“สวัสดีครับป้า สบายดีไหมครับ”
ชายหนุ่มในชุดแจ็คเก็ตหนังเหมือนกับทุกครั้งจะมีที่เปลี่ยนไปก็คือทรงผมที่ไม่ได้จัดแต่งมันให้เป็นทรงเหมือนเคย บอยวางตะกร้าผลไม้ในมือของตัวเองลงบนโต๊ะใกล้ๆก่อนจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยที่มีพรนั่งยิ้มให้อยู่
“ป้าสบายดี แล้วบอยล่ะหายไปนานไม่ยอมมาเยี่ยมป้าเลย”
“ผมติดธุระนิดหน่อยน่ะครับ แต่ว่าวันนี้ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกป้า”
“เรื่องสำคัญ? บอยมีอะไรหรอ?”
ถึงแม้จะเตรียมตัวมาดีแต่พอถึงคราวพูดจริงๆบอยกลับตกประหม่า เขามองหน้าผู้หญิงที่ตนเองเคารพในความเข้มแข็งของเธอและในขณะเดียวกันใบหน้านี้ก็ทำให้เขาคิดถึงคนที่ไมได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
“มีสองเรื่องน่ะครับ ระหว่างข่าวดีกับข่าวร้ายป้าอยากฟังอะไรก่อน”
“ฮ่าๆ อย่าแกล้งคนแก่สิบอย มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ไม่เอาครับ ป้าเลือกเถอะไม่งั้นผมพูดไม่ออก”
“ถ้าอย่างนั้น...เล่าข่าวร้ายมาก่อนแล้วกัน ป้าจะได้ทำใจได้”
พรยิ้มให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเธออย่างอ่อนโยน ใจจริงเธออยากจะเล่าให้บอยฟังก่อนว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอและพลัสกำลังดีขึ้นแล้ว แม้จะยังไม่มากเท่าเมื่อก่อนแต่มันก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นโดยมันคงจะเป็นแบบนี้ไม่ได้หากไม่มีบอยคอยช่วย แต่แล้วทันทีที่บอยเอ่ยปากพูดความสุขใจของพรก็ถูกทำลายลงไปในพริบตา
“ผมเคยข่มขืนพลัสครับป้า...ผมเคยทำร้ายน้อง”
เพี้ยะ!!
มันเป็นการกระทำที่ไปไวกว่าสมอง พรฟาดฝ่ามือที่อ่อนแรงของตัวเองเข้าไปเต็มแก้มของเด็กหนุ่มที่เคยไว้ใจและคิดว่าพึ่งพาได้
“บอยว่าอะไรนะ บอยทำอะไรน้อง!”
“ผม...ขื่นใจน้องครับ แล้วผมก็บังคับให้น้องคบกับตัวเอง”
“...!!”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งนั้น ถ้าหากว่าป้าอยากแจ้งตำรวจจับผม ผมก็จะไม่ขัดขืน หรือว่าถ้าป้า...”
“บอยทำน้องทำไม บอยไม่ได้รักน้องหรอ!!”
“...!!”
“ป้ารู้ว่าบอยรักน้อง รักมาตลอด...ป้าเลยคิดว่าบอยจะปกป้องน้องได้ แล้วทำไมล่ะบอย ทำไมบอยถึงทำร้ายคนที่ตัวเองรักบอกป้ามาสิ!!”
หัวใจของบอยค้างนิ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่เอาแต่ทำงานตัวเป็นเกลียวคนนี้จะดูออก คนที่พยายามเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่อาจต้านทานมันได้อีกแล้ว บอยก้มหน้าลงปล่อยให้หลังมือตัวเองเปื้อนคราบน้ำตาที่ไม่มีใครเช็ดให้เขาได้
“ผมขอโทษครับ ผมแค่กลัวว่าพลัสจะไปชอบคนอื่น ผมคิดตื้นๆว่าถ้าหากทำอย่างนั้นไปพลัสจะรักผมบ้าง แต่มันก็ผิด...ผิดไปหมดทุกอย่าง ผมแค่คนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่ความต้องการของตัวเอง และผมก็ทำร้ายคนที่ผมรักมากที่สุดไปแล้ว”
น้ำเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาลูกผู้ชายเป็นหลักฐานถึงความผิดบาปที่บอยกระทำลงไปได้อย่างดี มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจึงฟาดลงบนแผ่นหลังของชายหนุ่มซ้ำๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นการลูบมันไปมาอย่างสงสาร
“ทำไมสิ้นคิดแบบนี้ฮะบอย บอยไม่ได้เห็นเรื่องของป้าเป็นตัวอย่างเลยหรอว่าต่อให้เราเจ็บปวดเพราะเขาแค่ไหน เราก็ไม่สมควรทำร้ายคนที่ตัวเองรัก...ทำร้ายน้องแล้วบอยเจ็บไหม...เจ็บใช่ไหมล่ะ...เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้นป้าคงให้อภัยบอยไม่ได้”
บอยปาดน้ำตาบนหน้าของตัวเองก่อนจะก้มลงกราบไปที่เท้าของพรด้วยความรู้สึกที่ยินยอมหมดทุกอย่าง ไม่ใช่เพื่อการร้องขอโอกาส แต่เป็นการขอขมาโดยที่เขาเองก็ยังไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
“ความจริงผมควรทำมันกับพ่อของพลัสด้วย แต่ว่าผม...จะต้องไปแล้ว”
“ไป? ไปไหน บอยจะไปไหน?”
น้ำเสียงของพรเต็มไปด้วยความร้อนใจ ซึ่งมันทำให้บอยรู้สึกดีจริงๆ
“ขอบคุณป้าสำหรับทุกๆอย่างนะครับ รักษาตัวเองให้หายไวๆแล้วคืนดีกับพลัสให้ได้นะครับ...ส่วนข่าวดีที่ผมยังไม่ได้บอก”
“...!!”
“ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีกครับ”
พรไม่เข้าใจว่าสิ่งที่บอยพูดมามันเป็นข่าวดีตรงไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือการตัดสินใจของบอยครั้งนี้ทั้งหมดมันเป็นไปเพื่อลูกชายของเพื่อนรักที่กำลังปอกผลไม้ที่บอยนำมาฝากใส่จานโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง
“ได้แล้วครับน้า อยากได้ผมปอกอะไรให้อีกไหม”
“ไม่เป็นไร ขอบใจมากนะ”
พรทิพย์รับแอปเปิ้ลที่ถูกปอกอย่างสวยงามมาแต่ทว่าเธอไม่ได้กินมัน...จะให้เธอกินลงได้ยังไง ในเมื่อภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของบอยที่พรเห็นมันเป็นครั้งแรกยังติดตาอยู่เลย
“ผลไม้เยอะเลยนะครับวันนี้ มีคนมาเยี่ยมน้าหรอครับตอนที่ผมไม่อยู่”
“อืม...มีคนหนึ่งน่ะ”
“ถึงว่า มีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลยด้วย”
พลัสจัดการเอาแตงโมที่ตัวเขาชอบกินใส่เข้าไปในตู้เย็นที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ จะว่าไปพอเห็นเปลือกเขียวๆนี่ทีไรก็คิดถึงตอนนั้นทุกที
‘พี่บอย ตอนเด็กๆพี่เคยลองกินเปลือกแตงโมป่ะ”
“ไม่ มึงเคยกินรึไง”
“อืม ตอนนั้นอยากรู้ว่าทำไมกินมันทั้งเปลือกเหมือนแอปเปิ้ลไม่ได้ เลยลองแทะดู แต่เล่นซะฟันหน้าหลุดไปสองซี่เลย”
“...”
“พี่บอย นี่พี่หัวเราะผมหรอ นี่!”
“ฮ่าๆๆๆ มึงนี่มันโง่ตั้งแต่เด็กเลยว่ะ ไหนดูดิ ใส่ฟันปลอมอยู่ใช่ไหม”
“อื้อออ พี่บอยปล่อยนะ ผมเจ็บ!”
เด็กหนุ่มอมยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงมัน แต่พอจะหันไปถามน้าพรด้วยคำถามเดียวกันบ้างสิ่งที่รอพลัสอยู่กลับเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจและคำพูดที่บีบรัดก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอก
“พลัส...วันนี้คนที่มาเยี่ยมน้าคือบอยนะ”
“...ครับ”
“พี่เขา...มาบอกลา...บอยบอกกับน้าว่า เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
หูของพลัสอื้ออึงไปชั่วขณะแต่ไม่นานพลัสที่เสียการควบคุมไปคู่หนึ่งก็กลับมาส่งยิ้มให้คนที่อยู่บนเตียงก่อนจะลุกขึ้นแล้วปิดประตูตู้เย็นที่มีหนึ่งในความทรงจำระหว่างเขากับบอยอยู่ในนั้น
“ครับ...ถ้าเขาตัดสินใจแบบนั้นก็ดีแล้ว”
ตอนเด็กๆพลัสเคยได้ยินเสมอว่าความรักคือการให้อภัย เขาก็เชื่อมันมาตลอดโดยที่ไม่เคยเข้าใจด้วยซ้ำว่าการให้อภัยจริงๆแล้วมันเป็นยังไง มันคือการที่เรายอมรับความผิดที่คนอื่นก่อ หรือคือการยอมรับคนที่ทำร้ายเรากันแน่นะ...
พลัสถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ซ้ำๆในวันที่บอยขอให้เขาให้อภัย เขาควรยอมรับสิ่งที่บอยกระทำต่อเขา หรือยอมรับบอยที่ทำร้ายเขาด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุดกันแน่...แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม พลัสไม่เคยตอบคำถามตัวเองได้ด้วยตัวเลือกเหล่านี้ ดังนั้นสำหรับพลัสการให้อภัยคงไม่ใช่การยอมรับ
หากแต่เป็น...การให้โอกาส
‘ผมคงยอมรับในสิ่งที่พี่ทำไม่ได้ แต่ผมก็อยากให้โอกาสทั้งตัวเองแล้วก็พี่ได้ใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้ชีวิตกันต่อไป...ขอบคุณนะครับสำหรับทุกสิ่งที่เคยทำให้...ผมไม่ได้เสียใจหรอกนะที่รู้จักพี่...ขอให้พี่โชคดี...ถ้าหากเราได้เจอกันอีกคราวนี้อย่าลืมเข้ามาทักผมด้วยนะครับ’
พลัสอ่านข้อความที่เขาพิมพ์ลงในช่องสนทนาแต่ทว่ายังไม่ถูกกดส่งซ้ำๆ เด็กหนุ่มใคร่ครวญถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นอยู่ และสิ่งที่กำลังจะเกิดในวันข้างหน้า เขายิ้มและร้องไห้ให้กับมันเพียงลำพังก่อนที่จะกดลบข้อความทุกอย่างไปด้วยน้ำมือของตัวเอง
ลาก่อนครับ...
.
.
.
.
.
.
.
หลังความฝันอันยาวนานเกี่ยวกับการเดินทางที่เต็มไปด้วยเสียงคลื่นและกลิ่นน้ำทะเล ตัวเขากำลังบินอยู่บนท้องฟ้าเพื่อข้ามผืนน้ำอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นช่างสวยงานและเต็มไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ปูนรู้สึกอุ่นใจ เขาเห็นคณิตตัวเล็กๆ...มีแต่คณิตเต็มไปหมดเลย
แกร็ก!
แต่ใครจะไปคิดว่าคณิตจิ๋วที่กำลังพากันวิ่งกรูมาใส่ตัวเขากลับแตกกระเจิงออกไปเพียงเพราะเสียงเล็กๆนั่น ปูนกระพริบตาอย่างเชื่องช้า ความฝันและการพักผ่อนอันยาวนานทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่คุ้นชินกับแสงไฟสักเท่าไหร่ แต่เขาก็พยายามยันกายลุกขึ้นนั่งเมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวอีกต่อไป
“อื้อ...พี่หน่อยครับ ตอนนี้กี่โมงแล้วหรอ”
“กำลังจะบ่ายสาม ฉันว่ามันถึงเวลาที่เธอควรตื่นได้แล้ว”
ไม่ต้องให้พูดซ้ำแค่ได้ยินว่าเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของหน่อยปูนก็แทบกระโดดออกจากเตียงแต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ปูนที่สติยังกลับมาไม่ครบถ้วนดีมองไปยังคนที่กำลังเดินมานั่งเก้าอี้ที่คนรักของเขาใช้มันต่างที่นอนเมื่อคืน... รูปร่างแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ท่าทางแบบนี้...ไม่ผิดแน่
“ขะ ขอโทษครับ”
ร่างเล็กยกมือไหว้ประมุขของบ้านเจริญวัฒนะด้วยท่าทางตระหนก ส่วนบรรพตที่ใช้ลูกสาวอย่างหน่อยออกไปจัดการธุระอย่างอื่นให้เพื่อที่ตัวเองจะมีโอกาสได้มาพูดคุยกับแขกคนนี้เป็นการส่วนตัวยังคงรักษามาดของตัวเองไว้ได้อย่างดีจนน่าชื่นชม
“คำทักทายแรกที่เธอควรพูดกับคนไม่รู้จักคือสวัสดี ไม่ใช่ขอโทษ”
“ขอโท...ผมหมายถึง สวัสดีครับ”
“อืม สวัสดี”
ให้ตายสิ คุณคณิตไปไหนเนี่ย!!
“ร่างกายเป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า”
หลังจากนั่งเงียบกันมาสักพัก บรรพตก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน พลางคิดในใจว่าเด็กนี่ไม่เห็นช่างพูดอย่างที่ลูกชายเขาว่า แต่ดูจากหน้าตาและท่าทางเรื่องที่ว่าเป็นตัวแสบก็คงไม่ผิดนัก
“ดีขึ้นมากแล้วครับ ไม่เจ็บตรงไหนแล้ว”
“หรอ ก็ดี งั้นเธอคงพร้อมแล้วใช่ไหม”
“พร้อม? พร้อมอะไรครับ?”
“พร้อมที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้ไง”
หัวใจของปูนหล่นลงไปกองกับพื้น ความคาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับกลับถูกปฏิเสธกลับมาด้วยท่าทางที่เรียบนิ่งจนเขาไม่รู้จะทำตัวยังไง ควรโกรธหรอ หรือควรร้องไห้ ปูนไม่รู้จะทำหน้ายังไงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอดี
“ว่าไง เธอพร้อมที่จะไปรึยัง”
“ผม...คือผม...”
“ตอบไม่ได้สินะ”
“...”
“ถ้าหากเธอยังตอบคำถามของฉันไม่ได้ แล้วเธอจะอยู่ข้างกายลูกชายของฉันต่อไปในอนาคตได้ยังไง”
น้ำเสียงของบรรพตฟังดูเหมือนผิดหวังมากกว่าตำหนิ ชายที่เห็นโลกนี้มามากกว่าปูนเดินไปยังชั้นวางของที่มีรูปถ่ายของคณิตตั้งแต่วัยเยาว์เรื่อยมาจนถึงรูปที่ครอบครัวของพวกเขาเพิ่งถ่ายด้วยกันไปเมื่อต้นปี
“คณิตเป็นเด็กไม่ดื้อแต่เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ตั้งแต่เล็กๆฉันก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันนิสัยแบบนี้ของเขาจะเป็นปัญหา...เธอรู้ไหมว่าครั้งแรกที่เขาดื้อกับฉันเกิดขึ้นตอนไหน”
“ผม...ไม่รู้ครับ”
ปูนตอบไปตามความจริง และต่อให้รู้เขาก็ไม่คิดจะพูดมันออกไป
“ตอนเขาอยู่มอหกกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นฉันไม่กังวลเรื่องของเขาเลยสักนิด จนกระทั่งวันหนึ่งคณิตกลับมาที่บ้านพร้อมกับบอกฉันว่าเขาจะไปเรียนคณะที่ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจบแล้วจะไปทำงานอะไร”
“คณะอักษร...”
“ใช่ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ฉันกลัว”
รูปของคณิตในวันที่เริ่มทำงานโรงแรมเป็นครั้งแรกถูกหยิบออกมาดู แน่นอนว่าลูกชายคนนี้หน้าตาไม่เหมือนบรรพตเลยยกเว้นก็แต่นิสัย แต่ไม่รู้ทำไมทุกๆครั้งที่เขาเห็นภาพนี้ บรรพตก็มักจะนึกถึงตอนที่เขาและภรรยาช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสร้างโรงแรมแห่งนี้ขึ้นมา
“แม้ว่าสุดท้ายสิ่งที่เขาเรียนจะได้ใช้ประโยชน์แต่ฉันก็ไม่เคยลืมเรื่องนั้น ฉันเฝ้าดูเขาแล้วรู้สึกกลัวทุกครั้งเมื่อมีอะไรไม่ดีเข้ามาใกล้ คณิตเป็นคนหัวดีแต่เขาก็มักจะมีวิธีคิดแปลกๆ ไม่ว่าจะการบริหารโรงแรมแบบไม่เน้นเก็บเกี่ยวกำไรมากเกินควร การหยิบของที่มันไม่มีประโยชน์มาใช้ แล้ววันดีคืนดีเขาก็ดันไปเลือกคนที่มองยังไงก็ไม่มีอะไรนอกจากตัวมาอยู่ข้างๆ...เธอรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง...ต่อให้เป็นลูกชายคนโตฉันก็อยากจะตัดมันออกจากกองมรดกซะให้รู้แล้วรู้รอด”
นั่นเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ใช่แค่คำขู่ที่หวังให้คนที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวอย่างปูนได้เข้าใจถึงความผิดหวังที่หนักอึ้งของครอบครัวนี้ ร่างเล็กมองมือบนตักของตัวเองพยายามสรรหาคำพูดดีๆมาโน้มน้าวความคิดของอีกฝ่ายว่านอกจากตัวและความรักแล้วเขายังมีอะไรที่คู่ควรกับคณิตอีกบ้าง แต่ว่า...
“ไม่มีเลยใช่ไหมคำว่าคู่ควรน่ะ ฉันคิดไว้แล้วว่าเธอคงจะเป็นคนที่เข้าใจความจริงข้อนี้มากที่สุด”
ปูนไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลย เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสามารถมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งในขณะที่ตัวเองกลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ปูนเงยหน้าขึ้นหวังจะบอกพ่อของคนรักว่าเขารักคณิตมากขนาดไหน แต่คำพูดทุกอย่างกลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป เพียงเพราะคำๆเดียวที่ออกมาจากปากของบรรพต
“ฉันเป็นห่วงเขา เธอเข้าใจใช่ไหม”
ใช่...ปูนเข้าใจแต่การยอมเดินถอยไปมันก็ทำได้ยาก ความรู้สึกที่หยั่งรากลึกเข้าไปข้างในไม่ต่างอะไรกับรากไม้ที่ยากจะถอนได้ด้วยการเด็ดมัน
“ผมเข้าใจครับ แต่ก็มีเรื่องบางอย่างที่ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“...”
“ผมไม่เข้าใจว่าการที่คุณมาพูดเรื่องนี้...คุณต้องการบอกอะไรผมกันแน่”
ไม่รู้ว่าปูนตาฟาดหรือเปล่าแต่ในชั่วขณะนั้นเขาเห็นว่าริมฝีปากของบรรพตกำลังยกยิ้มออกมา พร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความถูกใจแต่มันก็เป็นแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะต้องเผชิญกับบรรพตที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งสมชื่อ
“ต้องการทำให้เธอรู้ไง ว่าตัวเองยังขาดอะไรบ้าง”
“...!!”
“ถ้าเธอเป็นผู้หญิงฉันคงไม่คิดเข้าไปก้าวก่าย แต่เพราะว่าเธอเป็นผู้ชาย มันเลยทำให้ทุกสายตาข้างนอกนั่นพุ่งตรงมายังคณิต...ตัวเธอคือตัวเขา การกระทำของเธอไม่ว่าจากอดีตหรือปัจจุบันก็จะถูกมองว่าเป็นการกระทำของเขาเช่นกัน...เธอและสิ่งที่เธอเคยทำจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของคณิตโดยที่ไม่อาจปฏิเธได้”
บรรพตคิดถึงเรื่องราวของตัวเองในสมัยก่อนตอนที่ยังทำตัวไม่เอาไหนจนกระทั่งวันที่ได้มาพบกับนันทยา...แม่ของคณิตและหน่อยเข้า เขาไม่ได้รับการยอมรับจากใครแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้ามาหลบภัยในบ้านหลังนี้อย่างที่ปูนกำลังทำอยู่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้ง เขาต้องใช้ความพยายามมากมายเพื่อที่จะพิสูจนตัวเองต่อพ่อและแม่ของหญิงที่ตนรัก และต่อให้ปัจจุบันสิ่งที่เขาพยายามทำมาตลอดจะเกิดผลแล้ว แต่บรรพตก็ตระหนักเสมอว่าสายตาของทั้งคนในบ้านและข้างนอกนั้นกำลังจับตาดูสิ่งที่เขาทำตลอดไม่ว่าจะไปที่ไหน
“เพราะต้องการคำอนุญาตจากฉันคณิตเลยเล่าเรื่องทุกอย่างของเธอให้ฉันฟังแน่นอนว่าฉันรู้สึกเห็นใจกับปัญหาที่เธอต้องเจอ แต่ว่านะ...ทุกคนบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เธอหรือฉันเพราะฉะนั้นมันจะยกมาอ้างไม่ได้หรอกว่าเพราะเธอถูกทำร้ายมาเธอเลยสามารถทำร้ายคนอื่นต่อได้...โดยเฉพาะกับคนที่เธอรักและแม้แต่ตัวของเธอเอง”
บรรพตเดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากแฟ้มที่เลขาคนสนิทเตรียมไว้ให้ตั้งแต่วันที่ลูกชายเดินทางไปรับเด็กคนนี้เข้ามา เขากลับมานั่งลงตรงหน้าปูนที่ได้แต่กัดฟันแล้วนึกถึงความผิดพลาดที่ตัวเองได้กระทำลงไปซึ่งมันตอกย้ำคำพูดของบรรพตได้อย่างชัดเจนว่า สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือปูนเองไม่ใช่ใครอื่น
“อ่านมันให้ดี แล้วให้คำตอบกับฉันซะว่าเธอจะเอายังไงต่อไป...โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นและฉันก็หวังว่าเธอจะไม่เลือกทางผิดอีก
.
.
.
.
.
.
รถของคณิตเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านซึ่งข้างๆกันนั้นคือรถของบิดาที่คงกลับมาถึงนานกว่าเขาอยู่มากโข ร่างสูงรีบเดินลงมาหมายจะขึ้นไปบนห้องนอนของตนตรงชั้นสองเพื่อดูว่าพ่อของเขาได้เข้ามาคุยกับปูนไหม แต่ยังไม่ทันไรคณิตก็เห็นเด็กหนุ่มคนรักที่นอนเป็นผักอยู่ตลอดคืน กำลังพยายามทำความรู้จักกับเจ้าถังแมวตัวอ้วนใหญ่ของหน่อยที่นอนแผ่หราปล่อยให้ปูนเกาพุงให้อย่างสบายอารมณ์
“อ้าว กลับมาแล้วหรอครับ”
เป็นปูนที่เอ่ยทักขึ้นก่อนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคณิตเดินเข้ามาใกล้ๆ แม้จะยังดูขัดเขินอยู่บ้างแต่ปูนก็เดินเข้ามาช่วยคณิตปลดชุดสูทออกจนทำให้คนรักสามารถเห็นดวงตาที่บวกช้ำของเขาได้ถนัดตา
“ร้องไห้ทำไม พ่อของฉันมาพูดอะไรกับเธอใช่รึเปล่า”
แต่คณิตก็ไม่ได้คำตอบ ร่างเล็กเอื้อมมาจับมือของเขาไว้แล้วขอให้คณิตพาไปนั่งคุยกันที่อื่นเพื่อไม่ให้เสียงรบกวนการนอนของเจ้าถัง หากแต่จริงๆร่างสูงรู้ว่าปูนยังคงประหม่ากับสายตาของสาวใช้ที่มองมาอย่างสงสัยในตัวเอง
“ก่อนอื่น...ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยผมไว้ ถ้าไม่ได้คุณเรื่องของผมกับลุงคงจะไม่จบลงแบบนี้”
ปูนพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาทรุดกายลงนั่งบนม้าหินตรงสวนหลังบ้านซึ่งเป็นมุมโปรดของอาม่าที่ยังไม่คุยกับคณิตเลยนับตั้งแต่วันนั้น
“ไม่เป็นไร แต่ถ้าเธออยากตอบแทนก็ช่วยกลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ไหม เรียกกันสุภาพแบบนี้มันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
คณิตจะไม่บอกหรอกว่าเขาอยากให้ปูนเรียกตัวเองว่ายังไง แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะเข้าในความต้องการของคณิตดี ใบหน้าน่ารักนั้นซับสีก่อนที่ริมฝีปากซึ่งยังมีรอยแตกจากการโดนทำร้ายอยู่จะเอื้อนเอ่ยคำที่ร่างสูงรอคอยออกมา”
“ขอบคุณนะป๋า...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่คณิตรู้สึกว่าเขาได้ปูนคนเดิมกลับมาแล้วจริงๆ ชายหนุ่มโอบกอดคนที่ตัวเองรักไว้เขานึกขอบคุณทุกๆอย่างและทุกๆคนที่คอยช่วยเหลือจนเขาสามารถไขว่คว้าคนคนนี้กลับมาอยู่ข้างกายได้ในวันที่ยังไม่สายเกินไป ไม่สิ ไม่ใช่...ครั้งนี้เป็นปูนเองต่างหากที่ยอมก้าวออกมาจากโลกของตัวเองเพื่อที่จะอยู่ข้างกายเขา
“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีอะไรจะต้องกลัวแล้ว”
ปูนพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เพราะในใจเขายังคงกังวลเรื่องของลุงวิทยาอยู่มาก รวมถึงเรื่องปิ่น รัตติกาล หรือแม้แต่สิ่งที่เขาเคยทำ...ภาพการทะเลาะกันของทั้งคู่ก่อนวันจากลาหวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำถามที่ว่า
“ป๋าไม่โกรธผมแล้วหรอ เรื่องของพี่กาล”
“ก็...ไม่ได้โกรธหรอก ฉันแค่รู้สึกเจ็บใจน่ะ แต่ช่างเถอะเรื่องทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว ทั้งตัวเธอแล้วก็ไอ้กาลมัน”
คณิตไม่ได้บอกปูนว่าเมื่อคืนตอนที่ร่างเล็กกำลังหลับเพราะพิษไข้ มีใครโทรมาหาเขาจากแดนไกล เรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ทุกความรู้สึกที่เคยก่อตัวเป็นรูปร่างถูกถ่ายทอดออกมาโดย จนทำให้คณิตเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงต้องทิ้งปูนไปในวันที่เลวร้ายอย่างนั้น
“อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ ทั้งเรื่องของไอ้กาลและทุกๆอย่างที่เคยเกิดขึ้น การสูญเสียเธอไปในช่วงเวลาสั้นๆทำให้รู้แล้วว่าว่าระหว่างสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วกับมือของเราที่กำลังจับกันอยู่นี้อะไรสำคัญมากกว่า...ขอโทษนะที่เคยปล่อยมือเธอไป ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก”
“ป๋า...”
“อย่าจากกันไปไหนอีกนะปูน ชีวิตที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆมันไม่มีทางทำให้ฉันมีความสุขได้อีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ไม่ว่าพ่อของฉันจะพูดกับเธอว่ายังไง ฉันก็จะไม่ให้เธอต้องแบกรับมันแค่คนเดียวอีก เรามาผ่านมันไปด้วยกันนะ”
คณิตไม่มีทางเห็นน้ำตาที่เต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าของปูนในยามนี้ได้ ร่างเล็กมองข้ามไหล่ของร่างสูงไป เขาเห็นเลขาของบรรพตยืนมองอยู่ราวกับการย้ำเตือนว่าข้อเสนอบนกระดาษแผ่นนั้นเขาต้องตัดสินใจเลือกมันเดี๋ยวนี้
“ขอบคุณนะครับที่พยายามปกป้องผม แต่...”
“...?”
“แต่ผมขอโทษที่รับมันไว้ไม่ได้”
ปูนได้ยินเสียงบางอย่างแตกออกจากกัน มันคงเป็นหัวใจของเขาและคณิตนั่นแหละที่กำลังร้องไห้ออกมาราวกับว่ามีใครทำมันให้แตกสลาย
“หมายความว่ายังไง”
“....”
“พ่อฉันมาพูดอะไรกับเธอใช่ไหมปูน!”
“ไม่ใช่นะครับ…ไม่ใช่แบบนั้น ขอร้องล่ะ ฟังผมก่อนได้ไหม”
ปูนพยายามบอกให้คณิตใจเย็นลง เขาพูดกล่อมคนที่เคยใจเย็นที่ใจร้อนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าเรื่องของพวกเขามันคงไม่เป็นอย่างที่คิด คณิตไม่อยากนั่งจมอยู่ตรงนี้ เขาอยากจะเดินไปถามพ่อว่าพูดอะไรออกมาถึงทำให้ปูนคิดจะจากเขาไปอีกครั้ง ไหนบอกว่าจะให้โอกาสพวกเขาไง ไหนบอกว่าจะรอดูจนกว่าจะแน่ใจ...แล้วทำไมถึงทำแบบนี้
ปูนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของคนรักแล้วพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมาแทบไม่หยุด ถึงจะยากลำบากแต่เขาต้องทำมันให้ได้...ปูนตีหัวใจของตัวเองเบาๆราวกับว่าต้องการให้มันเป็นเครื่องเตือนใจตัวเองว่าเขาต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้เพื่อคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า คนที่เขาอยากเห็นหน้าทุกครั้งที่ลืมตา...คนที่ปูนรักหมดหัวใจ
“พ่อของป๋าเขาไม่ได้บอกให้ผมทำแบบนี้ เขาไม่ได้บอกให้ผมเลิกกับป๋าด้วยซ้ำ...แต่เขาทำให้ผมเข้าใจว่าแค่ความรักมันทำให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้ ป๋ายังมีคนอื่นที่ต้องแคร์ ทั้งคนในบ้านและแม้แต่คนข้างนอกนั่นที่ถ้าหากวันหนึ่งเขารู้ว่าผมเคยทำอะไรมา เรื่องพวกนั้นต้องย้อนกลับมาทำร้ายป๋าแน่ๆ”
มันไม่ได้แย่นักหรอกกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ ไม่สิ มันดีมากๆด้วยซ้ำกับโอกาสที่พ่อของคณิตยื่นมาให้ เด็กหนุ่มยิ้มให้คนรักแล้วเป็นฝ่ายกอดคณิตไว้พร้อมกับบอกความในใจของตัวเองออกไป
“ผมจะพยายามเพื่อป๋านะ ป๋าเองก็ต้องพยายามเพื่อผมเหมือนกัน”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
Bad End ไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งคู่ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นตอนจบที่แย่เท่าไหร่นะคับ เช่คิดว่ามันสมเหตุสมผลดีแล้ว สักวันพลัสอาจจะให้อภัยบอยได้ แต่ทั้งสองคนควรจะเรียนรู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผลของมัน และสิ่งที่อยากให้เป็นไปในอนาคตมากกว่านี้ เรื่องต่อจากนี้ในตอนพิเศษอีก2ตอน เช่จะไม่ใบ้ว่ามันจะจบยังไง แต่ก็ตั้งใจว่าอยากให้ตัวละครสองตัวนี้ได้เรียนรู้ชีวิตอย่างที่พลัสตั้งใจไว้ ส่วนจะกลับมารู้สึกเหมือนเดิมไหมนั่นก็เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งนะคับ
ตอนหน้าก็จบแล้ว เหงาดีเหมือนกัน ตอนพิเศษก็คงเลือกมาลงให้อ่านในเว็บประมาน1-2ตอนนะคับ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาตอนไหนมาลงบ้าง แต่คงจะเลือกตอนที่ตอบโจทย์ความค้างคาในระดับหนึ่ง เรื่องหนังสือตอนนี้ยังไม่ได้นะคับว่าจะจัดพิมพ์ช่องทางไหน จะเอายังไงเช่จะแจ้งให้ทราบในเพจนะคับ ส่วนตอนพิเศษพี่กาล2ตอนที่เคยติดไว้ จะลงให้อ่านหลังจากป๋าปูนจบ อาทิตย์เว้นอาทิตย์ รวมๆแล้วก็น่าจะก่อนหนังสือรอบรีปริ้นออกนั่นแหละ แล้วเช่ก็จะขอหายตัวไปปั่นตอนพิเศษป๋าปูนให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะหันมาแต่งชาตินิลต่อนะคับ เรื่องนั้นจะพยายามไม่ใช้เวลามาก แต่คิดว่าน่าจะสร้างความบันเทิงให้ไม่น้อยเชียวแหละ
ช่วงนี้เช่งานยุ่งมาก ทั้งเรียนและการเตรียมตัวไปฝึกงานที่น่าจะหนักหน่วงมากเลยคับ (เข้าออฟฟิศ8โมงเช้า-6โมงเย็น ฮือออออออ) คงจะมาได้แค่อาทิตย์ละตอน แต่จะพยายามไม่หายไปนานกว่านั้นนะคับ พูดแล้วเศร้า แต่ก็ช่วยเข้าใจเช่หน่อยเนอะ