“ปูน เมื่อเกี้มาคนมาเคาะห้องน่ะ”
“หรอครับ ปูนไม่เห็นได้ยินเลย”
ก็อกๆๆ...
คราวนี้ปูนได้ยินเสียงเคาะห้องนั้นอย่างชัดเจน แต่เพราะฟองน้ำยาล้างจานบนมือทำให้รัตติกาลต้องเป็นฝ่ายเดินไปเปิดมันแทน ปูนรีบล้างมืออย่างลวกๆเขาเช็ดฝ่ามือที่เปียกชื้นกับขากางเกงของตัวเองก่อนจะเดินไปดูว่าเป็นใครที่มาหา
“คุณลุง...”
“ว่าไงปูน มัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงต้องให้แขกมาเปิดประตูให้”
ปูนนิ่งอึ้งไปเมื่อจู่ๆคนที่ไม่น่ามาอยู่ที่นี่อย่างลุงวิทย์กำลังยืนส่งยิ้มมาให้เขาพร้อมกับขนมไทยหอบใหญ่ที่ไม่ดูก็รู้ว่าในนั้นคงมีแต่ของโปรดของปูนอยู่เต็มไปหมด ร่างเล็กรีบเข้าไปรับมาถือไว้เองโดยมีรัตติกาลคอยช่วยเหลือ
“ลุงครับ นี่รัตติกาล...รุ่นพี่ของปูนเอง”
“สวัสดีครับ”
ปูนเลี่ยงที่จะใช้คำว่าคนรัก หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าสถานะนั้นสามารถนิยามความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรัตติกาลได้หรือไหม และสองคือความรู้สึกของผู้ใหญ่ที่ปูนให้ความเคารพรัก
“ไม่เคยเห็นเราเล่าให้ฟังเลย”
“ปูนมารู้จักพี่เขาตอนทำงานที่ร้าน เลยไม่ได้เล่าให้ลุงฟังน่ะครับ”
“ร้าน? นี่ปูนยังไม่เลิกทำงานในที่แบบนั้นอีกหรอ”
“คือปูน...”
“เข้าไปคุยกันข้างในห้องเถอะครับ ปูน เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”
รัตติกาลพูดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าการพูดคุยของสองลุงหลานไม่ควรมีเขาอยู่ตรงนี้ ปูนจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆให้แล้วบอกร่างโปร่งว่าเขาจะโทรหาที่หลัง
“อืม คุยกับลุงดีๆล่ะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก”
“ครับ...ขอโทษด้วยนะ”
“อืม อย่าคิดมาก”
รอยยิ้มและความห่วงใยของรัตติกาลทำให้ปูนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มันจะถูกความลำบากใจกลืนหายไปเมื่อต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่ได้เดินออกไปจากห้องพร้อมกับรัตติกาล
“เดี๋ยวปูนชงกาแฟให้นะครับ”
ปูนว่าก่อนจะเดินนำลุงของตนเข้าไปในห้อง โชคดีที่เขากับรัตติกาลเพิ่งกินข้าวกันเสร็จไปมันเลยยังดูสะอาดและไม่มีอะไรหลงเหลือเป็นหลักฐานมากนัก ปูนไม่ได้อยากปิดบังกับที่บ้านว่าเขาเป็นเกย์ ดีไม่ดีลุงกับป้าอาจจะรู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าเขาเป็นยังไงหากแต่ปูนก็ไม่อยากทำให้คนทั้งคู่ลำบากใจ เพราะสิ่งที่เขาเป็น
“ลุงจะมาทำไมไม่โทรบอกปูนก่อนล่ะครับ ปูนจะได้ไปรับ”
ร่างเล็กพูดพร้อมกับยื่นกาแฟร้อนๆไปให้ญาติผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางนิ่งๆเหมือนเช่นทุกครั้ง สำหรับปูนลุงวิทย์มีความสำคัญไม่ต่างจากพ่อแม่ แต่มันคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะคิดแบบนั้น เพราะในยามที่ปูนลำบากเพราะต้องสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เด็กก็ได้ลุงวิทย์เข้ามาช่วยเหลือทั้งๆที่ลุงเองก็มีลูกสาวอย่างปิ่นอยู่แล้ว
ไม่เคยมีใครบอกว่าปูนเป็นภาระแต่ปูนกลับบอกตัวเองอย่างนั้น
เขาถึงไม่อยากทำให้คนบ้านนี้ผิดหวัง...ไม่อยากเลยจริงๆ
“ถ้าลุงบอกจะได้เจอแกไหม แค่โทรมายังไม่รับสายเลย”
“ขอโทษครับ พอดีที่ผ่านมาปูนยุ่งๆน่ะเลยไม่ได้ติดต่อกลับไปเท่าไหร่”
“เพราะงานนั่นสินะ ลุงบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิก”
ร่างเล็กยิ้มเจื่อนให้ เพราะเรื่องงานบาร์เทนเดอร์เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เขาชอบมันจนต้องขัดใจคนที่บ้าน จะว่าหลงแสงสีก็ใช่ แต่ที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกยามที่ได้สรรสร้างสิ่งใหม่ๆซึ่งมันทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองทุกครั้ง
“ไม่ใช่เพราะงานหรอกครับลุง ปูนแบ่งเวลาได้”
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น แต่ทำงานอย่างนี้มันไม่ดีไม่รู้รึไง ไหนจะเหล้ายา ไหนจะพวกมั่วสุมคนก็ตีกัน”
“มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกที่หรอกครับ ของแบบนี้มันแล้วแต่คน”
“แล้วผู้ชายคนเมื่อกี้ เขาเป็นอย่างนั้นด้วยไหม”
“...!!”
รอยยิ้มของปูนหายไปก่อนร่างเล็กจะก้มหน้าลงมองตักของตัวเองแทนที่จะสบตากับลุงที่มองมาอย่างคาดคั้น
“เราเป็นอะไรกับมัน”
“พี่กาลเขา...เป็นรุ่นพี่ครับ”
“อย่าโกหกลุงนะปูน”
“...”
“เลิกยุ่งกับมันซะ ปูนคงไม่อยากทำให้ลุงผิดหวังหรอกใช่ไหม”
น้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคอไปพร้อมกับความไม่เข้าใจว่าทำไมลุงถึงตั้งแง่กับรัตติกาลขนาดนั้น แต่ปูนก็ไม่กล้าถามพอๆกับที่ไม่กล้าขัดคำสั่งของลุงที่บอกให้ปูนกลับไปค้างที่บ้านอย่างน้อยอาทิตย์ล่ะสามวันทำให้เวลาที่เขาจะได้พบกับรัตติกาลนั้นก็พลอยลดหายลงไปด้วย
“พี่ปูน ทำอะไรอยู่หรอ”
ปิ่น...น้องสาวไม่แท้ของปูนที่ยังคงสวมใส่ชุดนักเรียนมอปลายเดินเข้ามาถามเพราะเห็นพี่ชายที่เธอรักเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ไม่ยอมลุกเดินไปไหนมานานแล้ว ปิ่นพยายามชะโงกหน้าเข้าไปดูแต่ก็ถูกปูนดันหัวกลมๆนั้นออกมา
“ยุ่งน่า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วไป”
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จปิ่นค่อยไปอาบน้ำทีเดียว”
คำผัดวันประกันพรุ่งของน้องสาวทำให้ปูนต้องส่ายหัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะเขยิบเข้ามานั่งชิดโซฟามากขึ้นจนปิ่นสามารถนั่งลงข้างๆกันได้
“ว่าแต่จะไม่บอกปิ่นจริงๆหรอว่าพี่ปูนนั่งจ้องมือถือทำไม”
“ไม่”
“รอโทรศัพท์แฟน?”
“...”
“…”
“ก็...คงงั้น”
“เอาจริงดิ พี่ปูนมีแฟนแล้วหรอ!”
ปิ่นเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจจนปูนตะครุบปากเล็กๆนั่นแทบจะไม่ทัน ร่างเล็กมุ่ยหน้ายิ่งเมื่อด้วยตาแวววับของปิ่นนั้นมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนน่าหมั่นไส้
“เงียบๆสิปิ่น เดี๋ยวลุงวิทย์ก็ได้ยินหรอก”
“ขอโทษๆ แต่ปิ่นตื่นเต้นอ่ะ โอ้ยดีใจพี่ชายปิ่นขายออกแล้ว”
คำพูดของปิ่นจุดรอยยิ้มเล็กขึ้นบนใบหน้าของปูนได้ เขาลูบหัวน้องสาวที่เข้ามากอดเขาไว้เสียจนแน่นแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกับตอนเด็กๆที่ปิ่นมักจะทำแบบนี้กับปูนเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาร้องไห้เพราะคิดถึงพ่อกับแม่ หรือแม้แต่เวลาที่ดีใจที่เล่นเกมชนะ
“เขาเป็นใครหรอพี่ปูน ปิ่นรู้จักไหม ปิ่นเคยเจอเขารึเปล่า”
“ปิ่นไม่รู้จัหรอก พี่รู้จักเขาตอนทำงาน”
“อ่อ ลูกค้าพี่หรอ”
“อืม ชื่อพี่กาล”
ปูนพูดก่อนจะยอมเปิดรูปของรัตติกาลในอิริยาบถต่างๆที่เขาแอบถ่ายไว้ให้ปิ่นดู เด็กสาวพอเห็นใบหน้าหวานคมนั่นเข้าก็ออกอาการดี้ด้าจนปูนอดที่จะอมยิ้มภูมิใจไม่ได้
“โคตรหล่ออ่ะ ดูท่าจะรวยด้วย”
“อืม แต่พี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก พี่ชอบตรงที่พี่กาลเขาใจดี”
“ใจดี? ถ้าใจดีแล้วทำไมพี่กาลคนนี้ถึงปล่อยให้พี่ชายปิ่นต้องรอล่ะคะ”
ปิ่นถามออกมาด้วยความสงสัยโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันบาดใจคนฟัง ซ้ำรอยแผลที่ยังไม่ทันหายดีในอกให้เจ็บยิ่งขึ้น รอยยิ้มของปูนจางลงก่อนที่ดวงตาเศร้าจะปรากฏขึ้นมาแทน
“พี่กาลเขา...ยุ่งๆน่ะ”
“แบบนี้ใช้ไม่ได้นะคะ ต่อให้ยุ่งยังไงก็ไม่น่าจะปล่อยพี่ปูนไว้แบบนี้ แล้วอย่าบอกนะว่าที่พี่กลับบ้านบ่อยๆช่วงนี้เพราะพี่กาลอะไรนี่เหมือนกัน”
“ก็เปล่าหรอก พี่แค่คิดถึงบ้านน่ะ”
ปูนเลือกที่จะไม่พูดเรื่องคำสั่งของลุงวิทย์เพราะไม่อยากให้สองพ่อลูกมีปัญหากัน ปิ่นเป็นเด็กว่าง่ายมาแต่ไหนแต่ไร แต่ปูนก็มั่นใจว่าหากปิ่นรู้ว่าพ่อของตัวเองพูดอะไรกับเขา น้องสาวคนนี้ก็พร้อมที่จะออกโรงรับแทนเหมือนกัน
“แล้วพี่ปูน ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ใช่ไหม”
“อืม พี่ไม่อยากให้ลุงกับป้าไม่สบายใจอีกอย่างอะไรๆก็ยังไม่แน่นอน พี่เลยว่าเงียบๆไปก่อนดีกว่า”
“ปิ่นไม่เห็นว่าพี่ปูนจะต้องปิดบังอะไรเลยนะคะ พ่อปิ่นรักพี่ปูนจะตาย พ่อไม่มีทางรังเกียจสิ่งที่พี่เป็นแน่ๆ”
จะเป็นอย่างนั้นแน่หรอ...ปูนพูดแค่ในใจในขณะโดยที่ภายนอกไม่ได้แสดงความวิตกกังวลออกมาให้ปิ่นเห็น ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่อย่างนั้นเสียจนเกือบค่ำเพราะว่าปิ่นเอาแต่รบเร้าให้ปูนเล่าเรื่องของรัตติกาลให้ตัวเองฟังโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องมาทางนี้อยู่ตลอดเวลา
ด้วยความที่ได้ระบายให้ปิ่นฟังบ้าง การดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีรัตติกาลของปูนจึงไม่อาภัพสักเท่าไหร่ ถ้าถามว่าคิดถึงไหมปูนก็คงตอบว่าคิดถึงมากแต่เขาก็ไม่อยากทำให้คนที่รักเขาลำบากใจมากไปกว่านี้การสอบเซมิโปรเจ็คใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนปูนต้องลดเวลาทำงานของตัวเองลงอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนอย่างในวันนี้ที่ร่างเล็กต้องอยู่ทำรายงานที่ห้องสมุดตั้งแต่เช้าจนกระทั่งสามทุ่มงานจะยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งเลย
“ทำโปรเจ็คอยู่หรอปูน มีอะไรให้เราช่วยไหม”
ในขณะที่ปูนกำลังก้มๆเงยๆอยู่กับหนังสือ ผู้ชายที่ร่างเล็กจำได้ว่าเป็นคนออกปากชวนให้เขาไปกินไอศกรีมด้วยกันตอนวันเกิดก้อยก็เอ่ยทักพร้อมกันนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆอย่างถือวิสาสะ
“อืม แต่ไม่เป็นไร เราทำใกล้จะเสร็จแล้ว”
“ไหนดูสิ ยังทำบทที่สองอยู่เลยไม่ใช่หรออีกตั้งเยอะแน่ะกว่าจะเสร็จ”
ได้ฟังอย่างนั้นปูนก็ฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ในใจด่าไปแล้วว่ามึงจะเสือกอะไรด้วยแต่เขาก็ไม่อยากมีปัญหา โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าก้อยกำลังเดินถือกาแฟสดสองแก้วมาทางนี้
“อ้าวปูน มาทำงานที่นี่เหมือนกันหรอ”
“อืม แต่กำลังจะกลับแล้วล่ะ”
ปูนโกหกคำโตก่อนจะทำท่าเป็นรวบหนังสือและปิดโน้ตบุ๊กที่ยังทำงานไม่เสร็จ แต่แทนที่จะต้องอยู่เจอเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญเขาขอไปเองดีกว่า
“เฮ้ย จะไปไหนล่ะอยู่ทำที่นี่ก่อนสิ”
แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออก ปูนอยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายเหลือเกินว่าช่วยหันกลับไปมองหน้าผู้หญิงของมึงด้วยว่าน่ากลัวขนาดไหน
“ไม่เป็นไร ก้อยกับ...เออ นายชื่ออะไรนะ มานั่งโต๊ะนี้ต่อก็ได้เราจะไปแล้ว”
“อะไรกัน เรียนด้วยกันมาตั้งนานปูนไม่รู้จักชื่อเราหรอ”
“อืม ไม่รู้จักหรอก”
ปูนหวังว่าการบอกอย่างอ้อมๆว่าไม่สนใจของเขาจะใช้ได้ผลแต่มันก็ไม่ใช่ คนที่ปูนจำชื่อไม่ได้แสร้งทำหน้าบึ้งอยู่สักพักก่อนจะยิ้มร่า
“เราชื่อแมน คราวนี้จำให้แม่นๆแล้วอย่าลืมอีกนะ”
ร่างเล็กไม่คิดจะตอบรับคำพูดนั้น เพราะทันทีที่แมนพูดจบเขาก็เดินออกมาจากโต๊ะแทบจะทันทีแม้ว่าก่อนจะผละออกมาเขาจะสบเข้ากับแววตาเกรี้ยวกราดของก้อยที่มองมาอย่างไม่คิดปิดบังมันเหมือนทุกครั้ง ปูนถอนหายใจหนักๆ ถึงเขาจะไม่ได้คบคนในเอกเป็นเพื่อนสนิทเลยแต่ก็ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นศัตรูกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะหากเป็นศัตรูเรื่องความรัก...ที่เขามีอยู่ตอนนี้มันก็เยอะมากเกินพอแล้ว
ปูนใช้บริการวินมอเตอร์ไซด์เพื่อกลับมายังหอพัก เขาเดินผ่านลาดจอดรถที่มีรถมอเตอร์ไซด์ของอารัณย์จอดอยู่ในจุดๆเดิมอย่างนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว เขาไม่อยากสนใจนักหรอกว่าหมอนี่มันจะไปไหนหรือทำอะไร แต่ใจเหงาๆมันก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่ชายคนนี้ไม่กลับมาที่นี่มันอาจจะมีส่วนกับการที่รัตติกาลไม่ติดต่อเขามาเลยสักครั้ง
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก...มันต้องไม่เป็นแบบนั้น”
ร่างเล็กกระชับมือที่กำลังถือกระเป๋าแล้วเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามองมอเตอร์ไซด์คันนั้นอีก เขารีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นหวังจะปล่อยวางกระเป๋าที่หนักอึ้งเช่นเดียวกับหัวใจแต่พอได้ทำอย่างนั้นความอึดอัดนี้ก็ไม่ได้คลายลงไปด้วย เขาถอนหายใจหนักๆแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความลังเลใจ
อยากโทรไปหา...แต่ก็ไม่กล้า
ปูนกลัว...กลัวว่าหากโทรไปแล้วเวลาของเขาและรัตติกาลจะหมดลง
ความกลัวและความใคร่รู้ตีรวนในอกจนใจดวงน้อยๆสับสนเหนือคณานับ ปูนกดโทรออกเบอร์ของรัตติกาลแล้วตัดสายไปก่อนที่สัญญาณจะถูกต่อ เขาทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยๆเพราะคิดว่าความสับสนนี้จะทุเลาเบาบางลงแต่ก็ไม่ใช่ จนสุดท้ายร่างเล็กก็ตัดสินใจ เปิดโปรแกรมบันทึกเสียงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วใส่ความไม่สบายใจของตัวเองลงไปในนั้น
“พี่กาลครับ...ตอนนี้พี่อยู่ไหน ทำไมพี่ไม่ติดต่อผมมาบ้าง พี่ยังสบายดีไหม งานยุ่งมากเลยหรอครับ พี่มีอะไรอยากให้ผมช่วยบ้างรึเปล่า พี่บอกผมได้นะ...”
“...”
“พี่กาลครับ...ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน พี่อยู่กับใครทำไมถึงไม่โทรหาผมเลย ผมคิดถึงพี่ คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ความรู้สึกที่แท้จริงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสุดจะกลั้นมือเล็กๆที่ถือโทรศัพท์ไว้สั่นอย่างรุนแรงจนมันเกือบจะตกลงมาแต่ปูนก็ยังพยายามประคองมันไว้เหมือนกับความรู้สึกของเขาเอง
“อย่าทิ้ง ฮึก อย่าทิ้งผมไปได้ไหม ขอร้องล่ะ”
น้ำตาหยดเล็กๆไหลลงมาอาบน้ำ ปูนปล่อยตัวเองให้ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะพยายามตั้งสติเพราะเริ่มจะปวดหัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงบันทึกทุกอย่างไว้ ใจหนึ่งก็อยากส่งมันไปให้รัตติกาลแต่สุดท้ายปูนก็ทำได้เพียงยิ้มเยาะตัวเองที่คิดบ้าๆแบบนั้น ร่างเล็กบอกตัวเองให้อดทนไว้แล้วหมายจะปิดมันเสียที แต่แล้วจู่ๆเสียงแตกของกระจกก็ดังขึ้น
เพล้ง!
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดแรงจนเผลอปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น เขาหันไปมองทางต้นเสียงเพื่อหาสาเหตุของมันแต่ปูนกลับต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม
“ละ ลุงวิทย์”
ชายที่ดูสุภาพมาตลอดบัดนี้กลับทำสีหน้าขึงขังจนปูนไม่รู้แล้วว่าลุงของตนกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน หากแต่เมื่อหันไปมองซากกระจกที่ครั้งหนึ่งมันเคยประดับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งปูนก็เริ่มรู้สึกถึงความกลัวแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ลุงครับ...ทำไม”
“ทำไมไม่กลับบ้าน”
“...?!”
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้อยู่ที่นี่”
สรรพนามที่ลุงใช้เรียกเขาเปลี่ยนไปแต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจเท่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา จริงอยู่ที่พักหลังมานี้ลุงวิทย์พยายามหว่านล้อมให้ปูนย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน แต่เพราะเรื่องแค่นั้นมันทำให้ลุงต้องโมโหถึงขนาดนี้เลยหรอ
“วันนี้ผมไปทำรายงานที่มหาลัยมาครับ กลับมานอนที่นี่มันใกล้กว่า”
“หึ ทำงานหรือไปทำอย่างอื่นกันแน่”
“ครับ??”
“สารภาพมาซะ แกมัวแต่ไปคลุกอยู่กับผู้ชายใช่ไหมเลยไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง กลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ห๊ะปูน!!”
ร่างเล็กถอยล่นไปทางด้านหลังเพราะผงะหนีคนที่ก้าวเข้ามาจนปูนไม่ทันได้ตั้งตัว ปูนมองลุงของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามลุงวิทย์ก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวแล้วบีบไหล่เล็กของปูนเข้าเต็มแรง
“โอ้ย! ลุงครับ ผมเจ็บ!”
“ตอบฉันมาสิ! ว่าทำไมแกถึงเป็นคนแบบนี้ ฉันเลี้ยงแกไม่ดีพอรึยังไง!”
“ปูนขอโทษ ฮึก ปูนขอโทษ”
ปูนขอโทษทั้งที่ไม่เข้าใจความผิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เพราะคำขอโทษที่ไร้ความจริงใจนี้ทำให้คนที่ถูกอารมณ์ครอบงำค่อยๆยอมคลายแรงที่บีบไว้แล้วแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่ปูนอย่างเอาเรื่อง
“อย่าให้ฉันรู้ว่าแกยังทำตัวแบบนี้อีก ฉันเลี้ยงแกให้โตมาเป็นคนดีไม่ใช่มาเป็นพวกวิปริตแบบนี้เข้าใจไหม”
“...”
“ฉันถามว่าเข้าใจไหม!”
“เข้าใจครับ...ผมเข้าใจแล้ว”
เด็กหนุ่มกัดฟันตอบไปอย่างจำนน เขาหลับตกลงเพราะไม่อยากทนเห็นสิ่งที่สร้างความผิดหวังให้หัวใจนี้อย่างร้ายกาจ คนที่เคยอ่อนโยนกับเขาเสมอเปลี่ยนไป...คนที่ปูนคิดว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายปูนกลับเหยียบย้ำความคิดนั้นลงเพียงเพราะสิ่งที่เขาไม่อาจเลือกได้
หัวใจที่มีไว้เพื่อรักใคร...เขาเลือกทางที่ถูกต้องให้มันไม่ได้จริงๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างที่อยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวอยู่ผงะเล็กน้อยเมื่อเจอกับอากาศหนาวด้านนอกโรงพยาบาลที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับราคาของมัน หากแต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อวงเงินที่กำหนดไว้ใช้ในเดือนนี้พร่องไปแล้วเสียกว่าครึ่งเพราะหนังสือกองใหญ่ที่วางไว้เต็มห้อง เรียกได้ว่าซื้อเกินงบมามากโข ช่วยไม่ได้...เสื้อโค้ทตัวใหม่คงต้องรอเดือนหน้า
ตื๊ดๆ
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังลิสรายชื่อหนังสือเล่มใหม่ที่ตัวเองอยากได้อยู่ในหัวเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา
‘ช่วยด้วย’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ช่วยด้วย...ช่วยมาต่อตอนต่อไปด้วย คิดแบบนั้นกันอยู่ใช่ม้าาาา =w= ฮี่ๆ รอไปก่อนนะคับ หลังจากวันนี้ทั้งสอบทั้งงานยิงยาวถึงวันเกิดเช่เลย (แอบหยอดวันเกิดตัวเองเบาๆไปแล้วในเรื่อง ฮ่าๆๆๆ)
อ่านตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งงงกับพฤติกรรมของมนุษย์ลุงนะคับ อ่านๆไปคงจะเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ทุกการกระทำของคนเรามันมีสาเหตุเสมอแหละเนอะ หลังจากนี้จะเป็นพาร์ทปัจจุบันสลับกับอดีตไป ในส่วนของอดีตมันค่อนข้างซับซ้อน แต่เช่จะอธิบายไว้นะคับว่าถ้าเทียบกับทามไลน์เรื่องนั้นจะตรงกับตอนไหนบ้าง อย่างตอนนี้ก็จะตรงกับตอนที่23 คือลุงมาแล้วพี่กาลยุ่งเรื่องที่บริษัทโดนขโมยข้อมูลนะคับ
ป.ล. อากาศร้อนมาก ดูแลตัวเองกันด้วยนะ
ป.ล.ล. อยากพักร้อน