- - - ใจแตก (Broken man) - - - [THE END]=เปิดพรีออเดอร์= (Up!ตอนพิเศษ Men Talks)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [THE END]=เปิดพรีออเดอร์= (Up!ตอนพิเศษ Men Talks)  (อ่าน 165753 ครั้ง)

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่34][020559]
«ตอบ #360 เมื่อ03-05-2016 03:09:33 »

เรื่องมันซับซ้อนยิ่งนักแม่นางงง

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่34][020559]
«ตอบ #361 เมื่อ03-05-2016 06:54:34 »

เบื่อพลัสว่ะ ไม่รู้สิ แต่รำคาญพลัสมากๆดูเหมือนเป็นพวกเอาแต่ใจมากกว่าปูนอีก

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่34][020559]
«ตอบ #362 เมื่อ03-05-2016 20:23:41 »

ค้างไว้สองตอนยาวมาก5555 ตามอ่านก่อนนะคะ

ออฟไลน์ Yumyumsdoll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่34][020559]
«ตอบ #363 เมื่อ04-05-2016 19:17:51 »

 :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ farfarneenee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่34][020559]
«ตอบ #364 เมื่อ05-05-2016 00:03:24 »

 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #365 เมื่อ06-05-2016 20:17:51 »



แตกที่ 35

…ช่วยด้วย...

 







ไอเย็นจางๆจากเครื่องปรับอากาศและเสียงนกร้องที่ดังมาจากนอกหน้าต่างทำให้คนตัวเล็กรู้ว่าช่วงเวลาแห่งการดำเนินชีวิตของผู้คนได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว หากแต่ปูนกลับยังคงหลับตาและรับฟังเสียงเหล่านั้นไปเรื่อยๆโดยไม่มีความคิดจะลุกขึ้นแต่อย่างใด จนกระทั่งวัตถุบางอย่างทับลงบนตัวเขาเข้าอย่างจัง





“พี่ปูนตื่นเร็ว เช้าแล้วนะ!”





เสียงตะโกนที่ฟังดูร่าเริงจนไม่น่าเชื่อว่าคนที่เปล่งมันออกมาเป็นคนเดียวกันกับคนที่ร้องไห้กระจองอแงยามที่เขากลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกครั้งในรอบหลายเดือน ถึงแม้จะไม่อยากแต่สุดท้ายร่างเล็กก็ต้องฝืนลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่ถึงแม้จะมีใบหน้าที่ไม่คล้ายกันเลยสักนิดแต่ปูนก็ยังเรียกเธอได้อย่างเต็มปากว่าเป็นน้องสาว...น้องสาวคนสำคัญ



“หนักนะปิ่น แล้วนี่จะให้พี่บอกอีกครั้งกันว่าเป็นสาวเป็นนางอย่ามาเข้าห้องผู้ชายง่ายๆแบบนี้”



ปูนว่าพลางดีดหน้าผากของปิ่นที่ยังคงยิ้มร่าไม่สนใจคำว่ากล่าวของเขาเลยสักนิด ปิ่นที่อายุห่างจากปูนเพียงสองปีกว่าซุกใบหน้าของเธอลงบนอกของพี่ชายแล้วถูมันไปมาเบาๆอย่างออดอ้อนและคิดถึง



“ไม่เห็นเป็นไรเลย นี่ห้องพี่ปูนนะ ไม่ใช่ใครที่ไหนสักหน่อย”



“ต่อให้เป็นห้องพี่ก็ไม่ได้ พี่ก็เป็นผู้ชายนะอย่าลืมสิ”



“แล้วไงล่ะ ปิ่นไม่สนหรอก”



ปิ่นคงเป็นคนคนเดียวในโลกที่ปูนไม่เคยเถียงชนะเธอเลยสักครั้ง ร่างเล็กจึงล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสอนเธอเรื่องนี้



“ช่างเถอะ แล้วนี่ไม่ไปเรียนหรอเรา เช้าแล้วนะเดี๋ยวก็สายหรอก”



“ไปสิ แต่ปิ่นจะให้พี่ปูนไปด้วย ปิ่นคุยกับคุณแม่แล้วว่าวันนี้จะพาพี่ไปทำเรื่องคืนสภาพการเป็นนักศึกษา”



คำพูดของน้องสาวทำให้ปูนยิ้มอ่อนๆออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแทนการบอกอย่างกลายๆว่าเขาอยากอาบน้ำจนเต็มแก่แล้วซึ่งปิ่นก็เข้าใจมันดี



“พี่ปูนรีบอาบน้ำแล้วไปกินข้าวกันนะคะ ปิ่นรอข้างล่างนะ”



ปูนตอบตกลงก่อนจะมองภาพของประตูห้องนอนที่ถูกปิดลงจนทำให้ภายในห้องนี้กลับมามีเพียงเขาคนเดียวอีกครั้ง รอยยิ้มอ่อนโยนที่เคยมอบให้แก่น้องสาวผู้เป็นที่รักเลือนหายไปก่อนที่ปูนจะเดินเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดดี เสื้อยืดแขนยาวสีที่ไม่ถูกใช้มานานถูกหยิบออกจากตู้เพื่อให้ปูนใช้มันสวมทับร่างกายที่อ่อนล้าและต้องการพลังงานอย่างมาก



“พี่ปูนมาแล้ว แม่คะ พี่ปูนลงมาแล้วค่ะ!”



“จ้าๆ เสียงดังจริงเชียวลูกคนนี้”



ปิ่นที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดโต๊ะกินข้าวร้องบอก ‘ป้าปาน’ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่ของปิ่นและป้าสะใภ้ของปูน ร่างเล็กยกมือไหว้เธอก่อนจะตรงเข้าไปช่วยยกกับข้าวที่ส่งกลิ่นหอมฉุยลอยไปจนถึงชั้นสอง จนทำให้สมาชิกของบ้านอีกคนเดินตามลงมาในเวลาไม่นาน



“อรุณสวัสดิ์ครับลุง”



‘ลุงวิทย์’ คือพี่ชายแท้ๆของแม่ที่จากปูนไปพร้อมกับพ่อในตอนที่ปูนเรียนอยู่ชั้นประถม ร่างเล็กเอ่ยทักลุงของตนก่อนจะเดินไปรินกาแฟรสขมให้อีกฝ่ายอย่างรู้งาน แล้วปล่อยให้ลูกสาวแท้ๆอย่างปิ่นเข้าไปช่วยงานป้าปานแทน ใช้เวลาไม่นาน กับข้าวง่ายๆหลายอย่างก็ถูกวางจนเต็มโต๊ะ ทุกคนต่างก็ตรงมานั่งประจำที่ของตัวเองรวมถึงปูนที่ถึงแม้จะร้างลากับกิจวัตรนี้ไปนานแต่เขาก็ยังคงจำมันได้



“กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”



เมื่อประมุขของบ้านเอ่ยปากสมาชิกทุกคนก็ทำตามนั้นอย่างไม่อิดออด บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปอย่างเรียบง่ายโดยมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของปิ่นคอยเติมความสดชื่นให้กับทุกคนเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าทั้งลุงและป้าสะใภ้ของปูนจะนั่งฟังมันเงียบๆแต่ร่างเล็กก็สัมผัสได้ว่าความเป็นอยู่ของคนที่บ้านหลังนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่เขาจากไป



“พ่อคะเดี๋ยววันนี้ปิ่นจะไปมหาลัยกับพี่ปูนนะ พ่อไม่ต้องไปส่งนะคะ”



“ไปมหาลัย? ไปทำไม?”



“ก็ให้พี่ปูนทำเรื่องคืนสภาพนิสิตไง พี่ปูนกลับบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้วปิ่นว่าน่าจะให้พี่ปูนกลับไปเรียนได้แล้วล่ะค่ะ”



ปิ่นพูดและยิ้มออกมาด้วยความดีใจเพียงแค่นึกภาพว่าต่อจากนี้เธอจะได้ไปเรียนพร้อมกับพี่ชายเหมือนกับแต่ก่อนสมัยที่พวกเขายังเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน แม้จะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆแต่ปิ่นก็ติดปูนมาก หญิงสาวจำได้ว่าตอนที่ปูนเข้าไปเรียนในมหาลัยใหม่ๆเธอนั้นเหงามากแค่ไหน ปิ่นจึงไม่ลังเลใจที่จะเลือกสอบเข้าคณะและมหาลัยเดียวกับปูนแต่แล้วจู่ๆก่อนหน้าที่เธอจะเข้าไปรายงานตัวเพียงไม่กี่วันปูนกลับหายตัวไป



ไม่มีใครรู้ว่าปูนหายไปไหน แม้ก่อนหน้านี้พี่ชายของเธอจะแยกตัวไปอยู่ที่หอพักเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางแต่ก็ยังติดต่อมาทางนี้เรื่อยๆโดยเฉพาะกับปิ่นที่มักจะพูดคุยกับปูนเป็นประจำแต่ถึงอย่างนั้นปิ่นกลับไม่รู้แม้แต่สาเหตุที่ปูนตัดสินใจดร็อปเรียนแล้วหายหน้าไปนานหลายเดือนจนกระทั่งพ่อของเธอไปตามตัวกลับมาได้



“พวกอาจารย์ต้องไล่ถามพี่ปูนแน่ๆว่าหายไปไหนมา ปิ่นกลัวพี่ปูนจะทำใจลำบากเลยว่าจะไปเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”



ปิ่นอธิบายเหตุผลและความคิดของเธอให้ผู้เป็นพ่อฟังเหมือนกับที่บอกกับแม่เมื่อเช้า หญิงสาวยิ้มตาใสให้พี่ชายอันเป็นที่รักแต่ยังไม่ทันที่ปิ่นจะได้รับคำตกลงจากใครน้ำใจของเธอกลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย



“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ปิ่นจะมาตัดสินใจหรอกนะ”



“...!!”



สีหน้าของลุงวิทย์เรียบนิ่งไม่แสดงแม้แต่ความขัดใจหรือก้าวร้าวใดๆออกมา ส่วนคนเป็นแม่ที่นั่งฟังเงียบๆมานานก็ยังคงเงียบต่อไปเหมือนกับว่าเธอไม่มีสิทธิไม่มีเสียงในบทสนทนานี้ ปูนเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองของบ้านก่อนจะเบนสายตากลับมามองไข่ดาวที่ถูกทอดเป็นแบบไม่สุกมากอย่างที่เขาชอบก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไปตรงกลางแล้วมองดูมันค่อยๆไหลทะลักออกมาช้าๆ...เหมือนกับบางสิ่งบางอย่างในบ้านหลังนี้



“ทะ ทำไมพ่อพูดแบบนั้นล่ะคะ”



“พ่อพูดผิดตรงไหน ก็ในเมื่อนั่นเป็นเรื่องของปูนไม่ใช่เรื่องของปิ่น”



“แต่...ปิ่นหวังดี”



“แล้วปิ่นถามพี่เขาสักคำรึยัง ว่าอยากจะกลับไปเรียนไหม”



วิทย์ยิงคำถามใส่ลูกสาวจนทำให้ปิ่นหันไปหาปูนแทบจะทันที



“ก็ต้องอยากไปสิใช่ไหม พี่ปูนก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว อีกแค่นิดเดียวเอง”



“...”



“พี่ปูนอยากกลับไปเรียนใช่ไหมคะ”



“พี่...ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น”



คำตอบของปูนหยุดข้อโต้แย้งทุกอย่างยกเว้นแต่ความรู้สึกของหญิงสาวที่ไม่อาจสงบได้เลยหลังจากได้ยินมัน ปิ่นไม่เชื่อว่าสิ่งที่ปูนพูดนั้นเป็นความจริง เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่ปูนกลับไม่เปิดช่องว่างใดๆให้เธอถามต่อ ร่างเล็กก้มหน้าลงแล้วลงมือกินไข่ดาวเละๆบนจานของตัวเองโดยที่ไม่พูดอะไร เหมือนกับตอนที่ถูกพากลับมาที่นี่...ที่ปูนก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ปิ่นฟังทั้งนั้น



ทันทีที่แสงสว่างของบ้านจากไปพร้อมกับความไม่เข้าใจ ทุกอย่างในบ้านก็เหมือนหยุดนิ่ง ปูนพาตัวเองกลับมาบนห้อง เขานั่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้เวลาไหลผ่านร่างกายไปเรื่อยๆเหมือนกับคนที่ไม่ต้องคิดอะไร หากแต่มันเป็นเพียงแค่ภายนอกที่เขาจงใจแสดงออกมาเท่านั้น



“ทำไมแกตอบปิ่นไปแบบนั้น”



เสียงพูดดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ปูนที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างต้องเหลือบสายตามายังกระจกบานเล็กบนโต๊ะที่กำลังสะท้อนภาพนัยน์ตาโกรธเกรี้ยวของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆของตน



“ผมก็ตอบไปตามความจริงนี่ครับ”



ปูนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สะทกสะท้ายแม้ว่าอีกฝ่ายกำลังก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆจนเขาสามารถได้ยินเสียงลมหายใจแรงๆที่สะท้อนอารมณ์ร้ายๆของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี



“อย่ามากวนประสาทฉัน ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าถ้าปิ่นถามแกต้องตอบว่ายังไง...แกจะลาออก...ฉันบอกทำไมแกถึงไม่พูด”



ร่างเล็กเผลอหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินคำๆนี้ออกจากปากคนที่ปูนเลือกจะบอกข่าวดีเป็นคนแรกคราวที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่หวังได้สำเร็จ แม้มันจะเลือนลางและนานเหลือเกิน...ปูนก็ยังคงจำได้ว่าพวกเขาเคยมีช่วงเวลาแบบนั้น



“จำได้ครับ แต่ผมไม่อยากโกหกปิ่..อื้อ!”



ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบดีคางเล็กๆของปูนก็ถูกบีบเข้าเต็มแรงจนรู้สึกได้ถึงรสเลือดเค็มปร่าและเพราะแรงบีบนั้นทำให้เขาต้องสบตากับผู้เป็นอาที่กำลังมองมาด้วยแววตาที่ปูนไม่ชอบมันเสียเลย



“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าอวดดีให้มาก โทษที่แกหนีออกจากบ้านไปเป็นเดือนๆมันยังไม่มากพอรึยังไง”



“...”



“อย่าลองดีกับฉันเข้าใจไหม อย่าทำให้ความอดทนของฉันมันหมดลงไปอีกครั้งเหมือนกับตอนนั้น...แกคงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกเชื่อฉันสิ”



คำพูดของลุงวิทย์เหมือนเทปที่ถูกเปิดวนซ้ำๆอยู่ในหัวแม้กระทั่งตอนที่ชายคนนั้นเดินออกไปจากห้องแล้วแต่ปูนก็ยังคงได้ยินมันเหมือนกับว่าเป็นสัญชาติญาณที่เขาจะต้องจำคำพูดของชายคนนี้ให้ขึ้นใจแม้ข้างในกำลังปวดร้าวและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายก็ตาม



ทั้งมึนงง สับสน...และผิดหวัง



ผิดหวังเสียจน อยากหนีไปให้พ้นๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน







“พี่นิด...”







ปูนเรียกชื่อผู้ชายอีกคนที่ฝากบาดแผลเอาไว้ในหัวใจของเขามากมาย แต่ต่อให้เรียกดังแค่ไหน...เขาก็กลับไปหาคณิตไม่ได้อยู่ดี




.

.

.

.

.

.

.

.



“ปูนจะกลับแล้วหรอ”



น้ำเสียงอันคุ้นเคยฉุดรั้งร่างเล็กที่กำลังลุกออกจากเก้าอี้เล็คเชอร์ให้หันกลับมามองเพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งรวมกันอยู่ข้างหลังเขาเป็นกลุ่มใหญ่ ในหมู่คนพวกนั้นมีทั้งหญิงและชายแต่กลับไม่มีใครเลยที่ปูนสามารถเรียกว่าเพื่อนได้สนิทปาก



“อืม วันนี้มีงานน่ะ”



“นี่เพิ่งบ่ายสองเอง งานเริ่มตั้งค่ำจะรีบไปไหน วันนี้วันเกิดยัยก้อยไปกิน ไอติมด้วยกันก่อนไหม ข้างๆมอนี่เอง”



ผู้ชายคนหนึ่งที่ปูนจำชื่อไม่ได้เอ่ยชวนแทนเจ้าของวันเกิดที่นั่งอมยิ้มน่ารักอยู่ข้างๆ เพื่อนคนอื่นๆก็ยิ้มตามแล้วเริ่มบิ้วให้ปูนตอบรับคำเชิญนั้น แต่...



“ขอโทษทีนะ แต่เรานัดคนให้มารับแล้วน่ะเขาคงมาแล้ว ขอโทษด้วยนะก้อยเอาไว้ถ้าไปที่ร้านเดี๋ยวเราเลี้ยงเหล้าแล้วกัน”



“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก ปูนไปเถอะ”



ก้อยน้อมรับคำปฏิเสธนั้นแต่โดยดีผิดกับชายที่เอ่ยปากชวนปูนเป็นคนแรกที่แสดงท่าท่าผิดหวังเสียเต็มประดา ปูนส่งยิ้มให้ทุกคนอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าออกไปด้านนอกโดยไม่คิดจะหันกลับมามองอีกแม้ว่าหูจะกำลังได้ยินคำพูดไม่น่าฟังของใครๆก็ตาม



“พี่กาลรอนานไหม อากาศร้อนจะตายทำไมไม่เปิดแอร์ล่ะครับ”



ทันทีที่ปูนเห็นรถยนต์คันหรูของคนที่เขาไม่สามารถระบุสถานะให้ได้จอดอยู่ ร่างเล็กก็รีบวิ่งมาหาแล้วบ่นอุบเมื่อพบว่าคนที่มีเงินมากพอที่จะใช้ทิ้งใช้กว้างได้กลับเลือกที่จะเปิดกระจกรับลมที่มีไม่มากแทนการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้



“กินข้าวรึยัง”



ปูนทำหน้ายู่เมื่อถูกรัตติกาลบอกปัดคำถามด้วยคำถาม แต่ก็นะ...ความเอาใจใส่ของคนคนนี้น่ะ เขาชอบมันที่สุดเลย



“ข้าวน่ะกินแล้วครับ แต่อยากกินไอติมอีก”



“ร้านไหนล่ะ”



“เซเวนเซ่นในห้างก็ได้ พี่กาลจะได้ไม่ร้อน”



ความห่วงใยที่ปูนให้อีกฝ่ายไม่แพ้กันถูกตอบแทนด้วยการกดจูบเบาๆบนริมฝีปากก่อนที่รถคันงามจะเคลื่อนออกไปจากมหาวิทยาลัยและหยุดลงตรงห้างใกล้ๆที่มีคนพลุกพล่านพอสมควร ปูนเลือกไอศกรีมที่ตัวเองอยากกินแล้วสั่งกาแฟมาให้คนที่ไม่ชอบของหวานสักเท่าไหร่ พวกเขากินกันไปคุยกันไปโดยที่ส่วนมากจะเป็นปูนที่ทำให้บทสนทนานั้นถูกต่อเติมไปเรื่อยๆ



“วันนี้ผมต้องไปทำงานที่ร้าน พี่กาลอยากไปด้วยกันไหม”



“ทำงานอีกแล้วหรอ อีกไม่กี่วันจะสอบอยู่แล้วไม่ใช่รึไงเรา”



รัตติกาลเคาะหัวของปูนเบาๆเพราะนึกเป็นห่วงคนที่ทำงานหนักจนเขานึกสงสัยว่าปูนเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ



“เจ็บนะ หนังสือปูนอ่านแล้วเหอะ”



“ตอนไหน?”



“ก็...ตอนที่พี่กาลไม่อยู่ด้วยไง”



ปูนตอบอ้อมแอ้ม ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเขาจงใจให้คำตอบนั้นสะกิดใจคนฟังบ้าง คิดถึง...อยากให้มาหา...แต่ก็รู้ว่าเรียกร้องไม่ได้



“ขอโทษที...รพีเพิ่งหายป่วยน่ะ”



“ไม่เป็นไรครับ แล้วน้องพีหายดีรึยัง พี่กาลถึงหนีมาหาปูนได้เนี่ย”



ปูนแสร้งเก็บความน้อยใจเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่แสดงออกมาเหมือนทุกครั้ง และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาแสดงได้แนบเนียนหรือรัตติกาลไม่เคยได้สังเกตเห็น ร่างโปร่งถึงได้พูดถึงอาการของลูกชายออกมาได้โดยไม่หวนคิดสักนิดว่าคนที่รอตนเองมาเกือบอาทิตย์กำลังปวดร้าวแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็ยังยิ้ม ยิ้มเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะยิ้มได้ เพราะปูนเองก็ไม่รู้จริงๆว่าความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงนี้จะจบลงในวันใด



นอกเหนือจากเวลามาเรียนและทำงานพวกเขาก็มักจะคลุกอยู่ที่ห้องของปูนมากกว่าการออกไปข้างนอก และเพราะว่าเวลานั้นมีค่าทำให้ร่างเล็กเลือกที่จะปิดช่องทางสื่อสารของตัวเองแทบทุกทางเพื่อให้ไม่มีอะไรมารบกวนความสุขเล็กๆน้อยๆที่เขาได้รับมาจากคนที่นับวันก็ยิ่งเปลี่ยนไปจนปูนเริ่มกลัว



“พี่กาลกินข้าวได้แล้วครับ กำลังร้อนๆเลย”



ปูนตะโกนเรียกรัตติกาลที่กำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องส่วนเขากำลังยกอาหารที่ทำจากของทะเลซึ่งเป็นของฝากจากหัวหินที่รัตติกาลซื้อมาให้แทนคำขอโทษที่ต้องทิ้งเขาไว้ที่บางแสน ในขณะที่ตัวเองกลับไปสนุกอยู่กับลูกชายที่ปากบอกว่าเกลียดแต่การกระทำหลายอย่างนั้นตรงกันข้าม แต่นั่นกลับไม่ทำให้เขาเจ็บใจเท่าความจริงอีกข้อที่ปูนเพิ่งค้นพบมันเมื่อเช้า



เขาเห็นนายอารัณย์นั่น...ถือของฝากแบบเดียวกันออกไปเมื่อเช้า



ร่างเล็กไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีหรือร้ายที่ต้องรับรู้ความจริงหลายอย่างทั้งที่ใจไม่อยากรู้ เขาอยากถามรัตติกาลว่ายังเกลียดชายคนนั้นอยู่ไหม ยังคงชิงชังและแค้นเคือง...เหมือนที่เคยเป็นมารึเปล่า แต่ปูนกลับไม่กล้าถามเมื่อเห็นสายตาของรัตติกาลที่มองไปยังประตูของห้องตรงข้าม...ห้องของอารัณย์



เด็กหนุ่มเก็บความสงสัยที่กัดกร่อนหัวใจไปอีกครั้งแล้วใช้ชีวิตเหมือนคนโง่งม เขายิ้มให้รัตติกาล ยิ้มเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะยิ้มได้ เพราะปูนไม่รู้จริงๆว่าเวลาของเขาจะหมดลงตอนไหน เขาจึงทำได้แค่ภาวนาให้ความสุขที่แสนเจ็บปวดนี้ยังคงดำเนินต่อไป



แต่พระเจ้า...คงไม่ได้ยิน





:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #366 เมื่อ06-05-2016 20:18:56 »




“ปูน เมื่อเกี้มาคนมาเคาะห้องน่ะ”



“หรอครับ ปูนไม่เห็นได้ยินเลย”



ก็อกๆๆ...



คราวนี้ปูนได้ยินเสียงเคาะห้องนั้นอย่างชัดเจน แต่เพราะฟองน้ำยาล้างจานบนมือทำให้รัตติกาลต้องเป็นฝ่ายเดินไปเปิดมันแทน ปูนรีบล้างมืออย่างลวกๆเขาเช็ดฝ่ามือที่เปียกชื้นกับขากางเกงของตัวเองก่อนจะเดินไปดูว่าเป็นใครที่มาหา



“คุณลุง...”



“ว่าไงปูน มัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงต้องให้แขกมาเปิดประตูให้”



ปูนนิ่งอึ้งไปเมื่อจู่ๆคนที่ไม่น่ามาอยู่ที่นี่อย่างลุงวิทย์กำลังยืนส่งยิ้มมาให้เขาพร้อมกับขนมไทยหอบใหญ่ที่ไม่ดูก็รู้ว่าในนั้นคงมีแต่ของโปรดของปูนอยู่เต็มไปหมด ร่างเล็กรีบเข้าไปรับมาถือไว้เองโดยมีรัตติกาลคอยช่วยเหลือ



“ลุงครับ นี่รัตติกาล...รุ่นพี่ของปูนเอง”



“สวัสดีครับ”



ปูนเลี่ยงที่จะใช้คำว่าคนรัก หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าสถานะนั้นสามารถนิยามความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรัตติกาลได้หรือไหม และสองคือความรู้สึกของผู้ใหญ่ที่ปูนให้ความเคารพรัก



“ไม่เคยเห็นเราเล่าให้ฟังเลย”



“ปูนมารู้จักพี่เขาตอนทำงานที่ร้าน เลยไม่ได้เล่าให้ลุงฟังน่ะครับ”



“ร้าน? นี่ปูนยังไม่เลิกทำงานในที่แบบนั้นอีกหรอ”



“คือปูน...”



“เข้าไปคุยกันข้างในห้องเถอะครับ ปูน เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”



รัตติกาลพูดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าการพูดคุยของสองลุงหลานไม่ควรมีเขาอยู่ตรงนี้ ปูนจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆให้แล้วบอกร่างโปร่งว่าเขาจะโทรหาที่หลัง



“อืม คุยกับลุงดีๆล่ะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก”



“ครับ...ขอโทษด้วยนะ”



“อืม อย่าคิดมาก”



รอยยิ้มและความห่วงใยของรัตติกาลทำให้ปูนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มันจะถูกความลำบากใจกลืนหายไปเมื่อต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่ได้เดินออกไปจากห้องพร้อมกับรัตติกาล



“เดี๋ยวปูนชงกาแฟให้นะครับ”



ปูนว่าก่อนจะเดินนำลุงของตนเข้าไปในห้อง โชคดีที่เขากับรัตติกาลเพิ่งกินข้าวกันเสร็จไปมันเลยยังดูสะอาดและไม่มีอะไรหลงเหลือเป็นหลักฐานมากนัก ปูนไม่ได้อยากปิดบังกับที่บ้านว่าเขาเป็นเกย์ ดีไม่ดีลุงกับป้าอาจจะรู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าเขาเป็นยังไงหากแต่ปูนก็ไม่อยากทำให้คนทั้งคู่ลำบากใจ เพราะสิ่งที่เขาเป็น



“ลุงจะมาทำไมไม่โทรบอกปูนก่อนล่ะครับ ปูนจะได้ไปรับ”



ร่างเล็กพูดพร้อมกับยื่นกาแฟร้อนๆไปให้ญาติผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางนิ่งๆเหมือนเช่นทุกครั้ง สำหรับปูนลุงวิทย์มีความสำคัญไม่ต่างจากพ่อแม่ แต่มันคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะคิดแบบนั้น เพราะในยามที่ปูนลำบากเพราะต้องสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เด็กก็ได้ลุงวิทย์เข้ามาช่วยเหลือทั้งๆที่ลุงเองก็มีลูกสาวอย่างปิ่นอยู่แล้ว



ไม่เคยมีใครบอกว่าปูนเป็นภาระแต่ปูนกลับบอกตัวเองอย่างนั้น



เขาถึงไม่อยากทำให้คนบ้านนี้ผิดหวัง...ไม่อยากเลยจริงๆ







“ถ้าลุงบอกจะได้เจอแกไหม แค่โทรมายังไม่รับสายเลย”



“ขอโทษครับ พอดีที่ผ่านมาปูนยุ่งๆน่ะเลยไม่ได้ติดต่อกลับไปเท่าไหร่”



“เพราะงานนั่นสินะ ลุงบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิก”



ร่างเล็กยิ้มเจื่อนให้ เพราะเรื่องงานบาร์เทนเดอร์เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เขาชอบมันจนต้องขัดใจคนที่บ้าน จะว่าหลงแสงสีก็ใช่ แต่ที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกยามที่ได้สรรสร้างสิ่งใหม่ๆซึ่งมันทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองทุกครั้ง



“ไม่ใช่เพราะงานหรอกครับลุง ปูนแบ่งเวลาได้”



“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น แต่ทำงานอย่างนี้มันไม่ดีไม่รู้รึไง ไหนจะเหล้ายา ไหนจะพวกมั่วสุมคนก็ตีกัน”



“มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกที่หรอกครับ ของแบบนี้มันแล้วแต่คน”



“แล้วผู้ชายคนเมื่อกี้ เขาเป็นอย่างนั้นด้วยไหม”



“...!!”



รอยยิ้มของปูนหายไปก่อนร่างเล็กจะก้มหน้าลงมองตักของตัวเองแทนที่จะสบตากับลุงที่มองมาอย่างคาดคั้น



“เราเป็นอะไรกับมัน”



“พี่กาลเขา...เป็นรุ่นพี่ครับ”



“อย่าโกหกลุงนะปูน”



“...”



“เลิกยุ่งกับมันซะ ปูนคงไม่อยากทำให้ลุงผิดหวังหรอกใช่ไหม”



น้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคอไปพร้อมกับความไม่เข้าใจว่าทำไมลุงถึงตั้งแง่กับรัตติกาลขนาดนั้น แต่ปูนก็ไม่กล้าถามพอๆกับที่ไม่กล้าขัดคำสั่งของลุงที่บอกให้ปูนกลับไปค้างที่บ้านอย่างน้อยอาทิตย์ล่ะสามวันทำให้เวลาที่เขาจะได้พบกับรัตติกาลนั้นก็พลอยลดหายลงไปด้วย



“พี่ปูน ทำอะไรอยู่หรอ”



ปิ่น...น้องสาวไม่แท้ของปูนที่ยังคงสวมใส่ชุดนักเรียนมอปลายเดินเข้ามาถามเพราะเห็นพี่ชายที่เธอรักเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ไม่ยอมลุกเดินไปไหนมานานแล้ว ปิ่นพยายามชะโงกหน้าเข้าไปดูแต่ก็ถูกปูนดันหัวกลมๆนั้นออกมา



“ยุ่งน่า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วไป”



“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จปิ่นค่อยไปอาบน้ำทีเดียว”



คำผัดวันประกันพรุ่งของน้องสาวทำให้ปูนต้องส่ายหัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะเขยิบเข้ามานั่งชิดโซฟามากขึ้นจนปิ่นสามารถนั่งลงข้างๆกันได้



“ว่าแต่จะไม่บอกปิ่นจริงๆหรอว่าพี่ปูนนั่งจ้องมือถือทำไม”



“ไม่”



“รอโทรศัพท์แฟน?”



“...”



“…”



“ก็...คงงั้น”



“เอาจริงดิ พี่ปูนมีแฟนแล้วหรอ!”



ปิ่นเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจจนปูนตะครุบปากเล็กๆนั่นแทบจะไม่ทัน ร่างเล็กมุ่ยหน้ายิ่งเมื่อด้วยตาแวววับของปิ่นนั้นมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนน่าหมั่นไส้



“เงียบๆสิปิ่น เดี๋ยวลุงวิทย์ก็ได้ยินหรอก”



“ขอโทษๆ แต่ปิ่นตื่นเต้นอ่ะ โอ้ยดีใจพี่ชายปิ่นขายออกแล้ว”



คำพูดของปิ่นจุดรอยยิ้มเล็กขึ้นบนใบหน้าของปูนได้ เขาลูบหัวน้องสาวที่เข้ามากอดเขาไว้เสียจนแน่นแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกับตอนเด็กๆที่ปิ่นมักจะทำแบบนี้กับปูนเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาร้องไห้เพราะคิดถึงพ่อกับแม่ หรือแม้แต่เวลาที่ดีใจที่เล่นเกมชนะ



“เขาเป็นใครหรอพี่ปูน ปิ่นรู้จักไหม ปิ่นเคยเจอเขารึเปล่า”



“ปิ่นไม่รู้จัหรอก พี่รู้จักเขาตอนทำงาน”



“อ่อ ลูกค้าพี่หรอ”



“อืม ชื่อพี่กาล”



ปูนพูดก่อนจะยอมเปิดรูปของรัตติกาลในอิริยาบถต่างๆที่เขาแอบถ่ายไว้ให้ปิ่นดู เด็กสาวพอเห็นใบหน้าหวานคมนั่นเข้าก็ออกอาการดี้ด้าจนปูนอดที่จะอมยิ้มภูมิใจไม่ได้



“โคตรหล่ออ่ะ ดูท่าจะรวยด้วย”



“อืม แต่พี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก พี่ชอบตรงที่พี่กาลเขาใจดี”



“ใจดี? ถ้าใจดีแล้วทำไมพี่กาลคนนี้ถึงปล่อยให้พี่ชายปิ่นต้องรอล่ะคะ”



ปิ่นถามออกมาด้วยความสงสัยโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันบาดใจคนฟัง ซ้ำรอยแผลที่ยังไม่ทันหายดีในอกให้เจ็บยิ่งขึ้น รอยยิ้มของปูนจางลงก่อนที่ดวงตาเศร้าจะปรากฏขึ้นมาแทน



“พี่กาลเขา...ยุ่งๆน่ะ”



“แบบนี้ใช้ไม่ได้นะคะ ต่อให้ยุ่งยังไงก็ไม่น่าจะปล่อยพี่ปูนไว้แบบนี้ แล้วอย่าบอกนะว่าที่พี่กลับบ้านบ่อยๆช่วงนี้เพราะพี่กาลอะไรนี่เหมือนกัน”



“ก็เปล่าหรอก พี่แค่คิดถึงบ้านน่ะ”



ปูนเลือกที่จะไม่พูดเรื่องคำสั่งของลุงวิทย์เพราะไม่อยากให้สองพ่อลูกมีปัญหากัน ปิ่นเป็นเด็กว่าง่ายมาแต่ไหนแต่ไร แต่ปูนก็มั่นใจว่าหากปิ่นรู้ว่าพ่อของตัวเองพูดอะไรกับเขา น้องสาวคนนี้ก็พร้อมที่จะออกโรงรับแทนเหมือนกัน



“แล้วพี่ปูน ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ใช่ไหม”



“อืม พี่ไม่อยากให้ลุงกับป้าไม่สบายใจอีกอย่างอะไรๆก็ยังไม่แน่นอน พี่เลยว่าเงียบๆไปก่อนดีกว่า”



“ปิ่นไม่เห็นว่าพี่ปูนจะต้องปิดบังอะไรเลยนะคะ พ่อปิ่นรักพี่ปูนจะตาย พ่อไม่มีทางรังเกียจสิ่งที่พี่เป็นแน่ๆ”



จะเป็นอย่างนั้นแน่หรอ...ปูนพูดแค่ในใจในขณะโดยที่ภายนอกไม่ได้แสดงความวิตกกังวลออกมาให้ปิ่นเห็น ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่อย่างนั้นเสียจนเกือบค่ำเพราะว่าปิ่นเอาแต่รบเร้าให้ปูนเล่าเรื่องของรัตติกาลให้ตัวเองฟังโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องมาทางนี้อยู่ตลอดเวลา



ด้วยความที่ได้ระบายให้ปิ่นฟังบ้าง การดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีรัตติกาลของปูนจึงไม่อาภัพสักเท่าไหร่ ถ้าถามว่าคิดถึงไหมปูนก็คงตอบว่าคิดถึงมากแต่เขาก็ไม่อยากทำให้คนที่รักเขาลำบากใจมากไปกว่านี้การสอบเซมิโปรเจ็คใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนปูนต้องลดเวลาทำงานของตัวเองลงอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนอย่างในวันนี้ที่ร่างเล็กต้องอยู่ทำรายงานที่ห้องสมุดตั้งแต่เช้าจนกระทั่งสามทุ่มงานจะยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งเลย



“ทำโปรเจ็คอยู่หรอปูน มีอะไรให้เราช่วยไหม”



ในขณะที่ปูนกำลังก้มๆเงยๆอยู่กับหนังสือ ผู้ชายที่ร่างเล็กจำได้ว่าเป็นคนออกปากชวนให้เขาไปกินไอศกรีมด้วยกันตอนวันเกิดก้อยก็เอ่ยทักพร้อมกันนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆอย่างถือวิสาสะ



“อืม แต่ไม่เป็นไร เราทำใกล้จะเสร็จแล้ว”



“ไหนดูสิ ยังทำบทที่สองอยู่เลยไม่ใช่หรออีกตั้งเยอะแน่ะกว่าจะเสร็จ”



ได้ฟังอย่างนั้นปูนก็ฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ในใจด่าไปแล้วว่ามึงจะเสือกอะไรด้วยแต่เขาก็ไม่อยากมีปัญหา โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าก้อยกำลังเดินถือกาแฟสดสองแก้วมาทางนี้



“อ้าวปูน มาทำงานที่นี่เหมือนกันหรอ”



“อืม แต่กำลังจะกลับแล้วล่ะ”



ปูนโกหกคำโตก่อนจะทำท่าเป็นรวบหนังสือและปิดโน้ตบุ๊กที่ยังทำงานไม่เสร็จ แต่แทนที่จะต้องอยู่เจอเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญเขาขอไปเองดีกว่า



“เฮ้ย จะไปไหนล่ะอยู่ทำที่นี่ก่อนสิ”



แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออก ปูนอยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายเหลือเกินว่าช่วยหันกลับไปมองหน้าผู้หญิงของมึงด้วยว่าน่ากลัวขนาดไหน



“ไม่เป็นไร ก้อยกับ...เออ นายชื่ออะไรนะ มานั่งโต๊ะนี้ต่อก็ได้เราจะไปแล้ว”



“อะไรกัน เรียนด้วยกันมาตั้งนานปูนไม่รู้จักชื่อเราหรอ”



“อืม ไม่รู้จักหรอก”



ปูนหวังว่าการบอกอย่างอ้อมๆว่าไม่สนใจของเขาจะใช้ได้ผลแต่มันก็ไม่ใช่ คนที่ปูนจำชื่อไม่ได้แสร้งทำหน้าบึ้งอยู่สักพักก่อนจะยิ้มร่า



“เราชื่อแมน คราวนี้จำให้แม่นๆแล้วอย่าลืมอีกนะ”



ร่างเล็กไม่คิดจะตอบรับคำพูดนั้น เพราะทันทีที่แมนพูดจบเขาก็เดินออกมาจากโต๊ะแทบจะทันทีแม้ว่าก่อนจะผละออกมาเขาจะสบเข้ากับแววตาเกรี้ยวกราดของก้อยที่มองมาอย่างไม่คิดปิดบังมันเหมือนทุกครั้ง ปูนถอนหายใจหนักๆ ถึงเขาจะไม่ได้คบคนในเอกเป็นเพื่อนสนิทเลยแต่ก็ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นศัตรูกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะหากเป็นศัตรูเรื่องความรัก...ที่เขามีอยู่ตอนนี้มันก็เยอะมากเกินพอแล้ว



ปูนใช้บริการวินมอเตอร์ไซด์เพื่อกลับมายังหอพัก เขาเดินผ่านลาดจอดรถที่มีรถมอเตอร์ไซด์ของอารัณย์จอดอยู่ในจุดๆเดิมอย่างนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว เขาไม่อยากสนใจนักหรอกว่าหมอนี่มันจะไปไหนหรือทำอะไร แต่ใจเหงาๆมันก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่ชายคนนี้ไม่กลับมาที่นี่มันอาจจะมีส่วนกับการที่รัตติกาลไม่ติดต่อเขามาเลยสักครั้ง



“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก...มันต้องไม่เป็นแบบนั้น”



ร่างเล็กกระชับมือที่กำลังถือกระเป๋าแล้วเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามองมอเตอร์ไซด์คันนั้นอีก เขารีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นหวังจะปล่อยวางกระเป๋าที่หนักอึ้งเช่นเดียวกับหัวใจแต่พอได้ทำอย่างนั้นความอึดอัดนี้ก็ไม่ได้คลายลงไปด้วย เขาถอนหายใจหนักๆแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความลังเลใจ



อยากโทรไปหา...แต่ก็ไม่กล้า



ปูนกลัว...กลัวว่าหากโทรไปแล้วเวลาของเขาและรัตติกาลจะหมดลง



ความกลัวและความใคร่รู้ตีรวนในอกจนใจดวงน้อยๆสับสนเหนือคณานับ ปูนกดโทรออกเบอร์ของรัตติกาลแล้วตัดสายไปก่อนที่สัญญาณจะถูกต่อ เขาทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยๆเพราะคิดว่าความสับสนนี้จะทุเลาเบาบางลงแต่ก็ไม่ใช่ จนสุดท้ายร่างเล็กก็ตัดสินใจ เปิดโปรแกรมบันทึกเสียงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วใส่ความไม่สบายใจของตัวเองลงไปในนั้น







“พี่กาลครับ...ตอนนี้พี่อยู่ไหน ทำไมพี่ไม่ติดต่อผมมาบ้าง พี่ยังสบายดีไหม งานยุ่งมากเลยหรอครับ พี่มีอะไรอยากให้ผมช่วยบ้างรึเปล่า พี่บอกผมได้นะ...”





“...”



“พี่กาลครับ...ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน พี่อยู่กับใครทำไมถึงไม่โทรหาผมเลย ผมคิดถึงพี่ คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”



ความรู้สึกที่แท้จริงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสุดจะกลั้นมือเล็กๆที่ถือโทรศัพท์ไว้สั่นอย่างรุนแรงจนมันเกือบจะตกลงมาแต่ปูนก็ยังพยายามประคองมันไว้เหมือนกับความรู้สึกของเขาเอง



“อย่าทิ้ง ฮึก อย่าทิ้งผมไปได้ไหม ขอร้องล่ะ”



น้ำตาหยดเล็กๆไหลลงมาอาบน้ำ ปูนปล่อยตัวเองให้ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะพยายามตั้งสติเพราะเริ่มจะปวดหัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงบันทึกทุกอย่างไว้ ใจหนึ่งก็อยากส่งมันไปให้รัตติกาลแต่สุดท้ายปูนก็ทำได้เพียงยิ้มเยาะตัวเองที่คิดบ้าๆแบบนั้น ร่างเล็กบอกตัวเองให้อดทนไว้แล้วหมายจะปิดมันเสียที แต่แล้วจู่ๆเสียงแตกของกระจกก็ดังขึ้น



เพล้ง!



เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดแรงจนเผลอปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น เขาหันไปมองทางต้นเสียงเพื่อหาสาเหตุของมันแต่ปูนกลับต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม



“ละ ลุงวิทย์”



ชายที่ดูสุภาพมาตลอดบัดนี้กลับทำสีหน้าขึงขังจนปูนไม่รู้แล้วว่าลุงของตนกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน หากแต่เมื่อหันไปมองซากกระจกที่ครั้งหนึ่งมันเคยประดับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งปูนก็เริ่มรู้สึกถึงความกลัวแบบนี้เป็นครั้งแรก



“ลุงครับ...ทำไม”



“ทำไมไม่กลับบ้าน”



“...?!”



“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้อยู่ที่นี่”



สรรพนามที่ลุงใช้เรียกเขาเปลี่ยนไปแต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจเท่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา จริงอยู่ที่พักหลังมานี้ลุงวิทย์พยายามหว่านล้อมให้ปูนย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน แต่เพราะเรื่องแค่นั้นมันทำให้ลุงต้องโมโหถึงขนาดนี้เลยหรอ



“วันนี้ผมไปทำรายงานที่มหาลัยมาครับ กลับมานอนที่นี่มันใกล้กว่า”



“หึ ทำงานหรือไปทำอย่างอื่นกันแน่”



“ครับ??”



“สารภาพมาซะ แกมัวแต่ไปคลุกอยู่กับผู้ชายใช่ไหมเลยไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง กลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ห๊ะปูน!!”



ร่างเล็กถอยล่นไปทางด้านหลังเพราะผงะหนีคนที่ก้าวเข้ามาจนปูนไม่ทันได้ตั้งตัว ปูนมองลุงของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามลุงวิทย์ก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวแล้วบีบไหล่เล็กของปูนเข้าเต็มแรง



“โอ้ย! ลุงครับ ผมเจ็บ!”



“ตอบฉันมาสิ! ว่าทำไมแกถึงเป็นคนแบบนี้ ฉันเลี้ยงแกไม่ดีพอรึยังไง!”



“ปูนขอโทษ ฮึก ปูนขอโทษ”



ปูนขอโทษทั้งที่ไม่เข้าใจความผิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เพราะคำขอโทษที่ไร้ความจริงใจนี้ทำให้คนที่ถูกอารมณ์ครอบงำค่อยๆยอมคลายแรงที่บีบไว้แล้วแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่ปูนอย่างเอาเรื่อง



“อย่าให้ฉันรู้ว่าแกยังทำตัวแบบนี้อีก ฉันเลี้ยงแกให้โตมาเป็นคนดีไม่ใช่มาเป็นพวกวิปริตแบบนี้เข้าใจไหม”



“...”



“ฉันถามว่าเข้าใจไหม!”



“เข้าใจครับ...ผมเข้าใจแล้ว”



เด็กหนุ่มกัดฟันตอบไปอย่างจำนน เขาหลับตกลงเพราะไม่อยากทนเห็นสิ่งที่สร้างความผิดหวังให้หัวใจนี้อย่างร้ายกาจ คนที่เคยอ่อนโยนกับเขาเสมอเปลี่ยนไป...คนที่ปูนคิดว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายปูนกลับเหยียบย้ำความคิดนั้นลงเพียงเพราะสิ่งที่เขาไม่อาจเลือกได้



หัวใจที่มีไว้เพื่อรักใคร...เขาเลือกทางที่ถูกต้องให้มันไม่ได้จริงๆ




.

.

.

.

.

.

.

.



ร่างที่อยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวอยู่ผงะเล็กน้อยเมื่อเจอกับอากาศหนาวด้านนอกโรงพยาบาลที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับราคาของมัน หากแต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อวงเงินที่กำหนดไว้ใช้ในเดือนนี้พร่องไปแล้วเสียกว่าครึ่งเพราะหนังสือกองใหญ่ที่วางไว้เต็มห้อง เรียกได้ว่าซื้อเกินงบมามากโข ช่วยไม่ได้...เสื้อโค้ทตัวใหม่คงต้องรอเดือนหน้า



ตื๊ดๆ



ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังลิสรายชื่อหนังสือเล่มใหม่ที่ตัวเองอยากได้อยู่ในหัวเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา









‘ช่วยด้วย’









-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

ช่วยด้วย...ช่วยมาต่อตอนต่อไปด้วย คิดแบบนั้นกันอยู่ใช่ม้าาาา =w= ฮี่ๆ รอไปก่อนนะคับ หลังจากวันนี้ทั้งสอบทั้งงานยิงยาวถึงวันเกิดเช่เลย (แอบหยอดวันเกิดตัวเองเบาๆไปแล้วในเรื่อง ฮ่าๆๆๆ) :L2:
อ่านตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งงงกับพฤติกรรมของมนุษย์ลุงนะคับ อ่านๆไปคงจะเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ทุกการกระทำของคนเรามันมีสาเหตุเสมอแหละเนอะ หลังจากนี้จะเป็นพาร์ทปัจจุบันสลับกับอดีตไป ในส่วนของอดีตมันค่อนข้างซับซ้อน แต่เช่จะอธิบายไว้นะคับว่าถ้าเทียบกับทามไลน์เรื่องนั้นจะตรงกับตอนไหนบ้าง อย่างตอนนี้ก็จะตรงกับตอนที่23 คือลุงมาแล้วพี่กาลยุ่งเรื่องที่บริษัทโดนขโมยข้อมูลนะคับ

ป.ล. อากาศร้อนมาก ดูแลตัวเองกันด้วยนะ

ป.ล.ล. อยากพักร้อน :katai5:


ออฟไลน์ Fujung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 180
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #367 เมื่อ06-05-2016 21:34:07 »

โถ ลูกทำไมหนูดูไร้ที่พึ่ง :mew2:
มานี่ๆ  บ้านพี่ยังว่างอีกหลายห้อง
ห้ะ!!ไรนะ มีผัวแล้ว :a5:
 
โถ ลูกถ้าผัวมันเข้าใจยากหนักก็หาใหม่สิ
สวยๆอย่างเรา  เลือกได้ :a14:

ออฟไลน์ mass

  • "Smile! It increases your face value." -Steel Magnolias (1989)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #368 เมื่อ06-05-2016 21:54:06 »

อ่าาาาาาา ค้างค่ะ  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #369 เมื่อ06-05-2016 22:06:39 »

ลุงต้องขู่อะไรน้องแน่ๆเลย ใช่ไหมมมมมมมมม  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
« ตอบ #369 เมื่อ: 06-05-2016 22:06:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #370 เมื่อ06-05-2016 23:29:14 »

ชีวิตหนอชีวิต

ออฟไลน์ Toho48

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #371 เมื่อ09-05-2016 21:01:30 »

ต้องอ่านสองรอยถึงจะเข้าใจ แต่ว่ามันมากค่ะ ความเช่นี่ลอยมาเลย :laugh:

ออฟไลน์ Toho48

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #372 เมื่อ13-05-2016 19:11:41 »

ปูเสื่อรอจ้่า  ฮึบๆ :katai5:

ออฟไลน์ Yumyumsdoll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่35][060559]
«ตอบ #373 เมื่อ16-05-2016 00:41:30 »

 :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #374 เมื่อ25-05-2016 20:04:19 »



แตกที่ 36

…การช่วยเหลือ...








ไอเย็นจางๆจากเครื่องปรับอากาศและแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้คนตัวโตรู้ว่าช่วงเวลาแห่งการดำเนินชีวิตของผู้คนได้หมดลงไปแล้วอีกวัน  หากแต่คณิตที่ควรจะหลับใหลไปพร้อมกับมันกลับยังคงนอนลืมตาและฟังเสียงความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องผิดกับเสียงในหัวของเขาที่กำลังร้องตะโกนอย่างไม่ยอมหยุดพัก ขวดยาไทลินอลที่วางอยู่บนหัวเตียงช่วยให้อาการปวดหัวของเขาทุเลาเบาบางลงตามสรรพคุณของยา หากแต่อาการง่วงซึมอันเป็นผลกระทบจากมันที่คณิตหวังกลับไม่เกิดขึ้นไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่





คำพูดของฤทธิชาติทุกคำยังคงแล่นอยู่ในหัวของเขา เรื่องราวในอดีตของปูนถูกบอกเล่าออกมาจนเหมือนกับว่าเขาได้เข้าโลดแล่นอยู่ในโลกใบนั้น...โลกที่ทั้งโหดร้ายและไร้เหตุผล โลกที่ทั้งเหน็บหนาวและไร้ซึ่งเสียงใดๆนอกจากเสียงร้องไห้ของเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่มีใครได้ยิน





แม้แต่ตัวเขาเอง...






.

.

.

.

.

.



ว่าคดีของรัตติกาลซับซ้อนแล้ว หัวใจของรัตติกาลกลับซับซ้อนยิ่งกว่า หากแต่จะถามฤทธิชาติว่าในเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ซับซ้อนบ้างก็คงจะเป็นความรู้สึกของอารัณย์ผู้เป็นเพื่อนนี่แหละ





“กูไปแล้วนะ จะออกจากห้องเมื่อไหร่ล็อคห้องให้ด้วยแล้วกัน”





อารัณย์สะพายเป้ใบใหญ่ไว้บนบ่าทั้งๆที่แผลจากกระสุนที่แขนยังคงระบมอยู่มาก ฤทธิชาติมองคนตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมา แค่ลองพูดสะกิดใจเข้าหน่อยก็กลายมาเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองอย่างง่ายดาย...ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด





“ครับ ว่าแต่จะตรงไปหากาลเลยรึเปล่า”





“อืม...แต่ก่อนอื่น กูต้องจัดการเรื่องนั้นก่อน”





ไม่ต้องให้อารัณย์อธิบาย ฤทธิชาติก็รู้ได้ทันทีว่าสถานที่ที่เพื่อนคนนี้จะไปก็คือที่ที่พี่สาวของอารัณย์อย่างพะแพงอาศัยอยู่กับครอบครัวใหม่โดยที่ไม่รู้เรื่องราววุ่นวายของคนทางนี้ พวกเขาทั้งคู่บอกลากันอีกครั้ง อารัณย์ก็กำลังออกเดินทางเพื่อทำตามหัวใจตัวเอง ในขณะที่ตัวเขาเองกลับยังต้องอยู่ทางนี้เพื่อทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์





นายตำรวจหนุ่มดูหลักฐานต่างๆเพิ่มเติมพร้อมกันนั้นก็โทรสั่งการลูกน้องฝีมือดีให้สืบเรื่องของมือปือสองรายนั้นเพิ่ม นอกเหนือจากเรื่องของรัตติกาลต้องยอมรับว่ามันสองคนสร้างความรำคาญใจให้เขาไม่น้อย เป็นแค่มือปืนกระจอกๆแต่ดันริอาจก่อคดีกลางเมืองใหญ่อย่างไม่มีความกลัวใดๆ ให้ตายสิ หงุดหงิดชะมัด น่ารำคาญ...น่ารำคาญ…





โครม!





ดวงตาที่กำลังเพ่งอยู่กับรูปจากกล้องวงจรปิดหันไปมองทางประตูที่จู่ๆก็เกิดเสียงเหมือนมีอะไรมากระแทกเข้าอย่างจัง ฤทธิชาติลังเลว่าควรจะเดินไปดูมันไหม เพราะนี่ไม่ใช่ทั้งห้องของเขาและไม่ใช่เรื่องของเขา อาจจะเป็นแค่คนเมาเดินเตะประตูก็ได้แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่ฤทธิชาติหันกลับมา เสียงพูดคุยที่แทบจะกลายเป็นการตะโกนของคนสองคนก็ดังขึ้น





“ทำไมกลับมาตอนนี้ แกไปไหนมา!!”





“ผมไปทำงานมา โอ้ย! ลุงปล่อยผมนะ!”





“ไปทำงานหรือไปหาผู้ชายคนนั้นกันแน่ วันก่อนมันก็โทรมาหาแกใช่ไหม ทำไมแกไม่ฟังคำสั่งฉันห๊ะปูน แกจะทำให้ฉันผิดหวังไปถึงไหน!!!”





ชื่อของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่กำลังคู้ตัวลงกับพื้นเมื่อชายอีกคนทำท่าง้างมือขึ้นแล้วใกล้จะหวดมันลงมาสร้างความสนใจและแปลกใจให้ฤทธิชาติมาก แต่มันก็ไม่มากเท่าความไวของร่างกายที่รีบตรงเข้าไปคว้ามือของคนที่หมายจะทำร้ายไว้





“คุณคิดจะทำอะไร”





ฤทธิชาติเผลอใช้น้ำเสียงจริงจังที่ไม่เหมาะกับนิสัยของเขาสักเท่าไหร่ แต่จากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงตรงหน้าและสภาพของเด็กคนนี้มันกลับทำให้เขาทำทีเล่นทีจริงไม่ออก





“อย่าเสือก!”





“การทำร้ายร่างกาย เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้นะครับ”





ได้ผลชะงักเมื่อนายตำรวจหนุ่มลองยกข้อกฎหมายขึ้นมาอ้างชายคนนี้จึงมีทีท่าสงบลงบ้าง หากแต่ดวงตาที่แสดงความเกรี้ยวกราดนั้นยังคงจับจ้องมายังคนที่พยายามเขยิบตัวหนีไปให้ไกลที่สุด อืม...ดูเหมือนว่าขาจะเจ็บนะ





“กูกับมันเป็นญาติกัน คนนอกอย่ามายุ่งนักเลย”





ชายมีอายุกัดฟันพูดอย่างมีน้ำโห อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่อย่างเคยแต่ก็กลัวจะเสียเปรียบเลยพยายามหาทางกันคนนอกออกไปจากเรื่องนี้ให้ได้ก่อน หากแต่ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงขายาวสีกากีกลับยิ้มกว้างก่อนจะพูดออกมา





“พอดีผมเป็นตำรวจน่ะครับ ถึงไม่อยากยุ่งแต่หากเป็นเรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนคงทำตัวไม่คุ้มภาษีไม่ได้”





ฤทธิชาติแทบจะหลุดขำเมื่อใบหน้าของชายคนนี้แทบจะไร้สีเลือด...แค่นี้คงจะพอแล้วล่ะมั้ง





“ผมว่าคุณกลับไปสงบจิตสงบใจก่อนนะครับ ไม่ว่าจะทะเลาะกันเรื่องอะไรแต่อย่าให้ถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันเลย ส่วนแผลของเด็กคนนี้ผมจะจัดการให้เองครับ ขออนุญาตให้เขาอยู่กับผมก่อนแล้วกัน”





“แก...”





“ครับ? มีปัญหาอะไรหรอ”





ฤทธิชาติจงใจส่งการคุกคามผ่านทางสายตาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจมันได้เลยค่อยๆถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก ชายคนนั้นไม่พูดอะไรกับคนที่เอาแต่กอดเข่าอยู่บนพื้นอีกแต่ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าเรื่องมันไม่มีทางจบง่ายๆแบบนี้แน่





“ลุกไหวไหม”





ปูนเงยหน้าขึ้นจากเข่าของตัวเอง เขามองฝ่ามือใหญ่ๆที่ยื่นตรงมาให้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย...ชิงชัง...ระแวง...ไม่ไว้ใจ...ถึงจะเป็นแค่เสี้ยววินาทีแต่ปูนก็จำได้ว่าชายคนนี้เดินออกมาจากห้องของใคร





“อย่าเสือก”





ฤทธิชาติโคล้งศีรษะเมื่อได้ยินอย่างนั้น เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วว่าสองคนนี้คงเป็นญาติกันจริงๆ...พูดเหมือนกันเป๊ะ





“ผมก็ไม่อยากเสือกหรอกนะครับ แต่คุณนั่งขวางอยู่ผมเลยเข้าห้องไม่ได้”





คำพูดของฤทธิชาติทำเอาปูนรู้สึกชานิดๆที่ใบหน้า ร่างกายที่ทั้งเหนื่อยล้าและบอบช้ำจึงพยายามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะข้อเท้าที่เริ่มบวมเป่ง นายตำรวจหนุ่มมองคนอวดเก่งที่เอี้ยวตัวไปสัมผัสข้อเท้าของตัวเองแล้วถอนหายใจ





“เฮ้อ จะดิ้นก็ได้แต่อย่าร้องนะครับ ผมรำคาญ”





ทันทีที่พูดจบฤทธิชาติก็อุ้มปูนขึ้นมาแต่ทันทีที่เขาแตะร่างกายที่ภายนอกดูปกติดี ร่างกายเล็กๆของคนที่พยายามทำเป็นสงบมากตลอดกลับกลับสะดุ้งเฮือกแล้วทำหน้าเหยเก





“โอ้ย!”





ฤทธิชาติปิดปากเงียบแล้วเลือกที่จะอุ้มปูนเข้าไปในห้องของอารัณย์ที่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดไว้แทนที่จะเป็นห้องของเจ้าตัว ร่างเล็กไม่ดิ้นสักนิด ปูนทำแค่หลุบสายตาลงไม่อยากมองเห็นว่าคนที่มาช่วยเหลือมีสีหน้ายังไง สงสารเขาไหมหรือว่าจะสมเพช...ปูนไม่อยากเห็นมันเลย





“นั่งตรงนี้ แล้วถอดเสื้อผ้าออกให้หมด”





ฤทธิชาติวางปูนลงบนเตียงของเพื่อน เขาออกคำสั่งแล้วเดินไปหยิบกะละมังและผ้าขนหนูผืนเล็กที่พอจะหาได้มาเตรียมไว้ ส่วนปูนก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่คิดจะทำตามคำพูดของฤทธิชาติแต่อย่างใดจนกระทั่งนายตำรวจหนุ่มเดินกลับมา





“เวลาที่นิลดื้อผมมองว่ามันน่ารัก แต่สำหรับคุณนี่น่าตีซ้ำให้เจ็บกว่าเดิม”





“หึ...อยากทำก็ทำสิ”





“ไม่ล่ะครับ ผมไม่เอาอนาคตตัวเองมาทิ้งไว้กับคุณหรอก”





ชายหนุ่มวางกะละมังใบเล็กลงกับพื้นใกล้ๆก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนโดยไม่ขอคำอนุญาตจากเจ้าของ เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด...เพียงแค่กระดุมเม็ดแรกเขาก็เห็นรอยช้ำแดงม่วงประดับไว้บนผิวกายขาวที่ออกอาการสั่นน้อยๆราวกับว่ากำลังหวาดกลัวแล้วพอเงยหน้าขึ้นมองก็เป็นอย่างที่คาด





“ไม่ต้องกัดปากตัวเองอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”





ปูนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่อเพื่อนของอารัณย์ผู้เป็นศัตรูหัวใจได้แค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็ยอมนั่งนิ่งๆให้ชายคนนี้ถอดเสื้อผ้าของเขาออกจนเกือบหมด จนสิ่งที่เขาพยายามปกปิดมันไว้มาเป็นอาทิตย์ปรากฏขึ้นเต็มสองตา





ผิวกายใต้ร่มผ้าของปูนแทบไม่เหลือช่องว่าง รอยช้ำทั้งเก่าและใหม่แข่งกันขึ้นสีน่ากลัวอย่างไม่มีใครยอมใครจนคนมองอดที่จะรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ ฤทธิชาตินำน้ำอุ่นในกะละมังไปเททิ้ง ร่างกายของเด็กคนนี้บอบช้ำเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากการประคบร้อนจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ น้ำเย็นจัดที่พอจะได้หาจากตู้เย็นถูกเทลงไปแทนที่แล้วนายตำรวจหนุ่มก็ใช้มันเพื่อปฐมพยาบาลให้อีกฝ่าย





ปูนสะดุ้งทุกครั้งที่เนื้อผ้านุ่มๆลากผ่านผิวกายแต่เขาก็ไม่อยากร้องออกมาเพราะจะพลอยให้รู้สึกสมเพชตัวเองไปเสียเปล่าๆ...ฤทธิชาติไม่ได้พูดหรือถามอะไรทั้งนั้น ปูนเองก็เช่นกัน เขาทั้งคู่ใช้เวลาไปกับการประคบเย็นเรื่อยๆจนปูนเริ่มรู้สึกดีขึ้น ฤทธิชาติจึงเริ่มสำรวจข้อเท้าของปูนเป็นอย่างต่อไป





“ข้อเท้าพลิกนิดหน่อย เอาน้ำเย็นประคบไว้เดี๋ยวคงหายปวด”





“ไม่เป็นไร ทิ้งไว้อย่างนั้นก็ได้”





เด็กหนุ่มบอกปัดความหวังดีของอีกฝ่าย เขาอยากออกไปจากที่นี่





“ผมแค่ทำตามหน้าที่ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันไม่เกี่ยวว่าคุณเป็นใคร ต่อให้คุณเป็นแค่คนกวาดถนนหรือรัฐมนตรี หรือแม้แต่เป็นคู่แข่งกับเพื่อนผมมันก็ไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น”





“...!!”





“หน้าที่ของตำรวจคือช่วยเหลือประชาชน เพราะฉะนั้นต่อให้คุณร้องไห้ ผมก็ไม่สงสารหรอกนะครับ”





ฤทธิชาติพูดโดยไม่มองหน้าปูนสักนิด หากแต่น้ำตาที่หยดลงบนมือของเขาก็ทำให้ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าเขายังไม่สมควรเงยหน้าขึ้นไป ปูนจับชายเสื้อของฤทธิชาติไว้แล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น ชายคนนี้จะไม่สงสารเขา...ความสงสารที่ตอกย้ำความเจ็บปวดให้ร้าวลึกขึ้นไปอีก





พวกเขานั่งอยู่อย่างนั้นราวครึ่งชั่วโมง ปูนร้องไห้ออกมาจนหมดแต่มันก็เป็นแค่น้ำตาเพราะร่างเล็กรู้ดีว่าปัญหาที่แท้จริงนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขและบางทีมันอาจจะไม่มีทางแก้ได้...ปูนไม่รู้ว่าเขาควรจะทำตัวยังไง ชีวิตของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่มีวิทยาตามควบคุมอยู่ทุกฝีเก้า ไม่ว่าปูนจะไปที่ไหนหรือคุยกับใครลุงที่ปูนเคยเคารพรักก็มักจะโผล่มาเสมอพร้อมกับการลงโทษที่ทำลายความทรงจำและความไว้ใจให้ลดน้อยถอยลงจนแทบไม่มีเหลือ





ปูนเจ็บ...และผิดหวัง





เจ็บเพราะความทรงจำ และผิดหวังเพราะความไว้ใจ





“ขอบคุณ...ที่ช่วย”





เด็กหนุ่มพูดขึ้นหลังจากจิบนมร้อนๆที่ฤทธิชาติอุตส่าห์ไปอุ่นมาให้ อย่าคิดนะว่าชายคนนี้จะมีน้ำใจทำมาให้เพื่อปลอบเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงท้องร้องมันน่ารำคาญฤทธิชาติก็คงปล่อยปูนให้นั่งหิวอยู่แบบนั้นแหละ





“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากตอบแทนพอได้ทำงานแล้วก็ช่วยจ่ายภาษีให้แผ่นดินทุกๆปีด้วยแล้วกัน”





คำพูดของฤทธิชาติทำให้ปูนหลุดยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มนึกแปลกใจว่าทำไมรัตติกาลถึงยอมปล่อยคนคนนี้ให้อยู่ห่างกายได้ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนของเขาเด็กคนนี้ก็น่ารักมากกว่าโข ฤทธิชาติแสดงน้ำใจอีกครั้งด้วยการนำแก้วของปูนไปแช่ไว้ให้รอเจ้าของห้องมันกลับมาล้าง  ทำให้ในขณะนั้นปูนจึงมีเวลาได้มองสำรวจไปรอบๆห้อง





“มีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลยเหะ”





ร่างเล็กบ่นพึมพำกับตัวเองเพราะนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย หอพักแห่งนี้ใช่ว่าจะทรุดโทรมหรืออะไรแต่เมื่อเทียบกับของใช้ในห้องนี้มันกลับมีราคาต่างกันจนเขานึกสงสัย แต่พอรู้สึกตัวว่ากำลังคิดแบบนั้นปูนก็ไล่ความฟุ้งซ่านนั่นออกจากหัว





“แผลตามตัวภายในวันสองวันนี้ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรจะไปหาหมอนะครับ ส่วนข้อเท้าก็เหมือนกัน แต่คิดว่าแค่ประคบเย็นต่ออีกสักสองสามครั้งแล้วหาหมอนสูงๆมารองตอนนอนก็น่าจะดีขึ้น”





“อืม แต่คงไม่เป็นไรหรอก”





“ครับ ถ้ามันไม่มีแผลใหม่มาเพิ่มก็น่าจะหายตามที่บอก”





“...”





“อย่างที่ผมบอกคนคนนั้นไปว่าทำร้ายร่างกายเป็นคดีอาญา ถ้าทนไม่ไหวก็ไปแจ้งความซะนะครับ”





“ผม...ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”





“...?”





“ปิ่นต้องร้องไห้แน่ๆ”







ชื่อของคนที่ฤทธิชาติไม่รู้จักถูกเอ่ยขึ้น แต่ก็พอเดาได้ว่าคงมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย แววตาที่เฉยชาของปูนดูเศร้าลงแต่บรรยากาศรอบกายกลับเหมือนกับขวดน้ำอัดลมที่ถูกกระแทกไปมาจนพร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา





“อย่างที่บอก...ตำรวจมีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน ผมจะไม่รู้สึกสงสารหรือเวทนาคุณหรอก...เพราะฉะนั้นต่อให้คุณเล่าให้ผมฟัง มันก็ไม่มีผลอะไรนอกเหนือไปกว่าความสบายใจถึงแม้จะชั่วคราวก็เถอะนะ”





รอยยิ้มจริงใจจากฤทธิชาติถูกมอบให้ปูนเป็นครั้งแรกในฐานะของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ปูนมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ...เป็นความไม่เข้าใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานาน...นานพอที่จะเปลี่ยนคนร่าเริงให้เฉยชา...เปลี่ยนคำขอร้องให้คนช่วยเป็นความสิ้นหวัง





“ถ้าผมเล่าให้คุณฟัง...รับปากได้ไหมว่าจะเก็บมันเป็นความลับตลอดไป”





:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #375 เมื่อ25-05-2016 20:06:13 »



ชีวิตใหม่ของปูน ณ บ้านหลังเดิมไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนนัก หากไม่นับมื้อเช้าที่เขาไม่ต้องลงมาช่วยป้าปานเตรียมอาหาร ปูนก็มีหน้าที่รับผิดชอบงานในครัวเป็นส่วนมากโดยเฉพาะขนมที่ร่างเล็กถนัดมันเป็นพิเศษ





“ป้าปาน เม็ดขนุนนี่จะให้ผมวางไว้ในหรือนอกตู้เย็นครับ”





ร่างเล็กหันไปถามป้าสะใภ้ที่กำลังง่วนกับหม้อไก่ตุ๋นบนเตาโดยไม่หันมามองปูนสักนิด แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร...เธอไม่เคยสนใจอะไรนอกจากเรื่องของตัวเอง





“วางไว้บนโต๊ะ แล้วขึ้นไปอาบน้ำซะไป”





ปูนพยักหน้าอย่างว่าง่าย ร่างเล็กวางขนมไทยอันเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างเขากับแม่ที่ตายไปแล้วลงบนโต๊ะก่อนจะขึ้นมายังห้องนอนเพื่อปล่อยเวลาให้หมดไปอีกวัน ใช่...ตอนนี้ปูนใช้ชีวิตไม่ต่างจากการโยนลมหายใจทิ้ง เขาถูกปิดกั้นจากทุกสิ่ง ทั้งมหาวิทยาลัยที่ควรจะได้กลับไปเรียน ช่องทางสื่อสาร และแม้แต่กับปิ่นที่หลังจากวันนั้น เด็กสาวก็ถูกพ่อแท้ๆพยายามกันไม่ให้เข้ามายุ่งย่ามกับเขา แน่นอนว่าปิ่นไม่มีทางยอม แต่เพราะความเป็นลูกก็ไม่อาจให้เธอทำอะไรได้มากไปกว่าการพยายามพูดคุยกับปูนให้มากที่สุดในระหว่างมื้ออาหาร เหมือนหยดน้ำเล็กๆที่รินลงบนพื้นทรายแห้งผาก





น่าเวทนา...และไร้ประโยชน์





“ปูน เดี๋ยวอยู่บ้านคนเดียวไปก่อนนะ ป้าจะออกไปข้างนอกหน่อย”





ในขณะที่ปูนกำลังแผ่เมตตาให้ความบัดซบของชีวิตตัวเอง ประตูห้องที่ตัวล็อคกลอนถูกถอดออกไปก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของปานจิตที่ถือตะกร้าหวายไว้ในมือ หญิงที่ผ่านเลยวัยกลางคนมามากโขหยุดอยู่ตรงนั้นมองดูหลานชายของตัวเองที่กำลังถอดเสื้อยืดแขนยาวสีดำตัวเก่าออกมาเตรียมอาบน้ำเหมือนที่เธอบอกไว้ สายตาของเธอเลื่อนไปหยุดตรงผิวกายขาว ที่ปรากฏรอยช้ำจางๆประดับอยู่บนนั้นอันเป็นภาพที่คุ้นตามากจนไม่มีอาการตกใจ





“จะออกไปซื้อของหรอครับ”





“ใช่...น้ำมันพืชมันหมดพอดี”





ปานจิตพูดแค่นั้นก่อนจะปิดประตูบานลงเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นและรับรู้อะไรทั้งสิ้น กลับกันเด็กหนุ่มที่ถูกทำทารุณยังคงมองดูที่ที่ป้าสะใภ้ของตัวเองเพิ่งจากไปพร้อมกับคำถามมากมายที่ปูนรู้สึกว่ามันไร้ประโยชน์หากจะต้องถาม ปูนหันมามองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มให้กับคนในนั้นเหมือนกับพยายามจะปลอบใจ





ถ้าไม่อยากเจ็บไปกว่านี้...ก็อย่าตั้งความหวังอีกเลยนะ





ปูนบอกกับตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ตอกย้ำความจริงที่ไม่มีใครเคยเข้าถึงให้ตัวเองไม่มีทางลืมมัน หากแต่ไม่รู้ทำไมทุกๆครั้งที่ทำอย่างนั้น ใบหน้าของใครบางคนกลับลอยเข้ามา







‘อย่าร้องไห้เพราะคนอื่นนอกจากฉันอีกนะ...ได้ยินไหม’





‘เป็นคำสั่งหรอ’





‘อืม’





‘…’





‘ฉันขอสั่งให้เธอร้องไห้ให้ฉันได้คนเดียว’








คำพูดที่ปูนพยายามพร่ำบอกตัวเองถูกลบออกไปอย่างง่ายดายเพราะน้ำตาที่ไหลออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ปูนเป็นคนรักษาสัญญา แล้วคณิตล่ะ...ยังจำคำสัญญาที่เคยกันไว้ได้ไหม







‘สัญญา...ถ้าหากเธอต้องการฉันจะอยู่กับเธอในทุกๆที่’







ผมต้องการคุณ...







ปูนทำได้แค่พูดออกมาในใจเท่านั้น







แต่ร่างเล็กก็ยืนร้องไห้ได้อยู่ไม่นาน เสียงรถที่ฟังคุ้นหูก็ดังขึ้นทำให้ปูนเข้าใจได้ว่าทำไมป้าปานถึงยอมปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวในบ้านทั้งๆที่คำสั่งของลุงวิทย์คือการไม่ยอมให้เขาอยู่ห่างสายตาของใคร ปูนรีบพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ เสียดายที่มันไม่มีอ่างหรูๆเหมือนกับบ้านของคณิตเขาถึงไม่มีทางจะหมกตัวอยู่ในนี้นานๆได้ ปูนจึงทำได้แค่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ช้าที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนที่เขาพูดได้เต็มปากว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่าเพื่อนร่วมโลกที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน





ความเคารพสำหรับคนคนนี้...หมดสิ้นไปนานแล้ว





“ทำอะไรอยู่ในห้องน้ำตั้งนาน”





เป็นอย่างที่คาด ทันทีที่ปูนเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็พบวิทยาที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ยืนจังก้าอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าแบบที่ปิ่นคงไม่เคยเห็น ปูนก้มหัวให้อีกฝ่ายน้อยๆแล้วเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวตัวใหม่มาใส่เพื่อปกปิดร่องรอยตรงแขนที่เขาไม่มีวันปล่อยให้ปิ่นเห็นมันเด็ดขาด แต่ยังไม่ทันไร แขนขาวๆที่ที่ช้ำจนน่ากลัวก็โดนบีบเข้าอย่างแรงอีกครั้ง





“ฉันถามไม่ได้ยินหรอ”





“ได้ยินครับ แต่ไม่รู้จะตอบอะไร...เข้าไปในห้องน้ำมันก็ต้องอาบน้ำสิ หรือว่าลุงเคยใช้มันทำอย่างอื่น”





“...!!”





ปูนจุดยกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเป็นลุงแม้ว่าจะเพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็มากพอที่ทำให้เกิดช่องว่างจนปูนสามารถเบี่ยงตัวออกมาได้





“อย่าทำปากเก่งให้มากนัก...แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก ฉันมีงานให้แกช่วยทำ”





ปูนแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่เข้ามาทำร้ายเมื่อโดนเขาพูดไม่ดีใส่เหมือนทุกครั้ง แต่ร่างเล็กก็ไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจเพราะแค่ลำพังเรื่องของตัวเองก็ปวดหัวจนแทบบ้า ปูนแต่งตัวอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเดินไปชั้นล่างของบ้านที่เงียบเพราะปิ่นและป้าปานยังไม่กลับเข้ามา เขาเดินไปหาลุงวิทย์ที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเอ่ยปากถาม





“ลุงมีอะไรจะให้ผมทำครับ”





“นั่งนี่ก่อนสิ”





ลุงวิทย์ชี้ไปยังโซฟาเดี่ยวตัวใกล้ๆ แต่ปูนกลับเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ห่างออกไปหน่อยโดยไม่สนใจว่าชายคนนี้จะทำหน้ายังไง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลุงต้องการให้เขาทำจะหนักหนาพอสมควร เปลือกนอกที่ดูสุภาพแบบผู้ใหญ่นั้นถึงดูตึงเครียดมากกว่าโกรธเคือง





“ตั้งแต่กลับมาอยู่นี่ แกได้ติดต่อใครบ้างรึเปล่า”





“ไม่ครับ ลุงยึดโทรศัพท์ไปแล้วผมจะติดต่อใครได้”





ทันทีที่ลุงวิทย์บุกไปหาเขาที่หอพักในคืนนั้น ทั้งโทรศัพท์และอิสรภาพของปูนก็ถูกยึดไปโดยไร้ซึ่งช่องทางให้ขัดขืน และไม่ต้องพูดถึงหนทางที่จะได้มันคืนเพราะโทรศัพท์ของปูนถูกโยนทิ้งลงทะเลบางแสนไปแล้วก่อนปูนจะจากที่นั่นมา





“แต่ฉันก็ให้โทรศัพท์แกไว้ใช้”





“โทรศัพท์ปุ่มกดเก่าๆที่ไม่มีเบอร์ใครนอกจากลุงมันใช้ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ รีโมททีวียังมีประโยชน์ซะกว่า”





“ปูน!!”





“ผมพูดเรื่องจริง ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจำเบอร์ใครไม่ได้แล้วต่อให้จำได้...ผมก็ไม่เคยใช้มันโทรไปหาใคร”





คนเป็นลุงมองหลานของตัวเองอย่างคาดคั้น แต่ความเฉยเมยในแววตาคู่นั้นก็บอกได้ว่าปูนไม่ได้โกหก จริงๆวิทยาก็รู้อยู่แล้วว่าหลานชายไม่ได้โทรหาใครเลยจากบันทึกการใช้โทรศัพท์ที่เขาเช็คมันอยู่ทุกๆวัน แต่ว่ามันก็มีเหตุผลที่จะทำให้ความสงสัยและระแวงมันปะทุขึ้นมา





“อีกสามวันที่ทำงานฉันจะมีการสัมมนา”





“ครับ แล้วลุงจะมาบอกผมทำไม”





“วันนั้น...แกต้องไปกับฉันด้วย”





“ผม? ผมเนี่ยนะ?”







คราวนี้ไม่ใช่แค่วิทยาแล้วที่สงสัยเพราะปูนเองก็เหมือนกัน จริงอยู่ที่สมัยก่อนเขาเคยไปช่วยดูแลงานเลี้ยงที่ที่ทำงานของลุงอยู่สองสามครั้ง แต่นั่นมันก็เป็นในนามของบริษัทจัดอีเว้นท์ที่ปูนเคยรับจ็อบด้วยตอนยังอยู่ที่กรุงเทพ





“วันนี้หัวหน้าเรียกฉันเข้าไปพบ เขาบอกว่าหัวหน้าทีมของบริษัทที่จะเข้าร่วมด้วยรักการดื่มเป็นพิเศษเขาเลยนึกถึงตอนที่แกเคยไปดูแลเรื่องเหล้าให้”





“เรื่องแค่นั้นใครๆก็ทำได้ แล้วทำไมต้องเป็นผม”





“นั่นสิ...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม”





ปูนเผลอสั่นน้อยๆเมื่อแววตาของลุงวิทย์ที่จ้องมองมาดูดุดันเสียจนเขาหวนนึกถึงความเจ็บปวดยามที่ร่างกายถูกทำร้าย คนตัวเล็กพยายามเขยิบออกมาแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเมื่อคนที่ถึงแม้จะอายุมากแต่เรี่ยวแรงและความไวไม่ได้ด้อยลงไปเลยสักนิด วิทยาลุกขึ้นมาจับไหล่ของปูนไว้แล้วบีบมันอย่างแรง





“สารภาพมา ว่าแกไปทำอะไรไว้”





“อึก ปล่อย ผมไม่ได้ทำ”





“ถ้าแกไม่ได้ทำ มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”





“ใครจะไปรู้เล่า ผมอยู่แต่ในบ้านผมจะไปทำอะไรได้!”





ปากของปูนถูกบีบอย่างแรงเมื่อเผลอพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น เขาพยายามขืนตัวออกเพราะความเจ็บที่แล่นริ้วขึ้นมาจนเริ่มทนไม่ไหว หากแต่ยิ่งขืนลุงวิทย์ก็ยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดใบหน้าของปูนจนสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน





“ถ้าแกไม่ได้ทำ...แล้วผู้ชายของแกล่ะ”





“...!!”





แม้ปูนจะรู้ดีที่สุดว่าคณิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากแต่เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจเจ้ากรรมก็เผลอตั้งความหวังโง่ๆออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างเล็กขบกัดริมฝีปากของตัวเอง เขาอ่อนแออีกแล้วทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่หวังเพิ่งใคร แต่ก็ทำไม่ได้...แค่นึกถึงใบหน้าของคณิตความตั้งใจนั้นก็พังลงทันตา





“เขา...ไม่มีทางมาช่วยผมหรอก”





“หึ แกจะมั่นใจได้ยังไง ในเมื่อมันก็หลงแกออกปานนั้น”





“ผมว่าลุงรู้อยู่แล้วนะ ว่าทำไมเขาถึงไม่มาทางมาช่วยผม”





ปูนยิ้มเยาะออกมา หากแต่คนที่เขาต้องการยิ้มให้ก็คือเขาเองที่ไม่อาจเลือกทางเดินที่ดีกว่านี้ให้กับตัวเองได้ ปูนดึงมือของลุงออก แต่ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดที่ได้รับก็ยังคงหลงเหลืออยู่เต็มไปหมด





“ไม่ต้องห่วงหรอกว่าคุณคณิตเขาจะทำอะไรลุงรึเปล่า...เพราะต่อให้เขามา ผมก็ไม่มีทางที่จะกลับไปกับเขาได้อยู่ดี”





เวลาผ่านไปราวกับเรื่องโกหก ยังไม่ทันที่ปูนและวิทยาจะหาคำตอบได้ว่าทำไมร่างเล็กถึงกลายมาเป็นผู้ที่ถูกเลือก งานสัมมนาที่ว่านั่นก็ถูกจัดขึ้นแล้ว บริษัทที่วิทยาทำงานอยู่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อพอสมควรในวงการ และแม้ว่าวิทยาจะไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไรแต่ด้วยความที่ทำงานอยู่ที่นี่มานานทำให้เขาเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในบริษัทพอสมควร จึงไม่แปลกอะไรเมื่อทันทีที่ปูนและวิทยามาถึงก็มีคนกรูเข้ามาทักทายคนข้างๆเขาเป็นการใหญ่





“สวัสดีคีครับคุณวิทยา อ้าว แล้วนี่หลานชายใช่ไหมครับ ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว”





ปูนยิ้มให้กับคนที่ตัวเองจำไม่ได้ตามมารยาทแล้วเลือกที่จะปล่อยให้คนที่พาตนมาเป็นคนจัดการทุกอย่าง





“ใช่ครับ พอดีหัวหน้าเขาขอให้หลานผมมาช่วยงานเลยต้องตามมาด้วย”





“อ่อ จะมาเป็นบาร์เทนเดอร์ให้ใช่ไหม สงสัยหัวหน้าคงจะติดใจจากงานเมื่อปีก่อน เครื่องดื่มตอนนั้นมันยอดมากจริงๆครับ”





พอคนหนึ่งเริ่มชม พวกที่มุงอยู่รอบๆก็พาสรรเสริญกันไม่ขาดปาก ปูนทำได้แค่ยิ้มแม้จะสารภาพอยู่ในใจว่าเครื่องดื่มที่ว่านั่นเป็นสูตรทดลองที่เขายังทำออกมาได้ไม่ดีพอต่างหาก แต่เอาเถอะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขามีโอกาสได้ออกมาเจอโลกภายนอกได้แล้วกัน





ร่างเล็กอยู่แจกรอยยิ้มไม่นานก็ขอตัวออกมาเตรียมงานโดยที่ตัวเองไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย ถือว่าเป็นโชคดีที่การทำงานกับโรงแรมดังๆอย่างThe Pilot และ The Next สร้างประสบการณ์ให้เขามากพอสมควรปูนจึงใช้เวลาไม่นานที่จะเรียนรู้งานตรงหน้าแล้วเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองไปท่ามกลางทีมงานคนอื่นซึ่งเจ้านายของลุงคงจ้างมาช่วยงานในส่วนอื่น





งานในวันนี้เป็นงานสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทัศนคติเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงานของผู้รับเหมาทั้งในแง่ดีและร้าย แต่ปูนก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมเครื่องดื่มชุดหลักอยู่หลังม่าน ก่อนจะออกมาเตรียมเครื่องดื่มแบบพิเศษที่เจ้านายของลุงวิทย์รีเควสมาว่าอยากให้เขาทำมันในงานเลี้ยงช่วงสุดท้ายที่จะจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ ที่ถูกจัดจนสวยงามผิดจากปีก่อนๆ





“พี่ๆ งานนี่มันจะเลิกเมื่อไหร่น่ะ”





ปูนเอ่ยถามพนักงานที่นั่งแกร่วอยู่ข้างๆกัน ก็นะ ในขณะที่ข้างในหอประชุมกำลังพูดคุยกันมันหยดจนเสียงดังออกมาข้างนอก ทีมบริการอย่างพวกเขาก็ได้แต่ตบยุงรออย่างเบื่อๆ





“เย็นๆนู้นแหละ สักหกโมงได้มั้ง”





“นานชิบ”





“นั่นสิ แต่จะไงได้เขาสั่งให้รอเราก็ต้องรอ”





ว่าแล้วก็ยิ้มเซ็งๆ แต่มือก็แอบเอื้อมไปรินเครื่องดื่มที่ปูนเตรียมไว้สำหรับแขกมาจิบๆชิมๆเป็นแก้วที่สามแล้วเท่าที่ร่างเล็กสังเกตเห็น แต่ก็ช่างเถอะ นั่นใช่เรื่องของเขาเสียเมื่อไหร่ ปูนหันออกไปมองสวนหย่อมด้านนอกอย่างเซ็งๆ นี่ถ้าโทรศัพท์เขายังอยู่ปูนคงมีของใช้คลายเบื่อได้บ้าง ทั้งคุยกับเพื่อนของพี่โต้ง หรือเล่นเกมที่คณิตโหลดทิ้งไว้...อ่า เผลอคิดถึงเขาอีกแล้ว





“ขอโทษนะครับ เครื่องดื่มนี่...ผมกินได้รึเปล่า”





ก่อนที่ปูนจะหลงลงไปในห้วงอารมณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้น เสียงแหบๆราวกับคนไม่สบายของแขกคนหนึ่งก็เรียกสติเขากลับมาพร้อมกับภาพของผู้ชายตัวโตในชุดสูทเทอะทะแปลกตากำลังยืนงงๆมองมาทางนี้...แต่งตัวบ้าอะไรของมัน





“เชิญครับ อยากให้ผมรินให้ไหม”





ต่อให้แต่งตัวแย่แค่ไหนปูนก็จำเป็นต้องถามตามหน้าที่ ชายคนนั้นยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้พร้อมกับชี้ไปยังอ่างของเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์อ่อนๆที่พนักงานคนเมื่อกี้แอบชิมไปนั่นแหละ





“ผมขอแบบนี้แก้วหนึ่งครับ”





ร่างเล็กขมวดคิ้วแน่น ไม่ว่าฟังยังไงปูนก็สรุปได้ว่าหมอนี่กำลังเป็นหวัดอยู่แน่ๆ ให้ตายสิ ไม่เจียมสภาพตัวเองจริงๆ





“รอสักครู่นะครับ”





แทนที่จะจัดเครื่องดื่มให้ตามที่ลูกค้าต้องการ ปูนกลับขอตัวแล้วเดินเข้าไปยังด้านหลังของห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นสถานที่เตรียมงาน แก้วชาทรงสวยที่ปูนขอจากแม่บ้านมาถูกเติมเต็มด้วยน้ำอุ่นผสมด้วยน้ำผึ้งและเลม่อนฝาน กลิ่นหอมๆของมันทำให้ร่างเล็กรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดแต่ก็นะ เขาไม่ได้ทำมันขึ้นมาเพื่อตัวเองสักหน่อย





“นี่ครับ”





แก้วชาสีขาวมุกถูกวางลงตรงหน้าผู้ชายคนนั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนภายใต้กรอบแว่นหนาหันมามองทางร่างเล็กอย่างไม่เข้าใจ แต่ปูนก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรนอกไปจากการโค้งหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินกลับมาประจำที่ของตัวเอง





“ทำอะไรน่ะ แขกเขาสั่งไอ้นี่ไม่ใช่รึไง”





พนักงานคนเดิมถามปูนพร้อมกับชูแก้วใบเดิมที่คงถูกเติมใหม่มาหลายรอบแล้วขึ้นมา ปูนหันไปมองทางคนไม่สบายที่ค่อยๆยกน้ำมะนาวอุ่นๆที่เขามาให้ขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะตอบ





“ไม่มีอะไรหรอกพี่ เขาก็กินแล้วไงเห็นป่ะ”





เพียงแค่นั้นบทสนทนาต่างๆก็จบลง ปูนใช้เวลาที่เหลือไปกับการนั่งนิ่งๆชมนกชมไม้ไปเรื่อย หากมีคนเข้ามาขอให้เขาทำเครื่องดื่มให้เขาก็ทำ โดยที่ในใจคิดแค่ว่าอยากให้วันนี้ผ่านพ้นไปไวๆเหมือนกับวันอื่นๆที่ผ่านมา ส่วนผู้ชายเฉิ่มๆคนนั้นซึ่งปูนสรุปเอาเองว่าอีกฝ่ายคงเป็นลูกกระจ็อกของหนึ่งในบริษัทที่มาสัมมานาได้เดินมาขอน้ำมะนาวกับปูนอีกถึงสองแก้ว โดยแก้วสุดท้ายถูกเสิร์ฟไปก่อนที่งานสัมนาจะเลิกแค่ไม่กี่นาทีซึ่งกว่ามันจะจบท้องฟ้าสีครามด้านนอกก็ถูกย้อมเป็นสีส้ม





“ขอบใจมากนะที่มาช่วยงานวันนี้ รบกวนเราและวิทย์เขามากจริงๆ”





เจ้านายของวิทยาที่ปูนจำได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายอยู่สองสามครั้งเดินเข้ามาทักและขอบคุณปูนหลังจากปลีกตัวออกมาจากงานได้ ร่างเล็กน้อมรับคำขอบคุณนั้นด้วยเครื่องดื่มแบบที่เขาจำได้ว่าชายนี้เคยชอบมัน และแน่นอนว่าฝีมือของปูนไม่ได้ตกลงเลยแม้แต่น้อย





ยิ่งนานไปบรรยากาศในงานก็ยิ่งคึกครื้น ทั้งอาหารแบบบุฟเฟ่ต์และเครื่องดื่มที่ปูนทำไว้สามารถสร้างความพอใจให้กับเหล่าคนทำงานที่เหนื่อยมาแทบทั้งวันได้เป็นอย่างดี มีคนเดินเข้ามาชมปูนไม่ขาดปาก บ้างก็ให้ทิปมาเป็นรางวัลจนกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของปูนอัดแน่นไปด้วยธนบัตรสีแดงและม่วงจนเขาอดที่จะรู้สึกภูมิใจเล็กๆไม่ได้





“รออีกพักหนึ่งแล้วกัน สามทุ่มก็ได้กลับบ้านแล้ว”





วิทยาที่อยู่ในชุดสูทเช่นเดียวกันเดินมาบอกกับปูนในจังหวะที่บูธเครื่องดื่มไม่มีใครอยู่ ร่างเล็กพยักหน้าให้อีกฝ่ายทั้งๆที่ข้างในมันบอกว่าเขาไม่อยากกลับไปที่นั่น แต่เขาก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้





“อ้าววิทย์อยู่นี่เอง หาตัวอยู่พอดีเลย”





เจ้านายของลุงวิทย์ที่หายไปคุยกับคนจากบริษัทอื่นเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่แสดงความแช่มชื่นออกมาจนปูนรู้สึกได้ ปูนเองพอเห็นแบบนี้ก็คิดว่าทั้งสองคนคงจะกำลังคุยเรื่องงานกัน ตัวประกอบอย่างเขาจึงตั้งใจที่จะถอยออกมาแล้วไปยืนที่อื่นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท หากแต่ภาพของชายคนหนึ่งที่เดินตามหลังเจ้านายของลุงวิทย์มานั้นทำให้ปูนไม่อาจก้าวเท้าไปที่ไหนได้





“ผมมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก นี่คุณตฤณ ลูกชายของบริษัทคู่ค้ารายใหม่ของเราเป็นวิศวกรฝีมือเดียวเชียวนะ”





ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าขยับเสื้อสูทสีแดงเลือดหมูของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ลุงของปูนด้วยท่าทางนอบน้อมหากแต่ดวงตาขี้เล่นคู่นั้นกลับจับจ้องมายังปูนไม่วางตา ริมฝีปากสีแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของบุหรี่ยกยิ้มขึ้นจนร่างเล็กที่ยืนอึ้งอยู่เผลอรู้สึกว่าอีกฝ่ายเท่เอามากๆ





“พี่ขิง...”



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

หายไปเบ็ดเสร็จ 19 วันพอดิบพอดี =w= งื้อออออ เก๊าขอโต๊ดดดดดดดดดดดดด *กราบบบบบบบบ*  :katai5: :hao5:

ตอนนี้เช่หมดภารกิจหนักๆแล้วคับ จะกลับมาอัพนิยายได้เหมือนเดิมแล้ว (ไม่ได้อัพทุกวันนะเออ5555) อาจจะ3วันครั้งอะไรประมานนี้นะคับ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว เร่งๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดีใจที่มีคนรอ แต่ก็เสียใจที่ทำให้ต้องรอด้วย แต่ก็เนอะ 555555 ต่อไปจะพยายามไม่หายไปนานอย่างนี้อีกนะคับ ส่วนที่อ่านมาแล้วลืมๆก็ย้อนไปอ่านใหม่เอานะ เพราะเช่ก็ลืมเหมือนกัน

ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต และขอบคุณที่รอคับ :impress3:


ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #376 เมื่อ25-05-2016 20:45:27 »

ดีใจที่ปูนกลับมา

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #377 เมื่อ25-05-2016 21:05:05 »

 :z3: :z3:มาแล้ววว รอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็มาาาา

ออฟไลน์ mass

  • "Smile! It increases your face value." -Steel Magnolias (1989)
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #378 เมื่อ25-05-2016 21:38:09 »

ดีใจที่มาต่ออออออค่ะ หายไปซะเกือบลืมชื่อพระเอกเลย :hao3: :3123:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #379 เมื่อ25-05-2016 21:41:39 »

อีลุงนี่มีปัญหาอะไรมากมั้ย ตีได้นะ เกลียดดด :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: น้องปูนน่าสงสาร กลับไปหาพี่เค้าเหอะลูก อยู่ที่นี่มีแต่จะแย่ พี่ขิงคือใคร :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
« ตอบ #379 เมื่อ: 25-05-2016 21:41:39 »





ออฟไลน์ Inwoสูs

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #380 เมื่อ25-05-2016 21:55:37 »

ปูนนนนน รอป๋ามารับหรอ แล้วเมื่อไหร่ละ ปูนกลับไปหาป๋าดีไหม

ออฟไลน์ zaturday

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #381 เมื่อ26-05-2016 07:45:30 »

ป๋า เมื่อไหร่จะมาช่วยปูน สงสารน้องปูน อิลุงนี่มันเป็นโรคประสาทป่ะ ทำร้ายปูนอยู่ได้

ออฟไลน์ Toho48

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #382 เมื่อ26-05-2016 17:12:02 »

นึกว่าตาฝาด เช่กลับมาแล้วววววว :hao7:

ตอนนี้เกลียดลุงกับป้ามาก โดยเฉพาะป้าคือรุ้แต่ไม่ช่วยคือไร???????
คนเราสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆนะ ใจดำอ่ะ โคตรเกลียดเลย :m31:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #383 เมื่อ26-05-2016 18:07:40 »


พี่ขิงเจอปูนแล้ว หวังว่าป๋าจะตามมาในเร็ววัน ...
คนเขียนอย่าหายไปอีกนะ คือมันค้างคา อย่าทรมานนักอ่านเลยยยยย

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #384 เมื่อ27-05-2016 19:31:34 »

ดีใจค่ะที่กลับมา นึกว้าหายไปแล้วซะอีก

ออฟไลน์ Yumyumsdoll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #385 เมื่อ28-05-2016 00:29:16 »

ค้างงงงงง :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #386 เมื่อ28-05-2016 00:47:44 »

พี่ขิงช่วยปูนด้วยน้า สงสารปูนสุดๆ

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่36][250559]
«ตอบ #387 เมื่อ28-05-2016 03:33:45 »

สงสารปูน

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่37][280559]
«ตอบ #388 เมื่อ28-05-2016 23:10:50 »




แตกที่ 37

…ปฏิเสธ...

 





“ไอ้เชี่ยนิด มึงอยู่นิ่งๆดิวะ!”



ขิงไม่รู้ว่าควรจะตบกบาลคณิตที่เอาแต่นั่งหยุกหยิกไปมาหรือตบกบาลเพื่อนตัวป่วนอย่างนิลที่เอาระเบิดมาโยนให้แล้วตัวเองก็เอาแต่ไปนั่งจิบกาแฟดูข่าวภาคเช้าอยู่กับโต้งกันสบายใจเฉิบ



“มึงก็แต่งไวๆดิวะ ติดเคราแค่นี้มึงจะใช้เวลาอะไรนักหนา”



คณิตที่ทั้งรู้สึกร้อนใจและตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนออกไปรับเกียรติบัตรหน้าเสาธงครั้งแรกสมัยประถมบ่นออกมา ทำให้เคราปลอมที่ยังติดไม่แน่นดีหลุดออกมาเป็นครั้งที่สามจนขิงที่บรรจงติดมันอยู่นานทนไม่ไหวอีกต่อไป



“โอ้ยยยย ไม่ทำแล้วโว้ยยยย!! ไอ้เชี้ยนิล มึงมาทำเลย!!”



โต้งเดินไปขวางสายตานิลไว้ไม่ให้ไอ้เพื่อนตัวดีมันได้ดูทีวีสมใจอยาก ให้ตายสิ ไอ้ของปลอมตัวพวกนั้นก็ของผัวมัน แล้วทำไมคนที่ต้องเอามันมาแต่งให้ไอ้คณิตถึงกลายเป็นเขาไปได้!



“ไม่ กูทำไม่เป็น”



“กูก็ทำไม่เป็น!”



“แต่ก็ทำมาจนเกือบเสร็จแล้วนี่ เหลือแค่ติดเคราเอง”



นิลว่าพลางชำเลืองไปมองคณิตที่บัดนี้แทบไม่เหลือเค้าหนุ่มหล่อให้เห็น ร่างกายสูงใหญ่สมส่วนถูกปกคลุมไปด้วยชุดสูทลายเฉิ่มๆแบบพิเศษที่มีการใส่ฟองน้ำเสริมบุเสริมไว้ด้านในทำให้ดูกลายเป็นคนตัวใหญ่เทอะทะติดจะอ้วนๆ ผิวหน้าและผิวกายขาวๆถูกทาด้วยรองพื้นทนน้ำทนเหงื่อสีเข้มกว่าปกติ แล้วไหนจะรอยกระ รอยสิวที่ถูกแต่งแต้มขึ้นจากเครื่องสำอางทำให้เขาอดที่จะขำออกมาไม่ได้



“กูติดไม่ได้ แม่งหลุดมาสามรอบแล้ว”



“ติดดีๆสิ ทากาวทิ้งไว้สักพักให้มันเซ็ตตัวก่อนค่อยแปะลงไป”



“อ้าวไอ้สัด ไหนบอกกูทำไม่เป็น”



“ก็กูทำไม่เป็นไง ไปๆ ไปทำต่อได้แล้วเดี๋ยวไปงานไม่ทัน”



ขิงฟังแล้วก็งงๆแต่ก็ยอมเดินกลับไปเตรียมตัวให้คณิตต่อเพราะคิดว่าพูดให้ตายนิลคงไม่มีทางลุกขึ้นมาทำให้ โต้งที่นั่งมองอยู่ถอนหายใจ จะผ่านมากี่ปีขิงนี่ไม่เคยตามนิลทันจริงๆนะ



“อยู่นิ่งๆนะมึง ถ้ามึงยังขยับอีก คราวนี้กูไม่ช่วยแน่”



“เออ ขอโทษว่ะ กูแค่เป็นห่วงปูน”



“ถุ้ย! ตอนนี้มาพูดว่าเป็นห่วง ตอนเขาอยู่ล่ะไม่รู้จักถนอม”



คำต่อว่าของเพื่อนทำให้คณิตรู้สึกเจ็บและละอายอยู่ในใจแต่มันก็ไม่มากเท่ากับวันแรกๆที่เขาแทบจะโดนขิงต่อยเมื่อจำเป็นต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟัง แน่นอนว่าคณิตไม่คิดจะโทษมันเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เลย เพียงแค่คิดว่าตอนนี้ปูนกำลังแบกรับอดีตและความรู้สึกอะไรไว้ คณิตก็อยากจะรีบไปหาแต่ก็ทำไม่ได้



“เอาน่า แค่ไอ้นิดมันไม่ได้เจอน้องปูนมาเกือบอาทิตย์มันคงพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งเป็นยังไง”



โต้งพูดขึ้นบ้างพร้อมกับสังเกตสีหน้าที่หมองลงของเพื่อนไปด้วย มันเป็นแบบนี้มานาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ที่คณิตได้รับรู้ความจริงที่ว่าคนที่ตัวเองรักมีหัวใจที่บอบช้ำมากแค่ไหน คณิตอยู่แทบไม่ติดบ้าน ร่างสูงพยายามทุกทางที่จะไปหาปูนแต่คนรักของนิลอย่างฤทธิชาติกลับไม่ให้ความร่วมมือใดๆซึ่งโต้งก็เห็นด้วยกับมัน หากพวกเขาปล่อยให้คณิตที่ไร้ซึ่งสติยั้งคิดไปเผชิญหน้ากับคนแบบนั้น...มันมีแต่เสียกับเสีย



“ว่าแต่สายของผัวมึงว่ายังไงบ้างวะนิล น้องปูนของกูยังสบายดีอยู่ไหม กลับไปอยู่กับไอ้แก่บ้านั่นมาเป็นอาทิตย์แล้วมันทำอะไรบ้างรึเปล่า”



“อันนี้กูก็ไม่แน่ใจเพราะเท่าที่ไอ้ชาติบอก เด็กปูนนั่นไม่เคยได้ออกมาจากบ้าน วันๆเห็นเอาแต่ทำงานแล้วก็อยู่ในนั้น”



“แต่ถ้ายังทำงานไหว ก็น่าจะไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”



“มึงอย่าลืมสิว่าชาติมันเล่าอะไรให้ฟัง...ต่อให้จะมีแดดมันก็ไม่ได้หมายความว่าฝนจะไม่ตก”



ตั้งแต่เมื่อก่อนโต้งนึกเกลียดเสมอเวลาที่นิลยกคำพูดสวยๆเข้าใจยากมาใช้เพราะเขาไม่เข้าใจมันเลย หากแต่ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับรู้ความหมายของมันได้โดยไม่มีใครต้องอธิบาย เช่นเดียวกับคณิตที่เผลอกำฝ่ามือของตัวเองแน่นเมื่อจินตนาการถึงปูนในอดีตที่ทั้งร่างกายและจิตใจต้องแบกรับอารมณ์และความโกรธของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆ



“แค่เป็นเกย์...ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วยว่ะ”



“ไม่รู้สิอาจจะมีความหลังอะไรก็ได้มั้ง”



“แต่ต่อให้มีความหลังฝังใจแค่ไหน การเอาความเจ็บปวดของตัวเองไปทำร้ายผู้อื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องอยู่ดี”



จิตแพทย์ที่ใจเย็นมากที่สุดเอ่ยปาก บ่งบอกถึงความไม่พอใจกับสิ่งที่ปูนต้องได้รับมันอย่างไม่เป็นธรรม แต่มันก็เทียบอะไรไม่ได้เลยกับความรู้สึกของคณิตที่มีทั้งความเสียใจ ไม่เข้าใจ และความโกรธต่อเรื่องราวที่ปูนต้องเจอ



“กูควรจะได้ไปรับปูนให้เร็วกว่านี้”



“เลิกทำหน้าเหมือนกับจะไปฆ่าใครให้ได้ก่อนเถอะไอ้นิด ถ้าหากมึงทำไม่ได้ แผนวันนี้ก็คงล้มไม่เป็นท่า”



นิลพูดดักออกมาเพราะพอจะเข้าใจว่าคณิตกำลังรู้สึกแบบไหน แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น พวกเขาถึงปล่อยให้คณิตเจอปูนไม่ได้



“ลุงของปูนเป็นคนฉลาด ถึงจะใช้เวลาหลายเดือนแต่เขาก็ตามหาปูนจนพบได้ทั้งที่มันทำได้ยาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือชายคนนั้นน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้น้องมันที่เคยพยายามหนีแทบตายยอมกลับไปด้วยได้...เขาถือไพ่เหนือกว่ามึง นั่นคือสิ่งที่มึงต้องยอมรับ”



คำอธิบายของนิลทำให้ทั้งห้องแทบจะตกอยู่ในความเงียบยกเว้นแต่เสียงของโทรทัศน์ที่กำลังฉายข่าวการกวาดล้างกระบวนการค้ายาเสพติดในตอนเหนือของประเทศไทย คณิตถอนหายใจหนักๆ เขาไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้สักเท่าไหร่แต่มันก็ใช่...สิ่งที่นิลพูด เขาเถียงมันไม่ได้เลย



“เอาเถอะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมึงจะพาน้องเขากลับมายังไง ไม่ว่าเขาจะจากไปด้วยเหตุผลแบบไหนมึงก็จะพาเขากลับมาให้ได้ใช่ไหมล่ะ”



นิลพูดโดยพร้อมกันนั้นก็หันกลับมามองหน้าคณิตอีกครั้ง เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคนที่อยากได้ยินคำตอบนั้นจากปากของคนที่เคยพลาดไป



“ใช่...ไม่ว่าจะต้องทำยังไงกูก็จะพาปูนกลับมา”



แค่นั้นก็เพียงพอ คำพูดของคณิตไม่ต่างอะไรกับการคำสั่งว่า...ไม่ว่ายังไงแผนการในวันนี้จะต้องสำเร็จ เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ฤทธิชาติทรมานคณิตนั้นไม่ได้ถูกทิ้งให้สูญเปล่า นายตำรวจหนุ่มใช้เส้นสายของตัวเองสืบประวัติไปจนพบว่าลุงของปูนทำงานอยู่ที่บริษัทรับเหมาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่บริษัทแห่งนั้นกำลังจะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทรับก่อสร้างบ้านที่สักวันขิงจะก้าวขึ้นมาควบคุมดูแล แต่ความจริงแค่นั้นก็ไม่อาจสร้างปาฏิหาริย์ใดๆได้ พวกเขาต้องใช้เวลาคิดหาแผนการกันอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งความคิดของโต้งถูกเสนอขึ้น



“จำเอาไว้นะไอ้นิด มึงห้ามแสดงตัวออกมาไม่ว่ามึงจะเจอน้องหรือไอ้ลุงนั่น มึงต้องรอแล้วปล่อยให้ไอ้ขิงจัดการทุกอย่างก่อน เข้าใจไหม”



“กูว่ากูเข้าไปหาปูนเลยไม่ดีกว่าหรอวะ ทำไมต้องรอขิงมันด้วย”



“ก็เพราะว่าลุงของปูนไม่รู้จักพวกกูไง จริงอยู่ที่มึงปลอมตัวได้ แต่ของพวกนี้มันไม่มีทางปกปิดตัวตนที่แท้จริงของมึงได้ตลอดแน่นอน โดยเฉพาะการกระทำของมึงที่อาจจะทำให้ฝ่ายนั้นไหวตัวทัน”



“...”



“กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงน้อง แต่ลุงของปูนคงจะกำลังระวังมึงอยู่แน่ๆ อย่าลืมนะไอ้นิดถ้าหากมึงพลาด...ทุกอย่างอาจจะแย่ลงและคนที่ต้องรับผลกระทบจากมันก็คือปูนไม่ใช่พวกเรา เชื่อใจเพื่อนมึงเถอะ ถึงจะบ้าๆบวมๆไปบ้างแต่พอถึงเวลาขิงมันก็ไว้ใจได้ ดูสิ ขนาดตอนที่มันไปบอกพ่อว่าจะเข้าร่วมงานสัมมนานี้ด้วยพ่อมันยังดีใจจนแทบจะร้องไห้เลยนะ”



“ไอ้เชี้ยโต้ง มึงสิบ้า! อย่ามาล้อพ่อกูนะ!”



การจิกกัดกันไปมาระหว่างโต้งกับขิงเริ่มต้นขึ้นทำให้บรรยากาศหนักๆที่คณิตกำลังแบกรับไว้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงหนักหนาเสียจนนิลที่เฝ้ามองอยู่ลุกขึ้นมาบีบไหล่ของเพื่อนเบาๆเพื่อให้กำลังใจ



“ทำใจให้สบายเถอะ ระหว่างรอก็ถือโอกาสมองเด็กคนนั้นให้เต็มที่แล้วคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่มึงอยากทำเพื่อมันคืออะไรกันแน่แล้วกัน”



แล้วก็เป็นอย่างที่นิลว่าคณิตได้ใช้เวลาอยู่หลายช่วงโมงไปกับการมองใบหน้าซูบซีดของคนรักที่ห่างกันไปเพียงไม่กี่วันแต่ร่างสูงกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายคนนี้เลย...ร่างกายของปูนผอมลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งเมื่อเป็นคนตัวเล็กอยู่แล้วจึงทำให้ปูนแทบจะกลืนหายไปกับผ้าม่านเวลาร่างเล็กๆนั่นเอาแต่ยืนพิงกำแพงแล้วเหม่อมองไปไกลๆ ดวงตาที่เคยสุกสกาวหม่นแสงลงทั้งที่ยังคงยิ้มได้มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกแห้งแล้งจนคณิตอดใจไม่ไหว...เผลอเดินเข้าไปหาแล้วพูดกับปูนด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเพราะความตื่นเต้น



“ขอโทษนะครับ เครื่องดื่มนี่...ผมกินได้รึเปล่า”



ตอนแรกคณิตแทบอยากจะกลั้นใจตาย แต่ดูเหมือนว่าเสียงที่เปล่งออกไปเพราะความไม่ตั้งใจนี้จะดึงดูดความสนใจจนทำให้ปูนยอมหันมาหาเขาได้ ทันทีที่ดวงตาสองคู่ได้สบกับ ความคิดถึงที่ถูกเก็บไว้ข้างในก็ล้นทะลักออกมาจนคณิตต้องพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ตรงเข้าไปคว้าปูนมากอดไว้



เขามองปูนด้วยความรักแต่ปูนคงมองไม่เห็นเพราะดวงตาหม่นๆคู่นั้นดูอ้างว้างและเจ็บปวดจนคณิตรู้สึกสะท้อนใจ...เขาอยากพาปูนออกไปจากที่นี่...ไปไหนก็ได้เพื่อไม่ต้องเจอคนใจร้าย แต่เขากลับทำได้เพียงแค่...อดทน



“เชิญครับ อยากให้ผมรินให้ไหม”



คณิตพยักหน้าแล้วชี้ไปยังอ่างเครื่องดื่มสีสวยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเป็นฝีมือของปูนแน่ๆ



“ผมขอแบบนี้แก้วหนึ่งครับ”



ใบหน้าน่ารักที่คณิตหลงใหลมุ่ยลงเหมือนกับรู้สึกไม่พอใจบางอย่าง แล้วจู่ๆปูนก็เดินหายไปจากงานจนคณิตตกใจว่าเขาทำอะไรพลาดไปรึเปล่า



“นี่ครับ”



แต่ไม่ใช่...ปูนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำมะนาวอุ่นๆที่ส่งกลิ่นหอมจนคณิตรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันตา สงสัยปูนจะเข้าใจผิดว่าเขาป่วยถึงได้ลงทุนไปทำมันมาให้ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด



“ให้ตายสิ...ในเวลาแบบนี้ยังรู้สึกหึงได้อีกนะ”



คณิตยิ้มให้กับแก้วชาในมือและความคิดบ้าๆของตัวเองที่ดันเผลอหวงแหนความอ่อนโยนของปูนที่มอบให้แขกเฉิ่มๆคนนี้จนทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คณิตที่แท้จริงแล้วร่างกายแข็งแรงดียกความหวังดีของปูนขึ้นจิบช้าๆแล้วพยายามซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ให้ได้มากที่สุด คณิตเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นปูนได้อย่างชัดเจน แล้วลอบสังเกตความเป็นไปของคนรักโดยไม่คิดจะรบกวนปูนอีก แต่แล้วสุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยการที่เขาอดใจไม่ไหวต้องลุกไปขอน้ำมะนาวจากปูนใหม่ถึงสองรอบแม้ว่าจะถูกร่างเล็กมองมาด้วยสายตาแปลกๆก็ตาม แต่แค่ปูนมีเขาอยู่ในสายตา...นั่นก็ดีแล้ว



หลังจากน้ำมะนาวแก้วที่สามหมดลงไปไม่นาน งานสัมมนาที่ยาวนานก็จบลงเสียที คณิตมองปูนอย่างไม่อยากจะจากไปแต่ก็จำเป็นต้องหลบมาหาขิงเพื่อนัดแนะกันถึงแผนการที่คิดจะทำ



“เป็นไง เจอน้องไหมวะ”



ขิงถามทันทีที่เห็นหน้าคณิตจนร่างสูงต้องดึงแก้มที่แอบมีคราบน้ำลายติดของมันเพราะความหมั่นไส้ สถานการณ์เครียดแทบตาย มันยังหลับลงอีกนะ



“เจอ แต่ปูนจำกูไม่ได้ว่ะ”



“จำได้ก็แปลกแล้ว ว่าแต่พวกมึงได้คุยกันไหม”



“อืม ถึงจะไม่มากก็เถอะ แล้วมึงจะเอายังไง คิดไว้รึยังว่าจะพูดยังไงให้กูได้ปูนกลับคืนมา”



“ยัง”



“อ้าว!”



“แต่กูโชคดีว่ะ พ่อกูบอกว่าถ้าตอนทำงานหน้าที่กูต้องโคกับไอ้ลุงนั่น กูว่าอีกสักพักทางนั้นคงตามให้กูไปทำความรู้จักกับมัน มึงก็คอยเดินตามกูไว้พอได้จังหวะกูจะพยายามกันมันให้ออกห่างจากปูนเอง”



แม้จะฟังดูลวกๆและฉุกละหุกมากไปหน่อยแต่ก็พอเข้าท่า คณิตและขิงจึงเดินมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเห็นบูธของปูนได้ถนัดพวกเขาจึงเห็นภาพการพูดคุยของสองลุงหลานที่หากมองด้วยสายตาแทบจะไม่พบความผิดปกติใดๆ ยิ่งนานไปคณิตก็ยิ่งร้อนใจ เขาอยากจะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วคอยฟังว่าสองคนนั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกัน ผู้ชายคนนั้นยังทำร้ายปูนอยู่ไหม หรือกาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปไม่เลวร้ายอย่างที่เขากลัว แต่คณิตก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ รอ รอ...แล้วก็รอ จนกระทั่งโอกาสนั้นมาถึง



“สวัสดีครับ ผมตฤณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”



ปูนหน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังแนะนำตัวเองอยู่คือใคร ชื่อของขิงถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับอาการหันไปมองรอบๆราวกับต้องการหาอะไรบางอย่างซึ่งคณิตมั่นใจว่าคนที่ปูนต้องการจะพบคือเขาไม่ผิดแน่



“อ้าวปูน เรารู้จักพี่เขาด้วยหรอ”



เจ้าของบริษัทผู้ซึ่งเป็นนายของวิทยาถามขึ้นเมื่อตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ยินว่าปูนเพิ่งเรียกชื่อเล่นของคุณตฤณออกมาทั้งๆที่ยังไม่มีใครบอก และแน่นอนว่าวิทยาก็ได้ยินมันด้วยเช่นกัน



“เอ่อ...คือ...”



“ปูนเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยน่ะครับ เคยคุยกันอยู่สองสามครั้ง”



ขิงชิงตอบแทนเพื่อแก้สถานการณ์ แต่เจ้าของบริษัทคนนั้นกลับทำหน้างงในขณะที่คณิตแทบจะถลาไปอุดปากเพื่อนแต่ก็ไม่ทัน



“เอ๋...แต่คุณตฤณกับปูนอายุต่างกันพอสมควรเลยนะครับ ปีนี้หลานน่าจะอยู่สักปีสามปีสี่เองใช่ไหมวิทย์”



“ครับ”



ชิบหาย...ชิบหายแน่ๆ ขิงแอบหันมามองหน้าคณิตเพื่อขอความช่วยเหลือเพราะดันทำพลาดไปและเพราะอย่างนั้นเลยทำให้ลุงของปูนหันมาจ้องทางนี้ทางขิงตาเป็นมันด้วยสายตาที่จับผิดและคาดคั้นจนคณิตรู้สึกได้ ส่วนปูนเองก็มีสีหน้ากระวนกระวายใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น



“อ่อ ได้เจอกันตอนผมกลับไปเยี่ยมที่นั่นน่ะครับ! แล้วปูนก็เป็นรุ่นน้องของรุ่นน้องผมอีกที ใช่ไหมปูน ฮ่าๆ”



เมื่อเห็นว่าไม่มีใครช่วยเขาได้ขิงเลยต้องใช้วิธีแถหน้าตายทั้งๆที่เขากับปูนเรียนอยู่กันคนละคณะคนละมหาลัยด้วยซ้ำ ร่างเล็กหัวเราะตามแฮะๆแม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากนัก แต่ถือว่ายังโชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างขิงกับปูนไม่ได้มีผลต่อธุรกิจสักเท่าไหร่ เจ้าของบริษัทที่พาขิงมาแนะนำจึงเปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับการทำงานที่กำลังจะเกิดขึ้นแทน...แต่มันกลับใช้ไม่ได้ผลกับวิทยาเพราะถึงแม้จะได้ยินอย่างนั้นชายที่ผ่านโลกมามากก็ยังคงจ้องมาที่ปูนอย่างคาดโทษจนร่างเล็กเลือกที่จะเดินออกมาซึ่งนั่นก็กลายมาเป็นโอกาสที่คณิตต้องคว้าเอาไว้ให้ได้



“คุณครับ”



ปูนที่กำลังจะเดินไปยังบูธอื่นหยุดนิ่งแล้วหันมามองชายที่มาขอเครื่องดื่มกับเขาเมื่อตอนบ่าย...มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ เขาไม่ทันได้สังเกตเลย



“คือ...คุณตฤณเขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณ”



ชื่อจริงของขิงถูกยกมาอ้างอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เจ้าของมันก็กำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะชวนวิทยาคุยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาขัดปูนกับคณิตได้ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...ปูนก็ยังคงมองชายแปลกหน้าคนนี้ด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ จนคณิตสามารถตระหนักได้เองว่า...ปูนหวาดระแวงมากจริงๆ



“พี่ขิงงั้นหรอ...”



“ครับ...เรามีเรื่องต้องคุยกับคุณ”



“เรา?”



ร่างเล็กทวนคำอย่างไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบเขาก็ถูกชายแปลกหน้าช่วงชิงฝ่ามือนุ่มนั่นมาจับไว้แล้วออกแรงลากไปด้านนอกงานอย่างถือวิสาสะ ด้วยความตกใจปูนจึงพยายามขัดขืนแต่มีหรือที่แรงคนตัวเล็กๆอย่างเขาจะไปสู้อะไรกับคนตัวโตอย่างนี้ได้



“ปล่อยสิ! นี่ ปล่อยผมนะ!”



“อยู่นิ่งๆก่อนได้ไหม เดี๋ยวเขาก็เห็นเข้าหรอก”



“ใครเห็น แต่เดี๋ยวนะ เสียงคุณมัน!!?”



:t3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :t3:

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
Re: - - - ใจแตก (Broken man) - - - [Up #ตอนที่37][280559]
«ตอบ #389 เมื่อ28-05-2016 23:11:58 »



พอเดินพ้นส่วนของงานออกมา เสียงจอแจก็พลันเงียบลงจนปูนสามารถได้ยินสิ่งที่ชายคนนี้พูดได้ชัดเจนขึ้น ความแหบสั่นอย่างคนไม่สบายหายไป ไม่สิ ต่อให้หมอนี่ฟาดน้ำมะนาวไปสามแก้วก็ใช่ว่าจะหายได้เร็วขนาดนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น...ความนุ่มนวลที่คุ้นเคยนี้กำลังปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างในใจของปูนขึ้นมา



“มาทางนี้”



พอได้ฟังอีกครั้งปูนก็มั่นใจ...ใช่...ใช่จริงๆด้วย มันคือเสียงของคนที่เขาอยากได้ยินมันมาตลอด ดวงตาติดเศร้าของปูนเริ่มมีน้ำตาคลอ ริมฝีปากที่ขยับพูดมาตลอดทางปิดลงแล้วเปลี่ยนเป็นขบเม้มเหมือนกับคนที่อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ได้ คณิตไม่ได้หันกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นอาการที่เปลี่ยนไปก็ทำให้เขารู้ว่าคนที่เขากำลังจูงมืออยู่นี่คงจะรู้ตัวแล้วคนที่ตัวเองแสดงน้ำใจให้แท้จริงนั้นเป็นใคร คณิตจึงตัดสินใจกอบกุมมือของปูนให้แน่นขึ้นจนเขารู้สึกได้ถึงแรงสูบฉีดในตัวปูนที่เร่งเร้าและรุนแรงไม่ต่างกัน



เท้าสองคู่หยุดลงตรงลานจอดรถของบริษัทที่หากไม่มีแสงไฟสีส้มที่ส่องมาจากที่ไกลๆแล้วทุกอย่างก็แทบจะตกอยู่ในความมืด แต่นั่นก็เป็นเพียงในสายตาของคณิตเพราะสำหรับปูนที่ถูกคนตัวสูงคว้าเข้ามากอดไว้จนแน่นนั้นมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย



เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา แม้จะรู้ว่าทุกวินาทีมีค่า แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้นคณิตจึงไม่ลังเลใจที่จะใช้มันไปกับการรู้สึกถึงชีวิตและลมหายใจของคนในอ้อมแขนให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ปูนซึ่งมีเรื่องมากมายอยากจะพูดและอยากจะถามแต่แค่เพียงเขาได้ตกอยู่ในอ้อมแขนของคนคนนี้ร่างเล็กก็แทบจะลืมวิธีการเอื้อนเอ่ยวาจา









“คิดถึง...”







ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ข้างในถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดคำแรกที่พวกเขามอบให้กันหลังจากที่ตกอยู่ในความเงียบมาสักพัก ริมฝีปากของคณิตพรมจูบตามขมับและหน้าผากของปูนอย่างรักใคร แต่นอกเหนือกว่านั้นคือความกังวลใจเพราะเมื่อได้มาอยู่ใกล้ๆกันอย่างนี้แล้วคณิตก็เห็นได้ชัดเลยว่าปูนของเขาผอมลงไปมากจริงๆ



“เธอสบายดีไหม เจ็บปวดตรงไหนรึเปล่า”



“...”



“ทำไมไม่ยอมกินข้าว ผอมไปหมดแล้วเห็นไหม”



“ผม...กินนะ”



“แค่นั้นมันไม่พอ...คนคนนั้นดูแลเธอได้ดีไม่เท่าฉันหรอกใช่ไหม”



ปูนหลบตาคณิต แม้จะอยู่ในรูปลักษณ์แปลกตาแต่พอได้สบกับดวงตาคู่นั้นปูนก็รู้สึกถึงความห่วงใยของอีกฝ่ายจนเขาต้องหลีกเลี่ยงมัน ร่างสูงลูบใบหน้าของปูนด้วยความรักก่อนจะเลื่อนมือไปยังแขนเสื้อเชิ้ตที่ถูกกลัดกระดุมอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งเขาปลดมันออกทั้งสองข้างจนเผยให้เห็นความเจ็บปวดของปูนที่ถูกตราตรึงไว้บนร่างกายเต็มไปหมด



“เขามันไม่ใช่คน”



คณิตเคยคิดว่าการถูกปูนบอกลาเป็นความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดแล้วที่เขาเคยเผชิญมา แต่มันกลับเทียบไม่ได้เลยกับการต้องมาเห็นว่าคนที่เขารักนั้นถูกกระทำอย่างไร ร่างสูงได้แต่กล่าวโทษตัวเอง...เป็นเพราะเขา...มันเป็นเพราะเขาใช่ไหม...ที่อ่อนแอและไร้กำลังเกินกว่าจะปกป้องใครได้



“เขาเป็นคนครับ แล้วก็เป็นลุงของผมด้วย”



“ปูน...”



“ตำรวจนั่นคงเล่าให้คุณฟังแล้วใช่ไหม ว่าลุงของผมเป็นคนยังไง แล้วทำไมทั้งๆที่รู้...ทำไมคุณถึงยังมาที่นี่ล่ะครับ”



“ยังต้องถามอีกหรอว่าทำไม...



คณิตมองคนที่เพิ่งพูดเรื่องโง่เง่าที่สุดออกมา เขาลูบความบอบช้ำของปูนเบาๆด้วยสองมือของตัวเอง แล้วจึงพูดสิ่งที่เขารู้สึก...สิ่งที่เขาอยากบอกปูนมาตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน



“ขอโทษนะ ที่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอต้องพยายามแค่ไหนถึงจะยิ้มออกมาได้ ขอโทษ...ที่ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยพยายามจะรับฟังเธอจริงๆสักครั้ง”



“...!!”



“และฉันก็อยากขอบคุณเธอ ทั้งๆที่ฉันไม่ใช่คนที่เข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้แต่เธอก็ยังอยู่ด้วยกันมาตลอด...ขอบคุณนะปูน ได้โปรด...กลับมาอยู่ด้วยกันนะ”



เพราะคำว่าขอบคุณทำให้ปูนต้องหันกลับมาสบตากับคนที่แสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดอย่างไม่คิดปิดบัง ทั้งความอ่อนแอ หวั่นไหว และความอ่อนโยนที่ไม่ต่างไปเลยจากวันแรกที่พวกเขาได้พบ ได้รู้จัก และได้รักกัน...มันทำให้ปูนอยากลืมทุกอย่างแล้วกลับไปยืนเคียงข้างคณิต แต่ว่า...









“กลับไปเถอะครับ ผมคงจะกลับไปกับคุณไม่ได้”









คำพูดของปูนเป็นยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดที่กระแทกลงกลางใจของคณิตที่ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากคนตรงหน้า รอยช้ำบนร่างกายของปูนยังไม่จางลงไปด้วยซ้ำ แล้วทำไมล่ะ...ทำไมปูนถึงยังยืนยันที่จะอยู่กับคนที่สร้างมันขึ้นมา...คนที่ไม่ใช่เขา



“ทำไม...”



“อย่างที่บอกครับ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร คนคนนั้นก็ยังเป็นลุงของผม”



“โกหก ถ้าเธอคิดอย่างนั้นจริงเธอคงไม่หนีมาตั้งแต่แรก”



คณิตเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง เขาไม่หลงเชื่อคำพูดของปูนแม้แต่น้อย แต่ร่างเล็กก็ยังคงยืนยันมันอย่างหนักแน่น



“นั่นมันตอนนั้นครับ...ผมกับลุงปรับความเข้าใจกันแล้ว จริงอยู่ที่เขาทำร้ายผมแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ลุงวิทย์ไม่สมควรได้รับการให้อภัย”



ปูนพูดแล้วยิ้มให้คนที่ตัวเองรัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดันมือของคณิตออกไปจนร่างสูงไม่อาจเอื้อมคว้าตัวเขาได้อีก



“ถึงแม้จะยังไม่ใช่ทั้งหมด...แต่ผมก็หวังว่าสักวันผมจะอยู่ร่วมกับเขาได้ เขาเป็นครอบครัว เป็นญาติเพียงไม่กี่คนของผมที่ยังเหลืออยู่...เขาเป็นคนสำคัญที่ไม่ว่ายังไงผมก็ทิ้งพวกเขาไปไม่ได้”







“แล้วฉันล่ะ...ฉันไม่สำคัญกับเธออีกแล้วหรอปูน”





คำถามที่คล้ายกับคำอ้อนวอน ว่าได้โปรดมองมาทางนี้แล้วบอกกันอีกทีว่าคณิตยังเป็นคนสำคัญของปูนอยู่ หากแต่ปูนกลับทำเพียงยกยิ้มให้ซึ่งมันช่างดูแห้งแล้งเสียจนเขาอยากร้องไห้







“ขอโทษนะครับที่ต้องผิดสัญญา แต่ว่าได้โปรด...ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีผมเถอะครับ”




.

.

.

.

.

.

.



บรรยากาศบนรถเงียบเชียบมีแต่เพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศและเสียงล้อที่บดไปตามพื้นถนนเท่านั้นที่ทำให้ปูนรู้สึกว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่...มีชีวิตทั้งที่ความรู้สึกส่วนลึกกำลังตายลงอย่างช้าๆ ด้วยน้ำมือและวาจาแสนร้ายกาจที่ไม่ต่างอะไรกับยาพิษนั่น



“ผู้ชายคนนั้น เป็นพวกของมันใช่ไหม”



วิทยาที่กำลังขับรถพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองหลานชาย ไม่ต่างจากปูนที่ไม่คิดจะหันมามองหน้าคู่สนทนาเพื่อรักษามารยาท



“พวกมันไหนล่ะครับ”



“หึ ก็ผัวแกคนล่าสุดไง มันไปแอบอยู่ตรงไหนของงานล่ะ”



ปูนยิ้มหยันให้คนที่ทำตัวเหมือนจะฉลาดโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ตัวเองพูดถึงได้มายืนประชิดตัวเขาต่อหน้าต่อตาด้วยซ้ำ



“ไม่รู้สิครับ ผมไม่เห็นได้เจอใครเลย”



“โกหก ถ้าแกไม่ได้เจอมันแกคงไม่ทำท่าซังกะตายแบบนี้หรอกจริงไหม ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่ามันมาขอให้แกกลับไปอยู่ด้วย”



ร่างเล็กไม่ได้ตอบ แต่การทำอย่างนั้นก็ยืนยันว่าสิ่งที่วิทยาพูดนั้นถูกต้องชายผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอ่อนโยนสุขุมหากแต่ข้างในกลับดำมืดหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้นั้นเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เคยได้ยิน



“ฮ่าๆ แล้วมันก็เชื่อฟังแกสินะ ผิดจากที่ฉันพูดไว้ไหมล่ะ ว่าผู้ชายพวกนั้นไม่ได้รักแกจริงหรอก เหมือนกับแฟนคนก่อนของแกไง เจ้ารัตติกาลอะไรนั่น”



ปูนไม่ได้โต้ตอบให้ลุงของตนรู้สึกสะใจไปมากกว่านี้ เขาทำเพียงแค่ปฏิเสธอยู่ในใจว่าระหว่างคณิตกับรัตติกาลนั้นไม่เหมือนกัน...สำหรับเขาไม่มีใครสามารถเหมือนหรือแทนคณิตได้อีกแล้ว



“แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายนะ ถ้าแกยอมไปกับมันรูปพวกนั้นคงจะได้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วประเทศ”



“...!!”



ชายแก่ยิ้มเยาะ เป็นอย่างที่คาดว่าหากเขาพูดถึงรูปถ่ายที่ตัวเองครอบครองอยู่หลานชายคนนี้คงจะอยู่ไม่สุขซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้น คิดไม่ผิดจริงๆที่ยอมเสียเงินจ้างนักสืบมือดีให้ตามถ่ายรูปการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเฉกเช่นคู่รักของชายหนุ่มทายาทโรงแรมดังกับเด็กผู้ชายซึ่งมีประวัติโชกโชนจนน่าขำ



“ลุงบอกว่าถ้าหากผมยอมกลับบ้านลุงจะทิ้งมัน!”



“หึ แกคงไม่คิดว่าฉันจะโง่ทำลายอาวุธของตัวเองหรอกใช่ไหม”



ปูนกัดฟันจนสันกรามขึ้นเห็นชัด เขาเกลียดชังในความสับปรัปของคนตรงหน้าที่ถูกเก็บซ่อนมาตลอดเวลาหลายปีที่รู้จักกัน หากตอนที่แม่กับพ่อตายปูนรู้และมีสิทธิเลือกได้เขาสาบายว่าจะไม่มีทางยอมมาอยู่กับชายคนนี้...ชายคนที่เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก



“จำเอาไว้ว่าสิ่งที่แกต้องทำคืออยู่ให้ห่างจากคนพวกนั้น เชื่อฟังฉัน แล้วอย่าได้คิดหนีไปไหนอีก”



“ลุงจะบ้ารึไง ลุงขังผมไว้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”



รถญี่ปุ่นคันเล็กเหยียบเบรกกะทันหันจนหัวของปูนเกือบกระแทกคอนโซลข้างหน้า เด็กหนุ่มเตรียมจะหันกลับมาโวยวายแต่สิ่งที่รอเขาอยู่คือใบหน้าของลุงแท้ๆที่เคลื่อนเข้ามาจนเกือบจะแนบชิดกัน



“ได้สิ ทำไมฉันจะทำไม่ได้...ตอนนั้นฉันแค่พลาดไป แต่ฉันจะไม่มีวันทำพลาดอีกแล้ว”



“ละ ลุง ถอย...ถอยออกไปนะ”



“แกจะไปจากฉันไม่ได้ปูน ไม่มีวัน...เพราะแกเป็นของฉัน”







ของฉันคนเดียวเท่านั้น





-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!

งวดนี้มาดึกคับ หุหุ ตอนที่แล้วแอบขำ มีแต่คนลืมพี่ขิง โถ่ๆ ไม่รู้จะสงสารหรืออะไรดี55555  :hao7:

#ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด