป็นเพราะว่ามีความรู้สึกพิเศษให้เป็นอันขาด เพราะหากเขายังได้รับการเมินเฉยต่อไปเช่นนี้ มันก็เทียบได้กับไม่มีค่าใดๆ มีแต่จะทำให้ยิ่งรู้สึกห่วงใยอีกฝ่ายเสียมากกว่า

และด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ปาติซิเยหนุ่มจึงนัดเพื่อนให้มาหา ทั้งสองคนนัดหมายกันในบาร์ของโรงแรมเช่นเดียวกับทุกครั้ง เพียงแต่หมุนเวียนไปตามแต่ละสถานที่ ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน

“ดูจากหน้าแล้ว คงไมได้นัดกูมาดื่มเฉยๆ แน่”

คราวนี้เกรียงไกรมาช้ากว่าเวลาเล็กน้อย และทักทายหลังหันไปสั่งเครื่องดื่มแล้วราวกับธรรมเนียมปฏิบัติ

“กูมีเรื่องขอร้องมึงน่ะ”

“เรื่องคุณฟรีว่าที่แฟนมึงน่ะเหรอ”

ดูเหมือนเจ้าตัวจะจำได้แม่นยำทีเดียวหลังจากถูกย้ำในครั้งก่อน ภันวัฒน์ผงกศีรษะเบาๆ ตอบรับ

“ความรักของมึงครั้งนี้นี่อุปสรรคเยอะจริงนะ”

ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย เพราะเท่าที่ผ่านมานอกจากถูกกีดกันโดยพร่างฟ้าแล้ว ภันวัฒน์ไม่เคยต้องลำบากฝ่าฟันใดๆ ในการจะคบหากับใครสักคน

“กูพลาดเองแหละ”

สีหน้าสลดของเพื่อนทำให้เกรียงไกรมองอย่างสนใจ เขาหยิบเครื่องดื่มที่ได้รับมากรอกเข้าปากก่อนถามด้วยความเห็นใจเล็กน้อย

“ทำไมวะ”

“ฟรีเจอกับฐานแล้วก็เข้าใจผิด ตอนนั้นกูดันพูดว่าฐานเป็นคนของกูด้วย แต่กูไม่รู้นี่หว่าว่าคนที่อยู่กับฐานเป็นเขา เห็นแต่ข้างหลังครึ่งเดียวเพราะโดนต้นไม้บัง กูร้อนใจด้วยเพราะฐานโทรมาตอนเมาแทบพูดไม่รู้เรื่อง”

หลังจากเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เสียงร้อง ‘เวร’ จากเกรียงไกรก็ดังมา

“ก็อยากจะถามอยู่หรอกนะว่าสองคนนั้นไปเจอกันได้ยังไง แต่ช่างมันแล้วกัน ว่าแต่มึงอธิบายให้คุณฟรีฟังหรือยังล่ะว่ามึงกับฐานเป็นยังไง”

“กูบอกแล้วว่ากูกับฐานเป็นแค่พี่น้องกัน แต่เขาบอกว่าเชื่อกูไม่ลง แล้วก็ไม่ยอมให้กูติดต่อเขาอีกเลย”

“มึงบอกแค่นั้น ไม่ได้บอกเหรอว่าเพราะอะไรมึงถึงต้องคอยดูแลฐานแบบนั้น”

เกรียงไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ภันวัฒน์ครางเสียง ‘อืม’ เบาๆ จึงโดนสวนกลับมา

“ถ้ามึงบอกแค่นั้น เป็นกู กูก็ไม่เชื่อว่ะ มีอะไรพิสูจน์ว่ามึงไม่ได้โกหก ทำไมมึงไม่บอกๆ เรื่องฐานไปให้หมด เขาจะได้เข้าใจว่ามึงมีเขาคนเดียว”

เหมือนโดนน้ำเกลือผสมพริกราดลงบนแผลสด ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกแสบไปหมด แต่กระนั้นเขาก็ยังยึดมั่นความคิดของตนเอง

“กูก็รู้อยู่หรอกว่าทำแบบนั้นมันดีกว่า แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฐาน จะให้กูไปป่าวประกาศบอกคนอื่น มันก็ไม่ใช่เรื่อง อีกอย่าง กูอยากให้เขายอมเข้าใจกูเพราะเชื่อในตัวกู เพราะเชื่อว่ากูจริงใจกับเขา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นๆ ที่มันเข้าท่า น่าเชื่อถือ ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ”

“โอ๊ย มึงนี่ มาความคิดหล่อแบบไม่รู้จักเวล่ำเวลาอีก”

แค่น้ำเสียงก็บ่งบอกได้แล้วว่าเพื่อนอิดหนาระอาใจกับตนเองสักแค่ไหน ทว่าสีหน้าของเกรียงไกรก็ยิ่งย้ำซ้ำ ซึ่งภันวัฒน์ก็เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนเป็นอย่างดี แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“กูเคารพความเป็นส่วนตัวของฐานด้วยส่วนหนึ่งก็จริง แต่อีกส่วนก็เพราะว่าฟรีเคยโดนคนรักเก่าหักหลังมาก่อน เพราะงั้นถ้ากูทำให้เขาเชื่อไม่ได้ด้วยตัวของกูเองในคราวนี้ มันก็อาจจะเกิดเหตุแบบนี้ครั้งต่อๆ ไปก็ได้”

“มึงนี่คิดไกลอีกแล้ว” เกรียงไกรพูดอย่างหน่ายๆ “มึงเอาครั้งนี้ให้รอดก่อนไปคิดถึงครั้งหน้าไหม”

“กูคิดถึงอนาคตเพราะกูกะลงหลักปักฐานกับคนนี้เลยต่างหาก กูถึงได้กลุ้มใจอยู่เนี่ย ถ้าเป็นคนอื่น กูหาเรื่องแถให้รอดสักเท่าไรก็ได้”

“โฮ่” เสียงร้องจากคนฟังแฝงไว้ทั้งความตะลึงและความชื่นชมคละเคล้ากัน “แล้วที่มึงบอกว่าจะขอร้องกูล่ะ เรื่องอะไร”

“กูอยากให้มึงบอกคุณขวัญให้หน่อย”

“อ้าว ไหนบอกว่ามึงอยากให้เขาเชื่อในตัวมึงเอง แล้วไหงจะมาพึ่งคนอื่นแล้วล่ะวะ”

“ไม่ใช่” ภันวัฒน์บอกปัดด้วยเสียงเซ็งเล็กน้อย “กูอยากให้คุณขวัญดูแลเพื่อนเขาหน่อย”

“ทำไมล่ะ”

ดูเหมือนเกรียงไกรจะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของคำขอนั้นแม้แต่น้อย หัวคิ้วถึงได้ขยับเข้าหากัน

“กูเป็นห่วงฟรี สภาพจิตใจของเขาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไร”

“โอ้โห คำพูดมึงนี่ดูมั่นมากจริงๆ ว่ามึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขา จนเขาจะมานั่งเศร้าซึมกระทือเพราะมึง”

เกรียงไกรสัพยอกพร้อมแย้มยิ้ม ผิดกับภันวัฒน์ที่ยังมีสีหน้าขึงเครียด

“กูไม่ได้หลงตัวเองหรอกน่า แต่กูเชื่อว่าเขาจะต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามันมากแค่ไหนก็เถอะ เพราะมันไปคาบเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของเขาด้วย”

“สรุปว่าเขาก็มีใจให้มึง แต่ยังไม่อยากเปิดใจยอมรับมึงเต็มที่ แล้วมึงก็ดันไปทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจในตัวมึง เพราะงั้นตอนนี้เขาก็น่าจะอาการแย่พอดู”

“อืม ตามนั้นแหละ”

ผู้จัดการหนุ่มได้แต่ครางเสียงตอบรับข้อสรุปรวบรัดของเพื่อนอย่างห่อเหี่ยว และคงเพราะเห็นดังนั้นกระมัง เกรียงไกรถึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

“โอเค กูจะบอกขวัญให้แล้วกัน”

“ขอบใจว่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ กูอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“ให้รายงานสถานการณ์ของคุณฟรีในแต่ละวันมาด้วย?”

เกรียงไกรยกเสียงท้ายประโยคขึ้นสูง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งดั่งถามว่าเอาแน่หรือ ซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้าเบาๆ เป็นการยืนยัน

“เอาเป็นว่าขวัญจะร่วมมือเท่าไหนก็เท่านั้นแล้วกัน เพราะเขาก็เป็นเพื่อนรักกันด้วย คงไม่เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนเขาหรอก ยิ่งมึงไปทำให้เพื่อนเขาผิดหวังเสียใจ กูไม่รู้หรอกว่าเขาจะยอมช่วยมึงหรือเปล่า ถึงมันจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วก็ไม่ได้เป็นการพูดแก้ตัวให้มึงด้วยก็เถอะ”

“เออ แค่มึงช่วยบอกให้ก็ช่วยกูได้มากแล้วว่ะ เพราะตอนนี้กูไม่รู้ความเป็นไปของเขาเลย ยิ่งทำให้กูเป็นห่วงหนักขึ้นไปอีก ส่วนคุณขวัญจะช่วยหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเขาแล้วกัน”

“แม่ง คำพูดมึง พระเอกสุดๆ”

สีหน้าซาบซึ้งสุดประทับใจอย่างเสแสร้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนพูด หากมันไม่ดูน่าแขยงสำหรับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ภันวัฒน์คงจะรู้สึกยินดีกับคำชมนั้นไปแล้ว

“ว่าแต่มึงเถอะ”

“หืม”

“ไม่เรียกคุณขวัญแล้วเหรอ”

เมื่อจบเรื่องของตน ภันวัฒน์ก็มุ่งเข้าเรื่องของเพื่อนสนิทบ้าง เพราะเพิ่งสังเกตว่าสรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไป”

“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ” เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับยืดอกขึ้น นั่งตัวตรงอย่างผึ่งผายราวกับจะโอ้อวด ใบหน้าแช่มชื่นอมสุขหาใดปาน “ก็ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วนี่หว่า”

“จริงดิ”

“เออ น้องพร่างฟ้าคนสวยสุดที่รักของมึงนั่นแหละช่วย”

คำตอบนั้นทำให้ผู้จัดการหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าเคยทิ้งระเบิดที่ชื่อพร่างฟ้าไว้กับเกรียงไกรช่วงก่อนหยุดปีใหม่ แถมยังหยอกกระเซ้าเพื่อนให้ใช้ประโยชน์จากน้องสาวของตัวเองอีก เขาไม่คิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ

“ดีจริงว่ะมึง”

“เออดิ แถมตอนนี้นะ ขวัญเปลี่ยนมาเรียกกูว่าพี่จอมด้วย โคตรน่ารัก”

ท่าทางระริกระรี้กระดี๊กระด๊าอย่างเกินหน้าเกินตาของคนข้างๆ ทำให้ภันวัฒน์แทบอยากเอาเครื่องดื่มบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าที่ดื่มค้างอยู่สาดใส่หน้าให้หายหมั่นไส้เสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอยู่

“อิจฉา ริษยา ตาร้อนฉิบหาย”

“ฮึฮึฮึ”

เกรียงไกรไม่พูดอะไร แต่ส่งเสียงหัวเราะพิลึกๆ ตอบกลับคำพูดของคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องความรัก ขณะที่ตนเองกำลังราบรื่นไปด้วยดีกับแฟนสาว และเพราะเหตุใดนั้นเสียงถอนหายใจของภันวัฒน์จึงดังมาอีกระลอก มือหนาคว้าเครื่องดื่มที่อยากสาดใส่เพื่อนอยู่เมื่อครู่ขึ้นมากรอกปากเสียเอง

“ทำไมทีมึง พร่างถึงช่วยให้สมหวัง แต่ตอนกูนี่กีดกันจังวะ”

“ก็กูไม่ใช่พี่ชายสุดรักสุดหวงสุดเลิฟสุดสวาทขาดใจของพร่างนี่หว่า”

“เฮ้อ”

เสียงถอนหายใจของคนที่ได้รับความรักมากมายจากน้องสาวที่มีเพียงเศษเสี้ยวของสายเลือดร่วมกันดังอย่างหมดอาลัย พร้อมกับความรู้สึกในใจที่ค่อยๆ แผ่คลุมจนเอ่อล้นออกมา

ผมอยากเจอคุณ...ฟรี





---------------------
คุณอาทิตย์ตัดรอนกันได้
ยังอึมครึมกันต่อไป

ตอนนี้พร่างฟ้าไปแล้ว แต่จะคัมแบคในตอนพิเศษนะคะ
ยังไม่แน่ใจว่าจะได้อัพหรือเปล่า แต่บอกไว้เผื่อๆ สงสัยว่านางมาแค่นี้เหรอ

แล้วก็ตอนนี้เปิดจอง It's U, It's Me ทั้งสองเรื่องอยู่นะคะ
ใครที่เคยกรอกแบบฟอร์มไว้ หรือลงชื่อไว้ในเฟซอย่าลืมโอนเงินเข้ามากันนะคะ
ถึงวันที่ 15 กันยายนค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

Undel2Sky



หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 28th Entry : หน้าชื่นอกตรม [1/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 01-09-2016 23:45:11
บอกตามตรง ไม่มีความสงสารหรือเห็นใจนายภันเลย

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 28th Entry : หน้าชื่นอกตรม [1/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 02-09-2016 05:42:17
เริ่มเอาใจช่วยคุณภันนิดๆ ยังไงซะทุกคนก็ต้องมีเรื่องในอดีต แต่เคลียร์เร็วๆ ก็ดี
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 28th Entry : หน้าชื่นอกตรม [1/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 02-09-2016 08:46:13
คุณภันสู้ๆ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 28th Entry : หน้าชื่นอกตรม [1/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 02-09-2016 08:54:32
ไม่รู้สึกสงสารคุณภันเลยสักนิดอ่ะค่ะ 5555 เราก็"ม่รู้ว่าฐานทัพนี่มีเรื่องอะไร หนักหนามากแค่ไหน ไม่รู้พื้นฐานทางบ้าน ไม่รู้อะไรเลย แต่แบบ คือมันก็เรื่องของเขาอ่ะ คุณภันทำตัวเองจริงๆนะคะ ไม่รู้ดิ เราทีมคุณอาทิตย์ค่ะ ที่รักของเราป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างคะเนี่ย เฮ้อ... นึกว่าคนนี้จะดีแล้ว คุณอาทิตย์คะ โสดไปก็ไม่ตายค่ะ ฮืออออ อ่านถึงตอนคุณไกรนี่เรานึกว่าเดี๋ยวน้องพร่างฟ้าจะกลับมาช่วยพี่ชายซะอีกค่ะ สงสัยไม่ใช่แล้ว แต่ก็นั่นล่ะค่ะ เราเบื่อคุณภัน ให้แกทรมานไปนานๆก็ดีนะคะ ให้คุณอาทิตย์มีแฟนไปเลยก็ดี ฮึ่ม แต่เราชอบเรื่องนี้อย่างนะคะ เราว่ามันดูมีความเป็นผู้ใหญ่สมอายุตัวละครอ่ะค่ะ ไม่มีการหึงหวงหรือตามตื๊อแบบไร้สาระและมากเกินเหตุ เป็นการเว้นระยะห่างและให้เวลาอะไรหลายๆอย่าง เราชอบมากอ่ะค่ะ ฮื้อออ แต่ก็ยังยืนยันว่าไม่เชียร์คุภัน และคุณภันควรเจ็บช้ำต่อไป เย่!  :mew3:

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย  >> ตรงนี้เราว่าน่าจะเพิ่มถูกอ่ะค่ะ ถ้าเกิดถูกทำร้ายร่างกาย

เพราะเพิ่งสังเกตว่าสรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไป”   >> อันนี้ไม่มี " ข้างหลังอ่ะค่ะ

รอตอนต่อไปนะค้าาาาาา  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 28th Entry : หน้าชื่นอกตรม [1/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-09-2016 14:53:07
ฮักพระเอกโคตรรรรรรรร
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก [10/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 10-09-2016 22:35:20
29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก






ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง

เสียงสัญญาณเรียกดังมาจากหน้าบ้านเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านช่วงเย็น ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้ร่างกายที่พักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นโยกไหวด้วยความหวาดหวั่น ไม่ใช่อาการสั่นผวาหรือสะดุ้งอย่างตกใจ

อาทิตย์อัสดงหันมองไปทางหน้าต่าง พบร่างหนึ่งอยู่เบื้องหลังประตูรั้ว แม้เห็นแต่ไกลไม่ได้เห็นจะแจ้งเป็นรูปร่างที่ชัดเจน ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร และมันก็ทำให้รู้สึกราวกับร่างกายหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ แม้เพียงนำร่างขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อมุ่งสู่การพักผ่อนยังรู้สึกว่ายากลำบาก

ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พยายามลบภาพทับซ้อนที่ได้เห็นไม่เว้นแต่ละวันออกไป ก่อนจะขับพลังทั้งหมดที่มีเพื่อไปชำระล้างกายในห้องน้ำ แต่ถึงร่างกายจะสะอาดแล้ว ความคิดและจิตใจกลับปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง

เป็นแบบนี้มาร่วมครึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่วันนั้น...

แม้ไม่อยากนึกถึงมัน แต่ทุกครั้งที่หมดภาระจากการทำงานหรือสมองว่าง เขาจะนึกถึงเหตุการณ์เดิมเสมอ

ความรู้สึกในตอนที่หันหน้าไปพบกับภันวัฒน์อย่างไม่คาดคิด ถ้อยคำและน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเปล่งออกมาในเวลานั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในอณูความทรงจำราวกับถูกกักเก็บไว้ดั่งของล้ำค่า ทั้งที่แท้จริงแล้วมันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

แววตาและสีหน้าของปาติซิเย่หนุ่มในวันรุ่งขึ้นที่มาหาเขาก็เช่นเดียวกัน มันยังถูกบันทึกเอาไว้อย่างคมชัดในสมอง

หน่วยตาเรียวปิดลงอย่างอ่อนล้า เขาตัดหนทางติดต่อจากภันวัฒน์จนหมดสิ้นแล้ว

ทางโทรศัพท์เขาบล็อกเอาไว้ทั้งหมดจนไม่อาจรับรู้ได้อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายหมั่นเพียรส่งข้อความมาหาตนหรือไม่ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามมาหาเขาทุกวี่วันอย่างไม่ย่อท้อ แต่เขาก็เมินเฉย ทำเป็นไม่รับรู้ถึงการมาเยือน กระทั่งอีกฝ่ายปีนรั้วเข้ามาเคาะประตูถึงชั้นใน เขาก็หลีกหนีด้วยการขึ้นชั้นบนเช่นวันนี้ทุกครั้งครา

ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากฟังคำพูดอะไรทั้งนั้น

รู้ว่าตัวเองช่างงี่เง่าสิ้นดีที่ทำเช่นนี้ และรู้ด้วยว่าเป็นตนเองที่ไม่ดีที่ไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

เขารู้ว่าภันวัฒน์ไม่ใช่คนชอบพูดโกหก เพราะที่ผ่านมาหากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับความรู้สึกที่มีให้เขา อีกฝ่ายจะพูดด้วยความจริงจังและแสดงเจตนาชัดเจนเสมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทุบทะลวงกำแพงที่กั้นขวางเอาไว้จนเป็นช่องขนาดใหญ่แล้วมุดเข้ามาในใจของเขาได้

ตัวเขาเองก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกันที่ยังไม่ยอมรับว่าเชื่อ แล้วกล่อมตัวเองว่าเชื่อไม่ได้ เชื่อไม่ลง เพราะภันวัฒน์พูดออกมาอย่างเต็มปากว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนของตัวเอง มันทำให้รู้สึกเจ็บช้ำ ราวกับย้ำซ้ำรอยอดีตที่ทำให้ไม่อยากมีความรักอีก

เขากลัวว่าถ้าหากเชื่อแล้วถูกชายคนนี้ทรยศในภายหลัง เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่านี้ จึงทำได้แต่ถอยหนีออกมาอย่างขี้ขลาดจนน่าสมเพช

ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นมองยังโต๊ะเล็กที่หัวเตียง กล่องคุกกี้ที่ก่อนนี้เคยพกมันติดตัวไปที่ทำงานด้วยบัดนี้กลับกลายมาอยู่ที่นี่เป็นประจำเสียแล้ว เขาเคยหยิบขนมแสนอร่อยภายในนั้นมากิน เรียงลำดับตั้งแต่หนึ่งจนถึงห้า อ่านข้อความภายนั้นหวังจะได้พบความขบขันเช่นก่อนหน้า แต่ทว่าตลอดครึ่งเดือนมานี้ มันกลับไม่ได้ช่วยให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาเลย

ไม่อยู่ในห้วงอารมณ์แบบนั้น

ขำไม่ออกแม้แต่นิดเดียว

มีแต่ความขมที่แทรกอยู่ทุกครั้งยามกลืนรสชาติซึ่งเดิมทีเคยหอมหวานลงคอ

มือเรียวหยิบกล่องสีสวยมาเปิดออก ภายในนั้นเหลือขนมอยู่เพียงชั้นเดียว ชั้นสุดท้ายและชิ้นสุดท้าย ทั้งที่ตลอดมานับตั้งแต่แถวแรกมันจะมีห้าชิ้นเสมอ แต่มีเพียงชั้นสุดท้ายนี้เท่านั้นที่มีชิ้นเดียว และเมื่อได้เห็นอย่างนั้นมันก็ทำให้เขากลัวที่จะเปิดดู

ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนว่าไม่ควรเปิดมันในตอนนี้

ตอนที่เขาไม่พร้อมจะรับรู้อะไรจากชายคนนั้นทั้งสิ้น

กล่องทรงกระบอกสูงถูกส่งคืนกลับไปยังตำแหน่งประจำของมันอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งผ่อนลงยังเตียงในลักษณะเดิม เสียงลมหายใจเข้าออกถ่ายทอดออกมาเป็นระลอก ทั้งหนักและเบาสลับไปมา คล้ายกับคนจิตใจไม่สงบ ก่อนดวงตาจะปิดลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน

เมื่อไร... เมื่อไรความรู้สึกว้าวุ่นสับสนนี้จะจบลง

เมื่อไรเขาจะเพิกเฉยกับมันเหมือนที่แสร้งทำได้สำเร็จเสียที





“ทำไมมานั่งเปลี่ยวอยู่คนเดียวล่ะ”

ทั้งร่างของอาทิตย์อัสดงพลันสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเปียกแฉะที่ข้างแก้ม พอหันไปก็พบตะวันกำลังยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม

“ซื้อมาฝาก น้ำพั้นหน้าปากซอย ดื่มแล้วจะได้ชื่นใจ”

มือเรียวยาวยื่นแก้วที่เป็นเหตุให้ได้สติมาให้ พร้อมกับร่างของเจ้าตัวย่อลงนั่งบนม้านั่งหินตัวข้างๆ

นับตั้งแต่กลับมาจากเอาท์ติ้งกับบริษัท อาทิตย์อัสดงเจอตะวันบ้างประปราย พูดคุยทักทายกันตามปกติ อีกฝ่ายไม่ได้หลบลี้หนี้หน้าเขาแต่อย่างใด ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง

“ขอบคุณครับ”

ร่างโปร่งรับแก้วน้ำมาตามมารยาท ตอบรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอายุมากกว่ามอบให้ เขาจิบนิดๆ ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานไหลผ่านลำคอที่แห้งผาก

“ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากอีกเหรอ”

ใบหน้าที่หลุบลงเล็กน้อยเพราะจดจ่อไปกับการดูดของเหลวสีแดงส้มในแก้วเหลือบขึ้นมองคนที่อยู่เยื้องกันเล็กน้อย

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

“ก็สีหน้า ดูเหมือนคนมีเรื่องในใจ”

คำตอบนั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกถึงแรงสะท้อนน้อยๆ ในใจ ทั้งที่คิดว่าตนเองเก็บอาการได้ดีแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกจับได้อย่างง่ายดาย

“พี่ช่างสังเกตเกินไปหรือเปล่า”

“หืม ไม่หรอก” ตะวันส่ายหน้าช้าๆ “เห็นชัดเลยล่ะ”

ยิ่งถูกตอกย้ำให้รู้อีกว่าการกระทำของตนเองล้มเหลวไม่เป็นท่า อาทิตย์อัสดงก็ก้มลงดูดน้ำจากหลอดอีกรอบราวกับจะเลี่ยงการพูดคุย

“คนละเรื่องกับคราวที่แล้วใช่ไหม”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”

ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรออกไป แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจจนใคร่รู้ ร่างโปร่งยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“สีหน้าไม่เหมือนกันน่ะ คราวก่อนฟรีดูอึมครึม หดหู่ ทุกข์ทรมาน”

คำอธิบายชัดเจนจนสามารถเข้าใจได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้ความอยากรู้ยิ่งพอกพูนในใจของอดีตบล็อกเกอร์

“แล้วคราวนี้”

“ดูเศร้าๆ เหมือนคนผิดหวังอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็กำลังเสียใจ”

เหมือนเปิดหัวใจกันออกมาดูอย่างไรอย่างนั้น มันตรงจุดจนอาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนถูกทุบลงมาแรงๆ ให้แทบสำลักอากาศ หรือไม่ก็กระอักเลือดสักอย่าง เขาผินหน้าหนีไปอีกทางประหนึ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นสีหน้าเช่นนั้น

“เรื่องความรักเหรอ”

เสียงที่ประกอบเป็นคำถามทำให้ร่างโปร่งรู้สึกว่ามันหนักหนายิ่งกว่าเดิม และคงเพราะเจ้าตัวยังคงไม่หันหน้ากลับมา ตะวันจึงตีความไปเองว่าข้อสันนิษฐานของตนเองถูก

“ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าภูเขาแข็งแกร่งอย่างฟรีจะสั่นไหวด้วย”

อาทิตย์อัสดงต้องสะอึกขึ้นมาอีกคราวเพราะเหมือนว่าตนเองกำลังถูกยอกย้อน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายเช่นนั้น แต่ก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ เสียงเปรยแผ่วจึงหลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ

“คงกรรมตามสนองมั้งครับ”

ทั้งที่มันเบาเหลือเกิน แต่ตะวันก็ได้ยิน

“ไม่หรอก เรื่องความรักจะเกิดกับใครสักกี่ครั้งก็ได้”

น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางอากาศนั้นนุ่มนวล อ่อนละมุนเสมือนคำปลอบใจ อาทิตย์อัสดงจึงยอมหันกลับไปในทิศทางที่ตะวันนั่งอยู่ สบนัยน์ตาที่มองตรงมาพร้อมกับใบหน้าที่มีแววของความอ่อนโยน

“ทั้งที่ปฏิเสธพี่ไปชัดเจนซะขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องให้พี่มารับรู้เรื่องแบบนี้อีก ผมอาจจะเห็นแก่ตัวมากกว่าที่คิดก็ได้นะครับ”

ตะวันหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดนั้น ราวกับผู้ใหญ่กำลังเอ็นดูเด็กก็ไม่ปาน

“เอาจริงๆ พี่ยังตัดใจไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าฟรีจะหันมามองกันในสักวัน เพราะฟรีพูดด้วยความหนักแน่นขนาดนั้น แล้วที่สำคัญ...ตอนนี้ก็มีใครที่ฟรีนึกถึงด้วย คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเปลี่ยนใจมาหาพี่ ใช่ไหมล่ะ”

อาทิตย์อัสดงทำได้เพียงผงกศีรษะเบาๆ เพื่อยอมรับเท่านั้น

“รู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธซ้ำสองด้วยวิธีการโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมซะอีกนะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ พี่อยากให้ฟรีมีความสุขมากกว่า”

ถึงจะเหมือนกำลังต่อว่าต่อขานกัน แต่ใบหน้าของตะวันก็ปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ได้แอบแฝงความรู้สึกที่ทำให้ร่างโปร่งต้องรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้แต่อย่างใด ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็อดจะขอโทษจากใจไม่ได้ ตะวันจึงตบบ่าเบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ พร้อมกับย้ำว่า ถ้าเรื่องราวมันหนักหนาเกินกว่าจะแบกไว้คนเดียว จะระบายให้ฟังก็ได้ เพราะดูเหมือนเขาจะเป็นพวกชอบความเจ็บปวดไปแล้ว

“อ้าว พี่เต็ม โผล่มาไงเนี่ย”

หลังจากคุยกันไปอีกสักพักหนึ่ง คนที่อาทิตย์อัสดงมานั่งทอดอารมณ์ยามบ่ายรออยู่ก็กลับมาพร้อมกับถุงผลไม้และน้ำปั่นในมือ

“ก็มานั่งเล่น ผ่อนคลายบ้างสิครับ ขวัญก็ยังออกไปซื้อขนมมากินเล่นตอนบ่ายได้เลยนี่นา”

“แหม ก็แค่ทักทายนิดเดียวเองน่า” หนึ่งฤทัยทำปากยื่นใส่เล็กน้อย ก่อนจะหันมาพยักหน้าชวน “ขึ้นข้างบนกันฟรี ไปก่อนนะพี่เต็ม”

ร่างโปร่งเจ้าของชื่อหันไปล่ำลาพระอาทิตย์อีกดวงหนึ่งพอเป็นพิธี จากนั้นเดินตามเพื่อนสาวขึ้นไปยังห้องทำงาน

“เย็นนี้มึงว่างหรือเปล่า”

ระหว่างทางหญิงสาวก็ชวนคุยไปด้วย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับคำถามนี้ เพราะปกติแล้วทั้งคู่จะรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน นอกจากมีเหตุจำเป็นถึงจะงดเว้นไป

“ไม่ ทำไมล่ะ”

“กูจะชวนมึงไปกินข้าวด้วยกันหน่อย พอดีว่ามีคนอยากเจอมึงน่ะ”

สิ่งที่ไม่คาดคิดกลับมาพร้อมประโยคต่อมา อาทิตย์อัสดงชะงักฝีเท้าที่ขึ้นบันไดอยู่ลงครามครันยามคิดว่าคนที่หนึ่งฤทัยพูดถึงอาจจะเป็นคนที่เขาหลบเลี่ยงมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา

แม้จะหลอกตนเองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะภันวัฒน์ไม่น่าจะมาเอ่ยขอร้องหนึ่งฤทัย แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้เช่นกันว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

ภันวัฒน์สามารถทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงได้เสมอ

และอีกอย่าง...หนึ่งฤทัยก็เป็นแฟนกับเพื่อนของภันวัฒน์ด้วย

“มึงทะเลาะกับคุณภันใช่ไหมล่ะ”

เป็นดังคาด คำถามตรงจุดพุ่งเข้าใส่อย่างตรงไปตรงมา

“เปล่า”

ร่างโปร่งแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกใดๆ โดยการก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดต่อ ทั้งที่แสดงปฏิกิริยาอย่างชัดเจนแล้วว่ารู้สึกตรงกันข้าม

“มึงอย่าโกหกกูเลย ไม่แค่กูหรอก พวกพี่ๆ ในแผนกก็รู้กันหมดแหละว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจ ถึงจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หน้ามึงก็ดูเศร้าๆ เหม่อลอย ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”

เหมือนโดนตอกย้ำว่าความพยายามของตนเองไร้ผลโดยสิ้นเชิง อาทิตย์อัสดงก้มหน้าลง ไม่อยากจะหันไปเผชิญหน้าเพื่อนที่จับสังเกตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“มึง...รักเขาไปแล้วใช่หรือเปล่าวะ”

ปลายเท้าของชายหนุ่มชะงักไปอีกคราเมื่อได้ยินคำถามที่ราวกับหอกแหลมพุ่งตรงมาปักอกด้วยความเร็วแสงจนจับมันเอาไว้หรือหลีกหนีไม่ทัน ฟันคมได้แต่ขบปากตนเองอยู่อย่างนั้น พยายามครุ่นคิดหาคำปฏิเสธ แต่สิ่งที่นึกออกมีเพียงความว่างเปล่า

เขาหาคำตอบมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา หาเหตุผลของทีท่าและความหวาดกลัวของตนเอง

แต่มันยิ่งกลับกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ทุบลงมาบนลิ่มที่ปักอย่างหมิ่นเหม่เอาไว้จนทะลวงลึกถึงภายใน

ดึงไม่ออก หนีไม่ได้ ได้แต่ทุรนทุรายกับความจริงที่ค้นพบ

ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า...เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

อาการนิ่งเงียบราวกับคำตอบชั้นดี หนึ่งฤทัยถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบายามเห็นอากัปกิริยาของเพื่อน พลางส่ายศีรษะช้าๆ คล้ายกับว่าไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกัน

“คนที่อยากเจอมึง ไม่ใช่คุณภันหรอก”

คำบอกนั้นเรียกใบหน้าของร่างโปร่งให้เบือนไปทางเพื่อนที่เดินเคียงกันมาจนหยุดอยู่หน้าห้องทำงาน สีหน้าฉงนสงสัยแสดงถึงคำถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ชัดเจน

“เอาไว้เจอแล้วมึงก็รู้เอง”

ดังนั้นเมื่อเลิกงานแล้วทั้งคู่ก็มายังร้านอาหารร้านเดียวกับร้านต้นเหตุเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่เพราะมาก่อนเวลาจึงดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังมาไม่ถึง

อาทิตย์อัสดงรู้สึกทำตัวไม่ถูก ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่นัดหมายกันไว้เป็นใครกันแน่ ครั้นลองถามเพื่อนมาระหว่างทาง กลับถูกเมินเฉยด้วยใจความเดิมว่า ‘เดี๋ยวมึงก็รู้’ เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นต่อให้พยายามทำใจให้สงบเท่าไร มันก็ไม่สำเร็จ

จนกระทั่งก่อนเวลานัดหมายราวๆ ห้านาที โทรศัพท์ของหนึ่งฤทัยก็ดังขึ้น หญิงสาวรับสายและตอบกลับถึงตำแหน่งที่ตนเองนั่งรออยู่ และระหว่างนั้นร่างของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็น แม้จะอยู่ในระยะที่เกินโฟกัส แต่อดีตบล็อกเกอร์ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ผู้ชายคนนั้น...คนของภันวัฒน์

เมื่อได้รับคำตอบอย่างแจ่มแจ้ง อาทิตย์อัสดงก็สะบัดหน้าขวับหันไปทางเพื่อน ทว่าหนึ่งฤทัยเพียงไหวไหล่เล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จนเมื่อร่างเล็กของหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่ามาประชิดโต๊ะ หญิงสาวจึงยืนขึ้น

“งั้นกูกลับก่อนนะ พี่ไปก่อนนะ”

ไม่เปิดประเด็นใดๆ และไม่เล่าถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คนทั้งหมดมาพบกัน เจ้าหล่อนก็ล่ำลาชายหนุ่มทั้งสองและเดินจากไปแล้ว

อาทิตย์อัสดงได้แต่ตะลึงลานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วไวอย่างคาดไม่ถึง ครั้นจะเรียกเพื่อนก็เรียกไม่ทัน ใบหน้าจึงเลิ่กลั่กมองร่างเล็กอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ผมชื่อฐานทัพครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อยู่ๆ ก็มาพบคุณแบบนี้”

น้ำเสียงห้าวแต่ไม่ทุ้มดูสมขนาดตัวเอ่ยออกมาพร้อมกับเจ้าตัวหย่อนก้นลงนั่งยังที่ที่เคยเป็นของหนึ่งฤทัยมาก่อน ขณะเดียวกันร่างโปร่งยังงงงัน รู้สึกว่าตนเองเก้งก้างไปหมด เสียงสะดุดอึกอัก

“ครับ”

“เรื่องเมื่อคราวก่อน ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”

“คือ... ไม่”

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายที่แนะนำตัวว่า ‘ฐานทัพ’ พูดถึงเรื่องอะไร ร่างโปร่งเกือบจะตอบว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ก็ชะงักไปโดยพลันหลังนึกถึงเหตุการณ์ที่ตามมา

เขาพูดอย่างเต็มปากไม่ได้ว่าไม่เดือดร้อน

ทั้งที่อยากบอกว่าไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องนั้น แต่ก็พูดออกไปไม่ได้

“ผมกับพี่ภัน”

เพียงคำพูดสั้นๆ ก็ทำให้อาการลนลานของร่างโปร่งสูญสิ้น ห้วงอากาศแห่งความว่างเปล่าถาโถมเข้ามาทดแทนจนอาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับกระดิกกระเดี้ยตัวไม่ได้ ดุจถูกคาถาอะไรสักอย่างเสกให้หยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่มองสบนัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทคู่นั้นที่จ้องตรงมาอย่างแน่วแน่ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ รอคอยคำพูดต่อไปอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ

“คุณกำลังเข้าใจเรื่องของเราผิดน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมเพิ่งรู้มาว่าคุณกับพี่ภันทะเลาะกันเพราะผม”

“คือว่า มันไม่ใช่แบบนั้น”

อาทิตย์อัสดงพยายามหาข้อแก้ต่าง เพราะจะว่าตนเองทะเลาะกับภันวัฒน์ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เป็นฝ่ายเขาเสียเองที่มีปัญหา

“ผมรู้ว่ามันออกจะเชื่อยาก เพราะผมกับพี่ภันก็สนิทกันจริงๆ พี่ภันเป็นคนดีมาก เขาคอยช่วยเหลือผมตลอด แล้วก็หวังดีกับผมเสมอ แต่ว่านั่นไม่ใช่ความรักหรอกครับ ผมกับพี่ภันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเชิงนั้น”

“เรื่องนั้น...ผมรู้แล้วครับ เขาเล่าให้ผมฟังแล้ว”

ในเมื่อดูท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมให้เขาวิ่งหนีเป็นแน่ ร่างโปร่งจึงได้แต่ยอมตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

“แล้วคุณไม่เชื่อเหรอครับ”

“ผม...”

เสียงกลืนหายลงไปในลำคอ อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตนควรจะพูดออกมาอย่างไร เพราะตนเองเอาแต่หลีกหนีอย่างคนขี้ขลาด มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้อีกฝ่ายด้วยการไม่ยอมรับฟัง และปฏิเสธที่จะเชื่อคำอธิบายใดๆ ก็ตาม

ไม่ใช่ไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

“นั่นสินะครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาลอยๆ แล้วจะเชื่อได้”

ชายหนุ่มร่างเล็กพูดอย่างปลงตกดั่งเข้าใจสัจธรรมเป็นอย่างดี ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ อาทิตย์อัสดงรับไว้ด้วยความฉงน และเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งเจ้าตัวเจตนาให้ดูก็เข้าใจได้ในทันที

ภาพชายสองคนนั่งเคียงกันด้วยใบหน้าที่แนบชิด ดูท่าทางมีความสุข

คนหนึ่งคือชายตรงหน้า แต่อีกคนไม่ใช่ภันวัฒน์

“มันก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ แต่อะไรๆ ไม่ค่อยดีเท่าไร ผมเลยกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาของพี่ภันอยู่ทุกวันนี้ เพราะความเอาใจใส่ของเขา”

ราวกับจะย้ำซ้ำถึงสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวคนพูดกับอีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง แม้กระนั้นร่างโปร่งก็เก็บทุกความรู้สึกที่กำลังหมุนวนอยู่ในสมองเอาไว้อย่างมิดชิด

“คุณคิดอยู่หรือเปล่าครับ ว่าพี่ภันเป็นคนขอให้ผมมา”

คำถามที่ส่งตรงมาทำให้อาทิตย์อัสดงได้แต่อึกอักอีกครั้ง เขามองหน้าฐานทัพสลับกับหลบสายตาทั้งที่ฝ่ายนั้นจ้องตรงมาโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่ครั้งเดียว แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างที่สุด

เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้น แต่เมื่อถูกถามถึง ก็มีเศษเสี้ยวหนึ่งในใจที่คิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าอีกหลายส่วนในใจร้องค้านว่าภันวัฒน์ที่ตนรู้จักไม่น่าใช่คนอย่างนั้น

“แต่ผมเชื่อนะว่าอย่างน้อยคุณต้องคิดอยู่บ้างล่ะว่าไม่ใช่”

ทั้งที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ราวกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าคนนี้จะมองออก ฐานทัพยิ้มบางก่อนจะกล่าวออกมาอีกรอบ

“พี่ภันไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละครับ ผมรู้เรื่องมาจากพี่จอม คุณน่าจะรู้จักพี่จอมใช่ไหมครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ภัน แล้วก็เป็นแฟนของพี่ขวัญด้วย ผมก็เลยขอให้พี่ขวัญนัดคุณให้มาเจอกับผม เพราะผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ที่ทำให้คุณต้องผิดใจกับพี่ภัน”

สายตาของฐานทัพหลุบลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่การหลบตาเพื่อพูดเรื่องโป้ปด แต่เป็นการแสดงความรู้สึก

“ถ้าให้พูดตรงๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่ภันอยู่เยอะ เวลาผมมีปัญหาอะไร เขาก็จะคอยช่วยเหลือเสมอ เพราะฉะนั้นการที่คุณกับพี่ภันต้องหมางใจกันเพราะผมเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมถึงอยากมาหาคุณให้ได้ อยากพูดให้คุณเข้าใจว่าพี่ภันไม่ได้เป็นพวกหลายใจหรือหลอกลวง”

“.....”

“ตอนนี้พี่ภันไม่ได้มีใครนอกจากคุณจริงๆ ถึงผมจะไม่รู้เรื่องของคุณเลยก็เถอะ แต่ผมกล้าที่จะยืนยัน ช่วยเชื่อใจพี่ภันหน่อยได้ไหมครับ”

น้ำเสียงในตอนท้ายเจือด้วยการขอร้องอย่างไม่ปิดบัง อาทิตย์อัสดงได้แต่ฟังแล้วรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ

กึ่งหนึ่งเขาเชื่อว่าภันวัฒน์เป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดมา ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็ยังหวั่นเกรง

กลัวว่าอาจจะไม่ใช่ฐานทัพ แต่อาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนใจภันวัฒน์ได้ในภายหลัง

กลัวว่าหากยอมรับภันวัฒน์เข้ามาจนเต็มหัวใจแล้ว จะมีวันที่ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ได้รับความรู้สึกอย่างเดียวกันจากอีกฝ่าย

“ช่วยเปิดใจรับฟังพี่ภันอีกสักครั้งได้ไหมครับ ช่วยพิจารณาดูให้ดีถึงความรู้สึกที่เขามีต่อคุณ ตรึกตรองให้แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจะเชื่อไม่ได้เลยเหรอ”

“ผม...”

เพราะไม่อยากทิ้งคนตรงหน้าที่พยายายามพูดและชักจูงทุกวิธีทางเพื่อให้เขาให้โอกาสภันวัฒน์อีกครั้งต้องพร่ำพูดอยู่ฝ่ายเดียว ร่างโปร่งจึงพยายามเปล่งเสียงออกมา แต่สุดท้ายมันก็ขาดตอนลงที่พยางค์เดียว

เขาพูดไม่ออก ไม่สามารถรวบรวมคำพูดในตอนนี้ได้ ในใจยังคงสับสน

อยากลองเสี่ยง แต่ก็ไม่อยากเสียใจ

เป็นความขลาดกลัวของคนที่เคยบาดเจ็บปางตายมาก่อน

เป็นสัญชาตญาณของการปกป้องตนเอง แต่...

ก็อยากได้รับความอ่อนโยน ความอบอุ่น ความเอาใจใส่อย่างที่เคยได้รับมาจากชายคนนั้นเช่นเดียวกัน

ดุจดั่งยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชันอันหนาวเหน็บ

จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้เช่นกัน

“คุณ...รู้ชื่อเล่นของเขาไหมครับ”

ชั่วแวบหนึ่งความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา และก่อนจะรู้ตัว มันก็กลั่นออกมาเป็นเสียงพูดเสียแล้ว แม้แต่อาทิตย์อัสดงยังตกใจตนเองที่หลุดปากออกไปเช่นนั้น ทว่าจะให้หันหลังกลับทำเหมือนนั่นไม่ใช่การถามก็ช้าเกินไปเสียแล้ว และที่สำคัญ...

เขาอยากรู้

คนที่มีความสำคัญต่อภันวัฒน์ขนาดนั้น คนที่ถูกภันวัฒน์เรียกว่า ‘คนของเขา’ จะรู้เรื่องนี้หรือไม่

“ชื่อเล่น?” ฐานทัพเอียงคอเล็กน้อยราวกับไม่เข้าใจ “ก็ชื่อภันไม่ใช่เหรอครับ”

“เขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”

“พี่ภันแนะนำตัวว่าแบบนั้นนี่ครับ พี่จอมก็เรียกแบบนั้น หรือว่าเขามีชื่ออื่นด้วยเหรอครับ”

สีหน้าและน้ำเสียงซึ่งแสดงออกมาบ่งชี้อย่างชัดแจ้งว่าเจ้าตัวไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่การถามเพื่อหยั่งเชิงหรือสอดรู้สอดเห็น เป็นคำถามที่มาจากใจบริสุทธิ์

“อ้อ เปล่าหรอกครับ”

“ถ้าคุณกลัวว่าพี่ภันจะเป็นพวกที่ชอบจับปลาหลายมือ สับรางเก่งแล้วเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ ละก็ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ”

ดูเหมือนว่าคำถามและคำตอบของร่างโปร่งจะถูกตีความไปเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจำต้องรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่แบบนั้น ฐานทัพจึงย้อนกลับมายังประเด็นเดิม

“ยังไงก็ช่วยให้โอกาสพี่ภันด้วยนะครับ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากผมก็ได้”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก เพราะการโจมตีที่เต็มไปด้วยความจริงจังของอีกฝ่าย จนรับรู้ได้อย่างเที่ยงแท้ว่าชายตรงหน้าไม่มีเจตนาแอบแฝงอื่นเลย นอกจากว่าทำเพื่อภันวัฒน์จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกหนักอกยิ่งขึ้น ถึงกระนั้นใช่ว่าจะตอบกลับไปในทันทีได้

“ผมจะลองคิดดูอีกครั้งครับ”

แม้โอกาสที่จะเป็นดังตนเองต้องการไม่เต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ฐานทัพก็ยังจุดรอยยิ้มขึ้นบนผืนแก้ม กล่าวขอบคุณหลายต่อหลายครั้ง ทำให้กระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ยังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้

ภาพของฐานทัพยังไม่เลื่อนหายไป

จุดมุ่งหมายของอีกฝ่ายยังคงแจ่มชัด ส่องสว่างไม่ให้เขาสามารถหลบหน้าเบือนหนีได้

หรือเขาควรจะต้องยอมรับ...มันอีกครั้ง

ยอมแพ้ต่อความหวาดกลัวของตนเองอีกหน เพื่อเผชิญหน้ากับใครอีกคนหนึ่งที่กำลังรอคอยเขาอยู่









-------------------
นึกว่าอาทิตย์นี้จะไม่ได้อัพแล้ว งานราษฎรงานหลวงเยอะเหลือเกิน
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะคะ


ป.ล. นิยาย It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ และ It's U, It's Me รุก ไล่ รัก
เปิดจองถึงแค่ วันที่ 15 กันยายน นี้นะคะ
https://www.facebook.com/undel2sky/


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 29th Entry : กลืนไม่เข้าคายไม่ออก [10/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-09-2016 22:47:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก [10/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 11-09-2016 01:29:39
สู้ๆๆนะพี่ภัน ปัญหาร้อยแปดของพี่กำลังจะลงตัวละนะเหลือแต่เรื่องพร่างนี่สิจะเอาไง
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก [10/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-09-2016 07:53:18
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก [10/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-09-2016 09:41:37
หัวใจตัวเองแท้ๆ แต่ต้องใช้ตัวช่วยซะเยอะเลยนะฟรี
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก [10/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 18-09-2016 22:47:10
เดี๋ยวนะคะ..... ใกล้จบแล้วเหรอคะ!! ฮื้ออออออออออออ คุณอาทิตย์ของเราาาา โอ๊ยยย คือเราก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตามชื่อตอนและคุณอาทิตย์นี่ล่ะค่ะ ทำไมเราสับสนตามนะคะ ใจนึงก็อยากให้คุณอาทิตย์เปิดใจให้คุณภันอีกครั้ง แต่อีกใจก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว โอ๊ยยย คือเรารู้นะคะว่าคุณภันไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นคนจริงใจและดูรักคุณอาทิตย์เข้าแล้วจริงๆ แต่ทำไมเราไม่อยากให้เขาสมหวังก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยเพราะความหมั่นไส้ 5555555555 คุณอาทิตย์ที่รักของเรานี่อาการหนักมากจริงๆ แต่ก็เข้าใจได้อ่ะค่ะ ครั้งนึงคุณอาทิตย์ก็เคยโดนหักหลังมาแล้ว ครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้โดนหักหลังจริงๆแต่มันก็ไปสะกิดแผลในใจให้คุณอาทิตย์คิดขึ้นมาแหละว่า ถ้าวันนึงคุณภันไปอีกคนล่ะ ฮือออ คราวนี้คุณอาทิตย์ต้องทุกข์ใจไปจนตายแน่ๆ คือเอาจริงๆนะคะ คนแบบคุณภันอ่ะ เราไม่มีทางรู้เลยนะคะว่าผู้ชายคนนี้แค่ใจดีกับเราเพราะเราน่าสงสารจริงๆเขาไม่ได้คิดอะไร แค่ทำให้สบายใจ หรือเขารักเราจริงๆ นี่ล่ะค่ะ กรรมของผู้ชายแสนดี แต่เราอยากรู้มากกว่าว่าถ้าคุณอาทิตย์ยังปิดใจต่อไป สมมติว่าเรื่องที่ฐานทัพมาพูดเปลี่ยนใจคุณอาทิตย์ไม่ได้ แล้วคุณภันจะทำยังไงต่อไป จะมาเฝ้าหน้าบ้านทุกวันไปเรื่อยๆแบบนี้เหรอคะ? มันน่าเชียร์ให้คุณอาทิตย์ย้ายบ้าน 555555 แต่เราว่าคุณนักเขียนคงอยากให้เห็นมั้งคะว่าความรักมันไม่ใช่แค่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องคอยตามตลอด มันน่าจะต้องเป็นคน 2 คนที่พร้อมจะหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่ไม่เคยเข้าใจผิดกันเลย แต่แค่ต้องหันมาคุยกัน เชื่อใจกัน ว่าแล้วก็... หมั่นไส้มากกกกก โอ๊ยยยย 

ปล. เราเจอปประโยคแปลกๆกับคำผิดนิดนึงนะคะ

แม้เพียงนำร่างขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อมุ่งสู่การพักผ่อนยังรู้สึกว่ายากลำบาก  ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง  >> ตรงนี้ประโยคแรกบอกว่าไปชั้นบนยังลำบาก แสดงว่าน่าจะอยู่ชั้นล่าง แต่ประโยคถัดมาบอกว่าอยู่บนเตียงอ่ะค่ะ

น้ำพั้น  เราว่าน่าจะสะกดแบบนี้นะคะ น้ำพันช์

หลบลี้หนี้หน้า  >> หนีหน้า

เรารอตอนต่อไปนะคะ ฮืออออออ ขอตอนพิเศษเยอะๆ ขอบล็อกกลับมาด้วยได้ไหมคะ แงงง หรือจริงๆคำว่าบล็อกเกอร์ของเรื่องนี้คือแบบ blocker เป็นนักบล็อก บล็อกทุกช่องทางการติดต่อ 5555555555555 ไร้สาระมากเลยเรา รอตอนต่อไปค่าาาา  :o12:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 30th Entry : พายเรือในอ่าง [24/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 24-09-2016 21:28:37
30th Entry : พายเรือในอ่าง






แม้จะได้รับคำขอร้องจากคนที่เรียกว่าคู่กรณีก็ไม่เชิง จนยิ่งทำให้ใจสับสนวุ่นวายและเอนเอียงไปกระทั่งคิดว่าหรือควรจะยอมแพ้ แต่เมื่อภันวัฒน์มาที่บ้านในคืนนั้น อาทิตย์อัสดงก็ทำได้เพียงแต่ลอบมองอีกฝ่ายจากชั้นบนโดยไม่ให้รู้ตัวเท่านั้น

เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำเช่นนี้

ทำไมต้องทรมานตัวเอง

ทำไมยังคงวนเวียนคิดถึง เฝ้ามองทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาหา

ตัดขาดให้จบไปแล้วไม่ใช่หรือ แต่ทำไมสิ่งที่รบเร้าอยู่ในใจกลับไม่ขาดสะบั้นลงเหมือนคำที่พูดออกมา

“เมื่อวานคุยกับฐานแล้วยังสรุปไม่ได้เหรอวะ”

คงเพราะสีหน้าที่คลุมทับด้วยร่องรอยของความหมองหม่นกระมัง จึงถูกเพื่อนสาวถามตั้งแต่สบตากันในวันรุ่งขึ้น

“กูไม่รู้ว่ะ”

“งั้นกูถามแบบตรงๆ นะ มึงคิดว่าคุณภันกับฐานแอบคบกันลับหลังมึงหรือเปล่า”

คำถามของหนึ่งฤทัยตรงทั้งในแง่ของประเด็นที่ต้องการรู้และการพูดอย่างขวานผ่าซาก ทำเอาอาทิตย์อัสดงแทบผงะไปในทันที เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยครวญคิดคำตอบที่จะเปล่งออกไป

“กู...”

ทว่ายังไม่ได้ทันได้ตอบอย่างที่ใจคิด เสียงของหญิงสาวก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เอาแบบตรงๆ ตามที่มึงรู้สึก”

เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังมาจากชายหนุ่ม รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่ถูกปิดกั้นหนทางทั้งหมดสิ้น

“กูไม่คิดว่าเป็นแบบนั้น”

“แสดงว่ามึงก็เชื่อใจเขาในระดับหนึ่ง มึงมองเห็นว่าเขาจริงใจกับมึง ใช่ไหม”

“มันก็...ใช่”

แม้เสียงจะขาดหายไปเล็กน้อยกว่าจะตอบจบประโยค ถึงกระนั้นข้อความก็ถูกส่งออกมาอย่างครบถ้วน พลอยทำให้คนฟังพึงพอใจไม่น้อยที่เพื่อนยอมเปิดอกคุยกัน หนึ่งฤทัยพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะถามต่อ

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ”

“.....”

สำหรับโจทย์ปัญหาข้อนี้ ชายหนุ่มไม่อาจแสดงคำตอบได้ในทันที ความนิ่งเงียบแทรกแซงเข้ามา ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนมีความกดดันอึมครึมแทรกอยู่เล็กน้อย

อดีตบล็อกเกอร์ได้แต่คิดวกวนกลับมายังที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุผลซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ราวกับพายเรืออยู่ในอ่าง ไม่รู้จะไปทางไหน คล้ายกับคนหลงทางในขณะเดียวกันก็รู้ว่าไม่มีหนทางให้ตั้งแต่แรกแล้ว นอกจากลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกมา

แต่เขาก็ยังไม่กล้าพอ

“ว่าไงล่ะ หรือว่ามึงพูดออกมาไม่ได้”

“แล้วทำไมมึงต้องอยากให้กูพูดออกมาด้วยวะ”

เมื่อถูกคาดคั้น ร่างโปร่งก็สวนเสียงกลับไปบ้าง ไม่ได้บันดาลโทสะแต่อย่างใด แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเร่งเร้าเช่นกัน

“เพราะมึงตัดสินใจไม่ได้ไง เรื่องมันถึงไม่ไปถึงไหน”

คล้ายกับถูกตำหนิกลายๆ คนฟังจึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อยดุจคนสำนึกผิด แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว หากให้พูดคงเป็นความรู้สึกว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์กระมัง

ต่างคนต่างความคิด ต่างมุมมอง

หนึ่งฤทัยคงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ของเขาได้

“ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกนะที่เสียใจ อึดอัด ทรมาน มึงนึกถึงอีกฝ่ายหรือเปล่าว่าเขาต้องรู้สึกยังไงบ้างที่มึงหนีหน้า พอเขาไปหาก็ไม่ยอมมาพบ แล้วยังเคยไล่เขาอีกหลายต่อหลายครั้ง”

ทว่าทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากเพื่อนสนิท อาทิตย์อัสดงกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง

“กูก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้หรอกนะ แต่ว่าเขาเป็นห่วงมึงนะ ทั้งที่เขาอยากปรับความเข้าใจกับมึงจะตายห่าอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังฝากพี่จอมให้มาถามกูว่ามึงเป็นยังไงบ้างตลอด เขากลัวว่ามึงจะรู้สึกไม่ดี หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะมึงเคยมีอาการแย่ๆ แบบสาหัสมาแล้ว เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้มึงต้องเป็นแบบนั้นอีก”

น้ำเสียงของเพื่อนที่ได้ยิน ไม่ใช่การข่มขู่คุกคามให้เชื่อฟัง แต่เป็นระคนความเบื่อหน่ายเสียมากกว่า อาทิตย์อัสดงเงยหน้าขึ้นสบตากับหนึ่งฤทัย มองตาเพื่อนแฝงด้วยความหมาย

หนึ่งคืออ้อนวอนให้หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ เพราะเพียงเท่านี้เขาก็เหมือนถูกไล่ต้อนจนร่างถูกบดบี้ไปกับกำแพงที่ก่อขึ้นมาเองแล้ว

และอีกหนึ่งคือความประหลาดใจ ไม่คาดว่าใครอีกคนจะทำเช่นนั้น แม้แต่กระทั่งเวลาเช่นนี้ยังห่วงใย ใส่ใจเขา จนมันยิ่งทำให้ลำบากใจมากยิ่งขึ้น ตัดรอนได้ยากกว่าเดิม

“พูดตามตรง กูไม่ได้รู้จักเขาเป็นพิเศษ จริงๆ เรียกว่าไม่ได้รู้จักอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เท่าที่กูรู้ เขาแสดงให้กูเห็นว่าเขาใส่ใจ เป็นห่วงมึง เห็นว่ามึงสำคัญตลอด”

ดูเหมือนหญิงสาวจะอ่านแววตาของเพื่อนสนิทออก จึงสานต่อคำพูดจากเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ตอนนี้กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงสับสนเรื่องอะไรกันแน่ แต่กูพูดได้เลยว่ากูไม่ได้สนับสนุนหรือพูดเพื่อช่วยเหลือเขา แต่กูแค่อยากเห็นมึงมีความสุขอย่างที่กูเห็นก่อนหน้านี้ มึงเองก็เชื่อใจเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองเชื่อให้ถึงที่สุดดู ในเมื่อเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เปิดใจมึงที่ปิดตายไปแล้วขึ้นมาใหม่ได้”

หนึ่งฤทัยวางมือบนบ่าของอาทิตย์อัสดง ทิ้งน้ำหนักเอาไว้กว่าการวางปกติเล็กน้อย หน่วยตากลมสวยจับจ้องมองเพื่อสื่อความรู้สึกห่วงใยและเห็นใจในคราวเดียวกันมาให้ชายหนุ่ม

“มึงลองคิดดูให้ดีนะ คนที่หวังดีกับมึงอาจจะเป็นคนทั้งหมดรอบๆ ตัวมึง แต่คนที่หวังร้ายกับมึงที่สุด ก็คือตัวมึงเอง”

สิ้นเสียงแล้ว หนึ่งฤทัยก็เดินเข้าห้องทำงานไปก่อน ขณะที่อาทิตย์อัสดงแทบหยุดหายใจ ถ้อยคำทั้งหลายแหล่ที่เพื่อนสาวคนสนิทพูดมาล้วนบาดลึก โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่นดั่งการโจมตีที่สร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด

เขาคอตก อับจนด้วยคำพูดทั้งปวง แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะพูดไม่ออกนับตั้งแต่ที่หนึ่งฤทัยเริ่มถามเหตุผลแล้ว ฉับพลันนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อาทิตย์อัสดงเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วหยิบมันมารับสายเมื่อเห็นว่าเป็นพี่สาวที่โทรมา

“ครับพี่แฟร์”

[เสียงดูเหนื่อยจังนะ ไม่สบายใจหรือเปล่า]

แค่เพียงประโยคแรกก็ย้ำซ้ำให้รู้แล้วว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

ปิดไม่มิดแม้ว่ากับใครทั้งนั้น แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เห็นหน้าในยามนี้

“นิดหน่อยน่ะครับ แล้วพี่แฟร์มีอะไรเหรอ ทำไมโทรมาแต่เช้าเลยล่ะ”

ถึงจะเรียกว่าไม่ได้เช้าสักเท่าไร เพราะล่วงเข้าสู่เวลาเก้าโมงแล้ว แต่ก็นับว่าเช้าอยู่ดี เพราะโดยปกติแล้วพี่สาวจะไม่โทรหาเขาในช่วงเวลานี้

[เห็นว่าฟรีเงียบหายไปน่ะสิ ช่วงปีใหม่ก็ไม่ได้เจอกัน นี่เลยมาจนจะหมดเดือนแล้วก็ไม่เห็นติดต่อหรือมาที่บ้านบ้างเลย]

“จริงด้วย ขอโทษครับ” เมื่อถูกบอกเช่นนั้น ร่างโปร่งก็เพิ่งรู้สึกตัว แต่จะให้แสดงตัวออกไปว่าตนลืมวันลืมคืนไป ก็ออกจะกระอักกระอ่วนไปเสียหน่อย จึงได้แต่แก้ตัว “พอดีว่าช่วงนี้ฟรียุ่งๆ อยู่น่ะ”

[อ๋อ อย่างนั้นหรอกเหรอ แต่ยังไงก็อย่าลืมพักผ่อนบ้างล่ะ]

“ครับ”

เพียงแค่ความห่วงใยจากครอบครัวสายเลือดเดียวกัน อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เหมือนน้ำค่อยๆ ซึมลงยังทราย ถึงจะไหลผ่านออกไป แต่ก็ยังสัมผัสได้ก่อนมันจะจางหาย

[แล้วนี่ไม่ลืมเรื่องอาทิตย์หน้าใช่ไหม]


คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย คิดถึงข้อความแฝงในคำถาม ทว่านึกเท่าไรก็ไม่นึกไม่ออก จนกระทั่งเสียงจากปลายสายดังมาเพราะเห็นว่าเขาเงียบไปนานพอสมควร

[วันเกิดฟอร์ด วันเสาร์หน้า จำไม่ได้แล้วเหรอ]

หน่วยตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด ตกใจอย่างที่สุด เขาลืมไปเสียสนิทว่าปลายเดือนมกราคมเป็นวันเกิดของหลานชายคนรอง ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญซึ่งไม่เคยลืมแม้แต่ปีเดียว แต่บัดนี้ความสับสนว้าวุ่นในใจทำให้จมอยู่แต่กับปัญหาไร้ทางออกของตนเองจนลืมเลือนเรื่องสำคัญสิ้น

อาทิตย์อัสดงรู้สึกผิดกับตนเอง รวมทั้งรู้สึกผิดกับหลานชายและพี่สาวด้วย เขาได้แต่เอ่ยเสียงอ่อน ‘ขอโทษครับ’ กลับไปยังอีกฝ่าย แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ให้ผู้เป็นพี่ได้ยิน พลันรู้สึกหนักใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงหน้าที่ซึ่งถูกยกให้เป็นของตนโดยเฉพาะ

เค้กวันเกิด…

หลานชายคนรองของเขาชอบกินเค้กช็อกโกแลต คงหาซื้อได้ไม่ยากเท่าเค้กของหลานชายคนเล็ก แต่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ คงจะดีกว่า เพราะเกรงว่าจะเจอเหตุสุดวิสัยเช่นคราวก่อน...

ทว่าเมื่อถึงเค้กแล้ว ใจก็ดันไพล่คิดไปถึงสิ่งที่ไม่ควร เหตุการณ์เมื่อเดือนที่แล้วกระจ่างชัดเข้ามาในสมองโดยไม่ถามความเห็นชอบของเขาสักนิด

“พี่แฟร์”

เสียงเรียกแผ่วเบาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหนักกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายเท่าตัว ซึ่งอีกฝ่ายไม่ต้องสังเกตก็รู้สึกได้จึงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

[มีอะไรหรือเปล่า]

“วันนี้ฟรีไปหาพี่ได้ไหม”

[ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ยังไงบ้านนี้ก็เป็นเหมือนบ้านอีกหลังของฟรีอยู่แล้ว]

คำตอบนั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกชุ่มชื้นในหัวใจขึ้นมาอีกคราว นึกภาพพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าค่อนข้างมากกำลังยิ้มอย่างเอ็นดูเขาออกในทันที






เมื่อไปถึงบ้านของอรุโณทัยก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากหลานๆ ทั้งสาม ยกมือไหว้บ้าง กอดบ้าง คุยกันตามประสาคนที่ไม่เจอกันนาน โดยเฉพาะหลานชายคนเล็กที่คุยจ้อไม่หยุดปาก เอาการบ้านมาอวดบ้าง จำนรรจาเรื่องได้รับคำชมจากคุณครู


อาทิตย์อัสดงยิ้ม ไม่รู้สึกผ่อนคลายจนใจเบาเช่นนี้มาพักใหญ่แล้ว นึกเสียดายอยู่ไม่น้อยว่าหากตนมายังที่แห่งนี้เสียตั้งแต่สัปดาห์หรือสองสัปดาห์ก่อน อาจจะทำให้เขารู้สึกเบิกบานขึ้นบ้างก็เป็นได้

อาจไม่ถูกใครต่อใครจับได้ ว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยวงกตปริศนาแสนหนักอึ้ง

โต๊ะอาหารมื้อเย็นที่มีสมาชิกพร้อมหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น พี่เขยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความเอาใจใส่ ให้สัมผัสได้ถึงครอบครัวที่แสนอบอุ่นไม่แปรเปลี่ยน

“แล้วว่ายังไงล่ะ มีอะไรจะคุยกับพี่หรือเปล่า”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ร่างโปร่งขันอาสาช่วยพี่สาวล้างจาน จึงเป็นโอกาสให้พี่น้องได้พูดคุยปรับทุกข์

“ทำไมถึงรู้ล่ะครับ”

เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่อาทิตย์อัสดงถามทุกคนในช่วงนี้เลยด้วยซ้ำ อรุโณทัยหันมายิ้มอ่อนโยน

“นอกจากพ่อกับแม่ อย่าลืมสิว่าพี่ก็เป็นคนเลี้ยงฟรีมาเหมือนกัน”

ด้วยอายุที่ห่างกันเกินรอบ พี่สาวจึงเปรียบเป็นบุพการีอีกคน คอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำเขามาตั้งแต่ยังเล็ก

“ฟรีน่ะเป็นประเภทมีอะไรชอบเก็บเอาไว้คนเดียว คิดคนเดียว แต่ก็เอาตัวไม่รอดตลอดไม่ใช่หรือไง”

ชายหนุ่มทำคอตกเล็กน้อยกับคำปรามาสที่เป็นความจริง คงเพราะมีใครต่อใครคอยหนุนหลังอยู่ เขาจึงผ่านวิกฤตเรื่องหนักหนามาเสมอ

ในช่วงวัยเรียน พี่สาวก็เป็นคนช่วยเหลือ

ช่วงทำงานและมีปัญหากับคนรัก หนึ่งฤทัยคอยผลักดันเป็นกำลังใจ

และเมื่อคนรักเก่ากลับมารังควาน ...ภันวัฒน์ก็หยิบยื่นความปรารถนาดีมาให้

เขาผ่านมันมาได้เพราะคนเหล่านี้ ราวกับว่าถ้าไม่มีคนเหล่านี้ เขาจะไม่สามารถก้าวข้ามมันมาได้

และครั้งนี้...เขาก็กำลังหาคนคนนั้นอยู่อย่างนั้นหรือ?

“ถ้าล้างจานเสร็จแล้ว ฟรีขอปรึกษาหน่อยได้ไหมครับ”

คำตอบรับของอรุโณทัยคือการยิ้มอารีอีกระลอก

เมื่อล้างจานเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องก็ออกมานั่งกันที่เก้าอี้ชิงช้าในสนามหน้าบ้าน แสงสีขาวจากหลอดไฟส่องสลัวมาห่างๆ จึงไม่ทำให้แสบตามากนัก ทั้งคู่นั่งเคียงกัน หันหน้าเข้าหาตัวบ้าน มีร่มไม้แผ่ขยายอยู่ด้านหลัง

อาทิตย์อัสดงเริ่มเล่าเรื่องราว นับตั้งแต่ได้รู้จักภันวัฒน์ การกระทำทุกสิ่งที่ผ่านมาของชายคนนั้น

ทว่ายิ่งเล่าก็ยิ่งราวกับทบทวนความทรงจำ พาให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกชื่นชม ประทับใจที่ตนมีต่ออีกฝ่ายว่ามันมากล้นเพียงใด

ขาดก็เสียแต่ว่าเขาไม่ได้บอกว่าภันวัฒน์เป็นผู้ชาย...

“ฟรีชอบเขาใช่ไหม”

คำถามถูกส่งออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีที่กล่าวจบ อรุโณทัยหันมองเสี้ยวหน้าของน้องชาย ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอหนักๆ เขาไตร่ตรองมันนับพันครั้ง และรู้ตัวดีแล้ว

“ครับ”

“แต่ฟรีกลัวว่าจะเจ็บซ้ำสอง ก็เลยผลักไสความผิดไปให้เขาใช่หรือเปล่า”

“...ครับ”

น้ำเสียงขาดหายก่อนมันจะหลุดออกมาเป็นคำตอบอย่างยากลำบาก แม้กระนั้นมืออูมอบอุ่นกลับวางลงบนศีรษะ ลูบเบาๆ ราวกับเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ

“ทำไมฟรีถึงกลัวอนาคตล่ะ”

ใช่ว่าคำถามนี้เขาไม่เคยถามตัวเอง แต่ไม่ว่าจะถามกี่ครั้ง เขาก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

“ฟรีไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะไม่รู้ล่ะมั้งว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

คำตอบนั้นคงเหมือนใครหลายๆ คนที่กำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกันกระมัง

กลัวว่าสุดท้ายทุกอย่างจะไม่เป็นไปด้วยดี จึงไม่อยากเริ่มต้น หากว่าวันหนึ่งจะต้องแยกจากหรือความรู้สึกนี้ต้องสูญสลายไป การตัดสินใจเสี่ยงทำมันอาจจะไร้ความหมายก็เป็นได้

“ฟรีไม่ต้องคิดไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก เรื่องของความรักน่ะ คิดแค่ถึงห้านาทีข้างหน้า สิบนาทีข้างหน้า หรือหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ว่าเราจะทำยังไงให้สิ่งที่เป็นอยู่นี้ยังคงเดิมต่อไปทุกขณะก็พอแล้ว”

มือนั้นยังคงลูบเบาๆ อยู่บนศีรษะ น้ำเสียงที่ทอดออกมาเต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนาดีอย่างยิ่ง

“ลองชั่งน้ำหนักดู ระหว่างทรมานต่อไปแบบนี้โดยไม่รู้ว่าจะยืดยาวไปอีกเท่าไร หรือต้องรอให้เจ็บจนใจด้านชาเสียก่อน กับยอมลองเริ่มต้นดูสักตั้ง แล้วมีความสุขกับความสุขที่เคยได้สัมผัสมาแล้วว่ามันดีแค่ไหน”

ถ้อยคำของพี่สาวราวกับฝั่งลึกสลักอักษรไว้ในใจ อาทิตย์อัสดงก้มหน้านิ่งงันอยู่เพียงครู่ใหญ่จนรู้สึกว่าความอ่อนโยนที่ปลอบประโลมตนอยู่บนศีรษะจางหายไป ถึงได้รู้สึกตัวอีกครั้ง

เหลือเพียงเขาอยู่ลำพังแล้ว

ดุจจะให้เขาได้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญกับตนเองอย่างเต็มที่ เพราะมั่นใจว่าเขาจะก้าวเดินต่อไปได้หลังจากคำแนะนำนั้น ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ร่างโปร่งฉุดตัวลุกขึ้น ก้าวเข้าไปในบ้านอีกครา และเอ่ยล่ำลาสมาชิกทั้งห้าคนในบ้านก่อนจะกลับไปยังบ้านที่เป็นของตน เมื่ออาบน้ำชำระกายแล้ว เขาก็ตรงไปยังหัวเตียง พิศมองกล่องทรงสูงที่ถูกทิ้งร้างไว้ราวกับยามรักษาการณ์ หยิบมันขึ้นมาเปิดออก

คุกกี้ที่เหลือเพียงชิ้นเดียวยังคงแน่นิ่งอยู่ที่ก้นกล่อง เขาหยิบมันขึ้นมาหลังสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือกใหญ่ ดั่งจะเอาอากาศอัดเข้าไปจนหนาแน่นเต็มปอดเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ ทิ้งตัวลงเมื่อวางกล่องใบนั้นลงยังที่เดิมแล้ว ทว่าเมื่อพิจารณาดูคุกกี้ทรงคล้ายกลีบทิวลิปชิ้นนี้มันกลับแปลกประหลาดกว่าชิ้นอื่นๆ ที่เคยเห็น เพราะไม่มีปลายกระดาษยื่นออกมาภายนอก

อาจจะต้องบิออกกระมัง

หลังจากคิดเช่นนั้น มือเรียวจับลงที่ปลายสองข้าง ออกแรงเล็กน้อยเพื่อให้บริเวณตรงกลางของเนื้อสีเหลืองนวลเกิดรอยร้าว มันค่อยๆ เกิดรอยแยกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะแบ่งออกเป็นสองส่วนพร้อมกับมีสิ่งหนึ่งตกลงมา

เพียงเห็นสิ่งนั้น อาทิตย์อัสดงก็ทิ้งความสนใจจากคุกกี้โดยสิ้นเชิง เขาเอามันวางบนโต๊ะข้างเตียงอย่างไม่ไยดีว่าจะเลอะหรือตกหล่นหรือไม่ และพุ่งความสนใจไปที่แผ่นกระดาษซึ่งพับอยู่สองทบ เมื่อคลี่ออกดู...



‘เปิดดูใต้กระดาษรองแผ่นสุดท้ายสิครับ’



เมื่อจับใจความเนื้อหาได้ ร่างโปร่งก็รีบคว้ากระบอกทรงสูงมาทันที เขาล้วงมือลงไปในนั้น ดึงกระดาษไขแผ่นสุดท้ายออกจึงพบของขนาดเล็กถูกเทปใสยึดเอาไว้ ครั้นดึงมันออกมาจากกล่องคุกกี้ได้สำเร็จก็เห็นว่าเป็นถุงซิปล็อกขนาดเล็ก

ภายในนั้นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย

เมมโมรี่ขนาดจิ๋วในนามไมโครเอสดี

จับมันขึ้นมาได้เขาก็ฉงนงงงวย คาดเดาไม่ออกว่ามีอะไรถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ในนี้ จึงหยิบแท็บเล็ตออกมาเปิดช่องใส่ความจำภายนอกแล้วดึงสิ่งเดียวกันที่ติดอยู่ประจำเครื่องออกเพื่อใส่แผ่นใหม่เข้าไปแทน กระทั่งเสร็จสิ้น บนหน้าจอกรอบใหญ่ปรากฏข้อความว่ามีการติดตั้งความจำภายนอกเข้าไปใหม่ เขาก็เปิดดูข้อมูลภายใน

ข้างในนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ถูกบรรจุอยู่

คลิปวิดีโอความยาวประมาณสองนาที...

อาทิตย์อัสดงไม่รอช้า รีบเปิดมันขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันนั้นอวัยวะในอกก็ส่งเสียงกู่ร้องออกมาเป็นจังหวะรุนแรงด้วยความระทึก คิดไปต่างๆ นานาว่ามันคืออะไรกันแน่ กระทั่งได้เห็นใบหน้าของคนที่เขาเฝ้าปฏิเสธมากว่าครึ่งเดือน

ใบหน้าของภันวัฒน์ฉายขึ้นเต็มจอขนาดเจ็ดนิ้ว

เจ้าตัวมีท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย หน่วยตาสีนิลเลิ่กลั่กไม่อยู่สุขผิดแผกจากทุกครั้งที่ได้เห็น เม้มริมฝีปากบ่อย เบือนหน้าหนีจากหน้าจอไปบ้างเป็นระยะ พูดจาตะกุกตะกักราวกับกำลังตกประหม่า

เพียงเห็นเท่านั้นก็ทำให้หัวใจที่ไหวระรัวยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมลงมา

“ถึงที่ผ่านมา ผมจะแสดงออกชัดเจนอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคย... ปิดบังคุณเลยสักครั้งว่า...รู้สึกแบบไหนอยู่ แต่ว่า เอ่อ... ผมก็อยากพูดออกมา อยากบอกคุณ...สักครั้ง ถึงจะไม่ใช่การพูดออกมาโดยตรง ไม่ได้พูดต่อหน้าคุณ เพราะหากให้พูดตรงๆ เลยก็คือ... ผม”

มือเรียวยกขึ้นจับหน้าอกของตนเอง รู้สึกอึดอัดจนทรมาน เขาแทบหายใจไม่ออกกับสิ่งที่พรั่งพรูกระท่อนกระแท่นจากปากของชายผู้อยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวจริง

“ผมก็เขินอยู่เหมือนกัน ที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา ผมแทบไม่เคยพูดแบบนี้กับใครเลยด้วยซ้ำ นอกจากกับน้องสาว แต่ว่าอยากจะบอกกับคุณจริงๆ...อยากบอกให้คุณได้รู้”

คำพูดที่อ้อมแล้วอ้อมอีกยิ่งทำให้คนฟังลุ้นระทึกไปด้วย อาทิตย์อัสดงขยำหน้าอกเสื้อของตนเองแน่นกว่าเดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องราวกับจะให้มันทะลุเข้าไปในจออย่างไรอย่างนั้น หัวใจเต้นตึกๆ สะท้อนก้องจนห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ได้

เสียงทุ้มๆ ที่ดังมาจากเครื่องสี่เหลี่ยมด้านหน้ากระเด้งกระดอนไปทั่วประสาทรับรู้

“ผม...รักคุณนะฟรี”

สุดท้ายปิดคำพูดด้วยการที่มือหนายกขึ้นมาปิดใบหน้าคมคร้ามซึ่งขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อราวกับเขินอายอย่างหนัก ทว่าไม่ใช่เพียงแค่คนที่กำลังอยู่ภายในจอเท่านั้น แต่คนที่ได้ยินและได้เห็นภาพนั้นก็ไม่ต่างกัน

ร่างโปร่งรู้สึกใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมาจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนวูบวาบ

“เอาไว้... ผมจะบอกคุณต่อหน้า บอกคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง นะครับ”

ปลายเสียงนั้นสั่นเล็กน้อยจากผลพ่วงของความสะท้านอายที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

“ถ้าถึงตอนนั้น คุณช่วย...รับรักผมหน่อย...ได้ไหม”

สายตาที่ถ่ายทอดความหมายผ่านกระจกชนิดพิเศษมานั้นลึกซึ้งด้วยความรู้สึก แม้ว่าใบหน้าจะยังปรากฏริ้วแดง ราวกับต้องการแสดงออกให้เห็นถึงความแน่วแน่ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของตนเอง และได้ผลตอบรับอย่างที่คาดหวังเอาไว้

อาทิตย์อัสดงรู้สึกตัวสั่นเล็กน้อย มือหนึ่งยกขึ้นมาเอาหลังมือแตะปากเพื่ออุดทุกความรู้สึกที่แทบกระโจนออกมาในรวดเดียวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะที่ก้อนเนื้อใต้แผ่นอกยังส่งเสียงร้องคำรามไม่หยุด

ขนาดเพียงแค่ดูผ่านแท็บเล็ต เขายังออกอาการขนาดนี้

หากไปหาอยู่ต่อหน้าเจ้าตัวล่ะ เขาจะเป็นอย่างไร

แค่เพียงคิดก็รู้สึกสะท้านและหวาดกลัวแล้ว ยิ่งได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ร่างโปร่งก็ไม่อาจทิ้งขว้างความรู้สึกของตนเองที่พยายามผลักไสมาตลอดไปได้

เขาอยากไขว่คว้า อยากยื่นมือออกไปจับมือที่อยู่อีกฟากหนึ่งเอาไว้

ถึงจะไม่รู้ว่าปลายทางเป็นอะไร แต่สถานที่ภายนอกซึ่งมีภันวัฒน์ยืนอยู่นั้น มันสว่างเจิดจ้าจนเขาอยากเดินไป

‘ลองชั่งน้ำหนักดู ระหว่างทรมานต่อไปแบบนี้โดยไม่รู้ว่าจะยืดยาวไปอีกเท่าไร หรือต้องรอให้เจ็บจนใจด้านชาเสียก่อน กับยอมลองเริ่มต้นดูสักตั้ง แล้วมีความสุขกับความสุขที่เคยได้สัมผัสมาแล้วว่ามันดีแค่ไหน’

คำพูดของพี่สาวย้อนมาอีกครั้ง

เขาควรตัดสินใจอย่างนั้นใช่ไหม

ชั่งน้ำหนักแล้วจะรู้เองว่าตาชั่งฝั่งไหนที่โอนเอียงมากกว่ากัน

อยากมีความสุขหรือทุกข์ทรมาน...

อย่าไปคิดถึงวันข้างหน้า แต่ให้คิดถึงตอนนี้ ณ เวลานี้ เขาต้องการสิ่งใด

หน่วยตาสีชาปิดลง ดับภาพเบื้องหน้าที่ดับไปแล้วเช่นกัน ใช้สตินึกคิด ตรึกตรองเท่าที่สามารถ แม้ที่ผ่านมาจะทำเช่นนั้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม ทว่าบัดนี้ ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่คิดได้กลับแตกต่าง

คำตอบกะพริบวิบวับอยู่ที่มุมลึกที่สุดของความมืด เขาจึงยื่นมือออกไป ไขว่คว้ามันเอาไว้พลางสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด จับมันเอาไว้ให้มั่นเพื่อไม่ให้หนีรอดเพราะความหวาดเกรงและอ่อนแอของตนเอง ก่อนจะเปิดตาขึ้นมา มองมือที่กำแน่นแล้วค่อยๆ แบออกอย่างเชื่องช้า

มันคือคำตอบ...






------------------------------
ตอนนี้สั้นๆ แต่ตอนหน้าจะยาวค่ะ เพราะว่าเป็นตอนก่อนจบ


ประโยคเมื่อตอนที่แล้ว "แม้เพียงนำร่างขึ้นไปชั้นบนยังรู้สึกว่ายากลำบาก"
อันนี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนกำลังเดินขึ้นไปชั้นบนค่ะ
แต่ถ้าใช้ว่า เป็นเรื่องยากลำบาก แบบนี้จะหมายถึงว่ายังไม่ได้ขึ้นไปค่ะ

ส่วนชื่อเรื่อง บล็อกเก้อ เป็นการรวม 2 คำค่ะ
บล็อก หมายถึง กีดขวาง ปิดกั้น ส่วนเก้อ มาจาก ไม่เป็นอย่างที่หวัง เสียเปล่า อย่างพวกคอยเก้อ ยิ้มเก้อค่ะ
ชื่อของเรื่องนี้เลยหมายถึง ปิดกั้นตัวเองไปก็ไร้ประโยชน์ค่ะ


ป.ล.ที่ 1 ตอนนี้มีหนังสือ It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ อยู่นะคะ
ใครสนใจเรื่องนี้ ติดต่อได้ทางเฟซบุ๊กค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

ป.ล.ที่ 2 ตอนหน้าเราจะเปิดสำรวจคนที่สนใจหนังสือบล็อกเก้อนะคะ

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 30th Entry : พายเรือในอ่าง [24/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 24-09-2016 21:54:02
ฮื้ออออออออออออออออออออออ คุณอาทิตย์ของเค้าไม่ใช่ของเค้าอีกต่อไปปป ตอนนี้ไม่มีคุณภันเป็นตัวเป็นตนแต่แบบ ออร่าพระเอกส่องกระจายมากจริงๆค่ะ 55555555555 ต้องยอมรับแล้วล่ะค่ะ จะจบเรื่องแล้ว คงต้องยอมแล้วจริงๆ ทำไมเราชอบที่มาของชื่อเรื่องจังคะ ฮื้ออออ แบบ https://www.youtube.com/watch?v=3fR09DsFByk ไม่ไหวแล้วค่ะ อยากได้เล่มมม ขอตอนพิเศษเยอะๆนะคะ เก็บเงินรอเลยค่ะะะะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 30th Entry : พายเรือในอ่าง [24/9/59]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 24-09-2016 22:06:30
ง่ะ ทำไมมาสั้นขนาดนี้ ยังมีต่อใช่ไหม
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 31st Entry : จุดหมายปลายทาง [6/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-10-2016 21:27:02
31st Entry : จุดหมายปลายทาง






ภายในห้องทำงานปกคลุมด้วยความเงียบอย่างผิดปกติเช่นนี้มานานนับสองสัปดาห์แล้ว บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกหดหู่ระคนอึมครึมแผ่ขยายไปทั่ว เจ้าของร่างหนุ่มนั่งพิจารณาเอกสารในแฟ้มงานก่อนจะเซ็นชื่อลงไป จากนั้นเรียกเลขานุการสาวมารับเอกสารเพื่อส่งต่อไปยังอีกแผนกหนึ่ง

“ปัญหายังไม่เคลียร์เหรอคะ”

คำทักทายเรียกใบหน้าคมเข้มให้เบือนขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจคำถาม นนทิยาจึงอธิบายเพิ่มเติม

“นนนี่เห็นคุณภันไม่ร่าเริงมาหลายวันแล้ว แถมเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกอย่างทุกทีด้วย”

ลักษณะคำพูดที่อีกฝ่ายใช้ส่อเจตนาได้เป็นอย่างดีว่าอยากให้เขาร่าเริงขึ้น เพราะหากเป็นปกติก็คงจะยอกย้อนกลับไปแล้ว ทว่าในเวลานี้ภันวัฒน์ทำได้เพียงยิ้มเฝื่อนที่ทำให้เลขาฯ ต้องมาห่วงใย

เขากลอกตาขึ้นด้านบนเล็กน้อยพลางครุ่นคิดก่อนจะเกริ่นออกมา

“คุณนนว่าเราจะปรับความเข้าใจกับคนที่ชอบยังไงดีครับ”

“ผิดใจกันเหรอคะ” หญิงสาวย้อนเสียง “เพราะว่าชอบทำตัวลอยชาย ขี้เล่น เขาเลยไม่เชื่อถือหรือเปล่า”

“ผมไม่เคยทำอย่างนั้นเลยนะ ถึงจะมีหยอกเล่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำตัวกะล่อน หรือหลายใจเลย จริงใจแล้วก็จริงจังด้วยตลอด”

น้ำเสียงที่ใช้ชัดเจนด้วยความเอาจริงเอาจังจนคนฟังรู้สึกได้ เธอยิ้มบางเบาให้ราวกับจะให้กำลังใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็มีทางเดียวเท่านั้นแหละค่ะ คือแสดงความจริงใจให้เขาเห็น พูดจนกว่าเขาจะยอมฟัง ถ้าเขาเห็นความมุ่งมั่นของเรา เขาก็จะยอมใจอ่อนฟังเอง”

“ครับ ผมก็พยายามทำอย่างนั้นอยู่”

ในประโยคนี้ผู้จัดการหนุ่มเอ่ยเสียงค่อยลงเล็กน้อย ดั่งคนไม่มีความมั่นใจผิดธรรมดาของชายผู้มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ ทำให้นนทิยาค่อนข้างมั่นใจ

“คุณภันคงจะเอาจริงเอาจังกับคนนี้จริงๆ สินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้คืนดีกันได้เร็วๆ ค่ะ”

รอยยิ้มที่ส่งมาให้น้อยๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีนั้นทำให้คนเห็นรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ที่ได้รับกำลังใจจากผู้อาวุโสกว่า

“ขอบคุณนะครับ ผมจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จ”

ใบหน้าที่นิ่งเฉยแฝงความเหนื่อยล้าอยู่นานปรากฏรอยยิ้มขึ้นได้ ขณะเดียวกันภันวัฒน์ก็รู้สึกมีแรงฮึกเหิมมากขึ้น

หลังจากเลิกงาน เขาตรงไปยังบ้านอาทิตย์อัสดงเหมือนอย่างเคย แม้จะถูกหมางเมินอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด ทว่าเขาก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้สักครั้ง ถึงจะรู้สึกถึงความเศร้าและแปลบปลาบในหัวใจ แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งความหวัง และที่สำคัญ...

แม้จะถูกปฏิเสธการพบหน้าอย่างไม่ไยดี แต่ทุกครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างของชั้นบน เขาจะจับสัมผัสได้ถึงเงาหนึ่งเสมอ ไม่ต้องสงสัยว่าคือเงาของใคร เพราะมีเพียงคนเดียวในบ้านหลังนั้น

ถึงจะลุกหนีขึ้นชั้นบนทุกครั้งที่เขามาหา แต่อาทิตย์อัสดงมักมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนไม่ว่าเมื่อไร นั่นหมายความว่า...เขาไม่ได้หมดโอกาสเสียทีเดียว

ความหวังยังส่องแสงสว่างริบหรี่อยู่ในมุมหนึ่ง

เพราะเหตุนั้นเขาจึงยิ่งทิ้งความเพียรพยายามของตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการเข้าหาอย่างสม่ำเสมอ ห้ามท้อแท้ เพราะเขารู้ว่าคนที่โศกเศร้ากับเรื่องนี้ ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว

หากทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมเร็วมากขึ้นเท่าไร ยิ่งเป็นการดีต่ออีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงจะได้ไม่ต้องหมองเศร้าอยู่เช่นนี้

การได้ฟังความคืบหน้าในแต่ละวันจากหนึ่งฤทัยผ่านทางเกรียงไกร ทำให้เขายิ่งห่วงอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะรู้ว่าเจ้าตัวเป็นคนคิดมากแค่ไหน

ใบหน้าสีน้ำผึ้งเชยขึ้นมองกรอบหน้าต่างชั้นบนที่เป็นดังจุดปลายสายตาของทุกวัน ก่อนจะก้มลงกลับมาวางสายตาในระดับเดิมเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของแสงไฟภายในห้องนอน ภันวัฒน์สืบเท้าเข้าไปใกล้ประตูรั้ว ยื่นนิ้วกดปุ่มส่งสัญญาณเรียกคนภายในเช่นเดียวกับทุกวัน

มันดังขึ้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง...

ภันวัฒน์เตรียมใจไว้แล้ว หน่วยตาสีนิลทอดมองไปยังตำแหน่งหน้าต่างของห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ใจไพล่คิดถึงภาพที่เห็นจนเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน

เมื่อเสียงสัญญาณครั้งที่สี่ดังขึ้น กรอบร่างที่เห็นห่างไกลเริ่มขยับตัว

แม้จะบอกตนเองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่จะเป็นเช่นนั้น ควรจะเริ่มปรับตัวให้ชินได้แล้ว ทว่าในใจก็ยังรู้สึกถึงรอยขีดข่วนเพิ่มเติมอยู่ดี เพราะถึงจะชินตา แต่ไม่มีทางชินความรู้สึก ตราบใดที่เขายังมีใจให้ผู้ชายคนนี้

ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีรับมือกับมัน ไม่ว่าสักกี่ครั้งก็ตาม

แต่ทั้งที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าภาพที่เห็นจะต้องเป็นเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้หรือวันก่อนๆ แต่ในคราวนี้ดวงตาคมคายกลับต้องเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด เพราะแทนที่ร่างนั้นจะผลุบหายไปและปรากฏขึ้นบนชั้นสอง มันกลับมาหยุดอยู่หน้าประตูชั้นใน ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในขอบเขตการมองเห็นของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

เขาแทบลืมหายใจในนาทียาวนานนั้น ดวงตาเบิกกว้างจดจ้องที่ร่างคุ้นเคยซึ่งไม่ได้เห็นเต็มตามาเกินกว่าครึ่งเดือน ริมฝีปากเปิดอ้าเหมือนจะปล่อยให้คำพูดหลุดออกมาแต่กลับมีเพียงความเงียบงัน ราวกับเสียงถูกบางสิ่งบางอย่างกลืนหายไป กระทั่งชายร่างโปร่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าโดยมีเพียงรั้วประตูกั้น

สายตาของทั้งคู่สอดประสานกันท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ กว่าสติและร่างกายของภันวัฒน์จะกลับมาทำงานได้อย่างปกติ แม้กระนั้นเสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังตะกุกตะกัก

“คุณ...ยอมพบผม...แล้วเหรอครับ”

“ผมจะลองฟังสิ่งที่คุณพูดดู”

ตรงข้ามกับร่างสูงโดยสิ้นเชิง เสียงของอาทิตย์อัสดงนิ่งเรียบ ไม่เจือแววหวาดหวั่นหรือหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถึงจะไม่มีอารมณ์ใดเจือปน ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่อีกฝ่ายยอมฟังกัน

“ถ้าอย่างนั้น... ผมขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหมครับ”

ขณะถาม ใจของภันวัฒน์ก็เต้นตุบๆ ราวกับไม้กลองฟาดลงบนแผ่นหนัง ถึงจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่สถานการณ์กำลังเบนเข็มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังหวาดเกรงว่าจะถูกปฏิเสธการเข้าใกล้เกินกว่าในระยะนี้อยู่ดี

แต่ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างชายหนุ่มผู้มีความพยายามอย่างมหาศาล เพราะอาทิตย์อัสดงตอบรับด้วยการเปิดประตูรั้วให้ ภันวัฒน์จึงค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง ดุจมันเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งมีกับระเบิดฝังอยู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเท้าลอยไม่ติดพื้น

เป็นความรู้สึกสับสนอลหม่านจนแยกไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือหวั่นเกรงกันแน่

เมื่อเข้าไปถึงภายใน ก็ต้องรอให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านผายมือเชื้อเชิญให้นั่งจึงนั่งลงได้ อาทิตย์อัสดงนำน้ำดื่มมาบริการให้ดั่งอีกฝ่ายเป็นแขกคนสำคัญผิดกับทุกทีที่ผ่านมาจนภันวัฒน์รู้สึกงงงวย ไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองตื่นหรือฝันอยู่กันแน่ เขาลอบหยิกขาตัวเองเบาๆ เพื่อทดสอบให้แน่ใจ และมันก็เจ็บเสียด้วย

อาทิตย์อัสดงใจอ่อนแล้วหรือว่ากำลังจะตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง?

ความเห็นตรงข้ามกันคนละขั้วปรากฏขึ้นในสมองโดยไม่ตั้งใจ เขามองใบหน้าของร่างโปร่งที่ไม่เปิดเผยถึงความรู้สึกใดแล้วจิบน้ำลงคอช้าๆ เมื่อวางแก้วลงบนโต๊ะกลางแล้วก็เริ่มเกริ่นนำประโยค

“คือว่า...ผมอยากอธิบายเหตุผลครับ”

ร่างสูงหยั่งเชิงดูก่อนพลางลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายไปด้วย พบว่าทีท่าของอาทิตย์อัสดงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เพียงมองหน้าเขาเหมือนกับกำลังรอรับฟังอยู่ที่ปลายอีกด้านของโซฟายาวตัวเดียวกัน

“มันอาจจะดูซ้ำซากที่ผมมาพูดแบบนี้ แต่ว่าผมอยากให้คุณเข้าใจและเชื่อมั่นว่าผมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับฐานแบบนั้นจริงๆ ตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุณมา ผมก็มุ่งมั่นอยู่กับคุณคนเดียว ไม่เคยทำอะไรลับหลังที่เป็นการหลอกลวงคุณเลยสักครั้ง”

คนฟังยังคงเงียบ ภันวัฒน์จึงพูดต่อ

“คุณอาจจะไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดที่ผมว่ามาก็ได้ ผมเข้าใจ แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าถึงภายนอกผมจะดูเหมือนคนกะล่อน ขี้เล่น แกล้งแหย่หรือเอาใจใครไปทั่ว จนเหมือนพวกเจ้าชู้ ไม่จริงใจ แต่ผมเป็นคนที่ถ้าคบหากับใครแล้ว ผมจะคบกับคนคนนั้นคนเดียว จะไม่มีคนอื่นหรือจับปลาสองมือโดยเด็ดขาด”

อาทิตย์อัสดงยังนิ่งเฉย มองตรงมา

“ถ้าผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครสักคน ต้องหลังจากเลิกกับคนปัจจุบันแล้วเท่านั้น แล้วผมก็ไม่เคยเป็นฝ่ายขอเลิกกับใครก่อนด้วยเหตุผลว่าเจอคนใหม่ ผมเป็นแบบนั้น และอยากให้คุณช่วยพิจารณาการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของผมด้วยว่ามันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ผมเป็นคนเรรวนถึงขนาดนั้นในความรู้สึกของคุณจริงๆ เหรอ เชื่อถือไม่ได้สักนิดเลยเหรอครับ”

แม้ประโยคสุดท้ายจะเป็นการเอ่ยถาม แต่ว่าคนฟังยังคงไม่แสดงปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ใจภันวัฒน์พลันห่อเหี่ยวลงไปอีก รู้สึกได้ถึงแสงสว่างริบหรี่ค่อยๆ มอดแสงลงเรื่อยๆ

“คุณยังไม่ต้องรีบตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ แต่ว่าอย่างน้อยช่วยเก็บไปคิด แล้วก็เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงความจริงใจต่อไป ให้ผมได้ทำให้คุณเชื่อต่อไปนะครับ อย่างปิดกั้นหรือหนีหน้าผมอย่างที่ผ่านมาเลย”

ท้ายคำพูดนั้นเจือไปด้วยการอ้อนวอน และไม่ใช่เพียงน้ำเสียงเท่านั้น แต่สายตาที่ทอดมองออกไปยังร่างโปร่งก็สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

ภันวัฒน์ไม่หวังให้อาทิตย์อัสดงยอมใจอ่อนลงโดยทันที

เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายจะยอมเปิดใจ เพราะเขาทำให้ผิดหวังไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องถูกปิดกั้นไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังหวังว่าจะได้รับความเห็นใจสักเล็กน้อย ขอแค่ต่อเติมความหวังเขาอีกสักนิดก็เพียงพอแล้ว

เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาจริงๆ ว่าสักวันเขาจะได้รู้สึกแบบนี้

อ้อนวอนใครสักคนเพื่อขอความรัก

เว้าวอนขอให้ยอมพิจารณาเขาสักหน่อย

ทว่า...

“ผม...”

เสียงที่เงียบหายไปนานมากในความรู้สึกของผู้จัดการหนุ่มดังขึ้น เรียกให้ความตื่นตัวกระตือรือร้นทั้งหมดลุกโชติช่วงในฉับพลัน หน่วยตาสีนิลเบิกโพลงด้วยความจดจ่อ รอคอยคำพูดต่อไปที่เฝ้ารอมาแสนนาน

แล้วเขาก็รู้สึกราวกับหูดับไป

“ไม่ใช่ไม่เชื่อใจคุณหรอกครับ”

โลกทั้งใบว่างเปล่าขึ้นมาในบัดดล สรรพเสียงกลืนหายไปในอากาศอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนเสียงเดิมจะดังสะท้อนก้องดังกระเด้งไปมาอยู่ในพื้นที่จำกัดไม่มีทางออก

ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ...งั้นเหรอ?

เหมือนจะเข้าใจความหมาย แต่ก็ไม่เข้าใจ ภันวัฒน์รู้สึกมึนตื้อไปหมด หัวสมองตีบตันไปชั่วคราวจนคิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้างงงวยอย่างไม่ปิดบัง

“ผมคิดว่า...คุณไม่ได้เป็นประเภทเจ้าชู้ประตูดิน หรือว่าคบใครทีละหลายๆ คน ชอบทำหมาหยอกไก่ไปทั่วหรอกครับ”

หากไม่ใช่น้ำเสียงที่แฝงถึงแววจริงจังเอาไว้ คงเผลอคิดไปได้ไม่ยากว่าเป็นการเสียดสีประชดประชันกันอย่างเต็มที่ แต่เพราะมันเป็นเช่นนั้น คนฟังจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ความกระปรี้กระเปร่ามาเยี่ยมเยือนหลังจากเลือนหายไปพักใหญ่

“ถ้า... ถ้าอย่างนั้น”

ภันวัฒน์ห้ามไม่ให้เสียงของตนเองสั่นไม่ได้ เขาจดจ้องมองดวงหน้าที่หมองไปจากปกติสักหน่อยนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง

“ที่ผมหลบหน้าคุณและคอยหลีกเลี่ยงคุณทุกครั้งที่มาหาก็เพราะ...ความเห็นแก่ตัวของผมเอง ขอโทษนะครับ”

ทุกอย่างผิดคาดจนดูยุ่งเหยิงในทันที ผู้จัดการหนุ่มไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่า ‘ความเห็นแก่ตัว’ ในที่นี้คืออะไร

ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เป็นฝ่ายผิดจนทำให้อีกฝ่ายไม่อยากพบหน้า

“ผมมองออกครับว่าที่ผ่านมาคุณปฏิบัติกับผมด้วยความรู้สึกแบบไหน คุณคอยช่วยเหลือและหวังดีกับผมเสมอมา มีแต่ผมต่างหากที่ทำไม่ค่อยดีกับคุณ รวมถึงครั้งนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยครับ เป็นเพราะผมขี้ขลาดและหวาดกลัวไปเอง คุณถึงต้องลำบากกายลำบากใจอยู่แบบนี้”

สีหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยแววขอร้องดั่งมีเครื่องหมายปรัศนีปรากฏอยู่ ทั้งงงวยงงงันไปหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุการณ์ถึงได้พลิกกลับตาลปัตรไปหมดจนตามไม่ทัน

“วันนั้นตอนที่คุณบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนของคุณ ผมก็รู้สึกตัวครับ”

ภันวัฒน์กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ทุ่มสมาธิทั้งหมดเพื่อรอฟังประโยคถัดไป

“ผมรู้สึกว่าผมคงทนไม่ได้หากว่าสักวันหนึ่งคุณจะมีคนอื่นแล้วจากผมไป เห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ ทั้งที่เป็นความผิดของตัวเองแท้ๆ กลับหน้าด้านผลักไสให้เป็นความผิดของคุณซะได้ แต่ว่าผมรู้สึกกลัวจริงๆ หากต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างนั้นอีก ผมถึงพยายามเลี่ยงคุณมาตลอด เพราะไม่อยากจะใกล้ชิดคุณไปมากกว่านี้ ให้หยุดตอนนี้ยังดีกว่าถลำลึกลงไปแล้วหยุดตัวเองไม่ได้ แต่ว่า...มันก็ยังน่าสมเพชอยู่ดีแหละครับ เพราะถึงจะหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ผมก็ยังรู้สึกหดหู่จนยิ้มไม่ออก กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้สักนิด”

คำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งจากร่างโปร่งทำให้ภันวัฒน์ยิ่งกว่าตะลึงงัน แต่เพียงครู่เดียวใบหน้าคมคร้ามก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...ยิ้มไม่หุบ

ทั้งที่ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ควรยิ้มแม้แต่น้อย ทว่าเหตุผลต่างๆ นานาที่ได้รับฟังทำให้เขาหยุดตัวเองไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอาทิตย์อัสดงมีใจให้กันจนไม่อยากสูญเสียเขาไป

จะมีอะไรที่น่ายินดีกว่านี้อีกหรือ

ไม่มีอีกแล้ว

ร่างสูงอยากจะตะโกนประโยคนั้นออกมาดังๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะแค่หุบยิ้มไม่ได้ก็ถือว่าเป็นการแสดงออกนอกหน้านอกตาเกินไปแล้ว

“แสดงว่าคุณ...ไม่ได้เกลียดผมสินะครับ”

แม้จะพยายามฝืนกดมุมปากให้ตกลง แต่ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ถึงกระนั้นก็ได้คำตอบรับที่น่ายินดีคือการพยักหน้าจากอีกฝ่าย

“คุณเองก็...รู้สึกแบบเดียวกับผม...สินะครับ”

ถึงคำตอบจะค่อนข้างชัดเจนแล้ว ภันวัฒน์ก็ยังถามอย่างลังเลอยู่ดี รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นมาแล้วว่าความมั่นใจที่มีจะพังทลายจนหมดสิ้น ถ้าคำตอบเป็นอีกอย่าง

“ครับ”

แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่หวาดกลัว จึงทำให้ภายในอกของร่างสูงล้นด้วยความรู้สึกเต็มตื้น

“แล้วทำไม...วันนี้คุณถึงยอมพูดกับผมตรงๆ ล่ะครับ”

อดสงสัยไม่ได้ เพราะความพยายามของอาทิตย์อัสดงไม่น่าจะล้มเหลวเอาเสียดื้อๆ แต่ก็อยากขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจเสียใหม่

“พี่สาวผมบอกให้ผมลองชั่งน้ำหนักดูน่ะครับ ระหว่างหลบหน้าคุณต่อไปแล้วตัวเองต้องมารู้สึกย่ำแย่ กับยอมรับความรู้สึกของคุณและความรู้สึกของตัวเองแล้วก้าวเดินต่อไป”

ได้ยินเช่นนั้น ภันวัฒน์ก็รู้สึกอยากกราบเบญจางคประดิษฐ์พี่สาวของอาทิตย์อัสดงเสียเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว

“แล้วคุณก็เลือกอย่างหลัง...สินะครับ”

“ครับ”

คำตอบที่ชัดเจนเกินกว่าจะหักลบตลบความไปเป็นอย่างอื่นได้ ทำให้คนฟังอยากจะไชโยโห่ร้องขึ้นมาครามครัน ร่างสูงกัดปากตัวเองแน่นเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ที่ลุกโหมขึ้นมาเอาไว้ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ขอบคุณมากนะครับที่คุณตัดสินใจแบบนี้”

ไม่รู้ว่าใบหน้าของตนแสดงความอ่อนโยนและปลื้มปริ่มดีใจแค่ไหน ถึงได้รับรอยยิ้มจางๆ กลับมาจากคู่สนทนา ทว่าเพียงเท่านี้ปาติซิเย่หนุ่มก็รู้แล้วว่าโอกาสหวนกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาจะทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้อาทิตย์อัสดงต้องรู้สึกไม่มั่นคงในความรู้สึกของเขาอีก

“ต่อไปนี้ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวันทำให้รู้สึกเสียใจภายหลังว่าเลือกผิดครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

คำปฏิเสธสั้นๆ นั้นทำให้อารามดีใจอย่างสูงที่สุดทิ้งตัวดั่งดิ่งลงเหว ภันวัฒน์ร่างชา รู้สึกเย็นวาบไปทั้งสรรพางค์ นัยน์ตาเหลือกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ปากขยับอ้าขึ้นลงเหมือนคนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก ท่าทางเช่นนั้นคงพิลึกพิลั่นในสายตาของคนเห็นพอดู เสียงของอาทิตย์อัสดงจึงดังขึ้นอีกคราวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

“ผมหมายถึง คุณไม่ต้องพยายามถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่เสมอต้นเสมอปลายไปทุกๆ วันก็พอแล้ว”

ลงท้ายด้วยรอยยิ้มปลอบโยนคนที่ขวัญหนีดีฝ่อไปไกลแล้วให้กลับมา เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความโล่งอกจึงดังพรืดออกมาอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าผ่อนคลายปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสีน้ำผึ้ง เสียงทุ้มใหญ่กึ่งขบขันกึ่งจริงจังดังตามมาคล้ายตัดพ้อ

“โธ่คุณ ทำผมใจหายหมด นึกว่าจะเฉดหัวผมทิ้งแล้วซะอีก ตั้งแต่เข้ามาในบ้านคุณวันนี้ รู้ไหมครับว่าอารมณ์ของผมมันดีดขึ้นดิ่งลงกี่รอบแล้ว ยิ่งกว่าขึ้นไวกิ้ง รถไฟเหาะหลายสิบเท่าเลยนะ”

“คุณก็ฟังให้จบประโยคสิครับ”

เสียงเจือหัวเราะดังเบาๆ ให้หนุ่มร่างกำยำยิ่งโล่งใจ เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาสีขาวสะอ้านได้เป็นครั้งแรก

“ว่าแต่...”

อยู่ๆ ร่างโปร่งก็เกริ่นขึ้นประโยคอีกคราว ทำให้แผ่นหลังของภันวัฒน์ดีดผึงขึ้นมาอีกระลอก เขานั่งตัวตรง วางกำมือบนหน้าขาทั้งสองข้าง ทำตัวมีพิธีรีตองอย่างเต็มที่ราวกับอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่ตนเคารพนับถือและห้ามประพฤติตัวเสียมารยาทโดยเด็ดขาด

ระหว่างนั้นอาทิตย์อัสดงหยิบของอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าอกเสื้อก่อนจะค่อยๆ วางลงบนโต๊ะกลางต่อหน้าคนทำตัวแข็งทื่อเป็นหุ่น แล้วเอ่ยถ้อยคำที่ระบุถึงความต้องการ

“คุณลืมอีกอย่างหนึ่งไปหรือเปล่าครับ”

หลังจากมือเรียวเคลื่อนห่างออกไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หน่วยตาคมเบิกโพลง ภันวัฒน์เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโซฟา







อ่านต่อด้านล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 31st Entry : จุดหมายปลายทาง [6/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-10-2016 21:27:35
ต่อจากข้างบน


v



v




“คุณเปิดดูแล้วเหรอครับ”

“ครับ”

นอกจากเสียงแล้ว สิ่งที่ตอบรับมาพร้อมกันคือการผงกศีรษะเบาๆ ดั่งจะใช้มันเป็นเครื่องมือยืนยันด้วยอีกอย่างหนึ่ง ทำให้คนได้รับคำตอบรู้สึกขวยเขินขึ้นมาทันที กรอบหน้าคมคายผินไปอีกด้านขณะมือหนายกขึ้นใช้หลังมือป้องปากเอาไว้

“จะไม่บอกผมในตอนนี้เหรอครับ”

คำถามที่ราวกับการทักท้วงหรือทวงคำสัญญานั้นทำให้ใบหน้าของภันวัฒน์ยิ่งจับความร้อน สีน้ำผึ้งซับสีแดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ

“คือว่า...ผมก็อยากบอกอยู่นะ แต่มันเขินๆ น่ะ มันแบบ...ถ้าให้พูดโดยไม่เกี่ยวพันกับความรู้สึกของตัวผมเองก็พูดได้อยู่หรอก แต่พอคิดว่าต้องพูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเองแล้ว มันก็...”

อากัปกิริยาที่เรียกได้ว่า ‘น่าเอ็นดู’ ถูกย้ายจากอาทิตย์อัสดงไปยังภันวัฒน์แล้ว ณ ตอนนี้

อาทิตย์อัสดงระบายยิ้มเล็กน้อย เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงนิยมชมชอบใช้คำนั้นกับเขานัก เพราะมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อเห็นอาการที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นแล้วมันก็นึกคำอื่นไม่ออก ถึงคนทำกิริยานั้นจะเป็นมนุษย์ร่างโตแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในตอนนี้ได้ และก็พลันอยากเห็นมันอีกเรื่อยๆ

“ถ้าอย่างนั้นจะยังไม่พูดตอนนี้ใช่ไหมครับ ผมจะได้ขอเก็บเอาไว้ก่อน”

เมื่อร่างโปร่งว่าเช่นนั้นแล้ว ก็ยื่นมือออกไปหวังคว้าหลักฐานชั้นดีมาเก็บไว้กับตัว ทว่าก็ถูกมือใหญ่ตะปบลงมาในจังหวะเดียวกัน ทำให้สิ่งที่ภันวัฒน์คว้าได้กลับกลายเป็นมือของอาทิตย์อัสดงแทนที่จะเป็นสิ่งของที่หมายตา และก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เจ้าตัวกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น

“คุณกำลังแกล้งผมเหรอครับ”

สถานการณ์กลับกันโดยสิ้นเชิง ทำให้อาทิตย์อัสดงหุบยิ้มไม่ได้ เพราะโดยปกติแล้วจะเป็นตนเสียมากกว่าที่ถูกทำให้ปั่นป่วน

เป็นครั้งแรกที่เขาถือไพ่เหนือกว่าโดยที่ภันวัฒน์ไม่สามารถแก้มือได้

“เปล่านี่ครับ ผมแค่อยากเก็บหลักฐานเอาไว้ เผื่อคุณเบี้ยวสัญญา”

คงคล้ายกับการโดนโจมตีกระมัง เสียงแผ่ว ‘โธ่’ ถึงดังมาจากกลีบปากของร่างสูง

อาทิตย์อัสดงยิ่งกระหยิ่มยิ้มกับตนเอง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นชายผู้มั่นใจในตัวเองและทะเล้นตกอยู่ในสภาพจนตรอกแบบนี้บ้าง

“ถ้าผมพูดแล้ว คุณจะต้องคืนมันให้ผมนะ แล้วก็ต้องยอมรับผมด้วยนะ”

เมื่อดูเหมือนจะจนหนทางแล้ว ผู้จัดการหนุ่มถึงได้เสนอ

อาทิตย์อัสดงหยุดเพื่อคิดไปชั่วครู่หนึ่ง ลอบอมยิ้มกับตนเองบางเบา เพราะราวกับคำพูดนั้นกำลังสื่อถึงบางอย่างที่จะโยงเกี่ยวไปถึงความสัมพันธ์ในอนาคต ในอกกำลังมีเสียงระทึกดังขึ้นเป็นจังหวะด้วยความรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

แตกต่างจากความรู้สึกที่ผจญมาตลอดครึ่งเดือนโดยสิ้นเชิง

รู้สึกได้ถึงความหวานล้ำ ซาบซ่าน แผ่ขยายไปทั่วทั้งตัว ราวกับมันถูกสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงทั่วร่าง

คำที่ตอบคำถามของอีกฝ่ายได้จึงมีเพียงแค่คำเดียว ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่น

“ครับ”

เมื่อได้รับคำตอบดังนั้น ก็เหมือนคนฟังจะมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมาได้ เขาเขยิบกายสมส่วนขยับเข้ามาใกล้ในระยะไม่ต้องเอื้อมมือก็ถึง ประจันหน้ากันในความห่างที่เห็นดวงหน้าได้ชัดเจนถนัดถนี่

นัยน์ตาสีนิลจับจ้องที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเป็นสีชาอย่างแน่วแน่ แม้มีแววสั่นไหวบางเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกเห่อร้อนบนใบหน้าอยู่นิดๆ ถึงกระนั้นเสียงทุ้มนุ่มนวลก็เอ่ยออกมา

“ฟรีครับ ผมรักคุณนะ”

เป็นถ้อยคำที่ราวกับหยุดห้วงเวลาเอาไว้ตรงนั้น อาทิตย์อัสดงนิ่งงัน ฟังเสียงที่แปรเป็นคำพูดที่อยากฟังที่สุดสะท้อนก้องซ้ำไปซ้ำมาในห้วงความคิด พอรู้ตัวก็ต้องหลบการจับจ้องของฝ่ายตรงข้ามด้วยความรู้สึกเขินอายเช่นเดียวกัน ไม่นึกว่าแค่เป็นคนฟังก็รู้สึกกระสับกระส่ายถึงขนาดนี้

แล้วคนพูดล่ะ จะรู้สึกเขินถึงขนาดไหน

อดสงสัยไม่ได้จึงเหลือบตาไปดูเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าภันวัฒน์มีอาการไม่แตกต่างจากตนเลย คือหน้าแดง เสหน้าหนีไปเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมอง ต่างคนคงต่างกระดากว่าความสัมพันธ์หลังจากนี้จะเป็นคนรักกันแล้วใช่หรือไม่

หลังจากทั้งคู่พากันเงียบไปพักใหญ่ เสียงของภันวัฒน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ผมขอจูบได้ไหม”

คำถามนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากอาทิตย์อัสดงได้เบาๆ เพราะอยู่ๆ ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ละม้ายกันขึ้นมาได้

แต่เมื่อเผลอสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายที่จดจ้องมาอย่างเอาจริงเอาจัง พร้อมกับได้ยินเสียงถามลุ่มลึก 'ได้ไหมครับ' ราวกับย้ำ เสียงหัวเราะก็ต้องหยุดชะงักไป เกิดเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาก่อกวนใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนี้กลับไปอย่างไรดี

จะให้ปฏิเสธ มันก็ไม่ใช่

หลับตารอรับจูบหรือ ก็หวานแหววเกินจะรับได้

ครั้นจะให้รุกจูบเองก็รู้สึกว่าน่าอับอายเกินไป

สุดท้ายสิ่งที่อาทิตย์อัสดงทำได้จึงมีเพียง...

“เชิญครับ”

ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทื่อๆ แต่กำลังแดงซ่านไปทั้งหน้า

คนได้รับคำตอบยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกว่าอาทิตย์อัสดงน่ารักมากจนหาคำมาพรรณนาไม่ถูก เขาค่อยๆ ขยับร่างเข้าไปใกล้อีก ให้แนบชิดยิ่งกว่าเก่าจนช่องว่างระหว่างกันแทบหมดไป ใบหน้าคมคร้ามก็เลื่อนเข้าหา

อาทิตย์อัสดงปรือตาลงช้าๆ ราวกับเกรงว่าจะเสียดายเวลาที่กำลังดำเนินอยู่นี้ กระทั่งสิ่งที่เห็นอยู่มีเพียงความมืดเท่านั้น ริมฝีปากก็ได้รับสัมผัสแผ่วเบา

ความนุ่มนวลขยับพะเยิบพะยาบอยู่บนกลีบเนื้อนิ่มๆ ดุจแตะต้องด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผ่านความรู้สึกละมุนละไมร่วมด้วย เป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนสัมผัสสากชื้นจะค่อยๆ สอดแทรกผ่านรอยแยกเข้ามา แตะแต้มภายในอย่างเสน่หา กวาดกระหวัดเกี่ยวพันเข้าด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า

นับว่าเป็นสัมผัสล้ำลึกที่ได้แลกเปลี่ยนกันเป็นครั้งแรก มันทั้งหอมหวาน วาบหวาม กลมกล่อม เคลิบเคลิ้มจนเหมือนตัวจะลอย แต่ก็เร่าร้อนจนไม่อยากหยุด ไม่อยากจะผละออกแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นเมื่อจำเป็นต้องแยกจากมาจึงรู้สึกเสียดายไม่น้อย

ทั้งสองทอดสายตาสบมองกันอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งในความห่างที่แสนใกล้ และเป็นภันวัฒน์ที่เป็นฝ่ายยอมแพ้เสียก่อน เขาซบหน้าลงบนบ่าที่แคบกว่าตนเอง เสียงทุ้มแผ่วสั่นถ่ายทอดออกมาอย่างอู้อี้

“ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยหัวใจเต้นแรงขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดมีแฟนคนแรกก็ไม่ได้ใจเต้นแรงขนาดนี้ ชักจะเริ่มกลัวแล้วสิว่าจะอายุสั้น”

อาการของอีกฝ่ายเรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้อีกครั้ง อาทิตย์อัสดงอดรู้สึกขำไม่ได้เพราะเพิ่งเคยเห็นภันวัฒน์ในแง่มุมแบบนี้เป็นครั้งแรก ทั้งที่ภายนอกหรือพฤติกรรมที่ผ่านมา หากบอกว่าอีกฝ่ายเจนจัดในสนามรักคงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ร่างโปร่งจึงเอ่ยเสียงแซว

“ถ้าคุณรีบตาย ผมก็แย่น่ะสิ”

ทว่าคงเป็นการหยอกกระเซ้าที่แสนน่ารักและสร้างความพึงพอใจให้คนฟัง ภันวัฒน์จึงปล่อยกอดแล้วพลอยหัวเราะตามไปด้วย

เสียงแห่งความสุขของคนทั้งคู่ขับขานไปทั่วห้องนั่งเล่นอยู่สักพัก จากนั้นปาติซิเย่หนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนนึกได้

“คุณยังไม่ได้บอกว่ารักผมเลย”

คราวนี้สลับมาเป็นอาทิตย์อัสดงบ้างที่ปั้นหน้าไม่ถูก ได้แต่อึกอักกลอกตาลอกแลก ไม่รู้จะหลบหลีกไปทางไหนดี เริ่มรู้สึกเข้าใจแล้วว่าเหตุใดกว่าภันวัฒน์จะพูดออกมาเจ้าตัวถึงได้แสดงอาการเช่นนั้นอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็หาข้ออ้างข้างๆ คูๆ มาแย้งได้

“อยู่ๆ จะให้พูด มันน่าอายไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่ผมอยากได้ยินนี่ครับ เมื่อกี้คุณยังให้ผมพูดเลย คุณจะเอาเปรียบให้พูดผมคนเดียวเหรอ”

สีหน้าและน้ำเสียงคล้ายตัดพ้อว่าตนไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทำให้หน่วยตาเรียวยาวต้องหลุบลงเล็กน้อย ใช่ว่าสำนึกผิดเสียเมื่อไร แต่เป็นขบปากกัดฟันอยู่นิดหน่อยที่กลายเป็นถูกไล่ต้อนเพราะผลจากการกระทำของตัวเอง มิหนำซ้ำเขารู้ชัดถึงเจตนาของภันวัฒน์ดี

ไม่ใช่ว่ากำลังตัดพ้อ แต่กำลังหยอกเย้าเขาต่างหาก

แต่เพราะไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไรในเมื่อตนเองมีชนักติดหลัง สุดท้ายอาทิตย์อัสดงจึงต้องอ้อมแอ้มผสานอิดออดพูดออกมาเสียงเบา

“ผมก็...ฮักคุณ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วคนฟังก็เกือบจะยิ้มกริ่มออกมา แต่เก็บอาการเอาไว้ ปั้นหน้านิ่งแกล้งหยอกกลับไป

“คุณจะกอดผมเหรอ”

เมื่อรู้ว่าโดนเล่นงานเข้าแล้ว ใบหน้าขาวตี๋ก็ย่นยุ่งด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจอยากให้เขาพูดออกมาให้ชัดๆ แต่ถึงมันจะน่าเขินอายที่ยังลากประเด็นนี้ให้ยาวต่อไปแทนที่จะรีบๆ รวบรัดตัดประโยคไปเสีย อาทิตย์อัสดงก็ยังไม่ยอมพูดคำตรงออกมาอยู่ดี เขาใช้คำพูดของภันวัฒน์ในอดีตมาเอ่ยอ้าง

‘สำหรับคุณตอนนี้ ชื่อผมคงมีความหมายแค่ในระดับนี้ เอาไว้อีกหน่อย ตอนที่คุณรักผมแล้ว ผมค่อยเลื่อนระดับไปแปลว่าแบบนั้นก็ยังทันถมเถ’

“คุณเคยพูดว่าอะไรก็ว่าอย่างนั้นแหละ ฮักที่ไม่ได้แปลว่ากอด”

เท่านี้ก็ดูเหมือนว่าจะสุดความพยายามของอาทิตย์อัสดงแล้วก็เป็นได้ เพราะเจ้าตัวหน้าแดงขึ้นมาอีกระลอกพลางทำสีหน้าเหมือนคะยั้นคะยอคนตัวใหญ่กว่าอยู่ในทีว่าเข้าใจสักทีสิ เลิกแกล้งได้แล้ว ภันวัฒน์จึงยอมผุดยิ้มแบบไม่กักเก็บอีกต่อไป แล้วสรุปความเสียเรียบร้อย

“ขอบคุณนะครับที่รักผม”

ถ้อยคำชัดเจนล่องลอยจากปากของภันวัฒน์โดยไร้อาการกระดากอายอย่างสิ้นเชิง ผิดกับคราวที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายต้องพูดความรู้สึกของตนขึ้นมาเองจนคนฟังรู้สึกหมั่นไส้อย่างไรชอบกล จึงสวนเสียงกลับไปบ้างด้วยประโยคเดียวกัน

“ขอบคุณนะครับที่รักผม”

แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ภันวัฒน์ชะงักไปครู่หนึ่ง หน้าซับสีขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะหลุดยิ้มออกมาที่โดนเล่นงานกลับมา และเพียงไม่ช้าไม่นานหลังจากจับจ้องกันด้วยสายตาอย่างนั้น เสียงหัวเราะก็ดังแทรกสอดออกมาผสานกันระหว่างคนสองคน








-------------------
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วจริงๆ ค่ะ เหลือแค่ตอน 32 กับบทส่งท้าย

ตอนนี้เราเปิดสำรวจคนที่สนใจหนังสือเล่มนี้อยู่นะคะ ถ้าใครสนใจ ช่วยไปตอบในเฟซบุ๊กด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 31st Entry : จุดหมายปลายทาง [6/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 06-10-2016 21:56:39
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 31st Entry : จุดหมายปลายทาง [6/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-10-2016 22:11:00
เขินมาก

บอกรักอะไรมุ้งมิ้งขนาดเน้!

ปล. อ่านเจอคำว่า ร่างโปร่ง ร่างสูงเยอะจังค่ะ ลองแทนด้วยชื่อตัวละครเลยน่าจะทำให้สื่ออารมณ์ได้ดีกว่าไหมคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 31st Entry : จุดหมายปลายทาง [6/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 06-10-2016 22:16:38
โอ๊ยยยยยยยยยยยย น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่าร้ากกกกกกกกกกก ตอนนี้ทำเราหุบยิ้มไม่ได้และเขินมากค่ะ ฮืออ  :mew3: ทำไมพอเขาเข้าใจกันแล้วมันถึงได้ดูละมุนไปหมดแบบนี้นะคะ นี่นึกภาพ ต่อไป เขาก็คงไปอยู่ในครัวด้วยกัน คนนึงทำ คนนึงชิม อื้อหือออ คุณอาทิตย์ไม่อ้วนงานนี้จะไปอ้วนงานไหนคะ 5555555 เป็นตอนที่เราสบายใจมากอ่ะค่ะ หลังจากหนักหน่วงมานาน จริงๆที่เราชอบในเรื่องนี้ที่สุดคือสำนวนของคุณนักเขียนนะคะ ไม่รู้ทำไม เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันสวย ให้อารมณ์แบบที่ไม่ค่อยเจอในนิยายสมัยนี้อ่ะค่ะ เลืกใช้คำสวยๆทั้งนั้นเลย ฮืออออ ชอบมากค่ะ ชอบความค่อยเป็นค่อยไปและการเปิดใจด้วย ที่เหลือก็คงได้เจอน้องพร่าง แต่เขารักกันแล้ว น้องพร่างสบายใจได้เลยค่ะ คนนี้พี่ชายรักจริงและไม่มีทางอกหักแน่นอนนน  :hao7:

ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ได้คืนดีกันได้เร็วๆ ค่ะ  ตรงประโยคนี้เราว่าน่าจะใช้คำว่า ได้ แค่ครั้งเดียวได้นะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 31st Entry : จุดหมายปลายทาง [6/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 06-10-2016 23:43:25
โอ้ยยย มันฟินน่ะคุณณณ  :-[
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย [21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-10-2016 22:35:51
32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย






อาทิตย์อัสดงเตรียมตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เพราะนัดหมายกับภันวัฒน์เอาไว้ ด้วยวันนี้เขาจะไปที่ ‘ห้องนั่งเล่น’ เพื่อทำเค้กวันเกิดให้กับหลานชายคนรอง และจากที่เคยบอกกล่าวกับอีกฝ่ายไว้ตั้งแต่วันก่อนว่าต้องการเค้กประเภทไหน จึงคิดว่าภันวัฒน์คงจะเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ไว้พร้อมสรรพอยู่ที่ร้านแล้ว

ทว่าเมื่อออกมาจากประตูบ้าน กลับพบร่างคุ้นตายืนพิงประตูรถรออยู่ ทำให้คิ้วของอดีตบล็อกเกอร์เลิกขึ้นน้อยๆ อย่างประหลาดใจ เจ้าตัวล็อกประตูบ้านแล้วตรงไปยังร่างสูงกว่า อดคิดไม่ได้ว่าหรือภันวัฒน์จะเจตนามารับเขาไปที่ร้าน ทั้งที่มันไม่จำเป็นแม้แต่น้อย

“ทำไมมาที่นี่ล่ะครับ ไม่รออยู่ที่ร้าน”

“พอดีว่าผมยังไม่ได้ซื้อส่วนผสมที่ใช้ทำเค้กเลยครับ”

หลังจากได้ยินเช่นนั้นร่างโปร่งก็เบิกตากว้างถลน เรียกเสียงหัวเราะจากคนเห็นได้

“อ้าว แล้วแบบนี้จะทำเค้กทันเหรอครับ”

แม้ว่าเวลาที่เขาจำเป็นต้องนำเค้กไปบ้านของพี่สาวจะเป็นช่วงเย็น แต่ไม่รู้ว่าในการทำเค้กต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเวลาเท่าไร อาทิตย์อัสดงจึงอดกังวลไม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญในการทำเค้กก็ส่ายศีรษะเบาๆ

“ทันถมเถครับ ผมก็เลยมารับคุณไปซื้อวัตถุดิบด้วยกัน”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากอีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงก็เบาใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย เดินตามร่างสูงที่หันกลับหลังเพื่อขึ้นรถไปบ้าง ทว่าจุดหมายปลายทางที่คาดการณ์ไว้กลับไม่ตรงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า พาให้คิ้วเรียวบนหน้าขาวตี๋ขมวดเข้าหากันอีกรอบ

“ไหนว่าจะไปซื้อของไงล่ะครับ”

“ซื้อของแค่แป๊บเดียวก็เสร็จครับ เพราะว่าร้านประจำมีของให้ครบทุกอย่าง ผมก็เลยพาคุณมาเดทก่อน”

ไม่เพียงพูดเท่านั้น แต่ภันวัฒน์ยังขยิบตาให้ ทำให้ร่างโปร่งต้องหลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกขัดเขินอยู่นิดหน่อย เพราะไม่เคยเจอประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน

แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาเป็นเขาที่ออกปากชวนคนรัก

แต่เขาไม่คิดว่าภันวัฒน์จะเอ่ยปากชวนพร้อมมัดมือชกในคราวเดียวกันแบบนี้

“ไปกันเถอะครับ”

เบื้องหน้าเป็นสถานที่ที่เรียกว่าร่มรื่นก็ไม่เชิง เพราะแม้ว่าจะอุดมไปด้วยต้นไม้และบึงน้ำ แต่ก็ยังมีสนามหญ้ากว้างขวางและศาลาสำหรับใช้พักผ่อนหย่อนใจ

โชคดีที่เป็นช่วงยังเช้าอยู่ อากาศจึงไม่ร้อนแรงแผดเผานัก และสภาพอากาศในช่วงนี้ก็ค่อนข้างจะมีเมฆอยู่มาก จึงอาจจะเหมาะกับการมาผ่อนคลายอยู่สวนสาธารณะเช่นนี้ก็เป็นได้

“คุณกินอาหารเช้ามาหรือยังครับ”

เมื่อเดินไปสักพักหนึ่ง ถึงต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การปูเสื่อแล้วผู้จัดการหนุ่มก็หยุดยืนและหันมาถาม

“ยังครับ ก็คุณเป็นคนบอกเองนี่ว่าให้มากินพร้อมกัน”

หลังได้รับคำตอบ ภันวัฒน์ก็คลี่ยิ้มราวกับกำลังดีใจอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะวางสัมภาระที่ถือมาด้วยลง

อาทิตย์อัสดงรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายขนข้าวของพะรุงพะรังอะไรมากมายมาด้วย แต่ในเวลานี้เหมือนจะเข้าใจถ่องแท้แล้ว

ที่แท้ก็มาปิกนิก

“เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”

เห็นว่าปาติซิเย่หนุ่มกำลังสะบัดเสื่อพลาสติกเพื่อปูลงบนสนามหญ้า ร่างโปร่งก็เสนอตัวแล้วตรงไปยังอีกฟากของผืนเสื่อทันที

ทั้งสองช่วยกันปูเสื่ออย่างเรียบร้อย ถอดรองเท้าวางทับมุมคนละข้างจนได้ครบทั้งสี่มุมพอดี ภันวัฒน์ก็หยิบกล่องพลาสติกที่มีสารพัดสารเพอยู่ภายในมาตั้งอยู่กลางสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายตารางหมากรุกสีน้ำเงิน

“มื้อเช้าวันนี้ เป็นแซนด์วิชทูน่ากับไข่สแกรมเบิ้ลนะครับ”

ของที่ว่าถูกนำมาจัดวางด้านหน้าทีละชิ้น เริ่มจากกล่องบรรจุแซนด์วิชที่จัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อยประมาณหกชิ้น และกล่องกลมเล็กๆ อีกสองกล่อง เมื่อเปิดดูก็เห็นเป็นไข่ร่วนๆ สีเหลืองนวลพองฟู ปิดท้ายด้วยกล่องสุดท้าย เป็นผักกาดหอมและมะเขือเทศลูกเล็กกระจ้อย

“ลองเอาผักกาดหอมห่อไข่ แล้วใส่มะเขือเทศกินเป็นคำดูนะครับ”

ภันวัฒน์แนะนำ พร้อมทั้งยังส่งถุงมือพลาสติกให้อีกด้วย คำนึงถึงสุขลักษณะอย่างรอบคอบแบบไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงไม่แปลกหากนึกถึงอาชีพการงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับอาหารการกินไม่ว่าจะงานประจำหรืองานเสริม

อาทิตย์อัสดงรับถุงมือมาทั้งสองข้างก่อนทำตามอย่างที่อีกฝ่ายชักชวน เมื่อส่งก้อนสีเขียวเข้าปาก เคี้ยวอยู่สองสามครั้งก็ผงกศีรษะเบาๆ

เพราะมีความสดใหม่ของผัก อีกทั้งยังกรอบและชุ่มชื่นจึงยิ่งชูรสชาติให้หลากหลายและน่าประทับใจ เมื่อรวมกับไข่ที่หวานนิดๆ มีรสพริกไทยหน่อยๆ และมีกลิ่นหอมของเนยอยู่เล็กน้อย ผสมกับรสเปรี้ยวของมะเขือเทศก็ทำให้กลมกล่อมได้ไม่เบา

“ผมไม่อยากห่อมาก่อนน่ะครับ เพราะเดี๋ยวผักจะเหี่ยวช้ำแล้วกลายเป็นเหนียวไป แทนที่จะกรอบอร่อย”

เป็นความเอาใจใส่ต่อทั้งอาหารและคนกิน

อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกประทับใจในตัวผู้ชายคนนี้

“ลองชิมแซนด์วิชดูบ้างไหมครับ”

เมื่อเคี้ยวหมดคำ ภันวัฒน์ก็เอ่ยชวนอีก แต่อาทิตย์อัสดงก็ไม่คิดปฏิเสธ เขาหยิบแซนด์วิชตัดชิ้นสี่เหลี่ยมเข้าปาก พลางมองอีกฝ่ายที่ทำอย่างเดียวกัน

รสชาติทูน่าชัดเจน พร้อมมายองเนสที่พอดิบพอดี สอดแทรกด้วยผักชีฝรั่ง แครอท และหัวหอม ไม่มีส่วนใดกลบส่วนใด ไส้ไม่น้อยหรือมากเกินพอดี ทำให้กินจบคำได้อย่างง่ายดาย ไม่หกเลอะเทอะราวกับคำนวณมาเป็นอย่างดี ยิ่งเสริมสร้างให้อาหารชิ้นนี้ถูกใจคนกินมากกว่าถูกปาก อดีตบล็อกเกอร์ต้องผงกศีรษะอีกหลายครั้ง พร้อมกับส่งยิ้มให้

“ถูกปากไหมครับ”

“ครับ”

“ผมมีน้ำให้เลือกสองอย่างนะครับ เป็นน้ำเปล่ากับชามะนาว แต่ผมว่าดื่มชามะนาวก่อนดีกว่า จะได้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กระตุ้นความอยากอาหารด้วย”

ไม่ต้องตอบก็เหมือนภันวัฒน์จะเข้าใจแล้วว่าเจ้าของหน้าตี๋เลือกสิ่งใด เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย อาทิตย์อัสดงจึงเปลี่ยนทิศทางของความสนใจไปที่รอบข้างแทน

เวลานี้อาจจะยังเช้าเกินไปสำหรับคนทั่วไปกระมัง จึงเห็นคนจำนวนน้อยมาเดินทอดน่องเท่านั้น ทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาราวกับโลกส่วนตัวซึ่งถูกตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครมาสนใจให้ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใดที่ผู้ชายสองคนมานั่งกันอยู่ในสวนเช่นนี้

ลมโชยมาเป็นระลอก แต่เมฆยังบังแสงตะวันเอาไว้ ยิ่งทำให้อุณหภูมิกำลังดี เสมือนอากาศเป็นใจอย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วร่างโปร่งก็อมยิ้มกับตนเอง แล้วหยิบชาที่ถูกรินไว้ให้ขึ้นมาดื่ม

รสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้นก็ลงตัวอีกเช่นเคย จนต้องเผลอยิ้มออกมาอีกหน

“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่ล่ะครับ”

หลังจากหยิบแซนด์วิชขึ้นกินอีกชิ้น ต่อด้วยไข่สแกรมเบิ้ลอีกสักคำ อาทิตย์อัสดงก็เกริ่นถาม

“ก็คราวก่อนที่ไปตั้งแคมป์กัน คุณทำแผนล่มตอนพายเรือนี่นา คราวนี้ผมเลยว่าจะมาแก้มือโดยการปั่นเรือถีบแทน”

คำพูดนั้นราวกับย้อนอดีต อาทิตย์อัสดงยังจดจำได้ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ช่วงเวลาที่ทำให้เขาหัวใจสั่นไหวดั่งกิ่งไม้โยกไหว ทั้งยังอับอายการกระทำของตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้พอนึกถึง ก็ยังรู้สึกว่ามีไอร้อนอวลขึ้นมาบนแก้ม และก่อนจะถูกจับได้ถึงอาการผิดปกติ ดวงหน้าขาวกระจ่างก็ผินมองไปทางอื่น

เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็เห็นว่าริมบึงขนาดใหญ่นั้นมีเรือถีบจอดเทียบอยู่หลายลำทีเดียว นับว่าเป็นการพามาถูกสถานที่โดยแท้

“แล้วโปรแกรมต่อจากนี้ล่ะครับ”

พอจะกำจัดไอร้อนบนผืนหน้าและจังหวะหัวใจได้นิดหน่อยแล้ว คำถามต่อมาก็ดังขึ้น แม้กระนั้นร่างโปร่งก็ยังไม่ยอมหันหน้ากลับไปอยู่ดี จึงเป็นภันวัฒน์เสียเองที่ขยับร่างเข้ามาใกล้จนประชิด ยื่นหน้าเข้ามาในระยะเฉียดใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่กระทบลงบนผิวแก้ม

อาทิตย์อัสดงนั่งตัวเกร็งขึ้นมาฉับพลัน ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาไปมอง สัมผัสร้อนกรุ่นที่ผลาญเผาผิวเนื้ออ่อนนั้นทำให้ขนแทบจะลุกเกรียวไปทั่วร่าง ริมฝีปากจึงได้แต่เม้มแน่นเข้าหากันเพื่อระงับอาการเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“ก็จะไปกินข้าวเที่ยงกัน ผมจองบุฟเฟต์มื้อกลางวันเอาไว้แล้ว”

ไม่รู้ว่าตอนนี้การถามคำถามขึ้นมาเป็นการกระทำที่โง่เง่า ขุดหลุมฝังตัวเองหรือไม่ แต่ร่างโปร่งก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ เขาเบี่ยงหน้าหลบไปอีกด้านมากกว่าเดิม ค่อยๆ หมุนตัวตามไปทิศทางเดียวกันอย่างเนิบช้า วางแผนอย่างแยบยลว่าอีกฝ่ายจะได้ไม่รู้ตัว

แต่ที่ไหนได้ กลับถูกคุกคามยิ่งขึ้น เพราะร่างสูงกำยำกระโจนมาสู่เบื้องหน้า เผชิญสายตากันครามครัน ทำให้อดีตบล็อกเกอร์สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ หน้าตาเหลือกลานขึ้นมาทันที จนเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากตัวต้นเหตุ

“คุณ! แกล้งผมเหรอ”

จากเขินอายตอนนี้อารมณ์กลับปรับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ดวงตาเรียวยาวจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า แต่ภันวัฒน์กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ใบหน้าได้รูปคมสันยังคงเจือยิ้มกว้าง ตอบกลับมาได้อย่างไม่อินังขังขอบ

“ก็ผมเห็นคุณเอาแต่หันหน้าหนีนี่”

“ใครใช้ให้คุณพูดเรื่องนั้นกันเล่า”

“อ้าว ก็คุณเป็นคนถามผมเองไม่ใช่เหรอ ผมก็ตอบไปตามตรงนี่นา ผิดตรงไหนกัน”

จากที่หน้าแป้นยิ้มทะเล้น ใบหน้าของภันวัฒน์ก็กลายเป็นสงสัยใคร่รู้ได้อย่างน่าหมั่นไส้แทน ราวกับว่าเป็นบุคคลไร้เดียงสาและไร้ความผิดใดๆ แม้พิจารณาจากความเป็นจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างที่เป็นอยู่กลับทำให้อาทิตย์อัสดงอดถลึงตาใส่ไม่ได้

ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว กลับกลายเป็นว่าเสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากชายตรงหน้าอีกครา

“คุณ เลิกหัวเราะผมได้แล้ว”

เพราะภันวัฒน์หัวเราะมากเกินไป อาทิตย์อัสดงจึงรู้สึกกระดากอายขึ้นมาอีก หน่วยตาสีน้ำตาลกลิ้งกลอกอยู่ในกระบอกตา เหลือบมองรอบข้างว่ามีใครอยู่บริเวณนี้หรือไม่ หากมีเขาคงต้องมุดกล่องแซนด์วิชหนี แต่โชคดีที่สถานการณ์ไม่ได้เอื้อให้ทำเช่นนั้น เพราะรอบข้างยังคงไร้ผู้คนเช่นเดิม

“ก็คุณน่ารักอะ ผมเลยมีความสุขจนหยุดหัวเราะ หยุดยิ้มไม่ได้”

โดนโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ต่อให้หัวใจแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องสั่นสะท้าน อาทิตย์อัสดงซึ่งมีจุดอ่อนเพราะถูกภันวัฒน์โจมตีมาอย่างยาวนานจึงไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย เขาเม้มปากเข้าหากันแน่น ระงับอารมณ์เอาไว้ ไม่เบี่ยงหน้าหนีอีกด้วยรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น ทุกอย่างก็คงเข้าอีหรอบเดิมอยู่ดี

ภันวัฒน์เคยรู้จักคำว่าทดท้อหรือยอมแพ้เสียเมื่อไร

เมื่อได้เห็นความพยายามของร่างโปร่งที่ทุ่มเทเพื่อเผชิญหน้ากับตนอง ผู้จัดการหนุ่มก็อดรู้สึกว่าน่าเอ็นดูไม่ได้ เขาคลี่ยิ้มอีกก่อนจะเอนตัวเล็กน้อยและล้มตัวนอนลง เอาศีรษะหนุนบนหน้าตักของอีกคนเอาไว้

อาทิตย์อัสดงเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมา เมื่อก้มลงไปมองก็เห็นใบหน้ายิ้มทะเล้นเย็นสบายอย่างไม่ทุกข์ร้อนของคนบนตัก มือเตรียมจะเลื่อนไปผลักร่างใหญ่โตนั้นออกไป แต่ก็ถูกคว้าเสียก่อน

“พอหนังท้องตึง หน้าตาชักหย่อนเลยนะเนี่ย”

“หนังตาหย่อนก็นอนลงกับพื้นสิครับ ทำไมต้องใช้ตักผมด้วย”

“ถ้าให้หัวราบไปแนวเดียวกับตัว กรดจะไหลย้อนเอานะคุณ”

ข้ออ้างเชิงวิชาการถูกหยิบยกมาใช้อย่างตรงจุดจนอาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออก ครั้นจะใช้มืออีกข้างผลักร่างที่สูงใหญ่มีกำลังกว่าตนเอง ก็ดูท่าว่าจะไม่สำเร็จอย่างแน่นอน สุดท้ายจึงได้แต่อุทธรณ์โดยใช้ปาก

“มาทำแบบนี้กลางที่สาธารณะ ไม่อายบ้างเลยเหรอคุณ”

“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ครับ เดี๋ยวนี้ประเทศเราเปิดกว้างจะตาย คนกรี๊ดกร๊าดเวลาเห็นผู้ชายอยู่ด้วยกันก็มีเยอะแยะ ถือว่าเซอร์วิสสิคุณ”

คำอธิบายหรือควรจะเรียกว่าข้อแก้ตัวนั้นทำให้คนฟังถึงกับต่อประโยคไม่ถูก อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกขึ้นมาในลำคอ จึงต้องทำเป็นไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นหันกลับไปยังอาหารมื้อเช้าที่ยังกินค้างอยู่ ถึงพบว่าส่วนของภันวัฒน์นั้นหมดลงแล้ว เหลือก็แต่ของตนเองอีกเล็กน้อย มิหนำซ้ำน้ำเปล่าที่ถูกเตรียมมาพร้อมสรรพด้วยก็ถูกรินลงถ้วยเอาไว้ให้แล้ว

“ผมขอนอนเล่นแป๊บนึงนะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปปั่นเรือกัน”

ในเมื่อถูกดูแลบริการดีอย่างไม่ตกบกพร่อง ร่างโปร่งจึงจำยอมปล่อยอีกฝ่ายไป แล้วหยิบแซนด์วิชที่เหลืออยู่มากิน ตามด้วยไข่สแกรมเบิ้ล ชามะนาว และปิดท้ายด้วยน้ำเปล่าล้างปาก






หลังจากนั้นเกือบสี่สิบนาทีเห็นจะได้ ทั้งสองคนก็มุ่งสู่บึงอันกว้างขวางและเข้านั่งในเรือปั่นรูปลักษณ์เป็ด ภันวัฒน์อาสาปั่นให้ก่อน เป็นการไถ่โทษที่ทำให้ขาของอาทิตย์อัสดงชาจนลุกเซ โชคยังดีที่เขาพอจะรู้จึงยื่นแขนออกไปรั้งตัวเอาไว้ทัน ไม่เช่นนั้นภาพไม่น่าดูอาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้

กระทั่งเมื่อไปถึงกลางแอ่งน้ำขนาดใหญ่แล้ว เท้าทั้งสองของผู้จัดการหนุ่มจึงหยุดลง ปล่อยให้สายลมและแสงแดดไม่แผดจ้ากระทบผิวเรื่อยๆ

“ผมขอถ่ายรูปคู่ได้ไหมครับ”

ชื่นชมบรรยากาศและปล่อยตัวปล่อยใจกับธรรมชาติไปสักพัก ภันวัฒน์ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา

“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ เอาไว้สัก...ครั้งที่สิบก่อน”

คนถูกขอหันมาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เพราะไม่อยากให้เป็นการพูดที่กระด้างไร้ไมตรีจนเกินไป แต่เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว เรือที่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่เพียงสั่นไหวน้อยๆ เพราะแรงลมกลับเคลื่อนที่ เสียงนับเลขดังคลอมาตามจังหวะการสั่นสะเทือน

“แปด...เก้า...สิบ”

“.....”

“ครบสิบครั้งแล้ว ทีนี้ก็ถ่ายได้แล้วใช่ไหมครับ”

ดวงหน้าคมคายหันมาพร้อมรอยยิ้มชื่นบานราวกับเด็กไร้เดียงสา ทำให้อดีตบล็อกเกอร์ตะลึงงันในทันที จนเมื่อเข้าใจความหมายของการกระทำและคำพูดของอีกฝ่ายดีแล้ว อาทิตย์อัสดงก็โพล่งออกมา

“ผมไม่ได้หมายถึงปั่นให้ครบสิบทีสักหน่อย”

“ผมรู้หรอกครับ ก็แค่หยอกเล่นนิดหน่อย คุณหมายถึงเอาไว้ให้เราเดทครบสิบครั้งก่อนแล้วคุณจะยอมถ่ายรูปคู่กับผมใช่ไหมล่ะ”

พอได้ยินเสียงใหญ่ทุ้มพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำพร้อมใบหน้าระรื่นรู้ดี กรอบหน้าขาวก็รู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

คำว่า ‘เดท’ ก้องอยู่ในหูหน่อยๆ เพราะยังไม่คุ้นชินกับสถานะ

ยังเก้อกระดากทุกครั้งที่คิดว่าตอนนี้ตนเองกับภันวัฒน์เป็นคนรักกัน

จากนั้นเมื่อมองไปยังร่างสูง ก็เห็นว่าในมือใหญ่กำลังกดพิมพ์อะไรบางอย่างในโทรศัพท์

“ทำอะไรเหรอครับ”
เพราะจากที่เห็นไม่ใช่โปรแกรมสนทนา และอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีปิดบังแต่อย่างใดจึงอดสงสัยไม่ได้

“กำลังบันทึกอยู่ไงครับ ว่าวันนี้เป็นเดทแรก แล้วผมก็จะบันทึกไว้ทุกครั้ง พอครบสิบครั้งแล้วจะได้ใช้เป็นหลักฐาน เพราะถ้าผมไม่บันทึกไว้ คุณก็คงจะเบี้ยวผมใช่ไหมล่ะครับ”

ภันวัฒน์เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน จนอาทิตย์อัสดงต้องเบี่ยงหน้าหนี แก้ตัวไม่ถูกเพราะแม้จะไม่ได้คิดเอาไว้อยู่ในใจ แต่เมื่อถึงเวลาตนอาจจะทำเช่นนั้นก็เป็นได้

“ผมพูดแทงใจดำล่ะสิ”

น้ำเสียงล้อเลียนดังตามมา แต่สิ่งที่ตอบรับมีเพียงความนิ่งเงียบ ใบหน้าตี๋ไม่ได้หันกลับมา ผู้จัดการหนุ่มจึงถือโอกาสนี้คว้ามือขาวที่วางทอดอยู่บนตักมากุมเอาไว้เสียเลย

ได้ผล อาทิตย์อัสดงยอมหันหน้ามาจนได้

“ไม่มีใครเห็นหรอกครับ อยู่ห่างจากฝั่งตั้งไกล แถมยังมีเรือบังอีกต่างหาก”

อีกครั้งที่ภันวัฒน์พูดอย่างรู้ทัน และยังคลี่ยิ้มกว้างจนสว่างไสวแข่งกับพระอาทิตย์จนดวงอาทิตย์ยามเย็นรูปร่างคนหาคำมาพูดตอบไม่ถูก ยอมปล่อยให้กุมมือต่อไปเช่นนั้น






หลังจากหย่อนใจไปกับธรรมชาติกระทั่งแดดเริ่มร้อนจนสู้ไม่ไหว ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกครา สัมภาระจึงถูกเก็บกลับคืนรถพร้อมกับสองร่างออกเดินทางไปยังจุดหมายใหม่ที่ภันวัฒน์บอกเอาไว้ก่อนหน้า

มันเป็นภัตตาคารที่อยู่บนตึกสูงเสียดฟ้ากลางกรุงเทพมหานคร

สองคนอิ่มหนำเพลินเพลิดไปกับอาหารชั้นดีมีคุณภาพ ไม่ว่าจะในแง่ของอาหารหรือบรรยากาศที่มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างถ้วนทั่วเพราะผนังโดยรอบประกอบจากกระจกใส มิหนำซ้ำยังมีขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เลือกรับประทานปิดท้าย แต่เมื่อลุกออกจากโต๊ะหลังรับประทานเสร็จและเห็นสมควรแก่เวลาไปซื้อของได้แล้วก็เกิดปัญหา

“ค่าอาหารหัวละเท่าไรครับ”

ฉับพลันที่อาทิตย์อัสดงออกปาก ก็ถูกภันวัฒน์สวนกลับในทันทีอย่างไม่รีรอ

“ผมจ่ายเองครับ”

“แต่ว่า...”

“ผมเป็นคนชวนนะ จะให้คุณมาจ่ายเงินค่านู่นนี่ได้ยังไงล่ะ”

“ถึงอย่างนั้น จะให้ผมยอมให้คุณจ่ายไปหมดทุกอย่าง มันก็ไม่แฟร์นะ”

เพราะมื้อเช้าก็เป็นภันวัฒน์ที่จัดเตรียมมา ไหนจะค่าแก๊สค่าน้ำมันรถสำหรับเดินทางอีก อาทิตย์อัสดงจึงไม่อยากเอารัดเอาเปรียบโดยยอมให้อีกฝ่ายจ่ายมื้อกลางวันอีก แต่กลับกลายเป็นว่าคำโต้เถียงนั้นสร้างรอยยิ้มให้ผลิบนใบหน้าของภันวัฒน์ได้ ราวกับเป็นถ้อยคำน่าฟังที่เจ้าตัวรอคอยมาโดยตลอด

อาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็เป็นได้

เพียงแต่...เป็นครั้งแรกที่คนรักเอ่ยปากกับเขาเช่นนี้

ไม่ว่าเขาจะเคยคบหากับใครมาก่อน ทุกคนล้วนให้เขาจ่ายทั้งสิ้น

ถึงเขาจะไม่มีปัญหานักกับการต้องใช้จ่ายเงินเพื่อคนรัก แต่การที่อีกฝ่ายแสดงออกเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเที่ยงตรงและความเอื้ออาทรต่อเขา

“งั้นเอาไว้ครั้งหน้าผมจะให้คุณจ่ายนะ”

หลังจากบอกเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงก็มองเจ้าของคำพูดอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา คล้ายกับไม่ค่อยพอใจนัก

“ก็ได้ครับ”

กลับเป็นภันวัฒน์เสียอีกที่ยังยิ้มพร่างพราย เขาชวนอาทิตย์อัสดงขึ้นไปชั้นบน เพื่อไปสัมผัสกับอากาศภายนอกตัวอาคารที่สูงเสียดฟ้าซึ่งเปิดให้ผู้คนได้ออกไปเที่ยวชม

แต่แสงแดดแรงกล้าในช่วงบ่ายโมงกว่าๆ ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกับการออกไปเผชิญตรงๆ แม้ว่าลมจะแรงมากจนผมพลิ้วไสวก็ตาม ดังนั้นเดินวนอยู่รอบหนึ่งแล้วทั้งคู่ก็เข้ามาภายในอาคารอีกครั้ง ไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์ของเมืองอย่างเต็มที่

“คุณพาผมไปทำผิวแทนเหรอ”

หลังจากเข้ามาสู่ที่ร่ม อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยแซวทันที เขาลูบแขนส่วนที่ต้องแสงแดดเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงความร้อนที่เคลือบลงมาด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว

“เผื่อคุณจะประทับใจไง”

ถึงจะถูกแซว แต่ภันวัฒน์ก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับใบหน้าขาวผ่องที่กลายเป็นสีแดงฝาดของร่างโปร่งให้ พลอยทำให้อดีตบล็อกเกอร์ชะงักค้างไปด้วย

“คุณ...เช็ดหน้าตัวเองสิ เช็ดให้ผมทำไม”

“ก็เห็นหน้าคุณแดงๆ กลัวจะเป็นลม”

“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อยนะคุณ”

“ผมก็แค่ห่วงต่างหาก”

ว่าเช่นนั้นแล้วผ้าเช็ดหน้าที่ถูกแตะบนหน้าของอาทิตย์อัสดงเบาๆ เพื่อซับหยดน้ำที่กระจัดกระจายอยู่จนทั่วก็ถูกจับมาแตะลงบนหน้าของภันวัฒน์แทน

หลังจากเช็ดเหงื่อตนเองแล้ว ภันวัฒน์ก็เอ่ยชวน ‘เราไปกันเถอะ ถึงเวลาต้องไปซื้อของจริงๆ แล้วล่ะ’ ทั้งคู่ถึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง ไปซื้อวัตถุดิบสำหรับเค้กช็อกโกแลต ก่อนจะกลับไปที่ ‘ห้องนั่งเล่น’ ตามจุดประสงค์เดิม

ด้วยความชำนาญของเจ้าของร้านเบเกอรี่ ใช้เวลาเพียงไม่นานส่วนผสมต่างๆ ก็เข้าไปอยู่ในเตาอบแล้ว ภันวัฒน์ซึ่งล้างมืออยู่ที่อ่างตรงเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่จึงเงยหน้าเอ่ยปากเสนอ

“ระหว่างรอ ผมทำขนมให้คุณกินดีกว่า”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมสั่งเอาจากในร้านก็ได้”

เพราะอย่างไรก็เป็นร้านขายขนมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ร่างสูงจะต้องเหนื่อยทำขนมอื่นๆ เป็นพิเศษอีก ยังมีขนมอีกหลายอย่างที่เขาไม่เคยกิน และอีกอย่างจะได้เป็นการอุดหนุนภันวัฒน์ไปในตัวด้วย

ทว่าภันวัฒน์ดื้อดึงกว่านั้น

“แต่ผมอยากทำให้คุณกินเป็นพิเศษนี่นา ระหว่างช็อกโกแลตลาวากับซูเฟล่ช็อกโกแลต คุณว่าอันไหนดี”

คำตอบของเขาทำให้อาทิตย์อัสดงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลบาร์เช่นเดียวกับคราวก่อนลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

บริการดีเหมือนเคย

“เอาเป็นซูเฟล่ก็ได้ครับ”

ด้วยรู้ดีว่าต่อให้ปฏิเสธก็คงถูกตอแยจนสุดท้ายพ่ายแพ้อยู่ดี ร่างโปร่งจึงตอบไปเช่นนั้น แต่การที่ต้องทำขนมเพิ่มอีกอย่างแทนที่จะทำให้ปาติซิเย่หนุ่มรู้สึกเหนื่อย กลับกลายเป็นยิ้มกว้างแทน

“ทำไมต้องยิ้มถึงขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”

รอยยิ้มที่กว้างมากและดูราวกับผู้ที่ยิ้มอยู่กำลังสดชื่นเบิกบานทำให้อาทิตย์อัสดงอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่เขาไม่เห็นว่าจะมีเรื่องน่ายินดีหรือเรื่องดีๆ ให้น่ายิ้มตรงไหน

“ก็ผมมีความสุขนี่ครับ ได้ทำขนมให้คุณกิน แล้วคุณก็มีความสุขที่จะได้กินขนมของผมด้วย ใช่ไหมล่ะครับ”

ประโยคคำถามนี้ทำให้คนฟังคิดตามไปเล็กน้อย แม้จะยังไม่ได้ชิมรสชาติขนมที่อีกฝ่ายกำลังจะทำ แต่เมื่อมาลองคิดดูแล้วก็คาดว่าตนเองคงจะมีความสุขเป็นแน่

แน่นอนว่าเขามีความสุขเพราะการกินขนม

และจากที่เคยมีประสบการณ์ในการกินขนมฝีมือของภันวัฒน์มาก่อนก็การันตีได้ว่ามันต้องอร่อย

แต่ดูเหมือนจะมีเหุตผลมากกว่านั้น...เหตุที่ทำให้เขามีความสุขกว่าลูกค้าทั่วไปของร้าน

นั่นก็คือ ขนมชิ้นนี้ตั้งใจทำเพื่อเขาโดยเฉพาะ และเป็นขนมจากคนที่เขา...รัก

แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ใช่ว่าปากจะพูดออกไปอย่างเดียวกันได้ อาทิตย์อัสดงแขวะเบาๆ กลับไป

“ครับ แต่คุณนี่เข้าข้างตัวเองน่าดูเลยนะครับว่ามันต้องอร่อยจนผมมีความสุข”

แต่ภันวัฒน์ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน เขาเตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับเตรียมซูเฟล่ช็อกโกแลตพร้อมกับเอ่ยตอบไปด้วย

“จะว่ามั่นใจก็มั่นใจอยู่นะ แต่อีกเหตุผลก็คือคุณชอบของหวาน เพราะฉะนั้นถ้าได้กินย่อมต้องมีความสุขอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“มันก็ใช่”

ไม่มีเหตุให้ปฏิเสธและไม่มีเหตุให้ปิดบัง ร่างโปร่งจึงยอมรับโดยดุษณี แต่เสียงของภันวัฒน์ไม่ได้หยุดแค่นั้น

“แล้วที่สำคัญแฟนของคุณเป็นคนทำให้คุณกินด้วยไง”








อ่านต่อข้างล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย [21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-10-2016 22:36:48

ต่อจากข้างบน


v



v


จะเรียกจุกก็ว่า อาทิตย์อัสดงรู้สึกตาแข็งค้างไปชั่วขณะที่ถูกโจมตีตรงจุดแบบไม่เหลื่อมตำแหน่งแม้แต่น้อย เมื่อภันวัฒน์ได้เห็นอาการนั้นจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเริ่มลงมือทำขนมด้วยอารมณ์สำราญ

ประมาณยี่สิบนาทีขนมสีน้ำตาลเนื้อนุ่มเด้งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ มิหนำซ้ำยังมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าปกติเล็กน้อยหลังจากที่ใช้ช้อนตัดมันลงไป

มีซอสช็อกโกแลตไหลออกมาด้วย

“ผมเติมลงไปเป็นพิเศษเพื่อคุณเลยนะ” เห็นสีหน้าแปลกประหลาดใจแล้ว ภันวัฒน์ที่นำขนมมาเสิร์ฟถึงที่ก็ผลิยิ้ม จากนั้นเอ่ยต่อ “เพราะฉะนั้นถ้าใจดีก็ช่วยป้อนผมสักคำนะครับ”

“ทำดีหวังผลเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงถามกลับขณะนำช้อนที่มีขนมสีน้ำตาลเข้าปาก พร้อมกับหรี่ตามองชายสวมผ้ากันเปื้อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปด้วย

“ในเมื่อผลที่หว่านเอาไว้สุกงอมแล้วก็ต้องเก็บเกี่ยวไม่ใช่เหรอครับ จะปล่อยให้ร่วงจากต้นแห้งเหี่ยวคาพื้นได้ยังไง จริงไหมครับ”

คารมคมคายไม่เพียงชัดเจนออกมาทางคำพูด แต่ยังฉายชัดบนดวงตาของคนพูดอีกต่างหาก

มีวาทศิลป์เป็นเลิศจริงๆ

อาทิตย์อัสดงรู้สึกยอมแพ้ เขาใช้ช้อนในมือตักขนมขึ้นมาขนาดพอดีคำก่อนจะยกขึ้นไปใกล้ใบหน้าของภันวัฒน์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงค้อมตัวลงมาเล็กน้อย ลิ้มรสขนมชิ้นพิเศษที่เกิดขึ้นด้วยมือของตนเอง

“จะว่าไป” เขาเกริ่นเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนยกนิ้วขึ้นปาดขอบปากเพื่อทำความสะอาดส่วนที่อาจจะเลอะ “คุณจะกลับไปเปิดบล็อกอีกครั้งหรือเปล่าครับ”

คำถามนั้นทำให้คนฟังนิ่งค้างอยู่เล็กน้อย ร่างโปร่งหลุบตาลงครุ่นคิดกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง

“คงไม่ล่ะครับ”

“ถึงจะแน่ใจได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่มายุ่งเกี่ยวกับคุณแล้วน่ะเหรอครับ”

“ครับ”

ศีรษะที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าผงกเบาๆ ทำให้ภันวัฒน์ตรองคิดเล็กน้อยว่ามันดีแล้วแน่หรือ

“แน่ใจนะครับ จะไม่เสียใจเหรอ”

“เอาจริงๆ มันก็เป็นแค่งานอดิเรกอย่างหนึ่งของผมเท่านั้น ก็เหมือนพอร์ตสะสมหลักฐานว่าผมกินขนมที่ร้านไหนมาบ้าง และแต่ละชิ้นมีรสชาติเป็นยังไงเท่านั้นเอง มีคนมาคอมเมนต์สอบถามผมก็ดีใจ แต่จุดเริ่มต้นมันก็มีแค่เหตุผลนั้น”

ได้ฟังแล้วภันวัฒน์ก็ผงกศีรษะตาม แต่ถึงกระนั้นก็เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายมีความรู้สึกไม่ดีติดค้างอยู่ในใจจึงกล่าวเสริมเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์

“แต่อย่างนั้นก็ดีเหมือนกันนะครับ”

“ดียังไงครับ”

หัวคิ้วของอดีตบล็อกเกอร์ขมวดเข้าหากันน้อยๆ อย่างสงสัย

“ก็ในเมื่อคุณไม่ต้องรีวิวขนมของที่อื่นแล้ว คุณก็มาเป็นนักรีวิวประจำตัวผมได้ไง”

“นักรีวิวอะไรกันครับ แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะทำ”

“แต่เวลาผมทำขนมใหม่ๆ ผมอยากให้คุณลองชิมเป็นคนแรกดูนะ คุณเองก็เก่งออกไม่ใช่เหรอ ถึงชี้จุดบกพร่องในขนมของผมได้”

ว่าพลางนิ้วชี้ของภันวัฒน์ก็แตะลงบนปลายจมูกของคนที่ตนเองเอ่ยชื่นชมเบาๆ ราวกับหยอกล้อเด็กเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่ผิดนัก เพราะอาทิตย์อัสดงทำให้เขาเอ็นดูและมันเขี้ยวไปได้พร้อมๆ กัน

“คุณไม่อยากลองชิมขนมของผมคนแรกเหรอ ไม่อยากรู้เหรอว่ามันอร่อยหรือมีรสชาติยังไง”

สิ้นคำพูดนั้นแล้ว ความเงียบก็เกิดขึ้นอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อาทิตย์อัสดงทำหน้าคิดไม่ตก แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงออกมา

“ก็ได้ครับ”

เพราะแม้คำพูดของภันวัฒน์จะคล้ายกับว่ากำลังหลอกล่อให้ตกหลุมพราง แต่มันก็ยั่วยวนให้ยากจะปฏิเสธ และด้วยเหตุนั้นร่างสูงจึงระบายยิ้มออกมากว้างอย่างถูกใจ ย้ำอีกประโยค

“ถ้าช่วยชิมไปตลอดชีวิตได้ก็ยิ่งดีนะครับ”

ราวกับคำสัญญาสักอย่าง อาทิตย์อัสดงไม่ตอบ แต่ภันวัฒน์ก็ไม่ไล่เบี้ยเร่งเร้าเอาคำตอบ เพราะรู้ว่าภายในใจของอีกฝ่ายคงรู้สึกอย่างเดียวกัน เขาจึงกลับไปจัดการกับครัวที่ใช้งานระหว่างรอให้เค้กอบเสร็จ จนเมื่อเตาอบส่งเสียงสัญญาณแล้วถึงเรียกอาทิตย์อัสดงให้มาร่วมกันแต่งหน้า จากนั้นนำเค้กช็อกโกแลตไปแช่ตู้เย็นอีกครึ่งชั่วโมงแล้วจึงค่อยนำมันบรรจุลงกล่องที่มีน้ำแข็งแห้ง สุดท้ายก็ถึงเวลาออกเดินทาง

การเดินทางมีลักษณะเช่นเดียวกับคราวก่อน อาทิตย์อัสดงวางกล่องเค้กบนตักของตนเอง แต่คราวนี้ผิดไปอย่างหนึ่ง เพราะเขาไม่ต้องนั่งตัวเกร็งอีกแล้ว กระทั่งถึงที่หมาย รถยนต์สีเทาดำหยุดลงที่หน้าบ้านของผู้เป็นพี่สาว ร่างโปร่งจึงเอ่ยลา

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง ส่วนค่าเค้ก...”

“อย่าให้ผมพูดประโยคเดิมเลยนะ”

ยังเอ่ยไม่ทันจบ ภันวัฒน์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน แม้คำพูดจะดูเหมือนเจ้าตัวรำคาญที่จะพูดซ้ำ แต่สีหน้าและน้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจึงเลือกที่จะไม่ขัด

“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ขณะกำลังจะเปิดประตู เสียงทุ้มพร้อมกับมือหนาดึงแขนเอาไว้เสียก่อน ร่างโปร่งจึงหันกลับไปทางด้านหลังด้วยความฉงนสงสัย

“คุณลืมอีกเรื่องหนึ่งไปหรือเปล่า”

“ลืมอะไรครับ”

“ก็โทรศัพท์ไง โทรศัพท์ คุณยังไม่ได้ปลดบล็อกเบอร์ผมเลยนี่นา”

“อ๋อ” เมื่อถูกทักเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงก็คิดได้ จึงคลี่ยิ้มเล็กน้อย “เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะครับ”

“ต้องรอถึงขนาดนั้นเชียว”

“ก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนนี่ครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ภันวัฒน์ก็แสร้งทำหน้าห่อเหี่ยวเล็กน้อย ขณะที่อาทิตย์อัสดงผุดยิ้มจาง จากนั้นโน้มตัวเข้าหา แตะริมฝีปากของตนลงเบาๆ บนแก้มของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ

เพียงครู่เดียวก็ถอยตัวกลับมา ระบายยิ้มให้อีกรอบหนึ่งก่อนจะล่ำลาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับเค้ก แล้วเจอกันใหม่”

การกระทำที่ไม่คาดฝันของอาทิตย์อัสดงทำให้ภันวัฒน์ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ มองรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นด้วยความรู้สึกเลื่อนลอยนิดๆ กระทั่งร่างโปร่งเข้าบ้านไปแล้วถึงได้ยกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกฉวยโอกาสเบาๆ

รอยยิ้มผุดขึ้นมาจากกรอบหน้าคมคร้ามอย่างหยุดไม่อยู่ เสียงหัวใจไหวตึกๆ ดังสะท้อนอยู่ในอก รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกต่อเขาอย่างตรงไปตรงมาพลางนึกถึงคำพูดเมื่อครู่

‘ก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนนี่ครับ’

ไม่ต้องรีบ... ไม่ต้องรีบร้อนหรอก

ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปทีละนิดก็พอแล้ว

ใช่ไหมครับ คุณบล็อกเกอร์ที่บล็อกเก้อ






----------------------------
ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายแล้วค่ะ
เรื่องนี้จะจบจริงๆ แล้ว

ตอนคิดเนื้อหาตอนนี้ คิดอยู่ว่าควรจะจบที่ตอนที่แล้วหรือเปล่า แล้วให้ตอนนี้เป็นตอนพิเศษ
แต่สุดท้ายก็คิดว่าน่าจะมีตอนชิลๆ สักหนึ่งตอนก่อนจบดีกว่า มันก็เลยออกมาเป็นตอนที่ 32 ค่ะ

ตอนนี้ยังเปิดสำรวจคนที่สนใจหนังสือเรื่องนี้อยู่นะคะ ไปตอบที่เฟซบุ๊กได้ค่ะ
เพราะถ้ามีการเปิดจอง เราก็จะไปแจ้งไว้ที่โพสต์นั้นด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

ป.ล.1 ขอบคุณที่ทักเรื่องร่างสูงร่างโปร่งนะคะ
ไม่ทันสังเกตว่าตอนที่แล้วมันเยอะผิดปกติ
แอบแก้ไปแล้วค่ะ

ป.ล.2 ขอรบกวนถามคนอ่านเรื่องนี้กันสักหนึ่งเรื่องนะคะ
"ทำไมถึงได้เข้ามาเรื่องนี้กันเหรอคะ อะไรดลใจให้คลิกเข้ามา?"
นี่เป็นเรื่องที่เราสงสัยและอยากรู้มานานแล้ว
จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ค่ะ ตามสะดวกเลย

แล้วไว้เจอกันอีกทีในบทส่งท้ายนะคะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย [21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 22-10-2016 14:19:49
หวานกว่าตอนที่แล้วอีกค่ะ คือฟ้าหลังนนี่มันจะสดใสไปแล้วรึเปล่าคะ 55555 เราไม่ได้หมั่นไส้คุณภันแล้วล่ะค่ะ ดีใจด้วยที่คุณอาทิตย์ก็มีความสุขได้จริงๆแล้ว เฮ้ออออ ดีแล้วที่เป็นคุณภันนะคะ ยิ่งอ่านนี่คือยิ่งรู้สึกว่าคุณภันเป็นคนดีจริงๆนะคะ ตัดเรื่องฐานออกไปก่อน อันนั้นมันแก้อะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถือว่าทำตัวเอง แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เราก็โอเค คิดไปคิดมามันก็ดีนะคะ เพราะคุณภันเป็นคนแบบนี้ไง สุดท้ายคุณอาทิตย์ถึงยอมเปิดใจให้ ยอมแล้วค่ะ คุณภันเป็นพระเอกจริงๆแหละ ออร่านี่แผ่กระจายมาก ส่วนคุณอาทิตย์ จากตอนแรกจนถึงตอนนี้เราชอบคุณอาทิตย์มากเลยนะคะ หรือเราชอบคนมีปม? เอ่อ... คุณอาทิตย์เป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่าแข็งนอกอ่อนใน ยิ่งพยายามทำเมือนเข้มแข็งยิ่งทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วข้างในอ่อนแอแค่ไหน แต่พอมาหลังจากที่คุณภันเข้ามาคุณอาทิตย์ก็ดูสดใสขึ้นนะคะ เหมือนได้รับพลังงานมา ฮื้ออออ สรุปแล้วเรื่องนี้น่ารักมากจริงๆแหละค่ะ ไม่หวือหวามากแต่ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้เราก็ชอบค่ะ สบายใจดี แต่เราก็ยังรู้สึกไม่พอนะคะ ในเล่มถ้าไม่รบกวนมากเกินไป ขอตอนพิเศษหลายๆตอนได้ไหมคะ 5555555 ส่วนตอนแรกที่เข้ามาอ่าน น่าจะชื่อเรื่องนะคะ ถ้าจำไม่ผิดเราคิดว่าตอนนั้นเราเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง จริงๆเราก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรหรอกค่ะ แค่เห็นผ่านตามาก็เลยกดเข้ามาอ่าน แต่พอเข้ามาอ่านก็มาเจอกับของกิน... หิวเลยค่ะ กรี๊ดดดด แต่ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกเราจะหยุดอ่านไปช่วงนึงตอนแรกๆเพราะไม่ได้เข้าเล้าเลยอ่ะค่ะ พอมาตามอีกทีทีนี้ก็ยาวเลย 55555 ยิ่งอ่านเราก็ยิ่งรักคุณอาทิตย์อ่ะค่ะ เราชอบสไตล์การเขียนของคุณนักเขียนด้วยนะคะ มันดูมีเอกลักษณ์ดีอ่ะค่ะ แล้วแบบ... ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเพราะเราชอบแนวเรื่องแบบนี้มั้งคะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เขียนเรื่ืองนี้ขึ้นมา เรามีความสุขและหิวมากจริงๆ นี่ถ้าได้แฟนเป็นคนทำขนมบ้างก็ดีน้า // ตื่นๆ 555555 จากนี้บล็อกของคุณอาทิตย์ก็จะเขียนแต่ว่า อันไหนต้องปรับปรุง อันไหนอร่อยแล้ว เขียนให้คุณภันอ่านคนเดียว โอ๊ยยย เขินน  :o8:

ปล. เราเจอคำผิดคำนึงนะคะ

พอหนังท้องตึง หน้าตาชักหย่อนเลยนะเนี่ย   >> อันหลังน่าจะเป็นหนังตานะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย [21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-10-2016 20:34:13
อิ่มอกอิ่มใจ

เก็บเล็กเก็บน้อยไปนะคุณฮัก เดี๋ยวก็ได้ทั้งตัวทั้งใจเองแหละ

ปล. ฉันเข้ามาอ่านเพราะชื่อนักเขียนและชื่อเรื่องค่ะ ชอบวิธีสะกดชื่อของคุณ

พออ่านตอนแรกก็ติดหนึบเลย ชอบสำนวน ชอบภาษาสละสลวย ชอบความมึนของฮัก ชอบที่คำผิดน้อยมาก ชอบปมหม่น ๆ ของฟรี ชอบที่ฮักไม่ยอมแพ้ ชอบทุกอย่างเลย

ขอบคุณที่เขียนนิยายน้ำดีมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย [21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Onlylyn ที่ 24-10-2016 18:05:46
เพิ่งได้มาตามอ่านเพราะเพื่อนแนะนำมาค่ะ
หาอ่านแล้วฟีลกู๊ด อ่านแล้วเขินตัวบิดมาหลายวัน ลองอ่านไปหลายเรื่องก็ไม่รอด เลยมาลองอ่านเรื่องนี้
ไม่ผิดหวังเลยค่ะ ชอบมากกกกกกกกกกๆๆๆ
ชอบภาษาที่นักเขียนใช้บรรยายมากค่ะ ภาษาสวยมาก อ่านแล้วสมูท ลื่นไหล อ่านแล้วไม่รู้สึกตะหงิดๆเหมือนบางเรื่อง
อ่านรวดเดียวเลย แต่ยังรู้สึกไม่อิ่ม อยากอ่านอีกเยอะๆ o13 :katai2-1:
ชอบคาเรคเตอร์ตัวละครค่ะ เอาใจช่วยทั้งพี่ฮัก ที่ทั้งหน้าด้าน หน้ามึน มือไว ปากหวานมาก  เจ้าคารมเป็นที่หนึ่ง นี่สงสัยว่าน้ำลายจะหวานตามรึเปล่า เอร้ยยย  ชอบเวลาพระเอกตะล่อมคนรอบตัว คือเราอ่านยังเอนเอียงตามเลย 5555 เอาใจช่วยฟรีด้วย ให้เปิดใจได้สักที แฟนเก่าคบกันมาตั้งแต่ปีสามยังทำแบบนั้นได้ลงคอ ไม่แปลกใจเลยที่ฟรีจะฝังใจแล้วปิดกันตัวเอง
อยากให้มีฉากหวานๆที่ทั้งคู่หวานกันมากกว่านี้ค่ะ นี่ทั้งเรื่องพี่ฮักหลายน้ำอ้อยคว่ำอยู่ฝ่ายเดียว อยากเห็นฟรีเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง ให้พี่ฮักอายม้วนทั้งตอน อยากอ่านตอนทั้งคู่พูดคุยกันแบบสบายๆกว่านี้ แบบว่าแทนตัวด้วยชื่อเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเล่นไรงี้อ่ะค่ะ
โอ้ยยยย ยาววว 5555
รอบทส่งท้ายค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || 32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย [21/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 25-10-2016 22:43:40
เป็นช่วงเวลาที่น่ารักจริงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 30-10-2016 21:59:02
E p i l o g u e






ร่างใต้ผ้าห่มค่อยๆ พลิกตัวทีละนิดก่อนดวงตาที่ปิดอยู่จะเปิดขึ้นช้าๆ แสงสว่างซึ่งลอดผ่านผ้าม่านบางเบาเข้ามาทำให้ห้องที่เคยมืดมิดสว่างเลือนรางด้วยแสงที่นุ่มนวล

สิ่งแรกที่ได้เห็นหลังเปิดเปลือกตาขึ้น คือภาพของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนอนเคียงกันมาตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อพิศมองเสี้ยวหน้าสีน้ำผึ้ง แนวกรามได้รูปแข็งแกร่ง และนัยน์ตาสีนิลที่ยังถูกปิดอยู่ รอยยิ้มบางเบาก็ผุดจับดวงหน้าขาวสะอ้าน

อาทิตย์อัสดงยิ้มกับตนเองด้วยความรู้สึกสุขล้นในใจ เขาห่างเหินจากความรู้สึกเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ในระยะห้าเดือนมานี้ เขากลับมีความรู้สึกดีๆ แบบนี้ต้อนรับทุกเมื่อเชื่อวัน

วันไหนหากไม่มีคนข้างกายนอนอยู่ด้วย ก็จะได้รับข้อความอรุณสวัสดิ์ส่งมาให้เสมอเมื่ออีกฝ่ายตื่น แต่หากวันไหนที่ได้อยู่เคียงคู่กันบนเตียงอุ่นในห้องเย็นสบาย เขาก็จะได้จดจ้องใบหน้าของคนหลับแล้วซึมซับช่วงเวลาแสนสุขอย่างเต็มที่โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

เป็นช่วงเวลาแห่งความลับของเขาที่อยากจะเก็บเกี่ยวเอาไว้คนเดียว

และยิ่งนึกถึงสารพัดสารพันที่อีกฝ่ายทำให้ ก็ยิ่งทำให้เขาอิ่มเอมมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

ภันวัฒน์เป็นคนช่างเอาใจใส่ ใส่ใจเขาก่อนตัวเองเสมอ บางครั้งก็ชอบออดอ้อน เรียกร้องเหมือนเด็กจนเขาอ่อนใจ แต่บางคราวก็หนักแน่นจริงจัง จนเขาได้แต่ยอมศิโรราบโดยไม่อาจขัดขืน ทว่าไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อีกฝ่ายก็ทำให้เขาตกหลุมพรางที่ถูกขุดไว้มากขึ้น

ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะขุดมันให้ลึกเสียจนเขาไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้หรืออย่างไร

แต่ตราบเท่าที่ภันวัฒน์ยังต้องการเขาอยู่ เขายินดีที่จะตกลงไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ

อยากจะอยู่แบบนี้ให้นานที่สุด

รวมถึง...อยากถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนี้ด้วย

เขาไม่เคยมีประสบการณ์ถูกกักร่างไว้ใต้คนเพศเดียวกัน ไม่เคยนึกพิศวาสหรือมีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย แต่กับภันวัฒน์แล้ว มันกลับเอ่อล้นออกมาจนรู้สึกปรารถนาเองในบางครั้งเสียด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่ถูกกอดรัด เขากลายเป็นดั่งเนยแข็งที่ต้องไอร้อนจนหลอมละลาย

ทุกคราวที่ความอุ่นซ่านเหยียบย่างเข้ามาในกาย ทุกจังหวะที่อีกฝ่ายกดย้ำส่งผ่านรสสัมผัสที่หอมหวาน รุ่มร้อน และรุกเร้า ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่รู้สึกอิ่มเอมและเป็นสุข

เขาคงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเหล่านี้แม้แต่ครั้งเดียวหากไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้

อาทิตย์อัสดงยกยิ้มสูงกว่าเดิมเมื่อนึกถึงสัมผัสร้อนที่โลมเล้าไปทั่วร่างในค่ำคืนที่ผ่านมา ก่อนจะลุกจากที่นอนเพื่อเข้าไปชำระล้างร่างกาย เมื่อเดินผ่านกระจกในห้องน้ำ ก็แวะมองภาพสะท้อนของรอยตีตราบนร่างขาวกระจ่างจนแทบซีด

ภันวัฒน์ชอบทิ้งรอยของตัวเองเอาไว้ตรงบ่าของเขา

‘จริงๆ ผมอยากทำตรงต้นคอด้วยซ้ำ เห็นคอขาวๆ ของคุณแล้วมันมันเขี้ยว แต่กลัวว่าคุณไปทำงานแล้วคนอื่นจะเห็น เลยต้องซ่อนไว้สักหน่อย’

อีกฝ่ายตอบมาเช่นนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจตอนเขาเห็นรอยแดงจ้ำที่บ่าตัวเองเป็นครั้งแรก

‘แล้วทำไมต้องทำรอยไว้ด้วยล่ะครับ’

‘ก็ผมอดใจไม่อยู่นี่นา บอกแล้วว่าคุณน่ารักจนผมอยากฟัด’

ไม่เพียงแค่ตอบคำถาม เจ้าตัวยังฉวยร่างเขาไปกอดแล้วซุกหน้าเข้ากับซอกคอ สูดลมหายใจลึกแรง ราวกับว่าจะใช้จมูกทำรอยแทนปากอย่างไรอย่างนั้น

ทั้งที่เขาไม่รู้เลยสักนิดว่า ‘น่ารัก’ ที่อีกฝ่ายว่ามันคืออะไร ในเมื่อเขาก็ทำตัวปกติไม่ต่างจากเดิม ไม่ได้ทำตัวอ่อนหวาน ออดอ้อนเป็นพิเศษ ยากจะจินตนการได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ภันวัฒน์ก็ยังยืนยันจนเขาอ่อนใจจะเถียง

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

เมื่อออกมาจากห้องน้ำ คนที่เคยนอนอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นมาแล้ว ภันวัฒน์ลงมายืนประจันหน้ากันในสภาพเดียวกับแรกเกิดอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นเคย จากนั้นโน้มตัวเล็กน้อยแล้วใช้ปากฉกที่ริมฝีปากของอาทิตย์อัสดงอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยววันนี้ผมจะสอนคุณทำขนมนะ”

หลังจากบอกเช่นนั้นแล้ว เจ้าตัวก็ตวัดผ้าเช็ดตัวซึ่งผึ่งไว้กับราวตากผ้าในห้องก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

อาทิตย์อัสดงจัดแจงเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ด้วยความคุ้นเคยกับสถานที่บ้างแล้ว เพราะปกติจะเป็นภันวัฒน์เสียมากกว่าที่ไปค้างบ้านของเขา นานๆ ครั้งเขาถึงเป็นฝ่ายมานอนค้างที่นี่

เมื่อภันวัฒน์ออกมาจากห้องน้ำ อาหารเช้าแสนง่ายก็เสร็จเรียบร้อยและตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารพอดี ทั้งคู่จึงเริ่มรับประทานอาหารควบคู่กับการพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งจบมื้อก็เป็นฝ่ายเจ้าของห้องจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำขนมบ้าง

“ไม่ใช้เครื่องตีแป้งเหรอครับ ผมเห็นใครๆ ก็ใช้กัน”

หลังจากเห็นอุปกรณ์ต่างๆ บนเคาน์เตอร์ครัวขนาดใหญ่ที่เจ้าของคงต่อเติมเองในภายหลัง ร่างโปร่งก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“ถ้าไม่ได้ต้องการขนมที่เนื้อละเอียดมาก ผมชอบตีเองมากกว่าน่ะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าขนม ถ้าทำด้วยมือ ใส่ความตั้งใจของตัวเองลงไป มันจะเป็นการแสดงความใส่ใจต่อคนกินอย่างหนึ่ง มันมีความอบอุ่นอยู่ในตัวของมัน ถ้าใช้เครื่องตี มันเหมือนรสชาติกลวงๆ ไม่มีความรู้สึกของคนทำแอบแฝงอยู่”

เป็นอีกครั้งที่แนวความคิดของผู้ชายคนนี้สร้างความประทับใจต่ออาทิตย์อัสดง จนก่อให้เกิดความรู้สึกชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รอยยิ้มผุดขึ้นน้อยๆ บนแก้มขาวของหน้าตี๋ นำพาให้รอยยิ้มถูกยกขึ้นมาทาบทับลงบนใบหน้าคมคร้ามด้วย

“เวลากิน คุณก็รู้สึกได้ใช่ไหมล่ะ”

คำถามพร้อมรอยขยิบตานิดๆ นั้นทำให้รอยยิ้มของคนฟังแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ

จากนั้นอุปกรณ์อย่างหนึ่งก็ถูกยื่นให้ อาทิตย์อัสดงรับที่ร่อนแป้งจากมือใหญ่มา แล้วจับจ้องมือหนาซึ่งเทแป้งจากถุงลงไปจำนวนหนึ่ง แล้วใช้มือช่วยเกลี่ยแป้งให้กระจายบนตะข่ายร่อนอย่างทั่วถึง

“ร่อนซ้ำสองครั้งนะครับ เนื้อจะได้เนียนหน่อย ปริมาณสักขนาดนี้”

หลังจากบอกเช่นนั้นพร้อมเอานิ้วแตะอ่างสแตนเลสเพื่อบอกปริมาณไปด้วย ภันวัฒน์ก็วางถุงแป้งลงข้างๆ ก่อนจะไปจัดการต่อยไข่แล้วแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกันลงในถ้วย จากนั้นตีไข่ขาวให้เป็นเนื้อครีมฟู ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ของในมือจนกระทั่งเสร็จจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทว่าเมื่อหันไปมองคนข้างๆ แล้วก็ต้องเอ่ยทักด้วยสีหน้าขบขันอย่างยิ่ง

“นี่ร่อนแป้งหรือไปตกถังแป้งมากันครับ”

“ก็คนไม่เคยทำนี่ครับ”

อาทิตย์อัสดงแก้ตัวด้วยหน้ายุ่ง พยายามยกไหล่เพื่อเช็ดหน้าของตัวเองไปด้วย เพราะว่ามือเลอะแป้งสีขาว เช่นเดียวกับที่มันฟุ้งขึ้นมาจนเปรอะใบหน้า แม้กระนั้นก็ยังเช็ดได้ไม่หมดอยู่ดี

ถ้าเขาไม่ร่อนแป้งไป ก้มลงส่องแป้งที่ถูกร่อนไปเพื่อดูปริมาณ หน้าก็คงไม่เลอะแบบนี้

“ที่หน้าผากก็มีอีก”

ภันวัฒน์บอกพลางยิ้ม นึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันเลอะไปถึงตรงนั้นได้ แต่แม้ร่างโปร่งจะพยายามเช็ดมันออกแล้วก็ไม่ถึงอยู่ดี

“มือผมก็เลอะไข่เหมือนกัน แต่อกผมว่าง เอาหน้าคุณมาเช็ดกับอกผมก็ได้นะ”

ไม่บอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังยื่นอกแน่นๆ ให้อีกต่างหาก ทำให้แทนที่อาทิตย์อัสดงจะยิ้มตอบรับความปรารถนาดี กลับกลายเป็นพ่นหัวเราะออกมาอย่างอดขำไม่อยู่ จนน้ำลายกระจายเต็มหน้าคนเสนอตัวด้วยความยินดี

“โธ่ ผมกะจะโรแมนติกสักหน่อย คุณนี่”

ภันวัฒน์ทำหน้าเบ้บอก จากนั้นเป็นฝ่ายย่อตัวลงเอง แล้วเอาหน้าไปซุกกับอกเรียบๆ ของร่างโปร่ง ถูหน้าลงบนอกนั้นแทน แต่ถูไปได้ไม่เท่าไร มือที่เจ้าตัวอ้างว่าเลอะทั้งที่ไม่ได้เลอะก็ตวัดมาโอบเอวของอาทิตย์อัสดงเข้าแล้ว

“ไหนคุณบอกว่ามือเลอะไง”

“เลอะไงครับ แต่ช่างมันแล้ว”

หลังจากตอบอย่างนั้น ใบหน้าที่แนบอยู่กับอกก็ย้ายขึ้นไปด้านบนอีกหน่อย เป็นซุกเข้ากับซอกคอ ตามด้วยซุกไซ้ให้ผมทิ่มต่ำผิวเนื้อของอีกคน ส่วนสองแขนก็โอบรัดเอวแน่นขึ้นอีก จนอาทิตย์อัสดงต้องบิดตัวหนี

“นี่คุณ ผมจักจี้”

แม้จะเอ่ยเรียกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าภันวัฒน์จะไม่ลดละการกระทำ เพราะยังคงขะมักเขม้นกับการซุกไซ้ มิหนำซ้ำยังเพิ่มเติมด้วยการขบเม้มเบาๆ บนต้นคอไปเรื่อย ทำให้อาทิตย์อัสดงต้องตัวบิดมากกว่าเดิม

“คุณ! คุณฮัก ไหนว่าจะทำขนม เดี๋ยวก็ไม่เสร็จหรอก”

“ขนมน่ะ เดี๋ยวไว้ค่อยทำให้เสร็จก็ได้ แต่ผมเนี่ย อยากเสร็จตอนนี้แล้วล่ะ”

เจ้าตัวยอมผละหน้าออกมาจนได้ แต่ประโยคที่ตอบกลับมาพร้อมกับประกายไหววูบที่ส่อแววบางอย่างจากดวงตาสีดำขลับก็ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกสะท้าน เข้าใจความหมายได้อย่างแจ่มแจ้ง เขาพยายามดันตัวออก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสะท้านสะเทือนอีกฝ่ายที่ตัวใหญ่กว่าสักเท่าไร

ภันวัฒน์รวบเอวสอบในวงแขนของตนเอาไว้พลางขยับเท้า ค่อยๆ นำอีกร่างหนึ่งออกห่างเคาน์เตอร์ไปเรื่อยๆ เพื่อมุ่งสู่ห้องนอน นอกจากนั้นยังจรดริมฝีปากลงบนแก้มและปากของคนที่ตัวเองกอดอยู่เป็นระยะๆ ด้วยสีหน้าระรื่นอีกต่างหาก สุดท้ายอาทิตย์อัสดงจึงได้แต่อ่อนใจ ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เขารู้ รู้ดีที่สุด

ต่อให้พยายามขัดขืนสักเท่าไร กั้นขวางสักแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็พร้อมจะทุบทำลายทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเขาอยู่ดี

แบบนี้ก็คงมีแต่ต้อง...ยอมล่ะนะ






-------------------------
จบแล้วค่ะ ถ้านับจากวันแรกที่ลงเรื่องนี้ก็เกือบปีทีเดียว
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่านกันมา
ขออภัยด้วยค่ะที่ไม่มีฉากวาบหวิวมาเซอร์วิสเลย
ดูเป็นนิยายสีขาวไปซะแล้ว

สำหรับเรื่องพร่างฟ้าที่ยังไม่ได้เจอกับคุณอาทิตย์
ส่วนนั้นจะอยู่ในตอนพิเศษ (ที่เราจะเอาลงในเล่ม) อย่างที่เคยบอกไว้นะคะ
เรื่องบนเตียงของทั้งคู่ก็จะอยู่ในตอนพิเศษ (ที่เราจะเอาลงในเล่ม) เหมือนกันค่ะ
คราวนี้ตัดสินใจว่ามีตอนพิเศษแค่ 2 ตอน (แต่ยาวเทียบเท่า 10+ ตอนธรรมดา) ค่ะ
เพราะฉะนั้นก็เลยจะไม่ได้เอาตอนพิเศษมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอโทษด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับคำตอบของตอนที่แล้วนะคะ
แล้วก็ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านใหม่และคนที่ชักชวนเพื่อนให้มาอ่านด้วยค่ะ

หลังจากนี้อาจจะหายไปแต่งตอนพิเศษสักพัก
แล้วจะมาเปิดเรื่องใหม่หลังจากเคลียร์ทางนั้นเรียบร้อยแล้วนะคะ
คงจะเป็นเรื่องของฐานทัพค่ะ ใครสนใจเรื่องของน้องฐาน ก็ช่วยรอติดตามด้วยนะคะ

ส่วนเรื่องหนังสือ ถ้าได้จำนวนหน้าที่แน่นอนแล้ว (น่าจะธันวา?) จะมาแจ้งเรื่องเปิดจองอีกครั้งค่ะ
แต่ติดตามความคืบหน้าได้เรื่อยๆ ที่เฟซบุ๊กนะคะ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่นะคะ


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 30-10-2016 22:12:16
อบอุ่น กรุ่นไปด้วยไอรักและขนมจนจบ ของคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-10-2016 23:12:24
ปากว่ามือถึงเสมอต้นเสมอปลายนะฮัก

แต่ฟรีน่ารักขนาดนี้...ยอม

ปล. ถึงไม่มีฉากวาบหวิว ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าอ่านลดลงเลย
ความรู้สึกที่คุณถ่ายทอดออกมามันทำให้รู้สึกว่า ฮักกับฟรีรักกันด้วยใจ มากกว่าหวังแค่ความสนุกทางกาย

หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-10-2016 23:19:20
หวานส่งท้ายกันที่เดียว

ขอบคุณกะเรื่องราวแสนสนุกนะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 31-10-2016 06:40:41
น่ารักกันมาก ๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้มากค่ะ เป็นกำลังใจให้สร้างงานใหม่ ๆ ออกมาต่อเนื่องนะค๊ะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Janny ที่ 31-10-2016 08:33:18
โอ่ยยย หวานมากค่ะะะ หวานจนขนมยังอายเลยเนี่ย ฮือออออ คุณอาทิตย์คนบ้า ไหนว่ารักเค้า(?) 5555555555555555 แต่พอเขารักกันนี่ก็รักกันจริงๆนะคะ ยอมแล้วอ่ะ ต้องเป็นคุณภันนี่ล่ะค่ะ แต่จะว่าไปผู้ชายคนนี้นี่มีหลายด้านจริงๆนะคะ คุณอาทิตย์ดูเป็นคนเรียบๆเงียบๆปากร้ายใจดีขี้ใจอ่อนอะไรงี้ แต่คุณภันนี่คือหลากหลายมากอ่ะค่ะ แรกๆนี่กวนประสาทมาก แล้วก็กลายเป็นผู้ชายอบอุ่นไปซะงั้น โหยยย มาดนี้นี่หลงจริงๆค่ะ มาดพระเอก กรี๊ดดด พอมาตอนนี้นี่รู้สึกเหมือนเขาแต่งงานกันแล้วเลยนะคะ มีการมาอยู่ด้วยกัน แน่ะๆ อย่าบอกว่าแค่ค้างครั้งคราวนะคะ นี่คือสลับไปนอนบ้านกันทุกวัน ฮื้ออออออออ ดูเหมือนเขาจะรักกันมากขึ้นเรื่อยๆยังไงไม่รู้ค่ะ เราดีใจนะคะเนี่ย คุณอาทิตย์มีความสุขแล้ววว จะว่าไปนะคะ เรารู้สึกเหมือนคุณภันกำลังล่อลวงให้คุณอาทิตย์มาเป็นคนทำขนมที่ร้านตัวเองในที่สุดยังไงไม่รู้ค่ะ เริ่มผูกมัด แน่ะๆ เรารอเล่มนะคะ รออออออ ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยนะคะ กอดดด  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-10-2016 17:55:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-11-2016 15:45:54
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 26-11-2016 10:22:29
อ่านถึงตอนที่ 9 แล้ว เพิ่งเริ่มจะจีบ เพิ่งจะเริ่มน่าสนุก. ช่วงตอนแรกๆที่อ่านเหมือนจะยังไมจี๊ดแบบบอกไม่ถูกอ่ะ เด่วหาเวลามาอ่านต่อน้าาาา. 

ยังงงเรื่องของฐานอยู่ โผล่มายังไง มาจากไหน แค่เกริ่นว่าเป็นคนแรกของพระเอกแบบวันไนท์สแตน แต่ไม่ยอมสานต่อ แล้วจู่ๆก็โผล่มาร้องไห้ แล้วก็ตัดเข้าเรื่องหลักเลย. แต่อ่านต่อไปคงมีความกระจ่างหรอกเนอะ

เด่วมาอ่านต่อครับ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 03-01-2017 19:18:49
เปิดจองนิยาย 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」แล้วค่ะ
อ่านรายละเอียดการจองได้ที่  https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSceraUOOh3WR6PBij5whYPEpfUrZo_QPHHOnGa50YdQMaqtVw/viewform

(http://upic.me/i/x9/previewcover-blocker1.jpg)

(http://upic.me/i/x9/previewcover-blocker2.jpg)
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 04-01-2017 23:33:47
ชอบที่พระเอกตื๊อได้ตื๊อดีจริงๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 19-02-2017 21:39:20
อ่านจบแล้วค่ะ ยิงยาวเลย
เริ่มแรกสงสัยนี่พระเอกหรือโจร
ทั้งมือไวและชำนาญการบุกรุก
แต่อ่านไปเรื่อยๆชอบพระเอกค่ะ
ผู้ชายอะไรมึนจริงจัง แต่ใส่ใจสุดๆ

ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายสนุกๆ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-02-2017 21:33:30
อ่านจบแล้ว ขอบคุณไรท์เตอร์มากเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 26-02-2017 20:54:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: Fragrant ที่ 01-03-2017 09:24:03
ช่างเป็นพระเอกที่สมกับเป็นพระเอกจริงๆค่ะ น่ารัก ช่างเอาใจใส่ ดูแลกันไป มีความพยายามและมุ่งมั่นเป็นเลิศจริงๆ ต่อให้ใจแข็งแค่ไหนแต่ถ้าเจอแบบนี้เข้าไปเสร็จแน่นอน หนีไม่รอดเหมือนฟรีนี่แหละ  :hao7: ใช้ภาษาดีมากค่ะเรื่องนี้ บรรยายดี คำผิดมีบ้างแต่ไม่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่านค่ะ สรุปคือดีงาม จะติดตามผลงานคุณไปเรื่อยๆนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ) ▶▷ || เปิดจอง ||
เริ่มหัวข้อโดย: pprtoy ที่ 01-03-2017 13:46:11
อ่านจบแล้วค่ะ ยิงยาวเลย เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ ><
คุณฮักกับน้องฟรี กว่าจะได้รักกัน ดูมีอุปสรรคเสียเหลือเกิน น้องฟรีเองก็กลัวเรื่องในอดีต แต่ก็มีฮีโร่อย่างคุณฮักมาช่วยไว้ ทั้งที่ตอนแรกคุณฮักจู่โจมซะนึกว่าตัวร้าย สุดท้ายก็ลงเอยกัน
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ค่ะ อ่านเพลินเลย
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 02-11-2018 11:18:27
ทั้งเอาใจช่วยและแอบแช่งพระเอกไปพร้อมๆกัน 55555 หมั่นไส้นาง  :m20:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 02-11-2018 20:55:38
 :sad4: ชอบ. จีบกันยากๆแบบนี้ ชอบ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 03-11-2018 04:06:28
ตอนแรกๆนี่น่าหมั่นไส้มากพ่อฮักพ่อโจรห้าร้อยหลังๆนี่ทำตัวดีสมกับฟรีหน่อยทีนี้  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: BooJiRa_ ที่ 23-12-2018 10:30:56
นิยายเรื่องนี้ดีๆมากๆเลยค่ะ ภาษาดี ชอบมากกกกกก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 27-12-2018 18:35:56
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
น่ารักมากๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 04-01-2019 16:14:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 13-03-2024 21:02:16
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)