「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)  (อ่าน 78972 ครั้ง)

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
คุณภันสู้ๆ

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ไม่รู้สึกสงสารคุณภันเลยสักนิดอ่ะค่ะ 5555 เราก็"ม่รู้ว่าฐานทัพนี่มีเรื่องอะไร หนักหนามากแค่ไหน ไม่รู้พื้นฐานทางบ้าน ไม่รู้อะไรเลย แต่แบบ คือมันก็เรื่องของเขาอ่ะ คุณภันทำตัวเองจริงๆนะคะ ไม่รู้ดิ เราทีมคุณอาทิตย์ค่ะ ที่รักของเราป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างคะเนี่ย เฮ้อ... นึกว่าคนนี้จะดีแล้ว คุณอาทิตย์คะ โสดไปก็ไม่ตายค่ะ ฮืออออ อ่านถึงตอนคุณไกรนี่เรานึกว่าเดี๋ยวน้องพร่างฟ้าจะกลับมาช่วยพี่ชายซะอีกค่ะ สงสัยไม่ใช่แล้ว แต่ก็นั่นล่ะค่ะ เราเบื่อคุณภัน ให้แกทรมานไปนานๆก็ดีนะคะ ให้คุณอาทิตย์มีแฟนไปเลยก็ดี ฮึ่ม แต่เราชอบเรื่องนี้อย่างนะคะ เราว่ามันดูมีความเป็นผู้ใหญ่สมอายุตัวละครอ่ะค่ะ ไม่มีการหึงหวงหรือตามตื๊อแบบไร้สาระและมากเกินเหตุ เป็นการเว้นระยะห่างและให้เวลาอะไรหลายๆอย่าง เราชอบมากอ่ะค่ะ ฮื้อออ แต่ก็ยังยืนยันว่าไม่เชียร์คุภัน และคุณภันควรเจ็บช้ำต่อไป เย่!  :mew3:

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย  >> ตรงนี้เราว่าน่าจะเพิ่มถูกอ่ะค่ะ ถ้าเกิดถูกทำร้ายร่างกาย

เพราะเพิ่งสังเกตว่าสรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไป”   >> อันนี้ไม่มี " ข้างหลังอ่ะค่ะ

รอตอนต่อไปนะค้าาาาาา  :mew3:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฮักพระเอกโคตรรรรรรรร

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออก






ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง

เสียงสัญญาณเรียกดังมาจากหน้าบ้านเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านช่วงเย็น ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้ร่างกายที่พักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นโยกไหวด้วยความหวาดหวั่น ไม่ใช่อาการสั่นผวาหรือสะดุ้งอย่างตกใจ

อาทิตย์อัสดงหันมองไปทางหน้าต่าง พบร่างหนึ่งอยู่เบื้องหลังประตูรั้ว แม้เห็นแต่ไกลไม่ได้เห็นจะแจ้งเป็นรูปร่างที่ชัดเจน ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร และมันก็ทำให้รู้สึกราวกับร่างกายหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ แม้เพียงนำร่างขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อมุ่งสู่การพักผ่อนยังรู้สึกว่ายากลำบาก

ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พยายามลบภาพทับซ้อนที่ได้เห็นไม่เว้นแต่ละวันออกไป ก่อนจะขับพลังทั้งหมดที่มีเพื่อไปชำระล้างกายในห้องน้ำ แต่ถึงร่างกายจะสะอาดแล้ว ความคิดและจิตใจกลับปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง

เป็นแบบนี้มาร่วมครึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่วันนั้น...

แม้ไม่อยากนึกถึงมัน แต่ทุกครั้งที่หมดภาระจากการทำงานหรือสมองว่าง เขาจะนึกถึงเหตุการณ์เดิมเสมอ

ความรู้สึกในตอนที่หันหน้าไปพบกับภันวัฒน์อย่างไม่คาดคิด ถ้อยคำและน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเปล่งออกมาในเวลานั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในอณูความทรงจำราวกับถูกกักเก็บไว้ดั่งของล้ำค่า ทั้งที่แท้จริงแล้วมันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

แววตาและสีหน้าของปาติซิเย่หนุ่มในวันรุ่งขึ้นที่มาหาเขาก็เช่นเดียวกัน มันยังถูกบันทึกเอาไว้อย่างคมชัดในสมอง

หน่วยตาเรียวปิดลงอย่างอ่อนล้า เขาตัดหนทางติดต่อจากภันวัฒน์จนหมดสิ้นแล้ว

ทางโทรศัพท์เขาบล็อกเอาไว้ทั้งหมดจนไม่อาจรับรู้ได้อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายหมั่นเพียรส่งข้อความมาหาตนหรือไม่ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามมาหาเขาทุกวี่วันอย่างไม่ย่อท้อ แต่เขาก็เมินเฉย ทำเป็นไม่รับรู้ถึงการมาเยือน กระทั่งอีกฝ่ายปีนรั้วเข้ามาเคาะประตูถึงชั้นใน เขาก็หลีกหนีด้วยการขึ้นชั้นบนเช่นวันนี้ทุกครั้งครา

ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากฟังคำพูดอะไรทั้งนั้น

รู้ว่าตัวเองช่างงี่เง่าสิ้นดีที่ทำเช่นนี้ และรู้ด้วยว่าเป็นตนเองที่ไม่ดีที่ไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

เขารู้ว่าภันวัฒน์ไม่ใช่คนชอบพูดโกหก เพราะที่ผ่านมาหากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับความรู้สึกที่มีให้เขา อีกฝ่ายจะพูดด้วยความจริงจังและแสดงเจตนาชัดเจนเสมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทุบทะลวงกำแพงที่กั้นขวางเอาไว้จนเป็นช่องขนาดใหญ่แล้วมุดเข้ามาในใจของเขาได้

ตัวเขาเองก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกันที่ยังไม่ยอมรับว่าเชื่อ แล้วกล่อมตัวเองว่าเชื่อไม่ได้ เชื่อไม่ลง เพราะภันวัฒน์พูดออกมาอย่างเต็มปากว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนของตัวเอง มันทำให้รู้สึกเจ็บช้ำ ราวกับย้ำซ้ำรอยอดีตที่ทำให้ไม่อยากมีความรักอีก

เขากลัวว่าถ้าหากเชื่อแล้วถูกชายคนนี้ทรยศในภายหลัง เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่านี้ จึงทำได้แต่ถอยหนีออกมาอย่างขี้ขลาดจนน่าสมเพช

ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นมองยังโต๊ะเล็กที่หัวเตียง กล่องคุกกี้ที่ก่อนนี้เคยพกมันติดตัวไปที่ทำงานด้วยบัดนี้กลับกลายมาอยู่ที่นี่เป็นประจำเสียแล้ว เขาเคยหยิบขนมแสนอร่อยภายในนั้นมากิน เรียงลำดับตั้งแต่หนึ่งจนถึงห้า อ่านข้อความภายนั้นหวังจะได้พบความขบขันเช่นก่อนหน้า แต่ทว่าตลอดครึ่งเดือนมานี้ มันกลับไม่ได้ช่วยให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาเลย

ไม่อยู่ในห้วงอารมณ์แบบนั้น

ขำไม่ออกแม้แต่นิดเดียว

มีแต่ความขมที่แทรกอยู่ทุกครั้งยามกลืนรสชาติซึ่งเดิมทีเคยหอมหวานลงคอ

มือเรียวหยิบกล่องสีสวยมาเปิดออก ภายในนั้นเหลือขนมอยู่เพียงชั้นเดียว ชั้นสุดท้ายและชิ้นสุดท้าย ทั้งที่ตลอดมานับตั้งแต่แถวแรกมันจะมีห้าชิ้นเสมอ แต่มีเพียงชั้นสุดท้ายนี้เท่านั้นที่มีชิ้นเดียว และเมื่อได้เห็นอย่างนั้นมันก็ทำให้เขากลัวที่จะเปิดดู

ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนว่าไม่ควรเปิดมันในตอนนี้

ตอนที่เขาไม่พร้อมจะรับรู้อะไรจากชายคนนั้นทั้งสิ้น

กล่องทรงกระบอกสูงถูกส่งคืนกลับไปยังตำแหน่งประจำของมันอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งผ่อนลงยังเตียงในลักษณะเดิม เสียงลมหายใจเข้าออกถ่ายทอดออกมาเป็นระลอก ทั้งหนักและเบาสลับไปมา คล้ายกับคนจิตใจไม่สงบ ก่อนดวงตาจะปิดลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน

เมื่อไร... เมื่อไรความรู้สึกว้าวุ่นสับสนนี้จะจบลง

เมื่อไรเขาจะเพิกเฉยกับมันเหมือนที่แสร้งทำได้สำเร็จเสียที





“ทำไมมานั่งเปลี่ยวอยู่คนเดียวล่ะ”

ทั้งร่างของอาทิตย์อัสดงพลันสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเปียกแฉะที่ข้างแก้ม พอหันไปก็พบตะวันกำลังยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม

“ซื้อมาฝาก น้ำพั้นหน้าปากซอย ดื่มแล้วจะได้ชื่นใจ”

มือเรียวยาวยื่นแก้วที่เป็นเหตุให้ได้สติมาให้ พร้อมกับร่างของเจ้าตัวย่อลงนั่งบนม้านั่งหินตัวข้างๆ

นับตั้งแต่กลับมาจากเอาท์ติ้งกับบริษัท อาทิตย์อัสดงเจอตะวันบ้างประปราย พูดคุยทักทายกันตามปกติ อีกฝ่ายไม่ได้หลบลี้หนี้หน้าเขาแต่อย่างใด ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง

“ขอบคุณครับ”

ร่างโปร่งรับแก้วน้ำมาตามมารยาท ตอบรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอายุมากกว่ามอบให้ เขาจิบนิดๆ ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานไหลผ่านลำคอที่แห้งผาก

“ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากอีกเหรอ”

ใบหน้าที่หลุบลงเล็กน้อยเพราะจดจ่อไปกับการดูดของเหลวสีแดงส้มในแก้วเหลือบขึ้นมองคนที่อยู่เยื้องกันเล็กน้อย

“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”

“ก็สีหน้า ดูเหมือนคนมีเรื่องในใจ”

คำตอบนั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกถึงแรงสะท้อนน้อยๆ ในใจ ทั้งที่คิดว่าตนเองเก็บอาการได้ดีแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกจับได้อย่างง่ายดาย

“พี่ช่างสังเกตเกินไปหรือเปล่า”

“หืม ไม่หรอก” ตะวันส่ายหน้าช้าๆ “เห็นชัดเลยล่ะ”

ยิ่งถูกตอกย้ำให้รู้อีกว่าการกระทำของตนเองล้มเหลวไม่เป็นท่า อาทิตย์อัสดงก็ก้มลงดูดน้ำจากหลอดอีกรอบราวกับจะเลี่ยงการพูดคุย

“คนละเรื่องกับคราวที่แล้วใช่ไหม”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”

ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรออกไป แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจจนใคร่รู้ ร่างโปร่งยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“สีหน้าไม่เหมือนกันน่ะ คราวก่อนฟรีดูอึมครึม หดหู่ ทุกข์ทรมาน”

คำอธิบายชัดเจนจนสามารถเข้าใจได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้ความอยากรู้ยิ่งพอกพูนในใจของอดีตบล็อกเกอร์

“แล้วคราวนี้”

“ดูเศร้าๆ เหมือนคนผิดหวังอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็กำลังเสียใจ”

เหมือนเปิดหัวใจกันออกมาดูอย่างไรอย่างนั้น มันตรงจุดจนอาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนถูกทุบลงมาแรงๆ ให้แทบสำลักอากาศ หรือไม่ก็กระอักเลือดสักอย่าง เขาผินหน้าหนีไปอีกทางประหนึ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นสีหน้าเช่นนั้น

“เรื่องความรักเหรอ”

เสียงที่ประกอบเป็นคำถามทำให้ร่างโปร่งรู้สึกว่ามันหนักหนายิ่งกว่าเดิม และคงเพราะเจ้าตัวยังคงไม่หันหน้ากลับมา ตะวันจึงตีความไปเองว่าข้อสันนิษฐานของตนเองถูก

“ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าภูเขาแข็งแกร่งอย่างฟรีจะสั่นไหวด้วย”

อาทิตย์อัสดงต้องสะอึกขึ้นมาอีกคราวเพราะเหมือนว่าตนเองกำลังถูกยอกย้อน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายเช่นนั้น แต่ก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ เสียงเปรยแผ่วจึงหลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ

“คงกรรมตามสนองมั้งครับ”

ทั้งที่มันเบาเหลือเกิน แต่ตะวันก็ได้ยิน

“ไม่หรอก เรื่องความรักจะเกิดกับใครสักกี่ครั้งก็ได้”

น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางอากาศนั้นนุ่มนวล อ่อนละมุนเสมือนคำปลอบใจ อาทิตย์อัสดงจึงยอมหันกลับไปในทิศทางที่ตะวันนั่งอยู่ สบนัยน์ตาที่มองตรงมาพร้อมกับใบหน้าที่มีแววของความอ่อนโยน

“ทั้งที่ปฏิเสธพี่ไปชัดเจนซะขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องให้พี่มารับรู้เรื่องแบบนี้อีก ผมอาจจะเห็นแก่ตัวมากกว่าที่คิดก็ได้นะครับ”

ตะวันหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดนั้น ราวกับผู้ใหญ่กำลังเอ็นดูเด็กก็ไม่ปาน

“เอาจริงๆ พี่ยังตัดใจไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าฟรีจะหันมามองกันในสักวัน เพราะฟรีพูดด้วยความหนักแน่นขนาดนั้น แล้วที่สำคัญ...ตอนนี้ก็มีใครที่ฟรีนึกถึงด้วย คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเปลี่ยนใจมาหาพี่ ใช่ไหมล่ะ”

อาทิตย์อัสดงทำได้เพียงผงกศีรษะเบาๆ เพื่อยอมรับเท่านั้น

“รู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธซ้ำสองด้วยวิธีการโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมซะอีกนะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ พี่อยากให้ฟรีมีความสุขมากกว่า”

ถึงจะเหมือนกำลังต่อว่าต่อขานกัน แต่ใบหน้าของตะวันก็ปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ได้แอบแฝงความรู้สึกที่ทำให้ร่างโปร่งต้องรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้แต่อย่างใด ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็อดจะขอโทษจากใจไม่ได้ ตะวันจึงตบบ่าเบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ พร้อมกับย้ำว่า ถ้าเรื่องราวมันหนักหนาเกินกว่าจะแบกไว้คนเดียว จะระบายให้ฟังก็ได้ เพราะดูเหมือนเขาจะเป็นพวกชอบความเจ็บปวดไปแล้ว

“อ้าว พี่เต็ม โผล่มาไงเนี่ย”

หลังจากคุยกันไปอีกสักพักหนึ่ง คนที่อาทิตย์อัสดงมานั่งทอดอารมณ์ยามบ่ายรออยู่ก็กลับมาพร้อมกับถุงผลไม้และน้ำปั่นในมือ

“ก็มานั่งเล่น ผ่อนคลายบ้างสิครับ ขวัญก็ยังออกไปซื้อขนมมากินเล่นตอนบ่ายได้เลยนี่นา”

“แหม ก็แค่ทักทายนิดเดียวเองน่า” หนึ่งฤทัยทำปากยื่นใส่เล็กน้อย ก่อนจะหันมาพยักหน้าชวน “ขึ้นข้างบนกันฟรี ไปก่อนนะพี่เต็ม”

ร่างโปร่งเจ้าของชื่อหันไปล่ำลาพระอาทิตย์อีกดวงหนึ่งพอเป็นพิธี จากนั้นเดินตามเพื่อนสาวขึ้นไปยังห้องทำงาน

“เย็นนี้มึงว่างหรือเปล่า”

ระหว่างทางหญิงสาวก็ชวนคุยไปด้วย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับคำถามนี้ เพราะปกติแล้วทั้งคู่จะรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน นอกจากมีเหตุจำเป็นถึงจะงดเว้นไป

“ไม่ ทำไมล่ะ”

“กูจะชวนมึงไปกินข้าวด้วยกันหน่อย พอดีว่ามีคนอยากเจอมึงน่ะ”

สิ่งที่ไม่คาดคิดกลับมาพร้อมประโยคต่อมา อาทิตย์อัสดงชะงักฝีเท้าที่ขึ้นบันไดอยู่ลงครามครันยามคิดว่าคนที่หนึ่งฤทัยพูดถึงอาจจะเป็นคนที่เขาหลบเลี่ยงมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา

แม้จะหลอกตนเองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะภันวัฒน์ไม่น่าจะมาเอ่ยขอร้องหนึ่งฤทัย แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้เช่นกันว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

ภันวัฒน์สามารถทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงได้เสมอ

และอีกอย่าง...หนึ่งฤทัยก็เป็นแฟนกับเพื่อนของภันวัฒน์ด้วย

“มึงทะเลาะกับคุณภันใช่ไหมล่ะ”

เป็นดังคาด คำถามตรงจุดพุ่งเข้าใส่อย่างตรงไปตรงมา

“เปล่า”

ร่างโปร่งแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกใดๆ โดยการก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดต่อ ทั้งที่แสดงปฏิกิริยาอย่างชัดเจนแล้วว่ารู้สึกตรงกันข้าม

“มึงอย่าโกหกกูเลย ไม่แค่กูหรอก พวกพี่ๆ ในแผนกก็รู้กันหมดแหละว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจ ถึงจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หน้ามึงก็ดูเศร้าๆ เหม่อลอย ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”

เหมือนโดนตอกย้ำว่าความพยายามของตนเองไร้ผลโดยสิ้นเชิง อาทิตย์อัสดงก้มหน้าลง ไม่อยากจะหันไปเผชิญหน้าเพื่อนที่จับสังเกตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“มึง...รักเขาไปแล้วใช่หรือเปล่าวะ”

ปลายเท้าของชายหนุ่มชะงักไปอีกคราเมื่อได้ยินคำถามที่ราวกับหอกแหลมพุ่งตรงมาปักอกด้วยความเร็วแสงจนจับมันเอาไว้หรือหลีกหนีไม่ทัน ฟันคมได้แต่ขบปากตนเองอยู่อย่างนั้น พยายามครุ่นคิดหาคำปฏิเสธ แต่สิ่งที่นึกออกมีเพียงความว่างเปล่า

เขาหาคำตอบมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา หาเหตุผลของทีท่าและความหวาดกลัวของตนเอง

แต่มันยิ่งกลับกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ทุบลงมาบนลิ่มที่ปักอย่างหมิ่นเหม่เอาไว้จนทะลวงลึกถึงภายใน

ดึงไม่ออก หนีไม่ได้ ได้แต่ทุรนทุรายกับความจริงที่ค้นพบ

ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า...เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

อาการนิ่งเงียบราวกับคำตอบชั้นดี หนึ่งฤทัยถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบายามเห็นอากัปกิริยาของเพื่อน พลางส่ายศีรษะช้าๆ คล้ายกับว่าไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกัน

“คนที่อยากเจอมึง ไม่ใช่คุณภันหรอก”

คำบอกนั้นเรียกใบหน้าของร่างโปร่งให้เบือนไปทางเพื่อนที่เดินเคียงกันมาจนหยุดอยู่หน้าห้องทำงาน สีหน้าฉงนสงสัยแสดงถึงคำถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ชัดเจน

“เอาไว้เจอแล้วมึงก็รู้เอง”

ดังนั้นเมื่อเลิกงานแล้วทั้งคู่ก็มายังร้านอาหารร้านเดียวกับร้านต้นเหตุเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่เพราะมาก่อนเวลาจึงดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังมาไม่ถึง

อาทิตย์อัสดงรู้สึกทำตัวไม่ถูก ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่นัดหมายกันไว้เป็นใครกันแน่ ครั้นลองถามเพื่อนมาระหว่างทาง กลับถูกเมินเฉยด้วยใจความเดิมว่า ‘เดี๋ยวมึงก็รู้’ เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นต่อให้พยายามทำใจให้สงบเท่าไร มันก็ไม่สำเร็จ

จนกระทั่งก่อนเวลานัดหมายราวๆ ห้านาที โทรศัพท์ของหนึ่งฤทัยก็ดังขึ้น หญิงสาวรับสายและตอบกลับถึงตำแหน่งที่ตนเองนั่งรออยู่ และระหว่างนั้นร่างของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็น แม้จะอยู่ในระยะที่เกินโฟกัส แต่อดีตบล็อกเกอร์ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

ผู้ชายคนนั้น...คนของภันวัฒน์

เมื่อได้รับคำตอบอย่างแจ่มแจ้ง อาทิตย์อัสดงก็สะบัดหน้าขวับหันไปทางเพื่อน ทว่าหนึ่งฤทัยเพียงไหวไหล่เล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จนเมื่อร่างเล็กของหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่ามาประชิดโต๊ะ หญิงสาวจึงยืนขึ้น

“งั้นกูกลับก่อนนะ พี่ไปก่อนนะ”

ไม่เปิดประเด็นใดๆ และไม่เล่าถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คนทั้งหมดมาพบกัน เจ้าหล่อนก็ล่ำลาชายหนุ่มทั้งสองและเดินจากไปแล้ว

อาทิตย์อัสดงได้แต่ตะลึงลานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วไวอย่างคาดไม่ถึง ครั้นจะเรียกเพื่อนก็เรียกไม่ทัน ใบหน้าจึงเลิ่กลั่กมองร่างเล็กอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ผมชื่อฐานทัพครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อยู่ๆ ก็มาพบคุณแบบนี้”

น้ำเสียงห้าวแต่ไม่ทุ้มดูสมขนาดตัวเอ่ยออกมาพร้อมกับเจ้าตัวหย่อนก้นลงนั่งยังที่ที่เคยเป็นของหนึ่งฤทัยมาก่อน ขณะเดียวกันร่างโปร่งยังงงงัน รู้สึกว่าตนเองเก้งก้างไปหมด เสียงสะดุดอึกอัก

“ครับ”

“เรื่องเมื่อคราวก่อน ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”

“คือ... ไม่”

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายที่แนะนำตัวว่า ‘ฐานทัพ’ พูดถึงเรื่องอะไร ร่างโปร่งเกือบจะตอบว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ก็ชะงักไปโดยพลันหลังนึกถึงเหตุการณ์ที่ตามมา

เขาพูดอย่างเต็มปากไม่ได้ว่าไม่เดือดร้อน

ทั้งที่อยากบอกว่าไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องนั้น แต่ก็พูดออกไปไม่ได้

“ผมกับพี่ภัน”

เพียงคำพูดสั้นๆ ก็ทำให้อาการลนลานของร่างโปร่งสูญสิ้น ห้วงอากาศแห่งความว่างเปล่าถาโถมเข้ามาทดแทนจนอาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับกระดิกกระเดี้ยตัวไม่ได้ ดุจถูกคาถาอะไรสักอย่างเสกให้หยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่มองสบนัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทคู่นั้นที่จ้องตรงมาอย่างแน่วแน่ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ รอคอยคำพูดต่อไปอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ

“คุณกำลังเข้าใจเรื่องของเราผิดน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมเพิ่งรู้มาว่าคุณกับพี่ภันทะเลาะกันเพราะผม”

“คือว่า มันไม่ใช่แบบนั้น”

อาทิตย์อัสดงพยายามหาข้อแก้ต่าง เพราะจะว่าตนเองทะเลาะกับภันวัฒน์ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เป็นฝ่ายเขาเสียเองที่มีปัญหา

“ผมรู้ว่ามันออกจะเชื่อยาก เพราะผมกับพี่ภันก็สนิทกันจริงๆ พี่ภันเป็นคนดีมาก เขาคอยช่วยเหลือผมตลอด แล้วก็หวังดีกับผมเสมอ แต่ว่านั่นไม่ใช่ความรักหรอกครับ ผมกับพี่ภันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเชิงนั้น”

“เรื่องนั้น...ผมรู้แล้วครับ เขาเล่าให้ผมฟังแล้ว”

ในเมื่อดูท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมให้เขาวิ่งหนีเป็นแน่ ร่างโปร่งจึงได้แต่ยอมตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

“แล้วคุณไม่เชื่อเหรอครับ”

“ผม...”

เสียงกลืนหายลงไปในลำคอ อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตนควรจะพูดออกมาอย่างไร เพราะตนเองเอาแต่หลีกหนีอย่างคนขี้ขลาด มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้อีกฝ่ายด้วยการไม่ยอมรับฟัง และปฏิเสธที่จะเชื่อคำอธิบายใดๆ ก็ตาม

ไม่ใช่ไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

“นั่นสินะครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาลอยๆ แล้วจะเชื่อได้”

ชายหนุ่มร่างเล็กพูดอย่างปลงตกดั่งเข้าใจสัจธรรมเป็นอย่างดี ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ อาทิตย์อัสดงรับไว้ด้วยความฉงน และเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งเจ้าตัวเจตนาให้ดูก็เข้าใจได้ในทันที

ภาพชายสองคนนั่งเคียงกันด้วยใบหน้าที่แนบชิด ดูท่าทางมีความสุข

คนหนึ่งคือชายตรงหน้า แต่อีกคนไม่ใช่ภันวัฒน์

“มันก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ แต่อะไรๆ ไม่ค่อยดีเท่าไร ผมเลยกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาของพี่ภันอยู่ทุกวันนี้ เพราะความเอาใจใส่ของเขา”

ราวกับจะย้ำซ้ำถึงสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวคนพูดกับอีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง แม้กระนั้นร่างโปร่งก็เก็บทุกความรู้สึกที่กำลังหมุนวนอยู่ในสมองเอาไว้อย่างมิดชิด

“คุณคิดอยู่หรือเปล่าครับ ว่าพี่ภันเป็นคนขอให้ผมมา”

คำถามที่ส่งตรงมาทำให้อาทิตย์อัสดงได้แต่อึกอักอีกครั้ง เขามองหน้าฐานทัพสลับกับหลบสายตาทั้งที่ฝ่ายนั้นจ้องตรงมาโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่ครั้งเดียว แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างที่สุด

เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้น แต่เมื่อถูกถามถึง ก็มีเศษเสี้ยวหนึ่งในใจที่คิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าอีกหลายส่วนในใจร้องค้านว่าภันวัฒน์ที่ตนรู้จักไม่น่าใช่คนอย่างนั้น

“แต่ผมเชื่อนะว่าอย่างน้อยคุณต้องคิดอยู่บ้างล่ะว่าไม่ใช่”

ทั้งที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ราวกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าคนนี้จะมองออก ฐานทัพยิ้มบางก่อนจะกล่าวออกมาอีกรอบ

“พี่ภันไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละครับ ผมรู้เรื่องมาจากพี่จอม คุณน่าจะรู้จักพี่จอมใช่ไหมครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ภัน แล้วก็เป็นแฟนของพี่ขวัญด้วย ผมก็เลยขอให้พี่ขวัญนัดคุณให้มาเจอกับผม เพราะผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ที่ทำให้คุณต้องผิดใจกับพี่ภัน”

สายตาของฐานทัพหลุบลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่การหลบตาเพื่อพูดเรื่องโป้ปด แต่เป็นการแสดงความรู้สึก

“ถ้าให้พูดตรงๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่ภันอยู่เยอะ เวลาผมมีปัญหาอะไร เขาก็จะคอยช่วยเหลือเสมอ เพราะฉะนั้นการที่คุณกับพี่ภันต้องหมางใจกันเพราะผมเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมถึงอยากมาหาคุณให้ได้ อยากพูดให้คุณเข้าใจว่าพี่ภันไม่ได้เป็นพวกหลายใจหรือหลอกลวง”

“.....”

“ตอนนี้พี่ภันไม่ได้มีใครนอกจากคุณจริงๆ ถึงผมจะไม่รู้เรื่องของคุณเลยก็เถอะ แต่ผมกล้าที่จะยืนยัน ช่วยเชื่อใจพี่ภันหน่อยได้ไหมครับ”

น้ำเสียงในตอนท้ายเจือด้วยการขอร้องอย่างไม่ปิดบัง อาทิตย์อัสดงได้แต่ฟังแล้วรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ

กึ่งหนึ่งเขาเชื่อว่าภันวัฒน์เป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดมา ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็ยังหวั่นเกรง

กลัวว่าอาจจะไม่ใช่ฐานทัพ แต่อาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนใจภันวัฒน์ได้ในภายหลัง

กลัวว่าหากยอมรับภันวัฒน์เข้ามาจนเต็มหัวใจแล้ว จะมีวันที่ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ได้รับความรู้สึกอย่างเดียวกันจากอีกฝ่าย

“ช่วยเปิดใจรับฟังพี่ภันอีกสักครั้งได้ไหมครับ ช่วยพิจารณาดูให้ดีถึงความรู้สึกที่เขามีต่อคุณ ตรึกตรองให้แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจะเชื่อไม่ได้เลยเหรอ”

“ผม...”

เพราะไม่อยากทิ้งคนตรงหน้าที่พยายายามพูดและชักจูงทุกวิธีทางเพื่อให้เขาให้โอกาสภันวัฒน์อีกครั้งต้องพร่ำพูดอยู่ฝ่ายเดียว ร่างโปร่งจึงพยายามเปล่งเสียงออกมา แต่สุดท้ายมันก็ขาดตอนลงที่พยางค์เดียว

เขาพูดไม่ออก ไม่สามารถรวบรวมคำพูดในตอนนี้ได้ ในใจยังคงสับสน

อยากลองเสี่ยง แต่ก็ไม่อยากเสียใจ

เป็นความขลาดกลัวของคนที่เคยบาดเจ็บปางตายมาก่อน

เป็นสัญชาตญาณของการปกป้องตนเอง แต่...

ก็อยากได้รับความอ่อนโยน ความอบอุ่น ความเอาใจใส่อย่างที่เคยได้รับมาจากชายคนนั้นเช่นเดียวกัน

ดุจดั่งยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชันอันหนาวเหน็บ

จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้เช่นกัน

“คุณ...รู้ชื่อเล่นของเขาไหมครับ”

ชั่วแวบหนึ่งความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา และก่อนจะรู้ตัว มันก็กลั่นออกมาเป็นเสียงพูดเสียแล้ว แม้แต่อาทิตย์อัสดงยังตกใจตนเองที่หลุดปากออกไปเช่นนั้น ทว่าจะให้หันหลังกลับทำเหมือนนั่นไม่ใช่การถามก็ช้าเกินไปเสียแล้ว และที่สำคัญ...

เขาอยากรู้

คนที่มีความสำคัญต่อภันวัฒน์ขนาดนั้น คนที่ถูกภันวัฒน์เรียกว่า ‘คนของเขา’ จะรู้เรื่องนี้หรือไม่

“ชื่อเล่น?” ฐานทัพเอียงคอเล็กน้อยราวกับไม่เข้าใจ “ก็ชื่อภันไม่ใช่เหรอครับ”

“เขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”

“พี่ภันแนะนำตัวว่าแบบนั้นนี่ครับ พี่จอมก็เรียกแบบนั้น หรือว่าเขามีชื่ออื่นด้วยเหรอครับ”

สีหน้าและน้ำเสียงซึ่งแสดงออกมาบ่งชี้อย่างชัดแจ้งว่าเจ้าตัวไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่การถามเพื่อหยั่งเชิงหรือสอดรู้สอดเห็น เป็นคำถามที่มาจากใจบริสุทธิ์

“อ้อ เปล่าหรอกครับ”

“ถ้าคุณกลัวว่าพี่ภันจะเป็นพวกที่ชอบจับปลาหลายมือ สับรางเก่งแล้วเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ ละก็ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ”

ดูเหมือนว่าคำถามและคำตอบของร่างโปร่งจะถูกตีความไปเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจำต้องรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่แบบนั้น ฐานทัพจึงย้อนกลับมายังประเด็นเดิม

“ยังไงก็ช่วยให้โอกาสพี่ภันด้วยนะครับ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากผมก็ได้”

อาทิตย์อัสดงรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก เพราะการโจมตีที่เต็มไปด้วยความจริงจังของอีกฝ่าย จนรับรู้ได้อย่างเที่ยงแท้ว่าชายตรงหน้าไม่มีเจตนาแอบแฝงอื่นเลย นอกจากว่าทำเพื่อภันวัฒน์จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกหนักอกยิ่งขึ้น ถึงกระนั้นใช่ว่าจะตอบกลับไปในทันทีได้

“ผมจะลองคิดดูอีกครั้งครับ”

แม้โอกาสที่จะเป็นดังตนเองต้องการไม่เต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ฐานทัพก็ยังจุดรอยยิ้มขึ้นบนผืนแก้ม กล่าวขอบคุณหลายต่อหลายครั้ง ทำให้กระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ยังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้

ภาพของฐานทัพยังไม่เลื่อนหายไป

จุดมุ่งหมายของอีกฝ่ายยังคงแจ่มชัด ส่องสว่างไม่ให้เขาสามารถหลบหน้าเบือนหนีได้

หรือเขาควรจะต้องยอมรับ...มันอีกครั้ง

ยอมแพ้ต่อความหวาดกลัวของตนเองอีกหน เพื่อเผชิญหน้ากับใครอีกคนหนึ่งที่กำลังรอคอยเขาอยู่









-------------------
นึกว่าอาทิตย์นี้จะไม่ได้อัพแล้ว งานราษฎรงานหลวงเยอะเหลือเกิน
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะคะ


ป.ล. นิยาย It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ และ It's U, It's Me รุก ไล่ รัก
เปิดจองถึงแค่ วันที่ 15 กันยายน นี้นะคะ
https://www.facebook.com/undel2sky/


Undel2Sky
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-09-2016 22:48:59 โดย undersky »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ G-NaF

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
สู้ๆๆนะพี่ภัน ปัญหาร้อยแปดของพี่กำลังจะลงตัวละนะเหลือแต่เรื่องพร่างนี่สิจะเอาไง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
หัวใจตัวเองแท้ๆ แต่ต้องใช้ตัวช่วยซะเยอะเลยนะฟรี

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
เดี๋ยวนะคะ..... ใกล้จบแล้วเหรอคะ!! ฮื้ออออออออออออ คุณอาทิตย์ของเราาาา โอ๊ยยย คือเราก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกตามชื่อตอนและคุณอาทิตย์นี่ล่ะค่ะ ทำไมเราสับสนตามนะคะ ใจนึงก็อยากให้คุณอาทิตย์เปิดใจให้คุณภันอีกครั้ง แต่อีกใจก็คิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว โอ๊ยยย คือเรารู้นะคะว่าคุณภันไม่ได้ทำอะไรผิด เป็นคนจริงใจและดูรักคุณอาทิตย์เข้าแล้วจริงๆ แต่ทำไมเราไม่อยากให้เขาสมหวังก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยเพราะความหมั่นไส้ 5555555555 คุณอาทิตย์ที่รักของเรานี่อาการหนักมากจริงๆ แต่ก็เข้าใจได้อ่ะค่ะ ครั้งนึงคุณอาทิตย์ก็เคยโดนหักหลังมาแล้ว ครั้งนี้ต่อให้ไม่ได้โดนหักหลังจริงๆแต่มันก็ไปสะกิดแผลในใจให้คุณอาทิตย์คิดขึ้นมาแหละว่า ถ้าวันนึงคุณภันไปอีกคนล่ะ ฮือออ คราวนี้คุณอาทิตย์ต้องทุกข์ใจไปจนตายแน่ๆ คือเอาจริงๆนะคะ คนแบบคุณภันอ่ะ เราไม่มีทางรู้เลยนะคะว่าผู้ชายคนนี้แค่ใจดีกับเราเพราะเราน่าสงสารจริงๆเขาไม่ได้คิดอะไร แค่ทำให้สบายใจ หรือเขารักเราจริงๆ นี่ล่ะค่ะ กรรมของผู้ชายแสนดี แต่เราอยากรู้มากกว่าว่าถ้าคุณอาทิตย์ยังปิดใจต่อไป สมมติว่าเรื่องที่ฐานทัพมาพูดเปลี่ยนใจคุณอาทิตย์ไม่ได้ แล้วคุณภันจะทำยังไงต่อไป จะมาเฝ้าหน้าบ้านทุกวันไปเรื่อยๆแบบนี้เหรอคะ? มันน่าเชียร์ให้คุณอาทิตย์ย้ายบ้าน 555555 แต่เราว่าคุณนักเขียนคงอยากให้เห็นมั้งคะว่าความรักมันไม่ใช่แค่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องคอยตามตลอด มันน่าจะต้องเป็นคน 2 คนที่พร้อมจะหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่ไม่เคยเข้าใจผิดกันเลย แต่แค่ต้องหันมาคุยกัน เชื่อใจกัน ว่าแล้วก็... หมั่นไส้มากกกกก โอ๊ยยยย 

ปล. เราเจอปประโยคแปลกๆกับคำผิดนิดนึงนะคะ

แม้เพียงนำร่างขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อมุ่งสู่การพักผ่อนยังรู้สึกว่ายากลำบาก  ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง  >> ตรงนี้ประโยคแรกบอกว่าไปชั้นบนยังลำบาก แสดงว่าน่าจะอยู่ชั้นล่าง แต่ประโยคถัดมาบอกว่าอยู่บนเตียงอ่ะค่ะ

น้ำพั้น  เราว่าน่าจะสะกดแบบนี้นะคะ น้ำพันช์

หลบลี้หนี้หน้า  >> หนีหน้า

เรารอตอนต่อไปนะคะ ฮืออออออ ขอตอนพิเศษเยอะๆ ขอบล็อกกลับมาด้วยได้ไหมคะ แงงง หรือจริงๆคำว่าบล็อกเกอร์ของเรื่องนี้คือแบบ blocker เป็นนักบล็อก บล็อกทุกช่องทางการติดต่อ 5555555555555 ไร้สาระมากเลยเรา รอตอนต่อไปค่าาาา  :o12:

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
30th Entry : พายเรือในอ่าง






แม้จะได้รับคำขอร้องจากคนที่เรียกว่าคู่กรณีก็ไม่เชิง จนยิ่งทำให้ใจสับสนวุ่นวายและเอนเอียงไปกระทั่งคิดว่าหรือควรจะยอมแพ้ แต่เมื่อภันวัฒน์มาที่บ้านในคืนนั้น อาทิตย์อัสดงก็ทำได้เพียงแต่ลอบมองอีกฝ่ายจากชั้นบนโดยไม่ให้รู้ตัวเท่านั้น

เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำเช่นนี้

ทำไมต้องทรมานตัวเอง

ทำไมยังคงวนเวียนคิดถึง เฝ้ามองทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาหา

ตัดขาดให้จบไปแล้วไม่ใช่หรือ แต่ทำไมสิ่งที่รบเร้าอยู่ในใจกลับไม่ขาดสะบั้นลงเหมือนคำที่พูดออกมา

“เมื่อวานคุยกับฐานแล้วยังสรุปไม่ได้เหรอวะ”

คงเพราะสีหน้าที่คลุมทับด้วยร่องรอยของความหมองหม่นกระมัง จึงถูกเพื่อนสาวถามตั้งแต่สบตากันในวันรุ่งขึ้น

“กูไม่รู้ว่ะ”

“งั้นกูถามแบบตรงๆ นะ มึงคิดว่าคุณภันกับฐานแอบคบกันลับหลังมึงหรือเปล่า”

คำถามของหนึ่งฤทัยตรงทั้งในแง่ของประเด็นที่ต้องการรู้และการพูดอย่างขวานผ่าซาก ทำเอาอาทิตย์อัสดงแทบผงะไปในทันที เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยครวญคิดคำตอบที่จะเปล่งออกไป

“กู...”

ทว่ายังไม่ได้ทันได้ตอบอย่างที่ใจคิด เสียงของหญิงสาวก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เอาแบบตรงๆ ตามที่มึงรู้สึก”

เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังมาจากชายหนุ่ม รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่ถูกปิดกั้นหนทางทั้งหมดสิ้น

“กูไม่คิดว่าเป็นแบบนั้น”

“แสดงว่ามึงก็เชื่อใจเขาในระดับหนึ่ง มึงมองเห็นว่าเขาจริงใจกับมึง ใช่ไหม”

“มันก็...ใช่”

แม้เสียงจะขาดหายไปเล็กน้อยกว่าจะตอบจบประโยค ถึงกระนั้นข้อความก็ถูกส่งออกมาอย่างครบถ้วน พลอยทำให้คนฟังพึงพอใจไม่น้อยที่เพื่อนยอมเปิดอกคุยกัน หนึ่งฤทัยพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะถามต่อ

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนล่ะ”

“.....”

สำหรับโจทย์ปัญหาข้อนี้ ชายหนุ่มไม่อาจแสดงคำตอบได้ในทันที ความนิ่งเงียบแทรกแซงเข้ามา ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนมีความกดดันอึมครึมแทรกอยู่เล็กน้อย

อดีตบล็อกเกอร์ได้แต่คิดวกวนกลับมายังที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุผลซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ราวกับพายเรืออยู่ในอ่าง ไม่รู้จะไปทางไหน คล้ายกับคนหลงทางในขณะเดียวกันก็รู้ว่าไม่มีหนทางให้ตั้งแต่แรกแล้ว นอกจากลุกขึ้นยืนแล้วก้าวออกมา

แต่เขาก็ยังไม่กล้าพอ

“ว่าไงล่ะ หรือว่ามึงพูดออกมาไม่ได้”

“แล้วทำไมมึงต้องอยากให้กูพูดออกมาด้วยวะ”

เมื่อถูกคาดคั้น ร่างโปร่งก็สวนเสียงกลับไปบ้าง ไม่ได้บันดาลโทสะแต่อย่างใด แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเร่งเร้าเช่นกัน

“เพราะมึงตัดสินใจไม่ได้ไง เรื่องมันถึงไม่ไปถึงไหน”

คล้ายกับถูกตำหนิกลายๆ คนฟังจึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อยดุจคนสำนึกผิด แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว หากให้พูดคงเป็นความรู้สึกว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์กระมัง

ต่างคนต่างความคิด ต่างมุมมอง

หนึ่งฤทัยคงไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ของเขาได้

“ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกนะที่เสียใจ อึดอัด ทรมาน มึงนึกถึงอีกฝ่ายหรือเปล่าว่าเขาต้องรู้สึกยังไงบ้างที่มึงหนีหน้า พอเขาไปหาก็ไม่ยอมมาพบ แล้วยังเคยไล่เขาอีกหลายต่อหลายครั้ง”

ทว่าทั้งที่คิดเช่นนั้น แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากเพื่อนสนิท อาทิตย์อัสดงกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง

“กูก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้หรอกนะ แต่ว่าเขาเป็นห่วงมึงนะ ทั้งที่เขาอยากปรับความเข้าใจกับมึงจะตายห่าอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังฝากพี่จอมให้มาถามกูว่ามึงเป็นยังไงบ้างตลอด เขากลัวว่ามึงจะรู้สึกไม่ดี หรืออะไรก็ตามแต่ เพราะมึงเคยมีอาการแย่ๆ แบบสาหัสมาแล้ว เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้มึงต้องเป็นแบบนั้นอีก”

น้ำเสียงของเพื่อนที่ได้ยิน ไม่ใช่การข่มขู่คุกคามให้เชื่อฟัง แต่เป็นระคนความเบื่อหน่ายเสียมากกว่า อาทิตย์อัสดงเงยหน้าขึ้นสบตากับหนึ่งฤทัย มองตาเพื่อนแฝงด้วยความหมาย

หนึ่งคืออ้อนวอนให้หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ เพราะเพียงเท่านี้เขาก็เหมือนถูกไล่ต้อนจนร่างถูกบดบี้ไปกับกำแพงที่ก่อขึ้นมาเองแล้ว

และอีกหนึ่งคือความประหลาดใจ ไม่คาดว่าใครอีกคนจะทำเช่นนั้น แม้แต่กระทั่งเวลาเช่นนี้ยังห่วงใย ใส่ใจเขา จนมันยิ่งทำให้ลำบากใจมากยิ่งขึ้น ตัดรอนได้ยากกว่าเดิม

“พูดตามตรง กูไม่ได้รู้จักเขาเป็นพิเศษ จริงๆ เรียกว่าไม่ได้รู้จักอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เท่าที่กูรู้ เขาแสดงให้กูเห็นว่าเขาใส่ใจ เป็นห่วงมึง เห็นว่ามึงสำคัญตลอด”

ดูเหมือนหญิงสาวจะอ่านแววตาของเพื่อนสนิทออก จึงสานต่อคำพูดจากเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ตอนนี้กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงสับสนเรื่องอะไรกันแน่ แต่กูพูดได้เลยว่ากูไม่ได้สนับสนุนหรือพูดเพื่อช่วยเหลือเขา แต่กูแค่อยากเห็นมึงมีความสุขอย่างที่กูเห็นก่อนหน้านี้ มึงเองก็เชื่อใจเขาไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลองเชื่อให้ถึงที่สุดดู ในเมื่อเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เปิดใจมึงที่ปิดตายไปแล้วขึ้นมาใหม่ได้”

หนึ่งฤทัยวางมือบนบ่าของอาทิตย์อัสดง ทิ้งน้ำหนักเอาไว้กว่าการวางปกติเล็กน้อย หน่วยตากลมสวยจับจ้องมองเพื่อสื่อความรู้สึกห่วงใยและเห็นใจในคราวเดียวกันมาให้ชายหนุ่ม

“มึงลองคิดดูให้ดีนะ คนที่หวังดีกับมึงอาจจะเป็นคนทั้งหมดรอบๆ ตัวมึง แต่คนที่หวังร้ายกับมึงที่สุด ก็คือตัวมึงเอง”

สิ้นเสียงแล้ว หนึ่งฤทัยก็เดินเข้าห้องทำงานไปก่อน ขณะที่อาทิตย์อัสดงแทบหยุดหายใจ ถ้อยคำทั้งหลายแหล่ที่เพื่อนสาวคนสนิทพูดมาล้วนบาดลึก โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่นดั่งการโจมตีที่สร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด

เขาคอตก อับจนด้วยคำพูดทั้งปวง แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะพูดไม่ออกนับตั้งแต่ที่หนึ่งฤทัยเริ่มถามเหตุผลแล้ว ฉับพลันนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อาทิตย์อัสดงเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วหยิบมันมารับสายเมื่อเห็นว่าเป็นพี่สาวที่โทรมา

“ครับพี่แฟร์”

[เสียงดูเหนื่อยจังนะ ไม่สบายใจหรือเปล่า]

แค่เพียงประโยคแรกก็ย้ำซ้ำให้รู้แล้วว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

ปิดไม่มิดแม้ว่ากับใครทั้งนั้น แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เห็นหน้าในยามนี้

“นิดหน่อยน่ะครับ แล้วพี่แฟร์มีอะไรเหรอ ทำไมโทรมาแต่เช้าเลยล่ะ”

ถึงจะเรียกว่าไม่ได้เช้าสักเท่าไร เพราะล่วงเข้าสู่เวลาเก้าโมงแล้ว แต่ก็นับว่าเช้าอยู่ดี เพราะโดยปกติแล้วพี่สาวจะไม่โทรหาเขาในช่วงเวลานี้

[เห็นว่าฟรีเงียบหายไปน่ะสิ ช่วงปีใหม่ก็ไม่ได้เจอกัน นี่เลยมาจนจะหมดเดือนแล้วก็ไม่เห็นติดต่อหรือมาที่บ้านบ้างเลย]

“จริงด้วย ขอโทษครับ” เมื่อถูกบอกเช่นนั้น ร่างโปร่งก็เพิ่งรู้สึกตัว แต่จะให้แสดงตัวออกไปว่าตนลืมวันลืมคืนไป ก็ออกจะกระอักกระอ่วนไปเสียหน่อย จึงได้แต่แก้ตัว “พอดีว่าช่วงนี้ฟรียุ่งๆ อยู่น่ะ”

[อ๋อ อย่างนั้นหรอกเหรอ แต่ยังไงก็อย่าลืมพักผ่อนบ้างล่ะ]

“ครับ”

เพียงแค่ความห่วงใยจากครอบครัวสายเลือดเดียวกัน อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เหมือนน้ำค่อยๆ ซึมลงยังทราย ถึงจะไหลผ่านออกไป แต่ก็ยังสัมผัสได้ก่อนมันจะจางหาย

[แล้วนี่ไม่ลืมเรื่องอาทิตย์หน้าใช่ไหม]


คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย คิดถึงข้อความแฝงในคำถาม ทว่านึกเท่าไรก็ไม่นึกไม่ออก จนกระทั่งเสียงจากปลายสายดังมาเพราะเห็นว่าเขาเงียบไปนานพอสมควร

[วันเกิดฟอร์ด วันเสาร์หน้า จำไม่ได้แล้วเหรอ]

หน่วยตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด ตกใจอย่างที่สุด เขาลืมไปเสียสนิทว่าปลายเดือนมกราคมเป็นวันเกิดของหลานชายคนรอง ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญซึ่งไม่เคยลืมแม้แต่ปีเดียว แต่บัดนี้ความสับสนว้าวุ่นในใจทำให้จมอยู่แต่กับปัญหาไร้ทางออกของตนเองจนลืมเลือนเรื่องสำคัญสิ้น

อาทิตย์อัสดงรู้สึกผิดกับตนเอง รวมทั้งรู้สึกผิดกับหลานชายและพี่สาวด้วย เขาได้แต่เอ่ยเสียงอ่อน ‘ขอโทษครับ’ กลับไปยังอีกฝ่าย แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ให้ผู้เป็นพี่ได้ยิน พลันรู้สึกหนักใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงหน้าที่ซึ่งถูกยกให้เป็นของตนโดยเฉพาะ

เค้กวันเกิด…

หลานชายคนรองของเขาชอบกินเค้กช็อกโกแลต คงหาซื้อได้ไม่ยากเท่าเค้กของหลานชายคนเล็ก แต่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ คงจะดีกว่า เพราะเกรงว่าจะเจอเหตุสุดวิสัยเช่นคราวก่อน...

ทว่าเมื่อถึงเค้กแล้ว ใจก็ดันไพล่คิดไปถึงสิ่งที่ไม่ควร เหตุการณ์เมื่อเดือนที่แล้วกระจ่างชัดเข้ามาในสมองโดยไม่ถามความเห็นชอบของเขาสักนิด

“พี่แฟร์”

เสียงเรียกแผ่วเบาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหนักกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายเท่าตัว ซึ่งอีกฝ่ายไม่ต้องสังเกตก็รู้สึกได้จึงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

[มีอะไรหรือเปล่า]

“วันนี้ฟรีไปหาพี่ได้ไหม”

[ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ยังไงบ้านนี้ก็เป็นเหมือนบ้านอีกหลังของฟรีอยู่แล้ว]

คำตอบนั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกชุ่มชื้นในหัวใจขึ้นมาอีกคราว นึกภาพพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าค่อนข้างมากกำลังยิ้มอย่างเอ็นดูเขาออกในทันที






เมื่อไปถึงบ้านของอรุโณทัยก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากหลานๆ ทั้งสาม ยกมือไหว้บ้าง กอดบ้าง คุยกันตามประสาคนที่ไม่เจอกันนาน โดยเฉพาะหลานชายคนเล็กที่คุยจ้อไม่หยุดปาก เอาการบ้านมาอวดบ้าง จำนรรจาเรื่องได้รับคำชมจากคุณครู


อาทิตย์อัสดงยิ้ม ไม่รู้สึกผ่อนคลายจนใจเบาเช่นนี้มาพักใหญ่แล้ว นึกเสียดายอยู่ไม่น้อยว่าหากตนมายังที่แห่งนี้เสียตั้งแต่สัปดาห์หรือสองสัปดาห์ก่อน อาจจะทำให้เขารู้สึกเบิกบานขึ้นบ้างก็เป็นได้

อาจไม่ถูกใครต่อใครจับได้ ว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยวงกตปริศนาแสนหนักอึ้ง

โต๊ะอาหารมื้อเย็นที่มีสมาชิกพร้อมหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่น พี่เขยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความเอาใจใส่ ให้สัมผัสได้ถึงครอบครัวที่แสนอบอุ่นไม่แปรเปลี่ยน

“แล้วว่ายังไงล่ะ มีอะไรจะคุยกับพี่หรือเปล่า”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ร่างโปร่งขันอาสาช่วยพี่สาวล้างจาน จึงเป็นโอกาสให้พี่น้องได้พูดคุยปรับทุกข์

“ทำไมถึงรู้ล่ะครับ”

เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่อาทิตย์อัสดงถามทุกคนในช่วงนี้เลยด้วยซ้ำ อรุโณทัยหันมายิ้มอ่อนโยน

“นอกจากพ่อกับแม่ อย่าลืมสิว่าพี่ก็เป็นคนเลี้ยงฟรีมาเหมือนกัน”

ด้วยอายุที่ห่างกันเกินรอบ พี่สาวจึงเปรียบเป็นบุพการีอีกคน คอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำเขามาตั้งแต่ยังเล็ก

“ฟรีน่ะเป็นประเภทมีอะไรชอบเก็บเอาไว้คนเดียว คิดคนเดียว แต่ก็เอาตัวไม่รอดตลอดไม่ใช่หรือไง”

ชายหนุ่มทำคอตกเล็กน้อยกับคำปรามาสที่เป็นความจริง คงเพราะมีใครต่อใครคอยหนุนหลังอยู่ เขาจึงผ่านวิกฤตเรื่องหนักหนามาเสมอ

ในช่วงวัยเรียน พี่สาวก็เป็นคนช่วยเหลือ

ช่วงทำงานและมีปัญหากับคนรัก หนึ่งฤทัยคอยผลักดันเป็นกำลังใจ

และเมื่อคนรักเก่ากลับมารังควาน ...ภันวัฒน์ก็หยิบยื่นความปรารถนาดีมาให้

เขาผ่านมันมาได้เพราะคนเหล่านี้ ราวกับว่าถ้าไม่มีคนเหล่านี้ เขาจะไม่สามารถก้าวข้ามมันมาได้

และครั้งนี้...เขาก็กำลังหาคนคนนั้นอยู่อย่างนั้นหรือ?

“ถ้าล้างจานเสร็จแล้ว ฟรีขอปรึกษาหน่อยได้ไหมครับ”

คำตอบรับของอรุโณทัยคือการยิ้มอารีอีกระลอก

เมื่อล้างจานเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องก็ออกมานั่งกันที่เก้าอี้ชิงช้าในสนามหน้าบ้าน แสงสีขาวจากหลอดไฟส่องสลัวมาห่างๆ จึงไม่ทำให้แสบตามากนัก ทั้งคู่นั่งเคียงกัน หันหน้าเข้าหาตัวบ้าน มีร่มไม้แผ่ขยายอยู่ด้านหลัง

อาทิตย์อัสดงเริ่มเล่าเรื่องราว นับตั้งแต่ได้รู้จักภันวัฒน์ การกระทำทุกสิ่งที่ผ่านมาของชายคนนั้น

ทว่ายิ่งเล่าก็ยิ่งราวกับทบทวนความทรงจำ พาให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกชื่นชม ประทับใจที่ตนมีต่ออีกฝ่ายว่ามันมากล้นเพียงใด

ขาดก็เสียแต่ว่าเขาไม่ได้บอกว่าภันวัฒน์เป็นผู้ชาย...

“ฟรีชอบเขาใช่ไหม”

คำถามถูกส่งออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีที่กล่าวจบ อรุโณทัยหันมองเสี้ยวหน้าของน้องชาย ซึ่งอาทิตย์อัสดงก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอหนักๆ เขาไตร่ตรองมันนับพันครั้ง และรู้ตัวดีแล้ว

“ครับ”

“แต่ฟรีกลัวว่าจะเจ็บซ้ำสอง ก็เลยผลักไสความผิดไปให้เขาใช่หรือเปล่า”

“...ครับ”

น้ำเสียงขาดหายก่อนมันจะหลุดออกมาเป็นคำตอบอย่างยากลำบาก แม้กระนั้นมืออูมอบอุ่นกลับวางลงบนศีรษะ ลูบเบาๆ ราวกับเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ

“ทำไมฟรีถึงกลัวอนาคตล่ะ”

ใช่ว่าคำถามนี้เขาไม่เคยถามตัวเอง แต่ไม่ว่าจะถามกี่ครั้ง เขาก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

“ฟรีไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะไม่รู้ล่ะมั้งว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”

คำตอบนั้นคงเหมือนใครหลายๆ คนที่กำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกันกระมัง

กลัวว่าสุดท้ายทุกอย่างจะไม่เป็นไปด้วยดี จึงไม่อยากเริ่มต้น หากว่าวันหนึ่งจะต้องแยกจากหรือความรู้สึกนี้ต้องสูญสลายไป การตัดสินใจเสี่ยงทำมันอาจจะไร้ความหมายก็เป็นได้

“ฟรีไม่ต้องคิดไปไกลถึงขนาดนั้นหรอก เรื่องของความรักน่ะ คิดแค่ถึงห้านาทีข้างหน้า สิบนาทีข้างหน้า หรือหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ว่าเราจะทำยังไงให้สิ่งที่เป็นอยู่นี้ยังคงเดิมต่อไปทุกขณะก็พอแล้ว”

มือนั้นยังคงลูบเบาๆ อยู่บนศีรษะ น้ำเสียงที่ทอดออกมาเต็มเปี่ยมด้วยความปรารถนาดีอย่างยิ่ง

“ลองชั่งน้ำหนักดู ระหว่างทรมานต่อไปแบบนี้โดยไม่รู้ว่าจะยืดยาวไปอีกเท่าไร หรือต้องรอให้เจ็บจนใจด้านชาเสียก่อน กับยอมลองเริ่มต้นดูสักตั้ง แล้วมีความสุขกับความสุขที่เคยได้สัมผัสมาแล้วว่ามันดีแค่ไหน”

ถ้อยคำของพี่สาวราวกับฝั่งลึกสลักอักษรไว้ในใจ อาทิตย์อัสดงก้มหน้านิ่งงันอยู่เพียงครู่ใหญ่จนรู้สึกว่าความอ่อนโยนที่ปลอบประโลมตนอยู่บนศีรษะจางหายไป ถึงได้รู้สึกตัวอีกครั้ง

เหลือเพียงเขาอยู่ลำพังแล้ว

ดุจจะให้เขาได้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญกับตนเองอย่างเต็มที่ เพราะมั่นใจว่าเขาจะก้าวเดินต่อไปได้หลังจากคำแนะนำนั้น ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ร่างโปร่งฉุดตัวลุกขึ้น ก้าวเข้าไปในบ้านอีกครา และเอ่ยล่ำลาสมาชิกทั้งห้าคนในบ้านก่อนจะกลับไปยังบ้านที่เป็นของตน เมื่ออาบน้ำชำระกายแล้ว เขาก็ตรงไปยังหัวเตียง พิศมองกล่องทรงสูงที่ถูกทิ้งร้างไว้ราวกับยามรักษาการณ์ หยิบมันขึ้นมาเปิดออก

คุกกี้ที่เหลือเพียงชิ้นเดียวยังคงแน่นิ่งอยู่ที่ก้นกล่อง เขาหยิบมันขึ้นมาหลังสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือกใหญ่ ดั่งจะเอาอากาศอัดเข้าไปจนหนาแน่นเต็มปอดเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ ทิ้งตัวลงเมื่อวางกล่องใบนั้นลงยังที่เดิมแล้ว ทว่าเมื่อพิจารณาดูคุกกี้ทรงคล้ายกลีบทิวลิปชิ้นนี้มันกลับแปลกประหลาดกว่าชิ้นอื่นๆ ที่เคยเห็น เพราะไม่มีปลายกระดาษยื่นออกมาภายนอก

อาจจะต้องบิออกกระมัง

หลังจากคิดเช่นนั้น มือเรียวจับลงที่ปลายสองข้าง ออกแรงเล็กน้อยเพื่อให้บริเวณตรงกลางของเนื้อสีเหลืองนวลเกิดรอยร้าว มันค่อยๆ เกิดรอยแยกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะแบ่งออกเป็นสองส่วนพร้อมกับมีสิ่งหนึ่งตกลงมา

เพียงเห็นสิ่งนั้น อาทิตย์อัสดงก็ทิ้งความสนใจจากคุกกี้โดยสิ้นเชิง เขาเอามันวางบนโต๊ะข้างเตียงอย่างไม่ไยดีว่าจะเลอะหรือตกหล่นหรือไม่ และพุ่งความสนใจไปที่แผ่นกระดาษซึ่งพับอยู่สองทบ เมื่อคลี่ออกดู...



‘เปิดดูใต้กระดาษรองแผ่นสุดท้ายสิครับ’



เมื่อจับใจความเนื้อหาได้ ร่างโปร่งก็รีบคว้ากระบอกทรงสูงมาทันที เขาล้วงมือลงไปในนั้น ดึงกระดาษไขแผ่นสุดท้ายออกจึงพบของขนาดเล็กถูกเทปใสยึดเอาไว้ ครั้นดึงมันออกมาจากกล่องคุกกี้ได้สำเร็จก็เห็นว่าเป็นถุงซิปล็อกขนาดเล็ก

ภายในนั้นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสีดำ ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย

เมมโมรี่ขนาดจิ๋วในนามไมโครเอสดี

จับมันขึ้นมาได้เขาก็ฉงนงงงวย คาดเดาไม่ออกว่ามีอะไรถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ในนี้ จึงหยิบแท็บเล็ตออกมาเปิดช่องใส่ความจำภายนอกแล้วดึงสิ่งเดียวกันที่ติดอยู่ประจำเครื่องออกเพื่อใส่แผ่นใหม่เข้าไปแทน กระทั่งเสร็จสิ้น บนหน้าจอกรอบใหญ่ปรากฏข้อความว่ามีการติดตั้งความจำภายนอกเข้าไปใหม่ เขาก็เปิดดูข้อมูลภายใน

ข้างในนั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ถูกบรรจุอยู่

คลิปวิดีโอความยาวประมาณสองนาที...

อาทิตย์อัสดงไม่รอช้า รีบเปิดมันขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันนั้นอวัยวะในอกก็ส่งเสียงกู่ร้องออกมาเป็นจังหวะรุนแรงด้วยความระทึก คิดไปต่างๆ นานาว่ามันคืออะไรกันแน่ กระทั่งได้เห็นใบหน้าของคนที่เขาเฝ้าปฏิเสธมากว่าครึ่งเดือน

ใบหน้าของภันวัฒน์ฉายขึ้นเต็มจอขนาดเจ็ดนิ้ว

เจ้าตัวมีท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย หน่วยตาสีนิลเลิ่กลั่กไม่อยู่สุขผิดแผกจากทุกครั้งที่ได้เห็น เม้มริมฝีปากบ่อย เบือนหน้าหนีจากหน้าจอไปบ้างเป็นระยะ พูดจาตะกุกตะกักราวกับกำลังตกประหม่า

เพียงเห็นเท่านั้นก็ทำให้หัวใจที่ไหวระรัวยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมลงมา

“ถึงที่ผ่านมา ผมจะแสดงออกชัดเจนอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคย... ปิดบังคุณเลยสักครั้งว่า...รู้สึกแบบไหนอยู่ แต่ว่า เอ่อ... ผมก็อยากพูดออกมา อยากบอกคุณ...สักครั้ง ถึงจะไม่ใช่การพูดออกมาโดยตรง ไม่ได้พูดต่อหน้าคุณ เพราะหากให้พูดตรงๆ เลยก็คือ... ผม”

มือเรียวยกขึ้นจับหน้าอกของตนเอง รู้สึกอึดอัดจนทรมาน เขาแทบหายใจไม่ออกกับสิ่งที่พรั่งพรูกระท่อนกระแท่นจากปากของชายผู้อยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวจริง

“ผมก็เขินอยู่เหมือนกัน ที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา ผมแทบไม่เคยพูดแบบนี้กับใครเลยด้วยซ้ำ นอกจากกับน้องสาว แต่ว่าอยากจะบอกกับคุณจริงๆ...อยากบอกให้คุณได้รู้”

คำพูดที่อ้อมแล้วอ้อมอีกยิ่งทำให้คนฟังลุ้นระทึกไปด้วย อาทิตย์อัสดงขยำหน้าอกเสื้อของตนเองแน่นกว่าเดิม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องราวกับจะให้มันทะลุเข้าไปในจออย่างไรอย่างนั้น หัวใจเต้นตึกๆ สะท้อนก้องจนห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ได้

เสียงทุ้มๆ ที่ดังมาจากเครื่องสี่เหลี่ยมด้านหน้ากระเด้งกระดอนไปทั่วประสาทรับรู้

“ผม...รักคุณนะฟรี”

สุดท้ายปิดคำพูดด้วยการที่มือหนายกขึ้นมาปิดใบหน้าคมคร้ามซึ่งขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อราวกับเขินอายอย่างหนัก ทว่าไม่ใช่เพียงแค่คนที่กำลังอยู่ภายในจอเท่านั้น แต่คนที่ได้ยินและได้เห็นภาพนั้นก็ไม่ต่างกัน

ร่างโปร่งรู้สึกใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมาจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนวูบวาบ

“เอาไว้... ผมจะบอกคุณต่อหน้า บอกคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง นะครับ”

ปลายเสียงนั้นสั่นเล็กน้อยจากผลพ่วงของความสะท้านอายที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

“ถ้าถึงตอนนั้น คุณช่วย...รับรักผมหน่อย...ได้ไหม”

สายตาที่ถ่ายทอดความหมายผ่านกระจกชนิดพิเศษมานั้นลึกซึ้งด้วยความรู้สึก แม้ว่าใบหน้าจะยังปรากฏริ้วแดง ราวกับต้องการแสดงออกให้เห็นถึงความแน่วแน่ ความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของตนเอง และได้ผลตอบรับอย่างที่คาดหวังเอาไว้

อาทิตย์อัสดงรู้สึกตัวสั่นเล็กน้อย มือหนึ่งยกขึ้นมาเอาหลังมือแตะปากเพื่ออุดทุกความรู้สึกที่แทบกระโจนออกมาในรวดเดียวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะที่ก้อนเนื้อใต้แผ่นอกยังส่งเสียงร้องคำรามไม่หยุด

ขนาดเพียงแค่ดูผ่านแท็บเล็ต เขายังออกอาการขนาดนี้

หากไปหาอยู่ต่อหน้าเจ้าตัวล่ะ เขาจะเป็นอย่างไร

แค่เพียงคิดก็รู้สึกสะท้านและหวาดกลัวแล้ว ยิ่งได้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ร่างโปร่งก็ไม่อาจทิ้งขว้างความรู้สึกของตนเองที่พยายามผลักไสมาตลอดไปได้

เขาอยากไขว่คว้า อยากยื่นมือออกไปจับมือที่อยู่อีกฟากหนึ่งเอาไว้

ถึงจะไม่รู้ว่าปลายทางเป็นอะไร แต่สถานที่ภายนอกซึ่งมีภันวัฒน์ยืนอยู่นั้น มันสว่างเจิดจ้าจนเขาอยากเดินไป

‘ลองชั่งน้ำหนักดู ระหว่างทรมานต่อไปแบบนี้โดยไม่รู้ว่าจะยืดยาวไปอีกเท่าไร หรือต้องรอให้เจ็บจนใจด้านชาเสียก่อน กับยอมลองเริ่มต้นดูสักตั้ง แล้วมีความสุขกับความสุขที่เคยได้สัมผัสมาแล้วว่ามันดีแค่ไหน’

คำพูดของพี่สาวย้อนมาอีกครั้ง

เขาควรตัดสินใจอย่างนั้นใช่ไหม

ชั่งน้ำหนักแล้วจะรู้เองว่าตาชั่งฝั่งไหนที่โอนเอียงมากกว่ากัน

อยากมีความสุขหรือทุกข์ทรมาน...

อย่าไปคิดถึงวันข้างหน้า แต่ให้คิดถึงตอนนี้ ณ เวลานี้ เขาต้องการสิ่งใด

หน่วยตาสีชาปิดลง ดับภาพเบื้องหน้าที่ดับไปแล้วเช่นกัน ใช้สตินึกคิด ตรึกตรองเท่าที่สามารถ แม้ที่ผ่านมาจะทำเช่นนั้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม ทว่าบัดนี้ ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่คิดได้กลับแตกต่าง

คำตอบกะพริบวิบวับอยู่ที่มุมลึกที่สุดของความมืด เขาจึงยื่นมือออกไป ไขว่คว้ามันเอาไว้พลางสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด จับมันเอาไว้ให้มั่นเพื่อไม่ให้หนีรอดเพราะความหวาดเกรงและอ่อนแอของตนเอง ก่อนจะเปิดตาขึ้นมา มองมือที่กำแน่นแล้วค่อยๆ แบออกอย่างเชื่องช้า

มันคือคำตอบ...






------------------------------
ตอนนี้สั้นๆ แต่ตอนหน้าจะยาวค่ะ เพราะว่าเป็นตอนก่อนจบ


ประโยคเมื่อตอนที่แล้ว "แม้เพียงนำร่างขึ้นไปชั้นบนยังรู้สึกว่ายากลำบาก"
อันนี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนกำลังเดินขึ้นไปชั้นบนค่ะ
แต่ถ้าใช้ว่า เป็นเรื่องยากลำบาก แบบนี้จะหมายถึงว่ายังไม่ได้ขึ้นไปค่ะ

ส่วนชื่อเรื่อง บล็อกเก้อ เป็นการรวม 2 คำค่ะ
บล็อก หมายถึง กีดขวาง ปิดกั้น ส่วนเก้อ มาจาก ไม่เป็นอย่างที่หวัง เสียเปล่า อย่างพวกคอยเก้อ ยิ้มเก้อค่ะ
ชื่อของเรื่องนี้เลยหมายถึง ปิดกั้นตัวเองไปก็ไร้ประโยชน์ค่ะ


ป.ล.ที่ 1 ตอนนี้มีหนังสือ It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ อยู่นะคะ
ใครสนใจเรื่องนี้ ติดต่อได้ทางเฟซบุ๊กค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

ป.ล.ที่ 2 ตอนหน้าเราจะเปิดสำรวจคนที่สนใจหนังสือบล็อกเก้อนะคะ

Undel2Sky


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ฮื้ออออออออออออออออออออออ คุณอาทิตย์ของเค้าไม่ใช่ของเค้าอีกต่อไปปป ตอนนี้ไม่มีคุณภันเป็นตัวเป็นตนแต่แบบ ออร่าพระเอกส่องกระจายมากจริงๆค่ะ 55555555555 ต้องยอมรับแล้วล่ะค่ะ จะจบเรื่องแล้ว คงต้องยอมแล้วจริงๆ ทำไมเราชอบที่มาของชื่อเรื่องจังคะ ฮื้ออออ แบบ https://www.youtube.com/watch?v=3fR09DsFByk ไม่ไหวแล้วค่ะ อยากได้เล่มมม ขอตอนพิเศษเยอะๆนะคะ เก็บเงินรอเลยค่ะะะะ  :mew3:

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ง่ะ ทำไมมาสั้นขนาดนี้ ยังมีต่อใช่ไหม

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
31st Entry : จุดหมายปลายทาง






ภายในห้องทำงานปกคลุมด้วยความเงียบอย่างผิดปกติเช่นนี้มานานนับสองสัปดาห์แล้ว บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกหดหู่ระคนอึมครึมแผ่ขยายไปทั่ว เจ้าของร่างหนุ่มนั่งพิจารณาเอกสารในแฟ้มงานก่อนจะเซ็นชื่อลงไป จากนั้นเรียกเลขานุการสาวมารับเอกสารเพื่อส่งต่อไปยังอีกแผนกหนึ่ง

“ปัญหายังไม่เคลียร์เหรอคะ”

คำทักทายเรียกใบหน้าคมเข้มให้เบือนขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจคำถาม นนทิยาจึงอธิบายเพิ่มเติม

“นนนี่เห็นคุณภันไม่ร่าเริงมาหลายวันแล้ว แถมเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกอย่างทุกทีด้วย”

ลักษณะคำพูดที่อีกฝ่ายใช้ส่อเจตนาได้เป็นอย่างดีว่าอยากให้เขาร่าเริงขึ้น เพราะหากเป็นปกติก็คงจะยอกย้อนกลับไปแล้ว ทว่าในเวลานี้ภันวัฒน์ทำได้เพียงยิ้มเฝื่อนที่ทำให้เลขาฯ ต้องมาห่วงใย

เขากลอกตาขึ้นด้านบนเล็กน้อยพลางครุ่นคิดก่อนจะเกริ่นออกมา

“คุณนนว่าเราจะปรับความเข้าใจกับคนที่ชอบยังไงดีครับ”

“ผิดใจกันเหรอคะ” หญิงสาวย้อนเสียง “เพราะว่าชอบทำตัวลอยชาย ขี้เล่น เขาเลยไม่เชื่อถือหรือเปล่า”

“ผมไม่เคยทำอย่างนั้นเลยนะ ถึงจะมีหยอกเล่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำตัวกะล่อน หรือหลายใจเลย จริงใจแล้วก็จริงจังด้วยตลอด”

น้ำเสียงที่ใช้ชัดเจนด้วยความเอาจริงเอาจังจนคนฟังรู้สึกได้ เธอยิ้มบางเบาให้ราวกับจะให้กำลังใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็มีทางเดียวเท่านั้นแหละค่ะ คือแสดงความจริงใจให้เขาเห็น พูดจนกว่าเขาจะยอมฟัง ถ้าเขาเห็นความมุ่งมั่นของเรา เขาก็จะยอมใจอ่อนฟังเอง”

“ครับ ผมก็พยายามทำอย่างนั้นอยู่”

ในประโยคนี้ผู้จัดการหนุ่มเอ่ยเสียงค่อยลงเล็กน้อย ดั่งคนไม่มีความมั่นใจผิดธรรมดาของชายผู้มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ ทำให้นนทิยาค่อนข้างมั่นใจ

“คุณภันคงจะเอาจริงเอาจังกับคนนี้จริงๆ สินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้คืนดีกันได้เร็วๆ ค่ะ”

รอยยิ้มที่ส่งมาให้น้อยๆ แต่กลับรู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีนั้นทำให้คนเห็นรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ที่ได้รับกำลังใจจากผู้อาวุโสกว่า

“ขอบคุณนะครับ ผมจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสำเร็จ”

ใบหน้าที่นิ่งเฉยแฝงความเหนื่อยล้าอยู่นานปรากฏรอยยิ้มขึ้นได้ ขณะเดียวกันภันวัฒน์ก็รู้สึกมีแรงฮึกเหิมมากขึ้น

หลังจากเลิกงาน เขาตรงไปยังบ้านอาทิตย์อัสดงเหมือนอย่างเคย แม้จะถูกหมางเมินอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด ทว่าเขาก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้สักครั้ง ถึงจะรู้สึกถึงความเศร้าและแปลบปลาบในหัวใจ แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งความหวัง และที่สำคัญ...

แม้จะถูกปฏิเสธการพบหน้าอย่างไม่ไยดี แต่ทุกครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างของชั้นบน เขาจะจับสัมผัสได้ถึงเงาหนึ่งเสมอ ไม่ต้องสงสัยว่าคือเงาของใคร เพราะมีเพียงคนเดียวในบ้านหลังนั้น

ถึงจะลุกหนีขึ้นชั้นบนทุกครั้งที่เขามาหา แต่อาทิตย์อัสดงมักมองลงมาจากหน้าต่างห้องนอนไม่ว่าเมื่อไร นั่นหมายความว่า...เขาไม่ได้หมดโอกาสเสียทีเดียว

ความหวังยังส่องแสงสว่างริบหรี่อยู่ในมุมหนึ่ง

เพราะเหตุนั้นเขาจึงยิ่งทิ้งความเพียรพยายามของตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการเข้าหาอย่างสม่ำเสมอ ห้ามท้อแท้ เพราะเขารู้ว่าคนที่โศกเศร้ากับเรื่องนี้ ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว

หากทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิมเร็วมากขึ้นเท่าไร ยิ่งเป็นการดีต่ออีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงจะได้ไม่ต้องหมองเศร้าอยู่เช่นนี้

การได้ฟังความคืบหน้าในแต่ละวันจากหนึ่งฤทัยผ่านทางเกรียงไกร ทำให้เขายิ่งห่วงอีกฝ่ายมากขึ้น เพราะรู้ว่าเจ้าตัวเป็นคนคิดมากแค่ไหน

ใบหน้าสีน้ำผึ้งเชยขึ้นมองกรอบหน้าต่างชั้นบนที่เป็นดังจุดปลายสายตาของทุกวัน ก่อนจะก้มลงกลับมาวางสายตาในระดับเดิมเมื่อยังไม่เห็นวี่แววของแสงไฟภายในห้องนอน ภันวัฒน์สืบเท้าเข้าไปใกล้ประตูรั้ว ยื่นนิ้วกดปุ่มส่งสัญญาณเรียกคนภายในเช่นเดียวกับทุกวัน

มันดังขึ้นหนึ่งครั้ง สองครั้ง...

ภันวัฒน์เตรียมใจไว้แล้ว หน่วยตาสีนิลทอดมองไปยังตำแหน่งหน้าต่างของห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ใจไพล่คิดถึงภาพที่เห็นจนเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน

เมื่อเสียงสัญญาณครั้งที่สี่ดังขึ้น กรอบร่างที่เห็นห่างไกลเริ่มขยับตัว

แม้จะบอกตนเองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่จะเป็นเช่นนั้น ควรจะเริ่มปรับตัวให้ชินได้แล้ว ทว่าในใจก็ยังรู้สึกถึงรอยขีดข่วนเพิ่มเติมอยู่ดี เพราะถึงจะชินตา แต่ไม่มีทางชินความรู้สึก ตราบใดที่เขายังมีใจให้ผู้ชายคนนี้

ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีรับมือกับมัน ไม่ว่าสักกี่ครั้งก็ตาม

แต่ทั้งที่คาดการณ์ไว้แล้วว่าภาพที่เห็นจะต้องเป็นเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้หรือวันก่อนๆ แต่ในคราวนี้ดวงตาคมคายกลับต้องเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจยิ่งยวด เพราะแทนที่ร่างนั้นจะผลุบหายไปและปรากฏขึ้นบนชั้นสอง มันกลับมาหยุดอยู่หน้าประตูชั้นใน ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในขอบเขตการมองเห็นของเขามากขึ้นเรื่อยๆ

เขาแทบลืมหายใจในนาทียาวนานนั้น ดวงตาเบิกกว้างจดจ้องที่ร่างคุ้นเคยซึ่งไม่ได้เห็นเต็มตามาเกินกว่าครึ่งเดือน ริมฝีปากเปิดอ้าเหมือนจะปล่อยให้คำพูดหลุดออกมาแต่กลับมีเพียงความเงียบงัน ราวกับเสียงถูกบางสิ่งบางอย่างกลืนหายไป กระทั่งชายร่างโปร่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าโดยมีเพียงรั้วประตูกั้น

สายตาของทั้งคู่สอดประสานกันท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่ใหญ่ กว่าสติและร่างกายของภันวัฒน์จะกลับมาทำงานได้อย่างปกติ แม้กระนั้นเสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังตะกุกตะกัก

“คุณ...ยอมพบผม...แล้วเหรอครับ”

“ผมจะลองฟังสิ่งที่คุณพูดดู”

ตรงข้ามกับร่างสูงโดยสิ้นเชิง เสียงของอาทิตย์อัสดงนิ่งเรียบ ไม่เจือแววหวาดหวั่นหรือหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถึงจะไม่มีอารมณ์ใดเจือปน ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วที่อีกฝ่ายยอมฟังกัน

“ถ้าอย่างนั้น... ผมขอเข้าไปคุยข้างในได้ไหมครับ”

ขณะถาม ใจของภันวัฒน์ก็เต้นตุบๆ ราวกับไม้กลองฟาดลงบนแผ่นหนัง ถึงจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยที่สถานการณ์กำลังเบนเข็มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังหวาดเกรงว่าจะถูกปฏิเสธการเข้าใกล้เกินกว่าในระยะนี้อยู่ดี

แต่ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างชายหนุ่มผู้มีความพยายามอย่างมหาศาล เพราะอาทิตย์อัสดงตอบรับด้วยการเปิดประตูรั้วให้ ภันวัฒน์จึงค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปอย่างระมัดระวัง ดุจมันเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งมีกับระเบิดฝังอยู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเท้าลอยไม่ติดพื้น

เป็นความรู้สึกสับสนอลหม่านจนแยกไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือหวั่นเกรงกันแน่

เมื่อเข้าไปถึงภายใน ก็ต้องรอให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านผายมือเชื้อเชิญให้นั่งจึงนั่งลงได้ อาทิตย์อัสดงนำน้ำดื่มมาบริการให้ดั่งอีกฝ่ายเป็นแขกคนสำคัญผิดกับทุกทีที่ผ่านมาจนภันวัฒน์รู้สึกงงงวย ไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองตื่นหรือฝันอยู่กันแน่ เขาลอบหยิกขาตัวเองเบาๆ เพื่อทดสอบให้แน่ใจ และมันก็เจ็บเสียด้วย

อาทิตย์อัสดงใจอ่อนแล้วหรือว่ากำลังจะตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง?

ความเห็นตรงข้ามกันคนละขั้วปรากฏขึ้นในสมองโดยไม่ตั้งใจ เขามองใบหน้าของร่างโปร่งที่ไม่เปิดเผยถึงความรู้สึกใดแล้วจิบน้ำลงคอช้าๆ เมื่อวางแก้วลงบนโต๊ะกลางแล้วก็เริ่มเกริ่นนำประโยค

“คือว่า...ผมอยากอธิบายเหตุผลครับ”

ร่างสูงหยั่งเชิงดูก่อนพลางลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายไปด้วย พบว่าทีท่าของอาทิตย์อัสดงยังไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เพียงมองหน้าเขาเหมือนกับกำลังรอรับฟังอยู่ที่ปลายอีกด้านของโซฟายาวตัวเดียวกัน

“มันอาจจะดูซ้ำซากที่ผมมาพูดแบบนี้ แต่ว่าผมอยากให้คุณเข้าใจและเชื่อมั่นว่าผมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับฐานแบบนั้นจริงๆ ตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุณมา ผมก็มุ่งมั่นอยู่กับคุณคนเดียว ไม่เคยทำอะไรลับหลังที่เป็นการหลอกลวงคุณเลยสักครั้ง”

คนฟังยังคงเงียบ ภันวัฒน์จึงพูดต่อ

“คุณอาจจะไม่เชื่อคำพูดทั้งหมดที่ผมว่ามาก็ได้ ผมเข้าใจ แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าถึงภายนอกผมจะดูเหมือนคนกะล่อน ขี้เล่น แกล้งแหย่หรือเอาใจใครไปทั่ว จนเหมือนพวกเจ้าชู้ ไม่จริงใจ แต่ผมเป็นคนที่ถ้าคบหากับใครแล้ว ผมจะคบกับคนคนนั้นคนเดียว จะไม่มีคนอื่นหรือจับปลาสองมือโดยเด็ดขาด”

อาทิตย์อัสดงยังนิ่งเฉย มองตรงมา

“ถ้าผมจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครสักคน ต้องหลังจากเลิกกับคนปัจจุบันแล้วเท่านั้น แล้วผมก็ไม่เคยเป็นฝ่ายขอเลิกกับใครก่อนด้วยเหตุผลว่าเจอคนใหม่ ผมเป็นแบบนั้น และอยากให้คุณช่วยพิจารณาการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของผมด้วยว่ามันเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ผมเป็นคนเรรวนถึงขนาดนั้นในความรู้สึกของคุณจริงๆ เหรอ เชื่อถือไม่ได้สักนิดเลยเหรอครับ”

แม้ประโยคสุดท้ายจะเป็นการเอ่ยถาม แต่ว่าคนฟังยังคงไม่แสดงปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ใจภันวัฒน์พลันห่อเหี่ยวลงไปอีก รู้สึกได้ถึงแสงสว่างริบหรี่ค่อยๆ มอดแสงลงเรื่อยๆ

“คุณยังไม่ต้องรีบตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ แต่ว่าอย่างน้อยช่วยเก็บไปคิด แล้วก็เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงความจริงใจต่อไป ให้ผมได้ทำให้คุณเชื่อต่อไปนะครับ อย่างปิดกั้นหรือหนีหน้าผมอย่างที่ผ่านมาเลย”

ท้ายคำพูดนั้นเจือไปด้วยการอ้อนวอน และไม่ใช่เพียงน้ำเสียงเท่านั้น แต่สายตาที่ทอดมองออกไปยังร่างโปร่งก็สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

ภันวัฒน์ไม่หวังให้อาทิตย์อัสดงยอมใจอ่อนลงโดยทันที

เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายจะยอมเปิดใจ เพราะเขาทำให้ผิดหวังไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องถูกปิดกั้นไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังหวังว่าจะได้รับความเห็นใจสักเล็กน้อย ขอแค่ต่อเติมความหวังเขาอีกสักนิดก็เพียงพอแล้ว

เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาจริงๆ ว่าสักวันเขาจะได้รู้สึกแบบนี้

อ้อนวอนใครสักคนเพื่อขอความรัก

เว้าวอนขอให้ยอมพิจารณาเขาสักหน่อย

ทว่า...

“ผม...”

เสียงที่เงียบหายไปนานมากในความรู้สึกของผู้จัดการหนุ่มดังขึ้น เรียกให้ความตื่นตัวกระตือรือร้นทั้งหมดลุกโชติช่วงในฉับพลัน หน่วยตาสีนิลเบิกโพลงด้วยความจดจ่อ รอคอยคำพูดต่อไปที่เฝ้ารอมาแสนนาน

แล้วเขาก็รู้สึกราวกับหูดับไป

“ไม่ใช่ไม่เชื่อใจคุณหรอกครับ”

โลกทั้งใบว่างเปล่าขึ้นมาในบัดดล สรรพเสียงกลืนหายไปในอากาศอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนเสียงเดิมจะดังสะท้อนก้องดังกระเด้งไปมาอยู่ในพื้นที่จำกัดไม่มีทางออก

ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ...งั้นเหรอ?

เหมือนจะเข้าใจความหมาย แต่ก็ไม่เข้าใจ ภันวัฒน์รู้สึกมึนตื้อไปหมด หัวสมองตีบตันไปชั่วคราวจนคิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้างงงวยอย่างไม่ปิดบัง

“ผมคิดว่า...คุณไม่ได้เป็นประเภทเจ้าชู้ประตูดิน หรือว่าคบใครทีละหลายๆ คน ชอบทำหมาหยอกไก่ไปทั่วหรอกครับ”

หากไม่ใช่น้ำเสียงที่แฝงถึงแววจริงจังเอาไว้ คงเผลอคิดไปได้ไม่ยากว่าเป็นการเสียดสีประชดประชันกันอย่างเต็มที่ แต่เพราะมันเป็นเช่นนั้น คนฟังจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ความกระปรี้กระเปร่ามาเยี่ยมเยือนหลังจากเลือนหายไปพักใหญ่

“ถ้า... ถ้าอย่างนั้น”

ภันวัฒน์ห้ามไม่ให้เสียงของตนเองสั่นไม่ได้ เขาจดจ้องมองดวงหน้าที่หมองไปจากปกติสักหน่อยนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่ง

“ที่ผมหลบหน้าคุณและคอยหลีกเลี่ยงคุณทุกครั้งที่มาหาก็เพราะ...ความเห็นแก่ตัวของผมเอง ขอโทษนะครับ”

ทุกอย่างผิดคาดจนดูยุ่งเหยิงในทันที ผู้จัดการหนุ่มไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่า ‘ความเห็นแก่ตัว’ ในที่นี้คืออะไร

ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่เป็นฝ่ายผิดจนทำให้อีกฝ่ายไม่อยากพบหน้า

“ผมมองออกครับว่าที่ผ่านมาคุณปฏิบัติกับผมด้วยความรู้สึกแบบไหน คุณคอยช่วยเหลือและหวังดีกับผมเสมอมา มีแต่ผมต่างหากที่ทำไม่ค่อยดีกับคุณ รวมถึงครั้งนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยครับ เป็นเพราะผมขี้ขลาดและหวาดกลัวไปเอง คุณถึงต้องลำบากกายลำบากใจอยู่แบบนี้”

สีหน้าที่เคยเปี่ยมด้วยแววขอร้องดั่งมีเครื่องหมายปรัศนีปรากฏอยู่ ทั้งงงวยงงงันไปหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุการณ์ถึงได้พลิกกลับตาลปัตรไปหมดจนตามไม่ทัน

“วันนั้นตอนที่คุณบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนของคุณ ผมก็รู้สึกตัวครับ”

ภันวัฒน์กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ทุ่มสมาธิทั้งหมดเพื่อรอฟังประโยคถัดไป

“ผมรู้สึกว่าผมคงทนไม่ได้หากว่าสักวันหนึ่งคุณจะมีคนอื่นแล้วจากผมไป เห็นแก่ตัวใช่ไหมครับ ทั้งที่เป็นความผิดของตัวเองแท้ๆ กลับหน้าด้านผลักไสให้เป็นความผิดของคุณซะได้ แต่ว่าผมรู้สึกกลัวจริงๆ หากต้องเผชิญเหตุการณ์อย่างนั้นอีก ผมถึงพยายามเลี่ยงคุณมาตลอด เพราะไม่อยากจะใกล้ชิดคุณไปมากกว่านี้ ให้หยุดตอนนี้ยังดีกว่าถลำลึกลงไปแล้วหยุดตัวเองไม่ได้ แต่ว่า...มันก็ยังน่าสมเพชอยู่ดีแหละครับ เพราะถึงจะหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ผมก็ยังรู้สึกหดหู่จนยิ้มไม่ออก กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้สักนิด”

คำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งจากร่างโปร่งทำให้ภันวัฒน์ยิ่งกว่าตะลึงงัน แต่เพียงครู่เดียวใบหน้าคมคร้ามก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...ยิ้มไม่หุบ

ทั้งที่ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ควรยิ้มแม้แต่น้อย ทว่าเหตุผลต่างๆ นานาที่ได้รับฟังทำให้เขาหยุดตัวเองไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอาทิตย์อัสดงมีใจให้กันจนไม่อยากสูญเสียเขาไป

จะมีอะไรที่น่ายินดีกว่านี้อีกหรือ

ไม่มีอีกแล้ว

ร่างสูงอยากจะตะโกนประโยคนั้นออกมาดังๆ เสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะแค่หุบยิ้มไม่ได้ก็ถือว่าเป็นการแสดงออกนอกหน้านอกตาเกินไปแล้ว

“แสดงว่าคุณ...ไม่ได้เกลียดผมสินะครับ”

แม้จะพยายามฝืนกดมุมปากให้ตกลง แต่ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี ถึงกระนั้นก็ได้คำตอบรับที่น่ายินดีคือการพยักหน้าจากอีกฝ่าย

“คุณเองก็...รู้สึกแบบเดียวกับผม...สินะครับ”

ถึงคำตอบจะค่อนข้างชัดเจนแล้ว ภันวัฒน์ก็ยังถามอย่างลังเลอยู่ดี รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นมาแล้วว่าความมั่นใจที่มีจะพังทลายจนหมดสิ้น ถ้าคำตอบเป็นอีกอย่าง

“ครับ”

แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่หวาดกลัว จึงทำให้ภายในอกของร่างสูงล้นด้วยความรู้สึกเต็มตื้น

“แล้วทำไม...วันนี้คุณถึงยอมพูดกับผมตรงๆ ล่ะครับ”

อดสงสัยไม่ได้ เพราะความพยายามของอาทิตย์อัสดงไม่น่าจะล้มเหลวเอาเสียดื้อๆ แต่ก็อยากขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจเสียใหม่

“พี่สาวผมบอกให้ผมลองชั่งน้ำหนักดูน่ะครับ ระหว่างหลบหน้าคุณต่อไปแล้วตัวเองต้องมารู้สึกย่ำแย่ กับยอมรับความรู้สึกของคุณและความรู้สึกของตัวเองแล้วก้าวเดินต่อไป”

ได้ยินเช่นนั้น ภันวัฒน์ก็รู้สึกอยากกราบเบญจางคประดิษฐ์พี่สาวของอาทิตย์อัสดงเสียเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว

“แล้วคุณก็เลือกอย่างหลัง...สินะครับ”

“ครับ”

คำตอบที่ชัดเจนเกินกว่าจะหักลบตลบความไปเป็นอย่างอื่นได้ ทำให้คนฟังอยากจะไชโยโห่ร้องขึ้นมาครามครัน ร่างสูงกัดปากตัวเองแน่นเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ที่ลุกโหมขึ้นมาเอาไว้ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ขอบคุณมากนะครับที่คุณตัดสินใจแบบนี้”

ไม่รู้ว่าใบหน้าของตนแสดงความอ่อนโยนและปลื้มปริ่มดีใจแค่ไหน ถึงได้รับรอยยิ้มจางๆ กลับมาจากคู่สนทนา ทว่าเพียงเท่านี้ปาติซิเย่หนุ่มก็รู้แล้วว่าโอกาสหวนกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาจะทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้อาทิตย์อัสดงต้องรู้สึกไม่มั่นคงในความรู้สึกของเขาอีก

“ต่อไปนี้ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีวันทำให้รู้สึกเสียใจภายหลังว่าเลือกผิดครับ”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

คำปฏิเสธสั้นๆ นั้นทำให้อารามดีใจอย่างสูงที่สุดทิ้งตัวดั่งดิ่งลงเหว ภันวัฒน์ร่างชา รู้สึกเย็นวาบไปทั้งสรรพางค์ นัยน์ตาเหลือกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ปากขยับอ้าขึ้นลงเหมือนคนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก ท่าทางเช่นนั้นคงพิลึกพิลั่นในสายตาของคนเห็นพอดู เสียงของอาทิตย์อัสดงจึงดังขึ้นอีกคราวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์

“ผมหมายถึง คุณไม่ต้องพยายามถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่เสมอต้นเสมอปลายไปทุกๆ วันก็พอแล้ว”

ลงท้ายด้วยรอยยิ้มปลอบโยนคนที่ขวัญหนีดีฝ่อไปไกลแล้วให้กลับมา เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความโล่งอกจึงดังพรืดออกมาอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าผ่อนคลายปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสีน้ำผึ้ง เสียงทุ้มใหญ่กึ่งขบขันกึ่งจริงจังดังตามมาคล้ายตัดพ้อ

“โธ่คุณ ทำผมใจหายหมด นึกว่าจะเฉดหัวผมทิ้งแล้วซะอีก ตั้งแต่เข้ามาในบ้านคุณวันนี้ รู้ไหมครับว่าอารมณ์ของผมมันดีดขึ้นดิ่งลงกี่รอบแล้ว ยิ่งกว่าขึ้นไวกิ้ง รถไฟเหาะหลายสิบเท่าเลยนะ”

“คุณก็ฟังให้จบประโยคสิครับ”

เสียงเจือหัวเราะดังเบาๆ ให้หนุ่มร่างกำยำยิ่งโล่งใจ เขาเอนหลังพิงพนักโซฟาสีขาวสะอ้านได้เป็นครั้งแรก

“ว่าแต่...”

อยู่ๆ ร่างโปร่งก็เกริ่นขึ้นประโยคอีกคราว ทำให้แผ่นหลังของภันวัฒน์ดีดผึงขึ้นมาอีกระลอก เขานั่งตัวตรง วางกำมือบนหน้าขาทั้งสองข้าง ทำตัวมีพิธีรีตองอย่างเต็มที่ราวกับอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่ตนเคารพนับถือและห้ามประพฤติตัวเสียมารยาทโดยเด็ดขาด

ระหว่างนั้นอาทิตย์อัสดงหยิบของอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าอกเสื้อก่อนจะค่อยๆ วางลงบนโต๊ะกลางต่อหน้าคนทำตัวแข็งทื่อเป็นหุ่น แล้วเอ่ยถ้อยคำที่ระบุถึงความต้องการ

“คุณลืมอีกอย่างหนึ่งไปหรือเปล่าครับ”

หลังจากมือเรียวเคลื่อนห่างออกไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หน่วยตาคมเบิกโพลง ภันวัฒน์เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโซฟา







อ่านต่อด้านล่าง


v


v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2016 00:04:23 โดย undersky »

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
ต่อจากข้างบน


v



v




“คุณเปิดดูแล้วเหรอครับ”

“ครับ”

นอกจากเสียงแล้ว สิ่งที่ตอบรับมาพร้อมกันคือการผงกศีรษะเบาๆ ดั่งจะใช้มันเป็นเครื่องมือยืนยันด้วยอีกอย่างหนึ่ง ทำให้คนได้รับคำตอบรู้สึกขวยเขินขึ้นมาทันที กรอบหน้าคมคายผินไปอีกด้านขณะมือหนายกขึ้นใช้หลังมือป้องปากเอาไว้

“จะไม่บอกผมในตอนนี้เหรอครับ”

คำถามที่ราวกับการทักท้วงหรือทวงคำสัญญานั้นทำให้ใบหน้าของภันวัฒน์ยิ่งจับความร้อน สีน้ำผึ้งซับสีแดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ

“คือว่า...ผมก็อยากบอกอยู่นะ แต่มันเขินๆ น่ะ มันแบบ...ถ้าให้พูดโดยไม่เกี่ยวพันกับความรู้สึกของตัวผมเองก็พูดได้อยู่หรอก แต่พอคิดว่าต้องพูดออกมาจากความรู้สึกของตัวเองแล้ว มันก็...”

อากัปกิริยาที่เรียกได้ว่า ‘น่าเอ็นดู’ ถูกย้ายจากอาทิตย์อัสดงไปยังภันวัฒน์แล้ว ณ ตอนนี้

อาทิตย์อัสดงระบายยิ้มเล็กน้อย เริ่มเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงนิยมชมชอบใช้คำนั้นกับเขานัก เพราะมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อเห็นอาการที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นแล้วมันก็นึกคำอื่นไม่ออก ถึงคนทำกิริยานั้นจะเป็นมนุษย์ร่างโตแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในตอนนี้ได้ และก็พลันอยากเห็นมันอีกเรื่อยๆ

“ถ้าอย่างนั้นจะยังไม่พูดตอนนี้ใช่ไหมครับ ผมจะได้ขอเก็บเอาไว้ก่อน”

เมื่อร่างโปร่งว่าเช่นนั้นแล้ว ก็ยื่นมือออกไปหวังคว้าหลักฐานชั้นดีมาเก็บไว้กับตัว ทว่าก็ถูกมือใหญ่ตะปบลงมาในจังหวะเดียวกัน ทำให้สิ่งที่ภันวัฒน์คว้าได้กลับกลายเป็นมือของอาทิตย์อัสดงแทนที่จะเป็นสิ่งของที่หมายตา และก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เจ้าตัวกระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น

“คุณกำลังแกล้งผมเหรอครับ”

สถานการณ์กลับกันโดยสิ้นเชิง ทำให้อาทิตย์อัสดงหุบยิ้มไม่ได้ เพราะโดยปกติแล้วจะเป็นตนเสียมากกว่าที่ถูกทำให้ปั่นป่วน

เป็นครั้งแรกที่เขาถือไพ่เหนือกว่าโดยที่ภันวัฒน์ไม่สามารถแก้มือได้

“เปล่านี่ครับ ผมแค่อยากเก็บหลักฐานเอาไว้ เผื่อคุณเบี้ยวสัญญา”

คงคล้ายกับการโดนโจมตีกระมัง เสียงแผ่ว ‘โธ่’ ถึงดังมาจากกลีบปากของร่างสูง

อาทิตย์อัสดงยิ่งกระหยิ่มยิ้มกับตนเอง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นชายผู้มั่นใจในตัวเองและทะเล้นตกอยู่ในสภาพจนตรอกแบบนี้บ้าง

“ถ้าผมพูดแล้ว คุณจะต้องคืนมันให้ผมนะ แล้วก็ต้องยอมรับผมด้วยนะ”

เมื่อดูเหมือนจะจนหนทางแล้ว ผู้จัดการหนุ่มถึงได้เสนอ

อาทิตย์อัสดงหยุดเพื่อคิดไปชั่วครู่หนึ่ง ลอบอมยิ้มกับตนเองบางเบา เพราะราวกับคำพูดนั้นกำลังสื่อถึงบางอย่างที่จะโยงเกี่ยวไปถึงความสัมพันธ์ในอนาคต ในอกกำลังมีเสียงระทึกดังขึ้นเป็นจังหวะด้วยความรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

แตกต่างจากความรู้สึกที่ผจญมาตลอดครึ่งเดือนโดยสิ้นเชิง

รู้สึกได้ถึงความหวานล้ำ ซาบซ่าน แผ่ขยายไปทั่วทั้งตัว ราวกับมันถูกสูบฉีดไปหล่อเลี้ยงทั่วร่าง

คำที่ตอบคำถามของอีกฝ่ายได้จึงมีเพียงแค่คำเดียว ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่น

“ครับ”

เมื่อได้รับคำตอบดังนั้น ก็เหมือนคนฟังจะมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมาได้ เขาเขยิบกายสมส่วนขยับเข้ามาใกล้ในระยะไม่ต้องเอื้อมมือก็ถึง ประจันหน้ากันในความห่างที่เห็นดวงหน้าได้ชัดเจนถนัดถนี่

นัยน์ตาสีนิลจับจ้องที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจนเป็นสีชาอย่างแน่วแน่ แม้มีแววสั่นไหวบางเล็กน้อย พร้อมกับรู้สึกเห่อร้อนบนใบหน้าอยู่นิดๆ ถึงกระนั้นเสียงทุ้มนุ่มนวลก็เอ่ยออกมา

“ฟรีครับ ผมรักคุณนะ”

เป็นถ้อยคำที่ราวกับหยุดห้วงเวลาเอาไว้ตรงนั้น อาทิตย์อัสดงนิ่งงัน ฟังเสียงที่แปรเป็นคำพูดที่อยากฟังที่สุดสะท้อนก้องซ้ำไปซ้ำมาในห้วงความคิด พอรู้ตัวก็ต้องหลบการจับจ้องของฝ่ายตรงข้ามด้วยความรู้สึกเขินอายเช่นเดียวกัน ไม่นึกว่าแค่เป็นคนฟังก็รู้สึกกระสับกระส่ายถึงขนาดนี้

แล้วคนพูดล่ะ จะรู้สึกเขินถึงขนาดไหน

อดสงสัยไม่ได้จึงเหลือบตาไปดูเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าภันวัฒน์มีอาการไม่แตกต่างจากตนเลย คือหน้าแดง เสหน้าหนีไปเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมอง ต่างคนคงต่างกระดากว่าความสัมพันธ์หลังจากนี้จะเป็นคนรักกันแล้วใช่หรือไม่

หลังจากทั้งคู่พากันเงียบไปพักใหญ่ เสียงของภันวัฒน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ผมขอจูบได้ไหม”

คำถามนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากอาทิตย์อัสดงได้เบาๆ เพราะอยู่ๆ ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ละม้ายกันขึ้นมาได้

แต่เมื่อเผลอสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายที่จดจ้องมาอย่างเอาจริงเอาจัง พร้อมกับได้ยินเสียงถามลุ่มลึก 'ได้ไหมครับ' ราวกับย้ำ เสียงหัวเราะก็ต้องหยุดชะงักไป เกิดเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาก่อกวนใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามนี้กลับไปอย่างไรดี

จะให้ปฏิเสธ มันก็ไม่ใช่

หลับตารอรับจูบหรือ ก็หวานแหววเกินจะรับได้

ครั้นจะให้รุกจูบเองก็รู้สึกว่าน่าอับอายเกินไป

สุดท้ายสิ่งที่อาทิตย์อัสดงทำได้จึงมีเพียง...

“เชิญครับ”

ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทื่อๆ แต่กำลังแดงซ่านไปทั้งหน้า

คนได้รับคำตอบยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกว่าอาทิตย์อัสดงน่ารักมากจนหาคำมาพรรณนาไม่ถูก เขาค่อยๆ ขยับร่างเข้าไปใกล้อีก ให้แนบชิดยิ่งกว่าเก่าจนช่องว่างระหว่างกันแทบหมดไป ใบหน้าคมคร้ามก็เลื่อนเข้าหา

อาทิตย์อัสดงปรือตาลงช้าๆ ราวกับเกรงว่าจะเสียดายเวลาที่กำลังดำเนินอยู่นี้ กระทั่งสิ่งที่เห็นอยู่มีเพียงความมืดเท่านั้น ริมฝีปากก็ได้รับสัมผัสแผ่วเบา

ความนุ่มนวลขยับพะเยิบพะยาบอยู่บนกลีบเนื้อนิ่มๆ ดุจแตะต้องด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผ่านความรู้สึกละมุนละไมร่วมด้วย เป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ก่อนสัมผัสสากชื้นจะค่อยๆ สอดแทรกผ่านรอยแยกเข้ามา แตะแต้มภายในอย่างเสน่หา กวาดกระหวัดเกี่ยวพันเข้าด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า

นับว่าเป็นสัมผัสล้ำลึกที่ได้แลกเปลี่ยนกันเป็นครั้งแรก มันทั้งหอมหวาน วาบหวาม กลมกล่อม เคลิบเคลิ้มจนเหมือนตัวจะลอย แต่ก็เร่าร้อนจนไม่อยากหยุด ไม่อยากจะผละออกแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นเมื่อจำเป็นต้องแยกจากมาจึงรู้สึกเสียดายไม่น้อย

ทั้งสองทอดสายตาสบมองกันอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งในความห่างที่แสนใกล้ และเป็นภันวัฒน์ที่เป็นฝ่ายยอมแพ้เสียก่อน เขาซบหน้าลงบนบ่าที่แคบกว่าตนเอง เสียงทุ้มแผ่วสั่นถ่ายทอดออกมาอย่างอู้อี้

“ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยหัวใจเต้นแรงขนาดนี้มาก่อนเลย ขนาดมีแฟนคนแรกก็ไม่ได้ใจเต้นแรงขนาดนี้ ชักจะเริ่มกลัวแล้วสิว่าจะอายุสั้น”

อาการของอีกฝ่ายเรียกเสียงหัวเราะจากคนฟังได้อีกครั้ง อาทิตย์อัสดงอดรู้สึกขำไม่ได้เพราะเพิ่งเคยเห็นภันวัฒน์ในแง่มุมแบบนี้เป็นครั้งแรก ทั้งที่ภายนอกหรือพฤติกรรมที่ผ่านมา หากบอกว่าอีกฝ่ายเจนจัดในสนามรักคงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ร่างโปร่งจึงเอ่ยเสียงแซว

“ถ้าคุณรีบตาย ผมก็แย่น่ะสิ”

ทว่าคงเป็นการหยอกกระเซ้าที่แสนน่ารักและสร้างความพึงพอใจให้คนฟัง ภันวัฒน์จึงปล่อยกอดแล้วพลอยหัวเราะตามไปด้วย

เสียงแห่งความสุขของคนทั้งคู่ขับขานไปทั่วห้องนั่งเล่นอยู่สักพัก จากนั้นปาติซิเย่หนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนนึกได้

“คุณยังไม่ได้บอกว่ารักผมเลย”

คราวนี้สลับมาเป็นอาทิตย์อัสดงบ้างที่ปั้นหน้าไม่ถูก ได้แต่อึกอักกลอกตาลอกแลก ไม่รู้จะหลบหลีกไปทางไหนดี เริ่มรู้สึกเข้าใจแล้วว่าเหตุใดกว่าภันวัฒน์จะพูดออกมาเจ้าตัวถึงได้แสดงอาการเช่นนั้นอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็หาข้ออ้างข้างๆ คูๆ มาแย้งได้

“อยู่ๆ จะให้พูด มันน่าอายไม่ใช่เหรอครับ”

“แต่ผมอยากได้ยินนี่ครับ เมื่อกี้คุณยังให้ผมพูดเลย คุณจะเอาเปรียบให้พูดผมคนเดียวเหรอ”

สีหน้าและน้ำเสียงคล้ายตัดพ้อว่าตนไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ทำให้หน่วยตาเรียวยาวต้องหลุบลงเล็กน้อย ใช่ว่าสำนึกผิดเสียเมื่อไร แต่เป็นขบปากกัดฟันอยู่นิดหน่อยที่กลายเป็นถูกไล่ต้อนเพราะผลจากการกระทำของตัวเอง มิหนำซ้ำเขารู้ชัดถึงเจตนาของภันวัฒน์ดี

ไม่ใช่ว่ากำลังตัดพ้อ แต่กำลังหยอกเย้าเขาต่างหาก

แต่เพราะไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไรในเมื่อตนเองมีชนักติดหลัง สุดท้ายอาทิตย์อัสดงจึงต้องอ้อมแอ้มผสานอิดออดพูดออกมาเสียงเบา

“ผมก็...ฮักคุณ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วคนฟังก็เกือบจะยิ้มกริ่มออกมา แต่เก็บอาการเอาไว้ ปั้นหน้านิ่งแกล้งหยอกกลับไป

“คุณจะกอดผมเหรอ”

เมื่อรู้ว่าโดนเล่นงานเข้าแล้ว ใบหน้าขาวตี๋ก็ย่นยุ่งด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจอยากให้เขาพูดออกมาให้ชัดๆ แต่ถึงมันจะน่าเขินอายที่ยังลากประเด็นนี้ให้ยาวต่อไปแทนที่จะรีบๆ รวบรัดตัดประโยคไปเสีย อาทิตย์อัสดงก็ยังไม่ยอมพูดคำตรงออกมาอยู่ดี เขาใช้คำพูดของภันวัฒน์ในอดีตมาเอ่ยอ้าง

‘สำหรับคุณตอนนี้ ชื่อผมคงมีความหมายแค่ในระดับนี้ เอาไว้อีกหน่อย ตอนที่คุณรักผมแล้ว ผมค่อยเลื่อนระดับไปแปลว่าแบบนั้นก็ยังทันถมเถ’

“คุณเคยพูดว่าอะไรก็ว่าอย่างนั้นแหละ ฮักที่ไม่ได้แปลว่ากอด”

เท่านี้ก็ดูเหมือนว่าจะสุดความพยายามของอาทิตย์อัสดงแล้วก็เป็นได้ เพราะเจ้าตัวหน้าแดงขึ้นมาอีกระลอกพลางทำสีหน้าเหมือนคะยั้นคะยอคนตัวใหญ่กว่าอยู่ในทีว่าเข้าใจสักทีสิ เลิกแกล้งได้แล้ว ภันวัฒน์จึงยอมผุดยิ้มแบบไม่กักเก็บอีกต่อไป แล้วสรุปความเสียเรียบร้อย

“ขอบคุณนะครับที่รักผม”

ถ้อยคำชัดเจนล่องลอยจากปากของภันวัฒน์โดยไร้อาการกระดากอายอย่างสิ้นเชิง ผิดกับคราวที่เจ้าตัวเป็นฝ่ายต้องพูดความรู้สึกของตนขึ้นมาเองจนคนฟังรู้สึกหมั่นไส้อย่างไรชอบกล จึงสวนเสียงกลับไปบ้างด้วยประโยคเดียวกัน

“ขอบคุณนะครับที่รักผม”

แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ภันวัฒน์ชะงักไปครู่หนึ่ง หน้าซับสีขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะหลุดยิ้มออกมาที่โดนเล่นงานกลับมา และเพียงไม่ช้าไม่นานหลังจากจับจ้องกันด้วยสายตาอย่างนั้น เสียงหัวเราะก็ดังแทรกสอดออกมาผสานกันระหว่างคนสองคน








-------------------
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วจริงๆ ค่ะ เหลือแค่ตอน 32 กับบทส่งท้าย

ตอนนี้เราเปิดสำรวจคนที่สนใจหนังสือเล่มนี้อยู่นะคะ ถ้าใครสนใจ ช่วยไปตอบในเฟซบุ๊กด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-10-2016 00:02:46 โดย undersky »

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เขินมาก

บอกรักอะไรมุ้งมิ้งขนาดเน้!

ปล. อ่านเจอคำว่า ร่างโปร่ง ร่างสูงเยอะจังค่ะ ลองแทนด้วยชื่อตัวละครเลยน่าจะทำให้สื่ออารมณ์ได้ดีกว่าไหมคะ

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
โอ๊ยยยยยยยยยยยย น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่าร้ากกกกกกกกกกก ตอนนี้ทำเราหุบยิ้มไม่ได้และเขินมากค่ะ ฮืออ  :mew3: ทำไมพอเขาเข้าใจกันแล้วมันถึงได้ดูละมุนไปหมดแบบนี้นะคะ นี่นึกภาพ ต่อไป เขาก็คงไปอยู่ในครัวด้วยกัน คนนึงทำ คนนึงชิม อื้อหือออ คุณอาทิตย์ไม่อ้วนงานนี้จะไปอ้วนงานไหนคะ 5555555 เป็นตอนที่เราสบายใจมากอ่ะค่ะ หลังจากหนักหน่วงมานาน จริงๆที่เราชอบในเรื่องนี้ที่สุดคือสำนวนของคุณนักเขียนนะคะ ไม่รู้ทำไม เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามันสวย ให้อารมณ์แบบที่ไม่ค่อยเจอในนิยายสมัยนี้อ่ะค่ะ เลืกใช้คำสวยๆทั้งนั้นเลย ฮืออออ ชอบมากค่ะ ชอบความค่อยเป็นค่อยไปและการเปิดใจด้วย ที่เหลือก็คงได้เจอน้องพร่าง แต่เขารักกันแล้ว น้องพร่างสบายใจได้เลยค่ะ คนนี้พี่ชายรักจริงและไม่มีทางอกหักแน่นอนนน  :hao7:

ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ได้คืนดีกันได้เร็วๆ ค่ะ  ตรงประโยคนี้เราว่าน่าจะใช้คำว่า ได้ แค่ครั้งเดียวได้นะคะ

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
โอ้ยยย มันฟินน่ะคุณณณ  :-[

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
32nd Entry : เก็บเล็กผสมน้อย






อาทิตย์อัสดงเตรียมตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เพราะนัดหมายกับภันวัฒน์เอาไว้ ด้วยวันนี้เขาจะไปที่ ‘ห้องนั่งเล่น’ เพื่อทำเค้กวันเกิดให้กับหลานชายคนรอง และจากที่เคยบอกกล่าวกับอีกฝ่ายไว้ตั้งแต่วันก่อนว่าต้องการเค้กประเภทไหน จึงคิดว่าภันวัฒน์คงจะเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ไว้พร้อมสรรพอยู่ที่ร้านแล้ว

ทว่าเมื่อออกมาจากประตูบ้าน กลับพบร่างคุ้นตายืนพิงประตูรถรออยู่ ทำให้คิ้วของอดีตบล็อกเกอร์เลิกขึ้นน้อยๆ อย่างประหลาดใจ เจ้าตัวล็อกประตูบ้านแล้วตรงไปยังร่างสูงกว่า อดคิดไม่ได้ว่าหรือภันวัฒน์จะเจตนามารับเขาไปที่ร้าน ทั้งที่มันไม่จำเป็นแม้แต่น้อย

“ทำไมมาที่นี่ล่ะครับ ไม่รออยู่ที่ร้าน”

“พอดีว่าผมยังไม่ได้ซื้อส่วนผสมที่ใช้ทำเค้กเลยครับ”

หลังจากได้ยินเช่นนั้นร่างโปร่งก็เบิกตากว้างถลน เรียกเสียงหัวเราะจากคนเห็นได้

“อ้าว แล้วแบบนี้จะทำเค้กทันเหรอครับ”

แม้ว่าเวลาที่เขาจำเป็นต้องนำเค้กไปบ้านของพี่สาวจะเป็นช่วงเย็น แต่ไม่รู้ว่าในการทำเค้กต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเวลาเท่าไร อาทิตย์อัสดงจึงอดกังวลไม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญในการทำเค้กก็ส่ายศีรษะเบาๆ

“ทันถมเถครับ ผมก็เลยมารับคุณไปซื้อวัตถุดิบด้วยกัน”

เมื่อได้รับคำยืนยันจากอีกฝ่าย อาทิตย์อัสดงก็เบาใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย เดินตามร่างสูงที่หันกลับหลังเพื่อขึ้นรถไปบ้าง ทว่าจุดหมายปลายทางที่คาดการณ์ไว้กลับไม่ตรงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า พาให้คิ้วเรียวบนหน้าขาวตี๋ขมวดเข้าหากันอีกรอบ

“ไหนว่าจะไปซื้อของไงล่ะครับ”

“ซื้อของแค่แป๊บเดียวก็เสร็จครับ เพราะว่าร้านประจำมีของให้ครบทุกอย่าง ผมก็เลยพาคุณมาเดทก่อน”

ไม่เพียงพูดเท่านั้น แต่ภันวัฒน์ยังขยิบตาให้ ทำให้ร่างโปร่งต้องหลุบตาลงเล็กน้อย รู้สึกขัดเขินอยู่นิดหน่อย เพราะไม่เคยเจอประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน

แน่นอนว่าต้องเป็นอย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาเป็นเขาที่ออกปากชวนคนรัก

แต่เขาไม่คิดว่าภันวัฒน์จะเอ่ยปากชวนพร้อมมัดมือชกในคราวเดียวกันแบบนี้

“ไปกันเถอะครับ”

เบื้องหน้าเป็นสถานที่ที่เรียกว่าร่มรื่นก็ไม่เชิง เพราะแม้ว่าจะอุดมไปด้วยต้นไม้และบึงน้ำ แต่ก็ยังมีสนามหญ้ากว้างขวางและศาลาสำหรับใช้พักผ่อนหย่อนใจ

โชคดีที่เป็นช่วงยังเช้าอยู่ อากาศจึงไม่ร้อนแรงแผดเผานัก และสภาพอากาศในช่วงนี้ก็ค่อนข้างจะมีเมฆอยู่มาก จึงอาจจะเหมาะกับการมาผ่อนคลายอยู่สวนสาธารณะเช่นนี้ก็เป็นได้

“คุณกินอาหารเช้ามาหรือยังครับ”

เมื่อเดินไปสักพักหนึ่ง ถึงต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมาะแก่การปูเสื่อแล้วผู้จัดการหนุ่มก็หยุดยืนและหันมาถาม

“ยังครับ ก็คุณเป็นคนบอกเองนี่ว่าให้มากินพร้อมกัน”

หลังได้รับคำตอบ ภันวัฒน์ก็คลี่ยิ้มราวกับกำลังดีใจอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะวางสัมภาระที่ถือมาด้วยลง

อาทิตย์อัสดงรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วว่าอีกฝ่ายขนข้าวของพะรุงพะรังอะไรมากมายมาด้วย แต่ในเวลานี้เหมือนจะเข้าใจถ่องแท้แล้ว

ที่แท้ก็มาปิกนิก

“เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”

เห็นว่าปาติซิเย่หนุ่มกำลังสะบัดเสื่อพลาสติกเพื่อปูลงบนสนามหญ้า ร่างโปร่งก็เสนอตัวแล้วตรงไปยังอีกฟากของผืนเสื่อทันที

ทั้งสองช่วยกันปูเสื่ออย่างเรียบร้อย ถอดรองเท้าวางทับมุมคนละข้างจนได้ครบทั้งสี่มุมพอดี ภันวัฒน์ก็หยิบกล่องพลาสติกที่มีสารพัดสารเพอยู่ภายในมาตั้งอยู่กลางสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายตารางหมากรุกสีน้ำเงิน

“มื้อเช้าวันนี้ เป็นแซนด์วิชทูน่ากับไข่สแกรมเบิ้ลนะครับ”

ของที่ว่าถูกนำมาจัดวางด้านหน้าทีละชิ้น เริ่มจากกล่องบรรจุแซนด์วิชที่จัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อยประมาณหกชิ้น และกล่องกลมเล็กๆ อีกสองกล่อง เมื่อเปิดดูก็เห็นเป็นไข่ร่วนๆ สีเหลืองนวลพองฟู ปิดท้ายด้วยกล่องสุดท้าย เป็นผักกาดหอมและมะเขือเทศลูกเล็กกระจ้อย

“ลองเอาผักกาดหอมห่อไข่ แล้วใส่มะเขือเทศกินเป็นคำดูนะครับ”

ภันวัฒน์แนะนำ พร้อมทั้งยังส่งถุงมือพลาสติกให้อีกด้วย คำนึงถึงสุขลักษณะอย่างรอบคอบแบบไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงไม่แปลกหากนึกถึงอาชีพการงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับอาหารการกินไม่ว่าจะงานประจำหรืองานเสริม

อาทิตย์อัสดงรับถุงมือมาทั้งสองข้างก่อนทำตามอย่างที่อีกฝ่ายชักชวน เมื่อส่งก้อนสีเขียวเข้าปาก เคี้ยวอยู่สองสามครั้งก็ผงกศีรษะเบาๆ

เพราะมีความสดใหม่ของผัก อีกทั้งยังกรอบและชุ่มชื่นจึงยิ่งชูรสชาติให้หลากหลายและน่าประทับใจ เมื่อรวมกับไข่ที่หวานนิดๆ มีรสพริกไทยหน่อยๆ และมีกลิ่นหอมของเนยอยู่เล็กน้อย ผสมกับรสเปรี้ยวของมะเขือเทศก็ทำให้กลมกล่อมได้ไม่เบา

“ผมไม่อยากห่อมาก่อนน่ะครับ เพราะเดี๋ยวผักจะเหี่ยวช้ำแล้วกลายเป็นเหนียวไป แทนที่จะกรอบอร่อย”

เป็นความเอาใจใส่ต่อทั้งอาหารและคนกิน

อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกประทับใจในตัวผู้ชายคนนี้

“ลองชิมแซนด์วิชดูบ้างไหมครับ”

เมื่อเคี้ยวหมดคำ ภันวัฒน์ก็เอ่ยชวนอีก แต่อาทิตย์อัสดงก็ไม่คิดปฏิเสธ เขาหยิบแซนด์วิชตัดชิ้นสี่เหลี่ยมเข้าปาก พลางมองอีกฝ่ายที่ทำอย่างเดียวกัน

รสชาติทูน่าชัดเจน พร้อมมายองเนสที่พอดิบพอดี สอดแทรกด้วยผักชีฝรั่ง แครอท และหัวหอม ไม่มีส่วนใดกลบส่วนใด ไส้ไม่น้อยหรือมากเกินพอดี ทำให้กินจบคำได้อย่างง่ายดาย ไม่หกเลอะเทอะราวกับคำนวณมาเป็นอย่างดี ยิ่งเสริมสร้างให้อาหารชิ้นนี้ถูกใจคนกินมากกว่าถูกปาก อดีตบล็อกเกอร์ต้องผงกศีรษะอีกหลายครั้ง พร้อมกับส่งยิ้มให้

“ถูกปากไหมครับ”

“ครับ”

“ผมมีน้ำให้เลือกสองอย่างนะครับ เป็นน้ำเปล่ากับชามะนาว แต่ผมว่าดื่มชามะนาวก่อนดีกว่า จะได้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กระตุ้นความอยากอาหารด้วย”

ไม่ต้องตอบก็เหมือนภันวัฒน์จะเข้าใจแล้วว่าเจ้าของหน้าตี๋เลือกสิ่งใด เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย อาทิตย์อัสดงจึงเปลี่ยนทิศทางของความสนใจไปที่รอบข้างแทน

เวลานี้อาจจะยังเช้าเกินไปสำหรับคนทั่วไปกระมัง จึงเห็นคนจำนวนน้อยมาเดินทอดน่องเท่านั้น ทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาราวกับโลกส่วนตัวซึ่งถูกตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครมาสนใจให้ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใดที่ผู้ชายสองคนมานั่งกันอยู่ในสวนเช่นนี้

ลมโชยมาเป็นระลอก แต่เมฆยังบังแสงตะวันเอาไว้ ยิ่งทำให้อุณหภูมิกำลังดี เสมือนอากาศเป็นใจอย่างไรอย่างนั้น คิดแล้วร่างโปร่งก็อมยิ้มกับตนเอง แล้วหยิบชาที่ถูกรินไว้ให้ขึ้นมาดื่ม

รสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้นก็ลงตัวอีกเช่นเคย จนต้องเผลอยิ้มออกมาอีกหน

“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่ล่ะครับ”

หลังจากหยิบแซนด์วิชขึ้นกินอีกชิ้น ต่อด้วยไข่สแกรมเบิ้ลอีกสักคำ อาทิตย์อัสดงก็เกริ่นถาม

“ก็คราวก่อนที่ไปตั้งแคมป์กัน คุณทำแผนล่มตอนพายเรือนี่นา คราวนี้ผมเลยว่าจะมาแก้มือโดยการปั่นเรือถีบแทน”

คำพูดนั้นราวกับย้อนอดีต อาทิตย์อัสดงยังจดจำได้ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ช่วงเวลาที่ทำให้เขาหัวใจสั่นไหวดั่งกิ่งไม้โยกไหว ทั้งยังอับอายการกระทำของตัวเอง จนกระทั่งตอนนี้พอนึกถึง ก็ยังรู้สึกว่ามีไอร้อนอวลขึ้นมาบนแก้ม และก่อนจะถูกจับได้ถึงอาการผิดปกติ ดวงหน้าขาวกระจ่างก็ผินมองไปทางอื่น

เมื่อมองออกไปไกลๆ ก็เห็นว่าริมบึงขนาดใหญ่นั้นมีเรือถีบจอดเทียบอยู่หลายลำทีเดียว นับว่าเป็นการพามาถูกสถานที่โดยแท้

“แล้วโปรแกรมต่อจากนี้ล่ะครับ”

พอจะกำจัดไอร้อนบนผืนหน้าและจังหวะหัวใจได้นิดหน่อยแล้ว คำถามต่อมาก็ดังขึ้น แม้กระนั้นร่างโปร่งก็ยังไม่ยอมหันหน้ากลับไปอยู่ดี จึงเป็นภันวัฒน์เสียเองที่ขยับร่างเข้ามาใกล้จนประชิด ยื่นหน้าเข้ามาในระยะเฉียดใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่กระทบลงบนผิวแก้ม

อาทิตย์อัสดงนั่งตัวเกร็งขึ้นมาฉับพลัน ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาไปมอง สัมผัสร้อนกรุ่นที่ผลาญเผาผิวเนื้ออ่อนนั้นทำให้ขนแทบจะลุกเกรียวไปทั่วร่าง ริมฝีปากจึงได้แต่เม้มแน่นเข้าหากันเพื่อระงับอาการเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“ก็จะไปกินข้าวเที่ยงกัน ผมจองบุฟเฟต์มื้อกลางวันเอาไว้แล้ว”

ไม่รู้ว่าตอนนี้การถามคำถามขึ้นมาเป็นการกระทำที่โง่เง่า ขุดหลุมฝังตัวเองหรือไม่ แต่ร่างโปร่งก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ เขาเบี่ยงหน้าหลบไปอีกด้านมากกว่าเดิม ค่อยๆ หมุนตัวตามไปทิศทางเดียวกันอย่างเนิบช้า วางแผนอย่างแยบยลว่าอีกฝ่ายจะได้ไม่รู้ตัว

แต่ที่ไหนได้ กลับถูกคุกคามยิ่งขึ้น เพราะร่างสูงกำยำกระโจนมาสู่เบื้องหน้า เผชิญสายตากันครามครัน ทำให้อดีตบล็อกเกอร์สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ หน้าตาเหลือกลานขึ้นมาทันที จนเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากตัวต้นเหตุ

“คุณ! แกล้งผมเหรอ”

จากเขินอายตอนนี้อารมณ์กลับปรับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ดวงตาเรียวยาวจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า แต่ภันวัฒน์กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ใบหน้าได้รูปคมสันยังคงเจือยิ้มกว้าง ตอบกลับมาได้อย่างไม่อินังขังขอบ

“ก็ผมเห็นคุณเอาแต่หันหน้าหนีนี่”

“ใครใช้ให้คุณพูดเรื่องนั้นกันเล่า”

“อ้าว ก็คุณเป็นคนถามผมเองไม่ใช่เหรอ ผมก็ตอบไปตามตรงนี่นา ผิดตรงไหนกัน”

จากที่หน้าแป้นยิ้มทะเล้น ใบหน้าของภันวัฒน์ก็กลายเป็นสงสัยใคร่รู้ได้อย่างน่าหมั่นไส้แทน ราวกับว่าเป็นบุคคลไร้เดียงสาและไร้ความผิดใดๆ แม้พิจารณาจากความเป็นจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างที่เป็นอยู่กลับทำให้อาทิตย์อัสดงอดถลึงตาใส่ไม่ได้

ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว กลับกลายเป็นว่าเสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากชายตรงหน้าอีกครา

“คุณ เลิกหัวเราะผมได้แล้ว”

เพราะภันวัฒน์หัวเราะมากเกินไป อาทิตย์อัสดงจึงรู้สึกกระดากอายขึ้นมาอีก หน่วยตาสีน้ำตาลกลิ้งกลอกอยู่ในกระบอกตา เหลือบมองรอบข้างว่ามีใครอยู่บริเวณนี้หรือไม่ หากมีเขาคงต้องมุดกล่องแซนด์วิชหนี แต่โชคดีที่สถานการณ์ไม่ได้เอื้อให้ทำเช่นนั้น เพราะรอบข้างยังคงไร้ผู้คนเช่นเดิม

“ก็คุณน่ารักอะ ผมเลยมีความสุขจนหยุดหัวเราะ หยุดยิ้มไม่ได้”

โดนโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ต่อให้หัวใจแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องสั่นสะท้าน อาทิตย์อัสดงซึ่งมีจุดอ่อนเพราะถูกภันวัฒน์โจมตีมาอย่างยาวนานจึงไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย เขาเม้มปากเข้าหากันแน่น ระงับอารมณ์เอาไว้ ไม่เบี่ยงหน้าหนีอีกด้วยรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น ทุกอย่างก็คงเข้าอีหรอบเดิมอยู่ดี

ภันวัฒน์เคยรู้จักคำว่าทดท้อหรือยอมแพ้เสียเมื่อไร

เมื่อได้เห็นความพยายามของร่างโปร่งที่ทุ่มเทเพื่อเผชิญหน้ากับตนอง ผู้จัดการหนุ่มก็อดรู้สึกว่าน่าเอ็นดูไม่ได้ เขาคลี่ยิ้มอีกก่อนจะเอนตัวเล็กน้อยและล้มตัวนอนลง เอาศีรษะหนุนบนหน้าตักของอีกคนเอาไว้

อาทิตย์อัสดงเบิกตาโพลงเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมา เมื่อก้มลงไปมองก็เห็นใบหน้ายิ้มทะเล้นเย็นสบายอย่างไม่ทุกข์ร้อนของคนบนตัก มือเตรียมจะเลื่อนไปผลักร่างใหญ่โตนั้นออกไป แต่ก็ถูกคว้าเสียก่อน

“พอหนังท้องตึง หน้าตาชักหย่อนเลยนะเนี่ย”

“หนังตาหย่อนก็นอนลงกับพื้นสิครับ ทำไมต้องใช้ตักผมด้วย”

“ถ้าให้หัวราบไปแนวเดียวกับตัว กรดจะไหลย้อนเอานะคุณ”

ข้ออ้างเชิงวิชาการถูกหยิบยกมาใช้อย่างตรงจุดจนอาทิตย์อัสดงพูดอะไรไม่ออก ครั้นจะใช้มืออีกข้างผลักร่างที่สูงใหญ่มีกำลังกว่าตนเอง ก็ดูท่าว่าจะไม่สำเร็จอย่างแน่นอน สุดท้ายจึงได้แต่อุทธรณ์โดยใช้ปาก

“มาทำแบบนี้กลางที่สาธารณะ ไม่อายบ้างเลยเหรอคุณ”

“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ครับ เดี๋ยวนี้ประเทศเราเปิดกว้างจะตาย คนกรี๊ดกร๊าดเวลาเห็นผู้ชายอยู่ด้วยกันก็มีเยอะแยะ ถือว่าเซอร์วิสสิคุณ”

คำอธิบายหรือควรจะเรียกว่าข้อแก้ตัวนั้นทำให้คนฟังถึงกับต่อประโยคไม่ถูก อาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกขึ้นมาในลำคอ จึงต้องทำเป็นไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นหันกลับไปยังอาหารมื้อเช้าที่ยังกินค้างอยู่ ถึงพบว่าส่วนของภันวัฒน์นั้นหมดลงแล้ว เหลือก็แต่ของตนเองอีกเล็กน้อย มิหนำซ้ำน้ำเปล่าที่ถูกเตรียมมาพร้อมสรรพด้วยก็ถูกรินลงถ้วยเอาไว้ให้แล้ว

“ผมขอนอนเล่นแป๊บนึงนะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปปั่นเรือกัน”

ในเมื่อถูกดูแลบริการดีอย่างไม่ตกบกพร่อง ร่างโปร่งจึงจำยอมปล่อยอีกฝ่ายไป แล้วหยิบแซนด์วิชที่เหลืออยู่มากิน ตามด้วยไข่สแกรมเบิ้ล ชามะนาว และปิดท้ายด้วยน้ำเปล่าล้างปาก






หลังจากนั้นเกือบสี่สิบนาทีเห็นจะได้ ทั้งสองคนก็มุ่งสู่บึงอันกว้างขวางและเข้านั่งในเรือปั่นรูปลักษณ์เป็ด ภันวัฒน์อาสาปั่นให้ก่อน เป็นการไถ่โทษที่ทำให้ขาของอาทิตย์อัสดงชาจนลุกเซ โชคยังดีที่เขาพอจะรู้จึงยื่นแขนออกไปรั้งตัวเอาไว้ทัน ไม่เช่นนั้นภาพไม่น่าดูอาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้

กระทั่งเมื่อไปถึงกลางแอ่งน้ำขนาดใหญ่แล้ว เท้าทั้งสองของผู้จัดการหนุ่มจึงหยุดลง ปล่อยให้สายลมและแสงแดดไม่แผดจ้ากระทบผิวเรื่อยๆ

“ผมขอถ่ายรูปคู่ได้ไหมครับ”

ชื่นชมบรรยากาศและปล่อยตัวปล่อยใจกับธรรมชาติไปสักพัก ภันวัฒน์ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา

“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ เอาไว้สัก...ครั้งที่สิบก่อน”

คนถูกขอหันมาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เพราะไม่อยากให้เป็นการพูดที่กระด้างไร้ไมตรีจนเกินไป แต่เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว เรือที่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่เพียงสั่นไหวน้อยๆ เพราะแรงลมกลับเคลื่อนที่ เสียงนับเลขดังคลอมาตามจังหวะการสั่นสะเทือน

“แปด...เก้า...สิบ”

“.....”

“ครบสิบครั้งแล้ว ทีนี้ก็ถ่ายได้แล้วใช่ไหมครับ”

ดวงหน้าคมคายหันมาพร้อมรอยยิ้มชื่นบานราวกับเด็กไร้เดียงสา ทำให้อดีตบล็อกเกอร์ตะลึงงันในทันที จนเมื่อเข้าใจความหมายของการกระทำและคำพูดของอีกฝ่ายดีแล้ว อาทิตย์อัสดงก็โพล่งออกมา

“ผมไม่ได้หมายถึงปั่นให้ครบสิบทีสักหน่อย”

“ผมรู้หรอกครับ ก็แค่หยอกเล่นนิดหน่อย คุณหมายถึงเอาไว้ให้เราเดทครบสิบครั้งก่อนแล้วคุณจะยอมถ่ายรูปคู่กับผมใช่ไหมล่ะ”

พอได้ยินเสียงใหญ่ทุ้มพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำพร้อมใบหน้าระรื่นรู้ดี กรอบหน้าขาวก็รู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

คำว่า ‘เดท’ ก้องอยู่ในหูหน่อยๆ เพราะยังไม่คุ้นชินกับสถานะ

ยังเก้อกระดากทุกครั้งที่คิดว่าตอนนี้ตนเองกับภันวัฒน์เป็นคนรักกัน

จากนั้นเมื่อมองไปยังร่างสูง ก็เห็นว่าในมือใหญ่กำลังกดพิมพ์อะไรบางอย่างในโทรศัพท์

“ทำอะไรเหรอครับ”
เพราะจากที่เห็นไม่ใช่โปรแกรมสนทนา และอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีปิดบังแต่อย่างใดจึงอดสงสัยไม่ได้

“กำลังบันทึกอยู่ไงครับ ว่าวันนี้เป็นเดทแรก แล้วผมก็จะบันทึกไว้ทุกครั้ง พอครบสิบครั้งแล้วจะได้ใช้เป็นหลักฐาน เพราะถ้าผมไม่บันทึกไว้ คุณก็คงจะเบี้ยวผมใช่ไหมล่ะครับ”

ภันวัฒน์เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน จนอาทิตย์อัสดงต้องเบี่ยงหน้าหนี แก้ตัวไม่ถูกเพราะแม้จะไม่ได้คิดเอาไว้อยู่ในใจ แต่เมื่อถึงเวลาตนอาจจะทำเช่นนั้นก็เป็นได้

“ผมพูดแทงใจดำล่ะสิ”

น้ำเสียงล้อเลียนดังตามมา แต่สิ่งที่ตอบรับมีเพียงความนิ่งเงียบ ใบหน้าตี๋ไม่ได้หันกลับมา ผู้จัดการหนุ่มจึงถือโอกาสนี้คว้ามือขาวที่วางทอดอยู่บนตักมากุมเอาไว้เสียเลย

ได้ผล อาทิตย์อัสดงยอมหันหน้ามาจนได้

“ไม่มีใครเห็นหรอกครับ อยู่ห่างจากฝั่งตั้งไกล แถมยังมีเรือบังอีกต่างหาก”

อีกครั้งที่ภันวัฒน์พูดอย่างรู้ทัน และยังคลี่ยิ้มกว้างจนสว่างไสวแข่งกับพระอาทิตย์จนดวงอาทิตย์ยามเย็นรูปร่างคนหาคำมาพูดตอบไม่ถูก ยอมปล่อยให้กุมมือต่อไปเช่นนั้น






หลังจากหย่อนใจไปกับธรรมชาติกระทั่งแดดเริ่มร้อนจนสู้ไม่ไหว ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกครา สัมภาระจึงถูกเก็บกลับคืนรถพร้อมกับสองร่างออกเดินทางไปยังจุดหมายใหม่ที่ภันวัฒน์บอกเอาไว้ก่อนหน้า

มันเป็นภัตตาคารที่อยู่บนตึกสูงเสียดฟ้ากลางกรุงเทพมหานคร

สองคนอิ่มหนำเพลินเพลิดไปกับอาหารชั้นดีมีคุณภาพ ไม่ว่าจะในแง่ของอาหารหรือบรรยากาศที่มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างถ้วนทั่วเพราะผนังโดยรอบประกอบจากกระจกใส มิหนำซ้ำยังมีขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เลือกรับประทานปิดท้าย แต่เมื่อลุกออกจากโต๊ะหลังรับประทานเสร็จและเห็นสมควรแก่เวลาไปซื้อของได้แล้วก็เกิดปัญหา

“ค่าอาหารหัวละเท่าไรครับ”

ฉับพลันที่อาทิตย์อัสดงออกปาก ก็ถูกภันวัฒน์สวนกลับในทันทีอย่างไม่รีรอ

“ผมจ่ายเองครับ”

“แต่ว่า...”

“ผมเป็นคนชวนนะ จะให้คุณมาจ่ายเงินค่านู่นนี่ได้ยังไงล่ะ”

“ถึงอย่างนั้น จะให้ผมยอมให้คุณจ่ายไปหมดทุกอย่าง มันก็ไม่แฟร์นะ”

เพราะมื้อเช้าก็เป็นภันวัฒน์ที่จัดเตรียมมา ไหนจะค่าแก๊สค่าน้ำมันรถสำหรับเดินทางอีก อาทิตย์อัสดงจึงไม่อยากเอารัดเอาเปรียบโดยยอมให้อีกฝ่ายจ่ายมื้อกลางวันอีก แต่กลับกลายเป็นว่าคำโต้เถียงนั้นสร้างรอยยิ้มให้ผลิบนใบหน้าของภันวัฒน์ได้ ราวกับเป็นถ้อยคำน่าฟังที่เจ้าตัวรอคอยมาโดยตลอด

อาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็เป็นได้

เพียงแต่...เป็นครั้งแรกที่คนรักเอ่ยปากกับเขาเช่นนี้

ไม่ว่าเขาจะเคยคบหากับใครมาก่อน ทุกคนล้วนให้เขาจ่ายทั้งสิ้น

ถึงเขาจะไม่มีปัญหานักกับการต้องใช้จ่ายเงินเพื่อคนรัก แต่การที่อีกฝ่ายแสดงออกเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเที่ยงตรงและความเอื้ออาทรต่อเขา

“งั้นเอาไว้ครั้งหน้าผมจะให้คุณจ่ายนะ”

หลังจากบอกเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงก็มองเจ้าของคำพูดอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา คล้ายกับไม่ค่อยพอใจนัก

“ก็ได้ครับ”

กลับเป็นภันวัฒน์เสียอีกที่ยังยิ้มพร่างพราย เขาชวนอาทิตย์อัสดงขึ้นไปชั้นบน เพื่อไปสัมผัสกับอากาศภายนอกตัวอาคารที่สูงเสียดฟ้าซึ่งเปิดให้ผู้คนได้ออกไปเที่ยวชม

แต่แสงแดดแรงกล้าในช่วงบ่ายโมงกว่าๆ ดูจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกับการออกไปเผชิญตรงๆ แม้ว่าลมจะแรงมากจนผมพลิ้วไสวก็ตาม ดังนั้นเดินวนอยู่รอบหนึ่งแล้วทั้งคู่ก็เข้ามาภายในอาคารอีกครั้ง ไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์ของเมืองอย่างเต็มที่

“คุณพาผมไปทำผิวแทนเหรอ”

หลังจากเข้ามาสู่ที่ร่ม อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยแซวทันที เขาลูบแขนส่วนที่ต้องแสงแดดเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงความร้อนที่เคลือบลงมาด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว

“เผื่อคุณจะประทับใจไง”

ถึงจะถูกแซว แต่ภันวัฒน์ก็เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ หยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับใบหน้าขาวผ่องที่กลายเป็นสีแดงฝาดของร่างโปร่งให้ พลอยทำให้อดีตบล็อกเกอร์ชะงักค้างไปด้วย

“คุณ...เช็ดหน้าตัวเองสิ เช็ดให้ผมทำไม”

“ก็เห็นหน้าคุณแดงๆ กลัวจะเป็นลม”

“ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อยนะคุณ”

“ผมก็แค่ห่วงต่างหาก”

ว่าเช่นนั้นแล้วผ้าเช็ดหน้าที่ถูกแตะบนหน้าของอาทิตย์อัสดงเบาๆ เพื่อซับหยดน้ำที่กระจัดกระจายอยู่จนทั่วก็ถูกจับมาแตะลงบนหน้าของภันวัฒน์แทน

หลังจากเช็ดเหงื่อตนเองแล้ว ภันวัฒน์ก็เอ่ยชวน ‘เราไปกันเถอะ ถึงเวลาต้องไปซื้อของจริงๆ แล้วล่ะ’ ทั้งคู่ถึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง ไปซื้อวัตถุดิบสำหรับเค้กช็อกโกแลต ก่อนจะกลับไปที่ ‘ห้องนั่งเล่น’ ตามจุดประสงค์เดิม

ด้วยความชำนาญของเจ้าของร้านเบเกอรี่ ใช้เวลาเพียงไม่นานส่วนผสมต่างๆ ก็เข้าไปอยู่ในเตาอบแล้ว ภันวัฒน์ซึ่งล้างมืออยู่ที่อ่างตรงเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่จึงเงยหน้าเอ่ยปากเสนอ

“ระหว่างรอ ผมทำขนมให้คุณกินดีกว่า”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมสั่งเอาจากในร้านก็ได้”

เพราะอย่างไรก็เป็นร้านขายขนมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ร่างสูงจะต้องเหนื่อยทำขนมอื่นๆ เป็นพิเศษอีก ยังมีขนมอีกหลายอย่างที่เขาไม่เคยกิน และอีกอย่างจะได้เป็นการอุดหนุนภันวัฒน์ไปในตัวด้วย

ทว่าภันวัฒน์ดื้อดึงกว่านั้น

“แต่ผมอยากทำให้คุณกินเป็นพิเศษนี่นา ระหว่างช็อกโกแลตลาวากับซูเฟล่ช็อกโกแลต คุณว่าอันไหนดี”

คำตอบของเขาทำให้อาทิตย์อัสดงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลบาร์เช่นเดียวกับคราวก่อนลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ

บริการดีเหมือนเคย

“เอาเป็นซูเฟล่ก็ได้ครับ”

ด้วยรู้ดีว่าต่อให้ปฏิเสธก็คงถูกตอแยจนสุดท้ายพ่ายแพ้อยู่ดี ร่างโปร่งจึงตอบไปเช่นนั้น แต่การที่ต้องทำขนมเพิ่มอีกอย่างแทนที่จะทำให้ปาติซิเย่หนุ่มรู้สึกเหนื่อย กลับกลายเป็นยิ้มกว้างแทน

“ทำไมต้องยิ้มถึงขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”

รอยยิ้มที่กว้างมากและดูราวกับผู้ที่ยิ้มอยู่กำลังสดชื่นเบิกบานทำให้อาทิตย์อัสดงอดสงสัยไม่ได้ ทั้งที่เขาไม่เห็นว่าจะมีเรื่องน่ายินดีหรือเรื่องดีๆ ให้น่ายิ้มตรงไหน

“ก็ผมมีความสุขนี่ครับ ได้ทำขนมให้คุณกิน แล้วคุณก็มีความสุขที่จะได้กินขนมของผมด้วย ใช่ไหมล่ะครับ”

ประโยคคำถามนี้ทำให้คนฟังคิดตามไปเล็กน้อย แม้จะยังไม่ได้ชิมรสชาติขนมที่อีกฝ่ายกำลังจะทำ แต่เมื่อมาลองคิดดูแล้วก็คาดว่าตนเองคงจะมีความสุขเป็นแน่

แน่นอนว่าเขามีความสุขเพราะการกินขนม

และจากที่เคยมีประสบการณ์ในการกินขนมฝีมือของภันวัฒน์มาก่อนก็การันตีได้ว่ามันต้องอร่อย

แต่ดูเหมือนจะมีเหุตผลมากกว่านั้น...เหตุที่ทำให้เขามีความสุขกว่าลูกค้าทั่วไปของร้าน

นั่นก็คือ ขนมชิ้นนี้ตั้งใจทำเพื่อเขาโดยเฉพาะ และเป็นขนมจากคนที่เขา...รัก

แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ใช่ว่าปากจะพูดออกไปอย่างเดียวกันได้ อาทิตย์อัสดงแขวะเบาๆ กลับไป

“ครับ แต่คุณนี่เข้าข้างตัวเองน่าดูเลยนะครับว่ามันต้องอร่อยจนผมมีความสุข”

แต่ภันวัฒน์ก็ไม่ได้สะทกสะท้าน เขาเตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับเตรียมซูเฟล่ช็อกโกแลตพร้อมกับเอ่ยตอบไปด้วย

“จะว่ามั่นใจก็มั่นใจอยู่นะ แต่อีกเหตุผลก็คือคุณชอบของหวาน เพราะฉะนั้นถ้าได้กินย่อมต้องมีความสุขอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“มันก็ใช่”

ไม่มีเหตุให้ปฏิเสธและไม่มีเหตุให้ปิดบัง ร่างโปร่งจึงยอมรับโดยดุษณี แต่เสียงของภันวัฒน์ไม่ได้หยุดแค่นั้น

“แล้วที่สำคัญแฟนของคุณเป็นคนทำให้คุณกินด้วยไง”








อ่านต่อข้างล่าง


v


v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

ต่อจากข้างบน


v



v


จะเรียกจุกก็ว่า อาทิตย์อัสดงรู้สึกตาแข็งค้างไปชั่วขณะที่ถูกโจมตีตรงจุดแบบไม่เหลื่อมตำแหน่งแม้แต่น้อย เมื่อภันวัฒน์ได้เห็นอาการนั้นจึงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเริ่มลงมือทำขนมด้วยอารมณ์สำราญ

ประมาณยี่สิบนาทีขนมสีน้ำตาลเนื้อนุ่มเด้งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ มิหนำซ้ำยังมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าปกติเล็กน้อยหลังจากที่ใช้ช้อนตัดมันลงไป

มีซอสช็อกโกแลตไหลออกมาด้วย

“ผมเติมลงไปเป็นพิเศษเพื่อคุณเลยนะ” เห็นสีหน้าแปลกประหลาดใจแล้ว ภันวัฒน์ที่นำขนมมาเสิร์ฟถึงที่ก็ผลิยิ้ม จากนั้นเอ่ยต่อ “เพราะฉะนั้นถ้าใจดีก็ช่วยป้อนผมสักคำนะครับ”

“ทำดีหวังผลเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงถามกลับขณะนำช้อนที่มีขนมสีน้ำตาลเข้าปาก พร้อมกับหรี่ตามองชายสวมผ้ากันเปื้อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปด้วย

“ในเมื่อผลที่หว่านเอาไว้สุกงอมแล้วก็ต้องเก็บเกี่ยวไม่ใช่เหรอครับ จะปล่อยให้ร่วงจากต้นแห้งเหี่ยวคาพื้นได้ยังไง จริงไหมครับ”

คารมคมคายไม่เพียงชัดเจนออกมาทางคำพูด แต่ยังฉายชัดบนดวงตาของคนพูดอีกต่างหาก

มีวาทศิลป์เป็นเลิศจริงๆ

อาทิตย์อัสดงรู้สึกยอมแพ้ เขาใช้ช้อนในมือตักขนมขึ้นมาขนาดพอดีคำก่อนจะยกขึ้นไปใกล้ใบหน้าของภันวัฒน์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงค้อมตัวลงมาเล็กน้อย ลิ้มรสขนมชิ้นพิเศษที่เกิดขึ้นด้วยมือของตนเอง

“จะว่าไป” เขาเกริ่นเสียงออกมาเล็กน้อยก่อนยกนิ้วขึ้นปาดขอบปากเพื่อทำความสะอาดส่วนที่อาจจะเลอะ “คุณจะกลับไปเปิดบล็อกอีกครั้งหรือเปล่าครับ”

คำถามนั้นทำให้คนฟังนิ่งค้างอยู่เล็กน้อย ร่างโปร่งหลุบตาลงครุ่นคิดกับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง

“คงไม่ล่ะครับ”

“ถึงจะแน่ใจได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่มายุ่งเกี่ยวกับคุณแล้วน่ะเหรอครับ”

“ครับ”

ศีรษะที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าผงกเบาๆ ทำให้ภันวัฒน์ตรองคิดเล็กน้อยว่ามันดีแล้วแน่หรือ

“แน่ใจนะครับ จะไม่เสียใจเหรอ”

“เอาจริงๆ มันก็เป็นแค่งานอดิเรกอย่างหนึ่งของผมเท่านั้น ก็เหมือนพอร์ตสะสมหลักฐานว่าผมกินขนมที่ร้านไหนมาบ้าง และแต่ละชิ้นมีรสชาติเป็นยังไงเท่านั้นเอง มีคนมาคอมเมนต์สอบถามผมก็ดีใจ แต่จุดเริ่มต้นมันก็มีแค่เหตุผลนั้น”

ได้ฟังแล้วภันวัฒน์ก็ผงกศีรษะตาม แต่ถึงกระนั้นก็เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายมีความรู้สึกไม่ดีติดค้างอยู่ในใจจึงกล่าวเสริมเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์

“แต่อย่างนั้นก็ดีเหมือนกันนะครับ”

“ดียังไงครับ”

หัวคิ้วของอดีตบล็อกเกอร์ขมวดเข้าหากันน้อยๆ อย่างสงสัย

“ก็ในเมื่อคุณไม่ต้องรีวิวขนมของที่อื่นแล้ว คุณก็มาเป็นนักรีวิวประจำตัวผมได้ไง”

“นักรีวิวอะไรกันครับ แล้วอีกอย่าง ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะทำ”

“แต่เวลาผมทำขนมใหม่ๆ ผมอยากให้คุณลองชิมเป็นคนแรกดูนะ คุณเองก็เก่งออกไม่ใช่เหรอ ถึงชี้จุดบกพร่องในขนมของผมได้”

ว่าพลางนิ้วชี้ของภันวัฒน์ก็แตะลงบนปลายจมูกของคนที่ตนเองเอ่ยชื่นชมเบาๆ ราวกับหยอกล้อเด็กเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ไม่ผิดนัก เพราะอาทิตย์อัสดงทำให้เขาเอ็นดูและมันเขี้ยวไปได้พร้อมๆ กัน

“คุณไม่อยากลองชิมขนมของผมคนแรกเหรอ ไม่อยากรู้เหรอว่ามันอร่อยหรือมีรสชาติยังไง”

สิ้นคำพูดนั้นแล้ว ความเงียบก็เกิดขึ้นอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อาทิตย์อัสดงทำหน้าคิดไม่ตก แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงออกมา

“ก็ได้ครับ”

เพราะแม้คำพูดของภันวัฒน์จะคล้ายกับว่ากำลังหลอกล่อให้ตกหลุมพราง แต่มันก็ยั่วยวนให้ยากจะปฏิเสธ และด้วยเหตุนั้นร่างสูงจึงระบายยิ้มออกมากว้างอย่างถูกใจ ย้ำอีกประโยค

“ถ้าช่วยชิมไปตลอดชีวิตได้ก็ยิ่งดีนะครับ”

ราวกับคำสัญญาสักอย่าง อาทิตย์อัสดงไม่ตอบ แต่ภันวัฒน์ก็ไม่ไล่เบี้ยเร่งเร้าเอาคำตอบ เพราะรู้ว่าภายในใจของอีกฝ่ายคงรู้สึกอย่างเดียวกัน เขาจึงกลับไปจัดการกับครัวที่ใช้งานระหว่างรอให้เค้กอบเสร็จ จนเมื่อเตาอบส่งเสียงสัญญาณแล้วถึงเรียกอาทิตย์อัสดงให้มาร่วมกันแต่งหน้า จากนั้นนำเค้กช็อกโกแลตไปแช่ตู้เย็นอีกครึ่งชั่วโมงแล้วจึงค่อยนำมันบรรจุลงกล่องที่มีน้ำแข็งแห้ง สุดท้ายก็ถึงเวลาออกเดินทาง

การเดินทางมีลักษณะเช่นเดียวกับคราวก่อน อาทิตย์อัสดงวางกล่องเค้กบนตักของตนเอง แต่คราวนี้ผิดไปอย่างหนึ่ง เพราะเขาไม่ต้องนั่งตัวเกร็งอีกแล้ว กระทั่งถึงที่หมาย รถยนต์สีเทาดำหยุดลงที่หน้าบ้านของผู้เป็นพี่สาว ร่างโปร่งจึงเอ่ยลา

“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง ส่วนค่าเค้ก...”

“อย่าให้ผมพูดประโยคเดิมเลยนะ”

ยังเอ่ยไม่ทันจบ ภันวัฒน์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน แม้คำพูดจะดูเหมือนเจ้าตัวรำคาญที่จะพูดซ้ำ แต่สีหน้าและน้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจึงเลือกที่จะไม่ขัด

“ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ขณะกำลังจะเปิดประตู เสียงทุ้มพร้อมกับมือหนาดึงแขนเอาไว้เสียก่อน ร่างโปร่งจึงหันกลับไปทางด้านหลังด้วยความฉงนสงสัย

“คุณลืมอีกเรื่องหนึ่งไปหรือเปล่า”

“ลืมอะไรครับ”

“ก็โทรศัพท์ไง โทรศัพท์ คุณยังไม่ได้ปลดบล็อกเบอร์ผมเลยนี่นา”

“อ๋อ” เมื่อถูกทักเช่นนั้นอาทิตย์อัสดงก็คิดได้ จึงคลี่ยิ้มเล็กน้อย “เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะครับ”

“ต้องรอถึงขนาดนั้นเชียว”

“ก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนนี่ครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ภันวัฒน์ก็แสร้งทำหน้าห่อเหี่ยวเล็กน้อย ขณะที่อาทิตย์อัสดงผุดยิ้มจาง จากนั้นโน้มตัวเข้าหา แตะริมฝีปากของตนลงเบาๆ บนแก้มของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ

เพียงครู่เดียวก็ถอยตัวกลับมา ระบายยิ้มให้อีกรอบหนึ่งก่อนจะล่ำลาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณสำหรับเค้ก แล้วเจอกันใหม่”

การกระทำที่ไม่คาดฝันของอาทิตย์อัสดงทำให้ภันวัฒน์ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ มองรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นด้วยความรู้สึกเลื่อนลอยนิดๆ กระทั่งร่างโปร่งเข้าบ้านไปแล้วถึงได้ยกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกฉวยโอกาสเบาๆ

รอยยิ้มผุดขึ้นมาจากกรอบหน้าคมคร้ามอย่างหยุดไม่อยู่ เสียงหัวใจไหวตึกๆ ดังสะท้อนอยู่ในอก รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกต่อเขาอย่างตรงไปตรงมาพลางนึกถึงคำพูดเมื่อครู่

‘ก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนนี่ครับ’

ไม่ต้องรีบ... ไม่ต้องรีบร้อนหรอก

ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยไปทีละนิดก็พอแล้ว

ใช่ไหมครับ คุณบล็อกเกอร์ที่บล็อกเก้อ






----------------------------
ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายแล้วค่ะ
เรื่องนี้จะจบจริงๆ แล้ว

ตอนคิดเนื้อหาตอนนี้ คิดอยู่ว่าควรจะจบที่ตอนที่แล้วหรือเปล่า แล้วให้ตอนนี้เป็นตอนพิเศษ
แต่สุดท้ายก็คิดว่าน่าจะมีตอนชิลๆ สักหนึ่งตอนก่อนจบดีกว่า มันก็เลยออกมาเป็นตอนที่ 32 ค่ะ

ตอนนี้ยังเปิดสำรวจคนที่สนใจหนังสือเรื่องนี้อยู่นะคะ ไปตอบที่เฟซบุ๊กได้ค่ะ
เพราะถ้ามีการเปิดจอง เราก็จะไปแจ้งไว้ที่โพสต์นั้นด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

ป.ล.1 ขอบคุณที่ทักเรื่องร่างสูงร่างโปร่งนะคะ
ไม่ทันสังเกตว่าตอนที่แล้วมันเยอะผิดปกติ
แอบแก้ไปแล้วค่ะ

ป.ล.2 ขอรบกวนถามคนอ่านเรื่องนี้กันสักหนึ่งเรื่องนะคะ
"ทำไมถึงได้เข้ามาเรื่องนี้กันเหรอคะ อะไรดลใจให้คลิกเข้ามา?"
นี่เป็นเรื่องที่เราสงสัยและอยากรู้มานานแล้ว
จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ค่ะ ตามสะดวกเลย

แล้วไว้เจอกันอีกทีในบทส่งท้ายนะคะ

Undel2Sky

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
หวานกว่าตอนที่แล้วอีกค่ะ คือฟ้าหลังนนี่มันจะสดใสไปแล้วรึเปล่าคะ 55555 เราไม่ได้หมั่นไส้คุณภันแล้วล่ะค่ะ ดีใจด้วยที่คุณอาทิตย์ก็มีความสุขได้จริงๆแล้ว เฮ้ออออ ดีแล้วที่เป็นคุณภันนะคะ ยิ่งอ่านนี่คือยิ่งรู้สึกว่าคุณภันเป็นคนดีจริงๆนะคะ ตัดเรื่องฐานออกไปก่อน อันนั้นมันแก้อะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถือว่าทำตัวเอง แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เราก็โอเค คิดไปคิดมามันก็ดีนะคะ เพราะคุณภันเป็นคนแบบนี้ไง สุดท้ายคุณอาทิตย์ถึงยอมเปิดใจให้ ยอมแล้วค่ะ คุณภันเป็นพระเอกจริงๆแหละ ออร่านี่แผ่กระจายมาก ส่วนคุณอาทิตย์ จากตอนแรกจนถึงตอนนี้เราชอบคุณอาทิตย์มากเลยนะคะ หรือเราชอบคนมีปม? เอ่อ... คุณอาทิตย์เป็นคนที่ให้ความรู้สึกว่าแข็งนอกอ่อนใน ยิ่งพยายามทำเมือนเข้มแข็งยิ่งทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วข้างในอ่อนแอแค่ไหน แต่พอมาหลังจากที่คุณภันเข้ามาคุณอาทิตย์ก็ดูสดใสขึ้นนะคะ เหมือนได้รับพลังงานมา ฮื้ออออ สรุปแล้วเรื่องนี้น่ารักมากจริงๆแหละค่ะ ไม่หวือหวามากแต่ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้เราก็ชอบค่ะ สบายใจดี แต่เราก็ยังรู้สึกไม่พอนะคะ ในเล่มถ้าไม่รบกวนมากเกินไป ขอตอนพิเศษหลายๆตอนได้ไหมคะ 5555555 ส่วนตอนแรกที่เข้ามาอ่าน น่าจะชื่อเรื่องนะคะ ถ้าจำไม่ผิดเราคิดว่าตอนนั้นเราเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง จริงๆเราก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรหรอกค่ะ แค่เห็นผ่านตามาก็เลยกดเข้ามาอ่าน แต่พอเข้ามาอ่านก็มาเจอกับของกิน... หิวเลยค่ะ กรี๊ดดดด แต่ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกเราจะหยุดอ่านไปช่วงนึงตอนแรกๆเพราะไม่ได้เข้าเล้าเลยอ่ะค่ะ พอมาตามอีกทีทีนี้ก็ยาวเลย 55555 ยิ่งอ่านเราก็ยิ่งรักคุณอาทิตย์อ่ะค่ะ เราชอบสไตล์การเขียนของคุณนักเขียนด้วยนะคะ มันดูมีเอกลักษณ์ดีอ่ะค่ะ แล้วแบบ... ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเพราะเราชอบแนวเรื่องแบบนี้มั้งคะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เขียนเรื่ืองนี้ขึ้นมา เรามีความสุขและหิวมากจริงๆ นี่ถ้าได้แฟนเป็นคนทำขนมบ้างก็ดีน้า // ตื่นๆ 555555 จากนี้บล็อกของคุณอาทิตย์ก็จะเขียนแต่ว่า อันไหนต้องปรับปรุง อันไหนอร่อยแล้ว เขียนให้คุณภันอ่านคนเดียว โอ๊ยยย เขินน  :o8:

ปล. เราเจอคำผิดคำนึงนะคะ

พอหนังท้องตึง หน้าตาชักหย่อนเลยนะเนี่ย   >> อันหลังน่าจะเป็นหนังตานะคะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อิ่มอกอิ่มใจ

เก็บเล็กเก็บน้อยไปนะคุณฮัก เดี๋ยวก็ได้ทั้งตัวทั้งใจเองแหละ

ปล. ฉันเข้ามาอ่านเพราะชื่อนักเขียนและชื่อเรื่องค่ะ ชอบวิธีสะกดชื่อของคุณ

พออ่านตอนแรกก็ติดหนึบเลย ชอบสำนวน ชอบภาษาสละสลวย ชอบความมึนของฮัก ชอบที่คำผิดน้อยมาก ชอบปมหม่น ๆ ของฟรี ชอบที่ฮักไม่ยอมแพ้ ชอบทุกอย่างเลย

ขอบคุณที่เขียนนิยายน้ำดีมาให้อ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2016 20:38:06 โดย alternative »

ออฟไลน์ Onlylyn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพิ่งได้มาตามอ่านเพราะเพื่อนแนะนำมาค่ะ
หาอ่านแล้วฟีลกู๊ด อ่านแล้วเขินตัวบิดมาหลายวัน ลองอ่านไปหลายเรื่องก็ไม่รอด เลยมาลองอ่านเรื่องนี้
ไม่ผิดหวังเลยค่ะ ชอบมากกกกกกกกกกๆๆๆ
ชอบภาษาที่นักเขียนใช้บรรยายมากค่ะ ภาษาสวยมาก อ่านแล้วสมูท ลื่นไหล อ่านแล้วไม่รู้สึกตะหงิดๆเหมือนบางเรื่อง
อ่านรวดเดียวเลย แต่ยังรู้สึกไม่อิ่ม อยากอ่านอีกเยอะๆ o13 :katai2-1:
ชอบคาเรคเตอร์ตัวละครค่ะ เอาใจช่วยทั้งพี่ฮัก ที่ทั้งหน้าด้าน หน้ามึน มือไว ปากหวานมาก  เจ้าคารมเป็นที่หนึ่ง นี่สงสัยว่าน้ำลายจะหวานตามรึเปล่า เอร้ยยย  ชอบเวลาพระเอกตะล่อมคนรอบตัว คือเราอ่านยังเอนเอียงตามเลย 5555 เอาใจช่วยฟรีด้วย ให้เปิดใจได้สักที แฟนเก่าคบกันมาตั้งแต่ปีสามยังทำแบบนั้นได้ลงคอ ไม่แปลกใจเลยที่ฟรีจะฝังใจแล้วปิดกันตัวเอง
อยากให้มีฉากหวานๆที่ทั้งคู่หวานกันมากกว่านี้ค่ะ นี่ทั้งเรื่องพี่ฮักหลายน้ำอ้อยคว่ำอยู่ฝ่ายเดียว อยากเห็นฟรีเป็นฝ่ายคุมเกมบ้าง ให้พี่ฮักอายม้วนทั้งตอน อยากอ่านตอนทั้งคู่พูดคุยกันแบบสบายๆกว่านี้ แบบว่าแทนตัวด้วยชื่อเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเล่นไรงี้อ่ะค่ะ
โอ้ยยยย ยาววว 5555
รอบทส่งท้ายค่า :mew1:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นช่วงเวลาที่น่ารักจริงๆ  :-[

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
«ตอบ #204 เมื่อ30-10-2016 21:59:02 »

E p i l o g u e






ร่างใต้ผ้าห่มค่อยๆ พลิกตัวทีละนิดก่อนดวงตาที่ปิดอยู่จะเปิดขึ้นช้าๆ แสงสว่างซึ่งลอดผ่านผ้าม่านบางเบาเข้ามาทำให้ห้องที่เคยมืดมิดสว่างเลือนรางด้วยแสงที่นุ่มนวล

สิ่งแรกที่ได้เห็นหลังเปิดเปลือกตาขึ้น คือภาพของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนอนเคียงกันมาตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อพิศมองเสี้ยวหน้าสีน้ำผึ้ง แนวกรามได้รูปแข็งแกร่ง และนัยน์ตาสีนิลที่ยังถูกปิดอยู่ รอยยิ้มบางเบาก็ผุดจับดวงหน้าขาวสะอ้าน

อาทิตย์อัสดงยิ้มกับตนเองด้วยความรู้สึกสุขล้นในใจ เขาห่างเหินจากความรู้สึกเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ในระยะห้าเดือนมานี้ เขากลับมีความรู้สึกดีๆ แบบนี้ต้อนรับทุกเมื่อเชื่อวัน

วันไหนหากไม่มีคนข้างกายนอนอยู่ด้วย ก็จะได้รับข้อความอรุณสวัสดิ์ส่งมาให้เสมอเมื่ออีกฝ่ายตื่น แต่หากวันไหนที่ได้อยู่เคียงคู่กันบนเตียงอุ่นในห้องเย็นสบาย เขาก็จะได้จดจ้องใบหน้าของคนหลับแล้วซึมซับช่วงเวลาแสนสุขอย่างเต็มที่โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

เป็นช่วงเวลาแห่งความลับของเขาที่อยากจะเก็บเกี่ยวเอาไว้คนเดียว

และยิ่งนึกถึงสารพัดสารพันที่อีกฝ่ายทำให้ ก็ยิ่งทำให้เขาอิ่มเอมมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

ภันวัฒน์เป็นคนช่างเอาใจใส่ ใส่ใจเขาก่อนตัวเองเสมอ บางครั้งก็ชอบออดอ้อน เรียกร้องเหมือนเด็กจนเขาอ่อนใจ แต่บางคราวก็หนักแน่นจริงจัง จนเขาได้แต่ยอมศิโรราบโดยไม่อาจขัดขืน ทว่าไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อีกฝ่ายก็ทำให้เขาตกหลุมพรางที่ถูกขุดไว้มากขึ้น

ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะขุดมันให้ลึกเสียจนเขาไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้หรืออย่างไร

แต่ตราบเท่าที่ภันวัฒน์ยังต้องการเขาอยู่ เขายินดีที่จะตกลงไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ

อยากจะอยู่แบบนี้ให้นานที่สุด

รวมถึง...อยากถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนี้ด้วย

เขาไม่เคยมีประสบการณ์ถูกกักร่างไว้ใต้คนเพศเดียวกัน ไม่เคยนึกพิศวาสหรือมีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย แต่กับภันวัฒน์แล้ว มันกลับเอ่อล้นออกมาจนรู้สึกปรารถนาเองในบางครั้งเสียด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่ถูกกอดรัด เขากลายเป็นดั่งเนยแข็งที่ต้องไอร้อนจนหลอมละลาย

ทุกคราวที่ความอุ่นซ่านเหยียบย่างเข้ามาในกาย ทุกจังหวะที่อีกฝ่ายกดย้ำส่งผ่านรสสัมผัสที่หอมหวาน รุ่มร้อน และรุกเร้า ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่รู้สึกอิ่มเอมและเป็นสุข

เขาคงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเหล่านี้แม้แต่ครั้งเดียวหากไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้

อาทิตย์อัสดงยกยิ้มสูงกว่าเดิมเมื่อนึกถึงสัมผัสร้อนที่โลมเล้าไปทั่วร่างในค่ำคืนที่ผ่านมา ก่อนจะลุกจากที่นอนเพื่อเข้าไปชำระล้างร่างกาย เมื่อเดินผ่านกระจกในห้องน้ำ ก็แวะมองภาพสะท้อนของรอยตีตราบนร่างขาวกระจ่างจนแทบซีด

ภันวัฒน์ชอบทิ้งรอยของตัวเองเอาไว้ตรงบ่าของเขา

‘จริงๆ ผมอยากทำตรงต้นคอด้วยซ้ำ เห็นคอขาวๆ ของคุณแล้วมันมันเขี้ยว แต่กลัวว่าคุณไปทำงานแล้วคนอื่นจะเห็น เลยต้องซ่อนไว้สักหน่อย’

อีกฝ่ายตอบมาเช่นนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจตอนเขาเห็นรอยแดงจ้ำที่บ่าตัวเองเป็นครั้งแรก

‘แล้วทำไมต้องทำรอยไว้ด้วยล่ะครับ’

‘ก็ผมอดใจไม่อยู่นี่นา บอกแล้วว่าคุณน่ารักจนผมอยากฟัด’

ไม่เพียงแค่ตอบคำถาม เจ้าตัวยังฉวยร่างเขาไปกอดแล้วซุกหน้าเข้ากับซอกคอ สูดลมหายใจลึกแรง ราวกับว่าจะใช้จมูกทำรอยแทนปากอย่างไรอย่างนั้น

ทั้งที่เขาไม่รู้เลยสักนิดว่า ‘น่ารัก’ ที่อีกฝ่ายว่ามันคืออะไร ในเมื่อเขาก็ทำตัวปกติไม่ต่างจากเดิม ไม่ได้ทำตัวอ่อนหวาน ออดอ้อนเป็นพิเศษ ยากจะจินตนการได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่ภันวัฒน์ก็ยังยืนยันจนเขาอ่อนใจจะเถียง

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

เมื่อออกมาจากห้องน้ำ คนที่เคยนอนอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นมาแล้ว ภันวัฒน์ลงมายืนประจันหน้ากันในสภาพเดียวกับแรกเกิดอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นเคย จากนั้นโน้มตัวเล็กน้อยแล้วใช้ปากฉกที่ริมฝีปากของอาทิตย์อัสดงอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยววันนี้ผมจะสอนคุณทำขนมนะ”

หลังจากบอกเช่นนั้นแล้ว เจ้าตัวก็ตวัดผ้าเช็ดตัวซึ่งผึ่งไว้กับราวตากผ้าในห้องก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป

อาทิตย์อัสดงจัดแจงเตรียมอาหารเช้าเอาไว้ด้วยความคุ้นเคยกับสถานที่บ้างแล้ว เพราะปกติจะเป็นภันวัฒน์เสียมากกว่าที่ไปค้างบ้านของเขา นานๆ ครั้งเขาถึงเป็นฝ่ายมานอนค้างที่นี่

เมื่อภันวัฒน์ออกมาจากห้องน้ำ อาหารเช้าแสนง่ายก็เสร็จเรียบร้อยและตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารพอดี ทั้งคู่จึงเริ่มรับประทานอาหารควบคู่กับการพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งจบมื้อก็เป็นฝ่ายเจ้าของห้องจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำขนมบ้าง

“ไม่ใช้เครื่องตีแป้งเหรอครับ ผมเห็นใครๆ ก็ใช้กัน”

หลังจากเห็นอุปกรณ์ต่างๆ บนเคาน์เตอร์ครัวขนาดใหญ่ที่เจ้าของคงต่อเติมเองในภายหลัง ร่างโปร่งก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

“ถ้าไม่ได้ต้องการขนมที่เนื้อละเอียดมาก ผมชอบตีเองมากกว่าน่ะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือว่าขนม ถ้าทำด้วยมือ ใส่ความตั้งใจของตัวเองลงไป มันจะเป็นการแสดงความใส่ใจต่อคนกินอย่างหนึ่ง มันมีความอบอุ่นอยู่ในตัวของมัน ถ้าใช้เครื่องตี มันเหมือนรสชาติกลวงๆ ไม่มีความรู้สึกของคนทำแอบแฝงอยู่”

เป็นอีกครั้งที่แนวความคิดของผู้ชายคนนี้สร้างความประทับใจต่ออาทิตย์อัสดง จนก่อให้เกิดความรู้สึกชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รอยยิ้มผุดขึ้นน้อยๆ บนแก้มขาวของหน้าตี๋ นำพาให้รอยยิ้มถูกยกขึ้นมาทาบทับลงบนใบหน้าคมคร้ามด้วย

“เวลากิน คุณก็รู้สึกได้ใช่ไหมล่ะ”

คำถามพร้อมรอยขยิบตานิดๆ นั้นทำให้รอยยิ้มของคนฟังแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ

จากนั้นอุปกรณ์อย่างหนึ่งก็ถูกยื่นให้ อาทิตย์อัสดงรับที่ร่อนแป้งจากมือใหญ่มา แล้วจับจ้องมือหนาซึ่งเทแป้งจากถุงลงไปจำนวนหนึ่ง แล้วใช้มือช่วยเกลี่ยแป้งให้กระจายบนตะข่ายร่อนอย่างทั่วถึง

“ร่อนซ้ำสองครั้งนะครับ เนื้อจะได้เนียนหน่อย ปริมาณสักขนาดนี้”

หลังจากบอกเช่นนั้นพร้อมเอานิ้วแตะอ่างสแตนเลสเพื่อบอกปริมาณไปด้วย ภันวัฒน์ก็วางถุงแป้งลงข้างๆ ก่อนจะไปจัดการต่อยไข่แล้วแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกันลงในถ้วย จากนั้นตีไข่ขาวให้เป็นเนื้อครีมฟู ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ของในมือจนกระทั่งเสร็จจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทว่าเมื่อหันไปมองคนข้างๆ แล้วก็ต้องเอ่ยทักด้วยสีหน้าขบขันอย่างยิ่ง

“นี่ร่อนแป้งหรือไปตกถังแป้งมากันครับ”

“ก็คนไม่เคยทำนี่ครับ”

อาทิตย์อัสดงแก้ตัวด้วยหน้ายุ่ง พยายามยกไหล่เพื่อเช็ดหน้าของตัวเองไปด้วย เพราะว่ามือเลอะแป้งสีขาว เช่นเดียวกับที่มันฟุ้งขึ้นมาจนเปรอะใบหน้า แม้กระนั้นก็ยังเช็ดได้ไม่หมดอยู่ดี

ถ้าเขาไม่ร่อนแป้งไป ก้มลงส่องแป้งที่ถูกร่อนไปเพื่อดูปริมาณ หน้าก็คงไม่เลอะแบบนี้

“ที่หน้าผากก็มีอีก”

ภันวัฒน์บอกพลางยิ้ม นึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันเลอะไปถึงตรงนั้นได้ แต่แม้ร่างโปร่งจะพยายามเช็ดมันออกแล้วก็ไม่ถึงอยู่ดี

“มือผมก็เลอะไข่เหมือนกัน แต่อกผมว่าง เอาหน้าคุณมาเช็ดกับอกผมก็ได้นะ”

ไม่บอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังยื่นอกแน่นๆ ให้อีกต่างหาก ทำให้แทนที่อาทิตย์อัสดงจะยิ้มตอบรับความปรารถนาดี กลับกลายเป็นพ่นหัวเราะออกมาอย่างอดขำไม่อยู่ จนน้ำลายกระจายเต็มหน้าคนเสนอตัวด้วยความยินดี

“โธ่ ผมกะจะโรแมนติกสักหน่อย คุณนี่”

ภันวัฒน์ทำหน้าเบ้บอก จากนั้นเป็นฝ่ายย่อตัวลงเอง แล้วเอาหน้าไปซุกกับอกเรียบๆ ของร่างโปร่ง ถูหน้าลงบนอกนั้นแทน แต่ถูไปได้ไม่เท่าไร มือที่เจ้าตัวอ้างว่าเลอะทั้งที่ไม่ได้เลอะก็ตวัดมาโอบเอวของอาทิตย์อัสดงเข้าแล้ว

“ไหนคุณบอกว่ามือเลอะไง”

“เลอะไงครับ แต่ช่างมันแล้ว”

หลังจากตอบอย่างนั้น ใบหน้าที่แนบอยู่กับอกก็ย้ายขึ้นไปด้านบนอีกหน่อย เป็นซุกเข้ากับซอกคอ ตามด้วยซุกไซ้ให้ผมทิ่มต่ำผิวเนื้อของอีกคน ส่วนสองแขนก็โอบรัดเอวแน่นขึ้นอีก จนอาทิตย์อัสดงต้องบิดตัวหนี

“นี่คุณ ผมจักจี้”

แม้จะเอ่ยเรียกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าภันวัฒน์จะไม่ลดละการกระทำ เพราะยังคงขะมักเขม้นกับการซุกไซ้ มิหนำซ้ำยังเพิ่มเติมด้วยการขบเม้มเบาๆ บนต้นคอไปเรื่อย ทำให้อาทิตย์อัสดงต้องตัวบิดมากกว่าเดิม

“คุณ! คุณฮัก ไหนว่าจะทำขนม เดี๋ยวก็ไม่เสร็จหรอก”

“ขนมน่ะ เดี๋ยวไว้ค่อยทำให้เสร็จก็ได้ แต่ผมเนี่ย อยากเสร็จตอนนี้แล้วล่ะ”

เจ้าตัวยอมผละหน้าออกมาจนได้ แต่ประโยคที่ตอบกลับมาพร้อมกับประกายไหววูบที่ส่อแววบางอย่างจากดวงตาสีดำขลับก็ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกสะท้าน เข้าใจความหมายได้อย่างแจ่มแจ้ง เขาพยายามดันตัวออก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสะท้านสะเทือนอีกฝ่ายที่ตัวใหญ่กว่าสักเท่าไร

ภันวัฒน์รวบเอวสอบในวงแขนของตนเอาไว้พลางขยับเท้า ค่อยๆ นำอีกร่างหนึ่งออกห่างเคาน์เตอร์ไปเรื่อยๆ เพื่อมุ่งสู่ห้องนอน นอกจากนั้นยังจรดริมฝีปากลงบนแก้มและปากของคนที่ตัวเองกอดอยู่เป็นระยะๆ ด้วยสีหน้าระรื่นอีกต่างหาก สุดท้ายอาทิตย์อัสดงจึงได้แต่อ่อนใจ ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เขารู้ รู้ดีที่สุด

ต่อให้พยายามขัดขืนสักเท่าไร กั้นขวางสักแค่ไหน ผู้ชายคนนี้ก็พร้อมจะทุบทำลายทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเขาอยู่ดี

แบบนี้ก็คงมีแต่ต้อง...ยอมล่ะนะ






-------------------------
จบแล้วค่ะ ถ้านับจากวันแรกที่ลงเรื่องนี้ก็เกือบปีทีเดียว
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่านกันมา
ขออภัยด้วยค่ะที่ไม่มีฉากวาบหวิวมาเซอร์วิสเลย
ดูเป็นนิยายสีขาวไปซะแล้ว

สำหรับเรื่องพร่างฟ้าที่ยังไม่ได้เจอกับคุณอาทิตย์
ส่วนนั้นจะอยู่ในตอนพิเศษ (ที่เราจะเอาลงในเล่ม) อย่างที่เคยบอกไว้นะคะ
เรื่องบนเตียงของทั้งคู่ก็จะอยู่ในตอนพิเศษ (ที่เราจะเอาลงในเล่ม) เหมือนกันค่ะ
คราวนี้ตัดสินใจว่ามีตอนพิเศษแค่ 2 ตอน (แต่ยาวเทียบเท่า 10+ ตอนธรรมดา) ค่ะ
เพราะฉะนั้นก็เลยจะไม่ได้เอาตอนพิเศษมาลงให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอโทษด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับคำตอบของตอนที่แล้วนะคะ
แล้วก็ขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านใหม่และคนที่ชักชวนเพื่อนให้มาอ่านด้วยค่ะ

หลังจากนี้อาจจะหายไปแต่งตอนพิเศษสักพัก
แล้วจะมาเปิดเรื่องใหม่หลังจากเคลียร์ทางนั้นเรียบร้อยแล้วนะคะ
คงจะเป็นเรื่องของฐานทัพค่ะ ใครสนใจเรื่องของน้องฐาน ก็ช่วยรอติดตามด้วยนะคะ

ส่วนเรื่องหนังสือ ถ้าได้จำนวนหน้าที่แน่นอนแล้ว (น่าจะธันวา?) จะมาแจ้งเรื่องเปิดจองอีกครั้งค่ะ
แต่ติดตามความคืบหน้าได้เรื่อยๆ ที่เฟซบุ๊กนะคะ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่นะคะ


Undel2Sky


ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
«ตอบ #205 เมื่อ30-10-2016 22:12:16 »

อบอุ่น กรุ่นไปด้วยไอรักและขนมจนจบ ของคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
«ตอบ #206 เมื่อ30-10-2016 23:12:24 »

ปากว่ามือถึงเสมอต้นเสมอปลายนะฮัก

แต่ฟรีน่ารักขนาดนี้...ยอม

ปล. ถึงไม่มีฉากวาบหวิว ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าอ่านลดลงเลย
ความรู้สึกที่คุณถ่ายทอดออกมามันทำให้รู้สึกว่า ฮักกับฟรีรักกันด้วยใจ มากกว่าหวังแค่ความสนุกทางกาย


ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
«ตอบ #207 เมื่อ30-10-2016 23:19:20 »

หวานส่งท้ายกันที่เดียว

ขอบคุณกะเรื่องราวแสนสนุกนะคะ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
«ตอบ #208 เมื่อ31-10-2016 06:40:41 »

น่ารักกันมาก ๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้มากค่ะ เป็นกำลังใจให้สร้างงานใหม่ ๆ ออกมาต่อเนื่องนะค๊ะ

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
Re: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e [30/10/59]
«ตอบ #209 เมื่อ31-10-2016 08:33:18 »

โอ่ยยย หวานมากค่ะะะ หวานจนขนมยังอายเลยเนี่ย ฮือออออ คุณอาทิตย์คนบ้า ไหนว่ารักเค้า(?) 5555555555555555 แต่พอเขารักกันนี่ก็รักกันจริงๆนะคะ ยอมแล้วอ่ะ ต้องเป็นคุณภันนี่ล่ะค่ะ แต่จะว่าไปผู้ชายคนนี้นี่มีหลายด้านจริงๆนะคะ คุณอาทิตย์ดูเป็นคนเรียบๆเงียบๆปากร้ายใจดีขี้ใจอ่อนอะไรงี้ แต่คุณภันนี่คือหลากหลายมากอ่ะค่ะ แรกๆนี่กวนประสาทมาก แล้วก็กลายเป็นผู้ชายอบอุ่นไปซะงั้น โหยยย มาดนี้นี่หลงจริงๆค่ะ มาดพระเอก กรี๊ดดด พอมาตอนนี้นี่รู้สึกเหมือนเขาแต่งงานกันแล้วเลยนะคะ มีการมาอยู่ด้วยกัน แน่ะๆ อย่าบอกว่าแค่ค้างครั้งคราวนะคะ นี่คือสลับไปนอนบ้านกันทุกวัน ฮื้ออออออออ ดูเหมือนเขาจะรักกันมากขึ้นเรื่อยๆยังไงไม่รู้ค่ะ เราดีใจนะคะเนี่ย คุณอาทิตย์มีความสุขแล้ววว จะว่าไปนะคะ เรารู้สึกเหมือนคุณภันกำลังล่อลวงให้คุณอาทิตย์มาเป็นคนทำขนมที่ร้านตัวเองในที่สุดยังไงไม่รู้ค่ะ เริ่มผูกมัด แน่ะๆ เรารอเล่มนะคะ รออออออ ขอบคุณที่แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยนะคะ กอดดด  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด