「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」▶▷ || E p i l o g u e (จบ)  (อ่าน 78974 ครั้ง)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ราศีพระเอกดับวูบก็ตอนอุ้มฟรีขึ้นรถไปหน้าตาเฉยเนี่ยแหละ  :เฮ้อ:

สงสารเอมนะ คงกดดันและเสียใจมาก อาจจะรวมกับนิสัยส่วนตัวด้วย เลยทำพฤติกรรมในรูปแบบนี้
ขอให้จบ ๆ กันไปเถอะนะ

พร่างออกจะน่ารัก ทำไมพี่ภัณต้องทำท่าอย่างกับเจอเจ้าหนี้ด้วยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

คำผิด

หน่วยตาสีนิลจ้องทมึงไปยังใบหน้าของหญิงสาว > จ้องถมึง

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
รู้แล้วว่าทำไมพรหมลิขิตถึงชักพามาให้ฟรีมาเจอกับคนแบบนี้
เอาไว้รับมือแฟนเก่าโรคจิตนี่เอง

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
24th Entry : ฟ้าหลังฝน






ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกะพริบปริบๆ อยู่หลายครั้งยามสติกลับคืนสู่ร่าง คล้ายก่อนหน้านี้มันโบยบินออกไปท่องในอากาศอยู่พักใหญ่ ใบหน้าขาวกระจ่างหันมาทางคนที่ทำหน้าที่เคลื่อนรถออกจากตำแหน่งเดิม และเปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะดูเหมือนช่วงเวลาที่ทุกอย่างในตัวเขาหยุดเดิน มันจะทำให้ความคิดและการกระทำของเขากำลังจะสายเกินไป

“ทำอะไรของคุณเนี่ย”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องบ้านหรอกครับ ผมตรวจดูความเรียบร้อยทั้งชั้นบนชั้นล่างแล้ว และล็อกกุญแจบ้านให้หมดแล้วด้วย”

กุญแจบ้านที่ว่าถูกยื่นมาให้ต่อหน้า อาทิตย์อัสดงถึงกับตะลึงไปครู่สั้นๆ เพราะไม่รู้ตัวเลยว่าถูกฉวยมันไปจากมือเมื่อไร เขารีบดึงมันกลับและยัดใส่กระเป๋ากางเกงอย่างเร็วรี่ ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนั้นแล้วมันจะอันตรธานไป ขณะเดียวกันกรอบหน้าเรียวขาวก็ร้อนวูบขึ้นมาด้วยประโยคเมื่อครู่

ดั่งคำยืนยันว่าเวลาในตัวของเขาหยุดลงไปนานเพียงใดหลังจากได้ยินคำคำนั้น

อาทิตย์อัสดงต้องตั้งสติอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เขากระแอมเบาๆ เพื่อเคลียร์ลำคอให้ว่างเปล่าหลังจากรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างปีนไต่ขึ้นมาจากภายใน

“ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเลยนะ”

“เรื่องนั้นผมคิดเอาไว้แล้วล่ะ เลยเอาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย เรื่องกางเกงในก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมซื้อของใหม่เตรียมไว้ให้เหมือนกัน”

คำตอบที่ได้ทำให้อาทิตย์อัสดงอดพึมพำออกมาไม่ได้

“เตรียมพร้อมรับมือเหลือเกินนะ”

แต่ภันวัฒน์กลับฮัมเพลงแบบมีความสุขไปราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงนั้นแต่อย่างใด

ผู้จัดการหนุ่มผุดยิ้มบางๆ กับตนเอง พลางนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ เหตุที่เขาต้องหนีพร่างฟ้าก็เพราะว่าต้องเตรียมของใช้สำหรับร่างโปร่งนี้แหละ แล้ววันนี้ก็รีบหลบออกจากคอนโดฯ ตั้งแต่เวลาที่คิดว่าพร่างฟ้าคงยังไม่มาถึงตัวเขาและมันก็สำเร็จด้วยดี

“ว่าแต่จะไปไหนครับ ช่วงปีใหม่สถานที่ท่องเที่ยวคนเต็มหมดไม่ใช่เหรอ ปุบปับจะหาที่ได้ยังไง”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มให้มาประทับลงบนใบหน้าคมเข้มได้ เสียงทุ้มเอื้อนตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนระคนภาคภูมิใจนิดๆ

“ผมลงทุนใช้เส้นสายที่ผมไม่ค่อยชอบใช้เพื่อไปเที่ยวกับคุณโดยเฉพาะเลยนะ”

หากแต่คนฟังได้แต่งงงันที่สถานที่ไม่ถูกระบุมาด้วยทั้งที่ตนถามตรงประเด็น และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่อยากเฉลยมันออกมาในเวลานี้ด้วย เพราะร่างสูงเสเปลี่ยนเรื่องเสียเฉยๆ

“คุณกินข้าวเช้าหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดถึง ก็ป่วยการจะเซ้าซี้อีกต่อไป อาทิตย์อัสดงจึงตอบรับคำถามใหม่

“ถ้างั้นผมขอแวะปั๊มสักหน่อยได้ไหมครับ อยากได้อะไรรองท้องสักหน่อย แล้วก็กาแฟสักแก้ว”

“ตามสบายครับ”

สิ้นเสียงนั้นภันวัฒน์ก็ทำอย่างที่บอก ไม่วายหันมาถามด้วยว่าจะลงไปซื้ออะไรไหมเผื่อเอาไว้กินเล่นระหว่างเดินทาง แต่ก็ถูกปฏิเสธไป ร่างสูงจึงลงไปจัดการกับธุระของตนเอง และกลับมาพร้อมของที่กล่าวถึงไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็มีของฝากติดไม้ติดมือให้ใครอีกคนด้วย

“น้ำดื่มครับ”

“ขอบคุณครับ”

ถึงจะไม่ต้องการกินของขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มอะไรเป็นพิเศษระหว่างเดินทาง แต่อย่างไรน้ำดื่มแก้กระหายก็สำคัญอยู่ดี ร่างโปร่งจึงรับน้ำใจนั้นไว้โดยดุษณี พลางคิดไปด้วยว่าภันวัฒน์ช่างเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นเสียจริงๆ เพราะเขามักได้รับการกระทำเช่นนั้นอยู่เสมอ ทั้งที่เคยตัดรอนครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อขึ้นประจำที่นั่ง พาหนะที่จะพาทั้งคู่ไปยังสถานที่หย่อนใจในช่วงหยุดยาวก็ยังไม่เคลื่อนที่ ภันวัฒน์เปิดข้าวกล่องกลิ่นหอมฉุยที่เพิ่งออกมาจากไมโครเวฟขึ้นกิน ถึงข้าวที่อยู่ในกล่องจะถูกส่งเข้าปากรวดเร็ว แต่ท่วงท่าของผู้จัดการหนุ่มก็สำรวม ไม่มูมมาม ตะกละตะกลาม บ่งบอกให้รู้ว่าได้รับการอบรมมาอย่างดี และมีภาพลักษณ์ที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย มิหนำซ้ำหลังดื่มน้ำเมื่อกินข้าวเสร็จแล้วยังตามด้วยอมลูกอมกลิ่นเมนทอลเพื่อดับกลิ่นอาหารที่คละคลุ้งอยู่ในปากเพื่อไม่ให้ส่งกลิ่นรบกวนคนข้างเคียงอีกด้วย

จากนั้นร่างสูงเอี้ยวตัวแทรกกลางระหว่างเบาะทั้งสอง ยื่นมือไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างจากเบาะหลังมายื่นให้คนซึ่งนั่งอยู่เบาะด้านข้าง อาทิตย์อัสดงมองกล่องปริศนาเล็กน้อยก่อนจะรับมา

“คุกกี้ครับ ผมทำมาฝาก ไว้เอากลับไปกินตอนทำงานหลังช่วงปีใหม่แล้วกันนะครับ”

“แล้วทำไมถึงให้ซะตั้งแต่ตอนนี้ล่ะครับ”

เพราะโอกาสที่จะให้ยังมีช่วงขากลับ ร่างโปร่งจึงอดแปลกใจไม่ได้ ภันวัฒน์ระบายยิ้มบางเบาแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นสบายตามสไตล์ของเจ้าตัว

“ผมกลัวว่าจะลืม เพราะมัวแต่ดีใจที่ได้เที่ยวกับคุณน่ะครับ”

คำตอบที่ได้รับมาเหนือความคาดเดา ทำให้คนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก และยังมองหน้าอีกฝ่ายลำบากอีกต่างหาก อาทิตย์อัสดงรู้สึกร้อนบนหน้าอยู่น้อยๆ หากจะเรียกว่ารู้สึกเขินอยู่นิดๆ ก็คงไม่ผิดกระมัง จึงเบนหน้าไปทางอื่น ซึ่งปฏิกิริยาเช่นนั้นก็ทำให้กรอบหน้าสีน้ำผึ้งกระจ่างด้วยรอยยิ้มสว่างกว่าเมื่อครู่

ภันวัฒน์ยิ้มค้างอยู่เช่นนั้นพักหนึ่งก่อนจะกลับมาสู่เส้นทางการเดินรถอีกครั้ง ผ่านไปหลายชั่วโมงจนล่วงเข้าสู่บ่ายกว่าเพราะการจราจรที่คับคั่งช่วงเทศกาล สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายที่ต้องการ

ดวงตะวันเลยจุดตั้งฉากมาทำมุมหกสิบองศากับท้องฟ้าแล้ว รถยนต์สีเทาดำเคลื่อนมาหยุดลงยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน รั้วไม้สูงเทียมอกกั้นแบ่งอาณาเขตก่อนทางเข้ามาในพื้นที่นั้นยาวจนน่าทึ่ง และพาให้งงงวยว่ามันคือที่ใดกันแน่

ผู้คุ้นเคยกับสถานที่ลงจากรถมาก่อน พลางบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มประกอบรอยยิ้มเช่นเคย ‘ลงมาสิครับ’ จากนั้นภันวัฒน์เปิดกระโปรงด้านหลังของรถออก หยิบกระเป๋าเดินทางชนิดสะพายหลังขึ้นมาแบกไว้ พร้อมกล่องเก็บความเย็นขนาดใหญ่เกินโอบ

“ที่ไหนครับเนี่ย”

อาทิตย์อัสดงแทบหมุนรอบตัว กวาดสายตามองทั่วบริเวณที่เคยเหยียบย่างเป็นครั้งแรก พื้นที่เหยียบอยู่นี้ไม่ใช่ซีเมนต์ หากแต่เป็นดินแข็งๆ มีต้นหญ้าผุดแซมสะเปะสะปะ ตัวบ้านหลังไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กเบื้องหน้าเป็นบ้านไม้ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติรอบๆ ซึ่งแผ่ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ ราวกับอยู่กลางป่าอย่างไรอย่างนั้น มองออกไปไกลๆ เห็นบึงน้ำขนาดมโหฬาร เสียงนกร้องสลับกับแมลงต่างๆ ดังก้อง

“บ้านของลุงผมเองแหละ ผมขอยืมมา วันนี้เราจะตั้งแคมป์กัน”

ได้ยินเช่นนั้นร่างโปร่งก็ห้ามอาการตกตะลึงไม่ได้ เขาพอรู้ว่าภันวัฒน์มีฐานะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่หากพิจารณาจากสถานที่แห่งนี้แล้ว มันอาจจะเกินกว่าคำว่าดีไปมากโขก็เป็นได้

“ไม่ใช่พื้นที่ป่าของทางการใช่ไหมครับ”

น้ำเสียงและสีหน้าที่บ่งบอกออกมาว่าหวาดระแวงเล็กน้อยว่าเป็นพื้นที่ผิดกฎหมายหรือเปล่าทำให้ภันวัฒน์ที่ขยับเท้ามายืนใกล้ๆ ถึงกับหัวเราะเบาๆ

“ไม่ใช่หรอกครับ จริงๆ มันไม่ใช่ป่าหรอก แต่พอดีว่าลุงของผมเขาอยากได้บ้านพักตากอากาศที่ให้บรรยากาศเหมือนป่า ก็เลยสร้างขึ้นมาบนที่ดินของตัวเอง น่าจะสักประมาณยี่สิบปีได้แล้วมั้งครับ”

รวยขนาดไหนกันถึงทำได้ขนาดนี้

อดีตบล็อกเกอร์อดคิดเช่นนั้นไม่ได้จริงๆ เพราะมันน่าทึ่งเกินไปแล้ว ตอนนั่งรถมาเขาเห็นรั้วเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น ยังไม่เห็นว่าสุดขอบอาณาเขตของที่นี่คือตรงไหน คงเป็นที่ที่ประเมินมูลค่าไม่ได้กระมัง

“เดี๋ยวคุณรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันนะครับ ผมจะไปขนอุปกรณ์ออกมา”

“อุปกรณ์อะไรเหรอครับ”

หลังจากหายตะลึงและเอาแต่มองไปทั่วๆ แล้ว อาทิตย์อัสดงก็กลับมาจับจ้องที่ดวงหน้าคมเข้มอีกครั้ง

“อุปกรณ์ตั้งแคมป์ไงครับ ผมเก็บเอาไว้ในบ้านน่ะ หรือว่าคุณจะมาช่วยขนด้วยก็ได้นะ ก็มีเต็นท์กับพวกเตาปิ้ง แล้วก็น้ำดื่ม”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมช่วยดีกว่าครับ แต่ว่า...ที่คุณบอกว่าเต็นท์ คือเราจะนอนเต็นท์กันเหรอครับ”

แม้ออกตัวว่าจะช่วยเหลือ ร่างโปร่งก็ยังสงสัยอยู่ดี เขาเดินตามเข้าไปพลางมองสำรวจภายในบ้านที่จัดตกแต่งอย่างง่ายๆ ไม่ได้แสดงถึงความหรูหราหรือร่ำรวยแต่อย่างใด แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความสมถะของคนมีฐานะอยู่ดี

คงอยากให้บรรยากาศแบบอยู่ในป่าจริงๆ

“ครับ ก็มาตั้งแคมป์นี่นา จริงๆ ก็มีแค่ผมคนเดียวแหละที่นานๆ ทีจะมากางเต็นท์นอนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนคนอื่นๆ จะพักอยู่ในบ้านกัน”

ได้รับฟังดังนั้นร่างโปร่งก็ผงกศีรษะเบาๆ มือเรียวรับเต็นท์ซึ่งถูกพับเก็บอยู่ในถุงเป็นอย่างดีเอาไว้

“เดี๋ยวน้ำดื่มกับเตาย่างนี่ผมจะแบกไปเอง คุณช่วยถือกล่องข้างนอกไปทีนะ”

เมื่อมือใหญ่คว้าเตาย่างที่ถูกถอดชิ้นส่วนออกมาให้เหมาะกับการขนถ่ายมากที่สุดแล้วก็วางน้ำดื่มขวดใหญ่หนึ่งแพ็คลงไปในเตาย่างซึ่งมีลักษณะแอ่งและมีตะแกรงกับขาตั้งใส่อยู่

ภันวัฒน์ก้าวนำตรงไปยังหน้าบ้านมาสะพายเป้บนหลัง จากนั้นยกเตาย่างขึ้นอีกคราแล้วออกเดินนำ ส่วนอาทิตย์อัสดงก็ทำหน้าที่ที่ได้รับ ยกกล่องเก็บความเย็นขนาดกลางมาถือเอาไว้

“เราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ”

“ที่อีกด้านของบึงนั้นน่ะครับ” เพราะมือไม่ว่าง ใบหน้าสีน้ำผึ้งจึงผินไปทางที่กล่าวถึงเพื่อระบุตำแหน่ง “อาจจะเหนื่อยสักหน่อยนะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยเดินในป่า”

ดูแล้วระยะทางอาจจะไม่ได้ไกลมากเท่าที่อีกฝ่ายเอ่ยอ้าง แต่เพราะพื้นดินตะปุ่มตะป่ำขรุขระไม่เท่ากันและเต็มไปด้วยหญ้ากับต้นไม้ใหญ่สลับเรียงรายกันอย่างไม่เป็นระเบียบ รวมทั้งรองเท้าแตะที่สวมอยู่ จึงค่อนข้างเดินยากเอาการ เมื่อผนวกกับน้ำหนักเต็นท์ซึ่งสะพายอยู่บนหลังและกล่องเก็บความเย็นที่ยกมา ทำให้เดินไปถึงครึ่งอาทิตย์อัสดงก็ส่งเสียงหอบน้อยๆ ภันวัฒน์ชะลอฝีเท้าที่ก้าวนำทางลง พลางหันมาถาม

“พักก่อนไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ในกล่องเก็บความเย็นนี่มีอะไรเหรอครับ”

“มื้อเย็นกับมื้อเช้าน่ะครับ”

เพราะล่วงเลยมาช่วงบ่ายแล้วกว่าจะมาถึง ดังนั้นก่อนจะเข้ามายังถิ่นทุรกันดารจำลองแห่งนี้ ภันวัฒน์จึงให้แวะลงรับประทานอาหารกลางวันเสียก่อน มื้อต่อไปจึงเป็นอาหารมื้อเย็นที่ต้องปรุงกันกลางป่าขนาดย่อม

“มีอะไรบ้างเหรอครับ”

เมื่อพิจารณาจากขนาดกล่องแล้วน่าจะมีของเยอะพอสมควรร่างโปร่งจึงสงสัย

“ก็เนื้อหมูครับ สามกิโล แล้วก็มีนมสดครึ่งลิตร ไข่ไก่ ผัก กับพวกอุปกรณ์ทำอาหารอีกเล็กๆ น้อยๆ ส่วนข้าวสารผมเอาใส่ไว้ในเป้นี่”

“ดูท่าจะหนักนะครับนั่น ให้ผมช่วยไหม”

หลังได้รับฟังว่านอกจากอีกฝ่ายต้องยกน้ำกับเตาย่างที่น่าจะหนักมากแล้วยังต้องแบกข้าวสารอีก อาทิตย์อัสดงจึงอดเสนอตัวเพื่อช่วยไม่ได้ แต่ดวงหน้าคมคร้ามก็ส่ายไปมา

“ไม่ต้องหรอกครับ ที่คุณแบกนั่นประมาณหกกิโล แต่ของผมแค่เฉพาะที่ถืออยู่นี่รวมๆ ก็ประมาณสิบกิโลได้ เพราะงั้นแบ่งแบบนี้ดีแล้วล่ะครับ ยังไงผมก็เป็นพวกใช้แรงงานประจำอยู่แล้ว อย่าลืมสิครับว่าผมต้องนวดแป้งอยู่ทุกวันนะ”

คำกล่าวอ้างนั้นทำให้รอยยิ้มผลิออกมาน้อยๆ บนแก้มของคนฟัง อาทิตย์อัสดงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พลางคิดว่าขนาดตนแบกของที่มีน้ำหนักน้อยกว่ายังรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ หากต้องแบ่งของอย่างอื่นเพิ่มเติม อาจจะไม่ไหวจริงๆ ก็เป็นได้

“ขอบคุณนะครับ”

“ด้วยความยินดีครับ”

ภันวัฒน์หันมายิ้มกว้างให้ เขารู้สึกชุ่มชื้นในอกอย่างไรชอบกลยามเห็นดวงหน้าสีขาวกระจ่างนั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะเขาและเพื่อเขา ร่างสูงยังคงก้าวเดินนำต่อไปเรื่อยๆ อีกสักระยะ ก็มาถึงจุดหมาย

“ถึงแล้วล่ะครับ”

ปลายทางคือริมบึงน้ำขนาดกว้างใหญ่ มองเห็นบ้านซึ่งจากมาอยู่ฝั่งตรงข้ามค่อนข้างไกล นับได้คงประมาณสองร้อยเมตรเป็นอย่างต่ำ แต่ระยะทางที่ต้องวนอ้อมมานั้นน่าจะเป็นกิโลเมตรได้ด้วยซ้ำ

ภันวัฒน์และอาทิตย์อัสดงต่างวางของในมือและบนหลังลงบนพื้นหญ้าที่มีต้นไม้ใหญ่โอบรอบ ถึงกระนั้นก็มีพื้นที่เหลือแหล่พอจะตั้งเต็นท์และจัดวางเตาย่างที่ขนมา อีกทั้งยังใกล้แหล่งน้ำ ทำให้อากาศสดชื่นเย็นสบาย และแดดร่มจากยอดไม้ที่แผ่กิ่งก้านอยู่ด้านบนราวกับเป็นเพดานที่มีรูเล็กๆ ให้แสงสว่างลงมาถึง พอเงยหน้ามองขึ้นไปจึงมีแสงระยิบระยับเหมือนถูกบุด้วยอัญมณี

“เดี๋ยวเรากางเต็นท์ก่อน แล้วจากนั้นก็ไปเก็บฟืนกันนะครับ”

หลังจากวางของทั้งหมดลงแล้ว ภันวัฒน์ก็เอาเต็นท์ออกมากาง เขาวานให้ร่างโปร่งช่วยจับฟลายชีทเอาไว้เพื่อวัดความกว้างทั้งสี่มุมที่ต้องตอกสมอบกลงไป เพียงไม่นานก็ทำการขึงเต็นท์เสร็จเรียบร้อย

ทั้งสองร่างพากันเดินออกไปเก็บไม้แห้งขนาดพอเหมาะมาสำหรับใช้งานในคืนนี้จากพื้นที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สักพักก็กอบมาได้กำใหญ่ ถึงก่อนกลับภันวัฒน์จะดึงไม้บางส่วนที่อดีตบล็อกเกอร์เก็บมาทิ้งไปบ้างเพราะยังเป็นไม้สดใหม่เกินไปก็ตาม

“เท่านี้พอแล้วเหรอครับ”

คนไม่เคยมีประสบการณ์มองกิ่งไม้ทั้งเล็กและใหญ่ซึ่งอยู่ในมือตนและอีกคน

“ครับ ใช้จุดฟืนสำหรับเป็นแสงสว่างแล้วก็สำหรับทำหมูย่างกันคืนนี้ ยังไงก็คงไม่อยู่ดึกมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เยอะมากหรอกครับ”

อาทิตย์อัสดงผงกศีรษะเบาๆ เป็นประสบการณ์ใหม่จริงๆ ที่เขาได้ทำอะไรแบบนี้ ตอนแรกที่อีกฝ่ายบอกว่าจะพาไปเที่ยวสิ้นปี เขานึกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพลุกพล่านด้วยผู้คนเสียอีก แต่สถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในเวลานี้กลับผิดคาดไปไกลลิบ

ภันวัฒน์กลับชอบความสมถะมากกว่าที่คิด

เมื่อคิดดังนั้นไม่รู้เหตุใดถึงได้ผุดยิ้มขึ้นมากับตนเองจางๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลับมาถึงเต็นท์ซึ่งถูกกางไว้เรียบร้อยแล้ว

“เริ่มเย็นแล้วล่ะ ผมว่าเรารีบอาบน้ำกันก่อนดีกว่า”

เจ้าตัวบอกพลางแยกกิ่งไม้เป็นสองกอง สำหรับใส่ลงยังเตาย่างและก่อกองไฟ

“แล้วอาบที่ไหนครับ”

“ข้างหน้านี่ไงครับ”

คำตอบมาพร้อมกับรอยยิ้มอันคุ้นเคย ดวงหน้าสีเข้มเบือนไปทางบึงหน้ากว้างใหญ่เบื้องหน้า พลอยให้อาทิตย์อัสดงตาโต

“ในบึงนี่เหรอครับ”

“ครับ ไม่สกปรกหรอก แหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่เจือสารปนเปื้อน”

หลังแจงอย่างชัดแจ้ง ร่างสูงก็เริ่มรื้อของในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ออกมา หยิบเสื้อผ้าสำหรับสองคนมากองลงบนพื้นเต็นท์ จากนั้นเอาผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งพาดลงบนฟลายชีทของเต็นท์ผ้าใยสังเคราะห์สีน้ำเงินเข้มขนาดพอเหมาะสำหรับสองคน

ภันวัฒน์เริ่มปฏิบัติการถอดผ้าผ่อนออกจากร่างจนคนที่อยู่ด้วยตะลึงตะลานหันหน้าไปทางอื่น เพราะว่าในตอนนี้ร่างของผู้จัดการหนุ่มเปลือยเปล่าล่อนจ้อนทั้งตัว ไม่มีแม้แต่อาภรณ์ผืนเล็กกระจิดปิดบังส่วนเร้นลับ

“เฮ้ย ทำอะไรของคุณน่ะ”

“ไม่มีใครสักหน่อย ไม่เห็นต้องอาย ของผม คุณก็เคยเห็นมาแล้ว”

คำตอบรับแสนง่ายราวกับเป็นเรื่องธรรมดานั้นทำให้คนฟังยิ่งพรึงเพริดกว่าเดิม ทว่าในระหว่างนั้นขายาวก็พาร่างกำยำสมส่วนจนผู้ชายหลายคนต้องอิจฉาลงไปยังบึงน้ำแล้ว

“คุณ ช่วยหยิบไม้ยาวๆ ตรงนั้นให้ผมหน่อย”

เมื่อลงหลักปักเท้าตนได้อย่างปลอดภัย เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกคนที่ยังอยู่บนฝั่งให้ต้องเหลือบซ้ายแลขวาหาไม้ที่ว่า สักพักสายตาก็สบเข้ากับไม้แท่งเรียวยาวที่อาทิตย์อัสดงรู้สึกติดใจมาตลอดทางขากลับจากเก็บฟืนว่าอีกฝ่ายเอามาทำอะไร เพราะมันมีลักษณะเป็นแท่งยาวประมาณความสูงของปาติซิเย่หนุ่มก็ว่าได้ มิหนำซ้ำยังมีขนาดเส้นผาศูนย์กลางใหญ่พอสมควร

ภันวัฒน์รับไม้ที่ส่งมาให้จากบนฝั่ง ใช้มันหยั่งลงในผืนน้ำที่มองด้านใต้ไม่เห็น เดี๋ยวจิ้มลงไปเดี๋ยวยกขึ้น กวาดไปทั่วบริเวณนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะยื่นมือขอไม้ท่อนใหม่ ร่างโปร่งจึงส่งให้พลางทำคิ้วขมวดไปด้วย กระทั่งไม้สี่ท่อนถูกปักลงในผืนน้ำจนตั้งโด่งพ้นพื้นผิวกระเพื่อม จึงเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร

“เอาล่ะ ถึงตาคุณลงอาบน้ำได้แล้วล่ะครับ”

“คุณอาบให้เสร็จก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมค่อยอาบทีหลัง”

คำตอบนั้นเรียกร่างสูงให้ขยับเข้าไปใกล้ฝั่งมากขึ้น ขณะที่คนซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงกว่า ณ เวลานี้กลับถอยหลังหนีด้วยท่าทางอิหลักอิเหลื่อ ภันวัฒน์จึงต้องเร่ง

“เดี๋ยวก็มืดก่อนหรอกคุณ ลงน้ำตอนค่ำแล้วมันอันตรายนะ”

เป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะแสงตะวันที่สาดลงมาเริ่มแปลงสีเข้มมาขึ้นทุกที ตำแหน่งที่คล้อยลงมากกว่าเดิมโข อาทิตย์อัสดงจึงยอมถอดเสื้อผ้าออกอย่างละล้าละลัง มิหนำซ้ำยังหยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนเต็นท์มาพันท่อนล่างเสียอีก และนั่นก็ทำให้เสียงทุ้มใหญ่ของคนที่ยังแช่อยู่ในน้ำดังขึ้นอีกคราว

“ถอดออกมาหมดเลยคุณ จะใส่ให้เปียกทำไมล่ะครับ”

“ผมก็มียางอายบ้างสิคุณ”

คนตอบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ อย่างไม่ตั้งใจ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติของชายไทยอยู่แล้วที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมแก้ผ้าอาบน้ำร่วมกัน ถึงตีหน้านิ่งเฉยได้ยามที่ต้องเปลื้องผ้าทั้งหมดออกจากร่างต่อหน้าคนอื่น แม้จะเป็นเพศเดียวกันก็ตาม แต่คงต้องยกเว้นผู้ชายตรงหน้าเขาไว้หนึ่งคนกระมัง

“อายอะไรกันล่ะครับ ของคุณ ผมก็เคยเห็นมาเท่าๆ กับที่คุณเห็นของผมนั่นแหละ ถ้าคุณไม่ถอดแล้วลงมาเอง ผมจะขึ้นไปถอดให้แล้วจับคุณลงมานะ”

เพราะร่างโปร่งเอาแต่ยึกยัก ภันวัฒน์จึงขู่สำทับ เมื่อเป็นเช่นนั้นอดีตบล็อกเกอร์จึงไม่อาจเลี่ยงได้ เขาจำใจปลดผ้าขนหนูลงวางที่เดิมพลางมองบริเวณโดยรอบไปด้วยความหวาดระแวง ราวกับกำลังเกรงว่าจะกระทำผิดฐานทำอนาจารกลางที่สาธารณะอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ตามด้วยถอดชิ้นส่วนสุดท้ายที่ปิดของสงวนเอาไว้อย่างเหนียมอาย รู้สึกอับอายอยู่ไม่น้อยที่ตนถูกความรู้สึกเช่นนั้นคุกคาม แทนที่จะพยายามระงับมันเอาไว้ได้

“อย่าออกไปเลยเขตไม้ที่ผมปักไว้นะครับ เพราะนอกเหนือจากนั้นผมไม่รู้ว่าน้ำลึกแค่ไหน แต่ในกรอบนี้ทั้งหมด น้ำแค่ระดับอกผม เพราะฉะนั้นไม่ถึงคางคุณหรอก ปลอดภัยแน่นอน”

เมื่อร่างโปร่งลงน้ำได้ ภันวัฒน์ก็แจงอีกคราว หากทว่ามันกลับทำให้อาทิตย์อัสดงเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ว่าเหตุที่อีกฝ่ายเอาไม้ไปปักไว้เช่นนั้นแท้จริงแล้วก็เพื่อเขา ความกระดากที่รุ่มๆ อยู่เมื่อครู่จึงลดทอนลงทีละน้อยจนหมดสิ้น ความรู้สึกขอบคุณรื้นขึ้นมาอยู่ในใจที่ภันวัฒน์เอาใจใส่ตนถึงเพียงนี้

เจ้าของร่างสีขาวตัดกับธรรมชาติที่รายล้อมค่อยๆ หย่อนตัวลงในน้ำทีละนิด แต่ด้วยความไม่คุ้นเคยกับสถานที่ เมื่อเท้าถึงพื้นดินที่เฉอะแฉะก็เสียหลักจนเกือบหน้าคะมำลงกระแทกน้ำ ดีว่าร่างสูงที่อยู่ในระยะใกล้คว้าตัวเอาไว้ได้ทันจึงไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น

“ขอบคุณครับ”

อาทิตย์อัสดงเอ่ยคำพูดออกมาทันทีเมื่อรู้สึกว่าตนเองปลอดภัย ดวงหน้าที่ปรากฏความตื่นตระหนกเมื่อครู่เชยขึ้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นปั้นไม่ถูก หลังได้รับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดระหว่างกัน และระลึกได้ว่าพวกตนอยู่ในสภาพล่อแหลมเพียงใด

แขนใหญ่โอบอยู่รอบเอวขณะที่ใบหน้าสีน้ำผึ้งเปียกชื้นอยู่ห่างเพียงคืบ

“ระวังด้วยนะครับ พื้นมันไม่สม่ำเสมอกัน อาจจะสะดุดอีกก็ได้”

“คะ...ครับ”

เสียงที่หลุดออกมาลอยแผ่วด้วยความไม่ตั้งใจ ก่อนอ้อมแขนแข็งแกร่งจะละออกไปอย่างเชื่องช้าเสมือนรู้ว่ากำลังทำให้คนตกอยู่ในอ้อมกอดลำบากใจ

“เดี๋ยวผมจะไปเล่นน้ำทางนั้นสักหน่อยแล้วกันนะครับ”

ภันวัฒน์บอกพลางหันหลังกลับและเตรียมทะยานตัวฝ่าผืนน้ำออกไป ฉับพลันนั้นอาทิตย์อัสดงรู้สึกตัวได้ว่าทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากเพราะตัวเองอีกแล้ว จึงโพล่งเสียงขึ้น

“ไม่ต้องทำเพื่อผมขนาดนั้นก็ได้ครับ”

ใบหน้าของคนที่เว้นระยะห่างออกไปหันกลับมา คล้ายกับว่าจะรอฟังคำพูดต่อไป อดีตบล็อกเกอร์เอ่ยเอื้อนเสียงต่อ

“คุณเล่นน้ำตามสบายเถอะครับ เดี๋ยวอีกสักพักผมก็ขึ้นแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นมาเล่นน้ำด้วยกันไหมล่ะครับ”

“อย่าดีกว่าครับ”

เพราะยังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่กระอักกระอ่วนได้อย่างไร ร่างโปร่งจึงปฏิเสธไปก่อน พลางคิดว่าอย่างน้อยๆ หากไม่ได้อยู่ในสภาพร่างเปล่าเช่นนี้ เขาอาจจะยอมตอบรับไปก็เป็นได้ ถึงกระนั้นก็เหมือนจะช้าไป เพราะภันวัฒน์เป็นฝ่ายรวบรัดตัดความให้โดยการวักน้ำสาดเข้าใส่

“เดี๋ยวคุณ น้ำเข้าปากผมพอดี”

“ก็คุณชักช้าเองนี่ครับ”

หลังได้ยินดังนั้น จากที่ตั้งใจว่าจะต่างคนต่างทำกิจธุระกันไป ก็กลับกลายเป็นว่ามือเรียววักน้ำสาดใส่อีกฝ่ายเช่นกัน และนั่นก็ทำให้เกิดสงครามสาดน้ำขึ้นในไม่ช้า พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายหนุ่มสองคนดังแทรกสอดไปกับบรรยากาศยามพระอาทิตย์กำลังอัสดง





หลังอาบน้ำชำระกายพ่วงเล่นน้ำไปด้วยแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ต้องเผชิญกับความอับอายอีกคราเมื่อขึ้นจากน้ำ เพราะความสนุกสนานจึงทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าบนร่างไร้อาภรณ์ใดปกปิดจนกระทั่งเหยียบย่างขึ้นพื้นดินและเห็นร่างของใครอีกคนแล้วนั่นแหละ เขาเก้ๆ กังๆ อึกอักราวหุ่นยนต์ที่ใกล้หมดสภาพทั้งที่ภันวัฒน์ล่วงหน้าไปถึงเต็นท์ก่อนแล้ว

“เป็นอะไรเหรอครับ”

คงเพราะไม่รู้สึกว่ามีคนเดินตามมา ร่างสูงจึงหันมาสอบถาม เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาสองคู่สบกัน ร่างโปร่งรีบหันหลังทันควัน อากัปกิริยาเช่นนั้นภันวัฒน์เดาได้ทันที เขาขบยิ้มเบาๆ ก่อนบอก

“คุณเข้าไปแต่งตัวไปในเต็นท์แล้วกันนะครับ”

ในเมื่อข้อเสนอดีเยี่ยมถูกยื่นมาให้ มีหรือว่าคนต้องการตัวช่วยจะไม่คว้าไว้ อาทิตย์อัสดงรีบเดินจ้ำด้วยท่าถอยหลังอย่างเร็วไว ดูน่าขันและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกันจนคนเห็นต้องกัดปากแน่นเพื่อไม่ให้ยิ้มกว้างมากไปกว่านี้ กระทั่งร่างโปร่งมาประชิดตัว เจ้าตัวก็รีบผลุบเข้าไปในพื้นที่เสมือนห้องส่วนตัวอย่างเร็วพลัน

“เสื้อผ้ากองซ้ายของผม ส่วนกองขวาของคุณนะครับ”

นัยน์ตาเรียวพิศมองเสื้อผ้าที่ดูออกว่ายังไม่ผ่านการใช้แต่คงผ่านการซักมาให้แล้ว แม้แต่กางเกงชั้นในยังอยู่ในห่อบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก่อนส่งเสียงทุ้มต่ำที่ราวกับคนพูดอ่อนแรง

“ครับ”

อาทิตย์อัสดงคว้าเสื้อผ้าจากกองที่บอกว่าเป็นของตนแล้วขยับตัวไปให้ห่างจากประตูเต็นท์พอประมาณ แต่งตัวด้วยเวลาไม่นานก็ส่งเสียงถามออกไปทางด้านนอก

“คุณแต่งตัวเสร็จหรือยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแฝงแววขำขันเล็กน้อย ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็ขยับตัวเข้าไปใกล้พื้นที่กั้นเขตแดน ซึ่งเมื่อเห็นว่าร่างโปร่งอยู่ในชุดที่ตนเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว ภันวัฒน์ก็ย่อตัวลงหยิบอะไรบางอย่างจากช่องในกระเป๋าสะพาย

“เดี๋ยวทายากันยุงเผื่อไว้ด้วยนะครับ ถึงที่นี่จะไม่มีปลิงหรือทาก เพราะยังไงก็เป็นแค่ป่าประดิษฐ์ที่เหมือนสวนมากกว่าจะเป็นป่าจริง แต่ต้องมียุงแน่นอน”

ไม่เพียงแค่ซองยากันยุงที่ถูกหยิบออกมา ยังมีถุงมือพลาสติกอีกคู่หนึ่งด้วย ภันวัฒน์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พลางยื่นซองยากันยุงและถุงมือข้างหนึ่งให้

“เตรียมพร้อมจังนะครับ”

“เพราะต้องไปทำอาหารเย็นต่ออีก มื้อเปื้อนมันจะไม่ดีน่ะครับ”

ร่างโปร่งพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจและรับของสองสิ่งนั้นไว้ ก่อนจะบรรจงทายาบริเวณแขนขานอกร่มผ้าขณะเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นระยะไปด้วย กระทั่งทาเสร็จเรียบร้อย ร่างสูงก็เอ่ยชวน

“งั้นก็ไปทำมื้อเย็นของเรากันดีกว่าครับ”

มือหนายื่นมารับของที่ถูกใช้แล้ว นำมันไปทิ้งลงถุงขยะที่เตรียมเอาไว้อย่างพร้อมสรรพ จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มลงมือทำอาหาร






อ่านต่อข้างล่าง


v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

ต่อจากข้างบน



v



v




แม้อาหารมื้อเย็นจะเป็นหมูย่างเพียงอย่างเดียว แต่กลับทำให้รู้สึกอิ่มเอมได้ไม่น้อย เพราะรสสัมผัสนุ่มกำลังดีและอร่อยลิ้นทำให้พลั้งเผลอกินจนลืมตัว กระทั่งไม่นานมันก็หมดลง ท้องอิ่มไปได้โดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ

รอยยิ้มติดแต้มบนหน้าของคนทั้งคู่ที่ช่วยกันย่างหมูซึ่งหมักมาอย่างดีจนรสเข้มข้นเข้าเนื้อ พลางช่วยกันเก็บอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานแล้วให้เป็นที่เป็นทางโดยปราศจากการขัดล้างเพราะภันวัฒน์ไม่อยากให้มีสารตกค้างในธรรมชาติที่สร้างมา

“อาบน้ำเสร็จแล้วมากินของอร่อยแบบนี้ มีความสุขดีนะครับ”

“ครับ พูดตามตรง ผมเคยเพิ่งกินหมูย่างอร่อยขนาดนี้ มีเคล็ดลับหรือเปล่าครับ”

ทั้งคู่มานั่งอยู่เคียงกันบนข่อนไม้เล็กๆ หน้ากองไฟที่จุดเพื่อให้ความสว่างยามท้องฟ้ามืดลงแล้วเช่นนี้

“ก็ผสมเหล้านิดหน่อยเพื่อให้เนื้อหมูนิ่มลง แล้วก็หมักทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า มันก็เลยเข้าเนื้อมากเป็นพิเศษน่ะครับ ไม่มีอะไรมาก”

“คราวหลังผมคงต้องลองดูมั่งแล้วล่ะมั้งครับ ตอนแรกที่คุณบอกว่ามีหมูย่างอย่างเดียว ผมยังคิดว่าจะเอียนๆ หรือเปล่า เพราะคุณไม่ยอมหุงข้าวด้วยซ้ำ ถึงจะมีผักแกล้มก็เถอะ แต่ตอนนี้ชักจะติดใจแล้วล่ะครับ หลังๆ ผมแทบลืมกินผักที่เตรียมมาเลย”

บทสนทนาที่ยาวกว่าครั้งไหนๆ และน้ำเสียงที่สื่อออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่ากำลังมีความสุขนั้นทำให้ร่างสูงรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยจนต้องขยายยิ้มกว้างบนใบหน้า แต่หากเทียบกันแล้ว สีหน้าของทั้งสองคนคงไม่ต่างกันนัก

“เอาไว้เดี๋ยวผมจะทำไปฝากบ้างแล้วกันนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

เสียงตอบรับดังกลับมาทันทีโดยไร้การตรึกตรองให้แน่ใจ ทำให้หัวใจของคนฟังรู้สึกพองโตได้เล็กน้อย ภันวัฒน์กำลังรู้สึกว่าร่างโปร่งเปิดใจให้ตนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะบรรยากาศและธรรมชาติที่ช่วยให้ทั้งกายใจผ่อนคลาย จึงไม่ต่อต้านทัดทานเขามากนัก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น วันนี้อาทิตย์อัสดงรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายเบาสบายอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งคู่ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ลมโชยโบกพัดให้เย็นสบาย อาทิตย์อัสดงหลับตาพริ้มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสุดปอดครั้งแล้วครั้งเล่า ความเงียบซึ่งปกคลุมอยู่ถูกเสียงขับขานของแมลงกลางคืนสอดแทรกดุจเพลงบรรเลง

เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างเนิบช้า ไม่เร่งรัด พาให้รู้สึกราวกับกำลังล่องลอยอยู่กลางนภากาศที่ไร้จุดสิ้นสุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเสียงของเจ้าถิ่นจะดังขึ้นอีกระลอก

“คุณเคยกินนมต้มใส่ไข่ไหมครับ”

“นมต้มใส่ไข่?” เสียงคล้ายกับไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือไม่ย้อนถาม “ผมเคยกินแต่พวกนมสดที่ใส่ในพวกชากาแฟน่ะ ทำไมเหรอครับ”

“เดี๋ยวผมจะทำให้คุณกิน รับรองว่าคุณจะต้องติดใจอีกหนึ่งอย่างแน่ๆ”

“กำลังโฆษณาชวนเชื่อเหรอครับ”

“เป็นการชักจูงให้อยากลิ้มลองต่างหากล่ะครับ”

อาทิตย์อัสดงปฏิเสธไม่ได้ว่าภันวัฒน์เป็นชายผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกใช้คำพูดเท่านั้น แต่ลักษณะน้ำเสียง สีหน้า ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ทำให้บรรยากาศโดยรวมยามเอ่ยวาจาล้วนแล้วแต่โน้มน้าวใจคนฟังได้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาก็โดนสิ่งเหล่านั้นเล่นงานมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

ร่างสูงฉุดตัวขึ้นจากขอนไม้ ตรงกลับไปยังเต็นท์อีกครั้ง เขาหยิบหม้อสนามออกมาจากกระเป๋า อาทิตย์อัสดงซึ่งหันมองตามเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นกระเป๋าโดราเอมอนหรือ ถึงได้มีของหลายสิ่งหลายอย่างถูกดึงออกมาไม่หยุดหย่อน

ของเหลวสีขาวนวลถูกเทออกมาจากขวดนมขนาดหกร้อยมิลลิลิตรซึ่งเก็บอยู่ในกล่องเก็บความเย็นลงในหม้อสนามสีเขียว ก่อนภันวัฒน์จะกลับมายังกองไฟอีกคราว เขาวางมันลงกับพื้น แล้วเริ่มเอาไม้ง่ามที่มีความสูงประมาณหนึ่งศอกซึ่งเก็บมาตอนเก็บฟืนด้วยปักลงในดินขนาบข้างกองไฟ จากนั้นสอดไม้ขนาดยาวพอจะเป็นคานหามเข้ากับหูของหม้อสนามและนำมันไปพาดบนไม้ง่ามทั้งสอง

“ความรู้วิชาลูกเสือน่ะครับ”

ทั้งที่จะเอาเตาปิกนิกซึ่งทั้งใช้งานและพกพาสะดวกมาใช้ก็ได้ แต่เจ้าตัวกลับใช้วิถีชาวบ้านอย่างไม่น่าเชื่อ มิหนำซ้ำยังหันมาพูดด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจเสียอีก จนร่างโปร่งอดจะยิ้มขำขันออกมาไม่ได้

“ดูท่าคุณจะชอบอะไรพวกนี้จริงๆ สินะครับ”

“มันเป็นความสนุกที่หาอะไรมาแทนได้ยากนี่ครับ นอกจากนั้นยังได้ฝึกตัวเองอีกด้วย ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง ทำให้ได้รู้จักคิด ตรึกตรอง วางแผน ส่วนการทำงานที่ต้องลำบากและใช้เวลารอ ก็ช่วยให้รู้จักใจเย็น เห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ และเมื่อมันสำเร็จ เราจะได้ลิ้มรสกับความภาคภูมิใจของตัวเองและมีความสุขยิ่งกว่าอะไรที่ง่ายๆ สะดวก และรวดเร็ว ไม่จริงเหรอครับ”

อาทิตย์อัสดงเผลอพยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะระหว่างฟัง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่ถ่องแท้และผู้คนต่างหลงลืมมันไป สังคมปัจจุบันนี้ผู้คนต่างชอบอะไรที่สะดวกและรวดเร็วอย่างที่ว่า จนเริ่มน่าอยู่น้อยลงไปทุกที การที่ได้รู้เช่นนี้ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกชื่นชมแนวคิดของอีกฝ่ายมากขึ้นอีก

ตัวตนของภันวัฒน์นั้นมีเสน่ห์ น่าดึงดูดให้อยากคบหา

คล้ายกับว่าจะทำให้คนที่ได้ใกล้ชิดถลำลึกลงไปทุกที

ดูเหมือนว่านมจะเริ่มเดือดแล้ว ภันวัฒน์จึงต่อยไข่ไก่สองฟองที่หยิบมาด้วยลงไปแล้วใช้ช้อนคนช้าๆ ให้ไข่กระจายตัว สีขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและมีสะเก็ดสีส้มเล็กๆ ลอยบนผิวหน้า

“จริงๆ บรรยากาศแบบนี้เหมาะกับดื่มเหล้านะครับ แต่ว่าคุณไม่คุ้นที่ ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอนจะช่วยให้อุ่นท้อง หลับสบายกว่า”

เพียงคำอธิบายก็ทำให้จิตใจเบาสบายแล้ว อาทิตย์อัสดงรู้สึกเช่นนั้นแม้ยังไม่ได้ดื่มนมที่เริ่มเดือดเลยสักอึก ความประทับใจในตัวของร่างสูงไล่ระดับสูงขึ้นกว่าเดิมเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคำนึงถึงคนที่มาด้วยมากเพียงใด

มือเรียวรับถ้วยบรรจุนม พลางชำเลืองคนที่ยื่นมันมาให้ไปด้วย ภันวัฒน์ยิ้มเล็กน้อยขณะเป่าของเหลวในถ้วยแล้วยกขึ้นดื่มช้าๆ ร่างโปร่งจึงทำตาม รับรสที่ไม่เคยสัมผัสอย่างละเลียดละไมทีละนิด พร้อมกับเข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ภูมิใจนำเสนอนัก

กลิ่นนมหอมกรุ่นผสานกับกลิ่นคาวของไข่ไก่กระตุ้นให้อยากลิ้มลองด้วยลิ้น รสชาติที่ผ่านลงในลำคอไปหวานมัน ทำให้อยากดื่มกินมันอีกเรื่อยๆ และความอุ่นกำลังดียังเหมือนกำลังปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน มันช่วยให้รู้สึกอุ่นท้องและสบายใจจริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้ร่างโปร่งอดคิดไม่ได้

ไม่รู้ทำไมเวลาที่อยู่กับภันวัฒน์ เขาถึงได้รู้สึกปลอดโล่ง เบาสบาย เหมือนกับจะปล่อยวางได้ซึ่งทุกสิ่ง

หรือเพราะผู้ชายคนนี้เก่งกาจในการทำให้คนที่อยู่ด้วยรู้สึกแบบนั้นกันแน่

“อร่อยจริงๆ ด้วยนะครับ”

การตอบรับที่เป็นไปในทางเดียวกับคำแนะนำ เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนหน้าคมคาย นมอุ่นๆ ถูกจิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่างกายและจิตใจ กระทั่งหมดลงไป ถ้วยถูกวางลงบนพื้น

“คืนนี้เห็นดาวชัดดีนะคุณ”

ร่างสูงเงยหน้ามองฟ้าไปยังทิศทางเบื้องหน้าซึ่งมีบึงน้ำ ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนั้นเปิดโล่งแทนที่จะถูกบดบังด้วยต้นไม้ใหญ่ที่เกลื่อนกระจายไปทั่ว

อาทิตย์อัสดงหันมองตาม แล้วก็พบดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าสีมืดที่เห็นได้เด่นชัดกว่าเมื่อช่วงหัวค่ำ เสริมให้บรรยากาศดีกว่าเดิม มิหนำซ้ำอากาศยังเย็นชื้น ไม่ร้อนอบอ้าว ทำให้ผ่อนคลายสบายตัวดี

มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นไปทางอากาศเบื้องบน เก็บภาพมันเอาไว้ในกรอบสี่เหลี่ยม ขณะที่ตาเรียวสีน้ำตาลอ่อนมองตามอย่างสงสัยเล็กน้อย

“ใช้โทรศัพท์ถ่าย จะเห็นดาวชัดเหรอครับ”

“ผมแค่อยากเก็บช่วงเวลาดีๆ กับคุณแบบนี้ไว้เฉยๆ เพราะถ้าขอคุณถ่ายรูป คุณคงไม่ยอมหรอกใช่ไหมครับ”

ไร้คำตอบของคำถามนั้นเพราะโดนดักทางเสียก่อนแล้ว ใบหน้าขาวตี๋เงยขึ้นมองผืนสีดำเป็นประกายนั้นอีกรอบ ความเงียบกลับมาเยี่ยมเยือนคนทั้งสองอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนเสียงแผ่วหวิวจะดังขึ้นมาพอให้ได้ยิน

“ขอบคุณนะครับที่ชวนผมมาผ่อนคลายแบบนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ”

กรอบหน้าคมเบี่ยงลงมามองยังเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ คล้ายกับว่ากำลังรอคำพูดต่อไป และสัญชาตญาณของภันวัฒน์ก็ถูกต้อง

“แล้วก็ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ด้วย ตลอดที่ผ่านมาที่คุณเป็นห่วงผม ทำเพื่อผม การมีคุณอยู่ด้วย พูดตรงๆ แล้ว... ผมรู้สึกดีนะครับ ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านมันมาอย่างยากลำบากขนาดไหน คุณช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้เสมอ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ ที่คอยอยู่ข้างๆ ผม”

ราวกับถ้อยคำสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น ทำเอาคนฟังที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะเจอคำพูดทำนองนี้ถึงกับหน้าร้อนขึ้นมา ภันวัฒน์รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังเต้นตึกๆ ขึ้นมาอย่างไร้จังหวะ

“คุณเล่นพูดแบบนี้ ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนะครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่เงยอยู่ก้มลงมามองหน้าของคนที่บอกว่า ‘ผมก็เขินเป็น’ แล้วก็เห็นว่ามันกำลังแดงอยู่จริงๆ ถึงจะไม่แดงจัด แต่ก็ไม่ใช่สีปกติ

อาทิตย์อัสดงรู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างห้ามไม่ได้หลังจากเห็นภาพนั้น หัวใจไหวโงนเงนราวกับกิ่งไม้ริมชะง่อนผาถูกลมโหมซัดจนอาจเพลี่ยงพล้ำตกลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง

มันทั้งน่าหวาดกลัวและน่าหวาดหวั่น แต่ขณะเดียวกันก็พลั้งเผลอคิดว่าหากตกลงไปในนั้นเสียเลย อาจจะช่วยให้ความหวาดกลัวหมดไปก็เป็นได้

ความคิดนั้นวนเวียนหมุนคว้างอยู่ในหัว ไม่อาจยับยั้งหรือสลัดออกได้ เช่นเดียวกับหัวใจที่ยังคงสั่นสะท้านสะเทือนอยู่ภายใน และสายตายังคงจดจ้องอยู่บนผืนหน้าแต้มสีแดงอ่อนโดยไม่สามารถละออกไปได้

หรือบางทีเขาอาจจะต้องยอมรับ...ว่ารู้สึกอะไรบางอย่างกับชายที่ชื่อภันวัฒน์จริงๆ






---------------
เสพสมกันแบบเอาท์ดอร์ < ทำไมคำพูดดูติดเรท

ป.ล. คุณอาทิตย์เปล่าอ่อย แต่แค่แสดงความจริงใจอย่างตรงไปตรงมาเฉยๆ ฮึฮึ


Undel2Sky

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
โฮ้ยยยยยยยยยยยยย หวานมากกกกกกกก ฮือออออออ ทำไมคะทำไมมมม เราหยุดยิ้มไม่ได้เลยยย อ่านไปนี่เขินไป กรี๊ดดดด ฟ้าหลังฝนมันงดงามแบบนี้เอง ฮื้อออ คุณภันนี่แหละค่ะพระเอก เรามั่นใจแล้ว(?) 55555555555 คุณอาทิตย์นี่ก็ตกหลุมแล้วแน่ๆค่ะ แค่ยังไม่รู้ตัว ส่วนคุณภัน เราเชื่อว่าตอนนี้คุณภันรักคุณอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ แอร๊ยยย ขอให้เขารู้ใจกันเร็วๆนะคะะะ ดราม่าคราวหน้าก็คงเป็นเรื่องน้องพร่างฟ้ามั้ง ฮื้ออออ แต่เราเชื่อว่าถ้าเขาจับมือกันแล้ว เขาจะไม่ปล่อยมือกันง่ายๆแน่ค่ะ! แล้วมีมาอาบน้งอาบน้ำอะไรกัน คุณภันคะ! ตอนอาบน้ำไม่เขิน พอเขาบอกขอบคุณดันเขินนะคะ กรี๊ดดดด นี่ผลัดกันเขินเหรอคะะะะะะ โอ๊ยยยย กลับไปคราวนี้ก็ทิ้งสถานะโสดไว้ที่ริน้ำแล้วกันนะคะ ดูสิ ใส่ใจกันขนาดนี้ ฮื้ออออ ต้องคบกันแล้วล่ะค่ะ  :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เล่นแบบนี้ยอมไปเหอะ อ่านแล้วจะละลายแแทน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หลงรักเลย

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
25th Entry : ยับยั้งชั่งใจ






“เขินจนหน้าดำเหรอครับ”

แม้ภายในจะถูกโยกจนความนึกคิดปั่นป่วนไปหมด ใบหน้าตี๋ก็ยังแสร้งยิ้ม แกล้งกระเซ้าแกมหัวเราะเบาๆ พลอยให้คนถูกแซวหัวเราะออกมาด้วย สักพักกว่าเสียงสำราญของคนทั้งคู่จะหายไป ภันวัฒน์กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงจังอีกครั้ง

“ขอผมจับมือได้ไหมครับ”

“คุณแปลกดีนะครับ”คราวนี้อาทิตย์อัสดงย้อนถามด้วยความแปลกใจน้อยๆ เขาเว้นจังหวะการพูดไปครู่สั้นๆ ราวกับจะเผื่อเวลาไว้ให้อีกฝ่ายรู้สึกฉงน พลางย้อนคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาด้วย “ทั้งๆ ที่เคยทำไปแล้วโดยไม่เคยขอ แต่พอจะทำครั้งต่อไป กลับมาขออนุญาตซะงั้น ทั้งตอนที่กอดและตอนที่จับมือ”

แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ความรู้สึกที่สั่นคลอนอยู่ภายในก็ไหวสะท้านยิ่งขึ้น ร่างโปร่งต้องพยายามรักษาสีหน้าเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด

“ก็ตอนนั้นมันเป็นไปตามสถานการณ์นี่ครับ” ภันวัฒน์กล่าวเหมือนแก้ตัว “แต่สถานการณ์นี้มันไม่มีเหตุผลที่ต้องทำ ผมแค่รู้สึกอยากทำเฉยๆ”

ทว่ามันก็สร้างความประหลาดใจให้คนฟังได้มากกว่าเดิม คล้ายกับต้องการจะบอกว่า ‘ถึงไม่มีเหตุผลก็อยากกอดและจับมือ’ พอคิดแบบนั้น จากความรู้สึกหวิวไหวก็แปรเปลี่ยน กลายเป็นกระแสลมอุ่นๆ ไหลวนอยู่ภายในอก จนอบอุ่นไปทั้งร่าง อาทิตย์อัสดงใช้ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างกันอีกครั้งในการสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ก่อนจะเกริ่นนำขึ้น

เขาอยากเปิดใจ อยากระบายทุกสิ่งที่ถูกเก็บงำอยู่ในใจกับผู้ชายคนนี้

“ผมน่ะ...”

ราวกับรู้ว่าบทสนทนาต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงจัง คงเพราะบรรยากาศรอบตัวของอดีตบล็อกเกอร์ที่เปลี่ยนไปก็เป็นได้ ภันวัฒน์จึงขยับตัวเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย และหันมามองอย่างตั้งใจอกตั้งใจฟัง

“คบกับเธอมาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยปีสามครับ คบกันนานมากจนกระทั่งถึงปีที่แล้ว”

เสียงเล่าผุดออกมาอย่างเนิบช้า ประหนึ่งว่าไร้ความรู้สึกใดๆ แต่ก็เจือกระแสความเจ็บปวดจางๆ ให้รู้สัมผัสได้

“เธอบอกว่าเธอท้อง ผมตกใจมากนะที่ได้ยินแบบนั้น เพราะผมป้องกันทุกครั้งไม่เคยขาด แต่ก็มีครั้งหนึ่ง”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสียงที่เคยราบเรียบก็สั่นเครือเล็กน้อย เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังแทรกขึ้นมา คล้ายกับว่าคนพูดกำลังข่มอารมณ์ที่ผลักดันอยู่ภายใน

“เป็นช่วงที่ผมเพิ่งกลับจากเอาท์ติ้ง ตอนนั้นดึกมากแล้ว แต่ผมไม่ได้เจอเธอหลายวันแล้วก็คิดถึง เลยอยากรีบไปหาเธอที่ห้องพัก เธอเปิดประตูออกมาด้วยสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร ผมแปลกใจแต่เธอก็บอกว่ากำลังจะอาบน้ำพอดี ผมเลยบอกว่างั้นผมขอนอนค้างที่นี่นะ อยากนอนกอดเธอ แล้วผมก็เข้าไปในห้อง”

ริมฝีปากที่ขยับอย่างเชื่องช้าขบเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยอีกครั้ง มือที่วางพาดอยู่บนเข่ากำเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“ผมนอนรอเธอบนเตียง ปล่อยให้เธอไปอาบน้ำ พูดแบบนี้อาจจะไม่ดีเท่าไร เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง แต่...ผมเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็มีเธออยู่บนร่างของผมแล้ว พอจะเดาได้ไหมครับ”

ใบหน้าที่ปรากฏวี่แววของคนวิตกกังวล หรืออาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้หันไปทางร่างสูง ภันวัฒน์พยักหน้าช้าๆ เมื่อพอจะคาดการณ์ได้

“ครับ ตัวของผมไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น เธอก็ด้วยเหมือนกัน แล้วของของผมก็อยู่ในตัวของเธอ ผมตกใจร้องถามว่าเธอทำอะไร เธอก็บอกกลับมาว่าอยากทำ แต่รอไม่ไหวก็เลยจัดการเอง แล้วก็หัวเราะเหมือนสนุกสนาน แต่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าซีดไปแล้ว เพราะว่าผมรู้สึกได้ถึงความเฉอะแฉะ... ผมไม่ได้ใส่ถุงยาง”

“เพราะแบบนั้นเธอก็เลยท้องเหรอครับ”

“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ แต่ผมแปลกใจที่มันเปียกถึงขนาดนั้น เธอบอกว่าเพราะผมหลั่งออกมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะงั้นก็ไม่แปลกหรอก แต่คุณก็รู้ใช่ไหมครับ ผู้ชายน่ะจะไม่รู้ตัวได้ยังไงว่าร่างกายของตัวเองเป็นแบบไหน แต่ก็ปล่อยให้ผ่านเลยเพราะเชื่อคำพูดของเธอและคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แล้วปฏิเสธเธอไป ไม่ได้ทำต่อ หลังจากนั้นเดือนกว่า เธอก็บอกผมว่าเธอท้อง”

มือที่จับกันอยู่บีบแน่นมากขึ้น

“ถึงจะน่าตกใจ แต่ผมก็เต็มใจรับผิดชอบเธอนะ ผมขอเธอแต่งงานด้วยซ้ำ แต่เธอบอกว่าไว้คลอดลูกแล้วค่อยแต่งดีกว่า เพราะเธออยากทำงาน และที่ทำงานของเธอห่างจากบ้านผมไปค่อนข้างมาก เธอก็เลยขออยู่แยกกันอย่างเดิมไปก่อน ถึงอย่างนั้นผมก็ไปหาเธอช่วงวันหยุดเสมอ ไปดูแลเธอกับลูก แล้วผมยังเห่อซื้อของเตรียมเอาไว้ด้วยซ้ำ ห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่เคยเป็นห้องนอนของผมก็ทำเป็นห้องเด็กเตรียมเอาไว้ แล้วผมย้ายข้าวของมาอยู่ห้องพ่อกับแม่แทน”

“ก็คงเป็นความเห่อตามประสาพ่อที่กำลังจะมีลูกนั่นแหละครับ”

“ใช่ครับ ผมกับเธอช่วยกันคิดชื่อไว้แล้วด้วยซ้ำว่าจะให้ลูกชื่ออะไร แต่แล้วเธอก็คลอดก่อนกำหนดครับ”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเรื่องราวนั้นแฝงด้วยความสลดลงเรื่อยๆ

“ผมเป็นห่วงมากว่าลูกจะปลอดภัยดีหรือเปล่า เพราะเคยได้ยินมาว่าถ้าเด็กคลอดก่อนกำหนดจะตัวเล็กและสุขภาพไม่แข็งแรง เพราะงั้นพอหมอออกมาจากห้องคลอดผมก็รีบถามทันทีว่าลูกของผมเป็นยังไงบ้างเพราะว่าคลอดก่อนกำหนด แต่คุณเชื่อไหมครับว่าคำตอบของหมอทำให้ผมชาไปทั้งตัว หมอบอกกับผมว่าเด็กแข็งแรงดีแล้วก็คลอดตามกำหนด”

ใบหน้าที่ตั้งขึ้นและทอดสายตาไปเบื้องหน้าผ่านเลยเปลวไฟไป กลับงุดลงต่ำดั่งคนกลัดกลุ้มหรือไม่ก็หมดสิ้นกำลังใจ ภาพเช่นนั้นทำให้ภันวัฒน์อยากดึงร่างของคนตรงหน้าเข้ามาโอบกอดเอาไว้ แต่ก็ต้องหักห้ามตนเองแล้วกลั่นคำพูดในใจออกมาเป็นน้ำเสียง

“แล้วคุณทำยังไงต่อครับ”

“ผมนึกหาเหตุผลสารพัดว่าผมนับอายุครรภ์ผิดเหรอ หรือว่าเธอจำผิดตอนบอกผม ถ้าไม่อย่างนั้น... อาจจะเป็นถุงยางที่ผมใช้มันหมดสภาพ มีรูรั่ว เพราะเอาจริงๆ มันก็ใช่ว่าจะป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“ตอนไปฝากท้องหรือตรวจครรภ์ หมอไม่ได้บอกเหรอครับ”

“เธอไปเองตลอดเลยครับ เธอบอกว่าไปวันธรรมดาดีกว่า เพราะคนไม่เยอะ พอผมบอกว่างั้นเดี๋ยวผมจะลางานแล้วไปด้วย เธอก็จะบอกว่าไปมาแล้วเสมอ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ไปเลยสักครั้งครับ มีแต่ฟิล์มอัลตราซาวด์มาให้ดู”

“แบบนั้น...ผมว่ามันแปลกๆ นะครับ”

“ครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา ผมเลยถามหมอว่าจะขอให้ตรวจกรุ๊ปเลือดหรือดีเอ็นเอได้ไหม คุณอาจจะมองว่าผมเป็นผู้ชายที่แย่ก็ได้ แต่ตอนนั้นผมนึกอะไรไม่ออกเลย นึกได้แต่เรื่องนี้ เพราะความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ผมนึกได้ก่อนหน้านี้ มันน่าจะเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น พอผมขอไปแบบนั้น หมอก็ทำหน้าเหมือนเห็นใจผมขึ้นมาทันที แล้วก็บอกว่าจะตรวจกรุ๊ปเลือดเด็กให้ แต่เรื่องดีเอ็นเออาจจะต้องรอไปก่อน ผมเลยบอกว่างั้นขอกรุ๊ปเลือดก่อนก็ได้”

“แล้วผลเลือดออกมาเป็นยังไงครับ”

“กรุ๊ปเอบีครับ...เด็กมีเลือดกรุ๊ปเอบี”

เสียงของอาทิตย์อัสดงขาดหาย ราวกับเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรื่องกำลังจะมาถึงจุดจบแล้ว

“เลือดของคุณล่ะครับ”

“ผมเลือดกรุ๊ปโอครับ”

เกิดความเงียบงันขึ้นกลางบทสนทนา เป็นความเงียบที่หนาวเยือกสำหรับทั้งคู่ เพราะมันแทบจะเป็นความรู้พื้นฐานไปแล้ว ว่าหากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีเลือดกรุ๊ปโอ ย่อมไม่มีทางที่เด็กจะมีเลือดกรุ๊ปเอบีได้

“ผมช็อกไปเลยล่ะครับตอนนั้น ข้ออ้างต่างๆ ที่พยายามคิดมาเหมือนโดนคลื่นยักษ์ซัดโครมเดียวแล้วหายไป ความรู้สึกทั้งหมดของผมพังทลายเหมือนอย่างนั้นเลย ผมเสียใจที่เธอหักหลังผม เจ็บปวดที่เธอหลอกลวงผม ทรมานที่เธอให้ความหวังกับผม แต่อะไรก็ไม่มากเท่า...ความรู้สึกพะอืดพะอมที่ก่อตัวขึ้นมาหลังจากผมย้อนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้น”

ในเวลานี้ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ภันวัฒน์จะทำได้ เขามองอารมณ์ต่างๆ ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมดอยู่บนใบหน้าซึ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ รับรู้ได้ถึงความรวดร้าวและปั่นป่วนจนไม่รู้จะหาคำใดมาประโลมอีกฝ่ายได้

“เมื่อกี้ผมเล่าใช่ไหมครับ ว่าครั้งเดียวที่ผมมีอะไรกับเธอโดยที่ไม่ได้สวมถุงยางเป็นยังไง นั่นแหละครับ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนั้น ผมจะรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา เพราะมักจะเผลอคิดไปว่าไอ้ของคาวๆ ที่เฉอะแฉะอยู่ข้างในตัวเธอนั่นไม่ใช่ของผม แต่เป็นของคนอื่นต่างหาก แล้วเธอพยายามทำให้เหมือนกับว่าผมเป็นเจ้าของ เพราะผมดันโผล่เข้าไปในช่วงที่เธอกำลังเสพสมกับผู้ชายคนอื่น แล้วก็ถือโอกาสยัดเยียดลูกคนอื่นให้กับผมซะเลย เป็นแผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวที่น่าขยะแขยง แค่คิดแบบนั้นผมก็แทบอ้วก”

“.....”

“แค่ทรยศความรักความเชื่อใจของผมยังไม่พอเหรอ ถึงต้องทำกับผมขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่เคยทำให้เธอเสียน้ำตาเลยสักครั้ง”

คำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความทรมานแห่งความเจ็บแค้นและร้าวรานพรั่งพรูออกมาจนหมด ใบหน้าที่เคยเป็นสีขาวเข้มขึ้นด้วยแรงอารมณ์ กายโปร่งสั่นสะท้านจนคนเห็นรู้สึกปวดใจตามไปด้วย ภันวัฒน์เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้หวาดกลัวความรักนัก

เพราะมันทำให้ต้องทรมานเจียนตายแบบนี้อย่างไรล่ะ

ร่างกำยำผุดลุกจากขอนไม้ที่นั่งอยู่ ขยับมาคุกเข่าต่อหน้าคนที่นั่งตัวเกร็งสั่น โอบรั้งร่างนั้นเข้าสู่อ้อมกอดเอาไว้ มือใหญ่ลูบแผ่นหลังที่ดูเปราะบางในเวลานี้เบาๆ ราวกับจะขับกล่อม เสียงทุ้มดังแผ่วคล้ายขับคลอ

“ไม่เป็นไรแล้วครับ คุณผ่านมันมาแล้ว ไม่มีอะไรที่คุณต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะ ปล่อยมันผ่านไป แล้วมองไปข้างหน้าแทน”

“ผมเกือบจะลืมความรู้สึกพวกนั้นได้แล้ว ลืมความเสียใจ ความทรมาน ความขยะแขยงพวกนั้นไปหมดแล้ว แต่เธอก็มารื้อฟื้นมัน”

“ต่อไปนี้ผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีทางมารบกวนคุณอีกแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยให้เธอทำอีกแน่ เชื่อผมนะ”

มือที่เคยลูบแผ่นหลังเบาๆ เลื่อนขึ้นมาลูบด้านหลังศีรษะแทน มันอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก อาทิตย์อัสดงรู้สึกเช่นนั้นจึงยิ่งฝังหน้าลงบนแผ่นอกกว้าง คำพูดปลอบโยนของภันวัฒน์เหมือนจะซึมเข้าไปในร่าง และไปหลอมรวมกันอยู่ในใจ ทำให้รู้สึกอบอุ่นและเบาใจได้อย่างน่าพิศวง

นัยน์ตาที่เปิดอยู่ปิดลง ดั่งจะให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดซึมซับความรู้สึกซึ่งตรงข้ามกับอดีตที่ทำร้ายใจกันมาตลอดให้ได้มากที่สุด ชำระล้างความเศร้าตรมน่าสะอิดสะเอียนออกไปให้หมดสิ้น ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าร่างโปร่งจะค่อยๆ ดันร่างใหญ่กว่าออก

“ขอบคุณมากนะครับ”

ใบหน้าที่เคยปรากฏร่องรอยสลับซับซ้อนผ่อนคลายลง แทนที่ด้วยรอยยิ้มที่แต้มลงจางๆ พลอยให้คนเห็นยิ้มตามไปด้วยอย่างสบายใจขึ้น

“ดีแล้วล่ะครับที่คุณสบายใจขึ้น ผมว่าดึกแล้ว เราไปนอนกันดีไหมครับ”

“ครับ...” เสียงขาดหายไปครู่สั้นๆ ก่อนจะดังขึ้นอีก “ขอบคุณนะครับที่รับฟัง”

“ผมต่างหากล่ะครับที่ควรขอบคุณ ที่คุณยอมเล่าให้ฟัง”

รอยยิ้มที่เบ่งบานจนความมืดสลัวไม่อาจบดบังได้นั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกปลอดโล่งยิ่งกว่าเดิม บัดนี้เขาเชื่อจนสนิทใจแล้วว่าภันวัฒน์มีความสามารถน่าเหลือเชื่อในการทำให้เขาสบายใจได้จริงๆ

ทั้งคู่เก็บถ้วยที่เคยมีนมบรรจุอยู่ไปรวมกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานแล้วแต่ยังไม่ได้เก็บล้าง ยกเว้นแต่หม้อสนามที่จะต้องใช้งานในวันพรุ่งนี้ซึ่งภันวัฒน์เทน้ำสะอาดล้างมันและผึ่งเอาไว้

สองร่างมุดเข้าไปในเต็นท์ที่คับแคบหลังดื่มน้ำล้างปากเป็นการปิดท้ายท่ามกลางความมืด เพราะกองไฟที่จุดไว้ถูกดับลงแล้วเพื่อความปลอดภัยยามหลับ

“ผมไม่ได้เอาหมอนมา นอนบนกองเสื้อผ้า คงไม่ลำบากเกินไปนะครับ”

ภันวัฒน์ดึงกองเสื้อผ้าที่พอเห็นรางๆ ผ่านความมืด เลื่อนมายังตำแหน่งของอีกคนซึ่งอยู่ด้านในของเต็นท์ อาทิตย์อัสดงตอบเพียงสั้นๆ ‘ไม่หรอกครับ’ ก่อนจะล้มตัวลงนอนช้าๆ ศีรษะหนุนบนความนุ่มที่ถูกหยิบยื่นมาให้

“แต่ถ้านอนแล้วไม่สบายตัว จะยืมอกผมก็ได้นะ ผมไม่หวง”

เสียงพูดดังคิกคักเหมือนคนอารมณ์ดีลอยมาตามสีดำเบื้องหน้า แต่กระนั้นกลับเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้ ร่างโปร่งจึงถือโอกาสนี้สวนกลับไป ‘ถ้าอย่างนั้นขอยืมหน่อยนะครับ’ พร้อมกำมือหลวมๆ แสร้งทำเป็นหัวแล้ววางลงบนอกของคนที่นอนลงข้างๆ แล้ว แต่เพียงครู่เดียวก็ชักมือ

“พูดเล่นน่ะครับ”

ทว่าช้าไป... มือหยาบคว้าหมับเข้าที่มือนั้นไว้ก่อนจะพลิกร่างเข้าหา ระยะห่างที่ไม่ได้มากมายทำให้ทั้งสองร่างอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดส่องประกายระยิบระยับระบุตำแหน่ง มันสบประสานกันนิ่งนาน แล้วจึงค่อยขยับเขยื้อนอย่างเชื่องช้า

อาทิตย์อัสดงมองเห็นกรอบร่างรูปใบหน้าที่สลัวรางเข้ามาใกล้ พลางรู้สึกเหมือนเสียงก้อนเนื้อในอกลั่นสลับเร็วช้า จนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมา ทว่าเพียงชั่วครู่ที่ละความสนใจไปยังอกของตน ความสนใจทั้งหมดก็ต้องพุ่งพรวดขึ้นมายังริมฝีปาก

สัมผัสที่อ่อนนุ่มแต่ชุ่มชื้นแนบทาบลงมาอย่างนุ่มนวล ค่อยเบียดกระแซะแผ่วเบา บดคลึงอย่างโหยหา

มือที่ถูกพันธนาการไว้ขยำเข้ากับอีกฝ่าย ปลายเท้าจิกเกร็งโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่รับรู้ได้มันพาความหวามไหวแล่นริ้วไปทั่วร่าง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอยากให้มันต่อเนื่องยาวนานมากกว่านี้

ด้วยเหตุนั้นกลีบปากที่นิ่งงันจึงค่อยขยับอย่างเชื่องช้า เผยอออกเล็กน้อย ทาบทับรับไออุ่นที่เน้นย้ำ แม้จะเป็นจังหวะที่ช้ากว่าครึ่งหนึ่ง ทว่ามันกลับทำให้ความปริ่มเปรมล้นตื้อขึ้นมาในอกจนจุกแน่น มือบีบกับมือกร้านเอาไว้ ราวกับจะบอกต่อถึงความปั่นป่วนที่โหมตีอยู่ภายใน

เมื่อถูกดูดดึงกลีบเนื้อแน่นๆ เป็นครั้งสุดท้าย เค้าเงาที่มองไม่เห็นเพราะความใกล้ก็เลื่อนออกห่าง หน่วยตาที่โอบไว้ด้วยความมืดประสานกันอีกครา ก่อนเสียงทุ้มจะเอื้อนออกมา

“ฝันดีนะครับ”

ทั้งที่เพียงได้ยินแค่เสียง แต่อาทิตย์อัสดงกลับรับรู้ได้ว่าคนพูดกำลังยิ้ม จึงพยักหน้าเบาๆ แม้รู้ว่าอีกฝายจะมองไม่เห็นก็ตาม





RRrrr

เสียงที่ปลุกในยามเช้าแทนเสียงร้องจากธรรมชาติกลับเป็นเสียงสังเคราะห์ของเครื่องมือสื่อสาร อาทิตย์อัสดงเปิดเปลือกตาโพลง ก่อนควานหาต้นกำเนิดเสียงด้วยจำได้ว่ามันเป็นของตน เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอแล้วก็ต้องรีบปิดเสียงเร็วพลัน เพราะเหลือบไปเห็นว่าอีกคนที่นอนข้างๆ ยังอยู่ในห้วงฝัน

กายโปร่งค่อยๆ คลานเข่าออกไปนอกเต็นท์ กดรับสายลงไปด้วยความรู้สึกผิด

“ขอโทษครับพี่แฟร์”

[ฟรีอยู่ไหนน่ะ วันนี้เรานัดกันไม่ใช่เหรอ]

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาไม่มีแววตำหนิ แต่แฝงด้วยความห่วงใยเสียมากกว่า ทำให้อดีตบล็อกเกอร์รู้สึกผิดมากกว่าเดิม

“พอดีว่าฟรีมาธุระน่ะครับ มันฉุกละหุกมากก็เลยลืมบอกพี่แฟร์ไปเลย”

คำแก้ตัวเพียงอย่างเดียวที่ใช้ได้ในตอนนี้คงมีเท่านี้ เพราะหากอ้างว่าไปกับเพื่อน คงจะเป็นที่ประหลาดใจของพี่สาว ในเมื่อทุกปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยนัดกับเพื่อนช่วงปีใหม่เลย ด้วยส่วนมากทุกคนจะกลับไปหาครอบครัวกันทั้งนั้น

[อ้าว เหรอ งั้นก็ไม่เป็นไรจ้า พี่นึกว่าฟรีเป็นอะไรไปเสียอีก เพราะว่าถึงเวลานัดแล้วแต่ฟรียังไม่มา โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับ เลยต้องโทรเข้ามือถือนี่แหละ]

“ฟรีขอโทษจริงๆ นะพี่แฟร์ ฝากบอกหลานๆ ด้วยนะว่าฟรีขอโทษที่ไปเที่ยวด้วยไม่ได้แล้ว”

[เอาเถอะๆ ฟรีไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าพวกพี่ไปเที่ยวกันหลายวัน ฟรีจะต้องอยู่คนเดียวตลอดปีใหม่ จะไม่เหงาะแน่นะ]

คำถามนี้ทำให้หน่วยตาเสาะมองเข้าไปในเต็นท์ซึ่งมีอีกร่างอยู่อย่างลืมตัว รู้ตัวอีกทีก็มีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าเสียแล้ว เขากระแอมกับตนเองที่เริ่มจะออกอาการมากเกินไป

“ไม่หรอกครับ พี่แฟร์เที่ยวเต็มที่เลย เที่ยวเผื่อฟรีด้วยนะ”

[จ้าๆ งั้นพี่วางนะ]

“ครับ มีความสุขในการท่องเที่ยวครับ เดินทางปลอดภัย”

หลังได้ยินคำล่ำลาสุดท้ายจากพี่สาว ร่างโปร่งก็กดวางสาย สายตาทอดมองนาฬิกาบนจอ ไม่อยากเชื่อว่าตนจะตื่นสายกว่าเวลาปกติเช่นนี้ ก่อนจะมองไปยังเต็นท์ที่เงียบสงบอีกครั้ง แล้วเม้มปากตนเองเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในนั้นเมื่อคืนนี้

เขาปล่อยทั้งตัวทั้งใจไปกับความอ่อนโยนที่หอมหวานนั่นมากเกินไปเสียแล้ว

แม้ว่าจะรู้สึกดี แต่มันก็ไม่ปลอดภัยที่จะปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามบรรยากาศ

เพราะหากถลำลึกกว่านี้ เขาอาจจะต้องเสียใจภายหลังก็ได้

ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำสอง ฉะนั้น...ควรที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเองให้มากกว่านี้

ระหว่างนั้นทางเข้าเต็นท์ขยับเล็กน้อยก่อนร่างสูงจะปรากฏกายออกมา อาทิตย์อัสดงชะงักไปเล็กน้อย ในสมองครุ่นคิดว่าควรจะเริ่มต้นสนทนากับอีกฝ่ายอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าจะทำหน้าแบบไหนหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน จึงเอ่ยคำขอโทษที่เสียงโทรศัพท์ทำให้อีกฝ่ายตื่น แต่ภันวัฒน์ส่ายศีรษะช้าๆ

“ไม่หรอกครับ พอดีเลยมากกว่า คุณล้างหน้าล้างปากก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมทำข้าวต้มมื้อเช้าให้”

สีหน้าของร่างสูงไม่มีสิ่งใดแปลกไปจากเดิม คล้ายกับว่าลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้นไปเสียสนิท ทำให้อดีตบล็อกเกอร์รู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น

เข้าหน้ากันติดได้มากกว่าที่คิด

ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรจะทำตัวตามปกติด้วยเช่นกัน

หม้อสนามที่ผึ่งไว้ตลอดคืนแห้งสนิท มันถูกนำมาใช้อีกครั้งด้วยวิธีการเดิม แต่เปลี่ยนสิ่งที่บรรจุภายในเป็นข้าวสารและน้ำ ไฟจากองเดิมลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความร้อนค่อยๆ เปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุกอย่างช้าๆ สักพักน้ำในหม้อก็เดือด

ภันวัฒน์ใส่เครื่องปรุงที่เตรียมมาด้วยและเนื้อหมูสับปั้นเป็นก้อนลงไปเล็กน้อย ตั้งทิ้งไว้อีกครู่หนึ่ง คนเบาๆ ก่อนจะยกลงจากเตา ตามด้วยโรยผักชีต้นหอม ส่งกลิ่นกรุ่นจากควันจนหอมฉุยท่ามกลางธรรมชาติ

“หอมมากเลยครับ”

อาทิตย์อัสดงรับถ้วยข้าวต้มที่ถูกยื่นมาให้ หลังจากเฝ้ามองการทำอาหารในแบบฉบับลูกเสือ ละเลียดชิมมันทีละนิด แล้วก็ต้องตกตะลึงที่รสชาติจะดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ตอนผมเข้าค่ายลูกเสือ ไม่เห็นมันจะออกมาเป็นแบบนี้เลยครับ ทั้งข้าวไม่สุก ไข่เจียวไหม้”

“ตอนนั้นผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละ แต่พอได้ลองทำหลายๆ ครั้ง มันก็ดีขึ้นเอง ตอนนี้ก็เลยเป็นโปรอย่างที่เห็น”

ร่างสูงพูดพลางยกยิ้มทะเล้นก่อนส่งข้าวเข้าปาก พลอยให้คนฟังต้องส่ายหัวตามอย่างระอา แต่ก็เป็นความระอาในระดับที่ทำให้อมยิ้มด้วยเช่นกัน

“แสดงว่าคุณเคยมาตั้งแคมป์แบบนี้หลายครั้งแล้วเหรอครับ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แล้วแต่อารมณ์น่ะครับ ตอนแรกๆ ก็ชวนจอมมาด้วย แต่มาครั้งเดียวมันก็ไม่เอาแล้ว มันบอกว่าไม่ใช่วิถีของมัน หลังจากนั้นผมก็มาคนเดียว มาตั้งเต็นท์นอนเฉยๆ บ้าง หรือบางทีมีอารมณ์นึกครึ้มก็ทำอาหารด้วย หรือถ้าแค่อยากเสพบรรยากาศอย่างเดียว ก็อยู่ในบ้านนั่นแหละครับ”

“อ๋อ แต่มาอยู่แบบนี้ผมว่าก็ได้รีเซ็ตอารมณ์ดีนะ ขอบคุณนะครับที่ชวนมา ถึงจะกึ่งๆ บังคับก็เถอะ”

หน่วยตาเรียวตวัดมองขวางเล็กน้อย ราวกับจะต่อว่าต่อขานกันอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนถูกมองต้องยิ้มแหยเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเสียงหัวเราะจากร่างโปร่งก็หลุดออกมาเบาๆ แล้วตักข้าวต้มกินต่อ

“แล้วต่อจากนี้จะทำอะไรอีกเหรอครับ ตกปลาอะไรพวกนี้?”

แม้จะน่าสงสัยว่าเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า เพราะไม่เห็นอุปกรณ์ตกปลาอย่างที่ถาม แต่หากพูดถึงการตั้งแคมป์แล้ว การตกปลาย่อมอยู่ในโปรแกรมแน่นอน ทว่าคำตอบที่ได้ต่างจากที่คิด

“เปล่าหรอกครับ ผมไม่ค่อยสันทัดกับวัตถุดิบอาหารที่ยังเป็นอยู่ อย่างปลาเนี่ย ถ้าตกแล้วก็มีแต่จะต้องเอามากิน ถ้าสงสารแล้วปล่อยลงน้ำอีก ก็แทบเท่ากับปล่อยมันไปตายอยู่ เพราะมันเป็นแผลจากการโดนเบ็ดเกี่ยวแล้ว ลงน้ำไปก็ติดเชื้อ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าถ้าจับขึ้นมาแล้วจะฆ่ามันยังไง”

เท่าที่เคยเห็นคงเป็นทุบหัวมัน หรือถ้าเป็นวิธีที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกกรุณาหน่อยหรือเปล่า ก็คงเป็นการตัดหัวล่ะมั้ง

แต่ถึงอย่างไรก็น่าสยองอยู่ดีที่จะลงมือทำเอง

อาทิตย์อัสดงยิ้มแหยได้แต่ตอบว่า ‘นั่นสินะครับ’ อย่างเห็นด้วย

“ผมเลยว่าเดี๋ยวเรากินเสร็จแล้วกลับไปที่บ้านดีกว่า คืนนี้เราจะค้างในบ้านแทน เพราะงั้นอาจจะต้องขอแรงคุณช่วยทำความสะอาดสักหน่อยนะครับ”

“ไม่มีปัญหาครับ”

ดังนั้นเมื่อรับประทานข้าวต้มจนหมดแล้ว ทั้งคู่จึงช่วยกันเก็บของ ก่อนจะแบ่งสัมภาระกันคล้ายกับขามา และเดินย้อนกลับไปยังทางเดิม กระทั่งถึงบ้านพักก็จัดแจงแยกของที่ต้องทำความสะอาด ร่างโปร่งอาสาล้างจานชาม ภันวัฒน์จึงจัดการเรื่องเตาย่างและตะแกรงที่เขรอะขระ จากนั้นจึงมาจัดของเหลือจากการใช้งานให้เข้าที่

“ว่าแต่ผมสงสัยนะครับ”

เมื่อร่างสูงสีน้ำผึ้งเข้ามาเก็บของภายในห้องครัว เสียงของคนที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานก็ดังขึ้น เจ้าตัวผินหน้าไปทางคนที่อยู่ด้านหลังเล็กน้อยราวกับรอฟัง

“จริงๆ ก็น่าจะใช้น้ำไม่หมดอยู่แล้ว ทำไมถึงยกไปทั้งแพ็คล่ะครับ”

หากคำนวณปริมาตร ขวดจุน้ำได้ลิตรครึ่ง หกขวดก็รวมเก้าลิตร เป็นจำนวนที่ใช้งานไม่หมดภายในวันเดียวอยู่แล้วจึงน่าแปลกใจ แต่ร่างโปร่งก็เพิ่งฉุกใจคิดขึ้นมาได้ระหว่างเห็นอีกฝ่ายแบกมันกลับมา

“เพราะไม่รู้ว่าคุณจะแพ้น้ำในบึงหรือเปล่า ผมก็เลยเอาไปเผื่อให้คุณล้างตัวด้วยน่ะครับ”

คำตอบที่แสดงถึงความใส่ใจทำให้มือที่ขยับปิดก๊อกน้ำชะงักไปเล็กน้อย อาทิตย์อัสดงรู้สึกอุ่นวาบในใจพักสั้นๆ ก่อนจะกลับมาหมุนปิดก๊อกน้ำที่ใช้เสร็จแล้ว เขาไม่มีอะไรจะเอ่ยต่อจากนั้น พอดีกับที่ภันวัฒน์จัดของเสร็จเรียบร้อยจึงหันมาชวน

“งั้นต่อไปถึงคิวทำความสะอาดแล้วล่ะครับ เอาแค่ห้องนั่งเล่นกับห้องนอนก็ได้ คืนนี้นอนห้องเดียวกัน...จะได้ไหมครับ”

ราวกับมีคำถามแอบแฝงนัยอื่นมาพร้อมกันอย่างไรอย่างนั้น ร่างโปร่งเลิ่กลั่กไปชั่วครู่ ไม่ใช่เพราะรังเกียจหากต้องนอนร่วมห้องหรือร่วมเตียง เพราะเมื่อคืนนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้ต่างกัน ก่อนหน้านี้ก็เคยมีอีกหลายครั้ง แต่ว่า...เขากลัวใจตัวเองต่างหาก กลัวว่าจะเผลอไผลทำอะไรอย่างเมื่อคืนนี้อีก และกลัวด้วยว่ามันจะลุกลามเลยเถิดมากไปกว่านั้น

“พอดีว่านอกจากห้องของผมแล้ว ก็มีแค่ห้องลุงกับป้าและห้องน้องสาวอีกสองคนเท่านั้นน่ะครับ เพราะเป็นบ้านพักส่วนตัว จะให้คุณไปนอนห้องอื่นมันก็ยังไงอยู่”

เมื่อเข้าใจได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ซุกซ่อนอะไรอื่นเอาไว้ในคำถามเมื่อครู่ อาทิตย์อัสดงก็รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย พลางอดต่อว่าตนเองไม่ได้ที่ใจไพล่คิดไปถึงเรื่องอกุศล

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

เมื่อได้ตอบไปเช่นนั้น การทำความสะอาดบ้านจึงเริ่มต้นขึ้น แต่ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ออกมานั่งพึ่งลมยามบ่ายเพื่อหย่อนใจ มองทิวทัศน์ซึ่งแปลกตากว่าเมื่อวานด้วยช่วงเวลาและมุมมอง ราวกับมุมกลับกัน เมื่อได้เห็นสถานที่ซึ่งใช้ตั้งแคมป์เมื่อวานอยู่ลิบๆ ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แปลกดี

“ตอนเที่ยงนี้เราออกไปหาอะไรกิน แล้วก็ไปเที่ยวข้างนอกดีไหมครับ ตอนเย็นๆ ค่อยกลับมาพายเรือเล่นในบึง”

“ยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่ไกด์จะพาไปแล้วกัน”

อาทิตย์อัสดงหันกลับมาหาคนข้างตัว ส่งยิ้มให้พลางพูด ทำให้ภันวัฒน์ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาเนิ่นนาน

“งั้นถ้าผมพาไปที่ที่อันตรายก็จะไปเหรอครับ”

“อันตรายแบบไหนล่ะครับ”

ร่างโปร่งเอียงคอถาม เสมือนเร่งเร้าเอาคำตอบกลายๆ

“ประมาณว่าอันตรายต่อร่างกายและหัวใจน่ะครับ”

“เสี่ยวดีนะครับ”

อาทิตย์อัสดงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ หากว่าภันวัฒน์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ใช่การยิ้มยียวนพลางขยิบตาไปด้วย คงเป็นไม่ได้ที่เขาจะตอบเช่นนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจที่ไม่เร่งรัดเขาจนมากเกินไป







อ่านต่อข้างล่าง


v



v

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥

ต่อจากข้างบน


v



v


ด้วยเวลาที่จำกัด สถานที่ที่แวะไปจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดสองที่ ทิวทัศน์ที่ได้เห็น สถาปัตยกรรมที่ได้สัมผัส รวมถึงวิถีชีวิตของชาวท้องถิ่นเป็นภาพน่าดูชม

อาทิตย์อัสดงอยากเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้จนต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้วกลับรู้สึกแปลกใจ เพราะคนที่เมื่อคืนเพิ่งบอกว่าอยากเก็บช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตนไว้ กลับไม่ถ่ายรูปไว้สักใบเดียว

“คุณไม่ถ่ายรูปบ้างเหรอครับ”

“ผมอยากเก็บความทรงจำไว้ในใจมากกว่าน่ะครับ”

รอยยิ้มที่มาพร้อมคำพูดนั้นส่งผลให้คนฟังงุนงงได้ไม่น้อย ซึ่งมันคงแสดงออกมาทางสีหน้ามากพอสมควร ภันวัฒน์จึงยกยิ้มบาง หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

“บางช่วงเวลาซึมซับด้วยความรู้สึก มันมีคุณค่าทางใจมากกว่านะครับ”

ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ร่างโปร่งจึงอดถามออกไปไม่ได้

“แล้วเวลาไหนที่เหมาะกับการเก็บด้วยความทรงจำ เวลาไหนควรจะเก็บด้วยกล้องถ่ายรูปล่ะครับ”

“อืม” เสียงทุ้มครางยาว นัยน์ตาคมกวาดมองไปรอบข้างราวกับกำลังเก็บชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายอยู่มาต่อกันเพื่อตอบ “เวลาที่ความรู้สึกมันล้นอกจนเก็บเป็นความทรงจำไม่ไหวล่ะมั้งครับ ถึงเหมาะจะถ่ายเก็บเอาไว้”

ร่างของอาทิตย์อัสดงชะงักค้างขึ้นมาทันที ยิ่งหน่วยตาสีนิลย้อนกลับมาสบกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าภายในอกมันสั่นไหว และเมื่อพลั้งเผลอคิดไปถึงยามที่คนตรงหน้ายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพท้องฟ้าในค่ำคืนที่ผ่าน เสียงสั่นคลอนของกำแพงที่ตั้งเอาไว้ก็ดังแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด ดุจกำลังถูกขย่มอย่างรุนแรงจนมันทรุดตัวลงอีก

“ผมสัญญากับตัวเองเอาไว้น่ะ”

คงเห็นว่าตนเงียบไปกระมัง เสียงทุ้มจึงดังอีกครั้ง อดีตบล็อกเกอร์อยากจะสะบัดศีรษะไปมาเพื่อขับไล่ความรู้สึกที่ก่อกวนอยู่ทั้งในสมองและหัวใจออกไป แต่เกรงว่าจะดูน่าสงสัย จึงได้แต่ข่มเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้แทน

“สัญญากับตัวเองว่าอยากให้คุณได้เห็นท้องฟ้าสวยๆ ที่เห็นดาวได้ชัดเจนด้วยกันสักครั้ง”

ทั้งที่ไม่มีเหตุผลจะต้องทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่ได้เรียกร้อง ไม่ได้ชื่นชมท้องฟ้าหรือหมู่ดาวเป็นพิเศษจนต้องให้ความสนใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าตัวเอง ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกอบจนหนทาง เหมือนกำลังถูกรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ปราการที่ตั้งมั่นกร่อนลงทุกที มิหนำซ้ำเขากลับไม่คิดวิ่งหนี

อาจจะเหนื่อยแล้วกับการถูกไล่ต้อนอย่างไม่หยุดพัก ไม่ย่อท้อ

ค่อยๆ กะเทาะ กระทุ้ง ขุด แซะ เข้ามาทีละน้อย จนแทบไม่เหลือความแข็งแกร่งที่เคยมีอยู่

หรือว่าเขา...ในตอนนี้ก็อยากจะยอมแพ้ แล้วคว้ามือที่ยื่นเข้ามาหานั้น?

“ขอบคุณครับ เอ่อ ผมว่าบ่ายกว่าแล้ว เราไปอีกที่ดีไหมครับ”

เพราะไม่อยากคิดให้มากความแล้ว และการเผชิญหน้ากับสีหน้าจริงจังเช่นนั้นของภันวัฒน์ก็ทำให้รู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเกินไปที่จะต้านทาน อาทิตย์อัสดงจึงเลี่ยงไปยังเรื่องอื่น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดี

“มีที่หนึ่งที่ผมอยากพาคุณไปครับ”

รอยยิ้มเจือมากับคำพูดเกริ่นนำ ร่างโปร่งขดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แต่กลับได้รับคำตอบเป็นการยักคิ้วหลิ่วตาจากอีกฝ่าย กระทั่งไปถึงจุดหมาย

ร้านเบเกอรี่

เมื่อเห็นดังนั้นอาทิตย์อัสดงปฏิเสธที่จะเหยียบย่างเข้าไปในทันที เพราะเพียงแค่เห็นมันก็รู้สึกปวดร้าวในใจ เขาหวนนึกถึงบล็อกที่ตนเคยทุ่มเทสร้างมันซึ่งกลายเป็นอดีตไปแล้ว

นับจากวันนั้น...เขาไม่เคยเข้าร้านขนมอีกเลย

แต่ภันวัฒน์ก็ถือวิสาสะดึงมือร่างโปร่งให้เดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับบอกว่า ‘ผมอยากกินนี่ครับ หรือคุณไม่อยาก’ แม้จะเป็นประโยคคำถามที่ง่ายแสนง่าย แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าผ่อนคลายของอีกฝ่ายแล้ว กลับทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกถึงความกล้า

เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานาจบไปแล้ว เขาจะย่ำจมอยู่ที่เดิมต่อไปไม่ได้

ดังนั้นสุดท้ายร่างโปร่งจึงยอมก้าวเข้าไปในพื้นที่นั้นโดยไม่ได้ฝืนต้านอีก

ขบวนของหวานถูกนำมาเสิร์ฟ ทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระพลางชิมชิ้นนั้นชิ้นนี้ไปด้วย ไม่มีชิ้นไหนเป็นของใครโดยเฉพาะ แต่ต่างคนต่างดื่มด่ำไปกับรสอร่อยและวิเคราะห์วิจารณ์กันอยู่สองคนในฐานะคนที่ชื่นชอบขนมเหมือนกัน

หากนึกย้อนไปถึงช่วงแรกๆ ที่ได้รู้จักกัน คงจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะมีวันที่ได้มานั่งกินขนมร่วมโต๊ะและพูดคุยกันออกรสแบบนี้ เมื่อรู้ตัวอีกที อดีตบล็อกเกอร์กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดกับการกินขนมอีกแล้ว และยังสนุกที่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับขนมได้กินอีกต่างหาก

เวลาล่วงเลยผ่านไปนานจนน่าแปลกใจ พวกเขาใช้เวลาอยู่ในร้านขนมมากกว่าช่วงเวลาที่ใช้ไปกับสถานที่ท่องเที่ยวเสียอีก ดังนั้นกว่าจะกลับมาที่รถอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ก็คล้อยลงต่ำในระดับสายตาเสียแล้ว

โปรแกรมต่อไปคือการพายเรือเล่น ภันวัฒน์เลื่อนเรือสีขาวซึ่งเกยอยู่บนฝั่งทั้งลำลงไปยังบึง ทางฝั่งที่อยู่ใกล้กับบ้านพักนั้นเป็นดินเทลาดลงไปเป็นตลิ่ง ผิดกับฟากตรงข้ามซึ่งเป็นโขดหินเพื่อให้ความรู้สึกเสมือนแอ่งน้ำตกเสียมากกว่า

“ถอดรองเท้าแล้วลงมาเลยครับ”

ภันวัฒน์ร้องบอกโดยที่นำลงไปยืนแช่อยู่ในน้ำสูงเทียมเข่าเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งจึงทำตามอย่างที่อีกฝ่ายว่า และเดินลงไปยังน้ำช้าๆ แต่ซวนเซเล็กน้อยเพราะว่าดินทางฝั่งนี้นุ่มกว่าที่เคยเหยียบย่างเมื่อวาน กระทั่งมาถึงเรือไม้ลำเล็กสีขาว ซึ่งมีภันวัฒน์ประคองมันไว้อยู่

“แล้วผมจะขึ้นยังไงดี”

คำถามที่หลุดมาไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่แค่ยกเท้าเหยียบพื้นเรือมันก็โคลงเคลงจนไม่กล้าจะยกเท้าอีกข้างขึ้นมา เกรงว่าตนจะทรงตัวไม่ได้ แล้วล้มคะมำหน้าฟาดน้ำให้อีกฝ่ายขำเสียมากกว่า


“จับบ่าผมไว้ก็ได้ครับ”

เพราะอีกฝ่ายเสนอมาเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจึงยกเท้าลงจากท่ายักแย่ยักยัน ขยับตัวให้เข้าไปใกล้ร่างกำยำเบื้องหน้า และยกเท้าขึ้นเรืออีกครั้ง แต่ก่อนจะยกเท้าอีกข้าง มือทั้งสองก็วางกดบนไหล่หนาหนั่นเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้ จนกระทั่งสามารถลงไปนั่งบนเรือได้สำเร็จ

ผู้จัดการหนุ่มตามขึ้นเรือได้ในพริบตา และนั่งลงยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามมายิ้มแฉ่งให้อย่างน่าอัศจรรย์ จนร่างโปร่งแทบไม่เชื่อว่าเมื่อครู่ตนจะรู้สึกลำบากถึงขนาดนั้น

คนมีทักษะกับคนไร้ประสบการณ์ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจนรู้สึกว่าน่าหัวเราะจริงๆ

อาทิตย์อัสดงอดคิดไม่ได้ว่าในสายตาของอีกฝ่ายจะมองว่าเขาน่าขบขันบ้างหรือไม่ แต่ดูเหมือนจะได้คำตอบในทันที เพราะภันวัฒน์ไม่ได้มีสีหน้าแบบนั้นแม้แต่น้อย เขาหันไปให้ความสนใจกับไม้พายมากกว่า

“คนละอันครับ”

“แต่ผมพายไม่เป็น”

“พายสลับจังหวะกันก็ได้ครับ จะได้ไม่เมื่อย แต่ว่าอย่าพายสวนทางกันล่ะ”

ยิ่งบอกแบบนั้นก็ทำให้เจ้าของหน้าตี๋ๆ งกเงิ่นมากขึ้นไปใหญ่ พอไม้พายจากมือใหญ่จ้วงลงน้ำไป ร่างโปร่งก็ลนลานพายตาม สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทำอะไรไม่ถูก คล้ายกับหุ่นยนต์ที่รับข้อมูลมากเกินจนรวนอย่างไรอย่างนั้น จึงเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากร่างใหญ่จนได้

“อย่าหัวเราะสิครับ ก็ผมบอกแล้วว่าพายไม่เป็น”

“ผมหัวเราะเพราะคุณน่าเอ็นดูต่างหาก”

เหตุผลที่ว่ามานั้นราวกับว่าตนเองเป็นเด็กไม่ประสีประสาจนอดจะรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่ได้ หัวคิ้วของอาทิตย์อัสดงขมวดเข้าหากันอย่างไม่ปิดบัง ทำให้คนเห็นยิ่งอมยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม

“เป็นคำชมนะครับ”

“มันเป็นคำชมของเด็กไม่ใช่หรือไงครับ”

“ไม่ต้องเป็นเด็กก็น่าเอ็นดูได้ อย่างคุณไง”

ไม่รู้แล้วว่าตนเองเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกกันแน่ แต่ที่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังถูกแกล้งอย่างแน่นอน มือเรียวจึงขยันขันแข็งทำงาน รีบจ้ำพายสุดแรง จ้วงเอาๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา กระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะที่อีกฝ่ายพยายามกลั้นเอาไว้แล้วแต่มันก็หลุดออกมานั่นแหละ ถึงได้รู้ตัว

“คุณพายเข้าฝั่งทำไมเหรอครับ อยากรีบขึ้นบกขนาดนั้นเชียว”

จบคำพูดแล้วเสียงหัวเราะก็ดังอีกรอบ อาทิตย์อัสดงดึงไม้พายมาวางลงพื้นเรือโดยพลัน หน้าบึ้งตึงกว่าเดิมอีกเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มให้ประดับบนผืนหน้าสีน้ำผึ้งจนวางลงไม่ได้

“ผมอยากให้คุณรับรักผมตอนนี้จังเลยครับ”

เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ ดวงตาคมสีดำเป็นประกายวาววับ สะท้อนรอยยิ้มให้เห็นอยู่บนนั้นอย่างชัดแจ้ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ปราการหินเสริมเหล็กกล้าของอาทิตย์อัสดงซึ่งถูกกัดกร่อนเรื่อยมาสั่นคลอนจนแทบพังทลาย

“เพราะคุณน่ารักจนผมอยากฟัดจะแย่อยู่แล้ว”






----------------------
ทำไมคุณอาทิตย์น่ารัก <- แต่งเองชมเอง

ตอนนี้น่าจะชื่อ ยับยั้งชั่งใจไม่ทันแล้ว หรือไม่ก็ ยับยั้งชั่งใจยังไงให้ทัน มากกว่าล่ะมั้ง


Undel2Sky

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
น่ารักมากเลยค่ะ ทั้งคู่เลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไม่ทันแล้ว

รักไปแล้ว

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ฮื้ออออออออออออ ไม่ทันได้เตรียมใจเมื่อเห็นเธอเดินจากไป แต่ตัวฉันคงทำได้แค่เพียงต้องยอมรับความจริงงง เป็นตอนที่หวานมากเลยค่ะ อ่านแล้วหยุดยิ้มไม่ได้ ฮื้ออ คุณภันนี่รักษามาดพระเอกไว้ได้อย่างต่อเนื่องเลยนะคะ แล้วดูค่ะ เขาจูบกัน!!!!!!!! อยากจะกรี๊ดดังๆ โอ๊ยยยย บรรยากาศเขินจนเราเขินตามเลยค่ะ ความจริงคุณภันเป็นผู้ชายอบอุ่นจริงๆด้วยนะคะ รุกต่อไปค่ะคุณภัน นี่คุณอาทิตย์เปิดใจให้จนไม่รู้จะปิดยังไงแล้วค่ะ แต่อดีตคุณอาทิตย์นี่ก็... เฮ้อออ มันผ่านไปแล้วค่ะ ตอนนี้คุณอาทิตย์มีคนที่รักและหวังดีอยู่ข้างๆแล้ว เราก็ไม่รู้ว่ามันจะไปลงเอยแบบเดิมอีกรึเปล่า แต่ตอนนี้คุณอาทิตย์มีความสุขเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ ประโยคสุดท้ายคุณภันนี่... คืนนี้ห้ามลวนลามคุณอาทิตย์เชียวนะคะ อดใจไว้ค่ะ! 5555555  :mew3:

ออฟไลน์ Kio

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
น่ารักน่ารักน่ารักน่าร้ากกกกกกกก

เราก็อยากฟัดฟรีบ้างนะ !
 
:-[

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
โอ๊ย คุณภันราศีจับขึ้นทุกที

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
26th Entry : เกินคาด






แผนการพายเรือกินลมชมวิวยามเย็นเป็นอันต้องล่ม เมื่ออาทิตย์อัสดงข่มความรู้สึกที่คุกคามขึ้นมาในอก และพยายามกลั้นสีหน้าที่ดูจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไว้ แล้วกล่าว

“ผมว่าไปเตรียมอาหารเย็นดีกว่าครับ”

แต่ใช่ว่าทำเช่นนั้นจะหลีกหนีพ้นได้ เพราะหลังจากนั้นร่างโปร่งก็ต้องเผชิญกับสีหน้ากระหยิ่มยิ้มราวกับล้อเลียนอยู่ในทีของภันวัฒน์ไปตลอดทั้งเย็นจรดดึก

กระทั่งถึงเวลาเข้านอน ความรู้สึกกระดากแซมอายจึงค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความระแวดระวัง เพราะต้องร่วมเตียงเดียวกันอีกครั้ง ด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับในเต็นท์

ทว่าภันวัฒน์คงจับความรู้สึกได้กระมัง จึงเขยิบร่างเข้ามาชิดใกล้ กระซิบเสียงพร่าชวนสยิวข้างหู

“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”

อาทิตย์อัสดงได้แต่นอนเกร็ง ตัวแข็งทื่อ ต้องข่มตาที่อยากจะเบิกโพลงเสียเหลือเกินให้ปิดแน่นอยู่เกือบค่อนคืน กระทั่งแน่ใจว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ความเงียบและความเย็นสบายยามค่ำคืนจึงดึงร่างโปร่งจมดิ่งม่อยหลับไป

เมื่อรุ่งเช้ามาถึง ภันวัฒน์ก็เอ่ยปากว่า ‘ต้องกลับวันนี้แล้วล่ะครับ เพราะว่าคืนนี้ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว’ ทั้งคู่จึงออกเดินทางกันในช่วงสาย แวะเวียนข้างทางตามสถานที่ต่างๆ บ้างเป็นระยะ และด้วยเหตุที่วันนี้เป็นวันสิ้นปี การเดินทางขาเข้ากรุงเทพฯ จึงสะดวกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ

อาทิตย์อัสดงกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ไร้การโจมตีที่อันตรายต่อร่างกายและหัวใจในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขาเปิดประตูรถพลางจะก้าวลงแต่ก็โดนรั้งเอาไว้ด้วยเสียงของสารถีหนุ่มเสียก่อน

“ลืมคุกกี้ครับ”

กายสมส่วนเอี้ยวตัวแทรกระหว่างสองที่นั่งไปทางด้านหลัง หยิบกล่องคุกกี้ซึ่งถูกนำไปวางที่เบาะหลังแทนเพื่อความสะดวกในการลุกนั่งในช่วงเดินทาง อดีตบล็อกเกอร์จึงรับมันไป เผลอคิดในใจว่าสุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายลืมเสียเอง

“ขอบคุณครับ”

หลังจากรับไปแล้วจึงเปิดประตูอีกครั้ง ร่างโปร่งย่างเท้าลงยังพื้นหน้าบ้านที่เงียบสงบของตน ตามด้วยหันมาเอ่ยลาคนที่มาส่ง แต่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ มือเรียวทำท่าจะเปิดประตูที่เพิ่งปิดลงไปอีกครั้ง แต่ภันวัฒน์ไวกว่า เขาเลื่อนกระจกลงพลางถาม

“มีอะไรเหรอครับ”

“ผมเพิ่งนึกได้ เรื่องเสื้อผ้าที่ผมใส่ไปน่ะครับ เดี๋ยวคุณแบ่งออกมาให้ผมจัดการเองดีกว่า แล้วก็...ค่าเสื้อผ้าที่คุณซื้อมา เท่าไรเหรอครับ เดี๋ยวผมจ่ายให้”

คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มประดับบนกรอบหน้าคมคร้ามของคนที่อยู่ในรถได้

“ก็ได้ครับ ผมตกลงที่จะให้คุณเอาเสื้อผ้าไปจัดการเอง แต่ว่าค่าเสื้อผ้า ไม่ต้องจ่ายหรอกครับ ถือซะว่าผมซื้อให้คุณ”

“จะเอาแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ”

ร่างโปร่งสวนเสียงกลับอย่างตื่นตระหนก เพราะชุดที่ตนใส่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ชุดเดียว มีทั้งชุดที่ใส่เมื่อวานนี้ตลอดทั้งวัน ชุดที่สวมอยู่ตอนนี้ และยังชุดนอนอีกสองคืนที่อีกฝ่ายจัดแจงส่งให้เขาเปลี่ยนราวกับมันเป็นเสื้อผ้าชนิดใส่แล้วทิ้ง

ยังไม่นับรวมกางเกงชั้นในที่เขาแยกใส่ถุงและถืออยู่ในมือ

“งั้นแลกกันได้ไหมครับ”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เพราะยังไม่รู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนที่อีกฝ่ายเสนอคืออะไร แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเป็นข้อเสนอแปลกประหลาดอะไรหรือไม่

“แลกอะไรครับ”

“ง่ายนิดเดียวครับ แค่คุณเป็นอย่างตอนนี้ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องพยายามต่อต้านผม แล้วก็ยิ้มให้ผมอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องอดกลั้น แค่นั้นก็พอแล้วครับ ได้ไหมครับ”

“แต่ว่ามันเทียบกันไม่ได้หรอกครับ แล้วชุดที่คุณซื้อมาแต่ละชุดก็ไม่ใช่ของถูกๆ ด้วย แถมก็เป็นไซส์ผม ไม่ใช่ไซส์คุณ ยังไงคุณก็เอาไปใส่ต่อไม่ได้”

“ก็จริงอย่างคุณว่านะ มันเทียบกันไม่ได้”

ทั้งที่รู้อยู่แล้ว และเป็นคนพูดออกไปจากปากของตนเองแท้ๆ แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘เทียบกันไม่ได้’ ก็ทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาในอก ประดุจโดนเหล็กร้อนๆ แนบทาบเข้ามา เป็นการตีตราแห่งความทรมาน เขาเผลอกำมือเข้าหากันเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาเองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ทว่าเพียงครู่เดียวความรู้สึกเหล่านั้นก็พลิกตลบกลับด้านไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากได้ยินเสียทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง

“ค่าเสื้อผ้าที่ผมซื้อมา เทียบกับความสุขที่ผมได้อยู่กับคุณตลอดสามวันไม่ได้หรอกครับ ยิ่งได้เห็นคุณทำตัวเป็นกันเอง ไม่เอาแต่คิดนั่นนี่เพื่อปิดกั้นตัวเอง คุณรู้ไหมว่าผมมีความสุขแค่ไหน”

ระหว่างที่ระแวดระวังตัวมาตลอดนับตั้งแต่เย็นวาน จนกระทั่งผ่อนคลายลงทีละน้อย คลื่นลมที่หวาดเกรงว่าจะซัดสาดเข้ามาเป็นระลอกกลับนิ่งสงบโดยสิ้นเชิง แต่ในช่วงที่ปลดเปลื้องเกราะป้องกัน เพราะนึกว่าอยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว การโจมตีขนานใหญ่กลับจู่โจมเข้าหาอย่างหนักหน่วงโดยไม่อาจตั้งตัวได้

อาทิตย์อัสดงถึงกับซวนเซจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่แข็งทื่ออยู่เช่นเดิม ภันวัฒน์จึงต้องถามพลางยิ้มแทน

“สรุปว่าแลกไหมครับ”

“...เอามาสิครับ”

หลังจากอ้ำอึ้งอยู่เป็นนาน สุดท้ายร่างโปร่งก็ต้องตอบออกไปโดยไม่ได้ตรอกตอรงให้ดี มือเรียวยื่นเข้าหากรอบหน้าต่างรถที่กลวงโบ๋ไปด้วยเพื่อตัดบทให้การสนทนานี้จบเร็วๆ ร่างสูงใหญ่จึงลงจากรถมาและแยกสัมภาระออกตามที่อีกฝ่ายต้องการ

“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าบ้านก่อนนะครับ”

เมื่อได้รับมอบของกลางในการเจรจาแล้ว เจ้าของหน้าตี๋ๆ ก็หันขวับกลับเข้าบ้านพลางกระชับกองเสื้อผ้าในอ้อมแขนไปด้วย

“ครับ น่าเสียดายนะครับที่วันนี้ผมไม่ได้อยู่กับคุณจนถึงเที่ยงคืน”

ไม่ต้องขยายความมากไปกว่านี้อาทิตย์อัสดงก็เข้าใจความหมายได้ เพราะว่าเป็นวันสิ้นปี เขาเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“น่าเสียดายนะครับ คุณยังต้องทำงานอีก”

“นั่นสิครับ ทั้งที่ผมอยากจะเห็นหน้าคุณเป็นคนแรกตั้งแต่วินาทีแรกที่ขึ้นปีใหม่”

แม้ว่าจะดึงบทสนทนาให้ห่างไกลจากการทำให้อีกฝ่ายพูดประโยคโจมตีกันแล้ว แต่มันก็ไม่สำเร็จ ภันวัฒน์กลับดึงมันเข้าสู่วงโคจรเดิมอีก

“เอ่อ คุณรีบกลับเถอะครับ จะได้พักผ่อนก่อนไปทำงาน”

เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ร่างโปร่งจึงตัดจบอย่างห้วนๆ ซึ่งมันก็เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ ด้วยรู้ว่าคำพูดของตนกำลังสร้างความรู้สึกสับสนอลหม่านขึ้นในใจของคนตรงหน้า

“ครับ ไว้ผมจะหามาใหม่นะครับ”

สิ้นเสียงนั้น อาทิตย์อัสดงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วๆ ห่างออกไป เครื่องยนต์เริ่มทำงาน เมื่อมั่นใจได้ว่ารถของอีกฝ่ายกำลังจะเคลื่อนออกไป ร่างโปร่งก็เหลียวหลังกลับมาเล็กน้อย แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทัน เพราะเมื่อหน่วยตาสีชาชำเลืองไปเล็กน้อย ก็สบเข้ากับหน่วยตาคมเข้มซึ่งจับจ้องมาผ่านกระจกรถที่ยังไม่เอาขึ้น

อาทิตย์อัสดงรู้สึกร้อนวูบจากต้นคอขึ้นสู่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว อับอายจนไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร รู้สึกราวกับถูกจับได้คาหนังคาเขาว่ากำลังกระทำความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงต้องหันขวับ สาวเท้าเร็วๆ เกือบวิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน เปิดประตูและปิดมันเพื่อซ่อนร่างของตนเองให้พ้นจากขอบเขตการมองเห็นของอีกฝ่ายโดยเร็วที่สุด จนสุดท้ายรถยนต์สีเทาดำยอมจากไป ลมหายใจจึงค่อยผ่อนออกมาอย่างโล่งอก





เสียงเข็มนาฬิกาที่หมุนผ่านถูกกลบด้วยเสียงโทรทัศน์ที่เปลี่ยนสลับช่องไปมา เพราะไม่ว่าเปิดไปช่องไหนๆ ก็มีแต่บรรยากาศของการเคานท์ดาวน์ที่สนุกสนานจนไม่มีรายการอื่นๆ ให้ดู

ปีนี้เป็นปีแรกในรอบเกือบสิบปีเสียด้วยซ้ำที่เขาต้องมานั่งเคานท์ดาวน์กับโทรทัศน์ แต่ครั้นจะขึ้นห้องนอนเสียเลยก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะนอนข้ามปี แทนที่จะได้ตื่นรับศักราชใหม่

เวลาแห่งการเริ่มต้นใกล้เข้ามาทุกที เสียงนับพร้อมกันดังลั่นออกมาจากจอสี่เหลี่ยม ถอยหลัง ห้า สี่ สาม และจบลงด้วยศูนย์พร้อมกับเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี เมื่อได้ยินดังนั้นร่างโปร่งรู้สึกราวกับภารกิจของตนลุล่วงอย่างน่าแปลกประหลาด รู้สึกสบายใจที่จะปิดโทรทัศน์ลง

ขาเรียวย่างก้าวขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่ห้องนอน แต่เสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้นมาเสียก่อนจึงต้องยกขึ้นดู เป็นข้อความอวยพรปีใหม่จากผองเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน และพี่น้องที่บริษัท รวมทั้งข้อความจากหนึ่งฤทัยด้วย

เขาอมยิ้มเล็กน้อยกับข้อความที่ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรต่างจากคนอื่นๆ ก่อนจะพิมพ์ส่งกลับไปด้วยถ้อยคำง่ายๆ เช่นเดียวกัน ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงยังหัวเตียงและเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันเพื่อเตรียมตัวเข้านอนจริงๆ แต่เมื่อออกมากลับเห็นไฟกะพริบที่โทรศัพท์เป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนส่งข้อความมา

อาทิตย์อัสดงหยิบมันขึ้นมาเปิดดูเพราะคาดว่าคงเป็นเพื่อนไม่คนใดก็คนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นพี่สาวของตนเองก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ได้เห็นนั้นกลับต่างจากที่คิด และเป็นบุคคลที่ไม่คาดคิด



‘สวัสดีปีใหม่ครับ’



ข้อความจากภันวัฒน์

นัยน์ตาเรียวจับจ้องที่ตัวหนังสือประโยคสั้นๆ นั้นโดยไม่ได้เปิดข้อความจากแอปพลิเคชั่นสนทนาเช่นเดียวกับทุกครั้ง ครุ่นคิดกับตนเองว่าควรจะทำอย่างไรกับมันดี ควรเพิกเฉยดีหรือไม่ ทว่าสุดท้ายแล้วก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งที่เรียกว่า ‘เทศกาลพิเศษ’

หากเมินเฉยไปคงไม่ดีกระมัง แม้ว่ามันจะเป็นคำที่แสนธรรมดา แต่ด้วยเพราะเป็นวันขึ้นปีใหม่... จึงไม่ควรทำชืดชาต่อคำทักทายตามเทศกาล

ใช่ ก็เพราะว่าเป็นวันปีใหม่

เพราะเป็นวันปีใหม่นั่นแหละ

อาทิตย์อัสดงให้เหตุผลกับตนเอง ราวกับจะตอกย้ำว่าไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เป็นพิเศษ ก่อนจะกดเปิดข้อความนั้นเข้าไปเป็นครั้งแรก สิ่งที่ปรากฏบนจอที่ได้เห็นคือสติกเกอร์และข้อความที่เคยถูกส่งมาก่อนพร้อมกับข้อความใหม่

เขาพิมพ์ประโยคเดียวกันทั้งที่สามารถก๊อบปี้มาวางลงแล้วส่งได้ทันทีลงไป จากนั้นกดส่งให้ผู้รับที่เจียดเวลาทำงานมาส่งข้อความหาตนเอง แต่เพียงครู่เดียวเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นจากอุปกรณ์ในมือ ทว่าแตกต่างจากเดิมเพราะมันเป็นสัญญาณเรียกเข้า พร้อมปรากฏรูปภาพประจำตัวของอีกฝ่ายขึ้นมา

ร่างโปร่งรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาครามครัน เพราะไม่คิดว่าคนที่ตนเพิ่งส่งข้อความหาจะติดต่อเข้ามาโดยตรง เขามองมันอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่สุดท้ายก็ต้องบอกเหตุผลเดิมกับตัวเองอีกครั้ง

เพราะเป็นวันปีใหม่

“สวัสดีครับ”

แทนที่จะได้ยินเสียงจากปลายสาย แต่มีความเงียบแทรกมาแทน หัวคิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมกับส่งเสียงกลับไปเป็นคำเดิม เสียงของอีกฝ่ายถึงได้ดังขึ้น

[ตกใจเลยล่ะครับ]

ประโยคแรกที่ได้ยิน ทำให้คิ้วที่ย่นเข้าหากันคลายออก เปลี่ยนเป็นเลิกขึ้นแทน

“ตกใจอะไรครับ”

[ตกใจที่คุณรับสายน่ะสิครับ ผมโทรไปโดยไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าคุณจะรับ เพราะคิดว่าคงกดทิ้ง ไม่ก็ปล่อยให้ผมยอมวางสายไปเองแน่ๆ]

ได้ฟังคำตอบแล้วอาทิตย์อัสดงก็ต้องยิ้มกับตนเอง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เขากะว่าจะทำอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นนั้นหมือนกัน

“แล้วไม่ดีเหรอครับ”

[ดีสิครับ]

เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างกระตือรือต้นจนคนฟังถึงกับนึกภาพออกด้วยซ้ำ ทำให้รอยยิ้มที่เจืออยู่บนหน้าตี๋ยังคงกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง

[แต่ว่าทำไมถึงรับสายล่ะครับ]

“นั่นสินะครับ” ตอบกลับไปแล้วร่างโปร่งก็เว้นจังหวะไปชั่วครู่หนึ่ง คล้ายกับว่านึกหาเหตุผล แต่สุดท้ายแล้วคำตอบก็ยังเหมือนเดิม “คงเพราะเป็นปีใหม่ล่ะมั้งครับ”

[งั้นผมคงต้องขอบคุณวันปีใหม่งั้นสินะครับ]

“ก็คงจะอย่างนั้น”

เสียงหัวเราะหลุดออกมาเบาๆ จากอดีตบล็อกเกอร์ ทำให้ปลายสายพลอยเงียบไปด้วย แต่เพียงครู่เดียวเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นอีก

“ว่าแต่ทำไมถึงโทรมาล่ะครับ คุณไม่ได้ทำงานอยู่เหรอ”

[ทำอยู่นั่นแหละครับ แต่ช่วงที่วุ่นวายที่สุดผ่านไปแล้ว ผมก็เลยพักผ่อนได้นิดหน่อย ก็เลยอยากจะมาสวัสดีปีใหม่คุณก่อน]

“อ้อ ครับ งั้นก็สวัสดีปีใหม่อีกครั้งนะครับ”

[ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ แล้วก็...]

“ครับ”

จังหวะที่หยุดไปชั่วครู่ราวกับจะเรียกความสนใจของร่างโปร่งให้อยากรู้

[คุณได้กินคุกกี้ที่ผมให้ไปหรือยังครับ]

“คุกกี้เหรอครับ” อาทิตย์อัสดงทวนคำ พลางนึกถึงคุกกี้ที่ก่อนหน้านี้เกือบลืมทิ้งไว้บนรถ เขาวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะอาหารที่ห้องครัว “ยังเลยครับ ทำไมเหรอครับ”

[ผมจะบอกว่าอย่าลืมกินนะครับ แล้วก็อย่ากินเกินวันละห้าอันนะครับ]

“ทำไมต้องอย่ากินเกินวันละห้าอันด้วยล่ะครับ”

[เอาไว้คุณเปิดดูก็จะรู้เองนั่นแหละครับ]

คำตอบที่ไม่ชัดเจนพาให้คิ้วของอาทิตย์อัสดงต้องขยับเข้าหากันอีกรอบ เขาสงสัยว่ามีอะไรแอบซ่อนอยู่จนรู้สึกว่าหากวางสายจากอีกฝ่ายแล้วจะต้องลงไปกินมันให้ได้ แม้ว่าแต่เดิมตั้งใจว่าจะนอนแล้วก็ตาม

“คุณพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมสงสัยนะครับ”

[ไม่มีอะไรหรอกครับ]

เสียงหัวเราะแทรกมากับเสียงทุ้มใหญ่ยิ่งกระตุ้นให้ร่างโปร่งอยากรู้ จึงเลี่ยงการสนทนทาต่อเพื่อไปหาคำตอบ

“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมก็รู้คำตอบแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็แค่นี้ก่อนนะครับ”

ทว่าดูเหมือนว่าการตัดสินใจของหนุ่มหน้าตี๋จะทำให้ใบหน้าสีน้ำผึ้งเปื้อนด้วยรอยยิ้ม เพราะน้ำเสียงที่ส่งออกมาเป็นคำราตรีสวัสดิ์ที่คละเคล้าไปด้วยความพึงพอใจอย่างชัดเจน

[ครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ]

หลังจากวางสายไป อาทิตย์อัสดงก็ไปทำตามที่ตนตัดสินใจเมื่อครู่เอาไว้ เป้าหมายคือกล่องคุกกี้ที่อยู่ชั้นล่างบนโต๊ะในห้องครัว ซึ่งเมื่อเปิดกล่องออกมา เขาก็พบว่าภายในไม่ใช่คุกกี้รูปทรงแบนที่มีลักษณะเป็นวงกลมหรือสี่เหลี่ยมอย่างที่เคยเห็นทั่วไป ไม่แม้กระทั่งเป็นคุกกี้รูปสัตว์น่ารัก แต่เป็น...

คุกกี้เสี่ยงทาย

รูปทรงลักษณะสามเหลี่ยมก็ไม่ใช่วงกลมก็ไม่เชิง ป่องพองตรงกลางราวกับบรรจุลมไว้ภายในนั้นมีสีเหลืองนวล บริเวณรอยแยกแคบๆ ตรงปลายด้านหนึ่งมีกระดาษแผ่นเล็กเป็นเส้นยื่นออกมาเล็กน้อย บนนั้นมีตัวเลขหนึ่งถึงห้ากำกับไว้

ให้กินตามหมายเลขนี่เหรอ?

คำถามก่อเกิดในใจอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับมือเรียวหยิบชิ้นที่มีหมายเลขหนึ่งมา เขาดึงกระดาษสีขาวแผ่นนั้นออก บนส่วนที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นมีตัวหนังสือกำกับอยู่ ใจความว่า...

‘กระดาษทำจากไม้’

อ่านแล้วก็ได้แต่งุนงงว่ามันคืออะไรกันแน่ ถึงกระนั้นร่างโปร่งก็ส่งขนมกลิ่นหอมเข้าปาก เคี้ยวมันอย่างช้าๆ รับรสชาติและรสสัมผัสไปพร้อมๆ กัน กลิ่นหอมของวานิลลาลอยฟุ้งอวลไปทั่วทั้งปาก จนอดยิ้มกับตนเองไม่ได้

จากนั้นมือเรียวหยิบชิ้นที่มีหมายเลขสองขึ้นมา ดึงกระดาษที่ถูกซ่อนข้อความเอาไว้มาอ่านดู

‘ดินสอทำจากถ่าน’

แม้เนื้อหาจะมีสองข้อความแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี หรือบางทีอาจจะต้องอ่านทั้งห้าข้อความก็เป็นได้ จึงหยิบชิ้นที่สามและทำอย่างเดิม

‘เป็นของจากธรรมชาติ’

ตามด้วยชิ้นที่สี่

‘เพราะฉะนั้น’

เครื่องหมายปรัศนีลอยล่องเต็มอยู่ภายในหัวของอดีตบล็อกเกอร์ ดวงหน้าขาวตี๋ปรากฏริ้วรอยยุ่งยากใจ ขณะที่ปากเคี้ยวคุกกี้รสอร่อยตุ้ยๆ ไปด้วย จากนั้นหยิบชิ้นที่ห้า ดึงกระดาษออกมาแล้วส่งคุกกี้เข้าปาก

‘ไม่ต้องห่วงเรื่องสารปนเปื้อนครับ’

เพียงอ่านข้อความสุดท้าย เศษคุกกี้ที่คาอยู่ในปากแทบจะพ่นออกมาทั้งหมด อาทิตย์อัสดงต้องพยายามกลืนของที่อยู่ภายในปากให้เรียบร้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขันแทบน้ำตาลไหล ไม่คิดแม้แต่น้อยว่าจะมีข้อความไร้สาระเช่นนี้แอบซ่อนอยู่

เมื่อมองลงไปยังกล่องคุกกี้ทรงกระบอกแคบๆ ก็เห็นว่ามันถูกปิดด้วยแผ่นพลาสติกบางๆ เมื่อเปิดออกก็เห็นว่าเป็นคุกกี้เช่นเดียวกับที่ตนกินไปก่อนหน้าแต่คนละสี ถูกจัดวางเอาไว้เช่นเดียวกัน และมีตัวเลขกำกับเช่นเดิม

เหตุผลที่บอกให้กินวันละห้าชิ้นก็เพราะแบบนี้สินะ

ครั้นนึกได้ว่าอีกฝ่ายเคยพูดไว้ว่าอย่างไร ร่างโปร่งก็ต้องอมยิ้มกับตนเอง ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนใจใคร่รู้ถึงข้อความต่อไปนับจากนี้ แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้พลางบอกตัวเองว่าคงเป็นความบันเทิงประจำวันที่ภันวัฒน์มอบให้เขาสินะ

นัยน์ตาเรียวจับจ้องไปยังทรงกระบอกสูงประมาณหนึ่งคืบครึ่ง รอบด้านปิดทึบจึงคาดเดาได้ยากว่ามันมีจำนวนอยู่เท่าไร

“มีกี่ชั้นกันเนี่ย”

ถามคำถามกับตนเองแล้วก็ตัดใจเพราะคงไม่ได้คำตอบมาอย่างง่ายๆ จนกว่าจะกินไปเรื่อยๆ จึงปิดฝากล่องลงแล้วอมยิ้มกับตนเองอีกครั้งพลางนึกถึงคนที่มอบมันให้มาด้วย

“ขอบคุณนะครับ ผมจะกินวันละห้าชิ้นอย่างที่บอกแล้วกัน”





เพราะเมื่อคืนต้องอยู่ตรวจความเรียบร้อยจนเกือบโต้รุ่ง ดังนั้นกว่าจะได้สติอีกครั้งก็เป็นช่วงตะวันสายโด่ง แต่ก็ไม่มีปัญหากระทบกับงานนัก เนื่องด้วยในวันนี้ภันวัฒน์ก็เข้างานในช่วงเย็นอีกเช่นเคย เพราะหากเทียบกันแล้ว ช่วงกลางคืนย่อมมีความเสี่ยงที่งานจะมีปัญหาได้มากกว่ากลางวัน

ก็เพราะว่ามีการใช้ห้องจัดเลี้ยงเยอะนี่นา

เนื่องจากช่วงปีใหม่เป็นเทศกาลที่ควรใช้เวลาไปกับครอบครัว ดังนั้นแม้แต่พวกพนักงานระดับหัวหน้าก็ได้รับการอนุมัติให้หยุดได้ต่อเนื่องถึงสองวันเต็ม โดยให้ผู้ที่อยู่ในส่วนรับผิดชอบเดียวกันสับเปลี่ยนกันหยุด เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน ภันวัฒน์ซึ่งได้หยุดไปก่อนจึงต้องรับหน้าที่ดูแลในส่วนของผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงควบไปด้วยในตอนนี้

ชายหนุ่มตรงมายังบ้านหลังใหญ่ของไพฑูรย์ เขามาพบพรรณีเพื่อคืนกุญแจของบ้านพักซึ่งยืมไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งขอบคุณอีกฝ่ายด้วยที่ปิดเรื่องนี้ไม่ให้ไปถึงหูของลูกสาว ดังนั้นเมื่อพร่างฟ้าเห็นพี่ชายมาที่บ้านจึงรีบสอบถามเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“ทำไมเมื่อวันก่อนพร่างถึงติดต่อพี่ภันไม่ได้เลยล่ะ โทรไปก็ปิดเครื่องตลอดเลย”

น้องสาวทำหน้ามู่เกาะแขนพี่ชายไว้มั่น ดั่งต้องการกักขังอีกฝ่ายเอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้หลีกหนีไปได้ก่อนเธอจะได้คำตอบ ผิดกับภันวัฒน์ที่ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ

“พี่ไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะครับ”

ร่างสูงไม่เปลี่ยนสีหน้า ตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติจนไม่น่าสงสัย ทั้งที่จริงแล้วตนตั้งใจปิดมือถือก็เพราะเกรงว่าจะโดนน้องสาวก่อกวนช่วงที่เขาอยู่กับอาทิตย์อัสดงต่างหาก ทว่ามันก็ใช้กับพร่างฟ้าผู้ติดพี่ชายแจไม่ได้นัก ถ้อยคำกระเง้ากระงอดส่งผ่านมา

“ทำไมพี่ภันไม่เห็นบอกพร่างเลยว่าจะไปเที่ยว พร่างจะได้ไปด้วย”

“ก็พร่างบอกว่าพร่างจะไปเที่ยวปีใหม่กับเพื่อนก่อนไม่ใช่เหรอครับ พี่ก็เลยว่าพร่างคงไม่ว่างหรอก”

“ถ้าพี่ภันบอก พร่างก็แคนเซิลเพื่อนไปแล้ว พร่างก็อยากไปเที่ยวกับพี่ภันมั่งนี่นา งั้นเราไปวันพรุ่งนี้กันก็ได้ นะๆ นะคะ”

“เสียใจด้วยครับ” มือหนาขยุ้มกระหม่อมของน้องสาวเบาๆ อย่างเอ็นดูราวกับเธอเป็นเด็กเล็กๆ “วันหยุดพี่หมดแล้ว ต้องทำงานทุกวันเลยล่ะ”

“โธ่ พี่ภันอะ”

พร่างฟ้าตวัดเสียงแสนงอนใส่ ทำหน้าบูบี้ไม่ต่างจากเด็กน้อย เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนผืนหน้าของคนมองได้ ทว่าเพียงครู่เดียวสีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป กลายเป็นขมึงตึงขึ้นมาทัน

“ว่าแต่เพื่อนที่ไปด้วยน่ะ ไม่ใช่พี่จอมใช่ไหมล่ะ พี่ภันไปกับใคร”

ภันวัฒน์เหยียดยิ้มแผ่วเบา พลางนึกสงสารเพื่อนที่คงถูกถามตื๊อเรื่องเขาอย่างแน่นอน

“พี่ไม่ได้มีเพื่อนคนเดียวสักหน่อยนี่”

“เพื่อนจริงๆ แน่นะ ไม่ใช่แฟนแล้วหลอกพร่างหรอกนะ”

“เพื่อนจริงๆ ครับ”

เสียงทุ้มย้ำอย่างหนักแน่นเพื่อให้น้องสาวเชื่อ ซึ่งตามจริงมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาทิตย์อัสดงไม่ได้อยู่ในระดับคนรักอย่างที่น้องสาวหวาดระแวง แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดก็ตาม

“จะยอมเชื่อก็ได้”

น้องสาวทำปากยื่นบอกออกมาอย่างเซ็งๆ ที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ถึงกระนั้นภันวัฒน์ก็รู้สึกว่าตนต้องระวังการกระทำและคำพูดไว้อยู่ดี เพราะเขาไม่รู้ว่าวันที่พร่างฟ้าไปที่ร้านและสอบถามเรื่องเขาจากจุ๊บแจงและเป็นหนึ่ง เธอได้ข้อมูลอะไรไปบ้าง

ดังนั้นช่วงระหว่างหนึ่งสัปดาห์มานี้ ภันวัฒน์จึงไม่ได้ไปหาอาทิตย์อัสดงแม้แต่ครั้งเดียว เขามุ่งมั่นทำงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งน้องสาวที่รักก็คอยจับตาเฝ้ามองเขาเป็นระยะอยู่เสมอ เพราะเวลาที่เธออยู่ประเทศไทยกำลังจะหมดลงแล้ว ชายหนุ่มจึงอาศัยช่องทางเดียวที่ร่างโปร่งอนุญาตให้ติดต่อได้ในการสานต่อความสัมพันธ์

นับตั้งแต่วันปีใหม่เป็นต้นมา เขาก็ติดต่ออาทิตย์อัสดงทางแอปพลิเคชั่นสนทนาอย่างสม่ำเสมอ



‘ให้ส่งข้อความได้อย่างเดียวนะครับ ห้ามคอล’



นั่นเป็นกฎที่ภันวัฒน์ได้รับ เมื่อส่งข้อความไปหาหลังกลับออกมาจากบ้านของผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ทว่ามันก็เป็นการเปิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่แล้วสำหรับเขาซึ่งถูกปิดกั้นการติดต่อมาโดยตลอด ฉะนั้นเจ้าตัวจึงปฏิบัติมันอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา

เขาส่งข้อความไปทักทายบ้าง เย้าแหย่บ้าง ซึ่งก็ได้รับการตอบกลับมาทุกครั้ง และทุกคราวที่ได้อ่านตัวหนังสือซึ่งเป็นการตอบรับจากอีกฝ่าย ก็ทำให้ภันวัฒน์รู้สึกเต็มตื้นและอิ่มเอบใจได้เสมอ

อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เปิดใจให้เขาแล้วจริง

ภันวัฒน์รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะประสบความสำเร็จ

เขาไม่ได้เสียแรงเปล่าแต่อย่างใด ความพยายามของเขากำลังสัมฤทธิผลช้าๆ แต่แน่นอน

ดังนั้นในวันนี้ที่พร่างฟ้าไปร่วมงานเลี้ยงอำลากับผองเพื่อน เพราะกำลังจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศในพรุ่งนี้ ผู้จัดการหนุ่มจึงไม่ทิ้งโอกาสของตนเอง

‘คืนนี้ผมไปหาคุณได้ไหมครับ’

ข้อความถูกส่งไปเพียงไม่นาน ก็มีคำตอบส่งกลับมา ทว่ากลับทำให้ต้องผิดหวัง

‘วันนี้ผมนัดกับขวัญไว้น่ะครับ’

‘ไม่เป็นไรครับ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้’


หากข้อความนี้แปรเป็นเสียงภายในใจได้ อาทิตย์อัสดงคงสัมผัสได้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวไม่น้อย เพราะภันวัฒน์วาดหวังเอาไว้ว่าวันนี้เขาจะได้พบคนที่อยากพบ ได้พูดคุย ได้ยินเสียงที่อยากฟัง แต่กลับต้องผิดหวังโดยไม่ได้เตรียมใจเผื่อไว้แม้แต่น้อย ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ยังพยายามมองโลกในแง่ดีว่ายังมีโอกาสอยู่ ทว่าสิ่งที่ร่างโปร่งส่งกลับมากลับทำให้ใจที่เริ่มพองโตขึ้นอีกครั้งเหี่ยวแฟบลง

‘พรุ่งนี้เหรอครับ’

‘พรุ่งนี้ก็ไม่ได้เหรอครับ’


จากเมื่อครู่ที่คำตอบมาอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นทิ้งช่วงนานเกินกว่าสองนาที ใจที่เหี่ยวเฉาของหนุ่มร่างใหญ่เริ่มหม่นหมองมากยิ่งขึ้น เขาส่งข้อความตอบกลับไปราวกับขอความเห็นใจ

‘ผมอยากพบคุณจะแย่แล้วนะครับ’

‘คิดถึงมาก’


ภันวัฒน์ส่งข้อความตอบกลับไปสองครั้งต่อเนื่อง เพราะอดรนทนไม่ไหวที่จะรออีกฝ่ายตอบกลับมา ชั่วครู่ใหญ่เลยทีเดียวกว่าประโยคที่รอคอยจะเดินทางมาถึง

‘ไว้พรุ่งนี้ลองถามอีกทีแล้วกันนะครับ’

ไม่ใช่ทั้งการตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ก็ไม่ตัดความหวังเสียทีเดียว ดังนั้นชายหนุ่มจึงตอบได้เพียง ‘ครับ’ สั้นๆ ด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวลงกว่าเดิม แต่ก็ไม่วายแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยากพบมากแค่ไหน

‘หวังว่าพรุ่งนี้จะได้พบกันนะครับ’

ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมานอกเหนือจากนั้น ภันวัฒน์มองหน้าจอที่ยังเปิดค้างเอาไว้ ทอดสายตามองตัวอักษรที่รวมกันเป็นประโยคโดยเฉพาะสิ่งที่มาจากปลายนิ้วมือของตนเอง

ไม่นึกเหมือนกันว่าเขาจะแสดงอาการออดอ้อนขอเรียกร้องอาทิตย์อัสดงได้ถึงขนาดนี้ เพราะโดยปกติแล้วเป็นเขาเสียอีกที่โดนคนรักพะเน้าพะนอคอยเอาใจ แล้วเสียงทุ้มก็ได้แต่รำพึงรำพัน

“คุณจะรู้ไหมว่าทำให้ผมเป็นได้ถึงขนาดนี้”





-------------------
สรุปว่าตอนนี้คุณอาทิตย์หรือคุณภันที่อาการหนักกว่ากัน?

ป.ล. คุณภันเขายังอดใจไว้อยู่นะ


Undel2Sky

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2016 18:15:57 โดย undersky »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ก็ตื้อต่อไปสิ
ทางโน้นเขาเป็นผู้ชายแท้นะ ให้เวลาเขานิดนึง

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
คือมันเกินคาดตามชื่อตอนเลยค่ะ โอ๊ยยยยยยย คุณอาทิตย์คะะะะะะะะะะะ น่ารักขนาดนี้เป็นเราก็ไม่ไหวค่ะะะ ฮืออออ อยากด้ายยย คุณภันคะ คุณอาทิตย์เปิดทางให้แล้วค่ะ สู้ๆนะคะ ขอบคุณวันปีใหม่ค่ะที่ทำให้คุณอาทิตย์มีข้ออ้างให้ตัวเอง 555555 เราว่าคุณภันนี่ยิ่งนานวันเข้ายิ่งหลงคุณอาทิตย์นะคะ เขาทำอะไรนิดหน่อยคุณภันหลงหมดอ่ะ ต่อไปนะคะคุณภัน เจอหน้าปุ๊บ ให้เรียกเสียงอ่อนค่ะ ฟรีครับ... อ้อนเข้าไปค่ะะะะะ เรารู้ว่าคุณอาทิตย์แพ้ แอร๊ยยย แต่ข้อความในคุกกี้นี่เราแบบ.... -_- สมกับเป็นคุณภันค่ะ 55555 นี่เราว่าเขาตกหลุมกันไปเต็มตัวแล้วนะคะ แต่ก็ค่อยๆแหละค่ะ ค่อยๆจีบกันไปปป นี่คือคุณภันจีบ คุณอาทิตย์อ่อย คุณภันคะ หักห้ามใจไว้ค่ะ! อีกไม่นานวันที่คุณภันรอคอยต้องมาถึงแน่ๆ สู้ต่อไปนะคะ! เราเชียร์คุณภันเป็นพระเอกกก แอร๊ยยยยย

ปล. เราเจอคำผิดนิดนึงนะคะ

ตรอกตอรง >> อันนี้น่าจะ ตรึกตรอง นะคะ

พี่ก็เลยว่าพร่างคงไม่ว่างหรอก   >> ตรงนี้น่าจะเพิ่มเป็น พี่ก็เลยคิดว่า ไหมคะ

อิ่มเอบใจ  >> อันนี้น่าจะอิ่มเอม ไม่ก็ อิ่มเอิบ

อย่างน้อยอีกฝ่ายก็เปิดใจให้เขาแล้วจริง   >> ตรงนี้น่าจะเป็น จริงๆ

สัมฤทธิผล   >> สัมฤทธิ์ผล

เรารอตอนต่อไปนะคะะะะะ ขอให้น้องพร่างยังจับไม่ได้ ฮืออออ  :katai1:

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ใจแข็งจริงๆ มีห้ามโทรหาด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
27th Entry : ขุ่นข้องหมองใจ






หางตาที่จับภาพผิดประหลาดได้แวบหนึ่งเรียกให้หนึ่งฤทัยต้องหันไปมองทางด้านข้าง ชายหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนรักกำลังนั่งก้มหน้าตัวสั่นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ใจของเธอรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา ด้วยห่วงใยว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายกับเพื่อนอีกหรือไม่

หญิงสาวไถลเก้าอี้ล้อเลื่อนที่นั่งอยู่เข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังที่สุด เพราะเกรงว่าหากเจ้าตัวรู้ว่าเธอสังเกตอาการได้ อาจจะแสร้งกลบเกลื่อนปิดบังก็เป็นได้ ทว่าคำตอบที่เธอได้กลับทำให้เกิดความพิศวงงงงวยขึ้นในใจ

แทนที่อาทิตย์อัสดงจะอดกลั้นความรู้สึกหดหู่ที่โหมซัดจนอย่างที่คิด

กลับกลายเป็น...กำลังกลั้นหัวเราะ

“มึงหัวเราะอยู่เหรอวะเนี่ย”

“อืม กูขำนิดหน่อย”

คำตอบมาพร้อมกับใบหน้าที่ก้มงุดอยู่เมื่อสักครู่เงยขึ้นมา ดวงหน้าขาวตี๋มีรอยยิ้มปรากฏชัดเจน

“ขำอะไรวะ”

อาทิตย์อัสดงมองเพื่อนที่ย้อนถามอย่างงุนงงทั้งยังมองไปยังรอบๆ ตัวเขา ก่อนจะคว้าเศษกระดาษแถบยาวบนโต๊ะเขาขึ้นมาดู

“ไอ้นี่อะไรอะ อ่านแล้วงงๆ”

เมื่อถูกถาม ร่างโปร่งก็เกือบจะหลุดยิ้มออกมาอีก เพราะมันต้องอ่านไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถ้าไม่อ่านเรียงลำดับตั้งแต่อันที่หนึ่งถึงอันที่ห้า

“มาจากคุกกี้เสี่ยงทาย”

เธอครางเสียงเบาๆ ‘คุกกี้?’ ก่อนจะรู้สึกเหมือนว่าความคิดหนึ่งจะแวบเข้าหัวมา

“จากคุณภันน่ะเหรอ ดีจังเนอะ ได้กินขนมอร่อยๆ แบบที่ชอบด้วย อย่างนี้สงสัยกูต้องหาแฟนเป็นคนทำขนมบ้าง”

คำพูดราวกับพร่ำเพ้อของเพื่อนสาวทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยแซว

“แล้วมึงจะเอาคุณจอมไปทิ้งที่ไหนล่ะ”

แต่พอโดนแซวแบบนั้น หญิงสาวก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วตอบมาอย่างขวยเขินนิดๆ

“ทิ้งไว้ในใจกูนี่แหละ”

“โหๆ พูดแบบนี้ แสดงว่ารวบหัวรวบหางเขาไปแล้วสิ”

น้ำเสียงหยอกเอินกับสีหน้าหยอกเหย้าทำให้มือบางฟาดเพียะลงมาที่แขนของร่างโปร่ง อาทิตย์อัสดงอดขำไม่ได้กับท่าทีเขินอายของเพื่อนที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ด้วยเพราะปกติเธอจะออกแนวห้าวๆ มากกว่า ถึงจะขัดหน้าตาไปบ้างก็ตาม

“รวบหัวรวบหางอะไรกันยะ ก็แค่ตกลงเป็นแฟนกันเฉยๆ”

“อ๋อ มึงยอมตกลงได้สักทีนะ เห็นเล่นตัวอยู่ตั้งนาน”

“ไอ้บ้านี่”

หลังจากนั้นคำสบถก็ดังออกมาจากเจ้าของหน้าสวยอีกหลายคำ ก่อนจะวกกลับเข้าประเด็นอีกครั้ง

“ว่าแต่มึงกับคุณภันล่ะ เป็นไงบ้าง แต่ว่าคงคืบหน้าสินะ ไม่งั้นมึงไม่ดูสดชื่น แฮปปี้แบบนี้หรอก”

พอโดนย้อนถามกลับมาบ้าง ร่างโปร่งก็เริ่มอิดออด ดึงเก้าอี้เข้าใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น ทำเหมือนกับว่ากำลังจะเข้าสู่โหมดทำงานเสียดื้อๆ จนหนึ่งฤทัยต้องเลื่อนเก้าอี้เข้าหาอีก

“อย่ามาทำมึนแล้วหนีนะเว้ย ทีกูยังเล่าให้ฟังเลย”

ไม่เพียงไล่จี้มาติดๆ ยังดึงแขนไว้อีกต่างหาก เมื่อเหลือบไปมองนิดๆ ก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังทำหน้าถมึงบีบคั้นให้พูดออกมา

“เอาไว้คุยทีหลังแล้วกัน”

“ก็ได้ งั้นคืนนี้มึงออกไปดื่มกับกู แล้วต้องคายความลับมาให้หมด”

ราวกับคำประกาศิตอย่างไรอย่างนั้น เพราะเมื่อถึงเวลาเลิกงาน หนึ่งฤทัยก็รีบดึงแขนอาทิตย์อัสดงให้รีบออกจากบริษัททันที

ทั้งสองคนแยกกันขึ้นรถใครรถมันหลังจากระบุร้านเป้าหมายแล้ว และก่อนที่ร่างโปร่งจะแยกไปยังรถของตนเอง หนึ่งฤทัยยังไม่วายชี้หน้าข่มขู่

“ห้ามหนีนะเว้ย”

“เออน่า”

อดีตบล็อกเกอร์ตอบกลับอย่างรำคาญ ก่อนจะขึ้นรถของตนเอง มุ่งไปยังร้านอาหารกึ่งผับที่เคยไปด้วยกันบ่อยๆ เมื่อสั่งอาหารเสร็จ หนึ่งฤทัยก็รีบยิงคำถามใส่อย่างใคร่รู้

“เดี๋ยวนะ”

แต่ยังไม่ทันเล่า เสียงข้อความจากโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาเสียก่อน และเพียงเห็นว่าเจ้าของเสียงเตือนนั้นเป็นใคร รอยยิ้มบางๆ ก็แต้มลงบนใบหน้าขาว

“อะไรอะ ใครๆ”

สีหน้าที่ยากจะได้เห็นของเพื่อนรักทำให้หนึ่งฤทัยสนใจเป็นพิเศษ เธอพยายามโยกตัวข้ามโต๊ะมาเพื่อมองยังหน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่อาทิตย์อัสดงก็เอนตัวไปทางด้านหลัง พร้อมกับกดพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วย

‘วันนี้ผมนัดกับขวัญไว้น่ะครับ’

เพียงครู่เดียวก็มีข้อความตอบกลับมา

‘ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้ก็ได้’

อาทิตย์อัสดงครุ่นคิดเล็กน้อย ทว่าภายในใจกลับรู้สึกได้ถึงความดีใจที่เต้นระริกอยู่ เพราะอีกฝ่ายซึ่งไม่ได้พบหน้ากันร่วมสัปดาห์อยากจะมาหา

ชักจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้วแฮะ

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอประโยคถัดไป ร่างโปร่งก็รู้สึกว่าหัวใจเร่งจังหวะจนรวนไปหมดแล้ว

‘ผมอยากพบคุณจะแย่แล้วนะครับ’

‘คิดถึงมาก’


ยิ่งได้เห็นประโยคสุดท้าย หัวใจของอาทิตย์อัสดงก็ระดมจังหวะอย่างรุนแรงเกินกว่าพายุโหมซัด อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองอาการหนักกว่าที่คิดไว้เสียอีก

เขาไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาปฏิเสธความคิดและความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ดี เพราะว่ามันชัดเจนเสียเหลือเกินว่าใครอีกคนทะลวงเข้ามาในกำแพงที่ผุกร่อนของเขาสำเร็จแล้วจริงๆ

“คุณภันล่ะสิ”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสดงอาการออกไปมากเกินพอดีหรือไม่ เพื่อนสาวถึงโพล่งเสียงออกมาเช่นนั้น ครั้นจะตอบว่าไม่ใช่ก็เป็นการโกหกอย่างโจ่งแจ้งเกินไป แต่จะให้ตอบรับ ก็กระดากเกินกว่าจะพูดออกมาได้ อาทิตย์อัสดงจึงทำได้เพียงกดพิมพ์ข้อความตอบกลับไป และเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับรออยู่แล้ว

“เอาล่ะๆ มึงไม่ต้องตอบกูแล้วล่ะ กูว่ากูคงเดาไม่ผิดหรอก”

หนึ่งฤทัยโยกตัวกลับไปนั่งเต็มก้นตามเดิม พลางเล่นหูเล่นตาเพื่อหยอกกระเซ้าให้อาทิตย์อัสดงต้องขบปากแน่น

“แสดงว่าคืบหน้าไปไกลสินะ เขาคงเอาชนะใจมึงได้”

แม้จะไม่อยากตอบกลับไปเลยมันว่าเป็นความจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่ามา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นเดียวกัน

เรื่องราวนับตั้งแต่วันกลับมาจากเอาท์ติ้งจึงค่อยๆ ผุดออกมาจากปากของหนุ่มหน้าตี๋ ฟังไปหญิงสาวก็ยิ้ม ผงกศีรษะเข้าใจเหตุการณ์

“ก็น่าอยู่หรอกนะที่มึงใจจะอ่อนน่ะ ก็เล่นเซอร์วิสมึงดีขนาดนี้ กูยังอิจฉา”

เจ้าหล่อนแสร้งทำสีหน้าหมั่นไส้พร้อมตักอาหารเข้าปากไปด้วย หลังจากมันถูกนำมาเสิร์ฟระหว่างที่อาทิตย์อัสดงเล่าเรื่อง

“แล้วมึงกับคุณจอมล่ะ ไม่มีอะไรน่าอิจฉาหรือไง”

“ไม่อะ ของกูแบบธรรมดา แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ใจมึงเป็นกำแพงเหล็ก ต่อให้ยิงปืนใหญ่เข้าไปก็ไม่พัง ต้องใช้วิธีน้ำหยดหินนี่แหละ แต่คุณภันคงเป็นน้ำกรดว่ะ มันถึงได้ผล”

คล้ายกับว่าแซวเพื่อนในประโยคสุดท้าย เธอยกยิ้มก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบนิดๆ เพื่อให้รสชาติอาหารที่เข้าปากกลมกล่อมขึ้นและเพื่อคลายอารมณ์ แต่ก็ให้ลิมิตตนเองอยู่แค่แก้วเดียว เช่นเดียวกับอาทิตย์อัสดงเพราะต้องขับรถกลับทั้งคู่

กระดกเครื่องดื่มสีอำพันที่เคยมีฟองสีขาวจนหมดแล้ว ทั้งสองก็ทิ้งตัวไปกับบรรยากาศสบายๆ ยามค่ำคืนโดยมีเสียงดนตรีสดดังคลอ กระทั่งรู้สึกว่าสมควรแก่เวลาและปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปน่าจะเริ่มเจือจางลง สองหนุ่มสาวก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินและเตรียมออกจากร้าน

ทว่ายังไม่ทันลุกไปไหน สายตาของร่างโปร่งก็เหลือบไปเห็นเหตุการณ์หนึ่งเข้าเสียก่อน เป็นร่างของชายสองคนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้นัก แต่ก็ค่อนข้างเป็นจุดอับสายตาของคนทั่วไปพอสมควร

“เดี๋ยวกูมา”

“ไปไหน”

หนึ่งฤทัยถามด้วยความสงสัย ครั้นจะคิดว่าเพื่อนอยากเข้าห้องน้ำก่อนกลับก็ดูจะไม่ใช่ เพราะว่าเดินไปอีกทางหนึ่ง จนเมื่อมองตามไปเธอถึงได้รู้คำตอบ

ดูเหมือนว่าผู้ชายตัวเล็กจะถูกชายที่สูงกว่าประคองแบบแปลกๆ

“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

เมื่อหยุดต่อหน้าคนทั้งสองซึ่งเป็นปลายทางของตน อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยถาม พลางสังเกตอาการของคนทั้งคู่ซึ่งดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

ผู้ชายร่างเล็กดูเมามายแทบไม่ได้สติ แค่ทรงตัวยังไม่ค่อยอยู่เสียด้วยซ้ำ หน้าแดงก่ำไปหมด ขณะที่ชายอีกคนซึ่งโอบรอบเอวหนุ่มตัวเล็กเพื่อพยุงเอาไว้ กลับดูมีสติทุกอย่าง ไม่มีอาการเมามายแม้แต่น้อย

“พอดีเพื่อนผมเมา ผมก็เลยจะพากลับบ้าน”

“เพื่อน? จริงๆ เหรอครับ”

เสียงทุ้มต่ำเอื้อนถาม แสดงสีหน้าให้เห็นถึงความไม่เชื่อใจ เพราะนอกจากคนตัวใหญ่กว่าจะไม่เมาแล้ว ยังซุกไซ้หน้าไปแถวๆ ต้นคอของคนเมาเสียอีก

ถ้าเป็นเพื่อนธรรมดาคงไม่ทำแบบนี้กระมัง

“เพื่อนน่ะสิครับ หมอนี่เมาก็เพราะว่ามีปัญหานิดหน่อย ผมเลยมาเป็นเพื่อนเพราะรู้ว่าเวลามันดื่มแล้วจะไม่รู้ลิมิตตัวเอง มันอันตรายใช่ไหมล่ะครับถ้าจะปล่อยให้มาคนเดียว”

“นั่นสิครับ ก็น่าจะอันตรายอยู่”

อาทิตย์อัสดงพยักหน้าราวกับเห็นด้วย แต่หน่วยตาเรียวไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเชื่อถือเลยสักนิด เขายังจับจ้องอยู่ที่หน้าของคนที่ยังมีสติดีด้วยสีหน้านิ่งเฉย จนฝ่ายนั้นเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา

“ขอทางด้วยครับ ผมจะรีบพาเพื่อนกลับไปพักแล้ว”

แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายใช้ข้ออ้างนั้นแล้วจะทำให้ยินยอมเปิดทางแต่โดยดี เจ้าของหน้าตี๋ซึ่งมีส่วนสูงมากกว่าเขยื้อนเท้าไปดักหน้าเอาไว้ จากนั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อให้พอดีกับส่วนสูงของคนเมา

“คนนี้เพื่อนคุณหรือเปล่าครับ”

“คนนี้”

เสียงทุ้มที่ดูเล็กกว่าผู้ชายทั่วไปอยู่นิดๆ ดังขึ้นจากคนหน้าแดงก่ำ เจ้าตัวเชยหน้าขึ้นมองคนที่ถูกถามถึงอย่างเชื่องช้า มองด้วยดวงตาปรือปรอยที่ฉ่ำด้วยน้ำจนแทบล้นออกมาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่รู้จัก”

“เอ่อ... มันคงเมามาก เลย เลยจำไม่ได้น่ะ” คนพยุงเลิ่กลั่กตอบ จากนั้นหันไปทางคนถูกพยุง “มึงจะบ้าหรือไง ทำเป็นจำเพื่อนไม่ได้ เดี๋ยวกูก็ถูกเข้าใจผิดหรอก”

“ไม่รู้จักแน่ใช่ไหมครับ”

คำพูดของชายคนนั้นไม่เข้าหูของอดีตบล็อกเกอร์สักนิด อาทิตย์อัสดงหันไปถามร่างเล็กอีกครั้งเพื่อตอกย้ำ ซึ่งคำตอบเดิมที่ดังเบาๆ พร้อมกับการพยักหน้านิดๆ ก็ทำให้ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ถลึงตาจ้องฝ่ายนั้นที่หน้าเสีย

“เขาบอกไม่รู้จักครับ จะปล่อยเขาได้หรือยัง”

แม้ว่าจะไม่ได้ร่างหนาหนั่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ แต่เสียงทุ้มต่ำที่ปรับให้ดูเอาจริงเอาจังจนน่าเกรงขาม พร้อมกับส่วนสูงที่มากกว่า ทำให้อาทิตย์อัสดงในสายตาของอีกฝ่ายดูน่ากลัวไม่เบา

ชายคนนั้นสบถออกมาอย่างเสียอารมณ์ก่อนผลักร่างเล็กกว่าใส่อกของร่างโปร่งอย่างแรง จากนั้นวิ่งออกไปราวกับกลัวความผิด อาทิตย์อัสดงจึงประคองร่างเล็กไว้พร้อมกระซิบถาม

“มีเพื่อนมาด้วยหรือเปล่าครับ”

“มาคนเดียว...ล่ะมั้ง”

เสียงแหบหวิวตอบกลับมาตามด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายกับจะเวทนาอะไรบางอย่าง ร่างกายซวนเซ พยุงตัวเองไม่ไหว ถึงกระนั้นร่างเล็กก็ยังมีสติพูดคุยได้อยู่ ร่างโปร่งจึงชักชวน

“งั้นไปนั่งที่โต๊ะของผมก่อนแล้วกัน รอให้สร่างกว่านี้อีกหน่อยค่อยกลับ ไม่ก็เรียกให้คนมารับนะครับ”

หลังจากบอกด้วยเจตนาที่ดีแล้ว อดีตบล็อกเกอร์ก็พยุงร่างที่เล็กว่าค่อนข้างมากกลับมายังโต๊ะของตน หนึ่งฤทัยจับจ้องยังเพื่อนรักที่ค่อยประคองร่างนั้นให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่

“โดนมอมเหรอ”

“น่าจะดื่มจนเมาเลยโดนหิ้วล่ะมั้ง” ตอบเพื่อนเช่นนั้นแล้ว อาทิตย์อัสดงก็เอ่ยอีกเรื่องขึ้นมา “ว่าแต่มึงเหอะ กลับได้แล้วมั้ง สี่ทุ่มกว่าแล้ว”

“แล้วผู้ชายคนนี้ล่ะ”

แม้จะเข้าใจเจตนาของเพื่อนดีว่าเป็นห่วงเธอซึ่งเป็นผู้หญิงที่ต้องขับรถกลับบ้านคนเดียว แต่หนึ่งฤทัยก็ไม่วายพยักพเยิดหน้าไปทางคนมาใหม่ที่มีสติเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง

“เดี๋ยวกูเฝ้าเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”

“งั้นก็ได้ กูกลับก่อนแล้วกัน มึงก็ระวังตัวด้วยเหมือนกัน ช่วยคนเมา ระวังจะโดนลูกหลงอะไรไปด้วย”

เสียงหัวเราะดังคลอออกมาเบาๆ จากคนฟัง ชายหนุ่มส่ายศีรษะน้อยๆ กับความระแวงเกินเหตุของเพื่อน ก่อนจะโบกมือลาหญิงสาวที่ก้าวออกไปจากโต๊ะแล้ว และย้ายสายตากลับมายังร่างหนุ่มที่คงจะอายุน้อยกว่าตัวเอง จากนั้นพึมพำบ่นเบาๆ

“ไม่ระวังตัวเลยนะ”

แม้ไม่เคยคลุกคลีอยู่ในวงการของคนรักชอบเพศเดียวกัน แต่เพียงมองร่างที่สติไม่ครบถ้วนตรงหน้านี้ก็ประเมินได้ทันทีว่าคงจะมีผู้ชายประเภทนั้นหมายปองอยู่ไม่น้อย เพราะทั้งร่างเล็กนิดเดียวแล้วยังมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด แม้แต่เขาเองที่ไม่ได้คิดเรื่องพรรค์กับผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายนั้นน่ามอง จนเผลอคิดว่า...

ก็คงเป็นผู้ชายลักษณะนี้กระมังทื่ทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าอยากจะทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันเอง

คิดแล้วอาทิตย์อัสดงก็แอบหัวเราะกับตัวเอง ก่อนจะสะกิดเรียก ‘คุณ คุณครับ’ อีกฝ่ายปรือตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นมา ครางเสียง ‘หือ’ ราวกับคนง่วง

“ผมว่าโทรให้คนมารับดีกว่านะครับ เพราะว่าดึกแล้ว จะได้รีบพักผ่อนด้วย”

“โทร... โทร นั่นสิครับ โทร โทรศัพท์”

เสียงคนเมาดังซ้ำไปซ้ำมาเป็นคำพูดเดิมราวกับคนติดอ่าง แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ควานมือสะเปะสะปะไปทั่วร่างก่อนจะหาเจ้าของที่ว่าเจอ แล้วกดโทรออกและกรอกเสียงลงไปเมื่อมีคนรับสาย

“มารับหน่อย มารับผมหน่อย อื้อ... อยู่ที่...”

เพราะอีกฝ่ายเว้นช่วงไปนานเหลือเกินก็ยังไม่พูดชื่อสถานที่ออกมา อาทิตย์อัสดงจึงต้องแทรกเสียงบอกชื่อร้านออกไปเบาๆ ให้ร่างเล็กรู้ เจ้าตัวจึงได้พยักหน้าหงึกหงักบอกกับปลายสายไป และยังย้ำประโยคสุดท้าย ‘เร็วๆ’ ก่อนจะกดตัดสายแล้วเอาหัวโขกโต๊ะไปทันที

หลับไปแล้ว?

อาทิตย์อัสดงชะโงกหน้ามองคนโหม่งโต๊ะทั้งที่มือยังถือโทรศัพท์คาอยู่ เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นดูเหมือนจะหลับไปแล้วจึงเอนตัวพิงกลับพนักเก้าอี้เหมือนเดิม พลางคิดว่าปล่อยให้นอนไปแบบนี้น่าจะดีกว่า พอคนที่เจ้าตัวโทรหามาถึง เขาก็ขอตัวกลับ

แต่...จะรู้ไหมนะว่าคนที่มาเป็นใคร อีกฝ่ายจะเจอโต๊ะไหม

ถ้าหาไม่เจอก็คงโทรมากระมัง

สรุปเอาเองแล้วอดีตบล็อกเกอร์ก็เบาใจ จึงหันไปเรียกบริกรแล้วสั่งขนมหวานมากินฆ่าเวลา

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงได้ เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“ผมมารับคนของผมน่ะครับ”

ฉับพลันนั้นร่างโปร่งรู้สึกยินดีที่คนเมาจะได้กลับไปพักผ่อนจริงๆ เสียที รวมทั้งตนเองด้วย ทว่าเมื่อหันไปตามเสียงนั้นแล้วอาทิตย์อัสดงกลับต้องเบิกตากว้าง

ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกว่าภายในอกเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

มันบีบรัดขณะเดียวกันก็เสียวแปลบ

แต่ไม่เพียงร่างโปร่งเท่านั้น ชายอีกคนที่เพิ่งมาถึงก็มีอาการเช่นเดียวกัน

“ฟรี...”

เสียงแผ่วเบาถัดจากประโยคเมื่อครู่หลุดออกมาจากปากคนของตรงหน้า แต่อาทิตย์อัสดงแสร้งทำเมินเฉยต่อคำเรียก

“แฟนคุณเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นก็รีบพากลับไปพักผ่อนเถอะครับ เขาหลับไปสักพักแล้ว แล้วก็อีกอย่าง...แฟนเสน่ห์แรงแบบนี้ อย่าปล่อยให้มาเมาอยู่คนเดียวสิครับ มันอันตรายรู้ไหม ถ้าปล่อยทิ้งปล่อยขว้างแบบนั้น คุณอาจจะต้องเสียใจทีหลังก็ได้”

“ผะ...”

“เร็วสิครับ”

ไม่ทันให้อีกฝ่ายเอ่ยเสียงตอบประโยคเหยียดยาวเมื่อครู่ กายโปร่งก็แทรกเสียงขึ้นมาอีกครา แต่เมื่อดูท่าว่าชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างเก้าอี้จะไม่ยอมขยับตัวแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่จดจ้องหน้าของเขา มือเรียวจึงยื่นไปสะกิดเรียกคนหลับแทน

“คุณครับ แฟนมารับแล้ว”

เรียกอยู่สองสามครั้ง ใบหน้าที่ก้มอยู่กับโต๊ะก็เงยขึ้นมา พอปรือตาขึ้นนิดๆ เห็นว่าคนคุ้นเคยยืนอยู่ก็รีบโผล่กอดทันที

“มารับแล้วเหรอ พี่ภัน”

เจ้าของชื่อได้แต่ยึกยักกึ่งรับกึ่งเฉยจนโดนกอดรัดแน่นขึ้นอีกจึงต้องกระชับวงแขนตามไปโดยสัญชาตญาณ ถึงกระนั้นดวงตาคู่คมสีดำมืดก็ยังจับจ้องมายังใบหน้าของอาทิตย์อัสดงอยู่ดี

“งั้นผมก็ไม่มีธุระอะไรอีกแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่าผมก็อยากกลับไปพักแล้วเหมือนกัน”

เพราะดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะไม่คืบหน้าไปมากกว่านี้ อดีตบล็อกเกอร์จึงยกตัวขึ้นจากเก้าอี้และเป็นฝ่ายเดินจากมาก่อนทั้งที่ยังไม่ได้เรียกเก็บเงินค่าขนมหวานเสียด้วยซ้ำ

เขาไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์เอง เพราะไม่อยากอยู่ตรงนั้นไปมากกว่านี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องฝืนบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมองยังใครอีกคนซึ่งมีร่างเล็กอยู่ในอ้อมแขน

ฟันคมขบลงบนริมฝีปากแน่น กว่าอาทิตย์อัสดงจะรู้ตัวว่ากัดปากของตัวเองอยู่ก็ตอนที่รู้สึกเจ็บไปแล้ว และมันก็ไม่ได้เจ็บเพียงแค่ที่ปากเท่านั้น

ความคิดหมุนวนอยู่ในหัวปนเปกันไปจนไม่รู้ว่า...เป็นความผิดหวังหรือเสียใจกันแน่





ใจร้อนรุ่ม ความกระวนกระวายสุมอยู่ในอกจนรู้สึกได้ถึงไอกรุ่นที่คุอยู่อย่างแจ่มแจ้ง ภันวัฒน์จัดร่างของชายหนุ่มร่างเล็กลงบนเตียงนอนให้เรียบร้อยก่อนจะหลับตาแน่น ความคิดอยากก่นด่าตนเองพวยพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อน ลมหายใจพ่นออกมาอย่างหนักใจ

ไม่รู้ว่าถูกเห็นคาตาแบบนั้น อีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ผิดหวังในตัวเขาสักแค่ไหน

แถมยัง... เรียกฐานทัพว่าแฟนของเขาอีก

มันก็ใช่ที่เขาเรียกฐานทัพออกไปว่า ‘คนของผม’ แต่ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเจตนาร้าย จึงต้องแสดงตัวออกไปอย่างชัดเจนอย่างนั้น ใครเล่าจะคิดว่าผู้ชายที่นั่งหันหลังอยู่หลังต้นไม้จนมองไม่ชัดจะเป็นคนที่เขาเพียรเจาะทะลวงประตูหัวใจอันแข็งแกร่งมานับครึ่งปี

อยากจะด่าทอโลกว่ามันจะกลมเกินไปแล้ว

ลมหายใจผ่อนออกมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกหนักอึ้งไปหมดทั้งหัวใจ มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความออกไปหวังเพียงว่าเขาจะมีโอกาสได้อธิบายอะไรต่อมิอะไรบ้าง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่เหลือเกิน

‘ผมคอลไปได้ไหมครับ’

แม้ผ่านไปห้านาทีแล้ว สิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังมีเพียงความเงียบ อยากจะคิดในแง่ดีเพื่อให้กำลังตนเองว่าร่างโปร่งอาจจะกำลังอาบน้ำก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเข้านอนแล้ว แต่ก็ทำใจให้เย็นคิดเช่นนั้นได้ไม่ถึงนาที

‘ผมขออนุญาตคอลไปนะครับ ฟรี’

‘ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับเรื่องวันนี้’


ยังคงไร้สัญญาณใดๆ จากเจ้าของชื่อที่เรียกขาน ไม่มีแม้แต่สัญญาณว่าเจ้าตัวเปิดอ่านเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถติดต่อกับอาทิตย์อัสดงผ่านทางแอปพลิเคชั่นนี้ได้แล้ว

หน่วยตาคมปิดลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อนต่อความผิดพลาดของตนเอง เพียงนึกถึงว่าเขาต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะทำให้อีกฝายยอมเปิดใจให้กันได้ก็ยิ่งอ่อนล้า

มันคงไม่เกินกำลังหรอกหากเขาต้องเริ่มต้นใหม่จากจุดเดิม แต่หากเขาไม่สามารถแก้ความเข้าใจผิดได้ มันไม่มีทางที่จะกลับไปเริ่มยังจุดเริ่มต้นอย่างแน่นอน

มันจะต้องย่ำแย่ยิ่งกว่านั้น... อยู่ในสถานการณ์ที่ความน่าเชื่อถือติดลบมหาศาล

คงไม่ได้รับความเชื่อใจอีกแล้ว

คิดดังนั้นแล้วภันวัฒน์ก็ฮึกเหม เขาให้กำลังใจตนเองว่าถูกโกรธหรือถูกต่อว่าที่ผิดสัญญา แต่ได้อธิบายยังดีกว่ารักษาสัญญาแล้วถูกคิดว่าตนเองไม่แยแสอีกฝ่ายเลย ดังนั้นมือใหญ่จึงเริ่มขยับเข้าหาปุ่มที่เคยใช้มันแล้วหนึ่งครั้งเมื่อตอนปีใหม่

เสียงสัญญาณดังให้ได้ยินพร้อมๆ กับก้อนเนื้อใต้อกที่ไหวระรัว มันเป็นจังหวะกระหึ่มก้องอย่างลุ้นระทึกว่าอาทิตย์อัสดงจะยอมรับสายหรือไม่ แม้จะรู้แก่ใจดีว่ามันค่อนข้างเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่พอสมควร

ครั้งแรกไร้การตอบรับจนสัญญาณตัดไป

ครั้งที่สองก็ยังเหมือนเดิม

ความรู้สึกในแง่ดีที่พยายามผลักดันให้คงอยู่มาตลอดค่อยๆ จมลงช้าๆ หน่วยตาคมหลุบต่ำลงอย่างหมดอาลัย แม้ว่าหูจะยังคงฟังเสียงสัญญาณของการติดต่อครั้งที่สามต่อไป

แต่คงไม่มีหวังแล้วกระมัง เขาถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงแล้ว

ทว่า...

มันกลับผิดคาด

“ครับ”

เสียงที่ดังมาทำให้ใจที่เหี่ยวฟีบพองฟูขึ้นมาอย่างฉับพลัน สีหน้าที่หมองหม่นลงสดใสขึ้นทันตา รอยยิ้มเจือบนใบหน้าของปาติซิเย่หนุ่ม

“ผมอยากจะคุยเรื่องวันนี้น่ะครับ คือว่า...”

“ขอโทษครับ แต่ว่าผมจะนอนแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าโทรมาอีกได้ไหมครับ”

คำพูดนั้นราวกับมีดที่เฉือนฟางเส้นสุดท้ายซึ่งรั้งชีวิตเอาไว้ ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนกับหัวใจตนเองหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะใหญ่ๆ ลมหายใจสะดุดจนขาดห้วงลงไป

“ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมโทรไป...”

ไม่ทันให้พูดจบประโยค ปลายสายก็ตัดไปแล้ว ร่างสูงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินประโยคเมื่อครู่ที่ตนพูดจึงตัดสายไปอย่างกะทันหัน หรือเป็นความตั้งใจแต่เดิมของเจ้าตัวอยู่แล้วที่จะตัดสายหลังจากพูดประโยคแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน

หัวใจของเขาเหมือนร่วงหล่นอย่างไร้เรี่ยวแรง...







------------------
ผ่าง

ตอนนี้เปิดจองหนังสือ "It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ" และ "It's U, It's Me รุก ไล่ รัก" อยู่นะคะ
หากใครสนใจ เข้าไปดูรายละเอียดได้ในเฟซบุ๊กค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/


Undel2Sky



ออฟไลน์ Carnival

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มีความสมน้ำหน้าคุณภัน
แต่ถ้าเคลียร์เรื่องนี้ได้ก็จะมีเรื่องยัยพร่างอีกใช่มั้ย -"-

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
สงสารฟรีอ่ะ อุตส่าห์เปิดใจแล้ว
เจอแบบนี้ก็ต้องเข้าใจผิดเนอะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เฮ้อ! เห็นใจฮัก
ฟรีจะรู้ไหมว่าฮักต้องฝ่าด่านร้อยแปดกว่าจะมาเจอกัน

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
อะไรยังไงอิตาภัณ

ออฟไลน์ Janny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
คุณภันคะ เราเคือนคุณภันตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนะ ตอนนี้บอกได้แค่... สมน้ำหน้าค่ะ! ฮื้ออออ นี่ดีนะคะที่คุณอาทิตย์ยังไม่รู้ว่าฐานทัพเป็นผู้ชายคนแรกแล้วยังไปมาหาสู่กันอยู่ตลอดอีก ไม่งั้นชาตินี้ทั้งชาติบวกไปอีกสามสิบชาติคุณภันก็ไม่ได้เข้าใกล้คุณอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ นี่เรียกว่าฟ้าดินกลั่นแกล้งหรือทำตัวเองคะเนี่ย ต้องเจอแบบนี้ก่อนถึงจะจัดการเรื่องฐานทัพเหรอคะ เฮ้ออ แต่จะว่าคุณภันหมดก็ไม่ได้อ่ะเนอะ เพราะคุณภันเป็นคนใจดีแบบนี้คุณอาทิตย์ถึงรักไง แล้วสถานการณ์ตอนนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำแบบนั้น ตอนนี้ก็เหลือแค่คุณภันจะทำยังไงต่อนั่นล่ะค่ะ แบบนี้คุณอาทิตย์ยังจะกินคุกกี้ต่อไหมเนี่ยคะ เดี๋ยววันต่อมาคุณขวัญงงเลย ทำไมเพื่อนกลับไปใจแข็งอีกแล้ว คุณภันสู้ๆนะคะ คุณอาทิตย์คงไม่ยอมง่ายๆหรอกค่ะ 55555555555

ปล. เราเจอคำผิดคำนึงนะคะ

ฮึกเหม >> ฮึกเหิม

รอตอนต่อไปนะค้าาาา  :mew3: :mew3: :mew3: ความหวานอยู่กับเราได้ไม่นานจริงๆเลยค่ะ ทำไมมมมม

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เฮ่อ ให้มันได้อย่างนี้สิ
เอ้า งัดสกิลโจรกลับมาใช้สิ บุกถึงตัวเลย แต่เคลียร์คนเก่าให้จบก่อนล่ะ

ออฟไลน์ undersky

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-0
    • Undel2Sky's Facebook ♥
28th Entry : หน้าชื่นอกตรม






เพราะเมื่อวานถูกตัดรอนกันอย่างไร้เยื่อใย ภันวัฒน์จึงหมายมั่นว่าวันนี้จะไปหาอาทิตย์อัสดงที่บ้านเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด แต่แม้ตั้งใจเช่นนั้น เขาก็ยังมีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งขวางกั้นเอาไว้อยู่

ชายหนุ่มออกจากคอนโดมิเนียมตั้งแต่เช้าโดยทิ้งร่างของชายอีกคนซึ่งยังหลับใหลอยู่ไว้บนเตียง ตรงไปยังสนามบินเพื่อส่งน้องสาวเดินทางไปเรียนต่อตามกำหนดการ

ทั้งที่เมื่อวานเขายังรู้สึกยินดีที่ในที่สุดพร่างฟ้าก็จะอยู่ห่างหูห่างตาเขาสักพัก เพื่อเขาจะได้ใช้เวลากับอาทิตย์อัสดงอย่างเต็มที่ แต่ในวันนี้ความรู้สึกกลับตาลปัตรไปหมด

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เศร้าที่พร่างจะไม่อยู่ล่ะสิ”

หญิงสาวหยอกล้อเมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายไม่สดใส ภันวัฒน์ได้แต่ยิ้มแหยให้ ด้วยไม่มีอารมณ์แจ่มใสอย่างที่เคย

เมื่อคืนเขาแทบนอนไม่หลับด้วยซ้ำ เพราะใจร้อนรนอยากไปพบหน้าอาทิตย์อัสดงเร็วๆ แม้กระทั่งในตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะปั้นหน้าร่าเริง คุยเล่นกับน้องสาวอย่างสบายๆ แบบหนุ่มเจ้าสำราญอย่างที่เคย

“อือ ก็คงอย่างนั้นมั้ง”

“พี่ภัน ไม่สบายหรือเปล่า”

มือบางยกขึ้นแตะหน้าผากของร่างที่สูงกว่าเกินสิบเซนติเมตรด้วยความเป็นห่วง เพราะไม่เคยเจออาการเช่นนี้ของพี่ชายมาก่อน แต่อุณหภูมิก็ปกติ เธอจึงทำปากยื่นใส่

“ถ้าพี่ภันไม่ยิ้มส่งพร่าง พร่างไม่ไปจริงๆ ด้วยนะ จะอยู่นี่แหละ”

ราวกับประกาศิตอย่างไรอย่างนั้น ภันวัฒน์จึงต้องจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า ค่อยๆ คลี่อย่างเชื่องช้าค้างไว้ นึกตำหนิตนเองในใจที่ไม่เอาไหน ทำให้พร่างฟ้าต้องกังวล

“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้นแหละ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ” ร่องรอยของความร่าเริงค่อยๆ ปรากฏในน้ำเสียง “พร่างเถอะ เดินทางดีๆ ล่ะ”

มือหนาขยุ้มศีรษะของน้องสาวเบาๆ ระบายยิ้มที่ติดอยู่บนหน้าให้กว้างขึ้น และคงเพราะอาการของคนอายุมากกว่ากลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว พร่างฟ้าจึงโถมตัวเข้ากอดแน่น

“พร่างไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย แล้วจะวิดีโอคอลหาบ่อยๆ ที่สำคัญ” เธอดันตัวออกแล้วแหงนหน้ามองใบหน้าคมคายที่ก้มลงมา “อย่าแอบมีแฟนซะล่ะ จับได้ละก็พร่างจะจัดการซะ”

นอกจากคำพูดที่เน้นน้ำหนักเป็นพิเศษแล้ว เธอยังขยำมือตัวเองแน่นเป็นการยืนยันเสียอีก

ภันวัฒน์ส่ายศีรษะช้าๆ กับคำขู่นั้น ก่อนจะมองตามร่างของน้องสาวที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปยังทิศทางเบื้องหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างเพรียวสะคราญเลือนหายไปจากขอบเขตการมองเห็นแล้ว เสียงพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนถึงดังแทรกเสียงอื้ออึ้งของสถานที่

“พี่จะยังมีโอกาสได้เป็นแฟนเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้”





ในยามที่รอคอยเพื่อทำอะไรสักอย่าง เวลามักเดินเชื่องช้าเสมอ ภันวัฒน์มองนาฬิกาในห้องทำงานเป็นรอบที่เท่าไรแล้วเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปรอบโรงแรมด้วยการอ้างกับเลขานุการว่าเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอยู่หลายครั้ง จนถูกรั้งตัวอยู่หลายหน

ดังนั้นกว่าจะถึงเวลาที่เฝ้ารอจึงรู้สึกอ่อนล้าพอประมาณ แต่ถึงกระนั้นใจก็ยังฮึกเหิม ร่างสูงให้กำลังใจตนเองและขับรถมุ่งตรงไปยังจุดหมาย ยิ่งใกล้ปลายทางเท่าไรใจเต้นก็ยิ่งเร่งจังหวะขึ้นมา ลุ้นระทึกว่าคนที่ต้องการพบจะอยู่หรือไม่ แต่เมื่อไปถึงสถานที่นั้นแล้ว ภันวัฒน์ก็รู้สึกโล่งใจยามเห็นรถยนต์สีขาวจอดอยู่

เสียงสัญญาณจากปลายนิ้วดังขึ้นที่หน้าบ้านอยู่หลายครั้ง ก่อนร่างโปร่งของหนุ่มเจ้าของบ้านจะปรากฏขึ้นที่กรอบประตูด้านใน ร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อยพลอยให้ใจของผู้จัดการหนุ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว แต่เพียงครู่มันก็พองฟูขึ้นมาใหม่เพราะอีกฝ่ายขยับเยื้องกายออกมาพบหน้ากัน

“คือว่า...ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณน่ะครับ เรื่องเมื่อวานนี้”

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ร่างสูงจึงรีบโพล่งสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตั้งแต่เมื่อคืน หวังอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงไม่นึกรำคาญจนไม่ยอมเปิดประตูให้เยี่ยมกายเข้าไปเพื่อเสวนา ทว่ามันก็เป็นเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงยังคงยืนอยู่อีกฟากของรั้วสูงสองเมตรด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ปรากฏอารมณ์

“แต่ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องคุยนะครับ ผมเข้าใจดีว่าคนคนนั้นคงเป็นแฟนคุณ หรือว่าคุณห่วงว่าผมจะไปทำอะไรเขาเหรอครับ”

“ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะครับ เอ่อ คือคนเมื่อวานนี้ ฐานทัพ เขาเป็นเหมือนน้องชายของผมคนหนึ่งน่ะครับ ไม่ใช่แฟนของผม อย่าเข้าใจผิดสิครับ”

“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ครับ ถ้าจะบอกว่าเป็นแฟนของคุณ ผมรู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าคุณเป็นเกย์ คุณเป็นคนบอกผมเองนี่นา แล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจด้วยที่คุณจะคบหากับผู้ชาย”

“ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกับฐานไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ”

“ผมบอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับว่าถึงคุณเป็นเกย์ ผมก็สะดวกใจจะคบหาเป็นเพื่อนกับคุณ แต่ว่าผมขอเตือนไว้สักหน่อยนะครับ ว่าระวังไว้หน่อย อย่าปล่อยให้แฟนคุณไปเมาเหล้าอยู่คนเดียวแบบนั้น มันอันตราย ถ้าเมื่อวานผมไม่ได้เข้าไปช่วย อาจจะโดนคนไม่ดีหิ้วไปทำอะไรร้ายๆ ด้วยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วคุณจะมาเสียใจทีหลังนะครับ”

แม้ภันวัฒน์จะพยายมแทรกเสียงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็โดนตัดรอนอย่างเต็มที่ อาทิตย์อัสดงปฏิเสธคำอ้างที่ภันวัฒน์ยืนยันกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าไม่ใช่ข้อแก้ตัวเสียสิ้น ราวกับไม่ไยดีไม่ว่าคำพูดของร่างสูงจะเป็นอย่างไร

“ช่วยฟังผมหน่อยได้ไหมครับ!”

เสียงที่โพล่งขึ้นรุนแรงทั้งในแง่ของน้ำหนักและระดับความดังทำให้ร่างโปร่งเงียบลงไป หน่วยตาเรียวจับจ้องดวงหน้าคมคร้ามอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกหลังจากตะลึงงันยามเจอหน้ากันเมื่อวานนี้

เมื่อได้พิศดูหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ภันวัฒน์ก็รู้สึกตัวว่ากำลังประพฤติตัวไม่ดีต่ออีกฝ่าย แม้ความรู้สึกอัดแน่นจะตีรวนอยู่ในอก แต่เขาไม่ควรใส่อารมณ์เสียด้วยซ้ำทั้งที่เป็นคนผิด เสียงทุ้มจึงเอ่ยอ่อนแผ่ว

“ผมขอโทษที่เสียงดัง แต่ผมอยากให้คุณฟังสักหน่อย จะได้ไหมครับ”

หางประโยคยิ่งเปี่ยมด้วยความโอนอ่อนอย่างชัดเจน มันคล้ายขอร้อง ขอความเห็นใจ หรืออาจจะขอความเมตตา

“คุณอาจจะยังไม่เชื่อผมก็ได้ แต่ผมอยากอธิบายให้คุณเข้าใจ”

แม้ว่าดูสถานการณ์จะเอนเอียงมาในแง่ดีขึ้นบ้างเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายยอมฟัง ถึงกระนั้นก็ไม่มีการเชื้อเชิญให้เข้าบ้านแต่อย่างใด ดั่งเจ้าบ้านกำลังตั้งป้อมปราการขนาดใหญ่เอาไว้เตรียมขับไล่เขาอย่างเต็มที่หากเผยตัวเป็นอริ แต่ภันวัฒน์ก็เลิกใส่ใจเรื่องนั้นแล้วแสดงความจริงใจของตนเองต่อ

“ผมยอมรับกับคุณตรงๆ เลยว่าผมกับฐานเคยมีอะไรกัน แต่มันก็แค่ครั้งเดียว และเรื่องมันก็ผ่านมาแปดปีกว่าแล้ว ตอนนี้ผมกับเขาเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เพราะว่าเขามีปัญหาบางอย่าง ผมก็เลยคอยช่วยเหลือในฐานะพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นห่วงน้องชาย มันก็เท่านั้น ความรู้สึกอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นไม่มีหรอกครับ”

ริมฝีปากของคนฟังเม้มเข้าหากันเล็กน้อยราวกับมีคำอะไรบางอย่างอยากจะพูดออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอยู่ดี

“ผมทั้งทำงานที่โรงแรม ดูแลร้าน ไหนจะต้องคอยทำขนมหลายๆ ชั่วโมงอยู่เกือบทุกวัน ผมไม่มีเวลามากพอจะไปคอยเทียวไล้เทียวขื่อคนหลายๆ คนพร้อมกันหรอกครับ ตอนนี้ผมมีแต่คุณคนเดียว แค่คุณคนเดียวก็ทำให้ผมปั่นป่วน หายใจเข้าออกก็เป็นคุณไปหมดแล้ว”

ปฏิกิริยาจากคนตรงหน้ายังคงเงียบนิ่ง ตาคมสีนิลจับจ้องดวงหน้าเรียวขาวนั้นอย่างจริงจัง ต้องการแสดงความจริงใจให้เห็น

“คุณอาจจะมองว่าผมก็แค่หาข้ออ้างมาแก้ตัวก็ได้ แต่ว่าผมยืนยันได้ว่าผมพูดความจริงทุกอย่าง ที่ผ่านมาคุณก็น่าจะรู้ว่าผมจริงจังกับคุณแค่ไหน แล้วคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เคยโกหกคุณ”

ความเงียบอาบไล้ไปทั่วบรรยากาศ ความหนักอึ้งกดทับลงมาเมื่อหลังจากสิ้นคำพูดของภันวัฒน์แล้วไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาแม้แต่อย่างเดียว ดุจอยู่ท่ามกลางสุญญากาศอันเงียบเชียบจนรู้สึกได้ถึงมวลอากาศที่ลดน้อยถอยลงทุกที ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกถึงความทรมานที่บีบเค้นเข้าหามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ขอโทษนะครับ”

ก้อนเนื้อในอกดิ้นระรัวดั่งกำลังเอาตัวรอด ด้วยไม่รู้ว่าคำขอโทษที่อีกฝ่ายกล่าวมามีความหมายในด้านดีหรือร้าย แต่เพียงไม่นานนับจากนั้น คำตอบก็มาเยือนอย่างแจ่มแจ้ง หน่วยตาสีน้ำตาลเขม้นมองมา

“แต่ถ้าให้พูดตามตรง...ตอนนี้ผมยังเชื่อไม่ลง”

ลมหายใจหายไปวูบหนึ่ง ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนหัวใจซึ่งทำจากกล้ามเนื้อกลายเป็นเศษแก้วที่พังทลาย ณ ตอนนั้น ความดำมืดพุ่งทะยานเข้าหาจนรอบข้างมืดบอด แม้กระนั้นกลับเห็นร่างซึ่งอยู่ตรงหน้าอย่างแจ่มชัด

“ขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ช่วยอย่ามารบกวนผมอีก”

แสงแห่งความหวังที่ริบหรี่เป็นทุนเดิมดับวูบโดยพลัน พร้อมกับร่างของอาทิตย์อัสดงหมุนไปยังทิศทางตรงกันข้าม กายโปร่งเคลื่อนห่างอย่างเชื่องช้า ทว่าห้วงเวลาที่ภันวัฒน์ดำเนินอยู่กลับช้ายิ่งกว่าจะเรียกขานอีกฝ่ายไว้ เพียงพริบตาเดียวเจ้าของบ้านก็ลับร่างหายไปจากการมองเห็นเสียแล้ว

เปลือกตาบางปิดทับดวงตาสีเข้มสนิทแน่น เสียงด่าทอตัวเองสารพัดดังก้องอยู่ในหัว ในอกเจ็บเหมือนมีของแหลมคมทิ่มต่ำอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม ครั้นจะเรียกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปให้ออกมาอีกครั้งก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สองในวันนี้ และหากเขาทำเช่นนั้น จะยิ่งเป็นการทำให้เจ้าตัวผิดหวังซ้ำซากกับตัวเขาที่ดื้อด้านไม่รู้ฟัง แต่ใช่ว่าเขาจะยกธงยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้

ถึงวันนี้ไม่สำเร็จ สักวันมันก็ต้องสำเร็จ





ภายในห้องกว้างขวางซึ่งถูกจัดแต่งอย่างดีสว่างด้วยแสงไฟสีขาว ภันวัฒน์ไม่แปลกใจนักที่ได้เห็นเช่นนี้ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา ร่างของฐานทัพทิ้งตัวอยู่บนโซฟา สายตาทิ้งค้างอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เหมือนเพียงปล่อยให้มันผ่านตาเท่านั้น

“ไม่กลับเหรอ”

กายสมส่วนหย่อนลงนั่งข้างๆ แรงยวบพร้อมน้ำเสียงสุขุมเรียกกรอบหน้าเล็กกลมให้หันมาได้

“ยังไม่อยากกลับ”

เจ้าตัวตอบด้วยสีหน้าหน่าย คล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

“แล้ววันนี้ได้ไปเรียนหรือเปล่า”

“เปล่า ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไร”

“ไม่ค่อยอยากไปหรือกลัวที่จะไปกันแน่”

คำถามปักจึกเข้าไปในใจคนฟังกระมัง ฐานทัพจึงเขม่นมองร่างสูงใหญ่กว่า ภันวัฒน์ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างเข้าใจถ่องแท้ถึงเหตุผลซึ่งซุกซ่อนอยู่ จึงอดพูดจี้ใจซ้ำหนักไม่ได้

“ตอบตัวเองให้ได้ล่ะว่ากลัวเพราะอะไร ไปแล้วเจอ หรือไปแล้วแต่ไม่เจอ”

ยิ่งได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มร่างเล็กก็ยิ่งขบฟันเข้าหากัน ตวัดเสียงเข้มกว่าปกติใส่ ‘ผมรู้น่า พี่ไม่ต้องย้ำหรอก’ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังจอโทรทัศน์ดังเดิม

“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้เมาเละเทะ ทะเลาะกันเหรอ”

“นัดไว้ซะดิบดีแต่ไม่มาต่างหาก”

“ก็เลยดื่มไม่ยั้งว่างั้น”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาให้ได้ยินแฝงแววสลดลงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย พลอยให้ภันวัฒน์รู้สึกเหนื่อยใจตามไปกับปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นของคนที่อยู่ข้างๆ

“เมื่อไรเราจะเลิกใช้เหล้าหนีปัญหา ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไปดื่มจนไร้สติแบบนั้นมันอันตราย พี่รู้ว่าฐานไม่กลัวถ้าจะถูกหิ้วไปทำอะไรต่อมิอะไร ฐานไม่ได้แคร์เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าไม่ได้ถูกทำแค่นั้นล่ะ ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย หรือว่าเป็นพวกซาดิสม์ วิตถาร ฐานจะทำยังไง”

“.....”

คำตอบที่ได้รับมีแต่ความนิ่งเงียบ ฐานทัพก้มหน้ากับคำเตือนที่ไม่ใช่ครั้งแรก เห็นดังนั้นยิ่งทำให้คนสูงวัยกว่าเหนื่อยใจหนักกว่าเก่า

ฐานทัพดื้อแพ่ง ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักคิด แล้วจะไม่ให้เขาห่วงได้อย่างไร

“ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเองสักที”

“จนกว่าจะมีคนรักผมจริงๆ ล่ะมั้ง”

คำตอบนั้นทำให้ภันวัฒน์ชะงักกึกไปทันที รู้สึกเสียดแน่นในอกราวกับถูกอะไรพุ่งปักลงมาทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง แต่เป็นเพราะเขารู้สึกเห็นใจ เวทนาเจ้าของคำพูดนั้นต่างหาก

“ถ้าไม่มีคนรักผม ผมก็ไม่รู้จะรักตัวเองไปทำไม”

ภันวัฒน์รู้สึกอยากจะหาอะไรสักอย่างมาฟาดคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แรงๆ สักหลายที

ทำไมฐานทัพถึงได้มีความคิดแบบนี้ไปได้ เมื่อก่อนก็เที่ยวเล่น รักสนุกจนไม่เห็นคุณค่าตัวเองอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ยิ่งหนักหนากว่าเก่าจนเกินจะเยียวยา

“แล้วที่พี่ห่วงฐานอยู่ทุกวันนี้ หวังดีกับฐานแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ฐานรู้สึกเลยเหรอว่าควรจะห่วงตัวเองบ้าง”

“ผม...ขอโทษ”

เสียงเศร้าสลดกับสีหน้าที่โศกเศร้า ดวงตาที่เคยชุ่มฉ่ำอยู่เสมอคล้ายเปียกลื่นด้วยนัยอื่นจนมันเรื่อสีแดงเล็กน้อยนั้นส่อชัดว่าเจ้าตัวกำลังสำนึกผิด ซึ่งมันก็ทำให้คนเห็นรู้สึกหนักอึ้งในใจ จะต่อว่าต่อขานต่อไปก็สงสาร จึงทำได้เพียงคว้าศีรษะเล็กนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก

“ถ้าฐานรับรู้ว่าพี่หวังดี และเห็นแก่พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ ซะ เข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“แล้วก็ถ้ามันยังเลวร้ายต่อไปอยู่อย่างนี้ ก็ต้องยอมเจ็บ ตัดเนื้อร้ายก่อนเราจะตาย เข้าใจไหม”

“ครับ”

ราวกับคำพูดเมื่อครู่เป็นการกำหนดทิศทางเดินให้กระมัง ใบหน้าเล็กจึงยิ่งกดแนบเข้ากับอกแกร่งมากกว่าเดิม พลอยให้เสียงถอนหายใจจากร่างสูงดังลอดออกมาอีกครา

ภันวัฒน์ได้แต่หลับตากอดฐานทัพอยู่ในอ้อมแขนทั้งอย่างนั้นด้วยความรู้สึกทั้งสงสารเด็กกร้านโลกที่ไม่รู้ประสาคนนี้ และสังเวชตนเองเช่นกันที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถคลี่คลายปัญหากับอาทิตย์อัสดงไปได้อย่างราบรื่น





หนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว

แม้จะตั้งปณิธานกับตนเองแล้วว่าจะไม่ละทิ้งความหวังง่ายๆ แต่ไม่ว่าจะติดต่อไปทางโทรศัพท์และไปหาที่บ้านเท่าที่สามารถทำได้ ภันวัฒน์ก็ได้รับแต่ความว่างเปล่า

อาทิตย์อัสดงไม่ตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ทางแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์คงจะโดนบล็อกไปแล้ว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ก็ทำเสมือนเขาไม่มีตัวตน ต่อให้รอนานหลายชั่วโมงหรือกดสัญญาณเรียกเท่าไรก็ไม่ออกมาหา จนเป็นร่างสูงเสียเองที่รู้สึกละอายใจและเกรงใจเพื่อนบ้าน

ปฏิกิริยาที่ได้รับเช่นนี้ แม้จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในแง่หนึ่ง ทว่าเขาจะไม่พูดหรือคิดเรื่องเจ้าเล่ห์อย่างการบอกว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกถึงความไม่พอใจเขา เป็นเพราะว่ามีความรู้สึกพิเศษให้เป็นอันขาด เพราะหากเขายังได้รับการเมินเฉยต่อไปเช่นนี้ มันก็เทียบได้กับไม่มีค่าใดๆ มีแต่จะทำให้ยิ่งรู้สึกห่วงใยอีกฝ่ายเสียมากกว่า

และด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ปาติซิเยหนุ่มจึงนัดเพื่อนให้มาหา ทั้งสองคนนัดหมายกันในบาร์ของโรงแรมเช่นเดียวกับทุกครั้ง เพียงแต่หมุนเวียนไปตามแต่ละสถานที่ ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน

“ดูจากหน้าแล้ว คงไมได้นัดกูมาดื่มเฉยๆ แน่”

คราวนี้เกรียงไกรมาช้ากว่าเวลาเล็กน้อย และทักทายหลังหันไปสั่งเครื่องดื่มแล้วราวกับธรรมเนียมปฏิบัติ

“กูมีเรื่องขอร้องมึงน่ะ”

“เรื่องคุณฟรีว่าที่แฟนมึงน่ะเหรอ”

ดูเหมือนเจ้าตัวจะจำได้แม่นยำทีเดียวหลังจากถูกย้ำในครั้งก่อน ภันวัฒน์ผงกศีรษะเบาๆ ตอบรับ

“ความรักของมึงครั้งนี้นี่อุปสรรคเยอะจริงนะ”

ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย เพราะเท่าที่ผ่านมานอกจากถูกกีดกันโดยพร่างฟ้าแล้ว ภันวัฒน์ไม่เคยต้องลำบากฝ่าฟันใดๆ ในการจะคบหากับใครสักคน

“กูพลาดเองแหละ”

สีหน้าสลดของเพื่อนทำให้เกรียงไกรมองอย่างสนใจ เขาหยิบเครื่องดื่มที่ได้รับมากรอกเข้าปากก่อนถามด้วยความเห็นใจเล็กน้อย

“ทำไมวะ”

“ฟรีเจอกับฐานแล้วก็เข้าใจผิด ตอนนั้นกูดันพูดว่าฐานเป็นคนของกูด้วย แต่กูไม่รู้นี่หว่าว่าคนที่อยู่กับฐานเป็นเขา เห็นแต่ข้างหลังครึ่งเดียวเพราะโดนต้นไม้บัง กูร้อนใจด้วยเพราะฐานโทรมาตอนเมาแทบพูดไม่รู้เรื่อง”

หลังจากเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เสียงร้อง ‘เวร’ จากเกรียงไกรก็ดังมา

“ก็อยากจะถามอยู่หรอกนะว่าสองคนนั้นไปเจอกันได้ยังไง แต่ช่างมันแล้วกัน ว่าแต่มึงอธิบายให้คุณฟรีฟังหรือยังล่ะว่ามึงกับฐานเป็นยังไง”

“กูบอกแล้วว่ากูกับฐานเป็นแค่พี่น้องกัน แต่เขาบอกว่าเชื่อกูไม่ลง แล้วก็ไม่ยอมให้กูติดต่อเขาอีกเลย”

“มึงบอกแค่นั้น ไม่ได้บอกเหรอว่าเพราะอะไรมึงถึงต้องคอยดูแลฐานแบบนั้น”

เกรียงไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ภันวัฒน์ครางเสียง ‘อืม’ เบาๆ จึงโดนสวนกลับมา

“ถ้ามึงบอกแค่นั้น เป็นกู กูก็ไม่เชื่อว่ะ มีอะไรพิสูจน์ว่ามึงไม่ได้โกหก ทำไมมึงไม่บอกๆ เรื่องฐานไปให้หมด เขาจะได้เข้าใจว่ามึงมีเขาคนเดียว”

เหมือนโดนน้ำเกลือผสมพริกราดลงบนแผลสด ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกแสบไปหมด แต่กระนั้นเขาก็ยังยึดมั่นความคิดของตนเอง

“กูก็รู้อยู่หรอกว่าทำแบบนั้นมันดีกว่า แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฐาน จะให้กูไปป่าวประกาศบอกคนอื่น มันก็ไม่ใช่เรื่อง อีกอย่าง กูอยากให้เขายอมเข้าใจกูเพราะเชื่อในตัวกู เพราะเชื่อว่ากูจริงใจกับเขา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นๆ ที่มันเข้าท่า น่าเชื่อถือ ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ”

“โอ๊ย มึงนี่ มาความคิดหล่อแบบไม่รู้จักเวล่ำเวลาอีก”

แค่น้ำเสียงก็บ่งบอกได้แล้วว่าเพื่อนอิดหนาระอาใจกับตนเองสักแค่ไหน ทว่าสีหน้าของเกรียงไกรก็ยิ่งย้ำซ้ำ ซึ่งภันวัฒน์ก็เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนเป็นอย่างดี แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

“กูเคารพความเป็นส่วนตัวของฐานด้วยส่วนหนึ่งก็จริง แต่อีกส่วนก็เพราะว่าฟรีเคยโดนคนรักเก่าหักหลังมาก่อน เพราะงั้นถ้ากูทำให้เขาเชื่อไม่ได้ด้วยตัวของกูเองในคราวนี้ มันก็อาจจะเกิดเหตุแบบนี้ครั้งต่อๆ ไปก็ได้”

“มึงนี่คิดไกลอีกแล้ว” เกรียงไกรพูดอย่างหน่ายๆ “มึงเอาครั้งนี้ให้รอดก่อนไปคิดถึงครั้งหน้าไหม”

“กูคิดถึงอนาคตเพราะกูกะลงหลักปักฐานกับคนนี้เลยต่างหาก กูถึงได้กลุ้มใจอยู่เนี่ย ถ้าเป็นคนอื่น กูหาเรื่องแถให้รอดสักเท่าไรก็ได้”

“โฮ่” เสียงร้องจากคนฟังแฝงไว้ทั้งความตะลึงและความชื่นชมคละเคล้ากัน “แล้วที่มึงบอกว่าจะขอร้องกูล่ะ เรื่องอะไร”

“กูอยากให้มึงบอกคุณขวัญให้หน่อย”

“อ้าว ไหนบอกว่ามึงอยากให้เขาเชื่อในตัวมึงเอง แล้วไหงจะมาพึ่งคนอื่นแล้วล่ะวะ”

“ไม่ใช่” ภันวัฒน์บอกปัดด้วยเสียงเซ็งเล็กน้อย “กูอยากให้คุณขวัญดูแลเพื่อนเขาหน่อย”

“ทำไมล่ะ”

ดูเหมือนเกรียงไกรจะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของคำขอนั้นแม้แต่น้อย หัวคิ้วถึงได้ขยับเข้าหากัน

“กูเป็นห่วงฟรี สภาพจิตใจของเขาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไร”

“โอ้โห คำพูดมึงนี่ดูมั่นมากจริงๆ ว่ามึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขา จนเขาจะมานั่งเศร้าซึมกระทือเพราะมึง”

เกรียงไกรสัพยอกพร้อมแย้มยิ้ม ผิดกับภันวัฒน์ที่ยังมีสีหน้าขึงเครียด

“กูไม่ได้หลงตัวเองหรอกน่า แต่กูเชื่อว่าเขาจะต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามันมากแค่ไหนก็เถอะ เพราะมันไปคาบเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของเขาด้วย”

“สรุปว่าเขาก็มีใจให้มึง แต่ยังไม่อยากเปิดใจยอมรับมึงเต็มที่ แล้วมึงก็ดันไปทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจในตัวมึง เพราะงั้นตอนนี้เขาก็น่าจะอาการแย่พอดู”

“อืม ตามนั้นแหละ”

ผู้จัดการหนุ่มได้แต่ครางเสียงตอบรับข้อสรุปรวบรัดของเพื่อนอย่างห่อเหี่ยว และคงเพราะเห็นดังนั้นกระมัง เกรียงไกรถึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

“โอเค กูจะบอกขวัญให้แล้วกัน”

“ขอบใจว่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ กูอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“ให้รายงานสถานการณ์ของคุณฟรีในแต่ละวันมาด้วย?”

เกรียงไกรยกเสียงท้ายประโยคขึ้นสูง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งดั่งถามว่าเอาแน่หรือ ซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้าเบาๆ เป็นการยืนยัน

“เอาเป็นว่าขวัญจะร่วมมือเท่าไหนก็เท่านั้นแล้วกัน เพราะเขาก็เป็นเพื่อนรักกันด้วย คงไม่เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนเขาหรอก ยิ่งมึงไปทำให้เพื่อนเขาผิดหวังเสียใจ กูไม่รู้หรอกว่าเขาจะยอมช่วยมึงหรือเปล่า ถึงมันจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วก็ไม่ได้เป็นการพูดแก้ตัวให้มึงด้วยก็เถอะ”

“เออ แค่มึงช่วยบอกให้ก็ช่วยกูได้มากแล้วว่ะ เพราะตอนนี้กูไม่รู้ความเป็นไปของเขาเลย ยิ่งทำให้กูเป็นห่วงหนักขึ้นไปอีก ส่วนคุณขวัญจะช่วยหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเขาแล้วกัน”

“แม่ง คำพูดมึง พระเอกสุดๆ”

สีหน้าซาบซึ้งสุดประทับใจอย่างเสแสร้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนพูด หากมันไม่ดูน่าแขยงสำหรับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ภันวัฒน์คงจะรู้สึกยินดีกับคำชมนั้นไปแล้ว

“ว่าแต่มึงเถอะ”

“หืม”

“ไม่เรียกคุณขวัญแล้วเหรอ”

เมื่อจบเรื่องของตน ภันวัฒน์ก็มุ่งเข้าเรื่องของเพื่อนสนิทบ้าง เพราะเพิ่งสังเกตว่าสรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไป”

“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ” เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับยืดอกขึ้น นั่งตัวตรงอย่างผึ่งผายราวกับจะโอ้อวด ใบหน้าแช่มชื่นอมสุขหาใดปาน “ก็ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วนี่หว่า”

“จริงดิ”

“เออ น้องพร่างฟ้าคนสวยสุดที่รักของมึงนั่นแหละช่วย”

คำตอบนั้นทำให้ผู้จัดการหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าเคยทิ้งระเบิดที่ชื่อพร่างฟ้าไว้กับเกรียงไกรช่วงก่อนหยุดปีใหม่ แถมยังหยอกกระเซ้าเพื่อนให้ใช้ประโยชน์จากน้องสาวของตัวเองอีก เขาไม่คิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ

“ดีจริงว่ะมึง”

“เออดิ แถมตอนนี้นะ ขวัญเปลี่ยนมาเรียกกูว่าพี่จอมด้วย โคตรน่ารัก”

ท่าทางระริกระรี้กระดี๊กระด๊าอย่างเกินหน้าเกินตาของคนข้างๆ ทำให้ภันวัฒน์แทบอยากเอาเครื่องดื่มบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าที่ดื่มค้างอยู่สาดใส่หน้าให้หายหมั่นไส้เสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอยู่

“อิจฉา ริษยา ตาร้อนฉิบหาย”

“ฮึฮึฮึ”

เกรียงไกรไม่พูดอะไร แต่ส่งเสียงหัวเราะพิลึกๆ ตอบกลับคำพูดของคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องความรัก ขณะที่ตนเองกำลังราบรื่นไปด้วยดีกับแฟนสาว และเพราะเหตุใดนั้นเสียงถอนหายใจของภันวัฒน์จึงดังมาอีกระลอก มือหนาคว้าเครื่องดื่มที่อยากสาดใส่เพื่อนอยู่เมื่อครู่ขึ้นมากรอกปากเสียเอง

“ทำไมทีมึง พร่างถึงช่วยให้สมหวัง แต่ตอนกูนี่กีดกันจังวะ”

“ก็กูไม่ใช่พี่ชายสุดรักสุดหวงสุดเลิฟสุดสวาทขาดใจของพร่างนี่หว่า”

“เฮ้อ”

เสียงถอนหายใจของคนที่ได้รับความรักมากมายจากน้องสาวที่มีเพียงเศษเสี้ยวของสายเลือดร่วมกันดังอย่างหมดอาลัย พร้อมกับความรู้สึกในใจที่ค่อยๆ แผ่คลุมจนเอ่อล้นออกมา

ผมอยากเจอคุณ...ฟรี





---------------------
คุณอาทิตย์ตัดรอนกันได้
ยังอึมครึมกันต่อไป

ตอนนี้พร่างฟ้าไปแล้ว แต่จะคัมแบคในตอนพิเศษนะคะ
ยังไม่แน่ใจว่าจะได้อัพหรือเปล่า แต่บอกไว้เผื่อๆ สงสัยว่านางมาแค่นี้เหรอ

แล้วก็ตอนนี้เปิดจอง It's U, It's Me ทั้งสองเรื่องอยู่นะคะ
ใครที่เคยกรอกแบบฟอร์มไว้ หรือลงชื่อไว้ในเฟซอย่าลืมโอนเงินเข้ามากันนะคะ
ถึงวันที่ 15 กันยายนค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/

Undel2Sky




ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
บอกตามตรง ไม่มีความสงสารหรือเห็นใจนายภันเลย


ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เริ่มเอาใจช่วยคุณภันนิดๆ ยังไงซะทุกคนก็ต้องมีเรื่องในอดีต แต่เคลียร์เร็วๆ ก็ดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด