28th Entry : หน้าชื่นอกตรมเพราะเมื่อวานถูกตัดรอนกันอย่างไร้เยื่อใย ภันวัฒน์จึงหมายมั่นว่าวันนี้จะไปหาอาทิตย์อัสดงที่บ้านเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด แต่แม้ตั้งใจเช่นนั้น เขาก็ยังมีภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งขวางกั้นเอาไว้อยู่
ชายหนุ่มออกจากคอนโดมิเนียมตั้งแต่เช้าโดยทิ้งร่างของชายอีกคนซึ่งยังหลับใหลอยู่ไว้บนเตียง ตรงไปยังสนามบินเพื่อส่งน้องสาวเดินทางไปเรียนต่อตามกำหนดการ
ทั้งที่เมื่อวานเขายังรู้สึกยินดีที่ในที่สุดพร่างฟ้าก็จะอยู่ห่างหูห่างตาเขาสักพัก เพื่อเขาจะได้ใช้เวลากับอาทิตย์อัสดงอย่างเต็มที่ แต่ในวันนี้ความรู้สึกกลับตาลปัตรไปหมด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เศร้าที่พร่างจะไม่อยู่ล่ะสิ”
หญิงสาวหยอกล้อเมื่อเห็นสีหน้าของพี่ชายไม่สดใส ภันวัฒน์ได้แต่ยิ้มแหยให้ ด้วยไม่มีอารมณ์แจ่มใสอย่างที่เคย
เมื่อคืนเขาแทบนอนไม่หลับด้วยซ้ำ เพราะใจร้อนรนอยากไปพบหน้าอาทิตย์อัสดงเร็วๆ แม้กระทั่งในตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์จะปั้นหน้าร่าเริง คุยเล่นกับน้องสาวอย่างสบายๆ แบบหนุ่มเจ้าสำราญอย่างที่เคย
“อือ ก็คงอย่างนั้นมั้ง”
“พี่ภัน ไม่สบายหรือเปล่า”
มือบางยกขึ้นแตะหน้าผากของร่างที่สูงกว่าเกินสิบเซนติเมตรด้วยความเป็นห่วง เพราะไม่เคยเจออาการเช่นนี้ของพี่ชายมาก่อน แต่อุณหภูมิก็ปกติ เธอจึงทำปากยื่นใส่
“ถ้าพี่ภันไม่ยิ้มส่งพร่าง พร่างไม่ไปจริงๆ ด้วยนะ จะอยู่นี่แหละ”
ราวกับประกาศิตอย่างไรอย่างนั้น ภันวัฒน์จึงต้องจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า ค่อยๆ คลี่อย่างเชื่องช้าค้างไว้ นึกตำหนิตนเองในใจที่ไม่เอาไหน ทำให้พร่างฟ้าต้องกังวล
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอกน่า ก็แค่แกล้งเล่นเท่านั้นแหละ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิครับ” ร่องรอยของความร่าเริงค่อยๆ ปรากฏในน้ำเสียง “พร่างเถอะ เดินทางดีๆ ล่ะ”
มือหนาขยุ้มศีรษะของน้องสาวเบาๆ ระบายยิ้มที่ติดอยู่บนหน้าให้กว้างขึ้น และคงเพราะอาการของคนอายุมากกว่ากลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว พร่างฟ้าจึงโถมตัวเข้ากอดแน่น
“พร่างไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย แล้วจะวิดีโอคอลหาบ่อยๆ ที่สำคัญ” เธอดันตัวออกแล้วแหงนหน้ามองใบหน้าคมคายที่ก้มลงมา “อย่าแอบมีแฟนซะล่ะ จับได้ละก็พร่างจะจัดการซะ”
นอกจากคำพูดที่เน้นน้ำหนักเป็นพิเศษแล้ว เธอยังขยำมือตัวเองแน่นเป็นการยืนยันเสียอีก
ภันวัฒน์ส่ายศีรษะช้าๆ กับคำขู่นั้น ก่อนจะมองตามร่างของน้องสาวที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปยังทิศทางเบื้องหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างเพรียวสะคราญเลือนหายไปจากขอบเขตการมองเห็นแล้ว เสียงพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนถึงดังแทรกเสียงอื้ออึ้งของสถานที่
“พี่จะยังมีโอกาสได้เป็นแฟนเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ในยามที่รอคอยเพื่อทำอะไรสักอย่าง เวลามักเดินเชื่องช้าเสมอ ภันวัฒน์มองนาฬิกาในห้องทำงานเป็นรอบที่เท่าไรแล้วเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปรอบโรงแรมด้วยการอ้างกับเลขานุการว่าเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอยู่หลายครั้ง จนถูกรั้งตัวอยู่หลายหน
ดังนั้นกว่าจะถึงเวลาที่เฝ้ารอจึงรู้สึกอ่อนล้าพอประมาณ แต่ถึงกระนั้นใจก็ยังฮึกเหิม ร่างสูงให้กำลังใจตนเองและขับรถมุ่งตรงไปยังจุดหมาย ยิ่งใกล้ปลายทางเท่าไรใจเต้นก็ยิ่งเร่งจังหวะขึ้นมา ลุ้นระทึกว่าคนที่ต้องการพบจะอยู่หรือไม่ แต่เมื่อไปถึงสถานที่นั้นแล้ว ภันวัฒน์ก็รู้สึกโล่งใจยามเห็นรถยนต์สีขาวจอดอยู่
เสียงสัญญาณจากปลายนิ้วดังขึ้นที่หน้าบ้านอยู่หลายครั้ง ก่อนร่างโปร่งของหนุ่มเจ้าของบ้านจะปรากฏขึ้นที่กรอบประตูด้านใน ร่างนั้นชะงักไปเล็กน้อยพลอยให้ใจของผู้จัดการหนุ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว แต่เพียงครู่มันก็พองฟูขึ้นมาใหม่เพราะอีกฝ่ายขยับเยื้องกายออกมาพบหน้ากัน
“คือว่า...ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณน่ะครับ เรื่องเมื่อวานนี้”
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ร่างสูงจึงรีบโพล่งสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตั้งแต่เมื่อคืน หวังอยู่ในใจว่าอีกฝ่ายคงไม่นึกรำคาญจนไม่ยอมเปิดประตูให้เยี่ยมกายเข้าไปเพื่อเสวนา ทว่ามันก็เป็นเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงยังคงยืนอยู่อีกฟากของรั้วสูงสองเมตรด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่ปรากฏอารมณ์
“แต่ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องคุยนะครับ ผมเข้าใจดีว่าคนคนนั้นคงเป็นแฟนคุณ หรือว่าคุณห่วงว่าผมจะไปทำอะไรเขาเหรอครับ”
“ไม่ใช่อย่างที่คุณเข้าใจนะครับ เอ่อ คือคนเมื่อวานนี้ ฐานทัพ เขาเป็นเหมือนน้องชายของผมคนหนึ่งน่ะครับ ไม่ใช่แฟนของผม อย่าเข้าใจผิดสิครับ”
“ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ครับ ถ้าจะบอกว่าเป็นแฟนของคุณ ผมรู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าคุณเป็นเกย์ คุณเป็นคนบอกผมเองนี่นา แล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจด้วยที่คุณจะคบหากับผู้ชาย”
“ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกับฐานไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ”
“ผมบอกไปตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับว่าถึงคุณเป็นเกย์ ผมก็สะดวกใจจะคบหาเป็นเพื่อนกับคุณ แต่ว่าผมขอเตือนไว้สักหน่อยนะครับ ว่าระวังไว้หน่อย อย่าปล่อยให้แฟนคุณไปเมาเหล้าอยู่คนเดียวแบบนั้น มันอันตราย ถ้าเมื่อวานผมไม่ได้เข้าไปช่วย อาจจะโดนคนไม่ดีหิ้วไปทำอะไรร้ายๆ ด้วยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วคุณจะมาเสียใจทีหลังนะครับ”
แม้ภันวัฒน์จะพยายมแทรกเสียงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็โดนตัดรอนอย่างเต็มที่ อาทิตย์อัสดงปฏิเสธคำอ้างที่ภันวัฒน์ยืนยันกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าไม่ใช่ข้อแก้ตัวเสียสิ้น ราวกับไม่ไยดีไม่ว่าคำพูดของร่างสูงจะเป็นอย่างไร
“ช่วยฟังผมหน่อยได้ไหมครับ!”
เสียงที่โพล่งขึ้นรุนแรงทั้งในแง่ของน้ำหนักและระดับความดังทำให้ร่างโปร่งเงียบลงไป หน่วยตาเรียวจับจ้องดวงหน้าคมคร้ามอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกหลังจากตะลึงงันยามเจอหน้ากันเมื่อวานนี้
เมื่อได้พิศดูหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ภันวัฒน์ก็รู้สึกตัวว่ากำลังประพฤติตัวไม่ดีต่ออีกฝ่าย แม้ความรู้สึกอัดแน่นจะตีรวนอยู่ในอก แต่เขาไม่ควรใส่อารมณ์เสียด้วยซ้ำทั้งที่เป็นคนผิด เสียงทุ้มจึงเอ่ยอ่อนแผ่ว
“ผมขอโทษที่เสียงดัง แต่ผมอยากให้คุณฟังสักหน่อย จะได้ไหมครับ”
หางประโยคยิ่งเปี่ยมด้วยความโอนอ่อนอย่างชัดเจน มันคล้ายขอร้อง ขอความเห็นใจ หรืออาจจะขอความเมตตา
“คุณอาจจะยังไม่เชื่อผมก็ได้ แต่ผมอยากอธิบายให้คุณเข้าใจ”
แม้ว่าดูสถานการณ์จะเอนเอียงมาในแง่ดีขึ้นบ้างเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายยอมฟัง ถึงกระนั้นก็ไม่มีการเชื้อเชิญให้เข้าบ้านแต่อย่างใด ดั่งเจ้าบ้านกำลังตั้งป้อมปราการขนาดใหญ่เอาไว้เตรียมขับไล่เขาอย่างเต็มที่หากเผยตัวเป็นอริ แต่ภันวัฒน์ก็เลิกใส่ใจเรื่องนั้นแล้วแสดงความจริงใจของตนเองต่อ
“ผมยอมรับกับคุณตรงๆ เลยว่าผมกับฐานเคยมีอะไรกัน แต่มันก็แค่ครั้งเดียว และเรื่องมันก็ผ่านมาแปดปีกว่าแล้ว ตอนนี้ผมกับเขาเป็นแค่พี่น้องกันเท่านั้น เพราะว่าเขามีปัญหาบางอย่าง ผมก็เลยคอยช่วยเหลือในฐานะพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นห่วงน้องชาย มันก็เท่านั้น ความรู้สึกอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นไม่มีหรอกครับ”
ริมฝีปากของคนฟังเม้มเข้าหากันเล็กน้อยราวกับมีคำอะไรบางอย่างอยากจะพูดออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอยู่ดี
“ผมทั้งทำงานที่โรงแรม ดูแลร้าน ไหนจะต้องคอยทำขนมหลายๆ ชั่วโมงอยู่เกือบทุกวัน ผมไม่มีเวลามากพอจะไปคอยเทียวไล้เทียวขื่อคนหลายๆ คนพร้อมกันหรอกครับ ตอนนี้ผมมีแต่คุณคนเดียว แค่คุณคนเดียวก็ทำให้ผมปั่นป่วน หายใจเข้าออกก็เป็นคุณไปหมดแล้ว”
ปฏิกิริยาจากคนตรงหน้ายังคงเงียบนิ่ง ตาคมสีนิลจับจ้องดวงหน้าเรียวขาวนั้นอย่างจริงจัง ต้องการแสดงความจริงใจให้เห็น
“คุณอาจจะมองว่าผมก็แค่หาข้ออ้างมาแก้ตัวก็ได้ แต่ว่าผมยืนยันได้ว่าผมพูดความจริงทุกอย่าง ที่ผ่านมาคุณก็น่าจะรู้ว่าผมจริงจังกับคุณแค่ไหน แล้วคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่เคยโกหกคุณ”
ความเงียบอาบไล้ไปทั่วบรรยากาศ ความหนักอึ้งกดทับลงมาเมื่อหลังจากสิ้นคำพูดของภันวัฒน์แล้วไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาแม้แต่อย่างเดียว ดุจอยู่ท่ามกลางสุญญากาศอันเงียบเชียบจนรู้สึกได้ถึงมวลอากาศที่ลดน้อยถอยลงทุกที ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกถึงความทรมานที่บีบเค้นเข้าหามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ขอโทษนะครับ”
ก้อนเนื้อในอกดิ้นระรัวดั่งกำลังเอาตัวรอด ด้วยไม่รู้ว่าคำขอโทษที่อีกฝ่ายกล่าวมามีความหมายในด้านดีหรือร้าย แต่เพียงไม่นานนับจากนั้น คำตอบก็มาเยือนอย่างแจ่มแจ้ง หน่วยตาสีน้ำตาลเขม้นมองมา
“แต่ถ้าให้พูดตามตรง...ตอนนี้ผมยังเชื่อไม่ลง”ลมหายใจหายไปวูบหนึ่ง ภันวัฒน์รู้สึกเหมือนหัวใจซึ่งทำจากกล้ามเนื้อกลายเป็นเศษแก้วที่พังทลาย ณ ตอนนั้น ความดำมืดพุ่งทะยานเข้าหาจนรอบข้างมืดบอด แม้กระนั้นกลับเห็นร่างซึ่งอยู่ตรงหน้าอย่างแจ่มชัด
“ขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ ช่วยอย่ามารบกวนผมอีก”
แสงแห่งความหวังที่ริบหรี่เป็นทุนเดิมดับวูบโดยพลัน พร้อมกับร่างของอาทิตย์อัสดงหมุนไปยังทิศทางตรงกันข้าม กายโปร่งเคลื่อนห่างอย่างเชื่องช้า ทว่าห้วงเวลาที่ภันวัฒน์ดำเนินอยู่กลับช้ายิ่งกว่าจะเรียกขานอีกฝ่ายไว้ เพียงพริบตาเดียวเจ้าของบ้านก็ลับร่างหายไปจากการมองเห็นเสียแล้ว
เปลือกตาบางปิดทับดวงตาสีเข้มสนิทแน่น เสียงด่าทอตัวเองสารพัดดังก้องอยู่ในหัว ในอกเจ็บเหมือนมีของแหลมคมทิ่มต่ำอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม ครั้นจะเรียกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปให้ออกมาอีกครั้งก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะให้โอกาสเป็นครั้งที่สองในวันนี้ และหากเขาทำเช่นนั้น จะยิ่งเป็นการทำให้เจ้าตัวผิดหวังซ้ำซากกับตัวเขาที่ดื้อด้านไม่รู้ฟัง แต่ใช่ว่าเขาจะยกธงยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้
ถึงวันนี้ไม่สำเร็จ สักวันมันก็ต้องสำเร็จ
ภายในห้องกว้างขวางซึ่งถูกจัดแต่งอย่างดีสว่างด้วยแสงไฟสีขาว ภันวัฒน์ไม่แปลกใจนักที่ได้เห็นเช่นนี้ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา ร่างของฐานทัพทิ้งตัวอยู่บนโซฟา สายตาทิ้งค้างอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ เหมือนเพียงปล่อยให้มันผ่านตาเท่านั้น
“ไม่กลับเหรอ”
กายสมส่วนหย่อนลงนั่งข้างๆ แรงยวบพร้อมน้ำเสียงสุขุมเรียกกรอบหน้าเล็กกลมให้หันมาได้
“ยังไม่อยากกลับ”
เจ้าตัวตอบด้วยสีหน้าหน่าย คล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
“แล้ววันนี้ได้ไปเรียนหรือเปล่า”
“เปล่า ผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไร”
“ไม่ค่อยอยากไปหรือกลัวที่จะไปกันแน่”
คำถามปักจึกเข้าไปในใจคนฟังกระมัง ฐานทัพจึงเขม่นมองร่างสูงใหญ่กว่า ภันวัฒน์ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างเข้าใจถ่องแท้ถึงเหตุผลซึ่งซุกซ่อนอยู่ จึงอดพูดจี้ใจซ้ำหนักไม่ได้
“ตอบตัวเองให้ได้ล่ะว่ากลัวเพราะอะไร ไปแล้วเจอ หรือไปแล้วแต่ไม่เจอ”
ยิ่งได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มร่างเล็กก็ยิ่งขบฟันเข้าหากัน ตวัดเสียงเข้มกว่าปกติใส่ ‘ผมรู้น่า พี่ไม่ต้องย้ำหรอก’ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังจอโทรทัศน์ดังเดิม
“แล้วทำไมเมื่อวานถึงได้เมาเละเทะ ทะเลาะกันเหรอ”
“นัดไว้ซะดิบดีแต่ไม่มาต่างหาก”
“ก็เลยดื่มไม่ยั้งว่างั้น”
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาให้ได้ยินแฝงแววสลดลงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย พลอยให้ภันวัฒน์รู้สึกเหนื่อยใจตามไปกับปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นของคนที่อยู่ข้างๆ
“เมื่อไรเราจะเลิกใช้เหล้าหนีปัญหา ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าไปดื่มจนไร้สติแบบนั้นมันอันตราย พี่รู้ว่าฐานไม่กลัวถ้าจะถูกหิ้วไปทำอะไรต่อมิอะไร ฐานไม่ได้แคร์เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าไม่ได้ถูกทำแค่นั้นล่ะ ถ้าเกิดทำร้ายร่างกาย หรือว่าเป็นพวกซาดิสม์ วิตถาร ฐานจะทำยังไง”
“.....”
คำตอบที่ได้รับมีแต่ความนิ่งเงียบ ฐานทัพก้มหน้ากับคำเตือนที่ไม่ใช่ครั้งแรก เห็นดังนั้นยิ่งทำให้คนสูงวัยกว่าเหนื่อยใจหนักกว่าเก่า
ฐานทัพดื้อแพ่ง ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักคิด แล้วจะไม่ให้เขาห่วงได้อย่างไร
“ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเองสักที”
“จนกว่าจะมีคนรักผมจริงๆ ล่ะมั้ง”
คำตอบนั้นทำให้ภันวัฒน์ชะงักกึกไปทันที รู้สึกเสียดแน่นในอกราวกับถูกอะไรพุ่งปักลงมาทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง แต่เป็นเพราะเขารู้สึกเห็นใจ เวทนาเจ้าของคำพูดนั้นต่างหาก
“ถ้าไม่มีคนรักผม ผมก็ไม่รู้จะรักตัวเองไปทำไม”
ภันวัฒน์รู้สึกอยากจะหาอะไรสักอย่างมาฟาดคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แรงๆ สักหลายที
ทำไมฐานทัพถึงได้มีความคิดแบบนี้ไปได้ เมื่อก่อนก็เที่ยวเล่น รักสนุกจนไม่เห็นคุณค่าตัวเองอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ยิ่งหนักหนากว่าเก่าจนเกินจะเยียวยา
“แล้วที่พี่ห่วงฐานอยู่ทุกวันนี้ หวังดีกับฐานแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ฐานรู้สึกเลยเหรอว่าควรจะห่วงตัวเองบ้าง”
“ผม...ขอโทษ”
เสียงเศร้าสลดกับสีหน้าที่โศกเศร้า ดวงตาที่เคยชุ่มฉ่ำอยู่เสมอคล้ายเปียกลื่นด้วยนัยอื่นจนมันเรื่อสีแดงเล็กน้อยนั้นส่อชัดว่าเจ้าตัวกำลังสำนึกผิด ซึ่งมันก็ทำให้คนเห็นรู้สึกหนักอึ้งในใจ จะต่อว่าต่อขานต่อไปก็สงสาร จึงทำได้เพียงคว้าศีรษะเล็กนั้นเข้ามากอดไว้แนบอก
“ถ้าฐานรับรู้ว่าพี่หวังดี และเห็นแก่พี่ก็ดูแลตัวเองดีๆ ซะ เข้าใจหรือเปล่า”
“ครับ”
“แล้วก็ถ้ามันยังเลวร้ายต่อไปอยู่อย่างนี้ ก็ต้องยอมเจ็บ ตัดเนื้อร้ายก่อนเราจะตาย เข้าใจไหม”
“ครับ”
ราวกับคำพูดเมื่อครู่เป็นการกำหนดทิศทางเดินให้กระมัง ใบหน้าเล็กจึงยิ่งกดแนบเข้ากับอกแกร่งมากกว่าเดิม พลอยให้เสียงถอนหายใจจากร่างสูงดังลอดออกมาอีกครา
ภันวัฒน์ได้แต่หลับตากอดฐานทัพอยู่ในอ้อมแขนทั้งอย่างนั้นด้วยความรู้สึกทั้งสงสารเด็กกร้านโลกที่ไม่รู้ประสาคนนี้ และสังเวชตนเองเช่นกันที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถคลี่คลายปัญหากับอาทิตย์อัสดงไปได้อย่างราบรื่น
หนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว
แม้จะตั้งปณิธานกับตนเองแล้วว่าจะไม่ละทิ้งความหวังง่ายๆ แต่ไม่ว่าจะติดต่อไปทางโทรศัพท์และไปหาที่บ้านเท่าที่สามารถทำได้ ภันวัฒน์ก็ได้รับแต่ความว่างเปล่า
อาทิตย์อัสดงไม่ตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ทางแอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์คงจะโดนบล็อกไปแล้ว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ก็ทำเสมือนเขาไม่มีตัวตน ต่อให้รอนานหลายชั่วโมงหรือกดสัญญาณเรียกเท่าไรก็ไม่ออกมาหา จนเป็นร่างสูงเสียเองที่รู้สึกละอายใจและเกรงใจเพื่อนบ้าน
ปฏิกิริยาที่ได้รับเช่นนี้ แม้จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีในแง่หนึ่ง ทว่าเขาจะไม่พูดหรือคิดเรื่องเจ้าเล่ห์อย่างการบอกว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกถึงความไม่พอใจเขา เป็นเพราะว่ามีความรู้สึกพิเศษให้เป็นอันขาด เพราะหากเขายังได้รับการเมินเฉยต่อไปเช่นนี้ มันก็เทียบได้กับไม่มีค่าใดๆ มีแต่จะทำให้ยิ่งรู้สึกห่วงใยอีกฝ่ายเสียมากกว่า
และด้วยความรู้สึกเช่นนั้น ปาติซิเยหนุ่มจึงนัดเพื่อนให้มาหา ทั้งสองคนนัดหมายกันในบาร์ของโรงแรมเช่นเดียวกับทุกครั้ง เพียงแต่หมุนเวียนไปตามแต่ละสถานที่ ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน
“ดูจากหน้าแล้ว คงไมได้นัดกูมาดื่มเฉยๆ แน่”
คราวนี้เกรียงไกรมาช้ากว่าเวลาเล็กน้อย และทักทายหลังหันไปสั่งเครื่องดื่มแล้วราวกับธรรมเนียมปฏิบัติ
“กูมีเรื่องขอร้องมึงน่ะ”
“เรื่องคุณฟรีว่าที่แฟนมึงน่ะเหรอ”
ดูเหมือนเจ้าตัวจะจำได้แม่นยำทีเดียวหลังจากถูกย้ำในครั้งก่อน ภันวัฒน์ผงกศีรษะเบาๆ ตอบรับ
“ความรักของมึงครั้งนี้นี่อุปสรรคเยอะจริงนะ”
ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย เพราะเท่าที่ผ่านมานอกจากถูกกีดกันโดยพร่างฟ้าแล้ว ภันวัฒน์ไม่เคยต้องลำบากฝ่าฟันใดๆ ในการจะคบหากับใครสักคน
“กูพลาดเองแหละ”
สีหน้าสลดของเพื่อนทำให้เกรียงไกรมองอย่างสนใจ เขาหยิบเครื่องดื่มที่ได้รับมากรอกเข้าปากก่อนถามด้วยความเห็นใจเล็กน้อย
“ทำไมวะ”
“ฟรีเจอกับฐานแล้วก็เข้าใจผิด ตอนนั้นกูดันพูดว่าฐานเป็นคนของกูด้วย แต่กูไม่รู้นี่หว่าว่าคนที่อยู่กับฐานเป็นเขา เห็นแต่ข้างหลังครึ่งเดียวเพราะโดนต้นไม้บัง กูร้อนใจด้วยเพราะฐานโทรมาตอนเมาแทบพูดไม่รู้เรื่อง”
หลังจากเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เสียงร้อง ‘เวร’ จากเกรียงไกรก็ดังมา
“ก็อยากจะถามอยู่หรอกนะว่าสองคนนั้นไปเจอกันได้ยังไง แต่ช่างมันแล้วกัน ว่าแต่มึงอธิบายให้คุณฟรีฟังหรือยังล่ะว่ามึงกับฐานเป็นยังไง”
“กูบอกแล้วว่ากูกับฐานเป็นแค่พี่น้องกัน แต่เขาบอกว่าเชื่อกูไม่ลง แล้วก็ไม่ยอมให้กูติดต่อเขาอีกเลย”
“มึงบอกแค่นั้น ไม่ได้บอกเหรอว่าเพราะอะไรมึงถึงต้องคอยดูแลฐานแบบนั้น”
เกรียงไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ภันวัฒน์ครางเสียง ‘อืม’ เบาๆ จึงโดนสวนกลับมา
“ถ้ามึงบอกแค่นั้น เป็นกู กูก็ไม่เชื่อว่ะ มีอะไรพิสูจน์ว่ามึงไม่ได้โกหก ทำไมมึงไม่บอกๆ เรื่องฐานไปให้หมด เขาจะได้เข้าใจว่ามึงมีเขาคนเดียว”
เหมือนโดนน้ำเกลือผสมพริกราดลงบนแผลสด ผู้จัดการหนุ่มรู้สึกแสบไปหมด แต่กระนั้นเขาก็ยังยึดมั่นความคิดของตนเอง
“กูก็รู้อยู่หรอกว่าทำแบบนั้นมันดีกว่า แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฐาน จะให้กูไปป่าวประกาศบอกคนอื่น มันก็ไม่ใช่เรื่อง อีกอย่าง กูอยากให้เขายอมเข้าใจกูเพราะเชื่อในตัวกู เพราะเชื่อว่ากูจริงใจกับเขา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นๆ ที่มันเข้าท่า น่าเชื่อถือ ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ”
“โอ๊ย มึงนี่ มาความคิดหล่อแบบไม่รู้จักเวล่ำเวลาอีก”
แค่น้ำเสียงก็บ่งบอกได้แล้วว่าเพื่อนอิดหนาระอาใจกับตนเองสักแค่ไหน ทว่าสีหน้าของเกรียงไกรก็ยิ่งย้ำซ้ำ ซึ่งภันวัฒน์ก็เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนเป็นอย่างดี แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
“กูเคารพความเป็นส่วนตัวของฐานด้วยส่วนหนึ่งก็จริง แต่อีกส่วนก็เพราะว่าฟรีเคยโดนคนรักเก่าหักหลังมาก่อน เพราะงั้นถ้ากูทำให้เขาเชื่อไม่ได้ด้วยตัวของกูเองในคราวนี้ มันก็อาจจะเกิดเหตุแบบนี้ครั้งต่อๆ ไปก็ได้”
“มึงนี่คิดไกลอีกแล้ว” เกรียงไกรพูดอย่างหน่ายๆ “มึงเอาครั้งนี้ให้รอดก่อนไปคิดถึงครั้งหน้าไหม”
“กูคิดถึงอนาคตเพราะกูกะลงหลักปักฐานกับคนนี้เลยต่างหาก กูถึงได้กลุ้มใจอยู่เนี่ย ถ้าเป็นคนอื่น กูหาเรื่องแถให้รอดสักเท่าไรก็ได้”
“โฮ่” เสียงร้องจากคนฟังแฝงไว้ทั้งความตะลึงและความชื่นชมคละเคล้ากัน “แล้วที่มึงบอกว่าจะขอร้องกูล่ะ เรื่องอะไร”
“กูอยากให้มึงบอกคุณขวัญให้หน่อย”
“อ้าว ไหนบอกว่ามึงอยากให้เขาเชื่อในตัวมึงเอง แล้วไหงจะมาพึ่งคนอื่นแล้วล่ะวะ”
“ไม่ใช่” ภันวัฒน์บอกปัดด้วยเสียงเซ็งเล็กน้อย “กูอยากให้คุณขวัญดูแลเพื่อนเขาหน่อย”
“ทำไมล่ะ”
ดูเหมือนเกรียงไกรจะไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของคำขอนั้นแม้แต่น้อย หัวคิ้วถึงได้ขยับเข้าหากัน
“กูเป็นห่วงฟรี สภาพจิตใจของเขาตอนนี้คงไม่ดีเท่าไร”
“โอ้โห คำพูดมึงนี่ดูมั่นมากจริงๆ ว่ามึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขา จนเขาจะมานั่งเศร้าซึมกระทือเพราะมึง”
เกรียงไกรสัพยอกพร้อมแย้มยิ้ม ผิดกับภันวัฒน์ที่ยังมีสีหน้าขึงเครียด
“กูไม่ได้หลงตัวเองหรอกน่า แต่กูเชื่อว่าเขาจะต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามันมากแค่ไหนก็เถอะ เพราะมันไปคาบเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของเขาด้วย”
“สรุปว่าเขาก็มีใจให้มึง แต่ยังไม่อยากเปิดใจยอมรับมึงเต็มที่ แล้วมึงก็ดันไปทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจในตัวมึง เพราะงั้นตอนนี้เขาก็น่าจะอาการแย่พอดู”
“อืม ตามนั้นแหละ”
ผู้จัดการหนุ่มได้แต่ครางเสียงตอบรับข้อสรุปรวบรัดของเพื่อนอย่างห่อเหี่ยว และคงเพราะเห็นดังนั้นกระมัง เกรียงไกรถึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
“โอเค กูจะบอกขวัญให้แล้วกัน”
“ขอบใจว่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ กูอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้”
“ให้รายงานสถานการณ์ของคุณฟรีในแต่ละวันมาด้วย?”
เกรียงไกรยกเสียงท้ายประโยคขึ้นสูง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งดั่งถามว่าเอาแน่หรือ ซึ่งคนถูกถามก็พยักหน้าเบาๆ เป็นการยืนยัน
“เอาเป็นว่าขวัญจะร่วมมือเท่าไหนก็เท่านั้นแล้วกัน เพราะเขาก็เป็นเพื่อนรักกันด้วย คงไม่เห็นคนอื่นดีกว่าเพื่อนเขาหรอก ยิ่งมึงไปทำให้เพื่อนเขาผิดหวังเสียใจ กูไม่รู้หรอกว่าเขาจะยอมช่วยมึงหรือเปล่า ถึงมันจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วก็ไม่ได้เป็นการพูดแก้ตัวให้มึงด้วยก็เถอะ”
“เออ แค่มึงช่วยบอกให้ก็ช่วยกูได้มากแล้วว่ะ เพราะตอนนี้กูไม่รู้ความเป็นไปของเขาเลย ยิ่งทำให้กูเป็นห่วงหนักขึ้นไปอีก ส่วนคุณขวัญจะช่วยหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของเขาแล้วกัน”
“แม่ง คำพูดมึง พระเอกสุดๆ”
สีหน้าซาบซึ้งสุดประทับใจอย่างเสแสร้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนพูด หากมันไม่ดูน่าแขยงสำหรับเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ภันวัฒน์คงจะรู้สึกยินดีกับคำชมนั้นไปแล้ว
“ว่าแต่มึงเถอะ”
“หืม”
“ไม่เรียกคุณขวัญแล้วเหรอ”
เมื่อจบเรื่องของตน ภันวัฒน์ก็มุ่งเข้าเรื่องของเพื่อนสนิทบ้าง เพราะเพิ่งสังเกตว่าสรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไป”
“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ” เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับยืดอกขึ้น นั่งตัวตรงอย่างผึ่งผายราวกับจะโอ้อวด ใบหน้าแช่มชื่นอมสุขหาใดปาน “ก็ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วนี่หว่า”
“จริงดิ”
“เออ น้องพร่างฟ้าคนสวยสุดที่รักของมึงนั่นแหละช่วย”
คำตอบนั้นทำให้ผู้จัดการหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่าเคยทิ้งระเบิดที่ชื่อพร่างฟ้าไว้กับเกรียงไกรช่วงก่อนหยุดปีใหม่ แถมยังหยอกกระเซ้าเพื่อนให้ใช้ประโยชน์จากน้องสาวของตัวเองอีก เขาไม่คิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ
“ดีจริงว่ะมึง”
“เออดิ แถมตอนนี้นะ ขวัญเปลี่ยนมาเรียกกูว่าพี่จอมด้วย โคตรน่ารัก”
ท่าทางระริกระรี้กระดี๊กระด๊าอย่างเกินหน้าเกินตาของคนข้างๆ ทำให้ภันวัฒน์แทบอยากเอาเครื่องดื่มบนเคาน์เตอร์ตรงหน้าที่ดื่มค้างอยู่สาดใส่หน้าให้หายหมั่นไส้เสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอยู่
“อิจฉา ริษยา ตาร้อนฉิบหาย”
“ฮึฮึฮึ”
เกรียงไกรไม่พูดอะไร แต่ส่งเสียงหัวเราะพิลึกๆ ตอบกลับคำพูดของคนที่กำลังมีปัญหาเรื่องความรัก ขณะที่ตนเองกำลังราบรื่นไปด้วยดีกับแฟนสาว และเพราะเหตุใดนั้นเสียงถอนหายใจของภันวัฒน์จึงดังมาอีกระลอก มือหนาคว้าเครื่องดื่มที่อยากสาดใส่เพื่อนอยู่เมื่อครู่ขึ้นมากรอกปากเสียเอง
“ทำไมทีมึง พร่างถึงช่วยให้สมหวัง แต่ตอนกูนี่กีดกันจังวะ”
“ก็กูไม่ใช่พี่ชายสุดรักสุดหวงสุดเลิฟสุดสวาทขาดใจของพร่างนี่หว่า”
“เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจของคนที่ได้รับความรักมากมายจากน้องสาวที่มีเพียงเศษเสี้ยวของสายเลือดร่วมกันดังอย่างหมดอาลัย พร้อมกับความรู้สึกในใจที่ค่อยๆ แผ่คลุมจนเอ่อล้นออกมา
ผมอยากเจอคุณ...ฟรี
---------------------
คุณอาทิตย์ตัดรอนกันได้
ยังอึมครึมกันต่อไป
ตอนนี้พร่างฟ้าไปแล้ว แต่จะคัมแบคในตอนพิเศษนะคะ
ยังไม่แน่ใจว่าจะได้อัพหรือเปล่า แต่บอกไว้เผื่อๆ สงสัยว่านางมาแค่นี้เหรอ
แล้วก็ตอนนี้เปิดจอง It's U, It's Me ทั้งสองเรื่องอยู่นะคะ
ใครที่เคยกรอกแบบฟอร์มไว้ หรือลงชื่อไว้ในเฟซอย่าลืมโอนเงินเข้ามากันนะคะ
ถึงวันที่ 15 กันยายนค่ะ
https://www.facebook.com/undel2sky/
Undel2Sky