-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
Broken Man
'ใจแตก'
(http://a.lnwpic.com/xifd4z.jpg)
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ "ปูน" จากเรื่อง Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย
เนื้อเรื่องค่อนข้างขาดออกจากกัน จึงไม่จำเป็นต้องอ่านเรื่องก่อนหน้านี้ก็ได้นะคับ
*ผลงานที่ผ่านมาของเช่*
Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.0)
-
แตกที่ 1
…Mojito...
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนโลกใบนี้
จะมีใคร...ได้ยินเสียงของผมบ้างไหม?
เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทถูกสวมลงบนร่างสมส่วนของ ‘ปูน’ ที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ เด็กหนุ่มหยิบเอาทั้งเนคไทและเสื้อกั๊กสีขาวเข้าชุดกันออกมาจากล็อคเกอร์ที่มีตราของโรงแรมติดไว้ แล้วสวมมันทับลงไปก่อนที่จะจัดแต่งทรงผมอีกนิด
“เสร็จยังปูน พี่บอยเดินมาตามแล้วนะ”
“เออ เดี๋ยวตามไป”
ปูนทำหน้ายุ่งน้อยๆพลางตอบเพื่อนร่วมงานที่รีบวิ่งกุลีกุจอออกไปแล้วทิ้งเขาไว้ในห้องแต่งตัวนี้แต่เพียงลำพัง ร่างเล็กยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกอีกสักพักเหมือนกับลืมไปแล้วว่าถูกเตือนอะไรไว้ เขาฉีดน้ำหอมที่ข้อมือนิดหน่อยปิดท้ายก่อนจะเดินออกไปเจอกับกัปตันประจำบาร์ที่กำลังทำหน้าไม่พอใจสุดๆอยู่
“มาทำงานไม่ทันไร ก็คิดจะออกลายแล้วหรอ”
ปูนเงยขึ้นมองป้ายชื่อซึ่งสลักคำว่า ‘Boyd’ ไว้ของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่าเขามากจนอดที่จะอิจฉาเล็กๆไม่ได้ ดวงตาคมกริบไม่ต่างจากคมมีดจ้องมองมาอย่างไม่เป็นมิตรนักแต่สำหรับคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนอย่างปูนนั้นกลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงสายตาธรรมดาๆ ที่ชายตรงหน้ามักจะมอบให้เขาเสมอ
“อย่าบ่นนักเลยพี่ สายนิดสายหน่อย อีกอย่างบาร์ยังไม่เปิดด้วยซ้ำ”
“แล้วมึงไม่คิดจะเข้าบลีฟงานเหมือนน้องใหม่คนอื่นเขาบ้างรึไง”
“ไม่คิดครับ ก็ผมไม่ใช่น้องใหม่สักหน่อย”
ชายผู้เป็นหัวหน้าถอนหายใจยาวๆอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่ร่างเล็กพูดนั้นเป็นความจริง ช่วงขายาวภายใต้กางเกงสีกรมท่าก้าวมาถึงยังบาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่แม้จะอายุน้อยกว่าแต่ก็มีประสบการณ์โชกโชนพอๆกับเขา
“จะทำอะไรก็ทำ แต่ถ้ามีปัญหาเมื่อไหร่ กูล่อมึงแน่...”
“ครับๆ รู้แล้วล่ะน่า”
ปูนยิ้มน้อยๆพลางยื่นมือมาจัดปกเสื้อให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินแยกออกไปประจำเคาน์เตอร์ของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน เขามองไปรอบๆบาร์ขนาดใหญ่ ที่เป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญของโรงแรมชื่อดังในชลบุรีแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับเชิญให้มาเสิร์ฟเครื่องดื่มที่นี่ แต่มันกลับไม่ใช่ความทรงจำที่ปูนอยากนึกถึงสักเท่าไหร่
ร่างเล็กหยิบเอาขวดตากิล่าออกมารินใส่แก้วช็อตแล้วกระดกเข้าปากเหมือนที่ทำทุกๆครั้งก่อนราตรีที่แสนยาวนานจะเริ่มขึ้น พนักงานคนอื่นต่างมองมาที่เด็กหนุ่มอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดหรือว่าอะไร เพราะต่างก็เห็นแล้วว่าแม้แต่กัปตันสุดเฮี้ยบอย่างบอย ยังยอมปล่อยผ่านเขาไปง่ายๆ
“โดนพี่บอยดุรึเปล่าปูน”
ปูนที่กำลังเก็บขวดตากิล่าเข้าที่หันมามองตามเสียงเรียกของใครบางคนที่ไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบข้างเอาเสียเลย ดวงตากลมโตเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายดีๆจึงเห็นว่าคนคนนี้คือเด็กเสิร์ฟคนที่ทิ้งเขาไว้ในห้องแต่งตัวนั่นแหละ
“นิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอก”
“หรอ ดีแล้วแหละ เราชื่อพลัสนะ พลัสที่แปลว่าบวกน่ะ”
พลัสพูดกับปูนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มราวกับว่าภูมิใจกับชื่อของตัวเองนักหนา ร่างเล็กพยักหน้าไปส่งๆทั้งที่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะแนะนำตัวกับเขาทำไมและต้องการอะไรกันแน่ เพราะนอกจากพี่บอยที่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว เขาแทบจะไม่รู้จักใครเลย ส่วนพลัสปูนก็รู้เพียงแค่ว่าคนคนนี้เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่จะเข้ามาทำงานที่นี่เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น
ร่างเล็กไม่สนใจอีกฝ่ายที่พยายามชวนเขาพูดคุยไป ปูนตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆที่ตัวเองจำเป็นต้องใช้ด้วยท่าทางนิ่งเฉย ต่างจากพลัสที่สีหน้าเริ่มแย่ลงเรื่อยๆเมื่อสังเกตเห็นว่าคนที่ตัวเองต้องการจะผูกมิตรไม่แม้แต่จะฟังเขา
“ละ แล้วปูนเรียนอยู่ที่มอxเหมือนกันใช่ไหม เราเรียนอยู่การจัดการปีสาม แล้วปูนล่ะ เรียนคณะไหน ปีอะไร”
พลัสเลือกที่จะถามเรื่องพื้นๆออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายสะดวกใจที่จะพูดคุยกับตน ซึ่งมันก็ได้ผล
“จัดการเหมือนกัน แต่เรียนอยู่ที่กรุงเทพ”
“อ้าว แล้วมาทำอะไรที่นี่อะ หรือมาทำแค่เสาร์อาทิตย์เหมือนเรา”
“เปล่า ทำประจำ ไม่เห็นตรานี่หรอ”
ปูนชี้ไปยังเข็มติดเนคไทสีทองอร่ามบ่งบอกถึงตำแหน่งพนักงานประจำที่ต่างกับเนคไทที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆของพลัส บาร์เทนเดอร์หนุ่มมองคนที่สงสัยไปเสียทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่ติดจะเอ็นดูเล็กๆ เพราะมันทำให้ปูนคิดถึงใครบางคนที่เขาไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่
“แต่นี่ยังไม่ปิดเทอมเลยนะ ถ้าปูนมาทำงานที่นี่แล้วเรื่องเรียนล่ะ”
“เลิกถามมากสักทีเถอะน่า เอานี่ไปกินไป” ร่างเล็กว่ายิ้มๆก่อนจะยื่นแก้วช็อตที่มีตากีล่าอยู่ให้ แต่คนที่ถูกเสนอกลับทำสีหน้าลำบากใจแทนซะอย่างนั้น
“เฮ้ย ไม่เอา เดี๋ยวพี่บอยว่า”
“ไม่เป็นไร กูเลี้ยงเอง”
“แต่เรากินไม่เป็น...” คำตอบที่มาพร้อมกับอาการหน้าแดงน้อยๆของอีกฝ่ายทำให้ปูนได้แต่ขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
“กินเหล้าไม่เป็นแล้วมาทำงานที่นี่ทำไม”
“เรา...แค่อยากหาประสบการณ์น่ะ”
“นี่ไงประสบการณ์ที่มึงว่า กินเข้าไปซะ”
ปูนมองคนที่ตัวสูงกว่าตนเล็กน้อยแกมบังคับขณะที่ยื่นแก้วช็อตที่มีของเหลวสีใสจรดริมปากของอีกฝ่าย พลัสทำหน้าลังเลพยายามปฏิเสธคำเชิญนั้นทางสายตา แต่บาร์เทนเดอร์เจ้าของดวงตากลมโตนั้นกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เด็กเสิร์ฟต็อกต๋อยอย่างเขาจึงได้แต่หลับตาแล้วเปิดปากรับน้ำรสขมแสบคอเข้าไป
“อื้อ! ขะ ขม”
“หึ แล้วเป็นไง ชอบไหม”
“ไม่...”
“งั้นก็จำไว้ ว่าถ้ามีแขกยื่นแก้วให้เมื่อไหร่ก็บอกเขาไปว่าแพ้ หรือไม่ก็อมแล้วค่อยไปบ้วนทิ้ง แต่จะให้ดีก็ไปขอกัปตันเปลี่ยนไปทำบุฟเฟต์ข้างล่างซะ” ปูนพูดด้วยท่าทางนิ่งๆแต่มันกลับทำให้คนฟังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ปูนเป็นห่วงเราหรอ”
“เปล่า สมเพชต่างหาก ถ้ายังไม่อยากเสียบางอย่าง...ที่มากกว่าแค่เสียรู้ ก็ทำตามที่บอกซะ”
แทนที่จะสลด ใบหน้าซื่อๆของพลัสกลับเผยรอยยิ้มกว้างออกมาแทนจนปูนแปลกใจ รวมไปถึงกัปตันอย่างบอยที่ยืนมองทั้งคู่อยู่นานแล้ว
“ว่าแล้วเชียว ปูนใจดีอย่างที่คิดเลย”
“ฮะ? ใจดี?”
“อืม ไม่รู้สิ เราแค่คิดว่าปูนน่าจะเป็นคนแบบนั้น”
คนถูกชมนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเป็นจังหวะเดียวกันกับการเปิดออกของประตูกระจกบานใหญ่ พนักงานทั้งหลายที่ยืนประจำอยู่ในที่ของตัวเอง ต่างก็หันไปมองในจุดๆเดียวกันแล้วโค้งน้อยๆอย่างมีมารยาท โคมไฟที่ส่องสว่างค่อยๆหรี่ลงจนบรรยากาศในห้องแห่งนี้เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับริมฝีปากของบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่กำลังเปลี่ยนเป็นยกยิ้มเย้อหยัน
“เจอพวกน่ารำคาญอีกแล้ว...”
.
.
.
.
.
.
.
เพลงสบายๆในช่วงหัวค่ำเปลี่ยนเป็นเร่งจังหวะขึ้นพร้อมกับบรรดาแขกทั้งหลายที่เริ่มออกลวดลายกันบนฟลอร์เล็กๆซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของบาร์ พลัสที่ทำงานที่นี่เป็นสัปดาห์ที่สามกำลังวิ่งวุ่นอยู่กับการเก็บแก้วและจานที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว เขาเบี่ยงตัวเองออกมาจากทางเดินที่แสนวุ่นวายไปยังส่วนของพนักงานซึ่งมีคนที่แต่งตัวคล้ายๆกับเขาต่างกำลังช่วยกันล้างภาชนะต่างๆด้วยท่าทางตื่นตัวแม้เวลาจะล่วงเข้ามาเกือบตีหนึ่งแล้ว
“เฮ้ย น้องว่างอยู่ป่ะ พี่วานเอาแก้วนี่ไปไว้ที่เคาน์เตอร์ที ของทางนั้นน่าจะใกล้หมดแล้ว”
ชายคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากกว่าเล็กน้อยพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังถาดใส่แก้วฟรอเซียร่าที่ถูกขัดล้างจนสะอาด พลัสตอบรับคำสั่งนั้นก่อนจะยกถาดที่ว่ามาถือไว้แล้วเดินไปยังทางออกอีกทาง ที่ติดอยู่กับเคาน์เตอร์ที่บาร์เทนเดอร์หน้าหวานคนนั้นกำลังชงเครื่องดื่มให้แขกอยู่
“ปูน เราเอาแก้วมาให้”
“อืม ขอบใจมาก ช่วยจัดไว้บนตู้ให้หน่อยได้ไหม ตรงช่องที่สามนับจากด้านซ้าย ข้างกับแก้วมัคนั่นแหละ”
ร่างเล็กที่สีหน้าดูสนุกกว่าเก่าพูดกับพลัสโดยไม่มองหน้า เพราะกำลังให้ความสนใจกับแขกชาวต่างชาติที่เอาแต่พูดชมเครื่องดื่มที่ปูนชงให้ไม่ขาดปาก พลัสทำหน้าที่ของตัวเองพลางชำเลืองมองมือเรียวที่กำลังหมุนของเหลวสีอำพันในมืออย่างคล่องแคล่วก่อนจะยื่นมันให้แขกด้วยความหลงใหล จนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครเดินมายืนอยู่ข้างๆ
“ถ้าทำแก้วแตก อย่าหวังเลยว่าวันนี้จะได้ค่าจ้าง”
พลัสสะดุ้งสุดตัวจนเกือบทำแก้วใบสุดท้ายหลุดมือ แต่เคราะห์ดีที่บอยคว้ามันเอาไว้ได้ทัน ร่างบางก้มหน้าแล้วรีบบอกขอโทษด้วยเสียงสั่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคนตัวสูงที่ลูกน้องทุกคนต่างก็เกรงใจยกเว้นแต่ปูนที่หันมามองทางนี้เมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้น
“อะไรกันพี่ ดุเด็กมันทำไม”
“มันมัวแต่มองมึงจนเกือบทำแก้วแตก”
“แต่ก็ไม่แตกไม่ใช่หรอ เลิกทำหน้าดุสักที มันจะร้องไห้แล้วนั่น”
“เรื่องของกู กลับไปทำงานได้แล้ว ที่หลังอย่าให้เป็นอย่างนี้อีก ส่วนมึงไอ้ปูน อย่าแหกกฎให้มาก...นายเขาไม่ชอบ”
บอยบอกกับพลัสด้วยท่าทางเช่นเดิมก่อนจะหันไปพูดกับปูนด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนน่าสงสัย บาร์เทนเดอร์หนุ่มยอมพยักหน้าให้จนร่างใหญ่เดินไปตรวจดูความเรียบร้อยตรงอื่นต่อ พลัสมองตามแผ่นหลังนั้นไปแล้วถอนหายใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้หมุนตัวกลับไปทำงานบ้างก็ถูกปูนหยุดเอาไว้ซะก่อน
“มีอะไรหรอปูน”
“มาช่วยกูหน่อย”
“แต่เราต้องไปเก็บแก้วต่อ...”
“ให้คนอื่นทำไปสิ เห็นยืนอู้ทำหน้าสลอนกันตั้งหลายคน”
ปูนไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือปฏิเสธอีก เขาดึงร่างบางให้มายืนใกล้ๆกันก่อนจะยื่นแก้วฟรอเซียร่าที่พลัสเป็นคนนำมาให้คนที่ดูตื่นเต้นไปเสียทุกอย่างถือไว้ ส่วนเขาก็เริ่มชงเครื่องดื่มใหม่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วอย่างเคย ไม่นานนักโมฮีโต้สีใสอมเขียวอ่อนๆก็ถูกรินใส่แก้วก่อนจะประดับมันด้วยมะนาวฝานและใบสะระเหน่อีกนิดหน่อย
“สวยจัง”
“แดกซะ กูเลี้ยง” พลัสเบิกตาโพล่งจนปูนและแขกที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ต่างก็ขำออกมาเมื่อเห็นท่าทางไม่ประสีประสานั้น
“มะ ไม่ดีมั้ง เรากินไม่เป็น”
“รู้ว่ากาก กูชงอ่อนๆให้ แดกได้ไม่เมาหรอก”
“รับไปเถอะครับ บาร์เทนเดอร์มือหนึ่งอุตส่าห์ทำให้ทั้งที”
แขกชาวต่างชาติที่นั่งคุยกับปูนอยู่ก่อนพูดขึ้นด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ พลัสมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความลังเล แต่ด้วยเพราะความอยากลิ้มลองที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ร่างบางจึงตัดสินใจยกแก้วใสใบนั้นขึ้นจิบ
“อร่อยจัง!”
รอยยิ้มเล็กๆถูกจุดขึ้นตรงมุมปากของคนทำ พลัสที่เห็นอย่างนั้นก็อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ ปูนช่วยสอนเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่สนใจเรื่องเครื่องดื่มอยู่หลายอย่างโดยมีเหล่าลูกค้าที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์นั้นนั่งฟังแล้วพูดคุยไปด้วย
เครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าถูกรินผ่านลำคอขาวของพลัสเช่นเดียวกับสติที่เริ่มหลุดลอยมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงดนตรีที่ดังอยู่รอบตัวค่อยๆเบาลงจนเขาไม่ได้ยินอะไร ร่างบางรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ถูกลากผ่านผิวกายสลับกับความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สติที่ขาดหายเริ่มถูกประติดประต่อกลับมาด้วยเสียงๆหนึ่งที่ฟังดูแข็งกร้าวแต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“พลัส ตื่น พลัส!”
“อื้อ...”
“พลัส ได้ยินไหม”
ร่างบางลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินคนกำลังเรียกชื่อของตนเอง แสงจากหลอดไฟมันจ้าเสียจนเขาไม่สามารถเห็นสิ่งรอบตัวได้ในทันที เปลือกตาสีนวลกระพริบถี่ๆพร้อมกับร่างกำลังยันกายขึ้นนั่ง
“เมาหมดสภาพเลยนะมึง”
เสียงดุๆของบอยดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มรู้ได้โดยไม่ต้องหันกลับไปมองว่าคนที่เรียกชื่อของเขานั้นคือใคร ทันทีที่ตั้งสติได้ร่างบางก็หันไปมองรอบๆก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวของบาร์ที่ถูกเก็บกวาดจนเรียบร้อยไม่เหลือสภาพความวุ่นวายเดิมๆให้เห็น
“พี่บอย...”
ร่างสูงเลิ่กคิ้วขึ้นน้อยๆเมื่อพนักงานพาร์ทไทม์หน้าอ่อนเรียกเขาด้วยสรรพนามที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าร่างบางจะยังมึนงงเกินกว่าจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกมา
“เออ กูเอง จำได้ไหมว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง”
“พลัส...กินเหล้าที่ปูนชงให้”
“แล้วก็กิน...ทั้งที่รู้ตัวว่ากินไม่เป็น”
“ขะ ขอโทษครับ”
พลัสสะดุ้งน้อยๆแล้วก้มหน้าลงอย่างสำนึกในความผิดที่ตัวเองกระทำลงไป เขาได้ยินเสียงอีกคนถอนหายใจยาวๆแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอยู่ดี จนกระทั่งรองเท้าหนังสีดำมันแปลบคู่หนึ่งเดินมาหยุดลงตรงหน้าพร้อมกับอาการเจ็บน้อยๆที่หัวเพราะถูกอีกฝ่ายใช้กำปั้นเขกมาเบาๆ
“รู้แล้วก็อย่าทำอีก หัดรู้ลิมิตตัวเองซะบ้าง”
“ครับ...”
“งั้นก็กลับไปได้แล้ว ขับรถไหวรึเปล่าหรือจะนอนที่นี่”
“ไหวครับ หอผมอยู่ใกล้นิดเดียว”
บอยพลักหน้าน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงสร่างแล้วพอสมควรเพราะสรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนไปเป็นแบบทางการอีกครั้ง ร่างบางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงนในตอนแรกแต่พอเริ่มตั้งหลักได้ พลัสก็หันมายกมือไหว้ขอบคุณเจ้านายของตนที่กำลังเดินไปหยิบบางอย่างออกมาจากเครื่องคิดเงิน
“นี่ค่าจ้างของมึง ถ้าพรุ่งนี้มาไม่ไหวจะหยุดสักวันก็ได้”
“ผมจะมาครับ ขอบคุณมากนะครับ”
เด็กหนุ่มว่ายิ้มๆก่อนจะยื่นมือไปรับเงินจำนวนห้าร้อยบาทมาถือไว้ด้วยความภูมิใจ คนเป็นเจ้านายมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จนร่างเล็กเกือบจะเดินออกไปจากห้อง
“เลิกยุ่งกับมันซะ”
“ครับ??”
“ไอ้ปูนน่ะ...ถ้าไม่อยากเสียใจที่หลัง ก็อย่าไปยุ่งกับมันอีก”
พลัสมองหน้าคนพูดอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบายใดๆกลับมา เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองเจ้านายของตนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งบอยทนไม่ไหว ร่างสูงตัดสินใจหยิบยื่นคำใบ้ที่แสนอันตรายให้คนที่ไม่สมควรรู้ไปจนได้
“ห้อง507…ไปหาคำตอบเอาเองแล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
.
.
พลัสมองไฟบนแผงปุ่มกดของลิฟต์ที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เวลาตอนนี้ล่วงเลยมาเกือบตีสาม ถึงแม้เขาจะไม่มีเรียนในวันถัดไปแต่จากสภาพร่างบางควรจะกลับไปที่ห้อง แล้วนอนหลับให้สบายเหมือนกับทุกครั้งๆ แต่จุดหมายที่เขากำลังจะเดินทางไปกลับเป็นหนึ่งในห้องพักของโรงแรมที่พนักงานพาร์ทไทม์อย่างพลัสไม่สมควรจะเข้ามา ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะคำพูดของคนคนนั้น เขาจะไม่ทำแบบนี้แน่ๆ
“507…507…”
พลัสเดินไปตามทางเดินเรื่อยๆจนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักที่มีตัวเลขสีเงินตามที่บอยบอกไว้แปะอยู่ เด็กหนุ่มรู้สึกลังเล เขารู้ว่าตัวเองไม่สมควรขึ้นมาบนนี้และไม่สมควรเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของใคร แต่ถึงอย่างนั้นความขี้สงสัยที่เป็นข้อเสียของเขากลับทำให้ร่างบางทำมันไปจนได้
“เอาไงดี จะกดกริ่งดีไหมนะ”
เด็กหนุ่มมองประตูบางนั้นด้วยความลังเลใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังลอดออกมาจากประตูที่ปิดไม่สนิท
“แฮ่ก...อย่างนั้นแหละ”
หัวใจของคนแอบฟังเต้นแรง เขาไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าเสียงหอบกระเส่าที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของใครและกำลังทำอะไรอยู่ ไวกว่าความคิด พลัสยื่นมือออกไปจับลูกบิดประตูที่ไม่ได้ล็อคก่อนจะดันมันเข้าไป
สิ่งที่ได้ยินเพียงเบาๆเมื่อครู่ตอนนี้ชัดเจนเต็มสองหู ทั้งเสียงเตียงที่ดังเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงเฉอะแฉะที่เร็วขึ้นเรื่อยๆทุกก้าวที่เขาเดินเข้าไปใกล้ พลัสยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองเมื่อเงาที่สะท้อนอยู่บนกระจกบานใหญ่นั้น มันชัดเจนเสียจนเขาไม่อาจคิดหาคำแก้ตัวใดๆให้อีกฝ่ายได้
“แรงอีกสิ อ๊า กอดผมแรงๆสิครับ”
ปูนที่กำลังนอนครวญครางอยู่ใต้ร่างของแขกฝรั่งตัวใหญ่ร้องขอในสิ่งที่น่าอายแม้ว่าความจริงแค่ขนาดที่สมส่วนกับตัวนั้นทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า เรียวขาขาวทั้งสองข้างยกขึ้นเกี่ยวรัดสะโพกของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้าหาตัวยิ่งปลุกความต้องการของคนที่กำลังเดินเข้าสู่ประตูสวรรค์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งสองโหมกายเข้าใส่กันเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองมาอย่างตกใจระคนผิดหวังไปพร้อมๆกัน จนกระทั่งถึงจังหวะสุดท้ายที่ร่างเล็กพลิกตัวขึ้นไปควบความใหญ่โตนั้นด้วยตัวเอง ใบหน้าที่ชื้นเหงื่อแหงนขึ้นมองด้านบนตามอารมณ์ที่ไต่สูงอย่างห้ามไม่ไหว ปูนหันไปมองทางประตูด้านหน้าเมื่อหางตาเขาจับสังเกตบางอย่างได้
ปัง!!
ทันทีที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกันนั้น พลัสที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็รีบวิ่งออกไปจากห้องโดยไม่ทันระวังแม้แต่จะปิดประตูให้เบากว่านี้ ดวงตาสีน้ำข้าวพยายามมองไปยังต้นเสียงอย่างตกใจ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อริมฝีปากสีแดงสดของบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่แสนเร่าร้อนคนนี้ จุดจูบลงตรงข้างหูอย่างออดอ้อน
“ทำต่อเถอะครับ อย่าสนใจเลย”
ปูนที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกบานที่สะท้อนทุกๆอย่างสู่สายตาของคนที่อ่อนต่อโลกอย่างพลัส เขาจัดผมที่เปียกชื้นเล็กน้อยของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงเพื่อหยิบเอากระดาษสีเทาเท่าจำนวนตามที่ตกลงกันไว้โดยไม่คิดปลุกลูกค้าที่กำลังหลับสบายให้ตื่นขึ้นมาบอกลากัน
“ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ”
ร่างเล็กเปิดประตูห้องออกไปโดยไม่ลืมที่จะเช็คให้แน่ใจว่าคราวนี้มันจะถูกปิดสนิทดีไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้า เขาเปรยตามองคนที่กำลังนั่งกอดเข่าคุดคู้อยู่บนพื้นด้วยสายตาเฉยชา ผิดกับอีกฝ่ายที่ทั้งดวงหน้าเปียกปอนไปหมด
“ยังไม่ไปอีกหรอ”
“ทำไมปูนทำแบบนี้...ฝรั่งคนนั้น เป็นแฟนของปูนหรอ”
“จะถามทำไมในเมื่อมึงก็รู้ความจริงอยู่แล้ว”
ปูนก้มตัวลงหยิบเอาแบงก์สีม่วงที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของพลัสออกมา ก่อนจะเอาเงินจำนวนห้าพันบาทของตนใส่กลับเข้าไปแทนที่
“เยอะใช่ไหมล่ะ...เงินนี่น่ะ”
“...เอาเงินเราคืนมา เงินสกปรกแบบนี้เราไม่อยากได้”
“ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ฟรีๆสักหน่อย”
ปูนดึงขอเสื้อของอีกฝ่ายเข้าหาตัวแล้วช่วงชิงริมฝีปากแดงช้ำนั่นมาอย่างเอาแต่ใจ ร่างบางพยายามขัดขืนแต่เมื่อถูกเรียวลิ้นพลิ้วไหวนั้นสอดเข้าไปเกี่ยวรัดลิ้นของตนอย่างไม่ผ่อนให้หยุดพักเรี่ยวแรงทั้งหมดก็พลันหายไปดื้อๆ หัวใจของเด็กหนุ่มพองโตจากการกระทำน่ารังเกียจจนน่าโมโห จนหยดน้ำตาที่แห้งไปแล้วนั้นกลับมารินไหลอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ให้บริการ...แต่ให้มันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
เขาลุกขึ้นยืน เก็บเงินห้าร้อยบาทที่เคยเป็นของคนที่เอาแต่ร้องไห้ใส่กระเป๋าของตนแทนแล้วเดินออกไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามอง ปูนกดลิฟต์แล้วยืนรออยู่อย่างนั้น ทำเป็นมองไม่เห็นเงาดำมือของคนอีกคนที่ยืนหลบมุมอยู่จากจุดที่สามารถเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้
เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆบนถนนเลียบชายหาดที่มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาในยามนี้ เสียงเกลียวคลื่นที่ดังมาจากที่ไกลๆทำให้หัวใจของเขาค่อยๆสงบลงอีกครั้ง ซึ่งมันก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิตต่อไปในแต่ละวัน
“คืนนี้เงียบจังเลยนะ”
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนโลกใบนี้
ไม่มีใคร...
ได้ยินเสียงของผมเลยสักคน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ลัดคิวอีกแล้วววววว ยังเขียนตอนพิเศษพี่กาลไม่เสร็จหลบมาเขียนน้องปูนก่อนจนได้ เด็กเส้นจริงๆ :katai3: แล้วที่ฮามาก คือคู่รองโผล่มาจากไหน5555 เช่ตั้งใจแล้วนะว่าเรื่องนี้จะให้มีคู่เดียว แต่เขียนไปเขียนมาได้มาซะงั้น น่าเอ็นดูสุดๆด้วย โถๆ เจอเด็กดีแตกของเช่เข้าไปถึงกับร้องไห้ มาม๊ะๆ มาให้พี่ๆเขาปลอบ :hao6:
ตอนต่อไปคงอีกสักใหญ่ถึงจะมานะครับ ทั้งงานแล้วก็ทำรูปเล่มเลยอาจจะไม่ทันใจกัน ขอให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนจะกลับมาลงให้อย่างเดิม (ซึ่งก็ไม่ได้เร็วเลย) หลายคนเห็นชื่อเรื่องอาจจะคาดหวังเอ็นซีเยอะๆ ถามว่าเยอะไหม ก็คงเยอะกว่าไนท์แมร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีทุกตอนหรอกนะคับ เพราะเช่แม่งกากเรื่องนี้จริงๆ แล้วถามว่าดราม่าปวดตับไหม ไม่ดราม่าหรอกเอาจริงๆ มีปมนิดๆแต่ไม่มากและซับซ้อนเท่าเรื่องนั้น ถ้าใครผ่านไนท์แมร์มาได้อาจจะมองว่าเรื่องนี้ขนมไปเลยก็ได้นะ :katai2-1:
ขอบคุณทุกคนที่ตามเช่มาถึงตอนนี้นะคับ แล้วก็ต้อนรับนักอ่านท่านอื่นที่เพิ่งเข้ามาอ่านผลงานของเช่ด้วย อย่างที่บอกเรื่องนี้เป็นตอนที่งอกมาจากไนท์แมร์ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันมาก ไม่อ่านเรื่องนั้นก็สามารถอ่านเรื่องนี้ได้เลย เอาตามที่สะดวกกันเนอะ :กอด1:
-
ติดตามมมๆ
-
ตามมาแล้วจ้า
น้องปูนเป็นขนาดนี้เพราะกาลหรือว่าอะไรเนี่ย เปลี่ยนไปเยอะเลย
คิดถึงเช่นะจ๊ะ
-
ชื่อเรื่องดักมากเลยค่ะ 555
น่าติดตามๆๆๆ
:hao6: :hao6: :hao6:
-
รออ่านเรื่องราวของปูนค่ะ
-
อยากอ่านต่อ รีบมาต่อนะจ๊ะ :katai2-1:
-
แตกที่ 2
…โชคชะตา...
บางครั้งโชคชะตากับเวรกรรม
ก็อยู่ใกล้กันเสียจนแทบแยกไม่ออก
เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดไปรเวทธรรมดาเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ในมือของตัวเองไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะสนใจผู้ใด แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องผิดที่ปูนไม่คิดจะลุกขึ้นมาช่วยพนักงานคนอื่นเตรียมของเพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเขา แต่ถึงอย่างนั้นท่าทางไม่สนใจโลกและความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันก็ทำให้บรรดาสาวเสิร์ฟต่างก็มองมายังร่างเล็กด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้ปูน มาช่วยทางนี้หน่อย”
ปูนละสายตาจากโปรแกรมแชทในมือแล้วหันไปหาเจ้านายจอมเฮี้ยบของตนที่กำลังบรรจงเช็ดแก้วแต่ละใบอย่างเบามือ
“ไม่เอาอะ พี่บอยไปใช้คนอื่นสิ”
“ทั้งห้องนี้มีแต่มึงคนเดียวที่ว่างนั่งกระดิกตีนอยู่ มานี่...”
ร่างเล็กจิ๊ปากอย่างไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินไปหาบอยเพราะไม่อยากมีเรื่อง เขาหยิบผ้าสะอาดอีกผืนออกมาจากใต้เคาน์เตอร์แล้วลงมือเช็ดแก้วไปพร้อมกับบ่นเบาๆหวังให้ร่างใหญ่เปลี่ยนใจ แต่กัปตันหนุ่มอย่างบอยกลับไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย
“ทำไมต้องมาใช้ผมด้วยก็ไม่รู้ ไม่ใช่เวลางานสักหน่อย”
“ไม่ใช่เวลางานแล้วเสือกมานั่งเล่นนอนเล่นที่นี่ทำไม หรืออยากมีศัตรูเพิ่มแบบที่ทำงานเก่าอีก”
บอยพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกระด้างแต่สำหรับคนฟังอย่างปูนนั้นกลับสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเล็กๆที่เจืออยู่ในนั้น เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากพลางหันไปจ้องผู้หญิงสองคนที่กำลังนินทาพวกเขาอยู่อย่างสนุกปาก จนพวกนั้นสะดุ้งกันเป็นแถว
“ต่อให้ผมเข้าไปช่วย ใช่ว่าจะไม่โดนเกลียดสักหน่อย”
“อืม...ก็จริง หน้ามึงมันกวนส้นตีนนี่เนอะ”
ร่างใหญ่หัวเราะในลำคอแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆนัก เล่นทำเอาเด็กเสิร์ฟคนอื่นต่างเคลิ้มกันเป็นแถบๆยกเว้นแต่ปูนที่ยืนอยู่ข้างกันนี่แหละที่รู้สึกอยากจะเอาผ้าเช็ดแก้วในมือยัดเข้าไปในปากมอมๆนั่นสักที ร่างเล็กทำหน้าหงุดหงิดอยู่สักพักก่อนร้ายๆจะถูกจุดขึ้นมาเมื่อนึกหาวิธีแก้เผ็ดเจ้านายของตนได้
“ว่าแต่ผม พี่เองก็โดนเกลียดเหมือนกันไม่ใช่รึไง เห็นคนอื่นว่ามันไม่มาทำงานสองอาทิตย์แล้วนี่”
บอยที่กำลังเช็คจำนวนแก้วหยุดนิ่งไปแต่ก็แค่แปปเดียวเท่านั้น ร่างใหญ่หันมาตอบปูนด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา แต่สำหรับคนที่รู้จักกันมานานกลับไม่เห็นว่าเป็นอย่างนั้นเลยสักนิด
“...มันจะมาไม่มาก็ไม่เกี่ยวกับกู”
“หึ เย็นชาจังนะ ทั้งที่เป็นความผิดของตัวเองแท้ๆ”
“เป็นความผิดมึงที่มาทำเรื่องเหี้ยๆในโรงแรมนี้ต่างหาก”
“ความผิดพี่นั่นแหละ...รู้ทั้งรู้ว่าถ้าส่งมันมาแล้วจะเป็นยังไง”
ปูนว่าเบาๆก่อนจะเร่งเช็ดแก้วตรงหน้าให้เสร็จ ผิดกับบอยที่หยุดมือซึ่งกำลังทำงานไปโดยไม่รู้ตัว คนที่ไม่เต็มใจมาช่วยงานในทีแรกคอยตรวจดูเครื่องดื่มที่เหลืออยู่เป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะหันพูดกับเจ้านายของตนที่ยังคงแสดงสีหน้าแปลกๆออกมาให้เห็น
“พี่คิดจะทำอะไรผมก็ไม่รู้หรอก แต่อย่าเอาผมมาเอี่ยวด้วยแล้วกัน”
ร่างเล็กพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดจะบอกลาใครสักคน เขาหยิบเอากระเป๋าถือใบเล็กออกมาสะพายไว้แล้วเดินตรงไปที่หน้าโรงแรมซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินกันอยู่เต็มสองข้างทางต่างจากภาพที่เขาเห็นทุกครั้งที่เลิกงาน ปูนหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาขณะทรุดตัวลงนั่งข้างฟุตบาทที่มีเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ไม่ไกล
‘สรุปวันนี้ว่างรึเปล่า’
เสียงเตือนดังขึ้นสั้นๆพร้อมกับภาพประจำตัวว่างเปล่าเหมือนกับที่ลูกค้าหลายคนของปูนชอบทำปรากฏขึ้น ร่างเล็กเลื่อนอ่านข้อความที่อีกฝ่ายพยายามขอนัดเจอกับเขาอยู่หลายครั้งแต่เพราะคิวของ ‘ลูกค้า’ ประจำที่ยาวมาจนถึงต้นอาทิตย์ทำให้ปูนต้องบอกปัดชายหนุ่มคนนี้ไปทั้งที่ค่าตอบแทนที่อีกฝ่ายเสนอมานั้นสูงเอาการ
‘ตอนนี้ก็ว่างครับ ไม่มีอะไรทำพอดี’
‘ถ้าอย่างนั้นมาเจอพี่ได้ไหม เดี๋ยวพาไปกินอะไรอร่อยๆ”
ร่างเล็กเหยียดยิ้มเมื่อเห็นข้อความสื่อความหมายของอีกฝ่าย เขาตอบตกลงกลับไปเพราะวันนี้ตัวเองก็ว่างอย่างที่ว่า ปูนบอกข้อตกลงที่เขาจำเป็นต้องบอกกับลูกค้าทุกคนเสมอไม่ว่าจะใหม่หรือเก่าโดยที่ฝ่ายนั้นก็ยินดียอมรับมันอย่างไม่อิดออด ก่อนที่เงินจำนวนหนึ่งจะถูกโอนเข้ามาในบัญชีของปูนทันทีเพื่อเป็นการรับประกันว่าเขาจะต้องมอบร่างกายให้อีกฝ่ายใช้ฟรีๆ
‘แล้วพี่จะให้ผมไปเจอที่ไหน’
‘น้องยังอยู่ที่บางแสนอยู่รึเปล่า’
‘ครับ ตอนนี้ผมนั่งอยู่แถวหาด’
‘งั้นสองทุ่มเจอกันที่โรงแรม The Next นะ พี่จะใส่สูท Armani สีน้ำเงินแล้วมีดอกกุหลาบสีแดงวางอยู่บนโต๊ะด้านในสุด’
มือที่กำลังจะพิมพ์ข้อความกลับไปหยุดชะงักทันทีที่เห็นชื่อโรงแรมนั้น ปูนเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นเมื่อความทรงจำที่มีกลิ่นไอฝนติดอยู่ย้อนกลับมาให้คิดถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว
“โรงแรมของเพื่อนพี่กาล...”
ร่างเล็กเอ่ยชื่อของคนคนนั้นออกมาอย่างยากลำบาก เขารีบลดมือที่ถือมือถือลงแล้วหันไปมองทางอื่นเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นภาพความทรงจำที่ดีและร้ายต่างก็ประดังประเดเข้ามาอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมไว้ได้ ปูนรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังทิศตรงข้ามกับโรงแรมแห่งนั้นพร้อมกับพยายามลืมเรื่องนัดนั้นไปซะ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเดินหนีไปได้ไกล เสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะของวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ดังขึ้นจนทำให้เท้าของเด็กหนุ่มต้องหยุดชะงัก
“เฮ้ยพวกมึงอ่านหนังสือสอบกันยังวะ”
“อ่านเชี้ยไรล่ะ งานกูยังทำไม่เสร็จเลย”
“อ้าว ทำไมยังไม่เสร็จอีกวะ อีกสองอาทิตย์สอบแล้วนะเว้ย”
“ก็เพราะมึงไม่ช่วยกูทำไงไอ้เชี้ย!”
ปูนหันไปมองชายคนนั้นถูกเพื่อนรุมตบหัวกันทั้งวงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า เขามองเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดที่พวกนั้นสวมใส่ก่อนจะหันกลับมามองตัวเองที่สวมเสื้อยืดคอป้านสีดำไม่เหมือนกันเลยสักนิดทั้งชุดและสถานะที่เขาเป็นอยู่ ร่างเล็กกำโทรศัพท์ในมือให้แน่นขึ้นก่อนจะหันเท้ากลับไปยังทิศทางตรงกันข้ามด้วยความรู้สึกที่หนักแน่นกว่าเก่า
‘ตกลงครับ...แล้วเจอกันนะ’
มันอาจจะยาก...แต่คงไม่แย่มากไปกว่านี้
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างเล็กปีนลงจากหลังรถมอร์เตอร์ไซด์รับจ้างที่จอดก่อนถึงหน้าโรงแรมที่ลูกค้านัดไว้เพียงเล็กน้อย เขาจัดการจ่ายเงินก่อนจะเดินเข้าไปข้างในโรงแรมซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ทำงานของเขาไม่มากแต่ในด้านของความสวยงามและความสะดวกสบายนั้นกลับไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เด็กหนุ่มเข้าไปถามพนักงานต้อนรับที่หน้าฟร้อนท์ว่าห้องอาหารที่ตัวเองจะต้องไปนั้นอยู่ทางไหน สาวสวยในชุดเครื่องแบบสีเขียวไข่กาก็ยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรแล้วอาสานำทางไปให้ถึงที่
“ขอบคุณมากนะครับ”
ปูนบอกขอบคุณเธอที่พาเขามายังห้องอาหารกึ่งบาร์ที่อบอวนไปด้วยบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อหาชายในชุดสูทสีน้ำเงินที่บนโต๊ะมีดอกกุหลาบสีแดงวางไว้ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางขี้สงสัยแบบนั้นกลับดึงดูดสายตาของใครหลายคนให้หันมามองด้วยความสนใจ ยกเว้นแต่ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านในสุด
“สูทสีน้ำเงิน...กุหลาบสีแดง...”
ร่างเล็กพิจารณาการแต่งกายของอีกฝ่ายแล้วมั่นใจว่าคงจะเป็นลูกค้าที่นัดตนไว้เป็นแน่ ปูนเดินตรงไปทางนั้นทันทีแม้จะเริ่มรู้สึกถึงสายตาหลายคู่ที่มองมาแต่เขากลับสนใจเพียงลูกค้ารายใหม่ ที่สร้างความประทับใจแรกให้เขาไม่หยอก
“สวัสดีครับ รอผมนานไหม”
เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงกันข้ามกับร่างสูงใหญ่นั่น คนที่กำลังมองออกไปทางระเบียงด้านนอกหันใบหน้าที่เนียนสะอาดสะอาดกลับมาก่อนจะใช้ดวงตาเล็กๆที่รับกับคิ้วคมเข้มจ้องมองมาที่ปูนนิ่งๆ จนทำให้เด็กหนุ่มต้องพยายามรักษากริยาไปด้วยแม้ความจริงเขาอยากจะสำรวจรูปร่างแสนเพอร์เฟคภายใต้เสื้อผ้าราคาแพงนั่นอีกสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรเพราะยังไงคืนนี้คงไม่จบลงด้วยการกินของอร่อยอย่างที่อีกฝ่ายว่าแน่ๆ
“พี่? เป็นอะไรรึเปล่า” ปูนถามเบาๆเมื่อเห็นคนตรงหน้านิ่งไป แต่อาการที่แสดงกลับมานั้นคือคิ้วเข้มๆที่เขาชอบกำลังขมวดกันเป็นปมจนน่าสงสาร
“ปวดหัวหรอครับ หรือว่าตื่นเต้น”
ปูนเอื้อมมืดออกไปนวดเบาๆตรงระหว่างคิ้วนั้นพร้อมกับระบายยิ้มออกมาเพื่อให้ชายตรงหน้าคลายความกังวลที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะเป็นการซื้อบริการครั้งแรกเหมือนที่ลูกค้ารายเก่าๆของเขาเป็น
“เปล่า”
“หรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอย้ายที่หน่อยแล้วกัน”
ร่างเล็กยังคงยิ้มให้แต่มันกลับดูติดจะยั่วยวนจนคนมองรู้สึกได้ เขาลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวข้างๆอีกฝ่ายซึ่งมันใกล้เสียจนเขาสามารถได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากร่างกายของชายคนนี้ได้เลย ใบหน้าหล่อเหล่าดูฉงนอยู่เพียงครู่ก่อนจะยิ้มน้อยๆออกมาอย่างถูกใจ จึงเหมือนเป็นสัญญาณที่ดีให้ปูนกล้าเดินเกมรุกต่อ
“จะว่าไปพี่ยังไม่ได้บอกชื่อผมเลย”
“ชื่อหรอ?”
“หรือไม่สะดวกใจที่จะบอกครับ ไม่เป็นไรนะผมเข้าใจ ส่วนพี่เรียกผมว่าปูนก็ได้ เห็นเรียกแต่น้องๆ รู้สึกเหมือนกำลังถูกทะนุถนอมยังไงก็ไม่รู้”
ปูนพูดขำๆแล้วชวนร่างสูงคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยๆเพื่อให้เราทั้งสองคนรู้สึกสนิทใจกันมากกว่านี้ คนที่ดูติดจะเงียบๆในตอนแรกเริ่มพูดคุยโต้ตอบกับเขามากขึ้น จากฝ่ายที่ถูกชวนกลายเป็นคนหาเรื่องตลกๆมาเล่าให้ปูนฟังจนทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆของทั้งสองคน ร่างเล็กที่ลิ้มรสไวน์ไปมากโขเผลอเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเสียจนหน้าแทบจะติดกัน คนตัวโตกว่าพอเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มให้ก่อนจะสั่งไวน์ขวดใหม่มาดื่ม
“เมาแล้วรึเปล่าเนี่ย ไหวไหม”
“ไหวครับ ปูนไม่เมาหรอกน่า แค่ไวน์เอง”
“หึหึ แต่พี่ว่าเมาแล้วแน่ๆ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มข้างกายหลุดแทนตัวเองด้วยชื่อ ใบหน้าหวานๆติดออกจะน่ารักขึ้นสีแดงระเรื่อไม่ต่างจากของเหลวในขวดแก้วที่ตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นบาร์เทนเดอร์อย่างที่เล่าให้ฟังจริงแต่ดื่มไปมากขนาดนี้ก็คงมีเซกันบ้าง
“ก็บอกว่าไม่เมาไง พี่ไม่เชื่อปูนหรอ”
ร่างเล็กทำหน้าไม่พอใจพลางดึงแขนเสื้อของร่างสูงแต่มันดูน่าเอ็นดูมากกว่าน่าเกลียดเป็นไหนๆ
“เชื่อดีไหมเนี่ย หน้าแดงขนาดนี้”
“ดีสิ เชื่อปูนนะ นะๆๆๆ”
ปูนถูกใบหน้าของตัวเองลงบนท่อนแขนได้รูปของคนข้างๆ ก่อนจะลอบยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังแล้วลูบหัวของเขาไปด้วย
“ฮ่าๆ งั้นเชื่อก็ได้ แต่ไม่ให้กินมากกว่านี้แล้วนะ เดี๋ยวกลับบ้านไม่ได้”
“ใครบอกว่าปูนจะกลับล่ะ ปูนจะนอนที่นี่”
“นอนที่นี่? ห้องเบอร์อะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ แล้วแต่พี่แล้วกัน”
:hao6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao6:
-
ร่างเล็กพูดแค่นั้นก่อนจะซบลงบนบ่าของอีกฝ่ายแล้วหลับตาพริ้ม แม้จะคุยสนุกก็จริงแต่เขาก็ต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จเหมือนกัน ปูนได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นใกล้ๆหูก่อนที่ร่างของเขาจะถูกพยุงขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่สามารถพาเขาเดินไปได้ทั้งที่แกล้งไม่ได้สติอยู่ เขาหลับตาลงจึงไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่เสียงกระทบกันเบาๆของลูกกุญแจและเสียงของลิฟต์ที่ดังขึ้นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าจุดหมายปลายทางของมื้ออาหารแสนอร่อยนี้กำลังจะจบลงแล้ว
“อ้าวคุณคณิต จะไปไหนคะ”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นแทบจะพร้อมๆกับเสียงลิฟต์ที่กำลังเปิดออก ปูนแอบปรือตาดูก็เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสูทดูทะมัดทะแมงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าสวยนั้นทำให้ภาพลักษณ์ที่ออกมาดูสง่ามากกว่าจะแข็งกระด้าง
“จะพาลูกค้าขึ้นไปบนห้องน่ะ”
สถานะที่ถูกแทนให้ทำให้ปูนนึกสงสัยแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไร น้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นสุดๆของผู้หญิงที่รีบก้าวเข้ามาในลิฟต์ก็ดังขึ้น
“แฟนหรอคะ?! แฟนใช่ไหมๆๆๆ อิงกะแล้วว่าคุณต้องชอบแบบนี้!!”
“เฮ้ย ไม่ใช่! นี่มันเด็กผู้ชายนะอิง ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง”
“แหม ไม่ต้องปิดบังอิงหรอกค่ะ อิงเข้าใจ”
ร่างสูงยังคงปฏิเสธเป็นพันละวันในขณะที่ปูนเริ่มเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้รางๆ เขายังคงหลับตาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถูกพาออกมาจากลิฟต์โดยมีเสียงหัวเราะอย่างชอบใจของผู้หญิงที่ชื่ออิงดังตามหลังมา อ้อมแขนที่กำลังประคองเขาอยู่ดึงเขาที่ร่างกายอ่อนยวบเข้ามาใกล้มากขึ้น
ห้องๆหนึ่งถูกเปิดออก กลิ่นไม้หอมอ่อนๆชวนให้รู้สึกสบายใจลอยฟุ้งทันทีที่ร่างของเขาถูกวางลงบนเตียงนอนที่นุ่มจนปูนอยากนอนหลับให้สบาย แต่มือเล็กๆกลับคว้าแขนของชายที่กำลังหมุนตัวออกไปไว้แทน
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ”
“อื้อ จะไปไหนครับ”
“กลับไปทำงานต่อน่ะ เรานอนเถอะ ห้องนี้พี่เปิดให้”
ร่างสูงยิ้มให้ก่อนจะลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลของปูนเบาๆ เด็กหนุ่มพอได้ยินดังนั้นก็เดาไปว่าอีกฝ่ายคงเป็นพนักงานของที่นี่บวกกับสถานะลูกค้าที่ใช้บอกกับผู้หญิงที่ชื่ออิงก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจอย่างนั้น แต่เขาคงจะปล่อยให้พนักงานดีเด่นคนนี้กลับไปทำหน้าที่ไม่ได้...เพราะเขาเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเหมือนกัน
“แล้วปูนล่ะ...พี่จะทิ้งปูนไว้คนเดียวหรอ”
“ฮ่าๆ เมาแล้วงอแงนะเราน่ะ”
“นะครับ อย่าทิ้งปูนไว้คนเดียวนะ”
ร่างเล็กลูบไล้เสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มของอีกฝ่ายเบาๆพร้อมกับสบตาคู่นั้นไปด้วย คนที่เคยยิ้มเริ่มเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแทนเมื่อมือของคนเด็กหนุ่มเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆจนไปหยุดอยู่ตรงหน้าท้องเป็นลอนที่ถูกสัมผัสผ่านเนื้อผ้า คณิตพยายามดึงมือของปูนออกแต่คนตัวเล็กกลับขืนไว้แล้วยิ่งลงน้ำหนักตรงฝามือให้หนักขึ้น เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจเมื่อสังเกตเห็นความโป่งนูนที่ดันเป้ากางเกงของอีกฝ่ายออกมาน้อยๆ
“ปูน หยุด!”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าเป็นในนี้ล่ะก็ไม่มีใครเห็นหรอกว่าพี่กำลังจะทำอะไร...กับเด็กผู้ชายแบบผม”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!”
“หรือถ้าพี่ไม่ชอบ...ก็หลับตาลงก็ได้ ผมไม่ว่า”
ปูนออกแรงกระชากอีกฝ่ายให้ล้มลงนอนบนเตียงที่เขานั่งอยู่ก่อนจะพลิกร่างขึ้นไปทาบทับไว้ทันที ริมฝีปากอิ่มเล็กพรมจูบลงบนลำคอของร่างสูงแล้วค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปตามสันกรามก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงปากที่กำลังสั่งให้เขาหยุดการกระทำนี้ ปูนสอดลิ้นเข้าไปทันทีก่อนจะทักทายโพรงปากของอีกฝ่ายด้วยลีลาที่ลูกค้าหลายคนชมว่ามันยอดเยี่ยม ในขณะที่มือทั้งสองข้างก็กำลังสาละวนอยู่กับการปลดกางเกงของคณิตลงจนก้อนเนื้อสีแดงก่ำดีดผึงออกมาด้านนอก
“เดี๋ยวปูน อย่าทำแบบนี้!”
“ทำไมล่ะครับ ก็ในเมื่อพี่จ้างผมมาทำให้ไม่ใช่หรอแล้วพี่ก็...รู้สึกมากขนาดนี้แล้วแท้ๆ”
ร่างเล็กยิ้มร้ายให้ก่อนจะประคองกลางกายของคณิตมาไว้ในมือแล้วขยับมันเบาๆ คนที่รับแอลกอฮอล์ไปพอๆกันสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อไม่สามารถทำอะไรๆได้อย่างใจ เขามองคนตัวเล็กเอื้อมไปหยิบถุงยางอนามัยออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วฉีกซองออกด้วยปากในขณะที่นวดความแข็งขืนนั้นรอจนมันพองโตเต็มที่
“เข้าใจผิดแล้วปูน พี่ไม่ได้… อึก!”
ปากที่มีถุงยางอนามัยอยู่กลืนกินกลางกายของคณิตลงไปโดยไม่คิดจะฟังคำเล่นตัวอะไรอีก ปูนใช้มือช่วยดึงในส่วนที่ปากของเขาเข้าไปไม่ถึงก่อนจะขยับหัวขึ้นลงเป็นจังหวะเดียวกันกับลมหายใจหอบของอีกฝ่ายที่ไม่อาจขัดขืนได้อีก มือของร่างสูงคว้าท้ายทอยของเด็กหนุ่มไว้พร้อมกับพยายามฝืนตัวไม่ให้เด้งเอวส่วนไปตามสัญชาติญาณ
ร่างเล็กที่โพรงปากถูกเติมเต็มด้วยความเป็นชายลืมตาขึ้นสบกับเจ้าของมันอย่างชอบใจที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหล่านั้นเหยเกไปเพราะการกระทำของตัวเอง เขาเคลื่อนมือขึ้นไปลูบไล้หน้าท้องแกร่งของอีกคณิตช้าๆในขณะที่อีกมือก็กำลังพยายามปลดกางเกงของตัวเองออกไปด้วย
“อื้อ ปูน พอ!”
คณิตร้องบอกแต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เด็กหนุ่มที่บัดนี้เหลือเพียงแค่เสื้อคอวีสีอ่อนติดกายเร่งริมฝีปากของตัวเองให้กระชั้นขึ้นอีกจนเสียงครางในลำคออย่างพอใจของร่างสูงจะดังระงมแข่งกับเสียงชื้นแฉะจากช่องทางด้านหลังของปูนที่กำลังถูกเจ้าตัวเบิกทางรอเอาไว้อย่างรู้หน้าที่
“ไม่เป็นไร อึก พี่จะต้องชอบแน่ๆ”
ปูนยอมคลายปากที่กักขังตัวตนของคณิตไว้แล้วยันกายขึ้นคร่อมให้บั้นท้ายของตัวเองทับลงบนหน้าท้องของร่างสูงจนท่อนเนื้อบวมเป่งนั้นสัมผัสตรงกับช่องทางของเขาพอดี ชายหนุ่มที่อารมณ์มาไกลเกินจะยับยั้งไหวมองดูกลางกายของตนค่อยๆถูกกลืนกินเข้าไปอีกครั้งด้วยอวัยวะที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้แต่กลับให้ความรู้สึกดีเสียจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้
“อ๊า แน่นจัง อื้ออออ”
“ค่อยๆทิ้งลงมา อ่า...อย่างนั้นแหละ”
คณิตพูดกำกับพร้อมกับช่วยประคองสะโพกมนให้ไม่ทิ้งตัวมาเร็วเกินไป ปูนดันตัวเองออกเล็กน้อยแล้วดันเข้าไปใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเขาสามารถครอบครองชายหนุ่มใต้ร่างเอาไว้จนหมด เสียงลมหายใจถี่หอบของทั้งคู่ดังขึ้นผสานกันจนแทบแยกไม่ออก คณิตที่พลิกตัวมาเป็นฝ่ายคุมเกมยึดก้มกลมของปูนไว้ให้มั่นแล้วตบสะโพกของตัวเองลงไปโดยที่สายตายังคงจ้องมองไปยังกลางกายที่ขยับเข้าออกช่องทางเล็กๆที่ขึ้นสีแดงช้ำนั่นด้วยอารมณ์ที่ไต่ขึ้นสูง ปูนพยายามโน้มใบหน้าหล่อเหล่านั่นลงมาจูบเพื่อระบายความใคร่ของตัวเองแต่ก็โดนปฏิเสธด้วยการถูกดันให้คว่ำหน้าลงกับเตียงแทน
“แรงอีกครับ อ๊า แรงอีก”
“เงียบไปเลย อึก!”
ร่างสูงรัวสะโพกของตัวเองเร็วจี๋เมื่อเห็นขอบสวรรค์อยู่รำไรโดยไม่คิดช่วยเด็กหนุ่มที่พยายามใช้มืออีกข้างขยับกลางกายของตัวเองไปด้วยเพื่อให้ถึงที่หมายไปพร้อมๆกัน ปูนหวีดร้องเสียงดังเมื่อความรู้สึกจากทั้งข้างหน้าและข้างหลังโจมตีเขาเสียจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ก่อนสายน้ำสีขาวขุ่นจะปะทุออกมาเปื้อนผ้าปูที่นอนสีครีมสะอาดในขณะที่คณิตเองก็ปลดปล่อยออกมาแทบจะพร้อมๆกัน
“อ๊า อื้อออออออ”
“แฮ่กๆๆ”
คณิตที่ยังคงหอบน้อยๆ ดึงทั้งแท่งเนื้อของตัวเองและถุงยางที่มีน้ำสีขาวอยู่ข้างในออกมาทิ้งลงถังขยะข้างเตียงแทบจะทันที ปูนที่รู้สึกถึงการหายไปของสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มเขาเกือบชั่วโมงพยายามควบคุมลงหายใจของตัวเองให้สงบลงก่อนจะพลิกตัวมาคุยกับคนที่ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“เป็นอะไรครับพี่ ไม่ชอบหรอ”
“ปล่อย...”
“ฮะ?”
“ก็บอกให้ปล่อยไงวะ!”
เสียงตะคอกและท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ปูนยอมปล่อยแขนของอีกฝ่ายแทบจะทันที คณิตลุกขึ้นคว้าเอาอันเดอร์แวร์และกางเกงที่ถูกร่างเล็กปลดไปกลับมาใส่ โดยไม่คิดจะหันไปมองคนที่กำลังนั่งงงอยู่บนเตียง
“พี่เป็นอะไรครับ ผมทำอะไรผิดรึเปล่า”
“ผิดสิ ผิดมากด้วย!”
“???”
คณิตที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วหันมามองปูนด้วยสายตาเกรี้ยวกราดแทบไม่เหลือภาพหนุ่มอารมณ์ดีที่ทำให้เขาหัวเราะอย่างสนุกสนานเหมือนตอนหัวค่ำ ร่างสูงหยิบเอากางเกงของปูนปาลงบนเตียงใกล้กับที่ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่อย่างแรงจนร่างเล็กเผลอสะดุ้งก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“ใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากที่นี่ซะ แล้วอย่าให้ฉันเห็นเธอมาหากินที่นี่อีก”
“อะ อะไรกันพี่ ทำไม”
“โรงแรมของฉันไม่ใช่ซ่อง!!! แล้วฉันก็จะไม่ยอมให้คนที่ใช้ร่างกายหากินเข้ามาหลอกเงินแขกของที่นี่!!!”
ใบหน้าหวานรู้สึกชาไปทั้งแทบ คนที่แสร้งยิ้มมาตลอดแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาเมื่อโดนดูถูกเข้าอย่างจัง ปูนก้าวลงจากเตียงโดยยังไม่หยิบกางเกงขึ้นมาสวมใส่ เขาเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับคนตัวสูงที่กำลังมองมาอย่างดูแคลนอย่างไม่พอใจแต่ก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้เขาไปชกหน้าของอีกฝ่ายแรงๆ
“ใครหลอกใคร! ผมมาที่นี่ก็เพราะคุณสั่งให้มา!”
“ฉันไม่เคยสั่งใครมานอนด้วยทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ชายแบบเธอ!”
“ผู้ชายแล้วยังไงวะ สุดท้ายมึงก็เอากูไปแล้ว! หลักฐานก็มี เงินก็โอนเข้ามาแล้วยังจะปฏิเสธอีกหรอ”
ปูนเดินไปหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดข้อความจากธนาคารที่แจ้งว่ามีเงินจำนวนหนึ่งถูกโอนเข้ามา ก่อนจะยื่นให้คณิตดู
“นี่ไม่ใช่เลขบัญชีของฉัน แล้วฉันก็ไม่มีทางเสียเงินขนาดนี้เพื่อเธอแน่ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วนี่ล่ะ!”
ร่างเล็กรีบเปิดหาบันทึกการสนทนาจากโปรแกรมแชทที่เขามีไว้เพื่อใช้คุยกับลูกค้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดอ่านก็มีสัญลักษณ์สีแดงขึ้นเตือนว่าลูกค้าชุดสีน้ำเงินที่ว่านั้นได้ส่งข้อความมาแต่เขายังไม่ได้เปิดอ่าน
‘ขอโทษนะครับ เมียพี่โทรมาตามไปไม่ได้จริงๆ เก็บเงินไว้ก่อนนะแล้วพี่จะติดต่อนัดวันไปใหม่ที่หลัง’
ปูนรู้สึกหน้าชารอบสอง มือที่ถือโทรศัพท์ไว้สั่นเสียจนคณิตอดที่จะสงสัยไม่ได้จึงแย่งมันมาถือไว้เองในขณะที่ร่างเล็กไม่ทันได้ระวัง
“หึ...เป็นอย่างนี้นี่เองสินะ”
“เอาคืนมานะ!!”
“จิ๊ ไอ้เด็กไม่มีหัวคิด”
ร่างสูงดีดหน้าผากคนที่พยายามแย่งโทรศัพท์คืนไปแรงๆจนปูนร้องโอดโอยเสียงดัง คณิตโยนมือถือที่เขาถือวิสาสะเปิดอ่านข้อความที่เด็กหนุ่มแชทคุยกับลูกค้ามากมายลงบนเตียงราวกับว่าไม่ต้องการจะสัมผัสมันอีก
“ทีนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันไม่ใช่ลูกค้าที่นัดเธอมา”
“เออ! แล้วทำไมไม่บอกแต่แรกวะ!”
“ที่หลังก็หัดฟังบ้างสิเว้ย! แล้วก็...พูดจากกับผู้ใหญ่หัดมีสัมมาคารวะซะบ้าง ไอ้เด็กเวร!” คณิตดีดหน้าผากของปูนแรงๆอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป แต่ก็ยังไม่ทันทีเขาจะไปถึงประตูห้องก็ถูกปูนหยุดไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยว! ถึงจะเข้าใจผิดแต่มึงก็ต้องรับผิดชอบ!!”
ร่างเล็กพูดออกไปด้วยเสียงกร้าวๆแต่ก็ต้องถอยออกมาเมื่อโดนคณิตจ้องมองมาอย่างไม่พอใจที่เขายังใช้คำพูดไม่ดีกับอีกฝ่ายอยู่ทั้งที่อายุน้อยกว่า
“รับผิดชอบ? หมายถึงเงินน่ะหรอ?”
“...ใช่”
ร่างสูงเหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาค้นมันอยู่สักพักก่อนจะวางสิ่งหนึ่งลงบนมือของปูน มันเป็นซองพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเงินแบบเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มใช้มันกับเขา
“เท่านี้คงพอนะ ถือว่าหายกันแล้ว”
คณิตว่ายิ้มๆแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่มีใครเข้ามาขัดขวางอีก ปูนมองดูถุงยางอนามัยที่อยู่ในมือของตัวเองอย่างพูดไม่ออก ตัวของร่างเล็กกำลังสั่นด้วยความโมโหแต่กลับระบายมันออกมาไม่ได้นอกจากการปาสิ่งที่อีกฝ่ายใช้จ่ายแทนเงินมานั้นลงกับพื้นแล้วกระทืบมันซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
“ไอ้แก่เหี้ย!!!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างสูงในชุดคลุมอาบน้ำยืนมองร่างเล็กๆของเจ้าเด็กใจแตกเดินหน้าตึกออกจากโรงแรมของเขาไปผ่านหน้าต่างห้องชั้นบนสุดของโรงแรมแห่งนี้ คณิตหลุดขำนิดๆก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความไม่ระวังของเขา
“หน้าตาก็ออกจะน่ารัก ไม่น่าทำแบบนี้เลยนะ”
เขานึกย้อนไปถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ติดออกจะน่ารักมากกว่าหล่อเหลาซึ่งแม้ว่าตนเองจะไม่ได้ชอบผู้ชายเป็นทุนเดิมก็อดที่จะเอ็นดูไม่ได้ ยิ่งการที่อีกฝ่ายเข้ามาคุยกับเขาที่กำลังนั่งพักผ่อนระหว่างรอตรวจงานลูกน้องเป็นเรื่องเป็นราวโดยที่เข้าใจผิดไปเอง ก็ทำให้คณิตนึกสนุกยอมตามน้ำไปด้วยเพราะอยากเห็นสีหน้าเหวอๆของเด็กคนนั้นเมื่อรู้สึกตัว แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาเองนี่แหละที่ต้องเหวอแทนเพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนซื้อบริการซะอย่างนั้น
“แล้วยังเป็นเด็กผู้ชายอีก โอ้ยตายๆๆๆ เวรกรรมอะไรของกูว่ะเนี่ย!!”
แล้วครั้งนี้มันคือเวรกรรม...หรือโชคชะตากันแน่
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
หายไปนานโคตรๆ ติดภารกิจกองเท่าภูเขาอยู่คับ แก้ตัวด้วยการเสิร์ฟNCให้เบาๆสำหรับการเจอกันครั้งแรกของบ่าวสาว :hao6: :pighaun: แซบลืมมมมมมม แถมน้องปูนโดนพี่คณิตชักดาบอีก >//////< นิสัยไม่ได้ เพี้ยะๆ :z3:
ช่วงนี้เช่คงหายไปประมานนี้อีกนะคับ จนกว่าจะปิดเทอมจะยุ่งมากกกกกกก ขอโทษด้วยที่ทำให้ขาดตอนกัน ว่างๆกลับไปอ่านพี่กาลรอก่อนนะ ใครอยากได้หนังสือก็จองกันเข้ามาได้ เหลือเวลาอีกแค่สองเดือนนิดๆเท่านั้น หมดแล้วหมดเลยนะ
ขอบคุณสำหรับทุกเม้นต์ทุกโหวต เรื่องนี้ไม่แนวดราม่าแต่เช่หวังว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจนเกินไปนะคับ :mew1:
-
ลงซ้ำหรือเปล่า? 55
ลองดูนะๆ
-
ลงซ้ำหรือเปล่า? 55
ลองดูนะๆ
จริงด้วย :a5: ขอบคุณที่เตือนนะคับ ^^
-
:mew1:
-
พี่คณิตแซ่บมากกกก หลอดฟันน้องฟรีอีก :ling1:
-
พี่คณิตกับน้องปิงสินะ
-
:z1: :z1: :z1:
-
น้องโดนหลอกฟันฟรีเลย
น่าสงสารรรรรรออก 555
:hao6: :hao6: :hao6:
-
เอาหน่าาาายังไงก็ได้น้องไปแล้วหล่ะนะ
-
แปะ!!!!!!!
-
แตกที่ 3
…โชคชะตา(อีกครั้ง)...
ทุกเช้าห้องอาหารของโรงแรมแห่งนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ บรรดาคนครัวทั้งหลายต่างก็ทำงานกันมือเป็นระวิงยาวมาตั้งแต่เช้ามืดจนถึงช่วงสาย พนักงานเสิร์ฟที่มีทั้งหญิงและชายช่วยกันต้อนรับแขกของโรงแรมที่มีบัตรรับประทานอาหารอยู่แล้ว และนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจเข้ามาชิมอาหารรสเลิศของที่นี่แม้จะไม่ได้นอนค้างก็ตาม คณิตที่ได้นอนหลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงยืนกำกับลูกน้องด้วยรอยยิ้มที่สดใสเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้เนื้อในคำพูดจะเต็มไปด้วยคำตำหนิแต่ในฐานะของผู้จัดการใหญ่และเจ้าของโรงแรมเขาจึงไม่สามารถวางมาดของหนุ่มอารมณ์ดีลงได้
“ให้เด็กไปเอาข้าวต้มออกมาเพิ่มด้วยนะ ส่วนเนื้อไก่เดี๋ยวเอามาให้ผมชิมก่อนค่อยเอาไปวาง”
ผู้ช่วยในครัวคนหนึ่งรับคำก่อนก้าวยาวๆกลับไปทำงานของตัวเอง ในขณะที่คณิตแอบมายืนหลบมุมอยู่ตรงส่วนจัดแสดงของฝากประจำจังหวัดที่ทางโรงแรมได้คัดสรรมาอย่างดีเพื่อให้แขกทั้งหลายสามารถเลือกซื้อกลับไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลาตระเวรหาที่อื่น
“สวัสดีค่ะคุณคณิต เช้านี้ก็ขี้เก๊กเหมือนเดิมเลยนะคะ”
เสียงหวานๆของอิงอร หนึ่งในทีมบริหารที่ที่ควบตำแหน่งหนึ่งในเพื่อนสนิทดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มชวนฝันเช่นเดิม
“ว่าแต่คนอื่นตัวเองก็เป็นเหมือนกันนั่นแหละ”
“ตอบอย่างนี้ไปกินรังแตนที่ไหนมาค่ะ แล้วนี่น้องคนนั้นไปไหนซะแล้วล่ะ หรือว่ายังไม่ตื่น”
คณิตมองแววตาวิบวับของหญิงตรงหน้าด้วยความละเหี่ยใจ ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าอิงอรกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะผิวพรรณแบบลูกคนจีนแท้ๆบวกกับช่วงเวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยที่เขาใช้มันร่วมกับกลุ่มเพื่อนที่มีความหลากหลายทางเพศสูงมาตลอดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนอื่นมักจะเข้าใจว่าคณิตเป็นเกย์ อิงอรเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบยัดเยียดรสนิยมทางเพศแบบนั้นให้เขามาตลอด แต่มันก็ไม่เคยมีเค้าลางความจริงจนกระทั่งเมื่อคืนนี้เนี่ยแหละ...
“กลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“อ้าว ทำไมไม่ให้นอนค้างซะล่ะคะ กลับไปตอนกี่โมงล่ะเนี่ย”
“หึ ให้กลับไปนั่นแหละดีแล้ว ขืนอยู่นานกว่านี้คงไม่ได้เสียแค่ถุงยางถุงเดียว” พูดของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้อิงอรเขินอายแต่อย่างใด ดวงตากลมโตที่ผ่านการตบแต่งด้วยเครื่องสำอางมาอย่างดีพองขึ้นราวกับมีใครอัดลมใส่เข้าไปในนั้น มือที่ถือแฟ้มอยู่ฟาดเข้าที่แขนล่ำของร่างสูงอย่างแรงจนทำเอาคณิตเซไปข้างๆ
“แล้วแกปล่อยให้กลับไปทำไมล่ะวะ! ชิ ไม่ได้เรื่องเลย”
“เออ...คุณอิงอรครับ คุณเป็นผู้หญิงนะ”
“ก็ผู้หญิงไง เห็นผู้ชายรึไงเล่า” ร่างสูงตอบว่าใช่เบาๆในใจ พลางส่ายหัวขณะที่มองตามแผ่นหลังของอิงอรที่เดินผละไปอย่างอารมณ์เสีย แต่ยังไม่ทันไรหญิงสาวก็หันกลับมาเมื่อเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อย่าลืมมาเข้าบลีฟเรื่องงานประชุมที่โรงแรม The Pilot สุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ด้วยนะล่ะคณิต มาช้าแกตายแน่!”
อิงอรพูดทิ้งไว้ก่อนจะหายเข้าไปในลิฟต์ทิ้งไว้เพียงคณิตที่ขำออกมาเมื่อได้เห็นมาดหลุดๆของเพื่อนสาวที่พยายามปกปิดนิสัยเดิมไว้ภายใต้เครื่องสำอางราคาแพงและรอยยิ้มสวยหรูทั้งที่สำหรับเขาแล้วไม่เห็นความจำเป็นเลยสักนิด
“โมโหทีไรหลุดทุกทีสิน่า”
คณิตหัวเราะท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนของอิงอรจนพาลคิดไปถึงดวงหน้าหวานของเด็กที่หญิงสาวเข้าใจว่าเป็นคนรักของเขา
“เมื่อคืนเราทำเกินไปรึเปล่านะ”
ชายหนุ่มถามตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้นับตั้งแต่แผ่นหลังเล็กๆนั่นเดินจากไป เมื่อคืนหลังจากที่ขึ้นไปอาบน้ำตั้งสติอยู่นานคณิตก็ลงมาตรวจสอบรายชื่อลูกค้าที่โทรมาจองโต๊ะไว้ จนเจอชื่อของลูกค้าคนหนึ่งที่โทรมายกเลิกกลางคันแล้วโต๊ะที่อีกฝ่ายจองไว้นั้นก็คือโต๊ะที่เขาดันไปนั่งพักก่อนหน้าที่เด็กคนนั้นจะเดินทางมาถึงเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเอง
คณิตพินิจเบอร์โทรศัพท์นั้นอยู่นานทั้งที่มันไร้ความหมาย เพราะชายคนนั้นเป็นเพียงหนึ่งในลูกค้าที่หวังเชยชมเพียงร่างกายของเด็กหนุ่มที่ชื่อปูนเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรเลยไม่ต่างจากเขาที่ถึงแม้จะไม่ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นแต่สุดท้ายก็ทำผิดไปไม่ต่างกัน
“ถ้าได้เจอกันอีก...จะขอโทษก็แล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
.
.
รถบิ๊กไบค์สีดำสนิทเช่นเดียวกับแจ็คเก็ตของคนขับเลี้ยวเข้าไปในซอยด้านหลังของโรงแรมที่จัดไว้ให้พนักงานใช้เข้าออกแทนส่วนหน้าที่มีไว้สำหรับแขกเท่านั้น พนักงานทั้งหลายที่กำลังพักกินข้าวเที่ยวกันอยู่ต่างก็ทักทายชายหนุ่มที่ก้าวลงมาจากรถของตนที่จอดหลบมุมไว้ โดยที่บอยเองก็ทักตอบไปโดยไม่ถือตัวอะไร
“กินข้าวกันพี่!”
“เอาเถอะ กูกินมาจากข้างนอกแล้ว”
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก รู้งี้จะฝากซื้อพิซซ่าเข้ามาหน่อย อยากกินว่ะ”
“เก็บตังไว้ให้ถึงสิ้นเดือนบ้างเหอะมึง เงินเดือนแค่นี้อยากแดกหรูทุกมื้อ”
พนักงานครัวที่โดนบอยว่ากลับไปไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองอะไรกลับกัน เขากลับหัวเราะชอบใจที่โดนลูกพี่ใหญ่ดุเข้าให้เสียด้วยซ้ำ ร่างใหญ่ของบอยเดินเข้าไปทักพนักงานคนอื่นที่ต่างก็คุ้นหน้ากันดีก่อนจะเดินหอบหมวกกันน็อคใบใหญ่เข้าไปในห้องแต่ตัวของพนักงานซึ่งตั้งอยู่ชั้นเดียวกับบาร์ที่ตัวเองดูแลอยู่
ทันที่ที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง สายตาของชายหนุ่มก็ปะทะเข้ากับแผ่นหลังเล็กที่นั่งหลบมุมอยู่ตรงริมล็อกเกอร์ตู้ในสุดจนแทบสังเกตไม่เห็น ร่างๆนั้นสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาแต่ก็ยังไม่หันกลับมามองบอยแต่อย่างใด
“กลับมาทำงานได้แล้วรึไง”
พลัสที่ไม่ยอมมาทำงานเกือบสามอาทิตย์รู้สึกหน้าชาไปทั้งแทบ เขาไม่รู้ว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องคือใครแต่อีกฝ่ายกลับรู้ได้ทันทีว่าคนที่กำลังมานั่งทำใจอยู่ตรงนี้คือเขาที่หายหน้าไปโดยไม่ได้บอกเหตุผล
“ขอโทษครับ...”
เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นอีกคนที่อยู่ในห้องแห่งนี้ก็ได้รับฟังคำขอโทษนั้นแล้ว
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์แล้วจะขาดได้โดยที่ไม่ต้องบอก ทุกครั้งที่คนหนึ่งหายไปคนอื่นก็ต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเพราะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งที่พวกเขาไม่มีความผิด...อย่าทำแบบนี้อีก”
ร่างโปร่งที่นำคำพูดเหล่านั้นตอกย้ำลงไปในใจของตัวเองทุกคำตอบรับทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ บอยเปรยตามองพลักนิดๆก่อนจะเดินไปเปิดล็อกเกอร์ของตัวเองทำเป็นว่าไม่เห็นหยดน้ำใส่ที่ไหลลงมากระทบรองเท้าคัทชูที่ขัดจนเป็นมันเงาของเด็กหนุ่ม ทั้งห้องไร้คำพูดจาใดๆแต่กลับมีเสียงสะอื้นเบาๆของโปร่งดังคลออยู่เรื่อยๆ กัปตันหนุ่มติดกระดุมเชื้อเชิ้ตของตัวเองอย่างอ้อยอิงราวกับต้องการประวิงเวลาจนกระทั่งน้ำตาของเด็กคนนั้นได้หยุดลง
“ขอโทษอีกครั้งนะครับ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีก...”
“อืม แล้ววันนี้มึงต้องทำล่วงเวลาอีกสองชั่วโมงโดยไม่ได้ค่าจ้าง ส่วนทิปที่ได้มาจากแขกก็เอาไปแบ่งให้คนที่ต้องทำงานมึงด้วย เข้าใจไหม”
“ครับ”
“งั้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปช่วยงานเช็คจานกับช้อนส้อมซะ ตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงใหญ่ งานหนักหน่อยล่ะวันนี้”
บอยพูดพลางกระชับเนกไทสีเข้มของตัวเองให้เข้าที่ ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงแรงกระตุกเบาๆที่ชายเสื้อด้านหลัง
“อะ เออ หัวหน้าครับ ผม...ฝากนี้ไปให้ปูนหน่อยได้ไหม”
ธนบัตรสีเทาห้าใบที่ถึงแม้จะถูกพับอย่างดีแต่ก็ยังปรากฏรอยยับให้เห็นถูกยื่นออกมาให้บอยที่จำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี
“เดี๋ยวมันก็มาทำงาน เอาไปคืนมันเองเถอะ”
“แต่ผม...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ปล่อย กูจะไปทำงาน”
ร่างใหญ่ดึงเสื้อของตัวเองที่อีกฝ่ายจับไว้จนพลัสไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้อีก ชายหนุ่มเตรียมตัวเดินออกไปจากห้องแต่คราวนี้กลายเป็นคำพูดของร่างโปร่งที่หยุดการก้าวเดินของเขาไว้แทน
“แล้วทำไมพี่ต้องทำให้ผมเห็นภาพแบบนั้นด้วย...”
“...”
“พี่รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าปูนกำลังทำอะไร ทำไมพี่ถึงไม่ห้ามเขา...มันผิดไม่ใช่หรอการเอาตัวเองไปขายแบบนั้นน่ะ...ทำไมพี่ไม่หยุดเขา ทำไมพี่ไม่หยุดผม”
บอยหันมามองหน้าพลัสที่กำลังมองมาอย่างตัดพ้อตรงๆโดยไม่มีทีท่าหวั่นไหวเลยสักนิดแม้คำพูดของเด็กหนุ่มจะสะกิดความรู้สึกของเขาเข้าอย่างจัง
“ที่กูไม่หยุดมันก็เพราะมันไม่ใช่เรื่องของกู ตัวของตัวเองมันยังไม่คิดจะรักษาก็ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเราจะเข้าไปแส่...ส่วนมึง”
“...?”
“ที่กูไม่หยุดมึง เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นมึงคงไม่เลิกยุ่งกับมัน”
พลัสได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งอึ้งไป เขาพยายามทำความเข้าใจคำพูดของบอยใหม่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลให้การกระทำนั้นได้อยู่ดี
“ทำไมพี่ถึงไม่อยากให้ผมไปยุ่งกับปูนล่ะครับ”
ร่างโปร่งถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของตัวเองนั้นทำให้อีกคนคิดไปไกลแค่ไหน
“ก็เพราะมัน...เป็นคนไม่ดียังไง”
กัปตันหนุ่มพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากห้องโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง ทันทีที่แสงจากด้านนอกสาดเข้ามารอยยิ้มสุภาพก็ถูกสวมลงบนใบหน้าคมเข้มของบอยเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาเดินเข้าไปทักทายหัวหน้าฝ่ายจัดเลี้ยงที่เข้ามาจัดแจงเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นด้วยท่าทีปกติ ทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรไม่ดีทิ้งไว้
ขอแค่เด็กคนนั้นไม่มองไปที่ใคร ไม่ว่าวิธีไหนเขาก็จะใช้มัน...
.
.
.
.
.
.
.
.
ทุกๆครั้งก่อนที่ฤดูการท่องเที่ยวครั้งใหม่จะเวียนมาถึง โรงแรมทั้งน้อยใหญ่ในย่านนี้ต่างก็ต้องเข้ามาประชุมหารือกันเพื่อหาแนวทางในการบริการลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มากเสียจนแทบรับรองไม่ไหว แล้วก็เป็นเหมือนเช่นทุกครั้งที่งานนี้ถูกจัดขึ้น ณ โรงแรมที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดอย่าง The Pilot ที่เป็นหนึ่งทั้งในด้านขนาดและความสะดวกสบาย อีกทั้งยังเป็นโรงแรมที่มีเครืออยู่ในทุกเมืองท่องเที่ยวและจังหวัดใหญ่ๆของประเทศ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถลำพองในความยิ่งใหญ่ของตัวเองได้ตลอด เพราะในย่านบางแสนแห่งนี้ยังมีอีกหนึ่งโรงแรมที่มีความสามารถด้านการบริการโดดเด่น จนสามารถแย่งลูกค้าไปจากที่นี่ได้เสมอ
“ว่าไงไอ้คณิต ทำหน้าเหมือนจะตายเลยนะ”
‘เมษา’ หรือ ‘เมษ’ ทายาทหนุ่มไฟแรงแห่งโรงแรม The Pilot เดินเข้ามาตบบ่าของคณิตผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งเบาๆก่อนจะยกแก้วไวน์ในมือของตนมาชนกับอีกฝ่ายด้วยท่าทางสบายๆผิดกับบรรยากาศของงาน
“ก็ใกล้จะตายจริงๆล่ะวะ ประชุมติดกันหกชั่วโมง มึงบ้าป่ะเนี่ย”
ร่างสูงของคณิตบ่นไปพลางกระดกไวน์เข้าปากไปพลาง โดยไม่คอยละเมียดรสของมันอย่างเคย
“ก็ช่วยไม่ได้ พวกโรงแรมเล็กๆเขาก็ไม่อยากเสียผลประโยชน์ของตัวเองเหมือนกัน มึงกับกูเลยต้องเหนื่อยแบบนี้ไง เอาน่า มันก็เป็นแบบนี้ทุกปีแหละ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับกูเลย กี่ปีๆแขกกูก็เท่าเดิม”
“นั่นก็เพราะมึงไม่ยอมขยายโรงแรมเพิ่มเองต่างหากเลยรับรองแขกได้เท่านั้น แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะชนะกูได้ล่ะวะ”
“ขอบายว่ะ เรื่องแพ้ชนะกูไม่สน ตอนนี้กูสนแค่ของกินตรงหน้าเท่านั้นแหละ แม่ง หิวฉิบหาย” ชายหนุ่มพูดก่อนจะเดินไปตักอาหารที่จัดไว้เป็นบุปเฟ่ต์มาใส่จานของตัวเอง โดยไม่คิดรักษามาดใดๆ เขาถือมันไปนั่งกินที่โต๊ะซึ่งมีอิงที่มาในงานครั้งนี้ด้วยนั่งรออยู่โดยไม่สนใจว่าคู่แข่งอย่างเมษาจะตามมานั่งด้วยเช่นกัน
“เรื่องบูธงานเทศกาลก็เอาตามที่ที่ประชุมว่า ส่วนโปรโมชั่นเดี๋ยวค่อยกลับไปคุยกับทุกฝ่ายอีกที”
“โอเค แล้วนี่แกจะไปเปลี่ยนชุดเลยไหม เลขาแกเตรียมชุดมาให้แล้ว”
หญิงสาวพูดถึงชุดสูทที่เตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงรับรองที่จะจัดขึ้นในคืนนี้ เธอรู้ดีว่าคนอย่างคณิตคงไม่สนใจแต่เพราะว่ามันเป็นงานเธอจึงต้องมาตามย้ำร่างสูงแทนเลขาสาวหน้าใหม่ ที่ไม่กล้าตื้อต่อเมื่อโดนปฏิเสธมาแล้วครั้งหนึ่ง
“บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าไม่อยากไป อิงไปคนเดียวก็พอแล้ว”
“แต่นี่โรงแรมของแกนะ จริงจังหน่อยสิ”
“ก็จริงจังอยู่ แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยมาก อยากกลับไปนอนพัก”
ร่างสูงพูดพลางนวดหัวตาเบาๆเมื่อความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันเริ่มย้อนกลับมาโจมตีเขาเข้าอย่างจังจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
“ขึ้นไปนอนบนห้องกูก่อนก็ได้ เดี๋ยวงานเริ่มแล้วค่อยลงมา”
เมษาที่ฟังอยู่เสนอทางออกให้เพราะตัวเองก็ไม่อยากจะอยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้โดยไร้เพื่อนดวลเหล้าอย่างคณิตเหมือนกัน อิงอรที่ได้ยินดังนั้นก็รีบบอกเห็นด้วยกับข้อเสนอของเจ้าของโรงแรมหนุ่มเป็นการใหญ่
“เออๆก็ได้วะ เหล้าออกมาเมื่อไหร่ค่อยไปตามกูแล้วกัน”
“งั้นเดี๋ยวกูพาไป จะขึ้นไปเปลี่ยนชุดด้วย”
“โอเค เดี๋ยวกูไม่เอาชุดก่อน”
คณิตตอบตกลงก่อนจะแยกไปเอาชุดสูทสำหรับงานกลางคืนที่เลขาของตนเตรียมไว้ให้แล้วบอกให้อีกฝ่ายกลับไปก่อนได้เลยเพราะดูท่าแล้วคืนนี้เมษาคงไม่ปล่อยให้เขากลับบ้านไปง่ายๆ พอได้ชุดมาเป็นที่เรียบร้อยชายหนุ่มก็รีบเดินไปหาเมษาที่กำลังยืนรออยู่ที่ลิฟต์ตัวกลาง ในขณะที่อิงอรแยกตัวมาคุยกับตัวแทนจากโรงแรมอื่นแทนในส่วนของคณิต
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม งั้นไปกันเหอะ กูเหนียวตัวจะแย่”
หนุ่มหล่อทั้งสองพากันเดินเข้าไปข้างในลิฟต์ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่มองมาอย่างสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใช้ลิฟต์ร่วมกับทั้งคู่ ยกเว้นแต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รีบวิ่งมาแต่ไกลเมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์นั้นใกล้จะปิดลง
“รอด้วยครับ!”
ปูนที่กำลังจะเข้างานสายตะโกนบอกคนในลิฟต์ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ร่างเล็กรีบแทรกตัวเข้าไปด้านในทันทีที่ประตูเหล็กบานนั้นเปิดออกอีกครั้งก่อนจะหันไปเพื่อบอกขอบคุณคนที่ช่วยกดลิฟต์ให้ แต่พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้น ปากของเขาก็หยุดไปซะดื้อๆ
“เธอ!”
“...!!!!"
กลายเป็นคณิตที่ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เขาช่วยกดลิฟต์ให้คือเจ้าเด็กสิ้นคิดที่ชายหนุ่มเผลอไปนอนด้วยเมื่อหลายวันก่อน เช่นเดียวกับปูนที่จำชายตรงหน้าได้ในทันที ใบหน้าน่ารักที่ดึงดูดความสนใจของคณิตได้ตั้งแต่ครั้งแรกเริ่มออกอาการบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ จนเมษาที่ยืนอยู่ในลิฟต์ด้วยมองทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม
“ใครวะมึง? คนรู้จักหรอ”
“ฮะ? อะ เออ เปล่า...”
หนุ่มหล่อเจ้าของดวงตาเจ้าเสน่ห์ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงติดๆขัดๆเมื่อไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานะของพวกเขาทั้งสองว่ายังไง คนรู้จักก็ไม่ใช่ แต่จะให้บอกว่าเป็นเด็กที่เคยนอนด้วยก็ยิ่งไม่ได้อีก เพราะต่อให้น่ารักยังไง มันก็เด็กผู้ชายชัดๆ!
ปูนที่กำลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปตั้นหน้าไอ้แก่ที่ชักดาบค่าตัวของเขาไปหลายวันก่อนยืนมองอาการอ้ำอึ้งของคณิตและชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆกันด้วยความสนใจ รอยยิ้มเล็กๆที่ดูร้ายกาจผุดขึ้น เมื่อโอกาสที่จะได้ระบายความแค้นใจที่เด็กหนุ่มต้องแบกรับมาหลายวันโดยมีหลักฐานคือถุงยางอนามัยของอีกฝ่ายที่เขาพกติดตัวไว้ด้วยตลอดจะมาถึงไวกว่าที่คิด
“ป๋าฮะ! จะมาที่นี่ทำไมไม่บอกปูนก่อนล่ะฮะ!”
“เฮ้ย!!” คณิตร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆคนที่เพิ่งทำหน้าราวกับจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ กลับเปลี่ยนทีท่าเป็นตัดพ้อน้อยใจแล้วพุ่งเข้ามากอดเขาไว้ทั้งตัว
“มาก็ไม่บอก โทรไปก็ไม่รับ ปูนงอนป๋าแล้วนะรู้ไหม”
ใบหน้าขาวใสที่แดงระเรื่อเพราะไอแดดซุกเข้าที่อกหนาแล้วถูไปมาอย่างออดอ้อนขัดกับคำพูดที่เอ่ยออกมาลิบลับ แต่มันกลับไม่สำคัญเลยสักนิดเมื่อเทียบกับความเข้าใจผิดที่ร่างเล็กตั้งใจสร้างขึ้น
“ป๋า???” เมษาทวนคำพูดของเด็กหนุ่มที่แทบจะรวมร่างกับเพื่อนของเขาอยู่แล้วอย่างงงๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าคณิตเพื่อขอคำอธิบาย
“ไม่ใช่นะเว้ยไอ้เมษ ไอ้เด็กนี่มัน...!”
“นี่ใครหรอฮะป๋า เพื่อนป๋าหรอ สวัสดีฮะ ผมชื่อปูนนะฮะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เด็กหนุ่มรีบชิงพูดก่อนที่คณิตจะได้อธิบาย มือเล็กยื่นไปตรงหน้าเมษาที่จับมือกลับมาทั้งที่ยังงงๆ แต่ดูเหมือนคนที่ทั้งงงและพูดไม่ออกมากที่สุดจะกลายเป็นร่างสูงที่ยืนเหวออยู่ข้างๆ
“เออ...พี่ชื่อเมษาครับ เป็นเพื่อนไอ้คณิต แล้วน้องปูน??”
“ปูนเป็น...อ่า ขอโทษนะฮะ ป๋าเคยสั่งว่าห้ามบอกใครว่าเราเป็นอะไรกัน ใช่ไหมฮะ...ป๋า”
ร่างเล็กแสร้างทำเป็นหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดเน้นคำว่าป๋าในท้ายประโยคพร้อมกับหันไปมองคณิตด้วยสายตาหวานเชื่อม เมษาที่เริ่มเข้าใจ(ผิด)ได้ลางๆมองทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างอึ้งๆ จนคณิตที่แทบจะจับปูนมาขย้ำด้วยความโมโหรีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพันละวัน
“ไม่...อื้อ!!!”
แต่ทันทีที่ลิฟต์เคลื่อนมาถึงชั้นที่ปูนทำงานอยู่ เด็กหนุ่มก็รีบล้วงเอากระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมาแล้วหยิบถุงยางอนามัยที่คณิตเคยให้ไว้ยัดเข้าไปในปากของร่างสูงที่กำลังจะพูดแก้ตัวกับเพื่อน ก่อนจะกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายเข้าหาตัวจนใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกคน
“ปูนไปทำงานก่อนนะฮะ ส่วนนี่ที่ป๋าลืมทิ้งไว้คราวก่อน...ปูนมาเอาคืน”
ปูนแกล้งทำเป็นพูดผิดก่อนจะหอมแก้มของชายหนุ่มที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้วแรงๆ ร่างเล็กหันมาส่งยิ้มหวานให้เมษาอีกครั้งแล้วเดินออกจากลิฟต์พร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างสบายใจ เด็กหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหัวเราะออกมาดังๆเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคนดังทะลุออกมาจากลิฟต์สีเงินที่เคลื่อนไปถึงชั้นอื่นแล้ว
“ไอ้เด็กเวร มึงเจอดีแน่!!!!!”
เด็กหนุ่มหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปมองพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครยืนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของชายคนที่ครั้งหนึ่งเคยดูถูกเขาไว้อย่างร้ายกาจ
“ก็บอกแล้ว ว่าผมมาเอาคืน”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
เป็นตอนที่สั้นและปวงมาก 555555 ตอนหน้าบอกได้เลยว่าน้องปูน ชิพ lost แน่ๆ :hao3: :katai1:
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคับ :katai2-1:
-
นี่น้องปูนหรือคริสหอวัง :hao7: ปังและสตรองมากกกกก
แต่ถ้ารู้ว่าใครเป็นใครจะไม่แย่เอาหรอ พี่คณิตที่ตั้งใจจะขอโทษก็น่าจะโกรธแล้วด้วยตอนนี้ :katai1:
ชิบหายจริงๆด้วยตอนหน้า :z3:
-
ตามมาจากรัตติกาลจ้า เรื่องนั้นไม่ทันเม้นเรื่องนี้รีบสมัครยูสมาเม้นเลย ทีมปูนๆ :L1:
-
:mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
-
แหม ไปแกล้งเขาไว้เดี๋ยวจะโดนเขาเอาคืนนะ
-
ทำแบบนี้เดี่ยวก็โดนเอาค่นหรอกิแทนที่จะได้คุยกันดีๆ
-
แตกที่ 4
…หนีไม่พ้น...
เมษามองภาพเพื่อนของตนเอาแต่บ้วนปากด้วยน้ำยาของเขาเสียจนมันพร่องไปค่อนขวด เสื้อผ้าราคาแพงของคณิตที่กำลังหัวเสียเปียกชุ่มไปหมดแต่เจ้าของกลับไม่สนใจมันเลยสักนิด เพราะในหัวของชายหนุ่มมีแต่ความโมโหเท่านั้น
“มึงจะบ้วนให้ปากพังไปเลยรึไงวะ”
“เออ! แต่นอกจากปากกูแล้ว ไอ้เด็กนั่นต้องพังด้วย!”
ชายหนุ่มเจ้าของผิวแทนเข้มหัวเราะดังออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงภาพของเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ใจกล้าหยิบเอาของต่ำอย่างถุงยางอนามัยมายัดใส่ปากหนุ่มหล่อมาดดีอย่างคณิตที่ไม่เคยถูกใครกล้าทำตัวแบบนี้ด้วยมาก่อน
“แล้วตกลงมึงกับเด็กนั่นนี่อะไรยังไงวะ ดูท่าแล้วจะไม่เป็นแบบที่น้องเขาบอกใช่ไหม หรือว่าใช่?”
ร่างสูงหันไปมองหน้าเมษาที่ทำหน้าตาราวกับว่ากำลังสนุกสุดๆอยู่ด้วยความไม่ชอบใจ เขายอมรับเลยว่าหมอนี่เป็นเพื่อนที่ดีแต่หนึ่งเหตุผลที่ทำให้คณิตรู้สึกไม่ลงรอยกับเมษาอยู่ลึกๆก็เป็นเพราะนิสัยชอบเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องตลกของมันนั่นแหละ
“ใช่ก็บ้าแล้ว หน้ากูเหมือนพวกชอบเลี้ยงเด็กรึไง”
“ฮ่าๆ ของแบบนี้มันดูกันที่ภายนอกไม่ได้นี่ ขนาดมึงที่ว่าแมนๆสุดท้ายยังไปเอาเด็กผู้ชายได้เลย”
คณิตที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดปากของตัวเองหยุดชะงักไปก่อนจะจ้องไปที่เขม็ง เมษาเองพอยิ่งเห็นท่าทางของเพื่อนก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้นถูกต้อง
“เอากันมาจริงๆสินะ”
“กูเปล่า”
“หึ ปฏิเสธตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วเว้ย ถ้ามึงไม่ได้นอนกับน้องเขามาจริงๆ มึงก็น่าจะพูดว่า ‘หน้ากูเหมือนพวกชอบผู้ชายรึไง’ มากกว่า”
“สัด ฉลาดกว่าหมาที่บ้านกูอีกนะมึง”
เมษาไม่ได้ถือสาคำจิกกัดของคณิตแต่อย่างใด เขาหัวเราะเบาๆพลางเดินไปหยิบเสื้อตัวใหม่มาให้เพื่อนใช้เปลี่ยนแทนตัวเก่าที่เปียกชุ่ม คณิตรับมันมาแต่โดยดีแล้วเปลี่ยนทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกหนาวนิดๆ
“กูจะไม่ถามแล้วกันว่ามึงไปได้เขามายังไง แต่ที่กูอยากรู้คือทำไมน้องเขาถึงทำกับมึงแบบนี้วะ”
“...ไม่มีอะไรมาก แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“เข้าใจผิด?”
“เออ ไม่ต้องซักอะไรแล้ว กูไม่อยากนึกให้อารมณ์เสีย” ร่างสูงรีบตัดบทเพราะไม่อยากถูกต้อนในต้องพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด คณิตเดินไปหยิบข้าวของของตัวเองรวมถึงชุดสูทที่ยังคงถูกแขวนไว้อย่างดีมาถือไว้
“มึงจะถือของไปไหน”
“ก็กลับบ้านไง หมดอารมณ์แดกเหล้าแล้ว”
“อ้าว ทิ้งกันเฉยเลยหรอวะ”
“เออ ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นหมาหง่อยไอ้สัด ไว้กูจะมาเลี้ยงที่หลัง”
เมษาถอนหายใจแล้วยอมพยักหน้ารับทั้งที่ในใจยังนึกเสียดาย ทั้งเรื่องเพื่อนดวลเหล้าและเรื่องของเด็กคนนั้นที่เขายังคงคาใจอยู่ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมให้คณิตเดินออกจากห้องพักส่วนตัวของเขาไปแต่โดยดี
คณิตก้าวเข้ามาในลิฟต์ตัวเดิมด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวกว่าครั้งแรก ชายหนุ่มเผลอกำมันแน่นด้วยความคับแค้นใจ ทั้งที่เคยตั้งใจไว้แล้วว่าจะยอมขอโทษเด็กนั้นหากมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่คณิตจะได้ทำอะไรเขากลับถูกอีกฝ่ายแสดงพฤติกรรมแย่ๆใส่ในที่สาธารณะ ยังถือว่าโชคดีที่ในตอนนั้นมีเพียงแค่เมษาที่อยู่ตรงนั้นด้วย เพราะหากเป็นคนอื่นทั้งตัวเขาเองและปูนคงเสียหายจากการกระทำที่เกิดจากอารมณ์เพียงชั่ววูบนั่นแน่ๆ
ชายหนุ่มก้าวออกมาจากลิฟต์แล้วเดินตรงไปที่รถของตนโดยไม่ได้เข้าไปบอกกล่าวเพื่อนร่วมงานสาวอย่างอิงอรแต่อย่างใด เขาโยนถุงสูทเข้าไปในรถลวกๆก่อนจะสตาร์ทรถออกไปทันทีโดยมีจุดหมายอยู่ที่บ้านซึ่งเขาคงไม่พ้นโดนบิดาดุแน่ๆที่แอบหนีกลับมาก่อนทั้งที่งานเลี้ยงนั่นก็ถือเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งในงานของเขา
“จะว่าไป เด็กนั่นมันบอกว่ามาทำงานอย่างนั้นหรอ...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
บรรดาเด็กเสิร์ฟทั้งหลายที่อยู่ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงพิเศษในค่ำคืนนี้ล้วนแต่หันมามองบาร์เทนเดอร์หนุ่มอย่างปูนที่กำลังฮัมเพลงเบาๆพลางเช็ดแก้วไปด้วยราวกับว่ามันเป็นของแปลก คนที่ปกติเอาแต่ทำท่าทางเงียบขรึมอมยิ้มน้อยๆตลอดการทำงานแม้จะรู้สึกได้ถึงสายตามากมายจับจ้องมาที่ตนแต่ร่างเล็กกลับไม่ถือสาอะไรใครทั้งนั้น เพราะความหงุดหงิดใจทั้งหมดเขาได้เทมันใส่ใครบางคนไปด้วยวิธีที่สะใจที่สุดแล้ว
“หยุดทำตัวน่าขนลุกสักที มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
บอยที่ทนกับบรรยากาศแปลกๆในบาร์ไม่ไหวเดินมาถามปูนด้วยสีหน้าติดจะรำคาญ แต่เด็กหนุ่มที่ไม่เคยเกรงกลัวชายผู้เป็นทั้งหัวหน้าและรุ่นพี่ที่รู้จักกันดีคนนี้ก็ยังคงฮัมเพลงต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะวางแก้วใบสุดท้ายลงบนชั้น
“เห็นแก่เรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดหยาบคายของพี่แล้วกันนะ”
“กรุณาได้ยินมันเถอะ ก่อนที่กูจะหมดความอดทน”
ปูนจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสียที่บอยไม่รับมุขเอาซะเลย แต่ก็ยังคงยิ้มได้เมื่อนึกถึงสีหน้าเหวอๆของคณิตขึ้นมา
“วันนี้เลิกแล้วอย่าเพิ่งกลับล่ะ เดี๋ยวพวกผู้จัดการเขาจะเรียกพนักงานประจำมาคุยกันเรื่องแคมเปญใหม่ของเดือนหน้า”
“โห้ย มาเรียกคุยอะไรตอนนั้นวะ โดดได้ไหมอะ”
รอยยิ้มของปูนหายไปทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น เพราะกว่างานเลี้ยงคืนนี้จะเลิกก็ดึกมากแล้ว
“ไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องมาบ่นมาก อย่าลืมว่ากูยังไม่ได้ทำโทษเรื่องที่มึงมาสายแล้วดันไปใช้ลิฟต์ของแขกเข้าทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตอีก”
“ก็สายแล้วนี่พี่ จะให้ผมวิ่งอ้อมไม่เข้าทางด้านหลังก็ใช่เรื่อง”
ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีวี่แววของความรู้สึกผิด หนำซ้ำเขายังรู้สึกดีด้วยซ้ำที่วันนี้เขาตัดสินใจใช้ลิฟต์ตัวนั้นแทนลิฟต์ของพนักงานที่ใช้เป็นประจำ
“แต่กฎก็คือกฎ ถ้าเตรียมของเรียบร้อยแล้วก็ช่วยเรียกสติของมึงกลับมาด้วย คงไม่ต้องให้กูบอกนะว่าถ้ามึงยังไม่หยุดจะเจอกับอะไร”
บอยพูดทิ้งไว้ก่อนจะเดินไปเช็คความเรียบร้อยตรงอื่นขณะที่เวลาเริ่มงานเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที ปูนเบ้ปากอย่างหมั่นไส้แต่ก็ยอมทำตามนั้น เขาตรวจกูจำนวนเครื่องดื่มและมิกเซอร์ที่ต้องใช้อย่างถี่ถ้วนแต่ในระหว่างที่เขากำลังนับจำนวนแก้วไวน์ที่น่าจะต้องใช้เยอะเป็นพิเศษนั้นเอง ร่างเล็กก็สังเกตเห็นเงาของคนบางคนกำลังยืนซ้อนอยู่ตรงหน้า
“ปูน...”
พลัสในชุดเครื่องแบบที่ไม่ได้สวมมานานเรียกปูนด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความประหม่าและความกระดากใจ ปูนเองพอรู้ว่าเป็นใครก็เปลี่ยนเป็นท่าทางนิ่งๆพร้อมกับเปรยตามองไปยังบอยที่ยืนมองพวกเขาทั้งคู่มาจากที่ไกลๆด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไง กลับมาทำงานได้แล้วหรอมึง”
“อืม...เราเอาเงินมาคืน”
เงินห้าพันบาทที่ร่างเล็กเคยยัดเยียดให้ไว้ถูกยื่นกลับไปสู่ผู้เป็นเจ้าของอีกครั้ง แต่ปูนกลับทำเพียงมองมันเฉยๆโดยไม่คิดจะยื่นมือออกไปรับ
“กูให้มึงแล้วก็เอาไปสิ”
“แต่เราไม่อยาก...”
“ถ้าไม่อยากได้ก็ให้คนอื่น ไม่ก็ทิ้งๆไปซะ ความจริงมันก็น่าจะทำอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วนิ...เงินสกปรกไม่ใช่รึไง”
ปูนพูดประชดออกมาไม่ใช่เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจแต่เป็นการตอกย้ำถึงสิ่งที่เขากระทำเท่านั้น สีหน้าของพลัสแย่ลงทันทีจนบอยที่มองอยู่สังเกตได้แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่ได้เดินเข้ามาห้ามปรามแต่อย่างใด
“ทำไมปูนถึงทำแบบนี้...มันไม่ดีนะ”
“ดีสิ ดีจะได้ มึงทำงานงกๆตั้งหลายชั่วโมงได้เงินแค่ห้าร้อย แต่กูแค่ลงไปนอนให้เขาฟัดนิดๆหน่อยๆได้มาแล้วตั้งห้าพัน หึ มันจะไม่ดีได้ยังไง”
“เราไม่ได้หมายถึงเรื่องเงิน เราแค่จะบอกว่ามันไม่ถูกต้อง”
“แล้วอะไรล่ะที่ว่าไม่ถูกต้อง”
เด็กหนุ่มนิ่งไปเมื่อถูกร่างเล็กถามย้อนมาแบบนั้น แววตาที่แข็งกร้าวของปูนไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา กลับกันมันดูเรียบนิ่งเสียจนคาดเดาอะไรไม่ได้
“มัน...ผิดศีลธรรม ปูนอาจจะไปผิดลูกผิดเมียเขาอยู่ก็ได้”
“งั้นถ้าคนพวกนั้นไม่มีลูกมีเมียที่ไหน กูก็ขายตัวให้พวกมันได้สินะ”
คำพูดของปูนหยุดปากของพลัสไว้ได้อีกครั้ง บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มเยาะคนที่ตายเพราะคำพูดของตัวเองโดยไม่สนใจเลยว่าสิ่งที่เขาพูดกับพลัสเมื่อครู่จะเข้าหูใครหรือไม่ ก่อนที่เขาจะหยิบเงินที่ร่างบางถือไว้เอง
“ศีลธรรมที่มึงว่ามันก็บอบบางเหมือนเงินในมือกูนี่แหละ ดูสวยงามและมีค่าแต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียวที่ถูกทำลายได้ง่ายๆ...ถ้ามึงคิดว่าสิ่งที่มึงคิดมันถูกต้องก็รักษามันไว้ให้ดีแล้วกัน”
ปูนยัดเงินพวกนั้นกลับไปในกระเป๋ากางเกงของพลัสที่ไม่อาจพูดอะไรกลับมาได้เลย ปูนหมุนตัวเตรียมเดินกลับเข้าไปในห้องพักของตัวเองเพื่อรอเวลาที่งานจะเริ่มอีกครั้ง แต่เขาก็หันกลับมาหาร่างบางก่อนเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“อ่อ แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ถึงกูจะนอนกับพวกมีลูกมีเมียอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไร เพราะการเป็นเมียน้อยคนอื่นมันไม่ใช่ทางกูว่ะ”
ร่างเล็กบอกออกมาด้วยท่าทางทีเล่นที่จริงแต่กลับแฝงความเจ็บปวดและจริงจังไว้ในนั้น ภาพและเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เคยพบพานย้อนกลับมาให้เขาเจ็บแปลบในหัวใจแต่ก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเวลาเท่านั้น
ปูนเข้าไปนั่งสติอารมณ์ตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินออกไปทำหน้าที่ของตนทันทีที่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ด้วยความที่ลูกค้าส่วนใหญ่คือพวกผู้บริหารและครอบครัวของโรงแรมในย่านนี้ทำให้เด็กหนุ่มไม่ต้องชงเครื่องดื่มแรงๆเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่วนใหญ่เครื่องดื่มที่เขาจะต้องทำก็เป็นพวกม็อกเทลที่ไม่มีแอลกอฮอล์สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายและไวน์รสเยี่ยมสำหรับคนที่พอมีอายุหน่อยเท่านั้น
“ขอบลูแก้วนึงครับ”
เสียงทุ้มๆของใครบางคนดังขึ้นขณะที่ปูนกำลังเดินไปหยิบไวน์ขวดใหม่ออกมา เขาขานรับโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะหยิบเอาวิสกี้ราคาแพงมารินใส่แก้วให้โดยไม่ลืมเสิร์ฟพร้อมกับน้ำแร่เย็นๆอีกแก้วหนึ่ง
“นี่ครับ”
“ขอบคุณนะครับ...น้องปูน”
เด็กหนุ่มชะงักไปทันทีเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อเขาออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบเข้ากับชายหนุ่มคนที่เป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวที่เห็นว่าเขาทำเรื่องร้ายกาจอะไรลงกับไปคณิตผู้เป็นแขกของที่นี่
“คุณ...”
“เมษครับ ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงลืมชื่อพี่ซะแล้วหรอ”
เมษาพูดแซวเด็กหนุ่มออกมาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงโดยที่เก็บความรู้สึกบางอย่างไว้ภายใน เขายกน้ำแร่ที่ปูนเตรียมไว้ให้ขึ้นมาดื่มเพื่อล้างปากก่อนจะจิบวิสกี้รสเยี่ยมตามลงไปโดยที่ไม่ละสายตาไปจากร่างเล็กเลยแม้แต่น้อย
“ขอโทษทีครับ พอดีตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่”
ปูนตอบไปตรงๆโดยที่ยังรักษารอยยิ้มไว้ได้แม้ข้างในจะกำลังรู้สึกร้อนรน เขาพยายามห้ามตัวเองไม่ให้สอดส่ายสายตามองหาคนที่ตนไปแกล้งไว้ แต่คนที่อายุมากกว่ากลับมองอาการหลุกหลิกเล็กๆนั่นออกอยู่ดี
“ไม่ต้องมองหาหรอกครับ คณิตมันกลับไปแล้ว”
ร่างเล็กเผลอถอนหายใจออกมาจนทำให้เมษาหลุดขำไปด้วย
“ฮ่าๆๆ กลัวมันมาเจอขนาดนั้นเลยหรอ”
“ปะ เปล่าครับ”
ปูนพยายามปฏิเสธกลับไป แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เชื่อน้ำคำของเขาเลยแม้แต่น้อย เมษาวางแก้วในมือลงก่อนจะเท้าคางมองปูนด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ไม่เป็นไรน่า พี่เข้าใจ เพื่อนพี่ตอนโมโหมันน่ากลัวน้อยเสียที่ไหน”
“แล้วนี่พี่มาทำอะไรที่นี่ครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มรับก่อนจะถามกลับไปเมื่อดูท่าแล้วเมษาจะไม่ได้โกรธเคืองอะไรที่เขาแกล้งเพื่อนของชายหนุ่มไปแบบนั้นบวกกับความสงสัยที่เห็นชายหนุ่มผิวเข้มคนนี้มาอยู่ที่งานเลี้ยงซึ่งสงวนไว้ให้แต่แขกพิเศษเท่านั้น
“พี่ก็เป็นพนักงานของโรงแรมแหละครับ พอดีเห็นเรายืนชงเหล้าอยู่เลยเข้ามาคุยด้วย พี่ไม่กวนใช่ไหม”
“ก็กวนนิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่ผมไม่โดนดุน่ะนะ”
เมษาหัวเราะน้อยๆก่อนจะชวนปูนคุยไปเรื่อยๆโดยที่ร่างเล็กก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยจากการพูดคุยกันทำให้ปูนนั้นรู้ว่าคณิตไม่ได้บอกเพื่อนอย่างเมษาว่าเขาเคยทำอะไรไว้ ซึ่งมันออกจะผิดจากที่เขาคาดการณ์ไว้สักหน่อย
“เขาบอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรอครับ”
“อืม แต่ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อเท่าไหร่เลย”
ชายหนุ่มพูดทิ้งไว้แค่นั้นโดยที่ไม่ได้คาดคั้นต่อและนั่นก็เป็นสิ่งที่ร่างเล็กต้องการ เพราะต่อให้เขาไม่แคร์กับสิ่งที่ตัวเองทำแค่ไหนแต่นั่นก็ไม่ได้รวมถึงผลที่อาจจะตามมาเกี่ยวกับหน้าที่การงานของเขาด้วย
“แล้วพี่เมษไม่โกรธหรอครับ ที่ผมทำกับเพื่อนพี่แบบนั้น”
“ฮ่าๆไม่โกรธหรอกครับ ตราบใดที่เราไม่เอาถุงยางมายัดใส่ปากพี่”
ร่างเล็กเผลอเม้มปากแน่นเมื่อถูกเมษจ้องมาตรงๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มให้อย่างเดิม ปูนรู้สึกได้ว่าเมษาเป็นคนที่ตัวเองไม่ถนัดรับมือด้วยสักเท่าไหร่ เพราะภายใต้รอยยิ้มที่อีกฝ่ายมักมอบให้กับใครต่อใครง่ายๆ เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันกลับมีบางสิ่งบางอย่างถูกซ่อนไว้แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลย
“แต่ก็นะ คงไม่มีใครทำตัวแบบนั้นโดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่ไหม”
“ครับ ขอโทษนะครับที่ทำตัวไม่ดีไป”
ปูนบอกขอโทษออกมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าคนที่เขาทำไม่ดีด้วยจะเป็นคณิตไม่ใช่เมษาก็ตาม
“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่อย่าไปทำแบบนี้ต่อหน้าแขกคนอื่นอีกแล้วก็...ลิฟต์ของพนักงานอยู่ด้านหลังนะครับน้องปูน”
“คุณเมษาครับ รบกวนเชิญทางนี้หน่อย”
ยังไม่ทันที่ปูนจะได้ถามอะไรออกไป กัปตันอย่างบอยก็เดินเข้ามาหาแล้วพูดกับเมษาด้วยท่าทางสุภาพนอบน้อมกว่าเคย ร่างเล็กมองทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ จนทำเอาชายหนุ่มที่ปิดบังสถานะของตัวเองไว้ตลอดขำออกมานิดๆ
“แล้วเจอกันนะครับน้องปูน ขอบคุณมากที่ทำให้พี่นึกอะไรดีๆออก”
เมษาเดินจากไปโดยทิ้งคำถามมากมายไว้ในหัวของเขา บอยโค้งให้ชายหนุ่มคนนั้นเล็กๆก่อนจะหันมามองปูนที่ยังคงทำหน้าเหร่อหราแล้วเอ่ยถามในสิ่งที่ทำให้ปูนแทบอยากจะเอาหัวโขกเคาน์เตอร์แรงๆ
“มึงไปรู้จักคุณเมษา เจ้าของโรงแรมตั้งแต่ตอนไหน”
“อะไรนะ!!?”
o22(มีต่อเม้นต์ล่าง) o22
-
ปูนทีกำลังนั่งอยู่บนรถตู้มองออกไปนอกหน้าต่างพลางคิดถึง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากที่เขาโดนบอยดุไปเกือบสิบนาทีเพราะจู่ๆดันตะโกนเสียงดังขึ้นมาจนแขกตกใจกันหมด พวกพนักงานประจำอย่างเขาก็ต้องเข้าไปนั่งฟังการมอบหมายงานด่วนโดยมีคนที่ทำให้เขาต้องโดนดุอย่างเมษานั่งยิ้มชอบใจอยู่ตรงหัวโต๊ะ
‘ผมจะให้คุณปานภัทร์เป็นตัวแทนบาร์เทนเดอร์ ไปออกบูทที่กรุงเทพ’
หลังจากเมษาเอ่ยความต้องการของตัวเองออกมานั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบแม้แต่ปูนผู้ซึ่งถูกพาดพิงก็เช่นกัน แน่ล่ะ เขาเพิ่งย้ายเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นานแต่กลับถูกเลือกให้เป็นตัวแทนไปทำเรื่องสำคัญทั้งที่มีบาร์เทนเดอร์คนอื่นอีกมากที่ทั้งมีฝีมือและมีประสบการณ์มากกว่าเขา แน่นอนว่าการตัดสินใจนั้นมีคนจำนวนหนึ่งคัดค้านรวมถึงบอยที่ให้เหตุผลว่าตัวปูนนั้นยังเด็กและอ่อนประสบการณ์เกินไป แต่เมษากลับบอกว่านั่นก็เป็นหน้าที่ของเจ้านายที่จะต้องเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับลูกจ้างของตัวเอง
“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย มึงทำคนอื่นเครียดไปหมดแล้ว”
บอยที่นั่งอยู่ข้างๆกันพูดขึ้นทั้งที่ยังนั่งหลับตาอยู่ ปูนหันไปมองพนักงานคนอื่นๆที่ต้องมาร่วมจัดบูธในครั้งนี้ด้วยก็ถูกคนพวกนั้นหลบตากันหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอย่างที่บอยว่า หรือข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของปูนและเมษาผู้เป็นเจ้าของโรงแรมที่กระจายไปทั่วกันแน่
“คนอื่นหรือพี่กันแน่ที่เครียด เสียดายล่ะสิที่เด็กนั่นไม่ได้มาด้วย”
“เลิกพูดจาหาเรื่องกูซะไอ้ปูน แค่นี้ยังหัวเดียวกระเทียมลีบไม่พอรึไง”
ร่างใหญ่พูดขู่ออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนะแต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเขายังไม่หยุดพาดพิงถึงพลัส บอยคงจะตัดหางปล่อยวัดเขาจริงๆ ปูนขำเบาๆในลำคอก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“ขอให้ผมได้กัดพี่หน่อยเถอะน่า...ไม่งั้นผมคงบ้าตายแน่ๆ”
“...เพราะต้องกลับไปกรุงเทพอย่างนั้นหรอ”
ปูนไม่ตอบคำถามนั้นแต่บอยก็ได้รับมันผ่านความเงียบไปแล้ว
“แอบหนีไปซะจะดีไหมนะ”
“ถ้าหนีอีกคราวนี้จะไปที่ไหน”
“...ไม่รู้สิ คนอย่างผมจะไปไหนรอด”
บอยและปูนไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งรถตู้ของโรงแรมเลี้ยวเข้ามาในศูนย์ประชุมใหญ่ที่มีการจัดเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศอันเป็นที่หมายของพวกเขา ปูนและพนักงานที่ถูกเลือกมาคนอื่นเดินตามบอยผู้เป็นหัวเรือใหญ่เข้าไปในงานซึ่งสามารถสังเกตเห็นบูธของพวกเขาได้โดยง่าย ร่างเล็กถูกบังคับให้เข้าไปทักทายพนักงานจากสาขาอื่นรวมถึงบาร์เทนเดอร์อีกหลายๆคนที่ถูกเรียกตัวมาให้ทำหน้าที่เดียวกับเขา
ปูนที่อยู่ในชุดบาร์เทนเดอร์พิเศษยืนตกลงหน้าที่และคิวรวมกับคนอื่นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความเบื่อหน่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จดจำรายละเอียดต่างๆได้ขึ้นใจก่อนที่ร่างเล็กจะถูกจับให้ไปยืนประจำที่อยู่ในบูธม็อกเทลเล็กๆที่จัดไว้เพื่อเชิญชวนลูกค้ากลุ่มผู้หญิงและเด็กที่ไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้
“ปูนทำถึงเที่ยงนะ แล้วเดี๋ยวมาเปลี่ยนกัน”
บาร์เทนเดอร์คนหนึ่งบอกกับปูนที่เริ่มทำงานมือเป็นระวิงแต่ร่างเล็กก็ไม่ว่างแม้แต่จะตอบรับ แค่เริ่มงานได้ไม่นานผู้คนมากมายที่หวังจะได้ดีลพิเศษหรือส่วนลดเพื่อจะได้ไปท่องเที่ยวในช่วงซัมเมอร์ที่ใกล้จะมาถึงต่างก็หลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะบูธของโรงแรม The Pilot ที่มีชื่อเสียงมานานจึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ แล้วยิ่งมีการจัดเครื่องดื่มต่างๆคอยให้บริการผู้ที่สนใจเข้ามาชมยิ่งทำให้พนักงานแต่ละคนแทบจะไม่ได้พักหายใจกันเลย
“ไปพักได้แล้วปูน เดี๋ยวพี่จัดการต่อเอง”
“อืม งั้นเดี๋ยวผมค่อยกลับมาช่วยใหม่แล้วกัน”
ร่างเล็กบอกไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเลาะออกไปทางด้านหลังเพื่อที่จะได้ไม่ต้องฝ่าดงลูกค้าออกไปให้เหนื่อยเปล่า เขาถอนหายใจออกมาหนักๆพลางทุบไปตามขาที่รู้สึกล้าเพราะต้องยืนมานานหลายชั่วโมงแต่พอมองไปรอบๆกลับไม่เห็นเก้าอี้แม้แต่ตัวเดียวให้เขาใช้นั่งพัก
“ไปนั่งข้างนอกแล้วกัน”
พอตัดสินใจได้อย่างนั้นปูนก็เดินไปหยิบข้าวกล่องและน้ำดื่มส่วนของตัวเองมาหนึ่งชุดแล้วเดินออกไปนั่งตรงสนามหญ้าเล็กๆที่มีพวกไม้ประดับปลูกอยู่ใกล้กับลานจอดรถซึ่งตั้งอยู่ไกลจากฮอลล์พอสมควร เด็กหนุ่มกินข้าวที่เย็นจนหมดความอร่อยไปเรื่อยๆพลางซึมซับความวุ่นวายของเมื่อหลวงที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมันมาได้สักพัก แต่สุดท้ายกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นเลยสักนิด
“อ๊ะ ปลิวหมดแล้ว!”
เสียงร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่กระดาษเอสี่มากมายจะถูกพัดโดยลมแรงๆจนปลิวว่อนไปทั้งสนาม ปูนซึ่งได้ยินดังนั้นก็รีบวางข้าวส่วนของตัวเองลงแล้วช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังพยายามเก็บสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเอกสารสำคัญด้วยตัวคนเดียว พวกเขาช่วยกันเก็บไปเรื่อยๆจนกระทั่งกระดาษใบสุดท้ายถูกหยิบขึ้นจากพื้นด้วยมือของปูน ผู้หญิงคนนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“ขอโทษนะคะที่รบกวน แล้วก็ขอบคุณมากเลยที่ช่วยเก็บให้”
“ไม่เป็นไรครับ”
“อ๊ะ น้องเมื่อวันนั้นนี่นา!”
ปูนมองสาวสวนตรงหน้าที่จู่ๆก็คว้ามือของเขาขึ้นมาจับไว้แล้วทำหน้าตาราวกับว่ากำลังมีความสุขสุดๆ เด็กหนุ่มที่ยังคงจำเธอไม่ได้ในคราวแรกค่อยๆพินิจใบหน้าสวยเก๋ที่ถูกตบแต่งมาอย่างดีก่อนจะไล่มายังชุดสูทของผู้หญิงที่มีเข็มกลัดรูปตัว N สีเงินติดไว้ตรงอก
“The Next งั้นหรอ...”
“อื้อ ใช่แล้วจ๊ะ พี่เจอเราตอนที่อยู่กับคณิตในลิฟต์ไง จำได้ไหม”
ร่างเล็กถึงบางอ้อทันทีเมื่อหญิงสาวเตือนความจำให้เขาถึงขนานนั้น และมันก็ขุดความกังวลเล็กๆของปูนขึ้นมาด้วย
“เออ ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนแล้วกัน”
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไปสิ”
แขนของปูนถูกรั้งไว้โดยอิงอรที่ส่งยิ้มมาให้อย่างเคยแต่ร่างเล็กกลับรู้สึกว่ามันดูมีพลังอำนาจแปลกๆแบบที่เขาคิดว่าอย่าไปขัดใจสาวเจ้าจะดีกว่า
“คะ ครับ”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องทำท่ากลัวพี่ขนาดนั้นก็ได้ พี่ชื่อิงนะ เราล่ะชื่ออะไร”
“ชื่อปูนครับ”
“ปูนหรอ ชื่อน่ารักสมตัวเลยนะ แล้วนี่น้องปูนมาหาคณิตใช่ไหม”
เด็กหนุ่มเผลอกำมือของตนแน่นเมื่อรู้ว่าคู่กรณีที่ตัวเองเคยไปก่อเรื่องไว้อยู่ในงานนี้ด้วย ปูนรีบส่ายหน้าแรงๆแล้วพยายามขืนตัวออกเล็กน้อยแต่อิงอรกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ
“เปล่าครับ ผมมาทำงานแล้วก็ใกล้จะต้องกลับไปแล้วด้วย”
“ทำงาน? พี่นึกว่าเรายังเรียนอยู่ซะอีก”
อิงอรพูดโดยไม่ได้คิดร้ายอะไรแต่กลายเป็นปูนที่สะอึกไปเอง
“ครับ ผมเป็นบาร์เทนเดอร์ของ The Pilot”
ปูนยิ้มน้อยๆแล้วตอบกลับไปหวังให้อิงอรเลิกสงสัยแล้วปล่อยเขากลับไปทำงานซะที แต่ที่ไหนได้พอได้ยินชื่อโรงแรมนี้ หญิงสาวก็ร้องออกมาดังๆ
“อ้าว งั้นคนที่คุณเมษส่งมาให้ช่วยทางนี้ก็คือปูนน่ะสิ!”
“ฮะ???”
“พอดีฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมพี่เขาติดธุระด่วนเลยมาไม่ได้ แถมไม่มีคนมาแทนด้วย คุณเมษเลยบอกว่าจะให้ยืมคนของเขาไปทำให้”
หญิงสาวอธิบายด้วยท่าทางร่าเริงสุดๆพร้อมกับดึงปูนให้เดินไปพร้อมๆกันแต่พ้นไปเพียงไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็ขืนตัวเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับพี่ คือ...เขาอาจจะหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่ผมก็ได้”
“คนอื่น? แสดงว่ามีบาร์เทนเดอร์หลายคนหรอจ๊ะ แล้วคนที่ชื่อปานภัทร์นี่คือใครหรอ ปูนพอจะรู้ไหม”
พอได้ยินชื่อจริงของตนออกมาจากปากอิงอร ร่างเล็กก็ถึงกับพูดไม่ออก หญิงสาวพอเห็นท่าทางอึกอักของเด็กหนุ่มที่เธอเข้าใจว่ามีความสัมพันธ์พิเศษกับคณิตก็เลยหวังดี ต่อสายถึงนายใหญ่แห่งโรงแรมคู่แข็งเพื่อสอบถามให้ชัดเจน
“คุณเมษนี่อิงอรนะคะ...”
หญิงสาวถามไถ่เมษาโดยมีปูนยืนฟังอยู่ด้วย ร่างเล็กภาวนาให้ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่สุดท้ายสิ่งที่ผิดก็คงเป็นการที่เขามีเมษาเป็นเจ้านายนั่นแหละ
“แทนการลงโทษเรื่องวันนั้น ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ”
“ครับ...”
ปูนที่ใช้โทรศัพท์ของอิงอรคุยกับเมษายอมตบปากรับคำเพราะปฏิเสธไม่ได้ หญิงสาวที่ยืนฟังอยู่ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจโดยที่ไม่ได้ดูเลยว่าคนที่ถูกไหว้วานกำลังทำหน้าราวกับถูกสั่งให้ไปตายอย่างนั้นแหละ
“งั้นเราไปกันเลยดีกว่า ป่านนี้คณิตหัวหมุนไปแล้วแน่ๆ”
อิงอรว่าก่อนจะพาปูนเดินเข้าไปในฮอลล์เดียวกันกับที่บูธของปูนตั้งอยู่แต่บูธของคณิตกลับอยู่ลึกเข้าไปด้านในมากกว่า
“หอมจัง”
ปูนเผลอพูดออกมาเบาๆเมื่อได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยเข้ามาในจมูกในตอนที่พวกเขาเดินไปเกือบถึงที่ บูธที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาไม่ได้ใหญ่โตและมีสิ่งน่าสนใจมากมายอย่างที่โรงแรมอื่นพยายามพรีเซ้นต์ให้ลูกค้าเห็น ห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกิดไปถูกประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่รวมถึงดอกไม้สดที่ถูกนำมาทำเป็นพวงมาลัยและของตกแต่งอันน่าจะเป็นต้นตอของกลิ่นหอมๆที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายในทันทีที่มาถึง
“ช้ามากเลยนะอิง ไปเอาเอกสารถึงไหนเนี่ย”
เสียงทุ้มๆของคนที่ปูนไม่อยากเจอมากที่สุดดังขึ้นทำให้ปูนต้องหันไปมอง คณิตที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีเหลืองนวลตัดกับสีเขียวอ่อนๆโดยรอบพูดกับเพื่อนร่วมงานสาวของตนโดยไม่ทันสังเกตเห็นร่างเล็กที่ยืนหลบอยู่ทางด้านหลัง ปูนเผลอมองร่างสูงสง่าของคนตรงหน้าอย่างเผลอไผลจนอดไม่ได้ที่จะแอบหยิกตัวเองทันทีที่รู้สึกตัวว่าตอนนี้เขาได้เข้ามาอยู่ในแดนของศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อย่าบ่นได้ไหมคะคุณคณิต อิงอุตส่าห์ไปพาน้องมาช่วยนะคะ”
“น้อง? น้องไหน?”
“ก็คนที่คุณเมษส่งให้มาช่วยเราไง ดูสิว่าอิงพาใครมา”
อิงอรยิ้มร่าก่อนจะดันปูนที่ยืนหลบอยู่หลังเธอให้เดินขึ้นมาข้างหน้า ดวงตาเรียวเล็กของคณิตเบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ที่กำลังยืนหลบตาเขาด้วยท่าทางที่ผิดไปจากตอนที่เจอกันครั้งล่าสุด
“นี่นาย...!!!”
“สวัสดีครับป๋า...เจอกันอีกแล้วนะ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
แวะมาอัพให้ก่อนจะหายไปจนถึงสิ้นเดือนคับ ติดงานทั้งอาทิตย์ บวกกับจะแอบเขียนตอนพิเศษพี่กาลให้ได้สักสามตอนแล้วค่อยมาอัพน้องปูนสลับกันไป เพราะแอบลัดคิวพี่เขามาหลายตอนแล้ว (พี่กาลงอน5555) :hao7: ตอนแรกกะจะให้น้องโดนของหนักเลยแต่เอาไว้ก่อนดีกว่าเนอะ เดี๋ยวเด็กมันจะตื่นซะก่อน ตอนต่อไปค่อยให้ป๋าคณิตออกโรงปราบเด็กดื้อ :hao6:
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยได้อัพบ่อยๆเหมือนเคย ชีวิตเช่ยุ่งมาก แต่เดี๋ยวสักเดือนสองเดือนคงจะลงตัวมากกว่านี้ อยากอัพเรื่องใหม่แต่ก็ขอทำเล่มไนท์แมร์ให้เสร็จก่อนแล้วกัน ใครยังไม่ได้จับจองก็เชิญกันได้นะคับ ยิ่งแต่งน้องปูนยิ่งคิดถึงพี่กาล เฮ้อ เอาจริงๆนะ เช่คิดถึงน้องตอนอยู่กับพี่กาลชะมัด (อารัณย์ถึงกับจ้องเขม็ง 555) :katai1:
-
:mew1: :mew1: :mew1:
-
ตอนหน้าจะดุเด็ดเผ็ดเผือกแค่ไหนกันน๊า รอเน้อๆๆ
-
ปูนยังไม่เลิกเล่นสินะ
-
เป็นตอนที่เหมือนไม่มีอะไีรแต่เราแอบเขิน
น้องปูนน่ารักอะโง้ยยย มีแอบมองพี่เขาด้วย หล่ออะดิ๊ :katai3:
-
ปูนแสบซ่าดีจัง :hao7:
-
เล่นแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนหรอกปูน
-
หายไปเลย รอนะคะ :o12:
-
แตกที่ 5
…ใจสั่น...
“สวัสดีครับป๋า...เจอกันอีกแล้วนะ”
น้ำเสียงติดจะออดอ้อนเล็กๆทำให้อิงอรที่ยืนฟังอยู่หน้าร้อนจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นเดียวกับคณิตที่หน้าแดงไปทั้งแทบแต่เป็นด้วยเหตุผลที่ตรงกันข้าม ร่างสูงที่บอกตัวเองอยู่หลายครั้งว่าอย่าไปคิดจองเวรจองกรรมเด็กมันเลย ลืมความตั้งใจเดิมของตัวเองจนสิ้น เขาก้าวยาวๆพรวดเดียวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแต่ยังไม่ทันที่จะได้ปรามาสใคร ฝ่ามือที่เล็กกว่าเขามากก็คว้าหมับเข้าที่แขนล่ำแล้วหัวกลมๆที่รับกันได้ดีกับดวงหน้าหวานก็ซุกเข้าที่อกแกร่งทันที
“ไม่เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงจังเลย”
คณิตจำได้ว่าเขาเคยขำเสียจนท้องแข็งตอนที่เห็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยมันพูดอ้ำๆอึ้งๆเวลาต้องสอบโปรเจคกับอาจารย์ทั้งภาควิชา ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนที่ปกติพูดจ้อเป็นนกแก้วนกขุนทองทำไมเวลาตื่นเต้นถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายเขาต้องมาเข้าใจความรู้สึกนี้ด้วยสถานการณ์ที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย
“เธอ!”
“Oh my gosh!!!!”
อิงอรอุทานออกมาเป็นภาษาอังกฤษที่สำเนียงแทบจะไม่ต่างจากเจ้าของภาษา เด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่ตัวเองคิดว่าน่าเอ็นดูที่สุดหันไปมองหญิงสาวรุ่นพี่ที่กำลังเอาแฟ้มสีสวยปิดปากของเธอไว้แล้วทำตาเป็นประกายอย่างที่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้ดี
“พี่อิงครับ”
“ค่ะ...คะ!!! ว่ายังไงคะน้องปูน!!!”
สิ่งที่หญิงสาวกำลังรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากตอนที่เธอกำลังเปิดของขวัญกล่องใหญ่ อิงอรเอาแต่มองเจ้านายของตนที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆและหนุ่มน้อยที่ยิ้มหวานมาให้เธอสลับกันไปมา ด้วยความฟินที่พองฟูไปทั้งอก
“คือความจริงแล้วผมกับพี่คณิต...”
“น้องปูนกับคณิต!!??”
“เราเป็น...”
“เป็น!!!!!!”
“เป็นพี่น้องกันน่ะครับ”
“กรี๊ดดดดด พี่น้อง!!!.........ห๊ะ!!!????”
อิงอรหลุดกรี๊ดออกมาเบาๆก่อนจะทำหน้าเหวอเมื่อสิ่งที่ได้ยินผิดกับที่คาดไปมากโข เด็กหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงแรงๆด้วยใบหน้าน่ารักราวกับเทวดา แต่ดูเหมือนว่าเทวดาของอิงอรตนนี้จะมีหางแบบซาตานอยู่ด้วย
“ฮ่าๆครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ปูนทำให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่”
ปูนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ถึงจะดูเยอะไปแต่กลับไม่ได้น่าเกลียดเลยสักนิดจากผู้หญิงคนนี้ เขาขยับกายออกห่างจากคณิตที่เหมือนกับลืมวิธีการพูดไปแล้วนิดหน่อย ก่อนจะอธิบายเหตุผลปลอมๆให้อิงอรฟัง
“ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆอะไรหรอกครับ ปูนแค่นับถือพี่คณิตเขามากๆเท่านั้นเอง เพราะถ้าวันนั้นถ้าปูนไม่ได้พี่คณิตคอยช่วยดูแลให้คงแย่แน่ๆ”
เด็กหนุ่มยิ้มหวานเผื่อแผ่มาถึงคนข้างๆที่กำลังเข้าใจสถานการณ์ที่เขาพยายามสร้างได้ แน่นอนว่าสำหรับปูนแล้วเขาทั้งหมั่นไส้และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนที่เคยดูถูกเขาไว้สักนิด แต่ในเมื่อทุกอย่างมันบีบคั้นให้พวกเขาสองคนต้องโคจรมาเจอกันอีกครั้ง ปูนก็ขอเลือกที่จะเป็นมิตรปลอมๆดีกว่าเดินหน้าเป็นศัตรูกับคนที่ได้เปรียบเขาหมดทุกด้าน ทั้งเงินตราและอำนาจ...
“ก็เข้าใจอยู่หรอกค่ะ แต่ว่า...”
อิงอรยังไม่อยากปักใจเชื่อ เพราะถึงแม้คณิตจะเป็นผู้บริหารที่ดีแค่ไหนแต่การเทคแคร์ลูกค้าขนาดที่ว่าแบกกันไปถึงบนห้องนั้นไม่ใช่นิสัยของร่างสักนิด ชายหนุ่มที่ภายนอกดูอ่อนโยนขี้เล่นแต่แท้จริงแล้วยังมีมุมถือตัวอยู่ไม่น้อย แม้จะมีเพื่อนมากมายแต่คนที่เชื่อใจกันมากพอที่จะเรียกว่าเพื่อนแท้ได้กลับมีแค่หยิบมือ
“ปูนผิดเองแหละครับที่ทำเป็นเล่นมากไปหน่อยจนคนเข้าใจผิดไปกันหมด ทั้งพี่อิง ทั้งคุณเมษ แต่ก็นะครับ พี่คณิตเขาไม่ใช่เกย์สักหน่อย...เนอะ”
ปูนว่าก่อนจะหันไปเนอะใส่คณิตที่ทำหน้าบูดไม่หาย จนคนอายุน้อยกว่าทนหมั่นไส้ไม่ไหวเลยยกมือไปหยิกแก้มขาวที่นุ่มกว่าที่คิดนั้นเบาๆ
“ฝากดูงานทางนี้แปปนึงนะอิง ขอผมไปคุยกับ...น้องชายหน่อย”
คณิตที่เงียบอยู่นานหันไปบอกเพื่อนร่วมงานสาวที่ปกปิดความผิดหวังไว้ไม่มิด ฝ่ามือใหญ่ที่แข็งราวกับคีมเหล็กคว้าเข้าที่ข้อมือเล็กอย่างไม่คิดออมแรงแต่ปูนก็ไม่ได้ยี่หระอะไรกับอาการเจ็บที่ได้รับ ร่างสูงลากเขาไปยังด้านหลังของบูธที่มีพนักงานจากโรงแรมต่างๆหลบมานั่งพักกันมากมายรวมถึงบอยที่เพิ่งได้พักทานข้าวกลางวัน ชายหนุ่มกำลังจะตะโกนเรียกบาร์เทนเดอร์เจ้าปัญหาที่หายหัวไปไม่ยอมกลับมาสักที แต่พอเห็นว่าปูนมากับใครเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง
“เจอกันทีไรก็สร้างปัญหาให้ฉันตลอดเลยนะ”
คณิตเปิดฉากพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่ไม่รุนแรงแต่กลับทำให้ปูนรู้สึกกดดันอย่างประหลาด จนเด็กหนุ่มที่ในใจนึกหวั่นเล็กๆต้องทำใจดีสู้เสือตอบกลับไปด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้ง
“แต่ผมว่าเมื่อกี้ผมเพิ่งแก้ปัญหาให้พี่ไปนะ”
“ฉันควรจะขอบคุณเธอรึไงทั้งที่เรื่องทั้งหมดเธอเป็นคนก่อ แล้วก็ไม่ต้องมาตีสนิทเรียกพี่เลย...ไอ้เด็กบ้า”
ว่าแล้วเขาก็ดีดหน้าผากมนนั้นคืนเป็นการแก้แค้นที่ถูกเจ้าเด็กอวดดีลามปามมาหยิกแก้มเขาต่อหน้าลูกน้องมากมายรวมถึงอิงอรที่ยังยืนหาสติตัวเองไม่เจออยู่ตรงนั้น ปูนทำแสร้งทำหน้ามุ่ยทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เจ็บอะไรนักหนา
“จะมาโทษผมคนเดียวก็ไม่ได้นะ ในเมื่อคืนนั้นเราเองก็มีความสุขกันทั้งคู่”
ปูนพยายามขุดเรื่องเก่ามาพูดหวังให้อีกฝ่ายเถียงไม่ออก
“มีความสุขน่ะใช่ แต่มันแค่ทางกายแล้วฉันก็ไม่ได้หวังให้มันเป็นแบบนั้น”
“ก็ทำไปแล้วนี่เนอะ จะพูดให้สวยหรูยังไงก็พูดได้”
ร่างเล็กว่าอย่างไม่ยอมกันจนคณิตคิดว่าต่อให้เขาพยายามอธิบายมากแค่ไหนคนตรงหน้าก็คงจะยืนกรานความคิดของตัวเองอยู่แบบนั้น แม้ใจหนึ่งจะอยากเอาเรื่องมากขนาดไหนแต่สุดท้ายถ้ามันเสียเปล่าเขาก็ไม่อยากเสียเวลาด้วย
“แล้วมาทำอะไรที่นี่ ทำไมอิงถึงบอกว่าเธอจะมาช่วย”
“ก็อย่างที่พี่อิงว่า คุณเมษาบอกให้ผมมา”
“ไอ้เมษงั้นหรอ นายทำงานอยู่ที่นั่นจริงๆสินะ”
คณิตนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดทิ้งไว้ครั้งก่อนก็เข้าใจขึ้นมาแจ่มแจ้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาฉงนมากกว่าในยามนี้คือเมษากำลังคิดอะไรอยู่ถึงส่งเจ้าเด็กนี่ให้มาช่วยงานเขา ทั้งที่ก็น่าจะรู้อยู่ว่าเขาไม่อยากเจอมัน หรือนั่นอาจจะคือเหตุผลก็ได้
“ก็ตามนั้น แล้วหน้าที่ผมตอนนี้ก็คือช่วยคุณดูแลบูธตามที่คุณเมษาสั่ง ถ้าจะกรุณาก็ช่วยปล่อยให้ผมกลับไปทำงานตามเดิมเถอะนะครับ”
ปูนว่าพลางยิ้มหวานๆให้แล้วหมุนตัวกลับไปเพื่อทำอย่างที่ปากว่า แต่เขากลับโดนคณิตหยุดไว้อีกครั้งด้วยมือที่ไม่คิดจะออมแรงเลย
“เดี๋ยวก่อน นายมีเรื่องที่สมควรทำอยู่ไม่ใช่รึไง”
“?...ก็มีสิครับ งานผมไง แต่ตอนนี้ผมไปทำมันไม่ได้ก็เพราะคุณ”
“นั่นก็ใช่ แต่ฉันหมายถึงสิ่งที่เธอทำกับฉันไว้ในลิฟต์นั่นต่างหาก”
สีหน้าของคณิตดูเคร่งขรึมขึ้นมาเหมือนกับผู้ใหญ่ที่กำลังไล่ต้อนเด็กน้อยให้ยอมรับผิดกับสิ่งที่ทำ แต่คณิตคงไม่รู้ว่าเด็กที่เขากำลังไล่ต้อนอยู่นั้นไม่ใช่เด็กแสนซื่อที่จะยอมสิโรราบง่ายๆ
“อ่อ นึกว่าเรื่องอะไร ก็ได้ครับ ผมยอมขอโทษคุณก็ได้ แต่ว่า...คุณก็ต้องขอโทษเรื่องที่ดูถูกผมไว้เหมือนกัน”
ดวงตากลมโตของปูนแข็งขึ้นทันทีที่พูดออกไปแบบนั้น เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดบังเพราะอยากให้คนตรงหน้ารู้ว่าตัวมันไม่ใช่คนเดียวที่มีอารมณ์ความรู้สึก คณิตมองตาของคนที่อายุน้อยกว่าแล้วก็เข้าใจความต้องการของปูนได้เป็นอย่างดี เขาถอนหายใจเบาๆแบบที่ปูนคิดว่าร่างสูงทำไปเพราะอึดอัดใจ แต่หาใช่แบบนั้นไม่เมื่อคณิตกลับพูดคำนั้นออกมาอย่างง่ายดาย
“ขอโทษที่ดูถูกเธอแล้วก็ที่ล่วงเกินเธอไปแบบนั้น”
ร่างเล็กนิ่งอึ้ง เขาไม่คิดว่าชายที่มีศักดิ์ศรีสูงท่วมหัวจะยอมขอโทษเด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าได้อย่างง่ายดาย ปูนอยากจะคิดว่ามันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งแต่ความจริงจังในดวงตาหรี่เล็กคู่นั้นกลับยืนยันคำพูดของร่างสูงได้เป็นอย่างดี
“สำหรับฉันการทำผิดแล้วขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การกระทำที่ควรอายจริงๆ คือคนที่รู้ตัวว่าผิดแต่ไม่ยอมขอโทษมากกว่า”
คณิตพูดหวังให้คนอายุน้อยกว่าได้คิด จริงอยู่ที่เขาไม่ชอบหน้าเด็กนี่เท่าไหร่แต่ก็อดพูดตักเตือนตามประสาคนที่ผ่านโลกมามากกว่าไม่ได้ ปูนพอได้ฟังอย่างนั้นก็สะอึกไป แต่ด้วยนิสัยดื้อรั้นจึงไม่ยอมแสดงท่าทางอ่อนลงให้เลย
“ก็ดี...ส่วนผมก็ขอโทษด้วย แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหม”
ร่างสูงถอนหายใจเมื่อต้องทนฟังคำขอโทษที่ไม่มีความจริงใจเจืออยู่เลยสักนิด ทั้งที่เพิ่งบอกไปหยกๆแต่ดูเหมือนมารยาทบางอย่างก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสั่งสอนกันได้ง่ายๆ คณิตยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมสีเข้มของปูนแรงๆจนคนตัวเล็กร้องฮือออกมาอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะเงียบไปเพราะดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้น
“ถือซะว่าทำบุญแล้วกัน แต่ครั้งหน้าอย่าไปทำแบบนี้กับคนอื่น ไม่ใช่ทุกคนที่จะใจดีอย่างฉันหรอกนะ เข้าใจไหม”
“ใจดีตายล่ะ...”
ปูนพูดกับตัวเองเบาๆแต่คนตัวสูงก็ได้ยินมันอย่างชัดเจนอยู่ดี เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอาในความรั้นและนึกเสียดายหน้าตาน่ารักที่ถ้าหากนิสัยไปในทางเดียวกันได้สักนิด คณิตก็อยากจะยอมรับว่าเขาสนใจในคนคนนี้ไม่น้อย
“ปากดีอย่างนี้ก็ช่วยทำงานให้ดีอย่างปากด้วยก็แล้วกัน ต่อให้เป็นลูกน้องไอ้เมษฉันก็ไม่ปราณีหรอกนะ”
คณิตว่าก่อนจะเดินนำไปทิ้งให้ปูนมองแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มที่ทำให้เขานึกขัดใจอยู่เสมอ พอร่างสูงเดินห่างไปแล้วปูนถึงเพิ่งได้สังเกตเห็นว่าพวกเขาเป็นจุดสนใจของผู้คนแถวนั้นมากแค่ไหน คนตัวเล็กจึงนึกสนุกขึ้นมาอีก ร่างบอบบางของปูนรีบวิ่งเข้าไปหาจนไปหยุดอยู่ข้างๆคณิตที่หันมามองพร้อมเลิ่กคิ้วขึ้น
“ความจริงแล้วป๋าก็น่าจะรู้นะครับ...ว่าผมไม่ได้มีดีแค่ปาก หรือถ้าป๋าติดใจปากของผมจริงๆ...ก็บอกได้นะ เดี๋ยวผมจัดเด็ดๆให้”
ปูนพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่ดวงตาแพรวพราวที่มองไปยังใบหน้าหล่อเหลาและเป้ากางเกงของคณิตกลับทำให้ผู้คนที่แอบยืนมองอยู่โดยรอบหันไปซุบซิบกันเป็นแถบ ร่างสูงที่พอจะรู้ทันความคิดของเด็กหนุ่มบ้างจึงคว้าไหล่บางของปูนเข้ามาโอบไว้ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหู
“อย่าท้ากันแบบนี้เลยเด็กน้อย ถ้าฉันทำขึ้นมาจริงๆ...เธอคงไม่ได้ปากดีไปอีกนานแน่ๆ”
.
.
.
.
.
.
.
อิงอรเอาแต่มองไปยังสองหนุ่มที่หมายปองให้ดองกันไว้ด้วยความเสียดาย แต่ลึกๆในใจเธอก็ยังแอบหวังเพราะหลังจากกลับมาจากคุยกันเพื่อนชายของเธอนั้นก็อาแต่หันไปยิ้มหยอกๆใส่ร่างบางที่ทำหน้างอตลอดยกเว้นตอนที่มีลูกค้าเข้ามาขอให้ชงเครื่องดื่มให้
นึกถึงตรงนี้อิงอรก็รีบโทรไปขอบคุณเมษาที่ยอมส่งบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีอย่างปูนมาให้ The Next ยืมตัว เพราะดูเหมือนลูกค้าที่ได้ชิมม็อกเทลที่ทำจากน้ำสมุนไพรแบบไทยๆเข้าไปต่างก็ติดใจกันทั้งนั้น ตอนแรกอิงอรก็นึกห่วงอยู่เหมือนกันเพราะปูนไม่เคยทำเครื่องดื่มชนิดนี้มาก่อน แต่เด็กคนนั้นกลับเรียนรู้ได้เร็วเกินคาด แค่ได้ชิมเครื่องดื่มบางส่วนกับได้อ่านสูตรที่ที่พนักงานประจำจดไว้ ปูนก็สามารถสร้างสรรค์มันออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ
“น้ำครับพี่อิง ดื่มสักหน่อยนะครับ ผมชงให้พิเศษเลย”
หญิงสาวที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยสะดุ้งน้อยๆก่อนจะยื่นมือไปรับเครื่องดื่มสีสวยมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
“ขอบใจนะจ๊ะ น้องปูนเหนื่อยไหม ขอโทษด้วยนะที่ต้องรบกวน”
“ไม่เป็นไรครับ งานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร”
ปูนว่าไปตามจริง เพราะถ้าเทียบกับบูธของ The Pilot ก็ยังถือว่าห่างชั้น แต่หนึ่งสิ่งที่ปูนเห็นว่าต่างกัน คือลูกค้าของ The Next ส่วนมากจะเป็นพวกลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการอยู่เสมอซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่บอกเล่าความประทับใจในบริการให้บาร์เทนเดอร์จำเป็นอย่างเขาฟังอย่างสนุกปาก
“ว่าแต่น้องปูนเก่งมากเลยนะ มีแต่ลูกค้าชมว่าเครื่องดื่มที่เราทำอร่อยมาก ไม่เสียแรงเลยที่คุณเมษาแนะนำมา”
เด็กหนุ่มยิ้มแหยรับคำชมนั้นเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าสาเหตุที่เมษาจงใจเลือกเขามาช่วยเป็นเพราะอะไร ใบหน้าที่พอยิ้มออกได้บ้างกลับไปบูดบึ้งอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดจะกวนประสาทของผู้จัดการที่ชอบหันมาแกล้งเขาทางสายตาตลอดการทำงาน
“ได้ทำงานกับ The Next ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเหมือนกันครับ อีกอย่างผมก็ได้สูตรทำม็อกเทลใหม่ๆกลับไปเพียบเลย”
“อยากได้มากกว่านี้ไหมล่ะจ๊ะ ย้ายมาทำงานกับพี่สิ”
อิงอรแกล้งหยอดไปโดยที่ใจจริงก็คาดหวังไปตามนั้น เด็กหนุ่มพอได้ฟังก็ยิ้มอ่อนๆ เอาตามตรงเขาก็ชอบบรรยากาศการทำงานเรื่อยๆของที่นี่อยู่เหมือนกันแต่ติดอยู่ที่ผู้จัดการจอมกวนประสาทนั่นรวมไปถึงความจริงข้อสำคัญเกี่ยวกับเจ้าของโรงแรมผู้เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มกับคนที่เขาไม่อยากเวียนไปเจอมากที่สุด
“เดี๋ยวน้องปูนไปพักก่อนก็ได้นะจ๊ะ งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว แต่อย่าเพิ่งรีบกลับล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันก่อนพี่โทรไปขอคุณเมษาไว้ให้แล้วไม่ต้องห่วง”
“เอ่อ แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่จ๊ะ ไปเถอะนะอย่าให้พี่เสียน้ำใจเลย”
หญิงสาวพูดชวนแต่เนื้อความนั้นเหมือนกันการกึ่งบังคับ ปูนพยายามส่ายหน้าปฏิเสธแต่ก็เจอสายตาอ้อนวอนของคนที่อายุมากกว่าเข้าไปเขาก็ถึงกับไปต่อไม่เป็น ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันเขาถึงได้รู้สึกถูกชะตากับคนคนนี้อยู่มาก อาจจะเพราะบรรยากาศรอบๆตัวที่ชวนให้สบายใจเหมือนใครบางคนที่เขารู้จัก
“ก็ได้ครับ...”
ร่างเล็กรับปากจะขอตัวไปบอกหัวหน้าของตัวเองอย่างบอยก่อนเรื่องที่จะขอกลับแยกกัน บอยที่รับรู้เรื่องทุกอย่างจากเมษาแล้วก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพียงแค่ย้ำเตือนว่าอย่าเข้ามาทำงานในวันพรุ่งนี้สายซึ่งพวกเขายังคงต้องประจำอยู่ที่นี่จนกว่างานจะจบ ปูนก็ยอมรับตามนั้นเพราะเอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากอยู่ใกล้ชิดคณิตมากไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนความต้องการของเขามักจะได้ผลที่ตรงกันข้ามเสมอ
“ปูนนั่งรถไปกับคุณคณิตนะจ๊ะ เดี๋ยวเจอกันที่ร้านเลย”
“อะไรนะครับ?!”
เด็กหนุ่มถามออกมาเสียงดังเมื่อจู่ๆหญิงสาวที่ชวนเขากลับพยักพเยิดให้ปูนไปขึ้นรถซึ่งมีคณิตยืนพิงคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล
“พอดีรถตู้มันเต็มน่ะจ๊ะ ไหนจะสัมภาระอีก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งได้ เกรงใจคุณคณิตเขาเปล่าๆ”
“คุณคณิต?”
“อ่ะ ผมหมายถึงพี่คณิตน่ะครับ ผมเกรงใจพี่เขา...”
อิงอรทวงคำพูดของปูนงงๆ เพราะก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเรียกเพื่อนของเธอว่าพี่จนปูนต้องรีบเปลี่ยนคำพูดแทบไม่ทันแม้ว่ามันจะกระดากปากไม่น้อย
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกจ้า พี่น้องกันไม่ใช่หรอ อีกอย่างคุณคณิตเขาก็ใจดีกับปูนจะตาย ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆด้วยนะแบบนี้”
หญิงสาวยิ้มพรายแต่กลายเป็นปูนที่ไม่อยากเชื่อคำพูดนั้น คนใจดีที่ไหนจะไล่ต้อนเขาจะเป็นจะตาย แถมเคยทำมารยาทไม่ดีกับเขาไว้อีก ต่อให้ภายนอกจะหล่อสุภาพขนาดไหนสำหรับร่างเล็กคนอย่างคณิตน่ะ...หน้าเนื้อใจเสือชัดๆ
“จะไปกันได้รึยัง”
คณิตที่คุยโทรศัพท์เสร็จเดินเข้ามาขัดบทสนทนาที่เกี่ยวกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว อิงอรเองพอเห็นดังนั้นก็รีบส่งตัวเทวดาน้อยของเธอถึงราชรถของซาตานหนุ่มแล้วรีบชิ่งขึ้นรถตู้ของโรงแรมไปเพราะกลัวปูนจะเปลี่ยนใจ ร่างเล็กที่ยังไม่ทันตั้งสติได้มองตามรถคันนั้นไปพร้อมกับโอดครวญในใจซึ่งคณิตที่ยืนอยู่ข้างๆก็ดูออก
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า เข้ามานั่งเถอะ”
“...ผมไม่ได้กลัวว่าคุณจะทำอะไรสักหน่อย”
“นั่นสินะ คนที่กลัวควรจะเป็นฉันมากกว่า”
ร่างสูงยิ้มทะเล้นใส่ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนโดยที่ปูนจำใจต้องพาร่างของตัวเองไปนั่งตรงที่ข้างคนขับอย่างเสียไม่ได้ ภายในห้องโดยสารที่ใหญ่โอ่อ่าสมราคามีเพียงเสียงเพลงที่เจ้าของมันเปิดไว้ดังคลอเท่านั้น ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันสักคำแม้ว่าก่อนหน้านี้จะพูดกัดกันมามากมาย
“วันนี้ขอบใจมาก เธอช่วยเราไว้จริงๆ”
ท่ามกลางรถที่ติดและไฟท้ายรถที่ส่องเป็นทางสีแดงยาว คณิตที่เงียบมานานก็เปิดปากพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าคนข้างกาย
“ไม่เป็นไร แค่จ่ายทิปพิเศษให้ผมเยอะๆหน่อยแล้วกัน”
ปูนตอบกลับไปแบบนั้นเพราะไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองมีบุญคุณกับใคร แต่คนฟังกลับตีความไปอีกอย่าง
“...เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นเลยหรอ”
“...?”
“เธอถึงได้มาทำงานแบบนี้”
ร่างเล็กรู้ได้ทันทีว่างานที่คณิตว่าคงไม่ใช่งานบาร์เทนเดอร์ที่เขาทำอยู่แน่ๆ ปูนไม่รู้สึกกดดันกับสิ่งที่คนคนนี้ถามแต่อย่างใดเพราะตั้งแต่เริ่มทำมันมา มีคนถามมันกับเขานับครั้งไม่ถ้วน จนความอับอายเปลี่ยนเป็นชินชา...
“ไม่หรอก ผมแค่พอใจที่จะทำ”
“พอใจที่จะทำ?”
“ใช่ คนพวกนั้นมีความสุข ส่วนผมได้เงิน...ตรรกะง่ายๆของการบริการ ผมพูดผิดที่ไหนกันล่ะ”
ปูนตั้งใจพูดกระทบอาชีพที่ร่างสูงทำอยู่ แม้เนื้อในแล้วมันจะต่างกันมาก คณิตที่ได้ฟังอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาจนปูนต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“เด็กจริงๆเลยนะเธอน่ะ ไม่รู้ว่าจะขำหรือว่าจะอะไรดี”
คณิตเหล่มองปูนนิดๆก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวทุยนั้นจนคนที่ตามความคิดของคนโตกว่าไม่ทันทำหน้ามุ่ย
“อย่ามาขำนะ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความตามที่พูด”
ร่างสูงยักไหล่ด้วยท่าทางที่กวนประสาท ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของคนข้างๆที่เขาคิดว่ามันน่ารักดี
“กวนตีน”
“ก็ไม่ปฏิเสธ”
“ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงต้องทำตัวเหมือนว่ารู้ทุกอย่าง...อวดดีชะมัด”
“คนที่พูดแบบนั้นมันก็อวดดีพอๆกันนั่นแหละ”
คณิตว่าขำๆก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถของร้านอาหารกึ่งบาร์ที่เขาโทรมาจองที่นั่งไว้ให้พนักงานที่เหนื่อยมาทั้งวันได้พักผ่อน เขาเลือกจอดรถไว้ข้างๆรถตู้ของโรงแรมที่บัดนี้ไร้ผู้คนแล้วปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยของตัวเองผิดกับคนข้างๆที่ยังคงนั่งเฉยจนเขาต้องหันไปบอก
"”ลงสิ รีบกินจะได้รีบกลับไปพัก”
“...ผมอยากกลับห้อง”
“กลับทำไม? หรือว่าโกรธที่ฉันว่าเธอแบบนั้น”
“เปล่า...ผมอยากกลับห้องจริงๆ ขอตัวก่อนได้ไหม”
ปูนเอาแต่มองป้ายหน้าร้านไม่กระพริบตา คนตัวสูงกว่าลอบสังเกตอาการที่เปลี่ยนไปของคนที่เมื่อครู่ยังเถียงเขาฉอดๆอย่างไม่ยอมแพ้ด้วยความไม่เข้าใจ
“มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
ร่างเล็กส่ายหน้าแทนคำตอบแต่ว่ามือของตัวเองกลับกำเข็มขัดนิรภัยที่พาดคาดตัวไว้แน่นจนคณิตสงสัย
“ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ลงมาเถอะ ทุกคนรออยู่”
“แต่ผมไม่อยากไป...จริงๆนะ”
เสียงของปูนสั่นโดยที่เจ้าของมันไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งหลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นคณิตก็เงียบไปพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่ร่างสูงจะลุกออกไปจากที่นั่งของตัวเองแล้วทิ้งให้เด็กหนุ่มที่ตัวสั่นเทาอยู่ในรถของเขาแต่เพียงลำพัง ปูนมองแผ่นหลังของคนที่โตกว่ากำลังเล็กลงไปเรื่อยๆด้วยความใจหาย เพราะเขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทิ้งเขาไปโดยไม่รู้ตัว...
“เราต้อง...ไปจากที่นี่”
“...”
“...แต่จะไปที่ไหนล่ะ”
ปูนพูดแล้วหัวเราะออกมาราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองที่ไม่มีที่ไป สองมือที่ยังคงสั่นไหวพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออกแต่มันกลับทำได้ยากยิ่ง ภาพในอดีตและเสียงหัวเราะของผู้คนมากมายดังก้องอยู่ในหูจนร่างเล็กไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้วินาทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาจะได้ไหล ประตูที่ปิดไปเมื่อครู่ก็เปิดออกอีกครั้ง
“แถวนี้มีร้านไหนแนะนำบ้าง”
“...???”
คณิตที่กลับเข้ามานั่งในรถบ่นเบาๆก่อนจะเข้าเกียร์ถอยหลังแล้วขับออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไม...”
ร่างเล็กถามเสียงอ่อยเพราะไม่อาจเรียบเรียงความคิดของตัวเองได้
“ทำไม?”
“ทำไม...ถึงกลับมา”
“ก็เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่จะให้ทุกคนเปลี่ยนร้านด้วยก็คงทำไม่ได้ฉันเลยเข้าฝากเงินไว้กับอิงแล้วออกมานี่ไง ว่าแต่จะบอกได้รึยังว่าจะไปกินร้านไหน ขออิ่มๆอร่อยๆนะ หิวไส้จะขาดแล้ว”
ร่างสูงพูดออกมายาวเยียดก่อนจะขับรถไปตามทางที่ปูนบอก โดยที่ทำเป็นไม่ใส่ใจกับเสียงที่ยังคงสั่นของคนตัวเล็ก ปูนลอบมองใบหน้าด้านข้างของคณิตเป็นระยะก่อนพวกเขาจะมาหยุดอยู่ตรงร้านผัดไทหอยทอดที่ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตแต่กลับมีคนมาต่อคิวรอเป็นจำนวนมาก
“คนเยอะชะมัด”
“ขอโทษ...จะเปลี่ยนร้านไหม”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย เอาร้านนี้แหละ”
คราวนี้ไม่ต้องรอให้เสียเวลา พวกเขาทั้งคู่ลงไปจากรถโดยมีคณิตที่หิวโซตรงเข้าไปต่อแถวอย่างไม่ถือตัวแม้ว่าเสื้อผ้าราคาแพงที่เขาใส่อยู่จะไม่เข้ากับบรรยากาศแถวนี้เลยแม้แต่น้อย ปูนที่เดินตามมาวิ่งไปเอากระดาษจดจากเจ้าของร้านมาเขียนรายการอาหารที่ตัวเองต้องการสั่งไปก่อนจะเดินไปถามคณิตซึ่งสั่งทั้งหอยทอดและผัดไทมาอย่างละหนึ่งจานโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ถ้าไม่อร่อยรับรองว่าฉันเล่นงานเธอแน่ๆ ให้ตายสิ อยากกินคาโบนาล่าของร้านนั้นชะมัด”
คณิตบ่นอย่างไม่จริงจังนักแต่ก็นึกเสียดายที่ไม่ได้ลิ้มรสคาโบนาล่าของร้านโปรดที่ไม่ได้มีโอกาสมากินนานแล้ว แต่คนที่เป็นต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องมายืนต่อแถวเพื่อกินอาหารจากข้างทางแบบนี้กลับรู้สึกผิดอย่างช่วยไม่ได้
“คุณปล่อยผมไว้ตรงนี้ก็ได้นะ กลับไปหาพี่อิงเถอะ”
“แน่ใจนะว่าอยากให้ฉันทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว”
“...”
“เอาเถอะจะสปาเก็ตตี้หรือผัดไทยคงไม่ต่างกันหรอก”
ร่างสูงยิ้มให้คนที่ทำหน้าสลดกว่าทุกครั้งก่อนจะพากันเดินเข้าไปยังโต๊ะเมื่อถึงคิวของพวกเขาทันที รอเพียงไม่นานผัดไทและหอยทอดทั้งสามจานก็ถูกวางลงตรงหน้าของทั้งคู่ คณิตพับแขนเสื้อของตัวเองลวกๆแล้วทานอาหารตรงหน้าโดยไม่ปรุงรสใดๆ ปูนมองคนที่ดูเหมือนจะพอใจกับรสชาติของอาหารข้างทางมื้อนี้อยู่ไม่น้อยด้วยสายตาเหม่อลอย โดยผัดไทของตนไม่ได้พร่องลงเลย
“มองหน้าฉันทำไมล่ะ กินเข้าไปสิ กำลังร้อนๆเลย”
คณิตว่าพร้อมกับคีบหอยแมลงภู่ของตัวเองใส่ลงในจานของคนที่เด็กกว่า ปูนมองเนื้อสัตว์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นเพื่อหนีมันเขาก็เจอเข้ากับดวงตาเป็นประกายของคนที่ทั้งทำตัวร้ายกาจและกวนประสาทอย่างถึงที่สุด
แต่ทันทีที่เขาคีบหอยแมลงภู่ตัวนั้นเข้าปากไป
ก็พบว่ามันทั้งอุ่นและอร่อยกว่าที่เคย...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ไม่มีไรมาก...อยากกินหอยทอด 5555555 :hao6:
สวัสดีคับบบบบบบบบบ หายไปนานมากกกกก ลืมกันไปรึยัง :hao5: นี่แอบหนีงานมาเขียนให้หน่อยนึง ไม่ยาวมากแต่น่าจะฟินเนอะ เช่ว่าหลายคนอาจจะคิดเหมือนเช่ว่าน้องปูนดูหลงพี่คณิตเร็วไปป่าว คือเอาจริงๆสองคนนี้ชอบหน้าตาของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้วคับ แต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน บวกกับน้องมันใจง่าย (นี่แหละประเด็นหลัก) :-[ เลยออกมาเป็นงี้ แต่เชื่อเถอะว่าถึงจะชอบกันเร็วก็ใช่ว่าจะราบรื่น ยังมีอะไรที่คู่นี้ต้องฝ่าฟันกันไปอีกเยอะ มีคนถามหาดราม่าหนักๆด้วย กลางๆท้ายๆเรื่องเลยคับบบบ ไม่ม่ามาก แค่ปวดตับนิดหน่อย ^^ o13
เรื่องนี้อาจจะต่างจากไนท์แมร์มากไปหน่อย แต่ถือว่าเปลี่ยนรสชาตินะคับ เช่อาจจะแต่งแนวนี้ได้ไม่ดีมาก แต่ก็จะพยายาม ส่วนเรื่องงานยังยุ่งไปอีกอาทิตย์ แต่หลังจากนี้จะกลับมาอัพให้ถี่เหมือนเดิมแล้ว รอกันหน่อยนะ^^ :call:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นท์ทุกโหวตที่ถามถึง ใครยังไม่ได้จับจองพี่กาลรีบกันนะคับ เหลือเวลาไม่มากแล้ว :mew1:
-
ปูนมีความทรงจำไม่ดีอะไรกับร้านนั้นล่ะเนี่ย
-
ปูนมีปมอะไรนะ อยากรู้จัง
-
น้องน่ารักกกกก คณิตอบอุ่นได้อีกอะ
ไปกินหอยทอดกัน :katai4:
-
คณิตน่าลากมาก (ลากจริงๆนะ) รอตอนต่อไปจ้า :laugh:
-
แตกที่ 6
…อยากได้...
“ขอบคุณมากนะครับ”
คณิตพูดก่อนจะยื่นของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้กับคนที่สนใจเข้ามาจองที่พักในช่วงฤดูการท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง อันที่จริงร่างสูงไม่เห็นความจำเป็นที่โรงแรมของเขานั้นจะต้องมาจัดแคมเปญจน์ที่นี่เลยสักนิด แต่เพราะการเป็นหนึ่งในเครือข่ายของธุรกิจโรงแรมทำให้คณิตไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ทุกครั้ง แล้วถ้าพูดถึงเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นแล้วล่ะก็...ทางนี้ก็ยังมีอีกเรื่อง
“พี่อิง ให้เอานี่ไปวางไว้ตรงไหนครับ”
“ทางนี้เลยจ๊ะ ขอบใจมากนะ”
ร่างสูงลอบมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่ถือกล่องใส่โบว์ชัวร์ไปวางตรงมุมโต๊ะโดยมีอิงอรคอยชี้กำกับอยู่ด้วยใบหน้าชื่นชมยินดีผิดกับคณิตที่ตีสีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงออกอะไร เขาแสร้งจดจ่ออยู่กับใบลงทะเบียนตรงหน้าทำเป็นไม่สังเกตเห็นสายตาวิบวับของปูนที่มองมาอย่างจงใจพร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองไปด้วย
‘ไอ้เด็กบ้านั่นมันเป็นอะไรของมัน?’
เมื่อคืนคณิตมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำอะไรแปลกๆใส่ปูนไปแน่ๆ หลังจากกินหอยทอดกันเสร็จเขาก็รีบพาปูนกลับไปส่งโรงแรมที่เป็นหนึ่งในเครือของ The Pilot ซึ่งเป็นคนละโรงแรมกับที่เขาพัก แต่เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจช่วยงานเขามาเกือบทั้งวันแถมทำได้ดีเสียด้วยจะปล่อยให้ขึ้นแท็กซี่ไปเองก็คงไม่ได้ แต่พวกเขาก็แทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยตลอดทางยกเว้นคำขอบคุณที่ฝ่ายนั้นมอบให้ในตอนที่ถึงจุดหมาย
คณิตถึงได้ไม่เข้าใจว่าทำไมพอเช้ามาเขาถึงเจอร่างเล็กที่ไม่ได้สวมชุดฟอร์มของโรงแรมคู่แข่งอย่างเมื่อวานมายืนทำหน้าจิ้มลิ้มอยู่หน้าบูธของเขา ครั้นจะโทรไปถามเจ้านายของทางนั้น ไอ้เมษก็ตอบแค่ว่า ‘ฝากด้วยนะครับ’ แล้ววางสายใส่โดยไม่อธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย
“คุณ...มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
คิดไม่ทันขาดคำ(?) เจ้าเด็กเจ้าปัญหาก็เดินเข้ามาถามคณิตด้วยสีหน้าผิดกับตอนที่แอบมองร่างสูงลิบลับ คนที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า แล้วเดินนำปูนมาดูช่อดอกไม้สดเล็กๆมากมายที่จัดอยู่บนพานสีทองอร่าม
“เดี๋ยวเธอช่วยอิงแจกนี่ให้ลูกค้าแล้วกัน พอช่วงบ่ายคนเข้ามาเยอะจะทำกันไม่ทัน ส่วนเครื่องดื่มวันนี้เราจะเสิร์ฟเป็นน้ำลอยดอกไม้คู่กับขนมไทยไม่ต้องเตรียมอะไรมาก แต่ถ้าเธอว่างจะมาช่วยทางนี้ด้วยก็ได้ ทำไหวไหม?”
ปูนพยักหน้ารับก่อนจะหยิบเอาดอกไม้ช่อหนึ่งขึ้นมาดูใกล้ๆอย่างสนใจ โดยมีคณิตคอยมองอยู่ไม่ห่าง แต่เขาก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะมานั่งคิดมากเพราะเป็นอย่างคำที่ร่างสูงว่า พอเลยช่วงพักเที่ยงผู้คนมากมายเข้ามาชมไม่ขาดสาย แม้ว่าห้องพักในซีซั่นนี้จะเต็มไปตั้งแต่เช้าแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวแบบ One Day Trip ที่จัดร่วมกับชุมชนประมงมาเสนอให้ผู้ที่สนใจอย่างต่อเนื่อง
ผู้จัดการหนุ่มยืนอธิบายรายละเอียดให้นักท่องเที่ยวชาวจีนคู่หนึ่งฟังอย่างตั้งใจ โดยมีปูนที่ถึงแม้จะฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องก็ยังคงยืนยิ้มอยู่เคียงข้าง
“เซี่ย เซี่ย หนี่”
ปูนว่าพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ให้กับชาวจีนทั้งสองคนที่รับมันไปอย่างชอบใจก่อนที่รัวภาษาใส่จน ร่างเล็กได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเขินอาย ไม่ใช่เพราะสิ่งที่แขกพวกนี้พูดหรอก แต่เป็นเพราะเขาฟังมันไม่ออกเลยต่างหาก
“ฟังภาษาจีนออกด้วยหรอ”
คณิตถามขึ้นทันทีที่นักท่องเที่ยวสองคนนั้นเดินจากไป ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งแต่ก็ไม่มากนัก
“ไม่ออกเลยสักนิด รู้สึกเหมือนกำลังดูหนังจีนอยู่เลย”
“ฮ่าๆ ฟังไม่ออกแต่ก็ยังพูดขอบคุณกับเขาได้เนี่ยนะ”
“...ผมก็พูดได้แค่นั้นแหละ”
ร่างสูงเผลอยิ้มเอ็นดูคนที่ผิวแก้มแดงระเรื่อเพราะความอายแต่ก็ยังพยายามทำหน้าอวดเก่งใส่เขา จนปูนที่ถูกมองแบบนั้นทำแก้มพองลมนิดๆใส่ก่อนจะก้มหน้าลงไปมองปลายเท้าของตัวเองที่อยู่ห่างจากรองเท้าคัทชูสีเข้มชองอีกฝ่ายไม่มากนักแล้วแอบยิ้มน้อยๆไม่ให้คณิตเห็น
“เอาน่า ของแบบนี้มันฝึกกันได้ ถ้าเธออยากเอาดีด้านงานโรงแรมจริงก็หาโอกาสไปฝึกภาษาที่สามไว้ตั้งแต่เนิ่นๆก็ดี”
คณิตพูดแนะนำไปตามที่คิดเพราะบุคลิกของคนตรงหน้าและความสามารถด้านบาร์เทนเดอร์ที่ลูกค้าชมกันไม่ขาดปากทำให้เขาอยากสนับสนุนปูนอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มที่ได้ฟังอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่โตกว่า
“หรอ แล้วคุณเรียนภาษาจีนมาจากที่ไหนล่ะ พูดซะคล่องเชียว”
“ถ้าภาษาจีนก็ได้เรียนสมัยมหาลัยมานิดหน่อยน่ะ บวกกับเจอแขกชาวจีนทุกวันมันก็เหมือนได้ฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ ภาษาอื่นๆก็เหมือนกัน”
“ภาษาอื่น? แสดงว่าคุณพูดได้มากกว่านี้อีกหรอ?”
“หึ แน่นอนระดับนี้แล้ว”
ผู้จัดการหนุ่มแสร้งทำหน้าขรึมจนปูนหลุดขำออกมา เสียงหัวเราะใสๆเรียกสายตาของคนมากมายให้หันมามองรวมถึงอิงอรที่ลอบสังเกตทั้งคู่มาตั้งแต่ต้น หญิงสาวจุดยิ้มตรงมุมปากก่อนจะแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปนั้นไว้
“ว่าแต่คุณฟังออกไหม ว่าแขกสองคนนั้นเขาพูดกับผมว่าอะไรบ้าง”
“อืม ฟังออกสิ”
“ถ้าอย่างนั้นบอกหน่อยสิ ผมอยากรู้”
คณิตหยุดคิดสักพักแล้วยกมือขึ้นมาใช้นิ้วดีดไปบนหน้าผากมนเบาๆ
“เขาแค่ชมว่าดอกไม้มันสวยดี เอ้าๆ เลิกคุยแล้วกลับไปทำงานได้แล้ว”
ปูนลูบหน้าผากของตัวเองปอยๆแล้วเดินตามคณิตไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก แน่นอนว่าบทสนทนาของทั้งคู่อิงอรที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ได้ยินมันทั้งหมดรวมถึงสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวจีนสองคนนั้นพูดกับปูนก่อนหน้านี้ด้วย
“ทำไมคณิตไม่ยอมบอกน้องเขาไปให้หมดนะ ว่านอกจากชมดอกไม้แล้วแขกยังบอกว่าน้องปูนยิ้มสวยเหมือนดอกไม้ด้วย”
.
.
.
.
.
.
.
ชายหนุ่มยืนมองป้ายชื่อโรงแรมของตัวเองถูกปลดลงจากฉากพร้อมกับอุปกรณ์ตกแต่งต่างๆที่ขนมาเพื่อประชาสัมพันธ์ถูกเก็บกลับขึ้นรถขนของที่เขาให้คนขับมาให้จากชลบุรี
“คุณคณิตให้เอาไปเก็บไว้ที่โรงแรมเลยใช่ไหมครับ”
“ครับพี่ แต่ไม่ต้องรีบขับรถมากก็ได้นะครับ ดึกขนาดนี้ใจจริงผมก็อยากให้ขนไปตอนเช้าอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะเอาของพวกนี้ไปเก็บไว้ที่ไหนก่อน”
“โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกผมเดินทางกลางคืนกันจนชินแล้ว”
ได้ฟังดังนั้นร่างสูงก็พูดขอบคุณคนที่อายุมากกว่าตัวเองอีกครั้งโดยไม่คิดมากเรื่องตำแหน่งที่สูงกว่า พวกเขายืนคุยกันสักพักจนของทุกชิ้นถูกขนขึ้นไปบนรถเรียบร้อยคณิตจึงเพิ่งได้โอกาส ปลดทั้งเนคไทและมาดของนักธุรกิจที่ต้องแบกเอาไว้เหลือเพียงภาพลักษณ์ของหนุ่มวัยทำงานที่เหนื่อยล้าเท่านั้น
“จะค้างสักคืนหรือตีรถกลับเลยดีวะ”
คณิตพูดกับตัวเองขณะที่เดินหมุนกุญแจรถส่วนตัวไปด้วย รถตู้ของโรงแรมต่างๆที่เคยจอดไว้แน่นขนัดบัดนี้กลับเหลือเพียงรถจอดไว้เพียงไม่กี่คันซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือรถของเขาเองที่บอกให้ลูกน้องทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อนแล้วเหลือตัวเองรั้งท้ายไว้เพื่อจัดการเรื่องขนของเท่านั้น ร่างสูงคิดไปเรื่อยๆจนตัดสินใจว่าจะแวะไปหาเพื่อนอย่างรัตติกาลกับนิลเพื่อสังสรรค์กันก่อนกลับชลบุรีดีกว่า ด้วยเพราะความเหนื่อยล้าและหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องแบกรับบางครั้งเขาก็อยากจะดื่มเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนอย่างสมัยเรียนมหาลัยเหมือนกัน
“ช้ามาก”
ยังไม่ทันที่คณิตจะเดินไปถึงรถ เสียงที่บ่งบอกความหงุดหงิดของใครบางคนก็ดังขึ้นโดยที่ชายหนุ่มยังไม่ทันเห็นว่าใครเป็นคนพูด แต่ไม่ต้องปล่อยให้เขาสงสัยนาน ร่างเล็กของเด็กหนุ่มที่คอยมาช่วยเหลือบูธของเขามาตลอดวันก็เดินออกมาจากอีกฝากของรถด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“เธอ? มาทำอะไรที่นี่เนี่ย ทำไมยังไม่กลับไปอีก?”
คณิตถามออกไปด้วยทั้งสงสัยและตกใจ เพราะเขาจำได้ว่าบอกให้ปูนกลับไปพร้อมๆกับอิงอรแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ
“ผม...ตกรถ”
พูดเสร็จแล้วก็ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ กริยาแบบนี้ต่อให้แกล้งโง่ยังไงก็รู้ว่าคนตัวเล็กกำลังโกหก คณิตแกล้งจ้องดุๆกลับไปหวังให้อีกฝ่ายพูดความจริงแต่ดูเหมือนปูนจะไม่ได้มีแค่จมูกอย่างเดียวที่รั้น...นิสัยเอาแต่ใจนั่นก็ด้วย
“แล้วทำไมไม่กลับไปโรงแรม ทีมของเขายังไม่กลับชลบุรีกันไม่ใช่รึไง”
“ก็ใช่ แต่ผมขนของทั้งหมดมาตั้งแต่เช้าแล้ว”
ปูนกลับหลังหันเพื่อให้คณิตเห็นกระเป๋าเป้ที่ตนสะพายอยู่ คณิตที่เห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาเพราะรู้แน่แล้วว่าเด็กนี่คงตั้งใจมาขอติดรถเขากลับไปด้วยแน่ๆ ความจริงการมีเพื่อนร่วมทางเพิ่มมาสักคนก็ไม่เสียหายอะไร แต่ที่ทำให้เขาไม่สบายใจคงเป็นเจตนาของคนตัวเล็กนี่ต่างหาก
“ก็นั่งแท็กซี่ไปสิ เดี๋ยวฉันออกค่ารถให้ก็ได้”
“เงินน่ะผมมี แต่อยากกลับชลบุรีแล้ว...คุณเองก็กำลังจะกลับไม่ใช่หรอ”
“ไม่ ฉันจะอยู่ที่กรุงเทพต่ออีกวันก่อน”
“อ้าว อยู่ทำไมงานก็จัดเสร็จแล้วนี่”
“แล้วยังไง? ฉันจะไปไหนมาไหนมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
คณิตพูดด้วยเสียงที่กระชากเล็กๆเพราะหงุดหงิดที่ปูนมาละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวบวกกับที่เถียงคำไม่ตกฝาก ร่างเล็กที่ไม่คิดว่าจะโดนคนที่เขาเริ่มมองอีกฝ่ายในแง่ดีพูดแบบนั้นใส่ก็เผลอทำสีหน้าตกใจ ก่อนนะเงียบไปทั้งอย่างนั้น คณิตเองก็รู้ตัวว่าพูดกับเด็กคนนี้แรงไปแต่โดยนิสัยเขาเป็นคนไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยากน่ารำคาญอยู่แล้ว ร่างสูงชั่งใจระหว่างอยู่เที่ยวที่นี่ต่อตามแผนเดิมหรือกลับชลบุรีไปพร้อมปูนโดยไม่ได้หยุดพัก เขาคิดพร้อมกับมองใบหน้าหวาดของร่างเล็กไปด้วยจนสุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ...เออๆ ขึ้นรถๆ”
เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเลี่ยงคณิตจึงยอมเอ่ยปากง่ายๆ ปูนพอได้รับคำอนุญาตก็รีบขึ้นไปนั่งในตำแหน่งเดิมที่นั่งมาเมื่อวานทันทีที่ประตูถูกปลดล็อคด้วยรีโมทในมือของเจ้าของมัน คณิตสบถเบาๆอย่างหัวเสียก่อนจะเดินไปเปิดประตูหลังแล้วเอาทั้งเนคไทและเสื้อสูทที่ถือไว้โยนเข้าไปโดยไม่กลัวว่ามันจะยับ แต่กลายเป็นฝ่ายปูนเสียเองที่โน้มตัวไปด้านหลังแล้วช่วยจัดทุกอย่างให้เป็นระเบียบแทน
“กินอะไรรึยัง หิวรึเปล่า”
ร่างสูงเอ่ยถามตามความเคยชินหลังจากที่ขับรถออกมาได้ไม่ไกล ปูนที่ถึงแม้ตอนเย็นจะได้กินของว่างไปบ้างแล้วแต่พอเวลาล่วงมาถึงขนาดนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหิว เด็กหนุ่มมองลอบใบหน้าที่ปกปิดความหงุดหงิดไว้ไม่มิดของอีกฝ่ายก็หยุดคิดแล้วเลือกตอบในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง
“ไม่หิว”
คณิตไม่ได้พูดอะไรกลับมา ร่างสูงทำเพียงเหยียบคันเร่งแล้วประคองพวงมาลัยต่อไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองปูนที่เริ่มหน้าเสีย คนที่ไม่แม้แต่จะเข้าใจการกระทำของตัวเองเอาแต่มองไปบนทางที่โล่งกว่าทุกครั้งด้วยความรู้สึกคับแน่นในอก รู้ดีว่าการกระทำของเขาทำให้คณิตรำคาญแต่ว่า...เขาหยุดมันไม่ได้
“ถ้าง่วงก็หลับไป ถึงแล้วเดี๋ยวปลุก”
คำพูดนั้นเหมือนอาบด้วยมนต์วิเศษ คนที่ถึงแม้จะกำลังรู้สึกแย่อยู่พอเจออากาศเย็นๆเข้าไปบวกกับความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวันทำให้ดวงตากลมโตค่อยๆปรือลงจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก ท่ามกลางความมืดมิดปูนได้ยินเพียงเสียงเพลงที่เจ้าของรถคันหรูเปิดคลอเบาๆไปตลอดทาง และความไม่สบายใจที่ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้เท่านั้น
คณิตที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการขับรถได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนข้างๆพอหันไปดูก็เห็นเด็กเจ้าปัญหาหลับไปตามคำเขาบอก ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อไม่เห็นคนตัวเล็กแผลงฤทธิ์เหมือนกับทุกครั้ง หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงโดนเจ้าตัววีนแตกใส่ไปแล้วแน่ๆ
“มันคงไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า...”
เขาพูดราวกับต้องการปลอบใจตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ปูนทำมันกลับชัดเจนเสียจนคณิตไม่อาจหาเหตุผลใดมาใช้แก้ต่างได้ ร่างสูงบอกตัวเองว่าทำเป็นนิ่งๆไปซะทุกอย่างก็จะผ่านไป พอคิดได้แบบนั้นเขาก็หันมาให้ความสนใจทางตรงหน้าต่อจนกระทั่งวิวรอบตัวเปลี่ยนจากตึกสูงระฟ้ามาเป็นท้องทะเลสีดำที่ไร้แสงอาทิตย์ตกกระทบเหมือนในตอนกลางวัน
คณิตหยุดลงรถใกล้ๆร้านสะดวกซื้อชื่อดังแถวริมหาดที่ยังคงมีนักศึกษาของมหาลัยที่นี่มาใช้บริการกันอยู่หนาแน่นแม้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าแล้วก็ตาม ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ของตัวเองมาถือไว้แล้วลงจากรถไปโดยทิ้งปูนที่ยังคงหลับใหลให้อยู่ในนี้แต่เพียงลำพัง
ร่างเล็กเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูและความวุ่นวายจากภายนอกลางๆ แต่ด้วยเพราะความง่วงทำให้เขายังคงปิดตาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เสียงเพลงที่ยังคงเปิดอยู่ขับกล่อมตัวเองให้จมเดิมเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปเรื่อยๆ โดยลืมไปแล้วว่าตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่ไหน
“นอนหลับสบายไปไหม นายน่ะ”
คราวนี้ดวงตากลมโตของปูนเบิกขึ้นโดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยใดๆในการปลุก สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มเห็นคือสีหน้าเอือมระอาของคนที่เคยนั่งอยู่ข้างๆที่ชะโงกมองมาจากข้างนอกรถ ปูนรีบเอนตัวขึ้นมานั่งดีๆแต่คณิตไม่ได้กลับขึ้นมานั่งข้างในแต่อย่างใด ชายหนุ่มเปิดถุงของร้านสะดวกซื้อที่เข้าไปเลือกหาของกินมาเมื่อครู่แล้วหยิบเอาซาลาเปาหมูแดงลูกใหญ่ขึ้นมากินอย่างสบายอารมณ์
“ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลย ในถุงนี่ของฉัน อยากกินก็ไปซื้อเอาเอง”
ร่างสูงพูดกับคนที่จ้องแป้งนุ่มขาวในมือของเขาตาเป็นมัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่ถามปูนไปตอนแรกคำตอบที่ร่างเล็กให้เขามานั้นมันเป็นคำโกหก แต่ในเมื่อเลือกจะโกหกใส่เขาแบบนั้นเองก็ช่วยไม่ได้ ส่วนปูนที่เพิ่งตื่นนอนก็ลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นของอาหารที่ยั่วยวนชวนให้น้ำย่อยที่สงบมากว่าชั่วโมงกลับมาทำงานของมันอีกครั้ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคณิตด้วยสายตาที่เขาคิดว่ามันดูอ้อนวอนมากที่สุด แต่คนตัวโตกลับทำเป็นเมินไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น
“อยากกิน...”
ปูนกล้าเอ่ยปากเมื่อเห็นว่าคณิตไม่มีท่าทางหงุดหงิดเหมือนเมื่อตอนเขาขอติดรถกลับมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังคงยืนยันที่จะไม่แบ่งของกินให้เขาด้วยการยัดซาลาเปาที่เหลืออยู่ครึ่งลูกเข้าปากไปทั้งหมดให้คราวเดียว ปูนเบ้หน้าน้อยๆเมื่อเห็นการกระทำที่ไม่ห่วงมาดของตัวเองเลยสักนิดของคณิต แน่ล่ะหน้าตาตอนที่ยัดอาหารคำโตเข้าปากไปแบบนั้นมันน่าดูซะที่ไหน
“ขี้งก”
“เออ ก็คนมันหิว”
คณิตพูดก่อนจะหยิบขนมจีบอีกสองไม้ขึ้นมากินอีก คนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เย็นตั้งใจว่าจะกินให้อิ่มแล้วโทรไปลางานกับป๊าขอกลับไปนอนยาวๆสักวัน ชายหนุ่มกินไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจสายตาสอดรู้สอดเห็นของใครต่อใครที่จ้องมองมาทางเขา แต่ใจหนึ่งก็อยากถามเหมือนกันว่าไม่เคยเห็นคนยืนกินขนมจีบด้วยหน้าตาอึนๆรึไง...มองอยู่ได้
“นี่...”
แรงสะกิดที่สีข้างทำให้คณิตสะดุ้งสุดตัว ร่างสูงหันกลับมามองก็พบว่าคนที่สะกิดเรียกเขาไม่ใช่ใครอื่นไกลแต่เป็นคนตัวเล็กที่บัดนี้คลานขึ้นมานั่งบนเบาะคนขับแล้วยื่นหน้าออกมาจากตัวรถจ้องมองมาที่เขาตาแป๋ว
“โอ้ย! อะไรอีก!”
คณิตโอดครวญออกมาเพราะยังตกใจไม่หาย
“อยากกิน”
“ฮะ?”
“ผมหิว...อยากกิน”
ร่างเล็กพูดย้ำอีกครั้งก่อนจะชี้ไปยังขนมจีบไม้สุดท้ายในมือของคนที่ฟาดไม้แรกหมดไปโดยใช้เวลาไม่นาน
“ก็บอกว่านี่ของฉัน อยากกินก็ลงไปซื้อเอง”
“เสียเวลา ผมอยากกินตอนนี้”
“ไม่ได้”
“ใจร้าย”
“เออ โคตรเหี้ยมอะ เพราะงั้นเลิกทำตาลูกหมาใส่ฉันได้แล้ว”
คณิตพูดแล้วก็รีบกินขนมจีบในมือเพื่อยืนยันความเหี้ยมของตัวเอง คนที่หวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนพอเห็นแบบนั้นก็ทำหน้าบึ้งอย่างไม่พอใจแล้วคลานกับไปนั่งในที่ของตัวเองทั้งที่ท้องยังร้องอยู่ ชายหนุ่มเคี้ยวไปด้วยมองหน้าคนตัวเล็กที่ไม่เหลือเค้าความออดอ้อนไปด้วย
“อยากกินก็ไปซื้อสิ อันนี้ฉันกินไปแล้ว”
“ไม่ล่ะ คุณกินไปเถอะ”
ปูนตอบด้วยน้ำเสียงตวัดเล็กๆอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจทำ เอาจริงๆร่างเล็กก็พอดูออกว่าคณิตเอ็นดูรอยยิ้มกับท่าทางใสซื่อของเขาไม่น้อย เลยคิดว่าถ้าทำตัวเป็นเด็กดีใส่ยังไงเขาก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอ ทั้งเรื่องที่ยอมเปลี่ยนจากร้านอาหารสุดหรูแล้วยอมมานั่งกินอาหารข้างทาง หรือว่าการยอมอ่อนให้เล็กๆน้อยที่คณิตมักจะทำให้เขาเสมอทำให้ร่างเล็กอดคิดไปเองไม่ได้
เด็กหนุ่มไม่ได้หันไปมองแต่เสียงฝีเท้าที่ไกลออกไปอีกครั้งทำให้ปูนต้องตระหนักถึงจุดยืนของตัวเองในสายตาของชายหนุ่มคนนี้เสียใหม่ แล้วในขณะที่เขากำลังขบคิดถึงเรื่องนั้นนั่นเอง จู่ๆถุงของร้านสะดวกซื้อแบบเดียวกันก็ถูกยื่นมาตรงหน้าก่อนคนที่เพิ่งกลับเข้ามานั่งในรถจะวางมันลงบนตักบางของคนที่นิ่งอึ้งไป
“กินซะ”
ปูนหันไปมองคณิตด้วยความไม่เข้าใจ ความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากถุงพลาสติกที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นว่าข้างในนั้นคืออะไรแต่มันกลับทำให้ความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในร้านหอยทอดเมื่อตอนนั้นกลับมาสั่นคลอนความเหน็บหนาวในหัวใจของเขาอีกครั้ง
“แล้วที่หลังก็อย่ามาโกหกกันแบบนี้ ทั้งที่บอกว่าตกรถแล้วก็ที่บอกว่าไม่หิว รู้ไว้ซะว่าฉันไม่ชอบเด็กโกหก...นี่ ฟังกันอยู่รึเปล่า”
คณิตหันไปมองคนที่เอาแต่จ้องมองไปยังถุงพลาสติกบนตักของตัวเองอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ได้ บางทีก็มาดี บางทีก็มาร้าย ไหนจะนิสัยที่ทั้งขี้อ้อน เอาแต่ใจแต่กลับเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้ในบางครั้ง สีหน้าของปูนไม่ได้บ่งบอกอารมณ์อะไรมากนัก เหมือนกับท้องทะเลที่สงบนิ่งแต่เราต่างก็รู้ดีว่าภายใต้สิ่งนั้นมันมีเกลียวคลื่นที่พร้อมจะฉุดรั้งคนที่พลัดตกลงไปให้ด่ำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา ความเงียบปกคลุมพวกเขาอยู่สักพักจนกระทั่งมือเล็กๆของปูนค่อยๆหยิบถุงใบนั้นขึ้นมาแล้วเปิดดูของด้านใน
ข้างในนั้นไม่ได้มีของที่พิเศษอะไรทั้งสิ้น ก็แค่ซาลาเปาและขนมจีบแบบเดียวกันกับที่ร่างสูงกินแถมด้วยนมขวดเล็กอีกสองขวดเป็นสินน้ำใจจากคนที่เห็นว่าปูนตัวเล็กเกินไปเท่านั้น
“อยากได้...”
“อยากได้? อยากได้อะไร แค่นั้นมันไม่พอหรอ”
“อืม...ไม่พอ”
“...”
“ผมยัง...อยากได้มากกว่านี้อีก”
:hao6:(มีต่อเม้นท์ล่าง) :hao6:
-
ยังไม่ทันที่คณิตจะได้ทำอะไรใบหน้าหวานของคนข้างกายก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะถูกช่วงชิงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เรียวลิ้นเล็กสอดเข้าไปในโพรงปากของร่างสูงทันทีที่คนตัวโตกำลังจะเอ่ยปากห้าม ร่างกายที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆเคลื่อนจากเบาะนั่งของตัวเองมาก่ายทับอยู่บนตักอุ่นที่ยิ่งทำให้ปูนไม่อาจกักเก็บความต้องการของตัวเองเอาไว้ได้
“อย่าขัดขืนผมเลยนะ”
ปูนผละออกมาแล้วกระซิบเบาๆที่ข้างหู ปากร้อนๆของคนตัวเล็กสัมผัสไล่ไปตามลำคอที่มีเส้นเลือดปูนโปนขึ้นมาจากอาการเกร็ง คณิตพยายามผลักปูนให้ลุกออกไปจากตัวเขา แต่เด็กคนนี้เชี่ยวชาญเรื่องแบบนี้มากกว่าที่เขาคิด ฝ่ามืออุ่นๆที่ลูบไล้ไปตามต้นขาก่อนจะไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่หน้าท้องทำให้อารมณ์ที่เคยสงบดั่งทะเลยามสงบเปลี่ยนเป็นคลื่นน้ำที่ถาโถมเข้ามาจนร่างสูงไม่อาจตั้งรับได้ทัน เสียงครางเบาๆของทั้งคู่ดังขึ้นเมื่อความโป่งนูนทั้งสองเสียดสีกันไปมาผ่านเนื้อผ้า บัดนี้คณิตผู้ที่เคยถูกไล่ต้อนกลับเปลี่ยนเป็นฝ่ายเกี่ยวรัดลิ้นเล็กๆของปูนไว้แทนพร้อมกับใช้มือนวดคลึงไปตามสะโพกผายเพื่อให้ตัวตนของพวกเขาบดเบียดเข้าหากันให้มากยิ่งขึ้น
“อ่ะ! ซี๊ดดดด”
ร่างเล็กร้องซี๊ดออกมายาวๆเมื่อท่อนเนื้อที่แข็งตัวเต็มที่ถูกคนที่พับเหตุผลร้อยแปดของตัวเองเก็บไปเป็นที่เรียบร้อยสัมผัสเบาๆแล้วควักออกมาให้เจอกับอากาศเย็นเฉียบด้านนอก ปูนปรือตามองกลางกายที่ใหญ่กว่าของตนครึ่งต่อครึ่งกำลังสั่นระริกอยู่ในมือของผู้เป็นเจ้าของ คณิตใช้ดวงตาที่คมกริบจ้องมองมายังปูนราวกับต้องการจะหลอมละลายตัวตนของคนตรงหน้า ร่างเล็กที่เข้าใจความต้องการของคณิตดีจึงรีบใช้มือของตัวเองทั้งสองข้างรวบกลางกายของพวกเขาเข้าไว้ด้วยกันแล้วขยับขึ้นลงเป็นจังหวะตามที่อารมณ์เรียกร้อง
“อืมมม เร็วกว่านี้อีก”
“อึก อ๊าาาา เร็วพอไหม อ่ะ ชอบรึเปล่า”
คณิตโน้มใบหน้าของปูนเข้ามาจูบแทนคำตอบทำให้คนตัวเล็กเผยยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เด็กหนุ่มเร่งมือของตัวเองให้เร็วขึ้นเพราะรับรู้ได้ว่าทั้งเขาและคณิตมาไกลเกินกว่าจะดึงเกมให้ยืนเยื้อมากไปกว่านี้ เสียงครางของทั้งคู่ดังระงมอยู่ในพื้นที่แคบๆซึ่งยิ่งทำให้ต่างคนต่างรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันได้อย่างชัดเจน ยิ่งจุดหมายปลายทางเข้ามาใกล้เท่าไหร่ปูนก็ยิ่งเบียดกายเข้าหาคณิตมากขึ้นเท่านั้น ร่างสูงลืมตามองใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขามากเกินไปแต่ถึงอย่างนั้นมือที่สอดประสานกันอยู่ก็ไม่ได้คลายลงเลยจนกระทั่งของเหลวสีน้ำนมจะปะทุออกจากแก่นเนื้อของทั้งสองแทบจะพร้อมๆกัน
“อ๊าาาาาา...”
เสียงหวีดร้องเฮือกสุดท้ายของปูนดังก้องอยู่ในหัวของคนที่จิตยั้งคิดเริ่มจะกลับมา คณิตไม่ได้ผลักปูนออกหรือทำท่าทางรังเกียจ เขาทำเพียงเอี้ยวตัวไปทางด้านหลังเพื่อหยิบเอากระดาษทิชชู่ที่มีติดรถไว้มาใช้ทำความสะอาดทั้งมือของเขาและปูนด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นปูนเสียเองที่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศตรงหน้า
“โกรธผมรึเปล่า”
ปูนเอ่ยถามออกมาหลังจากพาตัวเองกลับมานั่งตรงเบาะข้างคนขับตามเดิม เด็กหนุ่มไม่ละสายตาไปจากใบหน้าขาวสะอาดของคนที่ทำให้เขาหลงใหลในตัวตนหลายๆด้าน
“ไม่โกรธ...แต่หงุดหงิด”
คณิตตอบเสียงนิ่งแล้วหันมาหาปูนที่คว้ามือของเขามาจับไว้ แววตาติดจะออดอ้อนแบบเดียวกับที่ร่างเล็กทำใส่เขาในคืนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกจ้องมองมาในดวงตาของคณิตอย่างไม่คิดจะหลบเลี่ยง
“ขอโทษก็ได้”
“จะขอโทษทำไมในเมื่อเธอไม่ได้รู้สึกผิด”
“....”
“เฮ้อ ช่างเถอะ ถึงเธอจะเริ่มก่อนแต่ว่าฉันเองก็เป็นฝ่ายที่สมยอม จะโทษเธอคนเดียวคงไม่ได้”
ร่างสูงพยายามจัดการกับความคิดและความรู้สึกของตัวเองที่ตีกันวุ่น แน่นอนว่าเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนเช่นกัน การมีเซ็กซ์กับเด็กคนนี้ถึงแม้จะเป็นแค่ภายนอกแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อยติดออกจะพอใจเสียด้วยซ้ำ แล้วปัญหามันอยู่ที่ไหนกัน...
“เธอ...ชอบฉันหรอ”
คณิตถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย เขาไม่ได้เข้าข้างตัวเองแต่ร่างสูงก็เชื่อว่าคนข้างๆคงรู้สึกดีกับเขาอยู่ไม่น้อย เพราะต่อให้เป็นคนที่สามารถนอนกับคนแปลกหน้าเพื่อเงินได้ แต่การกระทำหลายๆอย่างกลับทำให้เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเขาและนั่นไม่ใช่เงินทองแน่ๆ
“ถ้าแค่ชอบ....ก็ใช่”
“...”
“แต่ถ้าเป็นความรัก...ก็ไม่”
ชายหนุ่มไม่แปลกใจกับคำตอบที่ได้รับมาสักนิด ถ้าจะมีอะไรที่ผิดคงเป็นคำถามที่เขาเลือกใช้คำผิดไปหน่อยเท่านั้น หัวกลมๆของปูนเอนซบลงตรงบ่าลาดที่อบอุ่นเสมอของคณิต เด็กหนุ่มหลับตาลงพร้อมกับคิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ
“แล้วเธอต้องการอะไรจากฉัน เซ็กซ์? หรือว่าเงิน?”
“ถ้าพูดกันตรงๆ ก็อยากได้ทั้งคู่...แต่ว่าคุณให้ผมได้มากกว่านั้น”
ดวงตากลมโตของปูนลืมขึ้นก่อนจะจ้องมองใบหน้าของคนที่ตัวเองหลงใหลอย่างไม่คิดปิดบังอารมณ์ใดๆ ริมฝีปากสีชาดของคณิตถูกประทับด้วยกลีบปากนุ่มนวลอีกครั้งแม้จะไม่เร่งเร้าอย่างก่อนหน้า แต่แรงบดคลึงเบาๆที่ชวนให้สบายอารมณ์ทำให้ทั้งคู่พอใจกับรสจูบแสนนุ่มนวลแบบนี้ไม่น้อย พวกเขาคลอเคลียกันอยู่แบบนั้นจนพอใจ ร่างเล็กยอมผละออกมาอย่างนึกเสียดาย แต่พอเห็นดวงตาที่ฉายแววระยิบระยับของคณิตปูนก็คิดว่าตัวเองเดินมาถูกทางแล้ว
“ผมไม่ขออะไรมากหรอก...แค่ช่วยเอ็นดูผมหน่อยด้วยแค่นั้นเอง”
“เอ็นดู?”
“อืม...แค่ทำกับผมเหมือนผมเป็นคนพิเศษ ขอแค่นี้ได้ไหม”
ไม่พูดเปล่า นิ้วเล็กๆของปูนลากไปตามผ้าเนื้อบางบริเวณเหนือหัวใจแล้วไล่ต่ำมาเรื่อยๆจนถึงจุดรวมเส้นประสาทที่พวกเขาเพิ่งร่วมสนุกกันมาเมื่อครู่ คณิตพยายามมองหาเหตุผลในการกระทำและข้อเรียกร้องนั้น แต่คนที่ทำตัวแก่แดดเกินอายุจริงกลับไม่ยอมเผยอารมณ์ใดๆนอกจากความปรารถนาที่ลุกโชนราวกับต้องการจะเผาพวกเขาทั้งคู่ให้มอดไหม้ไปด้วยกัน
“น่า...ถือซะว่าเลี้ยงน้องชายอย่างผมไว้คอยช่วยเหลือกันสักคนก็ได้”
“พี่น้องเขาไม่ทำเรื่องแบบนี้กันหรอกนะ”
“ถ้าไม่เอาพี่น้อง คุณอยากให้ผมเรียกความสัมพันธ์นี้ว่าอะไรล่ะ เอาเป็นป๋ากับปูนเหมือนเดิมดีไหม น่ารักดีนะ ผมชอบ”
ปูนพูดติดตลกแต่คนฟังไม่ยักกะขำเลยสักนิด คนที่ชักจะตามเรื่องทุกอย่างไม่ทันถอนหายใจยาวๆออกมาก่อนจะดีดหน้าผากมนของคนทะเล้นไปอย่างที่ชอบทำ แต่พอปูนทำหน้าบึ้งใส่เขากลับคว้าคออีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วจูบคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในชีวิตเขาไปโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
“ไม่ให้เรียกป๋า ถ้าเธอเรียก...เตรียมโดนเขี่ยทิ้งได้เลย”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
สั้นทั้งตอนและNC :hao7: มาแบบงงๆและปวงๆเช่นเดิมคับ บอกเลยว่าพระเอกนายเอกเรื่องนี้มันไฟกับน้ำมันดีๆนี่แหละ ไม่ใช่แนวเล่นตัวแบบพี่กาลที่กว่าอารัณย์จะได้จิ้มนี่ปาไปค่อนเรื่อง555555 ถ้าถามเช่ว่าน้องปูนชอบคณิตตรงไหน เช่ว่าก็หน้าตานี่แหละคับ คณิตก็ชอบน้องแค่ตรงนั้นเหมือนกัน ทั้งคู่ไม่ได้ถือว่ารักกันเร็วนะ เพราะยังไม่ได้รักกันเลยมากกว่า เป็นสถานะที่ต่างฝ่ายต่างมอบความพอใจให้กันได้ แล้วสุดท้ายเรื่องจะดำเนินไปยังไง อันนี้ก็ต้องติดตามเนอะ :katai3:
เหลือเวลาอีกแค่เดือนนิดๆแล้วนะคับ สำหรับการจองหนังสือ 'Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย' :hao5: ใครที่ยังไม่จองก็จองกันเข้ามา ใครที่ยังไม่ได้โอนก็อย่าลืมนะคับ งานนี้หมดแล้วหมดเลยไม่มีรีปริ้นแน่ๆแล้วดูท่า เพราะมีบ็อกเซ็ตการจะรีปริ้นทีเช่ต้องรวบรวมคนซื้อได้พอสมควร ไม่อยากให้พลาดนะคับ เสียดายทั้งคนซื้อคนขาย มาจับจองพี่กาลไว้นอนกอดกันเถอะนะ ตอนนี้เหลือแต่งตอนพิเศษชาตินิล กับรัณย์กาล แล้วก็ออกแบบบ็อกกับที่คั่นเท่านั้นคับ (ใช้คำว่าเท่านั้นหรอ :o12:) อย่าลืมนะคับ หมดเขต 4ก.พ.59 เท่านั้น ช้าหมดอดนะ ^^
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต และทุกๆการรอคอยมากเลยนะคับ เช่อยากมาอัพให้บ่อยๆแต่ทุกอย่างไม่อำนวยจริงๆ จนกว่าจะผ่านช่วงนี้ไปได้ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะ คิดถึงฝุดๆ :man1:
-
ทำไมเราเหมือนจะเห็นคณิตซ้ำรอยกับพี่กาลยังไงก็ไม่รู้
ไม่เอางั้นนะปูน คราวที่ปล้วก็เจ็บจะแย่ :เฮ้อ:
-
แล้วปูนมีปมอะไรน๊า แล้วแน่ใจแล้วหรอที่จะให้ความสัมพันเป็นแบบนี้
-
เผ็จมากกกกกกกก
แต่ถ้าวันนึงปูนรู้เรื่องคณิตกับกาลขึ้นมาล่ะ?
-
แตกที่ 7
…ข้อตกลง...
เสียงดนตรีแน่นๆและแสงไฟวูบวาบไม่ได้ทำให้คนที่กำลังนั่งจิบเหล้าราคากลางๆอยู่ที่มุมหนึ่งของผับรู้สึกครื้นเครงเลยสักนิด ใบหน้าน่ารักออกอาการไม่สบอารมณ์ปากที่เคยยิ้มพรายก็คว่ำเป็นสระอิขณะที่เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจสายตาของใครต่อใครที่มองมา
“หงุดหงิดชะมัด”
ปูนว่าแล้วสบถออกมาแล้วมองเวลาจากมุมบนสุดของหน้าจอที่บอกเขาว่าวันหยุดของตนกำลังจะหมดไปอย่างว่างเปล่าทั้งที่เวลานี้เขาควรจะมีความสุขอยู่กับสิ่งที่ตัวเองต้องการ...ความสุขที่คณิตควรจะมอบให้กับเขา
นับตั้งแต่ตอนนั้นก็ล่วงเลยมาเกือบอาทิตย์แต่คณิตกลับไม่เรียกเขาเข้าไปหาอีกเลยทั้งที่รับปากกันแล้วแท้ๆ เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวถูกให้มาแต่แน่นอนว่าไม่เคยมีการตอบรับจากปลายสาย ส่วนไอดีไลน์ที่พ่วงมากับสิ่งนั้นก็เหมือนเป็นที่ที่ปูนไปพูดคนเดียวเสียมากกว่า คณิตไม่เคยตอบกลับมา บางข้อความข้ามวันถึงได้เปิดอ่านเสียด้วยซ้ำ นึกแล้วก็อารมณ์เสียมากขึ้นจนต้องหยิบเหล้าตรงหน้าขึ้นมากระดกจนหมด...ทำแบบนี้มันเสียเวลาชะมัด
‘ตอนนี้ผมอยู่ที่ร้าน M คุณว่างมาเจอกันไหม’
ปูส่งข้อความขอนัดเจออีกครั้งแม้ว่ามันจะผิดวิสัยที่เขาทำไปมาก ปูนไม่เคยต้องง้อลูกค้าคนไหนขนาดนี้มาก่อนมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นทำให้เขารู้สึกรำคาญตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ คนตัวเล็กถึงขั้นบอกปัดลูกค้าที่คุ้นเคยกันซึ่งโทรมาจากกรุงเทพเพื่อนัดเขาไปทานข้าวในวันนี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องปฏิเสธไปเพียงเพราะกฎที่ตาแก่น่าโมโหนั่นสร้างขึ้นมา
“ถ้าอยากจะให้ฉันเอ็นดูเธอ เราก็จะเป็นต้องมีกฎกันบ้าง”
ปูนที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อให้เข้าที่หันมามองคณิตอย่างไม่เข้าใจ คนตัวสูงก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปกปิดกายเบื้องล่างหันมาพูดกับคนที่เพิ่งมีกายสัมพันธ์พร้อมกับเช็ดผมที่เปียกชื้นไปด้วย
“กฎข้อแรก...การเอ็นดูเธอของฉันจะต้องไม่ทำให้งานของเราทั้งคู่เสีย”
ไม่ผิดจากที่คิด...ปูนพยักหน้ารับแล้วพูดกับตัวเองในใจเพราะถ้าหากดูจากการทำงานร่วมกันทั้งสองวัน คณิตเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานที่โรงแรมมาก แม้ปากจะบ่นว่าน่ารำคาญแต่กลับไม่เคยปล่อยให้งานแย่ๆผ่านตาไปสักครั้ง
“ข้อที่สอง...อย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉันในที่ทำงาน ทั้งสองข้อนี้ฉันว่ามันดีกับทั้งฉันและเธอ เข้าใจใช่ไหม”
“อ่าฮะ แล้วยังไงอีก”
ปูนถามย้ำเพราะดูท่าความเรื่องมากของคนอายุมากกว่าจะยังไม่หมดแค่นี้ คณิตที่ยังไร้อาภรปกปิดเรือนร่างทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆกับจุดที่ปูนนั่งอยู่ เขายกนิ้วที่เย็นเฉียบไล่ไปตามกกหูและลำคอของอีกฝ่ายทิ้งคราบผู้ชายที่มีความลังเลใจในการนอนกับคนเพศเดียวกัน ปูนมองดวงตาขี้เล่นคู่นั้นแล้วนึกขำในใจ ทีตอนแรกทำเป็นรังเกียจจะเป็นจะตาย แต่พอได้กันครั้งที่สองไปกลับดูคล่องเสียจนน่าหมั่นไส้
“กฎข้อสุดท้าย ระหว่างที่เธอยังต้องการให้ฉันเอ็นดูเธออยู่...ร่างกายนี้อย่ายกมันให้กับใครง่ายๆ”
ร่างเล็กเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ แต่เพราะดวงตาที่ยังคงนิ่งไม่ไหวติงทำให้เขารู้ว่าคณิตหมายความตามที่พูดมา
“คุณคิดมากเรื่องนี้ด้วยหรอครับ”
“ก็ไม่เท่าไหร่ อันที่จริงถึงบอกว่าไม่รับเป็นเงินแต่สิ่งที่ฉันทำก็ไม่ต่างจากคนที่เธอเรียกว่า ‘ลูกค้า’ นักหรอก”
“ก็ถึงบอกไงว่าผมจะเรียกคุณว่าป๋า”
ปูนยิ้มขำคนข้างกายที่ทำหน้าหงุดหงิดเพราะความดื้อด้านของเขา ไม่เห็นจะต้องคิดมากอะไรเลยสักนิด ยังไงตรงนี้ก็มีแค่เราสองคนแท้ๆ
“ฮ่าๆล้อเล่นหรอกน่า ว่าต่อสิครับ”
“เฮ้อ...เอาเถอะจะป๋าหรือลูกค้าก็ช่าง แต่ถ้านั่นหมายถึงการที่เธอจะยอมมีเซ็กซ์กับใครเพียงเพราะต้องการได้บางอย่างกลับมา ขอให้คิดให้ดีๆ”
“...?”
“ฉันไม่ได้ห้ามเธอไม่ให้ทำ เพราะรู้ว่าห้ามไปก็เท่านั้น แต่ฉันอยากบอกให้เธอรู้เหมือนกันว่าถ้าหากเธอยังทำตัวเหมือนกับที่เคยทำมา อีกไม่นานความรู้สึกเอ็นดูที่ฉันมีให้เธอคงจะหมดไปในไม่ช้า”
มือที่กำลังคลึงติ่งหูของปูนเล่นเปลี่ยนมาเป็นลูบเบาๆบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนุ่ม ดวงตาที่ส่องประกายอันเป็นสิ่งหนึ่งที่ปูนชื่นชอบในตัวคณิตมองทอดมาที่ปูนด้วยความเอ็นดูอย่างไม่มีความปรารถนาใดๆมาเกี่ยวข้อง
“ว่ากันตามจริงฉันก็ชอบเธอนะ ถึงจะไม่ใช่ในทางนั้นแต่ก็คงจะโกหกไม่ได้ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะว่าเป็นแบบนั้น...ความรู้สึกนี้คงจะถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ ถ้าฉันรู้สึกว่าเธอห่างไกลจากตัวตนที่ฉันคิดไว้”
“ตัวตนที่คุณคิด?”
“ใช่”
ปูนถามตัวเอง ว่าคนคนนี้คิดว่าเขาเป็นคนยังไง และตัวตนแบบไหนที่คณิตต้องการจากตัวเขากันแน่ คนตัวสูงมองสีหน้าคิดหนักของคนตัวเล็กแล้วหัวเราะในลำคอ จมูกโด่งรั้นฝังลงที่แก้มนิ่มโดยที่ไม่เผื่อเวลาให้อีกฝ่ายตั้งรับ
“อย่าคิดมากเลย เอาเป็นว่าทำตัวดีๆแล้วรอฉันติดต่อไปแล้วกัน”
“ให้ทำอย่างนั้นก็ได้ แต่รายได้ที่หายไปของผมล่ะ”
ร่างเล็กทวงถามในสิ่งที่เขาจะต้องเสียไปหากทำตามกฎสามข้อที่คณิตตั้งขึ้นมา โดยเฉพาะกฎข้อที่สามซึ่งหมายถึงการที่ปูนจะต้องทิ้งงานพิเศษที่ทำเงินให้เขาสูงกว่างานประจำไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จริงอยู่ที่เขาต้องการความอ่อนโยนจากคนตรงหน้า แต่หากความสบายใจไม่ช่วยทำให้สบายกาย มันก็เกินกว่าที่จะยอมรับ
“เรื่องนั้นขอเวลาฉันหน่อย แล้วจะช่วยแก้ปัญหาให้ ระหว่างนี้ก็ใช้เท่าที่มีอยู่ไปก่อนแล้วกัน”
คณิตว่าแล้วลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้ามาแต่งตัวปล่อยให้ปูนทำหน้าบึ้งมองแผ่นหลังของเขาต่อไป รู้อยู่หรอกว่าสิ่งที่ทำมันเห็นแก่ตัว แต่เขาก็ตัดสินใจไปแล้วเช่นกัน คนตัวเล็กลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินไปช่วยคณิตกลัดกระดุมทั้งที่หน้ายังตูมเป็นดอกบัวอยู่ ปูนกลัดไปเรื่อยๆจนถึงกระดุมเม็ดสุดท้ายก่อนจะใช้หัวกลมๆที่มีกลิ่นแชมพูอ่อนๆซบเข้าที่แผ่นอกกว้างอย่างออดอ้อน
“ถ้าผมทำตามกฎทั้งสามข้อได้ คุณจะเอ็นดูผมใช่ไหม”
“อืม ก็ตราบเท่าที่เธอยังต้องการ”
“แล้วถ้าวันหนึ่งคุณเกิดอยากยกเลิกมันขึ้นมาล่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงไม่เดือดร้อนนักหรอกจริงไหม”
“...”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเองก็ดื้อด้านพอๆกับฉัน ถ้าเกิดมีใครคนใดคนหนึ่งอยากหยุดมันขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งกันต่อไป อีกอย่าง...อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่ความรัก เราแค่ถูกตาแต่ไม่เคยถูกใจอีกฝ่าย เอาเป็นว่าตราบใดที่เราทั้งคู่ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความพอใจเล็กๆน้อยๆให้กันอยู่ความสัมพันธ์นี้ก็จะยังคงดำเนินต่อไป”
คณิตอธิบายยาวๆหวังให้อีกคนตระหนักถึงพื้นที่พิเศษที่พวกเขาทั้งสองสร้างมันขึ้นมาร่วมกัน ความสัมพันธ์ที่มีความต้องการเป็นพื้นฐานและมีเวลาเป็นเสาต้นเล็กๆที่ไม่มั่นคงค้ำจุนไว้เท่านั้น ปูนนิ่งฟังอยู่สักพักแล้วจึงยอมพยักหน้าตาม คนตัวเล็กเอื้อมน้าวให้คนตัวโตก้มลงมามอบจุมพิตร้อนให้ตนเป็นการสมท้าย สองลิ้นเกี่ยวรัดดูดดึงราวกับการร่วมกันทำพันธะสัญญาที่มองไม่เห็นให้เกิดขึ้น ณ ห้องพักราคากลางๆในโรงแรมที่ห่างไกลจากชีวิตของพวกเขาทั้งคู่
“เป็นอันว่า...ตกลงตามนั้น”
“หรือว่ามันจะชิ่งกูจริงๆว่ะ”
ปูนนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วอดจะถามตัวเองแบบนั้นไม่ได้ เอาเข้าจริงเขาไม่คิดว่าคณิตจะยอมตกลงด้วยซ้ำ คนหน้าตาหล่อเหลาโปรโฟล์ดีอย่างนั้นคงหาคนดีๆมาสานสัมพันธ์ด้วยไม่ยาก ต่อให้เป็นแค่วันไนท์แสตนหรือแค่ชั่วครั้งชั่วคราวก็คงไม่ขาดมืออะไร จริงอยู่ที่หมอนั่นชอบหน้าตาของเขาอยู่ไม่น้อยแต่คนอย่างคณิตคงไม่บ้าตัดสินใจเรื่องแบบนี้ด้วยเหตุผลตื้นๆเพียงอย่างเดียว
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
ยังไม่ทันที่เขาจะเงยหน้าไปมองเลยด้วยซ้ำ คนที่เดินเข้ามาทักก็ถือวิสาสะจับจองเก้าอี้ตัวข้างที่เคยมีกระเป๋าถือใบเล็กของเด็กหนุ่มวางอยู่ ปูนละสายตาจากมือถือแล้วหันมามองชายคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุพอๆกับเขากำลังส่งยิ้มมาให้ แต่หากมองเลยไหล่กว้างๆนี้ไปหน่อยก็จะเห็นผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มมองมาทางนี้อย่างสนุกสนาน ไม่ต้องพูดให้มากความ ปูนเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังเจอกับอะไร
“มาคนเดียวหรอ”
“แล้วเห็นคนอื่นไหมล่ะ?”
“ก็ไม่เห็นอะ แต่ที่ถามเพราะอยากนั่งด้วย”
ปูนยิ้มมุมปากเมื่อฝ่ายผู้มาเยือนยิงหมัดตรงใส่เขาอย่างไม่อ้อมค้อม นี่แหละนะความแตกต่างระหว่างคนหนุ่มกับคนแก่ ถ้าเป็นลูกค้าที่มีอายุหน่อยกว่าจะเข้าประเด็นได้เล่นอ้อมซะเขาแทบจะลืมปิดปากหาว แต่ถ้าเป็นคนหนุ่มแบบตรงหน้าก็ไม่ต้องลีลาอะไรมากจะเสียก็แต่...
“ผมไม่ฟรีหรอกนะ”
“เฮ้ย คิดตังด้วยหรอ”
คนถามหัวเราะดังๆราวกับมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มีหรือที่ปูนจะดูไม่ออกว่าเสียงหัวเราะนั้นมีเจตนาอะไร...หวังจะมาตลกบริโภคกับเขาแค่คิดก็ผิดแล้ว
“แน่นอน ถ้าไม่มีเงินก็ถอยไปเถอะ ผมนัดลูกค้าไว้”
แต่ลูกค้าที่ว่ายังไม่นัดรับนะ...ปูนพูดต่อแค่ในใจ
“โห อย่างงี้จนๆอย่างเราก็หมดสิทธิเลยดิ”
“ก็ตามนั้น”
“ใจร้ายจังเลยนะ งั้นขอจ่ายเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินแทนได้ไหม”
ร่างเล็กขมวดคิ้วไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาดูต้นทางก่อนจะล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ปูนดูจากมุมที่คิดว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น เม็ดยาสีชมพูทำให้ปูนต้องเบิกตากว้างแต่เพราะคนข้างคว้าคอของเขามากอดไว้ราวกับสนิทสนมกันมานาน อีกทั้งเสียงหัวเราะทุ้มๆและสัมผัสเปียกชื้นตรงข้างหูทำให้ปูนไม่กล้าหันไปมอง
“ว่าไง สนใจไหม”
“...ผมไม่เล่น”
“เอาน่า ตอนแรกใครก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น”
“ขอยืนยันคำเดิม ไปหาคนอื่นเถอะ”
“อย่าเล่นตัวนักสิวะ กูอุตส่าห์ยอมแบ่งของดีๆให้มึงเลยนะ”
สรรพนามที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ปูนรู้สึกอุ่นใจขึ้นเลยสักนิด กลับกันเขาอยากจะหนีไปให้ไกลจากจุดๆนี้แต่เพราะวงแขนที่มากกำลังกำลังกักขังเขาไว้อีกทั้งแววตาที่ดูน่ากลัวทำให้ปูนไม่กล้าร้องกะโตกกะตาก...วันนี้มันวันซวยของเขาจริงๆ
“ปล่อยผม”
ปูนพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ถึงอย่างนั้นชายคนนี้ก็สามารถจับความตระหนกในคำพูดของเขาได้ แขนที่โอบรัดตัวไว้ปล่อยออกแล้วยกขึ้นสูงราวกับยอมแพ้ ร่างเล็กถอนหายใจคิดว่าคนคนนี้จะยอมล่าถอยเพราะสงสารแต่คำพูดต่อมากลับเหมือนมีหมุดนับร้อยเล่มตรึงเขาให้หยุดอยู่กับที่
“เอาเถอะ ไม่บังคับก็ได้แต่จริงๆมึงก็ไม่ได้มีค่าพอให้เล่นตัวเลยนะ”
“...!!!”
“ไหนๆก็ขายตัวอยู่แล้ว ยอมนอนกับกูสักคนจะเป็นไรไป รับรองว่าเด็ดยิ่งกว่าพวกลุงแก่ๆที่มึงรับมันเป็นแขกแลกกับเงินแน่”
ฝ่ามือเล็กบีบกันจนแน่น ชายคนนี้ปรามาสเขาโดยไม่สนใจเลยว่าผู้คนรอบข้างจะได้ยินคำพูดนั้นหรือไม่ แต่ถึงแม้คนอื่นจะไม่ได้ยินความกลัวที่ซุกซ่อนไว้ภายในก็เหมือนเศษตะกอนที่ถูกกวนจนลอยฟุ้ง ปูนเห็นเพียงแค่ปากของคนข้างขยับไปเรื่อยๆ แต่มันกลับไม่เข้าหัวของเขาเลยสักนิด
ในหัวของเด็กหนุ่มมีเพียงคำว่าไม่มีค่าและไร้ซึ่งศักดิ์ศรี
หึ...ไม่ต้องบอกเขาก็รู้อยู่แล้วล่ะน่า
ก็เป็นเขาเองนี่แหละที่โยนมันทิ้งไป...ตั้งแต่วันนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สิ่งเดียวที่ปูนสัมผัสได้คือริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง เรี่ยวแรงกำลังค่อยๆหายไปขนาดที่ว่าโดนไอ้คนไร้มารยาทนั่นจับจูบจับหอมต่อหน้าเพื่อนฝูงเขาก็ไม่อาจต้านทาน แสงไฟที่เคยมองว่ามันเร้าใจกลับทำให้ร่างเล็กรู้สึกคลื่นเหียนเสียจนอยากอาเจียนแต่มันกลับอาเจียนไม่ออก เขารู้สึกลอยคว้างเหมือนกับกำลังอยู่บนรถไฟเหาะขบวนยาว แต่ถ้าถามว่ารู้สึกดีไหมก็ไม่...ไม่เลยสักนิดเดียว
เขาอยากหยุดแล้ว...พอ...พอสักทีเถอะ
:hao5:(ต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
“ปูน!”
สติของปูนถูกดึงกลับมาโดยเสียงทุ้มที่เย็นเฉียบและความเจ็บรอบข้อมือขวา เด็กหนุ่มมองคนที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำหน้าตาทะมึงทึงใส่แล้วบีบมือของเขาให้แน่นขึ้นอีก เขามองไปรอบตัว เขายังคงอยู่ที่ผับแห่งเดิมแต่ท่าทางเหมือนกับกำลังจะเดินไปที่ไหนสักที่ เพราะในมือของเขาอีกข้างกำลังถูกจองจำโดยหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ยุ่งอะไรลุง ผมกำลังรีบ!”
คณิตที่เพิ่งมาถึงขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเมื่อถูกเรียกด้วยคำที่นำล้ำอายุจริงเขาไปมากโข แต่ที่ไม่ชอบใจยิ่งกว่าคือการที่เขาต้องมาเห็นปูนกำลังเดินผ่านหน้าตัวเองไปกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ทั้งๆที่เขาอุตส่าห์บึ่งรถมาหาหลังจากมีโอกาสได้หยุดพักครั้งแรกในรอบสัปดาห์ ร่างสูงหันไปหาคนตัวเล็กหวังจะขอคำอธิบายแต่พอก็ต้องชะงักไปเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติในแววตาของคนตรงหน้า
“ปูน เป็นอะไรไป”
“...”
ร่างสูงเขย่าแขนของคนคุ้นเคยแต่ปูนดันไม่ตอบสนองกลับกันเด็กหนุ่มคนที่เขาไม่คุ้นหน้ากลับออกอาการรนลานแล้วพยายามจะดึงร่างเล็กให้กลับไปยืนข้างตัวแทนแต่ถูกคณิตขวางไว้ได้ คนตัวโตจ้องมองคนแปลกหน้าอย่างกดดันเพราะเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าชักไม่ชอบมาพากล พอดีกับช่วงที่การ์ดของร้านเดินมาแถวนี้พอดี คณิตจึงออกปากเรียกให้เดินมาทางนี้
“คุณครับ มานี่หน่อย!”
ทันทีที่ร่างสูงเรียก เด็กหนุ่มก็รีบปล่อยแขนจากปูนแล้ววิ่งหนีไปทางหลังร้าน คณิตมองตามไปแต่ก็ไม่ได้กะจะวิ่งตามเพราะคนที่เขาต้องให้ความสำคัญมากกว่าตอนนี้คือปูนที่เอาแต่มองมาทางเขาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ
“ปูน เธอได้ยินฉันไหม”
“...”
“โถ่เว้ย!”
พอเห็นท่าไม่ดีคณิตจึงพาปูนออกมาข้างนอกโดยไม่ลืมอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นสั้นๆให้การ์ดของร้านที่เพิ่งมาถึงฟังแล้วปล่อยให้ทางนั้นไปจัดการกันเอาเอง ส่วนเขาตอนนี้กำลังพาปูนมานั่งที่รถของตนที่จอดทิ้งไว้ไม่ไกลจากร้านนัก ขวดน้ำเย็นๆที่ถือติดมาจากโรงแรมถูกเปิดออกแล้วเทลงบนผ้าเช็ดหน้าสีหม่นก่อนชายหนุ่มจะใช้มันเช็ดไปตามใบหน้าและลำคอของที่ยังมึนอยู่
“ดีขึ้นไหม”
“อื้อ เย็น”
ปูนพยายามปัดป่ายสัมผัสเย็นๆที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวออก แต่คราวนี้ก็ได้ร้องออกมาดังกว่าเดิมเพราะคณิตเล่นเทน้ำใส่ฝ่ามือแล้ววักใส่ใบหน้าขาวของคนตัวเล็กเรื่อยๆจนสติของปูนเริ่มกลับคืนมา เด็กหนุ่มมองไปรอบตัวก่อนจะมาหยุดลงตรงใบหน้าขึงขังที่แสดงความเป็นกังวลของคนที่เขาไม่เห็นหน้ามาหลายวัน
“คุณ...”
“ได้สติแล้วใช่ไหม”
ร่างเล็กพยักหน้าตอบรับทั้งที่ความจริงยังคงมึนๆอยู่แต่เพราะขยาดกับน้ำเย็นๆและการไม่ออมแรงของคนตรงหน้ามากกว่า เขาได้ยินเสียงคณิตถอนหายใจก่อนจะรู้สึกได้ถึงผ้าขนหนูนุ่มๆคอยซับไปตามใบหน้าและลำคอเบาๆ
“ผม...เป็นอะไรไป”
“...ไม่รู้ แต่น่าจะโดนไอ้เวรนั่นทำอะไรสักอย่าง”
“...”
“ทำไมไม่ระวังตัวเลยฮะ ถ้าฉันมาช้ากว่านี้เธอจะทำยังไง”
เสียงของคณิตเต็มไปด้วยความตำหนิแต่มันกลับดูน่าฟังเหลือเกินในยามนี้ คนตัวโตถอนหายใจแรงๆอีกครั้งแล้วลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปเก็บผ้าที่ใช้แล้วใส่กระโปรงรถแต่กลับถูกมือที่เย็นเฉียบของปูนรั้งไว้ เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรกลับกันปูนก้มหน้านิ่งไม่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยซ้ำ จากที่เคยหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเอาแต่สนุกไม่ดูแลตัวเองจนเกือบเกิดเรื่องวุ่นวายแต่พอเห็นท่าทางที่แปลกไปชายหนุ่มจึงยอมยืนนิ่งๆแล้วเสียสละมือให้คนตัวเล็กซึมซับความอบอุ่น
จากมุมที่มองไม่เห็น สีหน้าของปูนเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย หนึ่งคือดีใจที่คณิตโผล่มาช่วยเขาไว้ได้ แต่คำพูดดูถูกและอดีตที่ผ่านมากลับย้อนเข้ามาทำร้ายจิตใจคนตัวเล็กได้เป็นฉากๆ เขาที่เคยขอเพียงมือได้กอบกุมเปลี่ยนเป็นเอื้อมคว้าเอวสอบของร่างสูงมากอดไว้โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืน ปูนไม่ได้ร้องไห้ ไม่แม้แต่จะร้องขอความเห็นใจใดๆ เพราะลำพังแค่มีฝ่ามืออุ่นๆคอยลูบหัวเขาเบาๆเหมือนกับตอนนี้ ก็เพียงพอที่เขาจะรวบรวมความแข็งแกร่งกลับมาให้ตัวเองอีกครั้ง
“สบายใจขึ้นรึยัง”
ผ่านไปพักใหญ่คณิตจึงเอ่ยถามขึ้น โดยที่ปูนก็ครางตอบมาเบาๆแล้วยอมผละออกมา เด็กหนุ่มเงยหน้าที่พอมีสีเลือดแดงฝาดให้เห็นขึ้นสบตากับคนที่เข้ามาช่วยไว้ ก่อนจะยิ้มพรายแม้วาจาที่เอ่ยจะสวนทางกัน
“ผมนึกว่าคุณจะฟันแล้วทิ้งอีกรอบซะอีก”
“หมายถึงที่ฉันเงียบไปทั้งอาทิตย์เนี่ยน่ะหรอ?”
“อื้ม”
“ก็คนมีงานมีการให้ทำ ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดมาเที่ยวเล่นได้อย่างเธอ”
คนโดนเหน็บไม่ได้โต้เถียงอะไร ปูนพาตัวเองเข้ามานั่งในรถเต็มตัวแล้วปิดประตูเป็นสัญญาณบอกให้คณิตพาเขาออกไปจากที่นี่ ซึ่งคนตัวสูงก็ทำตามเพราะไม่อยากยืนอยู่ข้างถนนนานๆเหมือนกัน คณิตขับรถไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ปูนไม่คุ้นเคยแต่ ณ วินาทีนี้ปูนไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคณิตจะพาเขาไปที่ไหน
“งานยุ่งมากเลยหรอครับ”
“มาก จะบ้าตายอยู่แล้ว”
“ขนาดที่ว่าไม่มีเวลาตอบไลน์ผมเลย”
“หึ อาม่าส่งสติ๊กเกอร์ไลน์มาฉันยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำ”
แล้วแบบนี้เขาควรดีใจไหมที่อย่างน้อยคณิตก็เปิดไลน์ของเขาอ่าน ปูนนึกขำในใจแต่ก็ไม่ได้พูดจากวนประสาทเพราะไม่อยากให้บรรยากาศดีๆบนรถเสียไป อาการมึนงงที่เคยเป็นค่อยๆหายไปจนหมดอาจจะเพราะกลิ่นอโรม่าหอมๆที่คณิตมีไว้ติดรถทำให้สมองของเขาโล่งขึ้นแทบไม่เหลือความมึนงงแต่ก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งเจออะไรมา
“แล้วนึกยังไงมาหาผมที่นั่นล่ะครับ จะมาก็ไม่เห็นบอกก่อน”
“งานเพิ่งเสร็จพอดี อยากพังสมองแต่ดันมาเจอเธอก่อเรื่องต่อซะได้”
“ผมเป็นฝ่ายถูกกระทำนะ...”
“ไม่รู้สิ ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เธอเองก็ร้ายน้อยซะที่ไหน”
“...”
“หัดระวังตัวซะบ้าง ขอเตือนเลยนะว่าแถวนี้มันเถื่อนพอๆกับผับในกรุงเทพนั่นแหละ เผลอๆอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้ว่ามันทำอะไรกับเธอบ้างแต่ดูจากอาการคงไม่ใช่สิ่งที่หาได้ตามท้องตลาดแน่ๆ”
“ครับ...ผมจะฟังไว้”
“ได้อย่างนั้นก็ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าเธอฟังแล้วคิดตามบ้าง”
“...”
“ดูแลตัวเองหน่อยปูน ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาทิ้งกันง่ายๆ”
ปูนเผลอยิ้มออกมาเพราะคนที่เรียกชื่อของเขาและคำพูดตักเตือนที่ไม่มีใครบอกกับเขามานาน เด็กหนุ่มวางมือของตนทับลงบนมือของคณิตที่จับเกียร์รถไว้ แล้วมองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง
“คิดไม่ผิดจริงๆด้วย”
“...?”
“ขอบคุณนะครับป๋า”
คณิตเคี้ยวฟันแล้วบ่นปูนเรื่องคำพูดที่ใช้เรียกร่างสูงจนมันกลบเสียงดนตรีไปจนหมด เด็กหนุ่มนั่งฟังแล้วพยักหน้ารับมีเถียงไปบ้างตามประสา พวกเขาปล่อยให้เวลาไหลผ่านเช่นเดียวกับวิวรอบข้างที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายล้อรถสีดำก็หยุดลงตรงบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองศรีราชา ซึ่งปูนไม่รู้เลยว่าพวกเขาขับรถกันมาไกลถึงขนาดนี้
“บ้านใครหรอครับ”
“บ้านฉันเอง ลงมาเถอะ”
เจ้าของบ้านชิงลงจากรถไปก่อนแล้วตรงไปยังประตูทางเข้าที่มีไฟเล็กๆสองดวงคอยส่องให้แสงสว่างขณะที่ตัวบ้านส่วนอื่นมืดสนิทเช่นเดียวกับบ้านอื่นๆที่เหมือนกับไม่มีใครอาศัยอยู่เลย
“ฉันซื้อไว้เวลาอยากหลบมาพักน่ะ ไม่ใช่บ้านหลังที่อยู่ประจำหรอก”
“แหม นึกว่าคุณใจปล้ำซื้อบ้านให้ผมอยู่ซะอีก”
“หึ ตลกล่ะ”
ปูนเดินตามคณิตที่เพิ่งเปิดประตูเข้าไป เผยให้เห็นผนังห้องที่ถูกทาด้วยสีเหลืองอ่อนๆชวนให้สบายตาและเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้นยืนยันคำพูดของเจ้าของมันได้อย่างดี เพราะถ้าจะเข้ามาอยู่จริงๆของแค่นี้คงไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เด็กหนุ่มมองโซฟาที่มีผ้าสีขาวผืนใหญ่คลุมไว้กันฝุ่นเช่นเดียวกับโต๊ะและตู้บางส่วน แต่คณิตกลับไม่สนใจที่จะดึงมันออกแล้วเชิญแขกให้นั่งลง ร่างสูงเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านที่ถูกสงวนไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาเท่านั้น
“เฮ้อ เหนื่อยชะมัดเลย”
คณิตว่าก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหลังจากที่ดึงผ้าคลุมออกลวกๆ ปล่อยให้ปูนที่เดินตามมาเป็นคนเก็บพับมันแต่เพียงฝ่ายเดียว ร่างเล็กมองสำรวจห้องนอนเดี่ยวที่การตกแต่งผิดจากห้องรับแขกข้างล่าง เพราะภายในนี้มีสิ่งของหลายอย่างที่คณิตนำมาเก็บไว้ ทั้งโมเดลรถและหุ่นยนต์ประกอบราคาแพง หนังสือที่ถูกวางเป็นชั้นสูง รวมถึงเกมเพลย์ที่เรียกความสนใจจากปูนได้มากที่สุด
“เตรียมน้ำให้ฉันหน่อยสิ”
คนที่นอนฟุบอยู่พูดขึ้นด้วยเสียงที่อู้อี้ไม่เงยหน้าขึ้นจากเตียงด้วยซ้ำ
“น้ำอุ่นหรือว่าน้ำเย็นครับ”
“สองอย่างเลยได้ไหม เฮ้อ เอาเถอะตามใจเธอแล้วกัน”
ปูนยิ้มขำให้คนสองจิตสองใจแต่ก็ยอมหลบไปเตรียมให้แต่โดยดี เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องน้ำขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนโดยมีประตูที่สามารถเปิดถึงกันได้ เขาใช้ฝักบัวฉีดล้างอ่างน้ำสีขาวสะอาดที่ไม่ได้ถูกใช้งานมานานจนเห็นว่ามันใช้ได้แล้วจึงรองน้ำอุ่นพร้อมกับหยดขวดน้ำมันอโรม่ามีใส่ไว้จนเต็มตู้ใบเล็กใกล้ๆกันทำให้ปูนเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตได้อย่างหนึ่งว่า
ป๋าของเขาชอบกลิ่นหอมๆมากแค่ไหน…
ปูนปลดเสื้อผ้าที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นอบายมุขของตัวเองออกจนเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าแล้วใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วลงไปในตะกร้าใบเล็กอย่างถือวิสาสะ เขาเปิดตู้ไม้สานใบใหญ่ออกแล้วควานหาของที่ต้องการ...ทั้งเสื้อคลุมอาบน้ำและผ้าขนหนูสำหรับสองคน
“ป๋าครับ ไปอาบน้ำกันเถอะ”
เด็กหนุ่มแกล้งเย้าด้วยคำเรียกแทนตัวที่คนฟังไม่เคยชอบใจ แต่คราวนี้เขาเหนื่อยเสียจนขี้เกียจจะโต้เถียง คณิตยันกายขึ้นจากเตียงนอนหันมามองปูนที่ปลดอาภรของตัวเองออกเรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คนตัวเล็กช่วยจูงคนตัวโตไปยังห้องน้ำที่อุณหภูมิภายในขึ้นสูงเพราะไอน้ำ ปูนช่วยคณิตถอดเสื้อผ้าออกจนหมดตั้งแต่เข็มขัด เนคไท ถุงเท้า เรื่อยไปถึงเสื้อผ้าและอันเดอร์แวร์สีเข้มโดยที่สีหน้าไม่มีความกระดากอายเลยสักนิด
“ดูเธอจะชินกับการทำแบบนี้นะ”
“แน่นอนครับ คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”
“...”
“เร็วเข้าเถอะ อาบน้ำเย็นก่อนค่อยไปแช่น้ำอุ่นกัน”
ปูนลากคณิตมายืนใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำให้รดตัวเขาทั้งคู่ ร่างเล็กที่ปลดเสื้อคลุมอาบน้ำตัวโคร่งออกจัดการถูสบู่ให้กับทั้งตัวเองและเจ้าของบ้านที่ยืนรอรับบริการต่างๆด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ก็ไม่ได้ผลักไสออกไปแต่อย่างใด ปูนมองสีหน้าเหนื่อยล้าที่คณิตแสดงออกมาแล้วก็นึกสงสาร ที่บอกว่าโหมงานหนักจนไม่มีเวลาคงไม่ใช่เรื่องโกหกเพราะรอยคล้ำใต้ดวงตาทั้งสองเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้เขาเลิกที่จะตัดพ้อและหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาทวงถามกัน
“ง่วง”
คนที่ยืนนิ่งเป็นรูปสลักพูดขึ้นด้วยดวงตาที่แทบจะปิดสนิท ปูนที่เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะลั่น อาบน้ำให้คนมาก็มากแต่ไม่ยักจะเคยมีใครกล้าหลับทั้งๆที่ฟองสบู่ยังฟอกเต็มตัวอย่างนี้เลยสักคน
“ฮ่าๆ อดหน่อยหน่อยนะครับ จะเสร็จแล้ว”
“นอนเลยได้ไหม”
“แช่น้ำอุ่นหน่อยดีกว่า ไหล่คุณตึงมากเลยนะรู้ไหม”
“รู้ แต่โคตรง่วง ตอนนี้ฉันเห็นเธอมีแปดหน้าแล้ว”
“ขนาดนั้นเลย”
ปูนยิ้มขำขณะที่เปิดน้ำอีกครั้งเพื่อไล่ฟองสบู่ออกจากตัวของเขาทั้งสอง คณิตที่แทบจะหลับตาเดินกลับหลังหันให้ปูนขัดหลังของเขาเป็นอย่างสุดท้ายจนกระทั่งหันไปเห็นอ่างน้ำที่เขาเลือกมันด้วยตัวเองถูกเติมเต็มด้วยน้ำอุ่นซึ่งส่งกลิ่นหอมของส้มอ่อนๆพอให้ผ่อนคลายไม่เวียนหัว
“อ้าว เตรียมน้ำอุ่นไว้แล้วนิ”
“ครับ แต่ถ้าคุณง่วงอาบแค่นี้ก็พอ”
“...เสียดายของ ไหนๆแล้วลงไปแช่สักหน่อยก็แล้วกัน”
ร่างเล็กเลิ่กคิ้วให้คนที่เปลี่ยนใจไวยิ่งกว่าอะไร ร่างกายกำยำที่ไร้ฟองสบู่เดินไปที่อ่างน้ำแล้วหย่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าลงไป ทันทีที่กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานอย่างหนักมาทั้งอาทิตย์สัมผัสกับความร้อนที่พอดี คณิตก็ส่งเสียงครางทุ้มๆออกมาอย่างชอบใจ ปูนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รีบพาร่างของตัวเองไปลงอ่างตามแต่เขาเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงขอบอ่างใกล้ด้านที่คณิตนอนพิงอยู่
“เอาหัวมานี่สิครับ เดี๋ยวผมนวดให้”
คณิตยอมเอนหัวไปหาปูนแต่โดยดี ก่อนจะหลับตาลงแล้วรู้สึกถึงสัมผัสอันแผ่วเบาที่นวดวนอยู่แถวขมับแล้วไล่ไปตามลำคอจนถึงหัวไหล่ทั้งสองข้าง
“อ่า...อย่างนั้นแหละ”
“นี่เป็นผู้จัดการโรงแรมหรือจับกังกันแน่ ไหล่แข็งมากๆเลย”
“นั่นสินะ เป็นจับกังที่เงินเดือนเท่ากับผู้จัดการล่ะมั้ง”
ปูนนั่นฟังคณิตบ่นเรื่องที่ทำงานไปเรื่อย แม้จะไม่ได้อยากรู้สักนิดแต่เด็กหนุ่มก็มีมารยาทพอที่จะไม่พูดขัด ดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มสีแดงสุขภาพดีที่ขยับไปเรื่อยอย่างไม่รู้เบื่อ พอเมื่อยก็มีก้มลงไปหอมแก้มที่เริ่มมีไรหนวดขึ้นมาจางๆบ้างจนคณิตที่เคยสะดุ้งเมื่อถูกผู้ชายสัมผัสเคยชินไปเสียแล้ว
“แล้วที่มึนๆหายดีรึยัง”
เด็กหนุ่มที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการจับเส้นตรงไหล่หันมามองคนถามด้วยความสงสัย แต่ยอมตอบไปแต่โดยดี
“หายตั้งแต่ในรถแล้วครับ ยาคงไม่ได้แรงอะไรมาก”
“พูดแล้วก็น่าโมโห น่าพาตำรวจมาลากคอมันเข้าคุกให้หมด”
“โกรธแทนผมหรอ”
“เปล่า ฉันกลัวว่ามันจะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีกต่างหาก”
“ก็นะ”
ปูนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ถึงแม้จะอ่อนโยนกับเขาผ่านทางการกระทำอยู่ปากแต่เรื่องที่จะให้พูดออกมาเขาก็ทำใจได้แล้ว
“ที่หลังจำไว้นะ ว่าอย่าไปที่แบบนั้นคนเดียวอีก”
“ตลกน่า ผมไม่ใช่เด็กนะ”
“รู้ว่าโตแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าต่อให้เป็นผู้ใหญ่ก็พลาดได้เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปเป็นเพื่อนผมสิ”
“ไม่ล่ะ ฉันมันเลยวัยที่จะไปเที่ยวในที่แบบนั้นแล้ว”
ที่แบบนั้นที่ว่าสำหรับคณิตคือผับที่มีวัยรุ่นมาเต้นกันเป็นกุ้งโดนน้ำร้อนลวก ถ้าเป็นสมัยมหาลัยสถานที่อโคจรแบบนั้นคงเป็นเหมือนสวรรค์สำหรับเขาอยู่หรอก แต่ตอนนี้ขอเป็นไนต์คลับเงียบๆให้นั่งจิบไวน์ชิลๆไปจะดีกว่า
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมมันว่างนิไม่รู้จะไปทำอะไร รับลูกค้าเหมือนเดิมคุณก็ไม่ให้ทำ”
ปูนเถียงกลับไปแล้วลุกขึ้นเพื่อลงไปแช่น้ำกับคณิตที่ขยับเข้าไปนั่งชิดอ่างเพื่อให้มีที่ว่างเหลือพอสำหรับคนตัวเล็กให้นั่งลงตรงระหว่างขาเขา
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ไม่ต้องห่วง ฉันมีทางออกให้เธอแล้ว”
“ทางออก?”
“ใช่”
คณิตคว้าช่วงเอวของคนตรงหน้าแล้วดึงเข้าหาตัวจนส่วนล่างแนบชิดกัน คางแหลมเกยบนไหล่ขาวมองส่วนอ่อนไหวของปูนผ่านสายน้ำแล้วหลับตาลงเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ขึ้นสูงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะง่วงนอนเต็มที แต่เป็นเพราะความตั้งใจที่ไม่เคยบอกให้ปูนรับรู้ซึ่งเขาจะไขว้เขวจากมันไปไม่ได้
“ฉันจะให้เธอมาทำงานที่โรงแรมกับฉัน”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
มาช้ายังดีกว่าไม่มาเนอะ สอบเสร็จแล้วแต่เช่ยังติดเคลียร์รูปเล่มไนท์แมร์อยู่อาจจะยังลงให้ถี่ไม่ได้นะครับ :z13: (อันนั้นก็เขียนตอนพิเศษได้ยากเหลือเกิ๊นนนนนน) เนื้อเรื่องตอนนี้ออกแนวเรื่อยๆ มีปูปมน้องปูนนิดๆ แต่ยังไม่จัดดราม่าหนักๆ มีคนเริ่มตั้งข้อสังเกตแล้วเรื่องนิสัยน้อง เดี๋ยวจะเห็นกันนะคับว่าจากเคยแก่นๆ ปูนจะว่าง่ายขึ้นเหมือนตอนอยู่กับพี่กาล แล้วเรามาคอยดูกันว่าป๋าคณิตจะว่ายังไง (คือต้องถามเช่เนี่ยแหละว่าจะเอายังไงดี5555) :call:
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ เอาตรงๆนั่งอ่านเองรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเรื่อยเฉื่อยจังเลย 5555 :เฮ้อ: ไม่ใช่แนวเช่เลยอะ แต่ก็แต่งไปสนุกไปนะ อาจจะไม่มีอะไรให้ตื่นตาแต่ท้ายเรื่องเราค่อยมาตระการตากันดีกว่า รักนะกุ๊กๆ อย่าลืมจองหนังสือเค้าเข้ามากันนะ <3 :katai4:
-
ดีนะที่ป๋าของปูนไปเจอพอดี ไม่งั้นไม่รู้ว่าน้องจะเป็นไงบ้าง
-
ป๋าของปูนนี่ดูอบอุ่นดีจัง :กอด1:
-
ป๋าน่ารักขึ้นมาบ้างแล้วปูนน่ารักขี้อ้อนจริงๆ
-
เกือบไปแล้วปูน
ป๋าคณิตดูแลน้องดีมากกกกกกกก :hao6:
-
เอาอีก อยากอ่านต่ออ่า สนุกมากๆเลยค่ะ
ป๋านะป๋า เป็นห่วงปูนก็บอกมาเถอะ ทำเป็นปากแข็งนะ
-
:mew1:
-
ป๋าเริ่มหวงละซิ
-
เขินๆๆ ป๋าปูนน่ารักมากกกกกก :ling1:
-
ปูนน่ารักมากเลยอ่ะ ป๋าก็ละมุนสุดๆ แต่ก็สงสารปูนนะ
อยากรู้จริงๆว่ามีปมไร มาต่ออีกเร็วๆเลยน้า รออ่านอยู่~
-
แตกที่ 8
…ทดลอง...
“ไม่!”
คณิตถอนหายใจยาวๆโดยที่ไม่คิดจะหันไปมองทางต้นเสียง เพราะนักมวยกางเกงน้ำเงินซึ่งเป็นตัวละครของเขาที่กำลังรัวหมัดอยู่บนหน้าจอเพิ่งถูกนักมวยกางเกงแดงหุ่นล่ำของปูนถีบเข้ากลางลำตัวจนลอยไปตกอีกฟากจนร่างสูงรีบรัวนิ้วตอบโต้ไปแทบไม่ทัน แต่สุดท้ายสิ่งที่คณิตได้ยินก็คือเสียงหัวเราะในลำคออย่างสะใจของร่างเล็กและเสียงร้องครวญครางของตัวละครฝั่งตนเท่านั้น
กากสัด!
“ยังจะแข่งอีกหรอ ยอมแพ้ไปไม่ดีกว่ารึไงครับ”
ปูนว่าพลางยักคิ้วกวนประสาทไปให้เล่นเอาคนที่ถูกปลุกมาเล่นเกมแต่เช้าทั้งที่อยากนอนยาวถึงบ่ายปวดหัวตุ๊บๆไปถึงแก่น ให้ตายสิ! ไอ้เด็กคนที่ออดอ้อนออเซาะเขาเมื่อวานมันตกส้วมตายไปแล้วใช่ไหม!
“เธอนั่นแหละ เลิกเฉไฉแล้วมาทำงานกับฉันซะดีๆ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ทำ”
“แล้วทำไมถึงไม่ทำ”
“ก็ไม่อยากทำ แค่นั้นแหละ”
ร่างเล็กเฉิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้แล้วกดปุ่มเพื่อเริ่มเกมต่อไปโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของคณิตสักนิด จนแล้วจนรอดร่างสูงก็ต้องมานั่งแข่งเกมต่อสู้กับปูนไปเรื่อยๆจนคนตัวเล่นบ่นว่าหิวข้าวนั่นแหละถึงจะยอมหยุด แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาเจ้าตัวก็ยังคงยืนยันอย่างนั้นโดยที่ไม่บอกสาเหตุใดๆ
‘ขอปฏิเสธครับ ล้างตัวแล้วเข้านอนกันเถอะ’
เมื่อคืนหลังจากที่บอกไปปูนก็ตอบกลับมาแค่นั้นก่อนจะเดินขึ้นจากอ่างไปล้างตัวโดยที่ไม่รอเขาสักนิด กว่าเขาจะจัดการตัวเองเสร็จเจ้าเด็กเจ้าปัญหาก็ล้มตัวนอนบนเตียงหลับปุ๋ยไปเรียบร้อย คณิตไม่เข้าใจว่าทำไมปูนถึงปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนั้น เขารึอุตส่าห์อธิบายถึงผลประโยชน์ที่เจ้าตัวจะได้ ทั้งค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สูงไม่แพ้กับที่ทำงานเก่า รวมถึงคำอนุญาตจากไอ้เมษที่ยอมให้ปูนมาทำงานกับเขาได้หากที่ The Pilot ไม่มีงาน รวมๆแล้วหากปูนทำตามที่เขาว่าร่างเล็กจะได้เงินจากทั้งสองทีตกเดือนละเกือบสามหมื่นบาท ถ้าไม่ใช่เพราะโง่...นั่นก็แปลว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง
“ถามจริง เธอมีปัญหาอะไรกันแน่ถึงได้ปฏิเสธฉัน”
คณิตเอ่ยปากถาม (อีกครั้ง) ก่อนจะตักข้าวไข่เจียวคำโตเข้าปาก ดวงตาเรียวรีจ้องมองไปคนที่กำลังเทซอสพริกใส่จานของตัวเองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ จนปูนต้องวางขวดซอสในมือลงแล้วกอดอกทำท่าทางดื้อรั้น
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่อยากทำ ทำไมคุณต้องมาบังคับผมด้วย”
“เพราะมันดีกับตัวเธอ...แล้วก็ดีกับโรงแรมของฉัน”
“...”
“ถ้าเธอมาทำงานกับฉัน เงินที่เธอจะได้มันคงมากพอที่เธอไม่จำเป็นต้องไปทำงานพิเศษแบบนั้นเพิ่ม บวกกับตอนนี้ที่โรงแรมของฉันกำลังต้องการพนักงานดีมีฝีมือซึ่งความสามารถของเธอก็เข้าตาฉันพอดี”
คำชมเรื่องความสามารถทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกภูมิใจลึกๆแต่กลับไม่แสดงอาการใดๆออกไป เพราะเขามีเหตุผลที่ตอบรับคณิตไม่ได้แม้ว่าข้อเสนอจะดีกว่านี้มากแค่ไหน ทั้งเรื่องของตัวเขาเอง...และเรื่องของรัตติกาล
“เอาจริงๆนะคุณ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโรงแรมนั่นสักเท่าไหร่”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความตามนั้น ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากจะเข้าไปที่โรงแรมนั้นเลยสักนิด ถึงต่อให้คุณเสนอเงินให้ผมมากกว่านี้มันก็เป็นไปไม่ได้”
น้ำเสียงจริงจังของปูนยืนยันคำพูดของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่มันกลับยิ่งสร้างความสับสนให้คณิตมากขึ้นไปอีก
“ฉันไม่เข้าใจ ถ้าเธอบอกว่าปัญหาของเธอคือการทำงานกับ The Next แล้วทำไมที่งานแฟร์เธอถึงเข้ามาช่วยงานเราด้วยความสมัครใจ จริงอยู่ที่วันแรกเธอเข้ามาทำเพราะไอ้เมษมันขอไว้ แต่วันที่สองล่ะ เธอมาทำไม”
คราวนี้เป็นฝ่ายปูนที่อึ้งไปบ้าง ร่างเล็กเผลอกำมือของตัวเองแน่นขณะที่ก้มหน้าลงมองตักของตัวเองเมื่อนึกถึงความรู้สึกสั่นไหวที่ผลักดันให้เขาเดินไปที่บูธของคณิตด้วยความตั้งใจของตัวเองผิดกับวันแรก
“วันนั้นมัน...เป็นเพราะผมอยากเจอคุณต่างหาก”
ผิวแก้มของปูนไม่ได้เปลี่ยนสี กลับกันปูนกลับทำหน้าเหมือนเด็กที่โดนจับไต๋ได้มากกว่า คณิตมองกริยาของคนตรงหน้าแล้วเริ่มมองเห็นเค้าลางในการเกลี่ยกล่อมเด็กดื้อคนนี้ได้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนโทนเสียงที่ใช้ให้นุ่มนวลขึ้นอีกนิด
“แล้วคราวนี้เธอจะทำมันเพื่อฉันอีกสักครั้งไม่ได้รึไง”
“...!”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆแล้วเธอมีปัญหาอะไรกันแน่เพราะเธอไม่ไว้ใจพอที่จะเล่าให้ฉันฟัง แต่สิ่งที่ฉันรู้คือฉันเสียดายความสามารถและอนาคตของเธอ”
คณิตเน้นคำว่าอนาคตด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเสียจนคนฟังรับรู้ได้ว่าอนาคตที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องงานหรือความสามารถที่คณิตพูดถึง หากแต่เป็นอนาคตที่เขากำลังทำลายมันลงไปเรื่อยๆด้วยตัวเอง
“หากเธอมีเหตุผลอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ขอให้บอกมา ฉันอยากให้เธอมาอยู่ด้วยกันจริงๆนะปูน...ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจ”
ร่างสูงพูดทิ้งไว้แล้วคว้าเอาขวดซอสพริกมาบีบลงบนข้าวไข่เจียวที่ยังคงไม่พร่องไปของปูนให้แทน ทั้งสองคนกินข้าวของตัวเองไปเงียบๆโดยไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นอีก เด็กหนุ่มกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองในขณะที่คณิตก็ลอบสังเกตอาการและสีหน้าของปูนไปเรื่อยๆเช่นกัน
หลังหมดมื้อนั้น คณิตก็เป็นฝ่ายเก็บจานทั้งหมดไปล้างเพราะหน้าที่หุงหาอาหารร่างเล็กเป็นคนจัดการไปแล้ว ปูนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวที่ยังถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวสะอาด เขาจ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ถึงแม้จะก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาไม่นาน แต่กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งเรื่องดีและร้าย...คณิตคงไม่รู้ตัวว่าการกระทำที่ทั้งอ่อนโยนและตรงไปตรงมาของตนสะกิดใจคนที่ชินชากับความหลอกลวงของโลกใบนี้มากแค่ไหน
“นี่...ป๋า”
“จิ๊ ก็บอกว่าอย่าเรียกป๋าไง”
ปูนลอบขำคนที่ปากบอกว่าไม่ให้เรียกแต่ก็ยังขานตอบเขาทุกครั้ง เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วตรงเข้าไปกอดเอวสอบของคณิตจากทางด้านหลัง แม้อยากจะคว้าอีกฝ่ายมาจูบแต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันมากปูนจึงทำได้แต่ขบกัดแขนอีกฝ่ายเบาๆไม่ได้กะให้เจ็บซึ่งคณิตเองก็ชำเลืองมองแล้วไม่ได้ว่าอะไร
“ถ้าผมไม่ไปทำงานด้วย จะโกรธไหม”
มือที่กำลังล้างจานของคณิตชะงักไป แต่ก็เพียงแค่แปปเดียว ร่างสูงลงมือล้างน้ำเปล่าให้จานใบที่เหลือก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับปูนที่มองมาตาแป๋ว
“ไม่โกรธ แต่ก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันไม่ชอบเด็กดื้อ”
“...”
“แต่เอาเถอะ มันเป็นอนาคตของเธอ ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
คณิตพูดแล้วใช้มือยีหัวอีกฝ่ายจนเส้นผมพันกันยุ่งไปหมด แต่แทนที่ปูนจะโวยวายคนตัวเล็กกลับเอนหัวเข้าหาสัมผัสนั้นแล้วหลับตาพริ้มเหมือนลูกแมวกำลังถูกเจ้าของเกาคาง ซึ่งเจ้าของคนที่ว่าพอเห็นใบหน้าแบบที่ชอบและแพขนตายาวที่มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อก็อดที่จะก้มลงไปจูบเบาตรงแก้มนิ่มไม่ได้
“เอาไปคิดดีๆแล้วค่อยตอบฉันที่หลังแล้วกัน เดี๋ยวเธอขึ้นไปอาบน้ำเลยนะ ฉันจะพาออกไปข้างนอก”
“ไปไหน? ไหนบอกจะนอนพักไง?”
“เวลานอนฉันหมดไปตั้งแต่เธอปลุกมาเล่นเกมแล้วเจ้าเด็กบ้า เอาเถอะน่า อย่าถามมากนักเลย เสื้อผ้าก็รื้อของในตู้มาใช้ก่อนแล้วกัน”
ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่เสื้อผ้าของคณิตก็แทบไม่มีชุดที่ปูนใส่ได้สักตัว สุดท้ายคนตัวเล็กก็จำใจหยิบเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินที่ตัวเล็กที่สุดมาใส่คู่กับกางเกงขายาวสีขาวตัวเก่งที่เขาใส่ตั้งแต่เมื่อวาน ส่วนชั้นในร่างสูงเป็นธุระไปซื้อจากร้านค้าใกล้ๆมาให้ในตอนที่เขาเข้าไปอาบน้ำ ส่วนคณิตพอกลับมาแล้วก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวในเวลาไม่นาน ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือตั้งใจคนตัวโตถึงเลือกใส่เสื้อผ้าแบบที่ตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง...กางเกงขาสามส่วนสีกากีและเสื้อคอวีสีขาว
“เพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนมุ้งมิ้งกว่าที่คิด”
“มุ้งมิ้ง? ฉันเนี่ยนะ?”
“อื้อ ก็นี่ไง เสื้อคู่”
ปูนยิ้มแล้วชี้ให้ร่างสูงดูเงาสะท้อนของเขาทั้งสองคนจากกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตัวเมือง คณิตหันไปมองตามแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ทำไมเขาถึงได้ไม่สังเกตมันเลยนะ มิน่าละ เวลาที่เขาสองคนเดินไปไหนมาไหนถึงได้มีแต่คนมองตามแล้วอมยิ้มอยู่เรื่อย
“เขาคงคิดว่าพี่ชายน้องชายล่ะมั้ง”
ร่างสูงคิดเองเออเองเสร็จสรรพแล้วเดินไปยังบันไดเลื่อนโดยไม่สนใจสายตาของใครๆอีก ส่วนปูนก็มองอีกฝ่ายตามไปอย่างทึ่งๆ
“อะไรจะมองโลกในแง่ดีขนาดนั้น...”
คณิตพาปูนเดินมายังชั้นที่มีเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง Hi-end ตั้งอยู่เรียงราย บีเอที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีต่างก็มองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้มที่พยายามดึงดูดให้ลูกค้าทั้งหลายเดินเข้ามาเลือกซื้อสินค้าที่ตัวเองดูแลอยู่ให้มากที่สุด ปูนมองบรรยากาศรอบๆและคนที่เดินนำหน้าเขาอยู่อย่างไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนคณิตจะไม่รู้สึกแปลกแยกสักนิดที่ผู้ชายอย่างพวกเขามาเดินอยู่ที่นี่
“ยินดีต้อนรับค่ะ สนใจสินค้าตัวไหนเป็นพิเศษรึเปล่าค่ะ”
หลังจากเดินหาอยู่นาน คณิตก็หาเคาน์เตอร์แบรนด์ที่ตัวเองต้องการเจอ ร่างสูงเดินตรงไปยังตู้กระจกที่มีเครื่องสำอางชื่อดังสัญชาติอเมริกาตั้งอยู่เรียงราย
“ขอดูตัวนี้หน่อยครับ”
คณิตหยิบโทรศัพท์ของตัวเองแล้วเปิดรูปของที่ตัวเองต้องการให้บีเอดูเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ปูที่ยังคงงงๆแอบชำเลืองมองสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นก็เห็นเป็นรองพื้นตัวเทพที่เขาเคยได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดถึงอยู่บ่อยๆ บีเอที่คอยมาดูแลขอตัวไปหาสินค้าให้ร่างสูงสักครู่ ปูนที่ยืนเงียบอยู่นานจึงได้โอกาสถาม
“คุณมากซื้อไปให้ใครน่ะ อย่าบอกนะว่าซื้อไปใช้เอง”
“อืม ก็ใช่เองไงแปลกอะไร”
คณิตตอบหน้าตาย แต่กลายเป็นปูนที่หน้าเหวอจนร่างสูงหลุดขำออกมาแล้วแกล้งดันคางของปูนขึ้นช่วยให้ปากที่อ้าอยู่ปิดลงก่อนที่ตัวอะไรจะบินเข้าไป
“ฮ่าๆ จะตกใจทำไมล่ะ ทำงานโรงแรมเรื่องรูปร่างหน้าตามันก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
“กะ ก็รู้อยู่ แต่...เครื่องสำอางเนี่ยนะ”
“อืม ก็แต่งอยู่ทุกทีหรือว่าเธอไม่เคยสังเกต”
ก็ไม่เคยสังเกตจริงๆน่ะแหละ เอาจริงเขาแทบไม่เห็นความแตกต่างเลยด้วยซ้ำระหว่างแต่งกับไม่แต่ง อีกอย่างคณิตเป็นคนที่ผิวพรรณดีอยู่แล้วนอกจากรอยแดงเล็กๆน้อยๆเครื่องหน้าของคนตัวโตก็แทบจะไม่มีที่ติอะไร...ถ้าไม่นับปาก
“คุณลูกค้าค่ะ ขอประทานโทษอย่างมากเลยนะคะ สินค้าที่คุณต้องการตอนนี้ทางเราไม่เหลือไว้ในสต็อกเลย ขอโทษจริงๆค่ะ”
บีเอที่หายไปสักพักกลับมาพร้อมสีหน้าที่ทั้งเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้ง คณิตที่ยืนรออยู่ก็แสดงสีหน้าผิดหวังปนรำคาญออกมาจนปูนเอ่ยปากถาม
“ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไรเลย วันอื่นค่อยมาดูก็ได้”
“ก็รู้ แต่วันหยุดฉันไม่ได้มีบ่อยๆนี่ เฮ้อ สงสัยต้องรบกวนอิงอีกแล้ว”
“พี่อิง?”
“อืม ก็ยัยนั่นนั่นแหละที่เจ้ากี้เจ้าการให้ฉันใช้ของพวกนี้ ลองช่วงไหนฉันลืมดูแลตัวเองแล้วปล่อยให้สิวขึ้นออกไปต้อนรับลูกค้าดูสิ หึ นรกชัดๆ”
ร่างสูงนึกถึงตอนที่เขาเคยออกมาต้อนรับลูกค้าชาวไต้หวันด้วยใบหน้าที่มีสิวเม็ดเป้งโผล่ขึ้นกลางหน้าผาก เขาจำได้ดีเลยว่าสายตาของอิงอรน่ากลัวแค่ไหน แถมหลังจากนั้นเขายังโดนหญิงสาวลากไปคลินิกเสริมความงามอยู่หลายวันเพียงแค่เพราะสิวเม็ดเดียว นึกแล้วยังสยองไม่หาย ปูนเองถึงจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่พอเห็นสีหน้าอีหลักอีเหลื่อของคณิตก็นึกภาพออกได้ พี่อิงนี่น่ากลัวกว่าที่เห็นแฮะ
“เออ คุณลูกค้าค่ะ ถ้าไม่ว่าอะไรขออนุญาตให้ฉันแนะนำสินค้าตัวอื่นให้แทนไหมค่ะ ถ้าเป็นรุ่นนี้ที่คุณสมบัติคล้ายๆกันล่ะก็ยังพอมีอยู่ค่ะ”
หญิงสาวที่ยืนฟังทั้งคู่คุยกันอยู่เอ่ยขัดขึ้นมาพร้อมกับยื่นขวดรองพื้นอีกรุ่นไปตรงหน้าคณิต ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็สนใจอยู่ไม่น้อยติดแค่ปกติเขาได้แต่ซื้อตามที่เพื่อนสาวอย่างอิงอรบอกไม่เคยเลือกมันด้วยตัวเองสักครั้ง
“แล้วผมควรเลือกยังไงครับ”
“ถ้าคุณลูกค้าจะซื้อไปใช้เองก็ลองเลือกโทนสีที่เหมาะกับใบหน้าดูนะคะ ดูจากสีผิวคุณแล้วออกโทนขาวเหลืองนิดๆ ก็น่าจะเป็นสองสีนี้ค่ะ”
บีเอเลือกเทสเตอร์รองพื้นมาสองสีแล้วยื่นให้คณิตเลือกดู คนตัวโตรับมาแล้วลองเทียบกับใบหน้าของตนเองผ่านทางกระจกแต่ก็ไม่เห็นความแตกต่างสักเท่าไหร่ คณิตนึกขัดใจกับเรื่องน่ารำคาญนี้แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นใบหน้าของปูนที่กำลังสะท้อนอยู่บนกระจกใบเดียวกัน
“ปูน หันหน้ามานี่สิ”
“ครับ? มีอะไรหรอ...เฮ้ย!”
ปูนที่เพิ่งหันมาหาคณิตถูกร่างสูงยึดใบหน้าไว้ให้มั่นด้วยฝ่ามือใหญ่ๆก่อนที่คนตัวสูงจะปาดรองพื้นสีแรกลงไปบนแก้มของเขาโดยไม่ขออนุญาตใดๆ คนที่ถูกใช้เป็นหุ่นลองรองพื้นร้องเสียดังจนลูกค้าคนอื่นหันมามองพวกเขาทั้งคู่เป็นตาเดียว ส่วนบีเอสาวสวยยืนนิ่งเป็นหินไปแล้ว...
“คุณ! ทำอะไรเนี่ย เอามาป้ายหน้าผมทำไม!”
“ก็เธอกับฉันสีผิวคล้ายกัน ไม่ให้ลองกับเธอจะให้ไปลองกับใคร”
“โอ้ย ก็ลองกับตัวเองไปสิ!”
“ไม่เอา ฉันไม่อยากให้หน้าฉันเลอะ”
ว่าแล้วคณิตก็หยิบรองพื้นอีกสีมาทาไปบนแก้มขาวอีกข้างโดยไม่สนใจเสียงประท้วงตะแง้วๆของปูนเลยแม้แต่น้อย ปูนดิ้นไปดิ้นมาพยายามเอื้อมไปหยิบเทสเตอร์มาหวังจะแกล้งคณิตคืนจนร่างสูงต้องจ้องดุๆไปนั่นแหละคนตัวเล็กถึงยอมยืนนิ่งๆได้แม้จะไม่เต็มใจเลยก็ตาม
“เลิกทำหน้าบูดสักทีน่า เดี๋ยวพาไปกินไอติม”
“ผมไม่ได้หน้าบูด แล้วผมก็ไม่ใช่เด็กด้วย!”
คนที่บอกว่าตัวเองไม่ได้หน้าบูดตอนนี้เริ่มทำหน้าบึ้งเป็นเท่าตัวจนคณิตต้องถอนหายใจ เขาใช้มือของตัวเองค่อยๆเกลี่ยรองพื้นที่ถูกป้ายเป็นปื้นให้กลืนไปกับสีผิวด้วยสัมผัสที่แผ่วเบาจนบรรยากาศรอบข้างเงียบไปทันตา แม้แต่บีเอที่ทำท่าเหมือนอยากจะบอกอะไรกับเขาสักอย่างก็เลือกที่จะหยุดแล้วมองพวกเขาเงียบๆ
“ไม่เห็นต้องงอนเลย ทาแล้วเธอก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรสักหน่อย”
“แต่ผมเป็นผู้ชาย...”
“ฉันก็ผู้ชาย ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”
“แปลกสิ อย่างน้อยก็ผมที่ไม่เคยแต่งหน้า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำใจให้ชินซะ...น้องครับ เอาสีนี้มาสองขวดเลย”
ชายหนุ่มหันไปบอกกับบีเอพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตของตัวเองไปให้ด้วยเสร็จสรรพ หญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่นานสะดุ้งแล้วยื่นมือเข้ามารับบัตรเครดิตของคณิตไปแล้วรีบเดินไปหยิบสินค้าตามที่ร่างสูงว่า ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำเงินเข้มสองถุงและบิลเพื่อให้คณิตเซ็น คนตัวโตรับของมาแล้วยื่นมันให้กับปูนที่ยืนอยู่ข้างกันก่อนจะหันไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
“อย่าบอกนะว่าคุณซื้อให้ผมด้วย”
“อืม ถือซะว่าเป็นของตอบแทนที่มาเลือกซื้อของเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน”
“แต่ว่า รองพื้นมัน...”
“รับไปเถอะน่า เชื่อฉันสิว่าสักวันเธอก็ต้องใช้ อีกอย่างฉันเป็นคนออกเงินซื้อให้ แค่เธอรับไปก็ไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้วนี่”
คณิตพูดยิ้มๆเมื่อเห็นสีหน้าลังเลใจของคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับของขวัญที่ได้รับมา คนตัวโตขำในลำคอเบาๆก่อนจะคว้าคอของปูนมากอดไว้แล้วพากันเดินไปยังร้านขายเกมเพลย์ซึ่งอยู่อีกโซน เพื่อที่จะหาเกมมาเล่นกันใหม่ในคืนนี้ คล้อยหลังสองคนนั้นไปบีเอสาวที่ยังคงไม่ได้พูดในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดได้แต่ยืนหน้าแดงแล้วมองเทสเตอร์ทั้งสองตัวที่ถูกวางอยู่บนตู้กระจกใส เธอจะจำไว้ให้ขึ้นใจว่าหากคราวหน้าลูกค้าสองคนนี้เดินทางมาซื้อของกับเธออีกครั้ง เธอจะบอกพวกเขาให้ได้ว่า
รองพื้นน่ะเทสที่คอก็พอค่ะ...คุณลูกค้า
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
งานด่วนต้องมา สั้นและฟินไปเนอะ 55555 ง่ายคับ ตอนนี้เช่ได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าตัวนั่นแหละ แหม ผช.สองคนที่ไม่รู้เรื่องเครื่องสำอาง (แค่ตอนนั้นนะ ตอนนี้นางเทพไปแล้ว) มาช่วยกันเลือกแบบนี้มันฟินได้อี๊กกกกกกกก >/////////< :hao6:
สักนิดๆ จริงๆแล้วการเลือกรองพื้นทำได้หลายวิธีนะคับ ลองแบบเทสกับหน้าตามป๋าปูนก็ไม่ผิดอะไรนะ แต่ปกติเช่จะเทสที่คอเนอะ^^
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปกันนะคับ เช่อาจจะมาอัพอีกที X'mas แต่ขอดูก่อน ถ้าว่างจากพี่กาลพอจะเขียนได้สักตอนจะจัดลัดคิดให้นิดหน่อยนะคับ ^^ วันนี้ทอล์คสั้นนะ เพราะเช่ง่วงมากกก ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลย ดีใจมีคนรักป๋ากับปูนเยอะแยะ ขอให้รักกันตลอดไปนะคับ! :-[
-
อยากรู้ปมของปูนอ่ะ มีปัญหาอะไรกันแน่
-
o13 o13
-
ปูนต้องมีปมในใจ
-
อยากสิงบีเอมาก ณ จุดๆนี้้
คณิตน่ารักมากกกกกกกก ดูแลน้องดีได้อีก
ปูนก็ยอมไปอยู่กับพี่เขาเถอะลูก
ป้าจะได้ฟิน :hao7:
-
โอ้ย ไม่ไหวแหละ
วินาทีนี้ ฟินมากกกก :o8:
น้องปูนตั้ลลั๊กกกกกก
-
เฮ้ยยยยยยย น่ารักมากกกกกกกกกกกก
ป๋าเนียนนะ จับแก้มน้องด้วย ตีมือแตกๆๆ :z6:
-
น่ารักๆ
-
โอ้ย!น่ารักมาก เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากๆเลยคะ รอตอนต่อไปค่ะ
-
แตกที่ 9
…อย่าคิดเลย...
เด็กหนุ่มที่กำลังยืนรอเพื่อนสาวอยู่ในแผนกเครื่องสำอางมองภาพตรงหน้าโดยที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พลัสผละออกจากกลุ่มเพื่อนแล้วรีบสาวเท้าไปยังทางที่เพื่อนร่วมงานของเขาควงคู่กับหนุ่มใหญ่คนหนึ่งออกไปด้วยท่าทางสนิทสนม แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ร่างโปร่งก็ยิ่งชะลอฝีเท้าของตัวเองให้สั้นลงเท่านั้นจนมันหยุดลงเมื่อสายตาของเขาเลื่อนไปเห็นถุงเครื่องสำอางราคาแพงที่ปูนถืออยู่และรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็น
“พลัส! เดินออกมาทำไมไม่บอกก่อนวะ”
พลัสหันไปหาเพื่อนที่วิ่งหน้ามุ่ยมาหาโดยที่ในมือยังไร้ถุงเครื่องสำอางยี่ห้อดังที่มัวแต่ไปยืนส่องอยู่นาน เด็กหนุ่มจึงยิ้มแหยๆให้เพราะรู้ตัวว่าเขาทำให้ ‘เอมมิกา’ ต้องเดินตามมาทั้งๆที่ยังไม่ได้ของที่ต้องการ
“แล้วว่าไง ตกลงมีอะไรถึงได้วิ่งหูตาแหกออกมาอย่างงี้”
“ไม่มีอะไรหรอก...แค่เหมือนเห็นคนรู้จักน่ะ เราไปดูของกันต่อเถอะ”
“โอ้ย ไม่เอาแล้วแพงขนาดนั้นไม่มีปัญญาซื้อหรอก ดีเหมือนกันที่แกวิ่งออกมาแบบนี้ ฉันกำลังหาจังหวะชิ่งยัยบีเอนั่นอยู่พอดี หึ พอเห็นว่าเราใส่ชุดนักศึกษาแม่งทำหน้าอย่างกับแกกับฉันเป็นขโมย”
เอมมิกาบ่นไปพลางลากพลัสที่ทำยังทำหน้ารู้สึกผิดให้เดินออกไปจากแผนกเครื่องสำอางหลังจากที่เดินวนดูอยู่นานโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลยสักชิ้น แน่แหละลำพังนักศึกษาธรรมดาอย่างพวกเขาที่ได้เงินจากพ่อแม่เดือนละไม่กี่ตังจะมีปัญญาซื้อของราคาหลักพันหลักหมื่นพวกนั้นได้ยังไง
“หิวยังแก ฉันหิวแล้วอ่ะ”
“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ นี่ก็ใกล้จะบ่ายแล้วด้วย”
ร่างโปร่งเสนอขึ้นทั้งที่ความจริงเขายังไม่หิวเท่าไหร่ ทั้งสองคนพากันเดินไปยังร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังโดยที่ทั้งคู่ต่างก็สั่งอาหารที่ตัวเองต้องการมานั่งกินกันอยู่ตรงโต๊ะริมกระจกทำให้พลัสสามารถเห็นผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้
“เออนี่ แกคิดรึยังว่าจะไปฝึกงานที่ไหน”
เอมมิกาถามขึ้นหลังจากที่จัดการอาหารของตัวเองไปได้เพียงแค่ครึ่งจาน เธอเลือกไก่ชิ้นที่ยังดูดีอยู่มาใส่ไว้ในจานของพลัสซึ่งเด็กหนุ่มก็รับมากินต่อโดยไม่ถือสาอะไร อย่างน้อยก็ดีกว่าทิ้งให้เสียเปล่าล่ะนะ
“ก็ว่าจะฝึกที่ The Pilot นั่นแหละ เราไม่อยากไปไกลบ้าน”
“The Pilot ก็ดีนะ แต่ฉันเบื่อแถวนี้ว่ะเลยว่าจะไปฝึกกรุงเทพ แต่แม่อะดิ บอกว่าไม่ยอมให้ฉันไป บ่นว่าเงินไม่พอส่งอะไรก็ไม่รู้”
เด็กหนุ่มนั่งฟังเพื่อนสาวบ่นไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกที่ทั้งเห็นใจและเข้าใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดส่งเสริมหรือหักหาญความตั้งใจของเพื่อนที่อยากจะออกไปตามหาอนาคตของตัวเองในเมืองหลวง จริงอยู่ที่บางแสนก็ถือว่าเจริญและไม่ได้บ้านนอกเลยสักนิด แต่สำหรับพวกเขาที่ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยก็เรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตลอด สิ่งที่ต้องการจึงเป็นโลกกว้างที่แปลกใหม่หาใช่ความเจริญอย่างที่คนอื่นว่า เขาก็แค่อยากไปเห็น...โลกที่ไม่เคยเจอเท่านั้น
“เอาน่าเอม ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งนานค่อยๆกล่อมแม่ไปแล้วกัน”
“เฮ้อ ก็หวังว่าจะยอมนะ น่าเบื่อชะมัด”
เอมมิกาถอนหายใจยาวจนคนฟังรู้สึกเบื่อหน่ายไปด้วย พลัสเขี่ยอาหารที่เหลือไปมาพลางคิดถึงเรื่องบางอย่างที่เข้ามารบกวนจิตใจเขาอยู่สักพัก พวกเขาทั้งสองนั่งคุยอะไรกันไปเรื่อยแม้ไม่คิดจะแตะต้องอาหารที่เหลือแล้วก็ตาม จนกระทั่งสายตาของเด็กหนุ่มสะดุดเข้ากับใบหน้าโดดเด่นของใครบางคนที่กำลังเดินเคียงคู่มากับชายปริศนาคนนั้นอีกครั้ง
“ปูน...”
พลัสพูดชื่อของร่างเล็กออกมาขณะที่จับจ้องไปยังทั้งสองคนทีกำลังต่อแถวซื้อไอศกรีมจากร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ โชคดีที่มุมที่พลัสนั้นมีแสตนอันใหญ่ตั้งบังไว้ทำให้หากไม่สังเกตปูนคงจะไม่รู้ตัวว่าโดนเพื่อนร่วมงานบังเอิญเห็นตัวเองกำลังยืนคุยกับชายหน้าตาดีด้วยท่าทางสนิทสนมเกินกว่าที่จะเป็นแค่เพื่อนกันได้
“อะไรวะแก?....เฮ้ย นั่นมันคุณคณิตนี่หว่า!”
หญิงสาวที่หันไปมองตามสายตาของเพื่อนพูดชื่อของคณิตออกมาพร้อมกับทำสีหน้าราวกับว่าชายคนนั้นเป็นดาราหรืออะไรสักอย่าง เอมิกาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปทายาทเจ้าของโรงแรมดังที่เธอปลื้มนักหนาด้วยสีหน้าเพ้อๆ ก่อนจะหลุดออกมาจากฝันเพราะคำถามของพลัส
“คณิต? นี่เอมรู้จักผู้ชายคนนั้นด้วยหรอ?”
“รู้จักสิ แกซะเปล่าไม่รู้จักคุณคณิตได้ยังไง”
เอมมิกาจีบปากจีบคอพูดแล้วหันมามองเพื่อนด้วยสายตาที่บ่งบอกความภาคภูมิใจในความรอบรู้ของตัวเอง ยิ่งเห็นว่าพลัสทำท่าอยากรู้เธอยิ่งสนุก
“ ‘คณิต เจริญวัฒนะ’ ลูกชายเจ้าของโรงแรม The Next คู่แข่งของโรงแรมที่แกทำงานอยู่ไง ขอบอกเลยว่าคนนี้เพอร์เฟคมาก สาวๆอยากแซ่บด้วยทั้งเมือง!”
พลัสใจกระตุกเมื่อได้ยินสรรพคุณข้อสุดท้ายที่เอมมิกาบอกเล่าให้เขาฟัง คงไม่แปลกอะไรที่ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมแบบนั้นจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้หญิงทั้งหลาย แต่ถ้าเป็นผู้ชายล่ะ???
“ว่าแต่คนที่ยืนกับคุณคณิตนั่นเพื่อนแกหรอ ใช่คนที่แกวิ่งไปหารึเปล่า”
“อ่ะ อืม...เพื่อนที่ทำงานน่ะ”
เด็กหนุ่มสมอ้างไปก่อนทั้งที่ความจริงระหว่างเขากับปูนคงไม่สามารถเป็นได้แม้แต่เพื่อนกัน หลังจากที่ปูนปฏิเสธเงินที่เขานำมาคืนให้นั้นคนตัวเล็กก็แทบจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยง ซึ่งการกระทำแบบนั้นยิ่งทำให้พลัสรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความหมายยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“ถ้าอย่างนั้นเพื่อนแกก็รู้จักกับคุณคณิตน่ะสิ นี่...แกบอกให้เพื่อนแกแนะนำฉันกับคุณคณิตหน่อยสิ ถ้าเป็น The Next ล่ะก็ฉันยอมไม่ไปกรุงเทพก็ได้”
พลัสส่ายหัวให้กับคำพูดทีเล่นทีจริงของเอมมิกา และรู้ด้วยว่าที่บอกว่าให้แนะนำน่ะหญิงสาวต้องการจะถูกแนะนำในฐานะไหน เด็กหนุ่มหันไปมองภาพของทั้งสองคนอีกครั้งซึ่งตอนนี้คนตัวเล็กเหมือนกับจะกำลังเลือกอะไรบางอย่างจากตู้กระจกโดยที่คนซึ่งสูงกว่าก็เอาแต่กอดอกแล้วชำเลืองมองคนข้างๆด้วยสายตาอ่านยากแบบที่ทำให้ร่างโปร่งเผลอจินตนาการไปไกลจนนึกหวั่น แน่ล่ะ...ภาพของปูนและชายต่างชาติในคืนนั้นยังคงไม่จางหายไปจากความทรงจำของเขาง่ายๆ
ร่างโปร่งมองไปยังถุงช็อปปิ้งที่คราวนี้คณิตเป็นฝ่ายถือมันไว้เองโดยที่หน้าถุงทุกใบต่างก็มีโลโก้ของร้านดังซึ่งถ้าเป็นเขาการจะเลือกซื้อของสักชิ้นจากร้านพวกนี้คงจะต้องเก็บเงินอยู่นาน แต่สำหรับคนที่มีเงินมากขนาดนั้นราคาของแค่นี้คงไม่แม้แต่จะระคายผิว แล้วจะนับประสาอะไร...กับการซื้อคนสักคน
“เป็นอะไรวะพลัส ทำหน้าซะน่ากลัวเชียว”
เอมมิกาทักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของชายตรงหน้าเปลี่ยนไป โดยเฉพาะดวงตาที่ปกติมักจะสดใสกลายเปลี่ยนเป็นขึงขังเสียจนน่ากลัว
“เปล่า เราไม่ได้เป็นอะไร”
พลัสปฏิเสธแต่พอเขาหันกลับไปมองร่างของทั้งสองคนก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว แต่ร่างโปร่งก็ไม่คิดจะลุกไปตามหาอย่างคราวแรกเพราะมันคงเหนื่อยเปล่าที่จะทำ เด็กหนุ่มเอ่ยปากชวนเพื่อนสนิทให้แยกย้ายกันกลับบ้านซึ่งเอมมิกาก็ตกลงตามนั้นแม้ใจจริงจะยังอยากเดินตากแอร์อยู่ที่ห้างมากกว่า
เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินไปส่งเพื่อนที่วินมอเตอร์ไซด์ก่อนจะเดินไปยังคิวรถสองแถวที่จอดเรียงรายอยู่ข้างทาง สายลมที่พัดผ่านหน้ายามที่รถเคลื่อนตัวไปไม่ได้ทำให้พลัสรู้สึกเย็นลงเลยสักนิด ภาพของปูนและผู้ชายคนนั้นรวมถึงสิ่งที่ปูนทำฉายซ้ำอยู่ในหัวทั้งที่เขาไม่ควรแม้แต่จะเก็บมาใส่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับทำไม่ได้ เด็กหนุ่มได้แต่ถามว่าทำไม...ทำไม...ทำไม...แต่เขาก็ไม่เคยได้คำตอบ
“ไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับ”
ประโยคแรกที่ผู้หญิงซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่พูดกับเขาทำให้ใบหน้าที่แต่เดิมเรียบเฉยเปลี่ยนเป็นหมองลงแต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น พลัสถอดรองเท้าผ้าใบคู่เก่งออกนำมันไปวางไว้ตรงชั้นเก็บก่อนจะเดินตรงไปยังมุมซักล้างหน้าบ้านที่มีร่างของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการล้างหม้อจานใบใหญ่
“สวัสดีครับ...น้า”
เด็กหนุ่มเอ่ยทักหญิงตรงหน้าแต่กลับไม่ยกมือไหวแต่อย่างใด เพราะอีกฝ่ายคงไม่คิดจะหันมามองเขาอย่างเคย แต่พลัสคิดผิดเมื่อใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าหันกลับมามองเขาจนกลายเป็นว่าสีหน้าที่บ่งบอกความในใจถูกคนซึ่งทำให้มันเป็นแบบนี้พบเห็นเข้าจนได้
“ไม่มีสัมมาคารวะ”
“...”
“แล้วว่าไง ทำไมเพิ่งกลับวันนี้เลิกเรียนตั้งแต่เที่ยงไม่ใช่หรอ”
“...ผมไปทำรายงานกับเพื่อนมาครับ”
“หึ...ทำรายงานทั้งปี”
“...”
“รีบขึ้นไปบนห้องได้แล้ว เกะกะ คนจะทำมาหากิน”
เธอเอ่ยไล่พร้อมกับโบกมือซึ่งมีฟองน้ำยาล้างจานเกาะอยู่จนมันกระเด็นมาโดนเสื้อของพลัส แต่ร่างโปร่งก็ไม่คิดแม้แต่จะโวยวายหรืออะไร เขารีบพาร่างที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจขึ้นมายังห้องส่วนตัวของตัวเอง
“มาถึงก็โดนอีกแล้ว”
เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแล้วหลับตาลง มันเป็นแบบนี้เสมอทุกครั้งจนความเสียใจเปลี่ยนเป็นชินชา แน่ล่ะ แต่ไหนแต่ไรความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้หญิงคนใหม่ของพ่อก็ไม่เคยราบรื่นสักครั้ง ‘น้าพร’ เป็นผู้หญิงที่ดีอย่างน้อยพลัสก็คิดอย่างนั้นตราบจนที่เธอถูกพามาที่บ้านในฐานะแฟนใหม่ของพ่อหลังจากที่แม่เสียไปได้แค่สองปี เขาไม่ได้โกรธพ่อ...โชคดีที่แม่เสียไปตอนที่พลัสกำลังขึ้นม.6ทำให้เด็กหนุ่มสามารถเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ได้พอสมควร
แต่ก็ไม่ทั้งหมด...
เขาไม่อาจทำความเข้าใจ จิตใจของเพื่อนสนิทแม่คนนั้นได้
พลัสเก็บตัวอยู่บนห้องรอจนเกือบสองทุ่มเขาจึงเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่ใส่ชุดทำงานไว้ นับว่าโชคดีที่เวลานี้น้าพรออกไปขายของแล้วเด็กหนุ่มจึงไม่ต้องหงุดหงิดเพราะคำพูดน่าปวดหัวพวกนั้นอีก พลัสขี่รถจักรยานยนต์ของตัวเองไปยังโรงแรมที่ซึ่งเขาเข้าไปทำงานพิเศษได้พักใหญ่ เด็กหนุ่มเอ่ยทักเพื่อนร่วมงานไปตลอดทางรวมไปถึงหัวหน้าอย่างพี่บอยซึ่งก็ยังคง ‘น่าเกรงใจ’ เสมอสำหรับเขา ไม่เชิงว่าไม่ถูกชะตา เพียงแต่พลัสรู้สึกว่าต่อให้พยายามยังไงตาดุๆของผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เขารับมือได้ยากเสมอ
“วันนี้มาเร็วนะ”
“อ่า ครับ...พอดีอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร”
“ก็ดี...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”
“ครับ”
พลัสยกมือไหว้บอยอีกครั้งก่อนจะเดินก้มหัวผ่านร่างสูงใหญ่นั้นไปยังห้องพักของพนักงานที่เริ่มมีคนอื่นมาถึงแล้วบ้างประปราย เด็กหนุ่มจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปกินอาหารซึ่งเป็นสวัสดิการของพนักงานที่นี่ตรงชั้นสอง แน่นอนว่ามันไม่อร่อยหรอกในความรู้สึกของเขา อาหารบางส่วนก็เป็นอาหารส่วนที่เหลือจากบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมที่แขกกินไม่หมดแต่ในเมื่อมันเป็นของฟรีเขาก็กินได้ทั้งนั้น
แกร๊ก...
ในขณะที่ร่างโปร่งกำลังจะตักข้าวเข้าปาก จู่ๆคนที่พยายามเลี่ยงอยู่เสมอก็ทรุดนั่งลงที่ว่างตรงกันข้ามกับที่เขานั่งอยู่ บอยซึ่งยังคงอยู่ในชุดกัปตันแต่เนคไทสีเข้มที่ปกติจะจัดให้ดูดีเสมอถูกขยับออกเล็กน้อยจนพลัสสามารถเห็นผิวบริเวณซอกคอที่โผล่พ้นปกคอเสื้อมาได้
“มีอะไร กินต่อไปสิ”
“คะ ครับ”
พลัสก้มหน้าก้มตากินต่อไป ส่วนบอยก็หยิบบุหรี่ที่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดสูบ เด็กหนุ่มลอบมองไปยังกำแพงข้างๆที่มีเครื่องหมายห้ามสูบบุหรี่ติดไว้แล้วหันไปมองควันสีเทาที่ลอยฟุ้งอยู่ตรงหน้า
ทำแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ...
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เครื่องตรวจจับควันตรงนี้เสียพอดี”
เหมือนกับอ่านความคิดได้ จู่ๆบอยก็ตอบในสิ่งที่พลัสสงสัยออกมาได้ทั้งๆที่คนตัวเล็กกว่าไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย และดูเหมือนหน้าตาเหวอๆของเขาจะทำให้อีกฝ่ายสะใจอยู่ไม่น้อยเพราะรอยยิ้มมุมปากที่ไม่ค่อยจะได้เห็นนอกเสียจากเวลาที่พูดคุยกับแขกกำลังปรากฏบนใบหน้าคมเข้มของบอย แม้จะเพียงน้อยนิดและผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่พลัสก็ยังสังเกตได้
“ก็ดูดีนิ ทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆนะ...”
“คราวนี้พูดออกเสียงแฮะ”
“ขะ ขอโทษครับ!!”
เมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอทำอะไรเปิ่นๆออกไป ใบหน้าของพลัสก็ขึ้นมีแดงเถือก เด็กหนุ่มเร่งสปีดยัดอาหารในจานลงท้องไปพลางเคืองกฎของห้องอาหารแห่งนี้เป็นครั้งแรก อยากวิ่งหนีไปจะตายชักแต่ป้ายที่เขียนด้วยลายมือตัวโตๆว่า ‘ตักแต่พอกิน ถ้ามีเศษอาหารเหลือทิ้งเยอะกว่าปกติ ทางห้องครัวจะลดกับข้าวพนักงานเหลือแค่หนึ่งอย่างนะคะ’ ก็ทำให้เขาต้องจนใจทำตามนั้น
“หึ ไม่ต้องรีบหรอกน่า เดี๋ยวติดคอตาย”
“อ้อโอดอับ!”
บอยส่ายหน้าให้คนที่พยายามบอกขอโทษเขาแม้ว่าข้าวจะยังอยู่เต็มปาก ร่างใหญ่ลุกขึ้นเดินไปกดน้ำเปล่ามาหนึ่งแก้วแล้วยื่นมันให้พลัสที่ทำหน้าเหลอหลายิ่งกว่าเก่า เด็กหนุ่มลังเลแต่ก็ยอมรับมันไปแต่โดยดีก่อนที่จะยกดื่มของเหลวในนั้นล้างปากที่เพิ่งเคี้ยวอาหารก้อนสุดท้ายหมดไป
“ขะ ขอบคุณครับ”
พลัสบอกขอบคุณแล้วหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เด็กหนุ่มรีบลุกแล้วกุลีกุจอเอาจานและแก้วน้ำไปวางไว้บนรถเข็นที่ตั้งอยู่ไม่ไกลโดยไม่คิดจะหันไปมองหน้าคนที่เพิ่งแสดงน้ำใจกับตัวเองไปเลยสักนิด แน่ล่ะ ต่อให้ทำนิ่งไปเรื่องที่เขาเผลอพูดความในใจของออกมาให้เจ้านายฟังมันก็น่าอายเกินไปอยู่ดี ร่างโปร่งโค้งน้อยๆให้คนที่ยังคงยืนพิงม้านั่งตัวยาวแล้วคาบบุหรี่อยู่ในปากเพื่อจะพาตัวเองไปให้พ้นๆจากที่นี่ แต่ในจังหวะก่อนที่พลัสจะเดินพ้นโค้งทางเดินของห้องอาหารนี้ไป เขาก็ได้ยินเหมือนบอยกำลังพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พลัสคิดว่าเขาคงแค่ฟังผิดไป
“คราวนี้ไม่พูดว่าขอโทษแฮะ”
:man1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :man1:
-
หลังกลับมาจากห้างทั้งคณิตและปูนก็ใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือในช่วงบ่ายไปกับการเล่นเกมที่ไปเลือกซื้อมาและแน่นอนว่าคณิตก็ยังคงเป็นฝ่ายแพ้อยู่ดีจนคนที่ออกเงินซื้อเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาทางใบหน้า ถึงจะไม่ได้เทพแต่เขาก็ไม่ได้กากจนต้องมาแพ้เจ้าเด็กนี่ยับเยินขนาดนี้ มันผิดสังเกตเกินไป!
“นี่เธอใช้ทริคอะไรกับฉันรึเปล่า”
ปูนที่กำลังคาบช็อคโกแลตยี่ห้อโปรดไว้ในปากหันมามองร่างสูงโดยที่มือยังกดจอยไปด้วยแล้วทำหน้าสงสัย
“ทริค? หมายถึงโกงอะนะ”
“ใช่ ฉันแพ้เธอติดๆกันแบบนี้มันไม่ปกติแล้ว ใช้วิธีอะไรบอกมา”
คณิตถามหน้ามุ้ย ความจริงก็ไม่ได้ไม่พอใจขนาดนั้นหรอกเพียงแค่อยากพาลบ้างเท่านั้นเอง ส่วนผู้ต้องสงสัยพอได้ฟังอย่างนั้นก็นิ่งไปก่อนที่จะยิ้มยิงฟันใส่
“อื้มโกง...โกงอายุอะ เป็นเด็กเป็นเล็กแกล้งคนแก่ได้ไงเนอะ”
ว่าแล้วก็หัวเราะคิกคัก ในขณะที่คณิตก็ขมวดคิ้วเสียจนพันกันยุ่งเหยิง
“ลามปาม ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไปนะปูน”
“นั่นไง ยังไม่ทันหัวล้านก็จะใจน้อยแล้วหรอ”
ปูนแกล้งหยอกเพิ่มเข้าไปอีก ถึงจะมีข้อตกลงกันแต่การแกล้งให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียเล่นก็ถือเป็นเรื่องบันเทิงอันดับหนึ่งสำหรับร่างเล็กอยู่ดี ปูนวางจอยลงกับพื้นแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนตักของอีกฝ่ายแล้วแกล้งคลำๆตรงผมแสร้งเป็นหาผมล้านอย่างที่ปากว่า จนคณิตต้องคว้ามือขาวๆนั่นมาจับไว้นั่นแหละถึงจะหยุด
“พอเลยๆ เพื่อนเล่นรึไงเนี่ย”
“ไม่เป็นเพื่อนเล่นก็ได้ แต่เอาเป็นเล่นเพื่อน โอเคป่ะ”
คนตัวเล็กยิ้มร้ายก่อนจะก้มลงไปจุมพิตลงบนริมฝีปากหยุ่นของคนใต้ร่างจนรสหวานปนขมของช็อคโกแลตละมุนไปทั่วทั้งปากของคณิต คนที่โดนชิงจูบโดยไม่ทันตั้งตัวบ่นกับตัวเองในใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ดูเหมือนเขาตามเจ้าเด็กนี่ไม่ทันสักที คณิตละเมียดชิมรสขนมจากปากของปูนอยู่นานจนพอใจ ปูนหอบน้อยๆขณะที่ผละออกมาแต่ก็ยังไม่วายลวนลามอวัยวะเบื้องล่างของคนตัวโตไปด้วย
“พอๆ เธอนี่เอะอะชวนเข้าเรื่องพวกนี้ตลอด”
“หึ ทำยังกับคุณไม่ชอบ ว่าไงครับป๋า มีอะไรอยากให้ผมช่วยไหม”
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้แก่หงักอย่างที่เจ้าเด็กนี่ปรามาส เพราะเพียงแค่สัมผัสวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้อะไรๆของเขาก็เริ่มรู้สึกตื่นตัวเสียจนใครบางคนหยิบมาเป็นบุญคุณได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่อย่าคิดว่าเขาจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของปูนตลอดไปเพราะรสจูบเมื่อครู่ไม่ได้ปลุกปั้นเพียงอารมณ์ของเขาเท่านั้น แม้แต่ปูนก็ด้วย...คนโตกว่ายิ้มกริ่ม คิดได้อย่างนี้ก็ชักอยากจะสั่งสอนเด็กอวดดีหน้าแป้นคนนี้บ้าง คณิตจึงแสร้งยักไหล่แล้วยกปูนออกจากตักของตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืน
“มี ช่วยทำกับข้าวหน่อยสิ ฉันหิวแล้ว”
คณิตพูดแล้วเดินเข้าครัวไปทำเป็นไม่สนใจเด็กหนุ่มที่เหวอเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้แล้วของวัน ปูนกัดฟันแล้วบ่นอุบ รู้สึกว่าป๋าของเขานี่ชักจะรับมือยากขึ้นเรื่อยๆผิดกับช่วงแรกๆที่เจอซึ่งเขาสามารถเอาคืนอีกฝ่ายได้อย่างแสบสัน แต่สำหรับตอนนี้ที่เขาอยู่ในสถานะซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกับอีกฝ่ายคงจะให้มาปีนเกลียวอย่างเมื่อก่อนคงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก ร่างเล็กจึงได้แต่ฮึดฮัดอยู่ฝ่ายเดียวแล้วเดินตามแผ่นหลังกว้างของคณิตเข้าไปในครัว
“อยากกินอะไรล่ะครับ แทบไม่มีของสดเลยนะ”
ร่างเล็กสำรวจของกินเล็กๆน้อยๆที่พวกเขาซื้อมาจากห้าง ดูแล้วยิ่งปวดหัวเพราะของที่ซื้อมาแทบไม่มีอะไรน่าจะมาทำเป็นอาหารได้เลย มีแต่มันฝรั่งทอดกรอบ ไส้กรอก มาม่า แล้วก็ไข่ ปูนหันไปหาคณิตเพื่อขอความคิดเห็นชายหนุ่มจึงยืนมองวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างจำกัดอยู่สักพัก ก่อนจะปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้
“มาทำ ‘ไอ้นั่น’ กันดีกว่า!”
“ ‘ไอ้นั่น’ ที่ว่าคืออะไรล่ะครับ อย่าบอกนะว่ามาม่าใส่ไส้หรอก”
“ก็มาม่านั่นแหละ แต่มันพิเศษกว่าหน่อย”
คณิตยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยิบถ้วยชามที่ถูกวางอยู่บนชั้น ชายหนุ่มสั่งให้ปูนเอามาม่ามาทุบให้แหลกพร้อมกับมันฝรั่งทอดที่ร่างเล็กกะจะเก็บไว้กินตอนเล่นเกมกลางดึกแต่พอโดนคนซื้อสั่งเขาก็ขัดไม่ได้ ส่วนคณิตก็เริ่มเอาไส้กรอกมาหั่นด้วยท่าทางเก้ๆกังๆจนปูนต้องแอบมองด้วยความอนาถใจ หนุ่มใหญ่ที่เคยออกคำสั่งลูกน้องด้วยความมาดมั่นกลับต้องมาเสียมาดเพราะการหั่นไส้กรอกสลับกับการสะดุ้งเป็นพักๆจนปูนทนไม่ไหวอาสาของทำเองนั่นแหละ
“อย่าหั่นเล็กแบบนั้นสิ ให้ใหญ่กว่านี้หน่อย”
“คุณกะทำอะไรก็บอกผมสิครับจะได้กะขนาดถูก”
“ทำไปเถอะน่า รับรองอร่อยแน่”
ปูนถอนหายใจแต่ก็ยอมทำตาม หลังจากหั่นไส้กรอกทั้งหมดเสร็จ คณิตก็สั่งให้ร่างเล็กนำไข่มาตีให้เข้ากันส่วนตัวเองนั้นก็แยกไปหาน้ำมันพืชที่เก็บไว้ในครัวรวมกับเครื่องปรุงพื้นๆที่แม่ของตนเคยจัดหาเอาไว้ให้ตอนที่ย้ายเข้ามาใหม่ๆ ร่างสูงนำกะทะเทฟล่อนอย่างดีที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อนมาตั้งไฟแล้วรินน้ำมันลงไปพอประมานโดยมีปูนคอยกำกับสั่ง ทำมาถึงขั้นนี้เด็กหนุ่มก็เริ่มเดาออกแล้วว่าคณิตตั้งใจจะให้เขาทำอะไรให้กินกันแน่
“จะทำให้ลำบากทำไมไม่รู้ กินมาม่าเฉยๆสบายกว่าไหมเนี่ย”
“เธอนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยสินะ อาหารมันก็เหมือนศิลปะนั่นแหละ กินแบบธรรมดามันก็อร่อยดี แต่ช่างไม่สุนทรีย์เอาซะเลย”
“ครับๆ สุนทรีย์มากๆเลย”
ร่างเล็กยิ้มกว้างแล้วชูไส้กรอกรูปร่างประหลาดที่คณิตหั่นมันเป็นชิ้นแรกๆขึ้นมาดูก่อนจะนำมันลงไปชุบไข่สลับกับคลุกด้วยมันฝรั่งทอดกรอกและเส้นมาม่าที่บดไว้จนกลายเป็นก้อนกลมๆ คราวนี้ถึงขั้นตอนที่คณิตจะพอช่วยได้บ้าง ชายหนุ่มจึงอาสาเป็นคนทำมันเองแล้วปล่อยให้ปูนจัดการนำทุกอย่างลงไปทอดเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ถูกกับน้ำมันเลยสักนิด ทำทีไรมีอันได้แผลกับมาทุกทีแต่ปูนที่ฟังอยู่ก็ขัดขึ้นมาก่อนว่าคณิตน่ะไม่เหมาะกับอะไรสักอย่างนั่นแหละ
“พูดมากว่ะ ทอดๆไปเถอะดูสิมันแตกแล้วเห็นไหม”
“คุณก็อย่าชุบให้มันหนาไปสิ แล้วก็กดให้แน่นๆด้วย”
คณิตพยักหน้ารับแล้วทำตามที่เด็กหนุ่มบอกปูนก็ทยอยทอดไปเรื่อยๆจนไส้กรอกทอดรูปร่างแปลกตาวางอยู่เต็มจานดูสวยงามซึ่งคณิตรับหน้าที่ตกแต่งจานที่ว่าเอง ปูนมองคนตัวโตที่ดูภูมิอกภูมิใจกับอาหารตรงหน้าไม่น้อยซึ่งมันก็คงน่าภูมิใจอยู่หรอกนะ ถ้าทำเป็นไม่เห็นครัวที่กลายสภาพเป็นสนามรบไปแล้วน่ะนะ
“ปูน มาถ่ายรูปกัน”
ปูนที่กำลังเจ็บจานชามที่ใช้แล้วไปแช่ไว้ในซิ้งล้างจานถูกคณิตที่กำลังใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องรูปถ่ายรูปอาหารอยู่นั้นดึงแขนแล้วลากเข้าไปใกล้ก่อนที่แผ่นหลังของปูนจะปะทะเข้ากับอกอุ่นของอีกฝ่าย
“ถือจานไว้สิ ฉันจะกดชัตเตอร์เอง”
คณิตส่งจานที่มีไส้กรอกทอดวางไว้ให้ปูนถือโดยที่ในจังหวะที่คนตัวสูงกำลังจัดแจงท่าทางการยืนให้ปูนนั้นเด็กหนุ่มก็ได้กลิ่นใบมิ้นท์อ่อนๆลอยมาจากตัวของอีกฝ่ายไปด้วย เด็กหนุ่มเก็บอาการของตัวเองได้ดีเยี่ยมเขาหันไปมองกล้องแล้วส่งยิ้มกว้างเช่นเดียวกับคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“หนึ่ง...สอง...ซั่ม”
ทั้งคู่เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นทุกครั้ง ท่าทางที่เคยต้องคิดจัดเปลี่ยนเป็นลื่นไหลไปตามจังหวะชัตเตอร์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ปูนยิ้มให้คณิตและคณิตก็ยิ้มให้ปูนเช่นกันจนในจังหวะสุดท้ายที่ร่างสูงให้สัญญาณกดชัตเตอร์นั้น จมูกรั้นก็ปูนก็จรดลงบนแก้มของคณิตซึ่งยกขึ้นตามรอยยิ้มกว้างๆที่ชายหนุ่มแสดงออกมา ทุกอย่างรอบตัวเงียบลงไปแม้แต่เสียงหัวเราะที่เคยดังไปทั้งห้องก็หายไปด้วย
“ค่าแรงครับ”
ปูนหวังให้คำพูดของตัวเองทำลายบรรยากาศที่เป็นอยู่แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถอยไปตั้งหลักริมฝีปากของปูนก็ถูกช่วงชิงไปอย่างเอาแต่ใจจนเด็กหนุ่มรีบวางจานในมือลงแทบไม่ทัน ปูนเอนคอเล็กน้อยแล้วรอรับสัมผัสที่คณิตตั้งใจมอบให้กับเขาด้วยหัวที่ว่างเปล่า ปากของร่างเล็กเจ็บจนชาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงตอบสนองกลับไปอย่างไม่น้อยหน้าจนชายตรงหน้าครางฮือออกมาอย่างพอใจ ทั้งคู่ผละกันออกมาแล้วถูกดึงดูดให้เข้าไปหากันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนปูนไม่รู้ตัวว่าเขาขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ครัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างเล็กกอดรัดร่างกายของคณิตไว้ในขณะที่คณิตก็กำลังด่ำดิ่งลงไปในรสสัมผัสนั้นเช่นกัน ร่างสูงใช้มือลูบไล้ไปตามสาบเสื้อของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาที่กำลังถูกสวมอยู่บนร่างของปูนอยู่ไม่รีบร้อน แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักลงไปเพราะเสียงโทรศัพท์ของร่างเล็กที่กำลังร้องระงมอย่างบ้าคลั่ง
“ไปรับสิ...”
คณิตพูดขึ้นหลังจากถอนริมฝีปากออกมาเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วกลัดกระดุมของปูนให้เข้าที่พลางตำหนิตัวเองที่เกือบเผลอทำเรื่องบ้าๆในครอบครัวของตัวเองไปซะแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจพูดได้ว่าเรื่องทุกอย่างเป็นฝีมือของคนตัวเล็กที่กำลังทำนั่งแก้มแดงอยู่ตรงหน้า นึกแล้วอยากจะทุ่มตัวใส่ตู้เย็นแรงๆ โตแล้วนะคณิต! หัดควบคุมตัวเองซะบ้าง!
“ไม่มีใครโทรเข้าหรอกครับ ผมแค่ตั้งปลุกไว้”
ปูนว่าก่อนจะหยุดเสียงโทรศัพท์ที่เข้ามาทำลายจังหวะทุกอย่าง คณิตเลิกคิ้วขึ้นเพราะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปก่อนจะอุ้มปูนลงมายืนบนพื้นเพราะพอจะรู้ตัวอยู่ว่าปูนขึ้นไปนั่งตรงนั้นด้วยฝีมือของเขาเอง ร่างสูงหยิบจานไส้กรอกที่เย็นลงเล็กน้อยไปวางไว้บนพื้นหน้าโทรทัศน์ซึ่งพวกเขาเล่นเกมค้างกันไว้อยู่ ส่วนปูนก็อาสาไปเทซอสมะเขือเทศใส่ถ้วยเพื่อใช้กินคู่กัน
“ปูน หยิบเบียร์ในตู้เย็นให้ฉันด้วย”
คณิตหันไปบอกปูนทันทีที่นึกขึ้นได้ ร่างเล็กที่กำลังทำอะไรบางอย่างกับโทรศัพท์ด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์นักก็หันมารับคำก่อนจะเก็บมันลงในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปหยิบเบียร์ให้ตามที่เจ้าของบ้านบัญชา
“ทำอะไรอยู่ครับ”
ร่างเล็กที่หอบเบียร์มาเต็มสองมือถามขึ้นทั้งๆที่เห็นอยู่ว่าคณิตกำลังใช้โปรแกรมไลน์อยู่เต็มสองตา ชายหนุ่มหันมายิ้มให้คนข้างๆก่อนจะหันหน้าจอโทรศัพท์เพื่อให้ปูนเห็นหน้าจอสนทนาระหว่างตนเองกับอาม่าที่คณิตเพิ่งส่งรูปอาหารและรูปที่พวกเขาถ่ายเพื่อกันเมื่อครู่ไปใหญ่หญิงชราคนสำคัญดู แน่ล่ะว่ามันไม่ใช่รูปสุดท้ายแน่ๆ แต่มันก็ผิดจากสิ่งที่เขาคาดอยู่ดี
“อาม่าบอกว่าน่ากินดีแต่ฟันอาม่าคงเคี้ยวไม่ไหว ฮ่าๆ”
“ป๋า...”
“หื้ม?”
“ส่งไปแบบนี้จะดีหรอ”
รอยยิ้มของคณิตชะงักไปแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียว ชายหนุ่มหันมามองคนข้างกายที่ทำหน้านิ่งก่อนจะยกมือมายีหัวของปูนแรงๆจนร่างเล็กร้องเสียงหลง
“คิดมาก ถ้าไม่ดีฉันไม่ทำหรอก”
ไม่พูดเปล่า คณิตส่งรูปอื่นไปเพิ่มโชคดีที่หญิงชราไม่ได้สนใจถามว่าเด็กผู้ชายที่อยู่เคียงข้างหลานชายของตัวเองในรูปเป็นใคร มาจากไหน และอยู่ในฐานะอะไร สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยในฝีมือการทำอาหารที่คนบ้านนี้รู้กิตติศัพท์กันดีอยู่แล้วบวกกับสติ๊กเกอร์ไลน์ที่บางทีก็ไม่ได้คล้องจองกับเนื้อหาที่พูดอยู่เลย
ปูนเห็นดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมา ทั้งชอบใจในความสนิทสนมของสองยายหลานที่เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาพอสมควร รวมไปถึงการกระทำของคณิตที่สะกิดใจร่างเล็กให้คิดถึงใครคนหนึ่ง
คนที่เคยทำอาหารด้วยกัน
เคยยิ้มให้กัน
เคยร้องไห้ด้วยกัน
เคยจูบกัน...แต่กลับไม่เคยอยู่เคียงข้างกัน
ใครคนนั้นซึ่งทำให้ปูนไม่อยากคิดไปไกลกว่านี้...
“เออ ส่งไปให้มันด้วยดีกว่า”
“จะส่งไปให้ใครอีกเนี่ย มากินได้แล้ว เดี๋ยวเย็นหมด”
“ส่งให้เพื่อนน่ะ คนคิดเมนูที่ทำกันไปเนี่ยแหละ มันเคยสอนให้ทำสมัยเรียนแต่ตอนนั้นฉันไม่ได้เรื่อง ฮ่าๆ ต้องส่งไปอวดมันซะหน่อย”
คณิตเปิดหารายชื่อของเพื่อนคนนั้นก่อนจะเปิดเข้าไปส่งรูปของอาหารรวมไปถึงรูปคู่กับปูนพ่วงท้ายไปด้วยเพราะรู้ดีว่าเจ้าเพื่อนคนนี้มีเสปคแบบไหน ถึงจะพอรู้มาบ้างว่ามันมีคนรักที่พร้อมจะจริงจังด้วยแล้ว แต่ตามประสาเพื่อนสนิทถ้ามีทางให้แกล้งมันได้เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำ
“เฮ้ย อย่าเพิ่งดิ กินไม่รอเลย!”
“อ้าว กินทำไมล่ะ เล่นต่อไปสิโทรศัพท์น่ะเดี๋ยวผมกินเอง”
ร่างสูงวางโทรศัพท์ของตัวเองลงอย่างไม่ใส่ใจแล้วรีบหันไปฉกไส้กรอกชิ้นที่ปูนกำลังจะส่งเข้าปากมากินเองก่อนที่เสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะของทั้งสองคนจะดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่รูปทั้งหมดก็ถูกส่งไปถึงคนไกลแล้วเช่นเดียวกัน
‘ P. Rattikarn ’
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
มาแว้วววววทั้งเช่และพี่กาล :katai5: พี่กาลจะกลับมาป่วนชีวิตรักน้องปูนไหมเนี่ย กำลังหวานใส่กันได้ที่เลย เรื่องแบบนี้จะว่าเขียนง่ายก็ง่ายว่ายากก็ยากนะคับ รู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน ชีวิตช่วงนี้เลยมุ้งมิ้งแบบแปลกๆ :o8:
กำลังจะปีใหม่แล้ว ดูแลสุขภาพเที่ยวกันให้สนุกนะคับ ไม่รู้ว่าตอนต่อไปจะมาทันปีใหม่เป็นของขวัญให้ทุกคนได้ไหม แต่ที่แน่ๆจะมีการยิงสปอยเรื่อ Nightmare บางส่วนให้ทุกคนได้ใช้ในการตัดสินใจซื้อกัน ถ้าทำได้จะพยายามนะคับ เพราะตอนหน้าเรื่องใจแตกก็ดำเนินมาถึงตอนที่10แล้วด้วย! (จากกี่ตอนก็ไม่อาจทราบได้) :z2:
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับที่ติดตามกันมาตลอด และขอบคุณคนที่ให้โอกาสเช่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ด้วย เช่หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับนิยายที่เช่แต่งนะคับ รักตลอดเลย :impress2:
-
กาลอย่ามายุ่งกับน้องนะ :katai1:
-
กาลอย่ามายุ่งกับน้องเลย แค่นี้ปูนก็น่าสงสารพอแล้ว
แต่ถ้ามองในแง่ดี การที่กาลกลับมาอาจจะทำให้ทั้งสองพัฒนาความสัมพันก็ได้
-
เราว่าพลัสแลดูน่ากลัวกว่ากาลอีก
ว่าแต่พลัสนี่ชอบปูนหรอ :hao6:
-
เอาแล้วไง
ป๋าทำอาหาร น่ารักมุ้งมิ้งอ่ะ
-
คิดว่ารัตติกาล น่าจะทำให้คณิตเข้าใจปูนมากกว่านะ
อย่างน้อย ก็ในฐานะที่ทำให้ปูนต้องเป็นอย่างตอนนี้แหละ
-
อุตะ บังเอิญไปละ
-
ชอบฉากน่ารักๆแบบนี้อ่ะ
-
แตกที่ 10
…เพื่อนเก่า...
วันหยุดผ่านพ้นไปแต่ละชีวิตก็ต้องกลับเข้าสู่วงเวียนการทำงานตามปกติ ดังนั้นปูนจึงใช้เวลาช่วงค่ำคืนของวันอังคารไปกับการชงเครื่องดื่มให้แขกในบาร์ที่โรงแรมที่มีคนเข้ามาใช้บริการเรื่อยๆแม้ว่าจะไม่มากมายเหมือนวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือการรับลูกค้าของปูนที่ขาดช่วงไปเลยตั้งแต่ได้ทำข้อตกลงกับคณิต ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มยินดีทำตามกฎสามข้อบ้าบออะไรนั่นหรอก เพียงแต่ของแบบนี้มันก็อาศัยจังหวะเวลาบวกกับความพอใจที่เขามีในตัวชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่คนนั้นมันมากพอจนพลอยหมดความกระเตื้องไปด้วย
“ปูน ขอเวลคัมดริ้งสามแก้ว”
บอยที่เข้ามาทำงานวันนี้เช่นกันเดินมาสั่งเครื่องดื่มกับปูนในจังหวะที่ไม่มีใครสั่งอะไรเพิ่มพอดี เด็กหนุ่มผงกหัวรับก่อนจะลงมือทำม็อกเทลง่ายๆให้จนได้มาเป็นเครื่องดื่มมีแดงเลือดนกแบบเดียวกับสีของโรงแรมถูกรินไว้ในแก้วใบเล็กรูปร่างสวยงาม ชายหนุ่มยืนมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของปูนทุกครั้งเวลาที่ได้ทำงานซึ่งมันก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องบางเรื่องที่ได้ยินมาอีกที
“ได้ข่าวว่า The Next อยากดึงตัวมึงไปทำงานที่นั่น”
“หื้ม? ไปได้ยินมาจากไหนล่ะ”
ปูนทำแกล้งไก๋ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่รอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากก็ทำให้บอยสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขารู้มาเป็นเรื่องจริง
“ไปทำอีท่าไหนเขาถึงเกิดสนใจมึงขึ้นมา”
“ไม่รู้สิ ติดใจฝีมือผมตอนไปช่วยงานคราวนั้นมั้ง”
ฟังดูเข้าท่า...แต่ร่างใหญ่คิดว่าเหตุผลมันคงไม่ได้มีแค่นั้น ถึงแม้จะผ่านมาสักพักแต่เขาก็ยังจำตอนที่ปูนโทรมาบอกว่าจะเข้าไปช่วยงานทางนั้นในงานวันที่สองทั้งๆไม่มีการรีเควสมาแต่สุดท้ายคุณเมษก็โทรมาบอกกับหัวหน้าทีมที่หลังว่าตัวเองเป็นคนอนุญาตปูนให้ไปทำงานกับทางนั้น พอได้ฟังบอยก็ไม่ได้คิดอะไรมากแต่สิ่งที่จุดความสงสัยให้ชายหนุ่มยิ่งกว่าคงเป็นการที่ปูนออกตัวว่าจะกลับมาชลบุรีกับทางทีมของ The Next แทน
“มึงไปอ่อยใครไว้รึเปล่า”
คำถามตรงประเด็นของบอยทำให้มือที่กำลังรินยินลงในแก้วชะงัก ปูนไม่ได้ตอบอะไรเขารอจนกระทั่งพนักงานคนหนึ่งที่กัปตันหนุ่มเรียกมาให้นำเวลคัมดริ้งลงไปให้กับรีเซฟชั่นด้านล่างเดินพ้นไปก่อนจึงยอมเปิดปาก
“ถามแบบนี้พี่เห็นผมเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย”
“แรด กวนตีน อวดดี ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
ปูนรีบยกมือขึ้นห้ามไม่ให้บอยพูดอะไรออกมามากกว่านี้
“พอๆ นี่น้องนะเว้ย ไม่ต้องสรรเสริญกันขนาดนั้น”
“หึ ถ้ามีน้องอย่างมึงกูบีบคอมันตายไปนานแล้ว”
บอยแกล้งผลักหัวปูนเบาๆโดยที่ร่างเล็กก็ทำตาเขียวกลับไปพลางคิดไปว่าคงไม่มีวันไหนที่เขากับชายคนนี้จะคุยกันดีๆได้สักที
“ตกลงมึงไปถวายตัวให้ใครเขาเข้า สารภาพมาก่อนที่กูจะโมโห”
“สารภาพอะไรกันล่ะ พูดซะอย่างกับว่าผมไปทำผิดมา”
“ผิดไหมกูไม่สน แต่กูไม่ชอบความวุ่นวาย...กูเคยบอกมึงแล้วว่าอย่าให้การกระทำของมึงมาทำให้งานเสีย”
เสียงของร่างใหญ่กดต่ำลงจนปูนรู้สึกได้แต่ก็ยังคงรักษาท่าทางผยองไว้ได้อย่างดี เด็กหนุ่มเลื่อนแก้วที่มียินรินอยู่ในปริมานพอเหมาะให้กับคนตรงหน้าก่อนจะพูดความในใจของตัวเองออกมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมปฏิเสธทางนั้นไปแล้ว”
“...”
“มันก็เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ถึงจะติดใจอยู่บ้าง...แต่ก็ไม่นานหรอก”
“แสดงว่ามันยังไม่จบ?”
“อ่าฮะ”
ปูนส่งรอยยิ้มแสนอ่อนหวานให้บอยโดยไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่มันให้กับแขกผู้ชายที่นั่งมองเขาอยู่นานสองนาน บอยเองพอเห็นว่าปูนยังไม่ทิ้งลายก็ถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่ายและสมเพชในวังวนที่ร่างเล็กสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ที่ว่าไม่นานน่ะแค่ไหน กี่วัน...กี่เดือน...หรือกี่ปี”
“ฮ่าๆ นั่นก็นานไปป่ะ แต่ก็ไม่รู้สิ...จนกว่าเขาจะเบื่อผมล่ะมั้ง”
“...”
“ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายปากร้ายอย่างเขาจะทำให้ผมพอใจได้ขนาดนี้ คงไม่มีใครไม่รู้สึกดีเวลามีคนมาอ่อนโยนด้วยหรอกจริงไหม...ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ”
บอยมองสีหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เปลี่ยนไปยามพูดถึงชายคนนั้น มันช่างเพ้อฝันแต่ก็เจือไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวดลึกๆเสียจนทำให้เขานึกถึงวันที่รุ่นน้องคนนี้เล่าเกี่ยวกับชายคนหนึ่งให้เขาฟัง จริงอยู่ที่ตอนนี้ปูนเปลี่ยนไปแล้วแต่สำหรับบอยคนตรงหน้าไม่ได้ฉลาดขึ้นเลยสักนิด
ในวันนั้นปูนโง่ยอมให้คนอื่นทำร้าย
และในวันนี้ปูนก็ยังโง่...ด้วยการทำร้ายตัวเอง
“มึงนี่...ไม่เข็ดเลยนะ”
“...”
“ในเมื่อรู้ว่าจะต้องจบ ทำไมไม่หยุดมันซะตอนนี้”
ปูนนิ่งไปก่อนจะหยิบแก้วที่ตอนแรกเขายกมันให้กับบอยขึ้นมาดื่มแทน เขาเข้าใจความหวังดีและแววตาสมเพชที่มองมายังเขาดี เพราะปูนเองก็เห็นมันทุกครั้งที่ส่องกระจก เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นแบบนั้น...เขาก็เลือกที่จะปิดตาลงทุกที
“เพราะมัน...น่าเสียดายน่ะสิ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“โอ้ย ร้อน ทำไมมันร้อนอย่างนี้เนี่ย!!!!”
เอมมิกาตะโกนท่ามกลางแดดนร้อนระอุของเมืองบางแสนโดยไม่สนสายตาของผู้คนที่มองมาเลยสักนิดผิดกับพลัสที่พยายามร้องขอให้เพื่อนสาวหยุดโวยวายทั้งๆที่ตัวเองก็ปวดหัวกับจักรยายนต์ที่สตาร์ทไม่ติดของตนจะแย่
“เบาๆสิเอม คนมองกันหมดแล้ว”
“ก็ทำให้คนมองอยู่เนี่ย จะได้มีคนเข้ามาช่วยเราซะที แม่ง! ทำไมต้องมาเสียตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้ จะไปเรียนทันไหมว่ะเนี่ย”
หญิงสาวบ่นออกมาอย่างหัวเสีย เพราะระหว่างที่พลัสกำลังขี่รถจักรยานยนต์คันเก่งพาเธอไปเข้าเลคเชอร์คาบบ่าย จู่ๆมันก็เกิดดับขึ้นมาดื้อๆโดยที่เจ้าของก็ไม่รู้สาเหตุแต่ถ้าถามเอมมิกาล่ะก็เธอรู้...เพราะมันเก่าไง!
“เอมนั่งวินไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวเราจะจูงไปร้านซ่อมเอง”
“เรื่องอะไรล่ะ จะโดดก็โดดด้วยกันสิวะ”
“เราไม่ได้ตั้งใจจะโดดนะ เดี๋ยวส่งร้านเสร็จเราค่อยตามไป”
“ไม่รู้แหละ ตกลงแกจะเข็นใช่ไหม งั้นเอากระเป๋ามาฉันถือเอง”
ร่างบางส่ายหัวให้เพื่อนน้อยๆ ถึงปากจะบ่นว่าร้อนว่าไม่อยากเรียนแต่จริงๆเอมมิกาก็แค่ไม่อยากทิ้งให้เขาเผชิญปัญหาคนเดียวเท่านั้น พลัสส่งกระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเองให้อีกฝ่ายช่วยถือแต่โดยดีก่อนที่ตัวเขาเองจะค่อยๆออกแรงเข็นรถไปตามริมถนนที่ร้อนระอุ ไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายหรือความบังเอิญที่วันนี้พลัสเลือกขับรถมาตามเส้นทางหลักแทนที่จะเป็นทางลัดที่ระยะทางสั้นกว่าเหมือนกับทุกวันเพียงแค่เพราะอยากแวะซื้อขนมปังเจ้าอร่อยที่อยู่ติดกับถนนใหญ่เท่านั้น ระหว่างทางเอมมิกาก็หาเรื่องชวนเขาคุยไปเรื่อยๆเพื่อให้ไม่เหงาแต่ด้วยแดดที่ร้อนมากบวกกับแรงที่เสียไปทำให้ร่างโปร่งแทบจะไม่ได้ฟังคำพูดของหญิงสาวเลยสักนิด เขาคิดแค่อยากจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วเจออู่ซ่อมรถดีๆสักที แต่มันก็ยังไม่ใช่
“พักหน่อยไหมแก หน้าแกแบบไม่ไหวแล้วว่ะ”
“ไม่เป็นไร เราอยากเข็นทีเดียวให้เสร็จ”
“มันจะไปเสร็จได้ยังไงล่ะ! ไอ้ร้านบ้านี่ก็อยู่ไกลชะมัด!”
เอมมิกาเดินเข้ามาใช้แฟ้มของเธอพัดลมใส่หน้าของพลัสด้วยความเป็นห่วงแต่เม็ดเหงื่อก็ยังคงผุดขึ้นตามไรผมของร่างบางไม่หยุด เธอมองไปรอบๆเผื่อจะหาคนรู้จักที่พอจะช่วยเหลือพวกตัวได้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจเพราะมันเป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่นักศึกษาแต่ละคนก็กำลังรีบเพื่อที่จะเข้าชั้นเรียนเหมือนกัน
ปี๊นๆ
“น้องรถเสียหรอ!”
จู่ๆก็มีเสียงบีบแตรดังมาจากด้านหลังจนทำให้ทั้งสองคนเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ พลัสที่สายตาพร่าเลือนมากขึ้นทุกทีหันไปมองรถยนต์สีขาวคันใหญ่ที่ตีไฟเลี้ยวก่อนจะจอดลงตรงริมฟุตบาทถัดจากพวกเขาไปโดยที่เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นหรือรู้จักเจ้าของรถคันนี้มาก่อน แต่ไม่ต้องรอให้คิดนานเมื่อชายร่างสูงเจ้าของเสียงตะโกนเมื่อครู่กำลังก้าวลงมาจากฝั่งคนขับด้วยสภาพที่สวมสูทเนี้ยบทั้งตัว
“ว่าไงครับ รถเป็นอะไรหรอ”
“คะ คุณคณิต!!”
เอมมิกาที่ยืนเพ่งอยู่นานว่าเจ้าของรถคนนั้นเป็นใครเผลอพูดเสียงดังเมื่อคนที่เหมือนกับเป็นฮีโร่ของเธอในสถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มคนดังที่สาวๆต่างก็หมายปอง
“อ้าว รู้จักผมด้วยหรอครับ?”
“คือจะว่ายังไงดีล่ะคะ ใครกันบ้างที่จะไม่รู้จักพี่ จริงไหมพลัส!”
หญิงสาวหันไปหาแนวร่วมโดยที่ลืมไปเลยว่าก็พลัสเนี่ยแหละที่ไม่รู้จักคณิตจนกระทั่งเธอพูดเรื่องชายหนุ่มให้ฟังเมื่อวันก่อน ร่างบางยิ้มให้แกนๆก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายอย่างพินิจ...ไม่ผิดแน่ ผู้ชายคนนี้คือคนที่อยู่กับปูนเมื่อวันก่อน
“ฮ่าๆ ช่างเถอะ ว่าแต่รถเป็นอะไรครับ ยางแบนหรอ”
“เปล่าครับ เครื่องมันดับแล้วก็สตาร์ทไม่ติด”
“น้ำมันหมดถังรึเปล่า ได้เช็คไหม”
“เช็คแล้วครับ ผมเพิ่งเอาไปเติมมาเมื่อวาน”
“แล้วลองสตาร์ทเท้ารึยัง”
“ลองแล้วแต่ก็ไม่ติดครับ”
ถึงพลัสจะบอกอย่างนั้น แต่คณิตก็ขอเป็นฝ่ายลองทำเองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ร่างสูงปลดเสื้อสูทของตัวเองออกก่อนจะพับแขนเสื้อที่แต่เดิมถูกกลัดกระดุมอยู่ตรงข้อมือให้ร่นขึ้นไปจนเห็นท่อนแขนขาว พลัสที่ตอนนี้ต้องรับหน้าที่ช่วยถือเสื้อสูทของคณิตถอยออกมาเพื่อให้ชายหนุ่มได้ลองสตาร์ทและเช็คเครื่องยนต์เบื้องต้นแทนทั้งที่สงสัยว่าคนคนนี้ไม่มีธุระทำรึไงแล้วอีกอย่างคือจะมาช่วยพวกเขาทำไม
“ว่าไงคะคุณคณิต พอจะรู้ไหมคะว่าเป็นเพราะอะไร”
“อาจจะเป็นที่แบตไม่ก็ไดสตาร์ทนะ งานนี้ต้องช่างอย่างเดียวเลย แถมซ่อมนานซะด้วยสิ”
หญิงสาวหน้าถอดสี พอๆกับพลัสที่รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทนเข็นรถในสภาพร้อนจัดแบบนี้ต่อไป ร่างสูงพอเห็นสีหน้าของเด็กทั้งสองคนก็ก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง พอเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกมากก่อนจะถึงตอนเข้าประชุมชายหนุ่มจึงเสนอตัวช่วยเหลือ
“เอางี้ เดี๋ยวพี่โทรให้ช่างที่รู้จักมาเอารถไปซ่อมให้ ส่วนพวกเราเดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งให้เอง มีเรียนคาบบ่ายด้วยใช่ไหม”
“มีค่ะ แต่จะดีหรอคะพี่ คือพวกเอมเกรงใจน่ะค่ะ”
เอมมิกาตอบกลับไปพร้อมกับถือวิสาสะเรียกคณิตว่าพี่ แต่ก็เพราอีกฝ่ายเรียกแทนตัวเองแบบนั้นก่อนนั่นแหละเธอก็กล้าทำ ส่วนพลัสก็ไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงมองฝ่ายตรงข้ามอย่างสังเกตเท่านั้น
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ช่วยๆกัน เราสองคนไปนั่งรอพี่ในรถก่อนก็ได้”
คณิตมัดมือชกคนทั้งสองด้วยการเดินไปเปิดประตูรถด้านหลังให้ก่อนจะกดโทรศัพท์หาเบอร์ช่างซ่อมที่เขาพอจะรู้จักอยู่บ้าง เอมมิกาเองพอเห็นอย่างนั้นก็รีบพาตัวเองเข้าไปนั่งด้านในโดยไม่ลืมที่จะลากพลัสที่มัวแต่ยืนอิดออดให้เข้ามานั่งตาม แอร์เย็นๆที่ยังคงทำงานอยู่เพราะคณิตสตาร์ทรถทิ้งไว้ทำให้ทั้งคนที่อยากจะนั่งรถของชายหนุ่มและคนที่ไม่อยากเผลอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย โดยเฉพาะเอมมิกาที่เริ่มจะสรรเสริญคณิตเว่อร์ขึ้นอีกเท่าตัว
“โอ้ย พ่อพระอะไรอย่างนี้ หล่อ รวย เก่ง จิตใจก็ดีอีก ฉันอยากได้อ่ะแก!”
“เบาๆเถอะเอม ถ้าเขาได้ยินเดี๋ยวก็ไล่เราลงจากรถหรอก”
“เดี๋ยวๆ พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงวะ แต่จะว่าก็ว่าเถอะนะ พี่คณิตนี่ผู้ชายในฝันเลยว่ะแก ถ้าไม่ได้เขาช่วยเรานี่แย่เลยเนอะ”
พลัสนั่งฟังเอมมิกาพูดไปตามเรื่องโดยที่ตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงใหญ่ของคณิตซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอก ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะรู้ว่าคณิตอยู่ในสถานะไหนกับปูนพลัสเองก็คงรู้สึกชื่นชมอย่างที่เอมมิกาว่า แต่กลับกันความมีน้ำใจและไมตรีที่อีกฝ่ายแสดงออกไม่ได้ทำให้พลัสรู้สึกดีเลยสักนิด ผู้ชายแสนเพอร์เฟคแบบนี้น่ะหรอที่ปูนชอบ คนที่ทั้งหล่อ รวย เก่ง จิตใจดีงาม ช่างเป็นผู้ชายที่แตกต่างกับเขาราวฟ้ากับเหวจริงๆ
“เอาเบอร์นี้ไปนะ ช่างบอกว่าเย็นๆคงจะเสร็จเราก็คอยโทรไปเช็คดู”
คณิตที่กลับขึ้นมาบนรถหลังจากรอช่างอยู่สักพักยื่นกระดาษที่มีเบอร์ของช่างซ่อมไว้ให้กับพลัสที่รับมันมาโดยไม่แสดงท่าทางใดๆ ร่างสูงเองพอเห็นสีหน้าที่พยายามทำเป็นนิ่งเฉยแต่กลับไม่สามารถปกปิดความไม่ชอบใจที่พยายามเก็บซ่อนไว้ก็นึกขำ เพราะมันทำให้เขาคิดถึงเด็กอวดเก่งคนหนึ่งขึ้นมาซะได้
“เออ พี่คณิตขำอะไรคะ”
เสียงของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวทำให้คณิตเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอขำออกมาจริงๆจึงหันไปยิ้มแกนๆให้ทั้งคู่เพราะเผลอเสียมารยาท
“เปล่าๆ พอดีเห็นน้องคนนี้ทำหน้าบึ้งเลยคิดถึงคนรู้จักน่ะ”
“อะ เออ พลัสคงร้อนน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
เอมมิการีบออกปากขอโทษแทนก่อนจะหันไปสะกิดให้พลัสขอโทษตาม แต่ก็โดนคณิตยกมือห้ามแล้วปฏิเสธการกระทำนั้น
“ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ว่าแต่เรียนตึกไหนกัน”
“ตึก K ค่ะ”
:really2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :really2:
-
คณิตร้องอ๋อก่อนจะตีไฟเลี้ยวแล้วพารถที่จอดอยู่นานให้วิ่งแล่นไปตามท้องถนนอีกครั้ง บทสนทนาต่างๆดำเนินไปเรื่อยๆโดยมีคณิตและเอมมิกาคอยสรรหาเรื่องสนุกๆมาพูดคุยกัน มีเพียงแต่พลัสเท่านั้นที่นั่งฟังนิ่งๆไม่แสดงความคิดเห็นอะไรแต่ภายในหัวกลับเริ่มเก็บรายละเอียดของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าตน ทั้งเรื่องที่แท้จริงแล้วร่างสูงจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังที่กรุงเทพก่อนจะเข้ามารับช่วงต่อกิจการของพ่อและแม่โดยที่ตอนนี้กำลังดำรงตำแหน่งผู้จัดการใหญ่เพื่อที่จะสามารถเรียนรู้และควบคุมการทำงานทุกส่วนได้ทั่วถึง
“โห อย่างนี้พี่ก็แทบไม่มีวันหยุดเลยสิ”
“ถ้าจะหยุดจริงๆก็ได้นะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ขอหรอก”
“แล้วแบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟนคะ”
ร่างสูงหันยิ้มผ่านกระจกมองหลังไปให้เอมมิกาที่แกล้งหยอดถาม แม้การแต่งกายและกริยาจะดูแรงๆไปบ้างแต่เขาก็พอดูออกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีเจตนาละลาบละล้วงอะไร คณิตเลยตอบไปโดยไม่คิดอะไรมาก
“ก็ไม่มีเวลาเนี่ยแหละ พี่เลยยังไม่มีแฟนสักที”
หญิงสาวพอได้ยินอย่างนั้นก็แกล้งหยอกไปตามประสาแต่คนอีกคนที่นั่งฟังอยู่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรเข้ามากระแทกช่วงท้องของตัวเองอย่างจัง พลัสเผลอกำมือของตัวเองแน่นเมื่อได้ยินกับหูว่าคณิตบอกว่าตัวเองไร้พันธะ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขาเห็นมามันคืออะไร ปูนขายตัวให้ผู้ชายคนนี้จริงๆใช่ไหม
“แล้วปูนล่ะ...”
เป็นอีกครั้งที่พลัสเผลอพูดออกไปตามที่ใจคิดแต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดที่พูดมันออกมา ส่วนคณิตที่เพิ่งเลี้ยวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยอันเป็นที่หมายนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปยังดวงตาที่แข็งขืนของร่างบางซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่เหมือนกัน
“ปูน? น้องรู้จักปูนด้วยหรอ?”
“ครับ...เราเป็น...เพื่อนที่ทำงานกัน”
พลัสอธิบายไปโดยไม่ต้องปล่อยให้คณิตเอ่ยถาม พอร่างสูงได้ยินคำตอบนั้นส่งเสียงรับในลำคอ เพียงแต่นึกแปลกใจนิดหน่อยที่เจ้าเด็กนั่นก็มีเพื่อนเหมือนกับคนอื่นเขา แถมดูแล้วนิสัยน่าจะคล้ายๆกันด้วย
“ปูนเราให้เราฟังหรอว่ารู้จักพี่”
“...เปล่าครับ แต่ผมเห็นพี่อยู่กับปูนที่ห้างเมื่อวันก่อน”
หญิงสาวเพียงคนเดียวนึกออกขึ้นมาทันทีว่าปูนที่เพื่อนชายของเธอพูดถึงคงจะเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กที่พลัสชี้ให้เธอดูเมื่อวันก่อน ด้านคณิตก็แปลกใจไม่น้อยที่บังเอิญมีคนที่รู้จักทั้งเขาและปูนเห็นเหตุการณ์ในวันนั้น จริงอยู่ที่คณิตไม่ได้ปกปิดอะไร แต่ถ้าพูดกันตรงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาโพนทะนาเหมือนกัน...
“อ่อ...วันนั้นนี่เอง พอดีพี่ให้ปูนเขามาช่วยเลือกซื้อของน่ะ”
คณิตถือว่าเขาไม่ได้โกหกอะไร ในเมื่อเขาก็ให้ปูนมาช่วยเลือกซื้อของจริงๆ แม้ว่าหลังจากนั้นจะเป็นการเดินเที่ยวของพวกเขาทั้งสองคนก็เถอะ พลัสพอได้รับคำตอบก็ผงกหัวแล้วเงียบไปแต่คราวนี้กลับเป็นฝ่ายคณิตที่เริ่มถามบ้างเพราะติดใจไม่น้อยว่าด้วยเหตุผลอะไร เด็กคนนี้ถึงได้พูดเหมือนคิดว่าปูนกับเขาเป็นแฟนกัน เอาน่า...ถือซะว่าตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
“เราชื่ออะไรนะ พลัสใช่ไหม?”
“ครับ”
“พลัสคิดว่าปูนกับพี่เป็นแฟนกันหรอ?”
เด็กหนุ่มปิดปากเงียบสนิท เช่นเดียวกับเอมมิกาที่มองทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างไม่รู้เรื่องอะไร คนที่เหมือนกับกำลังถูกถามต้อนสบตากับคณิตผ่านเงาสะท้อนโดยที่ตอนนี้รถคันหรูเทียบจอดอยู่หน้าตึกอันเป็นที่หมาย ความเงียบเกิดขึ้นท่ามกลางความกดดันที่พลัสรู้สึกได้ ถึงแม้จะมีรอยยิ้มแต่คณิตในยามนี้กลับทำให้เขาต้องถอยออกมาก้าวหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เปล่าครับ...”
“หรอ พี่นึกว่าตัวเองเผลอทำตัวให้ใครเข้าใจผิดซะอีก”
“...”
“เอาเป็นว่าพี่กับปูนเป็นแค่พี่น้องกัน สบายใจได้นะ พี่ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับเพื่อนของเราหรอก”
มันก็ต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าตัวเขาเต็มอกเต็มใจขนาดนั้น คณิตส่งยิ้มให้พลัสที่เผลอหลบสายตาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ชายหนุ่มจึงขำออกมาน้อยๆแล้วหันไปพูดกับเอมมิกาแทน
“อย่าลืมโทรไปหาช่างเย็นนี้ ที่หลังก็หัดเช็ครถให้ดีก่อนเอาออกมาใช้ การที่รถไม่พร้อมมันก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน”
“ค่ะ ขอบคุณพี่คณิตมากเลยนะคะ เป็นธุระให้ทุกอย่างเลย”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอก ตั้งใจเรียนนะครับทั้งคู่เลย”
หญิงสาวยิ้มรับก่อนจะเปิดประตูรถแล้วพาร่างของตัวเองออกไปก่อนทิ้งไว้เพียงแค่ร่างบางที่หันมาเผชิญหน้ากับคณิตอีกครั้ง
“ขอบคุณมากนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนพลัส”
“ครับ?”
“อ่ะนี่ เอานามบัตรพี่ไป”
กระดาษแผ่นเล็กสีงาช้างถูกสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเด็กหนุ่มที่ทำหน้าฉงนอย่างไม่เข้าใจ คณิตจึงยิ้มอ่อนโยนให้แล้วอธิบาย
“เผื่อมีปัญหาอะไรก็โทรหาพี่ได้นะ คนกันเอง”
คำพูดของคณิตวนเวียนอยู่ในหัวของพลัสจนกระทั่งรถคันนั้นขับเลยออกไป ร่างบางก้มมองดูของในมือตนซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรู้สึกไม่พอใจจนหญิงสาวที่ยืนข้างกันนั้นสังเกตได้ เธอไม่รู้ว่าหลังจากเธอลงมาจากรถแล้วคณิตไปพูดอะไรกับพลัสเข้า แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้คือมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
“เป็นคนแบบนี้เองสินะ...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
‘มาหาหน่อย’
ปูนที่เพิ่งเลิกงานในช่วงตีสองของวันอาทิตย์ยืนอ่านข้อความที่ถูกส่งมาถึงตัวเองเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วด้วยความแปลกใจ ก็ในเมื่อก่อนมาทำงานคนที่ส่งข้อความมานั้นเพิ่งบอกกับเขาไปหยกๆว่าอาทิตย์นี้คงปลีกตัวมากินข้าวด้วยไม่ได้แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจได้ไวขนาดนี้
‘ที่ไหนครับ? แล้วนี่หลับแล้วรึยัง?’
ปูนพิมพ์ข้อความตอบกลับไปก่อนจะวางมือถือไว้ในล็อกเกอร์เพื่อที่จะแต่งตัวให้เสร็จ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้สวมเสื้อเสียงเตือนก็ดังขึ้นแทบจะทันที
‘อยู่แถวหาด ตกลงมาหาได้ไหม’
ร่างเล็กนึกแปลกใจในถ้อยคำที่ปกติคณิตมักจะไม่ตอแยกับเขามากนัก ยังไม่รวมถึงการมานัดเจอในเวลานี้อีก หรือว่าจะอยากมาก?
‘ได้ อีกสิบยี่สิบนาทีเจอกันนะ’
“พาร์ทไทม์คนไหนยังไม่ได้เงิน เฮียบอยรออยู่ที่เคาน์เตอร์นะ!”
พนักงานคนหนึ่งที่ปูนจำชื่อไม่ได้เปิดประตูเข้ามาแล้วตะโกนเสียงดังจนทำให้ร่างเล็กพึงระลึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังให้ห้องแต่งตัวแห่งนี้ ปูนเหลียวหลังไปมองก็เห็นพนักงานชายหลายคนทั้งที่ทำประจำและทำเป็นพาร์ทไทม์ซึ่งแต่ละคนต่างก็อยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้ายกเว้นอยู่คนที่กำลังมองมาทางเขาไม่วางตา...
“มองอะไร”
ปูนพูดกับพลัสด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบที่เคยทำ มันไม่ใช่การหาเรื่องเขาเพียงแค่ถาม ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นจ้องกันมาซะขนาดนั้น
“เปล่า...”
พลัสปฏิเสธก่อนจะเบนสายตาหลบไปที่อื่นแต่ถึงอย่างนั้นปูนก็ยังสังเกตเห็นสีแก้มที่ขึ้นริ้วแดงเหมือนกับคนที่กำลังเขินอาย ปูนนึกสงสัยแต่ก็ต้องร้องอ่อเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆจากลมของเครื่องปรับอากาศที่ปะทะเข้ากับผิวกายขาวของเขา หึ...นึกว่าอะไร
“นี่...ติดกระดุมให้หน่อยสิ”
“...!!!”
ปูนที่คว้าเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของตัวเองมาสวมทับตัวไว้เดินเข้ามาหาพลัสทั้งที่ยังไม่กลัดกระดุมเลยแม้แต่เม็ดเดียว ร่างบางชะงักก่อนจะถอยหลังออกมาแต่ก็มีพื้นที่เพียงน้อยนิดทำให้แผ่นหลังของเขาปะทะเข้ากับตู้ล็อคเกอร์เข้าอย่างจัง การกระทำที่เหมือนกับว่ากำลังหวาดกลัวเรียกเสียงหัวเราะของปูนได้ชะงัก ผิดกับพลัสที่แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“ตะ ติดเองสิ”
“ขี้เกียจ...ติดให้แค่นี้ไม่ได้หรอวะ”
“แต่เรารีบ”
“แปปเดียว ไม่ได้บอกให้อยู่ติดทั้งคืนสักหน่อย”
“...”
“หรือมึงอยากให้เป็นอย่างนั้น?”
พลัสรีบเอื้อมมือไปติดกระดุมให้แทบจะทันทีแม้ว่ามือของร่างบางจะสั่นมากจนเห็นได้ชัดก็ตาม ในขณะที่เด็กหนุ่มพยายามเพ่งสายตาของตนให้จดจ่ออยู่กับกระดุมเม็ดเล็กแต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมาราวกับจะทะลุผ่านตัวเขาให้ได้ พลัสเผลอเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่นเพราะความกดดันจนมันห้อเลือดแดงโดยที่ปูนไม่คิดห้ามสักนิด
“ขอบใจมาก”
ปูนเอ่ยกับพลัสทันทีที่กระดุมเม็ดสุดท้ายถูกจัดให้เข้าที่ พลัสลอบถอนหายใจออกมาแต่ร่างเล็กก็ได้ยินมันอยู่ดี น่าเสียดายที่เขามีนัดกับคณิตซะก่อน ไม่อย่างนั้นเรื่องคงได้สนุกกว่านี้
“ที่หลังถ้ามองกันขนาดนี้กูจะคิดค่ามอง”
“ขอโทษครับ...”
“ยอมรับแล้วสินะว่ามอง”
“...!!!”
“หึ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่า ก็แค่มองน่ะ”
“...”
“แต่อย่าเก็บไปชักว่าวแล้วกัน”
ร่างเล็กยิ้มเยาะครั้งสุดท้ายก่อนจะหยิบข้าวของของตัวเองแล้วออกจากห้องไปโดยไม่คิดจะสนใจคนที่ตัวเองมอบวาจาเฉือดเฉือนให้เลยสักนิด ปูนใช้ลิฟต์ของพนักงานจนตัวเขามาถึงชั้นล่าง โชคดีที่ตอนนี้ยังพอมีวินเมอร์เตอร์ไซค์ที่คอยรับส่งนักท่องเที่ยวที่อยากจะตระเวนราตรีอยู่บ้างปูนจึงเลือกใช้บริการพวกนี้พาเขาไปยังสถานที่นัดหมายที่อยู่ห่างไปไม่มากแต่จะให้เดินร่างเล็กก็ไม่เอาด้วย
เป็นภาพที่เห็นจนชินตากับกลุ่มวัยรุ่นที่ตั้งวงดื่มแล้วร้องเพลงเป็นตามเรื่อยเรียงรายอยู่เต็มฟุตบาทที่ถูกสร้างให้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ไม่ใช่แค่คืนวันเสาร์อาทิตย์แต่ปูนก็เห็นเด็กพวกนี้มาที่นี่กันแทบทุกวันจนพาลให้คิดถึงชีวิตของเด็กมหาวิทยาลัยในกรุงเทพที่ไม่มีสถานที่ให้พักผ่อนหยอนใจตลอดทั้งคืนแบบนี้ แต่ในข้อดีก็มีข้อเสียซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะไปนึกถึง
ปูนหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วกดโทรหาคณิตแทนที่จะเดินไปเรื่อยๆเพราะหาดที่ว่าก็ยาวยิ่งกว่าระยะทางระหว่างโรงแรมกับจุดที่เขายืนอยู่เสียอีก ร่างเล็กรอสายอยู่สักพักแต่มันก็ยังไม่มีสัญญาณตอบกลับมา จนกระทั่งเขากดโทรออกเป็นครั้งที่สามสายของคณิตก็ถูกรับโดยเสียงของใครบางคน
“ฮัลโหล!”
“...นี่ใช่โทรศัพท์ของคุณคณิตรึเปล่าครับ”
“เออใช่ๆ เฮ้ยพวกมึงน้องเขามาแล้วเว้ย!!!”
เสียงโวยวายที่ดังออกมาทำให้ปูนต้องเลื่อนโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหูของตัวเองอีกนิดแต่เมื่อเขาทำอย่างนั้นก็ทำให้ร่างเล็กรู้สึกว่ากำลังได้ยินเสียงแบบเดียวกันดังมาจากนอกสายในบริเวณที่ไม่ไกลนัก
“น้องอยู่ไหนแล้วครับ”
“ผม...อยู่แถวหน้าเซเว่น”
“ใช่คนที่ใส่เสื้อสีขาวป่ะ ที่ตัวเตี้ยๆ
เตี้ยพ่อมึงสิ...ปูนอยากพูดออกไปใจจะขาดแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์ไว้ในเมื่อเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าคนที่รับสายของคณิตคือใคร
“ครับ”
“โอเค เดี๋ยวพี่เดินไปรับ”
ปลายสายยังไม่ตัดไปแต่ปูนก็ไม่ได้ยินเสียงใครพูดอะไรมาอีก แต่ในขณะที่ร่างเล็กกำลังยืนหมุนๆมองหาคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนคนนั้นนั่นเอง เขาก็รู้สึกเหมือนใครกำลังสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ
“เหยดดดดดดดดด น่ารักสัดดดดดดดดดดดด!!!”
ชายแปลกหน้าตะโกนเสียงดังทันทีที่ปูนหันกลับไปมอง แน่นอนว่ามันดังพอที่จะดึงความสนใจจากคนที่นั่งอยู่แถวๆนั้นให้หันมามองที่ปูนทั้งหมด ไม่พูดพร่ำทำเพลงปูนถูกคนที่ตัวใหญ่กว่าเขาเกือบสองเท่าลากให้เดินตามไปด้วยแรงที่เขาไม่อาจต่อต้านได้ เด็กหนุ่มพยายามร้องขอคำอธิบายแต่ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะได้ตอบปูนก็เดินมาถึงกลุ่มของผู้ชายราวห้าถึงหกคนที่ดูยังไงก็ไม่ใช่นักศึกษา
“น่ารักเหี้ยๆ!!!”
“ขาวโคตรรรรรรรรรร!”
“ดูดีกว่าในรูปอีกว่ะ”
“เห้ย แต่กูว่าในรูปน่ารักกว่านะ”
“มันก็คนเดียวกันป่าววะ”
“นั่นดิ ว่าแต่ยิ้มหน่อยได้ไหมครับ อย่าทำหน้าบึ้งดิ”
ปูนรับไม่ไหวกับคำที่แต่ละคนพูดมา ไม่ใช่ว่าอายแต่มันตั้งตัวไม่ทัน เขาไม่เคยรู้จักคนพวกนี้ ไม่แม้แต่จะจำได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน ร่างเล็กมองซ้ายมองขวาหาคนที่น่าจะให้คำตอบพวกนี้กับเขาได้ แต่แล้วการกระทำนั้นก็ต้องตกไปเมื่อชายคนที่จูงเขามาได้ฉุดเขาให้นั่งลงในวงเหล้าที่สมาชิกแต่ละคนยินดีจะเขยิบให้กว้างขึ้น
“นั่งก่อนๆ พวกมึงก็ใจเย็นๆ เด็กมันงงหมดแล้ว”
“งงหรือง่วงไอ้สัด! จะตีสามแล้ว!”
แต่ละคนหัวเราะกันฮาครืนโดยที่ปูนก็ยังคงประติดประต่อเรื่องราวต่างๆไม่ได้จนหนึ่งในคนพวกนั้นสังเกตเห็น เลยเริ่มแนะนำตัวแต่ละคนให้ปูนฟัง
“พี่ชื่อโต้งนะ ส่วนนี่ไอ้มอส ไอ้แคมป์ ไอ้โจ้ ไอ้บอส แล้วไอ้คนที่ไปรับน้องมาชื่อไอ้เชี้ยขิง ต้องมีเชี้ยด้วยนะ ขิงเฉยๆไม่ได้”
ปูนพยักหน้าอย่างงงๆแต่ก็ยังยื่นมือไปรับขวดเบียร์ที่พี่คนที่ชื่อแคมป์ยื่นมาให้แต่ก็ยังไม่ได้ยกขึ้นดื่มแต่อย่างใด
“ผม...ชื่อปูนครับ”
“เหยดดดดดดดดดดดด ชื่อก็น่ารักกกกกกกกกกกก!!!”
เหยดกันบ่อยไปแล้วนะพวกบ้า...ปูนคิดขณะที่โปรยยิ้มไปให้แม้ว่าใจจริงอยากจะลุกออกไปจากวงนี้สักที แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นเขาควรจะถามคนพวกนี้ก่อนว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันอะไรยังไงกันแน่
“แล้วทำไมพวกพี่ถึงใช้โทรศัพท์ของคุณคณิตได้ล่ะครับ”
“ทำไมเรียกคุณล่ะ ต้องป๋าไม่ใช่หรอ”
โต้งเอ่ยแซวยิ้มๆก่อนจะโบ้ยให้ขิงที่ยังถือโทรศัพท์ของคณิตไว้ตอบ
“พี่เป็นเพื่อนของมันน่ะ ส่วนมันก็...นั่งไงกลับมาพอดีเลย ไอ้นิดโว้ย!!!”
ขิงมองไปทางด้านหลังของปูนก่อนจะตะโกนเรียกคนที่กำลังหอบถุงจากร้านสะดวกซื้อมาเต็มสองมือ คณิตซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเดินหันไปมองตามเสียงเพื่อที่จะตะโกนเรียกให้เพื่อนเก่าจากมหาวิทยาลัยซึ่งมีโอกาสรวมตัวกันมาพักที่โรงแรมของเขาให้มาช่วยถือ แต่แล้วจู่ๆก็ต้องพบว่ามีคนตัวเล็กคุ้นตากำลังนั่งแทนที่ของเขาอยู่แล้วมองมาด้วยแววตาที่บอกว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกสนุก
“ว่าไงครับป๋า กลับมาหาปูนแล้วหรอ”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ก่อนอื่นเลยสวัสดีปีใหม่2559 นะคับบบบ :L2: :L2: :L2: เช่ขอให้คนอ่านที่น่ารักของเช่ทุกคนมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรงเงินทองไหลมาเทมานะ ขอบคุณนะคับที่อยู่กับนานมาถึงครึ่งปีแล้ว ปีหน้าก็ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคับ!!! :mew1:
ว่าแล้วก็หมุนตัวกลับมาอวยพรน้องปูน ขอให้น่ารักๆนะหนู ขอให้คนเอ็นดูหนูเยอะๆ จากตอนที่แล้วมีแต่คนไม่อยากให้พี่กาลกลับมา เป็นไงล่ะ สมน้ำหน้า 5555555 (พี่กาลชักปืนเตรียมยิงทิ้ง) :z13: ถึงจะแต่งยากสำหรับเช่ไปซะหน่อยแต่เช่มีความสุขมากๆเลยนะที่ได้แต่งป๋าปูน เช่ก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขที่ได้อ่านกันนะคับ :katai4:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลย เช่กะหาเวลาว่างตอบเม้นบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำสักที แต่ไม่ต้องห่วงนะคับ เช่ได้อ่านทุกอันเลย เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากเม้ามอยกันจริงๆไปในแฟนเพจสะดวกกว่านะคับ เข้ามาคุยกันนะ :) :katai2-1:
-
นึกว่าพี่กาล เห้อ!! โล่งอกไป(แค่ตอนนี้) เพราะต่อไปต้องมีเหตุฉนวนอะไรอีกแน่ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะปิ๊งปั้งกันนะป๋าปูน
Happy new year 2016
มีความสุขมากๆ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมปรารถนา ปีใหม่ทั้งทีก็ขอให้มีแต่สิ่งดีๆไหลมาเทมา
-
ชอบหนูพลัส. หนูอย่าร้ายนะลูก
-
:pig4:
-
:katai1:
ไม่ชอบพลัสเลยตอนนี้ คุณคณิตด้วย
-
พลัสคิดจะทำไรกันแน่อะ อย่าร้ายเลยนะ
ปูนน่าย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :mew3:
-
:pig4:
-
คุณคณิตทำไมพูดถึงน้องแบบนี้
เดี๋ยวเหอะ ต่อไปถ้าอยากเป็นมากกว่าพี่น้องขอให้ปูนหักอก :hao7:
-
โหยคณิตใจร้ายฟังแล้วเจ็บแทนปูนเลย
สุขสันต์ปีใหม่เช่นกันนะคะะะะะ
-
ติดตามครับ
-
555+เดี๋ยวโดนดี หรอกปูน
-
ป๋าพูดแบบนี้ได้ไง ใจร้าย
พลัสแอบมองปูนบ่อยๆ นี่คิดไรป่ะเนี่ย ชอบปูนอ่ะดิ่ คริคริ
-
แตกที่ 11
…เมา...
คณิตเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรปุบปับเขาถึงได้เกลียดการทำเซอร์ไพรส์เอามากๆ เหมือนอย่างตอนเด็กๆที่โดนอาม่าปลุกขึ้นมาตอนเช้าทั้งที่เพิ่งนอนไปได้ไม่นานแล้วบอกว่าอีกหนึ่งโมงจะต้องขึ้นเครื่องไปมาเก๊าด้วยกัน ความรู้สึกตอนนั้นมันทั้งมึนงงและไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง เขาเบลอถึงขั้นลืมหยิบกล้องถ่ายรูปไปจนโดนอาม่ากลับมาบ่นยาวอีกเป็นอาทิตย์ ยังดีหน่อยที่พอโตแล้วคณิตก็เริ่มพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขึ้นมาได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นไม่ชอบก็คือไม่ชอบอยู่ดี โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่จู่ๆไอ้เด็กเจ้าปัญหานั่นโผล่มานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อแล้วแย่งแก้วเบียร์เขาไปกินหน้าตาเฉย
“เซอร์ไพรส์!!!~”
“เซอร์ไพรส์พ่องสิไอ้สัด!”
ร่างสูงตบหัวที่ถูกตัดเป็นทรงสกินเฮดของไอ้ขิง เพื่อนเก่าสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยของตัวเองไปเต็มรักจนมันร้องโอดโอยก่อนจะหันมามองจิกปูนที่หัวเราะคิกคักอย่างไม่รู้สึกรู้สาหนำซ้ำยังมีการยักคิ้วใส่เขาอีกแน่ะ
“เธอมาที่นี่ได้ไง”
“นั่งวินมาครับ”
“หรอ นึกว่าว่ายน้ำมา เฮ้อ! เอาดีๆปูน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่”
“พวกกูตามมาเองแหละ เลิกทำหน้ามึนสักที เอ้านั่งๆ ไอ้มอสหยิบแก้วใหม่มาให้ไอ้นิดมันด้วย”
โต้งว่าก่อนจะเขยิบตัวออกเล็กน้อยจนเหลือที่พอให้คณิตแทรกตัวนั่งลงระหว่างเขาและปูนได้ ร่างสูงที่ยังมึนไม่หายมองหน้าเพื่อนตัวแสบของตัวเองอย่างจับผิดแต่ก็ยอมเดินไปนั่งอยู่ดีโดยไม่ลืมที่จะส่งถุงเบียร์ที่อุตส่าห์โดนพวกมันบังคับให้เดินไปซื้อมาส่งให้เพื่อนๆจัดการกันต่อ
“พวกมึงไปตามมันมาได้ยังไง”
คณิตเอ่ยถามทันทีก่อนได้รับคำตอบเป็นมือถือของเขาเองที่อยู่ในมือของไอ้ขิงที่ยังคงลูบหัวของตัวเองปอยๆด้วยท่าทางกวนประสาท ร่างสูงสบถเบาๆในความเลินเล่อของตัวเองที่ยอมปล่อยให้เพื่อนเอาสมบัติส่วนตัวของเขาไปใช้โดยลืมคิดไปว่านอกจากเบอร์สาวๆที่มีไว้ประดับเครื่องแล้วก็ยังมีทั้งรูป เบอร์โทรศัพท์ และหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปูนอยู่พร้อมศัพท์
“รอให้ถึงทีกูมั้ง กูจะส่งรูปมึงตอนไปเที่ยวโคโยตี้ไปให้เมียมึงบ้าง”
“แหม แกล้งเล่นหน่อยเดียวทำมาเป็นขึ้น เป็นป๋าแล้วใจกว้างหน่อยดิวะ”
ร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคณิตแทบอยากจะจับเขาทุ่มใส่ทะเลมากแค่ไหน ปูนเองพอรู้สึกถึงสายตาของคณิตที่มองมาก็หันมาสบตาแล้วยิ้มให้อย่างเอาใจ ก่อนจะช่วยรินเบียร์ใส่ในแก้วใบใหม่แทนของเก่าที่เขายึดไว้แล้วส่งไปให้ โดยไม่สนใจสายตาอีกหกคู่ที่กำลังมองมา
“ใจเย็นๆน่าป๋า เบียร์เย็นครับ จิบสักหน่อยจะได้ชื่นใจ”
“สัดดดด ของจริงเว้ยๆๆๆๆๆๆๆ”
คณิตส่ายหัวในขณะที่คนที่เหลือต่างก็เป่าปากอย่างชอบใจจนคนกลุ่มอื่นที่ตั้ววงอยู่ใกล้ๆหันมามองกันเต็มไปหมด
“เธอนี่มัน...เลิกพูดให้ไอ้พวกนี้เข้าใจผิดสักทีได้ไหม”
“เอาคืนครับ ข้อหาหนีมาสนุกคนเดียวแล้วไม่ชวนผม”
ปูนแกล้งยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆหูแล้วถอยออกมานั่งจิบเบียร์ของตัวเองไปตามเรื่องโดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มกลับไปให้บรรดาเพื่อนของร่างสูงที่กำลังมองมาอย่างคาดคั้น เช่นเดียวกับคณิตที่โดนโต้งซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันสะกิดสีข้างเรียกร้องจะเอาคำตอบว่าความสัมพันธ์ของเด็กที่เรียกเขาว่า ‘ป๋า’ มันคืออะไรกันแน่
“เรียกป๋า กูคงเป็นพ่อมันมั้ง”
“เป็นพ่ออะกูไม่ว่า แต่กูว่ามันน่าจะเป็นผัวน้องเขามากกว่า”
“ว่าไงครับป๋า ตกลงกับน้องปูนนี่มันยังไงๆ”
พอเพื่อนเซ้าซี้ถามคณิตก็แกล้งยกเบียร์ขึ้นจิบแล้วคิดไปด้วยว่าเขาควรจะตอบพวกมันไปว่ายังไง ถ้าไม่มีปูนนั่งอยู่ตรงนี้เขาคงเลือกใช้คำพูดเหมือนอย่างตอนที่บอกกับเด็กที่ชื่อพลัสนั่นได้โดยไม่คิดอะไรมาก ร่างสูงเหลือบมองคนตัวเล็กที่เอาแต่ยิ้มแล้วทำเป็นไม่สนใจว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าของบทสนทนา ปูนทำเหมือนกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่หากคนอื่นจะรับรู้ว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันมีเพียงความถูกใจและเซ็กซ์เท่านั้น
“พวกกูเป็นพี่น้องกัน”
“อ่อหรออออออออออ”
ทันทีที่คณิตพูดจบทุกคนที่เหลือก็พูดออกมาพร้อมกันแล้วยังส่งสายตาประนามหยามเยียดมาให้แต่คณิตก็ไม่สนใจ เขาหันไปมองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันต่างหากว่ามีปฏิกริยาอย่างไรบ้างแต่ปูนก็ยังคงนิ่งเหมือนเก่า
“พี่น้องท้องชนกันล่ะสิไม่ว่า ตอบเป็นดาราเลยนะมึง”
“กูกะแล้วว่ามันต้องไม่ยอมรับ งั้นถามน้องแทนดีกว่า น้องปูนครับ~ ป๋าปูนนี่มันยังไงหรอ เราเป็นพี่น้องกับไอ้คณิตเพื่อนพี่อย่างที่มันว่าป่ะ”
ขิงหันไปถามปูนแทนโดยที่คนตัวเล็กกลับไม่มีท่าทางเขินอายหรือกดดันเลยสักนิด ปูนยิ้มให้ทุกคนอย่างเคยโดยไม่ลืมที่จะหันมาสบตากับร่างสูงที่ดวงตาจับจ้องมายังเขาอยู่ก่อนแล้วก่อนจะตอบในสิ่งที่ใจเขาก็คิดแบบนั้นออกไป
“เป็นพี่น้องกันครับ...แต่แค่พิเศษนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
สำหรับปูนความสบายใจยามที่ได้ใช้เวลาอยู่กับคณิตเหมือนกับน้ำอัดลมหวานๆที่ทั้งซาบซ่าและเติมพลังให้กับชีวิตที่เหนื่อยล้า มันมากกว่าความถูกใจรูปร่างหน้าตาภายนอกมันรวมถึงความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายแสดงออกมา แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือกจะเก็บมันไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจ
ถึงน้ำอัดลมมันจะอร่อยแค่ไหน แต่ก็คงไม่มีใครบ้ากินมันตลอดชีวิต...
“หึ”
คณิตหัวเราะออกมาแล้วยกยิ้มมุมปากให้กับคำตอบที่สมกับปูนดีแล้วไม่ได้แก้ตัวอะไร ถ้าเจ้าตัวว่าดีเขาก็ต้องว่าตามนั้น ชายหนุ่มเลยปล่อยให้ก๊วนเพื่อนเป่าปากแซวโดยไม่ได้โต้แย้งกลับกัน เขายังสบายใจมากขึ้นเสียจนกล้าพาดแขนของตัวเองโอบรอบคอของปูนไว้แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศตอนนี้
เมื่อเห็นว่าตัวเอกทั้งสองคนคงไม่ยอมปริปากมากกว่านี้คนที่เหลือจึงหยิบเรื่องเก่าๆมาเล่าโดยชักชวนปูนให้พูดคุยด้วยอยู่ตลอดเวลา ทำให้ร่างเล็กเองพอจะจับใจความได้ว่าหกหนุ่มที่แอบอ้างชื่อของคณิตลากเขามาที่นี่เป็นเพื่อนจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันกับร่างสูงแม้ว่าจะเรียนอยู่คนละคณะแต่ด้วยเพราะนิสัยและความชอบที่เหมือนๆกัน(สุราและนารี) ทำให้มีความสนิทสนมยิ่งกว่าเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันเสียอีก
“แล้วน้องปูนเรียนอะไรอยู่ครับ ใช่มหาลัยที่นี่ป่ะ”
“ป่าวครับ...ผมเรียนอยู่กรุงเทพ”
คำตอบของปูนไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับเฉพาะคนที่เพิ่งพบกันเป็นวันแรกแต่รวมถึงคนที่กำลังโอบกอดเขาไว้อยู่ด้วย
“อ้าว แล้วมาทำงานที่นี่ได้ไงอะ ยังไม่ปิดเทอมเลยไม่ใช่หรอ”
“ผมเบื่อๆเลยดรอปเรียนมาทำงานที่นี่น่ะครับ”
คนได้ฟังก็ร้องอ๋อแล้วไม่ได้ติดใจอะไรผิดกับคณิตที่กระชับวงแขนของตัวเองให้แน่นขึ้นจนปูนต้องหันมามองด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรป๋า”
“ทำไมเธอไม่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าดรอปเรียนอยู่”
“ก็ป๋าไม่เคยถาม”
ปูนเริ่มทำหน้างอใส่คนที่จู่ๆก็มาพูดเสียงเขียวใส่ตัวเอง จนคณิตต้องบอกขอโทษแล้วยกมือที่พาดไหล่ของปูนไว้ออก โต้งที่สังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆของทั้งสองคนก็หาเรื่องชวนปูนคุยด้วยท่าทางที่แสนเป็นธรรมชาติสมกับเป็นจิตแพทย์มือฉมังตามที่ได้เล่าเรียนมา ส่วนคณิตพอเห็นว่าปูนมีเพื่อนคุยแล้วจึงขอตัวออกมานั่งดูทะเลเงียบๆโดยมีขิงติดสอยห้อยตามมาด้วย
“ไม่ยักกะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มึงหันมาบริโภคตามไอ้กาลแล้ว”
“...ก็ไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้นหรอก”
“จริงหรอวะ แต่ถึงขั้นยอมให้อยู่ติดตัวได้ขนาดนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาล่ะวะ”
ขิงว่าก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เป็นอันรู้กันดีในหมู่เพื่อนว่าคุณชายคณิตที่ภายนอกเหมือนเป็นคนใจดีเป็นมิตรแท้จริงแล้วถือตัวขนาดไหน ไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือหญิงสาวมากมายที่ผ่านเข้ามาถ้าหากไม่มีอะไรในตัวที่สามารถทำให้ร่างสูงยอมรับได้ก็จะถูกจัดให้อยู่นอกกำแพงสูงชัน ดังนั้นขิงจึงอดแปลกใจไม่ได้เมื่อได้เห็นรูปถ่ายของคณิตกับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักในท่าทางสนิทสนมหนำซ้ำรูปนั้นยังถูกส่งไปให้อาม่าสุดที่รักของมันอีก
“ก็ไม่ธรรมดาจริงๆนั่นแหละ แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดหรอก”
คณิตจงใจละรายละเอียดที่จะทำให้เพื่อนของตนรู้ว่าปูนก้าวเข้ามาในชีวิตของเขาในฐานะไหน จริงอยู่ที่เขาคงไม่เสื่อมเสียอะไรแต่เป็นปูนต่างหาก อย่างน้อยเขาก็ยังอยากเห็นเด็กคนนั้นสามารถพูดคุยกับพวกไอ้โต้งได้ด้วยท่าทางที่แสนเป็นธรรมชาติอย่างตอนนี้
“กูไม่ควรรู้?”
“อืม...มึงไม่ควรรู้”
“เออ โอเค ไม่รู้ก็ไม่รู้ แต่...กูขอถามอย่างหนึ่งได้ไม่วะ”
ร่างสูงหยุดคิดก่อนจะผงกหัวรับเพื่อนที่ทำสีหน้าอย่างรู้เสียเต็มประดา
“น้องเขา...เด็ดป่าววะ”
“...”
“...”
“มาก”
:hao6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao6:
-
หลังจากที่คณิตและขิงเดินออกจากวงไปคนที่ออกปากชวนปูนคุยมากที่สุดก็กลายเป็นโต้งในขณะที่อีกสี่คนก็กำลังจับกลุ่มคุยกันเรื่องฟุตบอลที่ปูนไม่ค่อยจะสนใจมันมากเท่าไหร่ โต้งบอกกับปูนว่ามันไม่มีโอกาสบ่อยนักที่กลุ่มเพื่อนต่างคณะอย่างพวกเขาจะมานัดรวมตัวกันได้ครบแล้วนี่ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ทำให้คณิตยอมลางานเพื่อออกมาสังสรรค์ด้วยกัน โดยที่คำบอกเล่านั้นก็ทำให้ปูนเข้าใจว่าทำไมคณิตถึงได้บอกปัดการนัดเจอกับเขาไป
“ว่าแต่เราคิดยังไงล่ะเนี่ยถึงมาเป็นน้องชายเพื่อนพี่”
จิตแพทย์หนุ่มที่ไม่เหลือมาดคุณหมอแสนดูดีถามกับร่างเล็กที่ดูน่าเอ็นดูไม่หยอกจนไม่แปลกใจว่าทำไมเสือหน้าตี๋อย่างคณิตถึงได้หันหนีจากเนื้อกวางแล้วมาคอยแทะเล็มเก้งตัวน้อยนี่แทน
“จะให้ปูนตอบจริงๆหรอพี่”
ปูนถามหยั่งเชิงกลับไปเพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสถานะความเป็นพี่น้องที่ทั้งปูนและคณิตบอกกับคนอื่นไปอย่างนั้นแท้จริงแล้วกลับเป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่ามาก ชายหนุ่มที่ถึงแม้จะไม่หล่อเท่าแต่ดวงตาขี้เล่นนั่นก็ช่วยทำให้คุณหมอคนนี้ดูมีเสน่ห์ไม่แพ้เพื่อนๆที่เหลือ โต้งยิ้มให้กับปูนอย่างมีไมตรีก่อนจะตอบออกมา
“เอาจริงสิ เรารู้ใช่ไหมล่ะว่าคณิตมันไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน”
“รู้ครับ ก็ผม...ได้ครั้งแรกของเขามานี่นะ”
โต้งหัวเราะอย่างชอบใจในความตรงไปตรงมาของคนตัวเล็กแม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ดูแรงแต่เขาก็มองออกว่ามันเป็นเพียงการแสดงออกแบบเด็กๆจึงไม่คิดถือสา หนำซ้ำยังรู้สึกสนุกมากขึ้นไปอีก
“แหม พูดมาถึงขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่ใช่แฟนกันอีกหรอ”
“ฮ่าๆ ก็ไม่ใช่จริงๆนี่ ไปถามเพื่อนพี่อีกรอบก็ได้”
“มันคงยอมบอกหรอกนะ ว่าแต่เราน่ะชอบเพื่อนพี่จริงรึเปล่า ถ้าชอบจริงบอกเลยเดี๋ยวพี่ช่วย เห็นอย่างนี้เพื่อนพี่รักจริงหวังแต่งนะครับ”
คนอายุมากกว่าเชียร์ด้วยน้ำเสียงทะเล้นจน มอส แคมป์ โจ้และบอสที่เผอิญได้ยินต่างก็เข้ามาช่วยสรรเสริญความดีอันน้อยนิดให้ปูนฟังกันยกใหญ่ ปูนก็นั่งฟังวีรกรรมแสบๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของคุณไปพร้อมกับจิบเบียร์ไปด้วย รู้ตัวอีกทีขวดแก้วสีเขียวที่เคยมีเบียร์บรรจุอยู่เต็มตอนนี้ก็กลายเป็นเพียงขวดเปล่าจนเกือบหมด ส่วนคนก็แทบจะไม่เหลือสภาพ นอกเหนือจาก โต้ง ปูน และมอสแล้ว อีกสามคนที่เหลือก็ลงไปนอนกลิ้งกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
“เอ้ยเฮ้ยๆ หายไปแปปเดียวเมาปลิ้นกันหมดแล้วหรอวะ”
ขิงกับคณิตที่เพิ่งเดินกลับมายืนงงกับสภาพของแต่ละคนที่ผิดกับตอนที่พวกเขาจากไปลิบลับ ร่างสูงที่เริ่มมึนนิดๆก้าวไปหาปูนที่ตอนนี้กำลังอาศัยไหล่ของโต้งพิงหัวที่หนักอึ้งจนน่าแปลกใจ
“กินยังไงถึงปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนี้เนี่ยปูน”
“อื้อออ ป๋าหรอ”
“เออ เห็นเป็นคนอื่นรึไง”
“ไหนๆ ดูหน้าหน่อยสิ”
ปูนคว้าหมับเข้าที่ใบหน้าของคณิตก่อนจะดึงเข้ามาสำรวจใกล้ๆ ผิวเนียนละเอียดที่ขาวพอๆกับเขา จมูกโด่งเป็นสันที่งุ้มลงเป็นรูปหยดน้ำสวยงาม ริมฝีปากสีชาดที่ดึงดูดให้เขาเขย่งตัวขึ้นอีกนิดจนห่างเพียงฝ่ามือกั้น และสุดท้าย...ดวงตาเรียวเล็กที่สะท้อนภาพของตัวเขาเองอยู่ในนั้น
“ใช่จริงๆด้วย ป๋าของปูนจริงๆด้วย”
ร่างเล็กยิ้มกว้างก่อนจะวางหัวหนักของตัวเองลงบนซอกคอของคณิตแทนแล้วปล่อยให้ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดคนที่เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว คนตัวโตดึงร่างที่สติใกล้หลุดลอยเต็มที่ให้ออกหากจากเพื่อนของเขาและไม่ลืมที่จะประคองหัวกลมๆไม่ให้หลุดไปจากบ่าของตัวเอง โดยที่การแสดงออกเหล่านี้ตกอยู่ในสายตาของโต้งและขิงที่ยังประคองสติของตัวเองไว้ได้ดี ทั้งคู่ต่างก็มองหน้ากันแล้วอมยิ้ม
“ไอ้ขิง ใช้โทรศัพท์กูเรียกคนจากโรงแรมมาให้ที ขนกันไปไม่หมดหรอกวะ”
คณิตโยนโทรศัพท์ของตัวเองกลับไปให้ขิงอีกครั้งก่อนส่วนตัวเองก็คอยจัดการคนที่นั่งยุกยิกเพราะเริ่มไม่สบายตัว
“ป๋า ร้อนอะ!”
“รู้แล้ว กลับไปโรงแรมแล้วค่อยอาบน้ำ”
“อยากอาบตอนนี้อ่า นะๆ พาปูนไปอาบน้ำหน่อย”
ร่างเล็กมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาปรือปรอย แม้ว่าพวกเขาจะใกล้ชิดกันมาหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะที่ปูนจะมองคณิตด้วยสายตาออดอ้อนแบบนี้ ร่างสูงส่ายหัวอย่างระอาแต่ก็ยอมเสียสละผ้าเช็ดหน้าของตัวเองนำมาชุบกับน้ำเปล่าที่เหลืออยู่ไม่กี่ขวดก่อนจะใช้มันลูบไปตามใบหน้าที่ขึ้นสีแดงของปูน
“ถามจริง นี่แกล้งเมาหรือเมาจริง”
“เมาที่ไหน ปูนไม่ได้เมาซะหน่อย”
คนที่บอกว่าตัวเองไม่เมาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ แถมมีการเบี่ยงตัวหนีสัมผัสเย็นๆที่คอยรบกวนกันอีกจนทำให้คณิตขำออกมาอย่างปลงๆ ไหนว่าร้อนแล้วก็อยากอาบน้ำไง พอเช็ดหน้าให้กับหนีซะอย่างนั้น
“แล้วเมื่อเย็นได้กินข้าวรึเปล่า”
“ข้าว?”
“อืม ข้าวน่ะ ได้กินมาก่อนไหม”
ปูนทำหน้านึกอยู่สักพักก่อนจะส่ายหัวไปมาจนผมยุ่งไปหมด
“เออดี ข้าวไม่กินแล้วมากินเบียร์มันก็น่าเมาอยู่หรอก”
“เมาอะไร ปูนไม่ได้เมา”
“ไม่เมาบ้าอะไรเบลอขนาดนี้ ชงเหล้าขายแล้วเมาเหล้าเองได้ไงวะ”
“ก็บอกว่าไม่เมาไง! ป๋าอย่าดุดิ”
คนตัวเล็กว่าแล้วทำหน้างอยิ่งกว่าเดิมแต่ถ้าปูนทำหน้าแบบนั้นใส่เขาตรงๆก็คงจะยอมรับอยู่หรอกว่าไม่ได้เมา แต่นี่เล่นหันไปพูดกับขิงที่เดินมานั่งยองๆดูคนเมาซะอย่างนั้น เด็กขี้เมาปากแข็งเลยโดนผู้ใหญ่ทั้งสองคนขยี้หัวเบาๆด้วยความรู้สึกเอ็นดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคณิตที่พอได้รับโทรศัพท์คืนมาจากเพื่อนก็เอามันมาถ่ายทั้งรูปทั้งคลิปของปูนเก็บไว้ซะยกใหญ่
รอไม่นานรถของทางโรงแรมก็เดินทางมาถึง ขิงและพนักงานอีกสองคนช่วยกันพยุงเพื่อนสี่คนที่หลับลึกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วขึ้นรถ ส่วนโต้งก็ยังพอประคองตัวเองเดินไปได้ ในขณะที่คณิตก็กึ่งแบกกึ่งลากปูนขึ้นไปบนรถตู้เช่นกันก่อนร่างสูงจะส่งกุญแจรถยนต์ส่วนตัวให้กับพนักงานคนหนึ่งช่วยขับกลับเพราะเขาเองก็มึนเต็มที่แล้วเหมือนกัน
ทันทีที่มาถึงคณิตก็จัดแจงให้คนช่วยพาเพื่อนทุกคนขึ้นไปยังห้องพักที่มาเปิดกันไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เหลือก็เพียงแต่ร่างเล็กที่ยังคงพยายามฝืนลืมตาทั้งที่สติใกล้จะหลุดลอยเต็มทีที่เขาไม่รู้ว่าควรจะพาไปที่ไหน
“ไหวไหมปูน เดี๋ยวฉันพากลับห้อง”
“ห้องไหนอะ”
“ห้องเธอไง อยู่ที่ไหนบอกทางได้รึเปล่า”
เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็ส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะซบลงไปตรงอกกว้างโดยที่คณิตก็ไม่ได้ปัดป้องเพราะตอนนี้พวกเขากำลังยืนกันอยู่ตรงมุมข้างลิฟต์ที่ลับตาคน
“ปูนยังไม่อยากกลับ...ป๋าให้ปูนอยู่ด้วยคนซิ”
“...จะอยู่ได้ยังไง พรุ่งนี้ฉันต้องทำงานแต่เช้า”
“แต่ปูนอยากอยู่ด้วย นะๆ ให้ปูนอยู่ด้วยคนนะป๋า”
คนตัวเล็กเริ่มก่อความวุ่นวายอีกครั้งด้วยการเขย่งแล้วเกี่ยวร่างของคณิตเข้ามาใกล้ก่อนริมฝีปากที่ร้อนเพราะแอลกอฮอลล์ในร่างกายจะจูบไล้ไปตามสันกรามที่ไร้ซึ่งหนวดเครา ถ้อยคำออดอ้อนถูกมอบให้กับคณิตไม่ขาดสาย ชายหนุ่มพยายามลูบหัวของปูนเบาๆเพื่อให้เด็กเจ้าปัญหาคนนี้คลายความเอาแต่ใจลงแต่ผลมันกลับตรงกันข้าม ปูนเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายจากข้างแก้มมายังริมฝีปากของเขาแม้สติจะเลือนรางแต่ด้วยความคุ้นเคยทำให้ปูนไม่พลาดที่จะสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดลิ้นของคณิตอย่างเอาแต่ใจกว่าเคย
“ไม่เอาน่าปูน”
“นะ อึก อย่าไล่ปูนไปไหนเลยนะ”
“...”
“...นะครับ”
“เฮ้อ...เธอจะทำให้ฉันเสียนิสัยนะรู้ตัวไหม”
ไม่ต้องรอให้ปูนพูดอะไรมากไปกว่านี้ ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งคณิตก็ดันร่างของปูนเข้าไปข้างในก่อนจะกดหมายเลขชั้นที่มีห้องพักส่วนตัวของเขาอยู่บนนั้น ร่างเล็กที่ทนความหนาวไม่ไหวซุกกายเข้าหาความอบอุ่นจากร่างของคณิตที่ยินยอมเปิดทางให้ปูนเข้ามาอิงแอบได้แต่โดยดี ระหว่างทางที่ลิฟต์ค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นไปที่ละชั้นๆ ชายหนุ่มที่ร่างกายสูงกว่ามากก็ค่อยๆพิจารณาดวงหน้าที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้ตั้งแต่คราแรก รวมถึงดวงตากลมๆและปลายจมูกรั้นที่บ่งบอกนิสัยของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี
คณิตเปิดประตูห้องพักของตัวเองอย่างไม่รีบร้อนเช่นเดียวกับการปลดอาภรณ์ของคนที่กำลังนอนบิดกายอยู่บนเตียงนอนสีขาวพร้อมกับปรือตาจับจ้องมาที่เขาอย่างคนไม่ได้สติ ร่างสูงเลือกที่จะถอดเสียงกางเกงยีนส์สีเข้มของปูนทิ้งไปจนเหลือเพียงเสื้อบางๆและอันเดอร์แวร์ไว้ประดับร่างของคนที่ตัวเล็กกว่า คณิตค่อยๆใช้ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวของตนลูบไล้ไปตามผิวกายละเอียดตั้งแต่แผ่นอกไปจนถึงปลายเท้าโดยในทุกๆที่มือของเขาไล่ไปเหมือนกับว่าอุณหภูมิของมันสูงขึ้นกว่าเดิมจนน่าขัน เด็กหนุ่มที่ถึงแม้จะแทบมองอะไรไม่เห็นขมวดคิ้วไม่พอใจเสียงหัวเราะนั้น
“ป๋าขำอะไร”
“ขำเด็กดื้อ”
“ใครดื้อหรอ?”
“หึ เธอนั่นแหละที่ดื้อ”
“ไม่ดื้อนะ...ปูนไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย”
“ไม่ดีสิ...ไม่ดีมากๆเลย”
ร่างเล็กงอแงแต่ก็ยอมเอนหัวรับสัมผัสที่ซอกคอซึ่งคณิตกำลังบรรจงมอบมันให้กับตนแต่โดยดี ลมหายใจของปูนเริ่มติดขัดเมื่อความเสียดทานจากเบื้องล่างเหมือนกับมีใครจับผีเสื้อเป็นร้อยเป็นพันตัวมาใส่ไว้ในตัวของเขา เสียงเรียกขานชื่อของคนที่กำลังครอบครองตัวเขาไว้ดังระงมเช่นเดียวกับความเหนอะหนะที่คอยบรรเทาความเจ็บช้ำให้กลายเป็นความรู้สึกดีได้อย่างร้ายกาจ ปูนร้องขอความทรมานนี้จากคณิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่คนตัวโตก็คอยป้อนมันไปอยู่ไม่ขาด ร่างสูงดันอาภรณ์สีขาวของปูนขึ้นไปจนเผยให้เห็นแผ่นอกและยอดอกสีกุหลาบที่เชิญชวนให้เหล่าภุมราบินไปชิมรสหวานจากมันอย่างไม่ได้สติ
“อื้ออออ ป๋า ฮึก เจ็บ”
“เรียกพี่นิดสิ อ่าาาา เรียกสิปูน”
“พี่นิด อึก พี่นิด...”
ปูนเอื้อมแขนไปกอดรัดคนที่กำลังฉุดเขาลงนรกและพาเขาโบยบินไปยังสรวงสรรค์ในเวลาเดียวกัน หูตาของเด็กหนุ่มพร่าเลือน เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกนอกจากชื่อของตนที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า เขาไม่เห็นอะไรอีกนอกเสียจากแววตาที่สะท้อนเงาของตัวเองอยู่ในนั้น ปูนมองมัน...ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงราวกับต้องการที่จะซึมซับความอบอุ่นที่ถ่ายทอดออกมาจากกายของชายคนนี้ทั้งตัวตนที่แทรกเข้าออก จุมพิตที่แสนเร้าร้อนและฝ่ามือที่คอยลูบไปตามแผ่นหลังจากปลอบโยนจวบจนสัมผัสสุดท้ายที่ความเป็นคณิตหลั่งรินเข้าไปด้านในพร้อมกับของเหลวสีน้ำนมและเสียงพร่ำเพ้อของปูนที่เรียกหาแต่คณิตซ้ำไปซ้ำมา
“พี่นิด อ่าาา พี่นิด”
“อืม เสร็จแล้วๆ นอนซะนะ”
ดวงตาของปูนค่อยๆปิดลงทันทีที่คนข้างกายบอกกับเขาแบบนั้น ลมหายใจหอบถี่ไม่เป็นจังหวะค่อยๆแผ่วลงจนมันคงที่สวนทางกับหัวใจที่ยังคงเต้นรัวอยู่ในอกแม้นิทราจะเข้ามาใกล้เขามากขึ้นทุกที
“ป๋า...”
“ให้ตายสิ ทำไมถึงชอบเรียกแบบนี้นักหนานะ”
ถึงปากว่ากล่าวแต่คณิตกลับยกยิ้มขณะที่มองไปยังคนตัวเล็กที่สิ้นฤทธิ์อยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ป๋า...”
“หื้ม? ว่าไง?”
“ปูนเป็นเด็กไม่ดีจริงๆหรอ”
“...”
“ปูน...ดีไม่พอหรอ”
คณิตไม่รู้ว่าปูนกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ถามเขาออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ไม่อาจทวงถามได้เพราะหลังจากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มก็ค่อยๆหลับไปพร้อมกับแพขนตาที่เปียกชุ่ม ร่างสูงใช้มือที่ยังคงมีความอบอุ่นจากร่างกายของปูนหลงเหลือไว้อยู่ปาดหยดน้ำตานั้นออกไปแล้วคิดไปถึงความแข็งกระด้างที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกมาเพื่อปกปิดความอ่อนแอที่ซ่อนอยู่ข้างใน
“ดีสิ...เธอเป็นเด็กดีนะปูน”
“...”
“อย่างน้อย...ก็สำหรับฉัน”
ชายหนุ่มพูดมันออกมาแม้ว่าคนข้างกายจะไม่ได้ยินมัน เขาเอื้อมมือไปปิดโคมไฟจากตรงหัวเตียงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆก่อนจะแทรกกายลงนอนเคียงข้างกับปูนที่ขยับเข้าหาความอบอุ่นทันทีแม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
มาแล้วคับบบบบบบบ สั้นไปบ้างแต่น่าจะชอบใจกันเนอะ ตอนนี้น้องอ้อนมากกกกกกก :-[ เขียนไปก๊าวใจไป อยากจะลอบฆ่าป๋าแล้วฉกน้องมาเอ็นดูที่บ้านจริงๆ :katai1: :hao7: แต่งนิยายเรื่องนี้เป็นการบริหารหัวใจอย่างร้ายกาจ!
เช่เปิดเทอมแล้วนะคับ! เทอมนี้เรียนหนักมากกกกกกกก :z3: ก่อนที่จะเก็บอีกซัมเมอร์แล้วก็ออกฝึกงานแล้วก็เรียนจบไปเลย 55555 ชีวิตเช่เลยออกวุ่นวายมากหน่อย แต่จะพยายามมาอัพไม่ขาดนะคับ ช้าบ้างอะไรบ้างก็ขอโทษด้วย เช่เป็นคนแต่งช้านะ คือถ้าไม่มีฟิลมันแต่งไม่ได้ เห็นตอนสั้นๆบางทีก็ดองอยู่หลายวันเพราะแก้หลายรอบ ขอประทานโทษด้วยนะคับ :m15:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะคับ อ่านไปปลื้มใจไปเพราะตอนแรกกลัวคนติดภาพน้องจากเรื่องพี่กาล แต่ตอนนี้คนเอ็นดูน้องเยอะมากกกกกกก ดีใจจริงๆ^^ จะพาน้องมาอ้อนแม่ยกใหม่เร็วๆนี้นะคับ :call:
ป.ล.ล. หนังสือพี่กาลเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวนะคับ อย่าลืมไปจับจองและโอนเงินกันนะคับ :mew1:
-
นึกว่าพี่กาล เห้อ!! โล่งอกไป(แค่ตอนนี้) เพราะต่อไปต้องมีเหตุฉนวนอะไรอีกแน่ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะปิ๊งปั้งกันนะป๋าปูน
Happy new year 2016
มีความสุขมากๆ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมปรารถนา ปีใหม่ทั้งทีก็ขอให้มีแต่สิ่งดีๆไหลมาเทมา
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคับ :mew1:
เราว่าพลัสแลดูน่ากลัวกว่ากาลอีก
ว่าแต่พลัสนี่ชอบปูนหรอ :hao6:
พลัสชอบปูนไหม...อันนี้ต้องติดตามนะคับ หึหึ...
ชอบหนูพลัส. หนูอย่าร้ายนะลูก
แคะร้ายๆน่ารักนะคับ ต้องส่งพี่บอยไปปราบ!
:katai1:
ไม่ชอบพลัสเลยตอนนี้ คุณคณิตด้วย
ตอนใหม่คงไม่โกรธป๋าแล้วนะคับ^^
:pig4:
:mew1: :mew1:
โหยคณิตใจร้ายฟังแล้วเจ็บแทนปูนเลย
สุขสันต์ปีใหม่เช่นกันนะคะะะะะ
สุขสันต์ปีใหม่คับบบบบ
ติดตามครับ
ขอบคุณคับบบบบ
555+เดี๋ยวโดนดี หรอกปูน
โดนจัดหนักไปแล้วคับ :hao6:
ป๋าพูดแบบนี้ได้ไง ใจร้าย
พลัสแอบมองปูนบ่อยๆ นี่คิดไรป่ะเนี่ย ชอบปูนอ่ะดิ่ คริคริ
เลสเบี้ยนแน่ๆงานนี้ :hao7:
-
ถ้าความอ่อนโยนที่ป๋าให้ปูนมันเปลี่ยนไปเป็นความรักบ้างก็คงจะดี แอบคิดเหมือนกันว่าอยากให้ปูนเจอกาลแคลียร์กันไปให้จบๆน้องจะได้เริ่มต้นใหม่ไม่ใช่ใช้ร่างกทยซื้อเวลาไปแบบนี้
ตั้งใจเรียนนะคะเช่ :z13: มาจิ้มตูดที
-
ปูนน่ารักเกินไปแล้ว :-[ :-[
-
เป็นเรื่องที่เข้ามาอ่านแล้วไม่จบไม่เลิกจริงๆ สนุกมาก ชอบปูนนะ ดูร้ายแต่ก็ยังมีนิสัยเด็กๆอยู่
ส่วนคณิตก็เสน่ห์ล้นจริงๆ ถ้าเป็นปูนก็ชอบเหมือนกัน รออ่านตอนต่อไปน้า สู้ๆจ้า
ป.ล.อยากรู้ปมของปูนมาก ไม่รู้ว่ามีในเรื่อง Night Mare ไหม แต่ขอทำใจก่อนอ่าน Night Mare
ถ้าทางจะมีเนื้อเรื่องที่ไม่ธรรมดา 5555
-
ตอนท้ายอะไรน่ะ แอบทำเราน้ำตาซึม
-
ฟินไปอีกกกกกก อยากเห็นสองคนนี้รักกันสักที
จะหวานจนน้ำตาลจืดไหมเนี่ย
-
เป็นเรื่องที่เข้ามาอ่านแล้วไม่จบไม่เลิกจริงๆ สนุกมาก ชอบปูนนะ ดูร้ายแต่ก็ยังมีนิสัยเด็กๆอยู่
ส่วนคณิตก็เสน่ห์ล้นจริงๆ ถ้าเป็นปูนก็ชอบเหมือนกัน รออ่านตอนต่อไปน้า สู้ๆจ้า
ป.ล.อยากรู้ปมของปูนมาก ไม่รู้ว่ามีในเรื่อง Night Mare ไหม แต่ขอทำใจก่อนอ่าน Night Mare
ถ้าทางจะมีเนื้อเรื่องที่ไม่ธรรมดา 5555
ไม่ธรรมเาจริงๆแหละค่ะ แต่สนุกมากไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง :impress2:
-
แตกที่ 12
…เด็กขี้ขลาด...
ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างดี ปูนที่ทั้งเมาทั้งเหนื่อยจนลุกไม่ไหวแต่ก็ยังพอจะรู้สึกตัวว่าคนที่ได้นอนกอดเขาเพียงไม่กี่ชั่วโมงกำลัวลุกออกจากเตียงไปโดยที่ระวังให้มันกระเทือนน้อยที่สุด ร่างเล็กนอนฟังเสียงน้ำไหล เสียงไดร์เป่าผมอ่อนๆ รวมถึงเสียงฝีเท้าของเจ้าของห้องก่อนร่างสูงจะออกไปทำงานอย่างที่เคยบอกไว้ แต่เสียงที่ยังคงย้ำชัดจนเขาไม่อาจสลัดมันให้หลุดไปจากหัวได้เห็นจะเป็นเสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหูซึ่งคณิตมอบมันให้กับเขาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเด็กหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ไม่ได้จมอยู่ในห้วงนิทราอย่างที่คิด
“งานเสร็จแล้วฉันจะกลับมา”
ปูนลืมตามองความว่างเปล่าเบื้องหน้าแล้วคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วย เขาไม่สมควรปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนั้น ทำเรื่องน่าอายต่อหน้าคนอื่นยังพอว่าแต่การที่หลุดถามคำถามโง่ๆแบบนั้นกับคนอย่างคณิตไปเป็นเรื่องที่ปูนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยสักนิด พอคิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าผิวแก้มของตนมันร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นเดียวกับความรู้สึกคาดหวังโง่ๆที่เขาต้องกดมันไว้ข้างใน
“อย่าโง่สิปูน...จำได้ไหมว่ามันเคยทำให้เราเจ็บแค่ไหน”
เขาถามมันกับตัวเองก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกดีชั่วในหัวตีกันให้วุ่นวาย ทั้งความโลภที่อยากครอบครองแม้ว่าสักวันมันจะซ้ำรอยเก่าให้กลัดหนองมากขึ้นไปอีก และเสียงร้องไห้ของตัวเขาเองจากในอดีตที่รู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าการต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันทรมานแค่ไหน...จนสุดท้ายเสียงจากบาดแผลที่ตกสะเก็ดอยู่ในหัวใจก็ชนะไป ปูนขอเลือกที่จะเก็บเพียงความอ่อนโยนที่คณิตมอบมาให้แค่พอดีแค่พอให้หัวใจนี้มีชีวิตไปวันๆดีกว่าไขว่คว้าหามันจนทุกข์ใจอย่างคราวรัตติกาล
คนที่สอนเขาว่าความรักไม่ใช่ของรางวัลตอบแทนความดี...
“ผมจะไม่โง่ซ้ำสองอีกแล้ว”
ปูนนอนบอกตัวเองอยู่อย่างนั้นจนผล่อยหลับไปก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่เวลาล่วงเลยไปเกือบสิบโมง เด็กหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเก่าอย่างลวกๆเพราะสวมใส่เสื้อผ้าของคณิตในตู้ไม่ได้เลยสักชิ้น ปูนแปลกใจนิดหน่อยเมื่อพบว่าห้องที่คณิตพาเขาขึ้นมาพักเป็นห้องที่อยู่สูงรองจากชั้นบนสุดที่ปกติจะเป็นห้องพักส่วนตัวของบรรดาเจ้าของโรงแรมทั้งหลาย แต่หากพูดถึงตำแหน่งของคณิตปูนก็พอจะทำใจให้เชื่อได้ว่ามันคงเป็นสวัสดิการที่ The Next มอบให้กับพนักงานระดับสูงเท่านั้น เด็กหนุ่มกดลิฟต์พาตัวเองกลับไปยังชั้นล็อบบี้ที่ยังมีแขกมาใช้บริการหนาตาเหมือนเช่นทุกๆครั้ง
“ไปไหนของเขากันนะ มือถือก็ไม่รับ”
คนตัวเล็กพยายามต่อสายหาคณิตอีกครั้งก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจไปเพราะนึกได้ว่างานของร่างสูงอาจจะยังไม่เสร็จดี เขาจึงเลือกที่จะมานั่งเล่นตรงเล้าจ์ของโรงแรมพร้อมกับสั่งเครื่องดื่มราคาแพงมานั่งดื่มฆ่าเวลา เด็กหนุ่มเท้าคางมองความเงียบสงบอันเป็นบรรยากาศเฉพาะตัวของที่นี่ด้วยความชอบใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับที่เขานั่งก็ถูกจับจองด้วยร่างของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งปูนรู้สึกคุ้นหน้าไปซะก่อน
“สวัสดีครับ น้องปูนใช่ไหม”
“?”
“ฮ่าๆ ทำหน้าแบบนี้คงจำกันไม่ได้สินะ นี่พี่เต้ไง เต้เพื่อนคุณกฤษที่เคยไปเที่ยวกับเราเมื่อสองเดือนที่แล้ว”
ปูนพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตัวเองขณะที่สำรวจเครื่องหน้าแบบไทยๆของชายหนุ่มคนนี้ไปด้วย ก็ถือว่าไม่ได้หล่อมากจนหน้าจดจำแต่ริมฝีปากหยักได้รู้เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ก็พอจะทำให้เขาจำขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยชอบใจยามมันกดจูบไปทั่วร่างกายของเขาขนาดไหน
“อ่อ จำได้แล้วครับ แล้วเป็นไง พี่สบายดีไหม”
ร่างเล็กถามกลับไปตามมารยาทโดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอ่อนๆแถมไปด้วย ทำให้คนที่นึกติดใจปูนตั้งแต่คราวนั้นจนไม่อาจห้ามใจตัวเองไม่ให้เข้ามาทักเด็กหนุ่มได้แม้รู้ดีว่ามันไม่สมควรยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี
“สบายดีแล้วเราล่ะมาทำอะไรที่นี่ พี่ติดต่อไปเราก็ไม่รับ”
“มาทำงานน่ะครับ เป็นบาร์เทนเดอร์”
เขาจงใจละการตอบคำถามสุดท้ายไปเพราะไม่อยากเห็นคนที่ทำตัวเป็นหมาหิวกระดูกอยู่ตรงนี้หางลู่หูตกไปซะก่อน จริงอยู่ที่การมีเซ็กซ์กับนายคนนี้จะทำให้เขามีความสุขอยู่พอสมควรแต่พันธะทางครอบครัวที่ห้อยพ่วงมาด้วยทำให้ปูนไม่อยากถลำลึกด้วยมากเท่าไหร่ แค่ชั่วครั้งชั่วคราวน่ะพอได้ แต่จะให้เลี้ยงดูกันเป็นกิจจะลักษณะแบบที่อีกฝ่ายขอไว้เขาก็ไม่เอา...
“ย้ายมาทำประจำเลยหรอ แล้วงานที่กรุงเทพล่ะ”
“ลาออกไปแล้วครับ พอดีเจอแต่เรื่องวุ่นๆเลยไม่อยากอยู่ที่นั่นสักเท่าไหร่”
“เรื่องวุ่นๆ ใช่เรื่องที่มีคนไปอาละวาดแย่งเราที่ร้านอาหารรึเปล่า”
“...!!!”
ดวงตาของปูนเบิกโพลงเพราะไม่คิดว่าคนคนนี้จะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นก้าวร้าวและไม่สบอารมณ์จนชายที่ชื่อเต้สัมผัสได้ อดีตคู่ค้าของปูนพอรู้ตัวว่าเผลอทำพลาดไปก็หน้าเจื่อนจนไม่เห็นสีเลือด
“เอ่อ ขอโทษครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึง”
“...”
“โถ่น้องปูน พี่ขอโทษจริงๆ อย่าโกรธพี่เลยนะครับ”
ชายหนุ่มเปลี่ยนมานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆกับแล้วคอยลูบแผ่นหลังที่ตั้งตรงของปูนอย่างถือวิสาสะ ร่างเล็กขืนตัวออกแล้วส่งสายตาเพื่อบอกว่าเขาอารมณ์เสียเต็มทีแต่เต้ก็ยังคงตีมึนทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่ปูนสื่อออกมา
“หายโกรธพี่นะ เดี๋ยวพี่พาไปช็อปปิ้งเราอยากได้อะไรก็บอกพี่เลย”
“ไม่ล่ะครับ พี่กลับไปเถอะ”
“ไม่เอาน่าปูน พี่รู้ว่าพี่ทำผิดเพราะฉะนั้นให้โอกาสพี่ไถ่โทษเถอะนะครับ หรือว่าปูนอยากไปเที่ยวที่ไหนไกลๆไหม เผื่อจะได้สบายใจขึ้น เดี๋ยวบ่ายนี้พี่ก็ประชุมเสร็จแล้วเดี๋ยวเราค่อยไปกันก็ได้นะ”
“ผมไม่ไป เลิกยุ่งกับผมสักทีจะได้ไหม!”
“เรานั่นแหละ เลิกเล่นตัวกับพี่สักที!”
“มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ คุณลูกค้า”
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้คารมใส่กันชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศและป้ายชื่อที่บอกตำแหน่งผู้จัดการไว้อย่างชัดเจนก็เดินมาถามด้วยน้ำเสียงอันสุภาพเพียงแต่ดวงตาที่มองไปยังชายที่กำลังบีบข้อมือของปูนอย่างรุนแรงนั้นกลับเยือกเย็นเสียจนร่างเล็กรู้สึกถึงความผิดปกตินั้นได้
“ไม่มีอะไรครับผมแค่เถียงกับแฟนนิดหน่อย”
เต้หันไปตอบคณิตยิ้มๆแสร้งตีสีหน้าเป็นหนุ่มนักธุรกิจแสนสุภาพเช่นเดียวกับที่ร่างสูงกำลังทำแต่ดูเหมือนความสามารถในการกลบเกลือนความรู้สึกของคณิตจะมีมากกว่า เพราะเมื่อได้สบตาที่เต็มไปด้วยความกดดันของผู้จัดการหนุ่มนานๆเข้าคนที่ก่อเรื่องไว้ก็ออกอาการกระสับกระส่ายเหมือนกัน
“เป็นอย่างที่แขกท่านนี้ว่ารึเปล่าครับ”
คณิตหันไปถามปูนบ้างซึ่งคนตัวเล็กก็หันหลบสายตาของคณิตแทบจะทันทีแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ทำผิดอะไร ทั้งความกดดันและกลัวว่าร่างสูงจะได้ยินบทสนทนาของเขาและเต้เมื่อครู่เขาแล้วจะเข้าใจผิดทั้งๆที่ความจริงสิ่งที่คณิตเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขามันก็ไม่ได้สวยหรูสักเท่าไหร่
แค่เด็กใจแตกคนหนึ่งที่เที่ยวขายร่างกายของตัวเองให้ใครต่อใคร
รวมถึงชายตรงหน้าที่ลุ่มหลงเพียงราคะอันเกิดจากตัวเขาเท่านั้น...
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกผมขอตัวก่อนนะครับ ไปเถอะปูนไปคุยกันที่รถ”
เต้หันมาพูดกับปูนด้วยเสียงที่แข็งกว่าเคยพร้อมกับฉุดร่างเล็กที่ยังคงอึ้งอยู่ให้เดินตามกันไปทิ้งคณิตที่ยังถือคราบของพนักงานโรงแรมไว้เบื้องหลัง พอเดินออกมาได้สักพักปูนก็เพิ่งได้สติว่าเขาควรจะทำอะไร เด็กชายที่ตัวเล็กกว่าพอสมควรพยายามขืนมือของตัวเองออกแม้ว่ามันจะทำให้เขาเจ็บก็ตาม
“พี่เต้ปล่อย! ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ไป!”
“พี่ก็บอกแล้วไงว่าพี่ขอโทษ! ทำไมเราคุยกันดีๆไม่ได้หะปูน รู้ไหมพี่ดีใจขนาดไหนที่เจอเรา”
“แต่ผมไม่ดีใจเลยที่เรากลับมาพบกันอีก!”
คำพูดของปูนทำให้คนฟังหน้าชา นักธุรกิจที่มีคนมากมายนับหน้าถือตาอย่างเขาทำไมต้องมายืนให้เด็กไซด์ไลน์ไม่มีศักดิ์ศรีพูดจาตัดเยื่อใยแบบนี้ด้วย
“เชื่อพี่ ไปขึ้นรถแล้วอย่าทำให้พี่โมโหมากไปกว่านี้”
“ทำไมจะทำไม่ได้ พี่แม่งโคตรพูดไม่รู้เรื่องเลยว่ะ!”
ปูนหันไปตะคอกเต้ด้วยความโมโหแต่แล้วร่างเล็กก็ต้องร้องออกมาเมื่อชายคนที่เมื่อครู่ยังทำเป็นเว้าวอนเขาแทบตายกำลังยกหมัดขึ้นแล้วเตรียมชกมาทางนี้ ปูนหลับตาลงเพราะความกลัวจนตัวสั่น แต่แล้วทันใดนั้นเองขณะที่ปูนยังไม่กล้าลืมตา เสียงที่ทั้งสุภาพและเย็นยิ่งกว่าครั้งไหนๆของคนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากทางด้านข้างของเด็กหนุ่มที่ถูกดึงให้เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคณิตแทบทั้งตัว
“คุณคิดจะทำอะไร”
คณิตที่รีบวิ่งตามปูนมาพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำขณะที่จับจ้องไปยังชายที่เกือบจะชกเข้าที่ใบหน้าของปูนอยู่แล้วหากเขาไม่เข้ามาคว้าหมัดนั่นไว้ทัน เด็กชายในอ้อมแขนของเขาตัวสั่นระริก ปากที่มีฤทธิ์มากตอนนี้ถูกปิดสนิทด้วยความกลัวแบบที่เจ้าตัวไม่น่าจะคุ้นชินเท่าไหร่นัก ร่างสูงก้มลงมองปูนด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อยก่อนจะหันไปคาดคั้นเอาคำตอบจากชายไม่คุ้นหน้าที่ไม่อาจรักษามาดผู้ดีเอาไว้ได้อย่างเคย
“เรื่องของผัวเมียมึงอย่ามาเสือก!”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่สามารถเชื่อได้จริงๆว่าเด็กคนนี้จะเป็นเมียของคุณ”
“ก็แล้วยังไงล่ะวะ! เป็นแค่พนักงานชั้นต่ำอย่าสะเออะมายุ่งเรื่องของลูกค้า มึงอยากโดนไล่ออกรึยังไง!”
ร่างสูงเผลอขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พาลให้นึกถึงคำพูดของป๊าขึ้นมาทันทีว่าตั้งใจให้เขาลงมาทำงานระดับนี้ก่อนขึ้นมาเป็นผู้บริหารเต็มตัวเพราะต้องการให้รู้ซึ้งว่าการบริการลูกค้ามันยากแค่ไหน ทั้งที่ตรงนี้เขาคือคนที่อยู่สูงยิ่งกว่าใครกลับถูกด่าว่าด้วยคนที่ไม่รู้แม้แต่เงาหัวของตัวเอง
“ผมว่าคุณกลับไปซะดีกว่า ถ้าเป็นตอนนี้ผมจะไม่เอาเรื่อง”
“ไม่เอาเรื่อง? เฮ๊อะ!คนอย่างมึงจะมาเอาเรื่องอะไรกูได้!!”
“ข้อหาทำร้ายร่างกาย คุณคิดว่าตรงนี้มีกล้องวงจรปิดอยู่กี่ตัวกัน”
ชายชื่อเต้เหมือนถูกคำพูดของคณิตซัดเข้าเต็มใบหน้า เขามองไปรอบๆเพื่อมองหากล้องที่ว่าก่อนจะเห็นว่า ณ จุดที่พวกเขายืนอยู่มีกล้องอย่างน้อย5ตัวที่น่าจะสามารถจับภาพความรุนแรงที่ว่าไว้ได้
“นอกจากนี้ก็ยังมีข้อหาหมิ่นประมาท นับว่าเป็นโชคร้ายของทางคุณนะครับที่โต๊ะเมื่อครูที่คุณนั่งเรากำลังถ่ายทำ VTR เพื่อโปรโมทโรงแรมกันอยู่พอดี”
“กะ กล้องวีดิโอ...”
“ครับ ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่...ทั้งภาพทั้งเสียงคราวนี้คุณจะยอมหยุดได้รึยัง”
ไม่ต้องพูดให้มากความชายที่ถูกคณิตต้อนจนจนมุมหันมามองทั้งคู่ด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวแต่ก็ยอมตัดใจล่าถอยไปเพราะถ้าหากเรื่องมันแดงขึ้นมาจริงๆทั้งงานและเรื่องที่เขาเคยซื้อบริการกับปูนคงถึงหูคนที่บ้านแน่ๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ด้วยเฉพาะเธอ...ปูน”
“ผมไม่รับฝากอะไรทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มตอบกลับไปทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่หายสั่น ชายคนนั้นเดินจากไปแล้วพร้อมกับสบถคำหยาบคายไปตลอดทางทิ้งไว้ให้สองคนที่เหลือฟัง แต่มันกลับไปกระตุ้นต่อมเจ้าคิดเจ้าแค้นของคณิตเข้าโครมใหญ่
“คุณฝ้ายหรอ นี่ผมคณิตนะ รบกวนคุณทำเอกสารถึงบริษัทที่มาจัดสัมมนาที่โรงแรมเราวันนี้ทีว่ามีพนักงานของเขาที่ชื่อ...ชื่ออะไรนะ?”
คณิตที่เพิ่งต่อสายหาเจ้าหน้าที่ธุรการของโรงแรมหันมาถามปูนที่ยังคงดูงงๆ แต่คนตัวเล็กก็ยอมตอบกลับไป
“ชื่อจริงไม่รู้ แต่ชื่อเล่นชื่อเต้”
“ครับ ระบุว่าคุณเต้ พยายามลวนลามและทำร้ายร่างกายแขกของโรงแรม รวมถึงข่มขู่พนักงานที่จะเข้ามาห้ามปราม ทางเรามีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดยืนยันความผิดนี้ แต่เพราะเห็นแก่บริษัทจึงอยากขอให้ทางนั้นทำการตักเตือนพนักงานคนดังกล่าวตามที่ทางนั้นเห็นสมควร จัดการให้ผมด้วยนะ เดี๋ยวสักพักผมจะขึ้นไปตรวจให้อีกที ขอบคุณครับ”
คณิตวางสายก่อนจะถอนหายใจแรงๆอย่างหงุดหงิด ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนที่เขาไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบที่นี่ไอ้คนที่กล้ามายืนด่าเขาปาวๆคงได้ลงไปนอนกองกับพื้นแล้วแน่ๆ เขาสบถเบาๆอีกสองสามคำก่อนจะหันมาหาปูนที่สะดุ้งทันทีที่ได้สบตาแต่ยังไม่ทันที่จะได้หันหนี คณิตก็คว้าหมับเข้าที่ปลายคางของปูนแล้วบังคับให้คนตัวเล็กมองเขาที่กำลังจ้องราวจับปูนมาฉีกเป็นชิ้นๆ
:z3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z3:
-
“มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
“ผม...ไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เป็นเรื่องขนาดนี้ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดอีกหรอ!”
เสียงตะคอกของคณิตทำให้คนที่พยายามข่มความกลัวไม่อาจตีหน้านิ่งได้อีกต่อไป ปูนกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างอดกลั้น ไม่อยากจะร้องไห้ออกมา ความรู้สึกยามที่เห็นเต้กำลังปล่อยหมัดเข้ามาใส่ยังไม่ทันจะหายไปด้วยซ้ำ ทำไมคนคนนี้ถึงต้องมาโกรธเขาทั้งๆที่เขาไม่ผิดด้วย
“ผมไม่ผิด”
“ปูน!”
“จะตะคอกทำไมเล่า!”
“...!!!”
“ฮึก จู่ๆมันก็เข้ามายุ่งกับผมเองยังจำแม่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ฮึก ไล่ดีๆก็แล้ว พอด่าไปแม่งเสือกจะมาต่อยกูอีก เป็นผู้ชายรึเปล่าวะ!!!”
“แล้วเธอน่ะเป็นผู้ชายแน่รึเปล่า...ร้องไห้ทำไมเนี่ย”
“ก็ป๋าตะคอกอะ! ผมยังไม่ได้ทำผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ ฮึก ทำไมต้องมาว่ากันด้วย นิสัยไม่ดี ฮึก ใจร้าย!!!”
คนใจร้ายขำคนที่ปากว่าเขาไปแต่ก็ยังคงเกาะตัวเขาแน่นไม่ยอมห่าง คนตัวเล็กขยี้ตาอย่างน่าสงสารดวงตากลมๆที่เคยร้ายกาจเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ปากที่เที่ยวด่าคนอื่นไปทั่วแบะออกแล้วร้องไห้อย่างไม่อายจนอาการสะอึกเข้าเล่นงานปูนจนได้ ร่างสูงลูบแผ่วหลังของปูนเบาๆอย่างปลอบโยนโดยที่ปูนก็ยอมยืนให้คณิตทำมันให้แต่โดยดีทั้งๆที่ในใจยังนึกโกรธ
“ก็เธอผิด ฉันถึงได้ว่า”
“ปูนไม่ผิดสักหน่อย ฮึก!”
“ผิดสิ ผิดที่ไม่ดูแลตัวเอง...ฉันเคยขอเธอแล้วใช่ไหมเรื่องนี้”
ปูนนิ่งไปก่อนจะยอมพยักหน้า คณิตยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าปูนเริ่มจะเห็นจุดว่าทำไมเขาถึงได้ต่อว่าไปแบบนั้น เขาใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดซับไปตามใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยน้ำตารวมไปถึงจมูกรั้นๆที่มีน้ำมูกไหลออกมานิดๆ
“ถ้าเธอยอมบอกฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ที่ห้องอาหาร ฉันคงช่วยเธอได้เร็วกว่านี้ หรือไม่ก็ขอให้พนักงานคนอื่นเข้ามาช่วย ไม่ใช่มัวแต่ต่อปากต่อคำกับคนแบบนั้น แล้วถ้าเมื่อกี้ฉันมาไม่ทัน...เธอจะเป็นยังไง”
“ก็...เจ็บดิ”
“หึ ปากดีได้แล้วสินะ”
“...”
“ฉันจริงจังนะปูน รักตัวเอง ดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ ฉันรู้ว่าเธอเอาตัวรอดได้แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอไป แล้วก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว ดูสิ ตาบวมหมดแล้วเนี่ย”
ปูนยอมเงยหน้าให้คณิตใช้น้ำเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยนแต่กลับกัน พอยิ่งโดนทะนุถนอมและได้รับความเป็นห่วงแบบนั้นปูนก็กลายเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่พอถูกปลอบก็ยิ่งร้องไม่หยุดจนคณิตต้องคว้ามากอดไว้
“ฮึก ขอโทษ ปูน อึก ขอโทษ”
“รู้แล้วๆ เลิกร้องซะ”
“อยากเลิก ฮึก แต่มันหยุดไม่ได้นี่”
คนตัวเล็กงอแงแล้วเอาแต่ซุกหน้าไปบนอกของคณิตจนเสื้อเชิ้นสีครีมเปียกชุ่มไปหมด ดีนะที่งานของช่วงเช้าหมดไปแล้วเขาถึงยอมปล่อยให้เจ้าเด็กนี่ทำเสื้อของเขาเปื้อนได้ ว่าแต่ก็เพิ่งนึกได้ เขาก็มีผ้าเช็ดหน้าอยู่ในกระเป๋านี่นะ แล้วทำไมไม่ยอมหยิบมาใช้ตั้งแต่ทีแรกล่ะเนี่ย
“ป๋า ฮึก เจ็บตา”
“เจ็บก็เลิกร้อง ไม่อายฉันบ้างรึไง”
“ไม่อาย ทำไมต้องอายด้วย”
ร่างสูงหัวเราะเสียงดังก่อนจะตัดสินใจจูงปูนที่เกาะติดเขาเป็นลูกลิงไปยังด้านข้างของโรงแรมที่มีลิฟต์ขนของติดตั้งอยู่ แรกๆปูนก็ขัดขืนแต่พอเขาทำเสียงดุเข้าหน่อยคนตัวเล็กก็ยอมเดินตามมานิ่งๆโดยมีการพูดว่าเขาใจร้ายบ้าง ดุบ้างตามประสา ชายหนุ่มกดลิฟต์เพื่อพาเขาทั้งคู่ไปยังชั้นที่เป็นออฟฟิศทำงานไม่ใช่ห้องพักส่วนตัวเหมือนเมื่อคืน โชคดีที่ตอนนี้พนักงานส่วนมากยังไม่กลับขึ้นมาจากข้างล่างดังนั้นในชั้นนี่จึงเหลือคนนั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงไม่กี่คน รวมถึงอิงอรด้วย
“อ้าวน้องปูนนิ ทำไมตาแดงอย่างนี้ล่ะลูก น้องร้องไห้หรอคณิต!”
หญิงสาวที่รีบเดินเข้ามาหาปูนหวังกอดให้หายคิดถึงรีบหันไปถามร่างสูงเมื่อเห็นชัดๆว่าเด็กหนุ่มขวัญใจเธอกำลังยืนร้องไห้หน้าแดงอย่างไม่รู้สาเหตุ
“อืม แค่งอแงน่ะ เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
คณิตรีบลากปูนเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาขี้สงสัยของเหล่าพนักงานที่เริ่มมองมาทางนี้ไม่หยุด อิงอรเองก็รีบกลับไปที่โต๊ะของเธอแล้วควานหาผ้าขนหนูผืนเล็กที่มีติดโต๊ะไว้ไปชุบด้วยน้ำเย็นแล้วเอามันมาให้คณิตใช้ประคบตาของปูนที่เริ่มบวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องเป็นไงมาไงล่ะเนี่ยถึงได้ร้องขนาดนี้”
“โดนคนแกล้งมานิดหน่อยน่ะ”
“พี่คณิตแกล้งผมครับ”
“อะไรนะ!”
ปูนรีบหันไปฟ้องอิงอรทันทีเมื่อได้โอกาสจนคราวนี้หญิงสาวหันมามองคณิตตาเขียวอย่างเอาเรื่อง
“เฮ้ย ฉันเปล่านะ”
“เมื่อกี้ข้างล่างมีคนมาจีบผม แต่ผมไม่ได้เล่นด้วยเขาเลยจะทำร้าย พอพี่คณิตมาช่วยไว้แต่เขากลับมาดุผมว่าไม่ดูแลตัวเอง”
ร่างเล็กฟ้องอิงอรด้วยใบหน้าที่ยังคงมีน้ำตาเปื้อนอยู่ ส่วนเรื่องที่บอกว่าฝ่ายนั้นเข้ามาจีบก็ถือว่าไม่ได้โกหกนะ ถึงเจตนาของหมอนั่นจะแปลกไปหน่อยก็เถอะ หญิงสาวพอได้ฟังก็หันมองปูนกับคณิตสลับกันไปมา ว่าแต่เมื่อกี้เธอได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ปูนเรียกคณิตว่า ‘พี่’ ใช่ไหม!
“อะ เออ คณิตก็พูดแรงไปหน่อยน้องเพิ่งเจอเรื่องไม่ดีมานะ แต่ปูนก็ต้องระวังตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยนะเพราะคณิตว่ามามันก็ถูก”
เธอพยายามเก็บอาการดี๊ด๊าของตัวเองแล้วพูดกับปูนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนร่างเล็กต้องคอตกอีกครั้งอย่างน่าสงสาร คณิตเหลือบมองนาฬิกาเห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่นานจะได้เวลาที่เขานัดกับพวกเพื่อนไว้จึงหันมาพูดกับอิงอรที่คอยลูบหัวปลอบโยนปูนอยู่
“อิง เธออยู่เป็นเพื่อนปูนสักพักได้ไหม ฉันจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
“เปลี่ยนเสื้อ? อ่อ ที่ขอลาครึ่งวันใช่ไหม”
“อืม นัดเพื่อนไว้ วันนี้มันจะกลับกันแล้ว”
“ได้ๆ ฝากน้องไว้ที่นี่ก่อนแล้วกัน”
คณิตพูดขอบคุณก่อนจะผละออกไปเพื่อเปลี่ยนชุดที่มีเหลือเก็บไว้บนห้องพัก ปูนเองถึงจะยังเคืองอยู่บ้างแต่ก็อดที่จะมองตามแผ่นหลังของร่างสูงไปไม่ได้จนหญิงสาวที่อยู่ข้างๆกับจับสังเกตความห่วงใยของทั้งคู่ได้
“เดี๋ยวนี้แลดูสนิทกันมากเลยนะจ๊ะ”
“ครับ?”
“อะ เปล่าๆ น้องปูนอยากกินอะไรไหม น้ำ? ขนม?”
อิงอรรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ปูนอึดอัดกับความคิดของเธอมากจนเกินไป หญิงสาวรีบไปขนน้ำกับขนมที่มีตุนไว้(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของคณิต) ให้ปูนกินเล่นรอเวลา เด็กหนุ่มมองขนมกองมหึมาตรงหน้าแล้วอดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเหมือนเด็กมากรึไงในสายตาคนคนนี้
รอเพียงไม่นานคณิตก็กลับมาที่ห้องนี้อีกครั้งด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ พอมาถึงชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ก็ได้แต่ยืนพิงประตูห้องทำงานของตัวเองเพื่อมองดูคนที่เมื่อครู่ยังร้องไห้แทบเป็นแทบตายแต่ตอนนี้กลับนั่งกินขนมหน้าตาระรื่นแล้วพูดคุยกับอิงอรอย่างสนุกปาก ซึ่งสาวเจ้าแทนที่จะห้ามปรามกลับนั่งแกะทั้งห่อขนม ห่อช็อกโกแลตส่งให้ปูนเพิ่มซะอย่างนั้น
“กินขนมขนาดนี้เดี๋ยวก็กินข้าวไม่ลงหรอก”
“ป๋า”
ปูนหลุดเรียกคณิตว่าป๋าอย่างเคยตัวจนอิงอรที่กำลังคุยกันเพลินๆทำตาโตหูผึ่งเพราะสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป เด็กหนุ่มเองพอรู้ตัวว่าพลาดก็ทำหน้าเลิกลักแล้วบอกขอโทษคณิตในใจ แต่คนที่สมควรจะโกรธกลับทำเพียงยืนนิ่งๆแล้วพูดคุยกับปูนราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ไปเร็ว พวกไอ้โต้งมันมารอกันข้างล่างแล้ว”
“อ่ะ อื้ม”
ปูนรีบลุกขึ้นโดยไม่ลืมหอบถุงขนมที่ยังกินไม่หมดแล้วขอบคุณอิงอรที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
“ขอบใจมากนะอิง เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก”
“เดี๋ยวก่อนคณิต!”
เสียงของอิงอรหยุดคณิตไว้ได้แต่พอถึงเวลาเธอก็ไม่กล้าถามอยู่ดีว่าสิ่งที่เธอได้ยินคืออะไรและหมายความว่ายังไง แต่ดูเหมือนว่าร่างสูงที่ยังรักษามาดนิ่งมาได้ตั้งแต่เมื่อครู่จะเข้าใจความสงสัยของเพื่อนสาวดีจึงยกยิ้มให้อย่างใจเย็น
“ก็...ค่อยๆดูกันไป”
.
.
.
.
.
.
.
ปูนกัดช็อคโกแลตในมือแล้วมองวิวนอกหน้าต่างที่มีเพียงตึกอาคารและรถที่ติดเป็นทางยาวเท่านั้นเด็กหนุ่มหันไปมองคณิตที่ถอนหายใจเพราะเบื่อหน่ายการจราจรของจังหวัดนี้ที่ในบางจุดก็ติดขัดไม่ต่างจากกรุงเทพเลย
“เมื่อไหร่จะถึงวะเนี่ย”
“อย่าใจร้อนสิ เดี๋ยวพ้นตรงนี้ไปก็โล่งแล้ว”
“ก็พูดได้นิ เธอกินขนมมาจนอิ่มแล้วแต่ฉันสิยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง”
“งั้นกินนี่ไหมล่ะ แต่ผมกินไปแล้วนะ”
ร่างเล็กยื่นห่อช็อคโกแลตที่ตัวเองกินค้างอยู่ไปให้คณิตซึ่งชายหนุ่มก็รับไปกินต่อโดยไม่มีอาการรังเกียจอะไร แถมยังนึกเสียดายขนมห่ออื่นที่โดนพวกเพื่อนที่ขับรถตามมาอีกขับหอบไปกินกันหมดจนหลือแค่ของในมือเขาเนี่ยแหละ
“แล้วนี่พวกพี่เขาจะกลับกันเลยใช่ไหม”
“อืม งานยุ่งกันทั้งนั้นแหละพวกมัน”
“หรอ...คงคิดถึงแย่เลยนะ”
คณิตหันมามองหน้าปูนทันทีที่ได้ยินแบบนั้นแต่พอเห็นรอยยิ้มขี้เล่นของเด็กหนุ่มเข้าก็รู้ตัวว่าโดนหลอกเข้าให้อีกจนได้ ร่างสูงจิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจก่อนจะใช้มือผลักหัวของปูนเบาๆอย่างหยอกล้อ ซึ่งปูนก็ไม่นึกโกรธ หนำซ้ำยังยกมือขึ้นจับหัวของตนบริเวณที่คณิตเพิ่งสัมผัสเมื่อครู่แล้วยิ้มออกมา
“ป๋า...จะไม่ถามอะไรหน่อยหรอ”
“ถามอะไร?”
“เรื่องที่ห้องอาหาร...ป๋าได้ยินหมดแล้วใช่ไหม”
ความจริงเขาตั้งใจจะปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับมอบความกล้าให้ปูนตัดสินใจถามคณิตถึงสิ่งที่อาจทำให้ผู้ชายคนนี้มองเขาในมุมที่เลวร้ายกว่าเดิมก็เป็นได้ แต่ถึงแม้จะกล้าก็ไม่ได้หมายความว่าปูนจะสามารถรับคำตอบของมันได้ เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งมองสองมือของตัวเองอย่างประหม่า
“เรื่องที่เธอกับหมดนั่นเคยนอนด้วยกันมาก่อนน่ะหรอ”
“...อืม”
“ถ้าอย่างนั้นก็ใช่...ฉันได้ยินมันทั้งหมดนั่นอหละ”
“...”
“แต่มันก็เป็นเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้ว ไม่ดราม่าอะไรหรอก”
ปูนได้ฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนก้อนหนักๆที่ถ่วงอยู่ในใจถูกปลดออกไปได้บ้างส่วนหนึ่ง เขาปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกก่อนจะเขยิบตัวเขาไปใกล้กับคณิตให้มากขึ้นจนสามารถวางศีรษะของตัวเองลงไปบนบ่ากว้างที่รองรับน้ำตาและความทุกข์ของเขามามากพอดู
“แต่ถึงจะไม่โกรธอะไร ก็มีบางเรื่องที่ฉันอยากจะรู้”
“...”
“ปูน...เธอเคยคิดไหมว่าสักวันสิ่งที่เธอทำจะย้อนกลับมาทำลายตัวเอง”
ห้องโดยสารที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบเข้าไปอีกเมื่อไม่มีใครคิดจะเอ่ยคำใดๆ ปูนนึกถึงคำถามที่คิดมอบให้แล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เขาเอื้อมมือออกไปคว้ามือของคนข้างกายมาจับไว้หวังให้ความอบอุ่นจากมือคู่นี้มอบความกล้าให้เขาสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นความกลัวที่จะสูญเสียบางอย่างไปกลับมีมากกว่า ร่างเล็กจึงทำได้แค่กลั้นความรู้สึกของตัวเองไว้ข้างในแล้วตอบคำถามของคณิตออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบากว่าทุกครั้ง
“คิดสิ...เพราะว่านั่นคือสิ่งที่ผมหวัง”
“...”
“เมื่อคืนที่คุณบอกว่าผมมีค่าสำหรับคุณ...ผมดีใจจริงๆนะ”
“อืม”
“แต่ว่า...”
“...”
“มันน่ากลัวเกินไป...ความรู้สึกแบบนั้นน่ะผมรับไม่ไหวหรอก”
คณิตกระชับมือที่กอบกุมกันไว้ให้แน่นขึ้นพร้อมกับทบทวนสิ่งที่ค่อยๆเติบโตในใจของตัวเองอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าปูนเป็นใครมาจากไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมวันนั้นเขาถึงได้เลือกที่จะนั่งคุยกับเด็กคนนี้ต่อทั้งที่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่เขาสามารถปล่อยวางความสงสัยเหล่านั้นได้หากสุดท้ายความรู้สึกอันเป็นผลลัพธ์ของมันชัดเจนพอที่เขาจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับมีเพียงหนึ่งคำถามที่เหมือนกับกำแพงอันสูงใหญ่ที่ปกปิดความจริงและหนทางที่จะเดินต่อไปของพวกเขาไว้จนทุกอย่างมันยังค้างคาอยู่อย่างนี้...คำถามที่ว่าทำไมปูนถึงเลือกที่จะไม่รักตัวเอง
“ไอ้เด็กขี้ขลาดเอ้ย...”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
หวานนิดๆหม่นหน่อยๆ หลังจากปล่อยให้ป๋าปูนไอ้อิ๊อ๊ะกันมาหลายตอนเช่ขอดึงเข้าเนื้อเรื่องหน่อยนะคับ ไม่ดราม่ามาก สาบานนนนนนนนน พอให้ชีวิตคู่คึกคักเท่านั้นเอง :o8:
เช่เชื่อว่าหลังจากปล่อยตอนนี้ไปคนคงสงสัยว่าตกลงป๋าเนี่ยชอบปูนรึยัง ดูจากคำพูดหลายๆตอนก็บอกปัดๆอยู่เหมือนจะกั๊กๆ ซึ่งก็ตามนั้นคับ ป๋ามันกั๊ก! ป๋าชอบน้องมันแน่อยู่แล้วแต่เพราะความไม่มั่นใจและไม่รู้หลายๆอย่างป๋าเลยคีพตำแหน่งตัวเองไว้ ณ จุดที่ตกลงกับน้อง ส่วนน้องก็ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่ว่ารวมถึงเรื่องพี่กาลเลยทำให้ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเองสักที สำหรับคู่นี้เหมือนจะเป็นคู่ที่พอได้กันก็รักกัน แต่จริงๆแล้วกว่าจะถึงตอนที่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วก้าวข้ามความสัมพันธ์ฉาบฉวยตรงนี้ได้มันก็ต้องอาศัยอะไรหลายอย่าง จนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะกล้าและมั่นใจพอที่จะเดินออกมาจากกำแพงของตัวเอง ป๋ากับปูนถึงจะสามารถเดินไปด้วยกันได้ไกลกว่านี้ ...ว่าแล้วก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคับ :man1:
เขียนไปเขียนมารู้สึกว่าชอบตัวละครป๋ามาก ทีแรกไม่ได้ออกแบบให้มีมิติขนาดนี้ แต่ด้วยความที่ตัวแบบมีอยู่จริงทำให้เช่ใส่ความเป็นมนุษย์ให้ป๋าไปเยอะหน่อย การที่คนคนหนึ่งจะสามารถรับอับอดีตที่ไม่ดีของใครสักคนได้ มันยากนะคับ และป๋าก็ไม่ใช่คนไนซ์อะ 55555 สำหรับเช่ป๋าไม่เหมือนพระเอกเลย เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีปมอะไรเลยในชีวิต แต่ก็มองชีวิตในแง่ของความเป็นจริงได้ ยิ่งแต่งยิ่งชอบ จนพี่กาลจะโยนกล่องคุ๊กกี้อาร์เซนอลใส่หัวอยู่แล้ว :oo1: เฮ้อ เพ้อ!!!! :hao5:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ตอนต่อไปขอช้าหน่อยนะ เช่ขอปั่นตอนพิเศษรัณย์กาลให้ได้สักสองตอนก่อนมาปั่นป๋าปูน จะส่งเล่มแล้วยังทำไม่เสร็จเลยเหอะ 5555 ฤทธิ์น้องปูนเด็กเส้นทำพิษจริงๆคับ :o12:
-
ตอบเม้น(นานๆที)
kanomjeeb >>>> ชอบมากคับคำว่าใช้ร่างกายซื้อเวลา! :man1:
cho-ningza-19891 >>>> ช่วยเอ็นดูน้องด้วยนะคับ ><
นอนกินแรง >>>> อ่านกันคับๆ ไม่น่ากลัว พี่กาลน่ารักเหมือนปูนเลย :mew1:
cheyp >>>> ตอนเช่เขียนก็ซึมคับ5555
Toho48 >>>> หวานจนน้ำตาลจืดเลยหรอ555
-
มาสมัครเป็น FC ด้วยคนค่ะ
-
“เมื่อคืนที่คุณบอกว่าผมมีค่าสำหรับคุณ...ผมดีใจจริงๆนะ”
“มันน่ากลัวเกินไป...ความรู้สึกแบบนั้นน่ะผมรับไม่ไหวหรอก”
ชอบประโยคนี้มากเลยค่ะ มันแบบมันจี๊ดมันโดน
เข้าใจปูนมาก เข้าใจที่สุด มันดีขอบคุณคนแต่งนะคะ
-
เราชอบตอนนี้นะ ชอบความรู้สึกป๋าปูนตอนนี้ด้วย
มันดูเรียลดีอะ ชอบแต่ว่ายังไปต่อไม่ได้ หลายองค์ประกอบเนอะ
-
อันนี้ออกแนวอบอุ่นละมุนเบาๆมากกว่าหวานอีก ชอบๆ รอให้ทั้งสองคนแน่นอนในความรู้สึกตัวเอง
ป.ล.จะอ่านนะคะ Night Mare :mew1:
-
อ่านไปจะร้องไห้ไป ทั้งฟินทั้งสงสารน้อง
งุ้ยยยยย เช่เลิกแกล้งสักที ให้ใจอ่อนกันได้ล่ะ
55555 5ล้อเล่นนะ เป็นกำลังใจให้จ้า
-
เข้ามาบอกว่าคิดถึงน้องปูนค่ะ(หลังจากอ่านพี่กาลจบไปอีกรอบ) :katai2-1:
-
กำลังสนุกเลย
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
-
แตกที่ 13
…คำสั่ง...
ย่างเข้าเดือนเมษายน ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างก็ยังคงดำเนินต่อไปทั้งๆแบบนั้นปูนก็ยังคงเป็นปูนที่ขี้อ้อนเอาแต่ใจ และคณิตก็ยังคงเป็นป๋าที่ถึงปากจะว่าจะบ่นแต่ก็ยอมตามใจร่างเล็กทุกครั้งไป แต่ด้วยหน้าที่การงานที่หนักเป็นเท่าตัวเมื่อถึงฤดูการท่องเที่ยวทำให้การกินการนอนของคณิตผิดเพี้ยนไปหมด แต่ถึงจะยุ่งยังไงเขาก็ยังพยายามเจียดเวลาว่างอันน้อยนิดมาหาเจ้าเด็กขี้อ้อนที่รังแต่จะงอนหนักขึ้นทุกวันเพราะความอบอุ่นที่เคยได้รับมันขาดหายไป
‘คืนนี้อาจจะไม่กลับนะ’
ปูนอ่านข้อความที่คณิตส่งมาให้ตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วก่อนจะล้มตัวลงนอนบนพื้นพรมกว้างในห้องรับแขกของบ้านพักที่เจ้าของมันยินยอมให้ร่างเล็กมี อภิสิทธิเข้ามาอยู่ได้นอกเหนือจากเวลางาน ปูนจึงเข้ามาอาศัยที่นี่ทั้งกินนอนและรอคนคนนั้นให้กลับมาส่วนห้องพักของปูนที่เคยเช่าไว้ก็ไม่ต้องพูดถึง...ป่านนี้ฝุ่นคงเกาะจนแทบมองไม่เห็นทางเดินแล้วล่ะมั้ง
“อ่า...เบื่อชะมัด”
ปูนพูดกับตัวเองหลังจากล้มบอสตัวสุดท้ายได้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทั้งเกมเก่าเกมใหม่ที่คณิตสรรหามาให้ถูกคนตัวเล็กเล่นแล้วเล่นอีกจนแทบจะไม่เหลืออะไรให้เขาทำในบ้านหลังนี้
คืนนี้เป็นคืนวันเสาร์ที่ปูนไม่ต้องทำงานเพราะบอยเพิ่งได้รับคำสั่งให้ฝึกบาร์เทนเดอร์คนใหม่ทำให้ผลัดของปูนจึงต้องถูกย้ายไปวันธรรมดาแทนที่จะเป็นเสาร์อาทิตย์เหมือนกับที่ผ่านๆมา เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ปัญหามันอยู่ที่ต่อให้มีวันหยุดแต่ดันไม่มีคนให้อยู่ด้วยนี่แหละ...
“วันนี้มีตลาด Walking นี่หว่า ไปเดินสักหน่อยแล้วกัน”
ตลาด Walking คือตลาดนัดกึ่งแบกะดินที่จะจัดขึ้นทุกวันศุกร์และเสาร์บริเวณแหลมแท่นซึ่งมีทั้งอาหารและสิ่งของมากมายนำมาขายไม่ต่างจากตลาดนัดที่กรุงเทพแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวมากมายแห่แหนกันไปที่นั่นอยู่ดี ปูนอาบน้ำแต่งตัวในชุดใหม่ เขาเลือกใส่แค่กางเกงขาสั้นแบบผู้ชาย เสื้อยืดคอวีและรองเท้าผ้าใบธรรมดา แล้วอาศัยนั่งวินมอเตอร์ไซด์ออกไปต่อรถกว่าจะถึงตลาดที่ว่าก็เป็นช่วงเวลาที่คนเข้ามาเดินเยอะที่สุด
ปูนเดินดูของกินไปเรื่อยๆถึงแม้จะร้อนและอึดอัดแต่สำหรับคนที่เคยอาศัยอยู่ในกรุงเทพที่แย่งกันกินแย่งกันใช้ยิ่งกว่าแค่นี้จึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับเขานัก หนำซ้ำยังมีเพลงจากวงดนตรีสดที่เข้ามาเล่นเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้น่าเดินเข้าไปอีก กลิ่นลมทะเลที่ร่างเล็กเริ่มจะคุ้นชินทำให้เขาผ่อนคลายได้ไม่ยาก ปูนเลือกซื้อปลาเผาขนาดกลางและผัดไทหนึ่งห่อมานั่งกินตรงโต๊ะที่จัดไว้ให้ลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจับกลุ่มนักกินกันเรียงเป็นทางยาว แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายโต๊ะของปูนที่มีเขานั่งอยู่เพียงลำพังกลับดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้หันกลับมามองเสียจนน่ารำคาญ คนตัวเล็กทำเป็นไม่สนใจสายตาของผู้คนเหล่านั้นแต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกประหม่า
เพิ่งเข้าใจวันนี้เอง...
ว่าลิงในสวนสัตว์ดุสิตมันรู้สึกยังไงเวลาคนจ้องมันกิน
เด็กหนุ่มมองอาหารบนโต๊ะที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะกินหมดไหม เขาจัดการวางมันให้เข้าที่ เทน้ำจิ้มลงในถ้วยโฟมเล็กๆ ส่วนผัดไทก็ใช้ตะเกียบเขี่ยๆให้เข้าที่โดยไม่วายคิดถึงผัดไทเจ้าอร่อยที่เคยไปนั่งกินกับคณิตที่กรุงเทพ พอนึกถึงวันนั้นปูนก็เผลอขำออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันไม่มีอะไรน่าตลกหรอกนอกจากที่เขายังจำรสชาติของผัดไทในวันนั้นได้เหมือนกับว่ามันยังติดอยู่ในปากรวมไปถึงความรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจที่เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรก
“ส่งไปยั่วป๋าหน่อยดีกว่า”
ปูนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่ตัวเองกับอาหารที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะส่งรูปไปยั่วน้ำลายคนที่คงยังไม่ได้กินอะไรให้อิจฉาเล่น ความจริงแล้วก็แอบหวังนั่นแหละว่าถ้าหากคณิตเห็นว่าเขากำลังจะกินข้าวคนเดียวแล้วจะเปลี่ยนใจกลับมากินด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้นช่องแชทของปูนกับคณิตก็ยังคงว่างเปล่าแม้แต่ข้อความที่เขาส่งไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วยังไม่ถูกเปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ
‘ป๋ากินข้างรึยัง หิวไหม’
‘มาวอคกิ้งได้กินปลาเผาด้วย อยากกินป่าว’
‘มีผัดไทด้วยนะ แต่คงไม่อร่อยเท่าเจ้าที่ไปกินกันตอนอยู่กรุงเทพ’
‘*สติ๊กเกอร์รูปหมีนั่งกอดเข่า*’
ปูนพิมพ์ต่อไปเรื่อยๆก่อนจะหยุดลงแล้วเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความรู้สึกขัดแย้งเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาทำท่าจะวางนิ้วลงบนปุ่มส่ง แล้วก็ดึงนิ้วออกก่อนจะได้ทำอย่างนั้น แต่สุดท้ายความคิดถึงก็ทำงานสวนทางกับสมอง เด็กหนุ่มนั่งมองข้อความที่เขาเผลอใจส่งไปจนได้
‘ปูนเหงา...กลับมากินข้าวด้วยกันได้ไหม’
“…”
“ปูนนิ นั่นปูนใช่ไหม”
เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ปูนต้องละสายตาจากโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นไปมองแต่แล้วคนที่ยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกชาไปทั้งร่าง
“ใช่ปูนจริงๆด้วย! เราก้อยไงจำได้ไหม ที่เรียนอยู่เซคเดียวกันอะ!”
ผู้หญิงที่ชื่อก้อยถือวิสาสะนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆกันโดยไม่รอให้ร่างเล็กได้อนุญาตหรือโต้ตอบใดๆ ไม่ใช่แค่ปูนคนเดียวที่งงแต่รวมถึงกลุ่มเพื่อนของเธอที่มาด้วยกันอีกสามคนที่กำลังมองหาที่ว่างเพื่อนั่งกินอาหารในมือ
“เฮ้ยพวกแก มานั่งนี่ก็ได้ นี่เพื่อนเราเองชื่อปูน”
ก้อยตะโกนเรียกเพื่อนของเธอจนคนพวกนั้นที่ยืนมองอยู่ไกลๆกล้าเดินเข้ามาใกล้ ปูนที่เพิ่งตั้งสติได้กำลังจะหันไปบอกแขกที่ไม่ได้รับเชิญว่าเขาอยากจะนั่งกินข้าวคนเดียวและไม่ยินดีให้ใครมาร่วมโต๊ะด้วยกันทั้งนั้น แต่ทันทีที่ร่างเล็กเห็นว่าใครคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของก้อยที่กำลังเดินมา ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็อึ้งไป
“ปูน...”
“ไอ้พลัส...”
พลัสที่ถูกเพื่อนลากให้มาหาอะไรกินด้วยกันที่ตลาด มองปูนและเพื่อนใหม่จากกรุงเทพสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับเอมมิกาและเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนของก้อยที่ชวนหญิงสาวที่เพิ่งมาจากกรุงเทพให้มาเดินเที่ยวด้วยกัน ทั้งคู่ได้แต่ยืนอย่างสับสนอยู่ว่าตัวเองควรจะนั่งที่ตรงนี้หรือควรจะไปหาที่ใหม่เพราะหน้าตาของปูนนั้นดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ก้อยเองพอเห็นว่าปูนกับพลัสท่าทางจะรู้จักกันก็ยกยิ้มแล้วหันมาพูดกับร่างเล็ก
“อ้าว ปูนกับพลัสรู้จักกันด้วยหรอ งั้นดีๆ นั่งกินที่นี่แหละแก”
ปูนกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่พลัสกลับไวกว่า คนที่ไม่อยากเสียโอกาสไปรีบแทรกตัวเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆปูนอีกด้านที่ยังว่างอยู่ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆโดยเฉพาะเอมมิกาที่งงว่าพลัสจะรีบไปทำไม
“เธอควรถามฉันก่อนไหม ว่าฉันอยากให้เธอนั่งด้วยรึเปล่า”
ร่างเล็กที่ชักจะเริ่มอารมณ์เสียหันไปถามก้อยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่กลับแสดงออกถึงอารมณ์กรุ่นๆของตัวเองได้เป็นอย่างดี อดีตเพื่อนสาวร่วมเซคเอียงคอของตัวเองน้อยๆก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่ปูนพูดมันตลกซะเหลือเกิน
“ฮ่าๆ ไม่เอาน่าปูนทำเป็นรักสันโดษไปได้ แค่ขอนั่งด้วยเอง”
“...”
“แล้วอีกอย่างก็ลองดูรอบๆสิ โต๊ะอื่นมันเต็มหมดแล้ว แกจะขี้งกกั๊กโต๊ะนี้ไว้นั่งคนเดียวได้ยังไง เก้าอี้ว่างอยู่ตั้งหลายตัว”
มันเป็นจริงอย่างที่ก้อยว่าแต่ถึงอย่างนั้นลางสังหรณ์บางอย่างก็เตือนปูนว่าการพบกันครั้งนี้จะนำพาความยุ่งยากมาให้ พลัสที่คอยมองสังเกตปูนอยู่ด้วยความสนใจนึกสงสัยในท่าทางและความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่มีต่อกัน แต่ในขณะที่ร่างบางกำลังลอบมองคนตัวเล็กอยู่นั้นเองจู่ๆปูนก็หันมาสบตากับพลัสแล้วจ้องเข้ามาในดวงตาสีดำอย่างไม่พอใจ
“มานั่งนี่กูเชิญมึงรึยัง”
“...”
“...”
“ยัง...แต่เราจะนั่ง”
พลัสไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความใจกล้านี้มาจากไหนถึงไม่เกรงกลัวสายตากร้าวๆของปูนแล้วเริ่มลงมือกินยำทะเลที่ตัวเองซื้อมาโดยมีก้อยที่พลอยหัวเราะด้วยความชอบใจไปด้วย ส่วนอีกสองคนก็มองหน้ากันเลิกลั่กไม่รู้ว่าตกลงควรจะเริ่มกินเลยไหมแต่พอเห็นว่าพลัสและก้อยเริ่มกินแล้วทั้งคู่ก็ค่อยๆจัดการกินอาหารของตัวเองบ้างจนเหลือแค่ปูนเท่านั้นที่ยังคงไม่แตะทั้งปลาเผาและผัดไทของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“กินสิปูน แกคงไม่หนีไปนั่งที่อื่นเพราะเราหรอกใช่ไหม”
ก้อยพูดขึ้นราวกับต้องการยั่วยุให้คนที่พยายามอดกลั้นความรู้สึกของตัวเองตบะแตก ฟังดูก็รู้ว่าเจตนาของหญิงสาวต้องการไล่ให้ปูนไปนั่งที่อื่นชัดๆแต่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องไป...กูมาก่อนเถอะได้ข่าว ปูนยกยิ้มแล้วเริ่มกินอาหารของตัวเองโดยทำเป็นไม่สนใจอีกสี่คนที่เหลือว่าจะมองหรือจะพูดอะไรเกี่ยวกับเขาบ้างหนำซ้ำยังอ้อยอิ่งกินไปถ่ายรูปไป ทั้งถ่ายรูปตัวเองแล้วส่งให้คณิต แถมยังใจดีแอบถ่ายรูปของพลัสที่มองเขาอยู่บ่อยครั้งแล้วส่งมันให้กับบอยที่น่าจะยังทำงานอยู่ที่โรงแรมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
‘ปล่อยให้เด็กน้อยมันมาเจอผมแบบนี้จะดีหรอ เดี๋ยวเด็กมันใจแตกขึ้นมา พี่จะโทษผมไม่ได้นะครับ’
ร่างเล็กยิ้มให้กับตัวเองขำออกมาอย่างชอบใจ พลัสมองปูนที่หัวเราะคิกคักด้วยความสงสัย แต่ในขณะที่กำลังจะเอ่ยถามก้อยที่เงียบอยู่นานก็พูดขึ้น
“ว่าแต่ปูนมาทำอะไรที่นี่ล่ะ หายหน้าไปเลย ถ้าฉันไม่มาเยี่ยมเพื่อนที่นี่ก็คงไม่รู้ว่าแกหายไปไหน”
“...มาทำงาน”
“ทำงาน? อ่อ บาร์เทนเดอร์น่ะหรอ”
“ใช่ แล้วทำไม”
“ก็ไม่ทำไมหรอก...แค่แปลกใจว่าทำไมแกยังกล้าทำงานนี้อยู่”
“...”
“อ๊ะ ฉันไม่สมควรพูดสินะ โทษทีๆ อุตส่าห์หนีมาไกลถึงชลบุรีแล้วนี่เนอะ”
บรรยากาศรอบกายเย็นเฉียบ ปูนที่ตอนแรกคิดจะทำเป็นเมินเฉยกลับสะดุดลมหายใจของตัวเองเพียงแค่เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของคนที่เขาไม่คิดว่าจะรู้เรื่องน่าอายของตนที่เกิดขึ้นตอนที่อยู่กรุงเทพ
สาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่...
“ว่าแต่ที่ทำงานใหม่แกไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“หยุดพูด...”
“เรื่องที่แกเคยมีปัญหาเรื่องผู้ชายจนโดนไล่ออกจากงานน่ะ...เขารู้รึเปล่า”
พลัสทั้งสับสนและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูด แต่ก่อนที่ใครจะได้เอ่ยปากถาม ปูนก็ปาตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรงแล้วคว้าเอาข้อมือของหญิงสาวมาจับเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“โอ้ย! เจ็บ!”
“เธอพูดอะไร...”
“ปล่อยสิปูน เราเจ็บนะ!”
“นายทำอะไรน่ะ ปล่อยเพื่อนเราเดี๋ยวนี้นะ!”
เพื่อนของก้อยเมื่อเห็นว่าหญิงสาวถูกทำร้ายก็ปรี่เข้ามาห้ามแม้แต่พลัสและเอมมิกาเองก็พยายามทำให้ปูนยอมคลายแรงที่บีบรัดข้อมือของก้อยไว้จนปรากฏรอยแดงให้เห็น ปูนจ้องเข้าไปในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามอย่างต้องการคำตอบ แต่ดูเหมือนก้อยเองจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยแม้แต่น้อย
“ฉันถามว่าเธอพูดอะไรออกมา!”
“ก็แค่ข่าวลือที่เขาพูดกันไปทั่วมหาลัยเท่านั้นเอง!!”
“...!!!”
“ก็แค่ข่าวลือ...แกจะมาเดือดร้อนอะไรล่ะจริงไหมนอกเสียจากว่า”
“...”
“ทั้งหมดมันคือเรื่องจริง”
ดวงตาของปูนแข็งกร้าวอย่างน่ากลัวแต่แทนที่จะคาดคั้นเอาความจริงเขากลับปล่อยมือของก้อยแล้วลุกออกจากโต๊ะไปทิ้งไว้แค่อาหารที่ยังกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง เอมมิกาและเพื่อนของก้อยด่าปูนไล่หลังอย่างหัวเสีย นักศึกษาคนอื่นที่ได้ยินเสียงดังต่างก็มามุงดูเหตุการณ์นึกว่าคนจะทะเลาะกันมีเพียงแค่พลัสเท่านั้นที่ได้แต่มองตามแผ่นหลังของปูนแล้วอยากจะเดินตามร่างเล็กไปเพียงแต่เขายังคงยืนอยู่ตรงนี้ เพราะยังอยากจะได้ยินความจริงบางอย่างจากปากของก้อยเสียก่อน
:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
บอยหลบมาพักในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าขณะปล่อยให้พนักงานคนอื่นทำงานต่อไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ปลดเนคไทที่รัดแน่นตรงคอออกเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่เป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเขากลายๆเพราะไม่มีใครกล้ามาใช้(นอกจากปูน) พร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเช็คเหมือนกับทุกครั้ง
‘ปล่อยให้เด็กน้อยมันมาเจอผมแบบนี้จะดีหรอ…’
เขาขมวดคิ้วให้กับข้อความที่ขึ้นให้เห็นบางส่วนก่อนจะเปิดเข้าไปอ่านมันพร้อมกับเปิดดูภาพที่ปูนส่งมาให้พร้อมๆกันนั้น
ภาพของพลัสที่กำลังชำเลืองมายังกล้อง
หรือถ้าพูดให้ถูกควรจะเป็นคนถือกล้องมากกว่า...
บอยเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นอยู่ข้างใน ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มให้กับบรรดาแขกมากมายเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนพนังก็เห็นว่าอีกตั้งสามชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่เขาสามารถทิ้งงานไปได้ ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ของตัวเองอย่างชั่งใจ แต่พอคิดถึงใบหน้าของคนที่ชอบมองไปยังทิศตรงกันข้ามกับเขาเสมอก็ทำให้บอยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
“ไอ้อ๊อฟมาเฝ้าบาร์แทนกูหน่อย”
บอยเดินเข้าไปคุยกับเพื่อนที่รับผิดชอบงานคล้ายๆกันซึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ในส่วนของออฟฟิศที่เหลือพนักงานประจำอยู่เพียงไม่กี่คน
“ก็ได้อยู่ มีธุระด่วนหรอวะ”
“อืม...แมวหนีออกจากบ้าน”
“ห๊ะ? แมว? มึงเลี้ยงแมวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“...นานแล้ว”
“...”
“แต่แม่งไม่เคยเชื่องกับกูสักที”
ร่างใหญ่เดินออกไปจากห้องโดยไม่รอฟังคำตอบ เขาหยิบเอากุญแจรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ของตนออกมาพร้อมกับสัมภาระอีกแค่เล็กน้อยก่อนจะตรงดิ่งไปยังลานจอดรถที่มียามแอบงีบอยู่ เขาจัดการเสียบกุญแจแล้วบิดคันเร่งออกไปจนเกิดเสียงดังสนั่นไม่ต่างจากความร้อนรุ่มในใจที่ทำยังไงก็ไม่สงบลงสักที
‘ขับไปตามเส้นทางข้างหน้า อีก200เมตรเลี้ยวขวาค่ะ’
บอยเลี้ยวรถตามคำบอกที่ดังมาจากจากหูฟังบลูทูธที่กำลังเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของเขาโดยไม่มีความลังเลใจ ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณในความรอบคอบของตัวเอง ที่เคยแอบสังเกตและจำไอดีรวมถึงรหัสผ่านโทรศัพท์ราคาแพงของพลัสได้ ทำให้บอยสามารถติดตามตำแหน่งของเด็กคนนั้นได้ผ่านทางตำแหน่งGPSในยามคับขันเหมือนอย่างตอนนี้
‘อีก500เมตรเลี้ยวขวาจะถึงจุดหมายค่ะ’
บอยถอดหูฟังออกก่อนจะเร่งเครื่องขึ้นอีกถ้ามันทำให้เขาไปถึงที่ที่พลัสอยู่เร็วขึ้นอีกสักนิด พอใกล้กับจุดที่โทรศัพท์บอกร่างใหญ่ก็สังเกตเห็นเกสเฮ้าส์ขนาดเล็กที่มีเงาของคนสองคนยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูหน้า บอยดับเครื่องแล้วจอดรถไว้ค่อนข้างไกลเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตก่อนจะเดินเข้าไปข้างในจนกระทั่งเขาเห็นว่าหนึ่งในสองคนนั้นคือคนที่เขากำลังตามหา ส่วนอีกคนคือผู้หญิงที่เขาไม่คุ้นหน้าแต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับสาเหตุที่สองคนนั้นมาอยู่ที่นี่
“ขอบคุณนะพลัสที่มาส่งเรา”
ก้อยเอ่ยกับพลัสที่แยกจากเพื่อนทั้งสองคนเพื่อมาส่งเธอยังที่พักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตลาดที่พวกเขาเพิ่งไปเดินกันมา ร่างบางยิ้มน้อยๆตอบกลับไปโดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วมันมีสาเหตุอะไรที่ทำให้เขาต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้
“อื้ม ไม่เป็นไร ว่าแต่ก้อย...เราถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“หื้ม? อยากถามอะไรเราหรอ”
“ที่ก้อยพูดกับปูน...มันหมายความว่ายังไง”
“...”
“ที่บอกว่าปูนมีเรื่องผู้ชายจนโดนไล่ออกน่ะ...มันเกิดอะไรขึ้น”
ก้อยที่ดูงงๆในทีแรกก่อนจะค่อยๆมองพลัสอย่างพิจารณา เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้าและอดีตเพื่อนร่วมเซคที่เธอไม่ชอบขี้หน้าเป็นทุนเดิมมีความสัมพันธ์และความเกี่ยวข้องกันยังไงแต่ดูเหมือนว่าทางนี้จะกระวนกระวายกับอดีตของปูนซะเหลือเกิน ก้อยจึงเลือกที่จะยกยิ้มบางๆแล้วยิงคำถามใส่พลัสแทน
“ก่อนจะตอบคำถามนั้น เราขอถามอะไรพลัสหน่อยสิ”
“...อืม”
“แกชอบปูนใช่ไหม”
คำถามนี้ไม่ได้บาดใจเฉพาะคนถูกถาม หากแต่คนที่กำลังแอบฟังก็รู้สึกเหมือนมรสุมในอกที่สงบลงเล็กน้อยเมื่อครู่ถูกกวนให้พัดโหมขึ้นอีกครั้ง
“เราเปล่า...”
“อย่าโกหกเลยน่า มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย ใครๆเขาก็ชอบปูนกันทั้งนั้น...โดยเฉพาะพวกผู้ชาย”
รอยยิ้มสวยเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวเล็กๆ ก้อยเดินกลับไปทิ้งสะโพกนั่งลงตรงเบาะรถจักรยานยนต์คันเก่งของพลัสแล้วเริ่มพูดต่อ
“ความจริงมันก็เป็นแค่ข่าวลือ แกไม่จำเป็นต้องฟังเราก็ได้”
“ใช่มันไม่จำเป็น...แต่เราคิดว่าเราควรฟัง”
“...”
“ก้อยเอง ก็อยากจะเล่าอยู่แล้วใช่ไหม”
ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้มองปูนด้วยสายตาแบบไหน และดูเหมือนคำพูดของพลัสจะโดนใจของก้อยเข้าอย่างจัง หญิงสาวที่ฟังทีแรกแล้วอึ้งไปพอตั้งสติได้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังๆ
“ฮ่าๆๆๆ เห็นทำหน้าติ๋มๆแอบร้ายเหมือนกันนี่ ก็ได้ ดูเหมือนว่าถ้าเราบอกแกไป...คงจะมีอะไรน่าสนุกให้เราดู”
ก้อยก้าวลงมาจากรถแล้วสาวเท้าเข้าไปหาจนพลัสสามารถได้กลิ่นหอมๆจากผมสีน้ำตาลดัดเป็นลอนของเธอ
“ถึงเราเองจะไม่เห็นกับตา แต่ทั้งที่คณะแล้วก็ในมหาลัยเขาพูดกันให้ทั่ว ว่าเมื่อกลางปีที่แล้วมีเด็กไซด์ไลน์ที่เรียนอยู่มหาลัยเดียวกับเราทำให้ลูกค้าผู้ชายสองคนต่อยกันแย่งมันจนต้องเข้าโรงพยาบาลกันทั้งคู่ จนสุดท้ายเด็กไซด์ไลน์คนนั้นก็ถูกไล่ออกจากที่ทำงาน แถมยังทนพิษข่าวลือไม่ไหวจนไม่กล้าโผล่ไปเที่ยวหรือว่าไปหากินแถวนั้นอีก”
“...!!!”
“แต่เรื่องมันก็คงไม่น่าสนใจอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าหนึ่งในผู้ชายสองคนนั้นอายุแก่คราวพ่อ ฮ่าๆ นึกภาพออกไหมล่ะ ว่าผู้ชายแก่ๆคนหนึ่งเอาตัวเองเข้าไปแลกกับเด็กผู้ชายรุ่นลูกแค่เพราะอยากจะเอามันนะ แค่คิดก็ขยะแขยงจะตายชัก”
“เธอจะบอกว่า...นั่นคือปูนงั้นหรอ”
“ไม่รู้สิ ก็บอกแล้วไงว่าเป็นแค่ข่าวลือ แกจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจแก”
ก้อยทำเป็นว่าเธอไม่หยี่หระต่อการตัดสินใจของพลัสแต่ดวงตาแพรวพราวที่มองมานั้นกลับบอกในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“มันก็แค่บังเอิญน่ะที่ร้านนั้นคือร้านที่ปูนมันทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ แล้วก็บังเอิญอีกที่เขาลือกันว่าเด็กไซด์ไลน์คนนั้นเรียนอยู่การจัดการเหมือนกับเรา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่บังเอิญ...รู้ไหมว่ามันคืออะไร”
“...”
“เรื่องที่ไอ้ปูนมันขายตัวไง เรื่องนี้น่ะเขารู้กันไปทั่วนั่นแหละ”
หญิงสาวว่าก่อนจะตบบ่าของพลัสเบาๆแล้วหมุนตัวเดินกลับห้องของเธอไปราวกับว่าตะกอนขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในหัวใจของพลัสไม่ได้เกิดจากฝีมือของเธอเลย บอยที่ได้ยินเรื่องทุกอย่างยืนมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของร่างบาง มันทั้งผิดหวัง ไม่เข้าใจและเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าพลัสกำลังแค้นใคร
ผู้ชายพวกนั้น...ปูน...หรือว่าตัวเขาเอง
.
.
.
.
.
.
.
ปูนไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเท่าไหร่ในการกลับมาที่นี่ ทันทีที่เดินออกมาจากตรงนั้นปูนก็นั่งรถต่อไปเรื่อยๆจนมันวนไปยังหอพักของตัวเองที่ไม่ได้กลับมานาน เด็กหนุ่มเลือกลงจากรถไปเพื่อเข้าไปยืนอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าเช่นเดียวกับหัวใจของเขา บนพื้นห้องมีฝุ่นเกาะหนาอย่างที่คิดแต่ถึงอย่างนั้นที่นี่กลับเป็นสถานที่เดียวที่ร่างเล็กเลือกที่จะพักกายลงแล้วปล่อยให้ความคิดที่ฟุ้งซ่านทำลายตัวเองอย่างช้าๆ
การที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเรื่องที่เขาอยากจะลืมไปขึ้นมา
แสดงว่าที่เขาหนีมาที่นี่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ
ตื๊ดๆ ตื๊ดๆ ติ๊ดๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังวนอยู่อย่างนั้น ปูนอยากรู้ว่าใครคือคนที่โทรมาแต่อีกใจมันก็คอยบอกเขาว่าช่างมัน เขาอยากอยู่คนเดียว ไม่สิ ต่อให้มีใครอยู่ด้วยคนคนนั้นก็ช่วยเขาไม่ได้ ปัญหาที่เขาต้องแบกรับอยู่มันใหญ่เกินกว่าใครจะเข้าใจ เพราะแม้แต่เขา...ก็ยังไม่เข้าใจมันเลยสักนิดเดียว
ติ๊ง...
คราวนี้เป็นเสียงแจ้งเตือนไลน์ที่ดังขึ้นแต่มันกลับทำให้คนที่นั่งอมทุกข์อยู่นานยอมที่จะหันไปมองอย่างอื่นนอกจากมือที่กำกันแน่นของตัวเองได้
เพราะมีเพียงคนเดียวที่เขาตั้งค่าเปิดเสียงแจ้งเตือนไว้...
เสียงของป๋า...
‘อยู่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์’
เพียงแค่ข้อความสั้นๆกลับทำให้หยดน้ำตาที่เขาพยายามอดกลั้นไหวไหลลงมาจนหน้าจอที่ปรากฏสติ๊กเกอร์รูปหมีโมโหเปียกเป็นวง ปูนย้อนกลับไปดูประวัติสายที่ไม่ได้รับก็เห็นว่าคนที่พยายามโทรหาเขาอยู่นานสองนานกลับเป็นเบอร์ของคณิตโดยที่ต่อสายเข้ามาเกือบสิบครั้ง คนตัวเล็กยกโทรศัพท์มากอดไว้แนบอกราวกับว่าข้อความที่แสดงความฉุนเฉียวเล็กๆของคณิตสามารถรักษารูโหว่ในหัวใจของเขาได้ เขากอดมันอยู่อย่างนั้นจนโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งโดยที่ครั้งนี้ปูนตัดสินใจรับมันตั้งแต่ที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเพียงไม่นาน
“อยู่ไหนเนี่ยปูน ทำไมไม่อยู่บ้าน”
“...”
“แล้วโทรไปตั้งหลายสายทำไมถึงเพิ่งรับ นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วซะอีก ปูน ฮัลโหล ได้ยินไหมเนี่ยทำไมไม่พูด”
“ป๋า...”
ปูนรู้สึกว่าเสียงของตัวเองที่เอ่ยไปมันทั้งแหบและสั่นจนน่าขันแต่คนปลายสายกลับไม่หัวเราะเยาะเขาเลยสักนิด
“...เป็นอะไร ทำไมทำเสียงแบบนี้”
“ฮึก...ป๋า”
“เธออยู่ที่ไหนปูน”
“....”
“เดี๋ยวพี่ไปหา”
ปูนกดแชร์โลเคชั่นให้คณิตขณะที่ตัวเองพาร่างที่เหนื่อยล้ามาล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ถึงแม้จะนุ่มเหมือนกันแต่มันกลับไม่อบอุ่นและน่านอนเอาซะเลยเมื่อเทียบกับที่นอนที่มีใครสักคนนอนอยู่เคียงข้าง น้ำตาของปูนหยุดไหลแล้ว เพียงแต่ความสับสนและความรู้สึกแย่ก็ยังคงบีบรัดหัวใจจนเขาต้องหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองจนกว่าคณิตจะมาถึง
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เปลือกตาที่เคยแสบร้อนกลับกลายเป็นหนักอึ้งจนปูนแทบจะประคองสติของตัวเองไว้ไม่อยู่ ในขณะที่ปูนเกือบจะเผลอหลับไปประตูห้องพักที่ไม่ถูกล็อคก็เปิดออก เตียงนอนหลังเล็กที่แค่ปูนคนเดียวก็จับจองจนเกือบเต็มค่อยๆยุบตัวลงเมื่อร่างที่ใหญ่กว่าเขามากของชายที่ปูนกำลังรอคอยกำลังก้มตัวลงมาใกล้ ทั้งน้ำหนักและความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นมาทำให้ปูนหันมาหาแล้วแทรกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของคณิตแทบจะทันทีที่รู้สึกตัว ชายหนุ่มมองคนที่ทำให้เขานึกเป็นห่วงมากมายแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างน้อยก็หยุดร้องไห้ไปแล้ว...
“เป็นอะไร...เล่าให้ฟังหน่อย”
คณิตลูบเปลือกตาของปูนเบาๆ เมื่อเห็นว่ามันปูดบวมมากแค่ไหนความขุ่นข้องหมองใจที่เคยมีก็หายไปจนหมดเหลือเพียงความห่วงใย คนตัวเล็กคงไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงทันทีที่กลับมาพบว่าคนที่น่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วกลับไม่อยู่ โทรไปหาก็ไม่รับสาย ยังดีนะที่ยังอ่านไลน์ไม่อย่างนั้นคณิตคงได้ใช้เวลาพักอันน้อยนิดที่แลกมากับการเร่งทำงานให้เสร็จไปกับการนั่งกังวล แต่ถึงอย่างนั้นการที่ต้องมารับรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไปเจอเรื่องกระทบจิตใจมาจนร้องไห้หนำซ้ำยังหนีมาหลบอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับไปบ้านมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
ปูนค่อยๆลืมตาขึ้นจนสบกับเข้ากับดวงตาเรียวรีที่แสดงความเป็นห่วง ร่างเล็กฝืนยิ้มให้คณิตน้อยๆก่อนที่จะยกกายเข้าหาแล้วกอดร่างสูงไว้เท่าที่แรงของตัวเองจะทำได้ คณิตกอดปูนตอบแล้วลูบแผ่นหลังเล็กๆนี่จนเจ้าของมันผ่อนคลาย เขาปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพักจนปูนเริ่มสบายใจแล้วเปิดปากพูดออกมาเอง
“วันนี้...เจอคนพูดไม่ดีใส่อีกแล้ว”
ปูนละความจริงส่วนหนึ่งไปแล้วเลือกพูดแต่สิ่งที่เขาอยากให้คณิตรับรู้เท่านั้น มือของคณิตชะงักไม่รู้ว่าเพราะอยู่กับปูนมาสักพักหนึ่งรึเปล่าเขาถึงเริ่มจับความผิดสังเกตในน้ำเสียงของคนตัวเล็กได้ ปูนกำลังโกหก...และปูนกำลังทุกข์ใจ เขาจึงได้แสร้งทำเป็นไม่รับรู้มันจนกว่าจะถึงเวลา
“แล้วเธอก็ปล่อยให้เขาพูดไปอย่างนั้น? ไม่ด่ากลับไปสักหน่อยล่ะ”
“ก็อยากด่า แต่...นึกไม่ออก”
“เธอเนี่ยนะนึกไม่ออก เวลาเถียงทีฉันแทบฟังไม่ทัน”
คนตัวเล็กทำหน้าบึ้งแล้วกัดบ่าของคณิตเบ่าๆเมื่อถูกชายหนุ่มเหน็บแนมเข้าให้ คณิตเองก็กลับหัวเราะอย่างชอบใจ ดูเหมือนว่าจะร่าเริงขึ้นหน่อยแล้วล่ะนะ
“ก็ตอนนั้นมันโมโหมาก คิดอะไรไม่ออกหรอก”
“เขาว่าแรงมากเลยรึไง”
“ก็นะ...ถ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันคงกระโดดเข้าไปซัดแล้ว”
“จริงอะ ไม่ใช่ว่าไปตบเขามาแล้วค่อยหนีมาร้องไห้หรอกนะ”
“ไอ้ป๋าบ้า! กูก็ผู้ชายเหอะจะให้ไปตบผู้หญิงได้ยังไง”
“อะไร ใครแทนตัวเองว่ากู เดี๋ยวนี้หัดพูดไม่เพราะกับฉันหรอ”
คณิตหยิกแก้มของปูนแรงๆจนร่างเล็กต้องร้องโอดโอย เพราะเดี๋ยวนี้ปูนชักเผลอขึ้นกูขึ้นมึงกับเขาบ่อยอาจจะเพราะเริ่มสนิทกันมาก เขาไม่ใช่คนเรียบร้อยขนาดที่ทนฟังคำหยาบไม่ได้หรอกเพราะเขาเองก็พูด เพียงแต่คณิตไม่อยากให้ปูนเป็นเด็กก้าวร้าวพูดจาไม่ดีกับผู้ใหญ่ก็เท่านั้น โดยเฉพาะเขาที่นอกจากวันแรกก็ไม่เคยพูดหยาบกับปูนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ขอโทษๆ มันเผลอไปหน่อย”
“อย่าเผลอบ่อย ไม่อย่างนั้นกุญแจบ้านที่ให้ไปฉันจะริบคืน”
“อะไร ป๋าให้ผมมาแล้วนะ!”
“ฉันให้เธอในฐานะเด็กดี...ไม่ใช่เด็กดื้อ”
“...”
“ไม่ต้องมาทำหน้างอเลย เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
“เออ”
“ว่าไงนะ?”
“ครับๆ ปูนเข้าใจแล้วครับป๋า~ ไหนมาหอมที่ดิ๊ ทำไมวันนี้ขี้บ่นจังเลย”
ปูนกดจมูกลงตรงแก้มของคณิตแล้วสูดหายใจเข้าแรงๆ แน่ล่ะว่ามันคงไม่ได้หอมเพราะคณิตเองก็ทำงานมาทั้งวัน แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็ยังคงหอมซ้ายหอมขวาทำเหมือนกับว่าคณิตเป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ให้ความอบอุ่นกับเขาได้ทั้งร่างกายและหัวใจที่อยู่ข้างในนี้
“พอๆ ไม่เหม็นรึไง ฉันเองยังเหม็นตัวเองจะแย่”
“เหม็น แต่อยากหอม ขอหอมได้ป่ะ”
“...”
“นะๆ ขอหอมนิดเดียวอย่าหวงตัวนักเลยน่า”
“...”
“ทีกับป๋าปูนยังไม่หวงเลยนะ...ยกให้ทั้งตัวก็ยังได้”
“...”
“...”
“จริงอะ?”
“อื้อ”
“...”
“ยกให้ป๋าหมดเลย”
คณิตมองความวิบวับในดวงตาของคนตรงหน้า ให้ตายสิ ไม่ว่าทำยังไงเขาก็เอาชนะลูกอ้อนของปูนไม่ได้สักที ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปชิมความหวานที่ริมฝีปากของร่างเล็กที่เอียงคอรออยู่แล้วอย่างรู้งาน เสียงลมหายใจเข้าออกของทั้งคู่กระชั้นขึ้นเช่นเดียวกับแผ่นอกบางที่ถูกปลายนิ้วของคณิตสำรวจเสียจนไม่มีจุดไหนที่ร่างสูงไม่รู้จัก คนตัวเล็กปรือตามองคนที่มองเขาอยู่จากมุมสูงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปจูบเบาๆบนปลายคางสากที่มีไรเคราขึ้นอยู่จางๆ คณิตยกยิ้มให้กับกริยาออดอ้อนที่สั่นไหวความรู้สึกของเขาได้เสมอแล้วทำในสิ่งเดียวกันให้กับปูนกลับไป
“ปูน”
“หื้ม”
“ต่อไปนี้ถ้ามีคนพูดไม่ดีใส่ก็ไม่ต้องไปฟังนะ”
“...”
“เธอเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าตัวเองทำอะไรลงไป ถ้าเธอทำดีต่อให้คนพูดร้ายใส่มันก็ไม่ใช่ความจริงที่เธอควรจะเก็บมาเจ็บช้ำน้ำใจเลยสักนิด กลับกันถ้าเธอทำเลวแล้วมีคนมาบอกว่าเธอทำดีแล้ว คำพูดพวกนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการยกหางที่รังแต่จะทำให้เธอเสียใจในท้ายที่สุด”
“แต่มัน...เจ็บใจ”
“แน่ล่ะ คนที่ว่าเธอก็คงหวังให้เธอรู้สึกแบบนั้น”
“...”
“ไม่ว่าคนจะพูดยังไงเกี่ยวกับตัวเรา มันก็ไม่สำคัญเท่าเราตีค่าตัวเองไว้แบบไหน...จะสูงจะต่ำก็อยู่ที่ตัวเราเลือกจะทำไม่ใช่เพราะคำพูดของคนอื่น”
“ครับ...”
“แล้วก็...”
“...?”
“อย่าร้องไห้เพราะคนอื่นนอกจากฉันอีกนะ...ได้ยินไหม”
ปูนทำตาโตในขณะที่คณิตไม่คิดจะหลบสายตาขี้สงสัยของเด็กหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิด สัญญาณเตือนในหัวของปูนกำลังร้องลั่นแต่เสียงหัวใจกลับดังยิ่งกว่า เขาเม้มปากของตัวเองก่อนจะตัดสินใจวางมือข้างขวาของตนลงบนอกข้างซ้ายของคนตรงหน้า ปูนไม่รู้ว่าจังหวะแบบนี้ถือว่าหัวใจเต้นแรงไหมเพียงแต่เมื่อเทียบกับหัวใจอีกดวงที่อยู่ในอกของเขา
มันกำลังเต้นไปในจังหวะเดียวกัน...
“เป็นคำสั่งหรอ”
“...”
“...”
“อืม”
“...”
“ฉันขอสั่งให้เธอร้องไห้ให้ฉันได้คนเดียว”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
พระเอกเรื่องนี้โรคจิตเนอะ ป๋าก็สั่งให้น้องร้องไห้แค่กับตัวเอง พี่บอยก็เป็นสโตกเกอร์ 55555555555 :hao7: ยิ่งอันหลังยิ่งฮา ใครยังงงว่าบอยพลัสนี่มันยังไงใจเย็นนะคับ ความเป็นสโตกเกอร์ของพี่บอยจะค่อยๆโผล่มาให้เห็นเอง พลัสก็ร้ายไม่ใช่เล่น แต่ปูนร้ายกว่า เด็กเช่นี่เนอะ =w= ฮี่ๆ :hao3:
ดราม่ามาเล็กๆ แต่ยังไม่กระเทือนถึงป๋าปูนเท่าไหร่ ซัดใส่น้องอย่างเดียว บอกแล้วว่าพระเอกเรื่องนี้สบายไม่มีปมอะไรกับใครเขาเลย (ปูน : เช่โคตรลำเอียง!) น่าจะเริ่มสังเกตเห็นแล้วด้วยว่าดราม่าน้องไม่ได้มีแค่เรื่องพี่กาล ค่อยๆแก้กันไปคับ ไม่อยากซัดตู้มเดียวสงสาร แต่ไม่หนักหนาหรอกพอขำๆ ยังไงปูนก็มีป๋าอยู่แล้วนะ กิ๊วๆ ว่าแต่....ชะนีก้อยตอนนี้แอบจิตและน่าตบมาก :z6:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตคับ ได้อ่านหมดนะๆ ส่วนพี่กาลเหลือแค่ตอนพิเศษตอนสุดท้ายก็จะแต่งจบแล้ว ขอเวลาเช่ไปทำหนังสือสักนิดนะคับ พ้นจากนี้ไปจะได้ปั่นป๋าปูนกันยาวๆ บอกเลยว่าเวลาแต่งเรื่องนี้มีความสุขดี ไม่อยากใส่ดราม่าเข้าไปเลยยยย เด็กเส้นจนพี่กาลหมั่นไส้ เชอะ! :impress3:
-
ตอบเม้นกันโน๊ะ!
liza sarin >>>> ป๋านี่ยิ้มเลยคับ :hao6:
krouy >>>> ปย.นี้ได้มาแบบงงๆคับ เฮือกสุดท้ายก่อนหลับคาคอม 555
kanomjeeb >>>> เช่ก็ชอบคับ
นอนกินแรง >>>> ขอบคุณคับ :mew1:
Toho48 >>>> อีกนิดนึงน่าๆ
cheyp >>>> ขอบคุณที่ติดตามนะคับ :L2:
-
ป๋าปูนละมุนตามท้องเรื่องค่ะ แต่นังชะนีก้อยนี่อะไรกันคะ
อิจฉาน้องหรอ :katai4:
ป๋าอย่าปล่อยคนที่ดูถูกเมียเราให้ลอยนวลค่ะ กำจัดมัน :z6:
ว่าแต่พี่บอยแอบฮานะ เป็นสโตกเกอร์แท้ๆเลย :hao3:
-
ยัยก้อยนิสัยเสีย อย่ามาว่าปูนแบบนี้นะเว้ยยย :m31:
ป๋าอบอุ่นอีกแล้ววว น่ารัก :o8:
-
พลัสอย่าไปยุ่งกับปูนเลยนะ :ling1:
-
ปูนสู้ๆ ให้ป๋ากอดเเน่นๆเลย :กอด1:
-
มาแล้วๆๆๆๆ แปะไว้เดี๋ยวค่ำๆมาอ่านนะจ๊ะ :กอด1:
-
ป๋าน่ารักมากกกกกกกกกกกก
ปูนเองก็ต้องก้าวผ่านอดีตให้ได้ ป๋าห้ามทิ้งปูนไปไหนนะเออ
-
ป้าฟินมาก. เรื่องนี้ให้สามผ่านค่ะ แถมการันตีความสนุกและน่าติดตาม ตัวละครหนูปูนมีมิติมากค่ะป้าปลื้มมาก ส่วนพ่อคณิตก็ดูมีมติมากเช่นกัน ถึงจะไม่สุดจนฟิน แต่เป็นคู่ขมองอิ่มที่น่าทึ่งมากค่ะ
ปล. ป้ารอเรื่องของปมของหนูปูน และ บท18+แสนดิบอยู่นะค่ะ.............
-
กรี้ดเขิลลลลล
ป๊าพูดแบบนี้เอาใจไปเลยเหอะะะะะะะะะ
-
อะเหยย หวานนน :o8:
ติดตามๆ สู้ๆค่ะ :L2: :L2:
-
แตกที่ 14
…(หวง)นิดหน่อย...
ด้วยเพราะความที่ดึกมากแล้วคณิตจึงเลือกที่จะนอนห้องของปูนแทนที่จะขับรถกลับไปนอนที่บ้าน แน่นอนล่ะว่าลำบากเพราะเตียงที่เล็กกว่าของเขาตั้งครึ่งหนึ่งทำให้ทั้งสองคนต้องนอนเบียดกันแทบตายสุดท้ายคนตัวเล็กเลยต้องระหกระเหินปีนขึ้นมานานบนตัวของคณิตแทนทั้งๆแบบนั้น
ถ้าถามว่าหนักไหม...
โคตรๆอ่ะ เล่นเอาจุกไปเลย
“เลิกทำหน้าแบบนี้ได้แล้วน่า อย่าขี้งอนนักจะได้ไหม”
“ก็ป๋ามาบ่นว่าผมอ้วนทำไม นิสัยไม่ดีว่ะ”
เอาจริงๆปูนน่ะโคตรมั่นใจในหุ่นไซต์มินิของตัวเองมาก พอมาเจอคนตัวโตที่น่าจะรับน้ำหนักของเขาได้สบายๆเดินบ่นเป็นตาแก่ทันทีที่ตื่นขึ้นมาเล่นเอาคนตัวเล็กเสียเซลฟ์ไปเหมือนกัน
“ไม่ได้บอกว่าอ้วนสักหน่อย บอกแค่จุก”
“ก็นั่นแหละ ชิ ทีผมโดนทับแรงๆตั้งหลายทียังไม่บ่นเลย ตัวโตยังกับหมี”
คณิตแกล้งดึงปากล่างของคนที่โยงเข้าเรื่องทะลึ่งได้ตลอดเวลาก่อนจะเดินนำไปที่รถปล่อยให้ปูนทำท่าฟึดฟัดมาตลอดทาง ร่างสูงนั่งลงตรงที่ว่างข้างคนขับแล้วยกหน้าที่สารถีให้ปูนแทนเพราะความเมื่อยบวกด้วยความขี้เกียจ
“แล้วกลางวันนี้ทั้งวันเธอจะทำอะไร ไม่ต้องเข้าผลัดไม่ใช่หรอ”
ร่างสูงเอ่ยถามพลางคว้ามือของปูนข้างที่ควรจะต้องจับเกียร์มาเขี่ยๆเล่นไปด้วยแถมพอถึงเวลาต้องเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ยอมคืนให้ ปูนจึงต้องยกหน้าที่นั้นให้กับคณิตที่ชักจะติดนิสัยเอาแต่ใจจากเขามาทำแทน
“อืม คงไปเดินห้างมั้ง”
“ทั้งวัน?”
“ก็คงทั้งวัน”
“มีตัง?”
“ขอตังป๋าไง”
“ไม่ให้”
“หึ งกชะมัด”
ปูนแกล้งทำหน้างอ ทั้งที่ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องง้อคณิตสักนิด ถึงจะไม่ใช่เงินถุงเงินถังก็เถอะ เขาเองก็พอมีเงินเก็บจากรายจ่ายที่น้อยลงไปจากตอนที่ไปพักอยู่ด้วยกันก็มากพอดู
“เดินห้างทั้งวันเบื่อตายชัก...เอางี้ เธอมาช่วยงานฉันแล้วกันคนขาดพอดี”
“งาน? งานอะไร?”
“งานที่โรงแรมนั่นแหละ คืนนี้มีลูกหลานนักการเมืองมาจัดงานแต่งงาน โดยรวมของทุกอย่างก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแต่ถ้าเธอยอมมาฉันก็มีงานให้เธอทำ”
“ให้ผมทิ้งวันหยุดไปทำงานกับคุณเนี่ยนะ”
“ใช่ แต่มันเป็นวันหยุดที่เธอจะไม่ได้เจอฉันนะ ถ้าเธอมาด้วยกัน เธอจะได้อยู่กับฉันทั้งวันเลย...ว่าไงปูน”
“...”
“โอเค ตกลงตามนี้”
ร่างสูงยกยิ้มแล้วยกมือของคนที่ตกหลุมพรางเขาอย่างจังขึ้นมาจูบจนเกิดเสียงที่ทำให้ปูนเผลอกันริมฝีปากของตัวเองเบาๆด้วยความเขินอาย โดยที่คณิตไม่ทันสังเกตเห็น ร่างเล็กพยายามรวบรวมสติของตัวเองไว้กับท้องถนนตรงหน้าจนพวกเขาเดินทางมาถึงโรงแรมหรูของคณิตที่มีแขกมาพักหนาตาเหมือนเช่นทุกครั้ง
ปูนเลี้ยวรถเข้าไปด้านในตรงส่วนที่จอดรถของพนักงานโดยมีคนตัวสูงคอยบอกทางไปเรื่อยๆจนสุดท้ายรถยนต์ของคณิตก็เข้ามาจอดตรงที่จอดรถของผู้บริหาร ซึ่งมันสร้างความไม่เข้าใจและกังวลให้ปูนมากๆ
“คุณ จอดตรงนี้ได้หรอ”
“อืม ได้สิทำไมจะไม่ได้”
“แต่...นี่มันที่จอดรถผู้บริหารไม่ใช่รึไงแต่คุณเป็นแค่ผู้จัดการ”
คณิตขมวดคิ้วแล้วนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เคยบอกคนตัวเล็กสักคำว่าแท้จริงแล้วฐานะของเขาสำหรับโรงแรมแห่งนี้นั้นอยู่สูงแค่ไหน ร่างสูงจึงเผลอยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูแล้วคิดไปว่าถ้าปูนรู้ว่าเขาคือคนที่สักวันจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของโรงแรม The Next เด็กหนุ่มจะปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมรึเปล่า
“ไม่เป็นไร เขาอนุญาตให้ฉันจอดได้ ห้องที่เราพักเมื่อตอนนั้นก็เหมือนกัน”
ร่างสูงเลือกที่จะปกปิดมันไว้ก่อนเพราะไม่คิดว่าการบอกปูนไปตอนนี้จะทำให้เขาสูญเสียโอกาสที่จะมองเห็นตัวตนข้างในของคนที่สั่นไหวหัวใจของเขาได้ คณิตลงจากรถไปก่อนโดยมีปูนเดินตามไปติดๆทั้งที่ยังไม่สบายใจนัก คณิตพาปูนไปยังส่วนของออฟฟิศที่เดียวกับตอนที่พาร่างเล็กมาฝากให้อิงอรช่วยดูแลเมื่อครั้งนั้น ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกันหญิงสาวในชุดสูทสีไข่มุกกำลังมองมาที่พวกเขาทั้งคู่ด้วยความดีใจและแปลกใจในคราวเดียว
“สวัสดีครับพี่อิง”
“สวัสดีจ้า พาน้องมาทำงานด้วยหรอคะคุณคณิต”
อิงอรหันไปหาเพื่อนชายที่ยังไม่เคยให้คำตอบที่กระจ่างกับเธอเลยสักครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราหญิงสาวตาไวพอที่จะเห็นว่าก่อนที่ทั้งสองคนเดินจับมือมาด้วยกันจนกระทั่งเธอหันไปมองนั่นแหละ
อย่างนี้ยังจะปฏิเสธอีกหรอคุณคณิต...
“น้องเขาว่างวันนี้พอดี เลยชวนให้มาช่วย อิงมีอะไรให้น้องทำไหม”
“อืม...งั้นให้น้องมาช่วยฝ่ายอาหารแล้วกัน คราวนี้ต้องจัดม็อกเทลพอดีเลย แล้วเดี๋ยวอิงจะให้คนอื่นไปช่วยงานของคุณหน่อยแทน”
“นี่ยัยหน่อยมาด้วยหรอ?”
“ใช่ เห็นว่าเจ้าสาวเป็นคนรู้จักน่ะ โอเคนะน้องปูน เรามาทำงานกับพี่นะ”
ปูนพยักหน้ารับทั้งๆที่มีสิ่งที่ยังสงสัยโดยเฉพาะคนชื่อหน่อยที่ว่านั่นเป็นใคร ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากพอตัว หลังจากตกลงกันได้อิงอรก็หายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมกับชุดเครื่องแบบของพนักงานที่ถึงแม้จะไม่หรูหราเท่ากับของ The Pilot แต่ก็สวยงามพอตัว เด็กหนุ่มรับมันมาพร้อมกับเปลี่ยนชุดของตัวเองจนเรียบร้อยแต่ในตอนที่เขาเดินกลับมาที่ออฟฟิศ คณิตก็หายไปแล้ว
“แล้วพี่...เอ่อ คุณคณิตหายไปไหนแล้วครับพี่อิง”
ร่างเล็กเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกคณิตเพราะกลัวว่าใครจะมองทั้งเขาและตัวร่างสูงไม่ดีแต่ดูเหมือนว่าอิงอรจะไม่ได้คิดแบบนั้น
“จะเรียกพี่ก็พี่เถอะจ๊ะ ไม่เป็นไรหรอก คนกันเองทั้งนั้น”
“อ่า ครับ”
คนกันเองที่ไหนล่ะ...เขาอยากถามอิงอรว่าไม่เห็นสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่นที่มองมาบ้างรึไง จ้องกันไม่วางตาตั้งแต่เขาเดินเข้ามาแล้ว”
“ส่วนคณิตก็ขึ้นไปตรวจงานข้างบนแล้วล่ะ จะลงมาก็เที่ยงนู้นเลย ว่าแต่ปูนกินข้าวเช้ามารึยัง”
“ยังครับ”
“งั้นไปกินก่อนแล้วค่อยเริ่มทำงานนะ เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง”
อิงอรเดินนำปูนไปยังส่วนของห้องกินข้าวพนักงานที่ไม่ต่างจากโรงแรมของปูนมากนัก พนักงานหลายคนหันมามองคนตัวเล็กอย่างสนใจ ทั้งที่ว่าเด็กหนุ่มหน้าใสนี่เป็นใครมาจากไหน รวมไปถึงคนที่เคยเห็นปูนมากับคณิตก่อนหน้านี้ด้วย เด็กหนุ่มทำเป็นไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองมาแล้วเดินไปตักอาหารมาเล็กน้อยพอแค่อิ่มท้องโดยไม่ลืมที่จะตักมาเผื่ออิงอรที่กำลังคุยกับคนอื่นอยู่อีกจานด้วย
“ตักให้พี่ด้วยหรอ ขอบใจนะจ๊ะ จูนๆ นี่น้องปูนไงที่ฉันเล่าให้ฟัง”
หญิงสาวชิงแนะนำปูนให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นรู้จักโดยไม่ให้เวลาร่างเล็กได้เตรียมตัวสักนิด คนที่อิงอรแนะนำให้รู้จักปูนหันมามองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจจนปูนต้องยกมือไหว้ฝ่ายนั้นทั้งที่ยังงงๆอยู่
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ นี่น่ะหรอคนของคุณคณิต”
“ยัยจูน!”
อิงอรติงเพื่อนของตนเสียงดังเพราะไม่อยากให้ปูนรู้ว่าเรื่องราวของตัวเองถูกคนอื่นนำไปพูดต่อมากมายแค่ไหน ถึงจะไม่ใช่ด้านที่แย่ก็เถอะ
“เอ่อ พี่หมายถึงคนรู้จักของคุณคณิตน่ะจ๊ะ พี่ชื่อจูนนะอยู่ฝ่าย HR”
“ครับ ผมปูนนะครับ วันนี้จะมาช่วยพี่อิงเตรียมงาน”
“อ่อ เราเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วยใช่ไหมเห็นอิงเคยเล่าให้ฟัง”
พอมีคนเปิดคนอื่นๆต่างก็กรูกันเข้ามาชวนปูนคุยเสียยกใหญ่จนคนตัวเล็กออกอาการเก้อเขินเพราะหากเทียบกับที่ The Pilot เขาเหมือนกับจงใจทำตัวน่าหมั่นไส้สร้างศัตรูไปทั่วจนใครต่อใครไม่คิดจะเสวนา บรรยากาศทำงานสบายๆและผู้คนที่เป็นมิตรจึงไม่ใช่สิ่งที่คุ้นชินสำหรับปูนนักแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้าย กลับกันมันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าการทำงานที่นี่น่าสนใจ
“เห็นคุณคณิตบอกว่าเคยชวนปูนทำงานด้วยกันแล้ว ทำไมไม่มาล่ะ”
อิงอรเอ่ยกับเขาขณะที่ทั้งคู่ช่วยกันเช็คจำนวนแก้วแล้วกะปริมานเครื่องดื่มที่จำเป็นต้องเตรียมเอาไว้ มือของปูนที่กำลังไล่เรียงไปบนแก้วแต่ละใบชะงักไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้เพียงแต่มันทำให้เขาตกใจกับความคิดของตัวเอง
เขา...เลิกคิดถึงเรื่องของรัตติกาลตั้งแต่เมื่อไหร่…
ในครั้งแรกตอนแรกที่เขามาเหยียบที่นี่นั่นเป็นตอนที่เขาต้องมาขับรถของรัตติกาลกลับเพราะชายหนุ่มคนที่เขาเคยรักทิ้งเขาไว้ที่อีกโรงแรมเพียงลำพังแล้วชิงกลับไปกรุงเทพก่อนกับใครอีกคน ทั้งเสียใจที่โดนทิ้ง...แต่ก็ไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปทำได้เพียงแต่กอดความทรงจำเลวร้ายไว้กับตัวเท่านั้น แล้ววันหนึ่งเขาดันได้กลับมาในที่ที่ทำให้เขาต้องคิดถึงวันเก่าๆ แล้วไหนจะเรื่องที่เพื่อนของรัตติกาลเป็นเจ้าของโรงแรมนี้อีก เขารู้ว่าโอกาสที่เราจะได้เจอกันอีกครั้งมันแทบไม่มี แต่อคติในหัวใจกลับบอกให้ปูนถอยห่างจากมันเข้าไว้
จนกระทั่ง...วันที่คณิตก้าวเข้ามา
“ปูนเป็นอะไรรึเปล่า”
“ปะ เปล่าครับ”
ปูนปฏิเสธทั้งๆที่มือของเขาเย็นเฉียบจนต้องขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำ เขาเดินออกมาเร็วๆแล้วก้มหัวให้ผู้คนที่หันมาทักทาย เด็กหนุ่มมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก ทั้งความสุขที่สะท้อนอยู่ในแววตาและใบหน้าเปื้อนยิ้มทำให้เขาเพิ่งตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
คณิตทำให้เขาเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปจนน่ากลัว
โดยเฉพาะความจริงที่ว่าต่อให้เขารู้ เขาดันไม่คิดจะถอยกลับ
“มันจะต้องไม่เป็นไรปูน...มันจะต้องไม่เป็นไร”
“...”
“เรายังไม่ได้รักเขา เรา...ไม่ได้รักเขาเลย”
ปูนบอกตัวเองคนที่ยืนอยู่ในกระจกแล้ววักน้ำขึ้นมาล้างใบหน้าเพื่อเรียกสติที่กระเจิงให้กลับมาก่อนจะออกจากห้องน้ำไปทั้งๆแบบนั้น แต่พอเขากลับไปอิงอรกลับไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวาพยายามมองหาคนที่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ แต่จู่ๆผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้าจนปูนไม่สามารถมองเห็นอะไร นอกจากดอกไม้ที่ถูกปักลงบนเนื้อผ้าเท่านั้น
“เช็ดหน้าสักหน่อยสิคะ ชุดเปียกหมดแล้ว”
“...”
“รับไว้เถอะค่ะ ฉันไม่ใช่คนน่าสงสัยหรอก”
แต่น่าสงสัยมากๆเลยต่างหาก...ปูนพูดกับตัวเองแต่ก็ยอมรับผ้าผืนนั้นมาเช็ดซับใบหน้าของตนแต่โดยดี ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเห็นคนที่เสนอน้ำใจให้ชัดขึ้น เธอเป็นผู้หญิงสูงไล่เลี่ยกับเขา มีใบหน้าขาวสะอาดและผมตรงยาวสีดำสนิทแต่ที่สะดุดตาปูนที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาเรียวเล็กคู่นั้น...มันทำให้เขาคิดถึงใครบางคน
“ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่...คุณเป็นใครหรอคะ?”
“ห๊ะ?”
“คุณน่ะค่ะ เป็นใครหรอคะทำไมถึงได้ใส่ชุดพนักงานของที่นี่”
ผู้หญิงที่ปูนไม่รู้จักกำลังยิ้มให้เขาแต่มันกลับทำให้เขารู้สึกประหม่าเสียจนเผลอขยับท่ายืนทำให้แผ่นหลังตั้งตรงขึ้น แต่หลังจากทำแบบนั้นเธอกลับเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆเพื่อเป็นการเร่งเร้าเอาคำตอบจากร่างเล็ก
“ยัยหน่อย จะเดินไปไหนมาไหนทำไมไม่บอกพี่ก่อน อ้าว! ปูน”
ปูนรู้สึกเหมือนพระเจ้าส่งคณิตมาช่วยเขาเมื่อจู่ๆคนที่หายหน้าไปตั้งแต่นำเขาใส่พานถวายให้พี่อิงเสร็จก็เดินเข้ามาพร้อมกับถือเอกสารสองสามใบไว้ในมือ ปูนมองหน้าคณิตและหญิงสาวตรงหน้าสลับกันไปมาและเพราะคำพูดของร่างสูงทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ชื่อหน่อยที่อิงอรพูดถึงตั้งแต่เช้า
“พี่นิด..หน่อยไม่ใช่เด็กแล้วนะ แค่ออกมาเดินดูความเรียบร้อยเท่านั้นเอง”
หน่อยหันไปพูดกับคณิตด้วยโทนเสียงที่ต่างออกไปเล็กน้อย มันฟังดูมีจริตและออดอ้อนเล็กๆผิดกับน้ำเสียงเรียบนุ่มที่ปูนเคยได้ยินมาก่อนหน้า แต่มันกลับไม่ทำให้ปูนเซอร์ไพรส์เท่าเมื่อเทียบกับการที่จู่ๆหญิงสาวคนนี้ก็คว้าแขนของคณิตมากอดไว้อย่างสนิทสนม
เน้น...สนิทสนม
เขาสาบานว่าแขนของป๋าโดนหน้าอกเธอไปเต็มๆ
“ช่างเถอะ ว่าแต่เธอทำไมมายืนอยู่ตรงนี้”
“ก็...ผมมารอพี่อิง”
“อิงเข้าไปข้างในนานแล้ว กำลังเช็คคิวปล่อยอาหารของโต๊ะจีนอยู่”
“อ่ะ อื้ม งั้นเดี๋ยวผมไปทำงานก่อนนะ”
ปูนพูดปัดแล้วเดินผ่านคนทั้งคู่ออกไปโดยที่ไม่กล้าสบสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของคณิตสักนิด ปูนก้าวเร็วๆจนเกือบจะกลายเป็นวิ่งแต่พอเห็นอิงอรที่กำลังยืนทำงานอยู่คนเดียวเขาจึงชะลอฝีเท้าลงก่อนเดินเข้าไปหา
“พี่อิง ขอโทษนะครับปูนหายไปนานเลย”
“อ่อ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ พี่เห็นปูนหน้าซีดๆเลยคิดว่าอยากจะพัก”
“ผมไม่เป็นไรครับ แค่รู้สึกร้อนนิดหน่อย”
ร่างเล็กแก้ตัวไปตามเรื่องเพราะไม่คิดว่าอิงอรควรได้รับรู้เรื่องทุกอย่าง แต่ปูนคงไม่รู้ว่าหญิงสาวที่เห็นโลกมามากกว่าเขานั้นสามารถอ่านคำโกหกที่ไม่แนบเนียนเอาซะเลยของปูนออกได้ แต่อิงอรก็เลือกที่จะยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง ไม่อยากเซ้าซี้ก้าวก่ายให้วุ่นวาย
“จ๊ะ งั้นเดี๋ยวปูนช่วยพี่ทวนเรื่องคิวหน่อยนะ งานใหญ่เราจะพลาดไม่ได้”
“ครับ เออแต่ก่อนอื่น ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไม”
“ได้สิจ๊ะ อยากถามอะไรหรอ?”
“คนที่ชื่อหน่อย...เขาเป็นใครหรอครับ”
“...?!”
“พอดีผมเจอเขา...อยู่กับคุณคณิตเมื่อกี้ ผมเลยสงสัย”
“...”
“แค่สงสัยจริงๆครับ”
อิงอรนิ่งไปก่อนที่จะหลุดยิ้มออกมา เธออยากให้เพื่อนของเธอมาเห็นหน้าของปูนตนนี้เสียจริงๆว่ามันเหมือนกับลูกแมวที่คอยกางเล็บขู่ฟ่อๆแค่ไหน ถึงจะแสร้งทำเป็นยิ้มแล้วทำเหมือนกับไม่มีอะไร แต่ดวงตาที่สะท้อนความไม่พอใจออกมานั่นน่ะ ปิดบังความรู้สึกของปูนไม่ได้จริงๆ
“อ่อ...เขาค่อนข้างสนิทกันน่ะจ๊ะ สนิทมาก แต่ไม่มีอะไรหรอก ปูนอย่าห่วงไปเลยแต่ว่า...”
“...”
“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะจ๊ะ”
:fire:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :fire:
-
ถ้าให้บรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นตัวอักษร ปูนขอนิยามมันสั้นๆด้วยคำๆเดียวคือ ‘เท’
อยากเทแม่งให้หมด!
ตั้งแต่ตอนนั้นปูนก็ต้องทนมองคณิตถูกผู้หญิงที่ชื่อหน่อยเดินควงแคนไปทั่วทั้งโรงแรมแต่ไม่รู้ทำไมสาวเจ้าถึงเหมือนกับจงใจพาคณิตเดินมาแถวๆที่เขายืนอยู่บ่อยครั้งจนแอบสังเกตเหมือนกันว่าบางทีก่อนที่เขาจะหันไปเจอสองคนนั้นก็ยืนคุยกันปกติดีแต่พอปูนเดินเข้าไปในเรดาร์สายตาหญิงสาวหน้าหมวดคนนั้นเป็นอันต้องคว้าแขนร่างสูงมาจับไว้ราวกับว่าถ้าไม่ทำจะล้มไปกองลงตรงหน้า
เสียดาย...เสียดายจริงๆตอนแรกเขายังมึนๆอยู่
ให้ตายสิ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเขายอมเดินออกมาง่ายๆในทีแรกนั่นแหละ
ปูนคิดพลางทำหน้างอจนพนักงานคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้แต่ก็ยังคงมองมาด้วยความเป็นห่วง ผิดกับอิงอรที่ออกอาการปลื้มใจเอามากๆจนใครต่อใครงงกับสภาพอารมณ์ที่จูนไม่ตรงกันของสองคนนี้ ปูนผสมน้ำส้มอย่างดีลงไปเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะใช้แท่งแก้วที่เตรียมมาคนน้ำในอ่างม็อกเทลให้ทั่วจนทุกอย่างผสมกันลงตัวดี ปูนตักมันใส่ลงในแก้วใบเล็กประมานสิบใบแล้วยกมาให้อิงอร จูน และพนักงานคนอื่นที่อยู่ใกล้ๆลองชิม
“ใช้ได้ไหมครับ”
“โห เยี่ยมเลยปูน สีสวยด้วยอ่ะ”
“คนละเรื่องกับที่คนก่อนทำเลยนะเนี่ย แน่ใจหรอว่าสูตรเดียวกัน”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมลองปรับส่วนผสมดูนิดหน่อย”
“คุณคณิตคิดถูกนะเนี่ยที่ให้ปูนมาช่วย เฮ้ยๆเอ็งน่ะ มายกเครื่องดื่มออกไปวางข้างนอกได้แล้ว”
หัวหน้าเชฟที่ออกมาชิมด้วยเรียกให้พนักงานคนอื่นมายกอ่างเครื่องดื่มแบบเดียวกันประมานหกอ่างออกไปวางข้างนอกในจุดที่เตรียมเอาไว้ ปูนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่สุดท้ายงานของเขาก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หากไม่นับความหงุดหงิดเล็กๆ(?) ที่เกิดขึ้นเพราะคณิตในวันนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวันทำงานดีๆที่ทำให้ปูนรู้สึกรักในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เป็นเท่าตัว
“เตรียมงานเรียบร้อยแล้วใช่ไหมอิง แล้วกินอะไรกันอยู่น่ะ”
คิดไม่ทันขาดคำคนที่ทำให้วันนี้ไม่สดใสอย่างที่ควรก็เดินเข้ามาหากลุ่มของปูนพร้อมกับมีหน่อยยืนอยู่เคียงข้างกายด้วยท่าทางหวงแหนที่มองเท่าไหร่ก็ไม่ชินตา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นแหวกทางให้คณิตราวกับว่ารู้หน้าที่ของตัวเองทำให้ร่างสูงได้มองสบกับคนตัวเล็กเต็มๆตาสักที
“พวกพี่เขาแค่มาลองชิมเครื่องดื่มที่ผมทำ”
“นี่น่ะหรอ ขอฉันชิมบ้างสิ”
คณิตพูดขอไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่ปูนกลับเห็นประตูแห่งการแก้แค้นมาคอยเปิดรออยู่ตรงหน้าเขานี่เอง ร่างเล็กยิ้มร้ายก่อนจะหยิบเอาแก้วอีกใบที่เหลือยื่นไปตรงหน้าคนที่อยากชิมมันมากมาย แต่ขณะที่คณิตกำลังเอื้อมมือมารับนั้นเอง จู่ๆคนตัวเล็กก็เกิดอาการมือไม้อ่อนทำให้แก้วเจ้ากรรมตกลงพงพื้นไปโดยไม่วายทิ้งคราบสีแดงสดลงบนเสื้อเชิตสีขาวสะอาดของทั้งปูนและคณิต
“เฮ้ย!”
“ขะ ขอโทษครับ ผมไม่ระวังเอง!”
ปูนรีบตรงเข้าไปแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของหน่อยที่เขายังไม่ได้คืนนั้นแหละทำเป็นเช็ดเพื่อให้คราบเลอะหลุดออกแต่ยิ่งทำดูเหมือนว่ามันจะยิ่งขยายวงกว้าง เหล่าพนักงานที่ยืนอยู่รอบๆก็ร้องตามด้วยความตกใจ แม้แต่หน่อยเองที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดก็เผลอโวยวายตามอย่างช่วยไม่ได้ มีแต่อิงอรเจ้าเก่าที่มองปูนด้วยความรู้สึกแปลกใจปนกับประทับใจอยู่ลึกๆ
น้องปูนของเรานี่...ร้ายไม่ใช่เล่น
“หน่อยว่าพี่นิดไปเปลี่ยนเสื้อก่อนดีกว่า ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะ”
“ขอโทษนะครับ ผมขอโทษจริงๆ”
“เออๆช่างเถอะ เธอก็มากับฉันด้วยปูนเสื้อเธอก็เลอะเหมือนกัน”
ร่างสูงที่ไม่ได้นึกโกรธอะไรตั้งแต่แรกคว้ามือของปูนมาจับไว้แล้วออกแรงดึงคนตัวเล็กให้เดินไปด้วยกันโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคนที่เขากำลังจับมืออยู่ด้วยนั้นได้หันมาทำสีหน้าอย่างไรกับหน่อยที่ยืนอึ้งอยู่...
ยกนี้ผมชนะ...
คณิตขึ้นมาบนห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใกล้กับส่วนของออฟฟิศโชคดีที่เขายังพอมีเสื้อผ้าสำรองเก็บอยู่ที่นี่บ้างร่วมถึงยูนิฟอร์มสำรองที่สามารถนำมาให้ปูนใช้ได้ แต่ในระหว่างที่ร่างสูงกำลังจดจ่ออยู่กับการค้นหาเสื้อผ้าในล็อกเกอร์ เขาก็ได้ยินเสียงกดล็อกประตูและทันทีที่หันมาคณิตก็ถูกโถมร่างเข้าหาอย่างแรง
“โอ้ย! ทำอะไรเนี่ยปูน”
“ทำโทษ...”
“ห๊ะ?”
“ป๋าทำให้ผมโมโหมากเลยรู้ไหมวันนี้...ให้อภัยไม่ได้”
ปูนอาศัยจังหวะที่คณิตยังคงงงๆดึงเนคไทที่ร่างสูงสวมอยู่ลงมาจนเขาสามารถขบกัดริมฝีปากของคณิตได้ ชายหนุ่มรู้สึกถึงรสเลือดในโพรงปากของตัวเองรวมถึงอาการเจ็บจี๊ดๆที่คนตัวเล็กจงใจมอบให้กับเขาแต่คณิตไม่คิดขัดขืน เขากลับตอบสนองสัมผัสรุ่นแรงของปูนกลับไปเป็นเท่าตัวจนร่างกายเล็กๆในอ้อมแขนเริ่มสั่น ปูนคว้าบ่าของคณิตไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวโดยไม่ลืมออกแรงนวดไปตามต้นคอของร่างสูงเบาๆเป็นการย้ำเตือนถึงตัวตนของเขาพร้อมๆกันนั้นก็ใช้มืออีกข้างลูบไล้ไปตามแผ่นอกหนาผ่านเนื้อผ้าที่เปียกชุ่ม
“อ่า ถึงฉันจะชอบ แต่เธอควรอธิบายมาก่อนว่าฉันทำอะไรผิด”
คณิตพูดกับพูดในจังหวะที่ริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกจากกันก่อนที่คณิตจะก้มลงไปคลอเคลียกับดวงหน้าง้ำงอนั้นใหม่ด้วยการกดจูบเบาๆตามลำคอขาวและไหปลาร้าสวยๆที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมา
“ระหว่างเรามีกฎอยู่สามข้อ”
“อ่าฮะ”
“ข้อแรก...”
“เรื่องของเราจะต้องไม่ทำให้งานเสีย”
“ข้อสอง...”
“อย่ามายุ่งกันในที่ทำงาน”
เออ โอเค...ข้อนี้พวกเขากำลังทำมันอยู่
“และ...ข้อที่สาม”
“ในขณะที่ความสัมพันธ์ของเรายังดำเนินต่อไป...”
“เราทั้งคู่จะไม่ยกร่างกายนี้ให้กับคนอื่นง่ายๆ”
หลังจากปูนพูดทั้งห้องก็เงียบไปทันตา คณิตมองแววตาที่แสดงอารมณ์รุนแรงบางอย่างในตาของปูนก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนตัวเล็กเผลอสะดุ้งตกใจ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เธอนี่มัน น่ารักเป็นบ้าเลยปูน”
“หัวเราะอะไรไอ้ป๋า! อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ!”
ปูนทุบอกของคณิตแรงๆแต่กลับโดนคนตัวสูงคว้ามากอดไว้แล้วหัวเราะต่อไปจนปูนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
“แม่ง! ขำตรงไหนวะ!”
“ฮ่าๆๆๆ อย่าบอกนะว่าเธอหึงฉันกับยัยนิด”
“ไม่ได้หึง”
“...”
“แต่...หวง”
ปูนไม่อยากปฏิเสธความรู้สึกข้อนี้ของตัวเอง เขาถือว่ามันเป็นคำสัญญาและเป็นกฎที่ทั้งเขาและคณิตควรจะรักษาไว้หากเรายังอยู่ด้วยกัน
มันเป็นสิทธิที่เขาพึงได้พึงมี...แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่
“แล้วมันต่างกันตรงไหน?”
“หึงเขาใช้กับคนเป็นแฟนกัน แต่ผมกับป๋า...ไม่ใช่”
ปูนตอบอ้อมแอ้มส่วนคณิตก็ได้แต่มองคนตัวเล็กด้วยสายตาอ่อนใจ เขาอยากพูดบางอย่างแต่ก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ก่อนแล้วลูบหัวของปูนอย่างเคย
“เฮ้อ เธอนี่นะชอบทำเรื่องให้มันยุ่งยากซะจริง”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”
“ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน แต่มันก็ยังน่าขำอยู่ดีที่เธอ ‘หวง’ ฉันกับยัยนั่น”
คณิตเน้นคำว่าหวงเผื่อว่าคนตัวเล็กจะได้ไม่ต้องมาคอยแก้คำผิดให้เขาอีก แต่ปูนก็ยังไม่หายหน้างอการที่เขาหวงป๋ามันน่าขำตรงไหน
“มีอะไรให้ขำ”
“ขำสิ ก็เธอพูดเหมือนว่าฉันคิดไม่ซื่อกับน้องสาวตัวเอง”
“...!!!”
“ตายัยนั่นเหมือนกับตาของฉันจะตาย เธอดูไม่ออกรึไง”
“นะ น้องสาว?”
“เออ น้องสาวแท้ๆ โขลกมาจากหม้อเดียวกันนั่นแหละ”
“ชิบหายแล้ว...”
คณิตใช้มือของตนช่วยปิดปากที่เผลออ้าจนกว้างด้วยความอึ้งของปูนให้มันเข้าที่อีกครั้ง เขาหัวเราะออกมาเบาๆเพราะเพิ่งจะเคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของปูนเป็นครั้งแรกก่อนที่คนตัวเล็กจะซุกเข้าหาอกของเขาแล้วร้องโอดครวญเสียงดัง
“ไอ้ป๋าแม่ง ทำไมไม่บอกกูก่อนวะ!!~”
.
.
.
.
.
.
.
“เป็นยังไงบ้าคะน้องหน่อย น้องปูนน่ารักอย่างที่พี่ว่าไหม”
อิงอรเอ่ยกับลูกคนสุดท้องของเจ้าของโรงแรมนี้ด้วยรอยยิ้มที่บานพอๆกับเค้กแต่งงานตรงหน้า เช่นเดียวกับหน่อยที่ถึงจะไม่แสดงอารมณ์ออกมาเท่าคนข้างๆแต่ดวงตาที่เหมือนพี่ชายอย่างกับแกะก็เผยความพอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“น่ารักดีค่ะ แต่ก็ร้ายใช่เล่น”
“ฮ่าๆ ถ้าไม่ร้ายพอก็คงเอาเสือตัวนั้นไม่อยู่”
“นั่นสิคะ”
“งานนี้ท่าทางน่าสนุกนะคะ”
หน่อยยิ้มรับแล้วมองไปยังโรงแรมที่บรรพบุรุษของเธอสร้างมันขึ้นมากับมือ ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นแต่เธอก็เลือกที่จะเก็บมันไว้แล้วคอยดูต่อไป
“คงต้องเหนื่อยหน่อยนะเฮีย”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ตอนนี้ดึงอารมณ์มามุ้งมิ้งปนฮากันเล็กๆ ส่วนเรื่องพี่กาลเช่คิดอยู่นานเลยตกลงกับตัวเองแล้วว่าบางจุดอาจจะมีการสอดแทรกอดีตของปูนแยกออกมานะคับ อย่างตอนที่ปูนโดนพี่กาลทิ้งไว้ที่โรงแรมจะเพิ่มเป็นตอนที่ 14.5 งานนี้แฟนป๋าอย่าโวยวายแล้วอ่านข้าม ป๋าโผล่มาแน่นอนเชื่อเช่เหอะ ฮี่ๆ o13
พูดถึงพี่กาลวันปิดยอดก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนะคับ เหลือเวลาอีกแค่ 21 วันเท่านั้นสำหรับการโอนเงิน!!! งานนี้ห้ามพลาดนะเพราะไม่รู้จริงๆว่าโอกาสรีปริ้นจะมีไหม จะบอกว่าHard sale ก็ใช่แต่ซื้อเล่มไปคุ้มจริงๆคับ ตอนพิเศษฟินมาก เพิ่งแต่งตอนของน้องพีจบไปเมื่อเช้านี้เอง อย่าลืมนะคับ ไปจองและโอนเงินกันได้ภายในวันที่ 4 กุมภาศกนี้เท่านั้น!!! :mew1:
ปูลู ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยคับ ดีใจมากที่คนให้การต้อนรับป๋าปูนเยอะ ตอนแรกโคตรกังวลเพราะคนไม่ชอบน้องเยอะจากเรื่องของพี่กาล ดีใจที่มีคนเปิดใจอ่าน ดีใจที่คนเห็นความน่ารักในตัวน้องเหมือนกับเช่^^ เจอกันตอนหน้าที่ 14.5 นะคับ! :katai3:
-
ตอบเม้นต์กันเนอะ :katai4:
Toho48 >>>> ไม่แอบจ้า สโตกเกอร์เต็มๆเลยแหละ :hao6:
cho-ningza-19891 >>>> เผามันกันคับ!!
sweetbasil >>>>> งานนี้ต้องให้สโตกเกอร์บอยคอยเบรกคับ
Youi_chin >>>>> ป๋าบอกจะกอดไม่ปล่อยเลยคับ
kanomjeeb >>>> อ่านยังเตงงงงง
lolata >>>> ถ้าป๋าทิ้งน้องมันตามไปทึ้งถึงที่แน่ๆ
Shonteen >>>> ฮันแน่...แบบนี้ต้องหาโอกาสจัดซะหน่อยแล้วคับ
Cc-kun >>>> ป๋ายินดีรับนะคับ ฮี่ๆ
FOUR EYES >>>> ขอบคุณคับบบบบบ
-
ขอเม้นตอนที่13ก่อนนะ
อยากตบชะนีก้อยมากกกกก หล่อนกอนรังแตนมาจากไหนอะ อิจฉาปูนหรืออะไรอยู่ดีๆมาสตอใส่ แล้วก็กลัวใจน้องพลัสเหลือเกิน คุณคนนี้ยังเดาใจไม่ได้ว่าจะดีหรือร้าย วานสโตกเกอร์คนนั้นอบรมหน่อยนะคะ *แซว*
ป๋าปูนก็ทำเราหมอนแตกเหมือนเดิม น่ารักมากกกกกกก การแทนตัวเองว่าพี่คืออะไรอะจะฆ่ากันให้ตายชีดๆ งื้อออออออ ตั๊ลล๊ากกกกกกก
ไปนอนก่อนะคะพน.ทำงานเช้าเดี๋ยวมาอ่านต่อ :3123::3123:
-
ชอบนิยายเรื่องนี่อ่ะ มันแบบดูreal แบบทำให้เห็นการกระทำที่คนภายนอกมองว่ามันไม่ดีความจริงมันมีอะไรๆซ่อนอยู่ แล้วผลตอบแทนที่ได้มามันก็มีทั้งดีและไม่ดี
แต่สรุปคือ ชอบ!!!!!
-
มุ้งมิ้งมากกกกกกก ปูนร้ายน่ารัก
รอตอนกาลค่ะๆ :katai2-1:
-
:pig4:
-
เม้นตอน14นะ
น่ารักมากกกกก และดีใจมากที่ปูนลืมกาลได้แต่ก็ยังไม่หายกลัวเนอะ :ling3:
ทุกอย่างต้องใช้เวลา ว่าแต่ฮามากทั้งพี่ทั้งน้อง ปูนก็ร้ายซะ น่าร๊ากกกกกกก :hao6:
-
ปูนน่ารัก หน่อยกับอิงก็นะแกล้งน้องกันได้ อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว อยากเห็นความน่ารักของปูนอีก ไม่หึงเนอะก็แค่หวง อิ
-
ทำไมหน่องปูนน่ารัก ขนาดนี้ๆ ขอกอดที :กอด1: :-[
ขอบคุณค่าติดตามตอนต่อไป :L2:
-
คิดถึงน้องปูนแล้วอะ รอๆๆๆๆ :impress2:
-
แตกที่ 15
…จับมือ...
คณิตยิ้มมุมปากให้น้องสาวอย่างหน่อยที่กำลังพยายามมองผ่านร่างของเขาไปเพื่อสบตากับปูนที่เอาแต่ก้มหน้าแล้วเอาหัวโขกแผ่นหลังของเขาไม่หยุดด้วยความอับอาย แถมพอเขาหลุดหัวเราะเมื่อไหร่คนตัวเล็กก็ยิ่งจะโขกแรงขึ้นทุกที
“ออกมาเถอะน่า ยัยหน่อยมันไม่กัด”
“พี่นิด หน่อยไม่ใช่หมานะ”
“แล้วพี่พูดสักคำรึยังว่าเราเป็นหมา นี่ก็เลิกโขกสักทีโผล่หน้ามาได้แล้ว!”
ร่างสูงตัดสินใจเบี่ยงตัวออกแล้วบังคับฝืนดึงปูนให้มายืนอยู่ข้างกันแทนจนเด็กหนุ่มไม่อาจหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับน้องสาวของเขาได้อีกต่อไป นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเจ้าเด็กนี่ทำไมถึงไม่สังเกตนะว่าหน้าตาของเขากับยัยหน่อยออกจะคล้ายกันมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้องสาวตัวดีแต่งหน้าจัดจนเกินไปก็คงเป็นอาการ ‘หวง’ ที่คนตัวเล็กว่าล่ะมั้งที่ทำให้ปูนมองไม่ออก
“สวัสดีอีกครั้งนะคะ”
“สะ สวัสดีครับ”
แค่พูดกันนี่ถึงกับติดอ่างเลยหรอ...
“ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะ ฉันชื่อหน่อย เป็นน้องสาวของพี่นิด ส่วนคุณ...”
“...”
“คุณเป็นใครหรอคะ ทำไมถึงได้ใส่ชุดพนักงานของที่นี่”
คณิตไม่รู้ว่าคำพูดนี้สะกิดใจปูนอะไรยังไงคนที่ดูเขินอายในทีแรกจึงมีท่าทีตกประหม่าให้เขาเห็น ถึงจะไม่ได้จับมือกันไว้แต่ร่างสูงก็พอสังเกตได้ว่ามือเล็กๆที่พักหลังเขาชอบเล่นกับมันมากเป็นพิเศษกำลังสั่น แต่พอเงยหน้าขึ้นไปมองกลับเห็นว่าน้องสาวของตัวเองก็กำลังยิ้มอยู่ ไม่ได้มีทีท่ากดดันอะไร
“เด็กนี่ชื่อปูน เป็นคนที่พี่ขอให้มาช่วยงาน”
ชายหนุ่มเลือกที่จะตอบคำถามนั้นแทนจนปูนที่ยืนอยู่ข้างๆกันหันมามองเขาตาโต ส่วนน้องสาวที่รู้ไส้รู้พุงกันดีถึงปากจะยิ้มแต่ดวงตารั้นๆนั้นก็แสดงความขัดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“น้องถามปูนอยู่นะ พี่นิดตอบแทนทำไม”
“ก็พอใจจะตอบ เลิกแกล้งเด็กมันได้แล้ว”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่ นี่ก็ใกล้เวลางานแล้วขึ้นไปเปลี่ยนชุดสักทีไป ที่เหลือเดี๋ยวให้อิงมันดูแลต่อ ส่วนเธอมากับฉัน”
คณิตรีบพูดตัดบทก่อนจะคว้ามือของปูนมาจับไว้แล้วออกแรงลากให้เดินไปด้วยกันท่ามกลางความตกใจของร่างเล็กและความหมั่นไส้ของหน่อยที่ยังไม่ได้แกล้งคนที่อิงอรบอกเธอว่าเป็นคนพิเศษของพี่ชายให้หนำใจเลย
“ป๋าทำแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ”
“ทำแบบนี้? ทำอะไร?”
“ก็...มือมัน...”
ปูนว่าพลางมองมือที่ใหญ่กว่ามากกำลังจับมือของเขาไว้โดยไม่สนใจสายตาของใครๆที่มองมา แม้กระทั่งน้องสาวของตัวเอง
“ไม่ดีรึไงที่ฉันจับมือเธอไว้แบบนี้”
แทนที่จะตอบคำถามคณิตกลับถามปูนกลับแทนขณะที่พาเด็กหนุ่มเข้ามายืนในลิฟต์ได้สำเร็จ โชคดีที่ภายในลิฟต์ตัวนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขายืนอยู่ เพราะความรู้สึกที่เต้นอยู่ในอกดูเหมือนจะสงบลงได้เมื่อคณิตอยู่กับเขาแค่สองคน
“ก็ดี แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดแบบนั้นนะ”
“หมายถึงยัยหน่อยน่ะหรอ”
“ใช่ และคนอื่นๆด้วย...”
“ไม่ยักกะรู้ว่าเธอแคร์สายตาคนอื่นด้วย”
คณิตพูดในสิ่งที่เขานึกแปลกใจ เพราะคิดว่าคนที่ยืนข้างๆกันจะดีใจซะอีกที่เขายอมจับมือถือแขนด้วยในที่ทำงาน จำได้ว่าตอนที่ไปเที่ยวกันคราวแรกๆปูนเป็นฝ่ายคว้ามือของเขาไปจับเองด้วยซ้ำ จนตอนนี้มันกลายเป็นความคุ้นชิน
“คนอื่นที่ว่าก็คนรอบตัวป๋าทั้งนั้น”
“ก็ในเมื่อพวกเขาเป็นคนรอบตัวฉัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องแคร์เลยไม่ใช่หรอ”
“...”
“ฉันคิดดีแล้วล่ะน่า อีกอย่างฉันก็รับผิดชอบการกระทำของตัวเองได้”
ร่างสูงปล่อยมือก่อนจะใช้มันลูบหัวของปูนเบาๆซึ่งคราวนี้คนตัวเล็กก็เอนศีรษะเข้ามาหาแล้วปล่อยให้เขาลูบจนกว่าจะพอใจ ต่อหน้าคนอื่นทำมาเป็นคิดมาก ทีอยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ชอบที่เขาสัมผัสไม่ใช่รึไง
“จะว่าไปพอรู้ว่ายัยหน่อยเป็นน้องสาวฉัน ดูเธอไม่กล้าแผลงฤทธิ์เท่าไหร่เลยนะ ตอนแรกนึกว่าจะทำเหมือนเดิมซะอีก”
“เหมือนเดิม...นี่ป๋ารู้ด้วยหรอ!”
ใครไม่รู้ก็โง่แล้ว มุกน้ำหกเลอะเสื้ออย่างกับในละคร แล้วไหนจะรอยยิ้มร้ายๆที่ปูนส่งให้กับน้องสาวของเขานั่นอีก ไม่ยักกะรู้ว่านอกจากจะยั่วเก่งแล้วยังจอมมารยาขนาดนี้ ดูท่าถ้าคบกันไปนานๆเขาคงติดนิสัยมันมาบ้างแน่ๆ
“อืม ทั้งหมดนั่นแหละ”
“โอ้ย...ให้ตายสิ แล้วทำไมไม่บอกก่อนวะ!”
“ก็เธอไม่ได้ถาม”
“น่าอายชะมัด แล้วนอกจากป๋าจะมีคนอื่นรู้อีกไหมเนี่ย”
“ก็คงมีอิงอร ยัยนั่นตาดีแถมฉลาดเป็นกรด”
“แถมขี้แกล้งด้วย เหอๆ คนที่นี่นิสัยแบบนี้เหมือนกันหมดรึไงนะ”
คณิตปล่อยให้ปูนบ่นไปตามเรื่องจนกระทั่งประตูห้องพักส่วนตัวของเขาเปิดออก ร่างสูงจัดการถอดเสื้อผ้าทั้งที่เพิ่งสวมใส่มันได้ไม่นานก่อนจะหันมาช่วยปูนปลดเปลื้องอาภรของตัวเองออกบ้าง โดยตลอดการกระทำนั้นคณิตก็ได้แต่จ้องปากที่บ่นขมุบขมิบไม่หยุดของปูนจะเพลินตา ทั้งที่ตัวเองไม่ชอบคนขี้บ่นแท้ๆ
“ป๋าจะอาบน้ำหรอ”
“อืม เหนียวตัวมาทั้งวัน แถมงานแต่งฉันก็ต้องไป”
“แล้วก็ไม่บอก จะได้ขึ้นมาอาบน้ำเลยตั้งแต่ทีแรกไม่ต้องเปลี่ยนก่อน”
“ไม่เป็นไรส่งซักไปก็จบ เข้าไปเตรียมน้ำให้ทีนะเดี๋ยวฉันตามเข้าไป”
คณิตดันหลังปูนให้เดินไปทางห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็กลับไปค้นของอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักก่อนที่จะเดินเปลือยทั้งท่อนบนและล่างตามเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มหยุดมองดูผิวขาวกระจ่างของคนตัวเล็กที่พออยู่ท่ามกลางแสงไฟและการตกแต่งห้องที่เป็นสีขาวเกือบทั้งหมดก็ดูกลมกลืนอย่างน่าประหลาด เขาชำเลืองมองนาฬิกาที่สีแขวนอยู่ในห้องน้ำเหมือนกันก็เห็นว่ายังพอมีเวลาให้เขาสามารถโอ้เอ้ได้อีกหน่อย คณิตจึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้คนที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเลือกครีมอาบน้ำโดยไม่ทันสังเกตเห็นเงาของเขาที่ทอดทับตัวเองอยู่ จนกระทั่งแผ่นหลังขาวๆของปูนถูกเขาใช้ริมฝีปากสัมผัสเข้าหน่อยถึงจะหันมาได้
“อื้อออ ป๋า เอากลิ่นไหนดี”
“อันไหนก็เหมือนกันนั่นแหละใส่ๆไปเถอะ”
“อ๊ะ ป๋าอย่าซนสิ อึก เดี๋ยวไปไม่ทันงานนะ”
ปูนเอี้ยวตัวหลบนิ้วแข็งๆที่มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวแผ่นอกของเขาอย่างเอาแต่ใจ แต่แทนที่จะสำนึกคณิตกลับยิ้มกริ่มแล้วออกแรงเพิ่มไปอีกจนอะไรต่อมิอะไรตื่นตัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างสูงหัวเราะอย่างถูกใจก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มที่ขึ้นสีเลือดฝาดจนปูนเริ่มจะทำอะไรไม่ถูก
“ป๋าแม่งหื่นว่ะ”
“หึๆ โกนหนวดให้หน่อยแล้วเดี๋ยวจะช่วย”
คณิตช้อนตัวปูนที่ยังคงอารมณ์ค้างเติ่งให้มานั่งห้อยขาอยู่ตรงอ่างล้างหน้าก่อนจะยื่นอุปกรณ์โกนหนวดที่เขาเพิ่งหยิบมาให้คนตัวเล็กถือไว้
“ต้องโกนแล้วหรอ ยังไม่เห็นมีเลย”
“มีสิ ตรงนี้ไง เมื่อเช้าไม่ได้โกน”
ร่างสูงชี้ให้ปูนดูไรหนวดและเคราที่ขึ้นพอเห็นจางๆชนิดที่ถ้าไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำแต่ปูนก็ยอมทำตามด้วยการโปะน้ำยาลงไปตามคามและสันกรามได้รูปของคนที่เอาแต่ลูบต้นขาของเขาไปมา ไม่รู้ว่าชอบอะไรนักหนา
“อย่าเพิ่งขยับนะ ไม่งั้นได้เรื่องแน่”
ปูนค่อยๆบรรจงใช้ใบมีดไล่ตามผิวหนังตามรอยน้ำยาที่เขาทาไว้ตั้งแต่แรก ท่าทางที่ดูตั้งอกตั้งใจและดวงตาที่จดจ้องอยู่กับสิ่งๆเดียวดูมีเสน่ห์และน่าจดจำมากสำหรับคนที่ถูกสั่งไม่ให้กระดุกกระดิกไปไหน คณิตจึงจำต้องปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งปูนบอกเขาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นคนตัวโตก็จับคางของปูน บังคับให้เด็กหนุ่มเปิดปากออกก่อนเขาจะส่งลิ้นเข้าไปตัวตนของปูนที่อยู่ข้างในนั้นจนทำให้ฟองสีขาวที่ยังไม่ได้ล้างออกเปรอะเปื้อนใบหน้าของปูนจนอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
“เลอะหมดแล้ว...”
“เดี๋ยวค่อยล้าง หรือว่าไม่ชอบ?”
“...ชอบ”
ปูนเอนกายเข้าหาคณิตเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ทั้งสองคนแลกสัมผัสกันอยู่อย่างนั้นจนพอใจ แม้จะไปไม่สุดทางแต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่แย่มากนักกลับกันสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ต่างฝ่ายต่างทำให้กันมันก็ทำให้รู้สึกดีจนเกิดเสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังก้องไปทั่วทั้งห้องน้ำ ปูนที่ขึ้นจากอ่างก่อนเดินมาสวมเสื้อคลุมพร้อมกับยื่นอีกตัวที่ใหญ่กว่าไปให้คณิตที่ยืนรออยู่ทางด้านหลังแต่ร่างสูงกลับไม่ยื่นมือออกไปรับเดือดร้อนปูนนั่นแหละที่ต้องคอยสวมให้แทน
“เดี๋ยวเย็นนี้เธอไปกับฉันนะ ไม่ต้องไปช่วยงานแล้ว”
“อ้าว แล้วที่ผมคุยกับพี่อิงไว้ล่ะ”
“ไม่ต้องทำแล้ว อย่าลืมสิว่าถึงจะเก่งไม่เท่าเธอแต่ที่นี่ก็มีพอมีบาร์เทนเดอร์ที่มีชื่ออยู่เหมือนกัน”
เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมตกลงทั้งที่ความจริงแล้วเขาก็เริ่มจะสนุกกับงานที่เริ่มทำได้ไม่นาน แล้วไหนจะเพื่อนร่วมงานที่เข้ากันได้ดีอีก
“ทำหน้าบึ้งทำไม เสียดายหรอ”
“ก็นิดหน่อย อุตส่าห์ทำมาตั้งขนาดนี้”
“เริ่มอยากมาทำงานที่นี่แล้วล่ะสิ”
“...”
“ข้อเสนอที่ฉันเคยให้ไว้ มันยังมีผลอยู่นะ”
คณิตยิ้มให้ปูนก่อนจะรับผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดผมของตัวเองต่อโดยไม่ลืมกำชับให้อีกฝ่ายแต่งตัวให้ดีๆ ปูนมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าแล้วคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขายังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เด็กหนุ่มจึงตัดใจแล้วหันไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยตามที่คณิตว่า
ใช้เวลาไม่นานผู้ชายสองคนที่สวมใส่ชุดที่ดีไซน์คล้ายกันแต่คนละไซส์ต่างก็ยืนสำรวจตัวเองผ่านเงาของกระจก ปูนมองเสื้อสูทสีฟ้าอ่อนของตนสลับกับเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มของคณิตไปมา จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ติดของแบรนด์เนมแต่ก็ไม่ใช่จะไม่รู้ว่าราคาของชุดที่ตัวเองกำลังสวมใส่อยู่มันสูงขนาดไหน
“ป๋านี่ ชักจะเป็นป๋าไปทุกทีแล้วเนอะ”
“ช่วยพูดอะไรที่เข้าใจง่ายๆหน่อยได้ไหม”
“ก็ที่ชอบซื้อของแพงๆให้ผมไง รองพื้นนั่นก็ทีนึงแล้ว แล้วไหนจะพวกเกมที่ห้องอีก แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าป๋าได้ยังไง”
ปูนว่ายิ้มๆ เอาเข้าจริงเขาก็ออกจะปลื้มเอามากๆ ไม่ใช่ราคาของของหรอกที่สำคัญ แต่เป็นความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆที่คณิตมอบให้กับเขามาตลอดนั่นต่างหากที่ทำให้ปูนตัดสินใจก้าวเข้ามาในชีวิตของคนคนนี้...และเขาก็คิดถูกจริงๆ
“ของมันจำเป็นต้องใช้ทั้งนั้น อย่างสูทนี่ก็ใช่ว่าจะใช้ครั้งเดียวทิ้งเลยซะเมื่อไหร่ ทำงานโรงแรมสักวันเธอก็ต้องใช้เก็บรักษาไว้ให้ดีๆแล้วกัน”
“ครับๆ ขอบคุณนะ”
ปูนเขย่งตัวไปจูบแก้วของร่างสูงแทนคำขอบคุณซึ่งมันก็ทำให้คณิตต้องยิ้มกว้างออกมา คนตัวเล็กตรวจเช็คความเรียบร้อยทั้งของคณิตและของตัวเองอีกครั้งก่อนพวกเขาจะพากันลงไปห้องจัดเลี้ยงด้านล่างที่ถูกเนรมิตจนกลายมาเป็นงานแต่งงานที่ทั้งสวยงามและน่าภูมิใจสำหรับผู้จัดทุกคน
คราวนี้คณิตไม่ได้จับมือของปูน แต่ไม่รู้ทำไมคนตัวเล็กถึงรู้สึกว่าต่อให้พวกเขาจะไม่ได้ทำอย่างนั้นแต่ด้วยเสื้อผ้าที่เข้าชุดกันทำให้คู่ของพวกเขากลายมาเป็นที่จับตามองของผู้คนโดยเฉพาะพนักงานทั้งหลายที่ไม่คิดเลยว่าเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักที่คุณคณิตพามาทำงานด้วยจะดูดีขึ้นมากเมื่อได้สวมใส่ชุดแพงๆแต่ที่น่าคิดกว่านั้นคือความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ต่างหาก
“ป๋า คิดผิดรึเปล่าที่ซื้อเสื้อแบบนี้ให้ผมเนี่ย”
“มีปัญหาอะไรหรอ”
“ก็คนมองกันหมดเลย แบบนี้เดี๋ยวก็มีปัญหาไม่ใช่รึไง”
สีหน้าของปูนดูเครียดขึ้นนิดหน่อย ก็รู้อยู่หรอกว่างานนี้เป็นงานแต่งของลูกหลานนักการเมืองแต่เขาก็ไม่คิดว่าแขกเหรื่อที่มาจะมีพวกคนดังๆมากขนาดนี้ นี่ขนาดว่างานยังเริ่มไม่ได้นาน ปูนยังเห็นคนที่ได้ออกทีวีบ่อยๆมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าคน ความคิดกังวลจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีปัญหา”
“แต่...”
“หรือว่าเธออายที่จะเดินกับฉัน”
คณิตยื่นมือมาตรงหน้าแทนคำพูดที่ตัวเขาไม่ได้เอ่ยออกไปตรงๆ ปูนก้มมองมันแล้วคิดถึงอะไรหลายๆอย่าง ทั้งความหวาดกลัวและความสุขสมที่ยากจะห้ามใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เขาเห็นทั้งสายตาของผู้คนที่ชื่นชมแต่ก็มีหลายคู่ที่มองมาอย่างเดียดฉันท์ แล้วปูนก็หันกลับมามองคณิตอีกครั้ง...แววตาของชายตรงหน้าเขายังคงเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเช่นเดิม
“ไม่มีทางอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
:man1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :man1:
-
ปูนว่าแล้วเอื้อมไปจับมือนั้นไว้ก่อนจะปล่อยให้คนตัวโตนำพาเขาไปยังที่ต่างๆ ปิดหูปิดตาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงวิจารณ์ของคนพวกนั้น เขาจ้องมองแค่แผ่นหลังของคณิต และได้ยินเพียงเสียงที่ออกมาจากปากของชายคนนี้เท่านั้น ปูนยกยิ้มให้กับตัวเองและคนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน รวมไปถึงอิงอรที่กำลังยิ้มให้ปูนอยู่
“มาเป็นแพ็คคู่เลยนะคะ กลัวคนแถวนี้ไม่รู้หรอว่ามาด้วยกัน”
“ประมานนั้น แล้วนี่ยัยหน่อยลงมารึยัง”
คำตอบของคณิตทำเอาปูนหลุดยิ้มในขณะที่อิงอรต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงอาการออกมา หญิงสาวแอบหยิกแขนของตัวเองก่อนจะตอบเพื่อนของเธอไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ยิ่งเห็นว่าคณิตใช้สายตาแบบไหนลอบมองรอยยิ้มของคนตัวเล็กข้างๆอิงอรก็ชักจะทนไม่ไหวเข้าไปทุกที
“ยังเลยค่ะ น่าจะไปอยู่กับทางเจ้าสาวก่อน”
“หรอ แล้วงานส่วนอื่นๆเรียบร้อยดีไหม เป็นไปตามแผนรึเปล่า”
“แขกมาเยอะกว่าที่คิดพอสมควรค่ะ แต่ก็เพิ่มโต๊ะกับสั่งโรงครัวให้จัดอาหารมาเพิ่มแล้ว แถมคุณเมษาส่งพวกพนักงานพาร์ทไทม์มาช่วยด้วย ตอนนี้ทุกอย่างเลยยังไม่มีปัญหาอะไร”
ปูนขมวดคิ้วนิดๆเมื่อได้ยินเรื่องที่สองคนนี้คุยกัน แต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่ามันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น ร่างเล็กพยายามไม่สนใจฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอีก เขาหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายบรรยากาศรอบๆที่พอเริ่มงานแล้วยิ่งสวยมากกว่าเดิมเสียอีก ปูนถ่ายรูปไปเรื่อยๆโดยที่บางรูปก็ติดคณิตที่ยืนซ้อนตัวเองอยู่ทางด้านหลังแต่ด้วยเพราะแขนที่สั้นกว่ามากคณิตจึงต้องกลายมาเป็นไม้เซลฟี่จำเป็นคอยถือโทรศัพท์ให้คนตัวเล็กถ่ายจนหนำใจ
“เดี๋ยวนี้รับจ็อบเป็นตากล้องแล้วหรอวะคณิต”
เสียงทุ้มๆของใครบางคนดังขึ้นทำให้คณิตเผลอหันโทรศัพท์ไปทางนั้น ภาพของเมษาที่อยู่ในชุดสูทสีเทาถูกถ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ปูนรับมือของของตัวเองมาจากคณิตก่อนจะยกมือไหว้คนที่อายุมากกว่าและมีศักดิ์เป็นนายจ้างของตนโดยไม่ต้องให้มีใครมาบอก ทายาทเจ้าของโรงแรมดังส่งยิ้มละมุนให้ปูนแต่ร่างเล็กกลับรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แปลกยังไงก็ไม่รู้เลยเผลอก้าวถอยไปหลบอยู่หลังคณิตที่เอ่ยทักทายเพื่อนตามปกติ
“มาด้วยหรอวะ”
“อืม พอดีรู้จักกับพ่อเจ้าบ่าวนิดหน่อยน่ะ เขาเลยเชิญมา”
“งั้นที่หลังก็บอกให้เขาไปจัดที่โรงแรมมึงนู้น ที่นี่แคบจะตายห่า”
“ฮ่าๆ พอดีเขายกให้ฝ่ายเจ้าสาวเป็นคนตัดสินใจน่ะ เพื่อนน้องหน่อยเขาเลยไม่เลือกโรงแรมกู แต่ไม่ต้องห่วงงานนี้กูไม่หักค่านายหน้าส่วนของพาร์ทไทม์”
เมษาตบไหล่ของคณิตเบาๆ ก่อนจะหันไปทักทายอิงอรที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน ปูนมองผู้ใหญ่ทั้งสามคนแล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทางจึงบอกคณิตว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะตามไปที่โต๊ะที่หลัง
ปูนยิ้มรับพนักงานหลายคนที่เอ่ยทักเขาตลอดทางกว่าจะไปถึงห้องน้ำ ร่างเล็กถอนหายใจออกมาแม้จะเคยทำงานในบรรยากาศแบบนี้อยู่บ่อยครั้งแต่เขาก็ไม่เคยชอบมันจริงๆสักที ปูนมองเงาของตัวเองในกระจกแล้วจับเซ็ตผมที่ยังไม่เข้าที่อยู่บ้างแต่ในขณะที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับผมของตัวเอง จู่ๆประตูห้องน้ำที่เขาเพิ่งเดินผ่านมันมาก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการก้าวเข้ามาของคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอ
“อ้าว มางานนี้ด้วยหรอพี่”
บอยที่อยู่ในชุดสูทกึ่งทางการ ถ้าให้ปูนเดารุ่นพี่ของเขาคงจะตามมาช่วยงานนั่นแหละ แต่แทนที่บอยจะตอบคำถามของร่างเล็กดีๆ ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาจับบ่าของปูนแล้วบีบอย่างแรง
“โอ้ย พี่เป็นบ้าไรวะ!”
“ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่”
“เชี้ยพี่บอย ปล่อย!”
“มึงตามไอ้พลัสมาใช่ไหม!”
คำพูดของบอยทำเอาปูนที่งงอยู่แล้วยิ่งงงเข้าไปอีก
“ไอ้อ่อนนั่นมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ!?”
แววตาของบอยดูสับสนกว่าเคยซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผิดปกติเอามากๆ ปูนพยายามประติดประต่อเรื่องราวต่างๆในหัวก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อพอจะเดาสาเหตุที่ชายคนนี้หงุดหงิดออกได้
“ฮ่าๆ อย่าบอกนะว่าพี่คิดว่าผมตามมันมา หึ ตามมันมากจนเพี้ยนไปแล้วหรอ ผมไม่ได้เป็นสโตกเกอร์แบบพี่นะเว้ย!!”
ปูนตะโกนใส่หน้าบอยกลับไป ส่วนบอยก็เพิ่มแรงที่บีบบ่าของปูนอยู่ให้แรงขึ้น ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างไม่ลดละจนกระทั่งบอยเป็นฝ่ายถอนหายใจและคลายมือออกก่อน ส่วนปูนที่พยายามข่มความเจ็บปวดไว้ไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ยกมือขึ้นจับบ่าของตนเบาๆแต่ก็ยังเจ็บจนต้องร้องโอ้ยออกมา
“มันบอกว่ามันชอบมึง”
ปูนเบ้ปาก สิ่งที่บอยบอกไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจมากนักกลับกันเขาแอบคิดด้วยซ้ำว่าคนที่ดูไม่ออกมันคงโง่มากๆ...ไม่ก็หลอกตัวเองโคตรๆ
“แล้วไงวะ ผมไม่ได้เล่นด้วยสักหน่อย”
“แต่มันอยากเล่นมึง”
“โอ้ย! เลิกเอาเรื่องมันมาเอี่ยวกับผมสักทีเหอะ ไอ้เชี้ยนั่นแม่งก็บ้า กูทำขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีกว่ากูไม่เอา”
เด็กหนุ่มสบถอีกสองสามคำอย่างหัวเสีย พยายามหายใจเข้าลึกๆเพราะไม่อยากให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวขยายวงกว้างมากไปกว่านี้
“ปูน มีอีกอย่างที่มึงต้องรู้”
“อะไร?”
“...พลัสมันพยายามสืบเรื่องของมึงอยู่”
ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า ปูนคว้าเอาขวดสบู่อย่างดีที่วางอยู่แถวนั้นขว้างลงกับพื้นจนมันแตกไม่เหลือสภาพ ร่างเล็กเดินมาประชิดตัวหนุ่มรุ่นพี่แล้วคว้าเอาคอเสื้อของบอยไว้แม้ว่าความสูงต่างกันมาก
“พี่ว่ายังไงนะ มันสืบเรื่องกู”
“อืม....จากผู้หญิงที่ชื่อก้อย”
“อีเชี้ยนั่น...”
ปูนกัดฟันกรอดยามนึกถึงใบหน้าสวยหวานแต่อาบด้วยพิษร้ายของผู้หญิงคนนั้นที่เขานึกไม่ออกว่าเคยไปเหยียบหางมันไว้ตอนไหนถึงได้หันมาแว้งกัดกันแบบนี้ ถ้าให้เดาคงหนีไม่พ้นความอิจฉาบ้าๆบอๆแบบที่เขาเจอมาตลอดนั่นแหละ เพียงแต่ครั้งนี้มันต่างกัน...ตรงที่ปูนจะทำเป็นเมินเฉยไม่ได้
“มันรู้อะไรไปแล้วบ้าง...”
“เรื่องที่ร้านนั่น กับผู้ชายที่มารับส่งมึงที่คณะบ่อยๆ”
“พี่กาล...”
บอยไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับชื่อของผู้ชายคนนั้น ทั้งๆที่เขาเคยต้องได้ยินมันนับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่ปูนจะตกต่ำถึงขนาดนี้
“แล้วมีอะไรอีกไหม”
“ไม่ แต่ดูเหมือนมันจะสนใจเรื่องผัวเก่ามึงพอสมควร”
“เขาไม่ใช่ผัวเก่ากู!”
“นั่นมันเรื่องของมึง กูแค่อยากมาเตือนไว้”
ปูนแสยะยิ้ม นี่นะที่เรียกว่าเตือน บ่าของเขายังไม่หายเจ็บเลยด้วยซ้ำ ร่างเล็กยอมปล่อยคอเสื้อของบอยออกเพราะเห็นว่าคงทำอะไรไม่ได้ เพราะปัญหามันเกิดจากไอ้หน้าอ่อนจอมจุ้นจ้านนั้น ที่ไม่รู้ทำไมถึงได้ติดใจเขานักหนา
“ผมว่าพี่ควรทำอะไรสักอย่าง”
“คิดว่ากูไม่อยากทำรึไง”
“หึ พี่อยากแต่แม่งเสือกขี้ขลาดไม่กล้าทำ”
“น้อยๆหน่อยไอ้ปูน...ถึงกูจะยอมให้มึงมามากก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะไม่กล้ากระทืบมึง”
บอยจ้องปูนด้วยแววตาเกรี้ยวกราด แต่ร่างเล็กกลับไม่สนใจเลยสักนิด ในหัวของเขามีแต่ความวุ่นวายและกังวลว่าสิ่งที่พยายามเก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุดจะถูกรื้อออกมาเพราะความอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าท่าของคนเพียงคนเดียว ไม่สิ...ต้องรวมความไม่เด็ดขาดของคนข้างๆเขาไปด้วย
ทั้งที่อยู่ใกล้มือแต่ไม่เคยแตะต้อง
ทั้งที่หวงแต่ไม่เคยใส่ปลอกคอปล่อยให้เรร่อนสร้างความเสียหายไปทั่ว
“...!!!”
ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของปูน เขายกยิ้มในขณะที่บอยยังคงอยู่ในอาการหัวเสียเพราะคนที่ถึงจะอยู่ใกล้แต่แท้จริงแล้วกลับไกลเหลือเกิน...
“พี่คิดว่าดอกไม้ มันสวยที่สุดตอนไหนกัน”
“พล่ามบ้าอะไรของมึง”
“ชิ ตอบมาเถอะน่า”
“...”
“...”
“ตอนอยู่บนต้น”
“ก็จริง แต่พี่เคยคิดบ้างไหมว่าสักวันจะมีคนมาแอบตัดดอกไม้ของพี่ไป”
“...!!!”
“ผมว่ามันถึงเวลาแล้วนะพี่”
“...”
“มันถึงเวลา...ที่พี่จะต้องตัดดอกไม้ดอกนั้นสัก”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
บันไซให้กับดาร์กโหมดของน้องปูนสามที เย้ๆ o13 :hao3: นายเอกของเช่มันต้องแบบนี้เซ่ =w= จากตอนแรกมีแต่คนกลัวว่าพลัสจะทำอะไรปูน แต่นี่ใคร? นี่น้องปูนเด็กเส้นนะ หุหุ เปิดก่อนเลยคับบบบ น้องพลัสของเราจะบอบช้ำขนาดไหนกันล่ะเนี่ย :jul1:
ตอนหน้าอาจจะหลบไปคู่รองบ้าง ป๋าปูนอาจจะมีนิดหน่อย ส่วนตอน14.5 ที่ว่าจะเขียนจริงๆเขียนเสร็จแล้วคับ แต่ยังไม่พอใจเลยว่าจะเขียนใหม่ เผื่อคนที่ยังไม่เคยอ่านพี่กาลจะได้รู้จักผู้ชายคนนี้สักหน่อย ส่วนใครที่เคยอ่านแล้วจะได้รับรู้มุมมองของปูนบ้าง สั้นๆนะครับ ไม่ยาวมาก แถมบางส่วนยังเป็นแบบตัวละครเล่าเรื่องอีก ติดตามอ่านกันนะ :a5:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตเลย ช่วงนี้ยุ่งทำเล่มคับ ตรวจคำผิดเป็นอะไรที่ทรมานมากกกกกก แถมรีไรท์ไปบางจุด ถ้าส่งหนังสือเรียบร้อยเช่จะทยอยลงตัวรีไรท์ในเว็บให้ใหม่ทุกเว็บเลยนะคับ จะได้อ่านกันง่ายๆเนอะ :) :pig4:
ป.ล.ล. อย่าลืมจอง อย่าลืมโอนพี่กาลกันน้าาาาาา :pig4:
-
ตอนเม้นต์กันนะ
kanomjeeb >>>>> รักคนนี้มากกกกก เม้นให้เช่ตลอดเลย TT^TT
lucifermafis >>>>> ดีใจที่ชอบนะคับ แถมเข้าใจสิ่งที่เช่อยากจะแทรกไว้ด้วยอะ :mew4:
jum >>>>> :L2:
นอนกินแรง >>>>> ตอนนี้ก็ยังถือว่าน่ารักนะคับ ใช่ไหม... ใช่สิๆ 5555
FOUR EYES >>>>> ให้สองกอดเลยคับ :กอด1: :กอด1:
Toho48 >>>>> คิดถึงเหมือนกันคับ
-
พี่บอย รีบจีบพลัสเลยครัช สู้ๆ
-
มาแล้วๆๆๆๆ :กอด1:
-
เชียร์คุณเมษากับพลัสแทนได้ไหม แต่กลัวโดนบอยกระโดด :z6:
-
ตามอ่านมาเงียบๆ
เราชอบผู้ชายแบบพี่คณิตนะ เป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงพอที่จะคุมปูนอยู่ แต่ก็แกร่งพอที่จะปล่อยให้ปูนเป็นในธรรมชาตินิสัยของปูน แต่กลัวการหักมุมเพราะว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมันไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ โลกของผู้ใหญ่มันซับซ้อน
งานนี้เป็นเพื่อนกันไม่รู้รัตติกาลจะโผล่หรือเปล่า อาจจะก็ได้นะ ถ้ามาเจอกันแล้วอย่างน้อยก็ขอให้จบดีๆ ไม่ชอบบอยเท่าไหร่ค่ะ ตัวเองได้แต่มองแล้วเอาความอันอั้นมาลงที่คนอื่น ปูนอาจจะแรงแต่ยังไงก็ไม่ควรมาทำปูนเจ็บๆ
ส่วนนังก้อยนะคะ ขยะสังคมค่ะ เศร้าแต่จริงที่ในสังคมมีคนแบบนี้อยุ่เยอะเกิน เป็นเราหรือจะช่วยเอาอาหารที่กินอยุ่ไปประดับหน้านางให้
เจอคำผิดตอนก่อนๆโน้นนะคะ
ควงแขน
อีกคำที่ผิดก็คือชื่อ หน่อยกลายเป็นนิดค่ะ
-
พี่บอยเอาพลัสไปเก็บด่วน :angry2:
-
โอ้ววว
:katai4: :katai4:
ชอบคุณคณิต ดูอบอุ่นดูเข้าใจปูน
-
ปูนร้ายยยยย คิดว่าตอนแรกจะโดนพลัสทำอะไรซะอีก :ling3:
-
นี่ก็แอบรำคาญพลัสเหมือนกัน อ่านตอนแรกๆนึกว่าซื่อแต่ไหงทำตัวร้าย ยุ่งเรื่องชาวบ้านล่ะ เชียร์ปูนให้จัด รออ่านตอนต่อไปจ้า
-
ปูนร้ายได้น่ารักดีนะเราว่า รอพาร์ทคู่รอง :katai2-1:
-
เย้ มาแล้ววว o13
พี่นิดมั่นคงหลายๆ :o8:
อยากให้พี่บอยจัดการพลัสเร็วๆจัง 555 :hao3:
ขอบคุณค่ะ :L2: :L2:
-
แตกที่ 16
…เด็ดดอกไม้...
“บอย...ป้าฝากดูแลน้องด้วยนะลูก”
คำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นในหัวของบอยซ้ำไปซ้ำมาขณะที่เขากำลังยืนมองใบหน้าของพลัสที่กำลังส่งยิ้มละไมให้กับแขกที่เข้ามาใช้บริการในบาร์เหมือนกับทุกๆครั้ง หากแต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป
นั่นก็คือไฟที่กำลังสุมอยู่ในอกนี่เอง...
“พี่บอยๆ เหล้านี่หมดว่ะ”
บาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่หัวหน้าเพิ่งรับเข้ามาเดินมาแจ้งปัญหากับกัปตันที่กำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในมุมมืดของบาร์ที่แทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น ทันทีที่บอยได้ยินอย่างนั้นสีหน้าที่ติดจะนิ่งเฉยก็เปลี่ยนเป็นรำคาญใจ
“กูบอกให้มึงเช็คของดีๆแล้วไม่ใช่รึไง”
“ผมก็เช็คแล้วนะพี่ แต่ว่า...วันนี้แขกเยอะไง มันเลยไม่พอ”
บอยยิ้มเหยียดก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดตัวจนใบหน้าของอีกฝ่ายแทบจะจมหายไปในอกกว้างที่ถึงแม้จะมองผ่านเนื้อผ้าก็สามารถเดาได้ว่ามันสมบูรณ์แบบขนาดไหน บอยเดาะลิ้นของตัวเองก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาเคาะตรงขมับของชายที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางขึงขังแต่ก็กวนประสาทอยู่ในที บอยยังคงไม่พูดอะไรจนกระทั่งเพลงที่กำลังเล่นอยู่จบลง เสียงเย็นๆของชายหนุ่มก็ดังขึ้นแทนที่
“มึงรู้ไหม นอกจากคนที่กล้ามายุ่งกับของของกู...กูเกลียดคนแบบไหนมากที่สุด”
“มะ ไม่รู้ครับ”
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ไง”
“...!!!”
“รีบไสหัวไปทำงานของมึงซะ...ถ้าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาที่ตัวเองเป็นคนก่อขึ้นมาก็ลาออกไป มันรกหูรกตากู”
ไม่ต้องรอให้พูดย้ำมากไปกว่านี้ บาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่คงจะอยู่ทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้ายรีบเดินกลับไปยังจุดรับผิดชอบของตัวเองโดยไม่กล้าสบตาบอยเลยแม้แต่นิด ร่างใหญ่สบถอย่างหัวเสียพลางเสยผมของตัวเองขึ้นจนใครต่อใครสามารถเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้ชัดขึ้นเมื่อกัปตันหนุ่มจำเป็นต้องเดินออกมารับต้อนรับแขกที่ยังคงเข้ามาใช้บริการที่นี่ไม่ขาดสาย
แม้ว่าตลอดการทำงานบอยไม่สามารถสลัดภาพที่พลัสกำลังยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนนั้นและข้อสันนิษฐานของเธอที่บอกว่าเด็กที่เขาแอบมองมานานกำลังมีใจให้กับหนุ่มรุ่นน้องอย่างปูนออกไปได้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้...เพียงแต่เพราะมันเสียดแทงใจเขามากเกินไปจนไม่อยากจะทำเป็นรู้สึกถึงมันต่างหาก
“วันนี้มึงดูหงุดหงิดนะบอย”
บอยหันมาตามเสียงทักของนักธุรกิจใหญ่อย่างเมษาที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวแล้วมองไปยังพื้นเบื้องล่างด้วยสายตาที่ยากจะหยั่งถึง ร่างใหญ่หันไปมองรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่แถวนี้ โดยเฉพาะพลัสที่ทำท่าลุกลี้ลุกลนอย่างกับจะรีบไปไหนก็กำลังตั้งอกตั้งใจทำงานไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด
“ขอโทษครับ”
“พูดธรรมดาก็ได้ ตรงนี้ไม่มีใครได้ยินหรอก”
เมษาหันมายิ้มให้ก่อนจะชี้ไปยังที่ว่างข้างตัวแทนการออกคำสั่งให้คนที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนดื่มนั่งลงข้างๆกัน แต่ถึงอย่างนั้นบอยกลับยืนอยู่ที่เดิมแล้วเติมไวน์ในแก้วให้เขาจนเต็มแทน
“ดื้อด้าน...หึ ว่าแต่หงุดหงิดอะไรมาล่ะถึงได้พาลไปลงกับเด็กใหม่”
“ได้ยินด้วยหรอครับ”
“ก็ไม่ทั้งหมดแต่เสียงมันก็ดังพอดู...อย่าให้เป็นแบบนี้อีกเข้าใจไหม”
ถึงรอยยิ้มจะไม่จางหายไปแต่น้ำเสียงที่เข้มขึ้นก็ทำให้บอยต้องก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับคนที่ดูเกรงขามเหลือเกินในสายตาของเขา จริงอยู่ที่นอกเหนือเวลางานเขาอาจจะมองเมษาเป็นเพียงชายหนุ่มมากเสน่ห์ที่แสนอันตราย แต่สำหรับที่นี่เมษาคือคนที่มีอำนาจและเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งของท่านประธานที่คงเหลือเวลาอีกไม่นานเมษาก็จะเอื้อมคว้ามันมาได้
“ครับ ผมจะระวัง”
“เอาเถอะ คนทำงานห่วยเก็บไว้ก็เท่านั้น รีบหาคนมาทำแทนแล้วกัน”
“ครับ ว่าแต่...ถึงเวลารึยังที่เราควรจะตามปูนกลับมา”
บอยกัดฟันพูดชื่อของคนที่เป็นหนึ่งในเชื้อไฟที่สุมอกเขาอยู่ในตอนนี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุผลอะไร จึงมีคำสั่งจากเมษาส่งตรงมาถึงเขาให้เปลี่ยนผลัดการทำงานของปูนจากเดิมที่ทำงานอยู่ในช่วงวันหยุดซึ่งมีลูกค้ามากที่สุดให้ไปอยู่ในช่วงวันธรรมดา จริงอยู่ที่ The Pilot มีบาร์เทนเดอร์ฝีมือดีอีกมากและปูนเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น แต่การทำแบบนี้มันมีแต่เสียกับเสีย
“ยัง...หาคนอื่นมาทำแทนก่อนแล้วกัน แต่ถ้ามันเอาไม่อยู่จริงๆก็ติดต่อไปที่สาขาใหญ่ให้เขาส่งคนมาเพิ่ม”
“จะไม่เป็นปัญหาหรอครับ”
“เป็น...แต่ว่าฉันจัดการได้”
ในเมื่อลูกเจ้าของเขายืนยันมาแบบนี้แล้ว ลูกจ้างอย่างบอยจึงได้แต่น้อมรับคำทำตามอย่างไม่อาจโต้แย้ง เมษาชูแก้วที่ว่างเปล่าของตัวเองขึ้นให้บอยรินน้ำหมักรสเยี่ยมให้อีกครั้ง แต่คราวนี้แก้วทรงสูงที่มีไวน์สีแดงก่ำอยู่ประมานครึ่งแก้วกลับถูกยื่นไปให้ชายหนุ่มที่เพิ่งรินมันด้วยตัวเองดื่มแทน
“ดูมึงเครียดๆ มีอะไรอยากเล่าให้กูฟังไหม”
บอยไม่อาจตอบรับน้ำใจนั้นเขาจึงเลือกที่จะรับไวน์มาดื่มแทนแล้วยืนเงียบอย่างเก่า แต่บอยคงไม่รู้ว่านอกเหนือจากชั้นเชิงทางธุรกิจแล้วเมษาคือคนที่สามารถมองคนอื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยเฉพาะเมื่อมันอาจจะนำพาเรื่องสนุกๆมาให้เขาที่กำลังเบื่อหน่ายคลายความเหงาลงบ้าง
“เรื่องเด็กนั่นสินะ”
“...!!!”
“หึ ไม่เอาน่าบอย อย่าบอกนะว่ามึงยังทำตัวเป็นหมาเฝ้ากระดูกอยู่อีก”
ใบหน้าทะมึนทึนของบอยแทนคำตอบที่เมษาอยากรู้ได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจก่อนจะหยิบเอาขวดไวน์มารินใส่แก้วอีกใบเอง
“กูนึกว่ามึงจะเป็นคนใจร้อนกับทุกเรื่อง”
“...คุณยังไม่รู้จักผมดีพอหรอกครับ”
“ก็อาจจะใช่...แต่ก็อาจจะไม่ใช่เหมือนกัน”
“...”
“อีกไม่นานหรอกบอย ความอดทนของมึงมันจะหมดลง”
เมษาพูดทิ้งไว้ให้คิดก่อนจะออกจากบาร์ไปพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนกับเด็กๆที่เจอของเล่นถูกใจ กลับกันคนที่ถูกมองจนทะลุปรุโปร่งอย่างบอยได้แต่ยืนหัวเสียยิ่งกว่าเดิมจนบรรดาลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด
“พลัส เอานี่ไปให้พี่บอยหน่อยสิ”
พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินมาสะกิดพลัสที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะตัวสุดท้ายโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เธอยื่นรายการของที่จำเป็นต้องใช้ในวันพรุ่งนี้มาให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องโดยที่ตัวเองทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆเมื่อเจอพลัสมองมาอย่างสงสัย
“ทำไมพี่ไม่เอาไปให้เขาเองล่ะครับ เอกสารสำคัญไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่...แต่พลัสดูหน้าพี่บอยสิ ใครเข้าไปตอนนี้เหมือนกับฆ่าตัวตายชัดๆ”
ร่างบางหันไปมองอย่างที่หญิงสาวว่าก่อนจะพบเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่เครียดขึงยิ่งกว่ายักษ์วัดแจ้งจนรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมากลบเสน่ห์เหลือร้ายที่บอยมีไว้จนมิด เห็นได้จากพี่คนนี้ที่ปกติพลัสเห็นว่าเธอพยายามหาเรื่องเข้าหากัปตันอย่างบอยจะตายแต่ตอนนี้กลับพยายามหนีห่างซะงั้น
“แล้วแบบนี้พี่จะยังส่งผมเข้าไปอีกหรอครับ ผมยังไม่อยากตายนะพี่”
พลัสพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ ซึ่งคนมองก็ได้แต่บีบแขนของเด็กหนุ่มเบาๆอย่างขอโทษ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ถ้าเป็นพลัสล่ะก็”
“ถ้าเป็นผม?”
“อืม ถ้าเป็นพลัสล่ะก็พี่บอยไม่ดุหรอก นะๆเอาไปให้แทนพี่ทีนะ”
คำตอบของเธอทำเอาพลัสงงหนักเข้าไปใหญ่ พี่บอยที่แค่มองหน้าเขาก็กลัวหัวหดเนี่ยนะไม่ดุเขา จริงอยู่ที่ไม่เคยด่าตะคอกแรงๆแต่น้ำเสียงแข็งๆที่อีกฝ่ายชอบใช้กับเขาเสมอก็ทำให้พลัสไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ร่างใหญ่สักเท่าไหร่
“ไม่ดุอะไรล่ะพี่ วันก่อนเขายังว่าเรื่องที่ผมทำงานช้าอยู่เลย”
“นั่นก็ใช่ แต่ตอนนั้นมันเกือบตีสองแล้วพี่บอยเขาก็คงเป็นห่วงนั่นแหละ นอกจากเรื่องพวกนี้พี่ก็ไม่เคยเห็นพี่แกดุอะไรพลัสเลย ใครๆเขาก็รู้ว่าพี่บอยน่ะเอ็นดูพลัสกันทั้งนั้น นี่พลัสไม่รู้ตัวเลยหรอ”
“...”
ร่างบางพูดไม่ออก รู้ตัวอีกทีกระดาษเจ้าปัญหาก็ถูกยัดลงในมือของเขาพร้อมกับคำอวยพรของคนที่ชิ่งเดินหนีไปไกลแล้วเพื่อไม่ให้พลัสปฏิเสธ หากแต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับคำพูดที่หญิงสาวบอกเอาไว้ อย่าว่าแต่รู้ตัวเลย...สำหรับพลัสมันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
“พี่บอยครับ พี่นิ้งฝากเอกสารมาให้”
เมื่อเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้พลัสจึงยอมเดินเอามาให้แทน แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มยื่นกระดาษออกไปแทนที่บอยจะยื่นมือมารับมันชายหนุ่มกลับหันมาจ้องพลัสด้วยสายตาดุๆแบบที่พลัสอยากจะลากตัวหญิงสาวที่มาพูดเรื่องเหลวไหลให้เขาฟังเห็นชัดๆว่าสายตาแบบนี้แหละที่ชายคนนี้ใช้มองเขา
“แล้วนิ้งไปไหน ทำไมไม่เอามาให้เอง”
“เออ...พี่เขาปวดท้องน่ะครับ เลยฝากให้ผมเอามาให้พี่”
พลัสเลือกที่จะโกหกไปเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อน แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำโกหกนี้ไม่สามารถใช้กับชายตรงหน้าเขาได้เลย
“คือ...รับไปหน่อยได้ไหมครับ พอดีผมมีธุระต้องไปทำ”
“...”
“พี่บอยครับ”
“ธุระอะไร”
“ครับ?”
“ธุระที่ว่าน่ะ คือธุระอะไร”
ทั้งๆที่ตอนนี้เป็นตอนกลางวันแต่พลัสกลับรู้สึกว่าอาการรอบตัวเย็นลงอย่างน่าประหลาด จากที่เคยมองตากันอยู่เด็กหนุ่มกลับหลุบตาลงราวกับกลัวว่าดวงตาคมๆคู่นั้นจะบาดคว้านเข้าไปข้างในตัวเขาจนเผยให้เห็นอะไรที่มันไม่น่าดู
“ธุระส่วนตัวครับ...”
“ธุระส่วนตัว...หรือเรื่องของชาวบ้านกันแน่”
บอยยิ้มเยาะ เขายังจำคำมั่นสัญญาที่ผู้หญิงคนนั้นให้ไว้กับคนตรงหน้าเขาได้ ว่าจะกลับมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เหลือให้พลัสฟังหลังจากงานกะเช้าที่พลัสขอเลื่อนมาทำแทนกะกลางคืนเหมือนทุกครั้ง คนที่ถูกว่ากระทบดูอึ้งไป คงจะสับสนว่าเขาด่ามันทำไมหรือไม่ก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองฟังผิดรึเปล่า
“พี่ว่ายังไงนะครับ”
นั่นไง...เขาเดาผิดซะที่ไหน
“เปล่า กูรับไว้ก็ได้ แต่มีข้อแม้อยู่อย่าง”
“ครับ?”
“เย็นนี้มึงต้องมากับกู เราจะไปรับงานพิเศษกันที่โรงแรม The Next”
บอยทำท่าทางนิ่งเฉยเหมือนกับตัวเองเพิ่งพูดถึงสภาพอากาศ หากแต่ในความรู้สึกคนฟังมันช่างกะทันหันและไร้ซึ่งเหตุผล โดยเฉพาะกับคนที่แจ้งล่วงหน้าแล้วว่ามีธุระจะต้องไปทำ ดังนั้นเงื่อนไขที่บอยให้กับเขาไว้มันจึงดูไร้ความรับผิดชอบและไม่สบอารมณ์เอาซะเลย
“แต่ผมมีธุระ”
“คิดว่ากูแคร์รึไง”
“...!!!”
“งานนั้นเป็นงานใหญ่ ลูกหลานนักการเมืองมีชื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจัดงานกันที่นั่นแต่ฝ่ายชายเป็นคนรู้จักคุณเมษาทางเราเลยจะส่งคนไปช่วยด้วย...มึงก็ต้องไปต่อให้ขอเปลี่ยนกะมาแล้วก็เถอะ”
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะครับ!”
พลัสท้วงออกไปเพราะรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล คนของที่นี่มีไม่ใช่น้อยๆแล้วทำไมถึงต้องบังคับให้พนักงานพาร์ทไทม์อย่างเขาไปด้วย แต่บอยกลับตอบคำถามของพลัสด้วยการหันมาเผชิญหน้าอย่างเต็มตัวจนร่างของเด็กหนุ่มถูกเงาของบอยทาบทับไว้จนมิด
“ที่กูพูดไปไม่เคลียร์ตรงไหน”
“ทั้งหมดนั่นแหละครับ! คนของที่นี่ก็มีตั้งเยอะแยะ ผมเองก็ขอเปลี่ยนกะไปแล้วและพี่นิ้งก็อนุญาตแล้วด้วย”
“แล้วเจ้านายของมึงชื่ออะไร”
“...!!!”
“กูจำไม่ได้ว่าเคยอนุญาตให้มึงหยุด แต่ถ้ามึงไม่อยากจะทำจริงๆก็ได้ ไปรับค่าจ้างครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ไม่ต้องโผล่หัวกลับมาอีก”
พลัสรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจนชาไปทั้งแทบ ทำไมคนคนนี้ถึงไม่ยอมรับฟังอะไรเขาเลย เขาแค่มีธุระและเขาก็จัดการทำทุกอย่างถูกต้องแล้วแต่สุดท้ายมันก็จบลงแค่พี่บอยไม่ยอมรับมัน คนที่อุตส่าห์ทำงานอย่างแข็งขันเผลอกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจและไม่เข้าใจ ส่วนบอยที่เห็นมันกลับทำหน้านิ่งอย่างเคย
“ไม่พอใจงั้นสินะ”
“...”
“นั่นก็เรื่องของมึง...แต่สิ่งหนึ่งที่มึงควรรู้ไว้ ถ้าหากมึงยังอยากทำงานที่นี่ รวมถึงจดหมายขอฝึกงานที่วางอยู่บนโต๊ะของกู”
“...”
“อย่าขัดคำสั่งของกูพลัส...อย่าทำให้กูโมโห”
บอยปลดเนคไทของตัวเองออกเล็กน้อยก่อนจะหยิบเอากระดาษที่นำพาความวุ่นวายมาสู่ร่างบางมาถือไว้แล้วเตรียมตัวจะเดินออกจากที่นี่ เพื่อไปเตรียมพร้อมสำหรับงานเย็นนี้ที่เขาเองก็ต้องตามไปดูแลด้วยเช่นกัน แต่จู่ๆรองเท้าขัดมันคู่ใหญ่ของชายหนุ่มก็หยุดลงพร้อมกับคำสั่งของบอยที่ตอกย้ำให้พลัสรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่มีสักส่วนเสี้ยวที่จะอ่อนโยนกับเขา
“งานจะเริ่มตอนเย็นแต่เราต้องไปที่นั่นตั้งแต่บ่าย มึงมีเวลาเตรียมตัวอีกแค่หนึ่งชั่วโมง...ถ้าคิดว่ากลับมาทันได้ก็ลองดู”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เขาไม่ใช่คนอ่อนแอ...พลัสบอกกับตัวเองแบบนั้น
“ให้ตายสิ ทำไมนายต้องนัดฉันให้มาตรงนี้ด้วย”
ก้อยที่อยู่ในชุดไปเที่ยวบ่นออกมาไม่หยุดตั้งแต่เธอเดินทางมาถึงโรงแรมที่จู่ๆพลัสก็บอกให้เธอเปลี่ยนมาพบเขาที่นี่ เธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกหากไม่ใช่ว่าที่ที่ร่างบางนัดให้เธอมาคุยกันจะเป็นทางเข้าด้านหลังที่มีไว้ให้พนักงานเข้าออกแทนที่จะเป็นล็อบบี้หรือเล้าจ์แบบที่หญิงสาวคิดไว้
“ขอโทษด้วยนะ แต่เรามีงานด่วนเข้ามาแถมเวลาก็มีไม่มาก”
พลัสที่เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เตรียมพร้อมสำหรับงานตอนเย็นพูดกับก้อยด้วยสีหน้าที่แสดงความลำบากใจและรู้สึกผิด จนคนที่บ่นอุบในตอนแรกยอมพยักหน้าให้อย่างแกนๆแม้ว่าความจริงอยากจะหนีไปนั่งข้างในเต็มแก่
“แล้วตกลงแกอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้ปูนมัน”
“ก็...ทั้งหมด”
“หึ ตกลงแกถูกใจมันจริงๆสินะ”
ร่างบางไม่ตอบ เขาเลือกที่จะมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายแทนเพื่อยืนยันความต้องการของตัวเองซึ่งดูเหมือนก้อยจะเข้าใจมันได้ดี
“เอาเถอะ เห็นแก่เรื่องน่าสนุกที่มันกำลังจะเกิดขึ้นจะบอกให้ก็ได้”
“...”
“ก่อนหน้าที่จะมีเรื่องอื้อฉาวนั้น พวกเราก็ไม่มีใครคิดว่าปูนมันจะทำอาชีพนี้ เรารู้แค่มันทำงานพิเศษเป็นบาร์เทนเดอร์ ฝีมือมันก็ดี เคยประกวดได้รางวัลมาก็มาก ปูนมันก็เลยมีคนมาชอบเยอะเป็นผู้ชายทั้งนั้น แต่ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องที่ว่า กลุ่มพวกฉันก็สังเกตกันว่าปูนมันเริ่มมีอะไรแปลกๆไป”
“อะไรที่ว่าแปลก”
“ของใช้ไงล่ะ ถึงงานนอกปูนมันจะเยอะแต่จากคนที่เคยแบกเป้ธรรมดามาเรียนจู่ๆก็เปลี่ยนมาใช้กระเป๋าแบรนด์เนมซะงั้น ใบหนึ่งราคาเป็นหมื่น แล้วใช่ว่าปูนมันจะรวยมาจากไหน ถ้าจะให้เดามันก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง”
“...”
“ไม่ถูกหวย...ก็ขายตัวเองกิน”
สีหน้าของก้อยดูเหยียดหยามและสะใจไปพร้อมๆกัน พลัสเลือกที่จะเงียบไว้และมองดูความอิจฉาที่ฉายชัดอยู่ในทุกอณูของผู้หญิงคนนี้
“แล้วก็เริ่มมีข่าวลือว่ามีคนมาคอยรับส่งปูนที่คณะบ่อยๆ เราเองก็ไม่รู้จักหรอกนะแต่เคยเห็นหน้าอยู่ครั้งหนึ่ง...หล่อมาก รถก็สวย พอถามไปถามมาก็มีคนบอกว่าเคยเห็นปูนกับผู้ชายคนนั้นไปไหนมาไหนด้วยกันข้างนอก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเห็นว่าสองคนนั้นน่าจะทะเลาะกันแล้วพากันไปเคลียร์ที่รถ”
“แล้วมันยังไงหรอ”
“หึ...ก็ขย่มกันจนรถสั่นเลยไง สมกับที่แกอยากรู้ไหมพลัส”
สีหน้าของพลัสซีดลง ก็คิดอยู่แล้วว่ามันคงลงเอยด้วยอีหรอบนี้แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างปูนจะกล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบที่ผู้หญิงคนนี้บอก ก้อยที่เห็นว่าพลัสนิ่งอึ้งไปก็ยกยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มือของตัวเองลูบใบตามใบหน้าที่ถึงแม้จะไร้เครื่องสำอางแต่กลับขาวสะอาดเสียจนเธออดที่จะขำไม่ได้เมื่อต้องรับรู้ว่าเด็กน้อยแบบนี้กำลังตกหลุมรักคนที่เป็นยิ่งกว่าขยะในสายตาของเธออย่างปูน...นึกแล้วก็เสียดาย แต่คิดอีกทีก็น่าขำ
“ถ้าให้เราแนะนำ เราว่าแกเลิกชอบปูนดีกว่า”
“เราไม่ได้...”
“จะบอกว่าตัวเองไม่ได้ชอบ...จะบอกเราอย่างนั้นใช่ไหม งั้นขอเราถามอะไรแกสักอย่างสิพลัส”
“...”
“แกเคยนึกถึงภาพตัวเองกำลังทำอะไรมันอยู่รึเปล่า ถ้าไม่ก็ลืมคำเตือนของเราไป แต่ถ้าใช่...ก็อย่าหาว่าเราไม่เตือน”
คำถามของก้อยดังวนอยู่ในหัวของเขาแม้ว่าเธอจะจากไปแล้วพร้อมกับรอยลิปสติกที่ถูกทิ้งไว้ตรงข้ามแก้ม เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของตัวเองเบาๆโดยที่ในหัวก็ยังคำนึงถึงความรู้สึกที่เขามีให้ปูนโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาทางนี้ไม่วางตา
“คนอีกประเภทที่ฉันไม่ชอบ...คือคนที่ไม่ฟังคำสั่งของฉัน”
บอยมองร่างบอบบางของคนที่เหยียบย่ำหัวใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ได้ตั้งใจแต่มันกลับเจ็บปวดอย่างร้ายกาจ ทุกคำพูดและการกระทำของสองคนนั้นเขาได้รับรู้มันตั้งแต่ต้นจนจบโดยมีหลักฐานคือดอกไม้หลายดอก ที่กลับกลายเป็นเศษซากเพราะมือของร่างใหญ่ที่ใช้มันเป็นที่ระบายโทสะ โดยที่สายตาของบอยไม่ได้ละไปจากพลัสเลยแม้แต่วินาทีเดียว
:impress3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :impress3:
-
แสงสีและบรรยากาศแสนที่อบอวลไปด้วยความรักในงานไม่ได้ทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวของพลัสทุเลาเบาบางลงเลย เขาเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มให้บรรดาแขกในงานและฝืนยิ้มรับเมื่อแต่ละคนชมว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน แต่ใครจะสนใจล่ะใครเป็นคนทำมันขึ้นมาเขายังไม่รู้เลยสักนิด
“ไหวไหมพลัส สีหน้าไม่ดีเลย”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแขกในบริเวณเดียวกับเขาถามด้วยความเป็นห่วงเพราะสังเกตเห็นว่าคนที่ถึงแม้จะซุ่มซ่ามแต่ก็มักจะร่าเริงเสมอดูไม่เป็นอย่างเคยตั้งแต่เข้ามารับงานรอบเย็น เอาที่จริงก็งงเหมือนกันว่าทำไมพลัสถึงโผล่มาทำงานนี้ได้ทั้งๆที่ตอนแรกขอแลกกะไปเพราะบอกจะไปทำธุระที่อื่น แต่พอถามเจ้าตัวก็เอาแต่ยิ้มแกนๆแล้วส่ายหน้าทุกครั้ง
“ไม่เป็นไร เราแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“ไปนั่งพักก่อนไหม เดี๋ยวเราดูแลต่อให้เอง”
“ไม่ต้องหรอก ช่วยๆกันดีกว่า เดี๋ยวเราไปยกน้ำมาเพิ่มก่อนนะ จะฝากเอาน้ำอะไรเพิ่มไหม”
“ขอม็อกเทล น้ำอัดลมแล้วก็น้ำเปล่าแล้วกัน”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปด้านหลังบริเวณที่มีซุ้มเติมน้ำตั้งอยู่เพื่อลำเลียงเอาแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มต่างๆไว้เรียบร้อยแล้วไปวางไว้บนโต๊ะตรงจุดต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการบริการแขกให้ทั่วถึง พลัสค่อยๆหยิบแก้วแต่ละแบบตามจำนวนที่ต้องการลงบนถาดกลมสีน้ำตาลในปริมาณที่ถือไหว ก่อนจะเดินกลับไปยังจุดที่ตัวเองจะต้องประจำอยู่อีกครั้ง โดยไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าคนที่กำลังทำให้เขาวุ่นวายใจอย่างปูนเพิ่งเดินผ่านหน้าไปทั้งที่อยู่ใกล้แค่นิดเดียว
“ขอโทษนะครับ ผมขอน้ำเปล่าสักแก้วได้ไหม”
ก่อนที่พลัสจะไปถึงจุดของตัวเอง เขาก็ถูกเรียกไว้โดยแขกคนหนึ่งที่ยืนจับกลุ่มคุยอยู่ใกล้ๆพอดี เด็กหนุ่มยกยิ้มก่อนจะหยิบแก้วที่มีน้ำเปล่ารินอยู่เต็มไปให้พร้อมกับปักหลอดไว้ในนั้นเรียบร้อยแล้ว
“นี่ครับ”
“ขอบคุณมาก อ้าว เธอนี่นา”
คำพูดของแขกแปลกหน้าทำให้พลัสหันมาให้ความสนใจกับคนที่เพิ่งรับน้ำไปจากเขาก่อนจะเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมอย่างคณิตที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยเหลือเขาไว้กำลังยิ้มให้จนตาตี่ๆหรี่เล็กลงก็กว่าเดิม
“สะ สวัสดีครับคุณคณิต”
“คุณเคินอะไรกันล่ะ เรียกพี่ก็ได้ ว่าแต่เราชื่อพลัสใช่ไหมถ้าพี่จำไม่ผิด”
ร่างพยักหน้ารับก่อนที่ถาดบนมือเขาจะถูกแย่งไปโดยคนที่สูงกว่ามากโดยที่พลัสยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว
“ให้พี่ช่วยดีกว่า โต๊ะของเราอยู่ตรงไหน”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำเอง”
“น่า มันหนักนะ รีบบอกมาเถอะ”
พลัสอยากถอนหายใจหนักๆให้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาซะเหลือเกิน เด็กหนุ่มยอมชี้ไปยังโต๊ะที่ตนรับผิดชอบก่อนที่คณิตจะเดินไปที่นั่นพร้อมกับถาดของเขาซึ่งทุกๆย่างก้าวทั้งสองคนต่างก็ถูกจับจ้องด้วยสายตาหลายคู่ที่สงสัยว่าทำไมคณิตที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมถึงต้องลงมาทำงานเองแบบนี้
“พี่ครับ พอเถอะเดี๋ยวผมทำเอง”
ร่างบางพูดเสียงสั่นขณะที่คณิตกำลังจะลำเลียงน้ำในถาดมาวางลงบนโต๊ะซึ่งพอได้ยินแบบนั้นคณิตก็ใจอ่อนแล้วยอมคืนมันให้พลัสแต่โดยดี
“ขอโทษที พี่เห็นว่าหน้านายซีดมาก กลัวว่าจะถือไม่ไหว”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วก็...ขอบคุณด้วย”
พลัสก้มหัวให้คณิตน้อยๆแล้วทำงานของตัวเองต่อไปโดยทำเป็นไม่สนใจคนที่กำลังยืนมองเขาอยู่ แต่จนแล้วจนรอดคณิตก็ยังยืนอยู่แบบนั้นจนร่างบางทนไม่ไหวทำใจกล้าถามออกไป
“เออ...มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าบังเอิญจังเลยนะที่เรามาช่วยงานนี้ด้วย”
“ก็ไม่ได้อยากมาหรอกครับ”
เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อยแต่ถึงอย่างนั้นคณิตก็ยังได้ยินมันอยู่ดีแต่แทนที่จะโกรธ เจ้าของสถานที่กลับหัวเราะร่าแล้วเผลอลูบหัวของพลัสเบาๆด้วยความเอ็นดูเพราะยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าบางมุมของเด็กคนนี้ดูคล้ายปูนอยู่ไม่น้อย
“ฮ่าๆ ขอโทษที แต่พี่เองก็เบื่อเหมือนกัน อย่างชิ่งจะแย่แล้วเนี่ย”
คณิตพูดติดตลกก่อนจะหยิบเอาน้ำในแก้วมาดื่มโดยไม่ต้องให้ใครมาคอยบริการ พลัสมองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วคิดว่าคณิตเป็นผู้ชายที่มีนิสัยประหลาด แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ไฟรอบตัวพวกเขาค่อยๆหรี่ลงพร้อมกับพิธีกรซึ่งเป็นเพื่อนของบ่าวสาวก้าวขึ้นเวทีไปเพื่อเปิดงานแล้วกล่าวถึงความรักที่สุกงอมของคนทั้งคู่ พลัสที่สติยังไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยไม่ได้ตั้งใจฟังมากนัก เช่นเดียวกับคณิตที่หันซ้ายหันขวาเหมือนกับกำลังตามหาใครสักคนอยู่
“เออ...พี่มาอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นไรหรอครับ”
พลัสถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะแทนที่จะออกไปดูงานคณิตกลับมายื่นกินน้ำสบายใจอยู่ตรงนี้ขณะที่คนอื่นกำลังวิ่งวุ่น ชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่หันมามองพลัสเล็กน้อยแล้วยิ้มให้ก่อนจะตอบ
“พี่ทำในส่วนของตัวเองเรียบร้อยไปแล้วน่ะ งานนี้น้องสาวเป็นแม่งานมากกว่า แต่ถ้ามีปัญหาอะไรพี่ค่อยลงไปช่วยอีกที”
“น้องสาว?”
“อืม น้องสาวแท้ๆน่ะ เป็นเพื่อนเจ้าสาว”
บทสนทนาของทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับพรีเซนเทชั่นที่กำลังฉายอยู่บนหน้าจอ คณิตยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งโดยมีพลัสที่หลุดขำเพราะมุกตลกที่ขัดกับบุคลิกและท่าทางของชายคนนี้เหลือเกินในความรู้สึกของเขา พลัสไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่รู้ตัวอีกทีรอบๆตัวของพวกเขาก็สว่างขึ้น เจ้าสาวที่อยู่ในชุดราตรียาวกำลังเดินเข้ามาในงานโดยมีคนคอยช่วยถือชายกระโปร่งให้ถือเป็นภาพที่เขาเห็นจนชินตาแต่ก็อดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ทุกครั้งที่เห็น
“โอ้ย!”
เด็กหนุ่มถูกฉุดลงจากฝันเพราะแรงบีบที่ต้นแขนโดยฝีมือของบอยที่ทำหน้าเหมือนกับอยากเหยียบใครสักคนให้จมดิน ร่างบางมองเลยไปข้างหลังก็พบเข้ากับใบหน้าหวานของคนที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้กำลังยืนนิ่งและจ้องเข้ามาในดวงตาของเขาโดยไม่คิดหลบไปไหน พลัสคงดีใจกว่านี้ถ้าหากปูนกำลังมองเขาด้วยดวงตาแบบเดียวกันกับเวลาที่ปูนมองคณิต เพราะแววตาที่ปูนส่งมายังเขาในตอนนี้มันมีแต่ความเย็นชาและรังเกียจจนรู้สึกได้
“มีอะไรรึเปล่า”
ไม่ใช่พลัสที่เป็นคนถาม หากแต่เป็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเขากำลังหันไปพูดกับบอยที่สีหน้าไม่ได้สุภาพขึ้นเลยทั้งๆที่รู้อยู่ว่าคนที่กำลังถามนั้นเป็นใคร คณิตเห็นปูนแล้วแต่ความวุ่นวายเล็กๆที่เกิดขึ้นทำให้เขาเลือกที่จะจัดการมันก่อนมากกว่าที่จะถามเด็กขี้อ้อนของเขาว่าหายไปไหนมาตั้งนาน
“ผมมาตาม ‘คนของผม’ กลับไปทำงาน”
บอยเน้นย้ำในคำพูดที่บ่งบอกความเป็นเจ้าของเพียงแต่คนที่ถูกกล่าวอ้างนั้นไม่ได้เข้าใจมันเลยสักนิดเดียว
“อ่อ นายคงเป็นคนของไอ้เมษสินะ”
“ครับ”
“เข้าใจล่ะ แต่ว่าช่วยปล่อยแขนนั่นก่อนจะได้ไหม น้องเขาเจ็บ”
คำพูดของคณิตไม่ได้มีอะไรเจือปนอยู่นอกจากความเป็นห่วงแต่คนฟังอย่างปูนและบอยกลับรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังขย้ำก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายให้เจ็บจุกจนไม่อาจปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้ บอยบีบแขนของพลัสแรงขึ้นจนร่างบางน้ำตาเล็ก แต่ก็ยอมปล่อยมันไปในตอนสุดท้ายก่อนจะก้มหัวให้กับคนที่มีฐานะสูงกว่าด้วยแววตาที่ไม่ได้บ่งบอกถึงการสิโรราบ
คนคนนี้กำลังประชดเขา คณิตเข้าใจมันเป็นอย่างดี
แต่ที่ไม่เข้าใจเห็นจะเป็น คนที่กำลังเดินออกไปนอกงานนั่นมากกว่า
“ขอโทษด้วยที่กักตัว ‘คนของนาย’ ไว้ แต่ตอนนี้ผมมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนแล้วกัน...พลัส พี่ไปนะ”
คณิตบอกลาพลัสก่อนจะเดินตามแผ่นหลังเล็กของปูนออกไปทิ้งอีกสองคนที่ต่างอยู่คนละห้วงอารมณ์ให้เผชิญหน้ากันเองโดยไม่คิดจะรับผิดชอบ พลัสเผลอถอยหลังออกมาเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคามบางอย่างที่บอยแสดงออกมาโดยไม่คิดจะปิดบัง แต่บอยกลับไม่ปล่อยให้ร่างบางทำอย่างนั้น ทันทีที่คณิตเดินพ้นไปชายหนุ่มก็คว้าแขนของพลัสไว้อีกครั้งแล้วบีบมันเข้าเต็มแรง
“พะ พี่บอย ผมเจ็บ”
“กูบอกมึงว่ายังไง”
“คะ ครับ?”
พลัสมองความโกรธเกรี้ยวของบอยด้วยความไม่เข้าใจ แล้วก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นอีกเมื่อใบหน้าที่แสนแกร่งขามก้มเข้ามาใกล้จนเขารู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆที่กำลังเป่ารดหน้าของตัวเองอยู่
“กูบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าทำให้กูโมโห...”
“แล้วพี่มาโมโหผมทำไม อึก ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“ทำสิ และมันก็เป็นการกระทำที่ผิดพลาดมาก”
“...!!?”
“มึงทำให้ความอดทนกูหมดลงไปไงพลัส...ต่อจากนี้ถ้าอยากจะโทษใคร ก็โทษตัวเองที่ความรู้สึกช้าก็แล้วกัน”
สิ้นคำนั้นบอยก็ฉุดพลัสให้เดินไปด้วยกันโดยไม่สนว่าใครจะว่ายังไง ร่างใหญ่เหลือบมองคนเป็นนายอย่างเมษาที่ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับชูแก้วไวน์ในมือขึ้นราวกับกำลังอวยพรแด่ความอดทนที่พังทลายของเขา บอยก้มหัวให้เมษาน้อยๆก่อนจะพาพลัสที่เริ่มร้องโวยวายให้เดินตามกันไปโดยไม่คิดจะฟังคำทัดทาน
“ปล่อยผมนะพี่บอย! พี่จะพาผมไปไหน!”
“หุบปากซะ”
“ไม่! ผมจะพูดจนกว่าพี่จะบอกผม!!”
คราวนี้คำของร้องของพลัสมันเป็นผล แต่กลายเป็นร่างบางเองนั่นแหละที่ต้องหยุดลงเพราะบอยหันมาบีบมันเข้าเต็มแรงจนนัยน์ตากลมของเด็กหนุ่มแดงก่ำเพราะน้ำตา แต่เคยได้ยินไหมที่คนมักพูดกันว่าต่อให้ตัวเล็กแค่ไหนเสือก็ยังเป็นเสือ พลัสจ้องบอยกลับไปด้วยดวงตาที่บ่งบอกว่าเขาไม่คิดจะก้มหัวให้ความยิ่งใหญ่ของคนตรงหน้าอีกแล้ว ต่อให้ตอนนี้เขาจะเจ็บจนมีน้ำตา แต่ตราบใดที่พลัสไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดเขาก็ไม่จำเป็นต้องยอม
“ทำหน้าแบบนี้ คิดจะสู้กูรึไง”
“ผมสู้แน่ ถ้าสิ่งที่พี่ทำไปมันไม่มีเหตุผล”
“หึ เหตุผลน่ะหรอ...มีสิ”
“...”
“แต่มึงไม่จำเป็นต้องรู้”
บอยคว้าท้ายทอยของพลัสไว้แล้วกระชากเข้ามาจูบเต็มแรงจนสัมผัสแรกของพวกเขาเต็มไปด้วยรสเค็มปร่าของเลือด ร่างใหญ่ยัดลิ้นพรวดเข้ามาทีเดียวจนพลัสที่งงอยู่แล้วตั้งตัวไม่ทัน ในหัวของเด็กหนุ่มขาวโพลนเขารู้สึกได้เพียงแรงบีบเค้นตามร่างกายที่เกิดขึ้นจากมือที่แข็งแรงดั่งคีมเหล็กของคนตรงหน้า และลิ้นของบอยที่กำลังสำรวจไปทั่วโพร่งปากของเขาอย่างหื่นกระหาย
พอหลุดออกมาได้ พลัสก็ถูกคนเอาแต่ใจโถมเข้าใส่อีกครั้งจนร่างของเขาปะทะเข้ากับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของบอยที่จอดอยู่ในลานจอดรถกว้างที่ไร้เงาของคนอื่นนอกจากเขาทั้งสอง ร่างกายที่มีเสื้อผ้าปกคลุมอยู่ของพลัสถูกบอยฟอดเฟ้นไม่หยุดจนร่างบางรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้วตัว กระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาถูกปลดออกก่อนที่มือของบอยจะล้วงเข้าไปด้านในแล้วบีบเค้นยอดอกที่ไม่เคยมีผู้ใดได้สัมผัสมาก่อนจนร่างบางเผลอหลุดสะอื้นออกมาเพราะสัมผัสที่ไม่คุ้นชิ้น
“พี่บอย ฮึก หยุดนะ”
“หึ ทีกูบอกให้มึงหยุด ทำไมมึงไม่ฟังกูบ้างพลัส”
“พะ พี่บอกผมตอนไหน อ๊ะ! อย่าจับ ฮึก อย่าจับตรงนั้น”
“กูบอกมึงตลอดนั่นแหละพลัส”
“อ๊าาา อย่า”
“แต่มึงนั่นแหละ...ที่ไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย”
พลัสตัวสั่นอย่างกับถูกแช่ไว้ในถังน้ำแข็ง เพียงแต่ความร้อนเบื้องล่างทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสถานที่ที่เขาอยู่นั้นคือนรกไม่ใช่สวรรค์อย่างที่เคยวาดฝันเอาไว้ แท่งเนื้อบวมเป้งกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในมือของบอยอย่างหมดท่า หากแต่ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกลับทำให้พลัสต้องร้องครวญครางแทนที่จะร้องไห้ จวบจนหยาดหยดสุดท้ายของอารมณ์ที่ดำเนินมาถึงปลายทาง เสียงหอบกระเส่าของพลัสก็ดังขึ้น คลอไปกับเสียงของน้ำตาที่ร่างบางไม่มีวันได้ยิน
“มึงอยากรู้นักใช่ไหมว่าทำไมไอ้ปูนมันถึงมาขายตัว”
“ปล่อย...ปล่อยผม”
“ไม่ต้องเสียเวลาไปถามคนอื่นหรอก ถ้ามึงอยากรู้นักกูจะบอกมึงให้ก็ได้”
“...”
“ว่าความรู้สึกของคนที่ต้องใช้ร่างกายของตัวเองแลกกับสิ่งที่ต้องการ มันรู้สึกยังไง...กูจะซื้อมึงเองพลัส”
“...!!!”
“กูบังคับขาย...ต่อให้ตายมึงก็หนีกูไม่พ้น”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
คำแรกเลย 'ป๋าโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ง้อเมียด่วนนนนนนนนนนนนน!!!!!!' :z6: :a5: คืองอนนนนน พาร์ทป๋าปูนตอนนี้แทบจะไม่มีแล้วมาทำแบบนี้มันน่ากรีดร้องมากกกกกก (คนอ่าน : ได้ข่าวว่ามึงเป็นคนแต่ง :z13:) ตอนหน้าเล่นป๋าหนักๆเลยนะปูน อย่าไปยอมนะ!!!! (คนอ่าน : อยากได้แบบไหน แต่งเอาเองเลยจ้า :z13:)
พาร์ทนี้วิญญาณจำเลยรักเข้าสิ่งเช่อย่างหนักคับ 55555555 แต่บอกแล้วนะว่าพลัสไม่ใช่แมวน้อย นางก็เสือดีๆนั่นแหละเพียงแต่ยังไม่โต เช่นี่รอคอยวันที่พลัสจะโตอย่างใจจดใจจ่อ นิยายเช่เคะเป็นใหญ่นะคับ ไม่สตรองอยู่ไม่ได้นะบอกเลย!!! :katai3:
หลังจากพาร์ทนี่เช่จะขอหลบไปจัดการหนังสือพี่กาลให้เสร็จทุกสิ่งอย่างก่อนนะคับ บวกกับการบ้านที่เริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่ต้นเทอม อาจจะช้าและค้างไปบ้างอย่าได้ถือสา ...เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นานนนนน เพลงคสช.นี่ลอยมา ถ้าตารางชีวิตเคลียร์แล้วเช่จะรีบกลับมาอัพให้อย่างแน่นอน ไม่แน่อาจจะไม่นานอย่างที่คิดก็ได้นะคับ เคลียร์เสร็จเร็วก็กลับมาเร็ว เป็นกำลังใจให้เช่ด้วยนะ :hao5:
พูดถึงหนังสือพี่กาล เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะปิดรอบแล้ว ใครที่ยังไม่ได้จองก็จอง ใครที่ยังไม่ได้โอนก็โอนกันเถิดนะ ไม่ใช่ว่าจองแต่ไม่โอน เช่นี่จะเงิบนะบอกให้ 5555555555 แล้วก็บอกหลายรอบแล้วว่าอาจจะไม่รีปริ้น หรือถ้ารีก็ไม่ใช่เร็วๆนี้แน่ๆ ตั้งใจไว้แล้วถ้าไม่ได้เป้าตามที่วางเอาไว้เช่จะไม่รีเด็ดขาด ตามประสบการณ์หลังจากปิดรอบไปคนจะมาขอรีเยอะมาก เช่เสียดายโอกาสคับบอกตรงๆ อยากขายก็อยากขายนั่นแหละ แต่เราก็อยากให้คนที่ชอบได้เก็บนิยายเรื่องนี้เป็นเล่มเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลองพิจารณากันดูนะคับ ใครเก็บเงินไม่ทันลองมาคุยกับเช่หลังไมค์ดูก่อนได้ อย่าลืมนะ 4 กุมภานี้ ปิดรอบนะคับ :) :call:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้น ทุกโหวต และทุกๆการสนับสนุน อ่านไปเริ่มเจอคอมเม้นต์ที่บอกว่าไม่ชอบพี่กาล เช่นี่ลั่น 55555 เพราะตอนเรื่องพี่กาลก็มีแต่คนไม่ชอบปูนเหมือนกัน แต่ยังไงก็แล้วแต่ทุกตัวละครมีเหตุผลและเรื่องราวของตัวเองนะคับ เช่ก็หวังแค่ว่าทุกคนจะมีความสุขกับมัน แล้วเจอกันตอนต่อไปนะ :mew1:
-
ตอบเม้นกันนนนนน :katai4:
cho-ningza-19891 >>>> ฉุดไปแบบนี้เรียกจีบไหมคับ :a5:
sweetbasil >>>> ถ้าไม่ติดว่าขี้เกียจ อยากหาเมียให้คุณเมษสักคนเหมือนกันนะ
Freja >>>>> ขอบคุณที่ติดตามนะคับ แล้วก็ที่แจ้งจุดผิดให้ด้วย :pig4:
่jum >>>>> เก็บเข้าห้องพี่แกไปเรียบร้อยแล้วคับ :hao6:
hpimmc >>>>> ป๋าก็คือป๋าคับ :กอด1:
kanomjeeb >>>>> พลัสอาจจะเป็นเสือ แต่ปูนก็ไม่เบานะ :hao7:
นอนกินแรง >>>>> โดนจัดไปหนึ่งดอกเบาๆ :fire:
Toho48 >>>>> หวังว่าจะชอบพาร์ทคู่รองนะคับ :mew1:
FOUR EYES >>>>> จัดไปตามคำเรียงร้องคับ o13
-
บอยอย่างโหดแต่ชอบนะ
ส่วนป๋าขัดใจมากกกกก อย่าใจดีไปทั่วได้ไหม :katai1:
-
พี่บอยโหดจัง
-
อือหือ ประโยคสุดท้ายของเฮียบอย จัดว่าเด็ด o13
-
บอยฮาร์ดคอไปไหม เชียร์พลัสให้ป๋าดีกว่า :hao3:
-
น้องก้อยๆๆๆๆ :beat: :beat:
-
ค้างงงงง ค้างมากกกกกก ตอนหน้าขอให้ต่อคู่รองให้จบก่อนได้มั้ยยยยย กรี๊ดดดดดดด :ling1:
-
พี่บอยโหดมากกกกก พลัสบอบช้ำน่าดูแต่ก็แอบสะใจ เลิกยุ่งเรื่องคนอื่นสักทีเถอะ
-
สงสารพลัส แต่พี่บอย....จัดหนักๆเลยนะ :hao7:
-
ยอดมากบอย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เต็มที่ไปเลย
แอบรำคาญพลัสมานานแล้ว เขี่ยให้หลุดจากวงโคจรของปูนไปเลยยิ่งดี
ปล อยากจับคณิตมาเขย่าๆ เลิกใจดีพร่ำเพรื่อซักทีสิ สงสารปูนง่ะ
-
น้องปูนคิดมากกกกกกกกก
ป๋าออกจะชัดเจน
กาลจะโผล่มามั้ยย
-
กรี๊ดดดด ในที่สุดด :-[
เชียร์พี่บอยสุดไตตต เด็ดดอกไม้มาแล้วก็อย่าทิ้งขว้างนะคะ ดูแลเขาดีๆด้วย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
จัดหนักเลยค่ะ :laugh:
ขอบคุณมากค่ะ :กอด1:
-
พี่กาลจากเรื่องโน้น เค้าเลิกใจร้ายแล้วนี่ครับ
-
โถ่~~~ ไปกันใหญ่ :hao4:
-
คิดถึงน้องปูนแล้ว
-
สงสารพลัส แต่ก็นะ ทำตัวเอง เราทีมน้องปูน 5555555555555555555
-
แตกที่ 14.5
…ฝนในตา...
ผมเชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ความดีซื้อความรักไม่ได้’
ผมก็เคยได้ยินครับ แต่ผมเพิ่งเข้าใจมันก็วันนี้เอง...
“ปูน มาขนเหล้าตรงนี้ให้พี่หน่อย”
เด็กหนุ่มที่กำลังพะวงอยู่กับโทรศัพท์ในมือหลุดจากความคิดของตัวเองแล้วรีบปรี่ไปทำงานตามที่หัวหน้าทีมสั่ง เขาส่งยิ้มให้ผู้คนรอบข้างแม้แต่ป้าแม่บ้านที่เดินผ่านโดยไม่สนใจว่าผู้คนเหล่านั้นจะยิ้มรับหรือว่าทำหน้าแบบไหน ปูนแค่ยิ้มแล้วหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะผ่านไป เขายินดีทำทุกอย่างเพียงขอให้งานนี้มันเสร็จเร็วขึ้นแค่สักชั่วโมงก็ยังดี
“วันนี้ดูมึงรีบๆนะ”
บอยที่แอบหลบมาสูบบุหรี่ในช่วงพักเอ่ยกับปูนซึ่งเป็นบาร์เทนเดอร์รุ่นน้องที่เขาชักชวนให้มาทำงานพิเศษในครั้งนี้ด้วยกัน ร่างเล็กหันมาหาคนถามแต่กลับเห็นว่าบอยเอาแต่จ้องไปยังโทรศัพท์ในมือไม่ได้มองมาทางเขาเลยสักนิด ด้วยความสงสัยปูนเลยถือวิสาสะชะโงกดู แต่พอเห็นว่าสิ่งที่ดึงความสนใจจากรุ่นพี่ของเขาไปได้ทั้งหมดคือรูปของใครคนหนึ่ง ปูนก็ได้แต่เบ้ปากอย่างหมั่นไส้
“ถามผมน่ะ มองหน้าผมหน่อยสิครับ”
“เสียสายตา...ว่าแต่จะตอบได้รึยัง ว่าทำไมวันนี้มึงทำงานลวกๆตลอด”
“มีปัญหาหรอ?”
“ก็ไม่ กูแค่แปลกใจเท่านั้นแหละ”
บอยว่าพลางขยี้บุหรี่ที่ไหม้ไปจนเกือบถึงก้นกรองทิ้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้จุดตัวใหม่ ปูนก็แย่งเอาบุหรี่ทั้งซองมาถือไว้เอง
“สูบเยอะไปแล้วพี่ เดี๋ยวก็ตายเข้าจริงๆหรอก”
“เลิกเสือกเรื่องของกูสักทีเถอะน่า ตอบมาเร็วเข้า เวลาพักจะหมดแล้ว”
ร่างเล็กทำท่าจะดื้อดึงต่อแต่พอโดนบอยใช้ดวงตาคมกริบนั้นจ้องมาดุๆก็ได้แค่ยอมยื่นบุหรี่ซองนั้นกลับไปให้ผู้เป็นเจ้าของแล้วเล่าไปตามความจริง
“วันนี้...เขามาด้วยน่ะ”
“เขา?”
“อืม...คนที่ผมเลยเล่าให้พี่ฟังไง”
พอได้นึกถึงคนคนนั้นผิวแก้วของปูนก็ร้อนผ่าวขึ้นมามือไม้ก็ชักจะเกะกะไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน ในขณะที่บอยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายในการหาคำตอบ เพราะถึงแม้ปูนจะเป็นพวกแอบปลื้มคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่กลับมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เด็กหนุ่มใช้คำว่า ‘รัก’ แทนความรู้สึกที่มีต่อชายคนนั้น...
‘รัตติกาล’
“แล้วมึงจะรีบทำไมวะ เดี๋ยวยังไงก็ได้เที่ยวด้วยกันต่ออยู่แล้วนี่”
“ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นอยู่หรอกพี่...แต่เดี๋ยวพวกผมก็ต้องกลับแล้ว”
บอยขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ถ้าจำไม่ผิดก่อนหน้านี้ปูนยังโทรมาอวดเขาอยู่เลยว่าชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังมีความสัมพันธ์ด้วยยอมตกลงจะอยู่เที่ยวที่ชลบุรีกับมันต่อจนเขาต้องทนฟังปูนเพ้อนานเกือบครึ่งชั่วโมง
“ไหนทีแรกบอกว่าจะกลับวันอาทิตย์?”
“ก็...ทีแรกไงพี่”
“...”
“แต่ตอนนี้...ไม่ได้แล้ว”
ร่างใหญ่มองรอยยิ้มฝืนของคนข้างกายอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาเก็บบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดกลับเข้าไปในซองพลางใช้สายตาคาดคั้นมองปูนไปด้วย
“ทำไมไม่ได้ มีปัญหาอะไรอีก”
“...”
“ไอ้ปูน กูเป็นพี่มึงนะ”
ความหวังดีที่ถูกแสดงออกอย่างห่ามๆทำให้คนที่พยายามแบกรับมันไว้คนเดียวหัวเราะออกมาพร้อมกับดวงตาที่มีน้ำเอ่อคลอ ปูนไม่ได้ร้องไห้เป็นเผาเต่ามันเป็นแค่สะเก็ดความรู้สึกเล็กๆที่หลุดออกมาเท่านั้น นอกจากเรื่องชงเหล้าทำเครื่องดื่มที่เขาถนัด ก็มีการเก็บความรู้สึกของตัวเองนี่แหละที่ปูนมั่นใจว่าเขาทำมันได้เก่งกว่าใคร...
“พรุ่งนี้พี่เขาต้องพาลูกไปเที่ยวน่ะ เลยอยู่ต่อกับผมไม่ได้”
“...!!!”
“แต่จริงๆแค่มาส่งผมได้ก็ดีแล้วนะ แถมเขาสัญญาแล้วด้วยว่าหลังจากทำงานเสร็จจะพาผมไปกินอาหารทะเลก่อนกลับกรุงเทพกัน ยังว่าจะถามพี่เนี่ยว่ามีร้านไหนแนะนำบ้าง เอาเป็นแบบบรรยากาศดีๆหน่อย...”
“ทำไมมึงโง่อย่างนี้วะปูน”
“...”
“ทำไมมึงไม่บอกกูว่ามันมีลูกมีเมียแล้ว”
บอยไม่อยากพูดขัดแต่เขาทนเห็นมันต่อไปไม่ได้จริงๆ ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มซึ่งปูนประดิษฐ์มันให้สวยงามแต่ดวงตานั้นกลับดูเศร้าจนบอยทนฟังไม่ไหว ส่วนคนที่ถูกตราหน้าว่าโง่ก็หยุดนิ่งก่อนจะยิ้มให้บอยอีกครั้งแม้ว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ...
เขาไม่อยากร้องไห้ให้ตัวเองน่าสมเพชมากไปกว่านี้
ปูนพบรัตติกาลครั้งแรกในคลับที่ตัวเองทำงานอยู่ วันนั้นไม่ใช่วันที่พิเศษอะไร มันเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่งที่หลังจากเลิกเรียนเขาต้องมาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์แล้วควรจะกลับไปนอนอ่านหนังสือที่ห้องหลังจากนั้น เพียงแต่เพราะสายตาและความรู้สึกของปูนถูกหยุดไว้ที่ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าที่ร่างเล็กรับหน้าที่ชงเหล้าให้ จริงอยู่ที่ปูนเคยพบคนที่หล่อกว่านี้มามากมาย แต่ไม่รู้ว่าทำไมใบหน้ายามปวดร้าวของรัตติกาลถึงทำให้ปูนไม่อาจละสายตาไปจากมันได้เลย
ปูนไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่คืออะไร แม้กระทั่งวันที่รู้ว่ารัตติกาลมีครอบครัวอยู่แล้ว เขาก็ไม่ถอยออกมาทั้งที่ควรทำ กลับตรงกันข้ามปูนยอมทำทุกอย่างทั้งเรื่องน่าอายในลานจอดรถวันนั้นหรือการทำตัวเป็นเด็กดีเพียงเพื่อให้รัตติกาลพอใจ เพราะเขารู้ดีว่าเหตุผลหนึ่งเดียวที่รัตติกาลเลือกมาหาเขาในวันที่ล้มลงคืออะไร…
‘ความสบายใจ’
ถ้าเขาให้มันกับรัตติกาลไม่ได้ทุกอย่างก็คงจะจบลง
“ผมก็ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้..แต่ผมรักเขานี่จะทำไงได้”
ปูนว่ายิ้มๆแล้วยกคำพูดที่เขาใช้มันปลอบใจตัวเองเสมอมาพูดให้บอยฟัง แต่แทนที่จะเห็นใจบอยกลับเดินมาหาแล้วผลักร่างเล็กเข้าเต็มแรงจนแผ่นหลังของปูนปะทะเข้ากับกำแพงแต่ไม่ยักกะเจ็บ
“มึงเรียกมันว่าความรัก แต่สำหรับกูมันคือความงมงาย”
“...”
“ที่เขาไม่เลือกมึงมันก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว...เลิกกับเขาซะปูน”
“ไม่ได้”
“ไอ้ปูน!”
“ผมรักเขาว่ะพี่ อีกอย่างเขามีแค่ลูกนะ เมียพี่กาลเขาไม่อยู่แล้ว อีกไม่นานหรอกพี่เชื่อสิ สักวันเขาคงรักผมบ้าง!”
“มึงอย่าโง่ได้ไหม กูบอกให้มึงตัดใจซะไง!”
“งั้นพี่ทำให้ผมดูก่อนได้ไหมล่ะ! ถ้าพี่สั่งหัวใจตัวเองได้ก็เลิกรักไอ้เด็กนั่นให้ผมดูก่อนสิ!!!”
ปูนย้อนกลับมาอย่างเหลืออดจนคนที่ฟังอึ้งไป มือของบอยที่กักปูนไว้คลายออกก่อนร่างใหญ่จะถอยไปข้างหลังโดยที่สายตายังไม่ละไปจากปูนเลยสักนิด ปูนเองก็รู้สึกผิด...แต่เขาคิดว่าหากพูดแบบนี้ไปบอยจะเข้าใจจุดยืนของเขาบ้าง
“มัน...ไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนตรงไหน...ผมกับพี่ก็รักคนที่เขาไม่รักเราทั้งคู่”
“...”
“ขอร้องล่ะพี่บอย ผมรู้ว่าพี่เป็นห่วงแต่...ขอให้ผมได้พยายามอีกนิดเถอะ”
ทันทีที่ปูนพูดจบก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องกลับเข้าไปทำงานพอดี เสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายกำลังเดินผ่านมาทางนี้ซึ่งบรรยากาศโดยรอบยังคงเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่บอยและปูนร่วมกันสร้างมันขึ้นมา คนอายุมากกว่าถอนหายใจก่อนจะขยี้หัวของตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติ บอยใช้ดวงตาคมกริบของตัวเองจ้องมาที่ปูนอีกครั้ง เขาเป็นห่วงมัน แต่ก็รู้จักเด็กนี่ดีพอที่จะรู้ว่าหากปูนตัดสินใจไปแล้วต่อให้อธิบายเหตุผลแค่ไหนมันก็ไม่เป็นผล
“มึงคิดว่ามีโอกาสแค่ไหนที่เขาจะเลือกมึง”
“...ผมไม่รู้”
“ไม่รู้จริง หรือมึงไม่อยากยอมรับว่ามันไม่มีทางกันแน่”
“...”
“มึงรู้ไหมปูน ว่าทำไมกูถึงไม่เคยทำอะไรนอกจากดูคนเขาอยู่ห่างๆ”
“...”
“เพราะของเดิมพันในเกมนี้มันคือหัวใจ...ถ้าไม่มีโอกาสชนะกูก็จะไม่ลง”
คำพูดที่บอยทิ้งเอาไว้ให้ก่อนจะเดินจากไปปูนเข้าใจมันดี แต่ถ้าหัวใจเขามันฉลาดได้แค่ครึ่งหนึ่งของสมอง ปูนคงไม่ต้องคอยทนกินน้ำใต้ศอกคนอื่นเหมือนอย่างตอนนี้หรอก ร่างเล็กพยายามรวมรวบสติทั้งหมดไปไว้ที่งานแม้ว่ามันจะทำได้ยากเต็มที แต่ก็เพราะความไว้ใจของบอยที่เห็นในฝีมือของเขามันก็ทำให้ปูนต้องพยายามสลัดเรื่องของรัตติกาลออกไปจากหัวจนเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงเย็นที่วันนี้ท้องฟ้ามันครึ้มผิดปกติ เด็กหนุ่มยืนมองท้องฟ้ากว้างที่มีเมฆสีดำก้อนใหญ่ลอยวนจนแทบมองไม่เห็นพระอาทิตย์ เขามองภาพนั้นพร้อมกับความกังวลใจที่แล่นขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
“จะเสร็จทันไหมเนี่ย...ไม่อยากให้ฝนตกเลย”
ปูนมองเวลาจากนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วรีบขนไวน์ล็อตสุดท้ายออกไปตามคำสั่งของบอยที่บอกเขาไว้ก่อนหน้า เขารีบทำงานทุกอย่างให้เรียบร้อยในขณะที่คนอื่นยังคงโอ้เอ้เพราะเห็นว่าอีกไม่นานฝนคงตกรีบไปก็เท่านั้น แต่ปูนยังมีความหวังที่อยากจะทำมันให้ทันแล้วรีบปรี่ไปหารัตติกาลที่รอเขาอยู่ในโรงแรมอีกแห่ง แต่ดูเหมือนเสียงฟ้าที่คำรามอยู่ด้านนอกจะดังเกินไป คนบนนั้นเลยไม่ได้ยินความปรารถนาของปูน
“น้องจะฝ่าไปจริงๆหรอ รอให้ฝนซาก่อนไหม”
วินมอเตอร์ไซค์คันที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้พูดกับปูนก่อนจะค่อยๆขับออกไปเพราะเห็นว่าการฝ่าพายุตอนนี้มันช่างไม่คุ้มกับค่าจ้างเอาเสียเลย ร่างเล็กมองรถที่เคลื่อนออกไปอย่างร้อนใจ เขานัดกับรัตติกาลไว้ประมานหนึ่งทุ่มแต่ตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกามันเดินไปเกือบถึงเลขสามแล้วปูนก็ยังคงติดแหง็กอยู่ที่เดิม
ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรืออะไรโรงแรมแห่งนี้ก็ออกจะใหญ่แต่ปูนกลับหาร่มธรรมดาๆสักอันไว้ใช้เดินฝ่าสายฝนไปไม่ได้ ปูนพยายามกดโทรศัพท์หารัตติกาลซ้ำๆแต่ยังไงคนปลายทางก็ไม่รับสายจนเขาทั้งกลัวและท้อไปหมด
“มึงยังไม่ไปอีกหรอวะ”
บอยที่เพิ่งสรุปงานเสร็จเดินมาถามปูนที่รีบวิ่งออกมาจากห้องแต่งตัวเป็นคนแรกหลังจากรับค่าตัวเรียบร้อย แต่กลับยังคงไปไม่พ้นประตูหลังของโรงแรมที่แม้แต่ยามก็ยังแอบไปนั่งหลบฝนอยู่ด้านใน ร่างเล็กหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังมามองบอยแล้วถอนหายใจออกมาอย่างคนหมดแรง
“จะไปยังไงล่ะฝนตกขนาดนี้ พวกวินก็ไม่ยอมพาไปส่ง”
“แล้วคนที่มึงมาด้วยล่ะ โทรบอกให้เขามารับสิ”
“พี่เขาไม่รับสาย...อาจจะไม่ได้ยิน”
ถึงพูดแก้ตัวไปแบบนั้นแต่ในหัวของปูนกลับคิดไปร้อยแปด คงไม่ใช่ว่าตอนนี้พี่กาลหนีกลับกรุงเทพไปก่อนแล้วนะ...พี่จะไม่ทิ้งผมไว้คนเดียวใช่ไหม
แต่ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้าง เพราะหลังจากนั้นแค่ครู่เดียวเสียงเตือนที่ปูนตั้งค่าไว้แค่เฉพาะข้อความของรัตติกาลก็ดังขึ้น เขารีบเลื่อนเปิดโทรศัพท์ของตัวเองด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่แล้วมันก็กลับเลือนหายไปแทบจะทันที...
‘พี่ต้องกลับกรุงเทพด่วน เดี๋ยวทิ้งรถไว้ให้ใช้’
‘ค่าโรงแรมปูนใช้เงินที่พี่ทิ้งไว้ให้เลยก็ได้’
‘หาข้าวกินด้วยล่ะ....ไม่ต้องรอพี่แล้ว’
ปูนรีบกดโทรศัพท์หารัตติกาลทันที แล้วพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ คราวนี้รัตติกาลไม่ปล่อยให้ปูนต้องรอนาน ร่างเล็กจึงกรอกเสียงสั่นๆของตัวเองลงไปโดยมีบอยที่พอจะเดาเหตุการณ์ได้ลางๆยืนมองอยู่ด้วย
“พี่กาลจะขับรถไปตอนนี้จริงๆหรอ”
เขาถามไปแบบนั้น ทั้งที่ความจริงอยากถามว่า ‘พี่กาลจะทิ้งผมไปอีกแล้วหรอ’ มากกว่าแต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้...
“อืม ไม่ต้องห่วง ถ้าถึงแล้วพี่จะโทรหา”
ปูนยอมรับว่าใจเขาไม่ได้เป็นห่วงสวัสดิภาพของรัตติกาลเลยสักนิด เพราะแรงบีบรัดในอกตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถคิดถึงความสุขของคนอื่นก่อนตัวเองได้ ปูนอยากตะโกนใส่รัตติกาลเป็นพันๆครั้ง ว่าช่วยมารับเขาตอนนี้เลยได้ไหม จะฝ่าพายุหรือลมฝนอะไรก็ได้ขอแค่อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวอีก...แต่สุดท้ายคนใจร้ายที่อ่อนโยนที่สุดของปูนก็ไม่เคยฟัง
“มารับปูนไปด้วยสิ...นะ ปูนทำงานเสร็จนานแล้วพี่กาลมารับปูนได้เลย”
“มันอันตรายนะ”
“อันตรายปูนก็ไม่สน...นะพี่กาล มารับปูนได้ไหม”
“...”
“...”
“พี่มีเพื่อนกลับไปด้วย ไม่ต้องห่วงพี่ไม่ฝืนขับกลับคนเดียวแน่”
“...!”
“เชื่อพี่นะ รออยู่ที่นี่แล้วตอนเช้าเราค่อยขับรถกลับ โอเคไหมครับ”
หลังจากนั้นปูนก็ไม่รู้ตัวเลยว่าได้เอ่ยปากบอกให้อีกฝ่ายขับรถดีๆไปด้วยน้ำเสียงแบบไหน กว่าจะเริ่มรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่บอยใช้หมวกกันน็อคสีดำสนิทมาเคาะเบาๆลงบนหัวของเขานั่นแหละ
“รถกูไม่มีหลังคา”
“พี่...”
“แต่อย่างน้อยมันก็พามึงไปส่งถึงที่ได้”
ไม่รอช้า ปูนรีบวิ่งตามบอยไปยังรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ เขาไม่สนแม้ว่าห่าฝนที่ตกลงมาจะทำให้เจ็บไปทั่วทั้งร่าง บวกกับความเร็วที่ร่างใหญ่ใช้ยิ่งทำให้เม็ดฝนเม็ดเล็กๆสามารถสร้างความเจ็บปวดให้เขาได้ไม่ต่างจากคมมีด แต่ก็เพราะมันนั่นแหละที่ทำให้บอยสามารถพาปูนมาถึงโรงแรมที่หมายได้ในเวลาอันสั้น
“ที่จอดรถไปทางนี้!!”
“ขอบคุณมากเลยพี่!! เดี๋ยวผมจะตอบแทนที่หลังนะ!!”
ฝนมันตกหนักมากจนพวกเขาต้องตะโกนคุยกัน แต่ปูนก็ไม่มีเวลามากพอที่จะแสดงความขอบคุณอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้ สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มทำได้คือรีบวิ่งไปตามเส้นทางที่บอยบอกแล้วพยายามมองหารถคันใหญ่ที่ควรจะมีเขาและรัตติกาลนั่งมันกลับไปกรุงเทพด้วยกัน
แต่พายุก็ยังโหดร้ายกับปูนวันยันค่ำ...
ในขณะที่ปูนกำลังมองหารัตติกาลอย่างเอาเป็นเอาตาย รถโฟล์คเก่าๆคันหนึ่งก็ขับผ่านหน้าเขาไปโดยความเร็วของมันทำให้น้ำซึ่งขังอยู่บนพื้นสาดเข้าที่ตัวของเด็กหนุ่มจนเปียกปอนไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ปูนตัวชาไม่ใช่ความสกปรกที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง...หากแต่เป็นคนสองคนที่นั่งอยู่ในนั้น
หนึ่งคือรัตติกาลที่เขารัก
และอีกคนชายที่ชื่อว่าอารัณย์ซึ่งกำลังพรากรัตติกาลจากเขาไป
ภาพของรถคนนั้นถูกลบหายไปด้วยสายฝนที่สัดสาด ทิ้งไว้แต่เพียงคำถามที่ปูนได้แต่ถามรัตติกาลซ้ำๆโดยที่คนใจร้ายคนนั้นไม่มีทางได้ยินมัน
พี่บอกผมว่าจะกลับกับเพื่อนไม่ใช่หรอ แล้วพี่เป็นเพื่อนกับคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...คนที่พี่บอกกับผมว่าเกลียดนักหนา ทำไมคนแบบนั้นถึงได้อยู่เคียงข้างพี่แทนที่จะเป็นเด็กดีอย่างผม
พี่กาลครับ...ผมทำอะไรผิด
ผมทำอะไรพลาดไปอย่างนั้นหรอ
ผมยังดีไม่พอสำหรับพี่อีกรึไง...
“พี่กาลโกหก”
.
.
.
.
.
.
.
“คุณครับ เป็นอะไรรึเปล่า”
“...”
คณิตที่ออกมาตรวจดูความเรียบร้อยรอบๆโรงแรมของตัวเองหลังจากที่ฝนเริ่มซาลงไปบ้างสะดุดตาเข้ากับร่างของใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งกำลังนั่งกอดเข่ามองปลายเท้าของตัวเองอยู่ด้านนอกโรงแรมที่ถึงแม้จะมีที่ร่ม แต่คนคนนี้กลับเลือกที่จะตากสายฝนซึ่งยังคงไหลลงมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย
ผิวกายซีดขาวทำให้เจ้าของสถานที่รู้สึกเป็นกังวล ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มานั่งตากฝนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาพยายามก้มลงเพื่อมองใบหน้าของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะท่านั่งอมทุกข์ที่เจ้าตัวแสดงออกมาทำให้คณิตเห็นเพียงเสื้อผ้าที่สกปรกไปหมด จนไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายใต้ร่างกายที่แปดเปื้อนไปด้วยโคลนนี้มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้โดยไม่มีแม้แต่น้ำตาให้ไหล
“ไหวไหม อยากได้อะไรรึเปล่า”
“...”
“รับนี่ไป...แล้วก็ลุกขึ้นซะ ผมไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมาแต่เชื่อผมเถอะว่าต่อให้คุณนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป อะไรๆก็คงไม่ดีขึ้น”
“...”
“ระวังอย่าให้ตัวเองป่วยล่ะ ผมไปนะ”
เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนจากไปพร้อมกับสายฝนที่หยุดลงแทบจะทันที ปูนที่ยังไม่อาจรวบรวมจิตใจที่แตกสลายให้กลับมาแข็งแกร่งดั่งเดิมได้เงยหน้าขึ้นมองหาแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า แต่ทันทีที่เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ปูนก็พบว่าเมฆหนาที่นำพาสายฝนมาสู่ชีวิตของเขามันหายไปแล้ว
“สีเหลือง...”
ร่มคันโตสีเหลืองถูกกางอยู่เหนือหัวของปูนพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าและขนมปังลูกเกดก้อนหนึ่งที่ถูกวางไว้ข้างๆกัน ปูนมองสิ่งของเหล่านั้นด้วยดวงตาที่พร่าเลือนและความรู้สึกที่ถาโถมเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำพูดได้
แม้ว่าฝนภายนอกจะกันไว้โดยร่มคันนี้
แต่ตอนนี้น้ำฝนในตาของปูนกลับรินไหลด้วยความอัดอั้น
“ขอบคุณครับ”
ปูนพูดกับสายฝนที่กำลังไหลผ่านดวงตาของเขาเอง
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ก่อนอื่น ขอโทษแรงๆคับที่หายไปนานเลย :hao5: เช่กำลังผจญกับ Hell weak ของนิสิตปี3 อยู่ จู่ๆก็ต้องทำวิจัยสองเรื่องให้เสร็จภายใจเดือนกุมภาเพราะต้องลงไป try out กับเด็กมัธยมที่จะปิดเทอมกันแล้ว กรีดร้องหนักมากกกกกกกกกกกกกกกกกก :sad4:นรกของเช่มาตกอยู่ในเดือนหน้าหมดเลย ฮืออออออออออออ ไหนจะปิดรอบพี่กาลอีก โอ้ยยยยยยย ปวดตับๆๆๆๆๆๆๆๆ :o12:
ด้วยเพราะเหตุนี้ เช่อาจจะหายไปสักพักนะคับ อาจจะไม่ได้หายไปเลย แต่จะพยายามมาต่ออย่างน้อยอาทิตย์ละตอน ใช้คำว่าพยายามนะ ไม่รู้ว่าเช่จะทำได้ไหม หรือไม่เช่อาจจะต้องมาอัพเป็นเปอร์เซ็นเอา ขอโทษจริงๆนะคับ ขอให้เช่ผ่านวิกฤตไปก่อนนะ มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆที่อาจารย์เพิ่งมาบอกเช่เหมือนกัน อยากกระโดดงับหัวเบ็ตตี้มาก (ชื่อที่ใช้เรียกอาจารย์ เด็กๆอย่างเอาเป็นตัวอย่างนะคับ!) เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลอีกเชื่อดิ :เฮ้อ:
ส่วนตอนนี้ เช่ไม่อยากเรียกมันว่าตอนพิเศษเท่าไหร่คับ มันเหมือนเป็นตอนเติมเต็มเรื่องหลัก เป็นส่วนหนึ่งของทามไลน์ที่หายไปมากกว่า ถ้าคนอ่านไนท์แมร์จะรู้ว่าจะมีอยู่ตอนนึงที่พี่กาลพาปูนมาทำงานแต่สุดท้ายดันกลับกรุงเทพไปกับอารัณย์(พระเอกเรื่องนั้น) ในไนท์แมร์ ปูนจะดูเป็นเด็กแสนดี(หราาาาาาาาาา :hao7:) คือยอมพี่กาลไปหมด อะไรก็ได้ๆ แต่จริงๆแล้วที่น้องทำแบบนั้นก็เพราะรู้ดีว่าพี่กาลต้องการอะไร ปูนไม่ได้ใจกว้างหรอก แต่แค่ความต้องการมันบังคับ จนเป็นที่มาของการพบกันครั้งแรกของป๋าปูนที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ สำหรับปูนนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้น้องยอมเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยการร้องไห้จากตอนแรกที่ฝืนไว้ตลอด ส่วนป๋าก็อบอุ่นมากกกกกกก (แต่เรื่องหลักยังไม่ได้เคลียร์นะคับเฮีย) ใจดีกับน้องตั้งแต่ยังไม่รู้จักกัน ส่วนต่อไปทั้งคู่จะรู้อดีตส่วนนี้กันหรือไม่นั่น ติดตามกันต่อไปนะคับ :katai5:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยคับ ตอนนี้อาจจะสั้นบ้างและค้างกันต่อกับเรื่องหลักเหมือนเดิม แต่รอกันหน่อยนะคับ อยากแต่งต่อให้มาก แต่ภารกิจไม่อำนวยจริงๆ สัญญาว่าถ้าพอว่างเมื่อไหร่จะกลับมา
ส่วนหนังสือพี่กาล ใกล้วันปิดโอนแล้วนะคับ เหลืออีกแค่ 5 วันเท่านั้น ใครจองแล้วยังไม่โอนรีบๆนะคับ ส่วนใครยังไม่ได้จองและโอนก็เร่กันเข้ามา ระวังพลาดนะๆ (แอบบอกว่าในตอนพิเศษที่ไม่ลงในเว็บมีป๋าปูนนิดนึง เน้น! นิดนึง5555)
-
ตอบเม้นต์กันน้าาาาาา
Toho48 >>>> พี่บอยบอก ผมไม่ได้มาเล่นนะครับ 55555 :hao7:
liza sarin >>>> โหดถึงใจน้องพลัสดีนะคับ ฮี่ๆ
kunt >>>> บังคับขาย แถมเป็นขายขาดด้วยนะ
sweetbasil >>>> ระวังน้องปูนมองแรงนะคับ :katai1:
Smirnoff >>>> เช่ตบด้วย :beat: :beat:
ลมเพลมพัด >>>> รอก่อนนะๆ เดี๋ยวเช่จัดคู่นี้ให้แซ่บๆเลย :hao6:
นอนกินแรง >>>> น่าจะไม่กล้าแล้วมั้งคับ มั้ง.... 555555
kanomjeeb >>>> ฮันแน่ รู้นะว่าชอบ
cheyp >>>> เดี๋ยวป๋าต้องเจอน้องเวอร์ชั่นโหดบ้างคับ! อย่าให้เขาว่าเอาได้ว่าเป็นเบี้ยงล่าง!
Cc-kun >>>> โผล่มาในตอนเสริมก่อนแล้วกันนะ น้ำจิ้มๆ o13
FOUR EYES >>>> เด็ดตอนแรกก็ช้ำล่ะคับบบบบ :hao7:
lovenadd >>>> เอาตอนเสริมมาตอกย้ำความใจร้ายของพี่กาลนิดหน่อยคับ :heaven
lnudeel >>>> น้องขี้งอนนิดเดียวเอง :hao3:
Snowermyhae >>>> เช่ก็ทีมปูนคับ พลัสถึงกับน้อยใจ 55555 :z1:
-
จิ้ม :z13:
ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอค่ะ
แต่นั่น! นั่น ! นั่นมันนนน .. แฮร่ :laugh:
ขอบคุณค่ายังไงก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2: :L2:
-
ตาฝาดป่ะเนี่ย เช่อัพแล้วๆๆๆๆๆๆ :ling3:
-
อ่านแล้วเกลียดตากาลทันไหมเนี่ย (รักไปแล้วอะ)
คือมีอะไรทำไมไม่บอกกันตรงๆ อยากทิ้งก็ทำตามใจตลอด
ดีนะที่ป๋ามาเจอน้อง ไม่งั้นคงนั่งงงอยู่อย่างนั้น :mew6::mew6:
เรื่องเรียนสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้
-
บอยก็เป็นคนดีเหมือนกันนี่นา o13
-
น้ำตาซึม
-
แตกที่ 17
…สิ่งที่ยังไม่เกิด...
“เธออยู่ที่ไหนปูน...เดี๋ยวพี่ไปหา”
“เรียกว่าพี่นิดสิ”
“...”
“พี่เองก็เบื่อเหมือนกัน อย่างชิ่งจะแย่แล้วเนี่ย"
ปูนไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นคนมีความอดทนสูงเหมือนกัน เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางยืนฟังสองคนนั้นพูดคุยกันด้วยสรรพนามที่ทำเอาดวงตาของปูนพร่าเลือนขึ้นมาชั่วขณะได้ หลังจากทำตัวเป็นน้องที่ดีให้คำแนะนำอะไรบางอย่างกับบอยไปปูนก็รีบเดินกลับมาหาคนที่ถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลังแต่กลายเป็นว่าฝ่ายนั้นกลับมีเพื่อนคุยคนใหม่ซะแล้ว...แถมดูท่าจะถูกปากกันพอควร
ดวงตาของเราทั้งคู่สบกัน...คณิตเห็นเขานะไม่ใช่ไม่เห็น แต่เพราะความเป็นคนดีที่มีอยู่มากมายในตัวเลยทำให้ป๋าเลือกที่จะยืนอยู่ข้างพลัสที่กำลังโดนรังแกมากกว่าคนที่ไม่เป็นอะไรเลยอย่างเขา
ให้ตายสิ สถานการณ์แบบนี้มันคุ้นชะมัด...
“ช่วยปล่อยแขนนั่นก่อนจะได้ไหม น้องเขาเจ็บ”
คณิตพูดขึ้นพร้อมกับจ้องบอยกลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเลยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคนที่ตัวเองกำลังออกโรงปกป้องอยู่นั้นมองมายังปูนด้วยสายตาแบบไหน โดยปูนที่เห็นทุกอย่างกลับยกยิ้มราวกับว่าความวุ่นวายตรงหน้าเป็นเรื่องตลก
ตลกจริงๆ...โดยเฉพาะความรู้สึกของเขาเอง
ปูนก้าวถอยออกมาโดยไม่คิดจะหันกลับไปมอง อารมณ์ที่ขุ่นมัวตั้งแต่ตอนที่บอยบอกเขาว่าไอ้ขี้เสือกนั่นมันรู้อะไรบ้างก็ทำเอาปูนปวดหัวจะแย่แล้ว ยิ่งต้องมาเห็นว่าคณิตกำลังปกป้องคนที่สร้างความไม่สบายใจให้กับเขาได้อย่างร้ายกาจก็ไม่ใช่เรื่องที่ปูนจะทนยืนดูต่อไปได้
อยากบอกป๋าว่าเลิกปกป้องมันซะ มันกำลังทำไม่ดีกับผมนะ...
แต่มันก็พูดไม่ได้ เขาเลยต้องอึดอัดแบบนี้...
“ทำไมอยู่คนเดียว คณิตไปไหนซะล่ะ”
เสียงของชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจทำให้ช่วงขาที่ยาวไม่มากของปูนหยุดอยู่กับที่ เมษาที่เพิ่งรินไวน์ที่เหลือเพียงก้นแก้วเข้าปากไปเอ่ยทักปูนอีกครั้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่เดาทางอะไรไม่ได้อย่างเคย
“คุยกับคนอื่นอยู่ทางนั้นน่ะครับ”
“อ้าวหรอ แล้วเดี๋ยวมันจะมาทางนี้รึเปล่า”
“...ไม่รู้สิครับ”
ปูนนิ่งไปก่อนจะตอบโดยที่ไม่หลงเหลือความมั่นใจจนเมษาลองเอ่ยถาม
“เป็นอะไรไป ดูไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อกี้เลยนะ”
“เปล่านี่ครับ ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ”
พอโดนจี้เข้ามากๆปูนก็เผลอทำตัวไม่มีสัมมาคารวะใส่ทั้งๆที่อีกฝ่ายเป็นเจ้านาย แต่ดูเหมือนว่าเมษาจะไม่ถือสามันออกจะชอบเสียด้วยซ้ำจนคนที่ดูเงียบขรึมตลอดหัวเราะออกมาผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดโดยรอบ
“ฮ่าๆ โอเค ฉันจะจำไว้แล้วกันว่าเธอเป็นคนแบบนี้”
เมษาว่าแล้วหันไปหยิบไวน์มาอีกสองแก้วโดยที่หนึ่งในนั้นถูกยื่นมาให้ปูนซึ่งรับมันมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ร่างเล็กมองของเหลวสีแดงก่ำในมือของตัวเองก่อนจะสบตากับคนที่ยกมันให้เขาอีกครั้ง ซึ่งเมษาก็ยิ้มให้แล้วลิ้มรสไวน์อีกแก้วเหมือนเป็นการบอกให้ปูนทำบ้าง แต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ทำตาม เครื่องดื่มราคาแพงนั้นก็โดนชิงไปซะก่อน
“อ้าว คุยธุระเสร็จแล้วหรอวะ”
เมษาไม่ได้พูดประชดใคร แต่พอคณิตได้ฟังกลับรู้สึกเหมือนโดนเสียดสีเล็กๆ แต่ที่เป็นอย่างนั้นอาจจะเป็นเพราะใบหน้าง้ำงอของปูนที่หันหนีไปแทบจะทันทีที่ได้เห็นว่าคนที่เข้ามาขัดจังหวะคือใคร
“เออ แล้วมึงล่ะมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไหนบอกว่าจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวก่อนไง”
“คุยเสร็จแล้ว เรื่องดินน่ะ”
คณิตพยักหน้ารับโดยที่มือก็คว้าเข้าที่แขนของคนที่ทำท่าจะเดินหนีไปอีกแล้ว ปูนสะบัดหน้าหันมามองร่างสูงอย่างไม่พอใจแต่คณิตกลับยังรักษาท่าทางได้ดีเพราะเห็นสายตาของเมษาที่กำลังลอบสังเกตเขาทั้งคู่ด้วยความสนใจ
“จะเปิดสาขาใหม่อีกหรอวะ”
“อืม อยากทำที่สัตหีบน่ะ แต่ติดเรื่องทหารเลยต้องให้ผู้ใหญ่เข้าไปคุยให้ มึงไม่สนใจบ้างรึไง”
“ไม่ล่ะ กูขี้เกียจ”
เมษาหัวเราะออกมาเพราะคำตอบของเพื่อนไม่ผิดจากที่คาดไว้ แต่ก็ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นหรอกที่ทำให้เขาขำ แต่เป็นเพราะฉากขัดขืนเล็กๆที่เขากำลังยืนดูอยู่นี่ต่างหากที่กระตุ้นความสงสัยได้ดีจริงๆ
“มึงคบกันแล้วหรอวะ”
คำถามของเมษาหยุดทั้งปูนและคณิตได้แทบจะทันที เด็กหนุ่มทำหน้าเลิกลั่ก ในขณะที่ร่างสูงนิ่งไปก่อนจะหันมาสบตากับเพื่อนตรงๆ
“ยัง”
“ยัง...แสดงว่ามีโอกาส เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้นมึงคงปฏิเสธชัดๆไปแล้ว”
ภายในใจคณิตกำลังเบ้ปากใส่คนที่รู้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรักษาอาการไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าคำถามที่เมษาถามมันจะนำมาสู่อะไร
“ผมไปได้รึยัง”
ปูนที่คิดว่าตัวเองทนอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้มานานเกินพอเอ่ยถาม พอดีกับจังหวะที่คณิตกำลังจ้องตากับเมษาอยู่เขาเลยชักมือของตัวเองกลับคืนมาได้ เมษายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจผิดกับคนซึ่งยืนข้างๆปูนที่หันมาให้ความสนใจกับร่างเล็กอีกครั้ง
“ไปได้...แต่ต้องไปด้วยกัน”
“...”
“ฉันมีเรื่องจะถาม”
น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงการขอร้องเจือปนอยู่ในนั้นจนใจที่ขุ่นมัวอยู่อ่อนยวบลงนิดหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับกลายมาเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ปูนแย่งแก้วไวน์ที่คณิตแย่งเขาไปเมื่อครู่กลับมาถือไว้แล้วดื่มมันโดยมีสายตาของทั้งคู่มองมาหนึ่งคือเมษาที่หัวเราะอย่างถูกใจและคณิตที่เหมือนหยิบเอาอารมณ์เสียๆของปูนมาถือไว้แทน
“ขอบคุณมากนะครับคุณเมษา ไว้คราวหน้าผมจะหาโอกาสทำเครื่องดื่มดีๆให้คุณบ้าง อร่อยกว่าไวน์นี่อีก...รับรองเลย”
ปูนไม่ได้ตั้งใจจะยั่วใคร หากแต่จริตที่มีติดตัวอยู่มากทำให้ร่างเล็กพูดอ่อนเมษาไปแบบนั้น เขาวางแก้วไวน์ที่บัดนี้ว่างเปล่าลงบนโต๊ะใกล้ๆแล้วเดินออกไปโดนมีร่างของคณิตเดิมตาม คนตัวโตบอกให้เขาหยุดแต่ปูนก็ไม่ฟัง จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงสระน้ำด้านนอกที่บัดนี้ไร้ผู้คน
“ยอมหยุดได้แล้วรึไง”
คณิตเอ่ยทนทีที่ปูนหยุดเดินแต่ก็ยังไม่ยอมหันกลับมามองหน้าเขา ที่ตรงนี้ไม่มีอะไรและไม่มีใครอื่นควรจะให้ความสนใจแต่เด็กหนุ่มที่มักจะมาคลอเคลียกลับยืนเฉยแล้วหันไปมองผืนน้ำนิ่งๆไม่แม้แต่จะตอบคำถามนั้น คณิตรู้ว่าปูนงอนแต่ไม่รู้ว่างอนเรื่องอะไร...จะบอกว่าเป็นเพราะเขาไปคุยกับเด็กคนนั้นงั้นหรอ
“ฉันแค่คุยกับเขาเฉยๆเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเกินเลยแบบที่เธอคิด”
“...”
“ฉันไม่ได้แก้ตัว แค่ไม่ชอบความเข้าใจผิดที่ทำให้เธอไม่ยอมมองหน้าฉัน”
คณิตยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของปูนเบาๆก่อนจะออกแรงดันมันให้หันมันหันมาตรงกันเพื่อสบเข้ากับดวงตากลมๆที่วูบไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ออกฤทธิ์กับหัวใจที่คนตัวโตสร้างขึ้น
“ไม่ชอบใจอะไรก็บอก เธอทำมันมาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
คณิตไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย แต่การยอมทำตามใจปูนในบางครั้งถือเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เขารู้สึกดีอยู่เหมือนกัน คนตัวเล็กเม้มปากของตัวเองน้อยๆเหมือนกับเด็กๆเวลาลังเลที่จะพูด แต่พอคณิตใช้นิ้วเกลี่ยไปตามผิวแก้มของเขาเบาๆ คนที่อมพะนำไว้ก็ยอมเอ่ยมันออกมา
“ใจดีเกินไปแล้ว...”
“หื้อ?”
“ป๋าน่ะ...ใจดีกับผมคนเดียวก็พอ”
ปูนคว้าชายเสื้อสูทแบบเดียวกับของตัวเองมาจับไว้แล้วออกแรงกระตุกมันเบาๆทั้งที่นัยน์ตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ผู้เป็นเจ้าของ
“อยากให้พี่นิดใจดีกับน้องคนเดียว...ได้รึเปล่าครับ”
นอกจากจะสั่นไหวหัวใจของคณิตได้...คำพูดของปูนก็อธิบายถึงสาเหตุที่ร่างเล็กไม่พอใจได้เป็นอย่างดี คณิตหลุดยิ้มเท่ๆอย่างถูกใจทั้งใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อและดวงตาออดอ้อนที่แฝงไปด้วยความเอาแต่ใจคู่นั้น ปูนไม่ได้ร้องขออยู่หรอก...มันเป็นการออกคำสั่งต่างหาก
“จะว่าได้มันก็ได้ แต่จะว่าไม่ได้ก็ไม่ได้”
“...”
“ปูนคิดว่าความใจดีที่พี่ทำให้คนอื่นมันเหมือนกับที่พี่ทำให้ปูนรึไง”
ร้ายกาจ...ทั้งคำพูดที่เป็นการบอกปัดกลายๆและกริยาที่คณิตก้มตัวลงมากระซิบบอกปูนข้างๆหูนี่อีก ความหมางใจถูกลบหายไปจนหมด ปูนหัวเราะน้อยๆแล้วคว้าคอคนที่นานๆทีจะอ่อยเขาบ้างมากอดไว้จนเต็มแรง เท้าของปูนลอยสูงจากพื้นทันทีที่คณิตออกแรงยกคนที่ตัวเล็กกว่ามากมากอดไว้ ปูนร้องเสียงหลงเพราะกลัวตกแต่คณิตก็ไม่คิดจะคลายอ้อมแขนนี้ลง เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังก้องไปทั่วทั้งสระที่มีแต่พวกเขาอยู่เพียงลำพัง
ที่ตรงนี้ไม่มีอะไรและไม่มีใครที่พวกเขาควรให้ความสนใจ
เพราะฉะนั้นมันคงไม่เป็นไร ถ้าเขาจะทำอะไรที่เอาแต่ใจตัวเองดูบ้าง
คณิตคิดแบบนั้น...ก่อนจะจับปูนมาจูบเบาๆ
:กอด1:( มีต่อเม้นต์ล่าง) :กอด1:
-
บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักผ่านพ้นไปเหลือไว้เพียงกองผ้ามหาศาลไว้ให้ดูต่างหน้า แม้ว่าจะอยากกลับไปพักแค่ไหนแต่ทันทีที่งานแต่งงานนั้นจบลงคณิตก็ต้องกลับเข้าช่วยดูแลกำกับลูกน้องให้เคลียร์สถานที่ให้กลับมาอยู่ในสภาพเรียบร้อยดังเดิมให้เร็วที่สุด เสื้อสูทสีเข้มถูกปลดออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่อยู่ด้านในเท่านั้นแม้แต่ปูนที่อยู่ในสภาพเดียวกันก็ช่วยพนักงานคนอื่นหยิบจับอะไรบ้างเท่าที่เขาจะทำได้โดยที่ในหัวก็ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องที่สระน้ำเมื่อครู่
“ปูน เสร็จแล้วไปกินบะหมี่เกี๊ยวกันไหม”
พี่พนักงานผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาชวนปูนที่กำลังใส่ผ้าจัดดอกไม้ผืนสุดท้ายลงในถุงเพื่อส่งซัก
“ใครไปบ้างอะพี่”
“ก็ไปกันหมดนี่เลย พวกหัวหน้าบางคนก็ไป”
ปูนลังเล เพราะของจากบุฟเฟต์ที่กินไปตอนหัวค่ำมันไม่คณาท้องเขาเท่าไหร่เลย บวกกับต้องมาลงแรงทำงานเลิกท้องน้อยๆของปูนก็เริ่มร้องอีกแล้ว
“เอาไง หรือต้องไปขอคุณคณิตก่อน”
ร่างเล็กทำหน้าตกใจในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มขำ หญิงสาวเขยิบเข้ามาใกล้แล้วพูดกับปูนด้วยเสียงที่คิดว่าเบาที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสังเกตเห็นคนอื่นแอบทำตาโตหูผึงรอฟังคำตอบอยู่เหมือนกัน
“ว่าไง ต้องขอก่อนไหม”
“...ขะ เขออะไรล่ะพี่ ไม่เห็นต้องขอเลย”
“ต้องขอสิ ก็ปูนเป็นแฟนคุณคณิตไม่ใช่หรอ”
“...!”
“ตัวติดกันตลอด เสื้อก็ใส่เหมือนๆกัน แถมท่าทางพวกนั้นอีก ถ้าบอกว่าไม่ใช่แฟนนี่พี่กับไอ้อ๊อดก็เพื่อนกันแล้ว”
ไอ้อ๊อดที่ว่าก็ผัวพี่แกนั่นแหละ...มันเป็นคำพูดประชดที่มีความนัยว่าในสายตาของคนอื่นเขากับร่างสูงไม่ต่างจากคนที่มีใจให้กันเลยสักนิด...ก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่ามีใจให้ แต่พวกเขาสองคนต่างก็รู้ดีว่าสถานะที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไรและฉาบฉวยแค่ไหน ปูนเลยยิ้มแกนๆให้อีกฝ่ายไป
“ฮ่าๆ ผมเป็นผู้ชายนะพี่”
“ผู้ชายแล้วไงล่ะ ไม่เห็นไปไรเลย ปูนกับคุณคณิตอยู่ด้วยกันแล้วน่ารักดีออก ใช่ไหมพวกแก”
“ใช่!”
คุยกันอยู่แค่สองคนแต่พอถามหาเสียงร่วมกลับมาคนช่วยตอบกันให้เพียบ พี่หลายๆคนเดินมาบนหลังปูนเบาๆแล้วแกล้งพูดแซวให้อายเล่น บางคนก็ไม่พูดอะไรแต่ก็ส่งมายิ้มมาให้ ส่วนคนที่ไม่ชอบก็ก้มหน้าทำงานของตัวเองไปไม่ออกความคิดเห็น ปูนยิ้มออกมาให้กับผู้คนที่นี่ที่ให้การต้อนรับเขาอย่างดีแบบที่ครั้งหนึ่งปูนเคยได้รับมัน...เมื่อนานมาแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่ ทำงานเสร็จแล้วรึไง”
คณิตที่เดินเช็คความเรียบร้อยโดยรอบเดินมาทางกลุ่มที่ร่างเล็กนั่งอยู่ด้วยเมื่อได้ยินเสียงคุยที่ดังผิดปกติ พอเจ้านายใหญ่ของที่นี่เดินมาถึง พวกที่รุมล้อมปูนอยู่ก็แตกฮือออกเหลือไว้เพียงพนักงานใจกล้าเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่ที่เดิมแถมหันไปส่งยิ้มล้อๆให้คณิตอีกต่างหาก
“กำลังชวนปูนไปกินบะหมี่เกี๊ยวด้วยกันอยู่ค่ะ สนใจไหมคะคุณคณิต”
พนักงานคนหนึ่งพูดขึ้นจนทำให้คนที่เหลือพูดเซ้าเพื่อขอให้คณิตตอบตกลง ร่างสูงที่ยังงงๆหันมาหาปูนเพื่อขอให้อธิบาย แต่คนตัวเล็กก็ทำเพียงหัวเราะแล้วเออออห่อหมกไปตามสถานการณ์เท่านั้น
“งานยังไม่เสร็จเลย คิดถึงเรื่องกินแล้วหรอ”
“อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ ไปนะคะ น้องปูนเขาบ่นว่าอยากกินมาก”
คนที่ถูกสมอ้างชื่อทำหน้าเหรอหรา แต่พอเห็นสายตาของผู้คนที่มองมาอย่างขอร้องก็ไม่กล้าปฏิเสธไปเพราะกลัวจะทำให้ผิดหวังกัน ส่วนคณิตก็ถามปูนย้ำว่าคำพูดนั้นเป็นจริงไหม จนกลายเป็นว่าการยกโขยงไปกินบะหมี่หลังเลิกงานนี้กลายมาเป็นการตัดสินใจของปูนเพียงคนเดียวจนได้
“เออ คือ...”
“...”
“ทำงานเยอะๆมันก็เลยหิว...หาอะไรกินก่อนนอนสักหน่อยก็ดีนะ”
ว่าแล้วก็ช้อนตามองอีกทีจนคนรอบข้างเก็บไปหัวเราะคิกคักกันอย่างชอบใจ คณิตสบตากับคนที่ถึงแม้ไม่ขอมาตรงๆเพราะไม่อยากทำอะไรให้มันชัดเจนจนพนักงานเอาไปพูดให้เสียหายกันได้โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นไม่ใช่ปัญหา หากแต่เป็นสายตาและท่าทางของปูนต่างหากที่มันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ไปกันเยอะไหม”
คณิตหันไปถามพนักงานคนเดิมแทนที่จะเป็นปูนที่ยังใช้ตากลมๆมองมา
“ก็หลายคนอยู่ค่ะ มีแต่พวกที่ต้องอยู่เวรเลยไม่ได้ไป”
“เฮ้อ...งั้นรีบทำงานให้เสร็จ รับทิป แล้วไปเจอกันที่ร้าน จ่ายกันเองนะงานนี้ ไม่เลี้ยงนะบอกไว้ก่อนเลย”
ทันทีที่คณิตพูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงเฮลั่น แม้แต่ปูนก็พลอยยิ้มกับคนอื่นไปด้วย พวกเขาช่วยกันเร่งมือจนกองผ้าขนาดใหญ่ค่อยๆหายไปจนห้องกว้างที่เคยเต็มไปด้วยของประดับตกแต่งกลับมาอยู่ในสภาพโล่งว่างอีกครั้ง ปูนส่งข้อความไปหาคณิตว่าเขาจะซ้อนมอเตอร์ไซด์พี่พนักงานคนหนึ่งไปไม่ติดรถไปด้วยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียใจน้ำที่ชวนเขา คณิตก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากเอ่ยย้ำให้ปูนเอาเสื้อสูทมาสวมทับไปด้วยเพราะกลัวจะหนาว รวมถึงเรื่องสวมหมวกกันน็อคที่ยืนยันเด็ดขาดว่าปูนต้องใส่
ปูนยิ้มให้กับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านร่างกายของเขาโดยไม่คิดจะเปิดอ่านข้อความของบอยที่เพิ่งส่งมาเพราะไม่อยากให้อารมณ์ดีๆเสียไป ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึงร้านบะหมี่ข้างทางที่มีโต๊ะต่อยาวไปจนเกือบสุดทางฟุตบาท นอกจากบะหมี่แล้วก็ยังมีของกินอย่างอื่นอีกมาก ทั้งโจ้ก อาหารตามสั่ง ยำหรือแม้แต่ส้มตำก็ยังมีขายโดยที่ลูกค้าส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวและคนที่เลิกงานดึกอย่างพวกเขานี่แหละ
“ปูนกินอะไรดี สั่งเลยๆไม่ต้องรอคุณคณิตหรอก”
ปูนลังเลในตอนแรกแต่ก็ยอมทำตามนั้นเพราะเห็นว่าพวกเขามากันก็หลายคนต่อให้สั่งก่อนก็ใช่ว่าจะได้กินทันที ปูนสั่งบะหมี่เกี๊ยวพิเศษสำหรับส่วนของตัวเองแต่ก็ไม่วายส่งข้อความไปถามคณิตที่ยังมาไม่ถึงว่าจะกินอะไรเขาจะได้สั่งให้ก่อนล่วงหน้า
“บะหมี่แห้ง เกี๊ยวน้ำพิเศษหมูแดง แล้วก็ โจ้กหมูใส่ไข่...กินเยอะชะมัด ไปหิวมาจากไหนเนี่ย”
ร่างเล็กอ่านสิ่งที่คณิตบอกมาอย่างอึ้งๆก่อนจะเดินไปสั่งตามนั้น เป็นอย่างที่ปูนคาด เขาต้องนั่งรอพักใหญ่ก่อนของที่ตัวเองสั่งทั้งหมดจะถูกลำเลียงมาไว้ที่โต๊ะแต่ปูนก็ยังไม่ลงมือทานเพราะอยากรอคนที่กำลังจะมาถึงมากกว่า พนักงานคนอื่นพอเห็นแบบนั้นก็เอ่ยแซวปูนกันใหญ่ ปูนก็ยิ้มๆตอบไปแต่ก็ไม่เคยให้ความชัดเจนกับคำตอบที่ว่าเขากับคณิตเป็นอะไรกัน
“นั่นไง พูดถึงก็มาพอดีเลย”
เสียงของพี่คนหนึ่งพูดขึ้นก่อนที่คณิตจะเดินเข้ามาพร้อมกับใครคนหนึ่งที่เดินตามหลัง ปูนที่นั่งอยู่ในท่าสบายเผลอเหยียดหลังตั้งตรงเมื่อเห็นใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับชายหนุ่มที่เขาเสน่หากำลังส่งยิ้มและพูดคุยกับพนักงานทุกคนแม้แต่ปูนก็พลอยถูกทักไปด้วย
“ขอบคุณนะคะที่สั่งให้ก่อน ดีจัง มาถึงก็ได้กินเลย”
“คะ ครับ”
ร่างเล็กพูดก่อนจะเหลือบหันไปมองคณิตที่กำลังลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาหวังจะนั่งใกล้ๆเขา แต่มันก็ไม่ไวพอเพราะน้องสาวที่ตัวเล็กกว่ามากกลับแทรกตัวเข้ามาแล้วแย่งเก้าอี้ตัวที่ว่ารวมถึงที่นั่งข้างๆปูนมาเป็นของเธอแทน
“พี่นิดนั่งฝั่งนั้นนะ มันโดนควันหม้อก๋วยเตี๋ยวอ่ะ หน่อยร้อน”
หน่อยหันไปพูดกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเอาแต่ใจเล็กๆโดยไม่คิดจะฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้น คณิตพยักหน้ารับหน้าอย่างงงๆในขณะที่ปูนทำตาโตด้วยความเอ๋อหนัก จริงอยู่ที่หญิงสาวไม่ได้มีเขี้ยวยาวๆหรือหางงอก แต่ดวงตาเล็กๆที่ราวกับจะมองทะลุเข้าไปในตัวเขาตลอดเวลาทำให้ปูนรู้สึกรับมือไม่ถูกซะเลย
เกี๊ยวน้ำพิเศษหมูแดงถูกเลื่อนมาตรงหน้าหน่อย ในขณะที่บะหมี่และโจ้กเป็นส่วนของคณิตที่ดูท่าจะหิวโซไม่น้อยเพราะพอจับช้อนจับตะเกียบได้ก็ซัดเอาๆไม่หันมาสนใจปูนที่วางตัวไม่ถูกเลยสักนิด
“ใส่พริกเยอะขนาดนั้นไม่เผ็ดหรอคะ”
มือที่กำลังคีบเกี๊ยวเข้าปากชะงักไปเมื่อคนข้างๆทักเขาเรื่องน้ำซุปที่ถูกปรุงจนเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋ ต่างจากของหน่อยที่เติมน้ำตาลอีกครึ่งช้อนก็กินเลย
“ก็...เผ็ดครับ แต่ผมชอบ”
“หรอคะ ขอลองชิมหน่อยได้ไหมคะ ดูท่ากินดี”
คราวนี้ปูนเกือบจะทำช้อนหลุดมือ เพราะใบหน้านิ่งๆที่หน่อยใช้พูดกับเขามันช่างขัดกับความนัยมันเหลือเกิน ก็พวกเขา...ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
“เอ่อ...จะดีหรอครับ”
“ดีสิคะ อยากลองชิมมานานแล้วแต่ปกติที่บ้านไม่ค่อยทานเผ็ดกัน ยิ่งหน่อยเป็นโรคกระเพาะด้วยเลยโดนพี่นิดห้ามมาตลอดเลย”
ปูนหันไปมองคนที่ถูกอ้างชื่อซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่พวกเขาอยู่ ร่างสูงหันไปหาน้องสาวแล้วทำหน้าเหมือนกับจะพูดประมานว่า ‘ถ้าอยากหาเรื่องปวดท้องก็ลองดู’ แล้วกลับไปให้ความสนใจกับโจ้กของตัวเองต่อเพราะบะหมี่แห้งชามใหญ่ถูกจัดการไปหมดแล้ว
“นะคะ ขอชิมหน่อย”
“ก็ได้ครับ...แต่นิดเดียวนะเดี๋ยวกินไม่ไหว”
ปูนยอมเลื่อนชามไปใกล้ทางนั้นเมื่อหน่อยพยักหน้ารับ เธอใช้ช้อนของตัวเองตักน้ำซุปสีแดงขึ้นมาพอติดปลายช้อนแล้วเอาเข้าปากไปโดยมีสายตาของปูนที่มองตามอย่างลุ้นระทึก แต่ยังไม่ทันที่ปูนจะถอนหายใจสุดลำใบหน้าขาวๆแบบคนจีนก็ขึ้นสีแดงแทบจะทันที
“เผ็ดอ่ะ เผ็ดๆๆๆๆ”
“น้ำ! ป๋าเอาน้ำมาหน่อย!!”
ด้วยความลืมตัวปูนเผลอเรียกคณิตด้วยสรรพนามที่เขาชอบใช้แล้วคว้าเอาแก้วน้ำที่อีกฝ่ายยื่นมาให้หญิงสาวที่นั่งหน้าแดงปากเจ๋ออยู่ข้างๆ หน่อยรับน้ำไปดื่มทีเดียวจนหมดแก้ว ก่อนที่ทั้งเธอและปูนจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆกันด้วยความโล่งอกอย่างกับเพิ่งไปทำอะไรเสี่ยงตายมา ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วเสียงหัวเราะใสๆของทั้งสองคนจะดังขึ้นท่ามกลางสายตาของคณิตและพนักงานคนอื่นที่มองมาอย่างช่วยลุ้น
ถึงปากจะบอกว่าไม่เลี้ยงแต่สุดท้ายป๋าคณิตก็เป็นคนจ่ายค่าของกินทั้งหมดตอบแทนพนักงานทุกคนที่วันนี้ช่วยกันทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ปูนเดินไปบอกลาพี่ๆที่ชวนเขามาโดยที่อีกฝ่ายก็บอกให้เขาแวะไปหาที่โรงแรมบ้างปูนก็ไม่รับปากแต่เขาก็บอกว่าถ้ามีงานใหญ่ที่สองโรงแรมต้องเข้ามาช่วยเหลือกันอีกปูนจะเป็นคนแรกที่อาสารับงานนั้น
ภายในห้องโดยสารของรถคันหรูที่คณิตเป็นผู้ขับ มีเสียงของคนสองคนคุยกันไปตลอดทาง วีรกรรมของคณิตที่ชอบแกล้งน้องสาวสมัยยังเด็กถูกนำมาเล่าโดยปูนไม่เบื่อที่จะฟัง ร่างสูงลอบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กหนุ่มผ่านทางกระจกมองหลังแล้วค่อยหันไปให้ความสนใจกับถนนข้างหน้าที่มีร้านค้าเปิดอยู่บ้างประปราย
“แล้วสุดท้ายพี่นิดก็เอาของกินมาขู่ ว่าถ้าหน่อยท่องสูตรคูณไม่ได้จะให้แม่บ้านทำแต่กับข้าวเผ็ดๆให้กินทั้งอาทิตย์เลย”
“แล้วเป็นไงบ้างครับ”
“แค่วันเดียวเท่านั้นแหละคะ เจอผัดกะเพราใส่พริกเยอะๆเข้าไปจานเดียวหน่อยร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย พี่นิดโดนม๊าตี หลังจากนั้นก็ไม่เคยให้หน่อยกินอะไรเผ็ดๆอีกเลย วันนี้เจอน้ำก๋วยเตี๋ยวแค่ปลายช้อนเลยเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ”
หญิงสาวยิ้มแหยๆโดยมิวายหันไปมองพี่ชายด้วยดวงตาแบบเดียวกันปูนที่เห็นภาพนั้นก็พลอยยิ้มตามพร้อมกับความทรงจำบางอย่างที่ฉายชัดขึ้น
“ช่วยไม่ได้ อยากหาเรื่องเอง”
“ไม่ได้หาเรื่องสักหน่อย ก็แค่อยากลองทำอะไรใหม่ๆ...เหมือนพี่นิดบ้าง”
ไม่รู้ว่าหน่อยจงใจเว้นช่องว่างระหว่างคำพูดนั้นรึเปล่าคณิตจึงรู้สึกเหมือนว่าน้องสาวของเขากำลังพาดพิงคนที่เป็นเรื่องใหม่ๆสำหรับเขาอย่างที่ว่า โดยที่เจ้าตัวเล็กนั่นก็เอาแต่ยิ้มและหัวเราะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่าตัวเองกำลังโดนพูดถึงอยู่
“แล้วตกลงจะนอนไหน กลับไปนอนบ้านหรือคอนโด”
“นอนกับพี่นิดค่ะ เพราะเดี๋ยวยังไงตอนเช้าเราก็ต้องกลับบ้านด้วยกัน”
“...!”
คำพูดของหน่อยหยุดเสียงหัวเราะของปูนได้เหมือนกับมีใครเดินมาปิดสวิตช์ ร่างเล็กที่เพิ่งมีความสุขกับบรรยากาศบนรถไปหยกๆเริ่มหุบยิ้มแล้วหันไปมองหน้าคณิตที่ยังไม่ได้พูดอะไรแต่ก็คงกำลังคิดหนักไม่ต่างกัน
“ห้องพี่เล็กนิดเดียว เราจะไปนอนตรงไหน”
“งั้นก็ไปนอนบ้านที่พี่ซื้อไว้สิคะ ทางนี้ก็ทางไปบ้านนั้นไม่ใช่หรอ”
ถึงจะมาไม่กี่ครั้งแต่หญิงสาวก็จำทางไปยังบ้านที่พี่ชายเธอซื้อไว้เพื่อใช้เป็นอาณาจักรส่วนตัวได้ ปูนลอบกลืนน้ำลายไม่กล้าพูดอะไร ส่วนคณิตที่พอรู้ว่าน้องสาวกำลังต้องการจะไล่ต้อนเขาก็ยุติมันทันที
“ที่นั่นไม่ว่าง...ถ้าหน่อยจะนอนพี่จะพาย้อนกลับไปที่โรงแรม”
“ทำไมไม่ว่างคะ ปกติพี่ก็ไม่ค่อยได้ไปนอนไม่ใช่หรอ”
“...”
“ฮ่าๆ ช่างเถอะค่ะ พี่นิดโตแล้ว จะคิดจะทำอะไรหน่อยคงว่าอะไรไม่ได้...แต่กับคนอื่นโดยเฉพาะป๊า....หน่อยก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่าเขาจะว่ายังไง"
"..."
"เดี๋ยวพี่นิดจอดที่คอนโดข้างหน้านี้นะคะ หน่อยจะนอนกับเพื่อนแล้วตอนเช้าพี่ค่อยแวะมารับหน่อยแล้วกัน”
คณิตไม่รู้ว่าหน่อยคำนวณไว้แล้วรึเปล่าที่จะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ เขาตบไฟเลี้ยวแล้วหักพวงมาลัยเข้าไปจอดหน้าคอนโดนที่ว่างโดยที่ในรถไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ปูนช่วยหยิบกระเป๋าถือของน้องสาวเขาส่งมาให้จากทางด้านหลังซึ่งหน่อยก็รับมันมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เหมือนกับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่เพิ่งพูดอะไรทำลายบรรยากาศดีๆบนรถคันนี้ไป
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ปูนก็...กลับบ้านดีๆนะ”
“ยัยหน่อย...”
“ค่ะๆ ไม่พูดแล้วก็ได้ แต่อย่าลืมนะคะ...พี่ต้องมารับหน่อยตอนเช้า เราจะต้องกลับบ้านด้วยกัน”
“...”
“ป๊าสั่งมาค่ะ”
หน่อยก้าวลงจากรถไปแล้วทิ้งความหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง คณิตยังไม่ออกรถ เขามองใบหน้าที่สลดลงของปูนผ่านเงาสะท้อนในกระจก
“มานั่งข้างหน้าสิ แล้วจะได้กลับบ้านกัน”
“ป๋า...”
“ฉันบอกให้มาก็มาเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก”
ปูนเม้มปากแน่นก่อนจะยอมเปลี่ยนไปนั่งที่ข้างคนขับอย่างที่คณิตบอก ทันทีที่เด็กหนุ่มปิดประตูดีแล้วร่างสูงก็เปลี่ยนเกียร์แล้วขับรถออกไปตามทางที่พวกเขาคุ้นเคยแต่ทว่าการกลับบ้านครั้งนี้มันสร้างความลำบากใจให้ปูนอย่างประหลาด
“ป๋า”
“หื้ม?”
“เรื่องที่พี่หน่อยพูดน่ะ...มันจะ...”
“ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละน่า...อย่างน้อยก็ตอนนี้”
คณิตพูดขัดก่อนที่ปูนจะได้พูดจบพร้อมกับเปิดวิทยุภายในรถเพื่อให้เสียงเพลงช่วยทำลายความไม่สบายใจของคนข้างๆออกไป ปูนเองก็พอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะพูดถึงมัน เพราะถึงปากจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่หัวคิ้วหนาที่ชนกันพอให้เห็นเป็นปมนั้นก็บ่งบอกความคิดส่วนลึกของคณิตได้เป็นอย่างดี
คณิตกังวลเกี่ยวกับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ส่วนปูนก็กำลังกลัวว่าความสุขที่มีจะหายไปโดยที่เขา...ทำอะไรไม่ได้เลย
.
.
.
.
.
.
.
พลัสเคยชอบแสงแดดยามเช้า แต่ตอนนี้เขากลับเกลียดมันจับใจ หากเปรียบความอัปยศที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแผลสด ดังนั้นการที่เขาต้องมาเห็นร่องรอยของมันในรุ่งเช้าก็คงไม่ต่างอะไรจากแผลกัดหนองที่ทำให้ปวดร้าวไปทั้งใจ
พลัสขยับตัวไม่ได้ แม้แต่จะเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาใช้คลุมกายยังเป็นเรื่องยากที่เขาถอดใจจะทำไปตั้งแต่ความรวดร้าวเบื้องล่างเข้าเล่นงานเขาอย่างจัง เด็กหนุ่มได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอนที่ไม่คุ้นตา กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ที่ลอยมาจากที่ไหนสักแห่งไม่ได้ทำให้เขาสบายใจขึ้นเลยสักนิด เพราะกลิ่นที่เขารับรู้ได้ชัดเจนยิ่งกว่าคือกลิ่นคาวของเลือดและของเหลวสีขุ่นที่เปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งร่างของพลัส...และชายอีกคนที่นอนอยู่ข้างๆกัน
“วันนี้มีเรียนกี่โมง”
“...”
บอยถามขึ้นแต่คนข้างๆกลับนอนนิ่งไม่พูดจา ไม่สิ...ต้องบอกว่าไม่ส่งเสียงเลยจะดีกว่า ชายหนุ่มที่รู้สึกเบาไปทั้งตัวแต่หัวใจกลับหนักอึ้งยันกายขึ้นมานั่งมองร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มที่ตกเป็นของเขาอย่างไม่สมบูรณ์ตั้งแต่เมื่อคืนยันรุ่งเช้า
ใช่...มันไม่สมบูรณ์
เพราะพลัสไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด
“ถ้าคิดว่าเงียบแล้วเอาชนะกูได้ก็ทำไป แต่มึงน่าจะรู้ตัวตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ...ว่าแต่ให้ทำยังไงมึงก็เอาชนะกูไม่ได้”
บอยลุกขึ้นจากเตียงโดยที่สายตาของชายหนุ่มไม่ได้ละไปจากพลัสเลยแม้แต่สักวินาที เพราะฉะนั้นร่างบางเลยไม่มีวันได้เห็นว่าดวงตาที่กำลังจับจ้องมาที่ตนนั้นมันเจ็บปวดและถวิลหาแค่ไหน
ผ้าห่มผืนหนาถูกคลุมลงบนร่างกายบอบช้ำของคนที่ลืมตาค้างแต่ไร้จุดหมายให้จดจ้อง บอยยื่นมือออกไปก่อนจะชักมันกลับก่อนที่มันจะได้สัมผัสปลายผมสีเข้มนั้นแค่เพียงนิดเดียว เขามองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกมากมายที่แสดงออกมาไม่ได้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงปิดประตูที่เป็นดั่งเสียงสัญญาณบอกให้เริ่มต้น
ทั้งความเกลียดชัง
และน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ตอนต้นน่ารักกก ตอนจบน่าตบบบบบบ 555 :hao7: เขียนไปเขียนมา ชักอยากจะเอาเรื่องบอยพลัสไปแต่งแยก เข้มข้นกว่าคู่หลักเยอะเหมือนกัน เมื่อคืนนั่งไล่ทามไลน์ดู ป๋าปูนนี่แอบจืดๆนะคับในความรู้สึกเช่ อาจจะเพราะแต่งดราม่ามาตลอดด้วยพอมาแต่งหวานๆหน่อยเลยไม่ค่อยมั่นใจยังไงก็ไม่รู้ > < อีกอย่างป๋าปูนเช่เอามาจากเรื่องจริงบางส่วน เพราะฉะนั้นบางเรื่องมันเลยดูธรรมดามาก ไม่ลึกลับซับซ้อนอะไร ยิ่งถ้าคนชอบแนวพี่กาลอาจจะผิดหวังบ้างก็อย่าเพิ่งถอดใจเลิกอ่านกันนะคับ :mew4:
พูดถึงพี่กาล พรุ่งนี้วันที่ 4 ก.พ.แล้วนะคับ วันปิดจองปิดโอนแล้ว!!! ไฟท์ทุกอย่างถึงมือโรงพิมพ์เรียบร้อยรอระบุจำนวนอย่างเดียว ขอย้ำอีกครั้งว่ายังไม่มีแผนจะรีปริ้น เพราะถ้าทำบ็อกจะต้องมีขั้นต่ำจึงทำให้โอกาสรีก็น้อยตามไปด้วย ใครยังลังเลก็ลองเอาไปคิดหนักๆดูนะคับ อยากขาย55555 (งานนี้ไม่มีการเล่นตัวกันแล้ว ง้อวววววววว) :katai2-1:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ งานเช่ยุ่งมาก ไม่ได้มาบ่อยๆขอโทษนะคับ โดนทวงมาเยอะเลย จะยุ่งๆไปอีกสองเดือนทนๆหน่อยนะคับ ถ้าอะไรๆเรียบร้อยจะพยายามมาอัพถี่ๆให้ อยากอัพเหมือนกัน เว้นนานแล้วลืมเนื้อเรื่องทุกที :mew2:
-
อย่าม่าแรงนะคะ :ling3:
-
ขอบคุณค่ะ :L2: :L2: :กอด1:
-
ดีแล้วค่ะ ป๋าปูนสนุกมากกกก. แยกบอยพลัสก็ดี แอบหมั่นพลัสเบาๆ :hao7:
-
กะแล้วว่าเดี๋ยวต้องมีดราม่าบ้านป๋าลูกคนจีนด้วยสิ
ทีนี้อดีตของปูนตามมาทำร้ายเต็มๆแน่ เข้าใจเรื่องที่เช่พยายามเล่นค่ะ มันไม่ใช่อะไรที่แหวกแนวแต่มาแบบเรียล อินมากกกก
ส่วนคู่รองเราว่าที่คนไม่ค่อยชอบเพราะเป็นตัวร้ายควบด้วยๆแหละมั้ง แล้วเรื่องก็ยังอึดอัดเพราะสาเหตุที่บอยทำแบบนี้เรายังไม่รู้กันเลย
เราชอบนะคะโบคเค่น มาคนละแนวกับกาลแต่โคตรจะเช่อะ เขียนเรื่องที่ไม่มีอะไรให้มีได้ เป็นกำลังใจให้นะ อย่านอยเยอะเราเป็นห่วง :กอด1:
-
:o12:
ลึก ๆ แล้ว บอยก็เจ็บปวดไม่ใช่น้อยนะ
แต่ก็ทำตัวกร่างกลบเกลื่อนไปอย่างนั้น
น่าสงสารจัง
#ทีมบอย
-
อุตส่าห์หวานแล้ว แต่ไหงตอนท้ายสะเทือนอารมณ์ขนาดนี้
-
ถอนหายใจหนักๆ
-
แตกที่ 18
…เวลาสีน้ำเงิน...
รถของคณิตเลี้ยวเข้าไปในประตูรั้วของบ้านทรงประยุกต์สีสว่างที่ถึงแม้จะไม่โออ่าเหมือนกับบ้านพวกเศรษฐีแต่ก็ใหญ่โตสมฐานะของเจ้าของโรงแรมชื่อดัง ชายหนุ่มกลับมาบ้านด้วยชุดสบายๆไม่ต่างจากน้องสาวที่เดินหน้าสดมาหาคณิตตั้งแต่เช้าที่ร่างสูงขับรถไปรับเธอเหมือนที่สัญญากันไว้
เมื่อคืนเขากับปูนไม่ได้ทำอะไรกัน ไม่เชิงว่าหมดอารมณ์หรอกเพียงแต่คำพูดของหน่อยทำให้คณิตมีเรื่องให้คิดมากขึ้น เช่นเดียวกับปูนที่เหมือนกับว่าพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ดีเลยไม่เซ้าซี้ แต่ก็ยังคงมาอยู่ใกล้ๆจนเขาทั้งคู่หลับไปทั้งที่ยังจับมือกันไว้ แล้วพอตื่นเช้าขึ้นมาคณิตก็ได้กินกับข้าวที่ปูนตื่นมาทำให้ตั้งแต่เช้าตรู่แทนกำลังใจจากคนตัวเล็กที่วันนี้มากับเขาไม่ได้
“อาหารเช้าดีกับสมองนะครับ”
เจ้าตัวพูดไว้แบบนั้นแล้วทำเหมือนกับว่ามันเป็นแค่มื้อเช้าธรรมดาที่ไม่พิเศษอะไร แต่สำหรับคนที่อยู่กับปูนมาสักพักอย่างคณิต ย่อมรู้ดีว่าในอาหารทุกอย่างมันมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่
ปูนกำลังเป็นกังวล...จนทนอยู่เฉยๆไม่ได้
ชายหนุ่มเผลอยกยิ้มจนแม่บ้านที่เดินมาเปิดประตูรั้วให้ชะงัก แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจมันแล้วเดินนำคู่พี่น้องนิดหน่อยให้เดินเข้าไปในห้องอาหารที่มีประมุขของบ้านนั่งดื่มกาแฟรออยู่ตั้งแต่เช้า
หากถามว่าคณิตได้ดวงตาเรียวเล็กนั้นมาจากใครก็คงเป็นนายหญิงของบ้านอย่าง ’นันทยา’ไม่ผิดแน่ ซึ่งเชื้อสายจีนที่เธอได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษมาถูกถ่ายทอดไปให้ลูกทั้งสองเกือบจะทุกอย่าง ทั้งดวงตา ผิวขาวๆ และผิวกายละเอียดจะมีก็แต่ส่วนสูงของเจ้าลูกชายนั่นแหละที่ได้คนเป็นพ่อมาเต็มๆ
“ป๊าสวัสดีครับ ม๊าสวัสดีครับ”
คณิตยกมือไหว้บุพการีทั้งสองโดยที่นันทยาก็หันมารับไหว้ลูกชายแทบจะทันที ผิดกับผู้เป็นพ่ออย่าง ‘บรรพต’ ที่ต้องรอจนอ่านข่าวในมือจบก่อนถึงจะหันมาหาคณิตได้
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลยนะนิด ถ้าวันนี้พ่อไม่ให้น้องลากแกกลับมา เราจะได้เจอกันบ้างไหม”
แค่ประเด็นแรกก็เหมือนร่างสูงโดนหมัดฮุกเข้าอย่างจัง แต่ก็ไม่ผิดจากที่คณิตคาดนัก นอกจากนักธุรกิจที่เก่งกาจแล้วสำหรับเขาบรรพตยังเป็นพ่อที่เข้มงวดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกชายคนโตอย่างคณิตที่ถูกปลูกฝังให้มีความคิดและความรับผิดชอบเหนือกว่าคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะเขาก็ยังคงเป็นเขา...ไม่ได้ทำอะไรถูกใจพ่อไปซะทุกอย่างหรอก
“งานยุ่งน่ะป๊า ถ้าเป็นเดือนนี้ปีที่แล้วผมก็ไม่ได้กลับบ้าน”
“ปีที่แล้วแกกินนอนอยู่ที่โรงแรมฉันรู้...แต่ปีนี้ไม่”
“...”
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันที่หลัง ไปตามน้องมากินข้าวเช้าด้วยกันก่อนไป”
คณิตพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไปหาน้องสาวที่แวะเข้ามาไหว้พ่อแม่แปปเดียวก็หนีขึ้นไปบนห้องทิ้งให้เขาต้องคอยรับหน้าอยู่คนเดียว ร่างสูงเปิดประตูห้องของน้องสาวเข้าไปอย่างถือวิสาสะแล้วมันก็ไม่ผิดจากที่เขาคิดนัก เพราะยัยตัวแสบที่ว่ากำลังซุกกายอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ไม่สนใจแสงตะวันที่สาดเข้ามาในห้องเลยสักนิด
“ยัยหน่อย กินข้าว”
“ไม่เอา หน่อยขอนอนก่อน”
ช่ายหนุ่มขำน้องสาวที่ตอบมาเสียงอู้อี้ แต่ถ้าป๊าสั่งเป็นอันรู้กันว่าขัดไม่ได้
“เร็วๆอย่าให้ป๊ารอ เดี๋ยวก็โดนดุจนได้”
“ไม่โดนหรอก ให้เฮียโดนไปคนเดียวนั่นแหละดีแล้ว”
คราวนี้คณิตไม่ปล่อยให้น้องสาวทำตามใจ เขาดึงผ้านวมสีอ่อนนั่นออกแล้วดึงตัวหน่อยที่นอนบ่นอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมานั่งทั้งที่ไม่เต็มใจ
“พูดแบบนี้รู้หรอว่าป๊าให้พี่กลับมาทำไม”
“...”
“ยัยหน่อย”
“ไม่รู้หรอก ใครจะไปเดาใจป๊าได้ เดาไปก็ผิดอยู่ดี”
“งั้นแสดงว่าที่พูดบนรถนั่นตั้งใจจะแกล้งปูนสินะ”
หน่อยนิ่งไปก่อนจะหันหน้าที่ง้ำงอเล็ก ๆไปทางอื่น เธอมองตุ๊กตาปลาโลมาตัวละไม่กี่บาทที่พี่ชายซื้อให้ตอนที่ไปพิพิธพันธ์สัตว์น้ำด้วยกันครั้งยังเด็กๆ แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...
“ไม่ได้จะแกล้ง แค่อยากรู้อะไรนิดหน่อย แต่ที่หน่อยพูดไปมันก็เป็นความจริงนี่...พี่ก็น่าจะรู้ว่าป๊าเรารับเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก”
เธอยักไหล่เหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ แต่ที่ทำไปก็แค่อยากผ่อนคลายบรรยากาศทะมึนๆที่เธอสร้างมันขึ้นมากับตัวเท่านั้น หน่อยลอบสังเกตสีหน้าของพี่ชายที่เผลอถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัวแล้วตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
คณิตยังคงไม่มั่นใจ...
เพราะถ้าไม่ใช่ คณิตจะไม่ประหม่า...ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นป๊าก็ตาม
“ว่าแต่ถามหน่อยแบบนี้สรุปพี่กับเด็กนั่นเป็นแฟนกันจริงๆแล้วหรอ”
“ยัง...มันยังมีอะไรหลายอย่างต้องให้คิดน่ะ”
“แต่ก็ยังพาไปอยู่ที่บ้านนู้น”
“ไม่ได้พาไปอยู่ถาวร เขาก็ยังมีที่ของเขา”
แม้ว่าแทบจะไม่ได้กลับไปเลยก็ตาม...คณิตพูดส่วนที่เหลือแค่ในใจ หน่อยพยายามจับสังเกตในทุกคำพูดและท่าทางของพี่ชายแต่ก็ป่วยการ ถ้าคณิตยังไม่อยากพูดเธอก็จะไม่มีวันรู้ นิสัยแบบนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ร่างสูงได้รับมันมาจากป๊าผิดกับเธอที่มีอะไรก็พูดออกไปตรงๆเหมือนแม่
“เอาเถอะจะคบกันยังไงหน่อยคงเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่พี่อย่าลืมนะว่า...”
“...”
“รอบตัวพี่ไม่ได้มีแต่คนที่รับได้ จะจูบจะหอมกันยังไงก็หลบๆหน่อยนะคะ”
.
.
.
.
.
.
.
คณิตคีบผัดถั่วงอกฝีมือม๊าเข้าปากทั้งที่ท้องยังอิ่ม ส่วนยัยน้องสาวตัวดีที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็นั่งกินข้าวอยู่ข้างป๊า คอยตักนู้นตักนี่เอาใจให้เป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยดีสำหรับคณิตแม้ว่าพอโตขึ้นช่วงเวลาแบบนี้จะหาได้ยาก
“แล้วตกลงที่ป๊าเรียกผมกลับมานี่มีอะไรหรอครับ”
คณิตเอ่ยปากถามเพราะเป็นเรื่องปกติของบ้านนี้ที่จะพูดเรื่องงานบนโต๊ะอาหาร ชายที่ผ่านโลกมามากยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วตอบลูกชายไป
“แกจำท่านพิเชษฐ์ได้ไหม ที่เป็นพลเรืออยู่ที่สัตหีบน่ะ”
“ครับ จำได้”
“วันก่อนท่านเรียกป๊าเข้าไปคุย บอกว่ามีที่ดินติดชายทะเลอยู่ประมานหนึ่งไม่ได้ใช่ประโยชน์อะไรเลยอยากให้เราเอามันไปใช้”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ท่านอยากให้เราไปเปิดสาขาที่นั่นแล้วท่านจะร่วมลงทุนด้วย”
คำพูดของพ่อทำเอาคณิตต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะลางสังหรณ์บางอย่าง...ที่ดิน...สัตหีบ...อย่าบอกนะว่าเป็นที่เดียวกับไอ้เมษมัน
“แล้วป๊าคิดว่ามันคุ้มค่าไหม ทะเลแถวนั้นสมบูรณ์ก็จริงแต่โรงแรมส่วนใหญ่จะเป็นแค่โรงแรมเล็กๆหรือแค่บังกะโล จะมีโรงแรมใหญ่ก็เป็นของทหาร”
“ก็เพราะว่าแทบจะไม่มีไงเราเลยต้องรีบทำ แกก็เป็นเพื่อนกับเมษา...ป๊าว่าแกก็น่าจะพอรู้มาบ้างว่าไม่ได้มีแค่เราที่หมายตาที่นั่นไว้”
คณิตอยากเถียงพ่อตัวเองใจจะขาดว่าไม่ใช่เราแต่เป็นแค่ป๊าต่างหากที่อยากทำมัน ชายหนุ่มถอนหายใจแรงๆแล้วหันไปยิ้มให้มารดาที่ยื่นมือมาลูบไหล่ของเขาอย่างให้กำลังใจ
“ผมรู้ครับ...แล้วเมื่อวานเมษมันก็เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ทางนั้นแล้ว”
“งั้นเราก็ยิ่งต้องรีบ ไม่มีเวลาให้บ่ายเบี่ยงแล้วนิด ของอย่างนี้ใครเริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ”
“แต่ผมว่าถ้าเรารีบเกินไป มันอาจจะพลาดก็ได้นะครับ”
ชายที่ทำหน้ามาดมั่นชะงักไปจากคำพูดของลูกชายที่มักจะมีความคิดไม่ตรงกับตนเสมอซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ครั้งนี้...มันไม่ใช่
“แกกลัวว่าจะพลาด หรือแค่ไม่อยากชนงานกับเมษากันแน่”
“...!!”
“อย่าคิดว่าป๊าไม่รู้ว่าแกเลี่ยงจะชนกับเขามาตลอด เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้วคณิต...อย่าลืมคำสัญญาที่แกเคยให้กับป๊าไว้สิ”
คนเป็นพ่อพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารไปโดยที่ไม่ปล่อยให้ลูกชายพูดเถียงอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายกับหนักอึ้งจนหน่อยที่เคยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องเปลี่ยนมานั่งเคียงข้างพี่ชายที่มีสีหน้าเครียดขึงไปทันตา ส่วนนันทยาที่นั่งอยู่กับลูกชายมาแต่แรกก็พยายามยิ้มเป็นกำลังใจให้แม้ว่ามันจะดูฝืนๆไปบ้าง
“เอาน่าตี๋ ป๊าเขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าตี๋อย่างนั้นหรอก”
คนเป็นแม่เลือกใช้สรรพนามที่มีแค่เธอและแม่ของเธอเท่านั้นที่ใช้มันเรียกคณิต ตามเชื่อสายดั่งเดิมที่บ้านของเธอเคยใช้ นันทยารู้จักนิสัยของลูกเธอดีเช่นเดียวกับสามีที่แต่งเข้ามาในบ้านนี้แล้วอยู่กินกันมานาน
“เขากลัวว่าตี๋จะไม่ทำเลยพูดออกมาแบบนั้นเอง...ป๊าเขาก็แค่เป็นห่วง อยากให้ทุกคนในบ้านนี้อยู่สบาย ตี๋เข้าใจป๊าหน่อยนะ”
“ครับ ผมเข้าใจป๊า”
“งั้นก็...”
“แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือทุกวันนี้บ้านเราลำบากตรงไหนกัน”
คณิตหันมายกมือไหว้มารดา ก่อนจะขอตัวลุกออกไปทั้งๆที่นันทยายังพูดไม่จบดี ผู้หญิงทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วส่ายหัวให้ความดื้อรั้นที่ถอดแบบกันออกมาอย่างไม่มีที่ติของบรรพตและคณิต ที่ถึงแม้จะล่วงเลยมาจนอายุปูนนี้ก็ยังไม่เคยลดราวาศอกให้กัน
“ม๊าว่าเฮียจะยอมทำตามที่ป๊าบอกไหม”
หน่อยหันมาถามแม่ ที่มีสีหน้าลำบากใจไม่ต่างจากเธอ
“ก็คงทำ แต่จะทำด้วยความรู้สึกแบบไหนม๊าก็ไม่รู้ ตาคนนั้นก็ปากไวจริงเชียว รู้อยู่ว่าลูกไม่ชอบให้ยกเรื่องนั้นมาขู่ก็ยังทำอยู่ได้”
เรื่องนั้นที่ว่าก็คือคำสัญญาที่พ่อและลูกร่วมทำกันมาสมัยที่คณิตกำลังจะขึ้นเรียนชั้นมหาวิทยาลัย สำหรับครอบครัวนักธุรกิจการส่งลูกชายคนโตที่สักวันต้องมารับช่วงต่อให้ไปเรียนในคณะบริหารคงเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำ แต่สำหรับคณิตที่มีสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบอยู่แล้วได้หนีไปสอบเข้าในคณะอื่นโดยที่พ่อแม่อย่างเธอไม่เคยรู้จนกระทั่งวันที่ลูกชายจะเปิดเทอมนั่นแหละ
“หน่อยยังจำวันที่ป๊ากับเฮียทะเลาะกันบ้านแทบแตกได้เลย...หน่อยไม่เคยเห็นป๊าโกรธขนาดนั้นมาก่อน”
“ม๊าก็ไม่เคยเห็นตี๋ดื้อขนาดนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กๆถึงจะไม่ชอบก็ยังพอทนทำๆไป ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงจะดื้อเรียนอักษรให้ได้”
“ถึงสุดท้ายอาม่าจะมาช่วยพูดและความรู้ที่ตี๋เรียนมามันก็เอามาช่วยงานของโรงแรมได้จริง แต่สัญญาที่ว่าตี๋จะต้องรับช่วงบริหารโรงแรมต่อจากป๋ามันก็เป็นหนามที่ยอกใจตี๋อยู่ลึกๆล่ะนะ...”
นันทยาได้แต่ส่ายหัวกับความไม่ลงรอยที่ไม่ได้รุนแรงขนาดว่าเป็นความบาดหมางระหว่างสองพ่อลูกที่ต่างก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง สำหรับคนที่อยู่ตรงกลางอย่างเธอคงทำได้แต่เป็นห่วงแล้วหวังว่าทุกคนจะผ่านมันไปให้ได้ เธอเข้าใจลูกที่อยากใช้ชีวิตของตัวเองในแบบที่ตัวเองต้องการยังไง...เธอก็เข้าใจความเป็นห่วงของคนเป็นพ่อ ที่ถึงแม้จะเข้มงวดและดุไปบ้างแต่สุดท้ายที่ทำไปก็แค่เพราะว่ารักและเป็นห่วงเท่านั้นเอง
.
.
.
.
.
.
.
ปูนเดินดูของผ่านตู้กระจกของร้านโดยไม่คิดจะเข้าไปดูมันใกล้ๆ ในห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของมีราคาที่เขาเอื้อมไม่ถึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าทางเดินที่มีแต่ของสวยๆงามๆและแอร์เย็นฉ่ำให้ปูนใช้คลายความเบื่อโดย
หลังจากคณิตออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า เขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการเก็บกวาดบ้านและดูแลต้นไม้ในสวนเล็กๆเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะว่าขยันอะไรหรอก แต่เพราะอยากให้ความกังวลที่ยังไม่คลายไปให้มันทุเลาลงอย่างน้อยตอนที่ทำงานเขาก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีก
ความลำบากใจในเรื่องครอบครัวของคณิตไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้นในใจของคนที่ผ่านมาเพียงชั่วคราวอย่างเขา...เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน ดังนั้นการตัดความสัมพันธ์ก็ควรจะทำมันได้ง่ายๆเหมือนกับตอนที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมา และยิ่งหากเป็นเพราะครอบครัวไม่ยอมรับ ปูนก็จะไม่เหลือที่ว่างเพียงพอที่เขาจะสามารถใช้มันยืนเคียงข้างกับคณิตได้อีก...
ปูนคิดไปเรื่อยๆจนสายตาเขาเหลือบไปเห็นตู้โชว์ของนาฬิกายี่ห้อดัง เขาเดินเข้าไปใกล้มันแล้วพิจารณาสิ่งที่ถูกวางเรียงรายอยู่ในนั้น เขาสะดุดตาเข้ากับนาฬิกาเรือนหนึ่ง ตัวเรือนของมันเป็นสีเงินสวยงามไม่ต่างจากเรือนอื่น หากแต่หน้าปัดสีกรมท่าที่เหมือนกับสีของชุดสูทที่คณิตสวมใส่มันเมื่อคืนทำให้ปูนละสายตาไปจากมันไม่ได้ แล้วยิ่งมาคิดๆดูเสื้อผ้าและของใช้ของคณิตก็มักจะเป็นสีนี้ทั้งนั้น...เขาคงใส่มัน...ไม่สิ ป๋าต้องชอบมันแน่ๆ
“พี่ครับๆ เรือนนี้ลดราคาแล้วเหลือเท่าไหร่ครับ”
ปูนเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลเพื่อถามราคาของมันโดยทำเป็นไม่เห็นสายตาเคลือบแคลงที่หญิงสาวส่งมาให้แม้จะเพียงนิดเดียวก็เถอะ
“ลดแล้วเหลือสองหมื่นหนึ่งร้อยห้าสิบบาทค่ะ”
เด็กหนุ่มทำตาโต ในขณะที่พนักงานสาวยกยิ้มขึ้นราวกับจะบอกว่า ‘ฉันกะแล้วว่าแกไม่มีปัญญาซื้อ’ แต่ปูนก็ไม่ว่าเธอหรอก เพราะเขาก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันจริงๆ เงินเก็บน่ะมีอยู่ แต่วันนี้เขาไม่ได้เอาบัตรเอทีเอ็มมาด้วยเพราะแค่จะมาเดินเล่นเฉยๆไม่คิดว่าจะได้มาเจอของถูกใจแบบนี้นี่นา...
“คุณลูกค้าสนใจจะรับเลยไหมคะ”
“เออ คือ ผมคงไม่...”
“อ้าว เธอนี่นา”
ในขณะที่ปูนจะหันไปปฏิเสธ เสียงทุ้มๆของใครบางคนก็เรียกเขาจากทางด้านหลัง ปูนหันไปมองแล้วก็ต้องรีบยกมือไหว้เมษาที่เดินส่งยิ้มมาให้แทบไม่ทัน เช่นเดียวกับพนักงานสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ที่รีบทำความเคารพชายหนุ่มที่เธอเองก็รู้จักชื่อเสียงของเมษาดี
“มาซื้อของน่ะครับ แล้วคุณมาทำอะไร”
ปูนไม่ได้อยากรู้ แต่ดูเหมือนเมษาจะไม่ได้ทำแค่ทักเขา ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงโปร่งเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วชำเลืองมองนาฬิกาที่ปูนสนใจไปด้วย
“พาลูกค้ามาเทคแคร์น่ะ แต่เพิ่งส่งกลับโรงแรมไปเลยมาเดินเล่น”
“อ่า ครับ...งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า”
“จะไปไหนล่ะ เธอดูนาฬิกาเรือนนี้อยู่ไม่ใช่รึไง”
เมษาชี้ไปทางนาฬิกาเรือนงามที่ราคาไกลเกินกว่าปูนจะเอื้อมถึง ปูนทำหน้าอ่อมแอ้ม มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะพูดออกไปง่ายๆว่าไม่มีเงินซื้อยิ่งกับคนที่พอจะรู้จักกันแบบนี้ด้วย...อายชะมัด
“ผมมาดูเฉยๆน่ะครับ ไม่ได้จะซื้อหรอก”
ร่างเล็กเลือกจะโกหกไปเพราะไม่อยากเสียหน้า
“หรอ ว่าแต่แปลกนะที่เธอเลือกดูนาฬิกาเรือนนี้ มันเป็นแบบผู้ชายฉันว่ามันไม่ค่อยเข้ากับเธอเท่าไหร่หรอก”
“แล้วผมไม่ใช่ผู้ชายรึไง”
ปูนทำหน้ามุ่ย อีกแล้วกับคำพูดแบบนี้ที่เขามักจะเจอบ่อยๆ ถึงจะตัวเตี้ยและผอมไปหน่อยเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงนะ ไม่ได้ใกล้เคียงเลยด้วย
“โทษทีๆ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ดูนี่สิ...ข้อมือเธอเล็กนิดเดียวพอมีเทียบกับนาฬิกาฉันว่ามันออกจะใหญ่ไปสักหน่อย”
เมษาถือวิสาสะคว้าข้อมือของปูนมาพิจารณาใกล้ๆ มือของผู้ชายคนนี้เย็นมาก...แถมมันยังใหญ่กว่าจนสามารถกำข้อมือของเขาไว้ได้จนมิด เมษาหันไปหยิบนาฬิกาที่ว่ามาลองสวมมันลงไปในข้อมือของปูนที่เล็กกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง
“เห็นไหม ต่อให้ตัดสายออกมันก็ยังไม่เข้ากัน”
“ปล่อยเถอะครับ คนอื่นมองหมดแล้ว”
ปูนพูดเตือนไม่ใช่เพราะความเขินอาย สายตาหลายคู่กำลังจดจ้องมาที่พวกเขา ว่าคณิตเป็นที่รู้จักของคนแถวนี้แล้วเมษากลับยิ่งเป็นมากกว่านั้น เด็กหนุ่มพยายามขืนมือของตัวเองออกมาแต่เมษากลับไม่ยอม
“มองแล้วยังไงล่ะ ฉันก็แค่ลองนาฬิกาให้เธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย”
“แต่...”
“เอาน่า..”
ชายหนุ่มยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้น้ำเสียงที่มากไปด้วยเสน่าห์นั้นกระซิบไปข้างๆหูของปูนที่ขึ้นสีแดงอย่างช่วยไม่ได้
“ทีจูบกับคณิตที่สระน้ำเธอยังไม่นึกอาย...นับประสาอะไรกับแค่นี้”
ปูนผลักอกของเมษาออกแล้วมองอีกฝ่ายตาขุ่น ผู้ชายคนนี้เห็นเขาไม่แปลกใจแต่ทำไมต้องหยิบมาพูดต่างหากที่น่าคิด
“ฮ่าๆ ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอกน่า คณิตมันก็เพื่อนฉัน ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอก ถ้าอย่างนั้นฉันขอเดานะ...นาฬิกานี้เธอตั้งใจจะซื้อไปให้มันใช่ไหม”
ร่างเล็กทำนิ่งไม่ตอบ แต่เมษาก็มีดวงตาที่เฉียบแหลมกว่าที่เขาคิด
“เพราะสีของหน้าปัดมัน เป็นสีที่คณิตมันชอบ”
ปูนหมดทางแก้ตัวเลยยอมพยักหน้าไปอย่างเสียไม่ได้ เมษายิ้มอ่อนแล้วใช้มือเย็นๆนั้นขยี้ลงบนกลุ่มผมของปูนอย่างเอ็นดูจนคนยิ่งมองกันใหญ่
“เงินไม่พอล่ะสิ ใช่ไหม ถ้าฉันไม่เข้ามาทักเธอคงเดินออกไปแล้ว”
“ครับ ผมไม่มีเงินพอใจรึยัง”
ปูนอดที่จะเหน็บกลับไปบ้างไม่ได้ตามนิสัย ให้ตายสิ เขาไม่ชอบนิสัยรู้ทันของคนคนนี้เลยจริงๆ
“เธอจะมีหรือไม่มีเงินก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขขึ้นหรอก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของเพื่อนฉันก็ไม่แน่”
“...?”
“ใกล้วันเกิดของคณิตแล้ว รู้รึยัง”
หัวใจของปูนสะดุดไปพักหนึ่ง วันเกิดของป๋างั้นหรอ...
“ไม่ครับ ผมไม่รู้”
“งั้นก็พรหมลิขิตแล้ว ที่เธอเกิดอยากจะซื้อของให้มันทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องเลย”
ปูนไม่รู้ว่าเขาควรจะตีความของเมษาไปในทิศทางไหน ชื่นชมหรือหลอกด่าว่าไม่มีความสำคัญ เขาเดาไม่ออกจริงๆ
“ครับ งั้นผมจะไปหาซื้ออย่างอื่นให้เขาแทนแล้วกัน”
“ทำไมล่ะ เธอก็เลือกนาฬิกาเรือนนี้แล้วนี่ ทำไมไม่ซื้อ”
“ลืมไปรึเปล่าว่าผมไม่มีตัง”
“แล้วเธอลืมไปรึเปล่าว่าฉันเป็นใคร”
เมษายักคิ้วให้ปูนอย่างกวนประสาท ก่อนจะหยิบเอาบัตรเครดิตสีดำออกมาให้ปูนดู
“เฮ้ย คุณจะซื้อให้ผมหรอ ไม่เอานะ แบบนั้นจะเรียกว่าของขวัญได้รึไง”
“หึ จะให้เงินเธอเปล่าๆฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก ฉันหมายถึงเธอลืมไปแล้วรึไงว่าฉันเป็นเจ้านายของเธอ...เป็นคนที่จ่ายเงินเดือนให้”
“...!!”
“เงินของเดือนนี้ฉันจะจ่ายล่วงหน้าให้เธอก่อน แล้วเธอจะได้ใช้มันซื้อของขวัญวันเกิดให้คณิต เห็นไหมง่ายนิดเดียว”
ปูนรู้สึกเหมือนตัวเองเห็นแสงเรืองรองส่องออกมาจากทางด้านหลังของเมษา ให้ตายสิ พระเจ้าประทานตัวช่วยมาให้เขาแท้ๆ
“จริงด้วย ทำแบบนั้นก็ได้นี่นา”
“งั้นตกลงตามนั้น เธอจะเอาเรือนนี้ใช่ไหม”
“ครับ เอาเรือนนี้แหละ”
ร่างเล็กยิ้มให้ชายตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปหาพนักงานสาวที่ยืนฟังบทสนทนาทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มมองแผ่นหลังและใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับไว้ของปูนด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอบคุณคุณเมษามากนะครับ สัญญาว่าคราวหน้าผมจะไม่รบกวนคุณแบบนี้อีก”
ปูนบอกกับเมษาหลังจากเขาได้นาฬิกาเรือนนั้นมาครอบครองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายยิ้มให้ก่อนจะย้ำเตือนอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมสัญญาของเธอก็แล้วกัน”
“สัญญา?”
“ที่ว่าจะชงเครื่องดื่มอร่อยๆให้ฉันไง”
“อ่อ แน่นอนครับ อยากดื่มเมื่อไหร่ก็เรียกผมไปได้เลย”
ร่างเล็กว่าแล้วยิ้มให้เมษาอีกครั้ง พวกเขายืนคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่ปูนจะขอตัวกลับไปบ้านไปเพราะอยากเตรียมอาหารให้คณิตที่เพิ่งส่งข้อความมาหาว่าเย็นวันนี้จะเข้ามากินข้าวด้วยกัน
เมษาโบกมือลาปูนที่เพิ่งเดินออกจากห้างไปพร้อมกับถุงของนาฬิกาเรือนสวยที่มีไว้เพื่อใครบางคนที่พิเศษทั้งสำหรับปูน
และสำหรับเมษาด้วยเช่นกัน...
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
งานสั้นงานด่วนต้องมา ปั่นก่อนไปเรียนคับ :katai4:ทอล์คนี้ไม่มีไรมาก แค่อยากบอกว่าปิดรอบเล่มพี่กาลแล้ว ใครที่สั่งติดตามข่าวสารได้ที่เพจเลยนะคับ ป๋าปูนก็หาคนวาดรูปประกอบปกแล้ว แต่ยังไม่ได้รวมเร็วๆนี้หรอกคับ แต่สักพักเช่อาจจะทำฟอร์มมาสำรวจความต้องการซื้ออีก แต่ขออีกสักพักแล้วกันนะ :z10:
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะคับ อาทิตย์หน้าอาจจะไม่อัพเลยเพราะต้องทำงานจริงจังแล้ว อาทิตย์ต่อไปเช่ต้องลงฟิลสำรวจทำวิจัย ขอโทษล่วงหน้านะคับ :o12:
-
เมษาชอบคณิตเหรอสงสัยๆๆๆๆมาก
-
อ่าาา~ คิดถึงน้องปูนแย่สิเนี่ย
เมษานี่แอบรักคณิตรึ//ระแวง :hao7:
-
ยังไงเนี่ยเมษ :m16:
-
ขอบคุณค่าาา
สู้ๆเน้ออ :กอด1:
-
เม้นตอนที่17นะ หายไปหลายวันไปทำงานมาค่ะ
เราชอบป๋าปูนนะเราว่าเทียบกับพี่กาลไม่ได้หรอกเพราะคนละแนวกัน
แต่สุดท้ายเราว่าเช่ก็ทำให้เราปวดหัวได้อยู่ดี สู้ๆนะคะ
-
:ruready
เริ่มจะได้ทานมาม่าแล้วหรือ
ขอให้อย่าได้แรงมากนะจ๊ะ
ตะเตือนไต
-
เมษานี้อะไรอ่ะ
กลัวใจคณิตจริงๆ อย่าทำปูนเสียใจเชียว
-
สำคัญในแง่ไหนน่ะ เพื่อนใช่ไหม
-
กะแล้วว่าเมษาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ :katai1:
-
พ่อกับลูก นิสัยแบบนี้มาม่าท่าจะจบยากอยู่นะ
-
กรี๊ดดดดดดด คุณเมษมีบทแล้ว :impress2:
-
เรื่องของเมษาน่าสงสัย
-
แตกที่ 19
…เค้กสตรอเบอร์รี่ ไอติมรสมะนาว และMint Julep...
เสียงเนื้อกระทบกันดังคลอไปกับเสียงเรียกชื่อของคณิตที่ฟังดูเสน่หาเสียจนเจ้าของชื่ออดใจไม่ไหวต้องก้มลงไปจดจูบตรงแผ่นอกขาวที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบจนปูนในตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากเค้กสตรอเบอร์รี่ที่ว่างอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกันมากนัก สายฝนที่ตกอยู่ด้านนอกไม่ได้ส่งผลต่อทั้งสองคนที่เกี่ยวรัดกันอยู่เลยสักนิด ปูนที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ลูบไล้ไปตามท่อนแขนกำยำของอีกฝ่ายก่อนจะพลิกตัวขึ้นไปด้านบนแล้วเปลี่ยนเป็นคนคุมจังหวะทั้งหมดด้วยร่างกายของตัวเองจนเสียงทุ้มของคณิตดังขึ้นไม่ขาดสายเช่นเดียวกับเม็ดฝน
“กินดีๆสิ เดี๋ยวก็เลอะเตียงหมดหรอก”
คณิตที่เพิ่งจัดการตัวเองในห้องน้ำเสร็จพูดเตือนร่างเล็กที่นอนกินเค้กสตรอเบอร์รี่ที่เขานำมาฝากอยู่บนเตียงทั้งๆที่เนื้อตัวยังเปลือยเปล่า ปูนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วกินต่อไปจนกลายเป็นฝ่ายคณิตเองนั่นแหละที่ระอาจนไม่สนใจมันอีก เขาถอนหายใจหนักๆขณะที่นั่งลงแล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดไปตามเส้นผมของตัวเอง แต่ไม่ทันไรมือเล็กๆที่เคยจับช้อนอยู่ก็คว้าผ้าไปแล้วค่อยๆใช้มันบรรจงซับน้ำออกจากผมของคณิตให้แทน
“ผมแค่หิว ไม่เห็นต้องดุกันเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเรียกดุ โลกนี้คงไม่มีใครเคยพูดดีๆกับเธอเลยมั้ง”
ปูนส่ายหัวก่อนจะเปลี่ยนมานั่งลงตรงตักของคณิตเมื่อตัวเล็กเช็ดผมด้านหน้าให้ร่างสูงไม่ถนัด โดยมีคนอายุมากกว่าคอยช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการประคองสะโพกกลมๆของปูนเอาไว้ให้
“ช่วงนี้ป๋าดูเครียดๆนะ มีอะไรรึเปล่า”
“งานยุ่งนิดหน่อยน่ะ มีประชุมแทบทุกวัน”
“อ่าฮะ ถึงไม่ค่อยได้กลับบ้านสินะ”
“อืม...ขอโทษนะที่ทิ้งให้เธอต้องอยู่คนเดียว”
มือที่กำลังนวดเบาๆไปตามขมับนิ่งไปก่อนปูนจะพิจารณาไปตามใบหน้าที่แสดงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างปิดไม่มิด หลังจากคณิตกลับบ้านครั้งนั้น ชายหนุ่มก็แทบจะไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นเลย นอกเสียจากตอนที่ปูนถูกวานให้เอาเสื้อผ้าและของบางอย่างไปส่งให้ที่โรงแรม หรือวันไหนที่เขานึกครึ้มไปเที่ยวหาพี่ๆพนักงานที่นั่นเลยพอจะมีโอกาสได้เห็นคณิตทำงาน คนที่เคยทำตัวสบายๆกลายเป็นเหมือนคนที่ต้องคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แม้แต่อิงอรและทีมบริหารคนอื่นๆก็พลอยมีบรรยากาศที่เปลี่ยนไปด้วย
ปูนอยากถาม...แต่ก็รู้ว่าเขาไม่สมควรทำมัน คนตัวเล็กที่ห่วงใยชายตรงหน้าจากใจจริงจึงทำได้แค่โน้มตัวลงไปจูบเบาๆบนหน้าผากกว้างของคณิตก่อนจะโอบกอดร่างสูงไว้ด้วยกำลังที่ตนมี
“ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้”
“แล้วใครไปบ่นในไลน์ว่าเหงาอยากเห็นหน้า”
“...”
“ไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งหรอกน่า เอาแต่ใจตัวเองเหมือนเดิมเถอะ ถึงฉันจะตามใจเธอไม่ได้แต่ก็ชอบแบบนั้นมากกว่า”
คณิตยกยิ้มแล้วจูบหน้าผากของปูนกลับไปเบาๆ การได้เห็นความอ่อนไหวของปูนทำให้เขาสบายใจขึ้นจริงๆนั่นแหละ มันเหมือนกับว่าโลกที่หมุนรอบตัวเขาอยู่มันหมุนช้าลง...อย่างน้อยการเอาใจเด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งมันก็ยังน่าสนุกกว่าการคอยเทคแคร์นายทหารชั้นผู้ใหญ่ตัวโตพวกนั้น
“ให้เอาแต่ใจได้จริงอ่ะ”
“อืม”
“งั้นขออีกรอบได้ป่ะ”
“...”
“นั่นไง เหนื่อยจนทำไม่...อุ๊บ!”
ริมฝีปากช่างเจรจาของปูนถูกปิดลงจนรสหวานของเนื้อเค้กละมุนไปทั่วโพรงปากของคนทั้งสอง ร่างเล็กยังคงจับจ้องคณิตอยู่แม้ในยามนี้อีกฝ่ายจะกำลังบรรจงมอบสัมผัสบทใหม่ให้กับเขาตามความเอาแต่ใจที่เรียกร้องไปก็เพื่อคณิตทั้งนั้น...คนตัวเล็กได้โอกาสหันไปมองท้องฟากตรงนอกหน้าต่างในจังหวะที่ชายที่กำลังครอบครองเขาไว้ค่อยๆเคลื่อนตัวไปยังเบื้องล่าง
เขาไม่ชอบฝนเพราะมันทั้งหนาวและนำพาความทรงจำร้ายๆกลับมาให้
แต่ถ้าหากมันทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันนานขึ้นกว่านี้อีกสักนิด
ปูนก็จะขอบคุณมัน...
แม้จะผ่านค่ำคืนที่แสนหนักหน่วงมาแต่ปูนก็ฝืนสังขารพาตัวเองลงมาทำอาหารให้คณิตตั้งแต่เช้า ตู้เย็นที่เคยมีเพียงน้ำเปล่าถูกเติมเต็มไปด้วยของสดที่ปูนค่อยๆนำมาใส่ในทุกๆวันเช่นเดียวกับทุกมุมของบ้านที่มีของของร่างเล็กว่างอยู่ทั่วไปหมด ปูนหยิบแก้วมัคสองใบลงมาจากตู้ รินกาแฟรสเข้มใส่แก้วของคณิตและรินโกโก้หวานๆลงในแก้วของเขา มื้อเช้าง่ายๆอย่างโจ้กและไข่ลวกถูกจัดวางไว้พร้อมสรรพจนกระทั่งร่างในชุทสูทพร้อมทำงานของคณิตก้าวลงมาจากชั้นสอง
ชายหนุ่มที่เดินตามกลิ่นอาหารมาเข้าไปลูบหัวของปูนเบาๆแทนคำขอบคุณก่อนจะนั่งลงตรงที่ของตัวเองโดยมีปูนนั่งมองหน้าเขาจากฝั่งตรงกันข้าม กาแฟทำให้คณิตตื่นเต็มตาแต่เสียงฮัมเพลงของปูนกลับทำให้คณิตอยากจะกลับขึ้นไปนอนต่อซะอย่างนั้น บวกกับกลิ่นฝนอ่อนๆที่โชยมาทำให้เขาไม่อยากจากบ้านนี้ไปทำงานจริงๆ
“เดี๋ยววันนี้นั่งรถไปกับฉันหน่อยนะ”
“หื้ม? ทำไมหรอ?”
“มีของจะให้...แล้วก็อาทิตย์นี้ฉันต้องไปดูงานที่สัตหีบนะ”
แม้คำพูดที่บอกกลายๆว่าพวกเขาจะไม่เจอหน้ากันไปสักระยะหนึ่งจะทำให้ปูนรู้สึกวูบโหวงในอกแต่ร่างเล็กก็ยังรักษาอาการด้วยการยิ้มให้คณิตเหมือนกับที่เคยทำ ปูนตักหมูสับในชามของตัวเองใส่ไปในชามของคณิตแล้วก้มหน้าก้มตากินเงียบๆต่อไปปล่อยให้ร่างสูงหันไปดูข่าวจากทีวีโดยไม่คิดจะกวนอีก จนกระทั้งพวกเขาจัดการยัดทุกอย่างลงท้องเรียบร้อย ปูนกับคณิตก็ช่วยกันลำเลียงจานชามที่ใช้แล้วไปใส่ไว้ในอ่างล้างโดยที่ปูนจะกลับมาทำความสะอาดมันในภายหลัง
“ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืน ช่วงนี้งานของเธอเป็นยังไงบ้าง”
คณิตพูดขึ้นหลังจากพวกเขาขับรถออกมาจากบ้านได้ไม่นาน ถนนที่ว่าใหญ่แล้วกลับคลาคล่ำไปด้วยรถส่วนตัวและรถโดยสารสาธารณะจนมันดูแคบไปทันตา ปูนที่กำลังอ่านอะไรบางอย่างจากมือถือของตัวเองเงยหน้าขึ้นแล้วตอบไป
“ก็เรื่อยๆเหมือนเดิม ผลัดวันธรรมดาก็น่าเบื่ออย่างนี้แหละ”
“ถ้าเบื่อทำไมไม่ขอกลับไปทำเสาร์อาทิตย์เหมือนเดิมล่ะ”
“ก็อยากกลับไปทำนะ...แต่เบื่อขี้หน้าคนบางคน”
ใบหน้าน่ารักง่ำงอก่อนจะเปลี่ยนเป็นยกยิ้มสะใจเล็กๆแบบที่คณิตไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่
“ใคร? อย่าบอกนะว่าเจอลูกค้าเก่า”
คำว่าลูกค้าเก่าที่คณิตใช้ทำเอาปูนใจกระตุกไปบ้างแต่เขาก็สะบัดมันทิ้งไปเพราะรู้ดีว่าคนตัวสูงไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น
“เปล่าหรอก แต่ก็...อาจจะคล้ายกันบางส่วน”
“คล้ายกัน?”
“อื้ม ส่วนที่ว่ามันอยากได้ผมไง”
ปูนลังเลว่าจะพูดถึงพลัสดีไหมเพราะภาพในงานเลี้ยงคืนนั้นก็ยังคงย้ำเตือนถึงไมตรีจิตที่คณิตมีต่อมันไม่มากก็น้อย แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพูดถึงมันไม่ใช่แค่อยากระบายความรำคาญให้ร่างสูงได้ฟัง หากแต่หวังว่าคณิตจะเข้าใจถึงคำเตือนที่แฝงอยู่ในนั้น...ว่าอย่าได้กลับไปข้องเกี่ยวกับพลัสอีก
“ก็เด็กที่ป๋าปกป้องอยู่วันนั้นไง...คนที่ชื่อพลัสน่ะ”
“อ่อ แล้ว?”
“มันอยากได้ผม”
“...”
“ถึงขนาดตามคอยสืบเรื่องของผมด้วย หึ โรคจิตชัดๆ”
คณิตมองใบหน้าที่บ่งบอกความไม่พอใจอย่างไม่ปิดบังแล้วเลือกจะเงียบไว้มียุยงหรือขัดคอจนอาจทำให้ความรู้สึกของปูนรุนแรงกว่านี้ ใบหน้าเรียบๆของเด็กผู้ชายคนนั้นที่ถึงต่อให้ปูนจะไม่บอกเขาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงสนใจร่างเล็กอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะสนใจไปในทางนั้น ไม่ได้ผิดหวังอะไรหรอก แค่ผิดคาดและเขาก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะฟังหูไว้หู
“เพราะแบบนี้ใช่ไหมวันนั้นเธอเลยไม่พอใจ”
“ก็...นะ”
“เอาเถอะ ถ้าไม่ชอบก็อย่าไปยุ่งกันก็พอ”
“หึ ป๋าคิดว่าผมจะไปทำอะไรมันรึไง”
“จะบอกว่าเปล่าก็คงโกหก ฉันรู้จักนิสัยร้ายๆของเธอดีพอๆกับที่รู้จักร่างกายของเธอนั่นแหละ”
ชายหนุ่มพยายามเบี่ยงประเด็นออกไปให้พ้นเรื่องของพลัสซึ่งมันก็ได้ผล แก้มของปูนขึ้นสีเลือกฝาดโดยที่เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจที่ถูกคณิตเทะโลมทางคำพูดจนไม่นานพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง คือโรงแรมที่คณิตทำงานอยู่ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่ต่างจากคนที่คอยควบคุมดูแล
“ช่วงไหนฉันติดประชุมจะไม่เปิดเครื่องนะ ถ้ามีอะไรด่วนก็ส่งข้อความมาแล้วกัน สัญญาว่าจะเปิดอ่านตลอด”
“ครับๆ แล้วของที่บอกว่าจะให้ผมล่ะ”
ปูนแบมือออกไปแต่แทนที่คณิตจะยื่นของมาให้ชายหนุ่มกลับแบมือมาทางเขาแทน
“ขอดูกระเป๋าสตางค์หน่อย”
“ห๊ะ?”
“เออน่า ขอดูหน่อย”
ร่างเล็กหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกไปให้อย่างงงๆ โดยทันทีที่คณิตได้รับมาก็เปิดดูของข้างในนั้นเหมือนกับจะตามหาอะไรบางอย่าง และเมื่อคณิตได้พบมันชายหนุ่มก็ยกยิ้มแล้วเปิดประตูออกจากรถไป
“เดี๋ยวสิป๋า อธิบายหน่อยได้ไหม!”
“ได้ นี่ไงคำอธิบาย”
ปูนยืนอึ้งเมื่อคำอธิบายของคณิตคือรถยนต์คันเล็กคันหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่ใช่รุ่นใหม่แต่สภาพภายนอกกลับยังดูดีอยู่แทบจะไม่มีที่ติ ในขณะที่ปูนยังคงสำรวจรถตรงหน้าทางสายตาอยู่นั่นเองกุญแจดอกหนึ่งก็ถูกคณิตยื่นมาให้พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่ทำเอาคนมองใจสั่น
“ไม่ใช่รถใหม่หรอกนะ แต่มันก็ยังดีกว่าให้เธอนั่งวินมอเตอร์ไซด์”
“เอาจริงดิ...”
“จริง รถเก่าฉันเองจอดไว้ที่บ้านไม่มีคนใช้...ว่าไงจะเอาหรือไม่เอา”
ร่างเล็กตะครุบกุญแจตรงหน้าเหมือนแมวตะครุบปลาทู ถ้าหากปูนมีหางคณิตคิดว่ามันคงจะกวัดแกว่งไปมาอย่างร่าเริงไม่ต่างจากสีหน้าของผู้เป็นเจ้าของ ปูนยิ้มกว้าง...ไม่ใช่แค่สิ่งของเท่านั้นที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกปลื้มใจหากแต่ยังรวมถึงความเอาใจใส่ของคณิตที่มอบมันให้กับเขานับครั้งไม่ถ้วน อยากจะเข้าไปกระโดดจูบเพื่อแสดงคำขอบคุณอยู่หรอก แต่มาทำตรงนี้คงไม่เหมาะ
“ป๋า”
“หื้ม?”
“ขอบคุณนะ”
ปูนว่ายิ้มๆก่อนจะจูบนิ้วของตัวเองแล้วเอามันไปแตะตรงริมฝีปากของคณิตอย่างจงใจ คนที่ถูกจู่โจมเบิกตาขึ้นเล็กๆแล้วหัวเราะออกมาดังลั่นกับการกระทำไร้เดียงสาไม่เข้ากับนิสัยของปูนเลยสักนิด
“น้ำมันเติมเองนะ ถ้าขับไปชนก็ซ่อมเอง”
“รู้หรอกน่า”
ร่างเล็กว่าเสียอ่อนพร้อมกับรับกระเป๋าสตางค์ของตัวเองคืนมาแล้วคิดไปว่าที่คณิตของมันไปคงเพราะอยากจะดูว่าเขามีใบขับขี่รึเปล่านั่นแหละ
“ขับระวังๆล่ะ ให้รถไปใช้ไม่ใช่ว่าจะเอาไปตะลอนเที่ยวที่ไหน บ้านก็ดูแลดีๆด้วย อย่าลืมตรวจประตูก่อนจะนอน น้ำไฟก็ต้องเช็คทุกครั้ง”
“ครับๆ ไปอาทิตย์เดียวหรือไปเป็นเดือนเนี่ย”
“อาทิตย์เดียว...แต่มันเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่เธอจะไม่ได้เจอฉันนะ”
“...”
“ดูแลตัวเองดีๆรู้ไหม ฉันเป็นห่วง”
ให้ตายสิ...ปูนไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายคนนี้บทจะพูดตรงขึ้นมาก็ทำเอาหัวใจอ่อนๆของเขาเต้นรัวจนกลัวว่ามันจะวายไปเสียก่อน คนตัวเล็กพยักหน้าให้ก่อนจะรับปากทุกคำเตือนที่คณิตมอบให้มา เขาอวยพรให้งานของร่างสูงผ่านไปได้ด้วยดีและสัญญาว่าหากกลับมาเมื่อไหร่เขาจะทำของอร่อยๆให้ทาน
รถคันเก่าของคณิตค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปโดยที่สายตาของปูนยังคงจับจ้องร่างสูงผ่านทางกระจกมองหลัง มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งปวดหนวงและสุขสมในคราวเดียวกัน...การรอคอยที่มีความเชื่อหล่อเลี้ยงมันเป็นแบบนี้เองสินะ
ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่เขารอคอยให้รัตติกาลกลับมา
เพราะครั้งนี้เขารู้ว่าคณิตเอง...ก็จะคิดถึงเขาเหมือนกัน
:-[(มีต่อเม้นต์ล่าง) :-[
-
เอมมิกาที่นั่งถอนหายใจอยู่หลังห้องเหลือบมองเพื่อนชายข้างกายที่ดูเงียบขรึมจนเธอเหนื่อยใจจะชวนคุย พลัสที่พยายามรวบรวมสติไว้กับบทเรียนหน้าห้องจดเนื้อหาทั้งหมดลงสมุดเล่มเล็กที่ปกติมันไม่เคยถูกใช้งานมากขนาดนี้ จนกระทั่งเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหลังจากที่เขาเข้าห้องเรียนมาด้วยดวงตาดวงช้ำแบบที่เอมมิกาไม่เชื่อว่ามันเป็นเพราะเขานอนดึก...พลัสก็เปลี่ยนไป
“จะเรียนเอาโล่รึไงแก ขยันเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
หญิงสาวแกล้งพูดเหน็บหลังจากอาจารย์เดินออกไปจากห้องแล้ว นิสิตทุกครั้งทยอยเก็บของและเศษซากขนมที่เอามากินรวมถึงพลัสที่หย่อนสมุดและปากกาลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“แค่เบื่อๆน่ะ”
“เบื่อแล้วยิ่งเรียนเนี่ยนะ แอบไปล้มหัวฟาดพื้นมาป่ะถามจริง”
พลัสส่ายหัวถ้าเขาล้มอย่างที่เพื่อนว่าก็คงดี เอาให้ความจำเสื่อมไปเลย เรื่องร้ายๆที่เขาต้องเผชิญมันจะได้หายไปจากหัวสักที...
“ว่าแต่เลิกเรียนแล้วจะไปไหนกันดีวะ อยากกินไอติมอ่ะ ไปด้วยกันป่ะ”
“เอา...”
ยังไม่ทันที่พลัสจะได้ตอบ เสียงล้อรถบดสีกับถนนก็ดังไปทั่วจนนิสิตที่อยู่แถวนั้นหันไปมองกันเป็นแถบรวมถึงเอมมิกากับพลัสด้วย ร่างบางเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่นเมื่อเห็นรถบิ๊กไบค์สีดำคันคุ้นตาเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทโดยมีร่างของคนขับที่สวมชุดป้องกันสีดำทั้งตัวไว้เช่นเดียวกับหมวกกันน็อคที่ต่อให้ปกปิดใบหน้าเด็กหนุ่มก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร
“ใครวะแก ทั้งรถทั้งคนเท่โคตรอ่ะ”
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
“เดี๋ยวสิ แกจะรีบไปไหนเนี่ยพลัส!”
หญิงสาวร้องถามเมื่อจู่ๆเพื่อนที่ยืนเงียบมานานก็ออกแรงลากเธอเดินไปยังโรงอาหารของตึกที่มีคนนั่งกินข้าวอยู่จนแทบไม่มีที่ว่าง เด็กหนุ่มพยายามมองไปรอบๆเพื่อหาที่ที่เขากับเพื่อนสามารถนั่งลงได้แต่ยังไม่ทันจะได้ทำแบบนั้นแขนของพลัสก็ถูกกระชากอย่างแรงจากทางด้านหลังจนทำให้มืออีกข้างที่จับมือของเอมมิกาไว้หลุดออก
“อะ เอ่อ...นี่มันอะไรกันคะ คุณเป็นใคร”
คนที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากที่สุดกลั้นใจถามโดยที่สายตาก็ไม่ได้ละไปจากชายหนุ่มปริศนาและเพื่อนของเธอที่ดูไม่ตกใจอะไรเลยสักนิด พลัสพยายามบิดแขนของตัวเองออกแต่ยิ่งทำอีกฝ่ายก็ยิ่งบีบมันให้แน่นขึ้นจนความเจ็บปวดถูกแสดงออกทางสีหน้า คนที่ยังสวมหมวกกันน็อคอยู่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาปล่อยให้ความเงียบกดดันร่างบางที่แข็งข้อจนพลัสต้องยอมแพ้ หันกลับไปคุยกับเพื่อนสาวที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
“เขาเป็นคนรู้จักของเราเอง เอมกลับบ้านไปก่อนนะ...เรามีธุระต้องไปทำ”
“คนรู้จักของแก ใครวะ”
เอมมิกาไม่เชื่อคำอธิบายนั้น เพราะเพื่อนของพลัสต่างก็เป็นเพื่อนของเธอด้วยทั้งนั้น จากสายตาที่เคยชื่นชมเปลี่ยนเป็นไม่ไว้ใจ จนพลัสที่ไม่พร้อมจะบอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้นต้องหาข้อแก้ต่างให้ร่างใหญ่แทนทั้งที่ไม่เต็มใจ
“คนจากที่ทำงานน่ะ ขอโทษทีนะเอมเอารถเราไปใช้ก่อนก็ได้”
พลัสหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองออกมาให้เพื่อนก่อนจะบอกขอโทษเธออีกครั้งแล้วเดินออกมาจากจุดนั้นแทบจะทันที แขนของเขายังคงเจ็บเพราะคนที่เดินตามมายังไม่ปล่อยมัน...แม้ว่าคนรอบข้างจะมองมาแค่ไหน คนคนนี้ก็ไม่เคยคิดจะปล่อยเขาไป...ไม่แม้แต่จะสนใจว่าเขารู้สึกยังไง
“ขึ้นมา อย่าให้กูต้องพูดมาก”
บอยที่เปิดปากพูดเป็นครั้งแรกบอกกับพลัสหลังจากพาตัวเองขึ้นมานั่งบนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หมวกกันน็อคอีกใบถูกส่งให้ พลัสก็รับมันมาใส่อย่างไม่เต็มใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ทันทีที่ร่างบางขึ้นมาซ้อนบอยก็บิดรถออกไปแทบจะทันทีจนคนที่ยังตั้งตัวไม่ทันต้องผวาคว้าเอวของร่างใหญ่มากอดไว้แน่น
เมฆฝนที่ลอยอยู่บนฟ้าไม่ได้ทำให้พลัสอึดอัดไปกว่าบรรยากาศระหว่างเขาและอดีตเจ้านายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างไม่เต็มใจ...ใช่...บอยเป็นเพียงอดีตเจ้านายเพราะหลังจากเรื่องคืนนั้นเด็กหนุ่มก็โทรไปหาผู้จัดการทีมคนอื่นเพื่อขอโทษและบอกว่าเขาจะไม่กลับไปทำงานที่นั่นอีกแล้ว ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าหนีไม่พ้นแต่พลัสก็ยืนยันจะทำอย่างนั้นหากมันทำให้เขาอยู่ห่างจากบอยได้แม้แค่นิดเดียวก็ยังดี
“กินข้าวรึยัง”
แม้ว่าเสียงสายลมที่พัดผ่านจะทำให้เขาได้ยินเสียงของบอยไม่ชัดแต่ก็พอเดาได้ พลัสส่ายหน้าน้อยๆแทนคำตอบโดยไม่สนว่าบอยจะเห็นมันไหม ร่างใหญ่ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกจนกระทั่งรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ค่อยๆจอดลงตรงหน้าร้านอาหารตามสั่งเล็กๆร้านหนึ่งที่แทบจะไม่มีลูกค้า
“กูหิว กินร้านนี้ก็แล้วกัน”
ทำอย่างกับจะปฏิเสธได้...พลัสไม่ได้พูดออกไปแล้วยอมเดินไปนั่งในร้านแต่โดยดี ไม่ใช่ว่าไม่อยากขัดขืนแต่มันไร้ประโยชน์ จากการกระทำในโรงอาหารต่อหน้าผู้คนมากมายนั่นก็เป็นบทพิสูจน์ชั้นดีแล้วว่าชายคนนี้จะทำทุกอย่างหากมันจะสนองความต้องการของตัวเองได้ บอยไม่แม้แต่จะถามเขาว่าอยากกินอะไร ชายหนุ่มเดินไปสั่งอาหารกับแม่ค้าแล้วปล่อยให้พลัสหยิบน้ำมาวางไว้บนโต๊ะคนเดียว
“ทำไมเมื่อกี้ถึงเดินหนีกู”
ทันทีที่บอยนั่งลงหัวข้อสนทนาที่จะทำลายบรรยากาศดีๆแม้จะมีเพียงน้อยนิดก็ถูกหยิบมาพูดโดยคนที่พลัสไม่แม้แต่จะมองหน้า เขามองฝ่ามือของบอยที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วคิดก่อนจะตอบไป
“ผมไม่เห็นพี่”
“โกหก...กูก็บอกแล้วว่าจะมารับ”
“...”
“อย่าทำให้กูโมโหนักได้ไหมพลัส”
“ต่อให้ผมไม่ทำ พี่ก็โมโหอยู่แล้ว”
พลัสพูดไปตามความจริง เพราะมือที่จากแรกคลายกันออกตอนนี้เริ่มบีบเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดบวมปูด เด็กหนุ่มเผลอคิดไปว่าหากบอยทนไม่ไหวลุกขึ้นมาต่อยเขาข้อหากวนตีนตอนนี้เลยก็ดี...มันจะได้จบๆไป แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเพราะจู่ๆมือนั้นก็ค่อยๆคลายกันลงก่อนจะเอื้อมมาคว้ามือของพลัสมาจับไว้
“อยากไปไหนไหม กูมีเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าจะเข้างาน”
“...”
“ว่าไง”
“ผมอยากนอน”
“...”
“อยากนอน...เงียบๆคนเดียว”
บอยไม่ตอบจนกระทั่งผัดกะเพราะใส่เต้าหู้ไข่สองจานจะถูกวางลงบนโต๊ะ พลัสลงมือกินอาหารตรงหน้าแล้วนึกกับตัวเองว่าโชคดีเหลือเกินที่อาหารที่บอยสั่งมาเป็นของโปรดของเขาพอดี ไม่อยากนั้นเขาก็คงต้องฝืนกินมันเหมือนกับที่กล้ำกลืนอยู่กับบอยอย่างทุกวันนี้
บอยไม่ได้บังคับทางวาจาหากแต่การกระทำที่เป็นดั่งเงาตามไปทุกฝีเก้าทำให้พลัสคิดไปเองว่าตัวเองไม่ต่างจากนักโทษเท่าไหร่ แต่ทางนั้นคงดีกว่าตรงที่อย่างน้อยนักโทษก็รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรถึงถูกจองจำแบบนั้น
ไม่เหมือนเขา...ที่ไม่เคยรับรู้ความผิดของตัวเองเลย
ความเป็นคนของเขาถูกชายคนนี้พรากไปโดยไร้ซึ่งคำอธิบายมีเพียงอารมณ์โกรธเกรี้ยวเท่านั้นที่ทำให้พลัสรู้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเสน่หา เขาถามแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ มีเพียงแค่คำพูดซ้ำๆที่บอกว่าเขาเป็นคนผิดเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในหัว มันทั้งอึดอัดและเจ็บช้ำจนวันนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นความด้านชา...
ไม่ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้บอยทำร้ายเขา...พลัสก็เกลียดมันจับใจ
หลังจากอาหารทั้งสองจานหมดลง บอยก็เป็นคนจ่ายเงินแล้วพาพลัสกลับมาที่ห้องของตนแทนที่จะเป็นบ้านของร่างบางที่อยู่ห่างออกไปแค่เพียงนิดเดียว มันเป็นความเคยชินที่พลัสไม่ต้องขออนุญาตก่อน เด็กหนุ่มวางกระเป๋าสะพายของตัวเองลงตรงโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่เขาเคยทำอะไรต่อมิอะไรมานับครั้งไม่ถ้วนในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา
“กูได้ไอติมมา อยากกินไหม”
พลัสไม่ตอบแต่ในหัวก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนสาวที่ชวนเขาไปกินด้วยกันก่อนที่จะถูกนำตัวมาที่นี่ ร่างบางหลับตาลงแล้วแสร้งเป็นไม่รับรู้การมีตัวตนของบอยแม้ว่าเสียงฝีเท้าหนักๆนั้นยังคงดังอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งไอเย็นบางอย่างแผ่ซ่านออกมาสัมผัสตรงใบหน้าของเขา
“กินซะ”
“...”
“รสมะนาว ชอบไม่ใช่หรอ”
ไอศกรีมสีเขียวรสเปรี้ยวถูกยื่นมาพร้อมกับช้อนพลาสติกและดวงตาคมๆของคนที่ไร้ซึ่งหัวใจ พลัสรับมันมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นนอนคว่ำ เขาค่อยๆเปิดฝามันออกแล้วตักกินโดยไม่สนใจว่าความซุ่มซ่ามของตัวเองจะทำให้ผ้าปูที่นอนสีขาวนี้เลอะเปรอะเปื้อนแค่ไหน...บอยก็ไม่ว่า เขาปล่อยให้คนที่ไม่ยิ้มเลยนับตั้งแต่วันนั้นทำตามใจอยาก ส่วนตัวเขาเองก็คอยเฝ้าดูและเก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้
“คุกกี้”
“...?”
“ผม...อยากได้คุกกี้”
พลัสทำเหมือนว่ากำลังพูดกับตัวเองเพราะไม่ได้มองตาคนที่ร้องขอเลยสักนิดแต่มันก็ได้ผล บอยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินออกไปเพื่อตามหาของที่ว่า ร่างใหญ่เดินผ่านชั้นหนังสือ ตู้ใบใหญ่ที่มีกุญแจล็อคไว้ และประตูห้องออกไป ทิ้งให้พลัสที่แววตาเซืองซึมเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวไว้เพียงลำพัง
“ถ้าหนีไม่ได้...ผมก็จะไม่หนี”
“...”
“ผมไม่ใช่เหยื่อของพี่หรอกนะ”
.
.
.
.
.
.
“Velvet Falernum ได้แล้วครับ”
ปูนวางเครื่องดื่มสีใสลงบนเคาน์เตอร์ตรงหน้านักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่กลายมาเป็นเพื่อนคุยในคืนที่เงียบเหงานี้ให้กับเขา แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวและเรื่องตลกๆที่ร่างเล็กสรรหามาเล่าให้ลูกค้าฟังเป็นความบันเทิงเล็กๆที่เขามอบให้อีกฝ่ายได้ซึ่งมันก็ได้ผลดี แบงก์สีม่วงหนึ่งใบถูกวางลงบนโต๊ะแยกกับค่าเครื่องดื่มก่อนที่ชายคนนั้นจะจากไป ปูนเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อแล้วนำแก้วที่ว่างเปล่าไปบางไว้บนที่ใส่แก้วใช้แล้วใกล้ๆ
“คนน้อยชะมัด ฝนแม่งก็จะตกอะไรนักหนา”
เป็นอย่างที่ว่าบาร์ในวันทำงานที่ว่าเงียบเหงาอยู่แล้วยิ่งเงียบเข้าไปอีกเมื่อฝนเปลี่ยนฤดูถาโถมลงมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ไม่ใช่แค่โรงแรมนี้หรอกที่ได้รับผลกระทบอีกหลายๆที่รวมถึงโรงแรมของคณิตก็คงจะเหมือนกัน ปูนได้แต่ขำ ใครบอกว่าทำงานโรงแรมสบายนอกจากต้องคอยรับมือกับลูกค้าแล้ว ทั้งสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมอื่นๆยังส่งผลต่อธุรกิจให้ปวดหัวกันเล่นตลอดทั้งปีนั่นแหละ
“ฟ้าฝนมันก็ห้ามไม่ได้แบบนี้แหละ ทำใจเถอะ”
เหมือนกับมองเห็นความคิดเขาได้ คำพูดของคนมาใหม่ทำให้ปูนที่กำลังยืนบ่นอุบรีบหันกลับไปมองจนปะทะเข้ากับร่างของเมษาที่โผล่มาจากด้านหลังโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“ขอโทษครับ”
ปูนรีบบอกก่อนจะถอยออกมา เจ้านายแสนใจดีอย่างเมษาก็ไม่ได้ว่าอะไรหนำซ้ำยังมีน้ำใจปัดรอยเปื้อนเล็กๆตรงปกเสื้อให้เด็กหนุ่มอีก
“ไม่เป็นไร ทั้งที่เธอชนชั้นแล้วก็ที่แอบมายืนบ่นอยู่ตรงนี้ด้วย”
“เอ่อ...”
“ล้อเล่นน่า ฮ่าๆ ขอเหล้าดีๆให้ฉันสักแก้วสิ ไม่ต้องหนักมากนะ”
เมษายิ้มแล้วนั่งลงตรงนั้นเลยแทนที่จะออกไปนั่งทางด้านนอก ปูนเองก็ไม่กล้าขัดเลยหันไปทำตามที่ชายหนุ่มว่า เขาหยิบใบสะระแหน่ใส่ลงในน้ำเชื่อม บดมันให้ละเอียดเล็กน้อยก่อนจะเติมน้ำแข็งและวิสกี้ลงไปโดยมีสายตาของเมษาจ้องมองอยู่ทุกท้วงท่า จนกระทั่งเครื่องดื่มสีอำพันอ่อนๆถูกแต่งประดับมาพร้อมกับใบสะระแหน่ที่ช่วยทำให้จมูกของเขาโล่งมากขึ้นโดยเฉพาะกับวันที่ฝนตกหนักแบบนี้
“Mint Julep งั้นหรอ”
“ครับ แก้หวัดได้ดี ผมว่าเสียงคุณแหบหน่อยๆแล้ว”
ปูนว่าก่อนจะเก็บเครื่องมือที่ใช้แล้วให้เข้าที่ทำเป็นไม่เห็นรอยยิ้มแปลกๆที่เมษาส่งมาให้ ชายหนุ่มที่รับมันไปค่อยๆยกความห่วงใยของปูนขึ้นดื่ม แม้ว่าความเย็นจากน้ำแข็งและใบมิ้นท์จะทำให้ช่วงคอของเขาเย็นไปบ้างแต่ความโล่งที่ตามมาก็ทำให้เมษาพอใจมันไม่น้อย
“เยี่ยมมาก แต่บอกไว้ก่อนนะว่าแก้วนี้ไม่รวมกับสัญญาที่เธอให้ไว้”
“ครับๆ จะให้ทำให้เท่าไหร่ผมก็ไม่มีปัญหา เงินคุณทั้งนั้นนี่นะ”
ร่างเล็กยักไหล่แล้วหันไปให้ความสนใจกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ผิดกับเมษาที่ไม่มีทีท่าสะดุ้งสะเทือนอะไร
“ฉันนึกว่าเธอจะไปกับไอ้คณิตมันด้วยซะอีก”
“ครับ?”
“สัตหีบน่ะ มันไปคุยงานที่นั่นไม่ใช่หรอ”
“อ่อ...ใช่ครับ ไปอาทิตย์นึง”
แทนที่เมษาจะพยักหน้ารับเขากลับหันมาสบตากับปูนที่ไม่อาจอ่านอารมณ์ของคนคนนี้ออกได้เลยสักครั้ง
“เธอคงเหงาแย่”
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมเองก็มีงานต้องทำ”
“อ่าฮะ งานในบาร์ที่แทบไม่มีคนแบบนี้ไง”
“ก็ฟ้าฝนมันห้ามกันไม่ได้ไม่ใช่หรอครับ”
ปูนย้อนกลับไปแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีและคนฟังก็เหมือนกับว่าพอใจวาจายอกย้อนของร่างเล็กอยู่ไม่น้อย
“ฮ่าๆนั่นแหละนะ ขนาดฉันยังเบื่อเลยเธอก็คงเหมือนกัน”
“คุณพูดเองนะครับ ผมไม่ได้พูด”
“เธอจะพูดก็ได้ฉันไม่ว่าหรอก...แต่ต้องหลังจากที่ฟังข้อเสนอของฉันนะ”
ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะโน้มใบหน้าไปหาเมษาที่กระดิกนิ้วเรียกราวกับบอกให้เขาเข้าไปฟังมันใกล้ๆ
“เธอรู้ไหมว่าคณิตมันเป็นคนไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์”
“ก็เคยคิดอยู่เหมือนกันครับ”
เมษายิ้มกริ่มก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกระซิบให้ใกล้กว่าเดิม
“งั้นเรามาแกล้งมันเล่นหน่อยดีกว่า”
“...?”
“ไปสัตหีบกัน...ในฐานะผู้ช่วยของฉัน”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ก่อนอื่น เป็นชื่อตอนที่ยาวและน่ากินมาก (สิ้นคิดด้วย) :hao3: รอบนี้หายไปเป็นอาทิตย์เลยคับ ทำงานตลอดเลย และอาทิตย์หน้าก็อาจจะเป็นแบบนี้อีก เช่ต้องเอาวิจัยไป Try out เวลาแต่งอาจจะไม่มีหรืออาจจะมาเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่จะพยายามไม่หายนะคับ :impress3:
อ่าน feedback ตอนที่แล้วสนุกดี วันนี้เลยเอาระเบิดมาปล่อยอีกรอบ (ลูกเล็กๆน่ารัก o22) ส่วนคู่รองตอนแรกว่าจะเขียนเป็นตอนแยกแต่เอาจริงๆมันก็แยกไม่ขาดอ่ะคับ มันมีความสัมพันธ์กับเรื่องของคู่หลักอยู่ ถึงจะไม่ชอบก็อ่านๆไปเถอะนะคับ :hao4: แฮ่ ทำใจคับ ตัวละครที่เช่สร้างไม่มีตัวไหนไม่โดนเกลียด บอกน้องพลัสไปปรึกษาพี่กาลได้ โดยด่าหนักแค่ไหนก็เซียน (ปัจจุบันก็ยังโดนอยู่) :katai3:
หนังสือพี่กาล ตอนนี้รอเล่มตัวอย่างเพื่อยืนยันการพิมพ์ล็อตจริงกับโรงพิมพ์ จะรายงานความคืบหน้าเรื่อยๆนะคับ ใครที่โอนเงินมาแล้วก็รบกวนเช็คชื่อของตัวเองด้วย เพราะมีบางคนที่ยังไม่ยืนยันการโอนเงินกับเช่เลย ไม่อยากให้ตกหล่นนะคับ ที่ทำระบบให้จองก่อนโอนเพราะกลัวเรื่องนี้เนี่ยแหละ แต่ก็เจอจนได้ ส่วนหนังสือป๋าปูนเริ่มมีคนถามบ้างแล้ว ยังคับ เหลือเวลาเก็บเงินกันอีกนานๆ เรื่องยังมาได้ไม่ถึงครึ่งเลยไม่ต้องรีบเนอะ :กอด1:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ช่วงนี้ยุ่งมากจริงๆไม่มีเวลาตอบแต่อ่านทุกเม้นต์เลย มีชอบบ้างไม่ชอบบ้างเช่ก็น้อมรับแล้วเอาไปปรับปรุงนะคับ^^ เจอกันใหม่ตอนหน้า! :z2:
-
นี่จะถือว่าค้างนะ อยากรู้ เมษไม่ได้มาไม่ดีใช่เปล่า รออ่านตอนต่อไปน้า
-
เดาเมษาไม่ออปว่าจะมาดีหรือมาร้่าย
ส่วนป๋าก็คือป๋าอะ ให้รถด้วย :hao7:
-
จะไปเซอร์ไพรซ์ หรือจะก่อศึกกันแน่ เมษา
-
เราก็เป็นคนหนึ่งที่เกลียดการเซอร์ไพรซ์ที่สุด
งานนี้ คงมีอะไร ไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ เลย
:hao4: :hao4:
-
:pig4:
-
เมษาคิดอะไรอยู่ เราระแรง ระแวงจริงๆนะ รักปูนอีกคนไม่กลัว กลัวรักคณิตนี่สิ สะเทือนจายยยย~~ :z3: :katai1: แฮ่~~ จะรอนะคะ สู้ๆค่ะ :mew1:
-
เมษานี่มาดีมาร้ายยย :katai1:
-
กลัวใจเช่มากกว่าเมษาอีก มันแฮ๊ปปี้เกินไปจนมีกฃิ่นตุๆ
-
แตกพิเศษ
…Be my Valentine...
สิ่งแรกที่ผมเห็นในเช้าวันวาเลนไทน์ปีนี้
คือหน้าหวานๆ...ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
“ขึ้นมาบนนี้ได้ไงเนี่ย”
คณิตบ่นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอึดอัดเพราะร่างของคนที่ถึงแม้จะตัวเล็กแต่น้ำหนักไม่ได้เล็กไปด้วยเลย ชายหนุ่มถอนหายใจพยายามยกท่อนแขนที่พาดผ่านคอของเขาออกไปแต่มันก็ไม่ได้ผล คนที่ไม่รู้ว่าไปง่วงนอนมาจากไหนกลับเกี่ยวรัดคอคณิตแน่นขึ้นอีกไม่สนใจแม้แต่เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลอยมา เมื่อคืนปูนมีงานดึกคณิตเลยไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกลับมานอนตอนไหน เขาเองก็อยากจะปล่อยให้อีกฝ่ายนอนสบายๆอยู่หรอกนะ...แต่ถ้าไม่ปลุกแผนของเขาก็ล่มหมดน่ะสิ
“ปูนตื่นได้แล้ว”
“...”
“ปูน”
“อื้อ”
คนตัวเล็กส่ายหัวไปมาหลบนิ้วเย็นๆที่เกลี่ยอยู่บนผิวแก้มของตน คณิตมองการกระทำไร้สติของปูนอย่างนึกเอ็นดู แต่ก็ต้องสวมบทคนใจร้ายต่อด้วยการบีบจมูกรั้นนั้นเบาๆ จนคนที่ตกอยู่ในนิทราแสนหวานเริ่มหายใจติดขัด
“อื้อ ปล่อย...”
“ตื่นสิ แล้วพี่จะปล่อย”
“พี่นิด ปูนหายใจไม่ออก”
เท่านั้นแหละหยุดเลย ปูนค่อยๆปรือตามองเมื่อมือที่รบกวนการนอนหายไปเหลือแค่เพียงดวงตาตี่ๆที่มองถอดมายังเขาด้วยความเอ็นดูเท่านั้น ปูนทำหน้ายู่แล้วถูหัวของตนไปบนอกของคณิตไปมาแทนการบอกว่าไม่พอใจแค่ไหนที่ถูกบังคับให้ตื่น ใช่...มันก็แค่นิดเดียวเท่านั้น
“ยังง่วงอยู่เลย”
“เมื่อคืนกลับมาดึกหรอ”
“อือ ตีสามได้มั้ง มีอาฟเตอร์ปาร์ตี้ต่ออ่ะ”
“ดื่มเยอะเลยสิ”
“ไม่ได้ดื่ม...ก็สัญญาไว้แล้วไง”
ปูนเงยหน้ามาส่งยิ้มและดวงตาแวววับให้เหมือนกับเด็กๆที่ชอบมาอวดว่าตัวเองทำการบ้านเก่งแค่ไหน แต่แทนที่จะรำคาญคณิตกลับชอบมัน โดยเฉพาะความจริงที่ว่าปูนยอมทำตามที่สัญญากันไว้ว่าหากต้องไปทำงานโดยที่ไม่มีเขาไปด้วยคนตัวเล็กจะไม่ดื่มเหล้าและปูนก็ทำมันได้
“เก่งมาก งั้นวันนี้จะพาไปเที่ยว”
“จริงอ่ะ จะพาไปที่ไหนหรอ”
“โรงแรม”
รอยยิ้มบานๆของปูนหุบลงทันที ถ้าเป็นคู่อื่นหากบอกว่าจะพาไปฉลองกันที่โรงแรมมันคงฟังดูน่าตื่นเต้น แต่สำหรับคู่ที่อยู่โรงแรมเยอะกว่าอยู่บ้านการไม่ออกไปไหนเลยอาจจะฟังดูตื่นเต้นมากกว่า ร่างสูงหัวเราะขำเพราะกะไว้อยู่แล้วว่าคนตัวเล็กต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้
“วันนี้แขกเยอะจะตาย ต่อให้อยากหยุดก็หยุดไม่ได้หรอก”
“แต่ไหนบอกว่าจะฉลองด้วยกันไง”
“ก็ฉลองไง แต่ไปฉลองที่นั่น”
“...แบบนั้นมันเรียกว่าฉลองตรงไหน”
ถึงจะเป็นเพียงเสียงบ่นๆเบาๆแต่คณิตก็ได้ยินมันอยู่ดี เขาผงกหัวขึ้นมาหอยแก้มฝาดของปูนแทนการเอาใจจนคนที่นอยไปแล้วยอมพยักหน้าให้อย่างเสียไม่ได้ ร่างเล็กกลิ้งลงจากตัวของคณิตแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำหวังให้ความเย็นสงบจิตใจที่ผิดหวังลงได้บ้าง ส่วนคณิตก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วลงไปทำบางสิ่งบางอย่างที่ชั้นล่างของบ้าน
ปูนเลือกใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าอ่อน เข้าชุดกันกับเสื้อแขนยาวสีกรมท่าอีกตัวที่เขาหยิบมันออกมาแขวนเผื่อให้คณิตใส่เหมือนกันในวันนี้ มันอาจจะเป็นความพิเศษเล็กๆเพียงไม่กี่อย่างที่พวกเขาสามารถทำในวันนี้ได้ เพราะถ้าคณิตต้องไปทำงานในวันนี้จริงก็เดาได้เลยว่าต่อให้นาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนงานของร่างสูงก็คงยังไม่หมดเลยไปซึ่งนั่นก็หมายความว่า...วันวาเลนไทน์ปีนี้ก็คงจะเหงียบเหงาอีกครั้ง
“เอาน่า มันก็แค่วันวันหนึ่ง”
“...”
“ก็แค่วันเดียวเอง...ทำไมถึงหยุดให้ไม่ได้นะ”
ปูนคงไม่รู้ตัวว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นอ่อนแรงแค่ไหนแต่คนที่กำลังยืนฟังมันจากด้านหลังนั้นรู้ดี อ้อมแขนที่แข็งแกร่งไม่แพ้หัวใจค่อยๆโอบรัดร่างของปูนไว้ก่อนจะโยกตัวไปมาจนคนที่ถูกจู่โจมตกใจ
“ยืนบ่นอะไรอยู่”
“ก็ได้ยินแล้วนี่...”
“อืม ได้ยินแล้ว”
“แล้ว?”
“...ไปรอพี่ข้างล่ะนะ ขออาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะตามไปกินข้าวด้วย”
คณิตจูบบนขมับของปูนเบาๆก่อนจะคลายอ้อมแขนออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งไว้เพียงความหวังที่เหือดแห้งของคนตัวเล็กเท่านั้น ปูนมองตามแผ่นหลังนั้นแต่ก็รู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ทำใจและเดินออกไปจากห้องนอนเพื่อลงไปรอข้างล่างตามที่คณิตสั่ง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูออกมา รอยยิ้มที่หายไปของปูนก็ค่อยๆผลิบานออกมาอีกครั้ง
“นี่มัน...”
ดอกกุหลาบสีแดงถูกวางอยู่บนบันไดทุกๆขั้นโดยที่ข้างๆกันนั้นก็มีช็อคโกแลตราคาแพงที่ปูนชอบกินวางอยู่ด้วย ร่างเล็กรีบปรี่ไปที่บันไดขั้นแรกหยิบทั้งขนมรสหวานขึ้นมาพร้อมกับเจ้าดอกกุหลาบที่ยังคงความสดไว้เหมือนกับเพิ่งถูกเด็ดออกจากต้น
“แอบไปเตรียมไว้ตอนไหนเนี่ย”
ปูนว่ายิ้มๆแล้วแกะช็อคโกแลตชิ้นแรกเข้าปากไปปล่อยให้ความหอมหวานของมันอบอวลและท่วมท้นอยู่ในตัวเขาอย่างไม่อาจหาคำใดมาเทียบได้ ร่างเล็กค่อยๆหยิบเอาดอกกุหลาบทีละดอกขึ้นมาพร้อมกับนึกถึงความรู้สึกมากมายของคณิตที่ถูกบอกผ่านสิ่งนั้น จากหนึ่งเป็นสอง...จากสองเป็นสาม จนกระทั่งปูนเดินมาถึงโต๊ะกลมตัวหนึ่งกลางห้องนั่งเล่น อ้อมแขนเล็กๆของเขาก็แทบจะกักเก็บความรักที่คณิตมอบให้ไว้ได้ไม่หมด
ปูนเคยถามตัวเองนะ ว่าเขากำลังคาดหวังของขวัญแบบไหนจากผู้ชายอย่างคณิตอยู่ แต่เชื่อเถอะไม่ว่าเขาจะคิดถึงมันมากแค่ไหนสิ่งที่เขาคาดเดามันก็ไม่ใกล้กับความเป็นจริงเลยสักนิดเดียว
ไข่ดาวเกรียมๆสองใบถูกวางอยู่บนขนมปังปิ้งที่มีสภาพไม่ต่างกันจนปูนนึกสงสัยว่าทั้งๆที่ใช้เครื่องปิ้งขนมปังอัตโนมัติคณิตยังทำมันไหม้ได้ยังไง แต่ยังโชคดีที่ไส้กรอกและแฮมไม่ได้ไหมไปด้วย...เพราะว่ามันไม่สุก
“ห้ามขำนะ ถ้าขำพี่จะให้เรากินขนมปังไหม้ๆไปตลอดชีวิตเลย”
ปูนไม่ขำหรอกเพราะกำลังน้ำตาคลออยู่ต่างหาก ร่างเล็กหันหน้าไปหาคณิตที่เพิ่งลงมาจากบันไดพร้อมกับสวมเสื้อผ้าชุดที่เขาจัดไว้ให้ เด็กหนุ่มมองมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลของคนที่พยายามเกินตัวแล้วก็ยิ้มอ่อน อาจจะฟังดูแปลกๆไปบ้างแต่พอเห็นแบบนี้แล้วปูนกลับรู้สึกดีใจชะมัด
“พยายามสุดๆเลยนะครับ”
“ก็นะ อย่าเพิ่งเข้าไปในครัวตอนนี้แล้วกัน”
คณิตเดินมารับดอกไม้ที่ปูนอุ้มไว้อยู่มาถือให้แทนเพื่อให้คนที่เขาตั้งใจทำอาหารให้นั่งลงแล้วตั้งใจทานมันพร้อมๆกับเขาที่อยากจะทำของกินดีๆให้แต่ฝีมือก็มีเท่านี้ คนตัวเล็กหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเก็บภาพของขวัญของคณิตไว้โดยไม่ลืมที่จะเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ร่างสูงมากขึ้นจนใบหน้าเปื้อนยิ้มของทั้งคู่ถูกบันทึกไว้ด้วยฝีมือของคณิตที่ช่วงแขนยาวกว่า
“วางโทรศัพท์ก่อน กินเสร็จแล้วค่อยเล่น”
“ครับๆ ขอลงรูปนี้ก่อนนะ”
ปูนทำเป็นรับคำของคณิตแต่มือก็ยังคงจิ้มโทรศัพท์เพื่ออัพโหลดรูปคู่ของพวกเขาทั้งสองคนแถมด้วยอาหารเช้าและกุหลาบช่อใหญ่ขึ้นไปในไอจีที่แทบจะไม่อนุญาตให้ใครติดตาม เพราะจริงๆปูนแค่มีมันไว้เหมือนเป็นไดอารี่ส่วนตัวเท่านั้น พอทำเสร็จร่างเล็กจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับอาหารรสชาติแปลกๆตรงหน้า แต่เชื่อเถอะว่าถึงมันจะไม่อร่อยแต่เขากับคณิตก็กินกันไปหัวเราะไป เหมือนกับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังลิ้มรสอยู่นั้นเลิศรสนักหนา
หน้าที่เก็บล้างตกเป็นของปูนที่อาสาทำเองเพราะอยากเห็นว่าผลจากความพยายามของคณิตมันรุนแรงขนาดไหน แล้วเขาก็ต้องยอมแพ้ เมื่อคราบน้ำมันที่กระเด็นไปทั่วไม่ใช่อะไรที่จะสามารถจัดการให้เสร็จได้โดยไม่กระทบต่อเวลาไปทำงานของร่างสูง ปูนจึงจัดการแช่ทุกอย่างเอาไว้ก่อนแล้วพาร่างของตัวเองไปนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของคณิตโดยไม่ลืมที่จะหยิบกุหลาบที่คนข้างๆมอบให้ติดตัวมาด้วยจำนวนหนึ่ง
“แล้วนี่ต้องทำถึงกี่โมง ปูนจะได้กะเวลารอ”
“ก็น่าจะนานอยู่ ทำไม? อย่าบอกนะว่ายังไม่ถอดใจเรื่องไปฉลองด้วยกัน”
“แน่ล่ะ ดอกกุหลาบของพี่ไม่ได้ทำให้ผมพอใจหรอกนะ รู้ใช่ไหม”
เด็กหนุ่มแกล้งพูดยั่วพร้อมกับส่งสายตาที่สื่อความตั้งใจของตัวเองออกไปได้อย่างดี คณิตได้เห็นดังนั้นก็หลุดยิ้ม เขาลูบหัวของปูนเบาๆทั้งๆที่มืออีกข้างยังต้องประคองพวกมาลัย
“ไม่รับปากแต่จะรีบเคลียร์งานแล้วกัน”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่...ของขวัญที่ปูนเตรียมมาให้พี่นิดก็อด”
“ฮ่าๆขนาดนั้นเลยหรอ บอกได้ไหมว่าเตรียมอะไรมา”
“ไม่บอกหรอก ถ้าบอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ”
“พี่ไม่ชอบเซอร์ไพรส์”
“แต่ปูนชอบ”
ปูนลอยหน้าลอยตาเถียงจนกระทั่งพวกเขาเดินทางมาถึงโรงแรมที่ถูกตกแต่งด้วยบรรยากาศที่อบอวนไปด้วยความรัก ทันทีที่มาถึงคณิตก็ขอตัวไปประชุมงานด้านใน ในขณะที่ปูนก็หลบมาทักทายและช่วยงานพนักงานบางส่วนที่คุ้นหน้ากันดี จนกระทั่งสายๆอิงอรที่เข้ามาทำงานวันนี้เหมือนกันก็ตรงปรี่ข้ามาหาปูนพร้อมกับบราว์นี่ก้อนเล็กๆ
“สุขสันต์วันแห่งความรักนะจ๊ะน้องชาย”
“ขอบคุณนะครับ แต่ของพี่อิงปูนไม่มีให้นะ ไว้จะหาเบอร์หนุ่มหล่อๆมาเส้นให้ที่หลังแล้วกัน”
ร่างเล็กแสร้งพูดทีเล่นทีจริง แต่เขารู้หรอกว่าหญิงแกร่งคนนี้แทบจะไม่สนเรื่องคู่ครองของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องเลยนะเรา ว่าแต่วันนี้พี่นึกว่าปูนกับคุณคณิตจะไปเดทกันซะอีก”
“บ้างานตามเคยน่ะพี่ ปูนกะจะงอนแล้วแต่ดีนะที่เมื่อเช้าทำเซอร์ไพรส์ให้ก่อนจะมาทำงาน ไม่งั้นจะให้ง้อซะให้เข็ด”
“เห็นแล้วล่ะจ้า มดขึ้นไอจีพี่ตั้งแต่เช้า ว่าแต่ปูนจะเซอร์ไพรส์อะไรเจ้านายพี่ล่ะ แอบบอกหน่อยได้ไหมพี่อยากรู้”
อิงอรแกล้งพูดหยอกแต่ปูนกลับพยักหน้ากลับมาให้จนเธอแปลกใจในการตัดสินใจนั้น ใบหน้าที่ดูน่ารักใสซื่อเปลี่ยนมาเป็นเจ้าเล่ห์จนสาวเจ้าปรับอารมณ์ตามไม่ทัน
“บอกได้ครับ เพราะว่าพี่อิงต้องช่วยผมเหมือนกัน”
.
.
.
.
.
.
นาฬิกาเดินมาจนเกือบสามทุ่ม คณิตที่วุ่นวายเรื่องการรับรองลูกค้ามาตลอดทั้งวันจึงพอมีเวลาพักหายใจหายคอได้บ้าง ชายหนุ่มปลดเสื้อสูทตัวนอกของตัวเองออกปล่อยให้ลมเย็นๆที่พัดผ่านเข้ามาทางสระว่ายน้ำของโรงแรมปลอบประโลมความร้อนในตัวเขา ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาหวังจะใช้มันโทรหาคนตัวเล็กที่ป่านนี้คงไลน์มาบ่นเขาไม่หยุดแต่ก็ต้องแปลกใจที่การแจ้งเตือนต่างๆกลับว่างเปล่า
“แปลกแฮะ นึกว่าจะโดนถล่มแล้วซะอีก”
ชายหนุ่มกดโทรออกแทนที่จะส่งข้อความหากันแต่ไม่น่าเชื่อว่าปูนนั้นกลับไม่รับโทรศัพท์เขาเลยสักครั้งจนคณิตเริ่มใจกระตุกกับสิ่งผิดปกตินี้ ไม่ใช่ว่างอนเขาเรื่องวันนี้จะแอบหนีไปเที่ยวที่อื่นคนเดียแล้วหรอกนะ...
“อ้าวคุณคณิต มาทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะคะ”
“อิง เธอเห็นปูนไหม”
แทนที่จะตอบคำถามคณิตกลับถามหญิงสาวกลับไปแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงทักนั้น อิงอรอึ้งไปนิดก่อนจะยิ้มเขาแล้วบอกร่างสูงตามที่ถูกบอกมา
“น้องบอกว่าง่วงเลยแอบหนีกลับไปนอนก่อนน่ะคะ ฝากอิงมาบอกด้วยว่าถ้าคุณทำงานเสร็จแล้ววให้ตามกลับไปที่บ้าน”
ร่างสูงหน้าเสีย แต่ลึกๆก็รู้สึกแปลกๆกับการตัดสินใจของปูนครั้งนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วมองดูรูปคู่ของเขากับปูนที่ถูกถ่ายเมื่อเช้าอีกครั้ง
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ...”
“ใครช่วยใครไม่ได้หรอ”
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก แล้วอิงมีอะไรรึเปล่า”
คณิตบอกปัดก่อนจะถามถึงวัตถุประสงค์ที่อิงอรเดินมาหาเขาถึงที่นี่
“จะชวนไปนั่งดื่มด้วยกันน่ะ พอดีได้แชมเปญมาขวดหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรอิงไปสนุกเถอะ ฉันว่าจะกลับบ้าน”
“จะรีบกลับทำไมล่ะ เมื่อเช้าก็ฉลองกับน้องไปแล้วไม่ใช่หรอ ก็พอแล้วนี่”
“...”
พอโดนคนนอกมาพูดใส่แบบนี้คณิตก็ชักจะคิดมุมกลับบ้างเหมือนกันว่าสิ่งที่เขามองว่ามันเพียงพอแล้วอาจจะน้อยเกินไปสำหรับปูนรึเปล่า มันคงเป็นความผิดของเขาที่พูดให้ความหวังกับร่างเล็กไปก่อนว่าวันนี้พวกเขาจะได้ฉลองกันแต่พอต้องมาทำงานในวันนี้นั้นอะไรหลายอย่างที่คณิตคิดว่าจะทำก็ถูกตัดไปเหลือแค่การมอบความรักเล็กๆน้อยๆแบบเมื่อเช้าเท่านั้น
“เอาน่า ดื่มสักแก้วก็ได้ หัวหน้าแผนกคนอื่นก็อยู่”
“แต่...”
“นะๆ แก้วเดียวแล้วจะยอมให้กลับเลย ตกลงไหม”
พอถูกเสนอมาอย่างนั้นมันก็ยากที่คณิตจะปฏิเสธเขายอมเดินตามอิงอรไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนร่วมงานหลายคนทั้งที่ยังโสดแล้วมากันเป็นคู่ ทันทีที่คณิตมาถึงทั้งเบียร์ แชมเปญ และแม้แต่วิสกี้รสร้อนแรงก็ถูกยื่นมาให้จนเขารับแทบไม่ทัน ชายหนุ่มหันไปหาอิงอรเพื่อจะขอคำอธิบายแต่สาวเจ้าก็กลับหันไปคุยกับคนอื่นไม่ได้ให้ความสนใจกับคณิตอีก
“กินเลยนิด หมดแก้วๆ”
“เออ ผมจะกลับแล้วน่ะครับ ขับรถมาด้วย”
“จะรีบกลับไปไหนล่ะ นอนที่นี่แหละ จะได้เมาไม่ขับ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ ยกเลยๆ”
ชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่าคนนี้ได้เลยต้องรับเอาวิสกี้แก้วใหญ่มาดื่มไปอย่างไม่เต็มใจนัก คณิตรู้สึกพะวงถึงคนที่น่าจะกำลังรอเขาอยู่ที่บ้านแต่เครื่องดื่มและอาหารมากมายก็ถูกยื่นมาให้ยาวๆจนคณิตเสียเวลาไปในวงเหล้าเล็กๆนี่ร่วมชั่วโมงได้แล้ว
ผิวกายขาวตามเชื้อสายขึ้นสีแดงก่ำเล็กๆ ลำพังเครื่องดื่มแค่นี้เขาไม่เมาหรอก แต่เป็นเพราะกินกันมั่วไปหมดแบบนี้นี่แหละเขาจึงรู้สึกมึนหัวแบบช่วยไม่ได้ ร่างสูงพยายามกดโทรศัพท์หาปูนแต่ร่างเล็กก็ยังไม่รับสาย จนความเมามายเริ่มปะปนกับความหงุดหงิดคณิตจึงเป็นฝ่ายเรียกหาเครื่องดื่มแก้วใหม่เสียเองโดยไม่ต้องให้คนคอยคะยั้นคะยอ
“เมาแล้วหรอวะ”
“เปล่าครับ แค่หน้าแดงเฉยๆ”
“หรอ งั้นลองนี่หน่อยไหม รับรองว่าเด็ด”
ชายคนข้างๆคณิตยิ้มมุมปากอย่างน่าสงสัยก่อนจะส่งเครื่องดื่มสีแดงสดที่ลุกเป็นไฟมาให้ คณิตมองมันอย่างแปลกใจแต่กลับได้รอยยิ้มมีเล่ห์นัยของคนรอบข้างมาแทนโดยเฉพาะอิงอรที่เป็นคนจุดไฟบนเครื่องดื่มแก้วนี้ให้กับเขา
“ถ้าดื่มหมด คราวนี้ยอมปล่อยให้กลับแน่ๆค่ะ”
“จะเชื่อได้หรอ”
“ไม่เกี่ยวว่าเชื่อไม่เชื่อ แค่คนที่ทำเครื่องดื่มแก้วนี้เขาแถมรางวัลมาด้วย”
กุญแจดอกหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าคณิตพร้อมกับชูไปมาเหมือนเวลาที่ต้องการหยอกล้อกับแมว เพียงแต่คณิตไม่ใช่แมวและต่อให้ใช่อิงอรก็ไม่ใช่เจ้าของ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเดาให้ยาก...โดนปูนเล่นเข้าให้แล้ว
“เขาไม่ได้บอกว่าจะยกเครื่องดื่มแก้วนี้ให้กับใคร ขอแค่ใครก็ได้ที่ดื่มมันหมดในคราวเดียวก็รับกุญแจนี้ไปได้เลย”
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำคณิตรีบหยิบรัมดีกรีแรงที่มีไฟลุกท่วมมาดื่มจนลำคอตลอดจนช่องท้องของเขาอุ่นวาบ ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์ของมันหรือเครื่องดื่มอื่นๆที่คณิตกินไปก่อนหน้านี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสนุกขึ้น แม้ว่าความจริงที่ว่าเขาถูกคนตัวเล็กหลอกมอมจะน่าเจ็บใจไม่น้อยก็ตาม
คณิตรับรางวัลของตัวเองมาแล้วบอกลาทุกคนบนโต๊ะซึ่งดูเหมือนว่าจะรู้ล่วงรู้แผนการของปูนหมดและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ชายหนุ่มมองหมายเลขห้องที่ถูกสลักอยู่บนกุญแจนั้น ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ปูนกำลังรอคอยเขาอยู่ในโรงแรมของคณิตเองไม่ได้กลับไปไหน หนำซ้ำคนตัวดีคงจะเตรียมเรื่องเซอร์ไพรส์ไว้หวังทำให้เขาแปลกใจ
แค่นี้ก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว...
ตื่นเต้นจนคณิตอยากให้ปูนเห็นมันด้วยตัวเอง...
ชายหนุ่มที่มีฤทธิ์แอลกอฮอลล์และความรักเป็นตัวขับเคลื่อนเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวจนกระทั่งเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องสวีทที่ไร้ซึ่งสิ่งรบกวน คณิตใช้ของรางวัลที่ได้มาไขพาเขาเข้าไปข้างในห้องที่ไฟทั้งหมดถูกปิดแต่กลับมีแสงสว่างจากดวงจันทร์เข้ามาแทนที่
คณิตรู้สึกว่าตัวเองกำลังตาพร่า...
ผิวเนื้ออ่อนที่โผล่พ้นเสื้อคลุมสีแดงสดของปูนทำให้เขาใจสั่น คณิตไม่รู้ว่าคนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงรับรู้การมาถึงของเขาไหมแต่ท่าทางยั่วยวนที่ถูกจัดไว้อย่างจงใจทำให้คณิตกล้าพนันกับทุกคนว่าปูนจงใจทำมันให้เป็นอย่างนั้น ทั้งกลิ่นน้ำหอมที่เขาชอบ เส้นผมที่เปียกน้อยๆแบบที่เขาหลงใหล…
ให้ตายสิ...ไม่ว่าเมื่อไหร่ปูนก็รู้ใจเขาเสมอ
“จะมองอีกนานไหม ปูนรอพี่ตั้งนานแล้วนะ”
เสียงเล็กๆหวานหูของปูนดังขึ้นก่อนดวงตากลมจะจ้องมองมาทางคณิตอย่างสื่อความหมาย คนที่โดนเซอร์ไพรส์ยิ้มอย่างอ่อนใจ เขาทรุดตัวนั่งลงข้างกายปูนที่เปลี่ยนจากนอนหงายเป็นตะแคงเข้าหาแล้ววางหัวกลมลงบนตักแกร่งของคณิตแทบจะทันที
“ไหนว่ากลับไปแล้ว”
“จะกลับได้ไง พี่ก็รู้ว่าปูนมักมาก”
ร่างสูงส่ายหัวแล้วลูบไหปลาร้าขาวที่ไร้อาภรณ์ปกคลุมไปมา
“รู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาทำที่นี่ ไหนบอกว่าอยากอยู่บ้าน”
“นี่วาเลนไทน์นะ จะธรรมดาได้ไง มันต้องพิเศษหน่อยสิ”
“เลยเลือกห้องที่พี่กอดปูนครั้งแรกน่ะหรอ”
มันเป็นคำถามที่คณิตตั้งใจเซ้าให้ปูนอายแต่กลับกัน ร่างเล็กยิ้มกว้างแล้วยันตัวขึ้นนั่งพิงอกของคณิตไว้เพื่อที่ดวงตาออดอ้อนของเขาจะจังจ้องไปยังคณิตได้ถนัดกว่าเดิม
“จำได้ด้วยหรอ”
“จำได้สิ ก็พี่เป็นคนพาปูนขึ้นมา”
“วันนั้นปูนเมา”
“พูดให้ถูกคือแกล้งเมา ไม่งั้นปูนคงปล้ำพี่ไม่ได้”
“ไม่ปฏิเสธนะว่าปล้ำ...แต่พี่นิดจะปฏิเสธไหมว่าไม่ชอบ”
“...”
“...”
“ไม่มีทางอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
สาบานเลยว่ารอยยิ้มที่ปูนเห็นมันช่างทรงเสน่ห์และร้ายกาจแบบที่คนอื่นคงไม่คิดว่าคนแบบคณิตจะมีทำสีหน้าแบบนี้ได้ เสื้อคลุมสีแดงสดของปูนถูกร่างสูงสัมผัสเบาๆจนผิวใต้ร่มผ้าของเด็กหนุ่มร้อนไปหมด คณิตบรรจงปลดมันออกจนร่างกายของปูนถูกเขาสัมผัสและเห็นมันได้ถนัดตา
ปูนบิดเร้าน้อยๆเมื่อริมฝีปากของคณิตไล่สำรวจตัวเขาแทบจะทุกที่ ทั้งเส้นผม ผิวแก้ม ซอกคอ เนินอก หน้าท้อง ไล่ไปจนถึงข้อเท้า...ไม่มีส่วนใดของปูนที่คณิตไม่รู้จักมันเช่นเดียวกับร่างกายกำยำของคณิตนั้นซึ่งปูนจดจำมันได้อย่างดีว่าจุดใดที่คณิตชอบ...และส่วนใดที่จะทำให้คณิตมีความสุขมากที่สุด
“อ่า อย่างนั้นแหละ...”
กลุ่มผมชื้นของปูนขยับขึ้นลงตามจังหวะที่ร่างสูงคอยกำกับให้ผ่านการส่งสะโพกสวนไปทุกครั้งที่ตัวตนแข็งขืนของคณิตถูกปูนครอบครองไปจนหมด ร่างเล็กที่อีกมือหนึ่งกำลังเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองใช้ดวงตากลมมนมองไปยังคณิตที่ไม่ปกปิดสัญชาตญาณและความต้องการต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง ร่างกายที่เล็กกว่ามากของปูนถูกฉุดให้ยืนขึ้นในขณะที่คณิตขยับไปนั่งพิงหัวเตียงทั้งๆที่เบื้องล่างมันต้องการจนปวดร้าว แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็บรรจงสอดนิ้วของตัวเองเข้าไปผ่านก้อนเนื้อนุ่มก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรียวลิ้นจนปูนแทบจะล้มทั้งยืน
“อ๊ะ พอแล้ว ฮึก พอแล้วพี่นิด”
ปูนแทบจะทรุดเพราะขาที่สั่นมันทนไม่ไหวแล้วคณิตก็คอยประคองเข้าไว้ทำให้การหนีสัมผัสที่วาบหวิวเกินไปนั้นทำได้ยาก กว่าร่างสูงจะยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มเป็นอิสระดวงตาของปูนก็ปรือปรอยอย่างคนที่ตกอยู่ในห้วงความฝัน คณิตยิ้มร้ายแล้วสอดตัวตนของตัวเองเข้าไปข้างในในจังหวะที่ร่างเล็กยังเหนื่อยอ่อน
“อ๊าาาาาา”
คณิตรู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบรัดกลางกายของเขาไว้จนหมด เขาปลอบโยนปูนผ่านจุมพิตบนหน้าผากแต่เบื้องล่างนั้นก็ยังคงขยับรัวไม่หยุดยั้งจนปูนสับสนเหลือเกินว่าชายคนนี้แท้จริงแล้วเป็นคนอบอุ่นหรือร้ายกาจกันแน่
ปูนร้องหาความต้องการของคณิตไม่หยุดแม้ว่าอารมณ์ด้านล่างของเขาจะเข้าใกล้ฝั่งฝันมากขึ้นทุกที ร่างเล็กฝังหน้าของตนลงกับหมอนแล้วรับรู้เพียงแค่การขบกันเบาๆบนแผ่นหลังและแรงที่ถาโถมเข้าใส่เท่านั้นจนกระทั่งหยาดน้ำสีขาวขุ่นจะไหลทะลักเปรอะเปื้อนไปทุกพื้นที่
“พี่นิด อึก...พี่นิด”
“เก่งมาก เหนื่อยไหมครับ”
ร่างเล็กส่ายหน้าแล้วพลิกกายหันเข้าหาคนตัวโตที่กำลังมองเขาอยู่จากเบื้องบน ริมฝีปากของทั้งคู่โผ่เข้าหากัน ไม่ต้องใช้คำพูดใดๆอธิบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก ทั้งความสุขสม ห่วงหาและต้องการ...ทั้งคู่ถ่ายทอดมันถึงกันและกันด้วยภาษาที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นเข้าใจ
คณิตลูบแผ่นหลังของปูนอย่างปลอบโยนจนคนที่ยินดีรับความต้องการของเขาไว้เริ่มหายใจเป็นจังหวะ ร่างสูงคอยถามคนในอ้อมแขนเรื่อยๆว่าไหวไหม อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ไปก่อนจะยันร่างกายที่บอบช้ำนั้นขึ้นนั่งจนคณิตต้องทำตาม
“พี่นิด...ปูนมีของขวัญจะให้”
“ของขวัญ? ตัวของปูนนี่ไม่ใช่ของขวัญสำหรับพี่หรอ”
ปูนเบ้หน้าทั้งๆที่ผิวแก้มขึ้นสีแดง เขาสะบัดหัวไปมาแรงๆจนคณิตกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากบ่าเสียก่อน
“ตัวปูนน่ะให้พี่ไปนานแล้ว...แต่นี่เป็นสิ่งที่จะให้วันนี้”
“อะไรล่ะครับ”
รอยยิ้มเล็กๆของปูนถูกจุดขึ้นก่อนของบางอย่างจะถูกยื่นออกไปพร้อมกับความแปลกใจที่คณิตเผยออกมาทางสีหน้า
“หนังสือสอนทำอาหาร...”
“อื้อ!”
“ของขวัญวันวาเลนไทน์”
“อ่าฮะ!”
“ให้พี่?”
“ใช่เลย!!”
ถ้าจะมีอะไรที่มึนกว่าคณิตก็หน้าของปูนแล้วตอนนี้ที่ทำเป็นยิ้มซื่อตีเนียนอย่างน่ารัก ร่างเล็กยื่นมันไปจนชิดใบหน้าของคณิตที่ยังคงไม่รับมันไป คะยันคะยอจนคนที่อธิบายความคิดของตัวเองไม่ออกต้องรับของขวัญชิ้นนั้นมาอย่างเสียไม่ได้
“เอ่อคือ...พี่ก็ดีใจนะ แต่ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม”
“อธิบาย? อธิบายอะไร?”
“อธิบายว่าทำไมถึงซื้อหนังสือนี่ให้พี่”
ปูนร้องอ่อเมื่อเห็นคณิตโบกของขวัญของตนไปมาอย่างต้องการคำตอบ
“ก็ปูนอยากกินอาหารฝีมือพี่อีกไงเลยซื้อให้”
“...!!”
“เมื่อเช้าก็ใช่ว่าจะกินไม่ได้หรอกนะ แต่ปูนอยากกินอย่างอื่นบ้างนี่นา”
คำตอบที่พูดถึงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ถูกส่งมาให้พร้อมกับรอยยิ้มที่อธิบายความเป็นปูนได้อย่างดี...เขาลืมไปได้ยังไงนะว่าปูนเป็นคนแบบนี้
น่ารัก ขี้อ้อน...และเอาแต่ใจที่สุด
“ไม่ได้หรอ...”
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
คณิตถอนหายใจก่อนจะตอบไปพร้อมกับกางแขนเพื่อรับร่างของปูนที่กระโจนเข้าหาเขาพร้อมกับริมฝีปากนุ่มๆที่มอบจุมพิตมาให้
“ขอบคุณนะครับ ปูนรักพี่นิดที่สุดเลย”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ไม่มีอะไรมากคับสำหรับตอนนี้ ครึ่งแรกเป็นความป๋า ครึ่งหลังเป็นความปูน :z1: ยังไงปูนก็เป็นแบบนี้ล่ะน้าาาา
ป.ล. ไปทำการบ้านต่อล่ะคับ
ป.ล.ล. ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตเลย
-
:o8: :o8:
เขินเลยตอนนี้
-
ปูนนี่แสบใช้ได้เลย
ฮ่าๆๆ
-
เขินกว่านี้มีอีกไหม อยากได้ผู้ชายแบบคณิตสักคน :L1:
-
น้องปูนน่ารักจังเลย หลงน้องมากค่ะ :katai2-1:
-
เซอร์ไพรส์กับของขวัญของปูนด้วยย :hao7:
-
เซอร์ไพรส์กับของขวัญของปูนในวันวาเลนไทด์ ด้วยการฟิน คึคึ
:z1: :z1:
-
โอ้ยฟินแรงมาก ปูนมันลูกแมวตัวน้อยๆชัดๆ :impress2:
-
แตกที่ 20
…ทะเล...
ถึงจะเป็นทะเลผืนเดียวกันแต่กลับให้ความรู้สึกต่างกันชะมัด...
ปูนยืนมองผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้าพลางจับผมของตัวเองที่ถูกลมทะเลพัดไปให้เข้าที่ มันคงดีกว่านี้ถ้าชุดที่เขาสวมอยู่ไม่ใช่เสื้อสูทหนาๆและรองเท้าหนังแบบที่ใส่กี่ครั้งก็ยังไม่ชิน แต่ในฐานะผู้ช่วยจำเป็นของเมษาเขาจะเรื่องมากไม่ได้ ให้ตายสิ...จะทำเซอร์ไพรส์ทั้งทีลำบากชะมัด
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
เด็กหนุ่มหันมาถามเจ้านายที่อยู่ในชุดเป็นทางการไม่ต่างกัน เพียงแต่บรรยากาศรอบๆตัวเมษานั้นรุนแรงกว่าเขามาก ชนิดที่ว่าต่อให้ไม่รู้ว่าคนคนนี้มีเงินและอำนาจมากแค่ไหนก็คงไม่มีใครกล้าเข้ามาแหย่หนวดเสือ
“อยู่ข้างๆฉัน และคอยสังเกตการณ์”
“สังเกตการณ์?”
ปูนทวนคำพูดนั้นอย่างไม่เข้าใจ มือก็รับกระเป๋าเอกสารของเมษามือไว้แทนขณะที่พวกเขากำลังเดินเข้าไปในบ้านพักหลังหนึ่งของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของการทำงานครั้งนี้ ร่างเล็กขมวดคิ้วมุ่ยอย่างต้องการคำตอบ แต่เมษาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น
“สวัสดีครับคุณเมษา”
ทันทีที่เดินเข้ามาในบริเวณบ้านก็มีนายทหารในเครื่องแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเมษาถึงที่ ถึงปูนจะไม่รู้เรื่องในวงสีกากีมากนักแต่จากแทบเครื่องหมายบนอกเขาก็ขอเดาไว้ก่อนว่าชายคนนี้คงยศสูงไม่ใช่น้อย
“สวัสดีครับพี่จเร เรียกผมว่าเมษก็พอครับ”
เมษายิ้มรับแล้วทักกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความนอบน้อมและเป็นกันเอง ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ปูนที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาพอจับใจความได้แค่นายทหารคนนี้เป็นคนของคนที่เมษาตั้งใจมาพบ เด็กหนุ่มยืนฟังอยู่ครู่ใหญ่จนรู้สึกเมื่อยขาแอบคิดในใจว่าจะชวนกันเข้าไปนั่งคุยดีๆไม่ได้หรือไง เขาเริ่มแสดงอาการหยุกหยิกมองไปรอบๆเพื่อหาสิ่งที่น่าสนใจกว่า แต่สุดท้ายสายตาของปูนก็ไปหยุดอยู่ที่เจ้ายักษ์ใหญ่สีฟ้านั่นอีกครั้งจนกระทั่งถูกเมษาสะกิดเบาๆที่สีข้าง
“ฉันบอกให้เธอคอยสังเกตการณ์ไม่ใช่รึไง”
“ครับ?”
ปูนทำหน้างง ก่อนจะเพิ่งเห็นว่านายทหารคนนั้นหายไปแล้ว เด็กหนุ่มมองหน้าเมษาถึงปากจะว่าแต่เจ้านายของเขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าโกรธเคืองอะไร
“ถึงความจริงฉันจะแค่กะให้เธอมาเซอร์ไพรส์ไอ้คณิต แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะให้มายืนเหม่อหรอกนะ”
“ขอโทษครับ”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ปูนก็ไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆหรอก เอาเข้าจริงเขาไม่เข้าใจเมษาด้วยซ้ำว่าคิดยังไงถึงให้เด็กที่เรียนไม่จบแบบเขามาเป็นผู้ช่วยถึงจะบอกว่าทำไปเพื่อแกล้งเพื่อนก็ลงทุนไปหน่อยรึเปล่า แต่เอาเถอะ...ที่ปูนยอมมาตากแดดตากลมที่นี่ก็เพราะอยากเจอคณิตหรอก ไม่เกี่ยวกับงานของใคร
“เอาเถอะ ฉันจะพยายามไม่คาดหวังอะไรมากแล้วกันนะ”
เมษายิ้มจนตาหยี่หลังจากพูดเหน็บแนมปูนกลายๆ คนตัวโตกว่าเดินนำเขากลับไปที่รถส่วนตัวซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นของเมษา ร่างเล็กมองเจ้านายของตนอย่างไม่เข้าใจ นี่พวกเขาเพิ่งจะมาถึงไม่ใช่หรอ
“นี่เรากำลังจะไปไหนครับ แล้วงานล่ะ”
“ฮ่าๆ เมื่อกี้เธอไม่ได้ฟังเลยสินะ เมื่อกี้ที่เราคุยด้วยน่ะคือคุณจเร เป็นลูกน้องของคุณพิเชษฐ์คนที่ฉันตั้งใจจะมาพบ”
ปูนรีบยัดตัวเองกลับเข้าไปในรถพร้อมกับโยนกระเป๋าเอกสารที่ไม่รู้ว่าจะแบกลงไปทำซากอะไรไว้ตรงเบาะหลัง
“คุณพิเชษฐ์ที่ว่า เป็นนายพลปลดเกษียณที่ครอบครองที่ดินแถวนี้ไว้หลายแห่ง รวมถึงที่ที่ฉันหมายตาเอาไว้”
“แล้ว?”
“ท่านไม่อยู่น่ะ เห็นว่าลงเรือไปพาไอ้คณิตไปดูปะการังให้ตายสิ ผู้ชายของเธอนี่เห็นนิ่งๆเผลอแปปเดียวนำหน้าฉันไปมากโข”
เมษาพูดหยอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก ไม่สิ...ดูไม่ร้อนใจด้วยซ้ำทั้งๆที่เพิ่งโดนคู่แข่งอย่างคณิตตัดหน้าไป ปูนไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่นั่งเงียบกริบ อันที่จริงเขาไม่อยากรับรู้เรื่องพวกนี้สักจะมีแปลกใจบ้างนิดหน่อยก็ตรงที่ตำแหน่งผู้จัดการของคณิตมี
อำนาจในการตัดสินใจมากขนานนั้นเลยหรอ...
“เดี๋ยวเราจะเข้าไปพักที่โรงแรมกันก่อน ไว้เย็นนี้ค่อยว่ากันอีกที”
“ที่เดียวกับเพื่อนคุณใช่ไหม”
“ฮ่าๆ แน่นอนสิ ตามที่ตกลงกันไว้”
ปูนส่ายหน้าขณะที่เมษาขยิบตาให้ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อตัดบทสนทนา
.
.
.
.
.
.
.
.
ถึงจะเป็นทะเลผืนเดียวกันแต่กลับให้ความรู้สึกต่างกันชะมัด...
คณิตยืนมองผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้าพลางถอนลมหายใจออกอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งแต่เดินมาทางมาถึงสัตหีบได้สี่วันเขาก็ถูกท่านพิเชษฐ์ลากไปดูนั่นดูนี่ไม่หยุดจนนึกสงสัยจริงๆว่าชายแก่คนนี้ตั้งใจชวนเขามาดูที่ดินที่จะนำไปสร้างโรงแรมจริงไหม ว่าแล้วร่างสูงก็หันไปส่งยิ้มให้ชายสูงวัยที่กำลังคุยโวเรื่องชีวิตวัยหนุ่มที่ทิ้งมันไปกับเรือรบและท้องน้ำกว้างๆ ถึงหูจะฟัง ถึงปากจะยิ้มแต่หัวของคณิตกลับขบคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว
จะบอกปูนยังไงว่าต่อให้พ้นอาทิตย์นี้ไปงานของเขาก็อาจจะยังไม่เสร็จ...
คณิตใช้เวลาที่เหลือตลอดทั้งบ่ายไปกับการชมธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่แถบนี้ มันเป็นทั้งข้อดีและข้อด้อยของสัตหีบที่ที่ดินส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยทหาร ในขณะที่ธรรมชาติถูกดำรงไว้ความเจริญใหม่ๆกลับถูกนำเข้ามาได้อย่างมีข้อจำกัด แค่จะสร้างตึกให้สูงกว่าห้าชั้นยังเป็นเรื่องยากจึงไม่แปลกอะไรที่ธุรกิจโรงแรมของที่นี่ไม่ได้ใหญ่โออ่าเหมือนกับเมืองท่องเที่ยวอื่น
“ถ้าคณิตอยากไปเที่ยวที่ไหนอีกบอกลุงนะ พรุ่งนี้ลุงว่าง”
ท่านพิเชษฐ์ที่ยังคงร่างกายแข็งแรงไม่ต่างจากคนหนุ่มหันมาบอกร่างสูงที่อายุห่างกันหลายรอบอย่างใจดี คณิตก็ยิ้มตอบไปแม้ในใจอยากจะตอบกลับไปว่า ‘ถ้าว่างนักก็ช่วยคุยงานกับผมสักทีเถอะครับ’ ใจจะขาด
“เรื่องเที่ยวเอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ผมอยากจะลงไปสำรวจพื้นที่ริมทะเลแถวนี้สักหน่อย”
“ฮ่าๆ ไฟแรงจริงนะ เป็นอย่างที่บรรพตบอกจริงๆ”
คณิตยิ้มสู้อีกครั้งแม้จะรู้สึกอึดอัดที่ชื่อของบิดาถูกอ้างขึ้น แต่ก็พอดีกับจังหวะที่เรือลำนี้จอดเทียบท่า บทสนทนาเมื่อครู่จึงถูกพับเก็บไปตามที่สถานการณ์ยังคับ ชายหนุ่มบอกลาอดีตนายทหารยศใหญ่ที่มีรถส่วนตัวมารอรับตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาถึงฝั่ง พิเชษฐ์รับไหว้แล้วบอกย้ำคณิตเรื่องเที่ยวอีกครั้งจนทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าถ้ายังเที่ยวอยู่แบบนี้อีกเดือนหนึ่งเขาก็คงยังไม่ได้กลับ
“จะกลับไปที่โรงแรมเลยไหมครับคุณคณิต ผมเอารถมารอแล้ว”
คนขับรถของโรงแรมเดินมาถามร่างสูงทันทีที่รถของท่านพิเชษฐ์จากไป คณิตก็หันมาตอบรับด้วยใบหน้าที่บ่งบอกความเหนื่อยล้าชนิดที่คนมองยังรู้สึกได้ ชายหนุ่มรีบเดินขึ้นไปในรถแล้วตั้งหน้าตั้งตาหลับโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะมือถือที่ไฟแจ้งเตือนกำลังกะพริบอยู่หรือคำบอกเล่าของคนขับรถที่ค่อยๆเบาลงจนกลายเป็นความเงียบ
“ป..ด้ยิน...ไหม”
“อือ...”
“ป๋า ตื่นสักทีสิ”
“ขออีกห้านาทีนะปูน ฉันง่วง”
“...”
“เดี๋ยวนะ”
คนที่เพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลังตา เขาพยายามนึกถึงเสียงแว่วๆที่ได้ยิน มันช่างคับคล้ายคับคาเสียจนคณิตรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่น่า...มันจะเป็นไปได้ยังไง
“ถ้าป๋าไม่ตื่นผมปล้ำแล้วนะ”
“เฮ้ย!”
ชัดเลย เสียงเล็กที่ติดจะงอนๆแบบนี้มันจะเป็นใครได้ คณิตเบิกตาโพลงแล้วร้องเสียงหลงทันทีที่เห็นใบหน้าบึ้งตึงของปูนลอยอยู่ใกล้กับเขาชนิดที่เห็นแพขนตายาวได้อย่างชัดเจน ร่างสูงอ้าปากพะงาบๆทั้งความตกใจ สับสนและอะไรหลายๆอย่างทำให้คณิตพูดไม่ออก ในขณะที่ใบหน้าบูดบึ้งของปูนเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มอย่างถูกใจก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ ตลกชะมัดทำหน้าอะไรเนี่ย”
“ธะ เธอ ทำไมมาอยู่ที่นี่!”
แทนที่จะตอบคนตัวเล็กกลับก้มลงจูบปากของคณิตเบาๆเกิดเป็นเสียงจุ๊บดังไปทั่วตัวรถที่มีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ในนี้ สัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ร่างสูงคลายอาการตกใจลงยิ่งได้มองเงาตัวเองผ่านนัยน์ตาของปูนคณิตยิ่งรู้สึกเหมือนสติที่หายไปค่อยๆลอยกลับมา
“ให้ตายสิ โกหกใช่ไหมเนี่ย”
“ฮ่าๆ เซอร์ไพรส์ครับ”
“เออดี เซอร์ไพรส์มาก! ถ้าฉันหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง”
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมผายปอดให้เอง”
ว่าแล้วก็สาธิตเป็นตัวอย่าง จากที่เพียงแค่ฉาบฉวยคราวนี้ปูนกลับสอดลิ้นเข้าไปกระตุ้นจนคณิตตื่นเต็มตา ร่างสูงพยายามขัดขืนแต่ก็เพียงไม่นานมือที่เคยผลักออกก็เปลี่ยนเป็นลูบท้ายทอยของคนตัวเล็กเบาๆจนปูนรู้สึกเสียวซ่าน คณิตมองตาปูน...แล้วรับรู้ความคิดถึงที่เด็กหนุ่มถ่ายทอดมา
“เฮ้อ...จะมาเสียคนตอนแก่หรอเนี่ยเรา”
“หื้ม??”
“เปล่าๆ ว่าแต่เธอมาที่นี่ได้ยังไง ไม่สิ รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
คณิตถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าจำไม่ผิดเขาไม่เคยบอกเด็กหนุ่มที่นั่งคร่อมตักของเขาอยู่ว่าตัวเองมาพักที่โรงแรมนี้
“อ่อ ผมมาทำงานน่ะ”
“ทำงาน? บาร์เทนเดอร์น่ะหรอ?”
“เปล่า...ผู้ช่วยน่ะ”
“ผู้ช่วย??”
“ใช่ เขาเป็นผู้ช่วยของฉันเอง”
ประโยคสุดท้ายนั้นปูนไม่ได้พูด...คณิตรีบยกคนตัวเล็กลงจากตักของตัวเองตามสัญชาตญาณเมื่อรู้ว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาสองคนอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้หันไปมองเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงสบถอย่างขัดใจของปูนที่ดังอยู่ข้างหู
“เฮ้ย ใจเย็นๆ นี่กูเอง”
“ไอ้เมษ!?”
เมษายักคิ้วให้เพื่อนที่ทำหน้าไก่ตื่นอยู่ในรถ ส่วนผู้ช่วยร่างเล็กก็กำลังมองมาที่เขาอย่างจิกๆแบบที่เพิ่มอรรถรสในการแกล้งคนของเมษาได้เป็นอย่างดี
“เออกูเอง ว่าแต่มึงออกมาก่อนดีไหมวะ ดูท่าในรถจะร้อนว่ะ หน้ามึงถึงได้แดงขนาดนี้”
ไม่ต้องให้พูดซ้ำคณิตรีบพาร่างของตัวเองออกมา จนทำให้เห็นว่ารถของโรงแรมที่ไปรับเขานั้นกำลังจอดอยู่ในบริเวณที่จอดรถโดยไร้เงาของคนขับ แบบนี้ไม่ต้องสืบเลยว่าเป็นแผนของใคร
“แกล้งกูจังเลยนะแม่ง โรคจิตรึไงวะ”
“นิดหน่อยเองน่า แต่เรื่องที่เด็กนี่มาเป็นผู้ช่วยของกูน่ะพูดจริงนะ จริงไหมปูน”
เมษาว่าก่อนจะเดินมากอดไหล่ปูนอย่างคนสนิทสนมกันทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ปูนชักสีหน้าขึ้นมาทันทีแต่พอสบตาเข้ากับเมษาที่ดูน่าเกรงขามเกินไปเขาจึงไม่กล้าสะบัดแขนหนักๆนี่ออกอย่างที่ใจคิด ส่วนคณิตก็ได้แต่มองมาที่ทั้งคู่อย่างไม่เข้าใจโดยเฉพาะท่าทางที่ใกล้ชิดเกินความจำเป็นนี่...มันอะไรกัน
“ไม่ยักกะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มึงต้องใช้ผู้ช่วย”
“ก็ลองเปลี่ยนๆดูบ้าง เพราะถ้างานนี้กูไม่เปลี่ยน...กูอาจจะแพ้มึงก็ได้เรื่องที่ดินของท่านพิเชษฐ์”
“คงไม่มั้ง เท่าที่ท่านเล่ายังไงที่ดินที่มึงขอไว้นั่นก็กะจะอนุญาตอยู่แล้ว”
“อันนั้นกูรู้ แต่ที่กูสนใจคือท่านจะเซ็นที่ดินผืนไหนให้มึงมากกว่า”
“...”
“แค่พูดก็ชักจะตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว”
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปทันทีที่เมษาเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ตนเดินทางมาที่นี่ ปูนมองเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังมองหน้ากันอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่ ไม่รู้สิ เห็นคณิตนิ่งๆฮาๆแบบนี้จะลุกขึ้นมาต่อยเมษาบ้างเขาก็ไม่แปลกใจ เพราะถ้าเป็นปูนก็อยากจะฟาดปากคนข้างๆนี่บ้างเหมือนกัน
“มึงจะรู้หรือไม่รู้ก็เรื่องของมึงเถอะ เพราะกูก็ไม่ได้คิดจะแข่งกับมึงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“กะแล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้ ว่าแต่ช่างเรื่องน่าปวดหัวนั่นก่อนเถอะ คืนนี้กูต้องออกไปดื่มกับท่านพิเชษฐ์ขอฝากผู้ช่วยตัวน้อยนี่ไว้ก่อนแล้วกันนะ”
ไม่พูดเปล่า เมษาผลักไหล่ปูนส่งไปทางคณิตที่รับไว้ได้อย่างพอดีก่อนจะเดินจากไปโดยไม่มีคำบอกลาหรือคำอธิบายใดๆ คณิตและปูนมองหน้ากันแต่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่มีใครเข้าใจการกระทำของเมษาสักคน
“ฉันว่าฉันมีเรื่องต้องถามเธอนะ”
“รู้น่า แต่ว่ากลับขึ้นห้องก่อนได้ไหม ยุงกัดผมจนขาลายแล้ว”
ปูนยกขาของตัวเองให้คณิตดู เขาตั้งใจโชว์เรียวขาที่มีตุ่มแดงๆประดับอยู่สองสามจุดอย่างที่ว่า ชายหนุ่มส่ายหัวแต่ก็ยอมจูงมือพาคนที่ถูกจับมาเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายโดยไม่รู้ตัวเข้าไปด้านใน เขาเลือกที่จะกลับไปยังห้องพักก่อนเพราะลมทะเลที่ตากมาทั้งวันเริ่มทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวเอาซะเลย
“อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม ขอสั้นๆนะ ว่าทำไมไอ้เมษมันถึงดึงเธอมาเป็นผู้ช่วยได้”
คณิตว่าขณะถอดเสื้อโปโล่สีอ่อนออกทางหัว ปูนที่ขึ้นมานั่งบนเตียงของร่างสูงอย่างถือวิสาสะมองแผงอกที่ไม่ได้ซบมานานอย่างคิดถึง ก่อนจะตอบไป
“วันก่อนเขามาชวน ว่าอยากทำเซอร์ไพรส์ป๋า”
“กูกะแล้วแม่ง...แล้วเธอก็บ้าจี้ตามมันว่างั้น”
ร่างสูงบ่นกับตัวเองก่อนจะหันไปถามปูน เด็กหนุ่มมองแผงอกที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งคณิตเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ปูนยันตัวขึ้นไปกอดคณิตไว้วางหัวกลมๆไว้ตรงตำแหน่งของหัวใจที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นได้เสมอ
“ก็คิดถึง ไม่ได้กอดป๋าหลายวันแล้ว”
“เฮ้อ แต่ฉันบอกให้เธอเฝ้าบ้าน”
“ผมไม่ใช่หมา จะเฝ้าบ้านได้ไง”
“ปูน...”
“แค่อยากอยู่ด้วยแค่นั้นเอง ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องห่วงหรอก...ถึงจะถูกเรียกว่าผู้ช่วยแต่เรื่องงานผมไม่ยุ่งอยู่แล้ว”
ทำไมปูนจะไม่รู้ว่าคณิตกังวลเรื่องอะไร แค่เห็นสีหน้าร่างสูงเมื่อครู่ปูนก็ดูออกทั้งหมดนั่นแหละ และดูเหมือนว่าคำพูดของร่างเล็กจะทำให้คณิตสบายใจไปเปราะหนึ่ง ฝ่ามืออุ่นหนาที่คุ้นเคยจึงลูบไปตามเส้นผมของปูนเบาๆ
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจเธอนะ”
“ผมรู้ ป๋าไม่ต้องห่วงหรอก...ผมไม่ให้คนคนนั้นหลอกใช้ผมแน่ๆ”
“เมษาไม่ใช่คนไม่ดี”
“แต่ก็เป็นคู่แข่งใช่ไหมล่ะ”
ปูนเงยหน้าขึ้นจากอกของคณิตแล้วสบตากับร่างสูงตรงๆ ซึ่งเขาก็เห็นความไม่สบายใจและลำบากใจอยู่นั้น
“ฉันไม่เคย...อยากเป็นคู่แข่งกับใคร”
“ป๋า...”
“ช่างเถอะ รอฉันอาบน้ำเดี๋ยวนะแล้วเราค่อยลงไปทานข้าวกัน”
ร่างเล็กมองรอยยิ้มที่ถูกปั้นขึ้นและแผ่นหลังของคณิตที่หายลับไปหลังประตูห้องน้ำ เขาเริ่มถามตัวเองว่าคิดผิดหรือคิดถูกที่ยอมรับข้อเสนอของเมษาแล้วเดินทางมาที่นี่...
“ระหว่างคุณกับเขา...มันยังไงกันแน่นะ”
:katai5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :katai5:
-
หลังจากอาบน้ำชำระล้างความเหนื่อยล้าออกไปคณิตก็ใช้รถของตัวเองขับตระเวนพาปูนไปกินร้านอร่อยต่างๆที่เขาเคยลิ้มรสมาก่อนแล้ว ชายหนุ่มยิ้มให้กับภาพที่คนตัวเล็กเกาะกระจกมองวิวข้างทางเหมือนกับเด็กๆ ทั้งๆที่อยู่ถัดไปจากพัทยาแต่สัตหีบกลับเป็นเมืองที่เงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ทันทีที่ท้องฟ้ามืดลงชีวิตย่ามค่ำคืนของคนที่นี่ก็เริ่มต้นขึ้น มันเป็นบรรยากาศสบายๆไม่น่าอึดอัด แต่ก็ไม่บ้านนอกจนถึงขั้นไม่มีอะไรให้เดินดู
คณิตเลือกร้านอาหารริมทะเลที่มีกองทัพเรือเป็นผู้ควบคุมดูแล และแม้จะเป็นร้านอาหารแบบเดียวกันกับที่บางแสนมีให้เห็นหนาตาแต่ร้านที่นี่กลับสงบกว่าอาจจะด้วยเพราะเป็นพื้นที่ทหารทำให้การใช้เสียงถูกจำกัดไปด้วย
“ที่นี่เงียบดีแฮะ เล่นเอาง่วงขึ้นมาเลย”
ปูนแกล้งพูดติดตลกจนคณิตอดไม่ได้ที่จะแกล้งกลับไป
“ง่วงก็ไม่บอก ฉันจะได้ทิ้งไว้ที่โรงแรมไม่พามาด้วย”
“โห้ย พูดเล่นเหอะน่า เอ้าสั่งๆ คนเยอะเดี๋ยวไม่ได้กิน”
คนตัวเล็กรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะหันไปสั่งเมนูที่ตัวเองอยากกินกับเด็กเสิร์ฟด้วยจำนวนที่จดตามแทบไม่ทัน คณิตมองยิ้มๆแล้วก็ส่ายหัว รู้หรอกว่าปูนไม่ได้หิวขนาดนั้นเพียงแค่อยากแกล้งเขาเล่นเท่านั้นแหละ ชายหนุ่มจึงไม่คิดจะสั่งอาหารเพิ่มมากไปกว่านี้ เขาทำเพียงเลือกเบียร์ดีๆจากรายการเครื่องดื่มแต่ในส่วนของปูนเขาเลือกน้ำมะพร้าวปั่นให้เพราะคิดว่าร่างเล็กคงชอบ
“ป๋าดูเหนื่อยๆนะ งานหนักมากเลยหรอ”
ปูนเอ่ยถามเพราะเห็นว่านอกจากที่เขาตักให้แล้ว คณิตก็แทบจะไม่กินอะไร รวมถึงแก้มที่ตอบลงเล็กน้อยนั่นอีก ว่าแล้วปูนก็ตักห่อหมกทะเลใส่จานของคณิตเพิ่มอีกแล้วแถมข้าวให้อีกทัพพีใหญ่ๆ
“จะว่าหนักก็ไม่หนักหรอก...แค่ไม่ค่อยถนัดน่ะ”
“ไม่ถนัด? ไม่ถนัดอะไร?”
คณิตมองใบหน้าขี้สงสัยของปูนก่อนจะหันไปมองทะเลเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องที่เมษาพูดเมื่อบ่ายหรือเบียร์เย็นๆที่เริ่มพรากสติเขาไปทีละน้อยนี่กันแน่ที่ทำให้คณิตเริ่มคิดถึงสิ่งที่เหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้ตลอดเวลา
“ปูน...ตอนเด็กๆเธอเคยคิดไหมว่าอยากเป็นอะไร”
ปูนงงหนักเมื่อคณิตตอบคำถามของเขาด้วยการมอบคำถามใหม่มาให้เขาคิดแทน อยากจะแกล้งไม่ตอบอยู่หรอก...แต่ดูจากท่าทางไม่ทำแบบนั้นจะดีกว่า
“ก็มีแต่คิดเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก...”
“อะไรล่ะ ความคิดที่ว่า”
“...คนทำขนม”
“...?”
“แม่ผมเคยทำขนมขายน่ะ เลยเห็นแม่ทำมาตั้งแต่เด็กๆ”
ร่างเล็กยกยิ้ม แต่ภายใต้ความร่าเริงนั้นคณิตกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ด้วย
“แม่ทำขนมเก่งมาก ทั้งทองหยิบ ทองหยอด แล้วก็ขนมไทยอีกตั้งหลายอย่าง วันๆหนึ่งแม่ต้องทำขนมเยอะมาก ทั้งเอาไปขายที่ตลาดแล้วก็ส่งตามโรงเรียน เพื่อนๆนี่อิจฉาผมกันใหญ่ที่ได้กินขนมอร่อยๆทุกวัน ป๋ารู้ไหมว่าตอนเด็กๆผมอ้วนมากเลยนะ จนแม่เคยแซวว่าหน้าผมกลมกว่าไข่ที่แม่เอามาทำขนมซะอีก”
ปูนถึงเรื่องราววัยเด็กด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข คณิตก็รับฟังมันด้วยความรู้สึกเดียวกัน เขาพยายามนึกภาพของเด็กชายปูนที่คงตัวเล็กกว่าเพื่อนแต่ใบหน้าตอนนั้นคงกลมดิ๊กไม่เรียวเล็กเหมือนอย่างตอนนี้
“เพราะแบบนี้สินะถึงได้อยากเป็นคนทำขนม”
“อื้อ ตอนนั้นคิดแบบเด็กๆน่ะว่าถ้าทำขนมขายก็คงได้กินทุกวัน”
“แล้วทำไมถึงไม่อยากเป็นแล้วล่ะ เป็นความฝันที่ดีออก”
“อ่อ...พอดีแม่เขาเลิกขายไปแล้วน่ะ แล้วป๋าล่ะตอนเด็กๆอยากเป็นอะไร”
คณิตเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบนั้นแต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดมาก เพราะคำถามที่ปูนถามเขากลับมามันเหมือนมีมือมาบีบหัวใจเขาเบาๆ
“ไม่มีเลย ฉันไม่เคยอยากเป็นอะไรสักอย่าง”
น้ำเสียงที่คณิตใช้มันไม่ได้ฟังดูเศร้าแต่กลับหยุดทุกอย่างรอบตัวเองไว้ได้ ชายหนุ่มหยิบเบียร์ที่น้ำแข็งละลายไปเกือบหมดขึ้นมาจิบแล้วนึกถึงชีวิตวัยเด็กแสนจะเรียบง่ายของตัวเขา เช้าไปโรงเรียน เย็นกลับมาบ้าน...แต่เป็นบ้านที่แสนอึดอัด
“พ่อกับแม่ของฉันใจดีมาก ไม่ว่าฉันกับหน่อยอยากทำอะไร อยากเรียนอะไรเพิ่มก็ไม่เคยว่า ท่านสนับสนุนเราทุกอย่าง แม้ว่าพ่อจะเข้มงวดกับฉันไปสักหน่อยเพราะว่าเป็นลูกชายคนโต มันก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร”
“...”
“ฉันทำทุกอย่างได้ดี ถึงแม้จะไม่ดีที่สุดแต่ฉันก็ไม่เคยผิดหวังกับอะไรสักอย่าง เรียนโอเค เพื่อนโอเค ส่วนความรักก็โอเคมั้ง ฮ่าๆ...จนกระทั่งตอนนั้น”
ปูนเผลอกลั้นหายใจเมื่อคณิตหยุดพูดไป เขารู้สึกถึงบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกตื้อไปหมด
“ตอนที่ฉัน...รู้สึกถึงคำว่าแพ้เป็นครั้งแรก”
.
.
.
.
.
“คะแนนออกแล้วเว้ย มาดูเร็วๆๆๆ”
คณิตที่เพิ่งปั่นการบ้านเสร็จมาดๆหันไปกลุ่มเพื่อนทั้งชายและหญิงที่กรูกันเข้าไปดูคะแนนวิชาอังกฤษที่พวกเขาเพิ่งสอบกลางภาคกันไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
“ไม่เข้าไปดูด้วยกันหรอคณิต ทุกคนไปดูกันหมดแล้วนะ”
เสียงหวานๆของหญิงสาวข้างกายเอ่ยกับเขาจนคณิตต้องหันเหความสนใจกลับมายัง ‘แก้ม’ แฟนสาวที่คบกันมาได้สองเดือนกว่าๆ
“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจเบียดกับพวกมัน ยังไงก็ได้ดูอยู่ดี”
“แหม มั่นใจล่ะสิว่ายังไงตัวเองก็ได้ท็อปชั้นเหมือนเดิม”
คณิตหันมายิ้มขำให้หญิงสาว ก่อนจะเอื้อมมือไปหวังคว้ามือของเธอมาจับกันไว้ใต้โต๊ะเหมือนกับที่ทำประจำ แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างนั้นเสียงของเพื่อนคนหนึ่งก็ร้องดังขึ้นจนคณิตต้องหันไปมอง
“เฮ้ย เอาจริงหรอวะ ไอ้นิดโว้ย ไอ้นิด!!”
“เชี้ยแม่ง...เอออะไรวะ! ขัดจังหวะกูจริง”
“มาดูนี่เร็วสัด! คราวนี้มึงสอบได้ที่สอง!!”
“อะไรนะ”
ไม่ใช่เขาที่พูดแต่เป็นแก้มที่อุทานด้วยความตกใจ เขาและเธอเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่จับกลุ่มคุยกันว่าไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะในทุกๆครั้งที่สอบมาไม่เคยมีใครเลยสามารถเอาชนะคณิตในวิชาเลขได้
แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ...
“เมษา ใครกันน่ะไม่เห็นคุ้นชื่อเลย”
คณิตไม่ได้สนใจเสียงของแฟนสาวเพราะในสายตาของเขามีเพียงชื่อของใครก็ไม่รู้ที่จู่ๆก็โผล่มาสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขา และไม่ใช่แค่การขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น แต่นี่มัน...ทำได้เต็ม
“เมษาก็นักเรียนใหม่คนนั้นไง ที่ย้ายมาเมื่อเดือนที่แล้วน่ะ อยู่ห้องเก้า”
“ห้องเก้า? ห้องเด็กอ่อนนั่นน่ะนะ”
“เออ มันดันเข้ามากลางเทอมไงเลยโดนให้อยู่ห้องนั้น ใครจะคิดว่าแม่งจะเก่งขนาดนี้วะ ไอ้คณิตเทียบไม่ อื้อ!”
คนที่กำลังพูดอยู่ถูกปิดปากไปโดยเพื่อนอีกคนที่สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคณิต มันไม่ได้แย่จนถึงขั้นที่ทุกคนต้องเป็นห่วงแต่ใครจะกล้าพูดว่าการถูกแย่งสิ่งที่ครอบครองมาตลอดไปจะไม่ส่งผลต่อจิตใจ
“คณิตไม่เป็นอะไรนะ”
แก้มถามแฟนหนุ่มของเธอที่ยังไม่พูดอะไรเลยด้วยความเป็นห่วง
“อ่อ เออไม่เป็นไรๆ ว่าแต่ท่าทางจะเก่งมากเลยนะเนี่ย ทำข้อสอบอาจารย์เอมอรได้เต็มแบบนี้แกคงปลื้มไปอีกหลายวัน”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆนะ...คณิตคุยกับแก้มได้รู้ใช่ไหม”
คณิตยิ้มให้แก้ม ที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างเกินความจำเป็นด้วยการวางกระดาษที่หนักอึ้งแผ่นนั้นลงแล้วจับมือของเธอไว้
“ไม่เป็นไร เราไม่ท้อกับเรื่องแค่นี้หรอก
และหลังจากการสอบครั้งถัดไป...
“มึงชื่อคณิตใช่ไหม”
คณิตเงยหน้าจากจานข้าวของตัวเองแล้วหันไปมองคนที่เรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงและใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เมษา...ในที่สุดก็มาหาเขาจนได้
“เออ กูเองแล้วมึงล่ะเป็นใคร”
ถึงแม้จะรู้จักหน้าตาของคนที่แย่งที่หนึ่งจากเขาไปเมื่อครั้งก่อนแล้ว คณิตก็วางฟอร์มด้วยการแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเมษารวมถึงสาเหตุที่มันมายืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วย
“กูเมษา เรียกเมษก็ได้ อยู่ห้องเก้า”
“อ่าฮะ แล้ว?”
“กูแค่อยากมาเห็นหน้าคนที่ทำคะแนนสอบได้เท่ากูน่ะ”
แก้มที่นั่งอยู่ข้างๆมองมือที่กำกันแน่นของคณิตแล้วนึกไม่ชอบหน้าคนคนนี้สักเท่าไหร่เพราะคะแนนที่ว่านั่น...คือคะแนนเต็ม
“แล้วยังไงวะ จะมาหาเรื่องกูรึไง”
“เฮ้ยเปล่าๆ กูแค่อยากมาทำความรู้จักกับมึงเฉยๆ ไม่คิดเลยว่าโรงเรียนที่นี่จะยังมีคนเก่งๆแบบมึงอยู่ด้วย”
คณิตและนักเรียนคนอื่นในโต๊ะขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก เพราะถึงแม้จะเป็นโรงเรียนในต่างจังหวัดแต่โรงเรียนของพวกเขาก็ถือเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดและยังสามารถส่งนักเรียนเข้าไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ไม่ต่างจากโรงเรียนในกรุงเทพเลย
“จะว่าไปแล้วกูคุ้นๆหน้ามึงอยู่เหมือนกันนะ เคยเจอกันมาก่อนป่ะ?”
เมษาถามขึ้นพร้อมกับพยายามนึกไปด้วย ส่วนคณิตกลับพยายามตัดบทเพราะไม่อยากจะเสวนากับคนคนนี้ต่อ
“เรียนโรงเรียนเดียวกันก็ต้องเคยเห็นหน้ากันบ้างแหละ นี่ก็จะหมดพักเที่ยงแล้วถ้ามึงไม่มีอะไรสำคัญกูว่ามึงกลับไป...”
“อ่อ! นึกออกแล้ว!”
“...?”
“คณิตลูกเจ้าของโรงแรม The Next ใช่ไหม กูจำได้แล้วว่าเห็นหน้ามึงตอนงานเลี้ยงที่โรงแรมกูครั้งก่อน”
“โรงแรมมึง? นี่มันเรื่องอะไรกันวะ?”
เมษายกยิ้มผิดกับคณิตที่สัมผัสได้ถึงเรื่องวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากได้ยินคำตอบนี้
“กูเมษา เป็นลูกเจ้าของโรงแรม The Pilot โรงแรมคู่แข่งของบ้านมึงไง”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มาแล้วคับ หลังจากวาเลนไทน์ก็ทิ้งช่วงไปพักนึงเลย พอดีเดินทางเยอะไปๆกลับๆบ้านแล้วก็มหาลัยนี่แหละ นั่งรถจนเมื่อยตุ้ม TT เนื้อเรื่องเริ่มเจ้มจ้นขึ้นแล้ว กำลังจะเข้าจุดหักจุดที่หนึ่ง ไม่ดราม่ามากหรอก แม้จะเปิดเรื่องเมษากับป๋าไว้ชอกช้ำนิดหน่อยก็ตาม5555555 (ส่วนเรื่องที่ว่าป๋าเป็นคนพิเศษสำหรับเมษาในแง่ไหน ยังไม่เฉลยนะเบบี๋)
งานของเช่เคลียร์ไปได้เปาะหนึ่งแต่ก็ยังไม่หมดนะคับ เรื่องหนังสือพี่กาลเล่มตัวอย่างก็มาแล้ว สามารถดูของจริงได้ทางเพจเลย ช่วงนี้จะรีบๆอัพป๋าปูนให้บ่อยหน่อยเพราะถ้าหนังสือมาเช่คงต้องใช้เวลาส่งหนังสือก่อนจะอัพทางนี้ต่อได้ บวกกับงาน งาน งาน และงาน เฮ้ออออออออ ชีวิตเทอมนี้มันโหดสัดรัสเซียจริงๆ TT
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะคับ ยังไม่มีเวลามาตอบเช่นเคยแต่อ่านทุกเม้นต์แน่นอน รักนะเบบี๋ :L1:
-
สงสารพี่นิด นี่กดดันมาแต่เด็กเลยไหมมม
-
เข้าใจหัวอกพี่คนโตเลย รู้สึกเหมือนพายุกำลังจะมา
-
เมษาบทเยอะขึ้นนะเนี่ย
จับคู่ให้เฮียทีจะได้ไม่มาป่วนพี่นิด
-
เมษาจ๊ะ ลายพึ่งจะมาออกเหรอ
เธอต้องการอะไร๊
-
จัดคู่ให้เฮียแกสักคน
-
แตกที่ 21
…สายเกินไป...
เป็นอย่างที่เมษาว่า เที่ยงคืนกว่าหมอนั่นยังไม่กลับมาห้องของตัวเอง ส่วนปูนก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ดี เชื่อฟังเจ้านายด้วยการหอบข้าวของมาไว้ห้องของคณิตตั้งแต่พวกเขาเดินทางกลับมาถึงห้อง
ชายหนุ่มที่โดนความเครียดรุมเร้าจนนอนไม่หลับกำลังนั่งพิงหัวเตียงแล้วอ่านหนังสือในมือโดยอาศัยแสงจากโคมไฟเล็กๆ โดยมีบ้างบางครั้งที่คณิตจะละสายตาจากสิ่งที่น่าสนใจในมือนั้นลงแล้วหันมามองปูนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ
“นอนได้น่าอร่อยเหมือนเคยเลยนะ”
เขาพูดขึ้นมาเบาๆเมื่อเห็นว่าปูนกำลังสบายแค่ไหนในห้วงแห่งความฝัน มือที่เล็กกว่าเขานิดหน่อยกำชายเสื้อของคณิตไว้ไม่ยอมปล่อย และถึงแม้แสงจะแยงตาไปบ้างปูนก็ยังคงหันหน้ามาทางนี้จนทำให้ร่างสูงเหมือนโดนจับจ้องตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้อึดอัดหรอกนะกลับกันเขารู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำ
นึกถึงตอนหัวค่ำที่เกือบเล่าเรื่องของตัวเองให้ปูนฟังไป ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแต่คณิตคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเข้าใจเขาได้ง่ายๆมากกว่า อีกอย่างมันก็เป็นเพียงความกดดันที่เข้ามาจู่โจมเขาเป็นพักๆ แน่ล่ะตอนนี้อายุของเขาก็ปาไปเกือบสามสิบแล้ว ไม่ใช่เด็กๆที่จะมาอ่อนไหวกับความเครียดแค่นี้
“อื้อ...ป๋า...”
คนที่หลับใหลคงเกิดหนาวขึ้นมาจึงขยับมาหาเขาทั้งที่ไม่ได้สติ แขนขาวๆของปูนยกขึ้นมาคว้าเองของคณิตมากอดไว้อาการคล้ายลูกแมวเวลาอ้อนอยากได้อะไรบางอย่าง คณิตหลุดขำความคิดของตัวเองก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาถ่ายรูปนั้นไว้แล้วโพสมันลงไปในไอจีส่วนตัวที่มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้น
ติ๊ง!
แต่ลงแค่ไม่ถึงนาทีก็มีคนมาคอมเม้นต์แล้ว
Mossine : เกินไปล่ะ ทำร้ายจิตใจคนโสดอย่างกูเกินไปล่ะ
KGinger : วู้วววว ยังไงครับยังไง เปิดตัวแล้วหรอไอ้สัด
Tooong : ดูท่าจะเพลียน่าดู ถนอมๆหน่อยเพื่อน
คณิตนั่งขำกับข้อความที่เพื่อนพิมพ์มาให้ไม่ขาดสาย เวลาป่านนี้แล้วพวกมันยังตอบมากันได้ แสดงว่าพวกที่อยู่กรุงเทพคงรวมหันกันไปนั่งดื่มอยู่ที่ไหนสักที่นั่นแหละ คณิตตอบข้อความเหล่านั้นไปบ้าง บางทีก็ด่ากลับไปจนคอมเม้นต์ใต้รูปภาพที่มีแคปชั่นธรรมดาๆว่า ‘กินอิ่มนอนหลับ’ ยาวเป็นหางว่าว และในขณะที่เขากับไอ้ขิงกำลังด่ากันอย่างเมามันนั่นเอง ก็มีคนๆหนึ่งมากดไลค์ที่รูปภาพ
‘Rattikarn_n liked your photo’
“ไอ้กาลมันยังไม่นอนอีกหรอวะ”
ร่างสูงขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่เพื่อนคนนี้จะมาเล่นโซเชียลมีเดียดึกๆ ไม่สิ มันแทบจะไม่เล่นเลยมากกว่า รูปสุดท้ายที่รัตติกาลเคยอัพก็เป็นรูปถ่ายที่สนามบินเหมือนกับกำลังจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งเท่านั้น คณิตกำลังจะทักเพื่อนกลับไปแต่จู่ๆคนที่นอนอยู่ข้างๆก็ตื่นขึ้น
“ป๋ายังไม่นอนอีกหรอ”
เสียงติ๊งๆที่ดังอยู่เป็นพักๆปลุกร่างเล็กให้ตื่นขึ้นจากนิทราแสนหวาน ปูนว่าพลางขยี้ตาเป็นเด็กๆ แถมคณิตยังแอบเห็นว่าอีกฝ่ายแอบปาดน้ำลายที่ไหลย้อนตรงมุมปากออกไปด้วย
“คุยกับเพื่อนอยู่น่ะ”
“ไม่ต้องคุยแล้ว...นอนเถอะปูนง่วง”
“ง่วงก็นอนก่อนเลย เดี๋ยวปิดไฟให้”
“ไม่เอา ป๋าไม่นอนด้วยปูนนอนไม่หลับ”
อื้อหือ...นอนไม่หลับเลยเนอะ รอยน้ำลายเป็นดวงๆนั่นยังกองให้เห็นอยู่ทนโท่ คณิตส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ไม่ได้พูดให้ปูนอาย เขามองแอคเคาท์ของรัตติกาลอีกครั้งแต่ก็ยอมตัดใจปิดมันลงพร้อมกับโคมไฟตรงหัวเตียง คณิตล้มตัวลงนอนหันมาหาปูนที่ยิ้มแป้นก่อนจะโอบคนตัวเล็กให้เขยิบเข้ามาใกล้ๆ แสงไฟเพียงเล็กน้อยที่ส่องมาจากข้างนอกทำให้คณิตเห็นว่าปูนกำลังทำหน้าตาเป็นสุขแค่ไหน
ให้ตายสิ ไม่เหลือคราบเด็กร้ายๆให้เห็นเลยแฮะ...
“ฝันดีนะปูน”
.
.
.
.
.
.
.
น่าเบื่อชะมัด...ปูนบ่นกับตัวเองแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน
ถึงจะบอกว่ามาอยู่ที่นี่เพราะคณิตแต่ข้อแลกเปลี่ยนที่ทำกับเมษานั้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กหนุ่มปั้นยิ้มแล้วหันไปโปรยมันใส่นายทหารคนที่นั่งอยู่ข้างๆปล่อยให้เจ้านายเจรจาธุรกิจกับท่านพิเชษฐ์ที่เขาเคยได้ยินเพียงแค่ชื่อต่อไปโดยไม่ปริปากออกความคิดเห็นใดๆ...เพียงแต่คราวนี้เขาค่อนข้างจะตั้งใจฟังมัน
“ลุงไม่ว่าอะไรอยู่แล้วถ้าจะมีโรงแรมดังๆมาเปิดที่นี่ตั้งสองที่ ดีซะอีก ชาวบ้านแถวนี้เขาจะได้มีรายได้เพิ่ม”
“ขอบคุณนะครับ ที่คุณลุงให้โอกาส”
“ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่มันก็มีข้อจำกัดบางอย่างนะ ที่แถวนี้จะทำอะไรสักอย่างเรื่องมันค่อนข้างยุ่งยาก ว่าแต่ได้คุยกับคณิตบ้างไหมคิดจะทำในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ลุงไม่อยากให้มีปัญหา”
แม้จะเป็นคนแก่ที่ยิ้มง่ายแต่สายตาไม่ได้ฝ้าฟางลงไปเลยสินะ ปูนเหลือบมองหน้าของท่านพิเชษฐ์แล้วคิดแบบนั้นในใจ ส่วนเมษาก็ยังยิ้มอย่างเคย
“ผมกับคณิตเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มอปลาย ถึงจะไม่ถึงขั้นสนิทสนมแต่ก็คิดว่าเรารู้จักกันพอสมควร”
“จริงหรอ ลุงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
“ครับ ถึงช่วงมหาลัยคณิตจะเลือกเรียนคณะอักษรก็เถอะ แต่ด้วยฐานะของเราทั้งคู่ยังไงสักวันเราก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี”
มือที่เคยกุมกันไว้หลวมๆเผลอปล่อยออกจากกันเมื่อเมษาพูดเรื่องนั้นออกมา เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าฝ่ายนั้นที่เอาแต่มองไปยังนายทหารยศใหญ่หาใช่คนธรรมดาที่มีแต่คำถามอยู่ในหัวอย่างเขา
อักษร...ป๋าเรียนคณะอักษรงั้นหรอ
“ลุงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ถึงได้เป็นห่วงอย่างนี้ไง”
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ไปกินข้าวด้วยกันไหม จะเที่ยงแล้ว”
เมษาตอบรับข้อตกลงนั้นส่วนปูนกลับไม่อยากไปเลยสักนิด แต่ก็ต้องพับความสงสัยนั้นลงกระเป๋าไปพร้อมเอกสารบางจำนวนหนึ่งที่เมษาส่งมาให้ก่อนจะเดินตามร่างสูงไปยังรถอีกคันของท่านพิเชษฐ์ที่ส่งมารับพวกเขาตั้งแต่เช้า
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จฉันจะไปทำธุระบางอย่างก่อน เธอจะกลับไปหาคณิตที่โรงแรมก็ได้นะ”
“ธุระอะไรครับ เกี่ยวกับงานรึเปล่า”
“ไม่เกี่ยวหรอก ทำไม ถ้าเกี่ยวจะขอตามมาด้วยรึไง”
ปูนเบ้ปาก เบื่อคนคนนี้ทำเหมือนจะรู้ความคิดเขาไปเสียทุกอย่าง
“ใช่ ถึงผมจะมาที่นี่เพราะว่าเพื่อนคุณก็เถอะ แต่ถ้าคุณมีงานที่อยากให้ผมช่วยผมก็ควรจะต้องทำมันไม่ใช่รึไง”
เมษาหรี่ตาลงอย่างไม่เชื่อคำพูดของปูนเท่าไหร่
“เธอนี่นะจะช่วยฉัน”
“อืม ถ้าเป็นงานง่ายๆล่ะก็”
“แล้วถ้าฉันบอกให้ทรยศคณิตล่ะเธอจะทำไหม”
คำถามของเมษาเหมือนอะไรสักอย่างที่มาจุกอยู่ในลำคอของปูนทำให้พูดไม่ออก ร่างเล็กเดาไม่ออกจริงๆว่าคำถามนี้เป็นเพียงคำถามที่ไร้ความหมายหรือมีความนัยอะไรแฝงอยู่ในนั้น
“ถ้าคุณสั่งให้ผมทรยศเขา ก็เท่ากับว่าคุณทรยศเพื่อนตัวเอง”
“ก็ใช่ แต่เธอรู้ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคณิตน่ะ...มันพิเศษ”
คราวนี้เมษาเป็นฝ่ายที่เงียบไป นิ้วที่สามารถชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้เคาะไปตรงที่วางแขนเป็นจังหวะจนเกิดเป็นเสียงน่ารำคาญที่ปูนไม่ชอบเอาซะเลย
“รู้ไหมปูนนอกจากมิตรที่ไว้ใจได้แล้วคนเราต้องการอะไรอีก”
“...”
“ศัตรูที่เท่าเทียม...นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วนึกถึงภาพการแข่งขันระหว่างเขาและคณิตที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในสมัยเด็กๆ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเล่น และแม้แต่เรื่องผู้หญิง คณิตก็เป็นคนที่ทำให้เมษาสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่เสมอมา จนกระทั่ง...ตอนที่คณิตตัดสินใจเลิกเป็นคู่แข่งกับเขา
“ฉันคาดหวังกับเธอไว้สูงนะปูน”
“ครับ?”
“ช่างเถอะ ว่าแต่ฉันขอถามอะไรเธอสักอย่างได้ไหม”
เมษายิ้มพรายในขณะที่ปูนรู้สึกแปลกๆเพราะดวงตาคู่นั้นมันไม่ได้ยิ้มไปด้วย เขาเงียบไปไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธอาจจะเพราะความรู้สึกข้างในที่ร้องตะโกนออกมาว่า คำถามที่เมษากำลังจะถามออกมานั้น...อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเขาก็ได้
.
.
.
.
.
.
.
ถึงวันนี้จะไม่มีนัดกับท่านพิเชษฐ์แต่คณิตก็ต้องออกมาทำงานด้วยการลงมาสำรวจพื้นที่และหาข้อมูลจากชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานทหาร บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ทำกินอยู่แถวนี้ตั้งแต่สมัยก่อน ชายหนุ่มมาในชุดลำลองสบายๆ สิ่งที่พกไปก็มีเพียงแค่กล้องและสมุดบันทึกเล่มเล็กๆที่เขาใช้จดวิถีชีวิตที่น่าสนใจของคนแถบนี้ รวมถึงจุดเด่นของพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น
“พ่อหนุ่มๆ ซื้อทองม้วนไหมจ๊ะ”
คณิตลงกล้องในมือลงแล้วหันไปมองยายแก่คนหนึ่งในชุดคอกระเช้าที่ถือตะกร้าหวายใบเขื่องเอาไว้โดยที่ในนั้นมีขนมไทยมากมายแต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นทองม้วนของดีของสัตหีบนี่แหละ
“ขายยังไงครับยาย”
“ห่อล่ะสามสิบจ๊ะ อย่างอื่นก็มีนะ ยายทำเองอร่อยๆทั้งนั้น”
คณิตยิ้มรับเขาเลือกเอาทองม้วนห่อใหญ่และขนมไทยอีกสองสามอย่าง โดยไม่วายคิดถึงลูกชายแม่ค้าขนมหวานอย่างปูนไม่ได้
“ขอบใจนะจ๊ะ ว่าแต่พ่อหนุ่มมาเที่ยวหรอ แปลกจังทำไมมาคนเดียว”
ยายแก่พูดกับคณิตหลังจากทอนเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอมองชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่ามากด้วยความเอ็นดู แถมยังชื่นชมผิวพรรณขาวๆที่ค่อนข้างจะผิดไปจากคนทะเลแถวนี้
“เปล่าหรอกครับ พอดีผมมาทำงานน่ะยาย”
“งานอะไรรึ”
“จะมาสร้างโรงแรมครับ ที่ที่ให้คนต่างถิ่นเขามาพักกันน่ะ”
คณิตอธิบายเพิ่มกลัวยายแกจะไม่เข้าใจ
“อ่อ ไอ้ที่ใหญ่ๆโตๆหน่อยใช่ไหม ยายเคยเห็นตอนหลานมันพาไปเดินเที่ยวแถวพัทยา”
“ประมานนั้นแหละครับ พอดีมีผู้ใหญ่เขาอยากให้สร้างไว้ สัตหีบคนจะได้มาเที่ยวกันมากขึ้น ยายจะได้ขายของได้เยอะๆไง”
“ขายของได้เยอะๆมันก็ดีหรอก แต่ยายไม่ค่อยชอบตึกใหญ่ๆพวกนั้นเลย”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“ยายว่ามันไม่เหมาะกับที่นี่ คนสัตหีบเราอยู่กันง่ายๆ เช้าทำงานเย็นก็กลับบ้านนอน สถานที่เที่ยวมันก็พอมีอยู่หรอกแต่มันก็เงียบๆไม่อึกทึกเหมือนที่อื่น”
คณิตฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะเท่าที่สังเกตมา วิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้ค่อนข้างสงบ ติดจะเงียบๆเลยด้วยซ้ำ
“ส่วนใหญ่คนเขามาเที่ยวก็จะมานั่งริมทะเลกัน แต่ยายก็ไม่อยากให้คนมาเยอะๆหรอกนะ คนเยอะเงินเยอะจริง แต่ขยะมันก็เยอะด้วย หาดเมื่อก่อนที่ว่าขาวน้ำที่ว่าใสก็มีแต่ขยะเต็มไปหมด นี่ก็มีอยู่หาดหนึ่ง ทีวีเขามาถ่ายพอออกอากาศคนก็แห่มาเที่ยวแล้วตอนนี้เป็นไง สกปรกไม่เหลือเค้าเดิม”
ยายแก่บ่นไปตามความรู้สึกของตัวเองที่เห็นที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ ร่างสูงรับฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้วคิดตาม แล้วลองนึกภาพว่าหากวันหนึ่งทะเลที่เงียบสงบแถบนี้กลายมาเป็นทะเลที่วุ่นวายเหมือนกับที่อื่นคงน่าเสียดายไม่น้อย
ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่นานจนคณิตแกะขนมที่ซื้อจากยายแกมากินเสียหมดเลยต้องซื้อใหม่อีกรอบ โดยที่คราวนี้ยายแกก็ใจดีแถมขนมอย่างอื่นมาอีกจนคณิตตัดสินใจจะกลับไปที่โรงแรมก่อน เพราะเริ่มรู้สึกล้าๆแล้วเหมือนกัน
ทันทีที่กลับมาถึงคณิตก็เดินตรงขึ้นไปยังห้องพักของตัวเองที่ยังไม่ทันเปิดประตูเขาก็สัมผัสถึงไอเย็นที่ลอดออกมาได้ ชายหนุ่มส่ายหัวน้อยๆเมื่อเปิดเข้าไปแล้วเห็นคนตัวเล็กที่ออกไปกับเมษาตั้งแต่เช้ากำลังนอนหลับสบายโดยที่ในมือยังถือรีโมททีวีค้างไว้อยู่เลย
“ปูน ตื่นได้แล้ว อย่านอนตอนเย็น”
ชายหนุ่มสะกิดแก้มของปูนเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะหลับไม่ลึกมากดวงตากลมๆนั้นจึงค่อยๆลืมขึ้นแล้วมองไปรอบๆจนมาหยุดอยู่ที่ตัวเขา
“อื้อ...ป๋ากลับมาแล้วหรอ”
“อืม แล้วเธอล่ะ ทำไมไม่อยู่กับไอ้เมษ”
“เขาไปทำธุระน่ะเลยเอาผมมาปล่อยไว้ที่นี่ก่อน”
ปูนยันกายขึ้นนั่งพลางขยี้ตาน้อยๆเพราะยังมึนๆอยู่ คณิตก็ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู ไม่รู้สิ สำหรับเขาเวลาปูนเพิ่งตื่นใหม่ๆน่ะ ดูน่ารักไม่มีพิษมีภัยที่สุดแล้ว คณิตยื่นมือไปข้างหน้าหวังจะช่วยจัดทรงผมยุ่งๆนั่นให้เข้าที่ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำมัน ปูนก็สะดุ้งและเผลอปัดมันออก
เพี้ยะ!
“...”
“เฮ้ย ขอโทษๆ ผมแค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ”
เด็กหนุ่มพูดแก้ตัวก่อนจะจับเอามือของคณิตที่แรงเพราะโดนตนตีมาลูบเบาๆแล้วแกล้งเป่าเหมือนกับเวลาปลอบเด็กๆ คณิตเองก็คิดว่าปูนคงแค่ยังมึนๆเพราะโดนปลุกก็ไม่ว่าอะไร
“ช่างเถอะ ว่าแต่เย็นนี้เธอต้องออกไปไหนไหม ไอ้เมษมันบอกไว้รึเปล่า”
“ก็ไม่นะ เห็นเขาบอกว่าจะไปไหนก็ไม่รู้กับท่านพิเชษฐ์เนี่ยแหละ”
“งั้นดีเลย เดี๋ยวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปที่หนึ่งกับฉันนะ”
ปูนเอนคอน้อยๆด้วยความสงสัย จนคณิตอดใจไม่ไหวก้มลงมาจูบแก้มของคนตัวเล็กเบาๆก่อนจะตอบ
“ไปเดินงานวัดกัน”
:mc4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mc4:
-
ลานวัดหลวงพ่ออี้ที่ตั้งอยู่ใจกลางตลาดสัตหีบในยามนี้นั้นเต็มไปด้วยแสงสีและผู้คนผิดกับตอนกลางวัน จากลานกว้างๆถูกแบ่งออกเป็นซอยย่อยๆตามแนวเต็นท์ที่ทางวัดจัดมาให้ หลอดไฟที่ถูกแปลงให้เป็นสีต่างๆก็ประดับอยู่เรียงรายเป็นเส้นยาวเช่นเดียวกับร้านค้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยจากอดีต
“เห็นยายแกบอกว่าสมัยแกสาวๆพวกร้านขายของก็ตั้งแบบนี้นะ เดินกี่ปีๆก็เหมือนเดิม จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็ไม่เยอะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พอมีงานทีไรก็ต้องมาเดินอยู่ดี”
คณิตพูดกับเด็กหนุ่มข้างกายโดยที่ไม่มองหน้า แต่สองมือที่จับกันไว้นั้นทำให้ร่างสูงอุ่นใจว่าเขาจะไม่มีทางพลัดหลงกับปูนต่อให้ต้องเดินไปท่ามกลางฝูงชนแบบนี้ก็เถอะ ส่วนปูนที่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มานานก็เอาแต่มองไปรอบๆด้วยความสนใจ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเที่ยวงานวัดนะ เขาก็ไม่ใช่คนเมืองอะไร สมัยเด็กๆก็เคยสัมผัสงานพวกนี้มามากเหมือนกัน
“นึกถึงตอนเด็กๆเลยป๋า จำได้ว่าถ้าแถวบ้านมีงานแม่ผมต้องเอาขนมมาขายแล้วผมก็ต้องอยู่ช่วยทุกที แถมต้องขยันช่วยด้วยนะ เพราะแม่จะแบ่งเงินจากที่ขายได้เอามาให้ผมไปยิงปืนเล่น”
ปูนหันมาเล่าเรื่องของตัวเองบ้างด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแบบที่คณิตชอบที่สุด มันดูเป็นธรรมชาติ และชวนมองเสมอสำหรับร่างสูงที่เผลอยิ้มไปตามๆกัน คณิตพาปูนเดินไปรอบๆงานเพื่อหาอะไรมารองท้องก่อนถึงคนตัวเล็กจะซัดขนมไปซะเต็มคราบแล้วก็เถอะ เขาเปิดโอกาสให้ปูนเลือก เพราะโซนอาหารของที่นี่มันเยอะจนเขาตัดสินใจไม่ถูก เด็กหนุ่มเองก็มองของกินทุกอย่างอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกนั่งลงที่ร้านนี้
“ป้าครับ ผัดไทยสอง หอยทอดใส่ถั่วงอกเยอะๆหนึ่ง”
คณิตเดินไปสั่งอาหารโดยที่ก่อนจะกลับมาที่โต๊ะเขาก็เดินไปรินน้ำดื่มมาสองแก้วด้วย ส่วนปูนก็ถูกคณิตสั่งให้นั่งอยู่เฉยๆ มองคนตัวโตเดินไปเดินมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“จะว่าไป พวกเราไปที่ไหนก็กินผัดไทยหอยทอดกันตลอดเลยนะ”
ร่างสูงพูดขึ้นหลังจากหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกที่ไม่แข็งแรงมากนัก ปูนมองหน้าคณิตแล้วก็ยิ้มออก มันนึกถึงวันเก่าๆ ตอนที่ร่างสูงยอมไปนั่งกินผัดไทยข้างทางกับเขาที่กรุงเทพครั้งแรก...
“ลองเปิดร้านขายผัดไทยที่บางแสนเลยเป็นไง ท่าทางจะรุ่งนะ”
“รุ่งริ่งน่ะสิไม่ว่า ทอดไข่ยังไหม้มีหน้าจะไปขายผัดไทย ฮ่าๆ หรือว่าเธอจะช่วยฉันขาย”
คณิตแกล้งพูดเหย้า ปูนจึงทำได้แค่หัวเราะโดยที่ในหัวดันนึกภาพนั้นตามไปด้วยอย่างไม่อาจห้ามใจ
นั่นสินะ...ถ้ามันเป็นไปได้ก็คงดี
รอไม่นานผัดไทยร้อนๆสองจานและหอยทอดก็ถูกนำมาเสิร์ฟถึงที่ ปูนจัดการปรุงให้ทั้งคณิตและของตัวเอง ส่วนคณิตก็หยิบช้อนแล้วก็แกะตะเกียบวางลงบนจานของปูนก่อนทั้งคู่จะกินไปคุยกันไปจนมันหมด
หลังจากนั้นคณิตก็พาปูนตะลอนเดินจนทั่วงาน พวกเขาเดินดูของที่ไม่เคยเห็นและซื้อกลับมาเฉพาะชิ้นที่อยากได้ คนตัวเล็กได้เล่นยิงปืนหลังจากที่ไม่ได้ทำมันมานาน ยิงผิดบ้างพลาดบ้างก็มีคณิตคอยช่วยจนปูนได้ตุ๊กตาควายตัวใหญ่มากอดไว้ แม้ของที่ทั้งซื้อและได้มาจะมีมาก แต่ทั้งคู่ก็เหมือนรู้ใจกัน...พวกเขาถือของเหล่านั้นด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วปล่อยให้อีกมือที่เหลือจับกุมมือของกันและกันไว้ไม่ยอมห่าง
“ปูน ไหว้พระกันไหม”
คณิตพูดขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงสถานที่สุดท้ายที่ทุกคนในงานจะต้องมา โบสถ์หลังใหญ่ที่ผู้คนเดินเข้าไปสักการะไม่ขาดสายตั้งอยู่ตรงหน้า ทันทีที่ปูนพยักหน้ารับปูนก็บอกให้เด็กหนุ่มเดินไปรอเขาอยู่ที่มุมหนุ่มก่อนร่างสูงจะอาสาไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนรวมถึงใบอนุโมทนาบุญมาด้วย
พวกเขาเดินไปฝากของที่มีอยู่เต็มสองมือไว้กับซุ้มประชาสัมพันธ์ก่อนจะพากันเดินเข้าไปยังหน้าโบสถ์ที่มีชาวบ้านกำลังไหว้พระประทานด้วยความนอบน้อม ปูนกับคณิตค่อนๆคลานเข่าเข้าไปจุดเทียนและธูปจนเสร็จเรียบร้อยแล้วถอยออกมาเพื่อให้คนอื่นได้ทำบ้าง พวกเขาหันมามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะละสายตาจากกันแล้วเริ่มท่องบทสวดบูชาตามพิธีทางศาสนา
แต่ในขณะที่จิตของคณิตกำลังตั้งมั่น หัวใจของปูนกลับสั่นไหวจนแม้กระทั่งบทสวดง่ายๆเขาก็ไม่อาจท่องมันได้อย่างเคย ปูนนั่งนิ่งแล้วหลับตาอยากให้ดินแดนที่แสนสงบนี้กลบลดความรุ่มร้อนในใจของเขาได้
...
“เธอรักคณิตรึเปล่า”
เมษาถามปูนด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไป ในขณะที่เด็กหนุ่มที่ปั้นยิ้มมาตลอดกลับเบิกตาขึ้นราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง
“ทั้งเธอและคณิตบอกว่าไม่ใช่คนรักของกันและกัน แต่การกระทำที่แสดงออกมามันสวนทางกับคำพูดอย่างเห็นได้ชัด”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน”
“...”
“คุณจะมายุ่งกับความรู้สึกของเราทำไม”
พอตั้งสติได้ปูนก็ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหลือความเป็นมิตร เมษายิ้มมุมปากก่อนจะหันไปมองวิวนอกหน้าต่างทำเหมือนกับว่าเรื่องที่กำลังพูดอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผิดกับอีกคนที่รู้สึกเหมือนถูกคำพูดของคนคนนี้แทรกเข้ามาตรงกลางตัวแล้วควานหาบางสิ่งบางอย่าง
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่หวังดี”
“หวังดี?”
“ใช่”
“...”
“ฉันรู้นะ ว่าเธอเคยมาทำอะไรไว้ที่โรงแรมของฉัน”
ปูนรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกเมษาจับเอาไว้ได้แล้วออกแรงบีบมันน้อยๆด้วยรอยยิ้มที่ไม่คลายลงไปแม้แต่นิด เขารู้...รู้ได้ยังไง
“จริงอยู่ที่มีไอ้บอยคอยช่วยไว้ แต่อย่าลืมสิว่าฉันคือใครและมันเป็นใคร ต่อให้พยายามปกปิดมากแค่ไหนมันก็เปล่าประโยชน์
“พี่บอย...เขาไม่เกี่ยว”
“เรื่องไอ้บอยน่ะช่างเถอะ ฉันยังไม่คิดจะขยี้มันตอนนี้ เธอก็เหมือนกัน”
“...”
“ดูเหมือนว่าพักหลังนี้เธอจะไม่ได้มาหากินในโรงแรมของฉันอีก ขอเดาว่ามันเป็นเพราะคณิตใช่ไหม”
“...”
“ใช่สินะ”
ถ้ารู้อยู่แล้วจะถามทำไมกัน ให้ตายเถอะ ปูนอยากให้ไอ้รถนี่ไปถึงร้านอาหารเร็วๆ รถก็ใหม่ทำไมถึงได้ขับช้าอย่างนี้นะ
“แล้วมันยังไงครับ...การที่ผมกับเขาจะมีความสัมพันธ์กันไม่ว่าจะแบบไหนก็เถอะ มันทำให้คุณเดือดร้อนรึไง”
“เธอพูดถูก ฉันไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่คณิตน่ะไม่...”
“...?”
“ในฐานะทายาทโรงแรมดังอย่างคณิตน่ะ...การจริงจังกับเธอมันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ”
ปูนรู้สึกชาไปทั้งร่าง เขาเห็นเหมือนว่าปากของเมษาค่อยๆขยับชาลงจนถ้อยคำเสียดแทงเหล่านั้นแทงทะลุไปทั้งอก เมษาที่เห็นปูนนิ่งไปก็หันมามองด้วยความสงสัยก่อนที่เด็กหนุ่มที่หัวใจเต้นเร็วจนเจ็บจะถามเขาย้ำอีกครั้ง
"เมื่อกี้คุณว่าไงนะ...ใคร...ใครเป็นทายาท"
"นี่มัน...อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้"
ปูนเงียบซึ่งนั่นก็แทนคำตอบทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยในเรื่องนี้แต่เขาก็ยังใจดี พูดให้ร่างเล็กฟังอีกครั้งถึงฐานะและตำแหน่งที่แท้จริงของเพื่อน
" 'คณิต เจริญวัฒนะ' ลูกชายของคุณลุงบรรพต เจ้าของโรงแรม The Next นั่นไง"
…
“ปูน! เป็นอะไรรึเปล่าปูน!”
เด็กหนุ่มที่หลับตาอยู่สะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงของคณิตร้อนรนของคณิตดังอยู่ข้างๆหู แล้วพอเขาหันไปมองก็เห็นใบหน้าที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ปะ ป๋า...”
“เป็นอะไรนั่งนิ่งเชียว แล้วนี่ร้องไห้ทำไมน่ะ”
คณิตว่าก่อนจะใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้มของปูนเบาๆ ร่างเล็กถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่เขากำลังจมอยู่กับความรู้สึกแบบไหน ธูปที่ถูกจุดไว้ไหม้ไปเกือบครึ่ง เสื้อยืดคอวีสีฟ้าตัวที่คณิตซื้อให้ก็มีขี้เถ้าตกอยู่เต็มไปหมดจนคนตัวสูงต้องคอยปัดมันออกให้อีกแล้ว
“แพ้ควันธูปหรือยังไง เห็นนั่งหลับตาฉันก็นึกว่าเธอเผลอหลับซะอีก”
“บ้า ใครจะมาหลับตรงนี้กัน”
“ถ้าไม่หลับก็รีบไหว้เร็วๆเข้า คนอื่นเขาต่อคิวอยู่เห็นไหม”
ปูนหันไปมองก็เห็นเหมือนที่คณิตบอก เขาจึงรีบยกมือไหว้นำดอกไม้ไปวางแม้เรื่องทุกข์ใจในอกยังไม่คลายลงไปเลยแม้แต่น้อย คณิตพาปูนมาสวมรองเท้าแล้วเดินจูงมือกันออกมาเขียนใบอนุโมทนาบุญเพื่อขอให้ผลบุญกุศลที่ธรรมนั้นตกแก่คนที่ถูกเขียนชื่อลงไปในนั้น
“เธอพกกระเป๋าเงินมาไหม”
“อืม”
“งั้นใช้เงินตัวเองนะ ใบนี่ก็เขียนชื่อตัวเองกับพ่อแม่ลงไป”
คณิตยื่นมันให้กับปูนส่วนอีกใบเขาก็เอามันมาเขียนในส่วนของตัวเอง เพราะปากกาที่ทางวัดจัดไว้เป็นแบบผูกติดอยู่กับโต๊ะ คณิตและปูนจึงจำเป็นต้องแยกกันเขียนซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับร่างเล็กที่มือสั่นจนแทบเขียนไม่ออก
ปูนมองใบหน้าของคณิตด้วยความรู้สึกที่ผิดไปจากทุกครั้ง เพราะความทรงจำครั้งเก่าต่างก็ย้อนเข้ามาเพื่อทำให้ปูนตระหนักว่าคนที่เพิ่งปาดหยดน้ำแห่งความเศร้าออกจากแก้มของเขาเมื่อครู่...เป็นไร
“เพื่อนพี่สมัยมหาลัยเป็นลูกเจ้าของโรงแรมนี้น่ะ”
“เพื่อนสนิทหรอครับ?”
“สนิทไหมก็สนิทนะ มันเป็นเพื่อนที่ดีมากสำหรับพี่เลย”
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
ปูนเขียนชื่อของคณิตซ้ำๆเพราะหมึกของปากการาคาถูกมันจางลงได้ง่ายแค่เจอรอยน้ำตา ไม่ว่าปูนจะพยายามเขียนมันมากเท่าไหร่ชื่อของคณิตก็มีแต่พร่าเลือนไปทุกๆครั้ง
“เป็นแค่ป๋าไม่ได้หรอ...เป็นแค่ป๋าของผม ไม่ใช่คณิตของคนอื่น”
“...”
“ทำไมป๋าต้อง...เป็นเพื่อนกับคนคนนั้นด้วย”
ปูนก้มหน้าลงเพื่อซ่อนรอยน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น ทั้งอดีตที่เขาเคยมี และปัจจุบันที่เขาเป็น เขาอยากลบมันออกไปให้หมดสิ้น
วันนั้น...
ถ้าปูนรู้ว่าคณิตเป็นใคร ปูนจะไม่เข้าไปยุ่ง
ถ้าปูนรู้ว่าคณิตอบอุ่นแค่ไหน ปูนจะไม่ปล่อยให้กอด
และถ้าปูนรู้ว่าความอบอุ่นของคณิตจะทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้
ปูน....จะไม่รัก
แต่ตอนนี้มัน...สายเกินไปแล้ว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ปล่อยระเบิดดังตู้ม! ผิดคาดล่ะซี่ คิดว่าป๋าจะรู้เพราะว่าพี่กาลบุกใช่ไหม :katai3: เอาน่าๆ ทามไลน์ในเรื่องพี่กาลอยู่เมืองนอกแล้วคับ แถมค่าตัวแพ๊งแพง ไม่โผล่มาง่ายๆหรอก
รอบนี้มาเร็ว เพราะมีช่วงว่างอยู่นิดนึง (จริงๆก็ไม่ว่างหรอกคับ แต่แกล้งทำตัวว่าว่าง) ตอนต่อไปเช่อาจจะมีการใช้มุมมองตัวละครเล่าเรื่องบ้างในส่วนของความรู้สึกของปูนว่าไปรักป๋าตอนไหนอะไรยังไงนะคับ คิดว่าไม่น่าจะทิ้งช่วงนานมาก รออ่านกันเนอะ :mew3:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลย มีแต่คนอยากเห็นพี่เมษมีคู่ เอาจริงๆไม่ได้กะจะมีให้เลยคับ แค่คู่รองก็เอี๊ยดแล้ว มีใครคิดถึงพลัสบอยบ้างไหมเนี่ย 5555555 คู่รองที่โลกไม่ต้องการ โอ๋ๆ :man1: :กอด1:
-
สงสารปูน แต่อย่าเพิ่งคิดมากดิหนู ป๋าอาจจะไม่อะไรเลยก็ได้ กับกาลก็จบไปแล้วตั้งนาน ใจเย็นๆ
-
สงสารน้องปูนนนน ไม่อยากให้น้องปูนเจ็บอีกแล้วค่ะ เมษาต้องการอะไรจากป๋าอีก ปล่อยป๋าไปเถอะ อย่าเห็นเป็นคู่แข่งเลย :mew5:
-
ปูนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!
งือ ใจเย็นๆนะ ไม่ว่าเรื่องจะดำเนินไปทางไหนต่อปูนก็อย่าฝืนตัวเองนะ
ปูนเป็นคนที่พูดน้อย แต่โคตรคิดมาก
ดูเหมือนไม่ค่อยแคร์อะไรนะ แต่ปูนเล่นกดดันตัวเองจนเค้ากลัวว่าปูนจะรับไม่ไหวแล้วเนี่ย
ถ้าปูนยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ สักวันปูนต้องเป็นโรคหัวใจไม่ก็ไม่เกรนแน่เลย แง้
-
:mew6: :mew6:
-
:a5: ค้างแรงมาก สงสารปูน สงสารป๋า ด้วย :ling2:
-
มันใกล้ตัวเกินไปถึงเจ็บแบบนี้
ผชแสนดีแบบพี่นิดทำให้เผลอใจ
ปล คุณเมษต้องได้แฟนแบบแรงๆ สู้คน ไม่ยอมกัน แตกอีกเรื่องเลย
-
เป็นเรื่องจนได้สิน่า แต่ยังไงสักวันปูนก็ต้องรู้อะนะ :hao4:
เป็นกำลังใจให้นุงปูน จะสู้หรือจะหนี ก็เลือกเอานะลูกโตแล้ว
คือแปลกใจกับเมษ เหงาเหรอลูกวุ่นวายชีวิตชาวบ้านไปเรื่อย o22 o22
-
เมษาจะกลายเป็นบอสตัวสุดท้ายในเกมหรือเปล่า
ด่านที่หินที่สุด คือ คนที่เหมือนจะอยู่ข้างตัวเองมานาน
-
น้องคิดมากเกินไปแล้ว
-
แตกที่ 22
…ผีเสื้อ กับ ดอกไม้...
คุณเคยตกหลุมรักใครไหม?
ผมเคยดูในทีวี เขาบอกว่าเวลาคนเราตกหลุมรักเราจะรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อเป็นพันๆตัวบินอยู่ในท้อง ตอนนั้นผมฟังแล้วก็นั่งขำ มันคงเป็นความรู้สึกที่จั๊กกะจี้น่าดู แต่ก็นั่นสินะ...จั๊กกะจี้...ความรักมันอาจเป็นแบบนั้นก็ได้
ตั้งแต่เกิดมาผมเคยตกหลุมรักอยู่สองครั้ง ตอนที่ผีเสื้อมาบินอยู่ในท้องของผมครั้งแรก...หมายถึง การตกหลุมรักครั้งแรกของผมน่ะเกิดขึ้นกับชายที่ชื่อว่า ‘รัตติกาล’ ที่แปลว่ากลางคืน ความรู้สึกเวลาอยู่ด้วยก็เหมือนกับชื่อของเขานั่นแหละ
น่าหลงใหล...แต่ก็น่ากลัว
พี่กาลเป็นผู้ชายแบบที่ผมชอบทุกประการ เขาสุภาพ ใจดี อ่อนโยนกับผมเสมอแม้ว่าบางครั้งเขาจะเผลอแสดงความดิบเถื่อนออกมาเวลาเราอยู่บนเตียงด้วยกันแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเมื่อเทียบกับเรื่องที่เขามีครอบครัวแล้ว
ตอนนั้นผมรักพี่กาลมาก ถึงใครจะบอกว่ามันเป็นแค่ความหลงผมก็ทำเป็นไม่สนใจ ผมบอกตัวเองว่าสามารถยืนในที่ว่างเล็กๆที่เขาเจียดไว้ให้ได้ และผมก็หลอกตัวเอง...ว่าผมมีความสุขกับมัน จนกระทั่งผมทนไม่ไหวนั่นแหละ
ผมก้าวออกมาจากชีวิตเขา (แต่ความจริงคือเขาเดินออกไปจากชีวิตผมก่อนต่างหาก) แล้วใช้ชีวิตต่อไปโดยปราศจากความรัก ผมยินดีมีเซ็กซ์กับใครก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีมัน ขอเพียงแค่มีของตอบแทนกลับมาผมก็ยอมทำให้ทุกอย่างถ้าหากมันจะทำให้ผมลืมคืนวันร้ายๆไปได้
ผมเชื่อว่าความรักมีอยู่จริง...แต่มันคงไม่เหมาะกับผมสักเท่าไหร่
ถ้าการที่เราจะต้องทุ่มเททุกอย่างให้เขาไปแต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นไม่คุ้มค่า ผมก็ขออยู่ห่างจากมันซะยังดีกว่า แม้ในหนังหลายๆเรื่องจะพร่ำบอกกับเราว่ารักคือการให้ แต่ในกรณีของผมคงให้ไปจนไม่เหลืออะไรจะให้แล้ว
ผมคิดแบบนั้นจนกระทั่ง...ผมได้ตกหลุมรักเป็นครั้งที่สอง
ไม่มีผีเสื้อมากระพือปีกในท้องของผม จะมีก็แต่กามอารมณ์ที่เราป้อนมันให้แก่กันแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจในทีแรกก็ตาม
ใช่...คณิตเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ได้ผมมาด้วยความบังเอิญ
ผมไปนั่งรอคนในโรงแรมของเขา และเขาก็เข้ามาคุยกับผมแค่จะเทคแคร์ลูกค้าแล้วก็ ตู้ม! เราฟัดกันมันแหลกอยู่บนเตียงนอนนุ่มๆของห้องสวีทก่อนที่เขาจะจากไปโดยไม่ได้จ่ายเงินผมเลยสักแดง ให้ตายสิผมเพิ่งเคยโดยชักดาบเป็นครั้งแรก (แถมเป็นดาบที่มีอรรถรสมากๆด้วย) ผมจำได้ว่าผมโกรธมากตอนเราเจอหน้ากันอีกครั้งด้วยความบังเอิญผมจึงหยิบเอาถุงยางที่เขานั่นแหละทิ้งไว้ให้คืนให้เขาไปด้วยการยัดมันลงไปในปากบอนๆๆนั่น แล้วเรื่องราวแสนวุ่นวายของเราก็เริ่มต้นขึ้น
คณิตเป็นผู้ชายที่ตรงข้ามกับพี่กาลแทบจะทุกอย่าง เขายิ้มง่าย หัวเราะเก่ง ชอบดุชอบสั่งสอนผม ส่วนเรื่องความใจดีนั้นเหมือนกันแต่เชื่อไหม ผมมักจะมีความสุขมากเวลาได้ออดอ้อนขอให้เขาทำอะไรให้ แรกๆเขาก็ไม่ยอมหรอก แต่ผมมั่นใจว่าเขาก็คงชอบผมเหมือนกับที่ผมชอบเขา
ใช่...ผมชอบเขา แต่มันยังไม่ใช่ความรัก
เหมือนกับเวลาเราอยู่กับใครแล้วสบายใจ เราก็มักจะอยากอยู่กับเขาต่อไปเรื่อยๆนั่นคงเป็นสิ่งที่อธิบายความสัมพันธ์ของผมกับคณิตได้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียงนอน แต่เป็นการกระทำเล็กๆน้อยๆที่เราต่างก็พอใจกับมัน
เขาเอาใจผม ผมอ้อนเขา
เขาดูแลผม ผมก็ดูแลเขาเหมือนกัน
เราอยู่กันมาแบบนั้นโดยที่ยังไม่ก้าวเข้าไปในเส้นของความรัก ในกรณีของผมนั้นคือความกลัว แต่ในมุมมองของคณิตผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงไม่เคยเอ่ยปากขอเป็นอะไรที่มากกว่าแค่คู่นอน แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก เพราะไม่ว่าเราจะเป็นอะไรกันแค่ตื่นนอนขึ้นมาผมเห็นหน้าเขาแค่นั้นผมก็มีความสุขแล้ว
มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นยามที่มีคนอยู่ข้างๆ รับรู้การมีตัวตนของเรา ความสุขของเราและความเศร้าของเรา ผมกับเขาเราอยู่กันมาแบบนั้น เถียงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง มีความสุขกันบ้าง และแม้แต่ในเวลาที่ผลจากอดีตอันเลวร้ายของผมสะท้อนกลับมา...คณิตก็คือคนที่อยู่ข้างๆ คอยดุด่าและกอดผมไว้ในตอนสุดท้าย...แบบที่ไม่เคยมีใครทำให้ผมมาก่อนแม้แต่พี่กาล
แม้ว่าเราจะบอกตัวเองว่าเราไม่ได้รักกัน แม้ว่าจะไม่มีผีเสื้อสักตัวในท้องของผม แต่ในหัวใจของผมมีดอกไม้...ที่คณิตนำมันมาปลูกไว้ทีละดอก...ทีละดอก จนในท้องของผมมีทุ่งดอกไม้บานอยู่เต็มไปหมด ทั้งแดด ทั้งฝน หล่อหลอมให้มันค่อยๆเติบโตขึ้นแล้วผีเสื้อก็เข้ามาทำให้ผมตระหนักได้ว่าผมกำลังรู้สึกยังไง
ผมรักเขา...ปูนรักป๋า
ผมตอบคำถามของคุณเมษาในใจตั้งแต่ตอนที่เขาเอ่ยถึงมัน
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งนาที...ดอกไม้ในใจของผมก็ค่อยๆถูกผีเสื้อกัดกิน
คณิต...เป็นเพื่อนของรัตติกาล
บนโลกนี้มีผีเสื้อตั้งมากมาย ทำไมตัวที่บินเข้ามาในทุ่งดอกไม้ของผมถึงเป็นตัวเดียวกับที่เคยอยู่ในท้องของผมไปได้ โรงแรมในบางแสนก็มีเป็นร้อย ทำไมคณิตถึงไม่เป็นลูกเจ้าของโรงแรมอื่นนะ จะเล็กหน่อยก็ได้ หรือจะเป็นแค่ป๋า...แค่ป๋าของปูนที่ไม่ต้องเป็นทายาทของอะไรทั้งนั้น มันเป็นครั้งแรกที่ผมด่าตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมเรียนให้จบ เพราะไม่อย่างงั้นผมคงฉลาดกว่านี้
จะมีผู้จัดการโรงแรมที่ไหนมีห้องหรูๆเป็นสวัสดิการ ไหนจะการเคารพจากพนักงานที่ดูเกินจะพอดีนั่นอีก แล้วที่เห็นได้ชัดที่สุดก็เป็นการมาคุมเรื่องสร้างสาขาใหม่เนี่ยแหละ ไม่ว่ามองมุมไหนก็เป็นสิ่งที่เจ้าของโรงแรมต้องทำทั้งนั้น ผมอาจจะเคยสังเกตแต่ก็ทำเป็นไม่เห็นมันมาตลอด ทำเป็นไม่รู้ หลอกตัวเองว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่ผมสามารถยืนอยู่เคียงข้างได้ แต่สุดท้ายมันก็เท่านั้น
เขาเป็นเพื่อนกัน...เขาเป็นเพื่อนกับคนที่รับรู้อดีตของผมเกือบทุกอย่าง
และที่สำคัญกว่านั้น
ผมรู้ว่าคณิตให้ความสำคัญกับเพื่อนมากแค่ไหน
ผมจะทำยังไงถ้าหากเขารู้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยเป็นเด็กที่ตามถวายตัวให้เพื่อนของเขาแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว หนำซ้ำยังขายตัว...หึ...ผมคงไม่หลงเหลือด้านดีๆให้เขาได้มองได้ชื่นชมอีก ระหว่างเดินทางมาถึงงานวัดผมก็ถามตัวเองนะว่าควรจะลองบอกเขาไหม เขาใจดีอยู่แล้ว แค่อดีตเน่าๆของผมเขาคงรับมันได้ไม่ใช่รึไง แต่ก็ไม่...ผมไม่กล้าหรอกครับ
เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกเหมือนผมบ้างไหม
.
.
.
.
.
.
.
หลับไปแล้ว...
คณิตเหลือบมองคนตัวเล็กข้างๆอยู่พักหนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับไปจับจ้องถนนที่พอพ้นช่วงตลาดไปแล้วรถราก็น้อยลงตามไปด้วย เขาไม่รู้ว่าการไปทำงานกับเมษาวันนี้ปูนไปพบเจออะไรมาบ้าง ถึงจะไม่พูดถึงแต่คณิตก็สังเกตเห็นอาการแปลกๆที่ปูนแสดงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งการกัดริมฝีปากที่เหมือนกับอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ลังเลที่จะทำมัน อาการเหม่อลอย รอยยิ้มเศร้าๆ หรือแม้แต่ดวงตาแดงก่ำหลังจากที่เกิดขึ้นหลังจากทำบุญกันเสร็จ
ร่างสูงไม่คิดว่าตัวเองรู้จักปูนดีพอ แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันแต่สิ่งพวกเขาแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นมันก็เป็นเพียงแค่ความสุขและความสบายใจ แต่คณิตรู้ดีทั้งที่ไม่อยากรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มที่ปูนมอบมันให้กับเขานั้นคนตัวเล็กคงกำลังแบกรับอะไรที่เกินตัวไว้บนบ่า เช่นเดียวกับเขา...ที่ต่อให้ชีวิตมันจะเหนื่อยจะหนักก็อยากจะกลับมายิ้มเมื่อได้อยู่ข้างเด็กคนนี้
“ปูน ตื่นเร็วขึ้นไปนอนบนห้องกัน”
เขาปลุกเด็กขี้เซาที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ปูนดูเหนื่อยมาก เหนื่อยเสียจนเขาต้องตัดใจแล้วอุ้มคนที่ตัวเล็กกว่าเดินขึ้นห้องไปด้วยตัวเอง ถามว่าหนักไหมก็คงต้องตอบว่าหนักมาก ถึงจะพอมีกล้ามแต่การอุ้มคนทั้งคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยแต่เขาก็ต้องทำมัน ยิ่งเมื่อคนที่ไม่ได้สติเริ่มเพ้อออกมาเหมือนคนทุกข์หนัก คณิตก็ยิ่งพยายามเร่งฝีเท้าให้ไว้ขึ้น
“ไม่เอา...ฮึก...ไม่เอาแบบนี้”
คณิตวางปูนลงบนเตียง จัดการปลดรองเท้าและเสื้อผ้าออกให้เรียบร้อย เขาเช็ดตัวให้ปูนลวกๆจัดการหาเสื้อผ้าสบายๆมาใส่ให้ แต่ถึงจะทำขนาดนี้ปูนก็เอาแต่นอนร้องไห้แล้วไม่ยอมตื่นมาสักที
“มีเรื่องอะไรให้คิดมากนักหนา หื้ม...ตื่นเช้ามาตาบวมแน่ๆ”
เขาพูดพลางลูบไปบนเปลือกตาบอบช้ำ แล้วเหมือนความเคยชิน เมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆปูนก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆแล้วซุกหน้าลงกับอกของคณิตที่นอนอยู่เคียงข้างกัน ร่างสูงก็คอยลูบหัวปูนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอาการของคนตัวเล็กค่อยๆสงบลง...ปูนเลิกร้องไห้ ลมหายใจที่ติดขัดก็เริ่มเข้าที่ เช่นเดียวกับคณิตที่ค่อยๆปรือตาลงคล้ายจะหลับ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือของร่างสูงก็ดังขึ้น
ตื๊ด...ตื๊ด...
คณิตรีบหยิบมันมาปิดเสียงก่อนที่คนตัวเล็กจะตื่น เขาอยากด่าคนที่โทรมานิทราแสนหวานของตัวเองแต่พอเห็นชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอร่างสูงก็รีบเด้งตัวขึ้นจากเตียงแล้วออกไปทางระเบียงที่มีลมทะเลพัดเอื่อยๆ
“สวัสดีครับป๊า โทรมาซะดึกเลย”
คณิตเอ่ยทุกบิดาของตัวเองก่อน และรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายโทรมาตอนนี้อย่างที่ไม่เคยทำ
“โทษที หรือว่าแกนอนแล้ว”
“ยังครับ แต่ก็กำลังจะ ป๊ามีเรื่องอะไรด่วนหรอ”
“มีคนบอกฉันว่าวันนี้เจ้าเมษเข้ามาพบกับท่านพิเชษฐ์”
เสียงของบรรพตไม่ได้แสดงความหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้พอใจ
“มันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ พักอยู่ที่เดียวกันเนี่ยแหละ”
“แล้วทำไมแกไม่บอกป๊า”
“เพราะผมเห็นว่ามันไม่สำคัญ”
“คู่แข่งเร่งทำคะแนนอยู่แบบนี้แกยังพูดว่ามันไม่สำคัญอีกหรอ คณิต”
“ป๊าครับ ผมกับเมษาเราไม่ใช่คู่แข่งกันนะครับ”
ร่างสูงพูดถึงความคิดเห็นของตัวเองแล้วเสียงปลายสายก็เงียบไปแทบจะทันที เขาไม่รู้หรอกว่าพ่อจะผิดหวังไหมกับความคิดนี้ แต่คณิตก็ทบทวนมันมาหลายปี จนตัดสินใจเรื่องจุดยืนของตัวเองได้
“จริงอยู่ที่โรงแรมของเรากับเขาเป็นคู่แข่งกัน แต่สำหรับผมเมษาเป็นเพื่อนและผมก็ไม่อยากมองเพื่อนตัวเองด้วยความรู้สึกชิงดีชิงเด่นตลอดเวลา ทั้งผมและมันกำลังพยายามกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะรูปแบบไหนเราก็แค่ทำงานของตัวเองไม่มีเวลาไปกีดกันคนอื่นหรอกครับ”
“แกมองโลกง่ายไปแล้วคณิต แกอาจจะไม่ทำแต่เจ้าเมษล่ะ...แกแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่ใช่พวกหน้าซื่อแต่ใจคด”
คนเป็นพ่อเองก็พูดเตือนตามประสาคนผ่านโลกมามากกว่า แม้จะรู้ว่าเมษาเป็นเพื่อนกับลูกชายมานาน แต่ความเป็นนักธุรกิจที่เมษามีมากกว่าคณิตนั้นเขาก็ตระหนักถึงมันดี
“ไอ้เมษมันไม่ใช่พวกหน้าซื่อหรอกป๊ส อย่างมันน่ะคดทั้งใจคดทั้งหน้า”
คณิตพูดแล้วก็หัวเราะคนอย่างเมษาถูกเรียกว่าหน้าซื่อใจคด มันออกจะเป็นคำชมมากกว่าคำด่านะ
“ยังจะมาหัวเราะอีก แกก็เป็นแบบนี้จะให้ป๊าวางใจได้ยังไง”
“เอาน่าป๊า เอาเป็นว่าผมกำลังพยายามทำงานของตัวเองอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก ส่วนเรื่องไอ้เมษยังไงซะผมกับมันก็มีวิธีทำงานไม่เหมือนกัน แล้วที่สำคัญไม่ว่าผลของมันจะออกมาเป็นยังไงผมก็ทำเต็มที่แล้ว”
“...และป๊าจะต้องไม่ผิดหวัง เข้าใจไหมคณิต”
“ครับๆ ผมจะพยายามแล้วกันนะ”
พวกเขาคุยกันอีกสองสามนาที คณิตบอกลาบิดาโดยไม่ลืมที่จะฝากความคิดถึงไปให้แม่และน้องสาว รวมถึงอาม่าที่ไม่กี่วันนี้คงจะกลับมาจากเมืองจีนหลังจากที่ไปเที่ยวที่นู้นได้อาทิตย์กว่าๆ ร่างสูงกลับเข้ามาในห้องเห็นปูนยังคงหลับสบายดีเขาก็สบายใจ เขาจัดการปิดเสียงโทรศัพท์ทั้งของตัวเองและของปูนเพื่อไม่ให้โทรเข้ามาขัดจังหวะอีกในคืนนี้
:man1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :man1:
-
นับตั้งแต่วันที่เมษาถามคำถามนั้นกับปูน ทายาทเจ้าของโรงแรมดังก็ไม่เคยเรียกใช้ร่างเล็กในฐานะผู้ช่วยอีกเลย ปูนใช้เวลาในแต่ละวันอย่างไร้ค่า แต่ถ้าไม่มีคำสั่งเขาก็ยังกลับไปที่บางแสนไม่ได้ บางทีก็นอนเล่น ออกไปเดินเที่ยวบ้าง ซื้อของบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปูนไม่ทำ...คือการตามติดคณิตอย่างเคย
“แน่ใจหรอว่าไม่ไปด้วยกัน เธออยู่โรงแรมแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ”
คณิตเอ่ยถามขณะที่ตักไข่ดาวและไส้กรอกชิ้นใหญ่ลงไปในจานของปูนที่มีเพียงขนมปังปิ้งแห้งๆสองแผ่นวางอยู่ ปูนมองมันอยู่พักหนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมตักน้ำใจของอีกฝ่ายเข้าปากไปทั้งที่ในใจยังสับสน
“ผมไปด้วยไม่ได้หรอก เราเป็นคู่แข่งกันนะอย่าลืมสิ”
คำพูดของปูนทำเอาคนตัวโตรู้สึกได้ว่ากาแฟมันขมผิดปกติ เขาวางถ้วยกระเบื้องในมือลงกับโต๊ะก่อนจะสบตากับปูนที่หันหน้าหนีแทบจะทันที
“ฉันไปเป็นคู่แข่งของเธอตั้งแต่ตอนไหน”
“...”
“แม้แต่กับไอ้เมษฉันก็ไม่ใช่ ปูน...ฉันไม่รู้หรอกนะว่าสองสามวันมานี้เธอเป็นอะไรแต่อย่าพูดแบบนี้อีก”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คณิตดุเขา แต่เป็นครั้งแรกที่ปูนอยากร้องไห้ให้กับมัน เขาไม่อยากเป็นอย่างนี้ แต่ความคิดที่ตีรวนกันอยู่ในอกทำให้ปูนไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สั่นไหวหัวใจเขาได้อย่างร้ายกาจในขณะที่สมองกำลังร่ำร้องอยากให้ปูนไป
“ขอโทษครับ...”
ปูนพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คณิตก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากใครเพียงแค่ไม่อยากให้ปูนสร้างกำแพงที่ไม่จำเป็นขึ้นมาเท่านั้น
“ช่างเถอะ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว”
คณิตเอื้อมมือไปลูบแก้มปูนเบาๆก่อนจะลูบหัวแล้วค่อยหันมาให้ความสนใจกับอาหารเช้าของตัวเองต่อ ส่วนร่างเล็กก็ได้แต่กำช้อนในมือของตัวเองแน่นอยากยิ้มออกมากว้างๆแต่มันก็ทำได้ยากจริงๆ
“แต่ที่ที่ฉันจะไปวันนี้ ฉันอยากให้เธอไปด้วยจริงๆนะ เพราะคงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวแบบนี้บ่อยๆ”
“คุณจะไปที่ไหนหรอ”
“เกาะขาม...เคยได้ยินชื่อบ้างไหม”
ปูนส่ายหน้า ในขณะที่คณิตยิ้มกริ่มเมื่อรู้ว่าตัวเองสามารถสร้างความทรงจำแปลกใหม่ให้ร่างเล็กได้อีก...ถ้าปูนยอมไปกับเขาด้วย
“มันเป็นเกาะเล็กๆอยู่ใกล้กับเกาะแสมสารน่ะ ถึงจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้แต่ธรรมชาติที่นั่นก็ยังสมบูรณ์มากเพราะจำกัดจำนวนคนที่จะให้เข้าไปต่อวัน แถมไม่ได้เปิดเกาะตลอดทั้งปีด้วยเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง ตอนนี้ทางกองทัพเรือก็สั่งปิดเกาะอยู่”
“อ้าว แล้วแบบนี้จะเข้าไปได้ยังไงล่ะ”
ถึงจะมีเหตุผลทำให้ไม่อยากไป แต่พอได้ฟังที่คณิตพูดมาปูนก็เริ่มจะตื่นเต้นเล็กๆ
“ลืมไปแล้วรึไงว่าคนที่เรามาด้วยเขาเป็นใคร”
ก็นะลืมไปจริงๆนั่นแหละ
จนกระทั่งเรือประมงลำเบ่อเริ่มมาอยู่ตรงหน้าเขา...
“สวัสดีครับคุณคณิต พอดีเลยครับ มาวันนี้คลื่นไม่สูงมาก”
คนขับเรือผิวกร้านแดดเดินมาทักร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นแถมด้วยแว่นกันแดดเท่ๆอย่างกับนักท่องเที่ยวมากกว่าคนที่จะลงมาเก็บข้อมูล ส่วนปูนน่ะหรอ...ไม่มีการเตรียมตัวอะไรทั้งนั้น รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่ที่ท่าเรือทั้งๆสภาพที่เพิ่งตื่นนอน น้ำก็ยังไม่ได้อาบ
“อย่างน้อยขออาบน้ำก่อนก็ยังดี”
คณิตหันมามองคนที่ยืนบ่นอุบตั้งแต่โดนเขาลากมาที่นี่ แต่จะให้ทำไงได้ถ้าปล่อยให้คนตัวเล็กมีเวลาคิดมีหวังได้ปฏิเสธแน่ๆ
“ช่วยไม่ได้ ฉันบอกแต่เช้าแล้วนะว่าให้อาบน้ำก่อนกินข้าว”
“ก็ตอนนั้นผมไม่ได้กะออกมาเที่ยวแบบนี้ ให้ตายสิ คนมองกันหมดแล้ว”
ร่างสูงหัวเราะ ที่คนเขามองน่ะไม่ใช่เพราะสภาพสะลึมสะลือของปูนหรอกหากแต่เป็นเสื้อยืดตัวโคร่งลายสติชของร่างเล็กต่างหาก แถมมันยังเปื่อยซะขนาดที่ว่าถ้าตกลงไปในน้ำปลาตอดนิดเดียวก็คงขาด ยังดีนะที่ท่อนล่างเป็นกางเกงขาสั้นเสมอเข่า ไม่ใช่บ็อกเซอร์เน่าๆแบบที่ใส่นอนทุกคืน
“งั้นก็ใส่นี่ไว้ซะ คนจะได้ไม่เห็นหน้า”
ร่างสูงหยิบเอาหมวกแก็ปที่แขวนไว้ตรงกระเป๋ากล้องมาให้ปูนใส่ ทัศนวิสัยรอบตัวมืดลงแต่ภาพของคณิตในสายตาของปูนกลับเจิดจ้าเสียจนต้องหันหน้าเบี่ยงหนี เพราะรอยยิ้มแบบนี้แท้ๆ...เขาถึงอยากห่างออกมาก่อนเพื่อทบทวนตัวเอง
หลังจากคณิตขอตัวเดินไปคุยกับคนขับเรือเสร็จ ทั้งสองคนก็ก้าวขึ้นไปบนเรือที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลยนอกจากพวกเขา คณิตเล่าให้ปูนฟังว่าถ้าหากไม่ใช่เพราะคำสั่งของท่านพิเชษฐ์พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวที่เกาะนี้ในสภาพที่ไร้ซึ่งนักท่องเที่ยวคนอื่น ร่างสูงพูดไปก็ถ่ายรูปไป โดยที่ปูนยังคงจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่แสดงออกถึงความตื่นเต้นแบบเด็กๆที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนัก กลิ่นของทะเลและสายลมอ่อนๆทำให้เหมือนเวลาหยุดนิ่ง โดยเฉพาะในยามที่สายตาของคณิตและปูนเคลื่อนที่มาสบกัน
“เป็นอะไร ร้อนหรอ”
คณิตถามพร้อมกับกระชับหมวกที่อยู่บนหัวปูนไปด้วย
“เปล่า...แค่สงสัยว่าคุณไม่เบื่อทะเลบ้างรึไง”
ปูนเบี่ยงประเด็นเพราะสิ่งที่เขาอยากรู้จริงๆนั้นจะพูดออกมาไม่ได้ คณิตทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะถามปูนกลับมาแทน
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
“ก็คุณอยู่กับทะเลแทบจะตลอดเวลา แล้วทำไมถึงได้ตื่นเต้นทั้งๆที่ทะเลที่นี่กับที่บางแสนมันก็เหมือนๆกัน”
คณิตร้องอ่อก่อนจะส่ายหน้า เขาเก็บกล้องในมือลงในกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้วค่อยหันมามองหน้าปูนยิ้มๆ
“ก็นะ อันที่จริงก็อยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กๆเลยล่ะ ได้เล่นน้ำทะเลทุกอาทิตย์จนตอนหลังแม่ของฉันต้องขอให้ลดลงเพราะตัวไหม้ไปหมด พอโตมาหน่อยก็ไม่ค่อยได้ลงไปเล่นแต่ก็ได้เห็นมันทุกวัน”
ปูนนึกภาพของเด็กชายคณิตที่ซนเป็นลิงและตัวดำกว่านี้กำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลผืนใหญ่...คงจะเป็นเด็กที่สดใสไม่ต่างจากพระอาทิตย์กลางฤดูร้อนแน่ๆ
“และถึงแม้จะไม่ตื่นเต้นเหมือนกับเมื่อก่อนแต่ฉันก็ไม่เคยเบื่อมันสักครั้ง เพราะไม่ว่าครั้งไหนที่ฉันมองเห็นทะเล ฉันก็มักจะคิดถึงความสุขตอนที่ฉันเป็นเด็ก ตอนที่ยังเป็นคณิต...ที่ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
เสียงของร่างสูงเบาลงในท้ายประโยค คณิตยังคงยิ้มแต่ปูนก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่แสดงออกมา...เหมือนกับว่าคนคนนี้กำลังอดทนอยู่
“แล้วชีวิตตอนนี้ล่ะ คุณไม่มีความสุขหรอ”
“ก็มีนะ แต่จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันยังมีความสุขแต่ชีวิตมันก็ยากขึ้น คงเป็นความหมายของการเป็นผู้ใหญ่ล่ะมั้ง โตมาเธอคงเข้าใจ”
คณิตยิ้มแล้วก็จับมือของปูนไว้หลวมๆ ร่างเล็กไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ไม่ได้จับมือของคณิตตอบ ปูนหันไปมองทะเลด้านนอกที่กว้างใหญ่จนเหมือนกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด แล่นมาได้สักพักเรือลำใหญ่ก็หยุดลงกลางทะเล คณิตบอกให้ปูนลุกขึ้นแล้วตัวเองก็หยิบเอาสัมภาระที่มีอยู่มาถือเอาไว้เองเพราะพวกเขาต้องเปลี่ยนเรือกัน
“เปลี่ยนเรือกลางทะเล...เอาจริงดิ”
ปูนหันมาถามคณิตหน้าเสีย เพราะเพิ่งมารู้ว่าเรือที่จะเข้าไปเทียบท่าที่เกาะขามได้นั้นต้องเป็นเรือท้องแบนเท่านั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับแนวปะการังรอบๆเกาะ คณิตพยักหน้าแล้วสาธิตการข้ามเรือที่ว่าด้วยการก้าวทีเดียวร่างสูงใหญ่ที่แบกของไว้เต็มสองแขนก็ไปยืนยิ้มแป้นอยู่ที่เรืออีกลำ
"ตามมาเร็วปูน ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่เป็นไรกับผีน่ะสิ...ไอ้ที่คนขับเรือบอกว่าวันนี้คลื่นไม่สูงมากแต่สำหรับการต้องข้ามไปยังเรืออีกลำด้วยคลื่นแค่นี้มันโคตรจะน่ากลัวเลย พื้นทั้งสองฝั่งไม่มีความมั่นคง และด้วยเพราะตัวคลื่นทำให้ระยะห่างระหว่างเรือมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา ถึงคนขับเรือจะพยายามจอดมันให้ชิดกันมากแค่ไหนมันก็กว้างมากพอที่จะทำให้คนตัวเล็กๆแบบปูนตกลงไปได้ง่ายๆหากก้าวพลาดแม้แต่นิดเดียว
“มะ ไม่ไหว...ผมกลัว”
ขาของปูนสั่นเหมือนกับน้ำเสียง ยิ่งเขาจับจ้องไปที่ช่องว่างระหว่างเรือมากเท่าไหร่ก็เหมือนกับการสะกดจิตตัวเองให้ตื่นกลัวมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มพึมพำด่าท่านพิเชษฐ์ ถ้ามันจะต้องใช้เรือท้องแบนเข้าไปในเกาะเท่านั้นทำไมไม่ให้ขึ้นมันตั้งแต่ทีแรกล่ะวะ จะลำบากเปลี่ยนเรือทำซากอะไร!
“อย่าไปมองพื้นสิ กระโดดข้ามมาเลย”
ปูนเงยหน้าขึ้นมองคณิตจิกๆ เออสิ! ไอ้คนขายาวมันก็พูดง่าย แต่ไอ้คนขาสั้นๆแบบเขาขืนกระโดดข้ามไปโดยไม่มองพื้นมาหวังร่วงไปเป็นอาหารปลาแน่ๆ แถมกลางทะเลน้ำก็โคตรลึก มันเป็นสีฟ้าเข้มๆมองไม่เห็นแม้แต่พื้นทรายข้างล่าง
“ไม่เอาแล้ว ผะ ผมจะกลับ”
“เฮ้ย ไม่เอาดิ มาถึงขนาดนี้แล้ว”
“แต่มันไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่เข้าใจรึไง!”
สาบานว่าพูดถึงเรื่องเปลี่ยนเรืออยู่...ปูนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเป็นการตะโกน เสียงรอบตัวเงียบไป คนขับเรือได้แน่นั่งนิ่งมองคนสองคนที่กำลังประจันหน้ากันบนเรือคนละลำ
“แล้วเธอจะทำยังไง จะยอมกลับไปง่ายๆแบบนี้น่ะหรอ”
“ใช่ ก็ในเมื่อข้ามไปไม่ได้...ผมก็ต้องถอย”
ปูนพูดแล้วก็ถอยหลังออกมาจากตรงนั้น มาหยุดอยู่ตรงจุดที่คิดว่าตัวเองจะปลอดภัยที่สุด...ใช่...เขาจะออกไปเสี่ยงให้ตัวเองเจ็บตัวทำไมกัน
“แล้วเธอไม่อยากไปเห็นมันกับฉันหรอปูน”
“...!!”
คำพูดของคณิตทำให้ปูนที่กำลังก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของคณิตมันช่างแน่วแน่ไม่ต่างจากดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่เบื้องหลัง
อยากไปสิ...ทำไมจะไม่อยากไป
แต่ว่าผมเดินต่อไปไม่ได้...
คณิตมองปูนที่เอาแต่ส่ายหน้าไปมาแล้วตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เขาวางของทั้งหมดที่ตัวเองแบกอยู่ลง แล้วกระโดดกลับไปยังเรือประมงที่มีคนตัวเล็กกำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อ
“คุณ...กลับมาทำไม”
“ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากเห็นมันพร้อมกับเธอ ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”
“แต่ว่าผม...”
“เธอกลัว ฉันรู้”
“...”
“แต่เธอคงไม่รู้ว่านอกจากเธอแล้ว ฉันเองก็เป็นคนเอาแต่ใจเหมือนกัน”
ยังไม่ทันที่ปูนจะได้พูดอะไร คนตัวเล็กก็ถูกคณิตจับมาอุ้มพาดบ่า ปูนร้องเสียงหลงเพราะจู่ๆวิวที่ตัวเห็นก็เปลี่ยนจากท้องทะเลกว้างมาเป็นเสื้อกล้ามสีขาวของคณิตและพื้นไม้ของเรือ
“ปล่อย! ปล่อยผมนะ!!”
“เงียบซะ แต่อย่าหลับตาล่ะ”
“คุณจะทำอะไร มะ ไม่นะ ไม่!!!”
แล้วพื้นไม้ที่ปูนเห็นก็เปลี่ยนมาเป็นน้ำทะเลสีครามอีกครั้ง ตัวของคณิตและปูนไม่มีส่วนใดสัมผัสกับพื้น มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่พวกเขาทั้งสองคนบินได้และเป็นช่วงเวลาที่ความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างหายไปจนหมด หัวใจของปูนเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะขัดคำสั่งของคณิตด้วยการหลับตา เด็กหนุ่มมองแผ่นน้ำนั้นก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นพื้นไม้คนละสี แล้วตัวของเขา...ก็นอนหงายเก๋งอยู่บนเรือท้องแบนลำที่ไม่เคยคิดว่าจะมาเหยียบมันได้
“ขอโทษที อึก! พอดีว่าเธอหนักเกินไปหน่อย”
“...”
“กลับไปลดของหวานบ้างก็ดีนะ ช็อคโกแลตน่ะเผลาๆบ้าง เหลือวันละแค่สองแท่งจากสี่แท่งก็ยังดี”
แหมะ...
คณิตที่กำลังนวดไหล่ของตัวเองเบิกตาโพลงเมื่อคนที่ช็อคเป็นหินไปแล้วจู่ๆก็ลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย ร่างสูงทำตัวไม่ถูก รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่แข็งแรงพอที่จะพาปูนข้ามมาโดยไม่เจ็บตัวแต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ คณิตค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้หวังจะพูดปลอบ แต่แล้วเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้น
เพี้ยะ!!
“ไอ้เชี้ยป๋าแม่ง กูกลัวนะเว้ย!!!”
ปูนปาดมื้อเข้าไปที่แขนของคณิตเต็มแรง จนคนขับเรือทั้งสองคนสะดุ้งตาม ส่วนคณิตได้แต่นั่งนิ่ง เพราะหลังจากตีเขาเสร็จคนตัวเล็กก็ร้องไห้จ้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยเห็น ตัวปูนสั่นเพราะแรงสะอื้น ดวงตาเล็กๆที่เคยสะท้อนแต่ความสับสนออกมารื้นไปด้วยน้ำตา...แต่คณิตกลับสบายใจที่ได้เห็นมัน
“ฉันขอโทษ”
“ฮือ ทำไมเป็นคนแบบนี้ ฮึก! ก็บอกแล้วว่าไม่เอาๆ”
“แต่ฉันอยากให้เธอมาด้วย”
“แล้วทำไมไม่ฟังกันบ้าง! กูบอกว่ากลัวๆ แม่งก็ไม่เคยฟัง ฮึก ไอ้ป๋าบ้า ไอ้เผด็จการ ไอ้เลว!! ฮือ...”
ยิ่งปูนด่าเขาแรงเท่าไหร่ คณิตก็ยิ่งหัวเราะดังขึ้นเท่านั้น ร่างสูงโอบกอดคนตัวเล็กไว้แล้วพรำบอกว่าขอโทษด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความสำนึกผิดเลยสักนิด มันเต็มไปด้วยความดีใจ ที่สุดท้ายเขาก็สามารถพาปูนก้าวไปข้างหน้าด้วยกันได้
และที่สำคัญ
เด็กคนนี้ก็ยอมกลับมาเรียกเขาว่า ‘ป๋า’ สักที...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
รู้สึกว่านิยายเช่นี่มันมีแต่เรื่องกินกับเรื่องเที่ยวเนอะ :hao3:=w= เห็นไลฟ์สไตล์คนเขียนเลยให้ตายสิ อันนี้เอามาแก้ช้ำจากตอนที่แล้วหน่อยคับ เรตติ้งน้องปูนพุ่งพรวดในขณะที่พี่เมษมีแต่คนแช่งให้มีผัวกันใหญ่ 5555555555 บางคนอาจจะไม่เข้าใจคนนิสัยแบบนี้แต่เช่ยืนยันว่ามีจริงๆนะคับ คนที่เก่งมากๆแล้วไม่มีคู่แข่งเนี่ย พอเจอใครที่พอจะสู้กับตัวเองได้กลายเป็นว่าเกาะแจเลย ไม่สนด้วยว่าอีกฝ่ายจะแข่งด้วยไหม จริงๆตัวละครตัวนี้มีอะไรให้เล่นเยอะมาก อยากแต่งเรื่องของพี่แกดูเหมือนกันแต่ขอคิดดูก่อนนะคับ เพราะตอนนี้คิวเยอะจริงๆที่คิดไว้ :เฮ้อ:
รูปวาดปกป๋าปูนเสร็จทั้งสองปกแล้ว (หวังว่ามันจะจบในสองเล่ม) แต่ยังไม่ได้ทำเป็นอาร์ตเวิร์คงานปกนะคับ ยุ่งมากกกกก และยังขี้เกียจอยู่ อีกสักพักเช่จะเปิดสำรวจความคิดเห็นรวมเล่มแล้วนะคับ ขอดูเสียงคนอยากได้boxsetหน่อยเนอะ :ruready
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ตอนหน้า(หรืออาจจะตอนต่อไปอีก)เจอกับบอยพลัสบ้างล่ะ :katai3:
-
น้องปูนจะตัดสินใจยังไงล่ะทีนี้ :hao5:
“ป๊าครับ ผมกับคณิตเราไม่ใช่คู่แข่งกันนะครับ”
ดูเหมือนตรงนี้ต้องเป็นเมษานะคะ :mew1:
-
น้องปูนจะตัดสินใจยังไงล่ะทีนี้ :hao5:
“ป๊าครับ ผมกับคณิตเราไม่ใช่คู่แข่งกันนะครับ”
ดูเหมือนตรงนี้ต้องเป็นเมษานะคะ :mew1:
ขอบคุณนะคับ แก้แล้วๆ งานเบลอต้องมา5555
-
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกก :katai2-1: :katai2-1:
-
ในที่สุดป๋าก็ติดใจคำว่าป๋า :hao7:
-
สงสารปูนสับสนจังเลยนะ
แต่ก็อย่างว่าแหละชีวิตจริง
ก็คงมีเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว
อ่านแล้วรู้สึกตัวเองเหนื่อย ๆ ยังไงไม่รู้
:mew6:
-
ป๋าจะดราม่าเรื่องปูนมั้ยอ่ะ?
ป๋าเป็นผู้ใหญ่แล้วเนอะ โตแล้ว คิดอะไรคงมีเหตุผล
แต่เพราะความมีเหตุผลนี่แหล่ะที่ทำให้เรากลัวใจป๋าเหลือเกิน
คือการที่คนเราเป็นผู้ใหญ่ มันก็ดีตรงที่อยู่ในวัยที่คิดเป็นแล้ว
แต่ผู้ใหญ่หลายคน พอคิดเป็นแล้ว ก็กลายเป็นคนที่คิดมากเกินไป
ต่อให้ป๋ารับได้ แต่ทั้งคู่ก็คงไปไกลกว่านี้ไม่ได้ถ้าหากว่าป๋ายึดความรู้สึกเพื่อน ความคิดของครอบครัว และภาพพจน์ทางสังคมมากเกินไป
-
:impress2: :impress2:ดีใจที่ก้าวข้ามผ่านมาแล้วนะ สู้ๆนะปูนนนนน
-
ป๋าช่วยจับมือประคองปูนให้ก้าวผ่าวความกลัวในใจให้ตลอดเลยนะ
-
งานดราม่าต้องมา :sad4:
-
น้องน่ารักมากเลย งุ้ยยยยยยยย :-[
-
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ ลุ้นมาก รอตอนต่อไปคะ
-
แหมป๋าชอบอะดิ ปกติบอกไม่ให้เรียก คิคิ
-
แตกที่ 23
…ได้ยิน...
สับสน...สับสนไปหมด
เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าง้ำงอและเสื้อลายสติชนั่งกอดเข่ามองปลาตัวเล็กที่กรูกันเข้ามาหาทันทีที่เจอสิ่งแปลกปลอมอย่างเขา มันก็น่ารักดีหรอกนะแต่ปูนตอนนี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่สุนทรีย์สักเท่าไหร่ ผิดกับอีกคนที่ทันทีที่เท้าแตะพื้นทรายก็รีบเดินไปถ่ายรูปจากมุมนั้นมุมนี้ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“คนบ้า...ชอบทำตัวแบบนี้อยู่เรื่อย”
ปูนบ่นงุบงิบแถมยังนึกโกรธคณิตที่เล่นพิเรนทร์จนเขาใจหายใจคว่ำ แต่ก็ยังดีที่เพราะการกระทำนั้นทำให้ปูนได้ระบายความในใจด้วยการร้องไห้ออกไปบ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็หนักหนาเกินกว่าจะลบออกไปได้ง่ายๆ
ร่างเล็กคิดไม่ตก รู้สึกอยากปรึกษาใครสักคนแต่พอในเวลาที่ต้องการมันเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นพวกไร้มิตรสหายแค่ไหน เมื่อก่อนก็พอมีอยู่หรอกเพื่อนฝูงที่พอคบหากันมาได้ แต่หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายที่กรุงเทพ...คนพวกนั้นก็หายหน้าไปไวกว่าปูลมที่วิ่งฉิวๆอยู่บนพื้นทรายนี่เสียอีก
ในเมื่อไม่มีทางให้เลือกมากนัก ปูนเลยจำเป็นต้องติดต่อหาคนที่จะเรียกว่าเป็นมิตรก็ไม่เชิงอย่างบอย ที่ช่วงนี้เงียบหายไปโดยที่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร โชคดีที่ถึงที่นี่จะเกาะแต่เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งมากนักอีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทำให้เขาสามารถใช้โทรศัพท์ได้ ปูนรอสายอยู่พักใหญ่เสียงเรียบๆของชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ดังขึ้น
“มีเหี้ยอะไร”
ชิ...ก็เพราะแบบนี้ไงเลยเหมาว่าหมอนี่เป็นมิตรไม่ได้
“พูดดีๆหน่อยก็ได้พี่”
“อย่ามาลีลาไอ้ปูน มีอะไรก็ว่ามากูยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”
“ไม่ต้องบอกก็รู้ หึ ไอ้พลัสมันทำอะไรอีกล่ะ”
“พูดให้มันดีๆหน่อย”
ปูนเบ้ปาก ทีกับเขายังเรียกอีเรียกไอ้ แต่พอเป็นคนที่ตัวเองชอบเขาหน่อยนี่แตะไม่ได้เชียวนะ
“เออ ไม่เสือกก็ได้ แต่ที่โทรมาเนี่ย...ผมมีเรื่องจะปรึกษา”
“เฮ้อ เออๆ มีอะไรก็ว่ามา กูมีเวลาไม่มากนัก”
บอยถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแต่ก็ยอมเปิดโอกาสเพราะรู้ดีว่าถ้าปฏิเสธไปปูนก็คงรบเร้าไม่เลิก ฝ่ายปูนที่มีแต่เรื่องสับสนในใจพอได้รับอนุญาตกลับพูดไม่ออกซะอย่างนั้นจนต้องเงียบไปพักหนึ่ง
“คือ...พี่เคยสับสนบ้างป่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ก็แบบเวลาที่ไม่รู้ว่าควรทำตัวแบบไหน ควรเลือกอะไร...จะเดินต่อหรือว่าจะถอยดี”
ปลายสายเงียบไปก่อนที่ปูนจะได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างรำคาญของบอยดังขึ้นแทนที่
“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ ไอ้คุณป๋าของมึงดีแตกแล้วรึไง”
“หัวพี่สิจะแตก คุณคณิตเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย”
“แล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน”
“คงอยู่ตรงที่...เขาเป็นคนดีล่ะมั้ง”
คำตอบของปูนทำให้บอยต้องขมวดคิ้วเป็นปม ส่วนปูนก็ทำได้เพียงหยิบเปลือกหอยที่อยู่ใกล้มือมาบีบไว้เพื่อไล่ความประหม่าของตัวเอง
“คุณคณิต...เป็นเพื่อนกับเขา”
“เขา?”
“พี่กาล”
ร่างเล็กได้ยินเหมือนปลายเสียงของตัวเองสั่น ความจริงที่ทำเอาเขาคิดหนักมาหลายวันนั้นสร้างบาดแผลให้ไม่น้อยเมื่อต้องพูดมันออกมาให้คนที่รับรู้เรื่องระหว่างเขากับรัตติกาลพอสมควร
“เขาบอกมึง?”
“เปล่า ผมบังเอิญรู้ ส่วนคุณคณิต ผมไม่รู้ว่าเขารู้รึเปล่า...เรื่องที่ผมเคยเป็นอะไรกับเพื่อนของเขา”
ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งอาจจะเพราะบอยเองก็ตกใจในความบังเอิญที่ร้ายกาจนี่ พอนึกย้อนไปตอนที่ปูนเคยมารับจ็อบที่นี่เขาก็เคยพาร่างเล็กไปส่งที่โรงแรมนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับชายที่ชื่อว่ารัตติกาลอย่างไร
“มึงอยากเลิกงั้นหรอ”
บอยถามออกไปตรงๆเพราะพอจะรู้จักนิสัยคิดมากของปูนดี และรู้ด้วยว่าคำว่า ‘เลิก’ ที่เขาพูดออกไปนั้นเสียดแทงในคนฟังมากแค่ไหน ปูนเม้มปากของตัวเองแน่นแล้วหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งยิ่งกว่าเม็ดทรายที่อยู่รอบๆตัวเขาเสียอีก
“เลิกอะไรกันล่ะพี่...ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“แล้วมึงจะเครียดทำไม มึงบอกกูเองไม่ใช่หรอว่าไม่ได้จริงจังกับเขา”
“....!!”
“มึงบอกว่าถึงเวลามึงจะหยุด ถ้างั้นเวลาของมึงก็มาถึงแล้วปูน”
น้ำเสียงของบอยไม่ได้ฟังดูประชดประชันแต่ในความของมันนั้นไม่ได้หมายความตามที่พูดแน่ๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เผลอใจกับคนที่ไม่สมควรไปมากขนาดไหน เขาถึงได้เตือนมันตั้งแต่แรกว่าให้ระวังหัวใจ...เพียงแต่บอยก็ไม่คิดเลยว่าสาเหตุที่ทำให้เรื่องของสองคนนี้สั่นคลอนคือรัตติกาล
“ผม...อึก...ผม”
ปูนพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ เขาร้องไห้มามากเกินพอแล้วตอนอยู่บนเรือและเวลาที่อยู่คนเดียว ปูนกล่อมตัวเองเสมอว่าให้ถอยออกมา แต่ทุกๆครั้งที่คิดแบบนั้นก็จะมีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นว่ารักจนไม่อาจทำอย่างนั้นได้
“กูว่ามึงคงมีคำตอบที่ตัวเองอยากได้ยินอยู่แล้ว ว่าควรทำยังไงกับเรื่องนี้”
“คำตอบผมน่ะมี แต่ความกล้าที่จะทำมันน่ะ...ไม่”
“...”
“ถ้าผมบอกเขาไปว่าผมรักเขาเรื่องมันจะเป็นยังไงวะ ถึงเกิดโชคดีเขารักผมเหมือนกันแต่เกิดว่าวันหนึ่งเรื่องนี้มันแดงขึ้นมา...คนแบบเขาจะทำยังไง”
ร่างเล็กบอกสิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุดออกไป นั่นก็คือความไม่รู้...ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่รู้ว่าควรรับมือแบบไหน และไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น
“กูก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณคณิตเขาเป็นคนยังไง แต่ในฐานะพี่กูอยากจะเตือนอะไรมึงอยู่อย่าง”
“...”
“ความรักมันก็ใช้อารมณ์อย่างเดียวไม่ได้ จะทำอะไรก็คิดให้มันดีๆ...อย่าพลาดเหมือนที่กูพลาดเข้าใจไหม”
คนที่กำลังเศร้าอยู่แปลกใจในคำพูดและน้ำเสียงของบอยที่จู่ๆก็สั่นไหวขึ้นมาจนปูนสงสัยว่าระหว่างร่างใหญ่กับเด็กคนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถาม บอยก็ตัดบทและชิงตัดสายไปทิ้งหัวใจที่ยังสับสนของปูนไว้กับผืนทรายที่ถูกน้ำซัดเข้าหาเรื่อยๆไม่หยุด
ปูนมองปลายเท้าตัวเองและคลื่นเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาไม่รู้จะทำยังไง เลยตัดสินใจลุกขึ้นไปสำรวจรอบๆเกาะที่พอไม่มีคณิตคอยพูดคุยอยู่ใกล้ๆแล้วมันก็เงียบไม่ต่างจากเกาะร้าง เขาลัดเลาะผ่านผ่านทรายไปยังทางเดินไม้ที่ถูกสร้างไว้รอบๆภูเขาและตัดผ่านทะเลดูสวยงามแบบที่ปูนไม่เคยเห็นมาก่อน มันคงดีกว่านี้ถ้าหากเขาได้มาที่นี่ด้วยหัวใจที่เป็นสุข ไม่ใช่ทุกข์เหมือนอย่างตอนนี้
แชะ!
เสียงแปลกปลอมดังขึ้นจนปูนต้องหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังยกกล้องมาทางนี้แล้วยังรัวชัตเตอร์ไม่หยุดซะด้วยจนเขาเริ่มทำหน้างอ
“อย่าทำหน้าบึ้งสิ”
คณิตบอกขำๆในขณะที่ปูนยิ่งได้ฟังอย่างนั้นก็ยิ่งทำปากคว่ำหนักเข้าไปอีก น่าโมโหชะมัด ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าทำคนเขาวุ่นวายใจแค่ไหน แถมเมื่อกี้ตอนอยู่บนเรือท้องแบนที่ลำเล็กกว่าเรือประมงพอสมควร พอเจอคลื่นลูกกลางๆเข้าไปเล่นเอาปูนคลื่นไส้จนได้ให้อาหารปลาไปสองรอบ คนตัวโตแทนที่จะสงสารกลับหัวเราะซะอย่างนั้น พอขึ้นฝั่งมาได้ก็ยังทิ้งกันไปอีก
“จะทำ มีปัญหาอะไรไหม”
ปูนว่าเสียงเขียวก่อนจะหันหน้าเดินต่อไป ไอ้โกรธน่ะไม่ค่อยแล้วแต่ยังไม่อยากเห็นหน้าคณิตตอนนี้เสียมากกว่า ทั้งเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นและเรื่องที่ยังไม่สะสางตีรวนจนเด็กหนุ่มเกิดอาการอยากหลบไปคิดอะไรคนเดียว ติดอยู่ที่ว่าคนที่เดินตามหลังมาคงไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น
“ยังโกรธฉันเรื่องบนเรือนั่นอีกหรอ”
“...”
“ปูน”
“เออ โกรธ! ได้ยินแบบนี้พอใจรึยัง”
ดูท่าคณิตจะพอใจมาก เพราะร่างสูงเล่นหัวเราะเสียงใสแล้วอาศัยช่วงขาที่ยาวได้เปรียบกว่าสืบเท้ามาใกล้ๆจนสามารถกอดคอปูนได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายาม คนตัวเล็กพยายามจะดิ้นหนี แต่เพราะอาเจียนไปสองรอบเล่นเอาแรงที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วหดหายเข้าไปอีก
“ขอโทษ ได้ยินแบบนี้พอใจรึยัง”
แม่ง...มีย้อนอีก
“ไม่!”
“แล้วจะเอาอะไรอีก”
“ไม่เอา...ปล่อยดิ อึดอัด”
เพราะคณิตทำเสียงนุ่มคนที่เคยฟึดฟัดทีแรกเลยพลอยทำเสียงอ่อนไปด้วย แต่ถึงจะเคลิ้มยังไงปูนก็ไม่อยากใกล้ชิดคณิตเกินความจำเป็นในตอนนี้ อยากคิดอะไรให้รอบคอบ ให้คำตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าควรทำยังไงแต่ดูเหมือนเสียงควมต้องการของปูนจะส่งไปไม่ถึงคนยืนใกล้ๆ เพราะริมฝีปากอุ่นๆที่กดลงมานั้นมันสั่นคลอนหัวใจคนหวั่นไหวให้อ่อนแรงลงปีอก
“แล้วแบบนี้พอใจรึยัง”
“...”
“ขอโทษที่ทิ้งไว้คนเดียว ฉันรีบไปถ่ายงานให้เสร็จแล้วจะได้มาเล่นกันไง”
พัง...พังไม่เป็นท่า ปราการบางๆที่ปูนเพียรสร้างขึ้นมาพังทลายลงเพียงแค่จูบๆเดียวและความอบอุ่นที่ทำให้เขายอมทรยศหัวใจตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ปูนก้มหน้าลงหลบดวงตาเรียวรีที่มีเสน่ห์คู่นั้นเพราะหัวใจเขาชักจะเต้นแรงเกินไป จะบ้าตาย...ก่อนจะยอมรับความรู้สึกตัวเองเขาไม่เคยเป็นหนักขนาดนี้
“ถ้าหายโกรธแล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะ อาเจียนไปขนาดนั้นเธอคงหิวแย่”
คณิตเอาเองว่าอาการยืนก้มหน้าของปูนคือการตอบตกลง เขาจึงเดินจูงมือเด็กหนุ่มให้เดินตามกันไปบนทางเดินไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจนกระทั่งมาถึงเพิงไม้เล็กๆที่มีอาหารซึ่งเขาฝากเรือประมงจัดหาไว้ให้ตั้งแต่แรงวางเรียงรายอยู่บนนั้น คนที่ไม่มีอะไรอยู่ในท้องพอได้กลิ่นอาหารก็ออกอาการน้ำลายสอ อยากจะไว้ฟอร์มอยู่หรอก แต่กองทัพมันก็ต้องเดินด้วยท้องเหมือนกัน
ทั้งคู่นั่งลงบนพื้นแล้วกินอาหารพวกนั้นท่ามกลางเสียงคลื่นและลมที่เป็นหมือนธรรมชาติบำบัดชั้นดี คณิตยิ้มบางๆเมื่อเห็นว่าคนที่ดูซึมไปเริ่มหน้าขึ้นสีและดูพอใจกับอาหารมื้อนี้ไม่น้อยเพราะมีแต่ของโปรดเจ้าตัวทั้งนั้น
“แล้วเราจะกลับกันตอนไหน”
ปูนถามทั้งๆที่มีข้าวผัดกุ้งอยู่เต็มปาก คณิตมองปรามแต่ปูนก็ไม่สนใจ ร่างสูงเลยต้องปล่อยเลยตามเลยแล้วหันไปรินน้ำให้
“ฉันบอกให้เรือมารับตอนบ่ายสอง ไม่ต้องรีบหรอก เที่ยวให้เต็มที่แล้วพรุ่งนี้เราจะกลับบางแสนกัน”
คำว่ากลับบางแสนของคณิตทำเอาปูนรู้สึกใจหายไม่น้อย เมื่อต้องกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตอกย้ำความจริงเรื่องเพื่อนของร่างสูงมากขึ้นไปอีก และอาจจะเป็นเพราะปูนแสดงความผิดหวังออกทางสีหน้ามากไปคณิตจึงสังเกตเห็นมัน ชายหนุ่มลูบแก้มใสเบาๆเพื่อแทนคำปลอบโยน
“เอาน่า ไว้มีโอกาส ฉันจะพาเธอมาเที่ยวใหม่”
“มันอาจจะไม่มีก็ได้...โอกาสนั่นน่ะ”
“...?”
“ผมหมายถึง คุณคงยุ่งไงเราคงไม่มีเวลามาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้”
ปูนพูดแก้ตัวทั้งที่ความหมายในคำพูดของเขานั้นไม่ใช่ แต่มันยังเร็วเกินไป ปูนไม่ได้กล้าหาญพอที่จะถามคณิตไปตรงๆว่าถ้าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนของรัตติกาล ร่างสูงจะยังเอ็นดูเขาเหมือนกับตอนนี้รึเปล่า ฝ่ายคณิตใจจริงก็ไม่ได้เชื่อข้ออ้างของปูนสักเท่าไหร่ แต่ท่าทางที่บ่งบอกว่าปูนกำลังมีอะไรอยู่ในใจก็บอกให้เขาอย่างเพิ่งไปพูดจี้มากจะดีกว่า
มื้ออาหารที่เหลือผ่านไปด้วยความเงียบ ต่างคนต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเองจนกระทั่งวุ้นมะพร้าวชิ้นสุดท้ายถูกปูนกินไปจนอิ่มแปร้ ปูนนั่งพิงผนังปล่อยให้ความคิดทุกอย่างลอยไปกับลมเพราะอย่างที่ร่างสูงว่า เวลาที่เขาจะได้ใช้กับคณิตได้อาจจะมีแค่ตอนนี้ก็ได้
“ขอยืมขาหน่อยสิ”
คณิตที่เพิ่งนำขยะไปทิ้งเดินกลับมาก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น วางหัวของตัวเองลงบนตักของปูนที่ไม่ได้พูดห้าม
“อ่า ลมเย็นสบายจังเลย”
“ที่บางแสนก็มีลม”
“ฮ่าๆ มันไม่เหมือนกันสักหน่อย”
ร่างสูงหัวเราะจนตาหยี่จนปูนเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพนั้นไว้โดยไม่ตั้งใจ แต่คนถูกแอบถ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรหนำซ้ำยังหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วถ่ายรูปปูนไว้บ้าง
“ไม่เอา ไม่ให้ถ่าย”
ปูนบ่ายเบี่ยง เพราะตาปูนๆที่เกิดจากการร้องไห้มันไม่ได้น่าดูเลยสักนิด
“เอาน่า น่ารักดีออก”
“เหมือนกับจะตาย”
ว่าแล้วก็ใส่อิโมติคอนรูปกบซะเลย ก่อนจะเช็คอินเกาะขามแล้วอัพขึ้นไอจีให้เสร็จสรรพ คณิตหันหน้าจอของตัวเองให้ปูนดู เมื่อไอ้โต้งเจ้าเก่าคอมเม้นต์มาว่าน้องปูนน่ารักแทบจะทันทีที่เขาอัพภาพขึ้นไป
“ป๋าดูสนิทกับพวกพี่โต้งดีเนอะ”
ปูนเผลอเรียกคณิตว่าป๋าอีกแล้ว แต่เจ้าของฉายากลับไม่คิดจะท้วงทัก
“ก็สนิทที่สุดในกลุ่มเพื่อนมหาลัย เห็นนิสัยจัญไรกันขนาดนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะนิสัยไม่ดีนะ แต่ยกเว้นไอ้ขิงไว้คนแล้วกัน”
“ไปว่าเพื่อน ตัวเองนิสัยดีตายล่ะ”
“ฉันก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีสักหน่อย คิดกันไปเองทั้งนั้น แต่เอาเถอะแค่ไม่ชั่วจนสังคมเดือดร้อนแค่นี้ก็พอแล้ว”
เด็กหนุ่มมองหน้าคนที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนดีแล้วนึกค้านในใจ ถ้าอย่างคณิตเป็นคนดีไม่คนอย่างเขาจะเรียกว่าอะไรได้ แอบคิดว่าถ้าหากชายคนนี้ไม่ดีอย่างปากว่าปูนคงไม่ลำบากใจที่จะเดินออกไป
“แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ มีอีกไหม”
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
ปูนตัดสินใจถามหยั่งเชิงไป แม้ว่าตัวเองจะตกประหม่าเพราะมัน ยังถือว่าดีที่ร่างเล็กแค่มือสั่นไม่อย่างนั้นคนที่นอนตักเขาอยู่คงจับสังเกตได้
“มีเยอะแยะ ส่วนใหญ่เจอกันตามร้านเหล้า ก็อย่างว่าสมัยนั้นถ้าได้ไปเที่ยวที่ไหนแล้วมีเพื่อนเยอะๆมันดูเท่ดีถึงจะรู้จักกันแค่ผิวเผิน แต่ถ้าถามว่าเสียใจไหมก็ไม่นะ แล้วจริงๆนอกจากพวกไอ้โต้งที่เรียนอยู่วิศวะ ฉันก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียนอยู่คณะเดียวกันอยู่อีกกลุ่ม”
หัวใจของปูนเต้นแรงทันทีโดยเฉพาะเมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่คณิตมียามที่พูดถึงเพื่อนกลุ่มนั้น ปูนแกล้งขยับตัวทำเป็นเมื่อยเพื่อให้บทสนทนานี้ยุติ เพราะเอาเข้าจริงเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะฟังมัน
“งั้นขอฉันถามอะไรเธอบ้างได้ไหม”
คณิตพูดขณะที่ยกขาของปูนมาพาดบนขาตัวเอง มือที่เรียวยาวบีบนวดไปยังต้นขาที่ตัวเองอาศัยหนุนแทนหมอนอยู่เมื่อครู่
“ช่วงนี้มีอะไรมาทำให้ไม่สบายใจหรอ”
กะแล้วว่าต้องถามแบบนี้ เพราะความห่วงใยที่แสดงออกทางแววตาของคณิตไม่อาจปกปิดมันไว้ได้ ปูนเม้มปากก่อนจะมองออกไปไกลๆ ถ้าเขาพูดอะไรออกไปตอนนี้มันจะเป็นไรไหมนะ
“ป๋า...เคยเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปบ้างไหม”
ปูนถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างเห็นได้ชัด มือของคณิตก็หยุดลงไปโดยที่เด็กหนุ่มไม่เห็นเลยว่าคนที่เขาเผลอมีใจให้กำลังทำหน้าแบบไหน
“ถ้าเกิดว่าสิ่งไม่ดีที่เราเคยทำมันกำลังย้อนกลับมาทำร้ายเราป๋าจะทำยังไง ป๋ากลัวมันบ้างไหม อยากกลับไปแก้ไขมันรึเปล่า...ผมอยากแก้ไขมันนะ แต่ผมทำไม่ได้ ผมเปลี่ยนอดีตไม่ได้ ลบมันไม่ได้...ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
ปูนเพิ่งรู้สึกว่าเสียงลมมันน่ากลัวก็วันนี้ คณิตไม่พูดอะไรเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง เวลาผ่านไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับความมั่นใจที่สวนทาง ปูนอยากตีตัวเองที่ถามออกไปแบบนั้นทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เข้มแข็งพอจะรับผลของมันได้ หยดน้ำใสกลมกลิ้งรินออกจากตา คนที่ดูตัวเล็กลงกว่าเคยพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไว้แต่ก็ทำมันไม่ไหวเมื่อคนที่นั่งอยู่ข้างๆคว้าเขาเข้าไปกอด
“ยังไม่ทันจะว่าอะไรเลย ร้องไห้ทำไม”
“ก็มัน...ฮึก”
คณิตกอดปูนไว้จนร่างเล็กค่อยๆคลายสะอื้นลง ให้ตายสิ ขนาดยังไม่ได้พูดเรื่องของรัตติกาลเขายังอ่อนแอขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดต้องพูดมันขึ้นมาจริงๆเขาจะทนยังไงไหว คนโตกว่าปาดน้ำตาออกจากหน้าแดงๆของปูนออกแล้วอยากหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปใจจะขาด เพราะตาที่ว่าบวมเหมือนกบอยู่แล้วตอนนี้มันเหมือนยิ่งกว่าเดิมซะอีก...แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน
“ที่บอกว่าเสียใจน่ะเรื่องไหนกัน อย่าบอกนะว่าเกี่ยวกับฉัน”
“...”
“แสดงว่าใช่”
เสียงถอนหายใจของร่างสูงดังขึ้นก่อนปูนจะถูกฉุดให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามกันไปริมชายหาดที่ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขา
“ถ้าเป็นเรื่องที่เธอเคยขายตัว ฉันว่าฉันเคยถามเธอไปแล้ว ว่าเคยคิดบ้างไหมว่าสิ่งที่เธอทำสักวันมันจะย้อนกลับมาทำลายตัวเอง แล้วในตอนนั้นเธอก็บอกฉันว่าเธอต้องการให้มันเป็นแบบนั้น มันคงใช้คำว่าไม่รู้ไม่ได้ เธอรู้ดียิ่งว่าที่ฉันรู้ว่าผลของมันเลวร้ายแค่ไหน เพียงแต่ตัวเธอในตอนนั้นยังไม่มีบางสิ่งบางอย่าง”
“ผมไม่มีอะไรหรอ...”
ฝีเท้าของทั้งคู่หยุดลง คณิตหันมาเผชิญหน้ากับปูนที่พูดอะไรไม่ออก แม้ว่าปัญหาหลักๆที่ทำให้เขาทุกข์ใจอยู่ตอนนี้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ความสัมพันธ์ที่ปูนเคยมีกับรัตติกาลจะเรียกว่าคู่รักก็ไม่ใช่ ร่างเล็กจึงรู้สึกเจ็บแปลบตอนที่คณิตพูดคำว่าขายตัวออกมาตรงๆ เพราะสิ่งที่เขาทำกับรัตติกาลก็ไม่ได้ต่างไปจากคำคำนี้เลยเพียงแค่ผลตอบแทนของมันไม่ใช่เงินเท่านั้น
“ความรัก...เธอไม่รักตัวเอง”
“:..!!”
“ฉันไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอเริ่มกลับมาตระหนักถึงสิ่งที่ทำลงไป แต่ฉันก็ขอบคุณมันที่ทำให้เธอคิดได้ก่อนที่จะสาย”
“มันสายไปแล้วป๋า...ผมแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“ใช่ ไม่มีใครแก้ไขอดีตของตัวเองได้หรอก และฉันเชื่อว่าทุกคนก็เคยเสียใจกับการกระทำของตัวเองกันทั้งนั้น ฉันเองก็เคยเป็นแต่แล้วยังไงล่ะ อย่างน้อยในวันนี้เราก็รู้แล้วว่ามันไม่ดี แล้วเราจะไม่มีวันทำมันอีกใช่ไหม”
ปูนพยักหน้า ไม่ใช่แค่รัตติกาลแต่รวมถึงใครต่อใครที่ไม่ใช่คณิต ปูนจะไม่มีวันทำมันอีกเด็ดขาด
“ผลจากสิ่งที่เคยทำเราก็ต้องรับมัน มันอาจจะแย่สักหน่อยแต่คงไม่เลวร้ายเท่าเราไม่รู้ตัวแล้วยังทำมันซ้ำๆ เธอยังเด็ก...เธอเคยโง่และผิดพลาด แต่ถ้าเธออดทนแล้วก้าวผ่านมันไปให้ได้สักวันเธอจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้แน่”
คณิตพูดพร้อมกับมองตาปูนไปด้วย ดวงตาที่แสดงออกถึงความเชื่อมั่นทั้งในคำพูดของตัวเองและเด็กผู้ชายตาแดงตรงหน้าเขา ในขณะที่ภาพของคณิตในสายตาปูนมันพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากเสียไป...ไม่อยากเสียไปจริงๆนะคนคนนี้ คนที่เข้าใจและอยู่ข้างกัน ปูนจะเสียเขาไปไม่ได้...ปูนขาดคณิตไม่ได้จริงๆ
“อยู่ด้วยกันนะ ฮึก จนกว่าผมจะผ่านไปได้ ป๋าต้องอยู่กับผมนะ”
ปูนวางใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนมือของร่างสูงที่มอบสิ่งดีๆให้กับเขาเสมอ ตั้งแต่ได้พบคณิตมีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นที่ปูนรู้สึกเสียใจ...คือตัวเองไม่ได้ขาวสะอาดพอสำหรับผู้ชายคนนี้
“ผมจะเป็นคนที่ดีกว่านี้...เป็นคนที่ดีพอสำหรับป๋าให้ได้”
“...”
“ผมรักป๋านะ รักป๋านะได้ยินไหม”
ปูนไม่ได้หลบตาคณิตอีกแล้ว เขาจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปแล้วพูดในสิ่งที่ทั้งหัวใจและสมองยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน เขารักคณิต...รักมากพอที่จะทิ้งอดีตของตัวเองไปได้ ทั้งอคติที่ย้ำเตือนว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร และความรู้สึกที่เคยมีให้กับใครอีกคน
คณิตไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสดใสทำเพียงแค่ยิ้มให้เหมือนกับที่เคยเป็นมา เสียงคลื่นที่ฟังดูหนวกหูค่อยๆเงียบลง ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก็ดูอ่อนโยนลงทันตา คณิตเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาปูนช้าๆ แล้วมอบจุมพิตแทนคำตอบของคำขอร้องทั้งหมด
“ขอบคุณนะ ฉันได้ยินมันแล้ว”
.
.
.
.
.
.
.
.
เรือประมงลำเดิมจอดเทียบท่าพร้อมกับการกลับมาของคนสองคนที่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง คณิตเดินไปขอบคุณคนขับที่มาเป็นธุระให้พร้อมทั้งมอบสินน้ำใจให้ไปเล็กน้อยตามมารยาทโดยที่ทำเป็นไม่สนใจสายตาแปลกๆที่อีกฝ่ายมองมา
เพราะในขณะที่คณิตทำทุกอย่างเขาก็กุมมือปูนไม่ปล่อยให้ห่างเลย...
“ขอบคุณมากนะครับพี่ ครั้งหน้าถ้าผมมาอีกจะติดต่อไปนะครับ”
คณิตหันไปพูดส่งท้ายแล้วพาปูนที่ผิวหน้ายังคงแดงเถือกให้เดินตามไปที่รถซึ่งเขานำมาจอดเอาไว้ไม่ใกล้ ทั้งคู่พากันกลับโรงแรมเพราะรู้สึกเหนื่อยล้า หลังจากที่ปูนพูดคำๆนั้นไปอะไรๆมันก็เกิดขึ้นตามมา
ดีนะที่วันนี้ไม่มีพายุ...ไม่งั้นฟ้าผ่าแน่ๆ
“เดี๋ยวขึ้นไปอาบน้ำแล้วค่อยลงมากินข้าวกันนะ อยากไปที่ไหนไหม”
“ไม่ไปอะ กินของโรงแรมเนี่ยแหละ ผมง่วง”
ร่างสูงก็ยอมตามใจ เขาปล่อยให้ปูนเป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็จัดการถ่ายไฟล์รูปทั้งหมดลงเครื่องเพื่อจะนำกลับไปทำพรีเซนเทชั่นและแผนงานที่จะนำเสนอให้ทีมบริหารและพ่อของตนพิจารณาต่อไปในอนาคต
ก็อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น คณิตจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเขาและปูนไม่มีใครโทรไปสั่งอะไรกับรูมเซอร์วิส ร่างสูงเดินไปที่ประตูมองผ่านตาแมวเล็กๆก่อนจะถอนหายใจออกมา
“มาซะเย็นเลย มีอะไรวะ”
เมษาที่อยู่ในชุดสบายๆยืนยิ้มให้กับคณิตจากอีกฝากฝั่งของประตู ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้านายของปูนมองเข้าไปในห้องเชิงบอกว่าเขาอยากเข้าไปคุยธุระด้านในมากกว่าคณิตจึงต้องยอมถอยออกไปทั้งๆที่กังวลถึงคนที่กำลังอาบน้ำอยู่
“วันนี้ไปไหนมาล่ะ เห็นโรงแรมบอกว่านายกับเด็กนั่นออกไปกันตั้งแต่เช้าเพิ่งจะกลับ”
เมษาชิงถามขึ้นก่อนทั้งที่ตัวเองเป็นแขก
“เกาะขาม พาปูนไปเล่นน้ำแล้วก็ดูปะการัง”
คณิตเลือกตอบไปแบบนั้นแล้วปกปิดวัตถุประสงค์อื่นไว้ไม่ให้เมษารู้ ฝ่ายเมษาก็ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรไป
“แล้วมึงล่ะไปไหนมา หายไปสองสามวันผู้ช่วยก็ไม่เอาไป”
“ก็ไปคุยกับท่านพิเชษฐ์บ้าง นายทหารคนอื่นบ้าง แล้วก็แวะไปดูสาขาที่ระยองมานิดหน่อย”
“แล้วจะกลับบางแสนวันไหน กูว่าจะกลับพรุ่งนี้แล้ว และก็จะขอเอาปูนกลับไปด้วยถ้ามึงไม่ว่าอะไร”
“กูคงอีกสักพัก ส่วนเด็กนั่นมึงจะเอากลับไปเลยก็ได้ ดูแล้วคงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อยู่ดี”
น้ำเสียงของเมษาไม่มีความหยามเหยียดเพราะมันเป็นความเคยชินของคนที่ตัดสินคนอื่นด้วยความสามารถที่ทำประโยชน์ให้ได้ คณิตก็ไม่ได้ว่าแต่ก็ไม่เคยชอบใจในนิสัยแบบนี้ แล้วยิ่งมาพูดถึงปูนที่เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้มีความสามารถมากกว่าที่เห็นเพียงแค่ยังไม่ได้รับโอกาส
“ป๋า ผมอาบน้ำเสร็จ...คุณเมษา”
พูดไม่ทันขาดคำ ปูนก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำห่มกาย เส้นผมสีอ่อนก็ยังเปียกชื้นจนน้ำหยดมาเป็นทาง
“บอกแล้วไงว่าให้เช็ดผมให้หมาดก่อนค่อยออกมา”
คณิตพูดดุก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาวางลงบนกลุ่มผมของปูนแล้วออกแรงขยี้เบาๆ โดยลืมไปแล้วว่าในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนอีกต่อไป ผิดกับปูนที่ตระหนักถึงความจริงข้อนั้นแต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้ร่างสูงดูแลตัวเองต่อไปท่ามกลางสายตาของเมษาที่มองมา
“เดี๋ยวผมเช็ดต่อเอง ป๋าไปอาบน้ำเถอะจะได้ลงไปกินข้าวกัน”
ปูนแสร้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงที่จงใจทำให้มันฟังดูออดอ้อนกว่าเคยจนคนฟังทั้งสองคนต้องเลิกคิ้วขึ้นไปตามๆกันโดยเฉพาะเมษาที่เห็นว่าสภาพของปูนในวันนี้แตกต่างไปจากข้อมูลที่มีคนส่งมาให้เขามากนัก
“เอางั้นก็ได้ ไอ้เมษรอกูก่อนแล้วกัน ขออาบน้ำแปปเดียว”
“อืม ตามสบายกูไม่รีบ”
เมษายิ้มให้เพื่อนจนกระทั่งแผ่นหลังของคณิตหายไปหลังประตูห้องน้ำ บรรยากาศผ่อนคลายที่เคยมีหายไปทันตา มันเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเพราะสายตาของคนสองคนที่จ้องมองกันไม่ม่ถอย
“ว่าไงครับเจ้านาย ผมนึกว่าคุณจะไม่กลับมาแล้วซะอีก”
“ต้องกลับมาสิ แถมดูเหมือนว่าสัญชาตญาณของฉันจะถูก...มีอะไรสนุกๆเกิดขึ้นจริงๆด้วยสินะ”
ปูนไม่สนว่าเรื่องสนุกๆที่ว่านั่นจะเป็นอะไร เขาทำเพียงแค่เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบครีมประทินผิวราคาแพงที่คณิตหามาให้แล้วบรรจงทามันลงไปบนร่างกายที่มีแต่รอยช้ำ หากแต่มันเป็นรอยช้ำที่เกิดขึ้นโดยความเสน่หา ร่างเล็กจงใจแหวกสาบเสื้อคลุมของตัวเองให้กว้างขึ้นเพื่อให้เมษาที่กำลังมองร่องรอยเหล่านั้นผ่านเงาในกระจกเห็นมันได้ทันตา
หลักฐานที่บอกว่าเขากับคณิตลึกซึ้งกันขนาดไหน
“ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปทำงานด้วย แล้วก็คงจะไม่ได้กลับไปทำอีก”
“หื้ม? เธอจะลาออก?”
“ใช่ครับ ความจริงผมก็คิดมาสักพักแล้วว่าการทำงานที่ The Next คงเหมาะกับผมมากกว่า ส่วนเงินค่านาฬิกาไม่ต้องห่วงนะครับ เชิญคุณตัดไปจากเงินเดือนเดือนที่ผ่านมาของผมได้เลย...ผมไม่รับ”
เมษาหัวเราะอย่างถูกใจ ในความเปลี่ยนแปลงที่เกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก ปูนเองก็ยังคงรักษามาดไว้ได้ แม้ว่าภายในใจจะเริ่มมีไฟคุขึ้นมา
“ฮ่าๆ ได้ฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าจะมีคงเป็นคณิตมากกว่า”
“...?”
“ได้คนมีฝีมือไปทำงาน แต่ดันได้เรื่องคาวๆแถมไปด้วย น่าเป็นห่วงจริงๆ”
ปูนกระตุกยิ้ม ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาเขาจะรู้จักนิสัยผู้ชายคนนี้น้อยไปจริงๆนั่นแหละ โดยเฉพาะคำพูดร้ายๆนั่น...เสียดแทงใจชะมัด
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ อะไรๆมันก็เปลี่ยนกันได้ ถึงจะลำบากไปหน่อยแต่ผมก็เข้มแข็งเข้าไว้เพราะว่า...”
“...?”
“คนที่ปากบอกว่าเป็น ‘เพื่อน’ บางคนมันไม่น่าไว้ใจ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
น้องปูนนนนนนนน ใครสั่งใครสอนให้บอกรักผู้ชายก่อนนนนน >///////< เขินนนน เขียนไปเขินไป ส่วนNC บนเกาะนั้นไซร้....ติดตามได้ในตอนที่ 23.5 เฉพาะในเล่มเท่านั้นนะคับ (จริงๆคือมันยังเขียนไม่ออกนั่นแหละ)
น้องปูนของเช่เป็นเด็กน้อย(แต่ร้ายมาก)คับ ทิ้งป๋าไม่ลงหรอกเอาจริงๆ ส่วนเรื่องพี่กาลจะจัดการยังไงค่อยว่ากัน555 ความคิดความอ่านค่อนข้างเด็กไปซะมาก สังเกตได้จากความเวิ่นเว้อของนาง (ซึ่งตัวจริงก็ไม่ได้ต่างกันเลย) เป็นตัวละครที่จะว่าเขียนง่ายก็ง่ายเขียนยากก็ยาก จะยากตรงเช่ต้องมาเวิ่นเว้อเนี่ยแหละ โดยเฉพาะพาร์ทนี้ เดี๋ยวเอาเดี๋ยวไม่เอา พอโดนป๋าปลอบเข้าหน่อยก็ถวายตัวให้เขา(อีก)แล้ว หนูเอ้ย 5555555
และแน่นอนคับ พูดถึงตอนเสริมในเล่ม เรื่องหนังสือเราก็มา เช่ทำแบบสำรวจความต้องการซื้อหนังสือขึ้นมาอีกแล้วนะคับ ใครสนใจป๋าปูนก็เข้าไปตอบกันได้ คำตอบทุกคำตอบมีค่า ทั้งในเรื่องราคาและรูปเล่มที่จะออกมา เรียนเชิญนะคับ^^
http://goo.gl/forms/YVWnykuEOf (http://goo.gl/forms/YVWnykuEOf)
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลย อาทิตย์นี้เช่น่าจะค่อนข้างยุ่ง อาจจะมาไม่เร็วนักแต่คงได้เขียนสักตอนนั่นแหละคับ^^
-
น้องปูนต้องสู้นะคะ อย่าทิ้งป๋า :hao6:
-
“ถ้าเกิดว่าสิ่งไม่ดีที่เราเคยทำมันกำลังย้อนกลับมาทำร้ายเราป๋าจะทำยังไง ป๋ากลัวมันบ้างไหม อยากกลับไปแก้ไขมันรึเปล่า...ผมอยากแก้ไขมันนะ แต่ผมทำไม่ได้ ผมเปลี่ยนอดีตไม่ได้ ลบมันไม่ได้...ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
วรรคนี้อ่านแล้ว ตอกย้ำความรู้สึกตัวเองได้ดีจัง
บางทีเราก็ลืมไปว่า เคยทำอะไรไว้บ้าง
ขอบคุณคนเขียนมากจ๊ะ
-
เป็นการบอกรักที่น่าเอ็นดูมาก เรื่องกาลช่างมันเถอะเนอะ จับมือป๋าไว้แล้วจะดีเองปูนเอ้ย ว่าแต่ป๋าล่ะ รักน้องรึยัง
-
:z1: :z1: สู้ๆนะปูน ตอนนี้ค่อยสมกับที่เป็นปูนหน่อย อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ถือว่าเป็นแค่ความทรงจำ คนเรามีความทรงจำไม่ดีกันทั้งนั้น แต่อนาคตยังไม่เกิด อย่าเพิ่งไปคิดถึงมันเลย ป๋าน่ารักกกกก เมื่อไหร่ป๋าจะบอกรักปูน ป๋ารักปูนมั้ยอะหรือเอ็นดู เราแยกไม่ออก :mew4: :mew2:
-
ดีใจที่น้องเลือกป๋ามากกว่าความกลัวของตัวเอง แต่เรื่องกาลก็ยังไม่เคลียร์ แถมมีศัตรูเพิ่มมาอีก
เฮ้อออออออ สู้ๆนะหนู :katai1:
-
เชียร์ปูน ส่วนเมษนี่ร้ายเอาเรื่อง
รออ่านตอนต่อไปน้า
-
แบบสำรวจความสนใจการซื้อหนังสือ 'ใจแตก Broken man' by Vivace' Story
http://goo.gl/forms/YVWnykuEOf
รบกวนนักอ่านทุกท่านที่สนใจ เข้าไปทำแบบสำรวจให้เช่ทีนะคับ
เช่จะนำข้อมูลที่ได้มาประกอบการตัดสินใจการจัดทำหนังสือเรื่องนี้นะคับ
*ตอบแค่คนละหนึ่งครั้งพอนะคับ ไม่ปั้มโหวตนะ*
แตกที่ 24
…ตายใจ...
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ภาพของรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ซึ่งบรรทุกร่างของคนขับเจ้าของดวงตาคมกริบและเด็กหนุ่มในชุดนิสิตกลายมาเป็นภาพคุ้นชินของคนในคณะ เช่นเดียวกันกับวันนี้ที่พลัสมีเรียนตอนเก้าโมงเช้า บอยเลยต้องขับรถไปรับทั้งที่ตัวเองเพิ่งเลิกงานได้ไม่นาน
“วันนี้จะไปไหนรึเปล่า”
บอยถามขณะที่ช่วยร่างบางถอดหมวกกันน็อคออกจากหัว พลัสหยุดคิดไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ครับ ว่าจะกลับไปอ่านหนังสือสอบ”
“งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนกูมารับ”
“พี่เพิ่งออกเวรไม่ใช่หรอ กลับไปนอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมกลับเอง”
“บอกว่ามารับก็มารับสิ อย่าปิดเสียงโทรศัพท์ก็แล้วกัน”
ร่างใหญ่ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเถียงอีก บอยขับรถออกไปโดยที่มีสายตาของพลัสมองตามหลังแต่มันไม่ใช่สายตาอาลัยอาวรณ์หรอกนะ
“ว่าไงจ๊ะสก๊อย มาแต่วันเลยนะแก”
เอมมิกาที่เห็นเพื่อนตัวดีของเธอเพิ่งก้าวลงมาจากรถคันใหญ่ได้สักพักเดินมาทักด้วยน้ำเสียงติดจะจิกกัดเล็กๆ แต่พลัสก็รู้ดีว่าเอมมิกาไม่ได้หมายความตามที่พูด เขาขำเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเดินนำไปที่โรงอาหารเพื่อหาอะไรลงท้องก่อนที่เวลาเรียนจะเริ่ม
“เฮ้อ ฉันล่ะอิจฉาแกจริงๆได้ซ้อนท้ายบิ๊กไบค์มาเรียน รู้ไหมว่ายัยพวกที่นั่งหลังห้องเอาเรื่องของแกไปพูดกันใหญ่”
เอมิกาเกริ่นขึ้นขณะที่กำลังลังเลว่าจะเลือกนมไขมันต่ำหรือชาเขียวรมน้ำผึ้งผสมมะนาวของโปรดเธอดี พลัสได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะออกมา เพราะเรื่องที่ทุกคนต่างก็อิจฉาเขาเบื้องหลังมันไม่ได้สวยงามเลยสักนิด
“ไม่เห็นมีอะไรต้องอิจฉาเลย จะบิ๊กไบค์หรือมอเตอร์ไซด์ธรรมดามันก็ขับได้เหมือนกันแหละน่า”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่รถย่ะ แต่อยู่ที่คนขับต่างหาก ให้ตายสิ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าพี่บอยเขามาหลงเสน่ห์อะไรผู้ชายอกแบนๆอย่างแก”
หญิงพูดเสร็จก็ตัดสินใจหยิบชาเขียวขวดใหญ่ไปคิดเงิน ทำให้ไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรักที่มันเรียบนิ่งเสียจนคาดเดาความคิดไม่ได้ ไม่แปลกที่เอมิกาจะเข้าใจผิดว่าบอยผู้ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายเพื่อนของเธอกำลังตามจีบหรืออาจจะถึงขั้นเป็นแฟนกับพลัสแล้ว เพราะร่างบางเจ้าของนัยน์ตาเฉยเมยดวงนั้นเป็นคนบอกเธอเอง...ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องโกหกก็ตาม
บอยไม่ได้ตามจีบเขา ชายคนนั้นเพียงแค่อ้างสิทธิในตัวเขาทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำลายมันลงกับมือ นับตั้งแต่วันที่พลัสลืมตาขึ้นจากคืนวันอันโหดร้ายบอยก็เข้ามาก้าวกายชีวิตของเขายิ่งกว่าเงาตามตัว เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ...เขาไม่เคยเข้าใจการกระทำนั้น แต่พลัสก็เลือกที่จะหยุดตามแล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปแบบนั้น จนกว่ามัน...จะถึงเวลา
แต่ถ้าจะให้มองโลกในแง่ดี การมีบอยเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายมากนัก นอกจากนิสัยชอบดุไม่ฟังใครแล้ว หากพลัสยอมทำตัวพูดง่ายบอยก็ตามใจเขาแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะอยากกินอะไร อยากได้อะไร อยากไปที่ไหน ขอแค่เขาเอ่ยปากชายคนนั้นก็พร้อมจะประเคนให้ถึงที่ แม้ว่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อยๆก็เถอะ
“พาร์ทนี้ต้องระวังเรื่องการออกเสียงหน่อย แล้วก็อย่าลืมเรื่องคำเชื่อมเพราะตัวหลอกจะมีเยอะมาก”
บอยอธิบายหลักการทำข้อสอบภาษาจีนให้พลัสฟังอย่างใจเย็น โดยที่พลัสเองก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างอาจจะเป็นเพราะแอร์เย็นๆในช่วงวันที่ร้อนจัดแบบนี้ทำให้เด็กหนุ่มอยากจะนอนเสียมากกว่าอ่านหนังสือ
“นี่พลัส ฟังกูอยู่ไหม”
คนที่เริ่มสังเกตเห็นว่านักเรียนของตัวเองไม่ได้ตั้งใจฟังเอ่ยถาม แต่พลัสกลับตอบบอยด้วยการกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงของเขาแล้วคว้าผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาห่ม
“ผมง่วง”
“แต่วันเสาร์มึงสอบ”
“เหลือเวลาอีกตั้งสองวัน”
“แต่สองวันนั้นกูไม่ว่างติวให้มึงหรอกนะ”
ก็ช่างหัวกูสิ...พลัสตอบบอยอยู่ในใจโดยที่ไม่ได้พูดออกมา ร่างบางช้อนสายตามองคนที่ทำเสียงเขียวไม่พอใจก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้จนเขาสามารถได้กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายจากตัวอีกฝ่ายได้ชัดเจน
“ผมง่วง พี่ไม่ง่วงหรอ แทบไม่ได้นอนทั้งวัน”
“ง่วง แต่ติวให้มึงก่อนกูค่อยนอน”
พลัสเบ้ปาก ดูเหมือนคราวนี้แผนหลอกล่อของเขาจะใช้การไม่ได้ เด็กหนุ่มยอมลึกขึ้นนั่งบนเตียงอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ แต่ก็ได้รางวัลเป็นไอศกรีมรสมะนาวที่มีอยู่เต็มตู้เย็นของบอย เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆเช่นเดียวกับหน้ากระดาษที่ค่อยๆลดลง บอยเปลี่ยนจากการนั่งบนพื้นมาเป็นนอนเคียงข้างพลัสอยู่บนเตียงเพื่อให้คนตัวบางนอนหนุนแขนเขาได้
แม้จะแข็งกระด้างไม่น่าฟังแต่เสียงของบอยก็ขับกล่อมคนที่ดวงตาค่อยๆปรือลงได้ยิ่งกว่ายานอนหลับแขนงไหนๆ ตัวของบอยก็แข็งแต่เพราะความเคยชินทำให้เขาสบายและรู้สึกไม่กระดากอายที่จะซบหน้าลงบนอกของชายคนนี้
“ไม่ไหวแล้วหรอ”
“อืม พอแค่นี้ก่อนได้ไหม...นะ”
“เหลืออีกแค่บทเดียวเอง”
“แค่บทเดียวไว้ทำวันอื่นก็ได้ ตอนนี้นอนก่อนเถอะ”
เด็กหนุ่มว่าแล้วหยิบหนังสือออกจากมือของบอยโดยไม่รอให้อีกฝ่ายค้าน เขาเอี้ยวตัวไปหวังจะวางมันลงตรงโต๊ะญี่ปุ่นข้างล่างแต่เพราะแขนที่สั้นกว่าทำให้พลัสต้องเขยิบเข้าไปอีกจนพอมารู้ตัวอีกทีใบหน้าของบอยก็อยู่ห่างเพียงแค่เส้นผมกั้นกลาง ทั้งคู่มองตากันและทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนกับทุกๆครั้ง
ความเย็นชืดที่ริมฝีปากทำให้พลัสค่อยๆหลับตาลงแล้วรับรู้รสของมันช้าๆ เสื้อผ้าที่เคยมีติดกายถูกปลดออก ทั้งเสื้อนิสิตสีขาวของพลัส และเสื้อคอวีสีเทาของบอย แผ่นอกเปลือยเปล่าของทั้งคู่บดเบียดกันไปมาจนร่างบางเริ่มรู้สึกว่ายอดอกของตัวเองมันเริ่มชูชันขึ้นเรื่อยๆ เขาเห็นแสงสว่างอีกครั้งเมื่อบอยถอนจูบออกแล้วเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาไปที่ซอกคอหอมกรุ่นแทน กลีบปากสีเข้มค่อยๆดูดเม้มจนพลัสต้องร้องคราง เขารู้สึกได้ถึงคมฟันที่ตอกย้ำความจริงที่เขาควรตระหนักถึง
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
บอยเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นว่าคิ้วเข้มๆของคนใต้ร่างขมวดกันเป็นปมแน่น เขากดจูบลงไปหวังให้มันคลายออกซึ่งมันก็ได้ผลเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่เหมือนกับหลุดไปในภวังค์ของตัวเองเอื้อมมือมาโอบกอดแผ่นหลังกว้างของบอยไว้แล้วร้องขอ
“ผมไม่เป็นไร ต่อเถอะ”
พลัสเป็นฝ่ายรุกบ้าง เขาเคลื่อนตัวลงไปเล่นกับจุกสีเข้มของบอยด้วยท่าทางเงอะงะไม่รู้ประสา แต่เพราะว่ามันเป็นแบบนั้นคนตัวโตกว่าจึงครางในลำคอออกมาอย่างพอใจพร้อมกันนั้นก็คอยลูบสะโพกกลมของพลัสไปด้วย เขาปล่อยให้ร่างบางได้เล่นซนอยู่สักครู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบของใช้จำเป็นมาแล้วจัดการปลดกางเกงของตัวเองออกโดยอีกคนนั้นก็กำลังถอดชั้นในของตัวเองออกช้าๆเช่นกัน
ทุกอย่างเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ลีลาบนเตียงของบอยไม่ได้เร้าร้อนหรือรุนแรงอย่างที่พลัสคาด หากไม่นับคืนแรกที่พลัสถูกบอยขืนใจนั้น ร่างใหญ่ก็มักจะแตะต้องร่างกายเขาด้วยสัมผัสที่แผ่วเบาและทะนุถนอมยิ่งกว่าแก้วที่แตกได้ง่าย ฝ่ามือหยาบหนาแหวกปลีน่องของพลัสออกช้าๆแล้วใช้ส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดของร่างกายสัมผัสมัน รอยจูบของบอยถูกประทับลงในทุกๆที่ พลัสตัวกระตุกเมื่อนิ้วของร่างใหญ่ชำแรกเข้ามา แม้จะมีอุปกรณ์คอยช่วยและแม้ว่าเขาจะเคยผ่านมันหลายครั้งแต่การกระทำที่ฝืนกลไกธรรมชาติก็ไม่เคยนึกชินได้สักที
“อ๊ะ! เจ็บ..พี่บอย อื้ออ อย่าเพิ่ง”
“ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ”
บอยลูบหัวพลัสก่อนจะหันไปหยิบเจลมาบีบใส่ช่องทางของเด็กหนุ่มให้ชุ่มขึ้นอีก ดูเหมือนมันจะช่วยได้ เสียงร้องที่ฟังดูทรมานเปลี่ยนไปเป็นสุขสม ร่างกายของพลัสบิดพลิ้วไปมาจนบอยต้องทาบทับมันไว้พร้อมกับนั้นก็ขยับแท่งร้อนของตัวเองรอเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“อึก อ๊าาาาาาาา!”
กายบางเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่นึกอายเพราะสติที่แทบจะหลุดลอย ยิ่งยามที่บอยควบความเป็นชายของตัวเองเข้ามาในร่างกายของเขา พลัสยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังแตกสลายลงเรื่อยๆ แม้จะถูกกอด ถูกปลอบยังไง พลัสก็ได้แต่ร้องอื้ออึ้งและหลับตาไว้ จนกระทั่งได้ยินเสียงที่พร่ำเรียกชื่อของเขาอยู่ข้างๆหู
“พลัส อ่าาา...พลัส”
“ฮึก อื้ออ”
“ลืมตาสิพลัส อึก...มองหน้ากู”
แม้แต่ในยามนี้บอยก็ยังออกคำสั่งเขาได้ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆจนสบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มที่บ่งบอกความปรารถนาและความรู้สึกบางอย่างออกมาอย่างท่วมท้น บอยเบาจังหวะให้ช้าลงแล้วเริ่มละเมียดชิมจูบของเด็กหนุ่มใต้ร่างอีกครั้ง พลัสก็ยอมจูบตอบคนตัวเล็กกว่าไม่ได้บ่ายหนีซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีที่ทำให้บอยพอใจ หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กนี่คงไม่ยอมลงให้เขาง่ายๆแน่
“ขยับหน่อย อื้อ ผมอึดอัด”
“ไม่เจ็บแล้วหรอ”
“เจ็บ...แต่ก็ทำเถอะ”
บอยมองคนอวดเก่งแล้วส่ายหัว แต่ถ้าจะให้เขาหยุดตอนนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มจึงทำได้แค่หยอดเจลเพิ่มไปอีกแล้วควบคุมจังหวะของตัวเองให้ไม่โลดโผนจนพลัสรับไม่ไหว เสียงครางหวานหูดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ บอยบังคับให้พลัสโอบกอดเขาไว้ก่อนที่ร่างใหญ่จะโหมแรงทั้งหมดใส่เมื่อเห็นว่าคนตัวบางกำลังร้องขอเขาผ่านสายตา จนกระทั่งมาถึงปลายทางที่ของเหลวสีขาวถูกหลั่งออกมาจนเปรอะเปื้อนร่างกายของทั้งคู่
“ฮ๊าาาาา อื้อออออ!”
พลัสรู้สึกได้ถึงถุงบางๆที่อยู่ในกายของเขาถูกเติมน้ำเข้าไปจนเต็มเปี่ยม ร่างบางหายใจหอบทันทีที่ถึงฝั่งฝันเขาก็แทบหมดแรงทั้งๆที่ตัวเองแทบจะไม่ต้องขยับด้วยซ้ำ ในขณะที่คนออกแรงอย่างบอยยังดูสมบูรณ์ดี ใบหน้าคมเข้มที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มดูสดชื่นแบบแปลกๆจนพลัสต้องเบนหน้าหนี เขาถูกอีกฝ่ายกดจูบที่ขมับ ตัวตนของบอยถูกถอดออกไปโดยพร้อมกันนั้นเกิดเสียงน่าอายที่ฟังกี่ครั้งก็ไม่ชิน
“ไปอาบน้ำไป ลุกไหวไหม”
“ไหวครับ”
อยากจะแกล้งสำออยว่าลุกไม่ไหวอยู่หรอก แต่บทเรียนจากครั้งที่แล้วสอนเขาว่าสำหรับผู้ชายคนนี้อย่าได้ริอาจหยั่งเชิงหากไม่กลัวผลที่จะตามมา พลัสเข้าไปอาบน้ำล้างเอาคราบไคลและควานเอาความเหนียวเหนอะหนะในช่องทางนุ่มออกช้าๆด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยแทบจะไร้ความรู้สึก...
“เมื่อไหร่นะ...เมื่อไหร่มันจะถึงเวลาสักที”
.
.
.
.
.
.
.
.
ร้านนมใกล้ที่พักถูกเลือกเป็นสถานที่เติมพลังที่ทั้งคู่เผาผลาญมันไปเมื่อบ่าย และก็เหมือนทุกๆครั้งที่บอยไม่ต้องรอให้พลัสสั่ง ชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีดำพร้อมสำหรับไปทำงานเลือกสั่งส้มตำทอด สปาเก็ตตี้แกงเขียวหวาน และปังเย็นซึ่งล้วนแต่เป็นของโปรดร่างบางทั้งนั้นมาให้พร้อมสรรพ เด็กหนุ่มเขี่ยแป้งที่ถูกตีเป็นเส้นยาวไปมาเพราะในหัวของเขามีแต่ความสงสัย จึงถามออกไปโดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบมากนัก
“ทำไมพี่ถึงรู้ว่าผมชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรตลอดเลยล่ะ”
คิดว่าคำถามของพลัสจะได้รับความสนใจบ้างไหม...ไม่ ไม่เลยเหมือนที่เคยเป็นมา ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ร่างบางถามถึงเหตุผลที่ชายคนนี้รู้เกี่ยวกับตัวเขาแทบจะทุกอย่าง อาหารที่ชอบ สีโปรด สไตล์เสื้อผ้าที่ใส่ ชอบฟังเพลงอะไร วันหยุดชอบไปเที่ยวที่ไหน บอยรู้มันทุกอย่าง ในขณะที่พลัสนั้น...ไม่เคยรู้จักบอยเลยนอกจากคนที่เคยเป็นหัวหน้าตนและคน...ที่ทำร้ายจิตใจเขา
“จะกินอะไรอีกไหม รีบสั่งซะเดี๋ยวคนจะเยอะ”
“ผมถามพี่อยู่นะ”
“...”
“พี่บอย”
“อย่าเซ้าซี้ ถามกูบ่อยๆไม่เบื่อบ้างรึไง”
“แล้วพี่ล่ะ แถบ่อยๆไม่เบื่อบ้างรึไง”
บอยมีความอดทน แต่มันคงไม่มากพอในกรณีนี้ ชายหนุ่มที่กำลังกินข้าวด้วยอารมณ์ดีๆโยนช้อนลงบนจานของตัวเองจนเกิดเสียงดังไปทั่วทั้งร้าน เสียงพูดคุยต่างๆเงียบลง แต่ละคนต่างก็หันมามองทางนี้แล้วลุ้นว่าคนตัวโตจะลุกขึ้นมาต่อยนิสิตคนนั้นตอนไหน เพราะใบหน้าหล่อเหล่าที่มักดึงดูดใครต่อใครตอนนี้กลับดูน่ากลัวจนแม้แต่เจ้าของร้านก็ไม่กล้าขัด
“กูไม่รู้ว่ามึงไปเอาความปากกล้าแบบนี้มาจากไหน แต่กูแนะนำว่าอย่าใช้มันบ่อยๆจะดีกว่า...อย่าทำให้กูหมดความอดทน เข้าใจไหมพลัส”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ กลับกันพลัสไม่แม้แต่จะหลบตาบอยด้วยซ้ำ ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางความอึดอัดของคนในร้าน แต่สุดท้ายก็ต้องมีหนึ่งคนที่ยอมลงให้ก่อน...
“อย่าพูดแบบนี้อีก มันไม่มีสัมมาคารวะเข้าใจไหม”
พูดเสร็จแล้วบอยก็กุ้งทอดของตัวเองไปวางไว้บนจานของพลัสก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนรอบข้างต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก ยกเว้นตัวต้นเรื่องที่เอาแต่จ้องมองใบหน้าของชายคนนี้นิ่ง
“พี่บอย”
“หื้ม?”
“พี่ชอบผมหรอ”
ไม่เหมือนกับคำถามก่อนหน้า คราวนี้บอยมีปฏิกิริยาด้วยการเงยหน้าขึ้นสบตากับร่างบางอีกครั้ง ไม่มีความกดดันอยู่ในนั้น มีแต่ความใคร่รู้และต้องการคำตอบที่พลัสแสดงออกมาจนบอยรู้สึกได้
“รู้ไปแล้วได้อะไร ถ้ากูบอกว่าชอบแล้วมึงจะชอบกูหรอ”
“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นกูก็ไม่บอก”
“...”
“ก่อนจะถามหัวใจกู...มึงถามหัวใจตัวเองก่อนดีกว่า”
พลัสยกยิ้มหากแต่มันเป็นยิ้มหยันที่พยายามปกปิดไว้ให้แนบเนียนมากที่สุด ไม่ต้องรอถามเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง
เกลียด...เกลียดที่สุด...เกลียดจนต้องทน
เขาต้องอดทน...จนกว่าจะได้หัวใจของบอยมาโดยสมบูรณ์
“พี่บอย”
“อะไรอีก”
“ผมอยากกิน เครปเค้ก สั่งมาให้หน่อยนะ”
“...”
“...”
“กินของเดิมให้หมดก่อน เดี๋ยวกูค่อยสั่งให้”
.
.
.
.
.
รถบิ๊กไบค์สีดำสนิทของบอยจอดลงตรงปากซอยเข้าบ้านของพลัสในเวลาสองทุ่มตรง เขาหันไปถอดหมวกกันน็อคออกจากหัวของร่างบางให้แล้วหยิบเอาถุงขนมเค้กที่สั่งมาเพิ่มอีกสองสามชิ้นยื่นไปให้เจ้าของมัน
“ถ้ายังไหวคืนนี้ก็อ่านอีกบทที่เหลือด้วยล่ะ พรุ่งนี้กูคงไม่ว่างมาติวให้”
“อืม แล้วพี่จะมารับผมไหม ผมจะได้ไม่รอ”
“มา แต่อาจจะช้าหน่อย ยังไงก็รอกูแล้วกัน”
“ครับ งั้นผมไปแล้วนะ”
พลัสโบกมือลาคนโตกว่าแล้วบอยก็ขับรถออกไปโดยไม่แม้แต่จะบอกลาเขาเลย แต่มันก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกับทุกๆครั้งที่ร่างใหญ่พาเขามาส่งบ้าน ซึ่งนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในเรื่องแปลกที่พลัสค่อนข้างสงสัย นอกจากคืนแรกที่บอยขืนใจเขา บอยก็ไม่เคยให้พลัสนอนค้างที่ห้อง ต่อให้มีธุระดึกดื่นแค่ไหนบอยก็จะพาเขามาส่งโดยเลือกที่จะจอดรถไว้ข้างหน้าไม่เคยเข้ามาใกล้กว่านั้นแม้แต่นิดเดียว
“อ้าวพลัส กลับมาแล้วหรอลูก”
พลัสสลัดเรื่องของบอยออกจากความคิดของตัวเองก่อนจะหันไปหาบิดาที่กำลังปั่นจักรยานมาทางนี้พอดี ร่างบางตรงปรี่เข้าไปหาแล้วยกมือไหว้พร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสให้กับพ่อที่ตนเคารพรัก
“สวัสดีครับพ่อ ทำไมกลับมาเร็วจัง บอกว่าจะกลับวันอาทิตย์ไม่ใช่หรอ”
พ่อของพลัสทำงานอยู่ที่ท่าเรือ แม้จะรายได้ดีแต่การทำงานค่อนข้างจะหนักมากและไม่เป็นเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางครั้งพลัสไม่ได้เจอหน้าพ่อเลยตลอดทั้งอาทิตย์ ดังนั้นบ้านที่พ่อกับแม่ซื้อไว้จึงมีแค่เขากับน้าพรอยู่ด้วยกัน
“เจ้านายเขาให้วันหยุดพักร้อนมาน่ะ คงเพราะเห็นพ่อขยันไป”
คนเป็นพ่อพูดติดตลก แต่มันก็เป็นความจริง
“ถ้างั้นพลัสคงต้องขอบคุณเจ้านายพ่อสินะ ที่ทำให้พลัสได้เจอพ่อไวๆ แล้วนี่พ่อจะอยู่กับพลัสกี่วันครับ”
สองพ่อลูกเดินคุยกันไปเรื่อยๆ โดยมีพลัสคอยจูงจักรยานคันโตให้ส่วนเค้กร่างบางก็ส่งให้พ่อไปถือไว้แทน พวกเขาเดินมาจนถึงบ้านที่ไม่เคยเป็นบ้านอีกเลยสำหรับพลัสตั้งแต่วันที่สูญเสียแม่ไป แต่เด็กหนุ่มก็บอกตัวเองเสมอว่าในฐานะลูกเขาต้องช่วยประคับประคองบ้านหลังนี้ แม้ว่ามันจะทำได้ยากเต็มที...
“อ้าวคุณ กลับมาแล้วหรอไวจัง”
พลัสยกมือไหว้น้าพรที่เดินออกมาจากหลังบ้านทั้งที่เวลานี้แกน่าจะออกไปขายของได้แล้ว
“อ่า ขอโทษทีๆ พอดีเจอลูกกำลังเดินเข้าบ้านน่ะ ผมเลยลืมไปเลยว่าต้องออกไปซื้อน้ำยาล้างจานให้คุณ”
หญิงวัยกลางคนหันมามองพลัสทันทีที่ได้ยิน แม้จะไม่หยาบโลนแต่มันก็มีคำตำหนิเจืออยู่ในนั้น พรถอนหายใจแล้วส่ายหัวสองสามครั้งอย่างปลาๆ
“ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันออกไปซื้อเอง คุณจะกินข้าวเลยไหมฉันเพิ่งอุ่นให้เสร็จพอดี”
“เอาสิ พลัสล่ะลูกกินข้าวมารึยัง”
“กินแล้วครับ แต่กินอีกก็ได้”
ร่างเล็กตอบเอาใจพ่อ เพราะอยากใช้เวลาร่วมกันให้ได้มากที่สุด พลัสจึงต้องมากินอาหารเย็นรอบสองทั้งที่ส่วนที่ไปกินกับบอยมายังเต็มท้องอยู่เลย
“พ่อว่าจะถามอยู่ พลัสตัดสินใจรึยังลูกว่าจะไปฝึกงานที่ไหน”
“ตอนแรกก็มีที่คิดไว้ครับ...แต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจ”
เด็กหนุ่มพูดออกมาอย่างเสียดาย จากเริ่มแรกที่คิดว่าจะฝึกงานที่ The Pilot แต่พอมีเรื่องของบอยเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปจนกลายเป็นว่าร่างเล็กกำลังคว้างกับการตัดสินใจที่ทำได้ยากยิ่ง
“เอาเถอะ ค่อยๆคิดแล้วกัน เรื่องค่าใช้จ่ายก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เงินเก็บเราก็ยังมีอีกเยอะ ถ้าพลัสอยากจะไปฝึกที่ไกลๆพ่อก็ไม่ว่า”
“ก็น่าสนใจนะครับ แต่พลัสไม่ไปหรอก คิดถึงบ้าน”
พลัสบอกพ่อไปแบบนั้นก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อคุยเป็นเรื่องที่ไม่เครียดเพราะไม่อยากให้อาหารอร่อยๆรสเฝื่อนหมด พอกินเสร็จร่างบางก็เป็นคนอาสาเก็บจานซึ่งทำให้เขาต้องเดินมาเผชิญหน้ากับน้าพรที่กำลังกินกับข้าวแบบเดียวกันอยู่ในห้องครัวหลังบ้าน เด็กหนุ่มเดินตัวลีบ พยายามจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เพื่อนของแม่คนนี้มาพูดจาว่ากล่าวตัวเองอีก แต่ดูเหมือนวันนี้พรจะสงบปากสงบคำพอสมควร เธอกินข้าวไปเรื่อยๆไม่แม้แต่จะหันมาสนใจพลัสเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเด็กหนุ่มก้มหัวให้เธอน้อยๆแล้วเดินจากไป
พลัสเปิดประตูห้องของตัวเอง เขาวางกระเป๋าหนังสือและหนังสือการ์ตูนอีกสองสามเล่มที่หยิบมาจากชั้นล่างลงบนเตียงก่อนจะปลดเสื้อออกเหลือเพียงกางเกงสแลคขายาวสีดำเท่านั้น เด็กหนุ่มมองเงาของตัวเองในกระจก เขาเห็นร่องรอยที่บอยทิ้งเอาไว้ ใหญ่บ้างเล็กบ้างปนๆกันไป พลัสลูบมัน...เขาสัมผัสมันพร้อมกันนั้นก็นึกถึงใบหน้าของบอยยามที่มอบมันให้กับเขาไปด้วย
“ดีแล้ว...หลงผมให้มากๆ...ต้องมาก...มากกว่านี้อีก”
พลัสหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของตัวเองไว้ก่อนจะส่งมันให้กับบอยพร้อมกับข้อความสั้นๆ
‘ฝันดีนะครับ พรุ่งนี้ผมจะรอนะ’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ส่งเข้าด้านมืดไปอีกคนแล้ว โถ่ น้องพลัสของเช่ :hao7: 555555 ถึงคนจะไม่ค่อยชอบน้อง แต่เช่ชอบนะ อย่าที่บอกเป็นตัวละครที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาตอนเขียน เช่เลยตั้งใจสร้างให้พลัสเป็นตัวตนที่ตรงกันข้ามกับปูน พลัสแข็งในอ่อนนอก ส่วนปูนอ่อนในแข็งนอก บางคนอาจจะเรียกคนแบบนี้ว่าแอ๊บแบ๊วนะคับ แต่บางทีก็มองว่าคนแบบนี้เขารู้จักวางตัวนะ อยู่ในสังคมมันต้องมีคีพลุ๊คกันบ้าง แต่สิ่งที่น้องทำกับพี่บอยตอนนี้ไม่เรียกว่าคีพลุ๊คแล้วล่ะ55555 รอดูกันต่อไป แต่ว่าตอนหน้าก็กลับมาคู่หลักก่อนเนอะ :katai4:
ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เข้าไปทำแบบสำรวจนะคับ ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์เยอะมาก ถึงจะตีพิมพ์พี่กาลมาเรื่องนึงแล้วแต่คิดว่าตัวเองก็ยังอยากฟังความคิดเห็นจากผู้อ่านอยู่ดี ตอนนี้เช่ก็ต้องต่อสู่กับความเวิ่นและความคาดหวังของตัวเองเนี่ยแหละ ว่าอย่าไปทำอะไรผลิกแผลงมากจนบทที่วางไว้เสีย 55555 ไว้ถ้าได้เนื้อหาที่พอสมควรและสรุปการจัดทำได้แล้วจะเปิดให้จองกันนะคับ :katai2-1:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะ เช่ก็ยังยุ่ง(บอกงี้ทุกที) รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่อัพช้ามากเลย แต่ต่อไปก็อาจจะช้ากว่านี้อีก เฮ้ออออออ อยากแยกร่างงงงงง :hao5:
-
ว้ายยยยยย
เปิดมาเห็นอัพพอดีเลย
-
พลัสเป็นแบบนี้ก็เพราะบอยนั่นแหละ ปูนด้วย ดูขมๆแต่ก็แอบหวานนะคะ ฮาอะ อนาคตกลัวเมียแน่ๆ
-
พลัสดูไม่น่าคบขึ้นทุกที เดิมทีก็ไม่ชอบนิสัยของตัวละครนี้อยู่แล้ว
ออกด้านมืดยิ่งไปกันใหญ่เลย :เฮ้อ:
-
:haun4:
-
พลัส แกมันร้าย
-
ตามอ่านทันแล้ว เย้ๆ
-
:hao7:
-
พลัสเวอร์ชั่นแซ่บบบบบบ กะแล้วว่าเด็กคนนี้ต้องไม่ธรรมดา :ling3:
-
:haun4: :haun4:
-
พลัสแรงได้อีก
-
รอ :hao4:
-
แตกที่ 25
…หวังดี...
เขาว่ากันว่าเวลาคนเรามีความรัก มักจะมองทุกอย่างเป็นสีชมพู
แม้แต่ไข่ดาวที่ไหม้ไปกว่าครึ่ง...ก็เป็นสีชมพูเหมือนกัน
“บนโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟ็คจริงๆด้วยสินะ”
เด็กหนุ่มร่างเล็กที่ยังคงอยู่ในชุดนอนเขี่ยเจ้าไข่ดาวที่น่าจะเรียกว่าไข่อุกกาบาตมากกว่าไปมาแล้วหันไปทำหน้าเห็นใจใส่แฟนหนุ่มหมาดๆของเขาด้วยท่าทางที่ไม่มีความจริงใจเอาซะเลย
“อย่าบ่นมากน่า แค่ครัวไม่ไหม้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
คณิตเขกหัวปูนเบาๆพลางถอดผ้ากันเปื้อนออกจากชุดทำงานที่เขาไม่ได้สวมมันมาหลายวัน คนตัวโตนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆคนตัวเล็กแล้วทำท่าจะคว้าจานไข่ดาวเจ้าปัญหามากินเองแต่ปูนก็ยื้อไว้
“อย่าแย่งดิ”
“ก็เห็นบ่นว่ามันไหม้”
“ไม่ได้บ่นสักหน่อย แล้วนี่ป๋าทำให้ผมแล้วจะเอาคืนได้ไงล่ะ”
“ไม่แย่งก็ได้ กินไปเถอะ เพราะใช่ว่าฉันจะทำให้เธอกินบ่อยๆ”
“...?”
“ช่วงโปรโมชั่นน่ะรู้จักไหม”
ปูนหัวเราะลั่นแล้วตักโปรตีนสีขาวในส่วนที่ไม่ไหม้เข้าปาก ไข่ดาวมันก็คือไข่ดาวนั่นแหละ ไม่มีรสชาติอะไรที่แปลกไปมีเพียงแค่รอยยิ้มที่จุดขึ้นตรงมุมปากของคนสองคนเท่านั้น มือของปูนและคณิตสอดประสานกันตลอดมื้ออาหารที่ไม่เร่งรีบเท่าไหร่ทั้งที่เป็นเช้าวันจันทร์ ไม่ใช่ว่าไม่มีงานเพียงแต่พวกเขาอยากจะซึมซับความสุขนี้เพิ่มอีกสักนิด
“ถึงจะแปลกๆไปหน่อยที่มาพูดเอาป่านนี้ แต่ก็คิดว่าพูดออกไปจะดีกว่า”
“ปูน...เรามาเป็นแฟนกันเถอะ”
แม้จะผ่านมาแล้วสองวันแต่ปูนยังรู้สึกว่าได้ยินคำพูดของคณิตดังก้องอยู่ในหัว คงไม่ต้องบอกว่าเขากลัวแค่ไหนตอนที่พูดคำว่ารักไป และเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อมันถูกตอบรับ ร่างเล็กหันไปมองใบหน้าด้านข้างของคนที่บอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขาแล้วสัมผัสได้ถึงความสุขอันเปี่ยมล้น
ให้ตายสิ...อยากให้ถึงกลางคืนอีกเร็วๆจัง
“แล้ววันนี้เธอต้องเข้าไปทำงานเลยไหม ในเมื่อไอ้เมษมันยังไม่กลับ”
คนที่รู้ตัวว่าถูกมองแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ถามขึ้น ในขณะที่ปูนเผลอนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถามนั้น...เขายังไม่ได้บอกคณิตเลยว่าลาออกจากโรงแรมนั้นแล้ว
“ไม่อ่ะ...”
“งั้นวันนี้ก็ว่างใช่ไหม”
“อืม”
“ดีเลย เมื่อเช้าอิงส่งข้อความมาบอกว่างานเลี้ยงตอนเย็นขาดคนพอดี ไปช่วยหน่อยได้ไหม”
แน่นอนว่าปูนไม่คิดปฏิเสธ เขาตอบรับคณิตด้วยการมอบจูบหวานๆที่มีรสของน้ำส้มเจืออยู่ให้ก่อนจะลุกไปล้างจานและขัดกระทะที่ถูกใช้งานจนดำกว่าทุกครั้ง ในขณะที่เขาทำมันเขาก็นึกถึงเจ้าของชื่อที่ถูกอ้างถึงไปด้วย
เมษา...อดีตเจ้านายของเขา
ไวยิ่งกว่าปรอท เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ปูนประกาศความเป็นศัตรูกับชายคนนั้นไปฝ่ายบุคคลของ The Pilot ก็โทรมาเขาแทบจะทันทีที่ถึงเวลาทำการ ถ้าบอกว่าการลาออกครั้งนี้ไม่เกิดผลกระทบกับปูนเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่หากเทียบปัญหาเรื่องเงินกับหัวใจ ร่างเล็กเห็นว่าอย่างหลังมันสำคัญกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเมษาที่เพียบพร้อมกว่าเขาแทบทุกอย่างสำหรับปูนแล้วชายคนนี้เป็นศัตรูตัวเป้งที่เขาต้องระวัง
ใช่...เขารู้ว่าเมษาชอบคณิต
ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอก แต่พอลองทบทวนอะไรดูก็เห็นพิรุธหลายอย่าง โดยเฉพาะสายตาที่เมษาชอบใช้มันมองไปยังผู้ชายของเขา...มันเต็มไปด้วยความหลงใหลและอยากเอาชนะ
“ปูน”
“คะ ครับ?”
ร่างเล็กเผลอสะดุ้งเมื่อถูกคณิตแตะเข้าที่สีข้างในระหว่างที่กำลังคิดเรื่องของเมษาอยู่ ชายหนุ่มที่มีเสื้อสูทพาดไว้บนแขนและถือกุญแจไว้ในมือจับปอยผมที่ร่วงลงมาทัดหูของปูนให้เรียบร้อยก่อนจะบอกลา
“ฉันไปทำงานก่อนนะ แล้วเดี๋ยวจะโทรมาตามอีกทีว่าให้ไปกี่โมง”
“แล้วถ้าไม่มีงาน จะโทรหาผมป่ะ”
ปูนแกล้งหยอดถาม โดยที่ข้างในก็แอบอยากให้คนรักตอบว่าโทร คณิตมองใบหน้าออดอ้อนของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วถอนหายใจ...จะให้ปูนรู้ไม่ได้ว่าใบหน้าแบบนี้มันสั่นไหวหัวใจเขาแค่ไหน
“ฉันไม่ใช้โทรศัพท์ส่วนตัวในเวลางาน”
คำตอบของคณิตทำให้คนตัวเล็กหน้าบึ้งแต่มันก็คลายไปเพราะรอยจูบที่แก้มอันเป็นคำขอโทษจากคนที่บอกลาเขาแล้วเดินไปขึ้นรถของตัวเอง บ้านที่เคยมีเสียงพูดคุยเงียบลงไปทันตา คนว่างงานอย่างปูนจึงใช้เวลาที่มีเหลือเฟือไปกับการทำความสะอาดบ้านและรดน้ำต้นไม้เหมือนที่เคยทำ เพียงแต่ความรู้สึกในระหว่างนั้นมันเปลี่ยนไป เหมือนกับว่า...ที่นี่เป็นบ้านของตัวเองเหมือนกันล่ะมั้ง
ปูนกุมแก้มที่ยิ้มจนปวดของตัวเองขณะกำลังขับรถที่คณิตให้มาใช้ไปยังหอพัก หลังจากวันที่เขาหนีมานอนร้องไห้ที่นี่มันก็ไม่เคยถูกใช้อีก ร่างเล็กมองดูฝุ่นที่จับกันจนหนา หากที่นี่เปรียบเสมือนโลกที่เขาต้องอยู่เพียงลำพัง มันคงได้เวลาที่ปูนสมควรบอกลามันสักที
“ป้าครับๆ ว่างรึเปล่าผมจะมาคุยเรื่องย้ายออก”
ร่างเล็กร้องเรียกหญิงที่ไม่สาวแล้วซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นเจ้าของหอ คนที่ปูนเรียกวางหนังสือละครในมือของตนลงก่อนจะเดินมาหา
“จะย้ายออกหรอ อ้าว! หนูนั่นเอง”
คนถูกเรียกว่าหนูทำหน้างงน้อยๆ เมื่อจู่ๆป้าเจ้าของหอก็ทำหน้าเหมือนกับว่าดีใจที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ ว่าแต่...จำเขาได้ด้วยหรอ
“หนูชื่อปูนใช่ไหม ที่อยู่ชั้นห้า”
“อ่าครับ มีอะไรรึเปล่า”
“คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตอนที่หนูไม่อยู่มีคนเขามาหาหนูน่ะ”
ปูนทำหน้างงเข้าไปอีก เขาเนี่ยนะมีคนมาหา
“แล้วเขาเป็นใครครับ ได้บอกชื่อไว้ไหม”
“ไม่ได้บอกจ๊ะ ป้าก็รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นใครเพราะตอนนั้นป้าไม่อยู่ให้หลานมันเฝ้าแทนมันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มาบอกป้าแค่มีคนมาถามหาคนชื่อปูน ป้าเลยมานั่งนึกๆดูก็เลยจำได้ว่าเป็นหนูเนี่ยแหละ”
คำตอบของเธอไม่ได้ช่วยให้ปูนหายสงสัยเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังนำพาความกังวลใจมาให้อีก แต่เขาก็พยายามสลัดมันทิ้งไปแล้วพูดธุระของตัวเอง
“งั้นก็ช่างเถอะครับ ถ้าเขามีธุระจริงๆคงหาทางติดต่อกับผมเอง ว่าแต่ป้าครับ ถ้าผมจะย้ายออกนี่ต้องทำยังไงบ้าง”
“อ้าว จะย้ายออกหรอ มีปัญหาอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
คำถามธรรมดาๆของผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้ปูนหน้าขึ้นสีได้โดยไม่ต้องพยายาม เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบป้าเจ้าของหอไป
“พอดี...จะย้ายไปอยู่กับแฟนน่ะครับ”
“อ่อ มีแฟนนี่เอง แต่น่าเสียดายนะ ถ้าหนูมาเร็วกว่านี้สักสองวัน คงย้ายออกได้เลย”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“มันเลยต้นเดือนมาแล้วน่ะสิ ป้าเลยต้องคิดค่าหอเดือนนี้ด้วย”
ปูนร้องอ่อ เขามองเลยไปยังปฏิทินสีชาที่แขวนอยู่ไกลๆก็เห็นว่ามันเป็นจริงอย่างที่เธอว่า เพราะไปสัตหีบซะเป็นอาทิตย์มันเลยเลยเวลาไปแล้ว
“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ป้าคิดราคาตามจริงไปเถอะ”
“จ้า งั้นเป็นว่าหนูย้ายออกเดือนหน้าเนอะ ส่วนห้องป้าจะเก็บไว้ให้ก่อนแล้วกันเผื่อหนูอยากใช้ห้องในเดือนนี้จะได้ไม่เสียสิทธิ”
ปูนตอบตกลงแล้วคุยเรื่องเอกสารกับเจ้าของหออยู่สักครู่ ก็ขอตัวขึ้นไปหยิบพวกสำเนาบัตรประชาชนรวมถึงวุฒิการศึกษาซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากลับมาที่หอในวันนี้ เขาเช็คน้ำไฟ กวาดสายตามองไปรอบๆห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปแล้วลั่นกลอนมันอีกครั้ง
ก่อนหน้าที่โทรศัพท์ในห้องจะดังขึ้นแค่เพียงไม่กี่นาที...
.
.
.
.
.
.
.
บรรยากาศที่ห่างหายไปนานทำให้ทั้งปูนและคณิตรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาเริ่มกลับเข้าที่ งานเลี้ยงที่พวกเขากำลังดูแลอยู่นี้เป็นงานเลี้ยงอำลาพนักงานชาวต่างชาติของบริษัทรถยนต์ยี่ห้อใหญ่รายหนึ่งที่ถึงแม้จะมีคนไม่มาก แต่งานก็ล้นมือไม่น้อย ทุกคนต่างก็ช่วยกันทำงานสุดความสามารถ แม้แต่คณิตที่ตอนนี้ปูนรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครก็ลงมาทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งการยกแก้วที่ใช้แล้วไปเก็บในจังหวะที่ไม่มีใครว่าง จนเวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน เสียงเพลงที่เปิดคลอมาตั้งแต่บ่ายก็เงียบลงเช่นเดียวกับห้องจัดเลี้ยงที่กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง คนตัวเล็กที่เพิ่งกลับมาจากห้องน้ำมองดูชายหนุ่มที่ครองหัวใจเขาไว้ทั้งดวงนอนหลับตาอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ คณิตในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเสือที่ไร้การป้องกัน
แบบนี้ต้องแกล้งสักหน่อยแล้ว...
ร่างเล็กย่องเข้าไปใกล้คนที่กำลังหลับจนเขาได้ยินเสียงลมหายใจของคณิตที่ฟังดูคุ้นหูยิ่งกว่าเสียงลมหายใจของตัวเอง ปูนยิ้มกว้างเมื่อสังเกตเห็นรอยเปื้อนจางๆตรงแถวๆหูที่น่าจะเกิดจากตอนที่คนตัวโตเผลอเอามือมาจับโดยไม่ระวัง เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีก หวังว่าจะขโมยจุมพิตจากเจ้าชายนิทรา แต่จู่ๆมือใหญ่ๆที่เคยวางอยู่ข้างตัวของร่างสูงก็ขยับขึ้นแล้วคว้าเอาท้ายทอยของปูนไว้
“จะลักหลับฉันยังเร็วไปอีกร้อยปีนะปูน”
ลิ้มร้อนรุกไล่เข้ามาโดยที่ปูนไม่ทันตั้งตัว คนที่เคยคิดจะเป็นฝ่ายจู่โจมถูกดิ้นคลุกคลักเพราะความตกใจแต่พอตั้งสติได้ก็ตอบสนองกลับไปอย่างวาบหวามไม่แพ้กัน ปูนลืมตาขึ้นเล็กน้อยตอนที่กำลังจูบกับคณิตอยู่ ไม่รู้ทำไมเวลาได้เห็นใบหน้าที่แสดงความปรารถนาถึงเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอยู่เสมอ
“ป๋าแม่ง...ขี้โกงว่ะ”
ปากว่าเขาแต่ดวงตากลับยิ้ม คณิตขยี้ผมของปูนเบาๆก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งโดยไม่ลืมที่จะดึงปูนที่ทำหน้าแดงอยู่ให้มานั่งข้างๆกัน
“ผมนึกว่าป๋าหลับซะอีก”
“ไม่ได้หลับแค่พักสายตา แต่ก็แอบเคลิ้มๆอยู่เหมือนกัน”
“งานเยอะหรอ”
“อืม วุ่นตั้งแต่เช้านั่นแหละ มีเอกสารต้องตามเช็คเยอะไปหมด”
หากเป็นเมื่อก่อนปูนคงสงสัยว่าผู้จัดการอย่างคณิตทำไมถึงมีเรื่องให้รับผิดชอบเยอะนักหนา แต่สถานะที่เขาเพิ่งรับรู้ก็ตอบโจทย์สิ่งที่ปูนไม่เข้าใจได้ทุกข้อแม้ว่ามันจะนำพาความรู้สึกที่ไม่ดีมาด้วย
“เป็นลูกเจ้าของโรงแรมนี่...งานหนักเนอะ”
“หื้ม? เธอรู้ด้วยหรอว่าฉันเป็นใคร”
คณิตถามงงๆเพราะจำไม่ได้ว่าเคยบอกเด็กหนุ่มไปว่าเขาเป็นทายาทของโรงแรมนี้ ปูนยิ้มน้อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมคณิตถึงรู้สึกว่ามันดูไม่มีความสุขมากนัก
“อืม สักพักแล้ว คุณเมษาบอก”
“ไม่ยักกะรู้ว่าเธอคุยกับเมษาเรื่องนี้ด้วย”
ร่างสูงว่าก่อนจะวางหัวของตนไว้บนบ่าของปูนพร้อมกับหลับตาลง เขาปล่อยให้คนที่อ่อนกว่าลูบหัวของเขาเล่นไปมาได้โดยไม่คิดถือสา
“เป็นลูกเจ้าของโรงแรมแบบนี้เหนื่อยมากไหม”
“มาก แต่บางครั้งมันก็สนุกดี”
“บางครั้ง?”
“อืม ไม่มีใครได้เจอเรื่องดีๆทุกวันหรอกน่า”
ทั้งสองคนเงียบไปเหมือนกับว่าต่างก็กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปูนกำลังคิดถึงความจริงบางอย่างที่เขาปกปิดมันไว้ ส่วนคณิตก็คิดถึงท่าทางที่แปลกไปของปูนในหลายวันที่ผ่านมา แม้จะได้ร้องไห้และระบายมันออกมาบ้าง แต่ร่างสูงก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าอะไรที่ทำให้เด็กเจ้าปัญหาของเขาต้องเสียน้ำตาและรอยยิ้มไปตั้งแต่วันนั้น
“ป๋า...ผมมีเรื่องจะบอกแหละ”
“อะไรล่ะ”
“ผม...ลาออกจาก The Pilot แล้วนะ”
คณิตลืมตาทันทีพร้อมกันนั้นก็เปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงแล้วหันหน้าไปหาปูนที่กำลังเสหน้าหันไปมองที่อื่นเหมือนกับกำลังประหม่า จนร่างสูงต้องค่อยๆจับให้คนรักหันมานั่นแหละ ถึงจะคุยกันต่อได้
“มีปัญหาอะไรกับไอ้เมษมันหรอ”
“จะบอกว่ามีก็ใช่...แต่ก็ไม่ใช่เหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่รู้สิ แต่เอาสั้นๆคือผมไม่อยากทำงานกับทางนั้นแล้ว ทั้งสิ่งแวดล้อมแล้วก็อะไรหลายๆอย่างมันทำให้ผมอึดอัดน่ะก็เลยลาออกมา...ป๋าโกรธไหม”
ถ้าถามว่าการตัดสินใจครั้งนี้สิ่งที่ปูนกลัวที่สุดคืออะไร ก็คงจะเป็นความรู้สึกของคณิตนั่นแหละที่ทำให้ปูนรู้สึกประหม่า ปูนรู้ว่าคณิตเป็นคนที่จริงจังกับงานมาก แม้ปากจะบอกว่าเหนื่อยและไม่สนุก แต่ร่างสูงก็ไม่เคยไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองสักครั้ง
“ฉันไม่โกรธหรอก แต่ก็เป็นห่วง”
“ผมไม่เป็นไรหรอกน่า เราจากกันด้วยดีอยู่แล้ว”
ปูนคิดว่าอย่างนั้นนะ...ถ้าหากไม่นับการปะทะคารมระหว่างเขากับเมษาผู้เป็นเจ้าของในวันนั้น แต่เขาค่อนข้างมั่นใจนะว่าทางนั้นคงไม่เอาเรื่องงานมากลั่นแกล้งกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องของคณิตล่ะก็...ไม่แน่
“งั้นก็ดี แล้วเธอจะทำยังไงต่อ”
“ก็คงต้องหางานใหม่...ใกล้ๆ...แถวๆนี้”
ว่าแล้วก็หันไปยิ้มให้คณิตอีกสักที คนที่เข้าใจความหมายของคำพูดปูนก็หัวเราะลั่น
“ฮ่าๆ ทีตอนนั้นชวนไม่ยักกะมา”
“ก็ตอนนั้นเล่นตัวอยู่ ตอนนี้ไม่เล่นแล้ว”
คณิตหันไปทำหน้าประมานว่าจริงอ่ะใส่ จนบรรยากาศอึนครึมเมื่อครู่หายไปทันตา ทั้งคู่พากันไปเก็บของที่ห้องทำงานของคณิตก่อนจะมาที่รถซึ่งขามาที่โรงแรมปูนเลือกใช้รถมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้งเพื่อที่จะได้กลับด้วยกันได้ พอขับมาได้สักพักปูนก็บ่นหิว คนตัวสูงเลยต้องแวะจอดข้างทางตรงร้านข้าวมันไก่ให้
“ว่าแต่เธอลาออกมาก็ดีเหมือนกันนะ เรื่องนั้นฉันจะได้หมดห่วง”
คณิตพูดขึ้นขณะรับข้าวมันไก่พิเศษสองจานมาจากเด็กเสิร์ฟ ส่วนปูนก็ช่วยจัดช้อนกับส้อมให้
“อะไรหรอ”
“เรื่องเรียน ฉันคิดว่าเธอควรจะกลับไปเรียนต่อสักที”
ปูนทำช้อนร่วงจากมือ แต่คณิตก็รับไว้ได้ทันเพราะเขากะอยู่แล้วว่าคนรักคงมีปฏิกิริยาแบบนี้
“ป๋า...พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม”
“รู้สิ แถมรู้ด้วยว่าเธอดรอปมาก่อนจะเรียนจบแค่ไม่กี่เทอมเท่านั้น ฉันจะไม่ถามหรอกนะว่าเธอทำแบบนั้นทำไม แต่ในฐานะของคนที่ผ่านโลกมามากว่า ฉันว่าเธอควรกลับไปสู้ต่อสักที”
“แล้วในฐานะคนรัก...ป๋าจะบอกให้ผมกลับไปที่กรุงเทพงั้นหรอ”
น้ำเสียงของปูนฟังดูเว้าวอนจนคณิตอ่อนใจ แต่เรื่องนี้มันสำคัญเกินกว่าเขาจะตามใจร่างเล็กได้เหมือนทุกครั้ง
“ถ้าเธอจะยกสถานะนั้นมาอ้าง ฉันคงขอจบมันตรงนี้ซะดีกว่า”
“...!!”
“ไม่ได้หมายความว่าฉันอยากเลิกกับเธอนะปูน แต่ถ้าการที่เราคบกันทำให้เธอเสียอนาคตฉันก็คงเป็นคนรักที่แย่มาก ฉันยอมทำเป็นไม่เห็นอดีตของเธอได้แต่ฉันยอมให้เธอทำลายอนาคตของตัวเองไม่ได้จริงๆ”
คณิตพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่ไม่ได้กดดันอย่างที่คิด แม้แต่คนฟังที่มีอคติสูงลิ่วอย่างปูนก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและหวังดีที่ร่างสูงแสดงออกมา คณิตตักข้าวของตัวเองเข้าปาก เขายังไม่อยากพูดต่อเพื่อให้เวลาปูนได้พิจารณาถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง จะให้บังคับกันก็ทำได้แต่คณิตกลับไม่อยากทำแบบนั้น
ฝ่ายปูนพอคณิตไม่พูดอะไรต่อ เขาก็รู้สึกสับสนจนพลอยหมดความอยากอาหารไปด้วยทั้งที่ตัวเองร้อนจะกินแท้ๆ จนกระทั่งคณิตยื่นช้อนที่มีไก่ชิ้นโตพร้อมน้ำจิ้มมาให้นั่นแหละร่างเล็กถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเหม่อมานานแค่ไหน
“ฉันไม่เคยไม่หวังดีกับเธอ...รู้ใช่ไหม”
ปูนพยักหน้าแล้วยอมอ้าปากรับไก่ชิ้นนั้นมาเคี้ยวไปน้ำตาซึมไปด้วย เขารู้ว่าสิ่งที่คณิตพูดนั้นถูกต้อง แต่สิ่งที่เขาพยายามจะหนีคืออดีตอันขมขื่นที่ไม่อยากจดจำ กรุงเทพไม่ได้น่าอยู่สำหรับปูนอีกแล้ว...นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะบอกให้คนรักรู้
“ผม...เหลือเรียนอีกแค่สามเทอมแล้วก็ฝึกงาน”
“อืม”
“แต่เทอมนี้เขาเริ่มเรียนกันไปแล้ว ให้กลับไปก็คงไม่ทัน อย่างน้อยจนกว่าจะเทอมหน้า...ขอให้ผมอยู่กับป๋าไปก่อนได้ไหม”
น้ำเสียงของปูนเบาหวิวเช่นเดียวกับหัวใจ แต่มันก็ถูกเติมเต็มด้วยคำสัญญาของอีกคนที่หนักแน่นอย่างไม่อาจต้านทาน
“กรุงเทพกับบางแสนอยู่ใกล้กันแค่นี้ แถมปีสูงๆก็ใช่ว่าจะมีเรียนทุกวัน ถ้าวันไหนเธอว่างจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ได้ ถ้าเธอคิดถึงฉันก็จะไปหา”
“ป๋า...”
“สัญญา...ถ้าหากเธอต้องการฉันจะอยู่กับเธอในทุกๆที่”
.
.
.
.
.
.
.
เพราะคำสัญญาของคณิตทำให้ปูนยอมที่จะก้าวไปข้างหน้าต่อได้ แต่อย่างที่ว่าเขาปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานานเกินไปจนเพื่อนที่เคยเรียนร่วมห้องกันมาเรียนเลยไปไกลแล้ว ถ้าปูนจำไม่ผิดช่วงนี้ทุกคนคงกำลังเคร่งอ่านหนังสือกันอยู่จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ในขณะที่เขาก็กำลังพยายามในแบบของตัวเองอยู่
“ลงเป็นคอร์สภาษาจีนกับภาษาอังกฤษนะคะ ค่าเรียน 12,000บาทค่ะ”
ปูนหยิบเอาธนบัตรสีเทาจำนวนสิบสอบใบยื่นให้กับพนักงานของสถาบันสอนภาษาที่เปิดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรมของคณิตมากนัก แน่นอนว่าเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นของเขา ในขณะที่ความคิดเรื่องการมาเรียนภาษาเพิ่มเติมนี้เป็นสิ่งที่ทั้งคณิตและปูนตกลงร่วมกัน
ปูนไม่อยากให้คณิตเป็นห่วง ในขณะที่คณิตก็หวังให้การเรียนที่นี่ทำให้ปูนมีใจอยากกลับไปเรียนอีกครั้ง ร่างเล็กเลือกลงคอร์สในช่วงเวลาเช้าถึงบ่าย ส่วนตอนเย็นและค่ำเขาก็จะเข้าไปช่วยงานที่โรงแรมของคนรักในฐานะบาร์เทนเดอร์และเด็กฝึกงานพิเศษที่จะมีคณิตและอิงอรคอยควบคุมดูแลโดยตรง ปูนจำสีหน้าของหญิงสาวได้ดีว่าเธอดีใจแค่ไหนตอนที่คณิตบอกว่าเขาจะกลายมาเป็นพนักงานของที่นี่ แม้จะเป็นแค่เด็กฝึกแต่อิงอรก็ปลื้มใจเสียจนรีบไปบอกคนทุกแผนก
“ลงทะเบียนเรียบร้อยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้น้องเข้ามาลองสอบวัดระดับคะแนนดูว่ามีพื้นฐานอยู่ระดับไหน แล้วทางเราจะจัดชั้นเรียนให้ตามความสามารถ ส่วนวันและเวลาก็ตามนี้เลยนะครับ”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”
ปูนยกมือไหว้คนมีอายุมากกว่า ก่อนจะเดินกลับมาที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลเท่าไหร่ พอขึ้นรถมาได้เขาก็จัดการถ่ายรูปใบเสร็จและตารางเรียนส่งไปให้คนที่รอฟังข่าวอยู่ ณ ปลายทาง แถมด้วยรูปเซล์ฟฟี่ของตัวเองอีกสามรูปไปให้ด้วย
“เอาล่ะ เรียบร้อย”
ปูนยิ้มให้กับหน้าต่างสนทนาที่ไม่นานหลังจากนั้นข้อความของเขาก็มีสถานะขึ้นมาว่า ‘อ่านแล้ว’ แทบจะทันที คณิตไม่ได้ตอบปูนกลับมาเป็นข้อความ ร่างสูงเลือกที่จะส่งรูปแก้วกาแฟและงานกองโต รวมถึงรูปใบหน้าด้านข้างที่ทำให้เห็นจมูกโด่งๆและสันกรามคมๆที่ดูยังไงก็เซ็กซี่
ร่างเล็กเซฟรูปถ่ายของคณิตเก็บไว้ในตัวเครื่องแล้วกำลังจะปิดโทรศัพท์เพื่อที่จะขับรถต่อไป แต่เหมือนกับมีอะไรให้เขาดลใจกลับไปดูมันอีกครั้ง
“17 พฤษภาคม...อีกสามวันก็วันเกิดป๋าแล้วนี่”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ตอนนี่เรื่อยๆเฉื่อยๆแอบซึ้งเล็กๆ ส่วนตอนหน้าอีเว้นท์วันเกิดป๋าใกล้จะเข้ามาแล้วนะคับ เนื้อเรื่องกำลังจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคนที่งงว่าเขาไปเป็นแฟนกันตอนไหน ก็ที่เกาะนั่นแหละคับ ปูนบอกรักป๋าเสร็จก็อะโบเดเบกัน ฉากเป็นแฟนก็อยู่ในนั้นแต่เช่ยังไม่ได้เขียนนะ มันอยู่ใน extra (จริงๆคือหาเรื่องอู้นั่นแหละ)
วันอังคารนี้นิยายพี่กาลคงจะมาถึงมือเช่ ส่วนนิยายป๋าปูนถ้าใครติดตามเพจก็คงจะเห็นราคาที่เช่เอามาแปะแล้วนะคับ เลยจะมาแจ้งตรงนี้อีกครั้ง เป็นแค่ราคาโดยประมานเปิดขายจริงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
:call:หนังสือแบ่งออกเป็น 3 เล่ม เรื่องหลัก2เล่มเล่มละ400หน้า ตอนพิเศษอีก1เล่ม เล่มละ200 หน้า รวมทั้งชุด1000หน้า เปิดขายเฉพาะหนังสืออยู่ที่ราคาประมาน 850 บาท
ส่วน Boxset ราคาอยู่ที่ 260 บาท สามารถเลือกได้นะคับว่าจะเอาหรือไม่เอาก็ได้ แล้วก็มีที่คั่นกับโปสการ์ด แต่รอบนี้มีของแถมพิเศษด้วยคือสมุดโน้ตป๋าปูนขนาดA5 สำหรับผู้ที่โอนเงิน20ท่านแรก และจะเปิดขายสำหรับคนอื่นที่อยากได้เพิ่มเติมในราคาเล่มละ 40 บาทเท่านั้น! แล้วพิเศษสุดๆมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกกันด้วย หากเพจเช่ไลค์ครบพันเมื่อไหร่ จะเปิดให้มีการเล่มเกมชิงหนังสือป๋าปูนกัน ไว้มาร่วมสนุกกันนะคับ ใครอยากติดตามข่าวสารและร่วมเล่นเกมก็เข้ามาไลค์กันนะ^^
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตและทุกการรอคอยนะคับ (เขียนช้าก็งี้) เหลืออีกแค่(?) 15 ตอนจะจบแล้ว อาทิตย์หน้าเช่ก็คงยุ่งๆกับการแพ็คหนังสืออาจจะมาต่อให้ช้าหน่อย แต่ไม่หายนะ :katai5:
-
มาให้หายคิดถึง และไม่เครียดเกินไปสำหรับตอนนี้
:L2: :L2:
-
:o8:มาแล้ววววววรอทุกวัน
-
คนอย่างป๋านี่มัน :mew1: :mew1:
-
:pig4:
-
ป๋าเป็นคนน่ารัก
:-[
-
ป๋าน่ารักมากเลย...งานนี้น้องปูนคงยิ่งหลงป๋า :mew6:
-
ฟินทั้งๆที่รู้ว่าตอนต่อไปเกิดเรื่องแน่ๆ :ling3:
-
เขาเป็นแฟนกัน
เขามีความสุข
ทำไมเราหน่วง เหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นรึเปล่า สังหรณ์ใจยังไงชอบกล
-
:katai5:
-
แตกที่ 26
…เวลา(ที่ไม่มีวันตาย)...
บ่ายแก่ๆของวันจันทร์ที่สิบหก หลังจากปูนเรียนภาษาจีนเสร็จ เด็กหนุ่มก็รีบปรี่มาที่โรงแรมของคณิตด้วยรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขาทำไม่เหมือนกับทุกวัน คือแทนที่จะตรงดิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทำงานกับคนรัก ปูนกลับเดินเข้าไปในส่วนของครัวที่มีคนกำลังรอคอยเขาอยู่
“นี่ไงมาพอดีเลย ปูนๆมานี่เร็ว”
อิงอรที่วันนี้อยู่ในชุดสีเหลืองอ่อนกวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่โทรมาหาเธอตั้งแต่ช่วงเช้าของเมื่อวาน ปูนวางสัมภาระของตัวเองลงบนโต๊ะใกล้ๆก่อนจะเดินมาไหว้อิงอรและเชฟขนมหวานประจำโรงแรมที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
“กำลังคุยกับอีฟอยู่เลยว่าน้องปูนจะมาทันไหม มีเวลาไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“ทำไมล่ะครับ คุณคณิตเขาไม่ไปประชุมแล้วหรอ”
ปูนถามหญิงสาวถึงกำหนดการณ์เดิมที่คณิตต้องไปประชุมกับโรงแรมอื่นเกี่ยวกับแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวในครึ่งปีหลัง ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดที่ปูนจะเข้ามาเตรียมพร้อมสำหรับงานวันเกิดของคณิตในวันพรุ่งนี้
“ประชุมเหมือนเดิมจ๊ะ แต่งานเลี้ยงตอนเย็นเห็นว่าจะไม่เข้า เรามีเวลาถึงแค่หกโมงครึ่งนะ อีฟกับน้องจะทำทันไหม”
อิงอรหันมาถามเพื่อนสาวที่มีใบหน้าหวานไม่ต่างจากขนมที่เธอทำ อีฟหันมายิ้มอ่อนๆให้ปูนก่อนจะพูดให้กำลังใจ
“ทันอยู่แล้ว ว่าแต่ปูนคิดมาแล้วใช่ไหมว่าจะทำเค้กอะไร”
“ครับ...ผมจะทำเค้กฝอยทอง”
คำตอบของปูนไม่สร้างความแปลกใจให้อีฟเท่านั้นแต่รวมถึงอิงอรที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยด้วยว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กคนนี้คิดจะทำอะไรเซอร์ไพรส์เจ้านายของเธอ แต่ในเมื่อรับปากว่าจะช่วยแล้วไม่ว่าปูนจะทำอะไรก็ไม่ใช่ปัญหา คนต้นคิดขอให้อีฟซึ่งเป็นเชฟทำขนมฝรั่งรับหน้าที่ทำในส่วนของเนื้อเค้กแบบชิฟฟ่อนที่เขาสังเกตเห็นว่าคณิตชอบกินเค้กแบบนี้เป็นพิเศษเมื่อเทียบกับเค้กแบบอื่นๆที่เขาเคยซื้อมากินตอนอยู่ด้วยกัน ส่วนปูนจะเป็นคนทำฝอยทองเอง
“โห ปูนเตรียมอุปกรณ์มาเองเลยหรอเนี่ย”
อิงอรทำตาโต เมื่อเห็นว่าภายในกระเป๋าของปูนนั้นมีถุงอุปกรณ์ซ่อนอยู่ ทั้งกรวยสำหรับหยอดฝอยทองให้เป็นสาย เทียนอบขนมที่ค่อนข้างหาซื้อยากในแถบนี้ รวมไปถึงดอกมะลิซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เขาเกือบไปเข้าคลาสวันนี้ช้า
“จำได้ว่าไม่เคยเห็นของพวกนี้ในโรงแรมน่ะครับ ผมเลยไปหามาเอง”
ปูนตอบพลางนำดอกมะลิที่ว่าลอยลงไปบนน้ำสะอาดที่เขาเตรียมไว้ อิงอรมองเด็กหนุ่มที่ถึงแม้จะเป็นคนรุ่นใหม่แต่กลับหยิบจับอะไรได้คล่องไปหมด
“จะว่าไปก็ไม่มีจริงๆล่ะนะ เวลาจะใช้ขนมไทยทีเราก็มักจะสั่งจากเจ้าดังในตลาด อีฟเคยบอกว่าขนมไทยมันทำยากจะให้เตรียมทีละมากๆคนเดียวเห็นทีจะทำไม่ไหว”
“ก็ไม่ยากขนาดนั้นหรอกครับ แค่ต้องละเอียดอ่อนหน่อย”
ร่างเล็กว่าก่อนจะหันไปหยิบไข่เป็ดและไข่ไก่ออกมา เขาตอกมันลงไปในชามรวมๆกันแล้วใช้มือช้อนเอาแต่ไข่แดงมาใส่ไว้ในชามอีกใบ
“ปูนดูคล่องจังเลย เคยทำมาก่อนหรอ”
“ครับ...ตอนเด็กๆมีโอกาสได้ช่วยแม่บ่อยๆ แม่ผมทำขนมไทยขายน่ะ”
อิงอรมองรอยยิ้มสวยที่ติดดูจะเศร้านิดๆของปูนด้วยความแปลกใจ แต่มันก็ปรากฏขึ้นแค่เพียงแปปเดียว ร่างเล็กขอให้เธอช่วยหยิบน้ำตาลออกมาให้ในขณะที่เจ้าตัวกำลังจัดการนำกระทะทองเหลืองมาตั้งไฟจนเริ่มร้อนได้ที่ หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรอีก เธอมองดูปูนที่กำลังทุ่มเทสมาธิไปกับการหยอดไข่ลงในน้ำเชื่อมที่หอมทั้งกลิ่นใบเตยและน้ำลอยดอกมะลิที่คนตัวเล็กอุตส่าห์เตรียมมา อิงอรยิ้มให้กับภาพๆนั้น เธออดคิดไม่ได้ว่าหากเจ้านายของเธอมาเห็นปูนในตอนนี้ใบหน้าที่ปกติก็ยิ้มแย้มอยู่แล้วของคณิตจะบานถึงขนาดไหน
มีแฟนที่ทั้งน่ารักและขี้เอาใจแบบนี้ น่าอิจฉาจริงๆ...
คณิตกับปูนไม่ได้บอกเธอหรอก กับคนอื่นก็น่าจะเหมือนกันแต่บรรยากาศที่อบอวลอยู่รอบๆตัวทั้งคู่ และการก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม The Next ของปูนก็พอจะทำให้อิงอรเข้าใจเรื่องทุกอย่างได้...คณิตเลือกคนที่จะมายืนอยู่ข้างกายแล้วแต่ยังไม่คิดจะป่าวประกาศออกไป ซึ่งเธอก็จะเอาใจช่วยและเคารพในการตัดสินใจนั้น
“พี่อิงครับ รบกวนหยิบตระแกรงมาให้ผมหน่อยได้ไหม”
ปูนพูดขึ้นทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองสะดุ้งน้อยๆ อิงอรรีบกุลีกุจอไปหยิบเอาตระแกรงและถาดที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ใกล้ๆมาให้ปูนที่เพิ่งจะหยอดฝอยทองจับแรกเสร็จ ร่างเล็กค่อยๆใช้ไม้ปลายแหลมช้อนขนมที่เป็นเส้นยาวขึ้นมาอย่างสวยงามจนอิงอรต้องแปลกใจอีกครั้ง
“สวยมากเลยนะเนี่ย สวยพอๆกับที่เรารับมาเสิรฟ์ให้ลูกค้าเลย”
“ไม่เห็นสวยเลยพี่อิง อันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้สวยมากเพราะยังไงเดี๋ยวต้องเอาไปตัดอยู่ดี แต่ถ้าเป็นแบบที่แม่ผมขายลองทำแบบนี้ดูสิ โดนตีก้นลายแน่ๆ”
ร่างเล็กหัวเราะออกมาแล้วถือโอกาสให้อิงอรที่ดูท่าจะสนใจกรวยหยอดฝอยทองในมือเขาได้ลองทำบ้าง เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นแม้แต่อีฟที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมเนื้อเค้กก็ยังหันมาคุยด้วยบ้างจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบหกโมง เค้กฝอยทองที่ฝีมือกว่าครึ่งเป็นของอีฟก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
“แล้วนี่ปูนจะเอาไปเลยป่ะ หรือฝากพี่ไว้ก่อน”
อีฟถามปูนที่กำลังโรยฝอยทองเพิ่มลงไปอีกจนเธอกลัวเหลือเกินว่าชั้นฝอยทองมันจะหนากว่าชั้นเค้ก แต่ก็ไม่อยากพูดขัดอะไรเพราะดูท่าปูนจะมีความสุขกับการทำมันมาก
“ฝากพี่อีฟแช่ไว้ที่นี่ก่อนแล้วกันครับ แต่ระวังอย่าให้ลูกเจ้าของโรงแรมมาเห็นซะก่อนล่ะ โอเคเนอะ”
ปูนยิ้มยิงฟันให้เชฟสาว ก่อนจะนำเค้กบางส่วนที่เขาและอีกทำแยกไว้แบ่งให้กับหญิงสาวทั้งสองแทนค่าปิดปาก เขาขอบคุณอีฟและอิงอรอีกครั้ง โดยเฉพาะคนหลังที่รับปากจะช่วยเหลือปูนมาตลอด
“ขอบคุณนะครับพี่อิง งั้นผมขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ เดี๋ยวเขากลับมาไม่เห็นผมที่เล้าจ์จะหาว่าอู้งาน”
“จ้า ส่วนพรุ่งนี้ก็โชคดีนะ”
อิงอรอวยพรอีกครั้งพร้อมกับมองแผ่นหลังเล็กของปูนที่หายลับตาไป เธอมองดูนาฬิกาอีกไม่เกินยี่สิบนาทีคณิตก็คงจะกลับมา อีกอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าวันเกิดของเจ้านายเธอก็จะมาถึง
“ที่มาช่วยแบบนี้ก็ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดแกแล้วกันนะ คณิต”
.
.
.
.
.
.
.
.
กลิ่นกาแฟหอมๆถือเป็นสิ่งที่ใช้แทนนาฬิกาปลุกของปูนในบ้านหลังนี้ คนที่เพิ่งได้หลับไปตอนตีหนึ่งกว่าๆลืมตาขึ้นพร้อมกับอาการปวดหัว แต่ดูเหมือนว่าอีกคนที่นอนพร้อมๆกับเขาจะไม่มีอาการนั้น
“ตื่นแล้วหรอ”
ปูนตอบคำถามของคณิตด้วยการคลานเข้าไปนอนตักของร่างสูงแล้วหันหน้าเข้าหาหน้าท้องของอีกฝ่ายที่อุ่นจนเขาอดใจไม่ไหวที่จะซุกกายเข้าหา เสียงหัวเราะเบาๆของคณิตดังขึ้น นอกจากฟังดูอ่อนโยนแล้วมันยังช่วยให้เด็กหนุ่มคลายอาการปวดหัวลงด้วย
“วันนี้มีเรียนสิบโมงเหมือนเดิมใช่ไหม”
“อื้อ แต่ไม่อยากไปเลย”
“ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“เปล่า แค่อยากอยู่กับป๋า”
เพราะปูนหลับตาอยู่เลยไม่เห็นว่าคำอ้อนของตัวเองจุดรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกคนได้กว้างแค่ไหน ฝ่ามือใหญ่ๆของคณิตลูบหัวของปูนเบาๆพลางสางเส้นผมที่พันกันยุ่งจนมันคลายออก อยากจะตามใจคนตัวเล็กอยู่หรอกแต่ก็ทำไม่ได้
“ถ้าอยากอยู่ด้วยกันงั้นก็ลุกเลย เดี๋ยวเย็นนี้จะพาไปกินของอร่อย”
คณิตพูดล่อเพราะคิดว่าปูนคงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร แต่ถึงจะรู้อยู่เต็มอกปูนก็ยังคงตื่นเต้นกับคำเชื้อเชิญนี้ได้อยู่ดี ร่างเล็กลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งบนตักของคนข้างกายโดยไม่คิดขออนุญาต
“จริงอ่ะ ป๋าจะพาไปไหนหรอ”
“เอาจริงๆก็ยังคิดไม่ออกหรอก เธอมีร้านไหนอยากจะไปไหมล่ะ จะยอมตามใจสักวันหนึ่ง”
“ร้านอะไรก็ได้จริงหรอ”
“อืม”
“งั้น...เรามากินข้าวที่บ้านกันได้ไหม”
“บ้าน? หมายถึงที่นี่น่ะหรอ?”
ปูนพยักหน้าแรงๆ จนทำให้คณิตนึกสงสัยในตัวร่างเล็กที่ปกติชอบขอให้เขาพาออกไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ
“อื้ม เดี๋ยวผมจะทำกับข้าวไว้รอ เรากลับมากินด้วยกันนะ”
“ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ว่าแต่แน่ใจนะว่าจะเอาแบบนี้ วันก่อนยังบ่นอยากกินเนื้อย่างอยู่เลยไม่ใช่หรอ”
“วันนั้นก็ส่วนวันนั้นสิ แต่วันนี้ผมอยากกินข้าวบ้าน ยอมให้ป๋ารีเควสกับข้าวได้สองอย่างด้วย ใจกว้างไปเลยใช่ไหมล่ะ”
คณิตอยากจะงับนิ้วเรียวๆของปูนที่ชูขึ้นมาบอกความใจกว้างของตัวเอง ทั้งๆที่เงินค่ากับข้าวที่ว่าก็เงินของเขาทั้งนั้น
“อื้ม กว้างมาก กว้างเท่ากับหน้าผากเธอเลย”
ปูนขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนหลอกด่าว่าหัวเถิกแต่ยังไม่ทันที่จะได้รู้ตัวคณิตก็ชิงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวปล่อยให้ปูนนอนงงอยู่บนเตียงต่อ
วันนี้ทั้งวันปูนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิเอาซะเลย เขาตื่นเต้นกับงานฉลองเล็กๆที่ตั้งใจจะจัดให้คณิตในเย็นวันนี้โดยที่ร่างเล็กเป็นคนจัดการเตรียมอาหารทุกอย่าง ทั้งเสต็กและมันบดที่คนรักรีเควสมา รวมไปถึงสลัดและของทานเล่นอีกสองสามอย่างที่ปูนคิดว่าคณิตน่าจะชอบมัน
“แล้วเราจะเอาเค้กไปซ่อนไว้ตรงไหนดีเนี่ย”
ร่างเล็กมองเค้กฝอยทองก้อนโตที่เขา(และอีฟ)ไปทำกับมาเมื่อวาน หลังจากซื้อของเตรียมทำกับข้าวเสร็จปูนก็วานให้อิงอรถือออกมาให้เขาที่รถโดยที่ระวังไม่ให้เจ้าของวันเกิดอย่างคณิตเห็น มันอาจดูเป็นอะไรที่ยุ่งยากและไร้สาระแต่ปีนี้ปูนอยากจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้บอกกับคณิตว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ร่างสูงได้เกิดมา และอยากขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ปูนได้พบกับคนคนนี้
“เอาขึ้นไปเก็บบนห้องนอนก่อนก็ได้มั้ง กินเสร็จจะได้ฉลองกันต่อเลย”
คำพูดที่มีนัยทำเอาปูนยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก เขายกขนมเค้กก้อนโตขึ้นไปบนห้องนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับจินตนาการถึงช่วงเวลาดีๆที่ยังมาไม่ถึง ไม่ต่างจากอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังนึกถึงมันอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่า...
“ตี๋ เป็นอะไรรึเปล่า อาหารไม่อร่อยหรอ”
นันทยาเอ่ยถามเจ้าของวันเกิดที่เผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทุกครั้งเวลาที่ไม่ได้คุยอะไรกับใคร เธอเป็นห่วงกลัวว่าอาหารที่อุตส่าห์ให้เด็กในบ้านไปซื้อมาจากร้านดังเพื่อฉลองวันเกิดให้กับลูกชายจะไม่ถูกปาก
“เปล่าครับ อร่อยมากเลยโดยเฉพาะจ้อปู”
คณิตพอโดนทักก็เพิ่งรู้ตัวว่าคงเผลอทำสีหน้าไม่ดีออกไปจึงตอบมารดาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงและอบอุ่นเหมือนเช่นทุกครั้งทั้งที่ใจจริงแล้ว จ้อปูเจ้าดังที่ว่ากลับไม่ได้ทำให้เขาอิ่มเอมได้สักเท่าไหร่
เพราะใจมันเอาแต่คิดถึงเสต็กและมันบดที่มีคนบอกว่าจะทำไว้รอ...
“หรอ งั้นตี๋ก็กินเยอะๆนะ น่าเสียดายที่อาม่าบ่นปวดหลังเลยไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกันเลย เนอะคุณ”
นันทยาหันไปหาบรรพตเพื่อชวนให้สามีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา ชายผู้เป็นพ่อก็พยักหน้าแล้วตักจ้อปูนที่ลูกชายชมว่าอร่อยใส่จานให้คณิตอีก ถึงจะเป็นคนเข้มงวดแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รักคณิตเหมือนที่รักลูกสาวอย่างหน่อย
“หรือพี่นิดนัดเพื่อนไว้รึเปล่าคะ หน่อยกับแม่ไม่ได้บอกก่อนด้วยว่าปีนี้จะจัดงานที่บ้านให้”
หน่อยถามในสิ่งที่สงสัย เพราะแผนการฉลองในครั้งนี้เธอกับมารดาเป็นตัวต้นคิดโดยไม่ได้ถามความพร้อมของคณิตก่อนเลย พอตอนเที่ยงที่พี่ชายของเธอเอาพวงมาลัยมาไหว้อาม่าและพ่อแม่ หน่อยก็จัดการล็อคตัวไว้ไม่ยอมให้คณิตกลับไปทำงานจนล่วงเลยมาถึงตอนนี้
ชายหนุ่มชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า คณิตรับรู้ความตั้งใจของน้องสาวและแม่เป็นอย่างดีจึงไม่อยากพูดให้เสียน้ำใจกันแม้ว่าความจริงแล้ววันนี้จะไม่ได้มีเพียงแต่คนในครอบครัวที่เขาอยากจะอยู่ด้วย จะเป็นห่วงก็แต่ปูนที่เขายังไม่ได้ติดต่อไปบอกว่าอาจจะกลับช้า เพราะต้องอยู่คุยกับอาม่าตั้งแต่บ่ายไม่มีแม้แต่เวลาจะปลีกตัวไปใช้โทรศัพท์
“เอ๋ หรือว่าตี๋นัดสาวที่ไหนไว้แล้วไม่บอกม๊ารึเปล่า”
นันทยาพอได้ฟังคำลูกสาวก็นึกขึ้นมาได้ เธอหันมาพูดแซวหวังจะได้เห็นลูกชายในมาดเขินอายดูบ้าง แต่คณิตกลับทำหน้านิ่งแล้วไม่พูดอะไรทั้งที่ในใจกำลังคิดหนัก แต่ก็ไม่มีใครนึกสงสัยยกเว้นเพียงหน่อยที่เพิ่งนึกได้ว่าพี่ชายของเธอน่าจะกำลังสานสัมพันธ์อยู่กับใครคนหนึ่งอยู่
“ถ้าแกมีแฟนแล้วก็บอกมา จะเป็นใครมาจากไหนป๊ากับม๊าก็ไม่ว่าหรอกแต่พามาให้เห็นหน้าหน่อยก็ดี”
บรรพตที่สังเกตอาการของลูกชายอยู่พูดขึ้นแล้วทำทีเป็นสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ฟังดูผิวเผินคำพูดของบิดานั้นฟังดูเป็นเรื่องดี แต่จากประสบการณ์คณิตรู้ดีว่าต่อให้บรรพตพูดแบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าครอบครัวของเขาจะยอมรับปูนได้โดยง่าย ปูนที่เป็นทั้งผู้ชาย...และคนที่มีอดีตไม่สวยงาม
“ผมทำงานให้ป๊าตลอด ไม่มีเวลาว่างไปหาแฟนหรอกครับ”
“อย่ามาอ้างฉันหน่อยเลย ไปสัตหีบคราวนี้เห็นคนบอกว่าหลังๆแกมีเวลาตะล่อนๆไปเที่ยวถึงเกาะขาม”
“นั่นก็ผมไปสำรวจพื้นที่ให้ป๊า”
“เออๆ จะอ้างอะไรก็อ้างไม่รู้จะปิดบังอะไรกันนักหนา อายุแกก็ปาเข้าไปปูนนี้แล้วฉันไม่มานั่งจ้ำจี้จำไชแกหรอกน่า เป็นห่วงก็แต่แกไปจะไม่มีลูกหลานคอยเลี้ยงดู จะพาไปรู้จักลูกสาวเพื่อนก็ไม่ยอม”
คำพูดยาวๆของบรรพตทำเอาลูกๆหัวเราะร่า แม้แต่คณิตที่เมื่อครู่ยังคิดมากเรื่องของปูนยังอดไม่ได้ที่จะขำในความเป็นห่วงแบบดิบๆของบิดา ที่ถึงปากบอกว่าจะไม่เข้ามายุ่งด้วยแต่เมื่อไม่นานมานี้ยังเคยพยายามจะพาเขาไปดูตัวให้ได้ ยังดีที่อาม่าของคณิตเป็นพวกหวงหลานชาย งานนั้นเลยต้องยกเลิกไป
“ถึงแต่งงานผมอาจจะไม่มีลูกก็ได้นะป๊า ผมเกลียดเด็กแค่ไหนป๊าก็รู้”
ยกเว้นเด็กอยู่คนหนึ่งน่ะนะ...
“ไม่เป็นไรตี๋ ม๊าชอบเด็ก ตี๋ไม่อยากเลี้ยงลูกเดี๋ยวม๊าเลี้ยงแทนให้”
นันทยารีบออกตัวเพราะกลัวว่าลูกชายไม่คิดจะมีทายาทให้เธอเข้าจริงๆ คณิตอยากเปลี่ยนเรื่องจึงลุกขึ้นไปบีบนวดแขนนุ่มๆของมารดาเป็นการใหญ่
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเด็กชายคณิตนะ อย่าเพิ่งไปนึกถึงคนที่ยังไม่เกิดเลย
กว่าจะผ่านพ้นมื้ออาหารไปได้ ร่างสูงก็ต้องใช้ความสามารถในการแถของตัวเองเบี่ยงประเด็นสนทนาบนโต๊ะให้ห่างไกลจากเรื่องครอบครัวในอนาคตของเขาให้มากที่สุด หากถามว่าเขาจริงจังกับปูนไหมก็ต้องตอบว่าใช่ แต่หากถามว่าพร้อมจะบอกครอบครัวรึยังกับการตัดสินใจครั้งนี้ เขาก็คงตอบว่า...ไม่ คณิตไม่ได้อยากปิดบังใคร เพียงแต่หากมันยังไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขากับปูนจะคบกันอย่างเปิดเผยเขาก็ขอบ่มเพาะความสัมพันธ์นี้ไปอย่างเงียบๆก่อนจะดีกว่า เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องเพศที่เป็นกำแพงจารีตอันสูงชัน และโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้มีเพียงเขาและปูนที่อาศัยอยู่
(มีต่อเม้นต์ล่าง)
[/color][/b]
-
“ตี๋จะไม่นอนค้างที่บ้านจริงๆหรอ วันเกิดทั้งทีนะ”
คนเป็นแม่โอดครวญเมื่อต้องมายืนส่งลูกชายที่กำลังจะกลับไปค้างยังบ้านพักหลักเล็กของตัวเองโดยมีลูกสาวอย่างหน่อยยืนอยู่ข้างๆ
“ตอนเช้าผมมีงานน่ะม๊า เดินทางจากที่นั่นจะสะดวกกว่า”
“บ้านเราก็สะดวก เมื่อก่อนยังขับรถไปได้ไม่เห็นบ่น หรือว่าตี๋จะซุกสาวไว้ที่บ้านจริงๆเนี่ย ม๊าชักกลัวแล้วนะ”
คณิตตรงปรี่เข้าไปกอดมารดาพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาอย่างเอาใจ
“ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกครับ ผมไปก่อนนะ”
“อื้อ ขับรถดีๆนะลูก ว่างๆม๊าจะทำขนมไปฝาก”
เธอตัดใจบอกลาแล้วปล่อยให้หน่อยเดินไปส่งพี่ชายที่รถโดยที่เธอไม่ได้ตามไปด้วย พอได้จังหวะที่อยู่กับแค่สองคนหญิงสาวจึงได้เปิดปากถาม
“วันนี้พี่นิดนัดกับน้องเขาไว้ใช่ไหมคะ”
ร่างสูงรู้อยู่แล้วว่าน้องสาวจะถาม เขาจึงไม่แสดงอาการอะไรออกไปมากซึ่งนั่นยิ่งทำให้หน่อยมั่นใจว่าระหว่างพี่ชายกับเด็กคนนั้นน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงที่ทั้งคู่ได้ไปพบกับที่สัตหีบตามที่อิงอรเล่าให้ฟัง
“อืม นัดกินข้าวกันน่ะ”
“ขอโทษด้วยนะคะ หน่อยไม่รู้จริงๆว่าพี่นัดแฟนไว้แล้ว”
หน่อยแกล้งพูดหยั่งเชิงในแบบที่ทำให้คณิตคิดในใจว่าน้องสาวของเขาก็มีมุมคล้ายบิดาอยู่เหมือนกัน
“ช่างเถอะ พี่ไปก่อนนะเราก็เข้าบ้านได้แล้ว”
“พี่นิดไม่ปฏิเสธ แปลว่าเป็นแฟนกันแล้วจริงๆใช่ไหมคะ”
“...”
“ว่ายังไงคะพี่นิด”
คำพูดของหน่อยไม่ใช่สิ่งที่ตรึงคณิตไว้กับที่หรอก หากแต่เป็นสีหน้าเรียบนิ่งที่ฉายออกมามากกว่า คณิตที่เปิดประตูรถค้างไว้หันมาเผชิญหน้ากับน้องสาวโดยที่เขาพยายามประเมินความรู้สึกของหน่อยไปด้วยว่าเป็นอย่างไรหากได้รู้ว่าเขากับปูนเป็นคนรักกันขึ้นมาจริงๆ
“เรื่องของพี่น่ะช่างเถอะ เราไม่ต้องคิดมากหรอก”
“แต่...”
“หน่อย...อย่าเพิ่งคาดคั้นอะไรจากพี่เลยนะ”
คณิตบอกความต้องการของตัวเองออกไปแต่ก็ยังคงยิ้มให้หน่อยเหมือนกับไม่ได้โกรธเคืองอะไรเธอเลย หน่อยเองก็พูดไม่ออก แม้จะมีคำถามมากมายอยากจะถามแต่พอเจอพี่ชายในโหมดนี้เข้าไปหญิงสาวเลยได้แต่ปิดปากเงียบแล้วพยักหน้าให้ คณิตบอกลาเธอก่อนจะก้าวขึ้นมาบนรถเขาขับมันออกไปด้วยหัวใจที่พะวงถึงใครบางคนที่อาจจะกำลังรอเขาอยู่ ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าปูนโทรมาหาตอนเย็นเพียงสามสายแล้วก็เงียบหายไปเลย
“สี่ทุ่มแล้ว ไม่ใช่ว่าหิ้วท้องไว้รอหรอกนะ”
เขาภาวนาให้ปูนไม่ปูนไม่ทำแบบนั้นเพราะแค่นี้ชายหนุ่มก็รู้สึกผิดจะแย่ เขาพยายามสลัดเรื่องที่บ้านออกไปจากหัวแล้วเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นจนเขาสามารถมาถึงบ้านของตัวเองได้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน
ชายหนุ่มมองแสงไฟที่ลอดออกมาจากผ้าม่านตรงชั้นล่างแล้วถอนหายใจ อย่างน้อยปูนก็ยังอยู่ที่นี่ไม่ได้งอนหนีไปไหน เขารีบก้าวเข้าไปในบ้านพลางนึกแปลกใจที่ไม่เห็นปูนออกมารับแต่แล้วคณิตก็ได้คำตอบ...
สิ่งแรกที่ร่างสูงรับรู้หลังจากก้าวเข้ามาในบ้านคือกลิ่นหอมๆของอาหารที่จางลงไปมาก บ้านช่องเงียบเฉียบไม่มีแม้แต่เสียงทีวีหรือวีดิโอเกมที่ปูนชอบเล่นให้ได้ยินนั่นก็เป็นเพราะคนที่มักจะสร้างสีสันให้บ้านหลังนี้เสมอกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาโดยที่มือยังคงถือโทรศัพท์เครื่องบางไว้ด้วย
‘หายไปไหน ทำไมไม่โทรบอก’
นั่นคือข้อความที่ปูนพิมพ์ทิ้งเอาไว้แต่ไม่ได้กดส่งไปด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นความน้อยใจมากจนโกรธหรือการพยายามเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่ไม่ใช่ก็ไม่ทราบ แต่มันก็สะท้อนความรู้สึกของคนตัวเล็กออกมาได้จนหมด
คนที่รู้สึกผิดทรุดตัวลงนั่งตรงพื้น เขาลูบมือเล็กๆของปูนเบาๆก่อนจะซบหน้าลงบนมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งเสียใจแต่ก็ดีใจ...ที่มีคนรอเขาถึงขนาดนี้
“อื้อ...”
ดูเหมือนว่าสัมผัสแผ่วเบาของคณิตจะทำให้คนขี้เซาตื่นจนได้ ปูนที่เผลอหลับไปทั้งๆที่ยังโกรธลืมตาขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่ต่างจากก่อนหน้า ยิ่งได้สัมผัสถึงผิวกายที่ทาบทับอยู่ตรงมือของตัวเองปูนก็รู้ได้ทันทีว่าคณิตกลับมาแล้ว
“ตื่นแล้วหรอ”
“...”
“ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม หิวมากรึเปล่า”
“...”
“นี่...โกรธหรอ”
ปูนทำปากคว่ำ ยังมีหน้ามาถามอีกเนอะว่าโกรธไหม คนอุตส่าห์ตั้งใจทำอาหารเตรียมเซอร์ไพรส์แทบตายสุดท้ายก็เป็นหม้าย แถมไม่บอกกล่าวกันสักคำ ร่างเล็กพยายามแย่งยื้ออิสรภาพมือของตัวเองคืนมาแต่คณิตก็ไม่ยอม ชายหนุ่มยึดมันไว้แน่นแล้วกดจูบลงบนนั้นซ้ำๆแทนคำขอโทษที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ย แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอเพราะปูนยังเบือนหน้าหนี คณิตจึงต้องออกแรงจับใบหน้าที่ขึ้นสีน้อยๆให้หันกลับมาแล้วชิงจูบริมฝีปากด้วยความมั่นใจว่าปูนจะต้องหายโกรธแน่ๆ
“อื้ออออ อ่อยอะ (อื้ออออ ปล่อยนะ)”
“หายโกรธได้แล้ว โกรธมากๆเดี๋ยวหน้าแก่นะ”
“ป๋าสิแก่! ตัวก็เหม็นไม่ต้องมายุ่งเลย!”
คณิตหัวเราะ กลิ่นเหม็นที่ว่าคงเป็นกลิ่นยาของอาม่าที่ติดเสื้อผ้าเขามานั่นแหละ ชายหนุ่มปลดเสื้อตัวนอกของตัวเองออกก่อนจะโน้มตัวลงไปกอดจูบปูนใหม่ คราวนี้คนตัวเล็กไม่มีแม้แต่ข้ออ้างหรือช่วงเวลาให้พักหายใจ เพราะคนตัวใหญ่ไม่ยอมปล่อยเขาให้ห่างกายเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ปูนเริ่มหายใจหอบ มือที่เคยต่อต้านเปลี่ยนเป็นโอบรัดคณิตให้เข้ามาใกล้จนลิ้นของร่างสูงสามารถสำรวจโพรงปากของเขาได้ถนัดดี คนตัวเล็กรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นๆที่คอยลูบไปตามแผ่นหลังเหมือนกับจะปลอบว่าให้เขาใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยคุยกันซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่เคยโกรธเป็นฟินเป็นไฟยอมสงบลงได้
“ฟังกันได้รึยัง หื้ม...”
ถ้าคณิตบอกว่าปูนขี้อ้อน ปูนก็อยากบอกว่าร่างสูงก็ไม่ได้ต่างจากเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งดวงตาวิบวับที่มองมาแล้วน้ำเสียงนุ่มๆที่ฟังอีกครั้งใจก็สั่นไหว ต่อให้โกรธยังไงเป็นใครก็ต้องใจอ่อน
“ฉันกลับไปกินข้าวกับที่บ้านมา ต้องอยู่กับอาม่าตลอดเลยไม่มีเวลาโทรบอก ขอโทษนะ”
“....อยู่กับอาม่าจริงหรอ”
“อื้ม ที่ว่าเหม็นก็กลิ่นยานวดของอาม่า ท่านปวดหลังน่ะ หลานดีเด่นอย่างฉันเลยต้องคอยอยู่นวดให้ ตกเย็นก็ต้องกินข้าวกับที่บ้านเลยกลับมาตอนนี้”
เหตุผลของคณิตมันหนักแน่นพอๆกับความจริงใจที่ถ่ายทอดออกมาจนปูนทำได้เพียงพยักหน้าอย่างยอมรับเท่านั้น แต่การเป็นเด็กดีของเขาก็ได้รับจูบหวานๆที่หน้าผากของคณิตเป็นรางวัล อารมณ์ขุ่นๆของปูนจึงดีขึ้นมาก
“ช่างเถอะ ผมก็ลืมคิดไปว่าวันเกิดป๋าก็ต้องอยู่กับที่บ้าน”
“วันเกิด? เธอรู้ได้ยังไงว่านี่วันเกิดฉัน?”
ชิบหายล่ะ...คนที่ถูกจูบจนเบลอเผลอเผยไต๋ออกไปจะตะครุบปากตัวเองตอนนี้ก็ไม่ทัน ปูนหันซ้ายหันขวาพยายามหาทางเอาตัวรอด แต่พอโดนคณิตมองมาอย่างคาดคั้นคนตัวเล็กเลยทำได้แค่สารภาพออกมา
“ก็แบบ...ผมเห็นวันเกิดป๋าในบัตรประชาชนไง”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็สักพักแล้ว ไม่ต้องมาทำหน้างี้เลยนะ ป๋าผิดมากกว่าผมอีกที่จะมาช้าแล้วไม่บอก อย่ามาอ้างอาม่าด้วย!”
คณิตรู้สึกว่าวันนี้จะมีคนห้ามเขาหาข้ออ้างบ่อยจัง เขาส่ายหัวไปมา ไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อยแค่แปลกใจเท่านั้นแหละว่าปูนไปรู้มาจากไหนว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา แต่เพียงแค่นี้ก็ตอบโจทย์แล้วว่าทำไมคนตัวเล็กถึงโกรธมากขนาดนี้ที่เขามาสายจนพลาดอาหารมื้อสำคัญ
“ช่างเถอะ ถึงจะสายไปหน่อยแต่ก็มาเริ่มกันเถอะนะ”
“เริ่ม? เริ่มอะไร?”
“เซอร์ไพรส์ไง เตรียมไว้ให้ฉันไม่ใช่หรอ”
ร่างสูงบุ้ยหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่มีของกินวางอยู่เรียงราย แน่นอนว่ามันคงเย็นชืดไปหลายชั่วโมงแล้วแต่มันคงไม่สำคัญอะไรเมื่อเทียบกับการรักษาสัญญา คณิตไม่ปล่อยให้ปูนทำอะไรอีก เขาจัดการนำอาหารทุกอย่างเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟง่ายๆยกเว้นสลัดที่ปูนใช้พลาสติกคลุมไว้จึงยังคงสดอยู่แม้จะอยู่นอกตู้เย็น มื้ออาหารง่ายๆจึงเริ่มขึ้นโดยไม่มีการเซอร์ไพรส์อะไรทั้งนั้น มีเพียงคนสองคนที่คุยเรื่องของกันและกัน ทั้งวันนี้ปูนเรียนเป็นยังไงบ้าง อาการปวดหลังของอาม่าหนักมากไหม หรือแม้แต่ว่านันทยาให้อะไรเป็นของขวัญลูกชายในวันเกิด คณิตบอกปูนในทุกๆเรื่อง ยกเว้นเพียงแต่เรื่องที่เขายังไม่เปิดเผยสถานะที่มีต่อปูนให้ที่บ้านทราบเท่านั้น
คณิตไม่ได้ทวงหาของขวัญวันเกิด ปูนก็ไม่ได้พูดถึงเหมือนกัน พวกเขาช่วยกันปิดบ้านแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนที่ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ร่างเล็กขอตัวไปอาบน้ำก่อนอ้างว่างเหนียวตัวมาก คณิตก็ไม่อยากขัดเขาจึงทำได้แค่นั่งอยู่บนเตียงมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ถูกคลุมด้วยผ้าเนื้อดีจนกระทั่งมันหายไปหลังประตู
“น่าแปลกแฮะ นึกว่าจะมีเซอร์ไพรส์อย่างอื่นอีกซะอีก”
ชายผู้เกลียดการโดนเซอร์ไพรส์บ่นออกมาเบาๆ พอไม่รู้จะทำอะไรเขาก็หยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวีเครื่องใหญ่ที่แขวนติดไว้กับฝาผนัง แต่แทนที่มันจะเข้าสู่ช่องทีวีตามปกติ หน้าจอตอนนี้กลับแสดงภาพการทำงานของเครื่องเล่นดีวีดีที่ถูกตั้งค่าไว้ให้เล่นอัตโนมัติเมื่อทีวีถูกใช้งาน สักพักหน้าจอสีน้ำเงินหายไปแล้วปรากฏภาพของห้องครัวบ้านนี้ขึ้นมาแทน
“ติดยังวะ เฮ้ย ติดแล้วๆ”
เสียงของปูนดังขึ้นแม้จะไม่ปรากฏภาพของเจ้าตัว แต่ก็เพียงแค่แปปเดียว เด็กหนุ่มร่างเล็กที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนก็วิ่งเข้ามาในเฟรมด้วยรอยยิ้มสวยๆแบบที่ทำให้คณิตอดที่จะยิ้มตามทุกครั้งไม่ได้ ตอนนี้ก็เช่นกัน...
“อะแฮ่มๆ ถ้าป๋าได้ดูวีดิโอนี้อยู่ แสดงว่าผมกำลังยืนเขินอยู่ในห้องน้ำ อย่าเพิ่งเข้าไปหานะ ดูนี่ให้จบก่อนโอเคไหม”
“อ่าฮะ”
คณิตตอบปูนไปแม้ว่าจะเป็นการตอบผ่านหน้าจอ แต่เขาก็พอจะจินตนาการถึงใบหน้าของคนตัวเล็กตอนนี้ออกได้ว่ามันจะแดงแค่ไหน
“วันนี้เป็นวันเกิดของป๋า แก่แล้วนะเราอ่ะ ฮ่าๆ ล้อเล่นๆ ไม่แก่ก็ได้ เรียกว่าคนมีอายุก็แล้วกัน แต่ถ้าจะแก่ยังไงก็เถอะ ป๋าก็ยังหล่ออยู่ไม่ต้องห่วงนะ รองพื้นก็มีแล้ว เดี๋ยวค่อยให้พี่อิงแนะนำครีมบำรุงดีๆให้ที่หลังก็ได้ หรือถ้าอีกสิบปีจากนี้ครีมเอาไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวผมพาไปร้อยไหมนะ ป๋าซะอย่าง แพงแค่ไหนก็จ่ายไหวใช่ไหม”
คำพูดของปูนทำให้คณิตเผลอเอามือมาลูบตรงหางตาของตัวเอง ไอ้เด็กบ้า...เขาไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย
“เข้าเรื่องกันดีกว่า ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรมาก...แค่อยากบอกว่าดีใจที่ป๋าได้เกิดมา อยากขอบคุณพ่อกับแม่ป๋ามากๆที่ทำให้ป๋าเป็นคนแบบนี้...ผมดีใจที่เราได้พบกัน ถึงจะมีจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีแต่ตอนนี้เราก็เดินมาไกลแล้วเนอะ ไกลมากแบบที่ไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างผมจะได้มีวันๆนี้”
“...”
“ขอบคุณป๋านะที่ดูแลกันมาตลอด ขอบคุณที่คอยดุคอยว่าเวลาผมทำตัวไม่น่ารัก ขอบคุณที่คอยให้กำลังใจและเชื่อใจว่าผมจะเป็นคนดีกว่านี้ได้แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะหมดหวังในตัวเองไปแล้ว...”
“...”
“ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้สึกว่าความรักของตัวเองมีค่า...ผมรักป๋านะ...ปูนรักพี่นิดได้ยินไหมครับ”
คนที่ยิ้มมาตลอดหลุดร้องไห้ในตอนสุดท้ายแม้แต่ตอนนี้ก็อาจจะกำลังร้องอยู่ในที่ที่คณิตไม่สามารถเดินเข้าไปกอดปูนได้ คลิปนั่นหยุดลงที่ตรงนี้และทันทีที่มันจบลงคนที่เก็บตัวอยู่ในห้องน้ำก็ส่งแชทมาหาเขา
‘เปิดดูในตู้สิ’
นี่สินะเซอร์ไพรส์ของจริง...คณิตยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งคนที่ใช้มันเป็นคนสุดท้ายก็คือตัวต้นคิดที่เขาเดาว่ากำลังร้องไห้อยู่แน่ๆ ชายหนุ่มเปิดบานไม้ตรงหน้าออก เสื้อผ้าที่เคยแขวนไว้จนเต็มถูกหยิบออกไปจนหมดแต่กลับมีแสงเทียนและเค้กก้อนใหญ่เข้ามาแทนที่
“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
ไม่รู้ว่าปูนออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆข้อสันนิษฐานของคณิตนั้นถูกต้อง แผ่นหลังของเขาเปียกชื้นจากหยดน้ำตาเพราะคนตัวเล็กเล่นกอดเขาไว้เสียแน่นทั้งๆที่ตัวเองยังคงสะอื้นฮัก คณิตหมุนตัวกลับมาหาปูน เขาปาดหยาดน้ำใสตรงแก้มของเด็กหนุ่มออกด้วยความรู้สึกมากมายเช่นเดียวกับการแสดงออกผ่านดวงตา
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
“ปูนรักป๋านะ ฮึก รักมากเลย”
“ฮ่าๆ รู้แล้วน่า ได้ยินชัดทุกคำเลย ไม่ต้องร้องนะ”
แต่ยิ่งปลอบปูนก็ยิ่งร้อง แค่เขานึกถึงสิ่งดีๆที่คนคนนี้ให้มาปูนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอยากอ่อนแอลงอีกเพื่อให้คณิตได้ดูแลทุกอย่างในชีวิตเขา ร่างเล็กกระโจนเข้าหาอ้อมแขนของคนรัก
“อยู่ด้วยกันนานๆนะ ปีหน้าห้ามมาสายอีก ฮึก สัญญานะ”
“อื้ม สัญญา ปีหน้าจะอยู่ด้วยทั้งวันเลยโอเคไหม”
ปูนพยักหน้ารับก่อนจะหลับตาลงเมื่อใบหน้าของคณิตโน้มเข้ามากใกล้อีกครั้ง วันนี้เขามีความสุข และเขาก็อยากมีความสุขแบบนี้ในทุกๆวัน เช่นเดียวกับนาฬิกาสีน้ำเงินที่ถูกสวมลงบนข้อมือใหญ่ของคณิต
“เวลาของเราจะต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ ป๋าอย่าปล่อยให้มันตายนะ”
ปูนร้องขอในสิ่งที่ทำได้ยาก
แต่คณิตก็ยังคงสัญญาด้วยความมุ่งมั่นของตัวเอง…
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มาช้ายังดีกว่าไม่มา~~~~ มีใครคิดถึงเมษกันบ้างไหม~~~
-
เป็นเซอร์ไพร์สวันเกิดที่ซึ้งมากค่ะ
-
น่ารักกกกกกกก.....งานนี้ป๋าคงหลงปูนได้อีกร้อยเท่าพันเท่าเพราะน้องน่ารักจริงๆ
-
โอ้นดิ้นพล่าน อิจฉาาาาาาาา :katai1:
-
นังเมษอย่าออกมาอีกได้ไหม บรรยากาศกำลังดี :ling3:
-
ซึ้งมาก น้ำตาจะไหลตามปูนเลยย งื้ออออ ขอหวานๆๆไปก่อนน้า รออ่านค่า
-
ซึ้งมาก ไม่อยากให้มีมาม่าเลย
-
โคตรน่ารักเลยปูนนนนน :ling1:
-
แตกที่ 27
…ทรยศ...
แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ แต่คราวเมื่อมันหายไป
ก็ใจหายอยู่ดี...
“เฮ้อ”
เอมมิกาที่กำลังง่วนอยู่กับกองขนมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทที่เอาแต่ถอนหายใจขณะที่เหม่อมองออกไปนอกอาคารเรียนที่ไร้เงาของรถบิ๊กไบค์คันใหญ่มากว่าสองอาทิตย์แล้ว
“เป็นอะไรวะพลัส ถอนหายใจอยู่นั่น”
หญิงสาวถามออกไปทั้งที่มีคำตอบอยู่แล้วในใจ เธอลอบสังเกตใบหน้าหมดจดของเพื่อนที่แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาแม้จะเพียงครู่เดียวก่อนพลัสจะแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“หรอ ฉันนึกว่าแกกำลังรอใครซะอีก”
“...!!”
“ก็นะ หายไปนานขนาดนี้ ฉันเองยังเหงาเลย”
เอมมิกายิ้มกริ่มในขณะที่พลัสทำหน้าเหมือนเหมือนถูกบังคับให้กินยาขม คนที่หงุดหงิดอยู่แล้วเป็นทุนเดิมแย่งถุงมันฝรั่งของตัวเองที่เพื่อนสาวกำลังหยิบไปกินคืนมา จนเอมมิกางงไปหมด
“เราไม่ได้เหงา”
ร่างบางใช้เสียงกดต่ำที่บ่งบอกถึงอารมณ์และความจริงในคำพูดของตัวเองแต่สำหรับคนฟังเธอไม่รู้สึกเชื่อมันสักนิด เอมมิการู้จักพลัสดีพอๆกับที่รู้จักตัวเอง โดยเฉพาะความแข็งกร้าวที่ถูกซ่อนเร้นไว้ภายใต้รอยยิ้มใสซื่อของเพื่อนจึงทำให้เธอไม่รู้สึกหวั่นกับพลัสในแบบนี้สักเท่าไหร่
“หรอ แล้วแกจะเอาแต่มองไปข้างนอกทำไม อย่าบอกนะว่าแกกลัวรถมอเตอร์ไซค์แกหาย”
คำพูดประชดของเอมมิกาไม่ได้ซับซ้อน หนำซ้ำมันยังตรงประเด็นเสียจนคนที่ต้องกลับมาใช้รถของตัวเองในการไปไหนมาไหนอดจะคิดถึงช่วงเวลาที่สายลมเย็นๆพัดผ่านผิวกายไม่ได้ พลัสแกะถุงมันฝรั่งออกแล้วหยิบมันเข้าปากไม่พูดอะไร แม้ว่าในหัวจะขบคิดเรื่องต่างๆวุ่นวายไปหมด
หากจะถามหาสาเหตุก็คงมีแค่อย่างเดียวคือคนที่ห่างหายไปโดยไม่บอกเหตุผลใดๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย แต่จากปกติที่บอยมาคอยรับส่งเขาทุกวันก็เปลี่ยนเป็นแทบจะไม่ได้เห็นหน้า รถมอเตอร์ใซค์คันเก่าถูกหยิบมาใช้ใหม่ ชีวิตที่เคยมีคนเข้ามาตามใจก็ขาดหายไปจนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หรือว่าพี่บอยเขาเบื่อแกแล้ววะ”
จู่ๆเอมมิกาก็พูดขึ้นเหมือนกับรู้ว่าพลัสกำลังคิดอะไร ปากที่กำลังรับรู้รสเค็มปร่าของขนมชาไปซะดื้อ จนร่างบางต้องรีบหยิบน้ำมาดื่มเพื่อให้ก้อนฝืดคอนี้ถูกผลักเข้าไปในร่างกาย
เป็นไปไม่ได้...ไม่มีทาง
“เอม...พูดอะไรน่ะ”
“เอ้า ก็พูดว่าพี่เขาอาจจะเบื่อแกแล้วไง”
“...”
“เอาจริงๆนะพลัส ฉันล่ะแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วว่าคนอย่างพี่บอยเนี่ยนะจะมาชอบแก ถึงจะไม่รวยแต่เขาก็ดังจะตาย ยิ่งสมัยที่ยังซ่าๆนะได้ข่าวว่าสาวๆที่นี่อยากเป็นของพี่บอยกันทั้งนั้น แล้วนี่อะไร จู่ๆพี่บอยคนนั้นก็ตามจีบแก โอเค เขาอาจจะมีรสนิยมแปลกๆ แต่ถึงจะแปลกยังไงก็คงไม่มีใครอยากยุ่งกับคนที่เอาแต่ใจตัวเองโคตรๆอย่างแกหรอก”
“เราเนี่ยนะ เอาแต่ใจตัวเอง?”
“ใช่! นี่แกไม่รู้ตัวเลยหรอ”
เอมมิกาทำหน้าเหมือนกับว่าพลัสเป็นเด็กเซ่อๆที่ทำซ้ายหันขวาหันไม่ถูก
“ให้ตายสิ ฉันล่ะเชื่อแกจริงๆ...นี่พลัส แกรู้ตัวไหมว่าถ้าฉันเป็นพี่บอยนะฉันเลิกยุ่งกับแกไปตั้งนานแล้ว คนอะไรนิดๆหน่อยๆก็จะเอาจากเขาไปซะทุกอย่าง ซื้อของไม่ถูกใจมาให้ก็ไม่เอา แกทำผิดบางครั้งเขาก็ต้องเป็นฝ่ายขอโทษแกเพื่อให้เรื่องมันจบ วันๆนอกจากทำงานก็เอาแต่ตามแกงกๆ แล้วดูที่แกทำสิ...พี่แกทนมาได้ขนาดนี้นี่โคตรเก่งเลย”
ร่างบางรู้สึกเหมือนของกินที่เขาเพิ่งกลืนขึ้นไปย้อนกลับมาจุกอยู่ตรงคอหอย สิ่งที่เอมมิกาพูดคือความจริง...และมันเป็นความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ได้ตั้งใจให้เกิด พลัสรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดีแต่เขาก็ไม่เคยอยากสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ยกเว้นแค่คนๆเดียว
“...เราก็ไม่เคยขอให้เขาทน”
“หึ แน่ใจหรอที่พูดออกมา”
“...”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างแกกับพี่เขามีเรื่องอะไร แต่ก็คิดดีๆแล้วกัน”
หญิงสาวพูดไว้ให้คิดก่อนจะลุกไปหาเพื่อนอีกกลุ่มที่กำลังคุยกับเรื่องการฝึกงานที่ใกล้เข้ามาทุกที ทิ้งให้พลัสนั่งอยู่กับที่แล้วคิดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่แต่มันก็ป่วยการ...เขาไม่อยากยอมรับ ไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงคนคนนั้น เขาจึงทำได้แค่หลับตาลงแล้วพร่ำบอกตัวเองเหมือนอย่างที่ทำทุกๆวัน
อย่านะพลัส...อย่ายอมให้ความศักดิ์ศรีของเรามันเสียเปล่า
“ผม...ไม่มีวันให้อภัยพี่หรอก”
เลิกเรียนเสร็จพลัสก็กลับมาบ้าน เขาไม่ใช่คนอ่อนแอที่พอมีคนมารับมาส่งเข้าหน่อยจะกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมของตัวเองไม่ได้ เด็กหนุ่มเลี้ยงรถเข้าไปในบ้านของตัวเองที่วันนี้เงียบเฉียบกว่าทุกครั้ง จริงอยู่ที่พ่อของเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ประจำ แต่อย่างน้อยที่บ้านก็ยังมีน้าพรที่พอตกบ่ายก็ต้องเริ่มเตรียมของสำหรับการออกไปขายอาหารในช่วงค่ำ
“น้าพรครับ น้าพรอยู่รึเปล่า”
พลัสลองตะโกนถามแต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา กลอนหน้าบ้านถูกลั่นลง คงไม่มีใครอยู่ที่นี่จริงๆในตอนนี้ซึ่งนั่นเป็นเรื่องนี้ เพราะทั้งบทเรียนและเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับบอยมันทำให้เขารู้สึกหนักหัวเสียจนอยากจะนอนหลับยาวๆโดยไม่ต้องมีใครมารบกวนอีก ร่างบางเดินเข้าไปบนห้องของตัวเอง เขาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่อาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอนแทบจะทันทีที่จัดการทุกอย่างเสร็จ ภายในห้องนี้ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่พลัสคุ้นเคยแต่เพราะความเงียบที่แฝงอยู่ในทุกอณูของบ้านทำให้ร่างบางรู้สึกว่าการนอนหลับครั้งนี้ของเขามันน่ากลัวอย่างประหลาด
‘อย่านอนหมอนสูงนักได้ไหม เดี๋ยวก็ปวดหัวหรอก’
เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในหัว มันเป็นเสียงที่เขาได้ยินบ่อยเหลือเกินก่อนที่มันจะหายไปจนพลัสแทบจะลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่บอยและเขาหลับนอนด้วยกันมันตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ตัวว่าเผลอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้วก็ได้แต่เจ็บใจ เขารีบข่มตาหลับหวังให้นิทราพรากทุกอย่างออกไปจากหัวตนสักที
แกร็ก...
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่อาหารมึนที่แล่นเข้ามาในหัวทันทีที่พลัสรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงเปิดประตูดังมาจากหน้าบ้านทำให้ร่างบางต้องกุมหัวตัวเองแน่นแทนที่จะลุกขึ้นนั่ง เขาหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย ต่อให้ไม่เห็นว่านาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงกำแพงเดินไปถึงเวลาเท่าไหร่แต่จากความมืดรอบๆตัวเด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงหลับไปนานโข
“ป้าขอบใจมากนะ”
เสียงของน้าพร...พลัสได้ยินเสียงภรรยาใหม่ของพ่อดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน ถ้าอย่างนั้นเสียงเปิดประตูเมื่อครู่น้าพรก็คงเป็นคนทำมัน พอคิดได้อย่างนั้นร่างบางก็เตรียมจะหลับต่อ แต่ว่า...
“ไม่เป็นไรครับป้า อย่าลืมกินยาตามที่หมอสั่งนะครับ”
ดวงตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่ลืมขึ้นแทบจะทันที ไม่ใช่แค่เพราะใจความในประโยคนั้นหากแต่เป็นน้ำเสียงของชายแปลกหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดแม้จะฟังไม่ชัดเท่าไหร่ พลัสลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างหวังจะดูให้หายสงสัยว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใครแต่ก็ช้าไป เพราะทันทีที่เขาไปถึงน้าพรก็กำลังปิดประตูบ้านแล้วหมุนตัวกลับมาสบตากับพลัสที่ยืนอยู่บนชั้นสองพอดี
“พลัส...”
พรเรียกลูกบุญธรรมด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งกว่าทุกครั้ง พลัสรีบยกมือไหว้เธอโดยไม่ต้องรอให้ทวงทามก่อนเด็กหนุ่มจะตัดสินใจลงไปข้างล่างเพื่อถามไถ่เกี่ยวกับอาการป่วยของเธออย่างน้อยก็ในฐานะคนที่อยู่บ้านเดียวกัน สายตาเขาเหลือบมองไปยังนาฬิกาอีกอันทันทีที่ไฟตรงชั้นล่างถูกเปิดขึ้น...เกือบสองทุ่มแล้ว นี่เขาหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอ
“มาทำอะไรตรงนี้”
เสียงของน้าพรทำให้สติของพลัสกลับมา ร่างบางกำลังจะหันไปตอบแต่พอเห็นว่าใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มมานานของผู้หญิงตรงหน้ามันดูเคร่งเครียดแค่ไหนเขาก็ได้แต่หุบปากเงียบ...อะไรกัน เขายังไม่ทำอะไรเลยนะ
“ฉันถามว่ามาทำอะไรตรงนี้”
“ผมแค่...ลงมาข้างล่าง”
พลัสละความจริงที่ว่าเขาอยากจะมาถามเรื่องอาการป่วยจากคนตรงหน้าเพราะดูแล้วน้าพรคงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยดีๆกันได้สักเท่าไหร่ ร่างบางเตรียมจะกลับขึ้นไปตรงชั้นสองแต่จู่ๆคนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่แข็งกระด้างมาตลอดตั้งแต่แม่ตายก็พูดขึ้น
“แล้วเมื่อกี้...แกได้ยินอะไรรึเปล่า”
“ครับ?”
ไม่ใช่ว่าพลัสจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่น้าพรตั้งใจจะถามคืออะไร แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงใช้น้ำเสียงที่ฟังดูตระหนกแบบทีเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขายังมึนหัวอยู่รึเปล่าพลัสถึงรู้สึกว่าสีหน้าที่น้าพรแสดงออกมาตอนนี้มันดูสั่นไหวอย่างประหลาด...ใช่...ประหลาดเกินไป
“เมื่อกี้...ก่อนหน้าที่แกจะเดินลงมา”
“อ่า...ถ้าเป็นตอนนั้นก็ได้ยินครับ”
“...!!”
“ผมได้ยินคนพูดว่าให้น้ากินยาตามที่หมอสั่ง น้าพรป่วยหรอครับ”
ทันทีที่พลัสถามจบ ผู้หญิงตรงหน้าเขาก็เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยค้างนิ่งเช่นเดียวกับดวงตาที่เบิกกว้างราวกับว่ามีสิ่งที่น่าตกใจเกิดขึ้น พลัสอยากรู้เรื่องอาการป่วยของน้าพรแต่ความรำคาญนั้นมีมากกว่า ในเมื่อเธอดูเหมือนว่าไม่อยากจะพูดถึงมัน เขาเองก็ไม่อยากมีเรื่องเด็กหนุ่มเลยตั้งใจว่าจะกลับขึ้นไปบนห้องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดิน หลังของพลัสก็ถูกกำปั้นเล็กๆของน้าพรทุบเข้าเต็มแรง
“อย่ามายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่นะ!!!! ใครสั่งใครสอนให้แกเป็นคนแบบนี้!!!”
“โอ้ย น้าพร! หยุด! น้าทำอะไรเนี่ย!!”
พลัสร้องถามแล้วพยายามปัดป้องมือที่ฟาดเข้ามาหาตัวเองเรื่อยๆโดนบ้างไม่โดนบ้าง แรงของผู้หญิงตัวเล็กๆไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่ แต่ความไม่เข้าใจในการกระทำของคนคนนี้นี่แหละที่ทำให้พลัสเกือบจะฉุนขาด
“อย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม!! อย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีก!!”
“ใครเขาอยากจะไปยุ่งเรื่องของน้ากันเล่า!!!”
มือของพรยกค้างอยู่กลางอากาศตรงกับข้ามกับพลัสที่หลังจากผลักร่างของหญิงที่ตัวเล็กกว่าเขากว่าครึ่งให้ออกห่างจากตัวไปแล้วก็วางมือที่กำกันแน่นลงข้างตัวอย่างคนที่กำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์
“ผมไม่รู้ว่าน้าพรเป็นบ้าอะไร แล้วผมก็ไม่สนด้วยว่าน้าจะป่วยหรือจะเป็นอะไรผมก็แค่ถามตามมารยาท...ผมถามน้าก็เพราะว่าน้าเป็นคนที่พ่อพามาอยู่ในบ้านแม่ผม!!!”
“...!!”
“ผมไม่รู้ว่าน้าเกลียดอะไรผมนักหนา ผมไม่เคยด่าน้าที่แย่งพ่อไปจากแม่ หรือแม้แต่การที่น้าย้ายมาอยู่ที่นี่ผมก็ไม่เคยชัด แต่ถ้าน้าจะบอกว่าน้าเกลียดผมเพราะผมเป็นลูกแม่ผมก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ผมทำอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้ สิ่งที่ผมจะทำได้แล้วก็อยากให้น้าทำเหมือนกันก็มีแค่อย่างเดียว...”
“พะ พลัส...”
“อย่ามายุ่งกับชีวิตผมอีก ขอร้องล่ะครับ”
:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:
-
พลัสไม่คิดจะอยู่ฟังคำบริภาษใดๆจากปากผู้หญิงคนนี้อีก เขาเดินออกไปจากบ้านโดยไม่คิดจะหยิบอะไรติดตัวไปเลยสักชิ้นแม้แต่กุญแจรถที่เขาเผลอหยิบขึ้นห้องไปด้วยร่างบางก็ไม่ได้ขึ้นไปหยิบมันจนทำให้เขาต้องเดินเตร็ดแตร่อยู่ข้างถนนที่มีผู้คนมากมายใช้ชีวิตอยู่แต่ช่างไร้ความหมาย
ภายในตัวของพลัสร้อนรุ่มราวกับมีกองโทสะสุมอยู่ในนั้น เขารู้ว่าเขาพูดแรงแต่มันก็สามารถสื่อความรู้สึกในหัวใจของเขาออกไปได้จนหมด เขาทนมาตลอด...ทนจนไม่เข้าใจตัวเองว่าจะแสร้งเป็นยิ้มต่อหน้าคนที่เข้ามาทำลายชีวิตครอบครัวเขาทำไมให้ปวดร้าว แต่สุดท้ายคำตอบเดียวที่ทำให้พลัสฝืนทำแบบนั้นคือพ่อ...ครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาต้องรักษาเอาไว้ให้ได้
ทางเดินตรงหน้าทอดยาวราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด แสงไฟจากร้านค้าต่างๆค่อยๆน้อยลงจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงกระทบกันของคลื่นลอยเข้ามาแทนที่ หากเป็นก่อนหน้านี้กลิ่นของทะเลคงทำให้พลัสรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดมันหนักหนาเสียจนความเจ็บปวดตรงฝ่าเท้าที่เกิดจากการสวมเพียงรองเท้าแตะบางๆไม่สามารถหยุดความคิดที่ฟุ้งซ่านของเขาได้ ยกเว้นเพียงแรงสั่นสะเทือนในกระเป๋ากางเกงที่ทำให้เด็กหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าเขาเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในนั้น
เขาหยิบมันออกมา รายชื่อที่ปรากฏขึ้นบนนั้นทำให้พลัสแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งแต่ความรู้สึกต่อต้านที่ก่อตัวขึ้นข้างในกลับทำให้เขาหยุดนิ่งก่อนจะตัดสินใจรับเพียงเพราะอยากได้ยินเสียงของใครก็ได้ที่สามารถทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
“มึงอยู่ไหน”
“...”
“พลัส มึงอยู่ไหน”
น้ำเสียงของบอยฟังดูเรียบนิ่งเหมือนกับทุกๆครั้ง แต่มันกลับเจือไปด้วยความเป็นห่วงจนคนฟังรู้สึกได้ พลัสไม่ได้ตอบ เขากำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นขณะที่ดวงตากำลังเหม่อมองออกไปยังท้องน้ำกว้างอย่างต้องการหาที่พึ่ง
“พี่บอย...มาหาผมที”
มันคือประโยคคำสั่งที่อ่อนแรงที่สุดที่พลัสเคยใช้มันกับบอย ร่างบางบอกสถานที่ที่ตัวเองอยู่คร่าวๆก่อนที่โทรศัพท์ของเขาจะดับไปเพราะแบตเตอร์รี่หมดแทบจะทันที พลัสเก็บมันกลับที่เดิมเมื่อมันไร้ประโยชน์ เขาเดินไปยังชายหาดที่แทบจะไร้ผู้คนในวันนี้ ความแสบที่เท้าแล่นเข้ามาเมื่อแผลถลอกสัมผัสกับเม็ดทรายและน้ำทะเลไม่ได้ทำให้เขาสนใจมันเลยสักนิด ผิดกับคนที่รีบวิ่งมาหาพลัสทันทีที่เห็นว่าคนที่ทำหน้าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกกำลังนั่งอยู่ตรงไหน
“มึงนี่มัน!”
ไม่มีแม้แต่คำทักทาย สิ่งแรกที่บอยทำกับพลัสคือการดันให้คนตัวบางนั่งลงกับพื้นแล้วยกเท้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลมาวางไว้บนตักของตัวเอง บอยส่งสายตาตำหนิไปให้พลัสเหมือนกับหลายๆครั้งแต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่ามันจริงจังเสียจนเขาต้องเสหน้าหันไปมองที่อื่น แต่ถึงจะมองไม่เห็นพลัสก็ยังคงรู้สึกอยู่ดีว่าฝ่ามือใหญ่ๆของบอยกำลังจับเท้าของเขาด้วยความอ่อนโยนแค่ไหน ร่างใหญ่ค่อยๆปัดเม็ดทรายออกให้แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อมาเช็ดซับตามรอยแดงเพื่อให้ความแซบทุเลาลง
“อธิบายมาสิ ว่าทำไมจู่ๆมึงถึงมาทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่นี่ ว่างมากจนเพี้ยนไปแล้วรึไง”
พลัสเงียบไป เขาไม่ได้รู้สึกแย่กับคำพูดประชดประชันของบอยเลยสักนิดกลับกันภายในหัวของเด็กหนุ่มกำลังคิดว่าเขาควรจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจไปหรือไม่ แน่นอนว่าเขาเกลียดคนคนนี้สุดขั้วหัวใจแต่ไม่รู้ทำไมลึกๆแล้วพลัสกลับรู้ดีว่าบอย คือคนที่รับฟังความทุกข์ของเขาได้ดีที่สุด
“ผม...ทะเลาะกับที่บ้านมานิดหน่อย”
บอยดูไม่แปลกใจเท่าไหร่ คนมีอายุมากกว่าเลือกที่จะเงียบแล้วปล่อยให้พลัสที่ยังคงดูสับสนจัดการกับความคิดแล้วเผยมันออกมาเองเมื่อพร้อม
“ผมแค่ถามเขาว่าเป็นอะไรเพราะได้ยินมาว่าเขาป่วย แต่เขากลับตีผมแล้วบอกว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่อง...เลยว่าเขากลับไปแล้วก็หนีออกมา”
“อย่าบอกนะว่ามึงเดินจากบ้านมาถึงนี่”
“อืม”
พลัสคิดว่าบอยจะพูดปลอบ แต่คนตัวโตกลับตบหน้าผากเขาเบาๆแล้วใช้สายตาที่เหมือนกับผู้ใหญ่กำลังดุเด็กตัวเล็กๆมองมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนพลัสก็คงกลัวและเกรงใจบอย แต่อย่างที่เอมมิกาว่า บอยตามใจพลัสมามากเกินไป...มากจนร่างบางสามารถตีแขนของบอยกลับไปได้โดยไม่รู้สึกสะทกสะท้าน
“มาตีผมทำไม!”
“ตีให้หายบ้า มึงคิดว่าจากบ้านมึงมาถึงนี่มันกี่กิโลกัน แล้วถ้ากูไม่โทรมามึงจะทำยังไง แบตโทรศัพท์ก็หมดเงินติดตัวก็ไม่มีแล้วเท้าดันมาเจ็บอีก ถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วย มีสมองน่ะหัดคิดซะบ้าง”
ว่าเคาะหัวของพลัสเบาๆอีกที แต่คราวนี้ไม่รู้ทำไมพลัสถึงไม่โต้ตอบกลับ ร่างบางปล่อยให้คนตรงหน้าจัดการกับแผลตรงเท้าของเขาโดยที่ไม่พูดอะไร บอยทิ้งเขาไว้ตรงนี้คนเดียวพักหนึ่งก่อนที่ร่างสูงจะวิ่งไปซื้อน้ำเปล่าจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆมาสองขวดใหญ่พร้อมกับเบียร์อีกจำนวนหนึ่งที่พอพลัสเห็นก็รีบหยิบมันมาเปิดแทบจะทันที
“ผมกินได้ใช่ไหม”
“ที่หลังหัดถามก่อนเปิดนะ เฮ้อ เปิดแล้วก็แดกๆไปเถอะ แต่อย่าให้เมามากเหมือนวันนั้นก็แล้วกัน”
พลัสงงว่าบอยหมายถึงวันไหน แต่พอลองนึกย้อนๆไปก็มีอยู่วันเดียวที่คนคนนี้ไม่เห็นเขาในสภาพที่เมามาย ซึ่งก็คือวันที่เขาถูกปูนชงเหล้าให้กินเสียจนเมา ร่างบางจิบเบียร์ในมือเงียบๆมองดูบอยที่ใช้น้ำล้างแผลของเขาจนสะอาดแล้วติดพาสเตอร์ไว้แม้จะไม่เรียบร้อยนักแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้มันสัมผัสกับเชื้อโรคเหมือนก่อนหน้านี้ พอทำทุกอย่างเสร็จบอยก็หยิบเบียร์กระป๋องที่เหลือขึ้นมากินท่ามกลางเสียงคลื่น รสชาติของแอลกอฮอลล์ข่มๆไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบแต่ความรู้สึกล่องลอยที่เกิดขึ้นเพราะมันกลับทำให้พลัสเลือกที่จะจิบมันไปเรื่อยๆ
“เมาแล้วหรอ”
ดูเหมือนว่าบอยจะดูออก คนตัวโตลูบหัวของพลัสเบาๆก่อนจะจับมันมาเอนซบลงบนบ่าของตัวเองอย่างเบามือ ไม่รู้ว่าเพราะอาการเมาหรือความในใจอันหนักอึ้งทำให้พลัสไม่ขัดขืนหนำซ้ำยังเอนกายเข้าหาบอยด้วยตัวเองมากขึ้นอีก
“พี่บอย...”
“อะไร”
“พี่เคยเกลียดใครบ้างไหม”
“...”
“...”
“เคยสิ”
บอยว่าแล้วก็วางกระป๋องเบียร์ของตนลงกับพื้น มือของทั้งสองคนกอบกุมเข้าหากันโดยอัตโนมัติเหมือนกับว่าทั้งคู่กำลังคิดเรื่องเดียวกันอยู่
“ตอนเด็กๆผมเป็นเด็กติดแม่มาก วันหยุดต่อให้เอมมาชวนไปเที่ยวผมก็ไม่ไป จะอยู่กับแม่...ช่วยแม่ทำงานบ้าน แม่จะได้พักผ่อนเยอะๆ แล้วก็มีอีกคนที่ผมติดเขาเหมือนกัน...น้าพร...เพื่อนสนิทของแม่ที่ชอบเลี้ยงโจ้กผมบ่อยๆ ตอนนั้นผมชอบน้าพรมาก”
“...”
“แต่ตอนนี้...ผมเกลียดเขาที่สุด”
พลัสพูดถึงคนที่เกลียดด้วยน้ำเสียงที่สั่นจนน่าใจหาย มือของบอยบีบแน่นเข้ามาอีกแต่มันก็ยังไม่มากพอจนพลัสต้องทำในสิ่งเดียวกันกลับไปเพื่อให้แผลเหวอะหวะในอกนี้ได้รับการเติมเต็มจากความอบอุ่นของคนข้างๆ
“ผมรู้...รู้มาตลอดว่าร่างกายแม่ไม่แข็งแรง เพราะรู้แบบนั้นผมกับพ่อเลยไม่อยากให้แม่ทำงานหนัก พ่อขอร้องให้แม่ลาออกจากงานมาอยู่บ้านแต่ก็กลัวจะเหงาเลยชวนน้าพรให้มาอยู่เป็นเพื่อนแม่บ่อยๆ ผมจำได้ว่าแม่มีความสุขมาก แม้ว่าจะป่วยแต่แม่ก็ยังยิ้มให้ผมเสมอแล้วบอกกับผมว่าตัวเองโชคดีที่มีสามีอย่างพ่อ มีลูกอย่างผม แล้วก็มีเพื่อนอย่างน้าพร...แม่พูดอย่างนั้นจนกระทั่งก่อนที่ตัวเองจะตาย แม่บอกผมว่าอย่าร้องไห้ ให้ผมเป็นเด็กดีแล้วยิ้มต่อไป แต่ผมก็ต้องผิดสัญญาตอนที่พ่อเดินเข้ามาบอกผมว่า...น้าพรจะมาเป็นภรรยาของพ่ออีกคน”
“...”
“ผมโตพอที่จะยอมรับการที่พ่อจะหาใครสักคนมายืนเขียงข้างแทนที่แม่ได้ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นคนคนนั้น...ทำไมต้องเป็นน้าพรคนที่แม่บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของแม่ ที่ผ่านมามันคืออะไร พวกเขาไปรักกันตอนไหน หลังจากแม่ผมตายหรือว่าตั้งแต่ตอนแม่ผมยังอยู่...ผมสงสัยแต่ก็ไม่อยากรู้ เพราะต่อให้คำตอบมันคืออะไรผมก็เกลียดเขา...เกลียดคนที่ทรยศความไว้ใจของแม่ได้ขนาดนี้”
น้ำตาของพลัสไหลออกมาจนบ่าของบอยเปียกชื้นไปหมด ชายหนุ่มเปลี่ยนมากอดพลัสไว้แล้วใช้ความอบอุ่นของตัวเองปลอบประโลมคนที่กำลังเผชิญกับความรู้สึกเลวร้ายที่ถูกเก็บเอาไว้ในหัวใจตลอดมา พลัสไม่ใช่เด็กดีแต่เขาพยายามจะเป็นเด็กดีเหมือนกับที่แม่บอก เขาฝืนยิ้มให้น้าพรต่อหน้าพ่อ ยอมอยู่บ้านร่วมกับคนคนนั้นทั้งที่ข้างในต่อต้าน เขาบอกตัวเองว่าต้องทนได้แต่สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหวเมื่อวันนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่า...น้าพรเองก็คงเกลียดเขาเหมือนกัน
“ทุกอย่างอาจไม่ใช่แบบที่มึงคิด”
“ใช่สิ มันเป็นแบบนั้นแหละ...เขาทรยศแม่...เขาทรยศผม...เขาเกลียดผม...ผมเองก็เกลียดเขา”
“หรอ มึงร้องไห้ให้กับคนที่มึงเกลียดได้ขนาดนี้เลยหรอ”
น้ำเสียงของบอยมีความเอ็นดูเจืออยู่ เหมือนกับว่าคนคนนี้สามารถมองทะลุเข้ามาภายในเกราะอันแน่นหนาที่พลัสสร้างไว้เพื่อปิดกั้นความทุกข์ใจของตัวเองไม่ให้คนอื่นได้รับรู้ บอยบอกให้พลัสร้องไห้ ไม่เหมือนกับแม่ที่ขอให้พลัสอย่าร้องซึ่งคราวนี้ร่างบางเลือกที่จะทำตามที่บอยบอกมากกว่าแม่ เขาร้องไห้ออกไปจนหมด ร้องจนเสียงพูดคุยที่ดังอยู่ไกลๆหายไปเหลือแต่ความเงียบ
“พลัส...กูขออะไรมึงสักอย่างได้ไหม”
“ครับ?”
พลัสทวนถามขณะที่กำลังหลับตารับสัมผัสจากมือของบอยอยู่ คนอายุมากกว่าเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่พลัสจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจและเสียงของร่างใหญ่พูดตามมา
“อย่าใช้อารมณ์ตัดสินทุกอย่าง กูรู้ว่ามึงกำลังโกรธ กำลังเกลียดผู้หญิงคนนั้นแต่กูเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ”
“พี่หมายความว่ายังไง”
ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ พลัสถามกลับไปอีกครั้งพร้อมกับจ้องหน้าบอยไปด้วย
“สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำกับมึงเป็นความจริง แต่ความจริงมันอาจจะไม่ได้มีแค่อย่างเดียวก็ได้ ความรู้สึกคนเรามันซับซ้อนกว่าที่มึงคิด เหรียญมันมีสองด้านแต่หัวใจคนคงมีมากยิ่งกว่า”
“คำพูดยากๆของพี่ผมไม่เข้าใจหรอก”
ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่พลัสไม่อยากจะยอมรับ ความคิดโลกสวยแบบนั้นน่ะเขาใช้มันปลอบตัวเองมามากเกินพอแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องของน้าพร แม้แต่เรื่องของบอยเองพลัสก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน บอยถอนหายใจอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าพลัสราวกับเป็นการบอกอะไรบางอย่าง
“ไม่เข้าใจก็ช่างเถอะ งั้นกูจะเปรียบเทียบอะไรง่ายๆให้มึงฟัง”
“...?”
“เขาอาจจะเหมือนกับกู ที่ถึงแม้จะเคยทำร้ายมึงแต่กู...ไม่เคยเกลียดมึงเลยแม้แต่นิดเดียว”
บอยจ้องมองเข้ามาในนัยน์ตาของพลัสมันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือของบอยยังคงเย็นเฉียบเพราะร่างบางไม่ได้ตอบรับความหวังดีของเขา แต่บอยก็ยังคงรอ...และรอจนกระทั่งคนที่ก้มหน้านิ่งอยู่เมื่อครู่ค่อยๆเงยขึ้นมาแล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ผม...ไม่ใจอ่อนง่ายๆหรอกนะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ดังขึ้นพร้อมกับภาพที่รถมอเตอร์ไซด์สีดำคันใหญ่ขับเข้ามาจอดลงตรงหน้าคณะ สร้างความประหลาดใจให้ใครหลายๆคน รวมถึงเอมมิกาที่กำลังนั่งจับกลุ่มกับเพื่อนอยู่ แล้วเธอก็ยิ่งตกใจขึ้นไปอีกเมื่อคนซ้อนที่นั่งอยู่ด้านหลังก้าวลงมาก่อนจะถอดหมวดกันน็อคใบโตออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนไว้ข้างใน
“นั่นมัน ไอ้พลัสนี่”
เสียงซุบซิบดังขึ้นไปทั่วว่าวันนี้ไบค์เกอร์รูปหล่อที่หายหน้าไปนานกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเด็กหนุ่มอย่างพลัสที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยจนหลายคนสงสัย หากเป็นก่อนหน้าพลัสคงถอดหมวกออกแล้วเดินขึ้นตึกไปทันทีโดยไม่มีการล่ำลา แต่ตอนนี้พลัสยังคงยืนอยู่กับที่แล้วพูดกับบอยในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ยิน
“เย็นนี้ว่างรึเปล่า”
“มึงถามทำไม”
บอยถามด้วยความสงสัย เพราะปกติเด็กนี่ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหนหรือทำอะไร มีแต่บอยนั่นแหละที่คอยวิ่งตาม
“ผม...อยากกินไอติม...ไอติมรสมะนาว”
“...!!”
“ไม่ได้กินมานานแล้ว ว่าแต่พี่ว่างรึเปล่าล่ะ หรือว่ามีธุระอะไรอีก”
พลัสยังคงไม่ได้ถามว่าบอยหายไปไหนมาในช่วงนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจหรอก เขาอยากรู้แค่เย็นนี้บอยจะมีเวลามาตามใจเขาไหมเท่านั้น ด้วยเพราหมวกกันน็อคที่สวมอยู่ทำให้ร่างบางไม่รู้ว่าบอยกำลังทำสีหน้าแบบไหน คนตัวโตยังคงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ความเงียบและความคิดในหัวของพลัสวิ่งวุ่นอยู่พักใหญ่
“ถ้ามึงอยากกิน กูก็จะพาไป”
“แล้วถ้าผมเปลี่ยนใจไม่อยากแล้วล่ะ”
“กูก็จะพามึงไปอยู่ดี”
มันเป็นคำตอบที่เผด็จการและน่าหมั่นไส้เสียจนพลัสต้องเบ้ปาก แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางก็ยังคงยืนอยู่กับที่จนกระทั่งยานพาหนะสีดำสนิทเคลื่อนที่หายไปจนลับตา บอยไม่เคยรู้สึกชอบใจหมวกกันน็อคของตัวเองมากเท่าวันนี้ เพราะถ้าไม่มีมันพลัสคงเห็นไปแล้วว่าเสือยิ้มยากอย่างเขากำลังยิ้มกว้างขนาดไหน ชายหนุ่มพยายามกดความดีใจของตัวเองไว้ข้างในแล้วเพ่งสมาธิไปกับท้องถนน เพราะถ้าเขาเพ้อจนเกิดอุบัติเหตุเด็กคนนั้นคงโกรธแน่ๆที่เขาไม่รักษาสัญญา
เขาขับรถไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงโรงแรม The Pilot บอยเลี้ยวรถของตัวเองเข้าไปทางด้านหลังโรงแรมซึ่งเป็นประตูที่พนักงานใช้เข้าออกกันผิดกับรถยนต์หรูคันที่ขับตามมาที่เข้าไปจอดทางด้านหน้าโดยมีคนเข้ามาเปิดประตูให้แทบจะทันที
“สวัสดีครับคุณคณิต”
“สวัสดีครับ ไอ้เมษมาถึงรึยัง”
คณิตเอ่ยทักพนักงานของโรงแรมที่เขาพอจะคุ้นหน้า ก่อนจะถามถึงเมษาที่วันนี้เขาต้องเข้ามาคุยเกี่ยวกับดีลของโรงแรมที่พวกเขาทั้งคู่มีแผนว่าจะจัดร่วมกันสำหรับการท่องเที่ยวช่วงปลายปี พนักงานคนนั้นตอบร่างสูงว่านายของตนมาถึงแล้วและกำลังรอคณิตอยู่บนห้องทำงานที่คณิตสามารถเดินไปเองได้โดยไม่ต้องให้คนมาคอยนำทาง เขาก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับผิวปากไปด้วยอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าการต้องมาทำงานทั้งที่เมื่อวานเป็นวันเกิดของตัวเองออกจะน่าเสียดายไปหน่อยก็ตามโดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเจ้าของนาฬิกาที่เขากำลังสวมอยู่นี้
คณิตมองเครื่องบอกเวลาสีน้ำเงินที่เข้ากับข้อมือและรสนิยมของเขาได้เป็นอย่างดี แม้ว่ามันจะไม่ใช่ยี่ห้อที่แพงมากมายสำหรับฐานะของเขา แต่ถ้าพูดถึงความรู้สึกที่มาพร้อมกับนาฬิกาเรือนนี้มันกลับมากมายเสียจนเขาหยุดยิ้มไม่ได้ เสียงลิฟต์ดังขึ้นบอกคณิตว่าเขาเดินทางมาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว เขาเดินไปตามทางเอ่ยทุกคนของฝ่ายบริหารที่รู้จักกันดีรวมไปถึงเลขาของเมษาที่บอกกับเขาว่าคนที่คณิตมาขอพบบอกให้เขาเข้าไปหาได้ทันที
“ไอ้เมษ อยู่ป่าววะ”
คณิตร้องถามเพราะพอเข้ามาในห้องเขากลับไม่เห็นเพื่อนของตนนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตัว เขาเดินสำรวจไปรอบๆ แล้วได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ แล้วหลังจากนั้นไม่นานเจ้าของห้องก็เดินออกมาพร้อมผ้าเช็ดมือ
“อ้าว ทำไมมาเช้าจังวะ กูนึกว่ามึงจะอยู่ฉลองจนดึกซะอีก”
เมษาทักเพื่อนด้วยน้ำเสียงสบายๆพร้อมกับผายมือไปยังโซฟาเป็นการเชิญให้คณิตไปนั่งตรงนั้น คณิตก็เดินไปนั่งแล้วมองเมษาที่เดินไปหยิบเอกสารบางอย่างจากบนโต๊ะ
“มึงมานี่ก็ดีแล้ว กูจะได้ไม่ต้องเอาของขวัญไปให้ที่หลัง”
“กูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าไม่ต้องซื้ออะไรให้ ของขวัญมึงแต่ละอย่างแม่งแพงจนกูไม่อยากรับ”
คณิตพูดพลางส่ายหัวน้อยๆ เมื่อนึกถึงของขวัญวันเกิดปีผ่านๆมา มีทั้งไวน์ราคาเหยียบล้าน กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่หาได้ยากมากๆ แต่หนักสุดเห็นจะเป็นของปีที่แล้ว ซึ่งคือห้องพักของโรงแรม The Pilot ที่สาขาเชียงใหม่ ที่เมษาตั้งใจว่าจะยกมันให้เป็นสิทธิขาดของคณิตแต่เพียงผู้เดียว เขาจำได้ดีว่าต้องใช้เวลาแค่ไหนในการเกลี้ยกล่อมให้เมษายอมล้มเลิกความคิดนั้น แล้วยอมเปลี่ยนมาเป็นส่วนลด50% ในการเข้าพักแต่ละครั้งแทน
“จะไม่ให้ได้ไงวะ มึงเพื่อนกูนี่หว่า”
“ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนไงกูถึงเกรงใจ แค่คำอวยพรก็พอแล้ว”
ถึงคณิตจะพูดอย่างนั้นเมษาก็ดึงดันจะให้อยู่ดี เจ้าของห้องเดินถือกล่องใบใหญ่ที่ถูกห่อไว้ด้วยกระดาษสีเงินและริบบิ้นสีฟ้ามายื่นให้กับเพื่อน แต่สิ่งที่ทำให้คณิตสนใจหากใช่กล่องของขวัญใบนั้นไม่ แต่เป็นสิ่งที่อยู่บนข้อมือของเมษามากกว่า...มันคือนาฬิกาที่เหมือนกับสิ่งที่คณิตสวมใส่อยู่ทุกประการ
เมษาไม่เคยใส่นาฬิกายี่ห้อนี้ แม้แต่สีก็ไม่ใช่แบบที่เมษาชอบ
แล้วทำไม???
“รับไปสิ”
คำพูดของเมษาทำให้คณิตได้สติ เขาละสายตาจากมันแล้วหันมารับกล่องของขวัญของเมษาไว้แล้วเปิดออกทันทีอย่างน้อยก็หวังให้มันกลบความสงสัยบางอย่างที่ลอยฟุ้งอยู่ในอก แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นทันทีที่คณิตเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องคืออะไร ความคิดของเขากลับขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิม
“ชอบไหม เด็กปูนนั่นแนะนำมาน่ะ”
คณิตมองชุดแก้วไวน์ของ Lucaris และ Wine Decanter ที่ถูกจัดอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม เขารู้ว่าเมษาเป็นคนชอบดื่มไวน์แต่มันก็ไม่ใช่คนที่พิถีพิถันขนาดนั้น ต่อให้ไวน์แพงแค่ไหนเมษาก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องแก้วไวน์ไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือพิเศษอย่าง Decanter เขารู้เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนกับเมษามานาน...แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเมษากับปูนจะสนิทสนมกันขนาดนี้
“กูนึกว่ามึงไม่ถูกกับปูนซะอีก”
คณิตพูดเปรยโดยคาดหวังคำตอบที่น่าพอใจ เมษาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆก่อนจะหัวเราะออกมาพลางหยิบเอกสารสำคัญมาเปิดอ่านไปด้วย
“ก็นะ ยังไงเขาก็เคยทำงานกับกู”
“แต่ครั้งที่แล้วไม่เห็นมึงจะสนิทกันขนาดนั้น”
คณิตประเมินคนตรงหน้า ว่าเมษาจะแสดงพิรุธอะไรออกมาบ้างไหม แต่ชายคนนี้กลับทำตัวเหมือนปกติ หนำซ้ำยังเผยยิ้มมุมปากออกมาน้อยๆเมื่อถูกคณิตถามจี้มาแบบนั้น
“ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น แค่ชั่วครั้งชั่วคราวน่ะ”
“...!!”
“มึงเองก็ระวังๆไว้บ้าง คนแบบนั้นไม่เหมาะสมกับมึงหรอกนะ”
คณิตลุกขึ้นไปจับไหล่ของเมษาทันทีที่ฝ่ายนั้นพูดจบ มันหมายความว่ายังไงที่เมษาพูด...ทำไมมันพูดเหมือนกับว่า...
“มึงพูดอะไร”
“คำเตือนไง”
“...!!”
“คำเตือนจากกู”
เมษายังคงรักษารอยยิ้มไว้ได้ ผิดกับคณิตที่หน้าถอดสี เขาพยายามบอกตัวเองให้มีสติ แต่มันก็ทำได้ยากเต็มที
“ถ้ามึงไม่เชื่อกูก็ลองไปถามเด็กนั่น ว่าที่กูพูดมันจริงไหม”
“...!!”
“ถ้ามึง...ยอมรับคำตอบของมันได้น่ะนะ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
มาม่าชามไม่ใหญ่แช่เอาไว้อยู่ในตู้เย็น~~~ เย้! :hao7:
ป.ล. งานยุ่งมากคับ อาจจะมาได้แค่อาทิตย์ล่ะตอน เดือนหน้าเช่ต้องไปช่วยงานรับเสด็จที่มอ ปวดใจ TwT
ป.ล.ล. ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตน้า
-
เมษมันร้ายคะ.....มาม่าอะไรละทีนี้...งื้อออออ เตรียมผ้ารอซับน้ำตาเลยเนี่ย
-
ไอ่คุณเมษ เจตนาร้าย หวังให้ป๋าเข้าใจผิดชัดๆ
นาฬิกาก็จงใจเลือกซื้อตามที่ปูนดูให้ป๋าล่ะสิ
ชุดแก้วไวน์นี่เท่าที่จำได้ปูนก็ไม่ได้มีเอี่ยวด้วยเลยป่ะ?
สำคัญสุดคือ ปูนเคยทำงานในโรงแรมของเมษ
เคยนัดลูกค้ามาบริการที่โรงแรมของเมษ
แต่ปูนไม่เคยนอนกับเมษนะ อันนี้เราค่อนข้างมั่นใจ
เมษพูดจาแบบนั้นคนฟังก็คงคิดไปไกลสุดขอบโลกละมั้ง เหอะๆ
-
ไอคุณเมษทิ้งระเบิดไว้อีกแล้ว ฮ่วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!@@@
-
อีเมษษษ อย่าสร้างค.ร้าวฉานให้ป๋าปูนนะ เค้าเพิ่งดีกัน
-
เกลียดเมษษษษษษ
-
ปูนตายแหง่
-
เมษอย่ามาใส่ร้ายปูนนะ ตัวเองไม่ได้ก็จะไม่ปล่อยให้คนอื่นได้เลยรึไง
ป๋าอย่าไปเชื่อนะ ไม่อยากให้ปูนเสียใจอีกแล้ว
-
เมษมีความตอแหลมากค่ะ :fire:
-
อดีตมันแก้ไขไม่ได้ และแล้วสิ่งที่ทำประชดรัตติกาลคนที่ไม่เห็นค่าปูนก็กลับมาทำร้ายปูนจนได้
ที่จริงต้องบอกว่าที่ผ่านมา คณิตค่อนข้างใจกว้าง และยอมรับอดีตที่ผิดพลาดของปูนได้
ทั้ง ๆ ที่คุณสมบัติอย่างคณิต เลือกได้ และมีให้เลือกเยอะแยะ ดีกว่าปูนด้วยซ้ำ
แต่คณิตก็เลือกปูน กรณีนี้ ถ้าคณิตจะรับไม่ได้ก็คงที่เมษเป็นเพื่อนนี่แหละ
หวังว่า คณิตจะใจเย็นมากพอที่จะคุยกับปูน และหวังว่าปูนคุยด้วยเหตุผลกับข้อเท็จจริง
... ถ้าจะต้องแตกหักกันจริง ๆ คงต้องบอกว่า สงสารทั้งคู่ ปูนคงคิดว่าชีวิตคงไม่มีทางดีขึ้น
ส่วนคณิตคงแค่เจ็บและเสียใจ แต่รับรองไม่เท่าปูนกับที่ปูนรู้สึกแน่
-
เมษ ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้
-
ฆ่าทิ้งซะดีไหม หืม? ไม่กล้าบอกรักแต่มาทำให้ป๋าผิดใจกับน้องนี่ ไม่งามนะเมษ
-
:m16:
คนเขียน ทิ้งให้อยาก แล้วจากไป
ทำงี้ได้ไงงงงงงงง
-
ใครเอาเมษไปเก็บหน่อยค่ะ ตอกประตูลงโลงไปเลยยิ่งดี :m16:
-
แตกที่ 28
…เหนื่อย...
ตั้งแต่รู้จักคณิตมาปูนไม่รู้ว่าเขามีเช้าที่สดใสที่สุดมากี่ครั้งแล้ว ร่างเล็กวางอาหารเช้าง่ายๆลงบนโต๊ะ จัดดอกไม้ในแจกันและไม่ลืมที่จะหันไปอุ่นกาแฟดำสำหรับคนที่กำลังลงมาจากชั้นสองในไม่ช้า เมื่อคืนคณิตกลับดึกแต่ร่างสูงก็ยังคงนอนกอดเขาไว้จนถึงเช้า
มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ได้ตื่นมาภายในอ้อมกอดของคนที่รัก...
เสียงกุกกักดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคณิตในชุดสีเขียวเข้มดูน่าภูมิฐาน ปูนยิ้มให้คนรักก่อนจะตรงเข้าไปช่วยจัดคอเสื้อที่ยังไม่เรียบร้อยให้
“เช้านี้มีข้าวผัดนะ ป๋าหิวไหม”
“โคตรหิวอ่ะ ขอเยอะๆเลยแล้วกัน”
คณิตขยี้หัวของปูนก่อนจะกอดคอร่างเล็กเดินไปยังโต๊ะอาหาร ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกันทำให้ปูนมีเวลาได้สังเกตใบหน้าของคนรักที่บ่งบอกความเหนื่อยล้าแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูดีจนเขาใจสั่น เด็กหนุ่มส่ายหัวให้ความคิดเพ้อๆของตัวเองก่อนจะลงมือกินอาหารตรงหน้าบ้าง และในจังหวะเดียวกันนั้นคณิตก็กำลังลอบสังเกตปูนด้วยสายตาที่บ่งบอกความรู้สึกหลากหลาย
“วันนี้ผมเรียนแค่ตอนเช้า เดี๋ยวตอนบ่ายจะเข้าไปช่วยงานนะ”
“เอาสิ วันนี้พวกไอ้โต้งกับไอ้ขิงจะมาเที่ยวกันพอดี เธอก็ช่วยรับมือพวกมันให้หน่อยแล้วกัน”
“พี่โต้งกับพี่ขิงจะมาหรอ ทำไมอ่ะ อย่าบอกนะว่ามาฉลองวันเกิดป๋า”
“ไม่รู้สิ คงว่างมั้ง มันไม่ใช่พวกใส่ใจรายละเอียดขนาดนั้นหรอก”
ปูนพยักหน้าตามก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเห็นอะไรบนโต๊ะรับแขกในตอนเช้า ร่างเล็กวางช้อนส้อมลงก่อนจะวิ่งไปหยิบกล้องใบใหญ่ที่ไม่ได้หนักอย่างที่คิดมาโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคณิต
“ผมเห็นมันอยู่บนโต๊ะเลยแอบเปิดดู นี่ของป๋าหรอ ป๋ารู้ป่ะว่าผมโคตรชอบแก้วยี่ห้อนี้มากอ่ะ ไหนจะ Decanter นี่อีก โคตรสวยเลย”
ร่างเล็กว่าเพ้อๆก่อนจะหยิบเอาเครื่องแก้วรูปร่างประหลาดที่มีไว้รีเฟรสไวน์เพื่อให้มีรสชาติที่ดีขึ้นอย่างหลงใหล ในขณะที่คณิตกำลังมองปูนนิ่งๆ
“ของขวัญวันเกิดจากไอ้เมษน่ะ”
คำพูดของคณิตพรากรอยยิ้มไปจากใบหน้าน่ารักแทบจะในทันที ปูนหันมาสบตาคนรักก่อนจะหันหลบไปที่อื่นเมื่อรู้ว่าคณิตไปเจอกับใครมา...เมษา คนที่มีความรู้สึกดีๆให้คณิตเหมือนกับเขา
“หรอ...แล้วคุณเมษเขาว่ายังไงบ้างล่ะ”
ท่าทางร่าเริงของปูนหายไป ยิ่งเมื่อเด็กหนุ่มบรรจงวางเครื่องมือที่แสนบอบบางนั้นกลับเข้าที่ อยากจะเข้าไปโวยวายเหมือนกันว่าคณิตจะเข้าไปหาคนคนนั้นทำไม เคยรู้บ้างไหมว่าเพื่อนคิดไม่ซื่อกับตัวเอง...แต่ก็เพราะว่าคณิตอาจจะไม่รู้ปูนถึงไม่อยากอาสาเป็นคนบอก
หากคณิตไม่เคยรู้ก็จงไม่รู้ต่อไป
ความรู้สึกของคนอื่นนอกจากเขาน่ะ...ไม่ต้องรับรู้มันหรอก
“มันก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็แค่ของขวัญเหมือนทุกๆปีน่ะ”
คณิตว่าก่อนจะตักแฮมของตัวเองใส่ไปในจานของปูนเป็นการบอกว่าให้คนตัวเล็กหันมากินข้าวต่อ ซึ่งปูนก็ทำตามแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น ทั้งการเรียนของตัวเอง รายการทีวีที่ดูเมื่อคืนหรืออะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ชายที่ชื่อเมษา เขารู้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันทั้งในเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัวแต่ถ้าเลี่ยงได้ปูนก็อยากจะเลี่ยง
ทั้งสองต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ปูนไปเรียน คณิตไปทำงาน โชคดีว่าบทเรียนที่ยากทำให้ร่างเล็กต้องทุ่มเทสมองไปกับมันจนเขาลืมเรื่องของเมษาไปแล้ว ทันทีที่เรียนเสร็จร่างเล็กก็รีบเก็บกระเป๋าแล้วนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปยังโรงแรมของคณิตทันที แต่พอไปถึงร่างสูงกลับกำลังออกไปพบกับลูกค้า ปูนจึงได้แต่เดินคอตกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาช่วยงานที่ห้องอาหารเงียบๆ
“สวัสดีครับน้องปูน ไม่เจอกันนานน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ”
ในขณะที่ปูนกำลังง่วนอยู่กับการลองผสมม็อกเทลใหม่ๆอยู่ที่เคาน์เตอร์ เสียงพูดแซวๆที่ฟังคุ้นหูของใครบ้างคนก็ดังขึ้น
“พี่ขิง พี่โต้ง!”
ร่างเล็กวางน้ำผลไม้ในมือของตนลงแล้วยกมือไหว้คนอายุมากกว่าทั้งสองพร้อมกับโปรยยิ้มไปให้ พอเห็นรอยยิ้มหวานๆขิงก็แสร้งทำท่าเหมือนกับว่าโดนกามเทพแผลงศรมากลางอก จนเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งเพื่อนของตัวเองและปูนได้เป็นอย่างดี
“ป๋า...เอ่อ...พี่คณิตบอกผมแล้วว่าพวกพี่จะมา แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่นะครับ ออกไปทำธุระข้างนอก”
“เรียกอย่างที่เคยเรียกเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก”
โต้งบอกปูนพลางลูบหัวกลมๆของเด็กหนุ่มที่เขานึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ร่างเล็กพอได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าลังเล แต่พอเห็นท่าทางที่ไม่แปลกไปของคนทั้งคู่ก็ยิ้มได้
“ส่วนไอ้คณิตมันเพิ่งโทรมาหาพวกพี่เมื่อกี้เองว่ากำลังขับรถกลับมา มันบอกด้วยว่าอยากได้อะไรก็สั่งจากบาร์เทนเดอร์มือทองคนนี้ได้เลย ฮ่าๆ ไม่ต้องเกรงใจท้องไส้พวกพี่เลยนะน้องปูน จัดมาหนักๆ”
ปูนยิ้มรับคำขอของขิง เขาจัดการชงเหล้าแบบที่คิดว่าเพื่อนของคณิตน่าจะชอบ พร้อมกับจัดเบียร์เย็นๆให้กับโต้งที่ออกปากว่ายังไม่อยากดื่มเหล้าแรงๆสักเท่าไหร่ ร่างเล็กถือถาดเครื่องดื่มทั้งหมดไปเสิร์ฟให้ทั้งขิงและโต้งด้วยตัวเองตรงริมสระน้ำในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว แต่แทนที่จะได้กลับไปทำงานต่อปูนกลับต้องนั่งลงอยู่คุยเป็นเพื่อนคนทั้งสองซึ่งปูนก็ได้โอกาสที่จะถามเรื่องราวเกี่ยวกับคณิต
“พี่โต้ง สมัยเรียนมหาลัยป๋าเคยมีแฟนมาทั้งหมดกี่คนหรอครับ”
โต้งยิ้มกริ่มรับคำถามของปูน เขากะไว้อยู่แล้วว่าเด็กคนนี้จะต้องถาม
“ถ้าคบแบบจริงจังก็ไม่มีหรอก แต่ถ้าควงเล่นๆก็มีบ้าง”
“แล้ว...เยอะไหมครับ”
“ฮ่าๆ ไม่เยอะหรอก นอกจากหน้าตาแล้วก็ฐานะทางบ้านไอ้คณิตมันก็ไม่ตรงทาร์เก็ตของสาวๆเท่าไหร่หรอก”
“ยังไงอ่ะพี่ ผมว่าป๋าเขาก็ออกจะ...เป็นคนดีออกนะ”
“ก็เพราะว่าเป็นคนดีนี่แหละ บางครั้งมันก็จริงจังเกินไป พี่เคยบอกมันแล้วผู้หญิงเขาอยากได้แฟนนะไม่ใช่พ่อ”
ปูนหลุดขำจนเกือบสำลักน้ำที่ดื่มอยู่เพราะสิ่งที่โต้งพูดไม่ต่างจากสิ่งที่เขาคิดเลยสักนิด สำหรับเขาในแง่ของคนรักคณิตน่ะสอบผ่านไปเต็มๆ แต่ก็มีบางมุมเหมือนกันที่ปูนเผลอคิดว่าคณิตทำเหมือนเขาเป็นลูก...แต่ก็ชอบนะ
“จะว่าไปมันก็เคยมีแฟนที่คบจริงจังนี่หว่า สมัยมัธยมมั้ง มึงจำได้ป่ะ”
ขิงเปรยเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันไปขอคำยืนยันจากเพื่อนแต่โต้งก็ทำเพียงขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า
“จำไม่ค่อยได้ว่ะ ไอ้นี่มันไม่ค่อยเล่าเรื่องผู้หญิงให้พี่ฟังกันเท่าไหร่ ว่าแต่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเรื่องของปูน...มันจะบอกพวกพี่ไหม”
มันเป็นคำถามเชิงเย้าแหยที่เรียกสีแดงอ่อนๆให้ขึ้นมาบนผิวแก้มของปูนได้ ขิงหัวเราะเตรียมจะแซวปูนเพิ่มเพราะอยากแกล้ง แต่ก่อนที่จะได้ทำหัวของเขาก็ถูกฝ่ามือหนักๆของใครบางคนประเคนเข้าเต็มรัก
“โอ้ยยย ไอ้เชี้ยนิด!!!”
คราวนี้เป็นทีของปูนที่ได้หัวเราะบ้าง เขายิ้มให้คณิตที่ยืนมองเพื่อนของตัวเองตาเขียวในข้อหาที่พวกมันถามอะไรไม่เข้าเรื่อง
“ไงมึง ทำงานเสร็จแล้วหรอวะ”
โต้งหันไปทักเพื่อนก่อนจะชกมือกับคณิตอย่างสนิทสนมทำเป็นไม่สนใจสายตาหงุดหงิดของขิงที่โดนคณิตตบหัวแค่คนเดียว
“เออ น่าเบื่อชิบหาย แต่ก็ใกล้จะจบแล้ว”
คณิตว่าก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวข้างๆปูนที่ร่างเล็กเว้นไว้ให้ตั้งแต่ก่อนหน้า ปูนยื่นน้ำเย็นๆในแก้วของตัวเองให้คนรักดื่มโดยที่คณิตก็ดื่มมันอย่างไม่คิดอะไร ยกเว้นแต่คนสองคนที่ยิ้มทันทีที่เห็นแบบนั้น
“ไอ้โต้ง กูว่าไม่ต้องรอมันบอกหรอกว่ะ ชัวร์แล้วแบบนี้”
คราวนี้เป็นคณิตที่เกือบจะสำลักน้ำบ้าง เขาไอคอกแคกพลางส่งแก้วให้ปูนถือต่อขณะที่ถูกเพื่อนทั้งสองมองมาด้วยดวงตาแวววับ ร่างสูงรู้ว่าเพื่อนหมายถึงอะไรเขาจึงหันไปมองใบหน้าด้านข้างของปูนที่ยังคงเหลือร่องรอยของความเขินอายให้เห็น ชายหนุ่มนิ่งไปสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาสั้นๆ
“เออ ตามที่มึงคิด”
“คิด? ฮ่าๆ กูคิดอะไรวะ”
“จิ๊ ก็เรื่องของกูกับปูนไง”
คณิตจิ๊ปากขัดใจเมื่อตัวเองกำลังถูกต้อนให้พูด เขาจึงหันไปคว้ามือของปูนมาจับไว้แทนคำตอบทั้งหมด
“มึงจะบอกว่า...มึงกับปูนเป็นแฟนกันแล้ว”
“ตามนั้น”
“...”
“...”
“วู้ววววววว เอาจนได้นะไอ้สัด!!!”
โต้งกับขิงตะโกนออกมาแทบจะพร้อมๆกันจนแขกที่ยืนอยู่ไกลๆหันมามองเป็นตาเดียว จากมุมมองของคนพวกนั้นสิ่งที่พวกเขาเห็นคือภาพของผู้ชายตัวโตสองคนกำลังรุมตบหัวตบหลังชายหนุ่มหน้าจีนที่โวยวายไม่หยุดโดยข้างๆกันนั้นมีเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักกำลังยิ้มและหัวเราะเสียงดังจนทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดใสขึ้นทันตา ปูนมีความสุขที่ขิงและโต้งแสดงความยินดีกับการคบกันของพวกเขาแม้ว่าการแสดงออกกับคณิตจะรุนแรงไปบ้าง แต่ภายในแววตาของคนทั้งคู่ปูนก็สัมผัสได้ถึงความยินดีที่แสดงออกมาอย่างจริงใจ
“เพื่อนกูมีเมีย...ใช่ไหม? หรือว่าผัววะ?”
“ไอ้เชี้ยขิง...”
“ฮ่าๆ โอเคๆ เอาเป็นว่าเพื่อนกูมีเมียทั้งทีจะอวยพรเฉยๆคงไม่ได้ คืนนี้มึงกับน้องห้ามทำงาน เราจะออกไปฉลองกันที่ผับโอเคไหม”
“หาเรื่องแดกเหล้าก็บอก”
“หรือว่ามึงจะไม่ไป”
ขิงยักคิ้วให้คณิตเชิงว่ารู้ดีอยู่แล้วว่าร่างสูงจะตอบตนว่ายังไง คนที่ถูกเพื่อนไล่ต้อนถอนหายใจยาวๆอีกครั้งก่อนจะหันไปตอบเพื่อนด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
“ไม่พลาด...จัดไปอย่าให้เสีย”
(มีต่อเม้นล่าง)
-
ถึงจะบอกว่าเป็นงานฉลองให้คณิตกับเขาก็เถอะ ปูนกลับมองว่าพี่ๆทั้งสองคนแค่อยากจะมาสนุกกันมากกว่า เพราะหลังจากเหล้าแก้วแรกหมดไปทั้งขิงแล้วก็โต้งต่างก็พากันแยกย้ายไปนั่งโต๊ะสาวๆนักศึกษาที่ตัวเองเล็งไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาแล้วปล่อยให้คู่รักป้ายแดงอยู่กันแค่สองคน
ปูนมองบรรยากาศที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสมานานแล้วยิ้มอ่อน เขาไม่ได้รู้สึกดีใจเพราะมันหรอกหากแต่เป็นเพราะในที่แบบนี้การที่เขานั่งจับมือกับคณิตมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ร่างเล็กหันมามองหน้าคนข้างๆที่กลิ้งของเหลวในแก้วของตัวเองไปมาพลางฮัมเพลงสากลที่คุ้นหูไปด้วย
“ป๋า”
คณิตหลุดจากความคิดของตัวเองแล้วหันมาตามเสียงของปูน
“ดีใจไหม ที่เพื่อนป๋ารับได้”
ปูนไม่แน่ใจว่าควรถามเรื่องนี้ไหมแต่ก็เพราะว่าเขาดีใจมากเลยอดที่จะพูดมันออกมาไม่ได้ สำหรับเขาที่เป็นเกย์มาแต่แรกมันไม่ใช่เรื่องยากลำบาก เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะรับได้หรือไม่ได้กับรสนิยมทางเพศของเขา แต่กับคณิตมันไม่ใช่ ปูนรู้ว่าคณิตต่างจากเขาไม่ใช่แค่การรักชอบเพศเดียวกันแต่ยังรวมถึงหน้าตาทางสังคมที่มีมากว่าคนอื่น
“ดีใจซิ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกมันต้องไม่ว่าอะไร เธอก็รู้นี่ว่าฉันเรียนอักษร ในกลุ่มเพื่อนของฉันก็เป็นแบบนี้อยู่หลายคน พวกไอ้โต้งมันไม่แปลกใจหรอก”
ร่างเล็กยิ้มน้อยๆแม้จะรู้ดีว่ากลุ่มเพื่อนที่คณิตพูดถึงคือใคร เขาซบหน้าลงบนบ่าของคนรักแล้วสูดเอากลิ่นกายหอมๆที่สร้างความมั่นใจให้เขาได้เสมอ
“ผมก็ดีใจเหมือนกัน”
เสียงฮัมเพลงของปูนช่างต่างกับบรรยากาศวุ่นวายโดยรอบ มันไม่ได้เพราะขนาดนั้นแต่คณิตก็สามารถจับถึงกระแสความสุขที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นได้ ปูนเต้นไปรอบๆตัวเขาแล้วหันมายิ้มให้ในทุกๆท่อนที่มีคำว่ารัก คณิตก็ยิ้มกลับแม้ว่ามันจะไม่กว้างดังเดิมก็ตาม
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงทั้งโต้งและขิงที่ได้เบอร์สาวมาสต็อกเพิ่มกันคนละเบอร์สองเบอร์ก็กลับมานั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางที่ไม่แสดงความเมามายให้เห็น และด้วยความที่เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีปูนก็เริ่มคุยอย่างสนิทสนมกับเพื่อนของคณิตทั้งสองคนจนตอนนี้กลายเป็นว่าจากเดิมที่พวกเขาเคยนั่งอยู่ติดกัน ปูนก็เขยิบมานั่งใกล้ๆโต้งเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการชงเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายสนใจอยู่ไม่น้อย ส่วนขิงก็นั่งอยู่กับคณิตแล้วคุยเรื่องการลงทุนที่ตัวเองเพิ่งได้ข้อมูลมา
“คนแม่งเยอะดีชิบหาย ไอ้คณิตตอนนี้กี่โมงแล้ววะ”
โต้งหันไปถามร่างสูงที่กำลังคุยกับเพื่อนอีกคนอย่างออกรสออกชาติ คณิตได้ยินอย่างนั้นก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา และเพราะการกระทำนั้นทำให้ปูนเพิ่งสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“ป๋าไม่ได้ใส่นาฬิกาที่ผมซื้อให้หรอ”
ปูนมองข้อมือที่ว่างเปล่าของคณิตแล้วถามด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหันไปหาร่างสูงเพื่อขอคำตอบแต่ทว่ามันกลับไม่มี...คณิตหยุดนิ่ง ไม่มีการชักข้อมือหนีหรือพูดแก้ตัวอะไรทั้งนั้น เขาแค่ไม่พูดแล้วปล่อยให้ความเงียบสร้างความสงสัยแก่ปูนต่อไป
“นาฬิกาอะไรหรอปูน”
โต้งถามเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น
“นาฬิกาข้อมือน่ะครับ ผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดป๋า แต่ว่า...”
ไม่ต้องอธิบายต่อคนฟังอีกสองคนก็พอจะเดาเรื่องราวได้ โต้งหันไปมองหน้าเพื่อน คณิตยังคงนั่งนิ่งแล้วจิบเครื่องดื่มในมือของตัวเองต่อไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในขณะที่คนตั้งคำถามเริ่มถูกความไม่เข้าใจรุมเร้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ร่างเล็กพยายามนึกย้อนถึงตอนก่อนหน้า เขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าเมื่อเช้าคณิตก็ไม่ได้ใส่นาฬิกาที่เขาซื้อให้เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของคณิตเมื่อเช้าจะเป็นนาฬิกาเรือนเก่าที่หน้าปัดมันเป็นสีขาว...แล้วนาฬิกาของเขาไปไหน...ทำไมคณิตไม่ใส่มัน
“ป๋า...นาฬิกาของผมไปไหนหรอ”
“...”
“ป๋า...”
“มันคงไม่เข้ากับชุดมั้งปูน อย่าคิดมากเลย ว่าแต่มึงเมาแล้วใช่ไหมไอ้คณิต นั่งเงียบไม่ยอมตอบเลยนะสัด มานี่เลย มาล้างหน้าล้างตากับกูก่อน”
ขิงพูดแก้ตัวให้เพื่อนก่อนจะลากคณิตที่ถ้าประเมินทางสายตาก็ยังเดินได้มั่นคงดีให้ไปห้องน้ำด้วยกัน ปูนมองตามแผ่นหลังของคนรักไปอย่างไม่สบายใจ แต่เพราะถูกโต้งจับบ่าไว้เขาจึงตามไปไม่ได้
คณิตยังคงเงียบแม้ว่าคนที่เดินนำหน้าเขาอยู่จะถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่สาม แม้ทางที่พวกเขาเดินมาจะเป็นทางเข้าห้องน้ำแต่มันก็มีประตูเล็กๆที่สามารถทะลุออกไปข้างนอกได้ อากาศที่ปลอดโปร่งกว่าไม่ได้ทำให้ขิงโล่งใจเลยสักนิด เพราะสำหรับคนที่รู้จักคณิตมานานอย่างเขาและโต้งต่างก็รู้ดีว่าอาการที่เพื่อนแสดงออกไปเมื่อครู่มันผิดปกติมากแค่ไหน
“เอาล่ะ มึงเป็นอะไรว่ามาสิ”
ขิงเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติในกลุ่มพวกเขา คณิตมองหน้าโต้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินนำไปยังม้านั่งที่ไร้ผู้คน ร่างสูงนั่งลงพร้อมกันนั้นก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำที่ไร้ซึ่งดวงดาว แต่มันก็ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น...เพราะแค่นี้หัวเขาก็วุ่นวายจะแย่
“แค่สับสนน่ะ”
“สับสน? สับสนอะไร?”
“สับสนว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไปล่ะมั้ง”
ขิงไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่แปลกเพราะคณิตก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คำพูดของเมษาดังก้องอยู่ในหัว ภาพของนาฬิกาสองเรือนนั้น ของขวัญที่คาดไม่ถึงและเรื่องราวระหว่างเขากับปูนที่ผ่านมา...หรืออาจจะมีเรื่องที่เขาไม่เคยรู้ซ่อนอยู่อีก
“น้องมันทำอะไรหรอวะ”
ขิงสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเรื่องนี้คงมีสาเหตุมาจากปูน เพราะถ้าเรื่องมันเกิดเพราะตัวคณิตเอง เพื่อนของเขาจะไม่มีทางทำตัวแบบนั้น ยิ่งเฉพาะกับคนที่เป็นคนรักกัน การไม่พูดแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายคิดไปเองมันทั้งโหดร้ายและเลือดเย็นเสียจนเขานึกหวั่นแทน
“นั่นแหละที่เป็นปัญหา...เพราะกูไม่รู้ว่าปูนทำหรือไม่ได้ทำมันกันแน่”
“...?”
“ถ้าเขาไม่ได้ทำกูก็สบายใจ แต่ถ้าเขาทำกูก็คงโกรธ...แต่ก็จะหาย”
“เอ้า สรุปคือไม่ว่ายังไงมึงก็ไม่โกรธแล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนวะ”
“ตัวกูเองล่ะมั้ง”
รอยยิ้มหยันถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก ตั้งแต่เดินทางกลับมาจากโรงแรมของเมษาเขาก็เฝ้าถามตัวเองว่าจะทำกับเรื่องนี้ยังไง ไม่ใช่ว่าไม่รู้...เขารู้มาแต่แรกว่าปูนเคยทำอาชีพแบบไหน แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตั้งแต่ที่ข้อตกลงระหว่างเขากับปูนเกิดขึ้นเด็กคนนั้นก็ไม่ได้ไปหลับนอนกับใครอีก
เขากอดปูนอยู่ทุกคืน...ทำไมจะไม่รู้
“มึงช่วยพูดอะไรที่เข้าใจง่ายๆหน่อยได้ไหมวะ แม่ง ไอ้นิสัยพูดงงๆของเด็กอักษรนี่มันน่ารำคาญจริงๆ นี่ขนาดมึงไม่หนักเท่าไอ้กาลกับไอ้นิลนะกูยังจะบ้า”
ชื่อของเพื่อนก๊วนอักษรสองคนถูกอ้างขึ้น เพราะแต่ไหนแต่ไรขิงก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดของเด็กคณะนี้สักเท่าไหร่
“ถ้าพูดง่ายๆก็...กูมันไม่มั่นคงเองล่ะมั้ง”
“...!!”
“กูรู้ว่าเขาไม่ได้ทำ กูคิดว่าตัวเองเชื่อใจเขา แต่พอมีอะไรมากระทบเข้าหน่อยกูดันรู้สึกแย่ซะได้...”
“แล้วมันแปลกตรงไหนวะ”
คณิตหันหน้ามาหาเพื่อนทันทีที่ขิงพูดจบ วิศวกรหนุ่มที่ไม่ละเอียดอ่อนแต่ตรงไปตรงมานั่งลงข้างๆเพื่อนแล้วพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด
“ถ้ามีคนมาพูดอะไรแย่ๆเกี่ยวกับคนที่เรารักให้ฟังเป็นใครก็ต้องรู้สึกแย่กันทั้งนั้น แล้วถึงจะบอกว่าเชื่อใจมันก็ไม่มีใครเชื่อใจกันได้ร้อยเปอร์เซ็นหรอก ขนาดตัวของเราเองบางทีเราก็ไม่อยากจะเชื่อในมันเท่าไหร่เลยถูกไหม”
“...”
“ใจคนนะเว้ย ไม่ใช่ภูเขา จะไหวบ้างเอนบ้างก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ขอแค่พอรู้ตัวว่ากำลังไม่เชื่อใจเขาก็รีบปรับความเข้าใจแล้วกลับมาอยู่เคียงข้างกันเหมือนเดิมก็พอ”
ขิงยักคิ้วให้คณิตแล้วจุดบุหรี่ในมือของตัวเองขึ้นสูบ คราวนี้แม้ว่าจะไม่ชอบกลิ่นของมันเท่าไหร่คณิตกลับไม่ขยับหนีหนำซ้ำยังระบายยิ้มอ่อนออกมาราวกับว่าเมื่อครู่มีอะไรดีๆเกิดขึ้น
“มึงแม่ง พูดจาเท่ๆก็เป็นนี่หว่า”
“ดูถูกกันนี่หว่า นี่ใครครับๆ นี่พี่ขิงผู้ที่มีหัวใจเหมือนกับท้องทะเลนะครับ”
“เหมือนทะเล? ยังไงวะ เค็มเหมือนกันหรอ?”
“ไอ้เชี้ยนี่ มือมึงสิเค็ม กูหมายถึงหัวใจที่น่าหลงใหลของกูต่างหาก”
“หึ จะบอกว่าใจหล่อว่างั้น”
“เปล่า หัวใจกูมันไม่หล่อหรอก เหมือนกับทะเลนั่นแหละ ก็เพราะว่า...”
ขิงเก็กหน้าหล่อ เขาจี้บุหรี่ที่ยังไม่หมดมวนดีลงกับที่เท้าแขนของเก้าอี้ก่อนจะหันมามองคณิตด้วยสายตาที่ขิงเข้าใจว่ามันเท่ที่สุด
“ทะเลมันไม่สวยหรอก แต่มันรับฟังมึงได้ทุกเรื่อง”
“...”
“...”
“แดกเกลือผสมไอโอดีนบ้างนะมึง”
.
.
.
.
.
คณิตกับขิงไปเข้าห้องน้ำเป็นสิบนาทีแล้วแต่ก็ยังไม่กลับมา ปูนที่ถูกโต้งห้ามไว้ได้แต่ชะเง้อคอมองไปทางนั้น ดนตรีจังหวะเร็วๆไม่ได้ทำให้เขาบันเทิงอีกต่อไป เหล้าในแก้วก็ถูกละลายด้วยน้ำแข็งที่กลายมาเป็นน้ำจนดูไม่เหลือรสชาติ คนที่อายุมากกว่าถอนหายใจ เขาลูบแผ่นหลังเล็กของปูนเบาๆอย่างปลอบโยนพร้อมกันนั้นก็นึกเป็นห่วงเพื่อนตัวเองไปด้วย
“ใจเย็นๆน่าปูน เดี๋ยวมันก็กลับมา”
ถึงน้ำเสียงของโต้งจะฟังดูอบอุ่นและหนักแน่นแต่ปูนก็ยังไม่คลายความกังวลใจ ใบหน้าน่ารักง้ำงอ ทั้งน้อยใจและสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากจะทำตัวเอาแต่ใจเข้าไปเค้นความจริงจากคณิตดูบ้างก็ไม่กล้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่รักร่างสูงมันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พอได้วางหัวใจลงไปในมืออีกฝ่ายแล้วจะทำอะไรก็กลัวไปซะหมด
“พี่โต้งว่า...ป๋าเขาโกรธอะไรปูนรึเปล่า”
ปูนกลั้นใจถาม แม้จะรู้ดีว่าโต้งเองก็คงไม่รู้คำตอบ คนที่โตกว่ามองเด็กชายที่ตกประหม่าแล้วหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สิ ยังไม่มีใครว่าอะไรเราสักหน่อย”
“แต่ป๋า...”
“คณิตมันอาจจะแค่เหนื่อย มันวิ่งงานมาทั้งวันแถมยังโดนพวกพี่ลากมาเที่ยวที่นี่อีกคงล้ากันบ้าง เราก็อย่าคิดมากเลยนะ”
“ครับ”
ร่างเล็กรับปากแม้จะไม่คิดแบบนั้นเลยสักนิด เขาเริ่มหันกลับมามองเหล้าและมิกเซอร์บนโต๊ะแล้วลงมือชงเหล้าแก้วใหม่ให้กับคณิตแม้จะไม่รู้ว่าคนรักจะกลับเข้ามาเมื่อไหร่ แถมปูนยังใจดีชงเผื่อให้ขิงและโต้งที่คอยให้กำลังใจ แต่ส่วนของตัวเองปูนรู้สึกว่าเขาไม่อยากดื่มมันแล้ว
“นั่นปูนนี่ ปูนใช่ไหม”
เสียงทักของใครบางคนดังขึ้นขณะที่ปูนกำลังเลื่อนแก้วเครื่องดื่มที่ชงเสร็จเรียบร้อยแล้วไปให้โต้ง เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันฟังคุ้นหูแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมันมาจากไหน เขาจึงหันไปทางนั้นก่อนจะนิ่งค้าง
“ใช่จริงๆด้วย ปูนนี่เอง”
“มะ มึง...”
โต้งเลิกคิ้วขึ้นเมื่อจู่ๆท่าทางของปูนก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมเล็กที่ถึงแม้จะหม่นแสดงเพราะความเศร้าไปบ้างแต่ก็ยังคงสดใสอยู่เปลี่ยนเป็นเบิกค้างราวกับว่ากำลังตกใจสุดขีด แก้วของเขาที่อยู่ในมือของปูนสั่นจนเกิดเสียง เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดขึ้นตามไรผมทั้งๆที่โต๊ะที่พวกเขานั่งมันอยู่ใกล้แอร์
ชายหนุ่มหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการผิดปกติเหล่านี้ คนที่กำลังเดินมาดูแล้วน่าจะอายุไม่ห่างจากปูนเท่าไหร่ เป็นเด็กวัยรุ่นชายตัวสูงโปร่งผิวพรรณค่อนข้างดี ดูภายนอกแล้วไม่ได้โดดเด่นอะไรแล้วทำไมพอเห็นคนคนนี้ปูนถึงแปลกไป
“ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอกันที่นี่ นึกว่าก้อยมันพูดเล่นซะอีก ว่าแต่ปูนไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะ...เคยน่ารักยังไงก็ยังน่ารักเหมือนเดิม”
โต้งรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้ามันไม่ดีเมื่อคนแปลกหน้าคนนี้เริ่มใช้คำพูดที่คุกคามปูนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งยืนยันก็คือแววตาที่สั่นไหว มันมีทั้งความกลัว ความโกรธ และความรู้สึกบางอย่างผสมปนเปกันอยู่ในนั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้แม้แต่ตัวของปูนเอง
“ปูนจะไม่ทักผมหน่อยหรอ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หรือว่าลืมกันไปแล้ว”
“ออก...ออกไป...”
“ว่าไงปูน ยังจำผมได้ไหม”
“...”
“ยังจำเรื่องวันนั้นได้รึเปล่า”
“กูบอกให้ออกไปไงเล่า!!!”
ปูนหวีดร้องก่อนจะปัดแก้วใบที่อยู่ใกล้มือที่สุดตกลงพื้นจนเกิดเสียงดังไปทั่ว ทุกการเคลื่อนไหวรอบตัวหยุดนิ่ง ทั้งชายแปลกหน้าและโต้งไม่มีใครกล้าขยับยกเว้นเพียงแต่ร่างเล็กที่พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองจนตัวโยน โต้งที่ตั้งสติได้ก่อนรีบเข้ามาประคองปูนที่สั่นจนเหมือนกับว่าพร้อมจะล้มลงไปกองบนพื้นได้ทุกเมื่อ เขาตวัดสายตาไปมองชายอีกคนแล้วพูดด้วยเสียงกร้าว
“มึงออกไปซะ วันนี้ปูนคงไม่พร้อมคุยกับมึงหรอก”
“แล้วพี่เป็นใครวะ ทำไมต้องมาเสือกด้วย”
“ไอ้เด็กนี่!”
“อ่อๆ ผมรู้แล้ว”
ชายคนนั้นทำหน้าเหมือนกับเพิ่งเข้าใจอะไรบางอย่าง มันยกยิ้มหยันที่มุมปากพลางกวาดสายตามองไปยังปูนและโต้งสลับกัน ร่างเล็กที่ยังคงสั่นเดาออกว่าหมอนี่กำลังคิดอะไร...ไม่...อย่าพูดนะ
“ออกไป ออกไปสิ!”
“อะไรกันปูน ได้ลูกค้าใหม่แล้วลืมลูกค้ารายแรกอย่างผมเลยหรอ”
“...!!”
ปูนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงบางอย่างแตก...ใช่แล้ว..มันคงเป็นเกราะบางๆในใจของเขาเอง ปูนสะบัดแขนของโต้งออกกแล้วตรงเข้าไปซัดหมัดรุ่นๆใส่ใบหน้าของหมอนั่นอย่างจังจนมันล้มลงไป ความโกลาหนเกิดขึ้นทุกทิศทางเมื่ออีกฝ่ายที่ตั้งตัวได้ไวจนน่าชมเชยลุกขึ้นมาต่อยสวนปูนกลับด้วยหมัดที่แรงจนร่างเล็กรู้สึกถึงรสเลือดเค็มปร่าได้แม้จะโดนเพียงครั้งเดียว
โต้งพอเห็นว่าปูนโดนต่อยก็เข้ามาช่วยจนกลายเป็นว่าพวกเขาทั้งสามคนกำลังตะลุมบอนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงกรีดร้องและห้ามปรามดังมาจากทั่วทุกสารทิศ ปูนได้ยินเหมือนใครสักคนพูดว่าให้เรียกตำรวจแต่เขาก็ไม่สนใจ
“เชี้ยเอ้ย ไอ้โต้งพอ!”
ขิงที่วิ่งกลับเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนว่าข้างในกำลังมีเรื่องตรงเข้าไปถีบช่วงท้องของคนที่กำลังถูกโต้งซัดหมัดใส่จนเต็มแรง พอแยกจากกันได้คนรอบช้างก็ตรงเข้ามาช่วยกันทั้งสองฝ่ายออกจากกัน โต้งกลายมาเป็นฝ่ายที่จับขิงไว้เพราะกลัวว่าเพื่อนจะเข้าไปซัดกับหมดนั่นอีก ส่วนปูนที่เป็นดั่งวัวสันหลังหวะก็ได้แต่ยืนนิ่งจนกระทั่งคณิตที่เพิ่งมาถึงกระชากเขามากอดด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรไหมปูน! เจ็บตรงไหนรึเปล่า!!?”
“ป๋า...”
เพราะเอ่ยปากพูดทำให้คณิตเห็นแผลที่แตกในช่องปากของปูนอย่างชัดเจน ไฟโทสะถูกจุดขึ้นข้างใน ร่างสูงปล่อยมือจากไหล่ของคนรัก เขาก้าวสามขุมเข้าไปหาคนที่ถูกนักท่องเที่ยวคนอื่นจับตัวไว้ คณิตกำหมัดแน่นพร้อมกับจ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยดวงตาแบบที่ปูนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่โต้งกับขิงรู้จักมันดี
“ไอ้คณิตอย่า!”
โต้งกับขิงรีบเข้ามาช่วยห้ามคณิตจนทำให้ที่หมัดของร่างสูงเฉียดแก้มของอีกฝ่ายไปจนคนดูเสียวแทน ปูนเองที่พอตั้งสติได้ก็รีบเข้ามาดึงคณิตไว้แล้วพยายามลากชายหนุ่มออกมาเพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันมากกว่านี้ เขากลัว...กลัวว่าคณิตจะรู้เรื่องที่เขาไม่อยากให้รู้จากปากของคนอื่น
“ป๋าไปกัน ขอร้อง...ไปกันเถอะ”
“มันทำร้ายเธอขนาดนี้เธอคิดว่าฉันจะยอมหรอปูน!!”
คณิตหันมาตะคอกใส่ปูนด้วยเสียงอันดัง แต่พอเขาเริ่มรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็เมื่อตอนที่หยดน้ำใสๆกลิ่งหล่นลงมาจากดวงตาของร่างเล็ก สติของคณิตเริ่มกลับมา เสียงกนด่าของคู่กรณีไม่ได้เข้าหูเขาอีกแล้ว โสตประสาทของร่างสูงมีเพียงภาพและเสียงร้องไห้ของปูนเท่าไหร่
“ขอร้อง ฮึก ปูนอยากกลับบ้าน”
“ปูน...”
“นะ พี่นิด ฮึก พี่นิดพาปูนกลับบ้านที”
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำอีก คณิตรีบถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาใส่ให้กับปูนก่อนจะหันมาบอกเพื่อนอีกสองคนให้อยู่จัดการค่าเสียหายแทนเขา ชายหนุ่มพาปูนที่ยังร้องไห้ไม่หยุดไปที่รถแล้วขับมันออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ จะมีก็แต่ความไม่เข้าใจ...และความเสียใจที่เขาปกป้องปูนไม่ได้
คณิตเป็นฝ่ายลงไปเปิดประตูรั้วเอง เขาขับรถเข้าไปด้านในแล้วจอดอย่างไม่เรียบร้อยนัก ร่างสูงรีบลงมาพยุงปูนออกจากรถก่อนจะพาเข้าไปในบ้านที่ทำให้ปูนรู้สึกปลอดภัยจนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ปูนรั้งคณิตไว้ด้วยอ้อมกอดเขาไม่สนใจว่าตัวเองจะเจ็บขนาดไหน ไม่ต้องทำแผลก็ได้เพราะตอนนี้เขาต้องการแค่ความอบอุ่นของคณิตเท่านั้น
ความอบอุ่นที่บอกว่าคณิตยังอยู่กับเขา...
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว...อยู่ที่นี่จะไม่มีใครมาทำอะไรเธอได้อีก”
คณิตกล่อมพร้อมกับลูบแผ่นหลังของปูนเบาๆทำให้แรงสะอื้นค่อยๆคลายลงก่อนจะนิ่งไป ปูนหลับอยู่ในอ้อมแขนของคณิต ชายหนุ่มนึกแค้นคนที่ทำให้ปูนเป็นแบบนี้เพราะแม้แต่ใบหน้ายามหลับของคนตัวเล็กก็ยังคงโศกเศร้าและทรมานเสียจนเขาอยากฆ่าคนเป็นครั้งแรก ร่างสูงอุ้มปูนขึ้นไปบนชั้นสอง เขาจัดการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ปูน ก่อนจะนำอุปกรณ์มาทำความสะอาดแผลในจุดที่พอจะทำได้ในตอนนี้ คณิตลูบใบหน้าบวมช้ำของปูนด้วยความรู้สึกหลากหลายแต่มีอยู่หนึ่งเสียงที่เขาสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน
เสียงที่บอกว่า เขาจะไม่มีวันให้ใครมาทำร้ายปูนแบบนี้อีก
ติ๊งหน่อง!
เสียงกดกริ่งดังขึ้นจากหน้าบ้าน ทำให้คณิตต้องยอมละสายตาจากปูนลงมาหาเพื่อนทั้งสองคนที่สภาพดูไม่จืดผิดกับขาไป ร่างสูงบอกเพื่อนว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรให้ทุกคนเข้ามาทำแผลก่อน ขิงน่ะไม่เท่าไหร่ แต่แผลของโต้งเนี่ยสิ น่าเป็นห่วงพอๆกับปูนเลย
“น้องหลับไปแล้วหรอวะ”
ขิงถามคณิตที่กำลังใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดแผลให้โต้งอยู่ ร่างสูงพยักหน้ารับโดยที่ไม่เปิดปากพูด ทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความกดดัน
“แล้วก่อนจะหลับน้องได้บอกอะไรบ้างไหม กูเค้นถามจากไอ้เชี้ยนี่แม่งก็ไม่ยอมบอก เอาแต่เงียบอย่างเดียว”
คนอารมณ์ร้อนบุ้ยหน้าไปทางโต้งที่ทำหน้าเซ็งๆเมื่อโดนพูดถึงแบบนั้น
“ไม่...เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว”
“...”
“ไอ้โต้ง มึงบอกกูมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คณิตยอมผันตัวมาเป็นพวกเดียวกับขิงเพราะความอยากรู้มันสุมอยู่ในอกเขาจนไม่อยากรักษามาดนิ่งไว้อีกแล้ว คนถูกถามก็ทำหน้าลำบากใจ โต้งสบตาเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังจ้องมองมาแต่ก็ไม่เห็นทางรอดสำหรับเรื่องนี้เลย
“กูก็ไม่รู้อะไรมาก...แต่เด็กนั่นมันมาหาเรื่องปูนก่อน”
“ยังไงวะ”
“ทั้งสองคนคงรู้จักกันเพราะมันเดินมาทักปูนก่อน แต่ดูแล้วปูนไม่น่าจะอยากรู้จักมันเท่าไหร่...น้องสั่นมากตอนที่เห็นมัน น้องดูอึ้งจนพูดไม่ออกจนกระทั่งไอ้เชี้ยนั่นมัน...”
“มันทำไม”
คณิตถามขึ้นเมื่อจู่ๆโต้งก็หยุดคำพูดของตัวเองไป จิตแพทย์หนุ่มไม่อยากพูดต่อแต่พอโดนเพื่อนจ้องมาอย่างคาดคั้นก็รู้ว่าไม่อยากปิดบังได้
“มันคงนึกว่ากูกับปูนมีอะไรกัน แล้วมันก็บอกว่า...มันคือลูกค้าคนแรกของปูน”
“...!!”
อาการรอบตัวเย็นขึ้นอย่างฉับพลัน ทุกคนได้แต่นั่งนิ่ง แม้แต่ขิงที่รู้เรื่องน้อยที่สุดก็ไม่กล้าพูดอะไรทั้งที่ในใจจินตนาการไปร้อยแปด ส่วนคณิตกำลังรู้สึกเหมือนมีคนเอาค้อนหนักๆมาทุบเข้าที่กลางหัว
“ไอ้คณิต...มึงโอเคไหม”
โต้งถามเพื่อนด้วยความห่วงใย ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆเขาก็พอจะเดาเหตุการณ์บางอย่างได้ เพียงแต่มันหนักหนาเกินกว่าจะพูด และมันก็เป็นเรื่องระหว่างคนสองคนที่คนนอกอย่างพวกเขาไม่สมควรเข้าไปเกี่ยว
“กูโอเค...มั้ง อยากตอบมึงแบบนั้นเหมือนกัน”
คณิตอ่อนล้าเกินกว่าจะยิ้มให้เพื่อนได้อย่างสนิทใจ เขาก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองก่อนจะหลับตาลงเมื่อเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงนี้ไหลกลับเข้ามาในหัวจนเขาไม่อาจตั้งรับได้ทัน
“กูเข้าใจ แต่ถึงจะไม่โอเคมึงก็ต้องมีสตินะเว้ย อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม”
โต้งเอ่ยปากเตือนเพราะกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้คณิตน็อตหลุดจนเผลอทำร้ายจิตใจคนที่บอบช้ำพออยู่แล้วอย่างปูน ถึงเขาจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแต่เขาก็พอมองออกว่าคณิตรู้สึกกับปูนแบบไหน แต่สำหรับบางครั้งหัวใจที่มีไว้รักและสมองที่มีไว้คิดก็ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“กูถามมึงอย่างเดียว...มึงรู้มาก่อนแล้วรึเปล่า”
ขิงที่เริ่มมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดถามขึ้นด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความลำบากใจจนคณิตสังเกตได้
“รู้...กูกับปูน...เราก็รู้จักกันเพราะแบบนั้น”
คำตอบของคณิตทำเอาขิงถอนหายใจออกมายาวๆ ขิงหันมาหาโต้งเพื่อขอให้เพื่อนที่ดูแล้วน่าจะคุมสติได้ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายพูดต่อ
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่าวะ โอเคว่ามันก็คงเสียความรู้สึกกันบ้าง แต่ในเมื่อก่อนมึงจะคบกันมึงก็รู้เรื่องของน้องเขาอยู่แล้ว อดีตมันก็คืออดีตนะเว้ยคณิต...ถ้าน้องเขารู้ว่าวันนี้จะได้เจอมึงก็เชื่อว่าปูนจะไม่ทำ”
“กูรู้ กูคิดว่าตัวเองน่าจะเข้าใจและก้าวผ่านอดีตของปูนไปได้ แต่มัน...ก็เหนื่อยเหลือเกินว่ะ...ทั้งกูแล้วก็เขา”
“...”
“มันต้องมีอีกกี่ครั้งวะที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นอีก ถึงแม้ว่าปูนจะเลิกทำไปแล้วแต่ผลจากอดีตพวกนั้นก็จะย้อนกลับมาทำร้ายมันอยู่ดี ครั้งนี้ปูนโดนทำร้ายแล้วถ้าครั้งหน้าคนพวกนั้นทำรุนแรงกว่านี้ล่ะกูจะทำยังไง...กูปกป้องเขาไม่ได้ แม้แต่จะห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากก็ยังทำไม่ได้...กูคิดจนไม่อยากจะคิดแล้วว่ะว่าตัวเองควรจะทำยังไง...กูเหนื่อยพวกมึงเข้าใจไหม”
ทั้งโต้งและขิงได้แต่ฟังโดยที่ไม่รู้จะพูดอะไร ความใจกว้างเป็นข้อดีของคณิต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีขีดจำกัดด้วยกันทั้งนั้น ขิงเข้าไปกอดคอเพื่อนอย่างปลอบใจส่วนโต้งก็นั่งแหงนหน้าขึ้นไปมองตรงชั้นสอง
พวกมึงต้องเข้มแข็งนะคณิต
ทั้งมึงแล้วก็ปูนเลย...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
บอกได้อย่างเดียวว่า Be Strong ทั้งป๋าและปูนเลยนะ ส่วนพี่เมษทิ้งระเบิดไว้ก็ลอยตัวเลยชิชิ ต้องชดใช้ๆ =_=^^^^
ช่วงนี้เช่มาช้าหน่อยนะคับ งานเยอะหลายสิ่ง ขอบคุณที่รอแล้วก็ขอโทษด้วยนะคับ :hao5:
-
เมษน่ะ เด่งโด่งออกไปจากเรื่องได้เลยยิ่งดีค่ะ
ไม่ได้ให้ปูนเอาคืนบ้างก็ช่างปะไร อย่าได้มาสร้างปัญหาอีกก็พอ :m16:
แต่ตอนนี้ :hao5: เค้าหน่วง อึดอัด
-
น้องปูนยืนฟังอยู่ที่ชั้นสองใช่มั้ย T_____T
โอ้ยยย ปมเยอะมากพันกันอีรุงตุงนังไปหมด
ไหนจะอีตาเมษาก็เข้ามาผสมโรงอีก
ทั้งหมดนี่เพราะไม่เปิดอกคุยกันไง มันเลยรอวันระเบิด
เสร็จเรื่องนี้ไปสเดาะเคราะห์กันนะทั้งสองคนเลย ล้างซวย 55555
ปล. รักพี่หมอโต้งพี่ขิงมากเลย จริงๆต้องบอกว่ารักเพื่อนพี่คณิตทุกคนอ่ะ
กลุ่มนี้เค้ารักกันเนอะ ปรึกษาก็ได้ แมนๆเตะต่อยก็ใจถึงทุกคนเลย
ปล2. รักเรื่องนี้ .... มากกกกกกกกกกก ( จริงๆนะ : p )
-
น้องปูนแอบยืนฟังอยู่ด้วยรึเปล่าอ่า แงงงง
สงสารป๋า สงสารน้อง แต่มันก็เป็นผลพวงจากอดีตที่ย้อนกลับมาทำร้าย ถ้าป๋าและน้องเข้มแข็งพอ มันก็จะผ่านพ้นไป :hao5:
-
อดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรายังเสียดายปูนไม่น่าทำอย่างนั้นเลย เห็นใจป๋านะถึงแม้จะเป็นคนดีและใจกว้างแค่ไหน แต่เจออย่างนี้บ่อยๆ ท้อได้เหมือนกัน ขอให้ทั้งสองผ่านไปได้ เพราะเราเชื่อว่าต้องมีอะไรที่แรงกว่านี้อีกแน่นอน ผลร้ายที่ปูนเคยทำคงเหมือนกับกระจกสะท้อนกลับและโดมิโน่ที่ล้มไม่สิ้นสุด เข้มแข็งๆ สู้ๆ :L2:
-
ลูกค้าคนแรกนั่น ท่าทางจะมีอะไรมากไปกว่าการเป็นลูกค้าคนแรก
นังก้อยที่ว่านั่นก็จองเวรจองกรรมกันเหลือเกินนะ
เมษนี่ก็จงใจหยอด ขอให้สะดุดสิ่งที่ตัวเองหยอดไว้ด้วยเถอะ
ความหลังของปูนมันเลี่ยงไม่ได้หรอกค่ะ
ถ้ายอมรับมันไม่ได้ก็ไปต่อข้างหน้าไม่ได้กันทั้งคู่
เหนื่อยนักก็ต้องพัก ก็ต้องหยุด
ต้องถามตัวเองว่ารักอีกฝ่ายมากพอที่จะแบกรับสิ่งนี้ด้วยกันได้หรือไม่
ปูนน่าจะฟังอยู่ ได้ยินแล้วก็น่าจะหนี
-
:pig4: :pig4:
-
อย่างที่เคยเม้นได้ไปแล้ว...
ชีวิตคู่จะไปต่อไม่ได้ถ้าทั้งสองคนไม่ก้าวไปด้วยกัน
นอกจากคำว่าเรียนรู้และอภัย ต้องมีคำว่ายอมรับและเข้าใจด้วย
เราหวังว่าคู่ป๋าปูนจะผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดีด้วยกัน
นี่ก็จะสามสิบตอนแล้วนะ ทั้งคู่ควรเปิดเผยปมอดีตและความรู้สึกในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ได้แล้ว
คือเรื่องมันมาไกลขนาดนี้แล้ว ถ้าจะปิดไว้แล้วเดินเรื่องต่อเราก็ว่าสุดท้ายปมมันจะพันกันเยอะเกินไปนะ
ถ้าเยอะแล้วมันได้อรรถรสก็ดีไป แต่นิยายบางเรื่องเราอ่านไปอ่านมาปรากฏว่าปมเยอะขึ้นเรื่อยๆ
แถมยังไม่ยอมเฉลย ไประเบิดตู้ม! ดราม่าเอาตอนสองตอนท้าย
กลายเป็นว่าคนอ่านอ่านแล้วไม่อินบ้าง เฟลบ้าง บ่นว่ามันเยอะ มันเกินไปบ้าง
บางคนก็งงๆปมเยอะจนลืมไปบ้างก็มี ซึ่งมันไม่ดีเลยจริงๆนะ
หวังว่าเรื่องนี้คงจะไม่ทำแบบนั้นเช่นกัน..
หวังว่าจะได้เห็นป๋าเปิดอกคุยและแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่ในเร็ววันนะจ๊ะ
-
รักกัน แต่สองคนนี้ยังต้องทำความเข้่าใจกันอีกเยอะ
-
อยากฟาดเมษแรงๆ หมั่นไส้ :katai1:
-
เพิ่งเคยอ่านเรื่องนี้. แต่บอกเลยว่าชอบมากกกกกกกกก
-
:katai5:
-
ทำไมจู่ๆ เรื่องหลายเรื่องก็เข้ามาหาทั้งคู่เลยล่ะ เมษร้ายนะ สร้างเรื่องให้พี่นิดคิดมากอีกแล้วยังมาเจอลูกค้าคนแรกของปูนอีก น่าสงสารปู้นจัง รออ่านต่อนะคะ
-
เจ็บหัวใจ
สงสารปูนอ่ะ
-
แตกที่ 29
…หนี...
ปูนตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการปวดไปทั้งตัวโดยเฉพาะใบหน้าที่บวมช้ำขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดเท่ากับการที่ไม่ได้เห็นคณิตนอนอยู่ข้างกันในตอนเช้า แม้ว่าขิงและโต้งที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ชั้นหนึ่งของบ้านจะบอกกับปูนว่าคณิตถูกพ่อเรียกให้ไปคุยงานด้วยตั้งแต่เช้าก็เถอะ
“ปูนอยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่ทำให้”
ขิงแสดงน้ำใจกับปูนด้วยความเป็นห่วง เพราะคนที่เคยมีรอยยิ้มเสมอบัดนี้กลับมีเพียงความเศร้าปรากฏอยู่บนนั้น ปูนส่ายหน้าน้อยๆให้เพื่อนของคนรัก แต่โต้งที่นั่งอยู่ข้างๆกันกลับหันไปบอกให้ขิงทำอาหารอ่อนๆมาให้เขาแทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกปูน ถึงรสชาติมันจะห่วยแต่ก็น่าจะกินได้”
โต้งพูดติดตลกหวังให้ปูนหัวเราะ แต่กลายเป็นว่ายามที่คนตัวเล็กอยู่กับเขาสองต่อสองเจ้าตัวดูเหมือนว่าจะเกร็งมากกว่าเดิมเสียอีก ถึงจะไม่บอกแต่ชายหนุ่มก็เดาออกว่ามันเป็นเพราะอะไร เขาจึงยกมือขึ้นลูบหัวของปูนเบาๆ
“โดนต่อยนิดเดียวถึงกับหงอเลยหรอเรา เจ็บมากรึเปล่า”
“พี่...ไม่รังเกียจผมหรอครับ”
เขาไม่คิดว่าปูนจะพูดออกมาตรงๆ แต่พอดูจากมือที่กำกันไว้แน่นโต้งก็รู้ว่าปูนกดดันแค่ไหนตอนที่ทำมัน
“จะให้รังเกียจเรื่องอะไรล่ะ พี่คิดไม่เห็นออก”
“ก็เมื่อวาน...”
“เมื่อวานพี่รู้แค่ไอ้เวรนั่นเข้ามาหาเรื่องเราก่อน ปูนแค่ทนไม่ไหวเลยต่อยมันไปไม่เห็นน่ารังเกียจตรงไหน แต่ถ้าโกรธน่ะใช่ พี่โกรธที่ปูนไม่ดูแลตัวเอง”
ปูนขบริมฝีปากของตัวเองเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่จงใจละเหตุการณ์เมื่อวานออกไป เขารู้ว่าโต้งรู้...แต่โต้งก็ไม่พูดถึงมันเพื่อให้ปูนสบายใจ ร่างเล็กทั้งรู้สึกตื้นตันและโล่งใจแบบที่ไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้ นอกจากการพยายามฝืนยิ้มให้โต้งอย่างสุดความสามารถ
“ขอบคุณนะครับพี่โต้ง”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอยากตอบแทนเรื่องเมื่อวานก็ขอให้ปูนดูแลตัวเองให้มากๆแล้วกัน อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอนะ”
ปูนยิ้มรับแม้จะไม่เชื่อในคำพูดนั้นเท่าไหร่ การโคจรกลับมาพบกับคนคนนั้นเมื่อวานทำให้เส้นทางที่เขาตั้งใจจะเดินถูกสั่นคลอนเสียจนนึกหวั่น แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็ไม่มีทางให้เดินกลับไปอีกแล้ว...
“ครับ...ผมจะพยายาม”
“ดีมาก แล้วก็อย่าลืมนะว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ นี่เบอร์โทรศัพท์พี่ส่วนเบอร์นี้ถ้ามีปัญหาหนักๆก็ลองโทรไปนะ”
ร่างเล็กเลิกคิ้วขึ้นเมื่อโต้งยื่นนามบัตรมาให้เขาถึงสองใบ แต่ปูนก็พับความสงสัยเก็บไว้แล้วบอกขอบคุณชายหนุ่มอีกครั้งรวมถึงขิงที่อุตส่าห์ทำอาหารเช้าให้กับเขา
พอเข้าช่วงสายทั้งสองคนก็ขอตัวกลับกรุงเทพ ตอนแรกปูนคิดว่าเพราะเรื่องของตัวเองทำให้ทริปนี้ล่มแต่โต้งก็ยืนยันว่าพวกเขามีงานด่วนเข้ามาจริงๆเท่านั้นทำให้บ้านหลังน้อยมีเพียงแค่ปูนที่อาศัยอยู่ในตอนนี้
‘ฉันไปทำเรื่องหยุดไว้ให้แล้ว รออยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวบ่ายๆเข้าไปหา’
ปูนอ่านข้อความที่คณิตส่งมาให้ซ้ำไปซ้ำมา เขาไม่กล้าถามโต้งว่าได้บอกคณิตเรื่องเมื่อวานไหมร่างเล็กจึงไม่มั่นใจว่าคนรักจะทุกอย่างรึยัง ปูนพยายามทำงานบ้านเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากแต่มันก็ทำได้ยากเมื่อความเงียบรอบกายกลั่นกร่อนความมั่นใจของเขาลงช้าๆ แต่แล้วหัวใจที่ฟีบเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมก็พองโตขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงรถที่คุ้นเคยดังขึ้น
“ป๋า”
ปูนก้าวยาวๆไปหาคณิตที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถพร้อมกับถือถุงอาหารจากโรงแรมไว้ในมือ ร่างสูงยังไม่ได้พูดอะไรนอกจากบอกให้ปูนกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับให้หยิบจานและชามสำหรับอาหารที่เขาหามา
“แผลเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม”
คณิตลูบแก้มของปูนเบาๆขณะที่พวกเขากำลังนั่งตรงข้ามกันอยู่บนโต๊ะอาหาร ปูนส่ายหน้าแรงๆทั้งที่มีน้ำรื้นในดวงตา แค่ได้ยินว่าคนรักยังถามไถ่ด้วยความห่วงใยปูนก็อยากจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
“ไม่เจ็บแล้ว แผลนิดเดียวเอง”
คณิตไม่อยากเชื่อมันเท่าไหร่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามแล้วปล่อยให้ปูนได้กินอาหารตรงหน้าให้อิ่มท้อง มันเป็นโจ้กปลาที่เขาสั่งให้พ่อครัวที่โรงแรมทำมาให้เป็นพิเศษ แต่อันที่จริงแค่บอกว่าจะนำมาให้ปูนพวกคนครัวทั้งหลายต่างก็กรูเข้ามาถามเขาด้วยความเป็นห่วงว่าปูนเป็นอะไร ทำให้โจ้กในชามของปูนมีเนื้อปลาเยอะมากจนแทบจะมองไม่เห็นข้าว
“ป๋าเป็นอะไรหรอ”
ปูนถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าคณิตเอาแต่มองหน้าเขาตลอดตั้งแต่มาถึง จนร่างเล็กรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“กำลังคิดอยู่น่ะว่าควรถามเธอเรื่องเมื่อวานดีไหม”
“...!!”
ปูนคิดไม่ถึงว่าคณิตที่ใจดีกับเขาเสมอจะถามออกมาตรงๆจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว รสเกลืออ่อนๆในปากไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสดชื่นอีกแล้ว กลับกันปูนรู้สึกเหมือนกับว่าอาหารที่กินเข้าไปเริ่มจะตีย้อนกลับขึ้นมา
“คือ...ผม...ผม...”
“ฉันอยากจะทำเป็นไม่สนใจมัน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ขอโทษนะ”
“...”
“แต่ฉันอยากฟังความจริงทุกอย่างจากปากของเธอมากกว่าคนอื่นจริงๆ”
คณิตวางมือของตนลงบนมือของปูนแล้วมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายหวังให้ความหนักแน่นที่เขาเพียรสร้างมันขึ้นมาใหม่หลังจากที่มันพังลามาเมื่อคืน แน่นอนว่าเขายังเหนื่อยแต่คณิตก็ไม่อยากให้ความเหนื่อยของตัวเองทำให้คนตรงหน้าเสียใจ เขาจึงตัดสินใจจะลองดูอีกสักครั้ง
แต่สิ่งที่ปูนตอบเขา...กลับเป็นการชักมือของตัวเองกลับ
“ผม...แค่ไม่ชอบหน้ามันเฉยๆ มันเข้ามาแซวแถมหาว่าผมกับพี่โต้งเป็นอะไรกันอีกเลยควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้”
คำตอบของปูนทำให้คณิตตัวชา ยิ่งเมื่อคนตัวเล็กเสหน้าหนีไปมองอย่างอื่นที่ไม่ใช่เขาคณิตยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าโอกาสที่เขาสร้างให้กับปูนถูกทิ้งไปอย่างไม่ใยดี...ปูนโกหก...ปูนโกหกเขา
“ขอโทษนะที่ทำให้ป๋าเป็นห่วง แถมพี่โต้งยังมาเจ็บตัวเพราะผมอีก...ผมสัญญานะว่ามันจะไม่มีครั้งหน้า ผมจะดูแลตัวเองดีๆเหมือนที่ป๋าเคยบอกไง”
ปูนยิ้มให้คณิตก่อนจะลุกขึ้นน้ำโจ้กที่พร่องไปแค่นิดเดียวเททิ้งลงถังขยะแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ถูกทิ้งไปนั้นไม่ได้มีเพียงแค่อาหารที่ไม่เป็นที่ต้องการ
“ก็ดี...ถ้าเธอยืนยันอย่างนั้น”
“...”
“ดูแลตัวเองให้มากๆล่ะ เพราะช่วงนี้ฉันคงไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่”
คณิตลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ปูนที่เพิ่งตั้งสติได้หลังจากอึ้งในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินรีบวิ่งตามไป จนเห็นว่าคณิตกำลังทำอะไร
“ป๋าเก็บของทำไม ป๋าจะไปไหน”
ร่างเล็กเข้าไปยื้อกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่มีเสื้อผ้าของคณิตถูกใส่อยู่ในนั้น และเพราะความกลัวที่จู่โจมเข้ามาทำให้ปูนกะแรงไม่ถูกจนทั้งกระเป๋าและข้าวของภายในนั้นหล่นกระจายเต็มพื้น
ทุกอย่างหยุดนิ่งไม่มีใครคิดจะขยับจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจและเว้นวอน
คณิตอยากให้ปูนพูด
แต่ปูนไม่อยากให้คณิตถาม
“เมื่อเช้าฉันเข้าไปคุยกับป๊ามา ป๊าบอกว่าให้ฉันเร่งทำโปรเจคที่สัตหีบให้เสร็จก่อนที่ไอ้เมษจะทำได้ ฉันเลยต้องกลับไปนอนที่โรงแรม”
“ทำไมต้องไปนอนที่นั่นล่ะ! กลางวันป๋าไปทำงานแล้วกลางคืนก็กลับมานอนที่นี่สิ มันไม่ได้ไกลจากกันมากสักหน่อย ไม่เห็นจำเป็นต้องไปค้างเลย!”
“งานนี้มันสำคัญมาก ถ้าฉันเตรียมข้อมูลไม่ดีสิ่งที่เราพยายามทำกันมาก็จะเสียเปล่า...ฉันมีเรื่องต้องรับผิดชอบนะปูน ช่วยเข้าใจหน่อยเถอะ”
เสียงถอนหายใจของร่างสูงคมยิ่งกว่าคมมีดใดๆกำลังบาดหัวใจของปูนช้าๆ ปูนยืนมองคนรักค่อยๆเก็บเสื้อผ้าและของทุกอย่างลงไปในกระเป๋าอีกครั้ง ทั้งเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินที่คณิตชอบใส่ กางเกงขายาวที่ปูนว่ามันเหมาะกับคณิตมากๆ ชุดนอนตัวโปรด และนาฬิกาสีน้ำเงิน...ที่แม้ทีแรกคณิตทำท่าลังเลที่จะหยิบมันขึ้นมาแต่สุดท้ายร่างสูงก็หยิบมันใส่ไปในนั้นก่อนจะปิดกระเป๋า
“ถ้าพอมีเวลาว่างฉันจะกลับมา เธอเองถ้าแผลหายดีแล้วก็อย่าลืมกลับไปเรียนล่ะ งานที่โรงแรมก็เหมือนกัน”
“...”
“ฉันไปล่ะ”
ทันทีที่สิ้นคำคณิตก็หมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปจากห้องแต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยมือเล็กๆของคนที่พยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องไห้ มือของปูนสั่น...เหมือนกับที่หัวใจของคณิตสั่น แต่ถึงอย่างนั้นการจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วโผเข้าหากันเหมือนกาลก่อนก็ทำได้ยากเต็มที
“อย่าหนีได้ไหม...ขอร้องล่ะ...อย่าทำแบบนี้”
“...”
“พี่นิด...ปูนขอร้อง”
คณิตวางกระเป๋าในมือของตัวเองลงแล้วประคองใบหน้าของปูนไว้ด้วยมือของตัวเองทั้งสองข้าง ทั้งคู่มองตากัน...มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย...ทั้งความรัก...และความไม่เข้าใจ
“ฉันเองก็อยากขอร้องเธอบ้าง”
“...”
“อย่าหนีได้ไหมปูน”
มันเป็นคำถามที่ทั้งคู่ต่างก็ให้คำตอบแก่กันไม่ได้...คณิตเดินไปที่รถของตัวเอง...ส่วนปูนก็ยังคงยืนอยู่บนนั้น...เขาหลับตาลงขณะที่ได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของรถค่อยๆเบาลงไป ปูนไม่อยากร้องไห้แต่ก็ห้ามมันไม่ไหว
ทำไม...มันถึงเจ็บขนาดนี้
.
.
.
.
.
.
การที่คณิตไม่อยู่บ้านไม่ได้ทำให้ชีวิตประจำวันของปูนเปลี่ยนไป เขายังคงต้องตื่นเช้ามาทำงานบ้าน สายหน่อยก็ออกไปเรียน ตกเย็นก็ไปทำงานก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มๆ เพียงแต่ทุกการกระทำนั้นมีบางสิ่งที่ขาดหาย
ปูนแทบจะไม่ยิ้ม...ความสดใสของปูนมันหายไป
อิงอรมองเด็กหนุ่มที่เธอเอ็นดูด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะพฤติกรรมที่แปลกไปของปูนมันเกิดขึ้นพร้อมๆกับอาการบ้างานของคณิตและการย้ายกลับเข้ามาพักที่โรงแรมแม้จะมีเหตุผลเรื่องโปรเจ็คใหม่เป็นข้ออ้าง แต่เธอก็รู้ว่าหนทางรักของคนทั้งคู่คงไม่ราบเรียบดั่งก่อนอีกแล้ว
“ปูนกินขนมไหม พี่เอามากฝาก”
หญิงสาวยื่นคัพเค้กอันจิ๋วให้กับปูนพร้อมกับโกโก้ร้อนๆที่น่าจะทำให้ร่างเล็กรู้สึกดีขึ้น ปูนยิ้มรับไมตรีของพี่สาวคนสนิทโดยไม่อิดออดที่จะรับเค้กนั่นมา
“ขอบคุณนะครับ”
“จ้า ไม่เป็นไร ถ้าปูนอยากได้อีกก็บอกนะ พี่ได้มาเพียบเลย”
อิงอรว่าพลางยกกล่องเค้กในมือให้ดู ไปๆมาๆคนทั้งคู่ก็นั่งกินเค้กเหล่านั้นด้วยกันท่ามกลางกองเอกสารที่วันนี้ปูนถูกมอบหมายให้มาช่วยอิงอรจัดการ เธอพยายามชวนปูนคุยเรื่องสนุกๆและพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องคนที่กำลังประชุมอยู่ในอีกห้อง เธอไม่รู้หรอกว่าทั้งคู่มีปัญหาอะไรกัน อิงอรแค่อยากให้ปูนยิ้มอย่างเคย
“กินเยอะขนาดนี้ ผมคงกินข้าวเย็นไม่ลงแหงๆ”
“ไม่ได้ๆ กินขนมแล้วก็ต้องกินข้าวด้วย ปูนผอมไปแล้วนะรู้รึเปล่า”
หญิงสาวยกแขนของตัวเองมาเทียบกับของปูน ก่อนจะทำหน้าเศร้าเมื่อเห็นว่ามันไม่ต่างกันเลยสักนิด แบบนี้มันแปลว่าเธออ้วนหรือปูนผอมไปล่ะเนี่ย
“ครับผม งั้นเย็นนี้พี่อิงไปกินกับผมนะ ผมอยากกินสุกี้”
“ได้เลย งั้นเราเร่งมือกันเถอะ ถ้าเย็นมากคนจะเยอะ”
ปูนยิ้มรับแล้วเริ่มลงมือเคลียร์งานตรงหน้าอีกครั้ง เขารับหน้าที่ตรวจความถูกต้องของเอกสารและเรียงลำดับมันใหม่ในบางจุดที่พอทำได้ ส่วนอิงอรก็เดินเข้าเดินออก คอยดูปูนบ้าง แวะไปเอาเอกสารจากแผนกอื่นบ้าง เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนปูนรู้สึกว่าเค้กที่อิงอรให้มาถูกย่อยไปหมดแล้ว
“ปูน ว่างงานก่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวไปกินข้าวกันก่อน”
เด็กหนุ่มมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ เขาหิวจนท้องร้องแต่ก็ยังไม่อยากทิ้งงานไป แต่ดูเหมือนว่าอิงอรจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เธอจึงส่ายหน้าแล้วตรงเข้ามาฉุดปูนให้ลุกขึ้น
“ไปกินก่อนเดี๋ยวค่อยกลับมาทำ อาจจะไม่ได้กินสุกี้นะ เดี๋ยวเสียเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินอะไรก็ได้”
ปูนยอมเดินตามอิงอรมาโดยที่ระหว่างทางนั้นเขาต้องเดินผ่านห้องประชุมที่ยังมีทีมงานนั่งกันอยู่เต็มห้อง ปูนไม่รู้ว่ามันเรียกว่าโชคดีได้ไหมที่ผนังของห้องนี้เป็นกระจกทำให้เขาสามารถมองเห็นคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะซึ่งกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับเอกสารหลายใบในมือจนไม่ทันได้สังเกตเขา
ร่างเล็กไม่อาจสะลัดภาพของคณิตออกไปจากหัวได้เลยแม้แต่ตอนที่เขากำลังตักอาหารเข้าปากอยู่ อิงอรชวนปูนคุยไปเรื่อยๆ ปูนก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างเพราะในความคิดของร่างเล็กนั้นมีแต่เรื่องของคนที่ไม่กลับมานอนบ้านเกือบอาทิตย์แล้ว
“พี่อิงครับ โปรเจ็คที่สัตหีบ...อีกนานไหมครับกว่าจะเสร็จ”
ปูนลืมตัวถามมันออกไป เพราะความอยากรู้มันล้นทะลักออกมา อิงอรมองปูนอย่างสงสารเธอวางช้อนในมือของตัวเองลงก่อนจะจับมือของปูนไว้
“คิดถึงหรอ”
“...!!”
“คณิตน่ะ คิดถึงใช่ไหม”
“...”
“...”
“ครับ...คิดถึง...คิดถึงมาก”
ปูนยอมรับออกมาอย่างจำนนพร้อมกันนั้นก็เผยแววตาที่แสดงความอ่อนล้าอย่างถึงที่สุด เขาได้ยินเสียงหญิงสาวตรงหน้าถอนหายใจ ก่อนเธอจะลุกออกไปแล้วกลับมาพร้อมกับกระดาษใบหนึ่ง
“พวกที่ประชุมกันอยู่คงยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน สั่งไปเผื่อดีกว่าเนอะ”
“...!!”
“ปูนว่า เราจะสั่งอะไรให้พวกเขาดี?”
ไม่ต้องรอให้ถามซ้ำสอง ปูนรีบช่วยอิงอรลิสรายการอาหารที่หลากหลายพอสำหรับทีมงานที่กำลังพยายามกันอยู่ แต่พอถึงคิวของคนเป็นหัวหน้าปูนกลับขอละเอาไว้แล้วเดินดุ่มๆไปร้านผัดไทยใกล้ๆกัน ร่างเล็กสั่งผัดไทยกุ้งสดสองห่อ แถมด้วยขนมครกจากร้านข้างๆกันทำให้รวมๆแล้วถุงของคณิตมันใหญ่เกินหน้าเกินตาจากของชาวบ้าน แต่ช่างประไรล่ะ ถ้าทำได้เขาอยากลงมือทำให้เองด้วยซ้ำ
พออาหารจากส่วนของอิงอรทำเสร็จพวกเขาก็รีบกลับไปยังโรงแรมโดยใช้รถของปูนที่คณิตทิ้งไว้ให้ใช้ ปูนอาสาเป็นคนจัดการเรื่องอาหารทุกอย่าง อิงอรก็วางใจปล่อยให้ร่างเล็กทำส่วนเธอก็ไปดูส่วนงานของตัวเองต่อ
มีพนักงานสองสามคนเข้ามาช่วยปูนเทอาหารจากกล่องใส่ลงไปในจานแล้วลำเลียงมันขึ้นรถเข็นเพื่อนำไปยังห้องประชุมที่ดูเหมือนแต่ละคนลืมเวลากันไปหมดแล้ว ยกเว้นแต่ส่วนของคณิตที่ปูนใช้เวลาจัดมันนานเป็นพิเศษ แต่พอถึงเวลานำมันไปเสิร์ฟร่างเล็กดันเกิดอาการลังเลจนได้แต่ยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง เขามองทีมงานแต่ละคนกำลังลงมือทานอาหารในจานของตัวเองยกเว้นแต่คณิตที่ยังไม่มีแม้แต่จานเปล่าให้เห็น
“อ้าวปูน เสร็จแล้วก็ยกเข้าไปสิ เหลือของคุณคณิตคนเดียวแล้วเนี่ย”
พนักงานที่เข้ามาช่วยปูนยกอาหารบอกกับเด็กหนุ่มที่มายืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ยอมไปไหน เขาเห็นปูนทำหน้าลังเลใจก่อนร่างเล็กจะคว้าแขนของคนอายุมากกว่าไว้แล้วเอ่ยปากไหว้วาน
“พี่เอาเข้าไปให้คุณคณิตเขาหน่อยได้ไหม ผมปวดท้องน่ะ”
“ห๊ะ?”
“นะพี่ ผมปวดท้องจริงๆ วานหน่อยนะครับ”
ปูนรีบยัดถาดอาหารใส่มืออีกฝ่ายแล้ววิ่งออกไปจากบริเวณหน้าห้องประชุมแทบจะทันที คนถูกวานส่ายหัวอย่างอ่อนใจพรางคิดว่าปูนคงปวดหนักจริงๆก่อนจะเข้าไปในห้องที่ถึงแม้จะเป็นเวลากินข้าวเสียงคุยก็ยังเจื้อยแจ้ว
“ข้าวมาแล้วครับคุณคณิต ขอโทษนะครับที่ให้รอนาน”
“ขอบคุณมากครับ”
คณิตละสายตาจากงานขอตัวเองมาบอกขอบคุณแล้วเอื้อมมือไปรับอาหารของตัวเองมาก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นความผิดปกติบางอย่าง...อาหารของคนอื่นเป็นเมนูง่ายๆที่หาได้จากร้านอาหารตามสั่ง แต่อาหารของคณิตกลับเป็นผัดไทยกุ้งสดที่เยอะเป็นพิเศษ แถมมีขนมครกมาให้ด้วย
“ทำไมของผมไม่เหมือนคนอื่นล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่ใช่คนจัด”
พนักงานคนนั้นตอบกลับมาอย่างซื่อๆก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานของตัวเองทิ้งให้เจ้านายที่ยังงงไม่หายนั่งงงต่อไป ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันมากก็ได้แต่ทุกๆครั้งที่เห็นผัดไทยเขาก็มักจะคิดถึงหน้าของใครบางคน
เขาคิดถึงปูน...ที่ไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว
คณิตพยายามระงับความคิดถึงในอกของตัวเองแล้วหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมจะจัดการอาหารตรงหน้าให้หมด แต่จู่ๆหางตาของเขาก็สังเกตเห็นอะไรแปลกๆอีกครั้ง แต่คราวนี้มันอยู่ที่อีกฝากของกำแพงกระจก ที่กำลังมีหัวของใครสักคนผลุบๆโผล่ๆเหมือนกับกำลังแอบมองมาทางนี้
ผมแบบนั้น...สีผมแบบนั้น...เป็นปูนไม่ผิดแน่
ร่างสูงได้คำตอบทันทีว่าทำไมอาหารในจานของเขาถึงไม่เหมือนกับคนอื่น รอยยิ้มบางๆถูกจุดขึ้นในรอบหลายวันก่อนที่คณิตจะลงมือทานอาหารด้วยความรู้สึกที่พิเศษกว่าทุกครั้ง
ส่วนปูนที่แกล้งบอกว่าจะเข้าไปห้องน้ำกลับวิ่งกลับมาแล้วแอบมองคนที่ตัวเองรักอยู่ห่างๆว่าคณิตจะกินอาหารที่ตัวเองไปซื้อมาให้ไหม แล้วร่างเล็กก็ระเบิดรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคณิตกำลังกินผัดไทยอย่างน่าอร่อย แถมยิ้มออกมาด้วย
ตื๊ดๆ
เสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมแชทดังขึ้นทำให้ปูนต้องยอมละสายตาจากภาพตรงหน้า กลับมามองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง แล้วเขาก็รีบเปิดเข้าไปแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนที่ส่งข้อความเข้ามา
‘ขอบใจนะ’
‘สติ๊กเกอร์หมีกินเบอร์เกอร์’
ปูนรู้สึกเหมือนหัวใจที่แล้งน้ำมาหลายวันกำลังได้รับสายฝนที่เย็นฉ่ำเพียงแค่เพราะข้อความสั้นๆสองข้อความนี้ เขาอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาแล้วแคปมันเก็บไว้ก่อนที่ปูนจะเดินออกมายืนอยู่หน้ากำแพงอย่างเต็มตัว
คนสองคนที่หนีปัญหาได้สบตากันอีกครั้งในที่สุด คณิตมองมาที่ปูนนิ่งๆ ส่วนปูนก็ทำได้แต่ส่งยิ้มให้แล้วพูดออกมาโดยไม่มีเสียงว่า ‘อยากกลับบ้าน’ โดยหวังว่าอีกคนจะเข้าใจความหมายของมัน
อยากกลับบ้านที่มีคณิตอยู่
อยากกลับบ้านของเรา...
คณิตยังไม่ให้คำตอบใดๆแต่ปูนก็คิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ พวกเขาสร้างบาดแผลให้กันและกันเป็นครั้งแรกในฐานะคนรัก...ปูนเพิ่งตระหนักถึงมันในช่วงเวลาที่เขาต้องอาศัยอยู่คนเดียวในบ้านหลังนั้น ดังนั้นหากคณิตต้องการเวลาเขาก็เข้าใจ และเขาจะรอคอยจนกว่าร่างสูงจะกลับมา
ปูนยิ้มให้คณิตอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังที่ของตัวเอง เขาพยายามจัดการกับความคิดที่วุ่นวายแล้วบอกตัวเองให้โฟกัสกับงานเหมือนอย่างที่คณิตทำ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปิดประตูเข้าไปในห้องเก็บเอกสารเสียงโทรศัพท์ของปูนก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นเสียงเรียกเข้า
‘เบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้’
ปูนมองมันก่อนจะกดตัดสายไปโดยไม่มีความลังเล
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
หลังจากวันนั้นปูนและคณิตก็ส่งข้อความหากันบ่อยขึ้นแม้จะไม่ได้เป็นการพูดคุยที่มีเนื้อหาสาระมากนัก แต่แค่การถามว่ากินข้าวรึยัง ได้นอนบ้างไหม ไม่สบายรึเปล่า ช่องว่างที่ปวดร้าวระหว่างคนทั้งสองคนก็ค่อยๆสมานเข้าด้วยกันทีละน้อยจนปูนหมายมั่นตั้งใจแล้วว่าสุดสัปดาห์นี้เขาจะชวนคนรักให้กลับมานอนบ้าน
ปูนจัดการเก็บกวาดทุกอย่าง แม้จะทำความสะอาดเป็นประจำอยู่แล้วแต่เขาก็ทำใหม่ทั้งหมดเพื่อให้มั่นใจว่าคณิตจะต้องชมเขาเมื่อเห็นว่าปูนดูแลบ้านของเราได้ดีแค่ไหน เขารื้อเสื้อผ้าในตู้มาซัก เปลี่ยนผ้าปูนที่นอนปลอกหมอนหรือแม้แต่ผ้าม่านใหม่ทั้งหมด จนบ้านที่เคยหม่นหมองดูสดใสขึ้นทันตา
ผ้าห่มสีน้ำเงินและผ้าปูที่นอนสีฟ้า...
อยากให้ป๋ากลับมานอนด้วยกันไวๆจัง...
ร่างเล็กตรวจดูความเรียบร้อยเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะตรงไปยังครัวเพื่อตรวจดูของสดสำหรับการทำอาหาร แล้วเขาก็ต้องเจอกับความว่างเปล่า เพราะในระหว่างที่คณิตไม่อยู่ที่นี่ปูนก็แทบจะไม่ทำอาหารกินเลยนอกเสียจากกาแฟที่ช่วยให้เขาตื่นเต็มตาหลังจากที่นอนไม่หลับมาทั้งคืน
ปูนลิสเมนูที่จะทำคร่าวๆแล้วออกไปซื้อวัตถุดิบโดยใช้รถของคณิตคันเดิมที่ตอนนี้ปูนเริ่มชินกับการใช้มัน เขาเลือกที่จะไปซื้อของในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เพราะของที่ต้องการหลายอย่างมันหาจากท้องตลาดไม่ได้ และถึงราคาจะแพงกว่าปูนก็อยากให้คณิตได้กินของที่มีคุณภาพ
ร่างเล็กหยิบเนื้อสัตว์และผักสองสามอย่าง แล้วเริ่มเดินหาเครื่องปรุงเจ้าปัญหาที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ แต่เขาก็ยังลังเลในวินาทีสุดท้ายว่าควรจะเลือกแบบไหนดี ให้ตายสิ เครื่องปรุงของอาหารฝรั่งเนี่ยยุ่งยากชะมัด
“ถ้านายจะทำเมนูเนื้อต้องเลือกขวดสีแดง แต่ถ้าทำเมนูปลาให้เลือกขวดสีน้ำเงิน”
เสียงของผู้หวังดีดังขึ้นจากทางด้านหลัง แต่ปูนคงยินดีกว่านี้ถ้าหากมันไม่ใช่เสียงของคนที่เขาไม่อยากเผชิญหน้า
“คุณเมษา”
เมษาที่อยู่ในชุดสูทเป็นทางการเหมือนทุกครั้งยกยิ้มตามมารยาทให้กับปูนก่อนจะหันไปบอกคนติดตามให้ไปยืนรอที่อื่นก่อน ปูนเตรียมจะเดินหนีเพราะไม่อยากคุยด้วยแต่ก็ถูกคนที่สูงกว่าจับไหล่เอาไว้
“อย่าเพิ่งสิ ไม่เจอกันตั้งนานไม่คิดจะทักเจ้านายเก่าบ้างรึไง”
“สวัสดีครับคุณเมษ...โอเค ผมไปได้รึยัง”
อาการกวนประสาทแบบเด็กๆของปูนไม่ได้ทำให้เมษารู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ ออกจะขบขันเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มมองดูเนื้อแดงในตะกร้าของปูนก่อนจะหวังดีหยิบเครื่องปรุงขวดสีแดงใส่ไปให้
“อย่าทำท่าเหมือนจะกัดกันแบบนั้นสิ ฉันแค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเอง”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
“หึ อะไรกัน เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ครั้งก่อนยังทำท่าเหมือนอยากจะเอาชนะฉันอยู่แท้ๆ”
เมษาหมายถึงท่าทางของปูนในตอนที่กลับมาจากเกาะขามครั้งนั้น ออกจะแปลกใจและผิดหวังอยู่เหมือนกันที่ปูนดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวลง แถมยังพยายามหนีเขาอย่างดื้อๆ
“ผมไม่ต้องอยากเอาชนะคุณหรอก เพราะเราไม่ได้แข่งกันมาตั้งแต่แรก...ผมเป็นแฟนของพี่นิดส่วนคุณเป็นได้แค่เพื่อน ต่อให้ทำยังไงความจริงข้อนี้มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนอยู่ดี”
ปูนให้กำลังใจตัวเองผ่านคำพูดและข่มขวัญเมษาไปพร้อมๆกัน แต่มันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะคนที่ควรโกรธกลับหัวเราะซะอย่างนั้น
“ฮ่าๆ อ่อนหัดจริงๆด้วย ไม่ได้รู้อะไรเลยสินะ”
“รู้...รู้อะไร?”
“ก็รู้ว่าการแข่งขันน่ะ...มันเริ่มไปตั้งนานแล้ว”
เมษาว่าก่อนจะชูข้อมือที่มีนาฬิกาถูกๆในความรู้สึกของเขาให้ปูนดูเป็นการบ่งบอกถึงชัยชนะแรกที่เขาได้มาอย่างง่ายๆ คนตัวเล็กนิ่งค้างก่อนจะกัดฟันกรอดเมื่อได้รับรู้ว่าเมษาทำอะไรลงไปกับของขวัญชิ้นพิเศษที่เขาตั้งใจให้มันกับคณิต...ที่มันถูกทำลายลงไปง่ายๆจนน่าเจ็บใจ
“มึงมันชั่ว”
“ขอบคุณสำหรับคำชม จะตอบแทนให้ด้วยมันแล้วกันนะ”
เมษายิ้มร้ายก่อนจะถอดนาฬิกาเรือนนั้นออกมาแล้วโยนมันเข้าไปในตะกร้าไม่ต่างจากเครื่องปรุงเมื่อครู่เลยสักนิด
“ขอให้คำแนะนำหน่อยแล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดอยู่อย่าง...จริงอยู่ที่เธอเป็นแฟนของคณิต ส่วนฉันเป็นได้แค่เพื่อน แต่ความจริงข้อนี้น่ะมันเป็นจริงได้แค่ครึ่งเดียว”
“...!!”
“ถึงความเป็นเพื่อนระหว่างฉันกับเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่ฐานะคนรักระหว่างเธอกับคณิต...มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”
ปูนรู้สึกเหมือนถูกคำพูดของเมษาตีเข้าแสกหน้า แต่การที่เพิ่งรับรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้คณิตไม่สวมนาฬิกาที่เขาให้มันเกิดจากคนคนนี้ก็ทำให้ความมั่นใจของปูนหายไปกว่าครึ่ง
“เป็นไงล่ะ รู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับคณิตเหมือนฉันบ้างไหม”
“มึงมันน่าสมเพช”
“ฮ่าๆ พูดถึงตัวเองอยู่หรอปูน”
“...”
“จะบอกให้รู้อีกอย่างก็ได้ ว่าต่อให้ไม่มีเธอเข้ามาฉันก็ไม่คิดจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้นกับคณิตอยู่ดี นั่นแหละที่ทำให้เราห่างชั้นกัน...ฉันไม่กลัวว่าคณิตจะเกลียดฉันไหมเพราะถึงเขาเกลียดฉัน คณิตก็จะกลายมาเป็นคู่แข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ฉันมองหา แต่สำหรับเธอมันไม่ใช่ ถ้าเขาเกลียดเธอขึ้นมา...
“...”
“เธอก็จะไม่เหลืออะไรเลย”
ความหวังดีจอมปลอมถูกฝากไว้กลางใจของปูนอย่างไม่อาจปฏิเสธ เมษาบอกลาปูนแต่ปูนกลับไม่ได้ยินเสียงมันเลยแม้แต่น้อยเพราะในหัวของเขากำลังคิดภาพความโดดเดี่ยวของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ปูนเห็นภาพของเมษากำลังเดินจากไปแล้วเขาก็เผลอคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายไว้โดยไม่ได้ยั้งคิด
“เขาจะไม่มีวันทิ้งกู...เรารักกัน...มึงได้ยินไหมว่าเรารักกัน!”
“เฮ้อ เธอนี่มันน่าสมเพชยันวินาทีสุดท้ายจริงๆนะ”
“...!!”
“เธอเคยได้ยินคำว่ารักจากปากของเขาไหมปูน...คณิตเคยบอกว่ารักเธอบ้างไหม”
หากเปรียบว่าเขากำลังยืนอยู่บนหน้าผา คำถามสุดท้ายของเมษาคงเป็นเหมือนสายลมเบาๆที่สามารถพัดเขาให้ตกลงไปได้อย่างง่ายดาย เมษาจากไปแล้ว การเคลื่อนไหวรอบตัวปูนเกิดขั้นอีกครั้ง หากแต่คนที่ตกลงไปในนั้นกลับยังไม่สามารถหลุดออกมาจากมันได้
‘คณิตเคยบอกว่ารักเธอบ้างไหม’
ไม่...ไม่เลยสักครั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
“วันนี้คณิตกลับบ้านก่อนเลยนะ เดี๋ยวแก้มต้องไปช่วยอาจารย์ฝนดูแลน้องนางรำน่ะ ไปนะ”
แก้มบอกกับคณิตหลังจากคาบสุดท้ายจบลงก่อนที่เธอจะวิ่งออกจากห้องไปแทบจะทันที เด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันตั้งตัวได้แต่นั่งงงๆแล้วส่ายหน้า เพราะนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่แก้มผิดนัดกับเขา
“โดนแฟนทิ้งแล้วรอวะคณิต เยี่ยมจริงๆ ทีนี้มึงก็จะโสดเป็นเพื่อนกูแล้ว”
คณิตหันไปตบหัวเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่เสนอหน้ามาพูดเรื่องไม่เป็นมงคลกับเขาแรงๆจนมันร้องโอดครวญ คณิตเก็บของใส่กระเป๋านักเรียนลวกๆก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังอีกห้องเพื่อมองหาเมษา เพื่อนใหม่ของเขาที่พักนี้พวกเขาสนิทกันมากจนน่าแปลกใจ อาจจะเพราะฐานะที่พวกเขายืนอยู่เหมือนกันก็ได้ ความกดดันที่เขาต้องแบกรับ...เมษาเป็นคนที่เข้าใจมันได้อย่างดี
“ต้อม ไอ้เมษไปไหนแล้ววะ”
ร่างสูงถามคนที่นั่งติดกับเมษเมื่อไม่เห็นว่าคนที่เขาตั้งใจมาหานั่งอยู่ที่โต๊ะเหมือนเคย คนชื่อต้อมหันมาทางคณิตก่อนจะตะโกนตอบมา
“ไม่รู้ว่ะ มันหายไปตั้งแต่ต้นคาบแล้ว สงสัยโดดไปนอน”
คณิตส่ายหัว หากเป็นวิชาที่ไม่น่าสนใจเมษาก็มักจะทำแบบนี้เสมอแต่ถึงอย่างนั้นคะแนนของมันกลับไม่ต่างจากเขาเผลอๆดันสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ คณิตโบกมือลาต้อมแล้วเดินไปยังโรงยิมสถานที่ที่เขารู้ว่าหากเมษาโดดมันจะมาหลบอยู่ที่ไหน อาจจะเพราะเด็กที่นี่ส่วนมากเป็นเด็กเรียนทำให้โรงยิมที่น่าจะเป็นจุดที่ครึกครื้นกลับเงียบสงบผิดกับที่อื่น
ร่างสูงเดินไปฮัมเพลงไป เขาคิดว่าจะชวนเมษาไปดูหนังเรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าโรงด้วยกันก่อนจะไปกินบะหมี่จับกังเจ้าดังที่ไม่ได้ไปกินมานานแล้ว แน่นอนว่าปกติเมษาไม่ค่อยได้ไปกับเขาหรอก แต่ของแบบนี้มันต้องมีลูกล่อลูกชนกันบ้าง ถ้าอยากให้เมษาไปเที่ยวเป็นเพื่อนเขาในวันนี้ วันเสาร์อาทิตย์ที่มีค่าคณิตอาจจะต้องเสียมันไปกับการไปดูงานเป็นเพื่อนมันที่โรงแรม ก็โอเคนะ ถึงจะน่าเบื่อไปหน่อยก็เถอะ
“เมษ เดี๋ยวก่อนเมษ!”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้การก้าวเดินของคณิตหยุดลงแทบจะทันที...นี่มัน...เสียงของแก้ม
“เมษฟังแก้มก่อนได้ไหม ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งเดินหนีสิ!”
คณิตรีบหลบเข้าหลังกำแพงทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ก้าวมาทางนี้ เขาพยายามสงบหัวใจที่เต้นโครมครามยิ่งเมื่อได้เห็นกับตาของตัวเองว่าแฟนสาวที่บอกว่าจะไปช่วยงานครูกำลังพยายามหยุดยื้อคนที่มีศักดิ์เป็นเพื่อนของเขา
“แก้มปล่อยเถอะ”
“ไม่ปล่อย จนว่าเมษจะคุยกับแก้มให้รู้เรื่อง”
“ผมว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันตั้งแต่แรกแล้วนะ”
เขาได้ยินเสียงเมษาถอนหายใจอย่างรำคาญที่สุดก่อนที่มันจะหันมาเผชิญหน้ากับแก้มแต่กลายเป็นว่าสายตาของพวกเขาดันสบกันเข้าพอดี เมษามองตาคณิตนิ่งโดยไม่มีท่าทีกระโตกกระตากเช่นเดียวกับร่างสูงที่กำลังยืนมองความเป็นไปเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ
“มีสิ...ความรู้สึกของแก้มไง...แก้มบอกแล้วใช่ไหมว่าแก้มชอบเมษ”
“และแก้มเป็นแฟนของไอ้คณิตเพื่อนของผม”
“...”
“ผมว่าแก้มพอเถอะ คณิตมันรักแก้มมากนะรู้ไหม”
เมษาพูดทุกคำออกมาโดยไม่ละสายตาไม่จากคณิตเลยสักนิด ส่วนหญิงสาวที่หันหลังให้แฟนหนุ่มที่เธอไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่ก็เริ่มร้องไห้ออกมา จนดวงตาที่คณิตชอบบอกว่าชอบมันเริ่มแดงก่ำ
“แก้มรู้ แต่แก้ม...แต่แก้มรักเมษจริงๆนะ”
ความจริงที่เจ็บปวดกรีดลงบนกลางใจของร่างสูงโดยไม่มีทางออกอื่นใด เขาหลับตาลงก่อนจะหันไปที่อื่น ปล่อยให้หูรับฟังคำพูดสุดท้ายของเมษาเท่านั้น
“แต่ผมไม่ได้รักแก้ม และผมจะไม่มีวันทรยศคณิตเด็ดขาด”
หลังจากนั้นคณิตก็เป็นโสดเหมือนอย่างที่เพื่อนว่า และเขาก็เปลี่ยนทางเดินในชีวิตด้วยการเลือกเรียนที่คณะอักษรศาสตร์แทนที่จะเป็นคณะบริหารเหมือนที่เคยตกลงกับอดีตแฟนสาวไว้ว่าพวกเขาจะไปที่นั่นด้วยกัน
รวมถึงเมษา...ที่เป็นอีกคนที่เขาเคยให้สัญญาเอาไว้
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
พี่เมษกลับมาอีกครั้ง 55555 แต่จะผิดหวังไหมถ้าจะบอกว่าเมษาจะมีบทบาทไม่มากกว่านี้แล้ว (ถ้าเช่คาดไม่ผิดจะเหลือออกมาอีกตอนจบเรื่องกับสเปนะคับ จะหาสามีให้นางตอนนั้นแหละ) สำหรับเช่เมษาไม่ใช่ตัวร้ายที่ทำลายป๋าปูนนะ ถ้าเทียบแล้วเมษาคงเป็นแค่สะเก็ดไฟเล็กๆแต่ตัวเชื้อเพลิงน่ะคือความไม่เข้าใจกันลึกๆของป๋าปูนต่างหาก เมษเป็นคนสร้างสถานการณ์แต่ป๋าปูนจะพังไหมก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของสองคนนั้น เอาง่ายๆว่าเช่ชอบเมษามากกกกกกกก รีบหาสามีให้ด่วนๆเลย >////<
ช่วงนี้เช่ยุ่งมากนะคับ (คนอ่านบอกเอ็งก็ยุ่งตลอดอ่ะ) ช่วงนี้เช่เลยทำได้แค่อัพอาทิตย์ล่ะครั้ง ส่วนเรื่องรวมเล่มจะประกาศรายละเอียดตอนใกล้ๆจบหรือหลังจบไปสักพักนะคับ มีแน่นอนแต่ขอดูอะไรหลายๆอย่างก่อน รอกันนิดนึงนะคับ :)
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยยยยยยย :mew1:
-
ชีวิตคู่ เฮ้อ....มีอะไรทำไมไม่พูดกัน :hao5:
-
:sad4: :sad4: :sad4: สงสารใครดีหน่วงจัง
-
มรสุมรุมล้อม เราว่าไอ้ลูกค้าคนแรกมันต้องมีอะไรแน่ๆอะ
-
ทำไมน้องปูนไม่พูด : (
-
งือ ป๋ากับน้องจะเข้มแข็งพอมั้ยง่า สงสารคู่นี้ T^T
รอตอนต่อไปนะคะ
-
ขอซักทีเถอะ :z6:
-
เริ่มเกลียดเมษแบบจริงจัง
-
แตกที่ 30
… โอกาส...
‘เย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านเรากันนะ’
คณิตอ่านข้อความของปูนทันทีที่ออกมาจากห้องประชุม เขาไม่ได้ตั้งใจจะหนีแต่โปรเจ็คนี้มันรัดตัวมากอย่างที่เขาบอกกับร่างเล็กไป นอกจากงานของโรงแรมที่เขาต้องดูแลมันเป็นประจำ คณิตยังต้องมานั่งคิดแผนงานสำหรับโรงแรมแห่งใหม่ที่สัตหีบซึ่งพ่อให้เขารับผิดชอบมันทั้งหมด จนเรียกได้ว่านี่เป็นงานเต็มตัวครั้งแรกของคณิตที่จะชี้ความเป็นไปของ The Next ในยุคของเขา
“อิง วันนี้ปูนเข้ามาทำงานรึเปล่า”
ร่างสูงเดินไปถามเพื่อนสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านรายงานสรุป อิงอรหันมามองคณิตก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงติดจะหมั่นไส้
“สนใจด้วยหรอคะ ว่าน้องเขาจะมาหรือไม่มา”
ให้ตายสิ...พอโดนอิงอรพูดแบบนี้เขานี่เห็นหน้าปูนลอยขึ้นมาเลย
“ตอบมาก่อนแล้วค่อยด่าได้ไหม”
“อิงไม่กล้าด่าคุณคณิตหรอกค่ะ แค่รู้สึกหมั่นไส้นิดหน่อย”
หญิงสาวว่าก่อนจะก้มอ่านงานของตัวเองต่อ ทำเป็นไม่สนใจคณิตที่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงหน้า ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะเดินกลับไปหยิบบางอย่างมาจากโต๊ะของตัวเองเพื่อใช้มันเป็นเครื่องเส้น
“น้ำหอมตัวใหม่ เพิ่งส่งตรงมาจากปารีสสดๆร้อนๆ”
คณิตแอบเห็นไหล่ของอิงสะดุ้งไหวแค่ได้ยินว่าเขาพูดถึงอะไรโดยไม่ต้องเงยหน้ามามองด้วยซ้ำ
“เฮอะ...คิดว่าของแค่นี้จะซื้ออิงได้หรอคะ น้องปูนสำคัญกว่าเยอะ!”
“Limited Edition”
“…!!”
“จะเอาหรือไม่เอา ถ้าไม่เอาก็...”
“น้องปูนมาทำงาน แต่กลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วค่ะ!!!”
อิงอรตะครุบปากของตัวเองแต่อีกมือก็ไม่วายคว้าขวดน้ำหอมสวยๆมากอดไว้ด้วยความหลงใหล...น้องปูนคะ...พี่อิงขอโทษ อิงโอดครวญในใจขณะที่ร่างสูงยิ้มร่า เขาบอกขอบคุณหญิงสาวเบาๆก่อนจะทำท่าจะลุกออกไป แต่ก็ถูกคนที่กำลังกอดน้ำหอมไว้แน่นคว้าแขนเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณคณิตจะถามไปทำไมคะ ยังสนใจน้องเขาอยู่อีกหรอ”
ขอยุ่งหน่อยเถอะ ถึงเธอจะเผลอเลือกน้ำหอมขวดนี้มากกว่าปูน แต่อย่างน้อยเธอต้องรู้ให้ได้ว่าคณิตคิดยังไงกับเด็กคนนั้น แต่ฝ่ายที่โดนถามกลับไม่มีท่าทางตกใจแต่อย่างใด เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าอิงอรจะต้องถาม
“ผมดูไม่สนใจเขาขนาดนั้นเลยหรอ”
“นี่ไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งโง่คะ”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า”
คณิตเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง แล้วพูดกับอิงอรด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อน...มันมีทั้งความเอ็นดูและความเศร้าปนอยู่ในนั้น
“ก็รู้ตัวอยู่หรอกว่าช่วงนี้ทำตัวไม่ดี แต่มันก็หลายๆอย่างล่ะนะที่ทำให้ไปอยู่ข้างๆเหมือนเดิมไม่ได้”
“เพราะงานหรอคะ”
“อืม แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก”
อิงอรยอมวางน้ำหอมในมือลงแล้วหยิบเอาลูกอมที่เธอมีเก็บไว้ในลิ้นชักยื่นให้เจ้านายที่ดูเหมือนว่าน่าจะต้องการพลังงานอย่างมากในการพูด
“ผมอยากดูแลเขาให้ดี อยากให้เราเข้าใจกันมากๆแต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ผมไม่เข้าใจเขา แต่แทนที่เราจะได้คุยกันเขากลับปิดบังมันไว้ไม่ให้ผมรู้...ระยะห่างของเรามันเพิ่มขึ้นทีละน้อยทั้งที่ผมพยายามทำให้มันแคบลงแต่พอรู้ตัวอีกที...มันก็ไกลจนน่าใจหาย”
“...”
“จนบางทีผมก็มานั่งถามตัวเองว่า ผม...รับรักเขาเร็วไปรึเปล่า”
คณิตบีบลูกอมในมือแน่นเพราะเจ็บปวดจากสิ่งที่ตัวเองพูดมันออกมา เขาไม่อยากคิดแบบนั้นแต่มันก็อดไม่ได้
“บ้าจังเลยนะคะ คุณเนี่ย”
“...!!”
“นิสัยจริงจังเกินเหตุเนี่ยเก็บไว้ใช้เฉพาะเรื่องงานเถอะค่ะ สำหรับเรื่องหัวใจปล่อยๆมันไปบ้างก็ได้”
อิงอรแย่งลูกอมกลับมาจากมือของร่างสูง เธอจัดการแกะมันแล้วยื่นให้คนที่สับสนกินมันอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“นี่คือคำแนะนำจากสาวโสดที่ไม่คิดจะมีใครนะคะบอกไว้ก่อน...อิงไม่รู้หรอกว่าความไม่เข้าใจที่ว่ามันคืออะไร แต่อิงรู้ว่าถ้ายังหนีกันไปแบบนี้คุณจะไม่มีทางเข้าใจเขาแน่ๆ...ชีวิตคนเรามันมีเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ถึงวันนี้เราจะเรียนรู้เขาดีแล้ว แต่พอพรุ่งนี้มาถึงเราก็ยังมีเรื่องใหม่ๆให้ศึกษากันต่ออยู่ดี อันนี้น้องเองก็ผิดที่มีอะไรไม่ยอมบอกคุณ แต่ว่ามันก็เป็นหน้าที่ของคณิตที่ต้องทำให้น้องไว้ใจจนยอมพูดออกมานะคะ”
หญิงสาวยิ้มให้กับคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้มาให้คำปรึกษาคนที่เก่งไปซะทุกด้านอย่างคณิต ไม่สิ ยกเว้นเรื่องหัวใจไว้สักอย่างแล้วกัน
“น้องปูนยังเด็ก มีอะไรก็คอยประคับประคองกันไปนะคะ ถึงจะไม่เคยบอกแต่อิงเชื่อว่าน้องเขาก็รักคุณมาก...อย่าทำให้น้องเสียใจล่ะ ไม่งั้นคราวหน้าต่อให้เป็นของ Limited Edition สิบชิ้นอิงก็ไม่ช่วยแล้วนะ”
คณิตยิ้มแล้วบอกขอบคุณอิงอรก่อนจะเดินออกมา เขาเปิดโปรแกรมแชทจากโทรศัพท์ของตัวเองอ่านข้อความที่ปูนชวนกลับบ้านซ้ำๆก่อนจะตอบกลับไป
‘อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวจะซื้อไปฝาก’
คณิตขับรถกลับมาบ้านโดยที่เบาะหลังเต็มไปด้วยขนมที่ปูนชอบและเกมใหม่ที่เพิ่งออกมาได้ไม่กี่อาทิตย์ งานของเขาก็ยังคงเยอะอยู่ แต่เพราะความช่วยเหลือของอิงชายหนุ่มถึงมีเวลาพอที่จะปลีกตัวออกมาได้บ้างอย่างน้อยก็จนกว่าความบาดหมางระหว่างเขากับปูนจะทุเลาเบาบางลง
ร่างสูงถือของทั้งหมดเข้าไปในบ้าน เขาได้ยินเสียงทีวีที่เปิดไว้แต่ไม่ยักกะเห็นคนที่ชวนเขากลับมาในวันนี้ ชายหนุ่มวางของกินทุกอย่างลงบนโต๊ะเหลือไว้แค่แผ่นเกมที่เขาตั้งใจจะยื่นมันให้ปูนกับมือ
“กลับมาแล้วหรอครับ”
คณิตหันไปตามเสียงของปูนที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ร่างเล็กอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเหนื่อยล้า ซึ่งคณิตก็คิดเอาเองว่ามันคงเป็นเพราะการทำงานจึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเดินไปลูบหัวปูนอย่างอ่อนโยน
“อืม เป็นยังไงบ้างสบายดีรึเปล่า”
ปูนพยักหน้าให้คนรักก่อนจะซุกเข้าหาอ้อมกอดของคณิตด้วยความคิดถึงโดยที่ร่างสูงก็ไม่ได้ขัดขืนหนำซ้ำยังกอดกลับมาอีก
“คิดถึงป๋า...คิดถึงมากเลย”
“ฉันเองก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”
คณิตเลือกจะบอกปูนไปตามตรงโดยไม่ไว้ฟอร์มใดๆ เขาพาปูนกลับมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วยื่นของฝากที่คิดว่าคนตัวเล็กน่าจะชอบให้
“อ่ะ อันเก่าเธอน่าจะเล่นจนเบื่อแล้ว”
“ขอบคุณครับ แต่ผมคงไม่ค่อยมีเวลาได้เล่นหรอก”
ร่างสูงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจในคำตอบนั้น รวมถึงท่าทางของปูนที่ไม่สดใสอย่างเคย จริงอยู่ที่พวกเขาเพิ่งห่างๆกันไป แต่มันก็ไม่น่าจะถึงขนาดนี้
“เป็นอะไรรึเปล่าปูน ไม่สบายหรอ”
คนถูกทักชะงักไปก่อนจะยิ้มให้คนที่ตั้งคำถามแต่มันกลับยิ่งตอกย้ำความสงสัยของร่างสูง โดยเฉพาะดวงตาแดงๆที่คณิตเพิ่งจะสังเกตเห็น
“เธอ...ร้องไห้หรอ”
“เปล่าครับ ผมเพิ่งตื่นน่ะ ป๋ายังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหม ผมทำกับข้าวไว้ให้แล้วกินกันเลยไหมครับ”
ปูนเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้คณิตถามถึงสภาพจิตใจของเขาอีก ร่างเล็กวางเกมในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเดินไปจัดการอุ่นอาหารที่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คณิตชอบอย่างคล่องแคล่ว ฝ่ายร่างสูงเองพอเห็นว่าปูนมีท่าทางไม่อยากพูดถึงมันเขาก็พยายามใจเย็นแล้วปล่อยให้คนตัวเล็กได้ใช้เวลาเตรียมใจก่อน
คณิตเข้าไปช่วยปูนจัดอาหาร แม้จะช่วยไม่ได้มากแต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ห่วยจนถึงขั้นทำจานแตกหรือครัวไหม้ เสียงพูดคุยระหว่างทั้งสองคนดังขึ้นเป็นระยะโดยส่วนมากจะเป็นการถามสารทุกข์สุกดิบในระหว่างที่ต้องห่างกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้แชทหากันบ้างในระยะหลังก็ตาม คณิตมองคนข้างกายที่นอกจากสีหน้าเหนื่อยล้าแล้วก็ยังคงเป็นปูนคนเดิมที่เขาคิดถึง และคณิตรู้สึกโล่งใจที่การกลับมาพูดคุยกันระหว่างเขากับปูนดูเหมือนจะราบรื่นกว่าที่คาด
“แล้วโปรเจ็คเป็นยังไงบ้างครับ ใกล้จะเสร็จแล้วใช่ไหม”
“อืม เหลือต้องเตรียมข้อมูลเพิ่มอีกนิดหน่อย อาจจะต้องลงพื้นที่อีก”
“ป๋าจะไปสัตหีบอีกหรอ”
“เปล่าหรอก คราวนี้จะให้คนอื่นไป ฉันเองต้องคุมคนอยู่ทางนี้จะหวังแต่พึ่งพาป๊าเหมือนคราวก่อนๆไม่ได้”
ปูนพยักหน้ารับแล้วเขี่ยอาหารในจานของตัวเองไปมา จนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันต้องเอ่ยปากถาม
“ไม่หิวหรอ กินนิดเดียวเอง”
“ผม...ง่วงๆน่ะครับเลยไม่ค่อยหิว”
“งั้นกินขนมไหม ฉันซื้อมาเพียบเลย มีช็อคโกแลตของโปรดเธอด้วย”
ไม่พูดเปล่า คณิตลุกไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบช็อคโกแลตบาร์ยี่ห้อโปรดของปูนมาให้พร้อมกันนั้นก็เลื่อนอาหารในจานของปูนที่ถูกเขี่ยจนเละมากินเองเพื่อไม่ให้คนรักเสียน้ำใจโดยที่ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของปูนหมด รวมไปถึงภาพของนาฬิกาสีน้ำเงินที่อยู่บนข้อมือของคณิตด้วย
“กลับมาใส่ได้แล้วหรอครับ”
“หื้ม?”
“ผมหมายถึงนาฬิกาน่ะ”
ปูนพูดแล้วจับจ้องมันไม่วางตาแม้แต่ตอนที่คณิตใช้มือที่สวมมันไว้เลื่อนมาจับมือของเขาเหมือนกับวันนั้น...วันที่ร่างสูงเดินออกจากบ้านหลังนี้ไป
“อืม ขอโทษนะที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่”
คณิตยิ้มให้แต่ปูนไม่ได้ยิ้มกลับมา ร่างเล็กพลิกฝ่ามือของตัวเองขึ้นจนกลายเป็นว่ามือของพวกเขากำลังจับกันไว้ด้วยแรงที่มากมายเสียจนคณิตเริ่มรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง
“ที่ไม่ใส่...ก็เพราะเขาหรอครับ”
“อะไรนะ?”
“เปล่าครับ ช่างมันเถอะ”
ร่างสูงไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นถูกต้องไหมจึงเอ่ยถามกลับไปแต่ปูนกลับปฏิเสธ มือของพวกเขาไม่ได้คลายออกจากกันหนำซ้ำมันยิ่งจับกันแน่นขึ้นทุกขณะโดยที่ในหัวของแต่ละฝ่ายกำลังตั้งคำถาม
ปูนอยากรู้ว่าคณิตไม่ใส่มันเพราะเมษาใช่ไหม
ส่วนคณิตก็อยากรู้ว่าปูนเป็นอะไรในระหว่างที่เขาไม่อยู่
หลังจากมื้ออาหารจบลง ปูนก็เป็นคนอาสาล้างจานทั้งที่หน้าที่นี้มักจะเป็นของคณิตที่เป็นคนรอกินอยู่เสมอ ร่างสูงพยายามไล่ความสงสัยออกจากหัวก่อนจะหันไปเปิดหนังฝรั่งที่เลือกมาจากชั้นวาง โดยหวังว่ามันจะช่วยให้บรรยากาศระหว่างเขากับปูนดีขึ้นได้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่หวังเพระแทนที่คนตัวเล็กจะสนุกไปกับมันปูนกลับจ้องไปยังหน้าจอนิ่งๆ แม้แต่ฉากยิ่งกันจนเลือดสาดปูนกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย คณิตเริ่มมั่นใจแล้วว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นกับปูนแน่ๆ เขาจึงเลือกที่จะปิดหนังแล้วหันมาเผชิญหน้ากับร่างเล็กด้วยจิตใจที่พยายามมีสติมากที่สุด
“มีอะไรอยากจะคุยกันไหมปูน อะไรก็ได้...ทุกเรื่องเลย”
“...”
“ปูน”
“ผมรักป๋านะ”
คำบอกรักที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้สื่ออารมณ์ต่างไปจากทุกครั้ง มันทั้งหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คณิตรู้สึกอึดอัดมากกว่าจะซาบซึ้ง
“ผมรักป๋า...รักมาก...ปูนรักพี่นิด...ถ้าไม่มีพี่ปูนคงอยู่ไม่ได้”
“ปูน...”
“แล้วพี่นิดล่ะ...รักปูนบ้างไหมครับ”
ปูนถามมันออกมาก่อนจะหันไปจูบคณิตที่ยังไม่มีแม้แต่โอกาสจะเอ่ยตอบ สัมผัสวาบหวามที่ไม่ได้มอบให้ใครมานานล้วงล้ำเข้าไปด้านในโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ ปูนป้อนความรู้สึกของตัวเองเข้าไปในนั้นทั้งความรัก ความห่วงหา และแม้แต่พายุที่โหมกระหน่ำหัวใจของเขาอยู่
ตอบมาสิว่ารักเขา...ตอบมา...ถึงจะแค่โกหกก็ได้
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาของปูนรินไหลลงมาจนแก้มของทั้งคู่เปียกชื้นไปหมด แต่ก็ไม่มีใครสนใจทั้งปูนและคณิตต่างก็มอบสัมผัสนั้นให้แก่กันหวังใช้ภาษากายสื่อสารถึงความรู้สึกที่มากล้น ร่างสูงประคับประคองคนในอ้อมแขนของตนไว้หวังให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความรักที่เขามีให้ แต่ครั้งนี้เขาจะพูดมันออกไปเพราะรู้สึกเหมือนกับว่าปูนกำลังต้องการได้ยินมันมากเหลือเกิน
“รัก”
“...”
“พี่รักปูนนะ...ได้ยินไหม”
น้ำตาของปูนไหลอีกครั้งก่อนเขาจะรับตัวตนของคณิตเข้ามา ช่องว่างในหัวใจถูกเติมลงด้วยคำที่อยากได้รับมานาน แต่ไม่รู้ว่าทำไม...
เขาก็ยังอยากร้องไห้อยู่ดี
:o12:(มีต่อเม้นท์ล่าง) :o12:
-
ถึงสุดท้ายพลัสจะไม่รู้ว่าน้าพรป่วยเป็นอะไร แต่หนึ่งสิ่งที่เปลี่ยนไปในบ้านหลังนี้คือนับตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่ได้ออกไปทำงานอีกเลย ตามปกติแล้วน้าพรจะขายโจ้กตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเลยไปจนถึงเช้าก่อนที่เธอจะกลับมาเตรียมของต่อในตอนบ่าย ดังนั้นพอน้าพรไม่ได้ทำอะไรจึงกลายเป็นว่าพลัสต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่อยากอยู่ด้วยแทบจะตลอดเวลา
“ผมไปเรียนแล้วนะครับ”
พลัสบอกลาคนที่มีศักดิ์เป็นแม่บุญธรรมก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน ช่วงเวลาไปเรียนถือว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่ร่างบางไม่ต้องทนอยู่กับน้าพรถึงแม้ว่าต่อให้อยู่พวกเขาจะแทบไม่พูดกันเลยก็เถอะ
เสียงโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มดังขึ้นแทบจะทันทีที่เขาเดินมาถึงหน้าปากซอยก่อนที่รถบิ๊กไบค์สีดำคันใหญ่จะเลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าพร้อมกับสารถีที่ยังอยู่ในชุดทำงานเพราะบอยเพิ่งเลิกงานเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง
“ถ้าเป็นหนังผมคงคิดว่าพี่แอบติดเครื่องติดตามไว้ที่ตัวผมแน่ๆ มาถึงตรงเวลาตลอดเลยนะ”
พลัสพูดลอยๆโดยไม่รู้เลยว่ามันกระทบกระเทียบคนฟังเข้าอย่างจัง บอยไม่ได้พูดอะไรตอบเขาหยิบหมวกกันน็อคสีเดียวกับตัวรถมาสวมให้พลัสก่อนจะพาคนที่มีเรียนเช้าไปส่งที่คณะเหมือนอย่างเคย
ตั้งแต่วันที่บอยไปอยู่เป็นเพื่อนพลัสครั้งนั้นพวกเขาก็ไปไหนมาไหนกันบ่อยขึ้น แต่จะพูดว่ากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ได้เพราะสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือความเต็มใจและความรู้สึกบางอย่างที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกที
ร่างบางมองปอยผมสีดำของบอยที่ยาวเลยหมวกกันน็อคออกมาด้วยความเคยชิน โดยเฉพาะเวลาที่มันปลิวไปตามกระแสลมยิ่งเป็นภาพที่พลัสรู้สึกว่ามันน่ามองอย่างประหลาด วิวข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงตึกคณะที่ตอนนี้มีนักศึกษาอยู่บางตา ก็นะ ถ้าไม่ใช่วิชาที่เช็คชื่อก็ไม่ค่อยจะเข้ากันหรอก
“วันนี้กูจะมารับตอนสี่โมง รอหน่อยแล้วกัน”
บอยบอกคนตรงหน้าเพราะตามตารางพลัสจะเลิกเรียนตั้งแต่บ่ายสามโมงแต่วันนี้เขาต้องไปทำธุระบางอย่างเลยไม่อาจมารับตรงเวลาได้
“ไม่บอกก่อนล่ะ ผมจะได้ขับรถมาเอง”
พลัสแกล้งพูดกวนไปเพราะรู้ว่าบอยไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก และผลตอบแทนของมันก็คือมือใหญ่ๆที่ผลักหัวเขาเข้าเต็มแรง
“พูดมาก เข้าตึกไปได้แล้ว กูก็จะกลับแล้วเหมือนกันหิวข้าว”
“นี่ยังไม่ได้กินข้าวเช้ามาหรอ”
“จะเอาเวลาที่ไหนไปกิน เลิกงานเสร็จก็ต้องรีบมารับมึง”
ร่างบางเบะปาก พูดอย่างกับว่ามันเป็นความผิดของเขางั้นแหละ แต่จู่ๆพลัสก็นึกอะไรดีๆขึ้นมาได้มือเล็กจึงเอื้อมไปบิดกุญแจรถบิ๊กไบค์ออกมา
“งั้นก็ไปกินข้าวกัน อีกตั้งนานกว่าผมจะเข้าเรียน”
ไม่ต้องรอให้บอยตอบรับหรือปฏิเสธ พลัสรีบเดินนำบอยเข้าไปยังโรงอาหารของคณะโดยที่ได้ยินเสียงบ่นของร่างใหญ่ตามมาไม่ขาดสาย เขาเดินไปสั่งเครปมากินเล่นเพราะกินข้าวเช้ามาตั้งแต่อยู่บ้านแล้ว ส่วนของบอยร่างบางก็ปล่อยให้ไปซื้อเองไม่ได้ไปวุ่นวายอะไร
ทั้งคู่เลือกนั่งตรงบริเวณม้าหินที่ค่อนข้างห่างจากจุดที่นักศึกษาส่วนใหญ่นั่งอยู่ พลัสเล็มขนมในมือตัวเองไปเรื่อยๆโดยที่ดวงตากำลังจับจ้องท่าทางการกินของบอยไม่ห่าง เคยกินข้าวด้วยกันตั้งหลายครั้งแต่เขาเพิ่งสังเกตนะ ว่าบอยเป็นประเภทชอบเก็บของที่ตัวเองชอบที่หลัง
“เด็กชะมัด”
“...?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
พลัสรีบบอกปัดเมื่อเผลอพูดในสิ่งที่ใจคิดออกมาแต่ดูเหมือนบอยจะยังคาใจคำพูดของเขาอยู่ ร่างใหญ่เลยเอาแต่จับจ้องมาที่ใบน้าของพลัส
“แล้วกับน้าเป็นยังไงบ้าง ได้คุยกันรึยัง”
บอยถามออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ ในขณะที่พลัสพอได้ยินคำถามนั้นก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา จะบอกว่าเกลียดก็ไม่ถูกแต่จะเรียกว่าเป็นห่วงก็ไม่ใช่
“ก็...ไม่”
“มึงหนีเขาหรือเขาหนีมึง”
“...”
“เฮ้อ มึงหนีเขาสินะ”
บอยวางช้อนส้อมในมือของตัวเองลงเมื่อกินอาหารในจานจนเรียบร้อย เขาหยิบโค้กขวดเล็กที่ซื้อมาเปิดแล้วรินมันใส่แก้วน้ำแข็งที่มีอยู่เพียงแก้วเดียว แต่แทนที่จะกินเองบอยกับยื่นมันให้กับร่างบางที่ทำหน้างงๆแต่ก็ยอมรับมันไปดื่ม
“กูยังยืนยันคำเดิมนะ ว่าเรื่องนี้มันอาจจะมีอะไรมากกว่าที่มึงเห็นก็ได้ กูไม่ได้ขอให้มึงยกโทษให้เขาหรือกลับมารู้สึกดีต่อกันเหมือนเดิม แต่กูไม่อยากให้มึงหนี...บางทีการให้โอกาสเขาอธิบายอาจจะทำให้มึงสบายใจกว่าที่คิด”
พลัสไม่ได้ตอบอะไร เขายื่นแก้วน้ำที่พร่องไปนิดหน่อยกลับไปให้เจ้าของมันบ้าง โดยที่บอยก็รับมาทั้งที่สายตายังคงมองพลัสอย่างห่วงใย
“แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่พี่บอกล่ะ...ถ้าทุกอย่างมันเป็นแบบที่ผมคิด เขาทรยศแม่...ทรยศผม...ถ้ามันยังเจ็บปวดเหมือนเดิม...”
“นั่นก็ถือว่ามึงทำดีที่สุดแล้ว”
ไม่พูดเปล่าบอยเอื้อมมือมาจับมือพลัสไว้พร้อมกับบีบมันเบาๆอย่างให้กำลังใจ เด็กหนุ่มพูดไม่ออก ความรู้สึกแปลกประหลาดตีรวนขึ้นมาในอกอีกครั้งแล้วมันก็มากมายเสียจนสามารถสั่นไหวปราการในหัวใจของเขาได้
พลัสหยิบเรื่องที่บอยพูดมาคิดแม้กระทั่งตอนที่อยู่ในชั้นเรียน เอมมิกาเข้ามาถามด้วยความห่วงใยว่าเขาเป็นอะไร พลัสก็ได้บอกปัดไปว่ากำลังคิดเรื่องฝึกงานอยู่ซึ่งมันก็เป็นจริงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ร่างบางใช้เวลาที่เหลือก่อนบอยจะมารับไปกับห้องสมุด เขาไม่ได้เป็นคนขยันขนาดนั้นหรอก แต่แอร์เย็นๆและบรรยากาศเงียบสงบก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงได้ ร่างบางเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดตรงชั้นหกที่เป็นชั้นที่นักศึกษาที่นี่ชอบมานั่งเล่นมากที่สุด...ชั้นที่มีห้องคอมกับโรงหนัง
“ดูหนังห้องที่สามครับ”
พลัสบอกหมายเลขห้องดูหนังที่เขาเดินไปดูแล้วว่ามันว่างพร้อมกับยื่นบัตรนักศึกษาไปให้เจ้าหน้าที่จัดการคีย์ข้อมูลก่อนจะถือกล่องอุปกรณ์ที่ได้รับมาตรงไปยังห้องที่มีทีวีจอใหญ่และโซฟาขนาดย่อมตั้งอยู่
ร่างบางเลือกเปิดหนังตลกเบาสมองดูเพราะไม่อยากรับอะไรเครียดๆมาใส่หัวเพิ่ม แม้ว่ามันจะตลกฝืดไปบ้างนักแสดงก็หน้าเดิมๆแต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอแต่ผ่านไปแค่ครู่เดียวมันก็ค่อยๆหรี่ลงจนพลัสแทบมองไม่เห็นมัน แต่ก่อนที่สติของเขาจะหมดไปพลัสก็รู้สึกว่าหัวของตัวเองถูกยกขึ้นก่อนมันจะถูกวางลงบนตักแข็งๆที่มีแต่กล้ามเนื้อไม่น่าหนุนนอนเลยสักนิด
“พี่เข้ามาได้ยังไง มันต้องใช้บัตรนะ”
พลัสพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ก็ถูกบอยกดตัวให้นอนลงไปตามเดิม ให้ตายสิ ไม่อายเลยรึไง ถึงจะบอกว่าเป็นห้องดูหนังแต่มันก็ไม่มีประตูปิดนะ
“แลกบัตรประชาชนเข้ามา เสียไม่กี่ตังหรอก”
บอยบอกแล้วหยิบหูฟังที่ตกอยู่ตรงพื้นไปวางไว้ที่อื่น แต่เพราะว่ามีพลัสนอนอยู่บนตักทำให้ใบหน้าของร่างบางต้องนาบไปกับหน้าท้องของบอยอย่างช่วยไม่ได้ พลัสเผลอสูดลมหายใจเข้าเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่บอยใช้ประจำ
“แล้วไหนบอกจะมาสี่โมง นี่เพิ่งสามโมงกว่าเอง”
“พอดีไม่ได้ไปแล้วน่ะ เลยออกมาเลย”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่”
“จิ๊ ถามมากจริงนะ สงสัยอะไรนักหนา”
พลัสทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกอีกฝ่ายว่ามาอย่างนั้น แต่มันก็สงสัยจริงๆนี่ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือไปที่ไหนบอยก็มักจะรู้ได้โดยไม่ต้องบอก
“หรือว่าพี่...เป็นสโตรกเกอร์?”
“...”
“เงียบแบบนี้แสดงว่าใช่ เอาจริงดิ พี่เป็นใช่ไหม”
“หึ สโตรเกอร์อะไรนั่นกูไม่เป็นหรอก ถ้าจะเป็นขอเป็นโจรข่มขืนมึงดีกว่า”
บอยพูดมาด้วยความปากไวโดยลืมคิดไปเลยว่าคำพูดนั้นจะทำให้ทั้งคนพูดและคนฟังนิ่งไปเหมือนถูกสาป พลัสมองบอยนิ่งเพราะตอนนี้ใบหน้าของร่างใหญ่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสิ่งที่ตัวเองพูดและกระทำลงไป ในขณะที่เขาก็กำลังหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
“อืม...ก็พี่เป็นมันจริงๆนี่นะ...โจรที่ข่มขืนผมน่ะ”
“พลัส...กู...”
“พี่บอย ผมขอถามอะไรพี่สักอย่างได้ไหม”
“...”
“ทำไมพี่ถึงทำแบบนั้นกับผม”
มันเป็นคำถามที่บีบรัดหัวใจของทั้งคนถามและคนถูกถาม พลัสจับมือของบอยเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อไขว่คว้าความอบอุ่นหากแต่เป็นการร้องขอความเห็นใจแก่เขาผู้ซึ่งไม่เคยเข้าใจการกระทำของคนคนนี้เลยสักครั้ง และตอนนี้เขายังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองอีกด้วย
ทำไมเขาถึงหยิบยื่นโอกาสให้บอยกันนะ
ทั้งคู่เงียบไปเกือบสิบนาที เสียงของหนังที่ดังลอดหูฟังออกมาดูเหมือนจะเป็นเสียงเดียวในห้องดูหนังเล็กๆนี่แต่บอยก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เขาถอนหายใจแล้วจับให้พลัสลุกขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากัน
“อยากได้ยินมันจริงๆน่ะหรอ”
“ถ้าไม่อยากผมคงไม่ถาม”
“แม้ว่ามันอาจจะทำให้มึงคิดถึงเรื่องวันนั้นอีกงั้นหรอ”
“ต่อให้พี่ไม่พูดผมก็คิดถึงมันทุกวัน”
“...”
“พี่บอย...ผมกำลังให้โอกาสพี่อยู่นะ”
บอยรู้ว่าพลัสกำลังให้โอกาสแต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะพูดมันออกมาตรงๆ เขาจ้องมองใบหน้าที่มักจะแสดงออกถึงความเย็นชาเสมอนับตั้งแต่คืนนั้นแต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเหมือนเมื่อก่อน...เหมือนพลัสก่อนที่จะถูกเขาทำลาย
“ขอโทษนะพลัส...เรื่องวันนั้นกูผิดเอง”
“...”
“กูไม่อยากแพ้...แพ้ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยสักอย่าง...แต่มันก็น้อยเกินไป โอกาสที่กูจะชนะเกมนี้น่ะ...มันน้อยลงจนกูเผลอทำร้ายมึง”
“แล้วเป็นยังไง พี่รู้สึกยังไงที่ได้เอาชนะผม”
“...”
“พี่มีความสุขไหมครับ”
“ไม่...ไม่เลย”
“...”
“กูไม่มีความสุข...และกูก็ไม่เคยชนะมึงพลัส”
พลัสยิ้มออกมาน้อยๆ มันเป็นรอยยิ้มที่บอยดูไม่ออกว่าพลัสกำลังรู้สึกอย่างไร พลัสกระชับมือที่จับกันไว้เข้าหากันก่อนจะกดปิดหนังที่กำลังดำเนินมาเกือบจบเรื่อง พวกเขาเดินไปคืนอุปกรณ์แล้วออกไปจากห้องสมุด บอยยอมให้พลัสปล่อยมือของตัวเองออกตอนที่พวกเขาเดินมาถึงรถ พลัสไม่ได้พูดอะไร...บอยก็ไม่พูด...เขารู้ว่าพลัสกำลังปล่อยให้ความเงียบนี้เป็นการลงโทษที่แสนเจ็บปวดสำหรับเขา พวกนักโทษประหารคงจะรู้สึกแบบนี้สินะ
บอยขับรถมาส่งพลัสที่บ้าน แต่แทนที่วันนี้ร่างใหญ่จะจอดรถที่หน้าปากซอยให้ร่างบางเดินเข้าบ้านไปเหมือนเคย เขากลับขับรถเข้าไปจอดถึงหน้าบ้านที่มีเพียงความเงียบที่ดังอยู่
“ผมไปนะครับ พี่ก็ขับรถดีๆล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนพลัส”
บอยคว้าแขนของพลัสไว้ก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้าไปด้านใน พลัสเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกับการถามว่าบอยมีอะไรจะพูดอีก
“เรื่องของมึงกับกู...มึงคิด...”
“เรื่องนั้นผมขอเวลาหน่อยเถอะครับ”
“...”
“ผมดีใจที่พี่ไม่ทิ้งโอกาสที่ผมมอบให้...ผมดีใจที่พี่ยอมพูดมันออกมาแต่บอกตรงๆ...มันคงไม่มีใครรับได้ที่ตัวเองถูกข่มขืนหรอกไม่ว่ามันจะเกิดจากเหตุผลอะไรก็ตาม”
“พลัส...”
“ถ้าพี่อยากได้คำตอบตอนนี้ ผมคงให้ได้แต่คำตอบที่จะจบเรื่องราวทุกอย่าง...ผมยังเจ็บ เจ็บเกินกว่าที่จะให้อภัยพี่ได้ แม้แต่จะโกหกแล้วเสแสร้งทำดีกับพี่เหมือนเมื่อก่อนก็ยากเกินจะทำ...ผมอยากคิดให้มากกว่านี้ ทบทวนทุกอย่างให้มากๆจนมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่พูดออกไปมันจะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง”
พลัสยิ้มให้กับทั้งตัวเองและบอย ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงที่ได้ยินคำตอบของบอยก็คงบอกได้แค่ว่าถ้าเป็นก่อนหน้าที่บอยจะเข้ามาช่วยเหลือเขาเรื่องน้าพร พลัสคงไม่ลังเลที่จะทำร้ายคนตรงหน้า...แต่มันแปลกไปแล้วหัวใจของเขาน่ะ...ตั้งแต่วันที่พลัสยอมร้องไห้ต่อหน้าคนคนนี้
“กูเข้าใจแล้ว”
บอยยอมรับออกมาอย่างจำนนและพลัสก็พอใจที่ได้ยินอย่างนั้น ร่างบางเขย่งตัวขึ้นจนริมฝีปากของทั้งคู่จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน...พลัสจูบบอยก่อนเป็นครั้งแรก พวกเขาจูบกันด้วยความรู้สึกที่ทั้งเจ็บปวดและมีความสุขจนคับแน่นไปทั้งอก มันมากมายเสียจนทั้งคู่อยากให้เวลาหยุดอยู่ที่ตรงนี้
“กู...จะรอ”
“ครับ ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”
บอยยอมปล่อยให้พลัสเดินกลับเข้าไปในบ้าน ส่วนเขายังยืนอยู่ตรงที่เดิมรอจนกว่าแผ่นหลังเล็กๆนั่นจะหายลับไปหลังประตูบานใหญ่ ชายหนุ่มที่ถูกปรับแพ้ในเกมหัวใจยิ้มออกมา เพราะการแข่งขันครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...ไม่สิ...มันถือว่าเป็นการแข่งขันครั้งแรกด้วยซ้ำ
เขายิ้มให้กับตัวเองและคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ บอยหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาเตรียมจะสวมมันแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อที่โรงแรมแต่เสียงโครมครามที่ดังมาจากในบ้านทำให้เขาหยุดชะงัก
“น้าพร!!! น้าพรครับ!!!!”
เสียงตะโกนของพลัสดังขึ้นทำให้บอยรีบวิ่งเข้าไปด้านในแทบจะทันที บอยเปิดประตูเข้าไปก็เจอเข้ากับภาพของพลัสที่กำลังประคองร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้สติ พลัสกำลังร้องเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่า ใบหน้าที่เผยรอยยิ้มให้กับเขาเมื่อครู่ดูตื่นตระหนกและเสียใจอย่างถึงที่สุดจนบอยต้องเข้าไปตบมันเบาๆเพื่อเรียกสติของร่างบางให้กลับมา
“พลัส!! ได้ยินกูไหม!!”
“พี่ ฮึก พี่บอย น้าพร...น้าพรเขา”
พลัสน้ำตาไหลทันทีที่เห็นว่าคนที่กำลังเรียกเขาอยู่คือใคร เขาอยากจะพูดมากกว่านี้อยากจะอธิบายว่าทำไมน้าพรถึงหมดสติลงไปได้ แต่มัน...ก็พูดไม่ออก
“ใจเย็นๆนะ เราต้องพาน้าเขาไปโรงพยาบาลก่อน”
“ครับ มีรถ...เรามีรถของพ่ออยู่”
ร่างบางชี้ไปยังที่ตู้ไม้ที่มีกุญแจรถญี่ปุ่นคันเก่าของพ่อวางอยู่ในนั้น บอยรีบตรงเข้าไปรื้อมันแล้วหยิบเอากุญแจดอกที่คิดว่าน่าจะใช่ออกมาพร้อมกับส่งให้พลัสถือไว้แล้วเขาเป็นฝ่ายที่อุ้มน้าพรขึ้นมาเอง บอยอุ้มน้าพรไปนอนตรงเบาะหลังก่อนที่เขาจะรับกุญแจคืนมาจากพลัสแล้วขับรถออกไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ใกล้มากที่สุด บอยส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้กับพลัสพร้อมบอกให้ร่างกดหาเบอร์ของโรงพยาบาลเพื่อบอกทางนั้นว่ากำลังจะพาคนไข้ซึ่งหมดสติไปที่นั่น พลัสก็ทำตามอย่างเก้ๆกังๆเพราะความตกใจและความกลัวที่ยังคงมี
เขาใช้เวลาประมานสิบนาทีกว่าๆกว่าจะมาถึง โชคดีที่บอยให้พลัสโทรมาหาทางนี้ก่อนจึงทำให้มีบุรุษพยาบาลและหมอออกมารับร่างของน้าพรโดยไม่ต้องเสียเวลา ร่างบางมองร่างของผู้หญิงที่เคยฝากรอยแผลไว้ในหัวใจของเขาถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พลัสอยากจะตามเข้าไปด้านในแต่ก็ถูกพยาบาลและบอยห้ามไว้
“น้าพร ฮึก น้าพร”
“ใจเย็นๆพลัส น้าเขาอยู่ในมือหมอแล้ว”
“พี่บอย น้าพร...น้าพรเขาเป็นแบบนี้เพราะผม...เพราะผมเอง”
พลัสร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะต้านทานจนบอยต้องคว้าร่างบางมากอดไว้ เขาพยายามข่มใจของตัวเองแล้วพูดปลอบพลัสไปเรื่อยๆทั้งที่ความจริงแล้วใจของบอยนั้น...ก็กำลังกลัวไม่ต่างกัน
“น้าพรเขาเห็นผมกับพี่ ฮึก เขาถามว่าผมกำลังทำอะไรแต่ผมก็เดินหนี...ผมบอกน้าพรว่าอย่ายุ่ง แล้วผม...แล้วผมก็เผลอทำน้าเขาตกบันได”
มือเล็กบีบกำกันแน่นจนข้อขาว บอยพยายามจับมันคลายออกแต่ก็ทำได้ยากเพราะคนที่เอาแต่โทษตัวเองไม่อยู่ในสติที่จะรับฟังอะไรทั้งนั้น บอยทำได้แค่กอดพลัสไว้แล้วมองไปยังประตูของห้องฉุกเฉิน บอยร้องขอกับทุกสิ่งทุกอย่างขอให้น้าพรปลอดภัย เพราะถ้าไม่...
พลัสอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มาช้าแต่ก็ยังมาเนอะ นับจากตอนนี้น่าจะเหลืออีกประมาน10ตอนก็จะจบแล้วคับ บางคนอาจจะมองว่าทำไมเรื่องทุกอย่างแลมากระจุกกันอยู่ตอนสุดท้าย มันก็จริงคับ ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ555 แต่มันก็เป็นความตั้งใจของเช่ที่อยากเขียนให้มันเป็นแบบนั้น ปมของเรื่องนี้ไม่เยอะเลย เพียงแต่ปัญหาทุกอย่างไม่เคยได้รับการสะสางมากกว่า มันเหมือนกับระเบิดเวลาที่มาบึ้มเอาในจุดที่ตัวละครกำลังมีความสุขที่สุดด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่สุดท้ายเช่หวังว่าตัวเองจะกดระเบิดพวกนั้นได้ถูกที่ถูกเวลานะคับ (บอกแต่แรกแล้วว่าแต่งแนวนี้ไม่ถนัดจริงๆ T^T)
แอบมาบอกว่าในเพจมีกิจกรรมให้เล่นชิงกระเป๋ากันด้วย หมดเขตวันที่10นะคับ ส่วนกิจกรรมแจกหนังสือพี่กาล อาจจะอีกสักพักแต่มีแน่นอน ยังไงก็รอไปก่อนเนอะ ช่วงสงกรานเช่จะพยายามหาเวลามาอัพให้ได้สักตอนนะคับ นอยตัวเองเหมือนกันที่มาอัพได้น้อย เช่ก็คิดถึงคนอ่านเหมือนกันเนอะ:)
-
ดีใจที่ป๋ากลับมาบ้าน แต่ปูนสติแตกไปอีกแล้ว เฮ้อ
-
พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ....
จริงๆเราว่าปมของปูนมันควรเดินเรื่องได้แล้ว ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันดูยืดเวลาเกินความจำเป็น
ส่วนพลัส เคลียร์กับพี่บอยแล้วก็ดีไป แต่ก็ยังไม่เคลียร์กับน้าพรอยู่ดี
อืมมมมมม ตอนหน้าก็คงได้รู้สักทีนะว่าแม่เลี้ยงป่วยเป็นอะไร
-
อยากให้เคลียร์ปมกับปูนสักที โดดมาที่พลัสอีกแล้ว แหง่ว ๆ ๆ
-
เขัยนไปตามที่ใจเช่อยากจะเขียนเลยค่ะ เราไว้ใจเช่นะว่าต่อให้ยุ่งเหยิงยังไงเช่จะมีคำตอบให้คำถามทั้งหมดได้แน่ๆ เอาจริงๆเราชอบเนื้อเรื่องช่วงนี้มากนะ ใจแตกเป็นนิยายแบบเรียลปัญหาชีวิตคู่พวกนี้ก็เรียลจริงๆ มีชีวิตมาก ยิ่งเจอการบรรยายของเช่ไปเหมือนเราหลุดไปอยู่ในนั้นเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้เสมอนะ กอดน้องปูนแน่นมาก :mew1:
-
แตกที่ 31
…คนแปลกหน้า...
กาแฟร้อนๆไม่ช่วยให้หัวใจที่ว้าวุ่นทั้งสองดวงสงบลง บอยและพลัสยังคงนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินที่น้าพรเข้าไปในนั้นกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว บอยเดินไปถามอาการของน้าพรจากพยายามแต่พวกเธอก็ไม่สามารถให้คำตอบได้หากไม่ใช่หมอ พวกพลัสจึงได้แต่รอ...รอ...แล้วก็รอ...ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรน่า ถึงจะตกบันไดแต่หัวน้าเขาก็ไม่มีแผลนะ”
“แบบนั้นมันน่ากลัวกว่าไม่ใช่รึไง”
พลัสไม่ได้โง่ ถ้าหากว่าน้าพรแค่หัวแตกเขาคงไม่กังวลมากขนาดนี้ บอยถอนหายใจแล้วยกกาแฟในมือขึ้นจิบพร้อมกับคะยั้นคะยอให้พลัสทำบ้าง พวกเขานั่งอยู่อย่างนั้นแม้จะเหนื่อยล้าแต่ก็ไม่มีใครหลับลง ดวงตาทั้งสองคู่กำลังจับจ้องไปในจุดเดียวกัน...คือประตูบานใหญ่ที่ทำให้รู้สึกเหมือนว่าเวลามันเดินช้าลง
“คนไหนคือญาติของนางพรทิพย์ครับ”
คุณหมอคนที่มารับน้าพรเข้าไปร้องถามทันทีที่เปิดประตูออกมา บอยกับพลัสที่เห็นดังนั้นก็วิ่งเข้าไปหาโดยไม่รอให้ถามซ้ำสอง
“ผมเองครับ น้าผมเป็นยังไงบ้างหมอ”
พลัสตอบหมอแล้วถามกลับไปแทบจะทันที นายแพทย์ที่ค่อนข้างมีอายุยิ้มให้กับญาติคนไข้ แต่ว่ามันก็ไม่ช่วยยืนยันได้เลยว่าน้าพรจะไม่เป็นไร
“ใจเย็นๆนะครับ ก่อนจะตอบอะไรผมคงต้องขอคุยกับพวกคุณก่อน เชิญทางนี้ครับเดินตามผมมาเลย”
หมอว่าแล้วเดินนำพวกเขาไปยังห้องตรวจที่ทำให้พลัสรู้สึกไม่สบายใจหนักขึ้น บอยจับมือของพลัสไว้พยายามบอกร่างบางว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ จึงทำให้พลัสพอที่จะสงบใจไม่เข้าไปตะคอกถามหมออีก
“ก่อนอื่นอาการทางสมองของคนไข้ไม่มีอะไรน่าห่วงนะครับ โชคดีที่หัวไม่ได้กระแทกแรงมากนัก”
“น้าคว้าราวบันไดไว้ได้ครับ...แต่หัวก็ยังฟาดอยู่ดี”
พลัสอธิบายออกไปจนทำให้หมอหมดข้อสงสัยในเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ทำให้ความจริงจังและความเครียดบนใบหน้าของหมอทุเลาลงเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ...แต่หมอเป็นห่วงเรื่องของหัวใจมากกว่า”
“หัวใจ? หมายความว่ายังไงครับ?”
พลัสถามด้วยความไม่เข้าใจ น้าพรหมดสติเพราะตกบันไดนะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องหัวใจ หมอมองอาการของพลัสก็พอเดาได้ลางๆ เขาอยากเคารพการตัดสินใจของคนไข้แต่มันก็อยู่ในจุดที่เขาไม่สามารถปล่อยไปได้อีก
“คุณพรทิพย์...ป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ครับ”
“...!!”
“ถ้าดูจากบันทึกการรักษา เธอคงรู้ตัวมาได้สักพักแล้วแต่ไม่ได้บอกคุณ”
พลัสเงียบไปดวงกลมๆนั่นก็นิ่งค้าง บอยมองหน้าของพลัสด้วยความเป็นห่วงจับใจแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการอยู่เคียงข้างกันอย่างนี้
“ผมติดต่อแพทย์เจ้าของไข้ไว้แล้วท่านกำลังเดินทางมา ตอนนี้ผมทำได้แค่ช่วยเหลือในเบื้องต้นเท่านั้นครับ แต่หลังจากนี้คงต้องใช้การตรวจและรักษาที่เฉพาะทางมากขึ้น”
“...”
“คุณครับ คุณโอเคไหม”
หมอถามย้ำอีกครั้งเพราะเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลยจนชายหนุ่มอีกคนข้างๆกันต้องบอกว่าจะรับฟังไว้แทนบอยพาพลัสออกมาจากห้องนั้นแล้วเดินไปยังห้องพักฟื้นที่มีร่างของน้าพรนอนหลับไม่ได้สติอยู่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยริ้วรอยและซีดเซียวไม่ต่างจากร่างบางที่ถึงแม้จะไม่ได้ป่วยแต่อาการกลับย่ำแย่
“นี่สินะ...ที่น้าพยายามปิดผมมาตลอด”
“...”
“ทำไมครับ ทำไมน้าไม่พูด...หรือว่าน้าอยากให้ผมรู้สึกผิดตอนที่น้าอาการหนักกว่านี้รึไง”
“พลัส...”
“หรือว่าน้ากลัวว่าผมจะดีใจถ้าได้รู้ว่าน้ากำลังป่วย แถมยังเป็นโรคหัวใจเหมือนกับที่แม่เป็น แต่น้าคิดผิดนะครับ”
“...”
“เพราะผม...ไม่ได้ดีใจเลยสักนิดเดียว”
น้ำตาของพลัสยืนยันคำตอบนี้ได้เป็นอย่างดี บอยโอบไหล่ที่สั่นไหวของพลัสไว้แล้วให้เวลาร่างบางได้ระบายมันออกมาจนหมด เขาไม่รู้ว่าพลัสกำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่มันก็คงมากมายเสียจนสามารถทำลายทิฐิในหัวใจคนเราได้...พลัสกำลังร้องไห้ให้กับคนที่เกลียด คนที่ทำร้ายความรู้สึกของตนมานาน
“น้าต้องฟื้นนะ ฮึก น้ายังไม่ได้ชดใช้ให้ผมกับแม่เลย”
ความต้องการของพลัสในคำพูดนั้นเป็นความจริงอยู่แค่ครึ่งเดียว เขาอยากให้น้าพรฟื้นขึ้นมาแต่ก็ไม่อาจหาข้ออ้างใดๆให้กับคำพูดนั้นได้ดีไปกว่านี้
เขาไม่กล้าบอกว่าอยากให้น้าฟื้นขึ้นมาเพื่อจะขอโทษ
เขาไม่กล้าบอกว่าอยากให้น้าฟื้นขึ้นมาเพื่อจะบอกว่าเขาเสียใจ
“น้าพรจะต้องไม่เป็นไรพลัส...เขาจะต้องไม่เป็นไร”
พลัสพยักหน้ารับคำปลอบโยนนั้นแต่หัวใจมันก็ยังอ่อนล้า ร่างบางส่งข้อความไปบอกพ่อแล้วนั่งเฝ้าน้าพรอยู่ข้างๆเตียงโดยมีบอยอยู่เคียงข้างไม่ห่างไปไหน จนกระทั่งชายมีอายุคนหนึ่งในชุดเสื้อกราวสีขาวจะเดินเข้ามาพร้อมกับถือชาร์ตคนไข้เอาไว้ในมือ
“สวัสดีครับ ผมเป็นหมอเจ้าของไข้คุณพรทิพย์เองนะครับ”
ร่างบางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกแล้วยกมือไหว้คนอายุมากกว่าอย่างนอบน้อม เช่นเดียวกับบอยที่ลุกขึ้นมายืนซ้อนเขาอยู่ทางด้านหลัง
“ผมได้ข้อมูลการรักษาที่ห้องฉุกเฉินมาแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ศีรษะไม่ได้กระทบกระเทือนมาก ที่หมดสติไปน่าจะมีจากความเหนื่อยล้าแล้วก็ระดับความดันที่ผิดปกติ...บอย รู้รึเปล่าว่าคุณพรทิพย์ได้กินยาตรงเวลาทุกครั้งไหม”
พลัสขมวดคิ้วแน่นเมื่อจู่ๆหมอก็เปลี่ยนไปพูดคุยกับคนนอกที่ถูกเขาลากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ใช่...บอยเป็นคนนอกแล้วทำไมหมอถึงพูดเหมือนกับว่าบอยรู้เรื่องทุกอย่าง
“เท่าที่ผมรู้มาก็กินครบนะครับ ผมเตือนแกเรื่องนี้อยู่ตลอด”
บอยตอบออกไปโดยไม่มองหน้าพลัส อันที่จริงน่าจะเรียกว่าไม่กล้ามองมากกว่า เพราะสิ่งที่เขาพยายามปกปิดมานานมันกลับกำลังถูกเปิดเผยออกมาในสถานการณ์ที่ไม่สวยงามเลยสักนิด
“ถ้าเป็นแบบนั้นหมอก็สบายใจ แต่ยังไงคืนนี้คงต้องให้พักดูอาการที่นี่ก่อนยังให้กลับบ้านไม่ได้นะ”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นขอให้พักในห้องพิเศษเลยนะครับ”
“ได้เดี๋ยวหมอจะจัดการให้”
หลังจากหมอเดินออกไปพลัสก็คว้าหมับเข้าที่แขนของบอยแทบจะทันที ร่างบางบีบมันอย่างแรงไม่ใช่เพื่อระบายความโกรธหากแต่เป็นความไม่เข้าใจต่างหาก เขามึนงงและสับสนจากเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาก และบอยจำเป็นต้องอธิบาย
“ไปคุยกันที่อื่นแล้วกัน...”
บอยไม่ได้หนีแต่ก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองนัก เขาเดินไปฝากน้าพรกับพยาบาลก่อนจะขอตัวพาพลัสออกมายืนคุยกันด้านนอกที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แต่ถึงอย่างนั้นบอยก็ยังเห็นมันได้ชัด...ดวงตาของพลัสที่มีแต่ความไม่เข้าใจ
“มึง...อยากรู้เรื่องไหนก่อน”
“ถามอย่างนี้แสดงว่าพี่มีเรื่องปิดบังผมอยู่มากเลยสินะ”
“...”
“...”
“ใช่”
บอยยอมรับออกมาอย่างจำนนโดยที่ในหัวกำลังคิดถึงเรื่องราวในวันนั้น วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ทั้งความรัก...และการเฝ้ามองที่ยาวนานเหลือเกิน
.
.
.
.
.
.
.
กลางคืนเป็นเวลาที่ทุกคนควรได้รับการพักผ่อน แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้หลับไม่ได้นอนหากแต่ยังคงต้องออกมาทำมาหากินไม่ต่างจากพวกคนที่ทำงานช่วงกลางวัน
“ป้าครับ เอาโจ้กพิเศษสอง ใส่ตับเยอะๆนะ”
บอยที่เพิ่งเลิกงานได้ไม่นานเดินมาสั่งโจ้กเจ้าประจำด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แน่ล่ะวันนี้ถือว่าโชคดีที่คิวไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นกว่าที่เขาจะได้ลิ้มรสเจ้าอร่อยคงกินเวลานอนไปนานโข
“วันนี้เลิกเร็วนะบอย ที่โรงแรมไม่ยุ่งหรอ”
พรทิพย์ หรือที่ใครๆมักจะเรียกกันว่าป้าพร ถามไถ่ชายหนุ่มด้วยความสนิทสนม เพราะหากพูดถึงคนที่ทำงานดึกๆอย่างบอยแล้วจะหาร้านอาหารอร่อยๆกินตอนนี้ก็เป็นไปได้ยาก ทำให้บอยมาฝากท้องไว้ที่ร้านโจ้กนี้แทบทุกวันแต่ก็นะมันอร่อยมากจนเขาไม่คิดเบื่อเลย
“ครับ วันนี้แขกไม่เยอะมาก หัวหน้าเขาเลยให้ผมกลับมาก่อน”
“ดีแล้วล่ะนะ ป้าเห็นเราทำงานหนักแบบนี้ก็นึกว่าจะรีบเก็บเงินไปแต่งเมียที่ไหน ได้พักซะบ้างก็ดีเดี๋ยวจะพาลล้มป่วยไปก่อน”
เธอพูดกับบอยด้วยความห่วงใยในขณะที่มือก็ทำโจ้กให้ร่างใหญ่ไปด้วย ทั้งคู่คุยกันสัพเพเหระ หลังจากบอยกินเสร็จเขาก็ลุกมาช่วยพรเสิร์ฟโจ้กและเก็บโต๊ะบ้างแม้ว่าเธอจะร้องห้ามแต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดฟัง บอยพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้นแล้วนั่งลงตรงแถวๆท่อระบายน้ำเพื่อเทน้ำที่ใช้ล้างจานทิ้งเป็นงานสุดท้ายที่เขารับปากป้าพรแล้วว่าจะทำให้ ค่ำคืนนี้คงยังอีกยาวไกลสำหรับป้าพร แต่สำหรับบอยขอกลับไปนอนเอาแรงก่อนแล้วกันนะ
“อ้าวพลัส มาทำอะไรที่นี่เนี่ย!!”
เสียงร้องเฮ้วของพรดังขึ้นทำให้บอยที่กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหลังร้านต้องหันกลับไปมอง เขาเห็นแผ่นหลังของคนคนหนึ่งยืนอยู่เผชิญหน้ากับป้าพรที่กำลังบ่นไม่หยุด เป็นเด็กผู้ชายน่าจะอยู่สักมอปลายเพราะตัวเล็กกว่าเขามากแต่ที่ทำให้แปลกใจก็คือเด็กคนนี้มาที่นี่ทั้งที่ยังสวมใส่ชุดนอน
“ก็พลัสหิวอ่ะน้าพร เมื่อเย็นงอนพ่อนิดหน่อยเลยกินข้าวไปแค่นิดเดียว”
“แล้วทำไมไม่หาอะไรในบ้านกิน ออกมาดึกดื่นแบบนี้ได้ยังไง แล้วแม่เรารู้ไหม ตายๆๆๆ มานี่เลย มาให้น้าตีก่อน!”
ป้าพรว่าแล้วแกล้งเอากระบวกตักโจ้กที่อยู่ใกล้ๆมาทำท่าจะตีเด็กคนนั้น แต่แทนที่จะสำนึกกลับมีเสียงหัวเราะอย่างนึกขันดังขึ้นแทนที่ บอยหันกลับไปล้างมือที่ยังเปื้อนของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินไปหาป้าพรที่เอาความจริงก็ไม่กล้าตี อยากเห็นเหมือนกันนะว่าคนที่ทำให้ป้าแกต้องบ่นเป็นหมีกินผึ้งหน้าตาเป็นยังไง
“ป้าครับ ผมทำเสร็จแล้วนะ”
“เอ้าบอย ขอบใจนะจ๊ะ ลำบากแย่เลย”
พรละสายตาจากคนที่เธอกำลังบ่นอยู่แล้วหันมาพูดกับบอย แต่สายตาของบอยตอนนี้กลับจับจ้องไปยังใบหน้าหมดจดของคนที่ยืนส่งยิ้มมาให้ ดวงตากลมๆที่เหมือนมีอะไรส่องประกายอยู่ในนั้น และริมฝีปากแดงเป็นกระจับได้รูปที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตา...
“บอยรอป้าแปปนึงนะ เดี๋ยวป้าทำโจ้กใส่ถุงให้ ตื่นเช้ามาจะได้กิน”
ไม่พูดเปล่าพรรีบหันไปทำโจ้กให้ชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอเสมอ โดยมีพลัสที่มายืนเลียบๆเคียงๆอยู่ข้างๆไม่ห่าง
“น้าพรๆ ทำให้ผมบ้างสิ ผมก็หิวเหมือนกันนะ”
“ไม่ต้องเลยนะเรา รีบกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เลยไม่รู้รึไงว่ามันอันตราย”
“กลับก็ได้ แต่ขอโจ้กสักถุงก่อนกลับได้ไหม ผมหิวจริงๆนะ เนี่ยๆ ท้องร้องเลยได้ยินไหม”
พลัสว่าแล้วทำท่าเหมือนจะแหวกสาบเสื้อนอนของตัวเองออก อย่างกับว่ามันจำทำให้ได้ยินเสียงท้องที่ร้องโครมครามอยู่ข้างในนั้นได้ พรมองแล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในขณะที่บอยที่มองอยู่อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา
“พี่ขำผมหรอ”
คำพูดของพลัสทำเอาบอยสะดุ้งโหย่ง ยิ่งเมื่อดวงตากลมๆที่เขาชอบนั้นกำลังจับจ้องมายังชายหนุ่มอย่างไม่พอใจเล็กๆ
“ปะ เปล่า”
“เปล่าอะไร ก็ได้ยินอยู่ว่าพี่ขำ”
“ก็ถ้าได้ยินแล้วจะถามทำไมล่ะ”
บอยลองพูดกวนกลับบ้าง เอาสิ เรื่องกวนเขาก็ไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ
“พอเลยๆทั้งคู่ อ่ะบอยน้าใส่ปาท่องโก้ตัวเล็กเพิ่มไปให้อีกนะ ส่วนนี่ของพลัสโจ้กธรรมดาไม่ใส่ผักไม่ใส่ไข่ใส่หมูแค่ก้อนเดียว”
“เอ้า อะไรอ่ะน้าพร ทำไมของผมเป็นแบบนี้อ่ะ”
“ลงโทษจ๊ะ ฮ่าๆ เอ้า ได้ของกินก็กลับไปได้แล้ว”
พรโบกมือไล่พลัสแต่ก็ยังยิ้มให้ลูกชายของเพื่อนสนิทด้วยความห่วงใย พลัสก็ได้แต่ยกมือไหว้ทั้งที่ยังทำหน้างงก่อนจะเดินออกไปที่ถนนโดยมีบอยเดินตามมาอยู่ห่างๆ
“นี่”
“...”
“นี่เธอ”
“ผมชื่อพลัสครับ ชื่อพลัสไม่ได้ชื่อเธอ”
ร่างบางหัสมาพูดกับบอยด้วยใบหน้าที่ยังงออยู่เหมือนเดิม คนตัวโตกว่าเห็นแบบนั้นก็ยิ้มอ่อน เขารู้สึก...เอ็นดูภาพแบบนี้เอามากๆ
“จะกลับบ้านยังไง เอารถมารึเปล่า”
“เปล่า ผมเดินมา”
“แล้วจะเดินกลับ?”
“อืมก็ใช่น่ะสิ พี่นี่ถามแปลกๆ”
พลัสว่าก่อนจะขำออกมาเบาๆ ร่างบางหมุนตัวกลับแล้วเดินต่อไปแต่ก็ได้เพียงไม่กี่ก้าวก่อนมันจะถูกหยุดไว้ด้วยคำพูดของบอย
“บ้านอยู่ไหนล่ะ...ให้พี่ไปส่งไหม”
.
.
.
.
.
พลัสยกมือขอเวลานอกทันทีที่บอยเล่าเรื่องราวการพบกันระหว่างพวกเขาที่ร่างบางจำมันไม่ได้เลยสักนิด ไม่สิ...ไม่มีอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ
“พี่จะบอกว่าพี่รู้จักผมมาตั้งแต่ตอนนั้น”
“ใช่...ก็ตั้งแต่สมัยที่กูยังเป็นลูกน้องเขาอยู่”
บอยว่าไปตรงๆ เขาพยายามรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ทั้งที่ในใจไม่ใช่เลยสักนิด หลักฐานที่ปรากฏก็คือใบหน้าที่เคยดุดันเสมอตอนนี้กลับขึ้นสีจนสังเกตได้ ไหนจะใบหูที่แดงขึ้นจนน่าขำนั่นอีก แต่นั่นก็ทำให้พลัสไม่เข้าใจมันอยู่ดี
“แล้วมันยังไงกับการที่พี่รู้จักผมตั้งแต่ตอนนั้น”
“...”
“พี่บอย”
“ก็ไม่ยังไง...กูก็แค่มองดูมึงมาตลอด”
“...!!”
“เวลาที่มึงมาช่วยป้าพรเตรียมร้าน เวลาที่กูบังเอิญเห็นมึงเวลาขับรถผ่านไปแถวๆบ้าน...แล้วก็เวลาที่มึงพาแฟนไปเที่ยว”
“แฟน?”
พลัสลองนึกย้อนกลับไป แน่นอนว่าเขาก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาจะมีแฟนมาบ้างก็คงไม่แปลก ถึงแม้เรื่องที่เขาชอบผู้ชายด้วยกันจะมาแสดงออกอย่างชัดเจนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เถอะ แล้วทำไม...
“พูดขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกหรอว่ากู...คิดกับมึงยังไง”
“...”
“ตั้งแต่วันนั้นกูก็คิดถึงมึงมาตลอด แต่มึงจำกูไม่ได้เลยสินะ”
มันไม่ใช่คำพูดตัดพ้อ หากแต่มันสะท้อนความอ่อนล้าออกมาอย่างที่พลัสไม่เคยได้ยินจากคนคนนี้ บอยยังคงยิ้มให้เขาอยู่แต่มัน...เศร้าเกินไป
“ส่วนเรื่องป้าพรกูก็ได้คุยกับเขาตลอด ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่กูก็พอรู้มาบ้างว่าเขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านแล้วก็อยู่กินกับพ่อมึงทั้งที่แม่มึงเพิ่งตาย มันคงไม่ยุติธรรมถ้ากูจะพูดแบบนี้...แต่ในฐานะคนที่เห็นป้าพรมาตลอดกูกล้ายืนยันว่าป้าเขาก็ไม่ได้มีความสุขกับมันมากนัก...ป้าพรยิ้มน้อยลง ทำงานหนักขึ้นจนกูต้องหาเวลาไปช่วยบ่อยๆแต่ก็ทำไม่ได้มากเพราะงานที่โรงแรมของกูก็มีเหมือนกัน”
“แล้วพี่ก็เจอผมอีกครั้งที่นั่น...ทำไมพี่ไม่บอกว่าเคยรู้จักผมครับ”
พลัสถามด้วยความสงสัย เพราะถ้าหากว่าบอยชอบเขาตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่น่าทิ้งโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกัน แต่ทันทีที่ถามจบใบหน้าของบอยก็เศร้าหมองลง เขามองขึ้นไปยังตึกของโรงพยาบาลแล้วคิดถึงคนที่กำลังหลับไม่ได้สติ
“เพราะขี้ขลาดล่ะมั้ง กูน่ะ”
“...!!”
“ใครจะไปกล้าพูดในเมื่อคนที่แอบมองมาหลายปีจำเราไม่ได้ แถมยังทำท่าเหมือนกับกลัวเรามากทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรให้ด้วยซ้ำ...แล้วที่สำคัญ”
‘บอย...ป้าฝากดูแลน้องด้วยนะลูก’
“เพราะว่าป้าพร...เขารักมึงมาก”
บอยหันมามองหน้าพลัสที่ถึงแม้จะเริ่มเข้าใจกับเรื่องราวบ้างแต่มันก็ยังคงหนักหนาเกินไปอยู่ดี ร่างใหญ่เดินเข้ามาใกล้ๆก่อนจะซบหน้าลงไปบนบ่าเล็กของคนที่ครอบครองหัวใจของเขามานานแต่ความรู้สึกนั้นมันก็ไร้ค่าเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้...คนที่ไม่เคยรู้สึกถึงหรือแม้แต่จะสังเกตเห็น
“กู...ไม่มั่นใจในอะไรสักอย่าง ทั้งความรู้สึกของมึง การยอมรับของน้าพรหรือแม้แต่ตัวกูเอง...กูไม่กล้าพลัส...เลยทำได้แค่มองมึงอยู่อย่างนี้ แต่สุดท้ายกูก็ทำพลาดไปจนได้”
“...”
“กูทำร้ายมึง ทำลายความเชื่อใจของป้าพรที่ฝากฝังมึงไว้...เขาขอให้กูดูแลมึงให้ดี เขาโทรถามกูทุกครั้งว่ามึงเลิกงานรึยังมีใครมารังแกบ้างไหม แล้วเขาก็ขอให้กูไม่บอกใครว่าเขากำลังป่วย...เขาขอชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปแค่เพียงคนเดียว”
เรื่องราวต่างๆประติดประต่อเข้าหากัน ช่วงเวลาที่บอยหายหน้าไปซึ่งตรงกับช่วงที่น้าพรหยุดงาน สาเหตุที่บอยไม่เคยเข้ามาส่งเขาถึงหน้าบ้าน และเหตุผลที่บอยรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาแทบจะทุกอย่าง
“สโตกเกอร์จริงๆด้วยสินะ”
“...!!”
“บ้าจริงๆ...ทั้งพี่ทั้งน้าพรเลย”
พลัสพูดทั้งที่ยังร้องไห้ออกมา แต่ถึงอย่างนั้นมือเล็กๆนั่น...กลับยกขึ้นแล้วโอบกอดบอยกลับไปโดยไม่คิดปล่อยแม้สักวินาที
(มีต่อเม้นต์ล่าง)
-
เอกสารเกี่ยวกับรูปแบบโรงแรมถูกแจกจ่ายให้กับพนักงานทุกคนที่เข้าประชุมในวันนี้ คณิตที่เป็นหัวหน้าทีมลุกขึ้นยืนและอธิบายมันให้ทุกคนฟังอีกครั้งด้วยท่าทางจริงจังท่ามกลางสายตาของลูกน้องที่มองมาอย่างชื่นชม
จนกระทั่ง...
“ขอโทษครับ โทรศัพท์ผมเอง”
คณิตบอกขอโทษทุกคนอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นกลางทีประชมเป็นครั้งที่สาม ถึงจะไม่แสดงออกมาเพราะเขาเป็นลูกของเจ้าของแต่คณิตก็ยังรู้สึกถึงสายตาตำหนิที่มองมาได้อยู่ดีโดยเฉพาะจากคนที่อายุมากกว่า ชายหนุ่มเดินไปยังเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วถอนหายใจเมื่อเห็นว่าชื่อของใครปรากฏอยู่บนนั้น
“อิงอรจัดการให้ผมที”
เขาส่งมันให้กับอิงอรด้วยอาการหัวเสีย ทั้งเรื่องที่ปูนโทรมาไม่หยุดทั้งที่ไม่มีธุระอะไร แล้วก็เรื่องที่เขาไม่อาจปิดเสียงโทรศัพท์ได้เพราะกำลังรอสายคอนเฟิร์มงานจากลูกค้า หญิงสาวรับมันมาแล้วขอตัวออกไปคุยด้านนอกเพื่อให้การประชุมออกไปได้ และทันทีที่ก้าวพ้นออกมาจากประตูห้องเธอก็รีบกดรับสาย
“ปูน นี่พี่อิงนะ”
“อ่ะ สวัสดีครับพี่ แล้วพี่นิดอยู่ไหนครับ ทำไมให้พี่มารับสาย”
อาการถามเป็นชุดของปูนไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวกระวานกระวายมากแค่ไหนเธอเองก็อยากจะเข้าข้างปูนหรอกนะ ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นในเวลางานแบบนี้...
“คุณคณิตทำงานอยู่จ๊ะ ติดประชุมเลยให้พี่มารับสายแทน”
“เรื่องด่วนมากเลยหรอครับ ปูนโทรไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่ด่วนแต่สำคัญมากจ๊ะ แล้วปูนล่ะมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า”
อิงอรไม่ได้ตั้งใจจะพูดกระทบ แต่คนที่หวังแค่โทรมาเช็คเฉยๆกลับรู้สึกเหมือนมันคือมือที่บีบคอเขาจนพูดไม่ออก ร่างเล็กอ้ำอึ้ง มือที่กำกันไว้ที่หน้าตักบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนมันสั่น...แต่ปูนก็ควบคุมไม่ได้
“เปล่าครับ...ขอโทษนะครับพี่อิงที่โทรมารบกวน”
“ไม่เป็นจ๊ะ เอาไว้ถ้าประชุมเสร็จพี่จะบอกให้คุณคณิตโทรหานะ”
ปูนบอกขอบคุณเธออีกครั้งก่อนจะตัดสายไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก และถึงแม้อิงอรจะไม่ได้ตำหนิอะไรเขาก็พอจะรู้ว่าการกระทำของตัวเองนั้นคงสร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครไม่น้อยโดยเฉพาะคณิต...ปูนไม่อยากเป็นอย่างนี้ ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครแต่เพราะความกลัวจากคำพูดของเมษาและเรื่องราวบางอย่างที่เขาอยากจะลืมแต่มันกลับหวนกลับมา
เขากลัว...กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน
“ทำไมทุกอย่างมันถึงเป็นแบบนี้”
ความสุขแสนหอมหวานที่เขารับมาจางหายไปราวกับว่ามันเป็นเพียงความฝัน ปูนมองไปรอบๆห้องที่เคยอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ในหูเพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยินมันอีกแล้ว
เขาไม่รู้ว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน...ต้นเหตุที่ทำให้คณิตมองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมปูนไม่รู้จริงๆว่ามันคืออะไร ทั้งที่เรารักกัน แต่คำว่ารักที่คณิตมอบให้เป็นครั้งแรกกลับไม่ได้ทำให้เขาสบายใจอย่างที่คาด...ทั้งที่คณิตยังอยู่ข้างๆแต่ปูนกลับรู้สึกอ้างว้าง...ยิ่งกว่าตอนที่อยู่คนเดียวเสียอีก
‘มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้’
ปูนคิดถึงคำพูดของโต้งที่บอกกับเขาไว้ก่อนที่จะจากไป ร่างเล็กรู้สึกลังเล...เขาไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวให้คนใกล้ตัวคณิตรับรู้มากสักเท่าไหร่ ตัวเลือกของปูนจึงจบลงที่นามบัตรอีกใบที่โต้งบอกว่าเป็นเพื่อนของตัวเองอีกที
เด็กหนุ่มเปิดโปรแกรมแชทแล้วแอดไอดีที่ถูกระบุไว้ในนั้นแทนการติดต่อทางเบอร์โทรศัพท์เพราะสภาพจิตใจของเขาตอนนี้ปูนไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะไม่ร้องไห้ออกมาเมื่อต้องพูดถึงมัน เพียงแค่กดเพิ่มเพื่อนไปรูปโปรไฟล์ของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นมา มันเป็นรูปภาพสีดำที่มีจุดเล็กๆสีออกขาวเหลืองอยู่ตรงกลางภาพ...พระจันทร์งั้นหรอ
‘สวัสดีครับ’
ปูนเผลอสะดุ้งเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็ทักเขาขึ้นมาก่อน ร่างเล็กมองมันอย่างลังเลจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายแต่เพราะต้องการระบายเขาจึงตอบกลับไปในที่สุด
‘สวัสดีครับ…’
‘น้องของโต้งใช่ไหมครับ’
‘ครับ...พี่โต้งบอกหรอครับว่าผมจะติดต่อมาหา’
‘ครับ พี่ดีใจนะที่เราติดต่อกลับมา’
ปูนขมวดคิ้วน้อยๆเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาแบบนั้น ดีใจ? ทำไมกัน?
‘พี่เป็นจิตแพทย์เหมือนพี่โต้งหรอครับ’
‘ป่าวหรอก พี่เป็นแค่คนธรรมดาน่ะ’
‘อ้าว...’
*สติ๊กเกอร์หมีสงสัย*
‘แต่การมีเพื่อนคุยดีๆสักคนก็ไม่เลวนักหรอกนะ ว่าไหม”
ปูนเผลอยิ้มออกมาเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายว่าเขาก็เห็นด้วยกับมัน เหมือนอย่างในตอนนี้ที่ปูนเลือกจะพิมพ์ข้อความไปหาคนที่เขาไม่รู้จักและอีกฝ่ายก็ไม่รู้จักเขาเช่นกัน โดยที่ทางนั้นเป็นคนเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองก่อนเพื่อให้ปูนรู้สึกไว้ใจ
เพื่อนของพี่โต้งคนนี้บอกว่ากำลังออกเดินทางอยู่ในต่างประเทศก็คงเป็นพวกลูกคนรวยล่ะมั้ง คงไม่ต่างจากคณิตและกลุ่มเพื่อนสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ปูนรู้สึกว่าการคุยกับคนคนนี้สนุกและน่าสนใจก็คือคำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกใหม่ที่อีกฝ่ายพบเจอในทุกๆที่ที่ได้ไป
‘แล้วพี่ทำยังไงอ่ะ ได้ไปแจ้งตำรวจที่นั่นไหม’
‘ไม่ได้แจ้งหรอก เสียเวลาน่ะตำรวจที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากที่ไทยสักเท่าไหร่ พี่ผิดเองด้วยที่คิดว่าเด็กนั่นคงไม่กล้าทำอะไร ที่ไหนได้เผลอแปปเดียวหยิบถุงของพี่ไปเฉยเลย’
‘ถ้ามันเปิดมาเห็นว่าในถุงนั่นมีแต่กระดาษที่จะเอาไปทิ้งคงโมโหน่าดู”
‘ก็นะ อย่างน้อยถุงของกระเป๋าแบรน์เนมนั่นก็น่าจะพอขายได้’
ผู้ชายคนนี้แสร้งทำเป็นมองโลกในแง่ดี แต่การคุยกันมากว่าชั่วโมงแม้จะไม่ได้เห็นหน้าก็พอจะทำให้ปูนเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ปูนรู้สึกสบายใจเข้าไปอีก
‘แต่มันก็แย่นะพี่ อายุแค่นี้ริอาจจะเป็นโจรแล้ว’
‘เขาก็คงมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นนั่นแหละ เพียงแต่เราไม่รู้’
สิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาทำให้นิ้วของปูนชะงัก เหตุผลของสิ่งที่ทำงั้นหรอมันมีแน่นอนอยู่แล้วแหละ...เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่สนใจมัน
‘ใจดีจังนะครับ เขาทำพี่แบบนี้ยังไปสงสารเขาอีก’
‘พี่ไม่ใช่คนใจดีหรอก แถมไม่ใช่คนดีด้วย แค่ไม่อยากทำพลาดซ้ำสองน่ะ’
‘พลาด?’
‘ครั้งหนึ่งเคยตัดสินคนคนหนึ่งไปโดยไม่คิดจะรับฟังเขาเลย’
หากตัวอักษรพวกนี้เปล่งเสียงออกมาได้ ปูนสงสัยว่าเสียงของมันจะเป็นแบบไหน เศร้าสร้อย เสียใจ หรือเสียงหัวเราะอย่างเย้อหยันกันแน่นะ...
‘แฟนพี่หรอ?’
‘ประมานนั้นครับ’
‘เลิกกันแล้วหรอ’
‘อืม...ยังเสียใจมาถึงทุกวันนี้เลย’
แม้จะเพิ่งรู้จักกันและไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ปูนกลับรู้สึกเศร้าไปด้วยอย่างน่าประหลาด อาจจะเพราะความกลัวที่สุมอยู่ในหัวใจของเขาที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยล่ะมั้ง มันเลยอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากวันหนึ่งเขาและคณิตจะต้องจากกันด้วยความไม่เข้าใจแบบนี้บ้าง...เขาจะเป็นยังไง
‘ถ้าเสียใจทำไมไม่กลับไปหาเขาล่ะ’
‘กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ทั้งเขาและพี่ เราต่างก็เดินจากกันไปไกลแล้ว เขามีชีวิตใหม่พี่เองก็เหมือนกัน เพียงแค่พี่อยากมีโอกาสสักครั้งที่จะได้บอกเขาว่า...ขอโทษที่วันนั้นเราไม่ได้คุยกันมากกว่านี้’
ฝ่ายนั้นเงียบไปเหมือนกับปูนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อความสัมพันธ์จบลงย่อมมีคนที่เสียใจเพราะมันเกิดขึ้นเสมอ แต่มันก็น่าแปลกใจว่าทั้งๆที่เราต่างก็รู้ดีถึงความรู้สึกที่จะตามมา แต่มันก็ยังเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
‘เล่าได้ป่ะ...ว่าพวกพี่ทะเลาะกันเรื่องอะไร’
พอปูนถามอีกฝ่ายก็เงียบไปพักใหญ่จนร่างเล็กถอดใจไปแล้วว่าเขาคงไม่ได้รับคำตอบ แต่ก่อนที่ปูนจะกดปิดหน้าจอ ตัวหนังสือบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
‘พี่ละเลยเขาครับ’
‘…’
‘ตอนนั้นพี่มีอะไรหลายอย่างต้องทำ พี่ไม่มีเวลาไปหา ไม่มีเวลาไปอยู่ใกล้ๆ แถมเวลาเจอหน้ากันเขาก็มักจะพูดแต่เรื่องดีๆให้พี่สบายใจ ไม่เคยว่าพี่สักครั้ง ทั้งๆที่พี่เป็นคนผิด’
‘เพราะแค่นั้นเขาเลยทิ้งพี่หรอ แย่ชะมัด’
‘ตอนแรกพี่ก็คิดแบบเรานะ พี่เสียใจและโทษเขาว่าทำไมทำกับพี่แบบนี้ พี่โกรธที่สุดท้ายเขาไม่เลือกพี่ โดยไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าพี่ก็ไม่ได้เลือกเขาเหมือนกัน...ถึงเขาจะเป็นคนที่เดินจากไปก่อนแต่พี่ก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะพี่ไม่เคยอยู่ข้างๆเวลาที่เขาต้องการ พี่ไม่พูด เขาก็ไม่ถาม พี่เคยคิดว่าการที่เราเป็นแบบนี้แสดงว่าเราเข้าใจกันแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย’
ภาพของเขาและคณิตลอยขึ้นมาในหัวของปูนเป็นฉากๆ จนมือที่ประคองโทรศัพท์ไว้นั้นเผลอกำกันแน่นเช่นเดียวกับหัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปม
‘พี่เสียใจที่ตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันให้มากกว่านี้ เสียใจที่เราไม่เคยทะเลาะกันเลยจนกระทั่งวันที่เราเลิกกัน...แม้ว่าสุดท้ายทุกอย่างจะลงเอยที่การจากลาเหมือนเดิมแต่อย่างน้อยพี่ก็อยากได้รับรู้ความรู้สึกของเขาบ้าง’
สติ๊กเกอร์รูปยิ้มถูกส่งมาทั้งๆที่ความรู้สึกของคนที่ส่งนั้นมันสวนทางกันสิ้นดี ปูนไม่รู้ว่าควรปลอบอีกฝ่ายยังไงเพราะเขาเองก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น อีกทั้งภาพสะท้อนที่เหมือนกันมากต่างไปแค่ตัวบุคคลและเวลา ทำให้ปูนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเตือนจากอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ร่างเล็กส่ายหน้าพยายามไล่ความกลัวที่กัดกินหัวใจออกไปก่อนจะพิมพ์คำถามถึงคนที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...พี่อยากจะทำเหมือนเดิมไหม’
ภาพๆหนึ่งถูกส่งมา มันเป็นรูปภาพของท้องฟ้ายามที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นแม้จะดูเหงาอย่างน่าประหลาดแต่มันก็สวยจนปูนเผลอยิ้มตาม
‘ไม่ล่ะ...เพราะถ้าเราไม่จากกันในวันนั้น ท้องฟ้ามันอาจจะไม่สดใสเหมือนกับวันนี้ก็ได้”
ปูนอ่านข้อความนั้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เขามองเห็นท้องฟ้าที่ถึงแม้จะไม่สดใสเท่า แต่มันก็ยังคงเป็นท้องฟ้าในวันที่เขากับคณิตยังไม่จากกันไป ร่างเล็กถามตัวเองว่าถ้าหากเขาปล่อยมือจากคณิตแล้วจะได้พบเจอกับท้องฟ้าที่สดใสเหมือนกับภาพที่ถูกส่งมา...เขาจะทำมันไหม
ไม่...คำตอบของปูนมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
.
.
.
.
.
.
คณิตกลับมาที่บ้านด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้า ทั้งความเครียดที่สะสมจากงานและความหงุดหงิดเรื่องที่ปูนโทรเข้าไปยังทำให้อารมณ์กรุ่นๆของเขายังไม่เย็นลงนัก แม้อิงอรจะบอกร่างสูงให้ใจเย็นแล้วค่อยๆคุยกับปูน แต่เพราะอาการแปลกๆของเด็กหนุ่มในช่วงนี้ทำให้เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในรถที่ดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแต่ยังไม่คิดจะก้าวลงไป เขานึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้นที่ปูนเรียกร้องคำว่ารักจากเขาด้วยสีหน้าที่แสดงความรู้เจ็บปวดอย่างน่าประหลาด เขารู้ว่ามันคงมีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะพวกเขาไม่เคยเปิดใจพูดคุยกัน รอยแผลที่ถูกปกปิดไว้เบื้องหลังรอยยิ้มที่เขาหลงรักของปูนนั้น...มันทำให้คณิตอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองช่างอ่อนแอ
“อย่าเพิ่งท้อสิวะ”
คณิตบอกกับตัวเองก่อนจะก้าวลงไปจากรถ เขาถือกระเป๋าเอกสารและเสื้อสูทไปด้วยโดยที่วันนี้ร่างสูงไม่ได้ซื้อขนมติดมือมาอย่างเคย แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปในบ้าน จู่ๆปูนที่อยู่ในชุดอยู่บ้านสวมผ้ากันเปื้อนก็วิ่งเข้ามาหาทั้งๆอย่างนั้น
“กลับมาแล้วหรอป๋า”
ร่างเล็กทักเขาแล้วรับเสื้อสูทของคณิตมาถือไว้ให้ บรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่ได้เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มอ่อนๆที่ปูนแสดงออกมาทำให้คณิตที่คิดไปเองว่าเด็กหนุ่มคงวีนเขาเรื่องวันนี้แน่ๆรู้สึกผิดคาด
“อะ อืม”
“กินข้าวเย็นมารึยัง ผมทำของโปรดป๋าไว้เพียบเลยนะ”
“ยังไม่ได้กิน”
“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ ป๋าไปรอที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวผมคดข้าวให้”
ปูนไม่ได้รอให้คณิตพูดอะไร เขาเอาเสื้อสูทไปแขวนไว้บนเก้าอี้ตัวใกล้ๆก่อนจะกลับเข้าไปในครัวทิ้งให้คณิตที่ยังงงไม่หายเข้าไปนั่งยังโต๊ะกินข้าวอย่างที่ปูนว่า พอมาถึงร่างสูงก็มองอาหารตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เพราะว่ามันเยอะมากจนไม่มีทางที่คนสองคนจะกินมันหมดได้แล้วที่สำคัญมันก็เป็นของโปรดของเขาทั้งนั้น แถมบางจานยังเป็นเมนูที่ปูนเคยบอกกับเขาว่าไม่ชอบกินมัน
รอไม่นานปูนก็เดินถือข้าวพูนๆสองจานเข้ามาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนประดับ คณิตช่วยรับมันมาถือแล้วได้รับคำขอบคุณจากปูนเป็นรางวัล
“ทำไมถึงทำกับข้าวเยอะแบบนี้ล่ะ”
คณิตถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะวันนี้ไม่ใช่วันพิเศษอะไร แถมเมื่อบ่ายก็มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีก
“ผมว่างน่ะเลยลองทำอะไรหลายอย่าง รู้ตัวอีกทีก็เต็มโต๊ะแล้ว”
ร่างเล็กว่าก่อนจะตักกับข้าวให้คณิตเป็นการเริ่มต้นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มกินข้าวไปก็มองหน้าปูนไปด้วย...ปูนดูสดใสขึ้นแม้ว่าจะไม่เท่าแต่ก่อนแต่มันก็ยังมากกว่าที่เขาเห็นเมื่อเช้า ร่างเล็กชวนเขาคุยไปเรื่อยๆโดยไม่วนเข้าไปในเรื่องที่เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ คณิตจึงตัดสินใจพูดถึงมันเป็นคนแรก
“ปูน เรื่องเมื่อบ่ายน่ะ ฉันขอ...”
“ผมขอโทษนะครับ”
“...!!”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าป๋ามีประชุมแต่ก็ยังโทรเข้าไปตั้งหลายสายทั้งที่ไม่มีเรื่องจำเป็น...ผมขอโทษนะครับ”
ปูนทำสิ่งที่คณิตไม่คาดคิดอีกครั้งและมันก็ทำให้คนที่เตรียมจะขอโทษก่อนเพื่อให้เรื่องมันจบไปได้แต่นั่งนิ่ง ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นจากจานของตัวเองก่อนจะเอื้อมมาจับมือของคณิตไว้แล้วบอกเล่าความในใจอีกครั้ง
“ช่วงนี้ผมเอาแต่ใจมาก ชอบทำให้ป๋าลำบากทั้งที่เคยบอกว่าจะเป็นกำลังให้แท้ๆ ขอโทษนะครับที่เป็นแบบนี้ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ปูนไม่ได้ร้องไห้ ใบหน้าที่เขาหลงใหลยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่บ่งบอกอะไรหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือการพยายามสมานรอยร้าวระหว่างพวกเขาในแบบของปูนที่ยอมถอยไปหนึ่งก้าวทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของร่างเล็กเลยแม้แต่น้อย
การกระทำของปูนทำให้คณิตสะท้อนใจ ในระหว่างที่ปูนกำลังพยายามทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นเขากลับเอาแต่คิดในแง่ร้ายว่าปูนคงจะทำในสิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยใจอีกครั้ง คนที่เขามองว่าเป็นแค่เด็กกลับกำลังพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็เพราะเขา ในขณะที่ผู้ใหญ่อย่างคณิตเองกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“ฉันสิที่ต้องขอโทษเธอ ปูน...พี่ขอโทษนะ”
“...!!”
“พี่รู้ว่ารอบตัวเราช่วงนี้มีแต่เรื่อง งานพี่เองก็ยุ่งเราเลยไม่ได้มีเวลามานั่งคุยกันเท่าไหร่ ทั้งที่เคยคิดไว้ว่าจะดูแลเราให้ดีแต่ก็ยังทำไม่ได้ ขอโทษนะ”
คำขอโทษจากคณิตเปลี่ยนให้รอยยิ้มของปูนกลายเป็นรอยน้ำตา ร่างเล็กร้องไห้ออกมาแต่ไม่ใช่เพราะความเศร้าใจซึ่งคณิตก็เข้าใจมันได้เลยลุกขึ้นมาโอบกอดปูนไว้แล้วโยกตัวไปมาเพื่อปลอบโยน
“ปูนผิดเอง ฮึก ทุกเรื่องเลย ปูนผิดเอง”
“เด็กบ้า มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
คณิตฟังคำกล่าวโทษตัวเองของปูนแล้วพูดแย้งไป เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าที่สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะความไม่มั่นคงของพวกเขาทั้งสองคนนั้นแหละ หากเปรียบกับสิ่งที่ขิงเคยพูด เขาก็คงเป็นคนที่หวั่นไหวแต่กลับไปยืนอยู่ในจุดเดิมไม่ได้ ส่วนปูนเองก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เดินมาหาเขาไม่ได้อย่างเคย
“ป๋า”
“หื้ม?”
“ผมมีเรื่องมากมายเลยที่อยากจะบอก...แต่มันยาก ฮึก มันยากจริงๆ”
มือที่กำเสื้อของเขาไว้แน่นบ่งบอกถึงความอัดอั้นที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในร่างกายเล็กๆนี้ คณิตลูบแผ่นหลังของปูนไปมาเพื่อปลอบใจทั้งคนรักและตัวเขาเอง
“ถ้าเธอยังไม่พร้อม...ก็ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่...”
“เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน ถ้าวันไหนที่เธอพร้อมจะเล่า...ฉันก็จะอยู่ตรงนี้...จะอยู่ข้างเธอและรับฟังมันเอง”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้...ไม่ใช่ว่าอยากใจอ่อนแต่คณิตอยากก้าวผ่านมันไปให้ได้ อย่างน้อยในวันนี้เขาอยากกอดปูนไว้โดยไม่ต้องคิดอะไร เพราะร่างเล็กกำลังพยายามมากเหลือเกินที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้แม้กระทั่งยอมเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง...ปูนพยายามมากเกินไปจริงๆ
คณิตรู้ว่าการยอมปล่อยไปแบบนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่การยอมให้ทุกอย่างพังลงมาในคราวเดียวแล้วหวังจะประกอบมันใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย หัวใจของคนเรามันเปราะบางไม่ต่างจากแก้วหรอก...หากยังไม่เข้มแข็งพอก็คงแทบจะไม่มีทางที่จะทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ฉันจะเข้มแข็งขึ้นนะปูน...เข้มแข็งพอที่จะยอมรับทุกอย่างของเธอได้”
คณิตบอกความหมายมาดของตัวเองให้ปูนรู้แล้วตั้งใจทำมันนับตั้งแต่วันนั้น เวลามีอะไรไม่สบายใจพวกเขาก็มักจะบอกกัน คณิตพยายามให้เวลากับปูนมากขึ้นแม้ว่างานที่ทำจะรัดตัว ส่วนปูนเองก็พยายามมีเหตุผล เขาข่มความกลัวของตัวเองไว้แล้วหันมาให้ความสนใจกับการเรียนภาษาและการทำงานมากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน และก็ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ปูนได้ระบายความในใจออกไปได้บ้างก็การพูดคุยกับเพื่อนของโต้งที่มักจะมีเรื่องราวดีๆมาเล่าให้เขาฟังอยู่เสมอ
“ช่วงนี้ติดโทรศัพท์จังนะ”
ร่างสูงเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าปูนกำลังพิมพ์แชทคุยกับใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคือใคร แต่เขาก็แค่สงสัยไม่ได้คิดว่าปูนจะนอกใจอะไรหรอก อย่างน้อยถ้าใช่ปูนคงไม่กล้าคุยกับมันต่อหน้าเขาแบบนี้
“คุยกับเพื่อนอยู่น่ะ ป๋าโกรธหรอ”
“ป่าว ว่าแต่คนอย่างเธอมีเพื่อนด้วยหรอเนี่ย”
ปูนทำหน้าบึ้งก่อนจะฟาดหลังของคณิตเข้าป้าบใหญ่ แต่แทนที่จะสำนึกร่างสูงกลับหัวเราะแล้วดึงปูนให้มานั่งลงบนตักของตัวเองก่อนจะดึงให้คนตัวเล็กหันกลับมาสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่บนจอ
“ว่าแต่ถ้าผมคุยกับคนอื่นจริงๆ ป๋าจะไม่หึงผมหน่อยหรอ”
“ไม่”
“อ้าว ทำไมพูดงี้อ่ะ”
“ไม่หึง...แต่ฆ่าทิ้งเลยเข้าใจไหม”
คณิตแสร้งทำหน้าโหดใส่ ส่วนปูนที่ได้ฟังก็หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจแล้วเอนพิงอกของคณิตไปทั้งตัว มือของทั้งสองคนกุมกันไว้ ร่างสูงรู้สึกดีใจที่วันนั้นพวกเขาตัดสินใจยอมลดทิฐิแล้วถอยออกมากันคนละก้าวจนทำให้วันนี้บรรยากาศระหว่างเขากับปูนนั้นดีขึ้นมาก เมษาเองก็ไม่พูดถึงปูนอีก นาฬิกาเรือนนั้นก็หายไปจากข้อมือของมันโดยที่คณิตไม่คิดจะตั้งคำถาม อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ถือซะว่ามันเป็นบททดสอบเล็กๆที่ทำให้ร่างสูงรู้ว่าระหว่างเขากับปูนยังขาดอะไรไปสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
อื๊ด...อื๊ด...
เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้คณิตหลุดออกมาจากความคิดของตัวเอง เขาพยายามมองหาต้นตอของเสียงก่อนจะเห็นว่ามันคือโทรศัพท์ของปูนที่ร่างเล็กวางมันไว้บนโต๊ะตัวใกล้ๆ แต่พอเขากำลังจะปลุกก็ทำให้เพิ่งเห็นว่าปูนเผลอหลับไปแล้วคณิตจึงตัดสินใจขยับปูนที่ไม่ได้สติให้นอนลงบนโซฟาแทนที่ตัวเอง
ในระหว่างที่คณิตกำลังพยายามลุกออกมารับโทรศัพท์ก็ตัดไปหลายครั้งก่อนจะต่อสายเข้ามาใหม่เรื่อยๆ ชายหนุ่มสงสัยว่าเป็นใครที่โทรมาหาปูนเพราะนอกจากคุยกับเขาแล้วเขาก็แทบจะไม่เคยเห็นว่าร่างเล็กใช้มันคุยกับใคร ทันทีที่หลุดออกมาได้ชายหนุ่มก็รีบเดินตรงไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สายเรียกเข้าครั้งใหม่ดังขึ้นพอดี
“สวัสดีครับ”
“...”
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
“มึงเป็นใคร”
เสียงใหญ่ติดแหบๆที่ตอบกลับมาไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับคำพูดที่หยาบคายสำหรับคนที่เพิ่งคุยกันเป็นครั้งแรก
“ผมมารับสายแทนปูนครับ นี่คือโทรศัพท์ของปูน”
“แล้วปูนไปไหน ทำไมไม่มารับเอง”
“ปูนหลับอยู่ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ มีอะไรกับปูนรึเปล่า”
“อย่ามาถาม! มึงนั่นแหละเป็นใคร!”
คณิตชักจะเริ่มไม่สบอารมณ์กับความคุกคามเล็กๆที่คนปลายสายมอบให้ เขาเปรยตามองร่างเล็กที่ยังคงหลับใหลพร้อมกับความสงสัยที่เกิดขึ้นว่าปูนรู้จักผู้ชายคนนี้รึเปล่า
“ผมเป็นแฟนปูนครับ ผมตอบแล้วคราวนี้ถึงตาคุณบ้างที่จะบอกผมว่าคุณเป็นใครแล้วมาโทรหาแฟนผมทำไม”
“...”
“ว่ายังไงครับ”
“เลิกยุ่งกับปูนซะ”
“...!!”
“แล้วอย่าหาว่ากูไม่เตือน...”
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
อย่าว่าแต่คนอ่านรำคาญเลยคับเช่ยังรำคาญตัวเองเลย5555 อุปสรรคจะเยอะไปไหนนนนนนน รอบนี้ขนมาให้พิเศษช่วงสงกรานต์ ไปเล่นน้ำกันหรือไปเที่ยวไหนก็ระวังตัวกันด้วยน้า เช่เป็นห่วงคับ :mew2:
ป.ล. ขอบคุณทุกคนเลยน้า
-
ป๋ากลัวอะไรอะ ทำไมไม่ยอมฟังน้อง
แล้วไอ้คนตอนท้ายนี่มันอะไร :katai1: :fire:
-
อีกแหละๆ :angry2:
ปัญหาวิ่งใส่แรงกว่าแดดเดือนเมษา :a5:
เฮ้อ เคลียร์กันให้ได้น้า อย่าไปตีโพยตีพายให้มาก
เป็นกำลังใจให้ทั้งป๋าและปูน :hao5: :hao5:
ถ้าทั้งสองข้ามอุปสรรคนี้ไปได้ น่าจะเข้าใจกันมากขึ้น
อย่าหาว่าพี่สอนเลยนะ หูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน อ้าวไม่เกี่ยวเหรอ :laugh:
อะต่อค่ะต่อ เชิญป๋ากับน้องปูนดราม่ากันต่อ :z2:
-
ใครอ่ะ ?????
ทั้งคนในแชท
ทั้งคนที่โทรมา
ฮื่อออ นี่ก็อยากเผือก คาใจนอนไม่หลับจนกว่าคนเขียนจะอัพตอนใหม่ 5555555
-
เห้ยยยย ใครวะ
-
นั่นกาลใช่ไหม ใช่แน่ๆ :hao6:
-
ใครที่โทรมา
ข้องใจอย่างแรง
มาม่าจะมาอีกใช่มั้ย
ป๋าอย่าหูเบา คุยกันดีๆนะ
:hao5:
-
สงสารทั้งคู่เราอยากให้ผ่านไปได้ ไวๆ เพราะตอนเค้าหวานๆกันน่ารักมากกก
-
:katai1: :katai1: :katai1:
-
แตกที่ 32
…ไม่เข้าใจ...
คณิตก็เคยนึกสงสัยนะ ว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปูนพอมันกำลังจะดีขึ้นก็ต้องมีเรื่องเข้ามาทำให้สะดุดทุกที แต่เรื่องที่เข้ามาครั้งนี้ดูเหมือนว่ามันจะรุนแรงและหนักหนามากกว่าทุกครั้ง
“ปูน”
“หื้อ?”
ปูนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำหันมาหาคณิตที่สวมชุดนอนนอนรออยู่บนเตียงเรียบร้อย ในขณะที่ปูนเพิ่งล้างหน้าแปรงฟันใหม่อีกรอบหลังจากเผลองีบหลับไปทั้งที่ยังดูหนังได้ไม่ถึงครึ่งเรื่อง
“เธอรู้จักเจ้าของเบอร์นี้รึเปล่า”
ร่างสูงชูโทรศัพท์ของปูนไปให้เจ้าของมันดู แน่นอนว่ารหัสปลดล็อคพวกเขาต่างก็รู้ของกันและกันดีอยู่แล้ว ปูนรีบเอาผ้าเช็ดตัวเป็นเก็บก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงมานั่งข้างกันเพื่อที่จะได้เห็นเบอร์โทรศัพท์ที่ว่าใกล้ๆแต่พอได้เห็นมันจริงๆแล้วใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
“ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่อยากรู้จักด้วย”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็เบอร์นี้มันโทรมาหาผมหลายรอบแล้ว พอรับสายก็ไม่พูด หลังผมเลยไม่ได้รับอีกนี่กะว่าจะบล็อคหลายทีแล้วก็ลืม ทำไมหรอ อย่าบอกนะว่าป๋าเผลอรับ”
คณิตพยักหน้าให้แทนคำตอบแต่ความกังวลที่ร่างสูงแสดงออกมาก็ทำให้ปูนรู้ว่าเรื่องมันคงไม่มีแค่นั้น
“ตอนเธอลับเบอร์นี้ก็โทรเข้ามา พอฉันรับมันก็ถามใหญ่ว่าฉันเป็นใคร”
“จริงดิ แปลกแฮะ ปกติด่าพ่อมันไปก็ยังไม่เคยพูด”
“มีแปลกกว่านั้นอีก...พอฉันบอกว่าฉันเป็นแฟนของเธอ มันก็บอกให้ฉันเลิกยุ่งกับเธอซะแล้วระวังตัวให้ดี”
สิ่งที่คณิตบอกเล่าทำให้ปูนที่เคยคิดว่ามันคงเป็นแค่การแกล้งกันเล่นๆหน้าเปลี่ยนสี นี่มันเข้าข่ายข่มขู่ชัดๆ
“แล้วมันได้บอกไหมว่ามันเป็นใคร”
“ไม่ ฉันถามยังไงก็ไม่ยอมบอก แล้วเธอล่ะพอจะเดาออกไหม”
ร่างเล็กส่ายหน้า ก่อนหน้าที่โดนอีกฝ่ายกระหนำโทรเข้ามาปูนก็เคยนำเบอร์โทรศัพท์ไปค้นหาที่มาทางอินเตอร์เน็ตแต่ก็ไม่พบอะไร จนเขาคิดปัดไปเองว่าคงเป็นแกล้งกันเล่นไม่ก็อาจจะเป็นคนที่รู้จักกับเจ้าของเบอร์นี้ก่อนที่มันจะถูกรียูสใหม่จนกลายมาเป็นเบอร์ที่ปูนใช้ในปัจจุบัน เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลมากขึ้นจนเผลอขยับเข้าไปในอ้อมแขนของคณิตที่อีกมือยังถือโทรศัพท์ไว้
“ทำยังไงดีป๋า มันจะทำอะไรเรารึเปล่า”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆมันรู้จักเธอเราคงวางใจไม่ได้”
“หรือว่า...”
“...?”
“หรือว่าจะเป็นพวกคนที่ผมเคย...”
คณิตลูบหัวปูนเบาๆเป็นการบอกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ร่างเล็กต้องการจะสื่อแล้วทำให้ปูนไม่ต้องลำบากใจที่ต้องอดีตที่ผิดพลาดของตัวเองออกมาจนจบ แน่นอนว่าข้อสันนิษฐานนี้คณิตก็เคยคิดแต่ว่าเท่าที่เขารู้มาเบอร์ที่ปูนกำลังใช้นี้ร่างเล็กเปลี่ยนมันหลังจากที่เข้ามาอยู่กับเขาแล้ว
“เอาเป็นว่าตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นใครและต้องการอะไรก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน ฉันจะบล็อคเบอร์ให้แล้วถ้ามีเบอร์แปลกๆโทรมาอีกเธอก็อย่ารับเข้าใจไหม”
“อืม แล้วป๋าล่ะ...ที่มันขู่ป๋ามาจะไม่เป็นไรหรอ”
“ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก อย่าลืมสิว่าระบบรักษาความปลอดภัยมันแน่นหนาแค่ไหน จะห่วงก็แต่เธอนั่นแหละ...ช่วงนี้อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวนะปูน”
ปูนตอบรับมันด้วยการหอมแก้มขาวของคณิตเบาๆจนคนที่กำลังเครียดเพราะเรื่องของเขาสามารถยิ้มออกมาได้บ้าง ร่างสูงจัดการบล็อคเบอร์นั้นให้ปูนโดยไม่ลืมที่จะแคปบันทึกการโทรเข้ามาเป็นหลักฐานเผื่อไว้ในกรณีที่เกิดเรื่องเลวร้าย ปูนร้องโวยวายใหญ่เมื่อคณิตบอกกับเขาแบบนั้นจนทำให้ร่างสูงต้องกอดคนรักเอาไว้จนพวกเขานอนหลับไปพร้อมๆกัน
แม้จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแต่เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงทั้งคณิตและปูนต่างก็พยายามไม่นึกถึงมันมากจนเกินไป วันนี้ร่างสูงเลือกที่จะมาส่งคนรักที่โรงเรียนด้วยตัวเองโดยให้เหตุผลว่าเวลาที่ปูนเลิกเรียนเขาจะมาทำธุระแถวนี้พอดี
“ห่วงกันก็บอกสิ ผมจะได้มีกำลังใจไปเรียนหน่อย”
ปูนหันมาพูดกับคนฟอร์มจัดอย่างล้อๆ ไม่บอกก็รู้ว่าที่คณิตไม่ยอมให้เขาขับรถมาเรียนคนเดียวก็เป็นเพราะกังวลเรื่องเมื่อวาน แต่ก็ยังทำฟอร์มหาข้ออ้างร้อยแปดมาเบี่ยงประเด็นจนได้
“พูดมากน่า ไปเข้าเรียนได้แล้วไปโดนครูฝรั่งด่าขึ้นมาอย่าหาว่าไม่เตือน”
คณิตยกครูสอนภาษาอังกฤษของปูนซึ่งเป็นชาวต่างชาติมาขู่เพราะร่างเล็กมันจะมาบ่นให้เขาฟังเสมอว่าอีกฝ่ายเข้มงวดเรื่องเวลาแค่ไหน แล้วมันก็ได้ผลเมื่อคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคำว่าเป็นห่วงจากคนรักเริ่มแสดงท่าทีลังเลออกมา
“อะ อืม งั้นผมไปแล้วนะ ใกล้เลิกแล้วจะทักไป”
“ได้ เดี๋ยวปูน มีอะไรติดตรงปกเสื้อน่ะ”
ร่างสูงร้องทักก่อนที่ปูนจะได้เปิดประตูรถออกไป เด็กหนุ่มหันมาทำหน้างงใส่คนรัก ปกเสื้อ? ปกเสื้ออะไรวันนี้เขาใส่เสื้อคนกลม
“ป๋าจะบ้าหรอผมไม่ได้ อุ๊บ!”
ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค คณิตก็ยื่นหน้าเข้าไปชิงจูบจากริมฝีปากของปูนมาอย่างถือดี ร่างเล็กที่สะดุ้งตกใจแต่พอตั้งสติได้ก็มอบสัมผัสกลับไปโดยลืมไปแล้วว่าฟิล์มของรถคณิตคันนี้มันค่อนข้างบาง
“ดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้าฉันยังไม่มารับอย่าเพิ่งออกไปไหน”
คำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นๆที่ทาบทับลงที่ผิวแก้ม จนปูนรู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งที่แอร์มันเย็นเฉียบ
“ป๋ากังวลเกินไปแล้วนะ มันไม่มีอะไรหรอก”
“อย่าประมาทไป อย่างน้อยเดี๋ยววันนี้ขอให้ฉันได้คุยกับคนที่พอจะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ก่อน เราค่อยมาคิดกันใหม่ว่าควรทำยังไงดี”
“ครับๆ งั้นผมไปแล้วนะเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน”
“เดี๋ยวก่อนปูน”
ปูนถูกคำพูดของคณิตหยุดไว้ได้อีกครั้ง แต่คราวนี้ปูนรู้ทันร่างเล็กเลยยื่นหน้าเข้าไปหาคนรักใกล้ๆเพื่อให้คณิตได้ลวนลามเขาถนัด แต่แทนที่จะได้จูบหวานๆของคณิตเป็นครั้งที่สองของวัน กลับได้เสียงหัวเราะทุ้มๆกลับมาแทน
“ฮ่าๆ คิดว่าฉันจะจูบเธออีกหรอ”
“แกล้งกันหรอ ฮึ้ย! ไอ้ป๋าบ้า!!”
“เป็นห่วงนะ”
“...!!”
“ฉันเป็นห่วงเธอ”
คณิตเอ่ยมันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นที่สุดก่อนจะทิ้งปูนที่กำลังรู้สึกเหมือนได้ตกหลุมรักคณิตอีกครั้งยืนตาลอยอยู่หน้าสถาบันภาษานานเกือบห้านาที ร่างเล็กมองถนนที่รถของคณิตเพิ่งขับออกไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกดีใจจริงๆที่วันนั้นตัวเองยอมข่มความระแวงแล้วเลือกที่จะรักษาคณิตไว้
‘ทั้งเขาและพี่ เราต่างก็เดินจากกันไปไกลแล้ว เขามีชีวิตใหม่พี่เองก็เหมือนกัน เพียงแค่พี่อยากมีโอกาสสักครั้งที่จะได้บอกเขาว่า...ขอโทษที่วันนั้นเราไม่ได้คุยกันมากกว่านี้’
คำพูดจากเพื่อนใหม่ทำให้ปูนยอมหันกลับมามองตัวเขาและคณิตด้วยหัวใจที่มีสติกว่าเดิม...ปูนไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วคณิตรู้สึกยังไงกับเมษา ไม่รู้แม้แต่ว่าคณิตจะเคยรู้ตัวไหมว่าตัวเขาได้รับความรู้สึกที่ลึกซึ้งจากเพื่อนคนหนึ่งมาตลอด และปูนก็ไม่รู้ว่าทำไมคณิตถึงไม่เคยบอกรักเขาจนกระทั่งเขาเอ่ยปากขอ
ปูนไม่รู้...เขาไม่ได้รู้ทุกๆอย่าง...แต่มีเพียงสองสิ่งที่เขารู้คือเขารักคณิตมากและเป้าหมายของเมษาคือการแยกพวกเขาออกจากกัน
“ผมจะเข้มแข็งขึ้นนะป๋า...เข้มแข็งจนไม่มีใครมาทำลายเราได้”
การเรียนของปูนวันนี้ผ่านไปได้ดีเหมือนทุกๆครั้ง ความสามารถทางภาษาของเขาดีขึ้นมากโดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่ถ้าไม่นับเรื่องเข้าเรียนสายปูนก็เป็นนักเรียนที่มักจะได้คำชมจากครูฝรั่งเสมอ
“วันนี้ทำได้ดีมากเลยนะปูน ครั้งหน้าคงสอบเลื่อนระดับได้”
มิสเตอร์เอลวิลเป็นชายมีอายุชาวแอฟริกาที่มาทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยมากว่าสิบปีจนสามารถพูดภาษาไทยได้คล่องปรื้อบอกกับปูนด้วยความชื่นชมจนปูนอดที่จะยิ้มกว้างออกมาไม่ได้
“ขอบคุณครับ ผมจะพยายามให้มากขึ้นอีกนะ”
“ดีๆ คุณเป็นเด็กขยันนะ ผมถึงแปลกใจจริงๆตอนที่รู้ว่าคุณยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เพราะคุณดูไม่ใช่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ”
เอลวิลพูดด้วยความรู้สึกของตัวเองจริงๆซึ่งปูนก็รับรู้มันได้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจบอกถึงเหตุผลที่ตัวเองต้องหยุดพักเรื่องการเรียนไว้กลางคัน หลังจากเรียนภาษาอังกฤษในคาบเช้าจบ ปูนก็ต้องเข้าเรียนภาษาจีนในคาบบ่ายต่อและแน่นอนว่าเขาที่ไม่มีพื้นฐานด้านภาษานี้เลยต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นทำให้เพื่อนในชั้นเรียนของปูนมีแต่คนอายุน้อยกว่าทั้งนั้น สำหรับปูนภาษาจีนมันยากจนแทบจะถอดใจแต่ก็เพราะได้กำลังใจและแรงบันดาลใจจากคณิตที่เก่งกาจจนน่าอิจฉา เขาจึงอยากพยายามให้มากขึ้นอีกจนตอนนี้เริ่มเข้าใจหลักการผสมคำและรูปประโยคต่างๆได้ระดับหนึ่งแล้ว
‘ผมใกล้เลิกแล้วนะป๋า ทำธุระเสร็จยัง’
ปูนส่งข้อความไปแบบนั้นทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง รอไม่นานคณิตก็ตอบกลับมาว่าตัวเองพาเพื่อนมาด้วยให้ปูนลงมานั่งรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆเลย
“พวกพี่โต้งมาหรอ ดีสิ จะได้ถามสักทีว่าเพื่อนพี่แกเป็นใครกันแน่”
ร่างเล็กยิ้มร่าเมื่อสิ่งที่สงสัยมานานน่าจะถึงเวลาได้แถลงไข ก็เขาพยายามถามชื่อและตัวตนของอีกฝ่ายอยู่หายครั้งแต่ทางนั้นก็ไม่เคยบอกสักที ปูนกวาดหนังสือและข้าวของของตัวเองลงกระเป๋า เขาบอกลาเหล่าซือและน้องๆวัยประถมที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของตนในวันนี้ก่อนจะเดินไปนั่งรอคนรักที่ร้านกาแฟสไตล์วินเทจที่ปูนมักจะใช้บริการเสมอในเวลาพัก เขาสั่งโกโก้เย็นสำหรับตัวเองและกาแฟร้อนสำหรับคณิตแม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาถึงเมื่อไหร่ ส่วนของโต้งกับขิงปูนไม่แน่ใจว่าทั้งสองชอบกินอะไรเลยยังไม่ได้สั่งไว้ให้
ตึ้ง!
ในขณะที่ปูนกำลังดื่มด่ำกับโกโก้ของตัวเองเสียงแจ้งเตือนของโปรแกรมแชทก็ดังขึ้น เป็นเพื่อนของโต้งอีกแล้วที่ส่งรูปภาพสวยๆมา คราวนี้เป็นเด็กผู้ชายสองคนกำลังเล่นเรือบังคับในสวนสาธารณะกว้างๆที่มีผู้คนนั่งพักผ่อนอยู่เต็มไปหมด ความสดใสของผู้คนในภาพทำให้ปูนยิ้มตามก่อนจะกดเซฟมันไว้
‘วันนี้ออกมาเที่ยวหรอพี่’
‘อืม ออกมาพักผ่อนน่ะ เราล่ะทำอะไรอยู่’
‘ผมเพิ่งเรียนเสร็จ กำลังจะกลับไปทำงานแล้ว’
‘ที่โรงแรมของแฟนน่ะหรอ’
‘อื้ม แถมวันนี้เพื่อนพี่ก็จะแวะมาด้วยนะ คราวนี้ล่ะผมจะเค้นถามพี่โต้งให้ได้ว่าพี่เป็นใครกันแน่ ทำตัวลึกลับดีนัก’
ร่างเล็กหัวเราะออกมาคนเดียวอย่างนึกสะใจเล็กๆจนผู้หญิงโต๊ะข้างๆหันมามองแบบงงๆแต่เขาก็ไม่คิดสนใจ
‘วันนี้โต้งมันต้องไปเป็นวิทยากรที่ต่างจังหวัดไม่ใช่หรอ’
ข้อความที่อีกฝ่ายตอบกลับมาทำเอาปูนงงหนัก พี่โต้งไปสัมมนา? แล้วเพื่อนของคณิตที่จะมาเป็นใครล่ะ แค่พี่ขิงงั้นหรอ แต่ยังไม่ทันที่ปูนจะได้ไขข้อสงสัยของตัวเองคณิตก็โทรมาหาเขาแล้ว
“ฮัลโหลป๋า”
“นั่งอยู่ในร้านใช่ไหม”
“อื้อ ว่าแต่ป๋า เพื่อนป๋าที่จะมาวันนี้ไม่ใช่พี่โต้งหรอ”
“ป่าวเป็นเพื่อนอีกกลุ่มน่ะ ฉันกำลังจะเข้าไปแล้วค่อยคุยกันนะ”
คณิตว่าก่อนจะตัดสายทิ้งไปก่อนที่เสียงกระดิ่งซึ่งแขวนไว้ตรงประตูร้านจะดังขึ้น ร่างเล็กเลื่อนแก้วกาแฟของคณิตมาวางไว้ใกล้ๆกับแก้วโกโก้ของตัวเองก่อนจะปั้นรอยยิ้มเป็นมิตรแล้วเงยหน้าขึ้นมองหวังสร้างมิตรภาพกับเพื่อนอีกกลุ่มของคนรัก แต่ภาพที่ปูนเห็นกลับทำให้ปูนรู้สึกตัวชาไปทั้งร่าง
“ปูน นี่เพื่อนฉันเองชื่อนิล ส่วนนี่แฟนมันชื่อคุณชาติ”
ไม่ต้องให้คณิตแนะนำปูนก็จำใบหน้าของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเมื่อหนึ่งในนั้นคือคนที่เคยเป็นพยานรับรู้ความสัมพันธ์ที่น่าสมเพชระหว่างเขากับรัตติกาล และไม่ใช่แค่ปูนที่อึ้งไป นิลและฤทธิชาติที่รู้เพียงแค่ว่าเพื่อนจะพามาให้รู้จักกับคนรักก็นิ่งค้าง ภาพของเด็กผู้ชายที่เคยกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเพื่อนรักของตนบนรถย้อนกลับมาเป็นฉากๆ
“เธอ...”
นิลได้พูดออกมาเพียงแค่นั้นก่อนร่างของเขาจะเซไปข้างหลังเพราะถูกปูนที่ลุกพรวดพราดออกไปจากร้านชนเข้าเต็มแรงแต่ยังดีที่ฤทธิชาติเข้ามารับไว้ได้ทัน ส่วนคณิตที่งงหนักกับอาการของคนรักก็รีบวิ่งไปตามร่างเล็กไปเมื่อได้สติ
“ปูน เดี๋ยวก่อน ปูน!!!”
คณิตพยายามร้องเรียก แต่ครั้งนี้ปูนไม่คิดจะหยุดฟัง คนที่ตัวเล็กกว่าเขามากกำลังวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ปูนทำแม้แต่โยนกระเป๋าสะพายของตัวเองทิ้งจนหนังสือและของที่อยู่ในนั้นหล่นกระจายเต็มพื้นโดยไม่มีใครหยุดเก็บ แต่สุดท้ายความแตกต่างทางด้านสรีระก็ทำให้ร่างสูงสามารถไปถึงตัวคนรักได้แม้จะต้องออกแรงไปไม่ใช่น้อย คณิตคว้าแขนของปูนไว้อย่างแรงจนคนที่ทำท่าเหมือนกับพยายามหนีอะไรสักอย่างปะทะเข้ากับอกของเขาเต็มแรง
“ปูนใจเย็น! เธอเป็นอะไร หนีอะไรมา!”
ร่างสูงถามแต่ปูนไม่มีคำตอบให้กับเขา ตัวของปูนสั่นอย่างแรงยิ่งกว่าตอนที่มีเรื่องในผับเสียอีก คณิตพยายามจะกอดปูนไว้แต่เขากลับถูกอีกฝ่ายปัดมันออกราวกับว่าเป็นของร้อน
“ปูน...”
“ทำไมนะ...ทำไม...”
“...?”
“ทำไมผม...ถึงไม่เคยมีความสุขจริงๆสักที”
ปูนเงยหน้าขึ้นสบตากับคนรักที่เขาไม่รู้อีกแล้วว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ที่เขาจะสามารถเรียกอีกฝ่ายแบบนั้นได้ ร่างเล็กเอื้อมมือขึ้นไปหวังจะแตะมือของตัวเองลงบนอกข้างซ้ายของคณิตแต่เขาก็ไม่กล้า ปูนจึงทำได้แค่กำมือของตัวเองไว้ปล่อยให้คมเล็บจิกเข้าเนื้อเผื่อว่าความเจ็บปวดที่หัวใจจะทุเลาลงบ้าง
แต่มัน...ก็ไม่ใช่เลย
“แค่เพราะผมไม่เจอป๋าก่อนเขา ผมถึงต้องเป็นอย่างนี้หรอ”
“ปูนเธอพูดเรื่องอะไร”
“เรื่องตลกไงครับ”
“...?”
“เรื่องตลก...ของคนน่าสมเพชแบบผมไง”
ร่างเล็กยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะผลักคณิตออกเต็มแรงแล้ววิ่งขึ้นไปบนรถสองแถวที่ขับผ่านมาพอดี คณิตไม่มีแม้แต่เวลาจะร้องห้ามเพราะตอนทีเขาหันกลับมารถคันนั้นก็ขับออกไปแล้ว
พร้อมกับภาพของปูน...ที่กอดเข่าตัวเองร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านคณิตเต็มไปด้วยความเงียบและบรรยากาศหนักอึ้งผิดจากทุกครั้ง นิลมองเจ้าของบ้านที่นั่งมองปลายเท้าตัวเองอยู่บนโซฟาส่วนตัวเขาซึ่งเป็นคนนอกก็ได้แต่มองไปรอบๆบ้านที่ตอนที่เขามาครั้งก่อนมันยังไม่มีชีวิตเหมือนอย่างตอนนี้ทั่วทุกมุมของบ้านมีแต่สิ่งของที่ไม่น่าใช่ของเพื่อนเขาวางอยู่ แต่ที่ชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นรูปถ่ายใบเล็กและโพสอิทที่แปะไว้บนตู้เย็น
‘อุ่นกับข้าวกดไมโครเวฟเบอร์สาม อย่าลืมแง้มฝาไว้ด้วยนะ’
‘แก้วกาแฟอยู่ตู้ที่สอง ห้ามเอาของตู้ที่หนึ่งมาใช้ เดี๋ยวมันแตก’
‘วันนี้ผมกลับดึกนะ หาอะไรกินเองนะที่รัก’
‘งอน!’
‘ง้อ’
นิลมองโพสอิทใบสุดท้ายที่ถูกเขียนด้วยลายมือที่เขาจำมันได้ดี ไม่ต้องรอให้คณิตได้อธิบายเขาก็พอเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและเด็กคนนั้นเป็นอย่างไร แต่ก็มีอยู่อย่างที่นิลยังไม่รู้และอยากรู้...คือคณิตเคยรู้ไหม ว่าปูนเคยเป็นคนของใครมาก่อน
“มึงจะอธิบายให้กูฟังได้รึยัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ไม่ใช่นิลที่เป็นฝ่ายถาม กลับกลายเป็นคณิตต่างหากที่ไม่อาจเก็บความสงสัยของตัวเองไว้ได้อีก คำพูดของปูน...ใบหน้าเปื้อนน้ำตาของปูนมันฉายขึ้นในหัวของเขาอย่างไม่อาจต้านทาน...ปูนกำลังเจ็บปวด...เจ็บปวดมาก...มากเสียจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน
“กูคิดว่ากูไม่สมควรพูดเรื่องนี้”
“สมควรสิ ถ้าไม่ใช่มึงมันจะมีใครอีกที่จะอธิบายกับกูได้…ทำไมปูนถึงเป็นอย่างนั้นตอนที่เห็นหน้ามึง...ทำไมปูนถึงทำเหมือนกับว่าพวกมึงรู้จักกัน”
“...”
“ไอ้นิล!”
“มึงจะตะคอกกูทำห่าอะไรวะ!”
นิลตะคอกกลับไปบ้าง เขารู้ว่าคณิตเครียดแต่เขาเองก็เครียดไม่ต่างกัน ทั้งสองคนจ้องหน้ากันจนฤทธิชาติที่ยืนดูสถานการณ์เงียบๆมานานต้องเดินมาลูบหลังคนรักเพื่อบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
คณิตมองภาพของเพื่อนแล้วยิ่งปวดใจ ตอนนี้ปูนเองก็คงกำลังร้องไห้อยู่ที่ไหนสักที่แต่ร่างเล็กกลับไม่มีคนคอยอยู่ปลอบให้เหมือนอย่างนี้ คณิตโทรหาปูนอีกครั้งแต่มันก็ไม่ติด เขาพยายามส่งข้อความไปหาแต่อีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน
“นิล กูขอร้องเถอะว่ะ ปูนเป็นขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว กูจะไม่โกหกว่ารับได้ทุกอย่าง แต่กูต้องรู้...กูปล่อยให้ปูนเผชิญหน้ากับมันคนเดียวไม่ได้”
ความรู้สึกที่คณิตมีให้กับปูนมันมากมายเกินกว่าที่นิลคาด เขากัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความลำบากใจ นิลอยากเลี่ยงไม่พูดเรื่องนี้แต่ก็รู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้...ปัญหามันเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่การเจอกันของสองคนนั้น...รัตติกาลกับปูน ที่นิลไม่คิดเลยว่ามันจะก่อให้เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้
“ถ้ามึงจะให้กูพูด มึงต้องตอบคำถามกูก่อน”
“ได้...”
“มึงกับน้องเขา...รู้จักกันได้ยังไง”
มันไม่ใช่คำถามที่ผิดคาดนัก คณิตจึงไม่ลำบากใจที่จะตอบ แม้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดนั้นคืออดีตที่ไม่สวยงามของคนที่เขาเลือกจะจับมือด้วย
“ปูนเป็นเด็กไซด์ไลน์ที่เคยเข้ามานัดเจอคนในโรงแรมกู...กูมีอะไรกับปูนแล้วตอนนี้เรากำลังคบกันอยู่”
ไม่ใช่แค่นิลที่อึ้งไปแม้แต่ฤทธิชาติก็ด้วย เด็กไซด์ไลน์งั้นหรอ มันเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน และชั่วขณะหนึ่งนิลก็เผลอตั้งคำถามกับตัวเองในกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับรัตติกาลด้วยไหม
“เชี้ย...แต่มึงไม่ใช่เกย์ไม่ใช่หรอวะ”
“แล้วไงล่ะ ก็ตอนนี้กูเป็นไปแล้ว”
คณิตตอบนิลเหวี่ยงๆตามประสาคนที่สนิทกันจนตัวทำลายบรรยากาศอย่างฤทธิชาติหลุดขำ เสียงถอนหายใจของคณิตดังขึ้นเขาสบายใจที่ได้พูดมันออกมาแต่ก็มันก็เพียงแค่นิดเดียวเทียบไม่ได้เลยกับบางสิ่งที่กำลังแบกรับไว้...อดีตของปูนที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร และมันเกี่ยวอะไรกับเพื่อนของเขา
“กูตอบมึงแล้ว คราวนี้ตามึงบ้าง...บอกกูมานิลว่ามึงกับปูนเป็นอะไรกัน”
บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงนิดหน่อยเมื่อครู่กลับมาหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อถึงเวลาที่นิลต้องเอ่ยปากพูดถึงเรื่องของเพื่อนและเด็กผู้ชายที่เขานึกสงสารขึ้นมาจับใจ...ไอ้กาลนะไอ้กาล มึงจะรู้บ้างไหมว่าความเห็นแก่ตัวของมึงทำให้เด็กคนหนึ่งต้องเจ็บปวดกับอดีตที่ลบไม่ได้ขนาดไหน
“กูไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กนั่น...แต่ไอ้กาล”
“ไอ้กาล? ไอ้กาลเกี่ยวอะไรด้วย?”
ชื่อของเพื่อนหนึ่งที่คณิตคิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยถูกเอ่ยขึ้นโดยนิลที่มีสีหน้ากระอ่วนใจ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนกลางยืนถอนหายใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจพูดความจริงออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่จริงจัง
“ไอ้กาล...เคยคบกับน้องเขามาก่อน”
“…!!”
คณิตเป็นคนที่เกลียดเรื่องเซอร์ไพรส์เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับมันยังไง ครั้งนี้ก็เช่นกันแต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เพิ่งจะได้ฟังมันกลายมาเป็นเซอร์ไพรส์ที่ร้ายแรงที่สุดที่คณิตเคยได้เจอมา
“มึงว่ายังไงนะ”
“อย่าให้กูต้องพูดซ้ำได้ไหมวะ ในเมื่อมึงเองก็ได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว”
คณิตรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหานิลทันที ชายหนุ่มคว้าคอเสื้อของเพื่อนมากำไว้โดยที่นิลไม่คิดจะปัดมันออก เขาทำเพียงเปรยตามองไปยังฤทธิชาติเพื่อห้ามปรามอีกฝ่ายที่จ้องมาที่คณิตเขม็งเท่านั้น
“เรื่องมันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งนานแล้ว เท่าที่กูรู้ก็น่าจะช่วงที่รพีเคยโดนจับตัวไป ไอ้กาลมันสติแตกเพราะทะเลาะกับที่บ้านเลยไปเจอกับเด็กคนนั้นเข้า”
โลกของคณิตถูกหยุดลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เขานึกอะไรไม่ออก ในหัวสมองมันมีแต่คำถามที่เสียดแทงใจจนเกิดกลายเป็นรอยแผล
“มึงบอกว่าไอ้กาลคบกับปูน”
“เออก็คบไง”
“คบกัน...เป็นแบบแฟนกันงั้นหรอ”
นิลสะดุดลมหายใจของตัวเองเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าระหว่างรัตติกาลและปูนเคยตกลงอะไรกันไว้บ้าง แต่เท่าที่จำได้ก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นแม้สุดท้ายแล้วเพื่อนตัวดีของเขาจะทิ้งเด็กคนนี้ไปแล้วหันไปตกล่องปล่องชิ้นกับอารัณย์ก็ตาม
“ใช่ แล้วมันยังไงวะ”
“แต่กูจำได้ว่าตอนนั้นไอ้กาลมันคบอยู่กับอีกคนหนึ่งไม่ใช่หรอ ที่ตัวสูงๆ หน้าเข้มๆ มันเคยพากันมาทะเลาะที่โรงแรมกูเมื่อไม่ฤดูฝนที่แล้วนี่เอง”
นิลทำหน้างง เขาพยายามนึกย้อนไปเพื่อประติดประต่อเรื่องราวจนพอจำได้ว่ารัตติกาลเคยพาแฟนมาเที่ยวที่นี่ซึ่งนั่นก็คือปูนไม่ผิดแน่ แต่แล้วทำไมรูปร่างลักษณะที่คณิตบอกถึงฟังดูคล้ายอารัณย์มากกว่าล่ะ
“อันนี้กูไม่รู้ว่าไอ้กาลไปแนะนำใครว่าเป็นแฟนกับมันให้มึงฟัง แต่กูยืนยันได้ว่าเด็กปูนนั่นเคยคบกับเพื่อนมึงจริง...แล้วกูก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่าพวกมันคบกันโดยไม่เกี่ยวกับเรื่องไซด์ไลน์ที่มึงว่า”
คณิตปล่อยมือจากคอเสื้อของนิลแทบจะทันทีเขาหันหน้าหนีไปที่อื่นราวกับว่าไม่อยากให้นิลเห็นความอ่อนแอที่เขาแสดงออกมา...นี่เป็นครั้งแรกที่คณิตอยากได้ยินคำตอบว่ารัตติกาลเป็นเพียงหนึ่งในลูกค้าของปูน เพราะอย่างน้อยหากมันเป็นอย่างนั้นเขาคงไม่ต้องหนักใจเรื่องความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
“แค่เพราะผมไม่เจอป๋าก่อนเขา ผมถึงต้องเป็นอย่างนี้หรอ”
เขานึกถึงคำพูดที่ปูนเอ่ยทิ้งไว้ก่อนจะจากไปโดยที่คณิตเข้าใจและรู้สึกไม่ต่างกัน การที่ต้องมารับรู้ว่ากาลครั้งหนึ่งรัตติกาลเคยได้ครอบครองหัวใจของคนที่เขารัก...แต่คิดหัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม
“แล้วสองคนนั้น...เลิกกันได้ยังไง”
“เฮ้อ มึงเลิกถามกูสักทีได้ไหม อยากรู้อะไรก็โทรถามไอ้กาลเอาเองเลยไป”
“กูถามแน่ มันอยู่ไหนล่ะกูจะได้ไปถามมันถึงที่เลย”
คณิตพูดด้วยความไม่รู้เพราะหน้าที่การงานทำให้เขาค่อนข้างห่างจากเพื่อนฝูงที่กรุงเทพ ยิ่งเมื่อเทียบกับเพื่อนในวงเหล้าอย่างโต้งและขิง ก็ถือว่านิลและรัตติกาลสนิทกับเขาน้อยกว่าพวกนั้น
“ไอ้กาลมันไม่อยู่เมืองไทยมาพักใหญ่แล้ว แถมไม่รู้อีกว่าจะกลับเมื่อไหร่”
“ทำไมวะ”
“เรื่องมันยาวว่ะ เอาเป็นว่าถ้ามึงอยากกระทืบมันก็ตีตั๋วไปอิตาลีเอานะ ถ้ามึงไม่แคร์ความรู้สึกของเด็กคนนั้นก็ทำไป”
นิลพูดทิ้งไว้ให้เพื่อนคิดเอง แต่ดูเหมือนคณิตจะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคิดเรื่องยากๆอะไรทั้งนั้น เขาต้องการความชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่หนีหน้า
“ทำไม กูไปเจอไอ้กาลมันเสียหายตรงไหน”
“บทจะโง่ก็โง่จนกูสงสารควายเลยนะไอ้สัด เฮ้อ มึงไม่เห็นรึไงว่าตอนเด็กนั่นเห็นหน้ากูมันเป็นยังไง นี่แค่กูที่มันรู้ว่าเป็นเพื่อนไอ้กาลยังหนีตะเลิดไปอย่างนี้มันยังไม่ชัดเจนอีกหรอว่าน้องมันไม่อยากให้มึงรู้เรื่องของตัวเองกับไอ้กาล”
“แล้วมึงจะให้กูปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้รึไง!”
“ผิดแล้วไอ้นิด ที่มึงควรทำคือเปิดหูเปิดตาให้กว้างๆ ว่าตอนนี้คนที่น้องมันบอกรักคือมึงไม่ใช่ใครอื่น และที่สำคัญที่สุดคือมึงต้องเปิดใจให้กว้างยิ่งกว่าหูกับตาแล้วยอมรับว่าคนทุกคนมันก็ต้องมีอดีตที่ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้กันทั้งนั้น”
“...!!”
“เรื่องของน้องมันกับไอ้กาล มึงควรจะได้ฟังจากปากของสองคนนั้นเองไม่ใช่กู แต่ในฐานะเพื่อนที่ทนเห็นคนที่กำลังจะกลายเป็นควายอย่างมึงไม่ได้กูจะบอกอะไรให้อย่าง...ระหว่างน้องกับไอ้กาลมันไม่ใช่อะไรที่น่าจดจำนักหรอก อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเด็กนั่น...เพื่อนเรามันเหี้ย ทำร้ายความรู้สึกของปูนมามาก อย่าทำให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยด้วยอาการหึงอดีตไม่เข้าท่าของมึงเลย”
นิลว่าก่อนจะกวักมือเรียกฤทธิชาติให้เดินออกไปจากบ้านที่เจ้าของมันถูกคำพูดของเพื่อนตรึงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ หนำซ้ำความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแม้จะเป็นครั้งของเมษาก็ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธคำพูดของนิลได้
ลับหลังคณิตไปนิลก็เดินกลับมาที่รถด้วยอาการฟึดฟัด ให้ตายสิ เคยคิดมาตลอดนะว่าไอ้คณิตมันเป็นคนฉลาด ความรักมันทำให้คนเราหน้ามืดตาบอดกันหมดเลยรึยังไง
“เป็นอะไรครับนิล ได้ด่าเพื่อนไปขนาดนั้นยังไม่สบายใจอีกหรอ”
ฤทธิชาติที่เดินตามหลังมาเอ่ยถาม ขณะที่ปลดล็อกประตูรถด้วยรีโมท
“ไม่ได้ด่า เขาเรียกว่าสั่งสอน นี่ถ้าไอ้กาลไม่อยู่เมืองนอกกูจะลากมันมาสั่งสอนพร้อมกันนั่นแหละ ไอ้ห่านั่นตัวไม่อยู่แต่เสือกทำเรื่องไว้จนได้!”
“เอาน่า ดูแล้วเพื่อนนิลก็รักเด็กปูนนั่นอยู่นะ พอได้คุยกันแล้วคงไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกมั้ง”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็ดี แต่กูกำลังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆว่ะ”
ฤทธิชาติเลิกคิ้วขึ้นแต่ไม่ได้หันกลับมามองคนรักเพราะตัวเองนั้นกำลังให้ความสนใจกับถนนตรงหน้า จึงทำให้ชายหนุ่มไม่เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของนิลที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างขบคิด
“ไอ้กาลเลิกคบกับเด็กปูนนั่นก็เพราะว่าน้องนอกใจมัน กูจำได้ว่าไอ้กาลโมโหมาก มันด่าปูนเหมือนกับว่าปูนไม่เคยทำตัวแบบนี้มาก่อน”
“แล้ว?”
“ไอ้ตำรวจอย่ามาแกล้งโง่ แค่นี้มึงยังไม่เข้าใจรึไง ถ้าแค่เรื่องนอกใจไอ้กาลมันยังรับไม่ได้ แล้วเรื่องที่น้องมันทำไซด์ไลน์ไอ้กาลมันจะรับได้ยังไงถูกไหม ความเป็นไปได้มันก็มีอยู่แค่สองอย่าง คือปูนทำมันตั้งแต่ตอนคบแต่ไอ้กาลไม่รู้ ไม่ก็เพิ่งจะมาทำหลังจากเลิกกับไอ้กาลไป”
“แล้วนิลคิดว่าเป็นแบบไหนล่ะครับ”
“กูว่า...อย่างที่สองว่ะ”
นิลพูดเสียงเครียด เมื่อจิตแง่ร้ายเผลอคิดไปแล้วว่าทางเดินชีวิตที่บิดเบี้ยวของเด็กคนนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับเพื่อนรักของตนก็ได้
“ก็ถ้านิลคิดแบบนั้นแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ทำให้ติดใจไม่ใช่หรอครับ แถมมันก็มีความเป็นไปได้ว่านิลคิดถูกเพราะเท่าที่เรารู้ ตอนนั้นน้องเขาก็ดูว่าจะรักกาลมากอยู่เหมือนกัน พอมาเจอเรื่องแบบนั้น...บวกกับวุฒิภาวะที่ยังน้อยจะเลือกทางเดินผิดไปก็ไม่น่าแปลกใจอะไร”
นิลฟังแล้วคิดตามก็เห็นว่าเป็นอย่างที่ฤทธิชาติว่าแต่คำพูดสุดท้ายที่เขาจำได้ว่าปูนมอบมันให้กับรัตติกาลก่อนจะหายไปจากชีวิตเพื่อนของเขามันกลับทำให้เขาไม่อยากปักใจเชื่อแบบนั้น
‘สักวันพี่ต้องชดใช้...ด้วยทั้งหมดที่พี่มี’
“แต่ว่านะชาติ...คนเราจะยอมทำลายชีวิตตัวเองเพื่อประชดคนที่เกลียดชังได้ขนาดนั้นเลยหรอ แล้วที่สำคัญถ้าเด็กนั่นอยากให้ไอ้กาลเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริงๆทำไมถึงหายหน้าไปหลังจากนั้นล่ะ...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นิลพูดออกมาทั้งที่รู้ดีว่าคำถามที่ตัวเองสงสัยมีเพียงปูนเท่านั้นที่สามารถไขข้อข้องใจให้กับเขาได้ ความไม่สมเหตุสมผลบางอย่างยังติดค้างอยู่ในหัว เหมือนกับซากปรักหักพังที่เขาไม่อาจหยั่งได้เลยว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น ฤทธิชาติได้แต่ฟังคนรักพูดแล้วไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เขาขับรถต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้ยินเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นจากทางด้านนอก
เสียงของพายุที่กำลังตั้งเค้าอีกครั้ง...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มาช้าไม่พอ เอาพายุย่อมๆมาฝากด้วย อิอิ ชาตินิลก็มาาาาาาาาาา <3 :mc4:
-
สงสารปูนกับป๋า
สู้ๆนะคะคุณคนเขียน
-
เหยยยยย ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
เพื่อนกรุ๊ปนี้ด่าได้คมจับใจสมกับเป็นเด็กภาษามาก 555555
อย่าว่าแต่พี่นิดและเพื่อนๆ คนอ่านก็'งง'จ้าาาา
ตอนแรกไม่งงนะ พอมาเจอเงื่อนงำวันนี้ละงงทันที
ทำไมพี่กาลบอกปูนนอกใจ ทำไมฝั่งปูนวันฝนตกหลายปีก่อนกลับเจออีกอย่าง @.@
คนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคงจะเป็น กาลและปูน
พี่กาลมันเชี่ยย อยากให้คำแช่งของน้องเป็นจริง สาธุๆๆๆ
ปล. +1 ให้พี่นิลที่ช่วยตบกะโหลกเรียกสติอีป๋า
-
กรี๊ดดดดดดด ชาตินิลลลลลลล คิดถึงมากกกกกกกกก แต่มาผิดคิวไปไหมเธออออออออ คิดไม่ถึงว่าเช่จะให้ป๋ารู้เพราะสองคนนี้ นึกว่าพี่กาลจะกลับมาป่วนอะไรเบอร์นั้น (แต่นี่ขนาดนังไม่กลับนะ ยังป่วนซะ) มันมากค่ะทความลึกลับซับซ้อนมาเต็ม พาร์ทถนัดเช่เลยใช่ไหม เพราะงั้นต้องรีบมาต่อนะ ค้างมากกกกก :ling3:
-
หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ปมใกล้เผยออกมาแล้ว :katai1:
-
:ling1: :ling1: ทำไมมีแต่เรื่องงง :katai5:
-
ปัญหามีแต่โถมเข้ามา โดยที่ยังไม่ได้แก้เลยซักเรื่อง
-
เมื่อไหร่ป๋าจะรู้ถึงความจริงทั้งหมดอ่ะ............?
คือไม่ใช่อะไร ฉันสงสารน้อง อยากให้อิป๋าหายมึนละตามไปกอดปลอบน้องสักที
เดี๋ยวเกิดน้องคิดฆ่าตัวตายอะไรงั้นขึ้นมานี่ขำไม่ออกนะจ๊ะ
กาลนี่ก็ค่าตัวโคตรแพงเหลือเกิน จนเรื่องดำเนินมาถึงตอนที่32แล้วนางก็ยังโผล่มาแค่ชื่ออยู่เลย
แต่ก็นะ ขนาดมาแต่ชื่อเรื่องยังปั่นป่วนชวนอึดอัดขนาดนี้ ถ้ามาตัวเป็นๆคงต้องทำใจก่อนอ่านสักระยะ
ชอบที่นิลด่ามากกกกกกกกกกกก คือแบบว่านางไม่เข้าข้างเพื่อนอ่ะ ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็ว่าถูก
การกระทำแย่ๆของรัตติกาลในวันนั้นเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เด็กคนหนึ่งต้องทุกข์ทรมานกับบาดแผลในใจที่ไม่อาจลบเลือน
ปล. คนในไลน์นี่อาจจะใช่รึเปล่านะ? แล้วคนที่โทรมาขู่คือใครกัน?
-
แตกที่ 33
…จากลา...
บรรยากาศภายในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลไม่ได้อึดอัดอย่างที่พลัสนึกกลัว หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องทุกอย่างของบอยไม่นาน น้าพรก็ฟื้นขึ้นมาด้วยอาการปวดตามเนื้อตัวเล็กน้อยจากการตกบันได แต่เธอเกือบช็อคเมื่อเห็นว่าพลัสได้รับรู้เรื่องทุกอย่างและยืนอยู่เคียงข้างบอย เด็กหนุ่มที่คอยช่วยเหลือเธอเสมอ
ไม่มีคำขอโทษใดๆถูกเอ่ยออกมาจากปากของพร ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกผิดหากแต่ความรู้สึกที่ถูกเก็บงำมานานมันตีตื้นจนเธอไม่อาจสรรหาคำพูดมาบรรยายได้ ทั้งความเสียใจ โหยหา และดีใจ ที่เด็กหนุ่มซึ่งเธอเห็นมาตั้งแต่ยังเล็กยังคงนั่งมองดูเธอจากข้างๆเตียงแม้จะรู้ความจริงที่เกิดขึ้น
“น้าพรครับ วันนี้พ่อจะกลับมาบ้านน้าอยากได้อะไรไหม”
พลัสเองก็พูดกับพรด้วยท่าทางปกติ ไม่รู้สิ ถ้าถามว่าให้อภัยเรื่องของแม่ได้ไหมเขาก็ตอบตามตรงว่ายังทำใจไม่ได้ บางทีเรื่องในครอบครัวพวกเขาคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรักษารอยร้าวนี้ให้หาย แต่อย่างน้อยพลัสก็ไม่อยากหนีมันและทำตัวแย่ๆกับคนที่แท้จริงแล้วยังคงห่วงใยเขาเหมือนที่เคยเป็นมา
“น้า...ไม่อยากได้อะไร”
“ครับ แล้วพี่บอยล่ะ”
คราวนี้ร่างบางหันไปถามคนที่มาอยู่เป็นเพื่อนเขาเวลาเฝ้าไข้น้าพรอยู่เสมอ บอยที่ยังคงง่วงซึมจากการอดนอนส่ายหน้าก่อนจะขอตัวลุกออกไปนอกห้องเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น
“ฮัลโหล”
“นั่นใช่บอยรึเปล่าครับ”
เสียงที่บอยไม่คุ้นชินนักดังลอดมา แต่ร่างใหญ่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะเขามีโทรศัพท์อยู่หลายเครื่องโดยจะแยกเบอร์ส่วนตัวและเบอร์ที่มีไว้ติดต่องานออกจากกันซึ่งก็คือเบอร์นี้
“ครับ ผมกำลังพูดสายอยู่”
“นี่ผมคณิตนะ เพื่อนของเมษาเจ้านายคุณ”
แค่คณิตบอกชื่อมาบอยก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นใครโดยไม่ต้องให้อธิบายเพิ่ม แต่ที่แปลกใจก็คือคนคนนี้โทรหาเขาทำไม
“ครับ คุณคณิตมีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”
“ผมอยากรู้ว่าปูนได้ไปหาคุณไหม”
คำถามของคณิตยิ่งทำให้บอยแปลกใจหนักกว่าเก่า ถ้าคณิตที่เป็นแฟนไม่รู้ รุ่นพี่ที่ทำงานเก่าอย่างเขาคงจะรู้หรอกนะ
“เปล่าครับ ปูนไม่ได้มาหาผม”
“โธ่เอ้ย เธอไปอยู่ไหนนะปูน!”
ประโยคนี้คณิตไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้บอยฟัง หากแต่ร่างสูงเป็นกังวลมากจนเผลอพูดออกมาเสียงดังเกินไปหน่อย คนนอกอย่างบอยฟังแล้วก็พอเดาได้ลางๆว่าสองคนนี้อาจจะทะเลาะกัน แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
“ถ้าผมเจอปูนจะบอกให้เขาติดต่อกลับไปหาคุณแล้วกันนะครับ”
“อ่า อืม ขอบใจมาก ขอโทษนะที่ทำให้เสียเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ”
บอยรอให้คณิตตัดสายไปก่อนตามมารยาทเขาจึงเก็บโทรศัพท์ไปไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิน แต่หลังจากที่ทำอย่างนั้นไปเพียงไม่กี่วินาที เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกหากแต่คราวนี้มันเป็นเครื่องของเบอร์ส่วนตัว
“อะไรนักหนาวะ”
ชายหนุ่มบ่นอย่างนึกรำคาญ ยิ่งพอได้เห็นว่าเป็นใครที่โทรมายิ่งแล้วใหญ่
“ว่าไงมึง หายหัวไปไหนมาคนเขาตามหากันให้ทั่ว”
“พี่บอย...พี่อยู่ไหน”
ปูนไม่ได้สนใจคำถามของบอยเลยสักนิด เขาทักร่างใหญ่ด้วยคำถามที่มันฟังดูอ่อนระโหยโรยราเหมือนคนกำลังหมดแรงจนบอยต้องเก็บความคิดที่จะดุปูนต้องเก็บความคิดนั้นไว้ก่อน
“กูอยู่โรงพยาบาล”
“โรงพยาบาลไหน”
“โรงพยาบาลของมอ มึงเป็นอะไรรึเปล่าไอ้ปูน”
“เดี๋ยวผมจะไปหา ค่อยคุยกันตอนนั้นแล้วกัน”
ปูนตัดสายไปทำให้บอยหงุดหงิดกว่าเดิม เขาถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์แล้วนำพาตัวเองไปยังชั้นล่างของโรงพยาบาล แน่นอนว่าหากปูนมาที่นี่บอยคงต้องเลี่ยงไม่ให้พลัสได้เจอมัน แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับร่างบางจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแต่มันก็ยังเปราะบางมากจนไม่อยากวางใจ โดยเฉพาะปูนที่เคยสั่นไหวหัวใจพลัสได้...
เขาเลือกนั่งลงตรงม้านั่งหน้าโรงพยาบาลเพื่อที่จะให้ปูนสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ความจริงบอยคงไม่รู้ตัวว่าถึงจะหลบอยู่ในซอกลืบยังไงเขาก็ยังกลายเป็นจุดสนใจได้อยู่ดี เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหนใส่ชุดดำทั้งตัวมาเยี่ยมคนที่โรงพยาบาลอย่างเขา แต่ร่างใหญ่ก็ไม่สนใจสายตาใครๆที่มองมา เขานั่งเงียบๆคิดเรื่องของพลัสไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งปูนเดินมาหาเขาด้วยสภาพที่น่าตกใจ
“ตาบวมขนาดนี้ไปหาหมอก่อนค่อยมาคุยกับกูไหม”
บอยไม่ได้หวังดีขนาดนั้นหรอก แค่พูดประชดไปงั้นซึ่งปูนก็เข้าใจดี แต่ร่างเล็กกลับไม่ตอบโต้ เขาเดินนำคนตัวโตกว่าไปยังม้านั่งอีกฝั่งที่แทบจะไม่มีคนเดินผ่านเพราะเวลานี้ปูนไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงความทุกข์ของตัวเองทั้งนั้น
“มีอะไรก็ว่ามา อย่าลีลามาก”
“...เขารู้แล้วพี่”
“เขา? ใครรู้อะไร?”
แม้ว่าปูนจะไม่ได้เงยหน้าให้บอยเห็น แต่บอยก็พอเดาได้ว่าตาช้ำๆของร่างเล็กคงกำลังหลั่งน้ำตาออกมาอีกแล้ว
“คุณคณิต...ป๋าเขารู้แล้ว...เรื่องของผมกับพี่กาล”
“...!!”
“ผมจะทำยังไงดีพี่...ผมไม่รู้...ไม่รู้อะไรอีกแล้ว”
คราวนี้ปูนเงยหน้าขึ้นทำให้บอยเห็นความรวดร้าวในแววตาคู่นั้นอย่างชัดเจน ร่างเล็กร้องไห้โดยไม่อายแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นที่บาดลึกเข้าไปในใจคนฟังยังถูกปล่อยออกมาอย่างสุดห้าม ปูนคว้าชายเสื้อของบอยมาจับไว้อย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยวแม้มันจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“เขาต้องเกลียดผมแน่ๆ ฮึก ผมจะทำยังไงดีพี่บอย”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
บอยอยากให้คำตอบที่ดีกว่านี้แก่ร่างเล็กแต่เขาก็หามันไม่เจอ จะให้ตอบปัดไปว่าหากคุยกันทุกอย่างคงจะดีขึ้นเขาก็ไม่อยากโกหกมัน...หัวใจคนเรามันก็ไม่ต่างจากลูกโป่ง ยิ่งสูบลมเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแตกสลายมากขึ้นเท่านั้น สำหรับบอยคณิตเป็นคนใจกว้างมากที่ยอมรับความไม่สวยงามของปูนได้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าชายคนนั้นจะรับมันได้ทั้งหมด
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดว่ะปูน กูรู้ว่ามึงพยายามถึงที่สุดแล้ว...พอเถอะ”
“พอ? พี่จะบอกว่าให้ผมปล่อยเขาไปอย่างงั้นหรอ”
“เปล่า กูหมายถึงให้มึงเลิกวิ่งตามเขาต่างหาก ถ้าการที่เขารู้ว่ามึงกับเพื่อนเขาเคยเป็นอะไรกันทำให้เขารับมันไม่ได้มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่รึไงวะว่าระหว่างมึงกับเขามันคงไม่มีทางไปต่อ...กูรู้ว่ามึงรักเขา แต่มันไม่พอมึงก็รู้”
บอยพูดด้วยความหวังดี แต่คนที่หวาดกลัวไปทั้งใจตอนนี้กลับมีสภาพไม่ต่างจากหมาจนตรอก มันไม่รู้หรอกว่ามือที่ยื่นเข้ามามีไว้ช่วยเหลือหรือทำร้าย...รอยยิ้มเย้อหยันถูกจุดขึ้นบนใบหน้า ปูนสะบัดชายเสื้อของบอยที่เขาเคยจับเอาไว้ออกราวกับว่ามันเป็นของร้อนก่อนที่ร่างกายเล็กๆที่ยังไม่มั่นคงของปูนจะลุกขึ้น
“หึ บอกให้ผมเลิกวิ่งตาม แต่พี่เองก็ทำมันไม่ได้ไม่ใช่รึไง”
“...!!”
“ทีพี่วิ่งตามไอ้เด็กนั่นมาตั้งหลายปียังทำได้ แต่ทีผมพี่บอกว่าไม่ให้ทำ!”
“ตั้งสติหน่อยไอ้ปูน! กูแค่แนะนำ!”
“แนะนำหรอ? การที่บอกผมว่าระหว่างผมกับเขามันไปต่อไม่ได้ทั้งที่พี่ไม่ได้รู้อะไรเลยสักนิด พี่เรียกมันว่าคำแนะนำรึไง!!”
อาการพาลของปูนทำให้บอยฉุนหนัก เขาเผลอยกมือมาบีบไหล่บางไว้อย่างแรงจนร่างเล็กทำหน้าเหยเก เขาเป็นห่วงมัน...ถึงจะมีบางเรื่องที่เราเข้ากันไม่ได้แต่สำหรับบอยปูนเองก็เป็นเหมือนน้องชายที่สำคัญ บอยไม่อยากเห็นปูนเจ็บ ถึงจะให้คำแนะนำได้ไม่ดีนักแต่เขาก็ไม่เคยหวังร้ายกับปูนเลยจริงๆ
“กูจะไม่ถือสาที่มึงสติแตกจนพาลมาพูดหมาๆกับกูแบบนี้ กูแค่เตือนเพราะเห็นว่ามึงเป็นน้อง แต่ถ้าหากว่ามึงไม่เห็นว่ากูเป็นพี่...กูก็ทำอะไรไม่ได้”
“...”
“มึงอยากให้คนทั้งโลกมาเข้าใจมึง แต่มึงล่ะเคยเข้าใจคนอื่นเข้าบ้างรึเปล่า...อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนัก ไม่มีใครทำทุกอย่างได้ตามใจตัวเองหรอกนะ”
บอยว่าก่อนจะปล่อยไหล่ของปูนออกแล้วหันหลังเตรียมจะเดินกลับเข้าไปในตัวอาคาร แต่แล้วเสียงหัวเราะเล็กๆของปูนก็ดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่าๆ ได้สิทำไมจะไม่ได้ล่ะ ทีพี่เองก็ยังทำได้เลยไม่ใช่หรอ”
“...?”
“ข่มขืนคนที่ตัวเองชอบจนได้เขามาอยู่ใกล้ๆ...ก็เพราะว่าพี่ทำตามที่ผมบอกไม่ใช่รึไงไม่อย่างนั้นไอ้พลัสนั่นก็ไม่มีวันหันมามองพี่หรอก”
คำพูดของปูนคงไม่มีผลใดๆต่อหัวใจคนฟังหากมันไม่เป็นความจริง สิ่งที่เสียดแทงความรู้สึกของร่างใหญ่มาตลอดทำให้บอยไม่อาจเถียงปูนกลับไปได้ เขาจึงทำได้เพียงหันกลับมามองหน้าปูนด้วยความผิดหวังที่ต่อให้เตือนยังไงพูดแบบไหนปูนก็ไม่เข้าใจถึงความหวังดีที่เขามีให้ และเขาก็คงไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้
“หมายความว่ายังไง...ที่พูดมาน่ะ”
ในขณะที่ปูนและบอยกำลังจ้องตากันเสียงสั่นๆราวกับจะร้องไห้ออกมาของใครบางคนก็ดังขึ้น ถึงตาจะมองไม่เห็น ถึงผิวกายจะไม่ได้สัมผัส...บอยก็จำได้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร
“พลัส...”
ใบหน้าของคนที่ควรจะอยู่เฝ้าไข้น้าพรข้างบนซีดเผือก ดวงตาของพลัสเบิกค้างราวกับคนที่กำลังตกใจอย่างหนักซึ่งมันก็ใช่
“ที่บอกว่าพี่ข่มขืนผมเพราะปูน...มันหมายความว่ายังไง...พี่ตอบมาสิ”
“พลัส ฟังกู...”
“กูบอกให้ตอบมายังไงเล่า!!!”
เสียงตะโกนของพลัสดังก้องไปทั่ว แม้แต่ปูนที่เป็นคนจุดประเด็นนี้ขึ้นมายังตกใจจนไม่กล้าขยับตัว เด็กหนุ่มที่เคยพูดจาสุภาพเสมอแม้แต่กับคนที่ทำร้ายตัวเองเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับคำพูดที่สะท้อนได้ถึงการหมดศรัทธาในคนที่เคยเคารพนับถือ บอยรู้สึกวูบโหว่งไปทั้งหมด รอยด่างที่เขาพยายามปิดบังมันมาตลอดพลัสรู้มันแล้วด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างไม่น่าให้อภัย
ใครน่ะหรอ?
ก็ตัวเขาเองไง...ที่เลวระยำจนเกินจะเยียวยา
“พลัส...ฟังก่อนกูอธิบายได้ไหม”
“กูไม่อยากได้คำแก้ตัว กูแค่อยากรู้ว่ามึงข่มขืนกูเพรามันจริงไหมก็ตอบกูมาสิ ตอบกูมา!!!”
ไม่พูดเปล่าพลัสเดินตรงเข้ามาก่อนจะผลักอกบอยอย่างแรงจนร่างที่ใหญ่โตกว่ามากเซไปทางด้านหลัง ไม่ใช่ว่ามันแรงจนเกิดจะต้านทานหากแต่เป็นเพราะแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บปวดของพลัสต่างหากที่ทำให้บอยไร้เรี่ยวแรง
“เงียบแบบนี้แสดงว่าจริงใช่ไหม...มึงทำร้ายกูเพราะมันจริงๆหรอ”
แม้ว่าบอยจะไม่ตอบคำถามนั้นความจริงทุกอย่างก็กำลังสะท้อนออกมาให้พลัสเห็น สีหน้าที่แสดงความรู้สึกผิดและเสียใจอย่างถึงที่สุดไม่ได้มีค่าอะไรเลยนอกจากการเป็นเครื่องหมายของความอัปยศที่เกิดขึ้น
“มึงบอกว่ามึงรู้สึกดีกับกู...แต่มึงกลับทำร้ายกูแค่เพราะคำพูดของคนอื่นงั้นหรอ”
“...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเกลียดกันทีได้ไหม มึงจะได้เลิกทำร้ายกูสักที”
พลัสคงไม่อาจหาถ้อยคำใดๆมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ดีเท่านี้ ความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นพังทลายลงไปราวกับมีคนมาล้มโดมิโน่ที่บอยเพียรสร้างไว้ในหัวใจของเขา พลัสเคยคิดว่านอกจากตอนที่แม่เสีย ความเจ็บปวดจากการถูกขืนใจในคืนนั้นคงเป็นความเจ็บปวดที่สุดที่คนคนหนึ่งสามารถรู้สึกได้...แต่มันกลับเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่รู้ว่าบอยทำร้ายเขาเพียงเพราะคำยั่วยุของคนอื่น
ร่างบางพยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองดูน่าสมเพชมากไปกว่านี้ เขาหันหน้าหนีไม่อยากเห็นความอ้อนวอนจากแววตาของอีกฝ่ายที่พลัสไม่อาจเชื่อได้เลยว่ามันมีความจริงใจอยู่ในนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าบอยกลับคว้ามือของพลัสไว้ทั้งที่ไม่ควรทำ
“ขอโทษ...พลัส พี่ขอโทษ”
ที่ตรงนี้ไม่มีใครที่ร้องไห้ บอยไม่ร้อง พลัสก็ไม่ร้อง พวกเขาเพียงแค่มองกันผ่านแววตาที่บ่งบอกความรู้สึกของเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี
ดวงตาของบอยคือคำอ้อนวอนที่ไร้ค่า
ส่วนดวงตาของพลัสคือคำบอกลาที่ไร้เยื่อใย
“อย่ามาให้กูเห็นหน้ามึงอีก...หายไปจากชีวิตกูซะ”
ใช้แรงเพียงนิดเดียวพันธนาการที่บอยยึดไว้ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย คนที่เจ็บปวดเกินกว่าจะทนรับได้บีบมือของตัวเองที่ยังคงหลงเหลือความอบอุ่นจากบอยให้รู้สึกแน่น ก่อนจะหันไปหาปูนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ครั้งหนึ่งกูเคยเสียใจที่มึงไม่เคยหันมามองกูบ้าง แต่ตอนนี้กูดีใจมากเลยว่ะ...เพราะคนอย่างมึงมันไม่สมควรได้รับความรักจากใครเลยจริงๆ”
คำพูดของพลัสแม้จะไม่รุนแรงแต่กลับตอกย้ำตราบาปในหัวใจของปูนได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กพูดไม่ออก ความกระอักกระอ่วนในอกตีรวนขึ้นมาจนทำให้เขาได้แต่ยืนนิ่ง ปูนมองหน้าพลัส ร่างเล็กทำท่าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากอยู่ฟังมันจากปากเขาเท่าไหร่ เพราะทันทีที่พูดจบร่างบางก็หันหลังแล้วเดินกลับไป โดยไม่หันมามองทั้งคู่อีก...และเพราะอย่างนั้นเลยทำให้ไม่มีใครได้เห็นน้ำตาที่ไหลเป็นทางบนใบหน้าของพลัสยกเว้นแต่ชายคนหนึ่งที่ยืนฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ
คณิตกำโทรศัพท์ในมือของตัวเองแน่น ร่างสูงไม่ได้พูดอะไรกับเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งจะโทรหาเพื่อถามไถ่เรื่องของคนที่หายไป แต่คณิตก็ไม่คิดเลยว่านอกจากจะได้เจอปูนแล้วเขายังได้ค้นพบความจริงที่น่าตกใจบางอย่าง ซึ่งทำให้คณิตรู้สึกว่าเขายังรู้จักปูนน้อยไปจริงๆ
“พลัส เดี๋ยวพลัส!!”
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของบอย คนที่ยังไม่ตัดใจยอมแพ้วิ่งตามพลัสไปโดยที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นคณิตที่ยืนอยู่เพราะในสายตาของบอยนั้นมันมีแต่ภาพของพลัสที่ไกลออกไปเรื่อยๆ...ไกลยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยรู้สึก เขาเร่งฝีเท้าของตัวเองขึ้นอีกจนกระทั่งมาถึงหน้าลิฟต์ที่พลัสเพิ่งหายเข้าไปในนั้น แต่แทนที่ร่างใหญ่จะอยู่รอคิวลิฟต์ครั้งต่อไป เขากลับรีบวิ่งขึ้นบันไดไปแม้ว่าชั้นที่น้าพรพักอยู่จะอยู่สูงแค่ไหนก็ตาม
“แฮ่ก พลัส!!”
ประตูห้องพักถูกกระชากออกก่อนที่บอยจะถลาเข้าไปมองหาคนที่เขาอยากเจอหน้ามากที่สุด แต่ภายในห้องนั้นกลับไม่มีแม้แต่เงาของพลัส ที่นั่นมีเพียงแค่น้าพรที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นเพราะเสียงของบอย
“เสียงดังอะไรกันบอย”
“ป้าครับ เห็นพลัสไหม พลัสมาที่นี่รึเปล่า”
เสียงของบอยสั่นจนพรแปลกใจ เธอที่สงสัยความสัมพันธ์ของบอยและพลัสเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพยายามไม่คิดอะไรมากแล้วตอบไปตามตรง
“ไม่ได้มา พลัสขอป้าออกไปตามบอยหลังบอยออกไปโทรศัพท์ได้แปปเดียวเอง ไม่ได้เจอกันหรอ”
“เจอครับ แต่...”
“...?”
“ผมขอโทษนะครับป้าพร ขอโทษจริงๆ”
บอยมีถ้อยคำมากมายที่อยากจะเอ่ยทั้งกับคนที่เขารักและคนที่เขาห่วงใยแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นครั้งหนึ่งบอยกลับเลือกทำร้ายคนเหล่านี้ด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัวที่สุด เขาจะไม่แก้ตัวว่าไม่รู้หรือไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องราวทุกอย่างจะเลวร้ายลง...เขารู้...และเขาคิด...เพียงแต่ตอนนั้นเขาโลภอยากครอบครองคนที่รักไว้...เขาใช้อารมณ์ตัดสินทุกอย่างแล้วสุดท้ายมันก็พังไม่เป็นท่า
บอยเดินออกมาจากห้องทิ้งคนที่ยังไม่รู้ทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แต่เขาสาบานกับตัวเองว่าหลังจากได้คุยกับพลัสอีกครั้งเขาจะเข้ามาสารภาพและบอกทุกอย่างกับป้าพรแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ทางมองเขาด้วยสายตาแบบเดิมอีกเลยก็ตาม แต่ต้องไม่ใช่กับพลัส...ขอแค่พลัส...พลัสคนเดียวเท่านั้น
ชายหนุ่มวิ่งตามหาพลัสจนทั่ว แม้แต่รอบๆโรงพยาบาลแต่เขาก็ไม่เจอ บอยพยายามโทรศัพท์หาพลัสซ้ำแล้วซ้ำอีกแม้ว่ามันจะไม่ติด พลัสปิดเครื่องและนั่นทำให้บอยไม่อาจตามหาร่างบางด้วยวิธีการขี้โกงแบบเดิมได้จนหัวใจที่ร้อนรนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่อยๆพังทลายลงเหมือนเศษไม้ที่ถูกไฟสุม
“ร้อนชิบหายเลยว่ะมึง ไปนั่งหาดกันป่าววะ”
เสียงพูดคุยของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านมาทำให้บอยฉุกคิด
“หรือว่า...จะเป็นที่นั่น”
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
บอยรีบบึ่งรถบิ๊กไบค์ของตัวเองออกไปแทบจะทันที เขาเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่กลัวว่าจะไปเตะตาตำรวจที่ไหนเข้า เพราะในหัวของร่างสูงมีเพียงภาพของสถานที่ที่มีความทรงจำอันล้ำค่าของบอยถูกเก็บไว้ ทั้งในสายลม หยดน้ำ และเม็ดทราย...สถานที่ที่บอยเชื่อว่าพลัสยอมเปิดใจให้เขาเป็นครั้งแรก
“พลัส...”
และบอยก็คิดถูก ภาพของพลัสในปัจจุบันถูกซ้อนทับด้วยภาพในอดีต แม้จะอยู่คนละช่วงเวลาแต่พลัสในวันนี้ไม่ต่างอะไรจากในวันนั้น...จะเปลี่ยนไปก็แค่คนที่ทำให้พลัสร้องไห้คือเขาไม่ใช่ใครอื่น
เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองแต่ก็ไม่ได้ลุกหนี อันที่จริงร่างบางรู้อยู่แล้วว่าบอยจะต้องพยายามตามหาเขา...พลัสได้แต่นั่งนิ่งทั้งที่อยากด่าทออีกฝ่ายให้สาแก่ใจแต่มันก็ทำได้ยาก เพราะในหัวใจของพลัสในตอนนี้มันมีแต่ความผิดหวังไม่ใช่ความแค้นเหมือนดั่งเก่า
มือที่สั่นเทาของบอยเอื้อมมาโอบรัดร่างของพลัสไว้ แม้จะไม่มีเสียงร้องไห้แต่ทั้งคู่ต่างก็ได้ยินมันผ่านหัวใจที่บอบช้ำทั้งสองดวง ร่างบางพยายามขืนตัวออกแต่บอยก็ไม่ยอม...ขอร้อง...ช่วยฟังกันก่อนได้ไหม
“พี่รู้ว่าพี่ผิด...ผิดเกินกว่าที่พลัสจะให้อภัย...แต่ขอร้องเถอะนะ ขอให้พี่ได้ชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำไปกับพลัสก่อน”
“ทางเดียวที่พี่จะชดใช้ได้คืออยู่ให้ไกลจากผม หูหนวกรึไง บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องมาให้เห็นหน้ากันอีก”
น้ำเสียงของพลัสมันทั้งแหบพร่าและเย็นชาเสียจนคนฟังรู้สึกร้าวไปทั้งใจ แม้คำพูดที่พลัสใช้จะกลับมาสุภาพแต่มันกลับไม่น่าฟังเลยสักนิด
“ไม่...ฟังพี่ก่อนนะ”
“พอเถอะพี่...ผมเหนื่อย...เหนื่อยจะฟัง เหนื่อยจะคิดทุกอย่างแล้ว”
บอยโอบรับร่างบางให้แน่นขึ้นอีกแต่เขากลับรู้สึกเหมือนกับว่าไม่เคยไขว่คว้าคนคนนี้ได้จริงๆสักครั้ง
“อย่าเพิ่งเหนื่อยได้ไหม จะด่ากันอีกก็ได้ จะทรมานพี่แค่ไหนก็ยอม ขอแค่พลัสยังไม่ไป...ขอแค่พลัสยังอยู่ให้พี่เห็น”
“ตอนนี้พี่ขอร้องผม...แล้วทีตอนนั้นที่ผมขอให้พี่หยุด ทำไมพี่ถึงไม่ฟังผมบ้างล่ะครับ...ผมขอร้อง...ขอให้พี่ไม่ทำแล้วผมพี่เคยฟังมันบ้างไหมพี่บอย”
พลัสหันมาเผชิญหน้ากับคนที่ใจร้ายที่สุดด้วยสีหน้าที่ตัดพ้อ หากแต่สิ่งที่ทรมานใจเขาตอนนี้ไม่ใช่ความอัปยศในคืนนั้น แต่เป็นสาเหตุของมันต่างหาก
“ผมคิด...ว่าตัวเองอาจจะให้โอกาสพี่ได้แก้ตัวเรื่องในคืนนั้นได้เพราะความดีที่พี่ทำ แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆ...ว่าจะให้อภัยคนที่ทำร้ายผมเพราะคำพูดของคนอื่นได้ยังไง ผมคิดไม่ออกจริงๆพี่”
ร่างบางสัมผัสใบหน้าของคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงหัวใจของเขาไปในวินาทีสุดท้าย หากวันนั้นบอยไม่เข้ามาหาเขาที่นี่...หากบอยไม่เข้ามาเป็นคนที่พลัสได้พึ่งพิงการตัดอีกฝ่ายออกไปจากชีวิตคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเผชิญหน้ากันต่อไป...มันเจ็บมาก...ทรมานเกินไปจริงๆ
“พี่...ไม่มีทางชดใช้ให้เราได้เลยจริงๆหรอนอกจากทางนี้”
บอยถามพลัสขณะที่เคลื่อนเข้าไปใกล้จนหน้าผากของพวกเขาสัมผัสกัน ดวงตาทั้งสองคู่ไม่หลบหลีกไปไหน มันสบกันอยู่อย่างนั้นเหมือนกับว่าต้องการจดจำภาพช่วงเวลานี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด
“ไม่มีแล้วพี่บอย ฮึก มันหมดหนทางแล้วจริงๆ”
“...”
“ปล่อยผม...ไปเถอะนะ”
พลัสว่าก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ทั้งความเจ็บปวดและความรู้สึกดีๆแม้จะเพียงเล็กน้อยที่ได้รับจากชายคนนี้ถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดไม่มีเหลือ บอยมองดูน้ำตาของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย แน่นอนว่าเขาเสียใจแต่บอยก็เข้าใจว่าตัวเองคือคนที่ทำร้ายพลัสมากที่สุด
บอยหลับตาลง เขานึกถึงภาพของเด็กผู้ชายเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่เข้ามาสร้างความรู้สึกบางอย่างไว้ในหัวใจของเขาอย่างง่ายดายเพียงแค่สบตา และเขาก็นึกถึงใบหน้าอมทุกข์ของเด็กคนนั้นรวมถึงแววตาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัวในการพบกันครั้งที่สอง
“สวัสดีครับ ผมชื่อพลัส จะมาทำพาร์ทไทม์ที่นี่”
“...”
“หัวหน้าครับ?”
“จำพี่ไม่ได้หรอ”
“จำ? เราเคยเจอกันมาก่อนหรอครับ?”
“...”
“...”
“เปล่า...กูชื่อบอย...เป็นหัวหน้าของมึง”
“สุดท้าย ไม่ว่ายังไงพี่ยังเป็นคนแพ้อยู่ดีสินะ แต่อย่างน้อย...ขอแค่สักครั้งให้พี่ได้พูดมันออกไป พลัสช่วยรับฟังมันหน่อยได้ไหม”
“...”
“พี่รักพลัสนะ...ขอโทษ...พี่ขอโทษ”
พลัสเคยคิดว่าหากวันนี้มาถึงเขาจะเป็นคนที่ยืนอยู่ในฐานะผู้ชนะแล้วปฏิเสธคำว่ารักของบอยไปด้วยความเกลียดชังทั้งหมดที่มี หากแต่ในวันนี้หัวใจของเขากลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกเติมเต็มด้วยสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับจากใคร...หากแต่รอยร้าวรอยใหญ่ที่ถูกสลักอยู่บนหัวใจนั้นก็ไม่อาจทำให้มันคงอยู่ต่อไปได้ ความรักของบอยถูกรินรดลงในหัวใจของเขา แต่มันก็หายไปเพราะความผิดที่อีกฝ่ายเคยกระทำ...ความผิดที่ปล่อยให้คำว่ารักอยู่เหนือหัวใจของคนที่รัก
“ขอโทษนะครับ...แต่ผมรับมันไว้ไม่ได้จริงๆ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ตั้งแต่บอยวิ่งตามพลัสไปปูนก็ได้แต่ยืนอยู่กับที่เพราะไม่อาจสลัดภาพใบหน้าอันเจ็บปวดของพลัสออกไปจากหัวสมองได้ คำพูดและการแสดงออกถึงความผิดหวังทำให้ร่างเล็กเริ่มสะท้อนใจถึงผลจากสิ่งที่ตัวเองทำ จริงอยู่ที่เขาไม่ชอบพลัสเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยทำอะไรกับคนคนนี้ไว้ แต่พอวันนี้ทุกอย่างมันย้อนกลับมาหาตัวเองและคำพูดของพลัสที่ตอกย้ำหัวใจคนฟังเข้าอย่างจัง ปูนก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกผิดของตัวเองได้เลย
‘คนอย่างมึงมันไม่สมควรได้รับความรักจากใครเลยจริงๆ’
“ปูน”
ปูนสะดุ้งเมื่อเสียงที่คุ้นเคยดีกำลังเรียกชื่อของเขาในขณะที่ร่างเล็กกำลังนึกถึงคำพูดสุดท้ายของพลัสซ้ำไปซ้ำมา
ป๋า...
“อย่าหนีนะ!”
ปูนเตรียมจะวิ่งหนีแต่ยังไม่ทันแม้จะได้ขยับตัว คณิตก็พูดขึ้นพร้อมกับเดินมาจับแขนของปูนไว้ คนที่เขาเที่ยวตามหากำลังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางที่ดูสับสนอย่างหนัก จากทั้งเรื่องของเขา...และเรื่องของเด็กที่ชื่อพลัส
“ปะ ปล่อย”
“ไม่”
คณิตไม่ฟังคำปฏิเสธของปูนเลยสักนิด เขาออกแรงลากคนที่ตัวเล็กกว่ามากไปยังรถของตัวเองแม้ว่าปูนจะขัดขืนจนใครต่อใครหันมามอง
“ไม่ไปนะ ปล่อยสิ! ฮึก บอกให้ปล่อยไง!”
เมื่อความต้องการของตัวเองไม่ถูกตอบสนองปูนก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้งจนคนฟังใจสั่น คณิตอยากจะเข้าไปซับน้ำตาให้แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรทำ เขาตามใจปูนมากไป จนทำให้ปัญหาทุกอย่างคาราคาซังแบบนี้รวมไปถึงเรื่องของพลัสที่ต่อให้ไม่มีใครพูดออกมาตรงๆคณิตก็พอจะเดาได้ว่าเหตุผลที่ปูนบอกให้บอยทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นไป สาเหตุก็คงไม่พ้นเรื่องของเขา
“พลัส...”
จู่ๆ ปูนก็ครางชื่อของคนที่เป็นประเด็นอยู่เมื่อครู่ออกมาทำให้คณิตหันไปมองภาพของพลัสที่กำลังวิ่งออกไปนอกโรงพยาบาลอย่างรีบร้อนเหมือนกับพยายามหนีอะไรบางอย่าง ร่างเล็กรู้สึกใจเสีย ที่บอยวิ่งตามไปเมื่อกี้สองคนนั้นยังไม่ได้เจอกันหรอ ปูนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรบอกบอยว่าพลัสกำลังวิ่งไปที่ไหน แต่คณิตที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็คว้าโทรศัพท์ของคนรักมาถือไว้พร้อมกับทำหน้าขึงขัง
“อย่ายุ่งกับเด็กคนนั้นอีก”
คณิตไม่ได้โกรธเขาเพียงแต่คิดว่าหากปูนยังเข้าไปยุ่งมากไปกว่านี้เรื่องของสองคนนั้นอาจจะบานปลายจนเกินแก้ แต่สำหรับคนที่มีชนักติดหลังอย่างปูนกลับมองแววตาตำหนิด้วยความกลัว อย่าบอกนะว่าคณิตได้ยินมันทั้งหมด..:พอคิดได้อย่างนั้นปูนก็เริ่มหน้าเสีย สำหรับเรื่องนี้เขาเองยังรู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป นับประสาอะไรกับคณิตที่อ่อนโยนกับคนอื่นเสมอ
“ผมไม่ได้จะ...”
“ไม่ว่าเธอจะตั้งใจทำอะไร มันคงไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นหรอก...สิ่งที่เธอกับบอยทำมันรุนแรงเกินไปปูน อย่าทำให้เรื่องมันแย่มากไปกว่านี้”
คำพูดของคณิตเป็นเหมือนมือที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังบีบลำคอของปูนจนร่างเล็กหายใจไม่ออก เรื่องราวมากมายที่รุมเร้าทำให้ปูนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลงไปในความมืดเรื่อยๆโดยไม่มีหลักยึดใดให้ไขว่คว้า แม้แต่มือของคณิตที่กำลังจับกันอยู่นี่ก็ไม่อาจทำให้ปูนรู้สึกถึงวันข้างหน้าได้อย่างเคย
มันมืดมดและไร้หนทาง...ทางที่เขาจะเดินไปข้างหน้าได้
“ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็อย่ามายุ่งกันเลยครับ”
“...!?”
“ผมมันไม่ดีในสายตาคุณอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
ปูนร้องไห้ก่อนจะเผยใบหน้าที่แสดงถึงความสิ้นหวังออกมาอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดีและไม่ได้มีโอกาสมากมายนักที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แต่คณิตคือความหวัง...ความหวังที่ปูนใช้บอกตัวเองว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หากแต่วันนี้มันกลับพังทลายลงไปด้วยน้ำมือของเขาเอง
“เรื่องของพลัสผมผิดจริงๆอย่างที่คุณว่า ถึงจะทำอะไรไม่ได้มากแต่ผมก็จะพยายามชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ส่วนเรื่องของพี่กาล...”
“...”
“ขอโทษนะครับ ที่ผมแก้ไขอดีตของตัวเองไม่ได้จริงๆ”
ปูนขืนข้อมือของตัวเองออกโดยที่คราวนี้มันกลับหลุดออกมาได้ง่ายดายเพราะคณิตกำลังตกใจกับคำพูดกล่าวโทษตัวเองของปูน ร่างสูงยอมรับ...ว่าห้วงหนึ่งในความคิดเขารู้สึกผิดหวังกับอดีตของปูนที่เพิ่งได้รับฟัง อดีตที่บอกว่าครั้งหนึ่งปูนเคยรักใครคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนรักของเขาที่คณิตไม่อาจจินตนาการภาพได้เลยว่าเพราเหตุอันใดปูนถึงไม่บอกเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่ทีแรก
เพราะมันไม่สำคัญจนต้องเก็บมาใส่ใจ
หรือเพราะว่าสำคัญมากจนไม่อยากให้รับรู้...
คณิตถามตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้แม้กระทั่งตอนนี้ที่มือของเขาไม่อาจสัมผัสปูนได้จนความเหน็บหนาวและปวดร้าวในหัวใจเกิดขึ้นในอกของคณิตเป็นครั้งแรก...มันรุนแรงและลึกซึ้งจนทำให้คณิตรู้ตัวว่าปูนสำคัญกับเขามากเท่าใด
“ฉันรักเธอนะปูน...แต่ฉันก็ห้ามความเห็นแก่ตัวของตัวเองไม่ได้ แค่คิดว่าครั้งหนึ่งเธอเคยบอกรักไอ้กาลด้วยถ้อยคำที่เหมือนกับที่เธอเคยบอกฉันหัวใจมันก็เจ็บขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ”
คณิตคว้าปูนมากอดไว้ มันเป็นการกระทำที่สวนทางกับคำพูดอย่างชัดเจน เหมือนกับการที่สมองบอกให้เขาเดินออกมาจากเรื่องราวยุ่งยากทุกอย่างหากแต่หัวใจกลับไม่ยอมเชื่อฟัง
“คนอื่นบอกว่าฉันเป็นคนใจกว้างที่รับรักเธอได้ แต่เธอรู้ไหม...ความจริงแล้วคนอย่างฉันน่ะมันทั้งใจแคบและเห็นแก่ตัวที่สุดเลย”
การกลับมาของอดีตไม่ได้ทำร้ายเพียงหัวใจของปูนที่ทนแบกรับมันมานาน หากแต่มันกลับยังสร้างรอยแผลรอยใหม่ให้คณิตที่เพิ่งรับรู้ถึงความไม่สวยงามของตัวเองซึ่งมันยากเกินกว่าจะยอมรับ พวกเขาที่ทั้งโง่เขลาและไร้หนทางจึงทำได้เพียงแค่กอดกันไว้แม้ว่าความรู้สึกตอนนี้จะยังไม่ชัดเจนและเต็มไปด้วยคำถาม ว่าสุดท้ายแล้วความรักที่บีบรัดอยู่ในอกนี้จะดำเนินไปในทางไหน
คณิตพาปูนกลับมาที่บ้าน...บ้านที่เขาและปูนเพิ่งยิ้มและหัวเราะให้แก่กันในตอนเช้าก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรอยน้ำตาในยามที่พระอาทิตย์ค่อยๆลาลับไป ไม่มีคำพูดใดๆระหว่างคนทั้งสอง มีแค่ความเงียบที่โอบล้อมและอ้อมแขนอุ่นๆที่คอยประคองกันไว้บนเตียงนอนที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น
ปูนหยุดร้องไห้ไปแล้ว แต่ร่างเล็กยังคงเลือกที่จะวางหัวอันหนักอึ้งของตัวเองไว้บนอกของคณิตที่คอยลูบมันไปมาอย่างอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรๆมันก็เปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
“ผมน่ะ...เคยรักเขามาก่อน”
หลังจากเงียบกันอยู่นาน จู่ๆปูนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ และเพราะความมืดรอบตัวก็ทำให้คณิตไม่อาจให้คณิตเห็นได้เลยว่าใบหน้าของปูนยามพูดถึงเพื่อนของเขา มันเต็มไปด้วยความรัก ความเศร้า หรือความเกลียดชังกันแน่...ปูนนึกถึงใบหน้าของคนคนนั้นที่แม้จะไม่ค่อยได้ยิ้มให้เขาแต่ดวงตาที่แสดงออกถึงความเข้าใจก็ทำให้ร่างเล็กรู้สึกอบอุ่นเสมอ เขาเผลอกำมือที่กำลังจับชายเสื้อของคณิตไว้แน่นขึ้นเมื่อเรื่องราวในอดีตย้อนเข้ามาในหัว
“พี่กาล...เขาเป็นเหมือนสิ่งดีๆที่เข้ามาในชีวิต เขาทำให้ผมที่ไม่เคยมีความรู้สึกลึกซึ้งแบบนี้ให้กับใครได้เรียนรู้ว่าการรักใครสักคนมันมีความสุขมากแค่ไหนรวมไปถึงความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับมัน ตลอดเวลาที่คบกันผมรู้ดีว่าระหว่างเรามันคงเป็นไปไม่ได้ ถึงพี่กาลจะบอกว่าเขาจะอยู่กับผม...แต่ผมก็รู้ว่าสักวันเขาก็คงทิ้งผมไปอยู่ดี”
“ไอ้กาลมัน...ทิ้งเธองั้นหรอ”
“อืม แม้ว่าเขาอาจจะคิดว่าเป็นอีกอย่างน่ะนะ”
ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วกอดเข่าตัวเองไว้ปล่อยให้ดวงตาจับจ้องไปยังแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากทางนอกหน้าต่าง หากในห้องๆนี้ไม่มีคณิต บรรยากาศตอนนี้คงไม่ต่างจากคืนวันที่เขาต้องเฝ้ารอคอยรัตติกาลให้มาหาโดยที่ไม่เคยได้รับรู้เลยว่าคนที่เขารักกำลังไปทำอะไรอยู่ที่ไหน
“การรอคอยมันทรมาน...แต่ผมก็บอกตัวเองว่าทนได้แล้วรอคอยเขาอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่ายังมีบางสิ่งที่ทรมานยิ่งกว่า...นั่นก็คือการรอคอยที่ไม่มีใครกลับมาหาเรา...การรอคอยที่ต่อให้ทุ่มเทความรู้สึกและปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานแค่ไหนสุดท้ายมันก็ไร้ค่า...ไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครได้ยินว่าเราเจ็บปวดแค่ไหน ไม่มี...ไม่มีเลยสักคน”
เสียงของปูนแผ่วลงเรื่อยๆเช่นเดียวกับความหวังที่ริบหรี่ก่อนจะค่อยๆดับไปในท้ายที่สุด คณิตมองแผ่นหลังที่คุดคู้ลงและมือที่โอบกอดตัวเองไว้ของปูนซึ่งบ่งบอกได้ดีกว่าเด็กผู้ชายตัวเล็กๆนี้ก้าวผ่านการรอคอยที่ว่านั้นมาโดยวิธีไหน
“ระหว่างผมกับเขามันจบไปแล้ว...แม้ว่ามันจะยังมีอะไรหลายอย่างที่ไม่ชัดเจนแต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมต้องฝืนทนอยู่ตรงนั้นต่อ ผมจะไม่ขอให้คุณเข้าใจหรือว่าเกลียดเพื่อนของตัวเองเพราะสิ่งที่เขาทำกับผม...แต่ผมอยากบอกคุณนะคุณคณิต ว่าต่อให้ตอนนี้พี่กาลเขาจะมาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วขอให้ผมยกโทษให้ผมก็จะไม่มีวันให้อภัยคนอย่างเขาเป็นอันขาด”
“บอกได้ไหม ว่าระหว่างเธอกับไอ้กาลมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“บอกไปแล้วจะได้อะไร คุณจะไปทวงความยุติธรรมคืนให้ผมหรอ”
“...”
“หึ ก็ไม่ใช่ไหมล่ะ เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่เคยคิดจะบอกคุณว่าครั้งหนึ่งผมเคยรักกับคนแบบนั้น”
ร่างเล็กยิ้มให้คณิตอีกครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นมาเปิดไฟในห้องแล้วเริ่มลงมือเก็บเสื้อผ้าและของใช้ลงไปในกระเป๋าสะพายใบเดียวกันกับที่ปูนใช้ขนของจากหอมาไว้ที่นี่ คณิตขมวดคิ้วแน่น ยิ่งได้เห็นว่าเสื้อผ้าที่ปูนหยิบออกไปจากตู้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปูนซื้อมันมาด้วยตัวเองทั้งนั้น ผิดกับเสื้อผ้าที่เขาซื้อไว้ให้
“เธอจะทำอะไร”
“เก็บเสื้อผ้าไงครับ”
“เธอจะไปจากฉันงั้นหรอ”
“แล้วมัน...มีทางอื่นที่ดีกว่านี้รึไง คุณรับอดีตของผมไม่ได้ ไม่สิ...ความจริงคุณอาจจะไม่เคยรับตัวตนของผมได้เลยด้วยซ้ำ”
ปูนยิ้มขืนพร้อมกับนึกถึงคำพูดของบอยที่บอกไว้ ว่าถ้าหากคณิตไม่สามารถรับอดีตที่ไม่น่ามองของปูนได้บางทีก็อาจจะถึงเวลาที่เขาควรจะเลิกวิ่งตาม ไม่ใช่ว่าไม่รัก ไม่ใช่ว่าอยากยอมแพ้ แต่เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้ากับการที่ต้องคอยถามต้องถอยถามตัวเองซ้ำๆ ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันไม่เพียงพอต่อการอยู่ด้วยกันของเราอย่างนั้นหรอ ในขณะที่คณิตเอง...ก็คงจะเหนื่อยกับการพยายามยอมรับตัวตนของปูนด้วยเช่นกัน
“ผมรักคุณนะ...ปูนรักป๋า แต่ว่าตอนนี้ผมว่าเราพยายามกันมามากเกินพอแล้ว”
เด็กหนุ่มกลั้นก้อนสะอื้นลงคอแล้วหันมามองหน้าคนที่ตนรักด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย อยากจะเข้าไปกอด อยากจะเข้าไปร้องขอว่าช่วยจับมือกันไว้ให้แน่นๆได้ไหม แต่ความเป็นจริงเบื้องหน้ากลับเป็นเหมือนหมุดเล่มใหญ่ที่ตอกปลายเท้าของปูนไว้ไม่ให้เดินไปไกลกว่านี้ เขานึกย้อนไปถึงวันแรกที่ได้เจอกันแม้มันจะไม่สวยงามและเต็มไปด้วยเรื่องผิดพลาดแต่ภาพของคณิตที่แสนอบอุ่นและเข้าใจเขาเสมอนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ปูนหลงรักผู้ชายคนนี้หากแต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมันกลับย้อนแย้งกับความจริงข้อนั้นอย่างน่าเจ็บใจ...ปูนอยากถามคณิตว่าตัวเขาในสายตาของร่างสูงในวันนี้ยังคงน่าเอ็นดูเหมือนกับวันนั้นไหม หรือสิ่งดีๆที่อุตส่าห์สร้างกันมาแทบตายกลับสลายไปพร้อมกับความคาดหวังที่เกินตัว
“ป๋า...เราเลิ...”
“ฉันจะไม่เลิกกับเธอหรอกนะ”
“...!!”
“เราจะไม่เลิกกันปูน ฉันจะไม่มีวันรับคำบอกลาของเธอแน่ๆ”
คณิตก้าวไปหาคนที่แสดงสับสนออกมาผ่านแววตาก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กมาถือไว้แทนด้วยการตัดสินใจที่แน่แน่ว
“สิ่งที่เราทั้งคู่ต้องการตอนนี้คือเวลา ไม่ใช่การตัดปัญหาออกไปโดยที่ยังไม่ได้ลองแก้ไข เธอบอกว่าเราพยายามกันมามากเกินพอ...ใช่...ฉันยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น ฉันเคยเหนื่อยที่ต้องพยายามเข้าใจการกระทำที่ไร้เหตุผลของเธอ ฉันเคยท้อกับการที่ต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นที่คอยตอกย้ำให้ฉันรู้ว่าเธอเคยทำอะไรไว้ ฉันเคยไม่ไว้ใจเธอแค่เพราะคำพูดของคนที่รู้จักเธอน้อยกว่าฉัน...ฉันเคยอยากหันหลังให้กับเธอเมื่อต้องมารับรู้ว่าครั้งหนึ่งเธอเคยรักเพื่อนของฉันมากแค่ไหน แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ทำมันเพราะอะไรรู้ไหมปูน”
“...”
“เพราะฉันไม่อยากเสียเธอไป...จริงๆนะ”
คณิตไม่ได้ขอร้องให้ปูนล้มเลิกความคิด เขาเพียงแค่หวังว่าความรู้สึกส่วนลึกทั้งความอ่อนแอและเข้มแข็งของเขาจะพอทำให้ร่างเล็กรู้ว่าไม่ใช่ปูนเพียงคนเดียวที่อยากรักษาความรักครั้งนี้ไว้
“ฉันเองก็ไม่ได้เข้าใจความรักมากไปกว่าเธอหรอกปูน ฉันอยากให้ทุกๆวันของเราเป็นวันที่ดี แต่ฉันก็ทำไม่ได้...ฉันทำเธอร้องไห้ ฉันทำให้เธอเกือบจะพูดคำนั้นออกมาเพียงเพราะฉันเป็นคนทำให้เธอคิดว่าฉันไม่รักเธอแล้วทั้งที่มันไม่ใช่ ฉันอยากเข้มแข็งกว่านี้ ฉันอยากปกป้องเธอได้ เธอจะให้โอกาสฉันได้ไหมปูน...ให้โอกาสเราทั้งคู่ได้คิดทบทวนทุกอย่างก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป”
ฝ่ามือของปูนอุ่นขึ้นเพราะริมฝีปากของคณิตที่แนบลงบนมันอย่างแผ่วเบาเช่นเดียวกับคำขอร้องนั้น ปูนมองคิ้วของร่างสูงที่ขมวดกันเป็นปม เขามองดวงตาดวงเล็กคู่นั้นที่กำลังจับจ้องมาอย่างอ้อนวอนและขอร้องอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างเล็กทั้งตกใจและปวดใจในคราวเดียวกัน ทำไมนะ ทำไมเขาถึงไม่ได้เจอผู้ชายคนนี้ให้เร็วกว่านี้
“ตอนนั้น...คุณเคยถามผมว่าไม่กลัวบ้างรึไง ว่าสักวันสิ่งที่ผมทำมันจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเอง”
“แล้วเธอก็ตอบฉันว่าเธอตั้งใจทำให้มันเป็นอย่างนั้น”
“ครับ ผมตอบไปอย่างนั้นเพราะผมไม่ได้รู้จักคำว่า ‘เสียใจ’ ดีพอ แต่ตอนนี้...ผมเสียใจครับ เสียใจจริงๆที่ผมดีพอสำหรับคุณไม่ได้”
คณิตหยุดคำพูดของปูนไว้ด้วยอ้อมกอดที่สั่นเทาพร้อมกับถามตัวเองว่าทั้งๆที่พวกเขารักกันแต่ทำไมการอยู่ด้วยกันนั้นถึงเจ็บปวดแบบนี้ เขาเงยหน้าขึ้นจนสายตามองไปเงาสะท้อนของเราทั้งคู่ที่ดูเจ็บปวดเสียจนอยากหันกลับไปแต่ก็ทำไม่ได้...เขาต้องมองดูความเป็นจริงนี้ไว้แล้วบอกกับตัวเองว่าความรักมันเป็นแบบนี้
“สัญญานะปูนว่าจะกลับมา...ถ้าวันไหนเธอพร้อมที่จะเดินไปกับฉันอีกครั้ง...เธอจะต้องกลับมานะ”
“ผมต่างหากล่ะที่ต้องขอร้อง...ถ้าคุณพร้อมที่จะให้ผมเดินไปด้วยกันได้...ผมจะกลับมานะครับ”
ปูนพูดแบบนั้นก่อนที่จะจุมพิตคณิตอีกครั้งแทนคำสาบานระหว่างพวกเขาทั้งคู่ที่แม้ว่าลึกๆแล้วจะไม่อยากจากกันไปไหนแต่เราต่างก็รู้ดีว่าเวลาและระยะห่างคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเยียวยารอยแผลที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้
แต่แล้วสุดท้ายเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง
ก็ไม่มีใคร...พบเห็นปูนอีกเลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มีแต่คนกลัวว่าป๋าจะทิ้งน้อง ที่ไหนได้น้องทิ้งป๋าก่อนต่างหาก5555555 สำหรับความหน่วงและความงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้คงเป็นตอนสุดท้ายสำหรับความรู้สึกแบบนั้นนะคับ หลังจากนี้จะเป็นการแถ เอ้ย การแก้ปม ทั้งคำถามที่ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ปูนต้องปิดป๋าด้วย หรือว่าอดีตของปูนมันมีอะไรกันแน่ จะได้รู้กันแล้วเนอะ สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านพี่กาล เช่อยากขอโทษมากๆคับ เพราะพอแต่งๆไปจากที่เคยบอกว่าเรื่องค่อนข้างขาดกันแต่เอาเข้าจริงถ้าไม่อ่านเรื่องนั้นมาก่อนมันน่าจะงงหนักมาก โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมปูนต้องแคร์เรื่องพี่กาลขนาดนั้น น่าจะพร่องความรู้สึกตรงนี้ไปนะคะ เช่จะพยายามใส่สิ่งที่เชื่อมกับเรื่องนั้นออกมาให้มากขึ้นแล้วก็อาจจะมีคำอธิบายเพิ่มเติมในช่วงtalkว่าเหตุการณ์ตอนนี้อยู่ในตอนไหนของเรื่องนั้น แต่จะดีที่สุดคือลองอ่านพี่กาลกันเนอะ บริหารตับไต5555 ล้อเล่นนนนนนนนนนนน
แล้วจากตอนนี้น่าจะเข้าใจแล้วนะคับว่าทำไมเช่ถึงไม่แยกเรื่องบอยพลัสออกมา เพราะเหตุการณ์ที่เกิดในตอนนี้เนี่ยแหละที่เช่คิดว่าน้องกับพี่บอยควรจะต้องรับผิดชอบ น้องปูนเป็นนายเอกนิสัยไม่ดีนะคับ (แต่ก็ไม่ได้เลว)เป็นคนที่ทำเรื่องผิดๆเยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของพลัสที่ถ้าตัดคำว่านายเอกออกไปปูนก็ไม่ต่างอะไรจากตัวร้ายเลย แม้ว่าพลัสจะไม่ได้เขามาตบตีแล้วด่าปูนมากไปกว่านั้นแต่สิ่งที่ลงโทษปูนหนักที่สุดจากเหตุการณ์นี้คือความรู้สึกผิดที่ปูนใช้มันลดค่าของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว คอยดูเนอะว่าน้องจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ส่วนพี่บอยไม่รู้ว่าช้ำจนโดดทะเลไปรึยัง555555
แล้วก็เรื่องป๋า คนนี้อยากพูดถึงหน่อย 55555 พักหลักป๋าโดนว่าเยอะ ซึ่งเช่ดีใจมากที่เป็นแบบนั้น ตอนเริ่มเรื่องคนอวยป๋าเยอะมากกกกกกกกกกก เยอะจนเช่รู้สึกสะกิดใจว่าหากคนที่ดูเพอร์เฟ็คขนาดนั้นแท้จริงแล้วไม่เป็นอย่างที่เราคิดมันจะเป็นยังไง เรื่องของป๋าเลยเป็นการพิสูจน์คับ ว่านิยายของเช่ไม่มีตัวละครตัวไหนดีหรือเลวสุดขั้ว ป๋าก็เช่นกัน คณิตก็เป็นแค่คณิต ผู้ชายธรรมดาที่ดันมารักกับคนไม่ธรรมดา ป๋าไม่ใช่พ่อพระ แต่เป็นตัวละครที่ถูกคาดหวังมากที่สุดจากทั้งน้องปูนและคนอ่าน และแม้ตอนนี้ป๋าอาจจะไม่ป๋าอีกแล้วสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเช่ป๋าที่เป็นคนธรรมดาแบบนี้น่ะ น่ารักที่สุดเลยยยยยยย
วันนี้ทอล์คยาว นิยายก็ยาว ลิสงานก็ยาว อยากมีเวลาว่างมาอัพนิยายรัวๆ มีเวลาเหลือใช้ขายที่ไหนบ้างนะ...
ป.ล. ขอบคุณทุกการสนับสนุนนะคับ รักกกกกกก :mew1:
-
เจ็บปวดจายยยยย :ling1: ทำไมการรักกันมันยาก ปูนจำไว้เป็นบทเรียนนะลูก ทำใจได้แล้วก็มาหาป๋านะ
-
ขอบคุณคนเขียนมากนะ
ชอบพลัส ตอนนี้มาก
เพราะการที่รักและไว้ใจใครสักคน
แล้วสิ่งที่ได้รับรู้ ไม่ต่างจากพลัส
แต่ก็ดีใจที่ผ่านตรงนั้นมาได้
ขอบคุณนะ
-
ชีวิตจริงมันก็คงไม่สามารถให้อภัยกันได้ง่ายๆ ก็จริง
ก็ได้แต่หวังว่า เวลาผ่านไปคงทำให้ทั้งสี่คนเข้าใจให้อภัยกัน และกลับมาหากันด้วยความรู้สึกดีๆ อีกครั้ง
-
สงสารปูนแต่ว่าแอบหมัานไส้พลัสยังไงชอบกล ชอบคิดว่าชีวิตตัวเองมันมืดมนซะเหลือเกินจนไม่คิดจะฟังคนอื่น นางน่าจะคิดได้จากกรณีของแม่เลี้ยงนางบบ้างว่าการคิดเองเออเองโดยไม่ฟังคนอื่นมันก็รู้แค่เรื่องที่อยากรู้โดยพลาดเรื่องที่ต้องรู้
-
เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เรากลัวตั้งแต่เริ่มอ่านมาจนถึงตอนนี้มีแค่อย่างเดียว เรากลัวปูนทำร้ายตัวเอง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เราค่อนข้างรู้สึกวิตกมากเพราะปูนเจอเรื่องแย่ๆมาเยอะ เหนือกว่านั้นคือปูนชอบคิดมากแต่กลับไม่พูดมันออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างมันเลยดูไม่ซอฟต์ลงไปตามการเวลาเลย แถมแผลยังดูเหวอะหวะกว่าเก่าเสียอีก ปูนไม่ใช่คนดีค่ะ แต่สิ่งที่นางทำก็ไม่ได้ถึงกับเรียกว่าร้าย นางขายตัวแลกเงิน นางยุแยงบอยให้รวบรัดพลัสซะก่อนพลัสจะตกไปเป็นของคนอื่น นางเหวี่ยงใส่ทุกคนที่ดูจะไม่เข้าใจนางทั้งที่นางไม่ยอมเปิดใจอะไรทั้งนั้น คือเชื่อเถอะค่ะ ว่าตัวร้ายเรื่องอื่นนี่กระทำการชั่วช้าสามานย์กว่านี้เยอะ ระดับปูนที่รู้สึกผิดต่อคู่บอยพลัสทั้งๆที่จริงๆแล้วตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากยุให้อิบอยมันลากเด็กไปปล้ำนี่เบๆเลย นางเน้นไปทางสั่นสะเทือนอารมณ์ซะมากกว่า ชีวิตพลัสเองก็เหมือนทุกอย่างจะมืดมน แต่มันก็แค่ในความคิดพลัสที่เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้รันทดอะไรไปซะหมดทุกหนทาง แต่ก็นะ พลัสมันยังเด็ก เด็กที่มองโลกแค๊บแคบ เราโอเคที่คณิตเป็นแบบนี้นะคะ เพราะถ้าป๋ารู้เรื่องแล้วไม่คิดอะไรเลยเราคงต้องแนะนำให้ป๋าไปบวช รอตอนต่อไป หวังว่าเรื่องราวจะคลี่คลาย ทุกคนจะได้มีความสุข
-
ระเบิดตายไปเลยจ้า :ling3:
-
:katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
-
แงงงงงง สงสารน้อง บอกตรงๆเลยว่าอ่านตอนนี้แล้วน้ำตาไหลพราก กลัวมากๆ กลัวน้องจะทำร้ายตัวเอง กลัวป๋าจะไม่เข้าใจและทิ้งน้อง :hao5: :hao5:
-
น้ำตาท่วมจอละตอนนี้ อ่านตอนเดียวรวด ร้องไห้แบบนอนสต้อป งืออออ สงสารน้องปูนหนูช่างอาภัพรักนัก อยากจะถามเช่ว่า เกลียดอะไรน้องปูนเค้านักหนา ถึงได้ทำให้น้องปูนของเค้าโชคร้าย ชีวิตดราม่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-
ตามอ่านทันพอด ถึงตอนที่หน่วงที่สุดด้วยค้างเลยค่ะ แต่คิดว่าถ้าปูนเปิดใจรับอดีตและโยนมันทิ้งไปจริงได้ ป๋าก็คงเข้าใจปูนแล้วพร้อมที่จะยอมรับอดีตได้ คิดว่าคนที่รักกันยังไงสักวันต้องเข้าใจกันค่ะ
-
:hao4:
-
แตกที่ 34
…หาย...
บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ เสียงทีวี ใบไม้ หรือแม้แต่เสียงช้อนส้อมกระทบกันก็ไม่เกิดขึ้นเพราะเงาของคนที่อยู่ที่นี่หลงเหลืออยู่เพียงเงาเดียวเท่านั้น
“ปูนได้ไปที่นั่นไหมครับ...ไม่หรอครับ...ครับ...ถ้าเขาติดต่อไปรบกวนบอกผมด้วยนะครับ...ขอบคุณครับ”
คณิตกดวางสายที่เขาต่อไปหาสถาบันสอนภาษาที่ปูนไม่ได้ไปเรียนมากว่าสองวันแล้วนับตั้งแต่คราวที่เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้น ชายหนุ่มที่บัดนี้ไม่หลงเหลือเค้าโครงของความขี้เล่นวางเครื่องมือสื่อสารที่ไร้ประโยชน์ลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรงก่อนจะเอนตัวลงนอนบนโซฟาแล้วปล่อยให้ดวงตาเหม่อมองเพดานเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย
“เธอหายไปไหนปูน”
ชายหนุ่มถามตัวเองครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้นับแต่เช้าตรู่วันถัดมาหลังจากที่เขายอมพาปูนไปส่งที่หอพัก แม้จะทำใจลำบากแต่ตอนนั้นคณิตก็ตัดสินใจสร้างระยะห่างระหว่างเขากับร่างเล็กเพื่อให้แต่ละฝ่ายได้ไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆอย่างเต็มที่ หากแต่เขาไม่ได้มีเจตนาจะเมินเฉยต่อคนรักตั้งแต่ทีแรก ทันทีที่นาฬิกาปลุกบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า คณิตที่ปกติจะตื่นสายก็รีบอาบน้ำอาบท่า บึ่งรถไปหาซื้อของอร่อยหวังให้คนที่ทำให้เขาคิดถึงมาตลอดคืนพอใจ แต่สิ่งที่รอร่างสูงอยู่ที่หอพักแห่งนั้น มีเพียงแต่ความว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งร่องรอย
ปูนหายไป...โดยไม่ได้บอกลาใครทั้งนั้น
เสื้อผ้าและข้าวของทุกอย่างยังคงวางไว้ที่เดิม จะมีเพิ่มมาก็แต่ซองเงินค่าน้ำค่าไฟงวดสุดท้ายซึ่งมากพอที่จะจ่ายค่าจิปาถะทุกอย่างได้แม้แต่ค่าทำความสะอาดห้องพักที่ยังมีของใช้ของปูนวางอยู่ระเกะระกะ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือร้ายที่คณิตเห็นมันก่อนเจ้าของหอทำคณิตยังสามารถรอคอยปูนอยู่ที่ห้องๆนั้นได้แต่ผ่านพ้นไปหนึ่งวัน...ร่างเล็กก็ไม่กลับมา
แต่เริ่มเดิมคณิตคิดว่าปูนอาจจะแค่หลบไปพักแล้วจะกลับมาเพื่อใช้ชีวิตวนเวียนอยู่รอบตัวเขาเหมือนเดิมแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่คณิตก็คิดผิดความกังวลเริ่มกัดกินหัวใจคำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมา ทั้งที่ว่าปูนไปไหน...ไปกับใคร...ไปนานแค่ไหน...และปูนจะกลับมาไหมแต่ยิ่งถามก็ยิ่งท้อ ยิ่งคิดต่อก็ยิ่งไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่พวกเขาเพิ่งทะเลาะกันแต่คำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจะจากมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะละเลยไปง่ายๆอย่างน้อยก็สำหรับเขา...แต่สำหรับปูน คณิตไม่รู้เลยสักนิด
ร่างสูงออกตามหาปูน คณิตไปหาปูนทุกๆที่ที่คิดว่าคนตัวเล็กนั่นจะไปได้ เขาโทรถามคนรู้จักทุกคน ทั้งพนักงานที่โรงแรมรวมถึงอิงอรที่พอรู้ว่าปูนหายไปก็รับปากว่าจะช่วยหาอีกแรง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่มีใครพบปูนแม้แต่เงา ความร้อนรนกลายเป็นไฟที่สุมในอกจนคณิตแทบจะคำรามออกมาด้วยความทุกข์ใจแล้วได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง
หรือว่าปูน...ไม่อยากจะกลับมาหาเขาอีกแล้ว
คณิตถอนหายใจแล้วสลัดความคิดบ้าๆนั่นออกไปจากหัว เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งแล้วเปิดไล่รายชื่อหาคนที่น่าจะรู้เบาะแสของปูนบ้างแต่คณิตก็โทรไปจนเกือบครบทุกเบอร์แล้วยกเว้นแต่...บอยกับพลัส
คณิตไม่อยากให้เรื่องของปูนไปรบกวนสองคนนั้นอีก เพราะแค่นี้ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าผลพวงจากการกระทำของปูนมันไปจบลงอยู่ที่ตรงไหน ภาพของพลัสที่วิ่งร้องไห้ออกไปจากโรงพยาบาล และใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของบอยยังคงฉายชัดพอๆกับความรู้สึกผิดในฐานะต้นเหตุแต่สุดท้ายความรักและความเป็นห่วงที่เขามีต่อหัวใจของตัวเองก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า
“เอาวะ...”
ร่างสูงตัดสินใจกดโทรออกไปยังเบอร์ของเด็กหนุ่มร่างบางที่เขาสะดวกใจจะพูดด้วยมากกว่าบอยแต่แล้วสิ่งที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงตอบรับจากระบบที่บอกกับคณิตว่าเบอร์ของพลัสปิดบริการไปแล้วเท่านั้น เขาลองต่อสายอีกซ้ำๆแต่มันก็ยังคงเป็นแบบเดิมจนคณิตมั่นใจแล้วว่าคนที่เขาสามารถพึ่งพาได้คงหนีไม่พ้นชายหนุ่มรุ่นพี่ที่น่าจะรู้เรื่องอดีตของปูนมากกว่าเขา...แล้วคราวนี้คณิตก็โทรติด
“สวัสดีครับ”
น้ำเสียงของบอยแหบแห้งผิดกับครั้งก่อนที่พวกเขาได้คุยกัน ลางสังหรณ์ของคณิตบอกกับเขาว่าเรื่องราวของสองคนนั้นอาจจะจบลงไม่สวยแต่ว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าไปยุ่งได้อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“บอย นี่ผมคณิตนะ”
“...”
“คุณได้ยินผมรึเปล่า”
“ได้ยิน...มีธุระอะไร”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบอยคงไม่อยากคุยกับเขาสักเท่าไหร่ หากแต่ร่างสูงก็แสร้งทำเป็นไม่รู้มันแล้วพูดธุระของตัวเองต่อไปโดยไม่คิดถือสา
“ปูนได้ไปหาคุณไหมครับ บอกผมเถอะเขาไม่กลับบ้านมาสองวันแล้ว”
“...”
“บอย”
“มันไม่ได้มา มีอะไรอีกไหมผมกำลังยุ่งอยู่”
คณิตไม่เชื่อคำพูดของบอยเลยสักนิด อาจจะเพราะว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกันก็ได้คณิตจึงคิดว่าเขาสามารถเข้าใจความเหือดแห้งในน้ำเสียงนั้นได้ดี...มันโรยราและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“คุณ...โอเคไหม”
ร่างสูงเผลอถามไปด้วยความเป็นห่วงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ไม่สนิทกันอย่างเขากับบอยนั้นสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปคงไม่ต่างจากการยุ่งเรื่องชาวบ้าน
“หึ...นิสัยอย่างคุณมันน่ารำคาญชะมัด”
คราวนี้กลายเป็นฝ่ายคณิตที่อึ้งไปกับคำพูดของบอย
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ก็ไม่ว่าไง ผมแค่รำคาญนิสัยเจนเทิลแมนของคุณเท่านั้นเอง”
“...!!”
“สุดท้ายก็ทนไม่ไหวสินะไอ้เด็กนั่น หึ...มาชิงหนีกันไปแบบนี้จะไปขอโทษพลัสด้วยกันได้ยังไง...แต่ก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะนะ”
บอยบ่นพึมพำเหมือนกับกำลังพูดกับตัวเองมากกว่าตั้งใจให้คณิตได้ยิน แต่ร่างสูงก็รับรู้มันได้ทั้งหมด
“ทนไม่ไหว...คุณหมายถึงปูนหรอ”
“มันนั่นแหละ ถ้าให้เดาตอนนี้มันคงหนีไปอีกครั้งแล้วสินะ”
ก้อนน้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคอ คณิตรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างเขากับปูนถูกชายคนนี้อ่านออกได้โดยง่ายหนำซ้ำยังรู้อีกว่าปูนได้หนีเขาไปแล้ว...ว่าแต่บอยพูดว่า ‘อีกครั้ง’ งั้นหรอ
“คุณพูดเหมือนปูนเคยหนีแบบนี้มาก่อน”
“ใช่...แต่มันก็ไม่เหมือนกันนักหรอ”
พอได้ฟังอย่างนั้นคณิตก็เตรียมจะอ้าปากถามคนที่ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องของปูนมากกว่าที่เขาคิด แต่อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องมาหลอกถามผมให้ยากหรอกเพราะผมเองก็ใช่ว่าจะเข้าใจมันไปซะทุกอย่าง ผมรู้แค่ว่าปูนมันเป็นคนบ้า ที่รู้จักแต่การพุ่งเข้าชนโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง พอเจอคุณทำดีด้วยเข้าหน่อยมันก็คิดไปเอง คาดหวังไปเองว่าคุณจะรับมันได้ทุกอย่างแต่ว่าความจริงแล้วไม่ใช่...ใช่ไหมล่ะ”
“ผม...พยายามจะเข้าใจปูนทุกอย่างแล้ว”
“แต่คุณก็ทำไม่ได้”
“...”
“ความพยายามบางทีมันก็น่ากลัวนะ จริงอยู่ที่มันสามารถทำให้เราสมหวังได้แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น เพราะความพยายามน่ะ...มันทำลายความหวังได้ ยิ่งเราพยายามฝืนทำไปมากเท่าไหร่ความหวังมันก็ถูกพังลงไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกที...สิ่งที่เหลือก็มีแต่ความผิดหวัง”
บอยว่าก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกทั้งที่ความสั่นเครือในน้ำเสียงนั้นกลับบ่งบอกถึงความทรมานในหัวใจได้เป็นอย่างดี โดยที่คำพูดที่บอยใช้ตัดพ้อตัวเองนั้นก็บาดเข้ากลางใจของคณิตได้เช่นกัน
“นั่นสินะครับ...การอยู่เคียงข้างปูนมันไม่ง่ายเลยจริงๆ”
คณิตยิ้มให้กับความรักของตัวเองและร้องไห้...ให้กับความผิดหวังนั้น ชายหนุ่มปาดหยุดน้ำที่ซึมอยู่ตรงหางตาออกก่อนจะพูดต่อ โดยมีบอยคอยรับฟังมันอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
“ปูนเองก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน...ในสายตาเขาผมคงเป็นคนที่ดีพร้อม และอบอุ่นยิ่งกว่าใคร แต่ผมก็ทำให้เขาผิดหวังจนได้”
“ผมบอกแล้วว่ามันบ้า”
“ฮ่าๆ ครับ แต่ว่าผมเองก็บ้าเหมือนกัน”
“...”
“บ้ามากๆเลยที่ยอมปล่อยเขาไป”
มือที่ถือโทรศัพท์ไว้กำชับเข้าหากันแน่นขึ้น หัวใจที่ปวดร้าวของบอยกระตุกวาบจากคำพูดของชายที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้พูดคุยกันอย่างนี้ เขามองดูฝ่ามือของตัวเองที่ไออุ่นของพลัสกำลังเลือนหายไปอย่างช้าๆจนมันเย็นชืดหากแต่ความรู้สึกในครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากลายังคงชัดเจนในความทรงจำ
“ขอบคุณนะครับที่ให้ข้อมูลและรับฟัง ถ้าเกิดว่าปูนมาหาคุณ...ได้โปรดติดต่อกลับมาหาผมด้วยนะครับ”
“อืม แต่ก็ไม่รับปากหรอกนะ”
“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะ”
คณิตกดวางสายไปก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง ตัวเลือกที่เป็นไปได้มากที่สุดถูกตัดออกไปอย่างน่าเสียดายทำให้ความหวังที่จะได้เจอร่างเล็กยิ่งเลือนรางลงไปอีกหากแต่มันกลับยังไม่ดับลง ไม่สิ...ต้องบอกว่าดับไม่ได้มากกว่า
“เอาน่า อย่างน้อยก็จนกว่าพวกนั้นจะมา”
ชายหนุ่มให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเริ่มสืบหาปูนต่อ เขาขับรถออกไปยังสถานที่ต่างๆจนท้องฟ้าสว่างค่อยๆมืดลงแต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไร และแม้ว่าจะร้อนใจเรื่องปูนแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองได้ ยังดีที่ช่วงนี้งานของเขายังอยู่ในระยะรอผลตอบกลับจากบริษัทออกแบบทำให้คณิตสามารถเข้าไปรับงานกลับมาทำที่บ้านได้โดยต้องใช้ความช่วงเหลือจากอิงอรอีกนิดหน่อย
“ไอ้คณิตโว้ย! อยู่บ้านไหมวะ!!”
เสียงตะโกนเรียกจากหน้าบ้านทำเอาคนที่มือหนึ่งกำลังเลื่อนดูงานในคอมส่วนอีกมือหนึ่งกำลังตักข้าวเข้าปากรีบลุกขึ้นมาแล้วเดินไปตามต้นเสียง ภาพของเพื่อนรักอย่างนิลและแฟนหนุ่มของมันอย่างฤทธิชาติที่กำลังยืนทำหน้าบูดอยู่หน้าบ้านไม่เคยทำให้คณิตดีใจได้มากเท่านี้มาก่อน เพราะว่าอีกฝ่ายอาจจะกลายมาเป็นคนที่ช่วยให้เขาตามหาหัวใจของตัวเองเจอ
“เป็นยังไงบ้างครับคุณชาติ ได้เรื่องอะไรไหม”
คณิตรีบตรงเข้าไปถามนายตำรวจหนุ่มที่เขาโทรไปขอความช่วยเหลือตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าปูนหายไป แต่น่าเสียดายที่พอกลับไปจากชลบุรีอีกฝ่ายก็มีธุระทางราชการต้องไปจัดการทำให้สามารถมาช่วยตามปูนได้เอาเมื่อสายป่านนี้
“ผมเช็คกับศูนย์ใหญ่ให้แล้วนะครับ ว่าในช่วงเวลาที่คุณบอกไม่มีชื่อของนายปานภัทร์อยู่ในรายชื่อของผู้ที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ”
คณิตได้ฟังดังนั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไปเปราะหนึ่ง เขาพาทั้งคู่เข้าไปในบ้านเพื่อจะปรึกษากันให้มากกว่านี้แต่พอนิลได้เห็นสภาพบ้านที่เพิ่งได้มาเหยียบเมื่อสองวันก่อน ชายหนุ่มก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ไอ้เชี้ยนิด! มึงพังบ้านตัวเองหรอวะ!!”
เฟอร์นิเจอร์ที่เคยสะอาดไร้ฝุ่นผงบัดนี้กลับสกปรกอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ทำให้นิลต้องออกปากเห็นจะเป็นมุมครัวของบ้านที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันไหม้ๆ รอยเปื้อนมากมายและเศษเปลือกไข่ที่ตกอยู่เต็มพื้นที่ คณิตเกาท้ายทอยของตัวเอง เขารู้สึกอายเหมือนกันที่เป็นถึงทายาทเจ้าของโรงแรมแต่กลับปล่อยให้บ้านช่องสกปรกแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้นิ...คนทำมันไม่อยู่แล้ว
“กูพยายามทำอะไรง่ายๆกินเองน่ะ”
“ง่ายห่าอะไรล่ะ สำหรับมึงขึ้นชื่อว่าอาหารแม่งก็ทำยากทุกอย่างนั่นแหละ ให้ตายสิ กูล่ะไม่อยากจะเชื่อว่ามึงยังกล้าเข้าครัวอยู่อีกหลังจากพังครัวไอ้กาลไปเมื่อตอนปีสอง”
นิลพูดชื่อเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นออกมาทั้งๆที่รู้ดีว่าชื่อของรัตติกาลอาจจะสร้างผลกระทบกับใจของคณิตได้แต่ใครสนกันล่ะ เพื่อนก็คือเพื่อน การที่มันสองคนต้องมามีเรื่องกันเพราะเด็กคนเดียวก็ออกจะปัญญาอ่อนไปซะหน่อย
“กูก็เคยทำบ้าง...ให้ปูนช่วยสอน”
คณิตบอกเพื่อนด้วยเสียงที่สั่นน้อยๆเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่เขากับปูนเคยใช้มันด้วยกันในมุมครัวของบ้านหลังนี้
“พอๆ ไม่ต้องมาดราม่าใส่ มึงบอกกูมาเลยดีกว่าว่าระหว่างมึงกับเด็กนั่นมีเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงต้องโทรหาไอ้ชาติให้มาช่วยถึงนี่”
นิลตัดบทก่อนจะเร่งเร้าให้คณิตเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมาซึ่งร่างสูงก็ยอมทำตามอีกครั้งด้วยความเต็มใจ ทั้งเรื่องที่โรงพยาบาล ความในใจของปูนที่บอกเล่าให้เขาฟังและข้อตกลงของคนทั้งสองที่พังทลายลงไปในเวลาอันสั้น
“สรุปคือพวกมึงทะเลาะกันเรื่องของไอ้กาล จนน้องเขาทนไม่ไหวขอห่างกับมึงสักพัก แต่พอพาไปส่งหอวันต่อมามันก็หายตัวไปเลยสินะ”
คนเป็นเพื่อนมีน้ำใจสรุปเรื่องราวต่างๆออกมาสั้นๆแต่เจ็บไปถึงแก่นจนคนรักอย่างฤทธิชาติต้องพูดปราม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คณิตรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อฤทธิชาติห้ามนิลไปหัวเราะไปจนเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกสมน้ำหน้ามากกว่าเห็นใจ
“ตามนั้น...กูติดต่อปูนไม่ได้มาสองวันแล้ว”
“มึงเลยให้กูตามไอ้ชาติมาช่วย?”
“อืม ก็ผัวมึงเป็นตำรวจ”
นิลมองหน้าเพื่อนของตนนิ่งๆก่อนจะประเคนฝ่ามือเข้ากลางกบาลของคณิตเต็มแรงจนคนที่เครียดมาตลอดสองวันเกือบจะสลบไปเพราะมัน
“โคตรเว่อร์ไอ้สัด! มึงคิดว่าตำรวจมันว่างงานนักรึไงวะ!!”
นิลโวยวายออกมาเสียงดังจนนายตำรวจตัวจริงต้องคอยลูบหลังคนที่ทำเป็นเดือดร้อนแทนตนให้ใจเย็นลงก่อนคณิตจะช็อคตายไปซะก่อน
“กูรู้...แต่นี่มันสองวันแล้วนะที่เด็กคนนั้นหายไปเฉยๆ”
“น้องมันมีขา มันอยากไปไหนมันก็ไปแค่นั้น มันนอยมึงมันก็คงไปหาที่สงบๆใจอยู่ไม่เห็นแปลกอะไร เพราะเป็นกูๆก็ไป”
คณิตรู้ว่าที่เพื่อนพูดมานั้นแค่หวังจิกกัดเขาให้ตระหนักถึงการกระทำของตัวเองแต่ร่างสูงก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีปูนก็อาจจะคิดอย่างนั้นก่อนที่จะไป...ความรักที่ไม่สวยงามอย่างที่หวังรวมถึงเขาที่ไม่ได้เป็นคนอย่างที่ปูนคิด
“พูดแรงไปแล้วนะครับนิล”
“เออ ปากกูก็งี้มีปัญหารึไง”
“ฮ่าๆ ไม่มีครับ แค่จะบอกว่าชอบจังเลย”
ฤทธิชาติและนิลเถียงกันไปมาหวังให้บรรยากาศเครียดๆนี่คลายลงแต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่ยังหาคนซึ่งหายตัวไปไม่พบ นายตำรวจหนุ่มที่ผ่านการทำคดียากๆมามากมายหันมายิ้มให้เจ้าของบ้านอย่างมีไมตรีแม้จะรู้ดีว่าคณิตตอนนี้คงไม่มีกะใจผูกมิตรกับเขามากนัก แต่ฤทธิชาติก็เชื่อเสมอว่าบรรยากาศที่ผ่อนคลายนั้นจะช่วยให้คนเรามองเห็นสิ่งที่ตัวเองมองข้ามไปได้
:katai5:(มีต่อเม้นล่าง) :katai5:
-
"คุณคณิตพอจะรู้ช่วงเวลาที่เด็กคนนั้นหายไปไหมครับ อย่างเช่นเขาออกจากหอไปตอนกี่โมง”
“อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ ผมเข้าไปหาปูนตอนประมานแปดโมงเขาเช้าแต่เขาก็ไม่อยู่แล้ว ผมลองไปถามเจ้าหน้าที่ของหอก็ไม่มีใครเห็น”
“กล้องวงจรปิดล่ะครับ”
“กล้องของที่หอเสียพอดีครับ ส่วนของร้านค้าหรือตึกใกล้ๆผมก็พยายามขอเขาแล้วแต่ก็ไม่มีกล้องตัวไหนเลยที่จับภาพของปูนไว้ได้...เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่สบายใจ”
คณิตระบายความข้องใจของตัวเองออกมาเพื่อยืนยันว่าความกังวลของเขาไม่ใช่เรื่องเกินเหตุ ปูนหายไปจากหอทั้งๆที่เพิ่งสัญญาว่าจะกลับมาอยู่กับเขาโดยที่ไม่มีใครเห็นเลยว่าร่างเล็กออกไปจากหอตอนไหนหรือแม้แต่ว่าไปกับใคร
“ได้ลองโทรถามคนรู้จัก และเช็คตามโรงแรมดูรึยังครับ”
“ผมลองโทรถามทุกคนที่ปูนน่าจะไปหาแต่ก็ไม่มีใครที่ปูนติดต่อไปหาสักคน ส่วนโรงแรมในแถบนี้ผมสอบถามดูแล้วแต่ไม่มีชื่อของปูนเช็คอินอยู่เลยครับ”
มันเป็นคำตอบที่สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ซึ่งหนทาง ที่ทำเอานิลรู้สึกร้อนใจขึ้นบ้างเหมือนกัน การที่คนทั้งคนจู่ๆจะหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยไว้เลยไม่ใช่เรื่องที่น่าวางใจมากนัก แม้จะมีข้อแก้ต่างว่าอีกฝ่ายเพิ่งทะเลาะกับเพื่อนของเขาไปก็เถอะ มันก็ดูจะบังเอิญไปหน่อยที่เรื่องทุกอย่างดำเนินไปอย่างนี้
“ผมว่าเราต้องเข้าไปดูที่ห้องพักของน้องเขาแล้วล่ะครับ เผื่อว่าที่นั่นจะมีเบาะแสอะไรบ้าง”
“ได้ครับ ผมมีกุญแจอยู่”
คณิตพานิลและฤทธิชาติเดินทางไปยังหอพักซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่คณิตได้เห็นใบหน้าของคนรักตน ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องนายตำรวจหนุ่มก็เริ่มสังเกตและเก็บหลักฐานบางอย่างทางสายตาโดยมีนิลคอยอำนวยความสะดวกให้ตามประสาคนที่เห็นฤทธิชาติทำงานแบบนี้มาไม่น้อย
นายตำรวจหนุ่มเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอนก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเขาก็ต้องแปลกใจที่มันอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่ถูกใช้งาน ข้าวของทุกอย่างถูกวางนิ่งโดยมีรอยฝุ่นจางๆปกคลุมอยู่โดยรอบ แม้แต่เตียงนอนก็ยังเรียบตึงไม่มีแม้แต่รอยยับเล็กๆ
“ปกติแล้วปูนไม่ได้อยู่ที่นี่หรอครับ”
“ครับ เขาอยู่กับผมที่บ้าน”
ฤทธิชาติร้องอ่อในขณะที่นิลส่งยิ้มล้อๆไปให้เพื่อนที่เปลี่ยนไปไม่น้อยจนเขาแปลกใจ ถึงจะดูเป็นคนเฟรนลี่แค่ไหน นิลก็รู้ดีว่านอกจากรัตติกาลแล้วคณิตก็ถูกจัดว่าเป็นคนประเภทหวงเพื่อนที่ส่วนตัวเช่นกัน แต่นี่ถึงขั้นพาไปอยู่ด้วยที่นู้น...ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่จะลึกซึ้งมากกว่าที่เขาคิด
“ถ้าคุณยืนยันว่าไม่ได้เคลื่อนสิ่งของที่อยู่ในห้อง เท่าที่ตาเห็นผมก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ทะเลาะวิวาทนะครับ เพราะความเป็นไปได้มันก็มีเพียงแค่อย่างเดียวคือเด็กคนนั้นยินยอมที่จะเดินออกไปจากห้องนี้เอง”
คำสันนิษฐานของคนที่มากประสบการณ์บาดใจคนฟังไม่น้อยหากแต่นี่ไม่ใช่เวลาที่คณิตจะมาแสดงความอ่อนแอออกมา
“คุณมั่นใจแค่ไหนครับ”
“ฮ่าๆ มันไม่สำคัญหรอกครับว่าผมจะมั่นใจมากแค่ไหน เพราะว่าเรื่องนี้น่ะ...มันก็ยังมีช่องโหว่อยู่”
คณิตเลิกคิ้วผิดกับนิลที่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆเพราะกะไว้แล้วว่าคนรักจะต้องกั๊กข้อมูลบางอย่างไว้ ฤทธิชาติยิ้มให้คนที่ร้อนใจก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาที่เบื้องหน้านั้นมีโต๊ะซึ่งผิวหน้าทำด้วยกระจกวางอยู่
“ถึงจะผมจะบอกว่าปูนยินยอมที่จะเดินออกไปจากห้องนี้เอง แต่ผมก็ไม่เคยพูดว่าน้องเขาเดินออกไปจากห้องนี้...แค่เพียงคนเดียวนะครับ”
ฤทธิชาติมองสีหน้าตกใจของทุกคนก่อนที่เขาจะชี้ไปยังรอยด่างบนกระจกซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลมสองวงอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน คณิตเดินเข้ามาดูมันใกล้ๆก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะอึ้งๆ
“นี่มัน...รอยวางแก้วน้ำ”
“ใช่ครับ ถ้าสมมตินี่เป็นรอยที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นก็แสดงว่าก่อนที่จะหายตัวไป...ปูนไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้คนเดียว”
แม้จะยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์แค่คณิตกลับให้น้ำหนักกับข้อสันนิษฐานนี้ไม่น้อย เขามองรอยด่างนั้นอีกครั้งพลางบีบมือที่กำกันไว้แน่นขึ้นอีกเพราะไม่อาจข่มอาการคิดมากและความกลัวของตัวเองได้
“มึงพอจะเดาออกไหมคณิต ว่าคนที่น่าจะอยู่กับปูนในคืนนั้นเป็นใคร”
“กูก็ไม่รู้...อยู่ที่นี่ปูนแทบจะไม่มีเพื่อน”
“สักคนหนึ่งก็ไม่มีเลยหรอวะ”
“ปูนมีรุ่นพี่ที่สนิทด้วยอยู่คนหนึ่ง แต่เขาบอกกูว่าปูนไม่ได้ติดต่อไปเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณคณิตพอจะรู้ไหมครับว่ามีใครอีกบ้างที่รู้ว่าปูนพักอยู่ที่นี่”
ร่างสูงฟังแล้วพยายามคิดตาม แต่สิ่งที่เขาค้นพบกลับเป็นความจริงที่ว่านอกจากรอยยิ้มและนิสัยทะเล้นๆนั่นเขาก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปูนเลย
“ผมไม่รู้ครับ...ปูนไม่ได้เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังนัก”
ฤทธิชาติพยักหน้ารับอย่างรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนก็เถอะแต่ด้วยข้อมูลเล็กน้อยแค่นี้ก็เล่นเอาไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน
“เยี่ยมเลย แม้แต่มึงที่เป็นผัวมันยังไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างแล้วคนนอกอย่างพวกกูจะรู้ไหมเนี่ย”
“ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำให้ลำบาก...แต่กูไม่รู้จะพึ่งใครแล้วจริงๆ”
นิลส่ายหัวให้คนที่จู่ๆก็ดราม่าขึ้นมาอีกรอบ เขานั่งลงบนโซฟาโดยข้างกันนั้นคือคณิตที่กำลังกำมือของตัวเองไว้แน่น
“เก็บคำขอโทษของมึงไว้บอกกับคนที่คู่ควรกับมันเถอะ เพราะตอนนี้สิ่งที่มึงควรทำคือพยายามไม่ใช่มานั่งโทษตัวเองไปวันๆ”
คณิตรับฟังมันก่อนจะพยักหน้ารับ นิลตบบ่าเพื่อนอีกสองสามครั้งก่อนจะบอกให้ทุกคนเดินตามเขาไปยังชั้นล่างเพื่อพูดคุยกับคนที่น่าจะใช้คำตอบเรื่องนี้แก่พวกเขาได้
“ของคืนนั้นหรอจ๊ะ ไม่มีหรอกจ้า ป้าก็บอกคุณแล้วไง”
ป้าเจ้าของหอตอบคำถามของคณิตอีกครั้งโดยที่มันก็ยังคงเป็นคำตอบเดิมเหมือนกับที่ชายหนุ่มเคยถามเอาไปก่อนหน้า แต่ไม่ใช่กับฤทธิชาติที่ยังคงมีความสงสัยผุดขึ้นอยู่ในหัวไม่หยุด
“แล้วตามปกติช่วงดึกๆที่หอจะมีใครเฝ้ารึเปล่าครับ”
“โอ้ย ใครจะมานอนเฝ้ากันล่ะจ๊ะคุณตำรวจ แต่ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งเสียตามปกติที่นี่ก็แน่นหนาพอสมควรแล้ว จะเข้าจะออกก็ต้องใช้คีย์การ์ด”
“คีย์การ์ด? แสดงว่าไม่มีทางที่คนนอกจะเข้ามาได้เลยใช่ไหมครับ”
“ใช่จ๊ะ”
ตื๊ดๆ
พูดยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงตอบรับจากเครื่องแสกนบัตรก็ดังขึ้นจากประตูหน้าทำให้ทุกคนต้องหันกลับไปมองนิสิตชายคนหนึ่งที่เดินถือถุงก๋วยเตี๋ยวพร้อมกับคีย์การ์ดเข้ามาจากด้านใน แต่ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทลงนั่น...ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามเข้ามาโดยไม่ต้องคีย์การ์ดสักใบ
เจ้าของหอหน้าเจื่อน เธอเสหน้าหลบสายตาของนิลที่มองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“กะ ก็แหม แบบนี้มันก็ทำกันทุกที่ไม่ใช่หรอ แถมผู้หญิงคนเมื่อกี้ก็เป็นคนเช่าในหอป้า ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย”
“ครับ ครั้งนี้มันเป็นอย่างนั้นแต่ครั้งอื่นล่ะป้าจะพูดแบบนี้ไหม”
นิลพูดย้อนไปนิ่มๆแต่เล่นเอาคนฟังรู้สึกหน้าร้าวเป็นแถบๆ คณิตขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นว่าเรื่องราวต่างๆชักจะซับซ้อนมากขึ้นไปทุกที เขาอยากรู้ความจริงแต่ที่มากกว่านั้นคือเป็นห่วงปูนมาก ชายหนุ่มภาวนาให้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาอยากให้ความจริงคือปูนแค่งอนเขามากเลยหนีไปเที่ยวที่อื่น...แค่นั้น...แต่มันก็ไม่ใช่
“อ่ะป้า ข้าวที่สั่งได้แล้ว”
ในขณะที่พวกเขากำลังถกกันด้วยความเคร่งเครียดอยู่ จู่ๆก็มีเด็กผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งคนหนึ่งเดินถือข้าวกล่องเข้ามาก่อนจะยื่นมันไปให้เจ้าของหอที่โดนนิลและฤทธิชาติซักถามจนหน้าซีดเผือด
“เออๆ ขอบใจ ขึ้นห้องไปได้แล้วไป”
“อ้าว ทำไมรีบไล่จังล่ะป้า มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”
เด็กสาวถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะดูเหมือนว่าธุระของผู้ชายตัวโตๆสามคนนี้จะสร้างความลำบากให้ป้าเธอมากจนจับสังเกตได้
“มีคนเช่าคนหนึ่งเขาหายตัวไป ฉันเลยต้องมาให้ปากคำอยู่นี่ไง”
“ฮ่าๆ นี่ไม่ได้เรียกว่าสอบปากคำหรอกครับคุณป้า ผมแค่อยากคุยด้วยเท่านั้นเองเผื่อมีอะไร...จะได้ช่วยเหลือกันได้”
คำแก้ต่างของนายตำรวจหนุ่มทำเอาคนถูกถามเผลอเบ้หน้า แค่พูดคุยอะไรกัน เล่นถามจี้เธอด้วยคำถามเดิมซ้ำไปมาเกือบครึ่งชั่วโมงแบบนี้จากที่แค่กังวลเธอเริ่มชักจะเครียดจนนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว
“จริงดิ! ใครหรอป้า!”
“ก็คนที่ชื่อปูนไง ที่อยู่ชั้นบนน่ะ”
“อ่อ แต่ปกติเขาไม่ค่อยมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรอ”
“อืม แต่เมื่อสองวันก่อนเขามาน่ะ แล้วก็...หายไปเลย”
คนเป็นหลานรับฟังมันไว้ด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่ก่อนที่เธอจะบอกปัดธุระที่ไม่ใช่ของตัวเองแล้วกลับไปพักผ่อน หญิงสาวก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เฮ้ยป้า! ฉันเจอเขา! ฉันเจอเขาตอนตี5ตรงประตูหน้านี่แหละ!”
สิ่งที่จู่ๆหญิงสาวก็โผล่งขึ้นมาเปรียบเสมือนดวงไฟเล็กๆบนก้านไม้ขีดที่ชี้นำทั้งความหวังและความสว่างมาสู่หัวใจของคณิต เขารีบปรี่เข้าไปหวังจะถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นแต่ก็ถูกนิลห้ามไวโดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนรัก
“คนที่คุณเห็นคือคนคนนี้ไม่ผิดแน่ใช่ไหมครับ”
ฤทธิชาติถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่โชว์รูปของปูนหราอยู่บนนั้น หญิงสาวที่แต่เดิมก็พอมั่นใจอยู่แล้วแต่เธอก็ยอมมองดูรูปนั้นอีกครั้งก่อนจะยืนยันคำพูดของตัวเอง
“ใช่ค่ะ คนนี้เลย ฉันเจอเขาตอนประมานตีสองที่นี่แหละ”
เธอไม่รู้ว่าสามารถเรียกมันว่าโชคดีได้ไหมที่เช้าตรู่วันนั้นเธอทนความหิวไม่ไหวจนต้องลงมาซื้ออะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อในเวลานั้นพอดี แม้จะง่วงอยู่มากแต่พอนึกดีๆเธอก็จำได้ว่าได้เดินส่วนกับชายหนุ่มที่มีรูปหน้าตรงตามรูปไม่ผิดแน่
แต่ว่า...
“แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวนะคะ ฉันเห็นเขาเดินออกไปจากที่นี่พร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แล้วถ้าจำไม่ผิดผู้ชายคนนั้นเคยมาถามหาคนชื่อปูนที่หอด้วย”
ห้องสำนักงานของหอพักถูกเปลี่ยนการเป็นห้องสืบสวนชั่วคราวทันทีที่หญิงสาวผู้เป็นพยานเพียงคนเดียวได้พูดสิ่งที่น่าตกใจออกมา ไฟล์บันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดก่อนที่มันจะเสียงถูกค้นหาตามวันและเวลาที่เธอยืนยันว่าชายที่เดินออกไปจากหอพักหลังนี้พร้อมกับปูนเคยมาเยือนที่นี่ก่อนหน้านี้
“ปูนไม่เคยเห็นบอกเรื่องนี้กับกูเลย”
คณิตพูดมันออกมาด้วยอารมณ์ติดจะน้อยใจที่คนรักไม่เคยบอกกล่าวแต่ก็โดนนิลที่ยืนมองจอคอมพิวเตอร์อยู่ข้างๆกันเขกกะโหลกเข้าให้
“เยอะแล้วไอ้สัด แค่มีคนมาถามหามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องแจ้นไปบอกคนอื่นนี่หว่า...อย่างน้อยก็สำหรับตอนนั้น”
คนร้อนใจถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เอาจริงๆเขาก็รู้อยู่หรอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของปูนแต่มันก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ และถึงแม้มันจะเป็นแบบนั้นความเป็นห่วงที่เขามีให้กับปูนก็เป็นความจริงและไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าปูนจากไปพร้อมกับคนที่แม้จะไม่เคยเห็นหน้าแต่กลับสร้างความกังวลให้เขาอย่างร้ายกาจ
“เจอไฟล์ของวันนั้นแล้วครับ”
“เลื่อนไปดูตอนประมานเที่ยงๆเลยค่ะ เขามาคุยกับฉันที่ตรงหน้าสำนักงานเนี่ยแหละ”
หญิงสาวรีบบอกฤทธิชาติที่รีบเลื่อนไฟล์ไปในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อหาคำตอบว่าชายปริศนาคนนั้นคือใคร คณิตเขยิบเข้ามาใกล้หวังจะได้เห็นภาพนั้นให้ชัดขึ้นและหลังจากนั้นไม่นานคำตอบก็เผยออกมา
“หยุดค่ะๆ คนนี้แหละค่ะ คนนี้เลย!”
ภาพของชายคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับพยานปากเอกด้วยท่าทางที่ดูปกติจนน่าแปลกใจ คณิตสำรวจรูปพรรณของชายคนนั้นเท่าที่กล้องจะบันทึกไว้ได้แต่มันกลับไม่เป็นแบบที่เขาคิด
“อะไรกัน ก็กูนึกว่าจะหนุ่มกว่านี้นะเนี่ย”
นิลพูดขึ้นเมื่อคนที่เขาจินตนาการไปว่าอาจจะเป็นคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับปูนมาก่อนซึ่งน่าจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขากลับกลายเป็นชายมีอายุท่าทางสุภาพต่างจากที่คิดไว้ ไม่มีอะไรสักอย่างที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ แต่ทั้งๆที่มันเป็นอย่างนั้น...ใบหน้าของฤทธิชาติกลับเครียดขึง
“ชาติ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ผมเคยเจอผู้ชายคนนี้ครับ”
“...!!”
ทั้งห้องตกตะลึงอีกครั้งเมื่อจู่ๆคนที่ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับนายตำรวจหนุ่มกลับกลายมาเป็นจุดใต้ตำตอที่สร้างความมึนงงและหวาดหวั่นให้กับคณิตจนไม่อาจทนข่มเก็บอารมณ์ต่อไปได้
“หมายความว่ายังไงครับคุณชาติ คุณรู้จักกับเขาหรอ!”
ฤทธิชาติมองหน้าคณิตที่ตรงเข้ามาบีบไหล่ของเขาเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ
“ครับ”
“เขาเป็นใครครับ บอกผมสิ บอกผมมา!”
“ผู้ชายคนนี้...เป็นลุงของปูนครับ”
ไม่ใช่แค่คณิตที่อึ้ง แต่นิลก็ไม่เข้าใจมันเช่นกัน ลุงงั้นหรอ ถ้าเป็นลุงแล้วทำไมคนรักของเขาถึงทำหน้าแบบนี้
“ลุงของปูนงั้นหรอ แล้วทำไมเขาถึงมาพาปูนไปแบบนี้ล่ะครับ ทั้งๆที่ตลอดเวลาผมไม่เคยได้ยินปูนพูดถึงลุงของเขาเลยด้วยซ้ำ”
“...”
“มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหมครับ คุณชาติ”
คณิตถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นแต่ถึงอย่างนั้นฤทธิชาติก็สัมผัสถึงความพยายามที่จะเข้มแข็ง เขามองดูใบหน้าทุกข์ใจของคนที่ตัวเขาก็ไม่ได้รู้จักดีนัก แต่ ฤทธิชาติกลับรู้สึกว่าเขาควรจะบอก ’ความลับ’ นั้นให้คณิตได้รับรู้
“เด็กคนนั้น...คนรักของคุณเคยขอให้ผมเก็บมันไว้เป็นความลับ คุณเข้าใจความหมายของมันไหม...มันหมายความว่าเขาไม่อยากให้ใครล่วงรู้มัน”
คณิตคิดว่าเขาควรจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเพราะความเงียบที่ปกคลุมอยู่ทั่วนี้หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่เสียงลมหายใจที่ขาดห้วงเพราะความหมายของความลับที่ฤทธิชาติบอกมันกับเขา
ความลับ...ที่เขาอยากรู้มันมาตลอด
ความลับ...ที่อาจจะทำให้บางอย่างเปลี่ยนไป
“ที่ผ่านมาผมสงสัยมาตลอดว่าปูนปิดบังอะไรผมไว้บ้าง ผมทั้งเคยเฝ้ารอและรุกถามแต่เด็กคนนั้นกลับไม่เคยพูดอะไรสักอย่าง...แล้วผมก็ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อปลอบใจตัวเองเวลาเราทะเลาะกันว่ามันเป็นความผิดของปูน ทั้งที่มันไม่ใช่”
“...”
“เพราะทุกครั้งที่นึกถึงมันปูนมักจะทำหน้าเศร้าอยู่เสมอ...ปูนกำลังเจ็บปวดเพราะมัน...นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามบอกกับผมมาตลอดครับ”
ร่างสูงคิดถึงวันนั้น...วันที่ปูนพยายามจะพูดถึงสิ่งที่ทรมานหัวใจดวงเล็กๆนั่นมาตลอดให้เขาฟังแต่คณิตกลับเลือกที่จะไม่รับฟังมันเพียงแค่เพราะกลัวว่าหากรู้รอยร้าวเล็กๆที่เกิดขึ้นนั้นจะขยายวงกว้างเกินกว่าจะเยียวยา แต่ตอนนี้คณิตก็รู้ซึ้งและว่าเพราะความขี้ขลาดของเขาทำให้คนที่เขารักเจ็บปวดมากขนาดไหน
ชายยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้ายามง้ำงอของคนรักที่ทำให้เขารู้สึกเอ็นดูมากกว่ารู้สึกแย่ แต่แล้วภาพของปูนยามร้องไห้ก็ลอยขึ้นมาจนรอยยิ้มของร่างสูงค่อยๆเลื่อนหายไปแล้วเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“ได้โปรด...เล่าทุกอย่างที่คุณรู้ให้ผมฟังเถอะครับ”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
อย่าบ่นนะว่าอิรุงตุงนัง เพราะมันอิรุงตุงนังจริงๆนั่นแหละ 555555555555 วางปมข้ามเรื่องข้ามราว ใครที่ไม่เคยอ่านพี่กาลหรืออ่านแล้วแต่จำไม่ได้ว่าคุณลุงโผล่มาตอนไหน หาอ่านได้ใน Nightmare ตอนที่ 23 นะคับ :call:
-
ต้องไปรื้อพี่กาลมาอ่านแล้ว :z13:
-
ปัญหามาอีกแล้ว ชีวิตน้องปูนจะพบความสุขตอนหนายย
เดาๆนะ ลุงนี่น่าจะเคยข่มขืนปูน ปูนเลยหนีออกจากบ้าน แล้วประชดชีวิตด้วยการขายตัวกอรปกับประชดกาลด้วย ไม่ก็ลุงนี่แหล่ะ ส่งปูนขายเอง ที่ปูนยอมไปกับลุงอีกครั้งเพราะหมดหวังอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเดาไปทางไหนก็ปวดใจ
-
:m28: :mew5:
-
ลุงคนนี้คือคนที่โทรมาหาปูนแล้วข่มขู่ป๋าใช่ไหมคะ เขาทำไรกับปูนก่อนหน้านี้น่ะ
-
โอ๊ยยยยยยย อะไรมันจะซับซ้อนซ่อนปมขมขื่นขนาดนี้เนี่ย หน่วงๆๆๆ :katai1:
-
เรื่องมันซับซ้อนยิ่งนักแม่นางงง
-
เบื่อพลัสว่ะ ไม่รู้สิ แต่รำคาญพลัสมากๆดูเหมือนเป็นพวกเอาแต่ใจมากกว่าปูนอีก
-
ค้างไว้สองตอนยาวมาก5555 ตามอ่านก่อนนะคะ
-
:z3: :z3: :z3:
-
:z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
-
แตกที่ 35
…ช่วยด้วย...
ไอเย็นจางๆจากเครื่องปรับอากาศและเสียงนกร้องที่ดังมาจากนอกหน้าต่างทำให้คนตัวเล็กรู้ว่าช่วงเวลาแห่งการดำเนินชีวิตของผู้คนได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว หากแต่ปูนกลับยังคงหลับตาและรับฟังเสียงเหล่านั้นไปเรื่อยๆโดยไม่มีความคิดจะลุกขึ้นแต่อย่างใด จนกระทั่งวัตถุบางอย่างทับลงบนตัวเขาเข้าอย่างจัง
“พี่ปูนตื่นเร็ว เช้าแล้วนะ!”
เสียงตะโกนที่ฟังดูร่าเริงจนไม่น่าเชื่อว่าคนที่เปล่งมันออกมาเป็นคนเดียวกันกับคนที่ร้องไห้กระจองอแงยามที่เขากลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกครั้งในรอบหลายเดือน ถึงแม้จะไม่อยากแต่สุดท้ายร่างเล็กก็ต้องฝืนลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่ถึงแม้จะมีใบหน้าที่ไม่คล้ายกันเลยสักนิดแต่ปูนก็ยังเรียกเธอได้อย่างเต็มปากว่าเป็นน้องสาว...น้องสาวคนสำคัญ
“หนักนะปิ่น แล้วนี่จะให้พี่บอกอีกครั้งกันว่าเป็นสาวเป็นนางอย่ามาเข้าห้องผู้ชายง่ายๆแบบนี้”
ปูนว่าพลางดีดหน้าผากของปิ่นที่ยังคงยิ้มร่าไม่สนใจคำว่ากล่าวของเขาเลยสักนิด ปิ่นที่อายุห่างจากปูนเพียงสองปีกว่าซุกใบหน้าของเธอลงบนอกของพี่ชายแล้วถูมันไปมาเบาๆอย่างออดอ้อนและคิดถึง
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นี่ห้องพี่ปูนนะ ไม่ใช่ใครที่ไหนสักหน่อย”
“ต่อให้เป็นห้องพี่ก็ไม่ได้ พี่ก็เป็นผู้ชายนะอย่าลืมสิ”
“แล้วไงล่ะ ปิ่นไม่สนหรอก”
ปิ่นคงเป็นคนคนเดียวในโลกที่ปูนไม่เคยเถียงชนะเธอเลยสักครั้ง ร่างเล็กจึงล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสอนเธอเรื่องนี้
“ช่างเถอะ แล้วนี่ไม่ไปเรียนหรอเรา เช้าแล้วนะเดี๋ยวก็สายหรอก”
“ไปสิ แต่ปิ่นจะให้พี่ปูนไปด้วย ปิ่นคุยกับคุณแม่แล้วว่าวันนี้จะพาพี่ไปทำเรื่องคืนสภาพการเป็นนักศึกษา”
คำพูดของน้องสาวทำให้ปูนยิ้มอ่อนๆออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแทนการบอกอย่างกลายๆว่าเขาอยากอาบน้ำจนเต็มแก่แล้วซึ่งปิ่นก็เข้าใจมันดี
“พี่ปูนรีบอาบน้ำแล้วไปกินข้าวกันนะคะ ปิ่นรอข้างล่างนะ”
ปูนตอบตกลงก่อนจะมองภาพของประตูห้องนอนที่ถูกปิดลงจนทำให้ภายในห้องนี้กลับมามีเพียงเขาคนเดียวอีกครั้ง รอยยิ้มอ่อนโยนที่เคยมอบให้แก่น้องสาวผู้เป็นที่รักเลือนหายไปก่อนที่ปูนจะเดินเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดดี เสื้อยืดแขนยาวสีที่ไม่ถูกใช้มานานถูกหยิบออกจากตู้เพื่อให้ปูนใช้มันสวมทับร่างกายที่อ่อนล้าและต้องการพลังงานอย่างมาก
“พี่ปูนมาแล้ว แม่คะ พี่ปูนลงมาแล้วค่ะ!”
“จ้าๆ เสียงดังจริงเชียวลูกคนนี้”
ปิ่นที่กำลังสาละวนอยู่กับการจัดโต๊ะกินข้าวร้องบอก ‘ป้าปาน’ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นแม่ของปิ่นและป้าสะใภ้ของปูน ร่างเล็กยกมือไหว้เธอก่อนจะตรงเข้าไปช่วยยกกับข้าวที่ส่งกลิ่นหอมฉุยลอยไปจนถึงชั้นสอง จนทำให้สมาชิกของบ้านอีกคนเดินตามลงมาในเวลาไม่นาน
“อรุณสวัสดิ์ครับลุง”
‘ลุงวิทย์’ คือพี่ชายแท้ๆของแม่ที่จากปูนไปพร้อมกับพ่อในตอนที่ปูนเรียนอยู่ชั้นประถม ร่างเล็กเอ่ยทักลุงของตนก่อนจะเดินไปรินกาแฟรสขมให้อีกฝ่ายอย่างรู้งาน แล้วปล่อยให้ลูกสาวแท้ๆอย่างปิ่นเข้าไปช่วยงานป้าปานแทน ใช้เวลาไม่นาน กับข้าวง่ายๆหลายอย่างก็ถูกวางจนเต็มโต๊ะ ทุกคนต่างก็ตรงมานั่งประจำที่ของตัวเองรวมถึงปูนที่ถึงแม้จะร้างลากับกิจวัตรนี้ไปนานแต่เขาก็ยังคงจำมันได้
“กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
เมื่อประมุขของบ้านเอ่ยปากสมาชิกทุกคนก็ทำตามนั้นอย่างไม่อิดออด บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปอย่างเรียบง่ายโดยมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของปิ่นคอยเติมความสดชื่นให้กับทุกคนเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าทั้งลุงและป้าสะใภ้ของปูนจะนั่งฟังมันเงียบๆแต่ร่างเล็กก็สัมผัสได้ว่าความเป็นอยู่ของคนที่บ้านหลังนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่เขาจากไป
“พ่อคะเดี๋ยววันนี้ปิ่นจะไปมหาลัยกับพี่ปูนนะ พ่อไม่ต้องไปส่งนะคะ”
“ไปมหาลัย? ไปทำไม?”
“ก็ให้พี่ปูนทำเรื่องคืนสภาพนิสิตไง พี่ปูนกลับบ้านมาเป็นอาทิตย์แล้วปิ่นว่าน่าจะให้พี่ปูนกลับไปเรียนได้แล้วล่ะค่ะ”
ปิ่นพูดและยิ้มออกมาด้วยความดีใจเพียงแค่นึกภาพว่าต่อจากนี้เธอจะได้ไปเรียนพร้อมกับพี่ชายเหมือนกับแต่ก่อนสมัยที่พวกเขายังเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน แม้จะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆแต่ปิ่นก็ติดปูนมาก หญิงสาวจำได้ว่าตอนที่ปูนเข้าไปเรียนในมหาลัยใหม่ๆเธอนั้นเหงามากแค่ไหน ปิ่นจึงไม่ลังเลใจที่จะเลือกสอบเข้าคณะและมหาลัยเดียวกับปูนแต่แล้วจู่ๆก่อนหน้าที่เธอจะเข้าไปรายงานตัวเพียงไม่กี่วันปูนกลับหายตัวไป
ไม่มีใครรู้ว่าปูนหายไปไหน แม้ก่อนหน้านี้พี่ชายของเธอจะแยกตัวไปอยู่ที่หอพักเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางแต่ก็ยังติดต่อมาทางนี้เรื่อยๆโดยเฉพาะกับปิ่นที่มักจะพูดคุยกับปูนเป็นประจำแต่ถึงอย่างนั้นปิ่นกลับไม่รู้แม้แต่สาเหตุที่ปูนตัดสินใจดร็อปเรียนแล้วหายหน้าไปนานหลายเดือนจนกระทั่งพ่อของเธอไปตามตัวกลับมาได้
“พวกอาจารย์ต้องไล่ถามพี่ปูนแน่ๆว่าหายไปไหนมา ปิ่นกลัวพี่ปูนจะทำใจลำบากเลยว่าจะไปเป็นเพื่อนน่ะค่ะ”
ปิ่นอธิบายเหตุผลและความคิดของเธอให้ผู้เป็นพ่อฟังเหมือนกับที่บอกกับแม่เมื่อเช้า หญิงสาวยิ้มตาใสให้พี่ชายอันเป็นที่รักแต่ยังไม่ทันที่ปิ่นจะได้รับคำตกลงจากใครน้ำใจของเธอกลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ปิ่นจะมาตัดสินใจหรอกนะ”
“...!!”
สีหน้าของลุงวิทย์เรียบนิ่งไม่แสดงแม้แต่ความขัดใจหรือก้าวร้าวใดๆออกมา ส่วนคนเป็นแม่ที่นั่งฟังเงียบๆมานานก็ยังคงเงียบต่อไปเหมือนกับว่าเธอไม่มีสิทธิไม่มีเสียงในบทสนทนานี้ ปูนเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองของบ้านก่อนจะเบนสายตากลับมามองไข่ดาวที่ถูกทอดเป็นแบบไม่สุกมากอย่างที่เขาชอบก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไปตรงกลางแล้วมองดูมันค่อยๆไหลทะลักออกมาช้าๆ...เหมือนกับบางสิ่งบางอย่างในบ้านหลังนี้
“ทะ ทำไมพ่อพูดแบบนั้นล่ะคะ”
“พ่อพูดผิดตรงไหน ก็ในเมื่อนั่นเป็นเรื่องของปูนไม่ใช่เรื่องของปิ่น”
“แต่...ปิ่นหวังดี”
“แล้วปิ่นถามพี่เขาสักคำรึยัง ว่าอยากจะกลับไปเรียนไหม”
วิทย์ยิงคำถามใส่ลูกสาวจนทำให้ปิ่นหันไปหาปูนแทบจะทันที
“ก็ต้องอยากไปสิใช่ไหม พี่ปูนก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว อีกแค่นิดเดียวเอง”
“...”
“พี่ปูนอยากกลับไปเรียนใช่ไหมคะ”
“พี่...ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น”
คำตอบของปูนหยุดข้อโต้แย้งทุกอย่างยกเว้นแต่ความรู้สึกของหญิงสาวที่ไม่อาจสงบได้เลยหลังจากได้ยินมัน ปิ่นไม่เชื่อว่าสิ่งที่ปูนพูดนั้นเป็นความจริง เธอไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่ปูนกลับไม่เปิดช่องว่างใดๆให้เธอถามต่อ ร่างเล็กก้มหน้าลงแล้วลงมือกินไข่ดาวเละๆบนจานของตัวเองโดยที่ไม่พูดอะไร เหมือนกับตอนที่ถูกพากลับมาที่นี่...ที่ปูนก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ปิ่นฟังทั้งนั้น
ทันทีที่แสงสว่างของบ้านจากไปพร้อมกับความไม่เข้าใจ ทุกอย่างในบ้านก็เหมือนหยุดนิ่ง ปูนพาตัวเองกลับมาบนห้อง เขานั่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้เวลาไหลผ่านร่างกายไปเรื่อยๆเหมือนกับคนที่ไม่ต้องคิดอะไร หากแต่มันเป็นเพียงแค่ภายนอกที่เขาจงใจแสดงออกมาเท่านั้น
“ทำไมแกตอบปิ่นไปแบบนั้น”
เสียงพูดดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ปูนที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างต้องเหลือบสายตามายังกระจกบานเล็กบนโต๊ะที่กำลังสะท้อนภาพนัยน์ตาโกรธเกรี้ยวของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆของตน
“ผมก็ตอบไปตามความจริงนี่ครับ”
ปูนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สะทกสะท้ายแม้ว่าอีกฝ่ายกำลังก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆจนเขาสามารถได้ยินเสียงลมหายใจแรงๆที่สะท้อนอารมณ์ร้ายๆของชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี
“อย่ามากวนประสาทฉัน ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าถ้าปิ่นถามแกต้องตอบว่ายังไง...แกจะลาออก...ฉันบอกทำไมแกถึงไม่พูด”
ร่างเล็กเผลอหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินคำๆนี้ออกจากปากคนที่ปูนเลือกจะบอกข่าวดีเป็นคนแรกคราวที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่หวังได้สำเร็จ แม้มันจะเลือนลางและนานเหลือเกิน...ปูนก็ยังคงจำได้ว่าพวกเขาเคยมีช่วงเวลาแบบนั้น
“จำได้ครับ แต่ผมไม่อยากโกหกปิ่..อื้อ!”
ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบดีคางเล็กๆของปูนก็ถูกบีบเข้าเต็มแรงจนรู้สึกได้ถึงรสเลือดเค็มปร่าและเพราะแรงบีบนั้นทำให้เขาต้องสบตากับผู้เป็นอาที่กำลังมองมาด้วยแววตาที่ปูนไม่ชอบมันเสียเลย
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าอวดดีให้มาก โทษที่แกหนีออกจากบ้านไปเป็นเดือนๆมันยังไม่มากพอรึยังไง”
“...”
“อย่าลองดีกับฉันเข้าใจไหม อย่าทำให้ความอดทนของฉันมันหมดลงไปอีกครั้งเหมือนกับตอนนั้น...แกคงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกเชื่อฉันสิ”
คำพูดของลุงวิทย์เหมือนเทปที่ถูกเปิดวนซ้ำๆอยู่ในหัวแม้กระทั่งตอนที่ชายคนนั้นเดินออกไปจากห้องแล้วแต่ปูนก็ยังคงได้ยินมันเหมือนกับว่าเป็นสัญชาติญาณที่เขาจะต้องจำคำพูดของชายคนนี้ให้ขึ้นใจแม้ข้างในกำลังปวดร้าวและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายก็ตาม
ทั้งมึนงง สับสน...และผิดหวัง
ผิดหวังเสียจน อยากหนีไปให้พ้นๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน
“พี่นิด...”
ปูนเรียกชื่อผู้ชายอีกคนที่ฝากบาดแผลเอาไว้ในหัวใจของเขามากมาย แต่ต่อให้เรียกดังแค่ไหน...เขาก็กลับไปหาคณิตไม่ได้อยู่ดี
.
.
.
.
.
.
.
.
“ปูนจะกลับแล้วหรอ”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยฉุดรั้งร่างเล็กที่กำลังลุกออกจากเก้าอี้เล็คเชอร์ให้หันกลับมามองเพื่อนร่วมรุ่นที่นั่งรวมกันอยู่ข้างหลังเขาเป็นกลุ่มใหญ่ ในหมู่คนพวกนั้นมีทั้งหญิงและชายแต่กลับไม่มีใครเลยที่ปูนสามารถเรียกว่าเพื่อนได้สนิทปาก
“อืม วันนี้มีงานน่ะ”
“นี่เพิ่งบ่ายสองเอง งานเริ่มตั้งค่ำจะรีบไปไหน วันนี้วันเกิดยัยก้อยไปกิน ไอติมด้วยกันก่อนไหม ข้างๆมอนี่เอง”
ผู้ชายคนหนึ่งที่ปูนจำชื่อไม่ได้เอ่ยชวนแทนเจ้าของวันเกิดที่นั่งอมยิ้มน่ารักอยู่ข้างๆ เพื่อนคนอื่นๆก็ยิ้มตามแล้วเริ่มบิ้วให้ปูนตอบรับคำเชิญนั้น แต่...
“ขอโทษทีนะ แต่เรานัดคนให้มารับแล้วน่ะเขาคงมาแล้ว ขอโทษด้วยนะก้อยเอาไว้ถ้าไปที่ร้านเดี๋ยวเราเลี้ยงเหล้าแล้วกัน”
“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก ปูนไปเถอะ”
ก้อยน้อมรับคำปฏิเสธนั้นแต่โดยดีผิดกับชายที่เอ่ยปากชวนปูนเป็นคนแรกที่แสดงท่าท่าผิดหวังเสียเต็มประดา ปูนส่งยิ้มให้ทุกคนอีกครั้งก่อนจะสาวเท้าออกไปด้านนอกโดยไม่คิดจะหันกลับมามองอีกแม้ว่าหูจะกำลังได้ยินคำพูดไม่น่าฟังของใครๆก็ตาม
“พี่กาลรอนานไหม อากาศร้อนจะตายทำไมไม่เปิดแอร์ล่ะครับ”
ทันทีที่ปูนเห็นรถยนต์คันหรูของคนที่เขาไม่สามารถระบุสถานะให้ได้จอดอยู่ ร่างเล็กก็รีบวิ่งมาหาแล้วบ่นอุบเมื่อพบว่าคนที่มีเงินมากพอที่จะใช้ทิ้งใช้กว้างได้กลับเลือกที่จะเปิดกระจกรับลมที่มีไม่มากแทนการสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้
“กินข้าวรึยัง”
ปูนทำหน้ายู่เมื่อถูกรัตติกาลบอกปัดคำถามด้วยคำถาม แต่ก็นะ...ความเอาใจใส่ของคนคนนี้น่ะ เขาชอบมันที่สุดเลย
“ข้าวน่ะกินแล้วครับ แต่อยากกินไอติมอีก”
“ร้านไหนล่ะ”
“เซเวนเซ่นในห้างก็ได้ พี่กาลจะได้ไม่ร้อน”
ความห่วงใยที่ปูนให้อีกฝ่ายไม่แพ้กันถูกตอบแทนด้วยการกดจูบเบาๆบนริมฝีปากก่อนที่รถคันงามจะเคลื่อนออกไปจากมหาวิทยาลัยและหยุดลงตรงห้างใกล้ๆที่มีคนพลุกพล่านพอสมควร ปูนเลือกไอศกรีมที่ตัวเองอยากกินแล้วสั่งกาแฟมาให้คนที่ไม่ชอบของหวานสักเท่าไหร่ พวกเขากินกันไปคุยกันไปโดยที่ส่วนมากจะเป็นปูนที่ทำให้บทสนทนานั้นถูกต่อเติมไปเรื่อยๆ
“วันนี้ผมต้องไปทำงานที่ร้าน พี่กาลอยากไปด้วยกันไหม”
“ทำงานอีกแล้วหรอ อีกไม่กี่วันจะสอบอยู่แล้วไม่ใช่รึไงเรา”
รัตติกาลเคาะหัวของปูนเบาๆเพราะนึกเป็นห่วงคนที่ทำงานหนักจนเขานึกสงสัยว่าปูนเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ
“เจ็บนะ หนังสือปูนอ่านแล้วเหอะ”
“ตอนไหน?”
“ก็...ตอนที่พี่กาลไม่อยู่ด้วยไง”
ปูนตอบอ้อมแอ้ม ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเขาจงใจให้คำตอบนั้นสะกิดใจคนฟังบ้าง คิดถึง...อยากให้มาหา...แต่ก็รู้ว่าเรียกร้องไม่ได้
“ขอโทษที...รพีเพิ่งหายป่วยน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วน้องพีหายดีรึยัง พี่กาลถึงหนีมาหาปูนได้เนี่ย”
ปูนแสร้งเก็บความน้อยใจเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มที่แสดงออกมาเหมือนทุกครั้ง และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาแสดงได้แนบเนียนหรือรัตติกาลไม่เคยได้สังเกตเห็น ร่างโปร่งถึงได้พูดถึงอาการของลูกชายออกมาได้โดยไม่หวนคิดสักนิดว่าคนที่รอตนเองมาเกือบอาทิตย์กำลังปวดร้าวแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็ยังยิ้ม ยิ้มเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะยิ้มได้ เพราะปูนเองก็ไม่รู้จริงๆว่าความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงนี้จะจบลงในวันใด
นอกเหนือจากเวลามาเรียนและทำงานพวกเขาก็มักจะคลุกอยู่ที่ห้องของปูนมากกว่าการออกไปข้างนอก และเพราะว่าเวลานั้นมีค่าทำให้ร่างเล็กเลือกที่จะปิดช่องทางสื่อสารของตัวเองแทบทุกทางเพื่อให้ไม่มีอะไรมารบกวนความสุขเล็กๆน้อยๆที่เขาได้รับมาจากคนที่นับวันก็ยิ่งเปลี่ยนไปจนปูนเริ่มกลัว
“พี่กาลกินข้าวได้แล้วครับ กำลังร้อนๆเลย”
ปูนตะโกนเรียกรัตติกาลที่กำลังอ่านเอกสารอยู่ในห้องส่วนเขากำลังยกอาหารที่ทำจากของทะเลซึ่งเป็นของฝากจากหัวหินที่รัตติกาลซื้อมาให้แทนคำขอโทษที่ต้องทิ้งเขาไว้ที่บางแสน ในขณะที่ตัวเองกลับไปสนุกอยู่กับลูกชายที่ปากบอกว่าเกลียดแต่การกระทำหลายอย่างนั้นตรงกันข้าม แต่นั่นกลับไม่ทำให้เขาเจ็บใจเท่าความจริงอีกข้อที่ปูนเพิ่งค้นพบมันเมื่อเช้า
เขาเห็นนายอารัณย์นั่น...ถือของฝากแบบเดียวกันออกไปเมื่อเช้า
ร่างเล็กไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีหรือร้ายที่ต้องรับรู้ความจริงหลายอย่างทั้งที่ใจไม่อยากรู้ เขาอยากถามรัตติกาลว่ายังเกลียดชายคนนั้นอยู่ไหม ยังคงชิงชังและแค้นเคือง...เหมือนที่เคยเป็นมารึเปล่า แต่ปูนกลับไม่กล้าถามเมื่อเห็นสายตาของรัตติกาลที่มองไปยังประตูของห้องตรงข้าม...ห้องของอารัณย์
เด็กหนุ่มเก็บความสงสัยที่กัดกร่อนหัวใจไปอีกครั้งแล้วใช้ชีวิตเหมือนคนโง่งม เขายิ้มให้รัตติกาล ยิ้มเหมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะยิ้มได้ เพราะปูนไม่รู้จริงๆว่าเวลาของเขาจะหมดลงตอนไหน เขาจึงทำได้แค่ภาวนาให้ความสุขที่แสนเจ็บปวดนี้ยังคงดำเนินต่อไป
แต่พระเจ้า...คงไม่ได้ยิน
:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:
-
“ปูน เมื่อเกี้มาคนมาเคาะห้องน่ะ”
“หรอครับ ปูนไม่เห็นได้ยินเลย”
ก็อกๆๆ...
คราวนี้ปูนได้ยินเสียงเคาะห้องนั้นอย่างชัดเจน แต่เพราะฟองน้ำยาล้างจานบนมือทำให้รัตติกาลต้องเป็นฝ่ายเดินไปเปิดมันแทน ปูนรีบล้างมืออย่างลวกๆเขาเช็ดฝ่ามือที่เปียกชื้นกับขากางเกงของตัวเองก่อนจะเดินไปดูว่าเป็นใครที่มาหา
“คุณลุง...”
“ว่าไงปูน มัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงต้องให้แขกมาเปิดประตูให้”
ปูนนิ่งอึ้งไปเมื่อจู่ๆคนที่ไม่น่ามาอยู่ที่นี่อย่างลุงวิทย์กำลังยืนส่งยิ้มมาให้เขาพร้อมกับขนมไทยหอบใหญ่ที่ไม่ดูก็รู้ว่าในนั้นคงมีแต่ของโปรดของปูนอยู่เต็มไปหมด ร่างเล็กรีบเข้าไปรับมาถือไว้เองโดยมีรัตติกาลคอยช่วยเหลือ
“ลุงครับ นี่รัตติกาล...รุ่นพี่ของปูนเอง”
“สวัสดีครับ”
ปูนเลี่ยงที่จะใช้คำว่าคนรัก หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าสถานะนั้นสามารถนิยามความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรัตติกาลได้หรือไหม และสองคือความรู้สึกของผู้ใหญ่ที่ปูนให้ความเคารพรัก
“ไม่เคยเห็นเราเล่าให้ฟังเลย”
“ปูนมารู้จักพี่เขาตอนทำงานที่ร้าน เลยไม่ได้เล่าให้ลุงฟังน่ะครับ”
“ร้าน? นี่ปูนยังไม่เลิกทำงานในที่แบบนั้นอีกหรอ”
“คือปูน...”
“เข้าไปคุยกันข้างในห้องเถอะครับ ปูน เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”
รัตติกาลพูดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าการพูดคุยของสองลุงหลานไม่ควรมีเขาอยู่ตรงนี้ ปูนจึงทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆให้แล้วบอกร่างโปร่งว่าเขาจะโทรหาที่หลัง
“อืม คุยกับลุงดีๆล่ะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก”
“ครับ...ขอโทษด้วยนะ”
“อืม อย่าคิดมาก”
รอยยิ้มและความห่วงใยของรัตติกาลทำให้ปูนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มันจะถูกความลำบากใจกลืนหายไปเมื่อต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่ได้เดินออกไปจากห้องพร้อมกับรัตติกาล
“เดี๋ยวปูนชงกาแฟให้นะครับ”
ปูนว่าก่อนจะเดินนำลุงของตนเข้าไปในห้อง โชคดีที่เขากับรัตติกาลเพิ่งกินข้าวกันเสร็จไปมันเลยยังดูสะอาดและไม่มีอะไรหลงเหลือเป็นหลักฐานมากนัก ปูนไม่ได้อยากปิดบังกับที่บ้านว่าเขาเป็นเกย์ ดีไม่ดีลุงกับป้าอาจจะรู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าเขาเป็นยังไงหากแต่ปูนก็ไม่อยากทำให้คนทั้งคู่ลำบากใจ เพราะสิ่งที่เขาเป็น
“ลุงจะมาทำไมไม่โทรบอกปูนก่อนล่ะครับ ปูนจะได้ไปรับ”
ร่างเล็กพูดพร้อมกับยื่นกาแฟร้อนๆไปให้ญาติผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางนิ่งๆเหมือนเช่นทุกครั้ง สำหรับปูนลุงวิทย์มีความสำคัญไม่ต่างจากพ่อแม่ แต่มันคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะคิดแบบนั้น เพราะในยามที่ปูนลำบากเพราะต้องสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เด็กก็ได้ลุงวิทย์เข้ามาช่วยเหลือทั้งๆที่ลุงเองก็มีลูกสาวอย่างปิ่นอยู่แล้ว
ไม่เคยมีใครบอกว่าปูนเป็นภาระแต่ปูนกลับบอกตัวเองอย่างนั้น
เขาถึงไม่อยากทำให้คนบ้านนี้ผิดหวัง...ไม่อยากเลยจริงๆ
“ถ้าลุงบอกจะได้เจอแกไหม แค่โทรมายังไม่รับสายเลย”
“ขอโทษครับ พอดีที่ผ่านมาปูนยุ่งๆน่ะเลยไม่ได้ติดต่อกลับไปเท่าไหร่”
“เพราะงานนั่นสินะ ลุงบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิก”
ร่างเล็กยิ้มเจื่อนให้ เพราะเรื่องงานบาร์เทนเดอร์เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เขาชอบมันจนต้องขัดใจคนที่บ้าน จะว่าหลงแสงสีก็ใช่ แต่ที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกยามที่ได้สรรสร้างสิ่งใหม่ๆซึ่งมันทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองทุกครั้ง
“ไม่ใช่เพราะงานหรอกครับลุง ปูนแบ่งเวลาได้”
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น แต่ทำงานอย่างนี้มันไม่ดีไม่รู้รึไง ไหนจะเหล้ายา ไหนจะพวกมั่วสุมคนก็ตีกัน”
“มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกที่หรอกครับ ของแบบนี้มันแล้วแต่คน”
“แล้วผู้ชายคนเมื่อกี้ เขาเป็นอย่างนั้นด้วยไหม”
“...!!”
รอยยิ้มของปูนหายไปก่อนร่างเล็กจะก้มหน้าลงมองตักของตัวเองแทนที่จะสบตากับลุงที่มองมาอย่างคาดคั้น
“เราเป็นอะไรกับมัน”
“พี่กาลเขา...เป็นรุ่นพี่ครับ”
“อย่าโกหกลุงนะปูน”
“...”
“เลิกยุ่งกับมันซะ ปูนคงไม่อยากทำให้ลุงผิดหวังหรอกใช่ไหม”
น้ำลายเหนียวๆถูกกลืนลงคอไปพร้อมกับความไม่เข้าใจว่าทำไมลุงถึงตั้งแง่กับรัตติกาลขนาดนั้น แต่ปูนก็ไม่กล้าถามพอๆกับที่ไม่กล้าขัดคำสั่งของลุงที่บอกให้ปูนกลับไปค้างที่บ้านอย่างน้อยอาทิตย์ล่ะสามวันทำให้เวลาที่เขาจะได้พบกับรัตติกาลนั้นก็พลอยลดหายลงไปด้วย
“พี่ปูน ทำอะไรอยู่หรอ”
ปิ่น...น้องสาวไม่แท้ของปูนที่ยังคงสวมใส่ชุดนักเรียนมอปลายเดินเข้ามาถามเพราะเห็นพี่ชายที่เธอรักเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ไม่ยอมลุกเดินไปไหนมานานแล้ว ปิ่นพยายามชะโงกหน้าเข้าไปดูแต่ก็ถูกปูนดันหัวกลมๆนั้นออกมา
“ยุ่งน่า ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วไป”
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จปิ่นค่อยไปอาบน้ำทีเดียว”
คำผัดวันประกันพรุ่งของน้องสาวทำให้ปูนต้องส่ายหัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะเขยิบเข้ามานั่งชิดโซฟามากขึ้นจนปิ่นสามารถนั่งลงข้างๆกันได้
“ว่าแต่จะไม่บอกปิ่นจริงๆหรอว่าพี่ปูนนั่งจ้องมือถือทำไม”
“ไม่”
“รอโทรศัพท์แฟน?”
“...”
“…”
“ก็...คงงั้น”
“เอาจริงดิ พี่ปูนมีแฟนแล้วหรอ!”
ปิ่นเผลอตะโกนออกมาด้วยความตกใจจนปูนตะครุบปากเล็กๆนั่นแทบจะไม่ทัน ร่างเล็กมุ่ยหน้ายิ่งเมื่อด้วยตาแวววับของปิ่นนั้นมองมาที่เขาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนน่าหมั่นไส้
“เงียบๆสิปิ่น เดี๋ยวลุงวิทย์ก็ได้ยินหรอก”
“ขอโทษๆ แต่ปิ่นตื่นเต้นอ่ะ โอ้ยดีใจพี่ชายปิ่นขายออกแล้ว”
คำพูดของปิ่นจุดรอยยิ้มเล็กขึ้นบนใบหน้าของปูนได้ เขาลูบหัวน้องสาวที่เข้ามากอดเขาไว้เสียจนแน่นแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกับตอนเด็กๆที่ปิ่นมักจะทำแบบนี้กับปูนเสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาร้องไห้เพราะคิดถึงพ่อกับแม่ หรือแม้แต่เวลาที่ดีใจที่เล่นเกมชนะ
“เขาเป็นใครหรอพี่ปูน ปิ่นรู้จักไหม ปิ่นเคยเจอเขารึเปล่า”
“ปิ่นไม่รู้จัหรอก พี่รู้จักเขาตอนทำงาน”
“อ่อ ลูกค้าพี่หรอ”
“อืม ชื่อพี่กาล”
ปูนพูดก่อนจะยอมเปิดรูปของรัตติกาลในอิริยาบถต่างๆที่เขาแอบถ่ายไว้ให้ปิ่นดู เด็กสาวพอเห็นใบหน้าหวานคมนั่นเข้าก็ออกอาการดี้ด้าจนปูนอดที่จะอมยิ้มภูมิใจไม่ได้
“โคตรหล่ออ่ะ ดูท่าจะรวยด้วย”
“อืม แต่พี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก พี่ชอบตรงที่พี่กาลเขาใจดี”
“ใจดี? ถ้าใจดีแล้วทำไมพี่กาลคนนี้ถึงปล่อยให้พี่ชายปิ่นต้องรอล่ะคะ”
ปิ่นถามออกมาด้วยความสงสัยโดยที่ไม่รู้เลยว่ามันบาดใจคนฟัง ซ้ำรอยแผลที่ยังไม่ทันหายดีในอกให้เจ็บยิ่งขึ้น รอยยิ้มของปูนจางลงก่อนที่ดวงตาเศร้าจะปรากฏขึ้นมาแทน
“พี่กาลเขา...ยุ่งๆน่ะ”
“แบบนี้ใช้ไม่ได้นะคะ ต่อให้ยุ่งยังไงก็ไม่น่าจะปล่อยพี่ปูนไว้แบบนี้ แล้วอย่าบอกนะว่าที่พี่กลับบ้านบ่อยๆช่วงนี้เพราะพี่กาลอะไรนี่เหมือนกัน”
“ก็เปล่าหรอก พี่แค่คิดถึงบ้านน่ะ”
ปูนเลือกที่จะไม่พูดเรื่องคำสั่งของลุงวิทย์เพราะไม่อยากให้สองพ่อลูกมีปัญหากัน ปิ่นเป็นเด็กว่าง่ายมาแต่ไหนแต่ไร แต่ปูนก็มั่นใจว่าหากปิ่นรู้ว่าพ่อของตัวเองพูดอะไรกับเขา น้องสาวคนนี้ก็พร้อมที่จะออกโรงรับแทนเหมือนกัน
“แล้วพี่ปูน ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ใช่ไหม”
“อืม พี่ไม่อยากให้ลุงกับป้าไม่สบายใจอีกอย่างอะไรๆก็ยังไม่แน่นอน พี่เลยว่าเงียบๆไปก่อนดีกว่า”
“ปิ่นไม่เห็นว่าพี่ปูนจะต้องปิดบังอะไรเลยนะคะ พ่อปิ่นรักพี่ปูนจะตาย พ่อไม่มีทางรังเกียจสิ่งที่พี่เป็นแน่ๆ”
จะเป็นอย่างนั้นแน่หรอ...ปูนพูดแค่ในใจในขณะโดยที่ภายนอกไม่ได้แสดงความวิตกกังวลออกมาให้ปิ่นเห็น ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่อย่างนั้นเสียจนเกือบค่ำเพราะว่าปิ่นเอาแต่รบเร้าให้ปูนเล่าเรื่องของรัตติกาลให้ตัวเองฟังโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องมาทางนี้อยู่ตลอดเวลา
ด้วยความที่ได้ระบายให้ปิ่นฟังบ้าง การดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีรัตติกาลของปูนจึงไม่อาภัพสักเท่าไหร่ ถ้าถามว่าคิดถึงไหมปูนก็คงตอบว่าคิดถึงมากแต่เขาก็ไม่อยากทำให้คนที่รักเขาลำบากใจมากไปกว่านี้การสอบเซมิโปรเจ็คใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนปูนต้องลดเวลาทำงานของตัวเองลงอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนอย่างในวันนี้ที่ร่างเล็กต้องอยู่ทำรายงานที่ห้องสมุดตั้งแต่เช้าจนกระทั่งสามทุ่มงานจะยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งเลย
“ทำโปรเจ็คอยู่หรอปูน มีอะไรให้เราช่วยไหม”
ในขณะที่ปูนกำลังก้มๆเงยๆอยู่กับหนังสือ ผู้ชายที่ร่างเล็กจำได้ว่าเป็นคนออกปากชวนให้เขาไปกินไอศกรีมด้วยกันตอนวันเกิดก้อยก็เอ่ยทักพร้อมกันนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆอย่างถือวิสาสะ
“อืม แต่ไม่เป็นไร เราทำใกล้จะเสร็จแล้ว”
“ไหนดูสิ ยังทำบทที่สองอยู่เลยไม่ใช่หรออีกตั้งเยอะแน่ะกว่าจะเสร็จ”
ได้ฟังอย่างนั้นปูนก็ฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ในใจด่าไปแล้วว่ามึงจะเสือกอะไรด้วยแต่เขาก็ไม่อยากมีปัญหา โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าก้อยกำลังเดินถือกาแฟสดสองแก้วมาทางนี้
“อ้าวปูน มาทำงานที่นี่เหมือนกันหรอ”
“อืม แต่กำลังจะกลับแล้วล่ะ”
ปูนโกหกคำโตก่อนจะทำท่าเป็นรวบหนังสือและปิดโน้ตบุ๊กที่ยังทำงานไม่เสร็จ แต่แทนที่จะต้องอยู่เจอเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญเขาขอไปเองดีกว่า
“เฮ้ย จะไปไหนล่ะอยู่ทำที่นี่ก่อนสิ”
แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออก ปูนอยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายเหลือเกินว่าช่วยหันกลับไปมองหน้าผู้หญิงของมึงด้วยว่าน่ากลัวขนาดไหน
“ไม่เป็นไร ก้อยกับ...เออ นายชื่ออะไรนะ มานั่งโต๊ะนี้ต่อก็ได้เราจะไปแล้ว”
“อะไรกัน เรียนด้วยกันมาตั้งนานปูนไม่รู้จักชื่อเราหรอ”
“อืม ไม่รู้จักหรอก”
ปูนหวังว่าการบอกอย่างอ้อมๆว่าไม่สนใจของเขาจะใช้ได้ผลแต่มันก็ไม่ใช่ คนที่ปูนจำชื่อไม่ได้แสร้งทำหน้าบึ้งอยู่สักพักก่อนจะยิ้มร่า
“เราชื่อแมน คราวนี้จำให้แม่นๆแล้วอย่าลืมอีกนะ”
ร่างเล็กไม่คิดจะตอบรับคำพูดนั้น เพราะทันทีที่แมนพูดจบเขาก็เดินออกมาจากโต๊ะแทบจะทันทีแม้ว่าก่อนจะผละออกมาเขาจะสบเข้ากับแววตาเกรี้ยวกราดของก้อยที่มองมาอย่างไม่คิดปิดบังมันเหมือนทุกครั้ง ปูนถอนหายใจหนักๆ ถึงเขาจะไม่ได้คบคนในเอกเป็นเพื่อนสนิทเลยแต่ก็ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นศัตรูกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะหากเป็นศัตรูเรื่องความรัก...ที่เขามีอยู่ตอนนี้มันก็เยอะมากเกินพอแล้ว
ปูนใช้บริการวินมอเตอร์ไซด์เพื่อกลับมายังหอพัก เขาเดินผ่านลาดจอดรถที่มีรถมอเตอร์ไซด์ของอารัณย์จอดอยู่ในจุดๆเดิมอย่างนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว เขาไม่อยากสนใจนักหรอกว่าหมอนี่มันจะไปไหนหรือทำอะไร แต่ใจเหงาๆมันก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่ชายคนนี้ไม่กลับมาที่นี่มันอาจจะมีส่วนกับการที่รัตติกาลไม่ติดต่อเขามาเลยสักครั้ง
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก...มันต้องไม่เป็นแบบนั้น”
ร่างเล็กกระชับมือที่กำลังถือกระเป๋าแล้วเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามองมอเตอร์ไซด์คันนั้นอีก เขารีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นหวังจะปล่อยวางกระเป๋าที่หนักอึ้งเช่นเดียวกับหัวใจแต่พอได้ทำอย่างนั้นความอึดอัดนี้ก็ไม่ได้คลายลงไปด้วย เขาถอนหายใจหนักๆแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูด้วยความลังเลใจ
อยากโทรไปหา...แต่ก็ไม่กล้า
ปูนกลัว...กลัวว่าหากโทรไปแล้วเวลาของเขาและรัตติกาลจะหมดลง
ความกลัวและความใคร่รู้ตีรวนในอกจนใจดวงน้อยๆสับสนเหนือคณานับ ปูนกดโทรออกเบอร์ของรัตติกาลแล้วตัดสายไปก่อนที่สัญญาณจะถูกต่อ เขาทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยๆเพราะคิดว่าความสับสนนี้จะทุเลาเบาบางลงแต่ก็ไม่ใช่ จนสุดท้ายร่างเล็กก็ตัดสินใจ เปิดโปรแกรมบันทึกเสียงโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วใส่ความไม่สบายใจของตัวเองลงไปในนั้น
“พี่กาลครับ...ตอนนี้พี่อยู่ไหน ทำไมพี่ไม่ติดต่อผมมาบ้าง พี่ยังสบายดีไหม งานยุ่งมากเลยหรอครับ พี่มีอะไรอยากให้ผมช่วยบ้างรึเปล่า พี่บอกผมได้นะ...”
“...”
“พี่กาลครับ...ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน พี่อยู่กับใครทำไมถึงไม่โทรหาผมเลย ผมคิดถึงพี่ คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ความรู้สึกที่แท้จริงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสุดจะกลั้นมือเล็กๆที่ถือโทรศัพท์ไว้สั่นอย่างรุนแรงจนมันเกือบจะตกลงมาแต่ปูนก็ยังพยายามประคองมันไว้เหมือนกับความรู้สึกของเขาเอง
“อย่าทิ้ง ฮึก อย่าทิ้งผมไปได้ไหม ขอร้องล่ะ”
น้ำตาหยดเล็กๆไหลลงมาอาบน้ำ ปูนปล่อยตัวเองให้ร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะพยายามตั้งสติเพราะเริ่มจะปวดหัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เขามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังคงบันทึกทุกอย่างไว้ ใจหนึ่งก็อยากส่งมันไปให้รัตติกาลแต่สุดท้ายปูนก็ทำได้เพียงยิ้มเยาะตัวเองที่คิดบ้าๆแบบนั้น ร่างเล็กบอกตัวเองให้อดทนไว้แล้วหมายจะปิดมันเสียที แต่แล้วจู่ๆเสียงแตกของกระจกก็ดังขึ้น
เพล้ง!
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดแรงจนเผลอปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น เขาหันไปมองทางต้นเสียงเพื่อหาสาเหตุของมันแต่ปูนกลับต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม
“ละ ลุงวิทย์”
ชายที่ดูสุภาพมาตลอดบัดนี้กลับทำสีหน้าขึงขังจนปูนไม่รู้แล้วว่าลุงของตนกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน หากแต่เมื่อหันไปมองซากกระจกที่ครั้งหนึ่งมันเคยประดับอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งปูนก็เริ่มรู้สึกถึงความกลัวแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ลุงครับ...ทำไม”
“ทำไมไม่กลับบ้าน”
“...?!”
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้อยู่ที่นี่”
สรรพนามที่ลุงใช้เรียกเขาเปลี่ยนไปแต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจเท่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา จริงอยู่ที่พักหลังมานี้ลุงวิทย์พยายามหว่านล้อมให้ปูนย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน แต่เพราะเรื่องแค่นั้นมันทำให้ลุงต้องโมโหถึงขนาดนี้เลยหรอ
“วันนี้ผมไปทำรายงานที่มหาลัยมาครับ กลับมานอนที่นี่มันใกล้กว่า”
“หึ ทำงานหรือไปทำอย่างอื่นกันแน่”
“ครับ??”
“สารภาพมาซะ แกมัวแต่ไปคลุกอยู่กับผู้ชายใช่ไหมเลยไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง กลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ห๊ะปูน!!”
ร่างเล็กถอยล่นไปทางด้านหลังเพราะผงะหนีคนที่ก้าวเข้ามาจนปูนไม่ทันได้ตั้งตัว ปูนมองลุงของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามลุงวิทย์ก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวแล้วบีบไหล่เล็กของปูนเข้าเต็มแรง
“โอ้ย! ลุงครับ ผมเจ็บ!”
“ตอบฉันมาสิ! ว่าทำไมแกถึงเป็นคนแบบนี้ ฉันเลี้ยงแกไม่ดีพอรึยังไง!”
“ปูนขอโทษ ฮึก ปูนขอโทษ”
ปูนขอโทษทั้งที่ไม่เข้าใจความผิดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เพราะคำขอโทษที่ไร้ความจริงใจนี้ทำให้คนที่ถูกอารมณ์ครอบงำค่อยๆยอมคลายแรงที่บีบไว้แล้วแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่ปูนอย่างเอาเรื่อง
“อย่าให้ฉันรู้ว่าแกยังทำตัวแบบนี้อีก ฉันเลี้ยงแกให้โตมาเป็นคนดีไม่ใช่มาเป็นพวกวิปริตแบบนี้เข้าใจไหม”
“...”
“ฉันถามว่าเข้าใจไหม!”
“เข้าใจครับ...ผมเข้าใจแล้ว”
เด็กหนุ่มกัดฟันตอบไปอย่างจำนน เขาหลับตกลงเพราะไม่อยากทนเห็นสิ่งที่สร้างความผิดหวังให้หัวใจนี้อย่างร้ายกาจ คนที่เคยอ่อนโยนกับเขาเสมอเปลี่ยนไป...คนที่ปูนคิดว่าเขาจะไม่มีวันทำร้ายปูนกลับเหยียบย้ำความคิดนั้นลงเพียงเพราะสิ่งที่เขาไม่อาจเลือกได้
หัวใจที่มีไว้เพื่อรักใคร...เขาเลือกทางที่ถูกต้องให้มันไม่ได้จริงๆ
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างที่อยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวอยู่ผงะเล็กน้อยเมื่อเจอกับอากาศหนาวด้านนอกโรงพยาบาลที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับราคาของมัน หากแต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อวงเงินที่กำหนดไว้ใช้ในเดือนนี้พร่องไปแล้วเสียกว่าครึ่งเพราะหนังสือกองใหญ่ที่วางไว้เต็มห้อง เรียกได้ว่าซื้อเกินงบมามากโข ช่วยไม่ได้...เสื้อโค้ทตัวใหม่คงต้องรอเดือนหน้า
ตื๊ดๆ
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังลิสรายชื่อหนังสือเล่มใหม่ที่ตัวเองอยากได้อยู่ในหัวเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา
‘ช่วยด้วย’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ช่วยด้วย...ช่วยมาต่อตอนต่อไปด้วย คิดแบบนั้นกันอยู่ใช่ม้าาาา =w= ฮี่ๆ รอไปก่อนนะคับ หลังจากวันนี้ทั้งสอบทั้งงานยิงยาวถึงวันเกิดเช่เลย (แอบหยอดวันเกิดตัวเองเบาๆไปแล้วในเรื่อง ฮ่าๆๆๆ) :L2:
อ่านตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งงงกับพฤติกรรมของมนุษย์ลุงนะคับ อ่านๆไปคงจะเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ทุกการกระทำของคนเรามันมีสาเหตุเสมอแหละเนอะ หลังจากนี้จะเป็นพาร์ทปัจจุบันสลับกับอดีตไป ในส่วนของอดีตมันค่อนข้างซับซ้อน แต่เช่จะอธิบายไว้นะคับว่าถ้าเทียบกับทามไลน์เรื่องนั้นจะตรงกับตอนไหนบ้าง อย่างตอนนี้ก็จะตรงกับตอนที่23 คือลุงมาแล้วพี่กาลยุ่งเรื่องที่บริษัทโดนขโมยข้อมูลนะคับ
ป.ล. อากาศร้อนมาก ดูแลตัวเองกันด้วยนะ
ป.ล.ล. อยากพักร้อน :katai5:
-
โถ ลูกทำไมหนูดูไร้ที่พึ่ง :mew2:
มานี่ๆ บ้านพี่ยังว่างอีกหลายห้อง
ห้ะ!!ไรนะ มีผัวแล้ว :a5:
โถ ลูกถ้าผัวมันเข้าใจยากหนักก็หาใหม่สิ
สวยๆอย่างเรา เลือกได้ :a14:
-
อ่าาาาาาา ค้างค่ะ :hao5: :hao5: :hao5:
-
ลุงต้องขู่อะไรน้องแน่ๆเลย ใช่ไหมมมมมมมมม :katai1:
-
ชีวิตหนอชีวิต
-
ต้องอ่านสองรอยถึงจะเข้าใจ แต่ว่ามันมากค่ะ ความเช่นี่ลอยมาเลย :laugh:
-
ปูเสื่อรอจ้่า ฮึบๆ :katai5:
-
:ling1: :ling1:
-
แตกที่ 36
…การช่วยเหลือ...
ไอเย็นจางๆจากเครื่องปรับอากาศและแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้คนตัวโตรู้ว่าช่วงเวลาแห่งการดำเนินชีวิตของผู้คนได้หมดลงไปแล้วอีกวัน หากแต่คณิตที่ควรจะหลับใหลไปพร้อมกับมันกลับยังคงนอนลืมตาและฟังเสียงความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องผิดกับเสียงในหัวของเขาที่กำลังร้องตะโกนอย่างไม่ยอมหยุดพัก ขวดยาไทลินอลที่วางอยู่บนหัวเตียงช่วยให้อาการปวดหัวของเขาทุเลาเบาบางลงตามสรรพคุณของยา หากแต่อาการง่วงซึมอันเป็นผลกระทบจากมันที่คณิตหวังกลับไม่เกิดขึ้นไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่
คำพูดของฤทธิชาติทุกคำยังคงแล่นอยู่ในหัวของเขา เรื่องราวในอดีตของปูนถูกบอกเล่าออกมาจนเหมือนกับว่าเขาได้เข้าโลดแล่นอยู่ในโลกใบนั้น...โลกที่ทั้งโหดร้ายและไร้เหตุผล โลกที่ทั้งเหน็บหนาวและไร้ซึ่งเสียงใดๆนอกจากเสียงร้องไห้ของเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่มีใครได้ยิน
แม้แต่ตัวเขาเอง...
.
.
.
.
.
.
ว่าคดีของรัตติกาลซับซ้อนแล้ว หัวใจของรัตติกาลกลับซับซ้อนยิ่งกว่า หากแต่จะถามฤทธิชาติว่าในเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ซับซ้อนบ้างก็คงจะเป็นความรู้สึกของอารัณย์ผู้เป็นเพื่อนนี่แหละ
“กูไปแล้วนะ จะออกจากห้องเมื่อไหร่ล็อคห้องให้ด้วยแล้วกัน”
อารัณย์สะพายเป้ใบใหญ่ไว้บนบ่าทั้งๆที่แผลจากกระสุนที่แขนยังคงระบมอยู่มาก ฤทธิชาติมองคนตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมา แค่ลองพูดสะกิดใจเข้าหน่อยก็กลายมาเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองอย่างง่ายดาย...ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“ครับ ว่าแต่จะตรงไปหากาลเลยรึเปล่า”
“อืม...แต่ก่อนอื่น กูต้องจัดการเรื่องนั้นก่อน”
ไม่ต้องให้อารัณย์อธิบาย ฤทธิชาติก็รู้ได้ทันทีว่าสถานที่ที่เพื่อนคนนี้จะไปก็คือที่ที่พี่สาวของอารัณย์อย่างพะแพงอาศัยอยู่กับครอบครัวใหม่โดยที่ไม่รู้เรื่องราววุ่นวายของคนทางนี้ พวกเขาทั้งคู่บอกลากันอีกครั้ง อารัณย์ก็กำลังออกเดินทางเพื่อทำตามหัวใจตัวเอง ในขณะที่ตัวเขาเองกลับยังต้องอยู่ทางนี้เพื่อทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
นายตำรวจหนุ่มดูหลักฐานต่างๆเพิ่มเติมพร้อมกันนั้นก็โทรสั่งการลูกน้องฝีมือดีให้สืบเรื่องของมือปือสองรายนั้นเพิ่ม นอกเหนือจากเรื่องของรัตติกาลต้องยอมรับว่ามันสองคนสร้างความรำคาญใจให้เขาไม่น้อย เป็นแค่มือปืนกระจอกๆแต่ดันริอาจก่อคดีกลางเมืองใหญ่อย่างไม่มีความกลัวใดๆ ให้ตายสิ หงุดหงิดชะมัด น่ารำคาญ...น่ารำคาญ…
โครม!
ดวงตาที่กำลังเพ่งอยู่กับรูปจากกล้องวงจรปิดหันไปมองทางประตูที่จู่ๆก็เกิดเสียงเหมือนมีอะไรมากระแทกเข้าอย่างจัง ฤทธิชาติลังเลว่าควรจะเดินไปดูมันไหม เพราะนี่ไม่ใช่ทั้งห้องของเขาและไม่ใช่เรื่องของเขา อาจจะเป็นแค่คนเมาเดินเตะประตูก็ได้แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีที่ฤทธิชาติหันกลับมา เสียงพูดคุยที่แทบจะกลายเป็นการตะโกนของคนสองคนก็ดังขึ้น
“ทำไมกลับมาตอนนี้ แกไปไหนมา!!”
“ผมไปทำงานมา โอ้ย! ลุงปล่อยผมนะ!”
“ไปทำงานหรือไปหาผู้ชายคนนั้นกันแน่ วันก่อนมันก็โทรมาหาแกใช่ไหม ทำไมแกไม่ฟังคำสั่งฉันห๊ะปูน แกจะทำให้ฉันผิดหวังไปถึงไหน!!!”
ชื่อของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่กำลังคู้ตัวลงกับพื้นเมื่อชายอีกคนทำท่าง้างมือขึ้นแล้วใกล้จะหวดมันลงมาสร้างความสนใจและแปลกใจให้ฤทธิชาติมาก แต่มันก็ไม่มากเท่าความไวของร่างกายที่รีบตรงเข้าไปคว้ามือของคนที่หมายจะทำร้ายไว้
“คุณคิดจะทำอะไร”
ฤทธิชาติเผลอใช้น้ำเสียงจริงจังที่ไม่เหมาะกับนิสัยของเขาสักเท่าไหร่ แต่จากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงตรงหน้าและสภาพของเด็กคนนี้มันกลับทำให้เขาทำทีเล่นทีจริงไม่ออก
“อย่าเสือก!”
“การทำร้ายร่างกาย เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้นะครับ”
ได้ผลชะงักเมื่อนายตำรวจหนุ่มลองยกข้อกฎหมายขึ้นมาอ้างชายคนนี้จึงมีทีท่าสงบลงบ้าง หากแต่ดวงตาที่แสดงความเกรี้ยวกราดนั้นยังคงจับจ้องมายังคนที่พยายามเขยิบตัวหนีไปให้ไกลที่สุด อืม...ดูเหมือนว่าขาจะเจ็บนะ
“กูกับมันเป็นญาติกัน คนนอกอย่ามายุ่งนักเลย”
ชายมีอายุกัดฟันพูดอย่างมีน้ำโห อยากจะระเบิดอารมณ์ใส่อย่างเคยแต่ก็กลัวจะเสียเปรียบเลยพยายามหาทางกันคนนอกออกไปจากเรื่องนี้ให้ได้ก่อน หากแต่ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงขายาวสีกากีกลับยิ้มกว้างก่อนจะพูดออกมา
“พอดีผมเป็นตำรวจน่ะครับ ถึงไม่อยากยุ่งแต่หากเป็นเรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนคงทำตัวไม่คุ้มภาษีไม่ได้”
ฤทธิชาติแทบจะหลุดขำเมื่อใบหน้าของชายคนนี้แทบจะไร้สีเลือด...แค่นี้คงจะพอแล้วล่ะมั้ง
“ผมว่าคุณกลับไปสงบจิตสงบใจก่อนนะครับ ไม่ว่าจะทะเลาะกันเรื่องอะไรแต่อย่าให้ถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันเลย ส่วนแผลของเด็กคนนี้ผมจะจัดการให้เองครับ ขออนุญาตให้เขาอยู่กับผมก่อนแล้วกัน”
“แก...”
“ครับ? มีปัญหาอะไรหรอ”
ฤทธิชาติจงใจส่งการคุกคามผ่านทางสายตาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจมันได้เลยค่อยๆถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก ชายคนนั้นไม่พูดอะไรกับคนที่เอาแต่กอดเข่าอยู่บนพื้นอีกแต่ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าเรื่องมันไม่มีทางจบง่ายๆแบบนี้แน่
“ลุกไหวไหม”
ปูนเงยหน้าขึ้นจากเข่าของตัวเอง เขามองฝ่ามือใหญ่ๆที่ยื่นตรงมาให้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย...ชิงชัง...ระแวง...ไม่ไว้ใจ...ถึงจะเป็นแค่เสี้ยววินาทีแต่ปูนก็จำได้ว่าชายคนนี้เดินออกมาจากห้องของใคร
“อย่าเสือก”
ฤทธิชาติโคล้งศีรษะเมื่อได้ยินอย่างนั้น เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วว่าสองคนนี้คงเป็นญาติกันจริงๆ...พูดเหมือนกันเป๊ะ
“ผมก็ไม่อยากเสือกหรอกนะครับ แต่คุณนั่งขวางอยู่ผมเลยเข้าห้องไม่ได้”
คำพูดของฤทธิชาติทำเอาปูนรู้สึกชานิดๆที่ใบหน้า ร่างกายที่ทั้งเหนื่อยล้าและบอบช้ำจึงพยายามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะข้อเท้าที่เริ่มบวมเป่ง นายตำรวจหนุ่มมองคนอวดเก่งที่เอี้ยวตัวไปสัมผัสข้อเท้าของตัวเองแล้วถอนหายใจ
“เฮ้อ จะดิ้นก็ได้แต่อย่าร้องนะครับ ผมรำคาญ”
ทันทีที่พูดจบฤทธิชาติก็อุ้มปูนขึ้นมาแต่ทันทีที่เขาแตะร่างกายที่ภายนอกดูปกติดี ร่างกายเล็กๆของคนที่พยายามทำเป็นสงบมากตลอดกลับกลับสะดุ้งเฮือกแล้วทำหน้าเหยเก
“โอ้ย!”
ฤทธิชาติปิดปากเงียบแล้วเลือกที่จะอุ้มปูนเข้าไปในห้องของอารัณย์ที่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดไว้แทนที่จะเป็นห้องของเจ้าตัว ร่างเล็กไม่ดิ้นสักนิด ปูนทำแค่หลุบสายตาลงไม่อยากมองเห็นว่าคนที่มาช่วยเหลือมีสีหน้ายังไง สงสารเขาไหมหรือว่าจะสมเพช...ปูนไม่อยากเห็นมันเลย
“นั่งตรงนี้ แล้วถอดเสื้อผ้าออกให้หมด”
ฤทธิชาติวางปูนลงบนเตียงของเพื่อน เขาออกคำสั่งแล้วเดินไปหยิบกะละมังและผ้าขนหนูผืนเล็กที่พอจะหาได้มาเตรียมไว้ ส่วนปูนก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่คิดจะทำตามคำพูดของฤทธิชาติแต่อย่างใดจนกระทั่งนายตำรวจหนุ่มเดินกลับมา
“เวลาที่นิลดื้อผมมองว่ามันน่ารัก แต่สำหรับคุณนี่น่าตีซ้ำให้เจ็บกว่าเดิม”
“หึ...อยากทำก็ทำสิ”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่เอาอนาคตตัวเองมาทิ้งไว้กับคุณหรอก”
ชายหนุ่มวางกะละมังใบเล็กลงกับพื้นใกล้ๆก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เต็มไปด้วยรอยเปื้อนโดยไม่ขอคำอนุญาตจากเจ้าของ เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด...เพียงแค่กระดุมเม็ดแรกเขาก็เห็นรอยช้ำแดงม่วงประดับไว้บนผิวกายขาวที่ออกอาการสั่นน้อยๆราวกับว่ากำลังหวาดกลัวแล้วพอเงยหน้าขึ้นมองก็เป็นอย่างที่คาด
“ไม่ต้องกัดปากตัวเองอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
ปูนไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่อเพื่อนของอารัณย์ผู้เป็นศัตรูหัวใจได้แค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็ยอมนั่งนิ่งๆให้ชายคนนี้ถอดเสื้อผ้าของเขาออกจนเกือบหมด จนสิ่งที่เขาพยายามปกปิดมันไว้มาเป็นอาทิตย์ปรากฏขึ้นเต็มสองตา
ผิวกายใต้ร่มผ้าของปูนแทบไม่เหลือช่องว่าง รอยช้ำทั้งเก่าและใหม่แข่งกันขึ้นสีน่ากลัวอย่างไม่มีใครยอมใครจนคนมองอดที่จะรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ ฤทธิชาตินำน้ำอุ่นในกะละมังไปเททิ้ง ร่างกายของเด็กคนนี้บอบช้ำเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากการประคบร้อนจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ น้ำเย็นจัดที่พอจะได้หาจากตู้เย็นถูกเทลงไปแทนที่แล้วนายตำรวจหนุ่มก็ใช้มันเพื่อปฐมพยาบาลให้อีกฝ่าย
ปูนสะดุ้งทุกครั้งที่เนื้อผ้านุ่มๆลากผ่านผิวกายแต่เขาก็ไม่อยากร้องออกมาเพราะจะพลอยให้รู้สึกสมเพชตัวเองไปเสียเปล่าๆ...ฤทธิชาติไม่ได้พูดหรือถามอะไรทั้งนั้น ปูนเองก็เช่นกัน เขาทั้งคู่ใช้เวลาไปกับการประคบเย็นเรื่อยๆจนปูนเริ่มรู้สึกดีขึ้น ฤทธิชาติจึงเริ่มสำรวจข้อเท้าของปูนเป็นอย่างต่อไป
“ข้อเท้าพลิกนิดหน่อย เอาน้ำเย็นประคบไว้เดี๋ยวคงหายปวด”
“ไม่เป็นไร ทิ้งไว้อย่างนั้นก็ได้”
เด็กหนุ่มบอกปัดความหวังดีของอีกฝ่าย เขาอยากออกไปจากที่นี่
“ผมแค่ทำตามหน้าที่ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันไม่เกี่ยวว่าคุณเป็นใคร ต่อให้คุณเป็นแค่คนกวาดถนนหรือรัฐมนตรี หรือแม้แต่เป็นคู่แข่งกับเพื่อนผมมันก็ไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น”
“...!!”
“หน้าที่ของตำรวจคือช่วยเหลือประชาชน เพราะฉะนั้นต่อให้คุณร้องไห้ ผมก็ไม่สงสารหรอกนะครับ”
ฤทธิชาติพูดโดยไม่มองหน้าปูนสักนิด หากแต่น้ำตาที่หยดลงบนมือของเขาก็ทำให้ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าเขายังไม่สมควรเงยหน้าขึ้นไป ปูนจับชายเสื้อของฤทธิชาติไว้แล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น ชายคนนี้จะไม่สงสารเขา...ความสงสารที่ตอกย้ำความเจ็บปวดให้ร้าวลึกขึ้นไปอีก
พวกเขานั่งอยู่อย่างนั้นราวครึ่งชั่วโมง ปูนร้องไห้ออกมาจนหมดแต่มันก็เป็นแค่น้ำตาเพราะร่างเล็กรู้ดีว่าปัญหาที่แท้จริงนั้นยังไม่ได้รับการแก้ไขและบางทีมันอาจจะไม่มีทางแก้ได้...ปูนไม่รู้ว่าเขาควรจะทำตัวยังไง ชีวิตของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่มีวิทยาตามควบคุมอยู่ทุกฝีเก้า ไม่ว่าปูนจะไปที่ไหนหรือคุยกับใครลุงที่ปูนเคยเคารพรักก็มักจะโผล่มาเสมอพร้อมกับการลงโทษที่ทำลายความทรงจำและความไว้ใจให้ลดน้อยถอยลงจนแทบไม่มีเหลือ
ปูนเจ็บ...และผิดหวัง
เจ็บเพราะความทรงจำ และผิดหวังเพราะความไว้ใจ
“ขอบคุณ...ที่ช่วย”
เด็กหนุ่มพูดขึ้นหลังจากจิบนมร้อนๆที่ฤทธิชาติอุตส่าห์ไปอุ่นมาให้ อย่าคิดนะว่าชายคนนี้จะมีน้ำใจทำมาให้เพื่อปลอบเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงท้องร้องมันน่ารำคาญฤทธิชาติก็คงปล่อยปูนให้นั่งหิวอยู่แบบนั้นแหละ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากตอบแทนพอได้ทำงานแล้วก็ช่วยจ่ายภาษีให้แผ่นดินทุกๆปีด้วยแล้วกัน”
คำพูดของฤทธิชาติทำให้ปูนหลุดยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มนึกแปลกใจว่าทำไมรัตติกาลถึงยอมปล่อยคนคนนี้ให้อยู่ห่างกายได้ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนของเขาเด็กคนนี้ก็น่ารักมากกว่าโข ฤทธิชาติแสดงน้ำใจอีกครั้งด้วยการนำแก้วของปูนไปแช่ไว้ให้รอเจ้าของห้องมันกลับมาล้าง ทำให้ในขณะนั้นปูนจึงมีเวลาได้มองสำรวจไปรอบๆห้อง
“มีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลยเหะ”
ร่างเล็กบ่นพึมพำกับตัวเองเพราะนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย หอพักแห่งนี้ใช่ว่าจะทรุดโทรมหรืออะไรแต่เมื่อเทียบกับของใช้ในห้องนี้มันกลับมีราคาต่างกันจนเขานึกสงสัย แต่พอรู้สึกตัวว่ากำลังคิดแบบนั้นปูนก็ไล่ความฟุ้งซ่านนั่นออกจากหัว
“แผลตามตัวภายในวันสองวันนี้ถ้ายังไม่ดีขึ้นควรจะไปหาหมอนะครับ ส่วนข้อเท้าก็เหมือนกัน แต่คิดว่าแค่ประคบเย็นต่ออีกสักสองสามครั้งแล้วหาหมอนสูงๆมารองตอนนอนก็น่าจะดีขึ้น”
“อืม แต่คงไม่เป็นไรหรอก”
“ครับ ถ้ามันไม่มีแผลใหม่มาเพิ่มก็น่าจะหายตามที่บอก”
“...”
“อย่างที่ผมบอกคนคนนั้นไปว่าทำร้ายร่างกายเป็นคดีอาญา ถ้าทนไม่ไหวก็ไปแจ้งความซะนะครับ”
“ผม...ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
“...?”
“ปิ่นต้องร้องไห้แน่ๆ”
ชื่อของคนที่ฤทธิชาติไม่รู้จักถูกเอ่ยขึ้น แต่ก็พอเดาได้ว่าคงมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย แววตาที่เฉยชาของปูนดูเศร้าลงแต่บรรยากาศรอบกายกลับเหมือนกับขวดน้ำอัดลมที่ถูกกระแทกไปมาจนพร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา
“อย่างที่บอก...ตำรวจมีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน ผมจะไม่รู้สึกสงสารหรือเวทนาคุณหรอก...เพราะฉะนั้นต่อให้คุณเล่าให้ผมฟัง มันก็ไม่มีผลอะไรนอกเหนือไปกว่าความสบายใจถึงแม้จะชั่วคราวก็เถอะนะ”
รอยยิ้มจริงใจจากฤทธิชาติถูกมอบให้ปูนเป็นครั้งแรกในฐานะของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ปูนมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ...เป็นความไม่เข้าใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานาน...นานพอที่จะเปลี่ยนคนร่าเริงให้เฉยชา...เปลี่ยนคำขอร้องให้คนช่วยเป็นความสิ้นหวัง
“ถ้าผมเล่าให้คุณฟัง...รับปากได้ไหมว่าจะเก็บมันเป็นความลับตลอดไป”
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
ชีวิตใหม่ของปูน ณ บ้านหลังเดิมไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนนัก หากไม่นับมื้อเช้าที่เขาไม่ต้องลงมาช่วยป้าปานเตรียมอาหาร ปูนก็มีหน้าที่รับผิดชอบงานในครัวเป็นส่วนมากโดยเฉพาะขนมที่ร่างเล็กถนัดมันเป็นพิเศษ
“ป้าปาน เม็ดขนุนนี่จะให้ผมวางไว้ในหรือนอกตู้เย็นครับ”
ร่างเล็กหันไปถามป้าสะใภ้ที่กำลังง่วนกับหม้อไก่ตุ๋นบนเตาโดยไม่หันมามองปูนสักนิด แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร...เธอไม่เคยสนใจอะไรนอกจากเรื่องของตัวเอง
“วางไว้บนโต๊ะ แล้วขึ้นไปอาบน้ำซะไป”
ปูนพยักหน้าอย่างว่าง่าย ร่างเล็กวางขนมไทยอันเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างเขากับแม่ที่ตายไปแล้วลงบนโต๊ะก่อนจะขึ้นมายังห้องนอนเพื่อปล่อยเวลาให้หมดไปอีกวัน ใช่...ตอนนี้ปูนใช้ชีวิตไม่ต่างจากการโยนลมหายใจทิ้ง เขาถูกปิดกั้นจากทุกสิ่ง ทั้งมหาวิทยาลัยที่ควรจะได้กลับไปเรียน ช่องทางสื่อสาร และแม้แต่กับปิ่นที่หลังจากวันนั้น เด็กสาวก็ถูกพ่อแท้ๆพยายามกันไม่ให้เข้ามายุ่งย่ามกับเขา แน่นอนว่าปิ่นไม่มีทางยอม แต่เพราะความเป็นลูกก็ไม่อาจให้เธอทำอะไรได้มากไปกว่าการพยายามพูดคุยกับปูนให้มากที่สุดในระหว่างมื้ออาหาร เหมือนหยดน้ำเล็กๆที่รินลงบนพื้นทรายแห้งผาก
น่าเวทนา...และไร้ประโยชน์
“ปูน เดี๋ยวอยู่บ้านคนเดียวไปก่อนนะ ป้าจะออกไปข้างนอกหน่อย”
ในขณะที่ปูนกำลังแผ่เมตตาให้ความบัดซบของชีวิตตัวเอง ประตูห้องที่ตัวล็อคกลอนถูกถอดออกไปก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของปานจิตที่ถือตะกร้าหวายไว้ในมือ หญิงที่ผ่านเลยวัยกลางคนมามากโขหยุดอยู่ตรงนั้นมองดูหลานชายของตัวเองที่กำลังถอดเสื้อยืดแขนยาวสีดำตัวเก่าออกมาเตรียมอาบน้ำเหมือนที่เธอบอกไว้ สายตาของเธอเลื่อนไปหยุดตรงผิวกายขาว ที่ปรากฏรอยช้ำจางๆประดับอยู่บนนั้นอันเป็นภาพที่คุ้นตามากจนไม่มีอาการตกใจ
“จะออกไปซื้อของหรอครับ”
“ใช่...น้ำมันพืชมันหมดพอดี”
ปานจิตพูดแค่นั้นก่อนจะปิดประตูบานลงเหมือนกับว่าเธอไม่เห็นและรับรู้อะไรทั้งสิ้น กลับกันเด็กหนุ่มที่ถูกทำทารุณยังคงมองดูที่ที่ป้าสะใภ้ของตัวเองเพิ่งจากไปพร้อมกับคำถามมากมายที่ปูนรู้สึกว่ามันไร้ประโยชน์หากจะต้องถาม ปูนหันมามองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มให้กับคนในนั้นเหมือนกับพยายามจะปลอบใจ
ถ้าไม่อยากเจ็บไปกว่านี้...ก็อย่าตั้งความหวังอีกเลยนะ
ปูนบอกกับตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ตอกย้ำความจริงที่ไม่มีใครเคยเข้าถึงให้ตัวเองไม่มีทางลืมมัน หากแต่ไม่รู้ทำไมทุกๆครั้งที่ทำอย่างนั้น ใบหน้าของใครบางคนกลับลอยเข้ามา
‘อย่าร้องไห้เพราะคนอื่นนอกจากฉันอีกนะ...ได้ยินไหม’
‘เป็นคำสั่งหรอ’
‘อืม’
‘…’
‘ฉันขอสั่งให้เธอร้องไห้ให้ฉันได้คนเดียว’
คำพูดที่ปูนพยายามพร่ำบอกตัวเองถูกลบออกไปอย่างง่ายดายเพราะน้ำตาที่ไหลออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ปูนเป็นคนรักษาสัญญา แล้วคณิตล่ะ...ยังจำคำสัญญาที่เคยกันไว้ได้ไหม
‘สัญญา...ถ้าหากเธอต้องการฉันจะอยู่กับเธอในทุกๆที่’
ผมต้องการคุณ...
ปูนทำได้แค่พูดออกมาในใจเท่านั้น
แต่ร่างเล็กก็ยืนร้องไห้ได้อยู่ไม่นาน เสียงรถที่ฟังคุ้นหูก็ดังขึ้นทำให้ปูนเข้าใจได้ว่าทำไมป้าปานถึงยอมปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวในบ้านทั้งๆที่คำสั่งของลุงวิทย์คือการไม่ยอมให้เขาอยู่ห่างสายตาของใคร ปูนรีบพาตัวเองเข้าไปในห้องน้ำ เสียดายที่มันไม่มีอ่างหรูๆเหมือนกับบ้านของคณิตเขาถึงไม่มีทางจะหมกตัวอยู่ในนี้นานๆได้ ปูนจึงทำได้แค่พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ช้าที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนที่เขาพูดได้เต็มปากว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่าเพื่อนร่วมโลกที่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน
ความเคารพสำหรับคนคนนี้...หมดสิ้นไปนานแล้ว
“ทำอะไรอยู่ในห้องน้ำตั้งนาน”
เป็นอย่างที่คาด ทันทีที่ปูนเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็พบวิทยาที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ยืนจังก้าอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าแบบที่ปิ่นคงไม่เคยเห็น ปูนก้มหัวให้อีกฝ่ายน้อยๆแล้วเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวตัวใหม่มาใส่เพื่อปกปิดร่องรอยตรงแขนที่เขาไม่มีวันปล่อยให้ปิ่นเห็นมันเด็ดขาด แต่ยังไม่ทันไร แขนขาวๆที่ที่ช้ำจนน่ากลัวก็โดนบีบเข้าอย่างแรงอีกครั้ง
“ฉันถามไม่ได้ยินหรอ”
“ได้ยินครับ แต่ไม่รู้จะตอบอะไร...เข้าไปในห้องน้ำมันก็ต้องอาบน้ำสิ หรือว่าลุงเคยใช้มันทำอย่างอื่น”
“...!!”
ปูนจุดยกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนเป็นลุงแม้ว่าจะเพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็มากพอที่ทำให้เกิดช่องว่างจนปูนสามารถเบี่ยงตัวออกมาได้
“อย่าทำปากเก่งให้มากนัก...แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก ฉันมีงานให้แกช่วยทำ”
ปูนแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่เข้ามาทำร้ายเมื่อโดนเขาพูดไม่ดีใส่เหมือนทุกครั้ง แต่ร่างเล็กก็ไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจเพราะแค่ลำพังเรื่องของตัวเองก็ปวดหัวจนแทบบ้า ปูนแต่งตัวอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเดินไปชั้นล่างของบ้านที่เงียบเพราะปิ่นและป้าปานยังไม่กลับเข้ามา เขาเดินไปหาลุงวิทย์ที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเอ่ยปากถาม
“ลุงมีอะไรจะให้ผมทำครับ”
“นั่งนี่ก่อนสิ”
ลุงวิทย์ชี้ไปยังโซฟาเดี่ยวตัวใกล้ๆ แต่ปูนกลับเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ห่างออกไปหน่อยโดยไม่สนใจว่าชายคนนี้จะทำหน้ายังไง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลุงต้องการให้เขาทำจะหนักหนาพอสมควร เปลือกนอกที่ดูสุภาพแบบผู้ใหญ่นั้นถึงดูตึงเครียดมากกว่าโกรธเคือง
“ตั้งแต่กลับมาอยู่นี่ แกได้ติดต่อใครบ้างรึเปล่า”
“ไม่ครับ ลุงยึดโทรศัพท์ไปแล้วผมจะติดต่อใครได้”
ทันทีที่ลุงวิทย์บุกไปหาเขาที่หอพักในคืนนั้น ทั้งโทรศัพท์และอิสรภาพของปูนก็ถูกยึดไปโดยไร้ซึ่งช่องทางให้ขัดขืน และไม่ต้องพูดถึงหนทางที่จะได้มันคืนเพราะโทรศัพท์ของปูนถูกโยนทิ้งลงทะเลบางแสนไปแล้วก่อนปูนจะจากที่นั่นมา
“แต่ฉันก็ให้โทรศัพท์แกไว้ใช้”
“โทรศัพท์ปุ่มกดเก่าๆที่ไม่มีเบอร์ใครนอกจากลุงมันใช้ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ รีโมททีวียังมีประโยชน์ซะกว่า”
“ปูน!!”
“ผมพูดเรื่องจริง ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจำเบอร์ใครไม่ได้แล้วต่อให้จำได้...ผมก็ไม่เคยใช้มันโทรไปหาใคร”
คนเป็นลุงมองหลานของตัวเองอย่างคาดคั้น แต่ความเฉยเมยในแววตาคู่นั้นก็บอกได้ว่าปูนไม่ได้โกหก จริงๆวิทยาก็รู้อยู่แล้วว่าหลานชายไม่ได้โทรหาใครเลยจากบันทึกการใช้โทรศัพท์ที่เขาเช็คมันอยู่ทุกๆวัน แต่ว่ามันก็มีเหตุผลที่จะทำให้ความสงสัยและระแวงมันปะทุขึ้นมา
“อีกสามวันที่ทำงานฉันจะมีการสัมมนา”
“ครับ แล้วลุงจะมาบอกผมทำไม”
“วันนั้น...แกต้องไปกับฉันด้วย”
“ผม? ผมเนี่ยนะ?”
คราวนี้ไม่ใช่แค่วิทยาแล้วที่สงสัยเพราะปูนเองก็เหมือนกัน จริงอยู่ที่สมัยก่อนเขาเคยไปช่วยดูแลงานเลี้ยงที่ที่ทำงานของลุงอยู่สองสามครั้ง แต่นั่นมันก็เป็นในนามของบริษัทจัดอีเว้นท์ที่ปูนเคยรับจ็อบด้วยตอนยังอยู่ที่กรุงเทพ
“วันนี้หัวหน้าเรียกฉันเข้าไปพบ เขาบอกว่าหัวหน้าทีมของบริษัทที่จะเข้าร่วมด้วยรักการดื่มเป็นพิเศษเขาเลยนึกถึงตอนที่แกเคยไปดูแลเรื่องเหล้าให้”
“เรื่องแค่นั้นใครๆก็ทำได้ แล้วทำไมต้องเป็นผม”
“นั่นสิ...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม”
ปูนเผลอสั่นน้อยๆเมื่อแววตาของลุงวิทย์ที่จ้องมองมาดูดุดันเสียจนเขาหวนนึกถึงความเจ็บปวดยามที่ร่างกายถูกทำร้าย คนตัวเล็กพยายามเขยิบออกมาแต่ก็ไปได้ไม่ไกลเมื่อคนที่ถึงแม้จะอายุมากแต่เรี่ยวแรงและความไวไม่ได้ด้อยลงไปเลยสักนิด วิทยาลุกขึ้นมาจับไหล่ของปูนไว้แล้วบีบมันอย่างแรง
“สารภาพมา ว่าแกไปทำอะไรไว้”
“อึก ปล่อย ผมไม่ได้ทำ”
“ถ้าแกไม่ได้ทำ มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”
“ใครจะไปรู้เล่า ผมอยู่แต่ในบ้านผมจะไปทำอะไรได้!”
ปากของปูนถูกบีบอย่างแรงเมื่อเผลอพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น เขาพยายามขืนตัวออกเพราะความเจ็บที่แล่นริ้วขึ้นมาจนเริ่มทนไม่ไหว หากแต่ยิ่งขืนลุงวิทย์ก็ยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารดใบหน้าของปูนจนสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน
“ถ้าแกไม่ได้ทำ...แล้วผู้ชายของแกล่ะ”
“...!!”
แม้ปูนจะรู้ดีที่สุดว่าคณิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากแต่เมื่อได้ยินดังนั้นหัวใจเจ้ากรรมก็เผลอตั้งความหวังโง่ๆออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างเล็กขบกัดริมฝีปากของตัวเอง เขาอ่อนแออีกแล้วทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่หวังเพิ่งใคร แต่ก็ทำไม่ได้...แค่นึกถึงใบหน้าของคณิตความตั้งใจนั้นก็พังลงทันตา
“เขา...ไม่มีทางมาช่วยผมหรอก”
“หึ แกจะมั่นใจได้ยังไง ในเมื่อมันก็หลงแกออกปานนั้น”
“ผมว่าลุงรู้อยู่แล้วนะ ว่าทำไมเขาถึงไม่มาทางมาช่วยผม”
ปูนยิ้มเยาะออกมา หากแต่คนที่เขาต้องการยิ้มให้ก็คือเขาเองที่ไม่อาจเลือกทางเดินที่ดีกว่านี้ให้กับตัวเองได้ ปูนดึงมือของลุงออก แต่ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดที่ได้รับก็ยังคงหลงเหลืออยู่เต็มไปหมด
“ไม่ต้องห่วงหรอกว่าคุณคณิตเขาจะทำอะไรลุงรึเปล่า...เพราะต่อให้เขามา ผมก็ไม่มีทางที่จะกลับไปกับเขาได้อยู่ดี”
เวลาผ่านไปราวกับเรื่องโกหก ยังไม่ทันที่ปูนและวิทยาจะหาคำตอบได้ว่าทำไมร่างเล็กถึงกลายมาเป็นผู้ที่ถูกเลือก งานสัมมนาที่ว่านั่นก็ถูกจัดขึ้นแล้ว บริษัทที่วิทยาทำงานอยู่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อพอสมควรในวงการ และแม้ว่าวิทยาจะไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไรแต่ด้วยความที่ทำงานอยู่ที่นี่มานานทำให้เขาเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในบริษัทพอสมควร จึงไม่แปลกอะไรเมื่อทันทีที่ปูนและวิทยามาถึงก็มีคนกรูเข้ามาทักทายคนข้างๆเขาเป็นการใหญ่
“สวัสดีคีครับคุณวิทยา อ้าว แล้วนี่หลานชายใช่ไหมครับ ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มหล่อเชียว”
ปูนยิ้มให้กับคนที่ตัวเองจำไม่ได้ตามมารยาทแล้วเลือกที่จะปล่อยให้คนที่พาตนมาเป็นคนจัดการทุกอย่าง
“ใช่ครับ พอดีหัวหน้าเขาขอให้หลานผมมาช่วยงานเลยต้องตามมาด้วย”
“อ่อ จะมาเป็นบาร์เทนเดอร์ให้ใช่ไหม สงสัยหัวหน้าคงจะติดใจจากงานเมื่อปีก่อน เครื่องดื่มตอนนั้นมันยอดมากจริงๆครับ”
พอคนหนึ่งเริ่มชม พวกที่มุงอยู่รอบๆก็พาสรรเสริญกันไม่ขาดปาก ปูนทำได้แค่ยิ้มแม้จะสารภาพอยู่ในใจว่าเครื่องดื่มที่ว่านั่นเป็นสูตรทดลองที่เขายังทำออกมาได้ไม่ดีพอต่างหาก แต่เอาเถอะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขามีโอกาสได้ออกมาเจอโลกภายนอกได้แล้วกัน
ร่างเล็กอยู่แจกรอยยิ้มไม่นานก็ขอตัวออกมาเตรียมงานโดยที่ตัวเองไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย ถือว่าเป็นโชคดีที่การทำงานกับโรงแรมดังๆอย่างThe Pilot และ The Next สร้างประสบการณ์ให้เขามากพอสมควรปูนจึงใช้เวลาไม่นานที่จะเรียนรู้งานตรงหน้าแล้วเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองไปท่ามกลางทีมงานคนอื่นซึ่งเจ้านายของลุงคงจ้างมาช่วยงานในส่วนอื่น
งานในวันนี้เป็นงานสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทัศนคติเกี่ยวกับการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึงมีผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงานของผู้รับเหมาทั้งในแง่ดีและร้าย แต่ปูนก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมเครื่องดื่มชุดหลักอยู่หลังม่าน ก่อนจะออกมาเตรียมเครื่องดื่มแบบพิเศษที่เจ้านายของลุงวิทย์รีเควสมาว่าอยากให้เขาทำมันในงานเลี้ยงช่วงสุดท้ายที่จะจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ ที่ถูกจัดจนสวยงามผิดจากปีก่อนๆ
“พี่ๆ งานนี่มันจะเลิกเมื่อไหร่น่ะ”
ปูนเอ่ยถามพนักงานที่นั่งแกร่วอยู่ข้างๆกัน ก็นะ ในขณะที่ข้างในหอประชุมกำลังพูดคุยกันมันหยดจนเสียงดังออกมาข้างนอก ทีมบริการอย่างพวกเขาก็ได้แต่ตบยุงรออย่างเบื่อๆ
“เย็นๆนู้นแหละ สักหกโมงได้มั้ง”
“นานชิบ”
“นั่นสิ แต่จะไงได้เขาสั่งให้รอเราก็ต้องรอ”
ว่าแล้วก็ยิ้มเซ็งๆ แต่มือก็แอบเอื้อมไปรินเครื่องดื่มที่ปูนเตรียมไว้สำหรับแขกมาจิบๆชิมๆเป็นแก้วที่สามแล้วเท่าที่ร่างเล็กสังเกตเห็น แต่ก็ช่างเถอะ นั่นใช่เรื่องของเขาเสียเมื่อไหร่ ปูนหันออกไปมองสวนหย่อมด้านนอกอย่างเซ็งๆ นี่ถ้าโทรศัพท์เขายังอยู่ปูนคงมีของใช้คลายเบื่อได้บ้าง ทั้งคุยกับเพื่อนของพี่โต้ง หรือเล่นเกมที่คณิตโหลดทิ้งไว้...อ่า เผลอคิดถึงเขาอีกแล้ว
“ขอโทษนะครับ เครื่องดื่มนี่...ผมกินได้รึเปล่า”
ก่อนที่ปูนจะหลงลงไปในห้วงอารมณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้น เสียงแหบๆราวกับคนไม่สบายของแขกคนหนึ่งก็เรียกสติเขากลับมาพร้อมกับภาพของผู้ชายตัวโตในชุดสูทเทอะทะแปลกตากำลังยืนงงๆมองมาทางนี้...แต่งตัวบ้าอะไรของมัน
“เชิญครับ อยากให้ผมรินให้ไหม”
ต่อให้แต่งตัวแย่แค่ไหนปูนก็จำเป็นต้องถามตามหน้าที่ ชายคนนั้นยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้พร้อมกับชี้ไปยังอ่างของเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์อ่อนๆที่พนักงานคนเมื่อกี้แอบชิมไปนั่นแหละ
“ผมขอแบบนี้แก้วหนึ่งครับ”
ร่างเล็กขมวดคิ้วแน่น ไม่ว่าฟังยังไงปูนก็สรุปได้ว่าหมอนี่กำลังเป็นหวัดอยู่แน่ๆ ให้ตายสิ ไม่เจียมสภาพตัวเองจริงๆ
“รอสักครู่นะครับ”
แทนที่จะจัดเครื่องดื่มให้ตามที่ลูกค้าต้องการ ปูนกลับขอตัวแล้วเดินเข้าไปยังด้านหลังของห้องประชุมที่ถูกใช้เป็นสถานที่เตรียมงาน แก้วชาทรงสวยที่ปูนขอจากแม่บ้านมาถูกเติมเต็มด้วยน้ำอุ่นผสมด้วยน้ำผึ้งและเลม่อนฝาน กลิ่นหอมๆของมันทำให้ร่างเล็กรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาดแต่ก็นะ เขาไม่ได้ทำมันขึ้นมาเพื่อตัวเองสักหน่อย
“นี่ครับ”
แก้วชาสีขาวมุกถูกวางลงตรงหน้าผู้ชายคนนั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนภายใต้กรอบแว่นหนาหันมามองทางร่างเล็กอย่างไม่เข้าใจ แต่ปูนก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรนอกไปจากการโค้งหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินกลับมาประจำที่ของตัวเอง
“ทำอะไรน่ะ แขกเขาสั่งไอ้นี่ไม่ใช่รึไง”
พนักงานคนเดิมถามปูนพร้อมกับชูแก้วใบเดิมที่คงถูกเติมใหม่มาหลายรอบแล้วขึ้นมา ปูนหันไปมองทางคนไม่สบายที่ค่อยๆยกน้ำมะนาวอุ่นๆที่เขามาให้ขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะตอบ
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ เขาก็กินแล้วไงเห็นป่ะ”
เพียงแค่นั้นบทสนทนาต่างๆก็จบลง ปูนใช้เวลาที่เหลือไปกับการนั่งนิ่งๆชมนกชมไม้ไปเรื่อย หากมีคนเข้ามาขอให้เขาทำเครื่องดื่มให้เขาก็ทำ โดยที่ในใจคิดแค่ว่าอยากให้วันนี้ผ่านพ้นไปไวๆเหมือนกับวันอื่นๆที่ผ่านมา ส่วนผู้ชายเฉิ่มๆคนนั้นซึ่งปูนสรุปเอาเองว่าอีกฝ่ายคงเป็นลูกกระจ็อกของหนึ่งในบริษัทที่มาสัมมานาได้เดินมาขอน้ำมะนาวกับปูนอีกถึงสองแก้ว โดยแก้วสุดท้ายถูกเสิร์ฟไปก่อนที่งานสัมนาจะเลิกแค่ไม่กี่นาทีซึ่งกว่ามันจะจบท้องฟ้าสีครามด้านนอกก็ถูกย้อมเป็นสีส้ม
“ขอบใจมากนะที่มาช่วยงานวันนี้ รบกวนเราและวิทย์เขามากจริงๆ”
เจ้านายของวิทยาที่ปูนจำได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายอยู่สองสามครั้งเดินเข้ามาทักและขอบคุณปูนหลังจากปลีกตัวออกมาจากงานได้ ร่างเล็กน้อมรับคำขอบคุณนั้นด้วยเครื่องดื่มแบบที่เขาจำได้ว่าชายนี้เคยชอบมัน และแน่นอนว่าฝีมือของปูนไม่ได้ตกลงเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งนานไปบรรยากาศในงานก็ยิ่งคึกครื้น ทั้งอาหารแบบบุฟเฟ่ต์และเครื่องดื่มที่ปูนทำไว้สามารถสร้างความพอใจให้กับเหล่าคนทำงานที่เหนื่อยมาแทบทั้งวันได้เป็นอย่างดี มีคนเดินเข้ามาชมปูนไม่ขาดปาก บ้างก็ให้ทิปมาเป็นรางวัลจนกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของปูนอัดแน่นไปด้วยธนบัตรสีแดงและม่วงจนเขาอดที่จะรู้สึกภูมิใจเล็กๆไม่ได้
“รออีกพักหนึ่งแล้วกัน สามทุ่มก็ได้กลับบ้านแล้ว”
วิทยาที่อยู่ในชุดสูทเช่นเดียวกันเดินมาบอกกับปูนในจังหวะที่บูธเครื่องดื่มไม่มีใครอยู่ ร่างเล็กพยักหน้าให้อีกฝ่ายทั้งๆที่ข้างในมันบอกว่าเขาไม่อยากกลับไปที่นั่น แต่เขาก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้
“อ้าววิทย์อยู่นี่เอง หาตัวอยู่พอดีเลย”
เจ้านายของลุงวิทย์ที่หายไปคุยกับคนจากบริษัทอื่นเดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าที่แสดงความแช่มชื่นออกมาจนปูนรู้สึกได้ ปูนเองพอเห็นแบบนี้ก็คิดว่าทั้งสองคนคงจะกำลังคุยเรื่องงานกัน ตัวประกอบอย่างเขาจึงตั้งใจที่จะถอยออกมาแล้วไปยืนที่อื่นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท หากแต่ภาพของชายคนหนึ่งที่เดินตามหลังเจ้านายของลุงวิทย์มานั้นทำให้ปูนไม่อาจก้าวเท้าไปที่ไหนได้
“ผมมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก นี่คุณตฤณ ลูกชายของบริษัทคู่ค้ารายใหม่ของเราเป็นวิศวกรฝีมือเดียวเชียวนะ”
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าขยับเสื้อสูทสีแดงเลือดหมูของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ลุงของปูนด้วยท่าทางนอบน้อมหากแต่ดวงตาขี้เล่นคู่นั้นกลับจับจ้องมายังปูนไม่วางตา ริมฝีปากสีแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของบุหรี่ยกยิ้มขึ้นจนร่างเล็กที่ยืนอึ้งอยู่เผลอรู้สึกว่าอีกฝ่ายเท่เอามากๆ
“พี่ขิง...”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
หายไปเบ็ดเสร็จ 19 วันพอดิบพอดี =w= งื้อออออ เก๊าขอโต๊ดดดดดดดดดดดดด *กราบบบบบบบบ* :katai5: :hao5:
ตอนนี้เช่หมดภารกิจหนักๆแล้วคับ จะกลับมาอัพนิยายได้เหมือนเดิมแล้ว (ไม่ได้อัพทุกวันนะเออ5555) อาจจะ3วันครั้งอะไรประมานนี้นะคับ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว เร่งๆๆๆๆๆๆๆๆ
ดีใจที่มีคนรอ แต่ก็เสียใจที่ทำให้ต้องรอด้วย แต่ก็เนอะ 555555 ต่อไปจะพยายามไม่หายไปนานอย่างนี้อีกนะคับ ส่วนที่อ่านมาแล้วลืมๆก็ย้อนไปอ่านใหม่เอานะ เพราะเช่ก็ลืมเหมือนกัน
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต และขอบคุณที่รอคับ :impress3:
-
ดีใจที่ปูนกลับมา
-
:z3: :z3:มาแล้ววว รอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็มาาาา
-
ดีใจที่มาต่ออออออค่ะ หายไปซะเกือบลืมชื่อพระเอกเลย :hao3: :3123:
-
อีลุงนี่มีปัญหาอะไรมากมั้ย ตีได้นะ เกลียดดด :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: น้องปูนน่าสงสาร กลับไปหาพี่เค้าเหอะลูก อยู่ที่นี่มีแต่จะแย่ พี่ขิงคือใคร :katai1:
-
ปูนนนนน รอป๋ามารับหรอ แล้วเมื่อไหร่ละ ปูนกลับไปหาป๋าดีไหม
-
ป๋า เมื่อไหร่จะมาช่วยปูน สงสารน้องปูน อิลุงนี่มันเป็นโรคประสาทป่ะ ทำร้ายปูนอยู่ได้
-
นึกว่าตาฝาด เช่กลับมาแล้วววววว :hao7:
ตอนนี้เกลียดลุงกับป้ามาก โดยเฉพาะป้าคือรุ้แต่ไม่ช่วยคือไร???????
คนเราสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆนะ ใจดำอ่ะ โคตรเกลียดเลย :m31:
-
พี่ขิงเจอปูนแล้ว หวังว่าป๋าจะตามมาในเร็ววัน ...
คนเขียนอย่าหายไปอีกนะ คือมันค้างคา อย่าทรมานนักอ่านเลยยยยย
-
ดีใจค่ะที่กลับมา นึกว้าหายไปแล้วซะอีก
-
ค้างงงงงง :hao5: :hao5:
-
พี่ขิงช่วยปูนด้วยน้า สงสารปูนสุดๆ
-
สงสารปูน
-
แตกที่ 37
…ปฏิเสธ...
“ไอ้เชี่ยนิด มึงอยู่นิ่งๆดิวะ!”
ขิงไม่รู้ว่าควรจะตบกบาลคณิตที่เอาแต่นั่งหยุกหยิกไปมาหรือตบกบาลเพื่อนตัวป่วนอย่างนิลที่เอาระเบิดมาโยนให้แล้วตัวเองก็เอาแต่ไปนั่งจิบกาแฟดูข่าวภาคเช้าอยู่กับโต้งกันสบายใจเฉิบ
“มึงก็แต่งไวๆดิวะ ติดเคราแค่นี้มึงจะใช้เวลาอะไรนักหนา”
คณิตที่ทั้งรู้สึกร้อนใจและตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนออกไปรับเกียรติบัตรหน้าเสาธงครั้งแรกสมัยประถมบ่นออกมา ทำให้เคราปลอมที่ยังติดไม่แน่นดีหลุดออกมาเป็นครั้งที่สามจนขิงที่บรรจงติดมันอยู่นานทนไม่ไหวอีกต่อไป
“โอ้ยยยย ไม่ทำแล้วโว้ยยยย!! ไอ้เชี้ยนิล มึงมาทำเลย!!”
โต้งเดินไปขวางสายตานิลไว้ไม่ให้ไอ้เพื่อนตัวดีมันได้ดูทีวีสมใจอยาก ให้ตายสิ ไอ้ของปลอมตัวพวกนั้นก็ของผัวมัน แล้วทำไมคนที่ต้องเอามันมาแต่งให้ไอ้คณิตถึงกลายเป็นเขาไปได้!
“ไม่ กูทำไม่เป็น”
“กูก็ทำไม่เป็น!”
“แต่ก็ทำมาจนเกือบเสร็จแล้วนี่ เหลือแค่ติดเคราเอง”
นิลว่าพลางชำเลืองไปมองคณิตที่บัดนี้แทบไม่เหลือเค้าหนุ่มหล่อให้เห็น ร่างกายสูงใหญ่สมส่วนถูกปกคลุมไปด้วยชุดสูทลายเฉิ่มๆแบบพิเศษที่มีการใส่ฟองน้ำเสริมบุเสริมไว้ด้านในทำให้ดูกลายเป็นคนตัวใหญ่เทอะทะติดจะอ้วนๆ ผิวหน้าและผิวกายขาวๆถูกทาด้วยรองพื้นทนน้ำทนเหงื่อสีเข้มกว่าปกติ แล้วไหนจะรอยกระ รอยสิวที่ถูกแต่งแต้มขึ้นจากเครื่องสำอางทำให้เขาอดที่จะขำออกมาไม่ได้
“กูติดไม่ได้ แม่งหลุดมาสามรอบแล้ว”
“ติดดีๆสิ ทากาวทิ้งไว้สักพักให้มันเซ็ตตัวก่อนค่อยแปะลงไป”
“อ้าวไอ้สัด ไหนบอกกูทำไม่เป็น”
“ก็กูทำไม่เป็นไง ไปๆ ไปทำต่อได้แล้วเดี๋ยวไปงานไม่ทัน”
ขิงฟังแล้วก็งงๆแต่ก็ยอมเดินกลับไปเตรียมตัวให้คณิตต่อเพราะคิดว่าพูดให้ตายนิลคงไม่มีทางลุกขึ้นมาทำให้ โต้งที่นั่งมองอยู่ถอนหายใจ จะผ่านมากี่ปีขิงนี่ไม่เคยตามนิลทันจริงๆนะ
“อยู่นิ่งๆนะมึง ถ้ามึงยังขยับอีก คราวนี้กูไม่ช่วยแน่”
“เออ ขอโทษว่ะ กูแค่เป็นห่วงปูน”
“ถุ้ย! ตอนนี้มาพูดว่าเป็นห่วง ตอนเขาอยู่ล่ะไม่รู้จักถนอม”
คำต่อว่าของเพื่อนทำให้คณิตรู้สึกเจ็บและละอายอยู่ในใจแต่มันก็ไม่มากเท่ากับวันแรกๆที่เขาแทบจะโดนขิงต่อยเมื่อจำเป็นต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้เพื่อนฟัง แน่นอนว่าคณิตไม่คิดจะโทษมันเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจสลัดความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้เลย เพียงแค่คิดว่าตอนนี้ปูนกำลังแบกรับอดีตและความรู้สึกอะไรไว้ คณิตก็อยากจะรีบไปหาแต่ก็ทำไม่ได้
“เอาน่า แค่ไอ้นิดมันไม่ได้เจอน้องปูนมาเกือบอาทิตย์มันคงพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งเป็นยังไง”
โต้งพูดขึ้นบ้างพร้อมกับสังเกตสีหน้าที่หมองลงของเพื่อนไปด้วย มันเป็นแบบนี้มานาน อย่างน้อยก็ตั้งแต่ที่คณิตได้รับรู้ความจริงที่ว่าคนที่ตัวเองรักมีหัวใจที่บอบช้ำมากแค่ไหน คณิตอยู่แทบไม่ติดบ้าน ร่างสูงพยายามทุกทางที่จะไปหาปูนแต่คนรักของนิลอย่างฤทธิชาติกลับไม่ให้ความร่วมมือใดๆซึ่งโต้งก็เห็นด้วยกับมัน หากพวกเขาปล่อยให้คณิตที่ไร้ซึ่งสติยั้งคิดไปเผชิญหน้ากับคนแบบนั้น...มันมีแต่เสียกับเสีย
“ว่าแต่สายของผัวมึงว่ายังไงบ้างวะนิล น้องปูนของกูยังสบายดีอยู่ไหม กลับไปอยู่กับไอ้แก่บ้านั่นมาเป็นอาทิตย์แล้วมันทำอะไรบ้างรึเปล่า”
“อันนี้กูก็ไม่แน่ใจเพราะเท่าที่ไอ้ชาติบอก เด็กปูนนั่นไม่เคยได้ออกมาจากบ้าน วันๆเห็นเอาแต่ทำงานแล้วก็อยู่ในนั้น”
“แต่ถ้ายังทำงานไหว ก็น่าจะไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”
“มึงอย่าลืมสิว่าชาติมันเล่าอะไรให้ฟัง...ต่อให้จะมีแดดมันก็ไม่ได้หมายความว่าฝนจะไม่ตก”
ตั้งแต่เมื่อก่อนโต้งนึกเกลียดเสมอเวลาที่นิลยกคำพูดสวยๆเข้าใจยากมาใช้เพราะเขาไม่เข้าใจมันเลย หากแต่ครั้งนี้ชายหนุ่มกลับรู้ความหมายของมันได้โดยไม่มีใครต้องอธิบาย เช่นเดียวกับคณิตที่เผลอกำฝ่ามือของตัวเองแน่นเมื่อจินตนาการถึงปูนในอดีตที่ทั้งร่างกายและจิตใจต้องแบกรับอารมณ์และความโกรธของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ๆ
“แค่เป็นเกย์...ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วยว่ะ”
“ไม่รู้สิอาจจะมีความหลังอะไรก็ได้มั้ง”
“แต่ต่อให้มีความหลังฝังใจแค่ไหน การเอาความเจ็บปวดของตัวเองไปทำร้ายผู้อื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องอยู่ดี”
จิตแพทย์ที่ใจเย็นมากที่สุดเอ่ยปาก บ่งบอกถึงความไม่พอใจกับสิ่งที่ปูนต้องได้รับมันอย่างไม่เป็นธรรม แต่มันก็เทียบอะไรไม่ได้เลยกับความรู้สึกของคณิตที่มีทั้งความเสียใจ ไม่เข้าใจ และความโกรธต่อเรื่องราวที่ปูนต้องเจอ
“กูควรจะได้ไปรับปูนให้เร็วกว่านี้”
“เลิกทำหน้าเหมือนกับจะไปฆ่าใครให้ได้ก่อนเถอะไอ้นิด ถ้าหากมึงทำไม่ได้ แผนวันนี้ก็คงล้มไม่เป็นท่า”
นิลพูดดักออกมาเพราะพอจะเข้าใจว่าคณิตกำลังรู้สึกแบบไหน แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้น พวกเขาถึงปล่อยให้คณิตเจอปูนไม่ได้
“ลุงของปูนเป็นคนฉลาด ถึงจะใช้เวลาหลายเดือนแต่เขาก็ตามหาปูนจนพบได้ทั้งที่มันทำได้ยาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือชายคนนั้นน่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้น้องมันที่เคยพยายามหนีแทบตายยอมกลับไปด้วยได้...เขาถือไพ่เหนือกว่ามึง นั่นคือสิ่งที่มึงต้องยอมรับ”
คำอธิบายของนิลทำให้ทั้งห้องแทบจะตกอยู่ในความเงียบยกเว้นแต่เสียงของโทรทัศน์ที่กำลังฉายข่าวการกวาดล้างกระบวนการค้ายาเสพติดในตอนเหนือของประเทศไทย คณิตถอนหายใจหนักๆ เขาไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้สักเท่าไหร่แต่มันก็ใช่...สิ่งที่นิลพูด เขาเถียงมันไม่ได้เลย
“เอาเถอะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมึงจะพาน้องเขากลับมายังไง ไม่ว่าเขาจะจากไปด้วยเหตุผลแบบไหนมึงก็จะพาเขากลับมาให้ได้ใช่ไหมล่ะ”
นิลพูดโดยพร้อมกันนั้นก็หันกลับมามองหน้าคณิตอีกครั้ง เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคนที่อยากได้ยินคำตอบนั้นจากปากของคนที่เคยพลาดไป
“ใช่...ไม่ว่าจะต้องทำยังไงกูก็จะพาปูนกลับมา”
แค่นั้นก็เพียงพอ คำพูดของคณิตไม่ต่างอะไรกับการคำสั่งว่า...ไม่ว่ายังไงแผนการในวันนี้จะต้องสำเร็จ เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ฤทธิชาติทรมานคณิตนั้นไม่ได้ถูกทิ้งให้สูญเปล่า นายตำรวจหนุ่มใช้เส้นสายของตัวเองสืบประวัติไปจนพบว่าลุงของปูนทำงานอยู่ที่บริษัทรับเหมาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่บริษัทแห่งนั้นกำลังจะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทรับก่อสร้างบ้านที่สักวันขิงจะก้าวขึ้นมาควบคุมดูแล แต่ความจริงแค่นั้นก็ไม่อาจสร้างปาฏิหาริย์ใดๆได้ พวกเขาต้องใช้เวลาคิดหาแผนการกันอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งความคิดของโต้งถูกเสนอขึ้น
“จำเอาไว้นะไอ้นิด มึงห้ามแสดงตัวออกมาไม่ว่ามึงจะเจอน้องหรือไอ้ลุงนั่น มึงต้องรอแล้วปล่อยให้ไอ้ขิงจัดการทุกอย่างก่อน เข้าใจไหม”
“กูว่ากูเข้าไปหาปูนเลยไม่ดีกว่าหรอวะ ทำไมต้องรอขิงมันด้วย”
“ก็เพราะว่าลุงของปูนไม่รู้จักพวกกูไง จริงอยู่ที่มึงปลอมตัวได้ แต่ของพวกนี้มันไม่มีทางปกปิดตัวตนที่แท้จริงของมึงได้ตลอดแน่นอน โดยเฉพาะการกระทำของมึงที่อาจจะทำให้ฝ่ายนั้นไหวตัวทัน”
“...”
“กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงน้อง แต่ลุงของปูนคงจะกำลังระวังมึงอยู่แน่ๆ อย่าลืมนะไอ้นิดถ้าหากมึงพลาด...ทุกอย่างอาจจะแย่ลงและคนที่ต้องรับผลกระทบจากมันก็คือปูนไม่ใช่พวกเรา เชื่อใจเพื่อนมึงเถอะ ถึงจะบ้าๆบวมๆไปบ้างแต่พอถึงเวลาขิงมันก็ไว้ใจได้ ดูสิ ขนาดตอนที่มันไปบอกพ่อว่าจะเข้าร่วมงานสัมมนานี้ด้วยพ่อมันยังดีใจจนแทบจะร้องไห้เลยนะ”
“ไอ้เชี้ยโต้ง มึงสิบ้า! อย่ามาล้อพ่อกูนะ!”
การจิกกัดกันไปมาระหว่างโต้งกับขิงเริ่มต้นขึ้นทำให้บรรยากาศหนักๆที่คณิตกำลังแบกรับไว้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่มันก็ยังคงหนักหนาเสียจนนิลที่เฝ้ามองอยู่ลุกขึ้นมาบีบไหล่ของเพื่อนเบาๆเพื่อให้กำลังใจ
“ทำใจให้สบายเถอะ ระหว่างรอก็ถือโอกาสมองเด็กคนนั้นให้เต็มที่แล้วคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่มึงอยากทำเพื่อมันคืออะไรกันแน่แล้วกัน”
แล้วก็เป็นอย่างที่นิลว่าคณิตได้ใช้เวลาอยู่หลายช่วงโมงไปกับการมองใบหน้าซูบซีดของคนรักที่ห่างกันไปเพียงไม่กี่วันแต่ร่างสูงกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กผู้ชายคนนี้เลย...ร่างกายของปูนผอมลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งเมื่อเป็นคนตัวเล็กอยู่แล้วจึงทำให้ปูนแทบจะกลืนหายไปกับผ้าม่านเวลาร่างเล็กๆนั่นเอาแต่ยืนพิงกำแพงแล้วเหม่อมองไปไกลๆ ดวงตาที่เคยสุกสกาวหม่นแสงลงทั้งที่ยังคงยิ้มได้มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกแห้งแล้งจนคณิตอดใจไม่ไหว...เผลอเดินเข้าไปหาแล้วพูดกับปูนด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเพราะความตื่นเต้น
“ขอโทษนะครับ เครื่องดื่มนี่...ผมกินได้รึเปล่า”
ตอนแรกคณิตแทบอยากจะกลั้นใจตาย แต่ดูเหมือนว่าเสียงที่เปล่งออกไปเพราะความไม่ตั้งใจนี้จะดึงดูดความสนใจจนทำให้ปูนยอมหันมาหาเขาได้ ทันทีที่ดวงตาสองคู่ได้สบกับ ความคิดถึงที่ถูกเก็บไว้ข้างในก็ล้นทะลักออกมาจนคณิตต้องพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ตรงเข้าไปคว้าปูนมากอดไว้
เขามองปูนด้วยความรักแต่ปูนคงมองไม่เห็นเพราะดวงตาหม่นๆคู่นั้นดูอ้างว้างและเจ็บปวดจนคณิตรู้สึกสะท้อนใจ...เขาอยากพาปูนออกไปจากที่นี่...ไปไหนก็ได้เพื่อไม่ต้องเจอคนใจร้าย แต่เขากลับทำได้เพียงแค่...อดทน
“เชิญครับ อยากให้ผมรินให้ไหม”
คณิตพยักหน้าแล้วชี้ไปยังอ่างเครื่องดื่มสีสวยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเป็นฝีมือของปูนแน่ๆ
“ผมขอแบบนี้แก้วหนึ่งครับ”
ใบหน้าน่ารักที่คณิตหลงใหลมุ่ยลงเหมือนกับรู้สึกไม่พอใจบางอย่าง แล้วจู่ๆปูนก็เดินหายไปจากงานจนคณิตตกใจว่าเขาทำอะไรพลาดไปรึเปล่า
“นี่ครับ”
แต่ไม่ใช่...ปูนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำมะนาวอุ่นๆที่ส่งกลิ่นหอมจนคณิตรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันตา สงสัยปูนจะเข้าใจผิดว่าเขาป่วยถึงได้ลงทุนไปทำมันมาให้ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด
“ให้ตายสิ...ในเวลาแบบนี้ยังรู้สึกหึงได้อีกนะ”
คณิตยิ้มให้กับแก้วชาในมือและความคิดบ้าๆของตัวเองที่ดันเผลอหวงแหนความอ่อนโยนของปูนที่มอบให้แขกเฉิ่มๆคนนี้จนทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ คณิตที่แท้จริงแล้วร่างกายแข็งแรงดียกความหวังดีของปูนขึ้นจิบช้าๆแล้วพยายามซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ให้ได้มากที่สุด คณิตเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นปูนได้อย่างชัดเจน แล้วลอบสังเกตความเป็นไปของคนรักโดยไม่คิดจะรบกวนปูนอีก แต่แล้วสุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยการที่เขาอดใจไม่ไหวต้องลุกไปขอน้ำมะนาวจากปูนใหม่ถึงสองรอบแม้ว่าจะถูกร่างเล็กมองมาด้วยสายตาแปลกๆก็ตาม แต่แค่ปูนมีเขาอยู่ในสายตา...นั่นก็ดีแล้ว
หลังจากน้ำมะนาวแก้วที่สามหมดลงไปไม่นาน งานสัมมนาที่ยาวนานก็จบลงเสียที คณิตมองปูนอย่างไม่อยากจะจากไปแต่ก็จำเป็นต้องหลบมาหาขิงเพื่อนัดแนะกันถึงแผนการที่คิดจะทำ
“เป็นไง เจอน้องไหมวะ”
ขิงถามทันทีที่เห็นหน้าคณิตจนร่างสูงต้องดึงแก้มที่แอบมีคราบน้ำลายติดของมันเพราะความหมั่นไส้ สถานการณ์เครียดแทบตาย มันยังหลับลงอีกนะ
“เจอ แต่ปูนจำกูไม่ได้ว่ะ”
“จำได้ก็แปลกแล้ว ว่าแต่พวกมึงได้คุยกันไหม”
“อืม ถึงจะไม่มากก็เถอะ แล้วมึงจะเอายังไง คิดไว้รึยังว่าจะพูดยังไงให้กูได้ปูนกลับคืนมา”
“ยัง”
“อ้าว!”
“แต่กูโชคดีว่ะ พ่อกูบอกว่าถ้าตอนทำงานหน้าที่กูต้องโคกับไอ้ลุงนั่น กูว่าอีกสักพักทางนั้นคงตามให้กูไปทำความรู้จักกับมัน มึงก็คอยเดินตามกูไว้พอได้จังหวะกูจะพยายามกันมันให้ออกห่างจากปูนเอง”
แม้จะฟังดูลวกๆและฉุกละหุกมากไปหน่อยแต่ก็พอเข้าท่า คณิตและขิงจึงเดินมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเห็นบูธของปูนได้ถนัดพวกเขาจึงเห็นภาพการพูดคุยของสองลุงหลานที่หากมองด้วยสายตาแทบจะไม่พบความผิดปกติใดๆ ยิ่งนานไปคณิตก็ยิ่งร้อนใจ เขาอยากจะเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วคอยฟังว่าสองคนนั้นกำลังคุยเรื่องอะไรกัน ผู้ชายคนนั้นยังทำร้ายปูนอยู่ไหม หรือกาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปไม่เลวร้ายอย่างที่เขากลัว แต่คณิตก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ รอ รอ...แล้วก็รอ จนกระทั่งโอกาสนั้นมาถึง
“สวัสดีครับ ผมตฤณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
ปูนหน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังแนะนำตัวเองอยู่คือใคร ชื่อของขิงถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับอาการหันไปมองรอบๆราวกับต้องการหาอะไรบางอย่างซึ่งคณิตมั่นใจว่าคนที่ปูนต้องการจะพบคือเขาไม่ผิดแน่
“อ้าวปูน เรารู้จักพี่เขาด้วยหรอ”
เจ้าของบริษัทผู้ซึ่งเป็นนายของวิทยาถามขึ้นเมื่อตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ยินว่าปูนเพิ่งเรียกชื่อเล่นของคุณตฤณออกมาทั้งๆที่ยังไม่มีใครบอก และแน่นอนว่าวิทยาก็ได้ยินมันด้วยเช่นกัน
“เอ่อ...คือ...”
“ปูนเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยน่ะครับ เคยคุยกันอยู่สองสามครั้ง”
ขิงชิงตอบแทนเพื่อแก้สถานการณ์ แต่เจ้าของบริษัทคนนั้นกลับทำหน้างงในขณะที่คณิตแทบจะถลาไปอุดปากเพื่อนแต่ก็ไม่ทัน
“เอ๋...แต่คุณตฤณกับปูนอายุต่างกันพอสมควรเลยนะครับ ปีนี้หลานน่าจะอยู่สักปีสามปีสี่เองใช่ไหมวิทย์”
“ครับ”
ชิบหาย...ชิบหายแน่ๆ ขิงแอบหันมามองหน้าคณิตเพื่อขอความช่วยเหลือเพราะดันทำพลาดไปและเพราะอย่างนั้นเลยทำให้ลุงของปูนหันมาจ้องทางนี้ทางขิงตาเป็นมันด้วยสายตาที่จับผิดและคาดคั้นจนคณิตรู้สึกได้ ส่วนปูนเองก็มีสีหน้ากระวนกระวายใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“อ่อ ได้เจอกันตอนผมกลับไปเยี่ยมที่นั่นน่ะครับ! แล้วปูนก็เป็นรุ่นน้องของรุ่นน้องผมอีกที ใช่ไหมปูน ฮ่าๆ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครช่วยเขาได้ขิงเลยต้องใช้วิธีแถหน้าตายทั้งๆที่เขากับปูนเรียนอยู่กันคนละคณะคนละมหาลัยด้วยซ้ำ ร่างเล็กหัวเราะตามแฮะๆแม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากนัก แต่ถือว่ายังโชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างขิงกับปูนไม่ได้มีผลต่อธุรกิจสักเท่าไหร่ เจ้าของบริษัทที่พาขิงมาแนะนำจึงเปลี่ยนไปคุยเกี่ยวกับการทำงานที่กำลังจะเกิดขึ้นแทน...แต่มันกลับใช้ไม่ได้ผลกับวิทยาเพราะถึงแม้จะได้ยินอย่างนั้นชายที่ผ่านโลกมามากก็ยังคงจ้องมาที่ปูนอย่างคาดโทษจนร่างเล็กเลือกที่จะเดินออกมาซึ่งนั่นก็กลายมาเป็นโอกาสที่คณิตต้องคว้าเอาไว้ให้ได้
“คุณครับ”
ปูนที่กำลังจะเดินไปยังบูธอื่นหยุดนิ่งแล้วหันมามองชายที่มาขอเครื่องดื่มกับเขาเมื่อตอนบ่าย...มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ เขาไม่ทันได้สังเกตเลย
“คือ...คุณตฤณเขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณ”
ชื่อจริงของขิงถูกยกมาอ้างอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เจ้าของมันก็กำลังใช้ความพยายามอย่างมากที่จะชวนวิทยาคุยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาขัดปูนกับคณิตได้ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...ปูนก็ยังคงมองชายแปลกหน้าคนนี้ด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ จนคณิตสามารถตระหนักได้เองว่า...ปูนหวาดระแวงมากจริงๆ
“พี่ขิงงั้นหรอ...”
“ครับ...เรามีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
“เรา?”
ร่างเล็กทวนคำอย่างไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบเขาก็ถูกชายแปลกหน้าช่วงชิงฝ่ามือนุ่มนั่นมาจับไว้แล้วออกแรงลากไปด้านนอกงานอย่างถือวิสาสะ ด้วยความตกใจปูนจึงพยายามขัดขืนแต่มีหรือที่แรงคนตัวเล็กๆอย่างเขาจะไปสู้อะไรกับคนตัวโตอย่างนี้ได้
“ปล่อยสิ! นี่ ปล่อยผมนะ!”
“อยู่นิ่งๆก่อนได้ไหม เดี๋ยวเขาก็เห็นเข้าหรอก”
“ใครเห็น แต่เดี๋ยวนะ เสียงคุณมัน!!?”
:t3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :t3:
-
พอเดินพ้นส่วนของงานออกมา เสียงจอแจก็พลันเงียบลงจนปูนสามารถได้ยินสิ่งที่ชายคนนี้พูดได้ชัดเจนขึ้น ความแหบสั่นอย่างคนไม่สบายหายไป ไม่สิ ต่อให้หมอนี่ฟาดน้ำมะนาวไปสามแก้วก็ใช่ว่าจะหายได้เร็วขนาดนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น...ความนุ่มนวลที่คุ้นเคยนี้กำลังปลุกเร้าความรู้สึกบางอย่างในใจของปูนขึ้นมา
“มาทางนี้”
พอได้ฟังอีกครั้งปูนก็มั่นใจ...ใช่...ใช่จริงๆด้วย มันคือเสียงของคนที่เขาอยากได้ยินมันมาตลอด ดวงตาติดเศร้าของปูนเริ่มมีน้ำตาคลอ ริมฝีปากที่ขยับพูดมาตลอดทางปิดลงแล้วเปลี่ยนเป็นขบเม้มเหมือนกับคนที่อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ได้ คณิตไม่ได้หันกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นอาการที่เปลี่ยนไปก็ทำให้เขารู้ว่าคนที่เขากำลังจูงมืออยู่นี่คงจะรู้ตัวแล้วคนที่ตัวเองแสดงน้ำใจให้แท้จริงนั้นเป็นใคร คณิตจึงตัดสินใจกอบกุมมือของปูนให้แน่นขึ้นจนเขารู้สึกได้ถึงแรงสูบฉีดในตัวปูนที่เร่งเร้าและรุนแรงไม่ต่างกัน
เท้าสองคู่หยุดลงตรงลานจอดรถของบริษัทที่หากไม่มีแสงไฟสีส้มที่ส่องมาจากที่ไกลๆแล้วทุกอย่างก็แทบจะตกอยู่ในความมืด แต่นั่นก็เป็นเพียงในสายตาของคณิตเพราะสำหรับปูนที่ถูกคนตัวสูงคว้าเข้ามากอดไว้จนแน่นนั้นมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา แม้จะรู้ว่าทุกวินาทีมีค่า แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้นคณิตจึงไม่ลังเลใจที่จะใช้มันไปกับการรู้สึกถึงชีวิตและลมหายใจของคนในอ้อมแขนให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ปูนซึ่งมีเรื่องมากมายอยากจะพูดและอยากจะถามแต่แค่เพียงเขาได้ตกอยู่ในอ้อมแขนของคนคนนี้ร่างเล็กก็แทบจะลืมวิธีการเอื้อนเอ่ยวาจา
“คิดถึง...”
ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ข้างในถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดคำแรกที่พวกเขามอบให้กันหลังจากที่ตกอยู่ในความเงียบมาสักพัก ริมฝีปากของคณิตพรมจูบตามขมับและหน้าผากของปูนอย่างรักใคร แต่นอกเหนือกว่านั้นคือความกังวลใจเพราะเมื่อได้มาอยู่ใกล้ๆกันอย่างนี้แล้วคณิตก็เห็นได้ชัดเลยว่าปูนของเขาผอมลงไปมากจริงๆ
“เธอสบายดีไหม เจ็บปวดตรงไหนรึเปล่า”
“...”
“ทำไมไม่ยอมกินข้าว ผอมไปหมดแล้วเห็นไหม”
“ผม...กินนะ”
“แค่นั้นมันไม่พอ...คนคนนั้นดูแลเธอได้ดีไม่เท่าฉันหรอกใช่ไหม”
ปูนหลบตาคณิต แม้จะอยู่ในรูปลักษณ์แปลกตาแต่พอได้สบกับดวงตาคู่นั้นปูนก็รู้สึกถึงความห่วงใยของอีกฝ่ายจนเขาต้องหลีกเลี่ยงมัน ร่างสูงลูบใบหน้าของปูนด้วยความรักก่อนจะเลื่อนมือไปยังแขนเสื้อเชิ้ตที่ถูกกลัดกระดุมอย่างเรียบร้อยจนกระทั่งเขาปลดมันออกทั้งสองข้างจนเผยให้เห็นความเจ็บปวดของปูนที่ถูกตราตรึงไว้บนร่างกายเต็มไปหมด
“เขามันไม่ใช่คน”
คณิตเคยคิดว่าการถูกปูนบอกลาเป็นความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดแล้วที่เขาเคยเผชิญมา แต่มันกลับเทียบไม่ได้เลยกับการต้องมาเห็นว่าคนที่เขารักนั้นถูกกระทำอย่างไร ร่างสูงได้แต่กล่าวโทษตัวเอง...เป็นเพราะเขา...มันเป็นเพราะเขาใช่ไหม...ที่อ่อนแอและไร้กำลังเกินกว่าจะปกป้องใครได้
“เขาเป็นคนครับ แล้วก็เป็นลุงของผมด้วย”
“ปูน...”
“ตำรวจนั่นคงเล่าให้คุณฟังแล้วใช่ไหม ว่าลุงของผมเป็นคนยังไง แล้วทำไมทั้งๆที่รู้...ทำไมคุณถึงยังมาที่นี่ล่ะครับ”
“ยังต้องถามอีกหรอว่าทำไม...
คณิตมองคนที่เพิ่งพูดเรื่องโง่เง่าที่สุดออกมา เขาลูบความบอบช้ำของปูนเบาๆด้วยสองมือของตัวเอง แล้วจึงพูดสิ่งที่เขารู้สึก...สิ่งที่เขาอยากบอกปูนมาตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
“ขอโทษนะ ที่ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอต้องพยายามแค่ไหนถึงจะยิ้มออกมาได้ ขอโทษ...ที่ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยพยายามจะรับฟังเธอจริงๆสักครั้ง”
“...!!”
“และฉันก็อยากขอบคุณเธอ ทั้งๆที่ฉันไม่ใช่คนที่เข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้แต่เธอก็ยังอยู่ด้วยกันมาตลอด...ขอบคุณนะปูน ได้โปรด...กลับมาอยู่ด้วยกันนะ”
เพราะคำว่าขอบคุณทำให้ปูนต้องหันกลับมาสบตากับคนที่แสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดอย่างไม่คิดปิดบัง ทั้งความอ่อนแอ หวั่นไหว และความอ่อนโยนที่ไม่ต่างไปเลยจากวันแรกที่พวกเขาได้พบ ได้รู้จัก และได้รักกัน...มันทำให้ปูนอยากลืมทุกอย่างแล้วกลับไปยืนเคียงข้างคณิต แต่ว่า...
“กลับไปเถอะครับ ผมคงจะกลับไปกับคุณไม่ได้”
คำพูดของปูนเป็นยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดที่กระแทกลงกลางใจของคณิตที่ไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนั้นจะออกมาจากปากคนตรงหน้า รอยช้ำบนร่างกายของปูนยังไม่จางลงไปด้วยซ้ำ แล้วทำไมล่ะ...ทำไมปูนถึงยังยืนยันที่จะอยู่กับคนที่สร้างมันขึ้นมา...คนที่ไม่ใช่เขา
“ทำไม...”
“อย่างที่บอกครับ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร คนคนนั้นก็ยังเป็นลุงของผม”
“โกหก ถ้าเธอคิดอย่างนั้นจริงเธอคงไม่หนีมาตั้งแต่แรก”
คณิตเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง เขาไม่หลงเชื่อคำพูดของปูนแม้แต่น้อย แต่ร่างเล็กก็ยังคงยืนยันมันอย่างหนักแน่น
“นั่นมันตอนนั้นครับ...ผมกับลุงปรับความเข้าใจกันแล้ว จริงอยู่ที่เขาทำร้ายผมแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ลุงวิทย์ไม่สมควรได้รับการให้อภัย”
ปูนพูดแล้วยิ้มให้คนที่ตัวเองรัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดันมือของคณิตออกไปจนร่างสูงไม่อาจเอื้อมคว้าตัวเขาได้อีก
“ถึงแม้จะยังไม่ใช่ทั้งหมด...แต่ผมก็หวังว่าสักวันผมจะอยู่ร่วมกับเขาได้ เขาเป็นครอบครัว เป็นญาติเพียงไม่กี่คนของผมที่ยังเหลืออยู่...เขาเป็นคนสำคัญที่ไม่ว่ายังไงผมก็ทิ้งพวกเขาไปไม่ได้”
“แล้วฉันล่ะ...ฉันไม่สำคัญกับเธออีกแล้วหรอปูน”
คำถามที่คล้ายกับคำอ้อนวอน ว่าได้โปรดมองมาทางนี้แล้วบอกกันอีกทีว่าคณิตยังเป็นคนสำคัญของปูนอยู่ หากแต่ปูนกลับทำเพียงยกยิ้มให้ซึ่งมันช่างดูแห้งแล้งเสียจนเขาอยากร้องไห้
“ขอโทษนะครับที่ต้องผิดสัญญา แต่ว่าได้โปรด...ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีผมเถอะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
บรรยากาศบนรถเงียบเชียบมีแต่เพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศและเสียงล้อที่บดไปตามพื้นถนนเท่านั้นที่ทำให้ปูนรู้สึกว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่...มีชีวิตทั้งที่ความรู้สึกส่วนลึกกำลังตายลงอย่างช้าๆ ด้วยน้ำมือและวาจาแสนร้ายกาจที่ไม่ต่างอะไรกับยาพิษนั่น
“ผู้ชายคนนั้น เป็นพวกของมันใช่ไหม”
วิทยาที่กำลังขับรถพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองหลานชาย ไม่ต่างจากปูนที่ไม่คิดจะหันมามองหน้าคู่สนทนาเพื่อรักษามารยาท
“พวกมันไหนล่ะครับ”
“หึ ก็ผัวแกคนล่าสุดไง มันไปแอบอยู่ตรงไหนของงานล่ะ”
ปูนยิ้มหยันให้คนที่ทำตัวเหมือนจะฉลาดโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ตัวเองพูดถึงได้มายืนประชิดตัวเขาต่อหน้าต่อตาด้วยซ้ำ
“ไม่รู้สิครับ ผมไม่เห็นได้เจอใครเลย”
“โกหก ถ้าแกไม่ได้เจอมันแกคงไม่ทำท่าซังกะตายแบบนี้หรอกจริงไหม ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่ามันมาขอให้แกกลับไปอยู่ด้วย”
ร่างเล็กไม่ได้ตอบ แต่การทำอย่างนั้นก็ยืนยันว่าสิ่งที่วิทยาพูดนั้นถูกต้องชายผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอ่อนโยนสุขุมหากแต่ข้างในกลับดำมืดหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้นั้นเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เคยได้ยิน
“ฮ่าๆ แล้วมันก็เชื่อฟังแกสินะ ผิดจากที่ฉันพูดไว้ไหมล่ะ ว่าผู้ชายพวกนั้นไม่ได้รักแกจริงหรอก เหมือนกับแฟนคนก่อนของแกไง เจ้ารัตติกาลอะไรนั่น”
ปูนไม่ได้โต้ตอบให้ลุงของตนรู้สึกสะใจไปมากกว่านี้ เขาทำเพียงแค่ปฏิเสธอยู่ในใจว่าระหว่างคณิตกับรัตติกาลนั้นไม่เหมือนกัน...สำหรับเขาไม่มีใครสามารถเหมือนหรือแทนคณิตได้อีกแล้ว
“แต่จะว่าไปก็น่าเสียดายนะ ถ้าแกยอมไปกับมันรูปพวกนั้นคงจะได้ถูกตีพิมพ์ไปทั่วประเทศ”
“...!!”
ชายแก่ยิ้มเยาะ เป็นอย่างที่คาดว่าหากเขาพูดถึงรูปถ่ายที่ตัวเองครอบครองอยู่หลานชายคนนี้คงจะอยู่ไม่สุขซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้น คิดไม่ผิดจริงๆที่ยอมเสียเงินจ้างนักสืบมือดีให้ตามถ่ายรูปการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเฉกเช่นคู่รักของชายหนุ่มทายาทโรงแรมดังกับเด็กผู้ชายซึ่งมีประวัติโชกโชนจนน่าขำ
“ลุงบอกว่าถ้าหากผมยอมกลับบ้านลุงจะทิ้งมัน!”
“หึ แกคงไม่คิดว่าฉันจะโง่ทำลายอาวุธของตัวเองหรอกใช่ไหม”
ปูนกัดฟันจนสันกรามขึ้นเห็นชัด เขาเกลียดชังในความสับปรัปของคนตรงหน้าที่ถูกเก็บซ่อนมาตลอดเวลาหลายปีที่รู้จักกัน หากตอนที่แม่กับพ่อตายปูนรู้และมีสิทธิเลือกได้เขาสาบายว่าจะไม่มีทางยอมมาอยู่กับชายคนนี้...ชายคนที่เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก
“จำเอาไว้ว่าสิ่งที่แกต้องทำคืออยู่ให้ห่างจากคนพวกนั้น เชื่อฟังฉัน แล้วอย่าได้คิดหนีไปไหนอีก”
“ลุงจะบ้ารึไง ลุงขังผมไว้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
รถญี่ปุ่นคันเล็กเหยียบเบรกกะทันหันจนหัวของปูนเกือบกระแทกคอนโซลข้างหน้า เด็กหนุ่มเตรียมจะหันกลับมาโวยวายแต่สิ่งที่รอเขาอยู่คือใบหน้าของลุงแท้ๆที่เคลื่อนเข้ามาจนเกือบจะแนบชิดกัน
“ได้สิ ทำไมฉันจะทำไม่ได้...ตอนนั้นฉันแค่พลาดไป แต่ฉันจะไม่มีวันทำพลาดอีกแล้ว”
“ละ ลุง ถอย...ถอยออกไปนะ”
“แกจะไปจากฉันไม่ได้ปูน ไม่มีวัน...เพราะแกเป็นของฉัน”
ของฉันคนเดียวเท่านั้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
งวดนี้มาดึกคับ หุหุ ตอนที่แล้วแอบขำ มีแต่คนลืมพี่ขิง โถ่ๆ ไม่รู้จะสงสารหรืออะไรดี55555 :hao7:
#ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ
-
:m16:ปูนกะลุง!!!
ไม่น่ะ อดีตอันเลวร้ายยและปัจจุบันอันน่ากลัว
-
โอ้ยอยากโดดตบอิลุง
-
เยดแหม่!!?!????!!!!!?!
ตกลงว่าลุงมองปูนเป็นสมบัติส่วนตัวสินะ
อารมณ์คงแบบว่า "ฉันเลี้ยงดูแกมา ชีวิตแกเป็นของฉัน!" อะไรประมาณนั้น
-
กลัวว่าอีเห้นั่นจะทำอะไรปูน ฮืออออออ ปูนไปไม่ได้เพราะอีเห้มันแบล็กเมล์อะป๋าาาาา TT อยาก :z6: อิเห้นั่น ป๋ามาถล่มอีลุงไวๆนะ ตายๆไปเลย!!! :katai1:
-
นี่เคยแอบคิดว่าอิลุงนี่ต้องชอบปูนแน่ๆๆ คือมันจริงหรออิลุงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง แกต้องไม่ตายดีแน่ เกลียดดดดดดดดด #อินจัด
-
อิลุงนี่มันจะร้ายไปถึงไหนกันนะ
ยังไม่หมดกรรมสินะน้องปูนกะป๋า :mew6:
-
ลุงโรคจิตอะ สงสารปูนกับคณิต :hao5: :hao5:
-
อยากจะตบอีลุงจริงๆที่คิดเอาไว้ว่าลุงมันทำอะไรปูนนี่ถูกใช่มั้ย
-
กะแล้วว่าต้องเป็นงี้ แต่อย่าให้มันเลวร้ายไปกว่านี้เลยนะ :serius2:
-
กะแล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้ลุงโรคจิตตัณหากลับ :m31:
-
ลุงของปูนนี่เข้าขั้นโรคจิต ชีวิตคนหนึ่งคนจะไปเป็นของอีกคนได้ยังไง ขออย่าให้คณิตยอมแพ้แค่นี้เลยนะ เชียร์ให้ปูนหลุดพ้นจากเรื่องไม่ดีสักที รออ่านนะคะ
-
ลุงแม่งโรคจิตสัดๆ :z10:
-
ลุงน่ากลัวเกินล่ะ
อย่าอยู่ใกล้เลยคนแบบนี้
-
สงสารปูนTT พี่นิตต้องช่วยปูนนะ
เกลียดลุงชั่วจริงๆ
-
เหยดดด อิลุงเหี้ยนี่โคตรโรคจิตหว่ะ
-
มาเอาใจช่วยน้องปูน
-
แตกที่ 38
…แตกสลาย...
บรรยากาศมาคุแบบที่ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่ที่สี่หนุ่มกำลังนั่งอยู่คือคลับดังแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ขิงที่เริ่มวางตัวไม่ถูกมองหน้าเพื่อนอีกสองคนอย่างนิลและโต้งไปมาแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ทั้งๆที่คนที่ชวนพวกเขาออกมาดื่มอย่างคณิตแทบจะจมขวดเหล้าตายอยู่แล้ว
กว่าจะปลีกตัวออกมาจากคนพวกนั้นได้ขิงก็ปั้นยิ้มจนเมื่อยหน้า แต่แทนที่เขาจะได้สบายใจเพราะแผนการสำเร็จ สิ่งที่รอขิงอยู่กลับเป็นคณิตที่ทำหน้าเหมือนกับว่าโลกถล่มลงมาแล้วทั้งใบ ไม่มีใครกล้าถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นและปูนที่ควรจะยืนยิ้มอยู่ข้างคณิตนั้นหายไปไหน...เพราะทุกคนต่างก็เดาออกว่าสิ่งที่คณิตไขว่คว้ามาได้คงเป็นเพียงความผิดหวังจากคนที่รักเท่านั้น
“มึง ห้ามช่วยห้ามมันหน่อยดิวะ เมาจะตายห่าแล้วเนี่ย”
ขิงบอกกับนิลที่ไม่ได้ดื่มเหมือนคนอื่นหากแต่ดวงตาซุกซนนั่นก็ยังคงมองไปรอบๆเหมือนกับคนที่ไม่มีพันธะใดๆ นิลถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เขาหันมามองสภาพของคณิตเล็กน้อยแล้วแบะปากก่อนจะตอบขิงไปด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
“เรื่องของมันดิ อยากแดกก็แดกไป”
“ไอ้เชี้ยนิล ทำไมมึงพูดแบบนี้ว่ะ เพื่อนกำลังอกหักอยู่นะเว้ย”
“พอน่าขิง ตอนนี้ต่อให้นิลไปห้ามคณิตมันก็ไม่ฟังหรอก”
โต้งปรามเพื่อนทั้งสองคน ไม่สิ ต้องบอกว่าปรามขิงคนเดียวเสียมากกว่า เขาเดินเข้าไปกอดคอคนที่อ่อนไหวที่สุดในกลุ่มแล้วลากมันให้มานั่งข้างๆกันจะได้ไม่ไปหาเรื่องกัดกับนิลที่ถึงแม้จะทำตัวนิ่งๆแต่โต้งก็พอดูออกว่าอีกฝ่ายก็เป็นห่วงคณิตเหมือนกันกับพวกเขา
หลังจากขิงโดนโต้งลากไป นิลจึงมีสามารถหันมามองสภาพของคณิตได้อย่างเต็มตา เมคอัพต่างๆหลุดออกไปเกือบหมดแล้วแต่เขากลับรู้สึกว่าใบหน้าหล่อเหล่าที่เศร้าสร้อยของคณิตตอนนี้เทียบไม่ได้เลยกับหน้าตาเฉิ่มๆที่เต็มไปด้วยความสุขยามที่ได้พบคนที่ตัวเองรัก
“นิล”
คนที่เหมือนจะเมาพับไปแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ที่แทบจะฟังไม่ออก มีเพียงดวงตาแดงก่ำที่กำลังมองมาทางนี้เท่านั้นที่ทำให้นิลรู้ว่าคณิตยังพอมีสติอยู่
“ว่า?”
“ทำไมเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ”
คำถามที่ไม่ผิดคาดสักเท่าไหร่ถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับการกระดกแก้วที่มีเหล้าอยู่เต็มเปี่ยมลงคอไปราวกับว่าคณิตต้องการให้ความร้อนนั้นเผาผลาญความทรมานในอกนี้ให้หมด นิลมองหน้าเพื่อนแต่ไม่ได้ตอบอะไร เพราะเขารู้ว่าถึงปากจะเอ่ยถามแต่แท้จริงแล้วคณิตนั่นแหละคือคนที่ตระหนักที่สุดว่าเหตุผลที่เด็กคนนั้นเลือกที่จะจากไปคืออะไร
“กูแม่งอ่อนแอชิบหาย...แค่ปกป้องคนที่ตัวเองรักก็ยังทำไม่ได้ แถมยังเป็นภาระให้เขาอีก”
ใช่...ต่อให้ไม่มีใครพูดคณิตก็รู้ดีว่าเหตุผลของคำพูดปูนนั้นคืออะไร เพราะมันเป็นแบบนั้นมาตลอด เหมือนกับทุกๆครั้งที่ปูนเลือกจะปกปิดความเจ็บปวดของตัวเองไว้แล้วยิ้มออกมาเพื่อให้เขาสบายใจ...ปูนกำลังปกป้องเขาอยู่ ด้วยความสุขและอิสรภาพของตัวเอง
“มันก็ไม่แปลกไม่ใช่รึไง ถ้าเด็กนั่นรักมึงมันก็คงต้องทำแบบนั้น”
“กูรู้...แต่ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้นกูถึงรู้สึกว่ากูมันไม่คู่ควรกับเขาเลยว่ะ”
คณิตยิ้มหยันตัวเองยามนึกถึงคำพูดผ่านหูเกี่ยวกับความไม่เหมาะสมระหว่างเขาและปูน แม้จะเป็นกลุ่มพนักงานเพียงไม่กี่คนที่คิดแบบนั้นแต่ร่างสูงก็รับรู้ทุกอย่างแต่ไม่เคยเก็บมันมาใส่ใจ...คำพูดที่บอกว่าปูนไม่มีทางเป็นคนที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างสมภาคภูมิได้ หึ เอาอะไรมาตัดสินกันล่ะ
หากวัดแต่เปลือกน่ะใช่
แต่หากใช้หัวใจ...เขาเทียบกับปูนไม่ได้เลย
“น้ำเน่าไปอีกไอ้สัด ถ้าอกหักแล้วจะเพ้ออย่างนี้ก็แดกๆเหล้าไปจะได้หลับ กูขี้เกียจฟังมึงพล่าม”
“มึงแม่ง...ฟังกูหน่อยดิวะ กูจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“เรื่องอะไรกูต้องฟังต้องช่วยมึงด้วย ขนาดมึงยังไม่ยอมช่วยตัวเองเลย”
นิลพูดแล้วก็หัวเราะออกมา จนขิงกับโต้งที่แอบฟังเพื่อนสองคนคุยกันอยู่สะดุ้งเฮือก ผิดกับคณิตที่ยังคงนั่งนิ่งหากแต่มือทั้งสองข้างกำลังกำกันแน่น
“รู้ทั้งรู้ว่าเด็กนั่นทำไปเพื่อปกป้องมึง แต่แทนที่มึงจะเอาเวลามานั่งคิดว่าจะทำยังไงต่อไปเสือกมานั่งแดกเหล้าแล้วเพ้อว่ารักมันอย่างนั้นรักมันอย่างนี้ หึ พล่ามไปเหอะไอ้สัด ตอนที่มึงนั่งพล่ามอยู่เด็กนั่นจะโดนทำอะไรบ้างก็ไม่รู้”
“...!!”
“ถ้าพูดขนาดนี้แล้วยังคิดไม่ได้อีกก็เอาเถอะ ถือซะว่าเด็กนั่นมันมีกรรมแล้วกัน เจอคนเหี้ยๆอย่างไอ้กาลยังไม่พอ ดันมาเจอคนไม่เอาไหนอย่างมึงอีก”
ไม่พูดเปล่า วิสกี้เพียวๆถูกรินลงในแก้วของคณิตอย่างมีไมตรีก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปมองสาวสวยนุ่งสั้นโต๊ะข้างกันต่อไป โต้งยิ้มขำให้กับนิสัยของนิลที่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดก่อนจะหันมามองคณิตที่เอาแต่มองแก้วใบนั้น...หยิบมันขึ้นมา...แล้วเทกลับไปในถังน้ำแข็งเหมือนกับมันไม่มีค่า
“ขอโทษว่ะ กลับกันเถอะ พรุ่งนี้พวกมึงต้องทำงานแต่เช้า”
สุดท้ายแล้วสี่หนุ่มก็เดินออกมาจากคลับทั้งที่เพิ่งเข้าไปนั่งในนั้นได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีใครพูดบ่นอะไรแม้แต่ขิงที่เริ่มติดลมก่อนเพื่อน
“นิล กูหิวว่ะ แวะหาไรแดกก่อนได้ไหมวะ”
ขิงโน้มตัวมาเกาะเบาะคนขับที่มีนิลซึ่งไม่ได้ดื่มเลยแม้แต่แก้วเดียวรับหน้าที่เป็นสารถี โดยมีคณิตที่เริ่มจะสร่างเมานั่งอยู่ข้างๆ
“แดกมาในงานไม่พอรึไง”
“เออดิ ชิ้นแม่งเล็กเท่าสมองไอ้โต้ง”
“สมองมึงมากกว่ามั้ง”
โต้งที่นั่งหลับตาอยู่พูดขึ้น จนขิงที่คิดว่าเพื่อนหลับไปแล้วได้แต่หัวเราะแหะๆแล้วหันมาหานิลเพื่อขอคำตอบ แต่คณิตกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาแทน
“เลยไปอีกสี่ไฟแดงมีผัดไทยเจ้าอร่อยอยู่ ไปกินที่นั่นแล้วกัน”
“มึงเคยมากินหรอวะถึงรู้ว่าอร่อย”
“อืม ปูนเป็นคนแนะนำมาน่ะ”
ดราม่าได้อีก...ขิงพูดอยู่ในใจแต่ก็เชื่อว่าเพื่อนอีกสองคนก็คงคิดเหมือนๆกัน คณิตเอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง เขาคิดถึงช่วงเวลาสั้นๆที่เคยทำให้เขากับปูนขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ทั้งๆที่คิดย้อนไปแล้วตอนนั้นในหัวของร่างสูงไม่มีแม้แต่หนึ่งเปอร์เซ็นที่เป็นไปได้...เด็กผู้ชายกวนประสาทในตอนนั้นกลายมาเป็นคนที่ทำให้ใจเขาทุรนทุรายจนแทบตาย แต่คณิตก็ไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่า เขาไม่มีความสุขเลยกับความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดนี้
“นั่นมัน...”
ร้านอาหารกึ่งบาร์ที่คณิตเคยมากับปูนตอนนั้นปรากฏขึ้นในสายตาขณะที่นิลกำลังขับรถผ่านถนนเส้นเดิม แม้สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ไม่แม้แต่จะได้เดินเข้าไปข้างใน แต่สิ่งหนึ่งที่คณิตจำได้คือปฏิกิริยาของปูนที่มีต่อสถานที่แห่งนี้
“ร้านนี้มัน...ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นที่ทำงานเก่าของเด็กนั่น”
คณิตรีบหันไปหานิลซึ่งเป็นคนพูดความจริงที่น่าตกใจออกมา โชคดีที่จังหวะนี้รถของพวกเขากำลังติดไฟแดงจึงทำให้นิลสามารถละสายตาจากถนนแล้วหันมาเห็นร้านซึ่งเขาเคยแวะเวียนเข้าไปอยู่สองสามครั้ง
“มึงว่าอะไรนะ”
“ก็ร้านนี้ไง ไอ้กาลมันเล่าให้กูฟังว่ามันมาเจอกับเด็กมึงที่นี่”
“เฮ้ย!!”
ขิงกับโต้งร้องเฮ้ยขึ้นมาแทบจะพร้อมๆกัน เพราะทันทีที่นิลพูดจบ คณิตก็กระโจนเข้าใส่ร่างที่บางกว่าตัวเองเล็กน้อยแล้วเขย่าตัวเพื่อนไปมาอย่างบ้าคลั่ง
“มึงพูดจริงใช่ไหม แน่ใจรึเปล่าวะ!!”
“ไอ้เชี้ยนิดใจเย็นๆ มึงสองตัวจับมันไว้ที!”
นิลว่าก่อนจะตบไฟเลี้ยวแล้วขับรถเข้าไปจอดยังลานจอดรถของร้านที่ว่านั่น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถาม คนที่เริ่มสะกิดใจกับเรื่องราวต่างๆก็เล่าขึ้นมาเอง
“กูกับปูนเคยมาที่นี่ แต่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
คณิตถ่ายทอดเรื่องราวที่ตัวเองจำได้ทั้งหมดออกมาให้เพื่อนฟัง ว่าปูนมีท่าทางหวาดกลัวแค่ไหนในตอนนั้น ความจริงและข้อสันนิษฐานหลายๆอย่างถูกนำมาร้อยเรียงต่อกัน
“จากที่มึงเล่า กูว่าเด็กนั่นคงเคยมีอดีตที่ไม่น่าจำที่ร้านนี้ แล้วไหนจะไอ้ลูกค้าคนแรกที่ไอ้โต้งเล่าให้ฟังอีก มันชักจะยังไงๆแล้วนะ”
“กูก็ว่างั้น คือเอาจริงๆนะเว้ย เรื่องที่ปูนเคยขายตัวมาก่อนกูว่ามันแลดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยว่ะ ถ้าปูนโดนลุงของตัวเองทำร้ายเพราะคบกับไอ้กาลที่เป็นผู้ชาย แล้วทำไมปูนถึงต้องมาทำไซด์ไลน์ให้ลุงตัวเองโกรธกว่าเดิมวะ...ประชดงั้นหรอ กูว่าไม่ใช่ว่ะ แม่งต้องมีเหตุผลอื่นแน่ๆ”
ขิงพูดความคิดเห็นของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่โต้งจะพูดเสริมเข้าไปอีก
“กูเห็นด้วย ถ้าทนถูกทำร้ายร่างกายไม่ไหวแค่แจ้งความก็จบ ตอนที่เกิดเรื่องปูนก็ไม่ใช่ผู้เยาว์แล้ว ต่อให้ต้องตัดขาดจากครอบครัวนั้นปูนก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แล้วทำไมปูนถึงต้องเลือกทางที่ทำลายอนาคตของตัวเองแบบนี้ แล้วอีกอย่างถ้าอยากประชดจริงทำไมถึงต้องหนีมา เพราะการที่ปูนมาทำตัวเหลวแหลกแบบนี้ไอ้ลุงนั่นหรือแม้แต่ไอ้กาลก็ไม่ได้มารับรู้อะไรด้วยเลย”
คณิตคิดตามแล้วก็เห็นพ้องด้วย หากว่าเราอยากจะประชดให้เขารู้สึกเจ็บใจ เราก็ต้องคอยอยู่ใกล้ๆแล้วให้การกระทำพวกนั้นทำร้ายความรู้สึกของคนที่เราเกลียดไม่ใช่หรอ แต่นี่ปูนกลับหนีห่าง แล้วออกมาทำลายตัวเองในที่ที่ไม่มีใครเห็น
“ก่อนหน้าที่จะรู้เรื่องลุงนั่น กูคิดว่าเด็กนี่ทำไปเพื่อประชดไอ้กาล แต่ถ้าคิดแบบที่โต้งว่า ไม่ว่าจะปูนตั้งใจจะประชดใครมันก็ไกลจากความจริงทั้งนั้น”
นิลพูดในสิ่งที่ตัวเองเคยตั้งข้อสงสัย เขาหลับตาลงแล้วพยายามควานหาความจริงที่หายไปจากเรื่องราวเหล่านี้ แต่ก็ไม่พบ...มันคงถูกเก็บไว้อย่างดีอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ต้องมีสิเบาะแสที่ว่าน่ะ...หนทางที่จะชี้ไปยังที่ซ่อนของเรื่องราวทุกอย่าง
“หมอโต้ง...การที่คนเราจะทำร้ายตัวเองมันเกิดจากเหตุผลอะไรได้บ้าง”
โต้งขมวดคิ้ว เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาคณิตไม่เคยเรียกเขาแบบนี้สักครั้ง
“มันก็เป็นไปได้หลายอย่าง จะสรุปออกมาเป็นข้อๆก็ทำไม่ได้เพราะปัญหาของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้สรุปกว้างๆ ก็น่าจะเรียกได้ว่ามันเป็นภาวะที่คนเรารู้สึกว่า...เขารักตัวเองไม่ได้”
“...!!”
“ตามธรรมชาติมนุษย์ทุกคนจะรักตัวเอง และใช้ชีวิตเพื่อเติมเต็มความต้องการของตัวเองไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือจิตใจ แต่ถ้าเขาถูกกระทบด้วยบางสิ่งที่ทำให้จิตใจสั่นคลอนจนเกิดเป็นความไม่มั่นคง ทั้งความกลัว การรู้สึกว่าตัวเองไร้อำนาจ ความเดียวดาย หรือแม้แต่ความคิดที่ว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะมีความสุข ความรู้สึกพวกนี้ถ้ารู้สึกแค่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วหายไปก็ไม่เป็นไร แต่หากถูกทับถมมากๆเข้าจนร่างกายไม่สามารถจัดการกับมันได้ จนสุดท้ายจิตใจของเราก็ต้องเริ่มป้องกันตัวเอง...วิธีการลงโทษก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น”
‘ปูนเธอเคยคิดไหมว่าสักวันสิ่งที่เธอทำจะย้อนกลับมาทำลายตัวเอง’
‘คิดสิ...เพราะว่านั่นคือสิ่งที่ผมหวัง’
คำพูดของปูนลอยกลับเข้ามาพร้อมกับความสงสัยที่คงไม่มีใครให้คำตอบกับเขาได้...ความรู้สึกของคนที่เจ็บปวดจากการถูกทำร้ายแต่กลับเลือกที่จะหันคมมีดเข้าหาตัวเองแทนที่จะเป็นคนที่ทำมัน...ความรู้สึกตอนนั้นของปูนมันหนักหนาแค่ไหนคงไม่มีใครรู้
“คณิต...มึงอาจจะคิดว่าตัวเองอ่อนแอจนปกป้องปูนไม่ได้ แต่กูว่าสำหรับปูนแล้วมึงคือคนสำคัญที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากความรู้สึกเลวร้ายพวกนั้นได้...มึงทำให้คนที่ไม่แม้แต่จะกล้ารักตัวเองได้สัมผัสความรู้สึกนั้นอีกครั้ง ความสวยงามของความรักน่ะมึงเป็นคนสอนปูนเองนะ แล้วสุดท้ายวันนี้...เด็กคนนั้นก็เลือกที่จะปกป้องมึงด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมี มึงทำให้ปูนเปลี่ยนไปนะคณิต...และมึงก็เป็นคนเดียวที่จะช่วยปูนได้อีกครั้ง”
โต้งพูดพร้อมกับยิ้มให้รวมถึงเพื่อนอีกสองคนที่อยากจะให้กำลังใจทั้งคณิตที่อยู่ทางนี้และปูนที่คงกำลังพยายามทำตัวเข้มแข็งอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“ถึงกูจะยังไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ แต่ไม่ว่าอดีตของปูนจะเป็นยังไงเราก็ต้องไปช่วยใช่ไหมล่ะ”
“ก็นะ ต่อให้ปากจะไล่แต่เด็กนั่นคงกำลังรอมึงอยู่แน่ๆ”
นิลว่าด้วยท่าทางนิ่งๆอย่างเคยหากแต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มอยู่จางๆประดับไว้ เขาสตาร์ทแล้วทำให้รถเคลื่อนตัวอีกครั้งแต่ว่าจุดหมายของมันกลับถูกเปลี่ยนเป็นที่อื่นตามคำพูดของคณิต
“กูต้องกลับไปบางแสน ที่นั่นมีคนที่น่าจะให้คำตอบกูได้”
.
.
.
.
.
.
.
บาร์ของโรงแรมในยามเช้านั้นไร้ซึ่งแสงสีและความบันเทิงผิดกับช่วงเวลากลางคืน หากแต่ผู้บริหารอย่างเมษากลับโปรดปรานที่จะใช้เวลาว่างอันน้อยนิดของตัวเองอยู่ที่นี่แล้วดื่มด่ำกับความเงียบที่ทำให้ความเครียดและภาระมากมายที่ตนต้องแบกรับไว้ถูกยกออกไปแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ
“บอยมันมาทำงานรึยัง”
เมษาถามเลขาของตัวเองที่ไม่ต้องหันไปมองเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยืนอยู่ใกล้ๆซึ่งก็ไม่น่าผิดหวังเมื่อเขาได้คำตอบที่ต้องการรู้แทบจะทันที
“นายบดินทร์เริ่มกลับมาทำงานเมื่อวานครับ วันนี้มีเข้ากะตอนสิบโมง”
“งั้นหรอ ยอมกลับมาสักทีนะ หลังจากที่หายหน้าไปเป็นอาทิตย์”
เมษายิ้มกริ่ม หากแต่ดวงตากลับส่องแววโรจน์ออกมาจนเลขาคนสนิทต้องลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“คุณเมษาจะให้ผมจัดการตามขั้นตอนเลยไหมครับ”
“อืม แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นเรียกมันมาหาฉันก่อนแล้วกัน”
“ครับ”
คนของเมษาทำงานรวดเร็วเสมอและแน่นอนว่าเขาไม่ชอบข้อผิดพลาด ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ลังเลใจเลยสักนิดหากจะต้องลงโทษพนักงานชั้นดีอย่างบอยที่ถึงแม้จะเก่งแค่ไหนแต่ถ้าหากฝ่าฝืนกฎที่บริษัทตั้งไว้ต่อให้มีข้อแก้ตัวการลงโทษนั่นย่อมเกิดขึ้นอย่างเท่าเทียม
เมษาจิบกาแฟรออยู่ไม่นาน คนที่เขากำลังรออยู่ก็มาถึงที่หากแต่สิ่งที่ทำให้เมษาต้องขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ เห็นจะเป็นใบหน้าติดจะโทรมลงไปเล็กน้อยของคณิตที่กำลังเดินตามหลังบอยและเลขาของเขามาต่างหาก
“ไอ้เมษ กูขอยืมตัวลูกน้องมึงหน่อยนะ”
ไม่พูดเปล่าพอมาถึงคณิตก็คว้าหมับเข้าไปที่แขนของบอยแล้วออกแรงลากโดยไม่อยู่ฟังคำตอบรับหรือว่าปฏิเสธแต่ว่านั่นก็ไม่ไวพอ เมษาที่ไม่เข้าใจการกระทำนั้นก้าวยาวๆมาดักหน้าเพื่อนของตนไว้พร้อมกับตั้งคำถาม
“มึงจะเอาบอยไปไหน”
“กูมีเรื่องจะคุยกับเขา ขอเวลาแปปเดียว”
“นี่มันเวลางานนะไอ้นิด นั่นหมายความว่ามึงไม่มีสิทธิพาคนของกูไปไหนถ้ากูยังไม่ได้อนุญาต”
ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่แท้จริงแล้วเมษาไม่ได้สนใจหรอกว่าคณิตจะเอาบอยไปต้มยำทำแกงที่ไหน เพราะสิ่งที่เขาสนใจคือเหตุผลของมันมากกว่า
“กูรู้ แต่นี่เรื่องด่วนจริงๆ ขอเวลาแปปเดียว”
“เรื่องของเด็กนั่นใช่ไหม”
“...!!”
ใบหน้าที่แสดงความตกใจของคณิตเป็นคำตอบอย่างดีว่าสิ่งที่เมษาเข้าใจนั้นถูกต้อง เจ้าของสถานที่จึงไม่รีรอที่จะสั่งให้ลูกน้องมากันตัวบอยออกไป
“เมษ นี่มันเรื่องด่วนจริงๆเว้ย! ช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหม!”
“เข้าใจแต่ไม่ได้ มึงก็เป็นผู้บริหารลืมไปแล้วรึไงว่าวินัยมันสำคัญแค่ไหน”
เมษายืนกรานกระต่ายขาเดียวโดยไม่สนใจเลยว่าสายตาของคณิตที่จ้องมองมามันดุดันจนเกือบจะกลายเป็นความเกรี้ยวกราด แต่ในขณะที่ผู้มีอำนาจทั้งสองคนกำลังปะทะกันโดยไม่มีใครยอมใคร บอยที่ยืนเงียบมานานก็เอ่ยปากขึ้น
“ถ้าสรุปกันไม่ได้ผมขอพูดธุระของตัวเองก่อนแล้วกันนะครับ”
ซองสีขาวที่จ่าหน้าถึงฝ่ายบุคคลถูกยื่นให้กับเลขาของเมษาแทบจะทันทีที่บอยพูดจบ ทุกคนอยู่ในอารมณ์งงแม้แต่คนเป็นเจ้านายที่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าบอยนั้นจะมาลาออกกับตัวเองแบบนี้
“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า ถ้าจะปรับไม่ให้เงินเดือนของเดือนที่ผ่านมาก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ รองกัปตันตอนนี้ทำงานได้ดีมากเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่อยู่คุณเมษคงได้เห็นถึงความสามารถของเขาแล้ว”
บอยพูดด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับว่าสิ่งที่ตนเองพูดอยู่คือการพยากรณ์อากาศ แต่หากว่ามันเป็นอย่างนั้นสำหรับเมษาวันนี้คงเป็นวันที่มีทั้งแดดแรงและพายุที่สร้างความรำคาญใจให้เขาอย่างยิ่ง
“มึงคิดดีแล้วใช่ไหมบอยที่จะมางัดกับกูแบบนี้”
“ผมไม่ได้คิดจะงัดกับใครทั้งนั้นครับ ผมแค่อยากพัก”
ร่างใหญ่อธิบายให้เมษาฟังสั้นๆโดยละส่วนสำคัญที่ว่าต้นเหตุของมันเกิดจากอะไร บอยมองเลยไปทางด้านหลังเขาเห็นโต๊ะ โซฟา และบาร์ที่มีแต่ภาพของพลัสซ้อนทับขึ้นมาเต็มไปหมด และมันก็ไม่ใช่แค่ที่นี่...ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนบอยก็ไม่อาจดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีพลัส
“ได้ แต่ถ้ามึงไปแล้วก็อย่าคิดว่าจะได้กลับมา”
“ครับ แต่เรื่องนิสิตที่ผมเคยฝากเข้าฝึกงาน...”
“หึ กูก็อยากจะตอบแทนการกระทำของมึงด้วยการปฏิเสธมันหรอก แต่น่าเสียดายที่ทางนั้นมายกเลิกมันไปเองก่อนแล้ว”
“...!!”
“สุดท้ายมึงก็เป็นแค่คนโง่ที่ยอมตายเพื่อความรัก น่าเสียดายนะ...กูนึกว่ามึงจะฉลาดกว่านี้ซะอีก”
เมษาถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เขาเปรยตามองคณิตที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยดวงตาแบบเดียวกันที่ใช้มองบอย...คนที่มีหลักการใช้ชีวิตแตกต่างจากเขา
“จะทำอะไรก็เชิญ มันหมดธุระกับกูแล้ว”
บอยโค้งให้เมษาอีกครั้งแทนการบอกลาในขณะที่แผ่นหลังตั้งตรงของผู้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายจะค่อยๆเดินห่างออกไปโดยไม่มีการหันกลับมา ชายหนุ่มที่หมดพันธะกับโรงแรมแห่งนี้อย่างสมบูรณ์หันมาเผชิญหน้ากับคณิตอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่รีรอที่จะพูดธุระของตัวเอง ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่บอยคาดสักเท่าไหร่
“ผมอยากถามคุณเรื่องของปูน”
“เคยบอกแล้วไงว่าผมไม่บอก มีอะไรก็ไปคุยกันเองเถอะ”
“ปูนกลับไปแล้ว กลับไปอยู่ที่นั่น...ที่ที่ปูนตั้งใจหนีมา”
“...!!”
“ผมพยายามแล้ว แต่ตอนนี้ปูนจำเป็นต้องอยู่ที่นั่นเพราะผมครับ”
บอยดูอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นบอยคนเดิมที่ไม่แสดงออกอะไรมากมาย หากแต่ร่างกายที่สูงใหญ่พอๆกันนั้นกลับเดินเข้ามาใกล้แล้วเดินนำออกไปด้านนอกคล้ายกันการบอกให้คณิตเดินตามมา
ร้านอาหารตามสั่งเล็กๆถูกเลือกเป็นสถานที่พูดคุยแม้ว่ามันจะทั้งร้อนและหนวกหูมากแค่ไหน บอยสั่งข้าวผัดของตัวเองโดยไม่คิดจะถามว่าอีกคนจะกินอะไรด้วยไหม แต่ก็นะ ตอนนี้คณิตร้อนใจจนกินอะไรไม่ลงหรอก
“ผมบอกแล้วนะว่าไม่ได้รู้อะไรมาก”
“แต่นั่นก็คงมากกว่าที่ผมรู้”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้อะไรมาบ้าง”
กวนตีนชะมัด คนโรงแรมนี้มันกวนตีนเหมือนกันหมดรึไง หึ นึกถึงคนตัวเล็กสมัยก่อนเป็นแฟนกันขึ้นมาเลย...
“ผมรู้เรื่องที่เมื่อก่อนปูนเคยโดนลุงของตัวเองทำร้ายร่างกาย”
“อืม...ก็แค่นั้น ที่ปูนมันกลับไปคงเคลียร์กับลุงได้แล้วมั้ง”
“เรื่องมันมีแค่นั้นแน่หรอครับ”
“...”
“ผมอยากรู้เรื่องที่ทำงานเก่าของปูน ที่บาร์นั่น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ในเสี้ยววินาทีคณิตสังเกตเห็นความวูบไหวในสายตาของคนตรงหน้า เขาเดินหมากมาถูกจุดแล้ว ความลับของปูนถูกซ่อนไว้ที่นี่
“คุณไปรู้เรื่องที่บาร์มาจากไหน”
“ผมเคยไปที่นั่นกับปูนแต่ปูนมีท่าทางแปลกๆ...เขาทำเหมือนกับว่ากำลังกลัวอะไรบางอย่าง ไม่สิ...เหมือนกับว่าปูนไม่อยากกลับไปที่นั่น”
“ก็แน่ล่ะ อยากกลับไปก็บ้าแล้ว”
บอยวางช้อนลงทั้งๆที่ข้าวพร่องไปเพียงแค่ครึ่งจาน บรรยากาศรอบกายเหมือนหยุดนิ่ง แม้แต่เสียงพูดคุยของโต๊ะข้างๆก็ไม่สามารถรบกวนสมาธิของพวกเขาได้ คณิตกำลังมองเข้าไปในตาของบอย มันเป็นการมองที่ทั้งอ้อนวอนและกดดันเสียจนทำให้บอยตระหนักขึ้นเป็นครั้งแรกว่า...คณิตกับเมษาน่ากลัวไม่ต่างกันเลย
“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมไม่ได้รู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอกคุณหรอก แต่เป็นไอ้ปูนเองต่างหากที่ไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้”
คณิตไม่แปลกใจกับความจริงข้อนี้นักเพราะคราวของฤทธิชาติ ชายคนนั้นก็พูดกับเขาแบบนี้...ปูนมีสิ่งที่อยากซ่อนไว้ ซึ่งเขาต้องการจะรู้มัน
“ปูนเป็นฝ่ายปกป้องผมมามากเกินไปแล้วครับ มันถึงเวลาที่ผมจะทำอะไรเพื่อปูนบ้าง”
บอยมองคนตรงหน้าที่พูดสิ่งยิ่งใหญ่ออกมาอย่างง่ายดาย ในเสี้ยววินาทีนั้นเขารู้สึกอิจฉา...อิจฉาชายคนนี้ที่สามารถยืนหยัดแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไปได้อย่างองอาจ ในขณะที่ตัวเขานั้นแม้แต่โอกาสยังไม่สมควรได้รับ
“เอาเถอะ ถือซะว่าเป็นของฝากก่อนจะไม่ได้เจอกันอีกก็แล้วกัน...เรื่องในวันนั้นผมจะเล่าให้คุณฟังเอง”
:katai4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :katai4:
-
แสงสีของเมื่อหลวงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายให้หลั่งไหลเข้ามาแม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องมาแออัดกันอยู่ในสถานที่แคบๆทั้งๆที่การนอนอยู่ที่บ้านน่าจะสบายมากกว่า บอยก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนั้นแต่จะทำยังไงได้ในเมื่ออาชีพของเขาเห็นพระจันทร์ไม่ต่างจากพระอาทิตย์
“หวัดดีพี่ โห กว่าจะโผล่มาได้นะ”
เด็กเสิร์ฟคุ้นหน้าคนหนึ่งรีบปรี่เข้ามาทักบอยอย่างเป็นมิตร แน่ล่ะ เพราะคนคนนี้เป็นถึงกัปตันของโรงแรมดังที่ไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นได้ง่ายๆ แล้วที่สำคัญพี่บอยยังเป็นเพื่อนของคนที่จ่ายเงินเดือนให้เขาด้วย
“อืม ทำไมวันนี้คนเยอะจังวะ”
“ก็งี้แหละพี่วันศุกร์สิ้นเดือน แล้วนี่มาหาพี่เปี๊ยกหรอ พี่เขาไม่อยู่นะ”
“รู้อยู่แล้วล่ะ กูแค่เบื่อๆเลยออกมาหาที่นั่งเล่น แล้วนี่ไอ้ปูนอยู่ไหม”
บอยถามหารุ่นน้องบาร์เทนเดอร์ที่ไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่ตั้งแต่ปูนมาบางแสนครั้งนั้น บางอารมณ์เขาก็อยากจะถามมันเหมือนกันว่าเป็นยังไงบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเพราะเรื่องของคนขี้ลืมบางคนที่เริ่มเข้ามาทำงานพิเศษที่โรงแรม
“มาแล้วอยู่หลังร้านพี่ แต่...”
“แต่?”
เด็กเสิร์ฟที่บอยจำได้ว่าเรียนอยู่ที่เดียวกับปูนทำท่าอิดออดจนน่าหมั่นไส้ ทั้งๆที่ความจริงคงอยากเล่าเสียเต็มประดา
“คือ...ความจริงผมก็ไม่อยากจะเล่านะ”
“งั้นมึงก็ไม่ต้องเล่า”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิพี่ๆ เล่าแล้วๆ”
ร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆแต่ก็ยอมเดินตามเด็กเสิร์ฟนั่นไปนั่งบนโซฟามุมประจำที่เปี๊ยกเจ้าของร้านสงวนไว้สำหรับกลุ่มคนรู้จักซึ่งก็รวมถึงบอยด้วย เขาเปิดเมนูมาอ่านคิดจะสั่งอาหารสักสองสามอย่างรอเพราะดูท่าเรื่องที่เด็กนี่อยากจะเล่าคงยาวน่าดู เอาเถอะ ถือซะว่าฟังผ่านหูไว้แล้วกัน
“คืองี้พี่ ช่วงนี้ไอ้ปูนมันทำตัวโคตรแปลก แม่งมาสายทุกวัน แถมกลับก็เร็วจนพี่เปี๊ยกไม่รู้จะด่ามันยังไงแล้ว”
“แปลกตรงไหน มึงไม่เคยขี้เกียจรึไง”
“หึ มันไม่ใช่แค่ขี้เกียจสิพี่”
คนที่ทำหน้าเหมือนภูมิใจเสียเต็มประดาที่ได้รับรู้เรื่องราวของคนอื่นสะดุ้งเฮือก เมื่อบอยที่นั่งนิ่งมานานหันมามองดุๆประมานว่า ‘ถ้ามึงไม่เล่าสักทีกูเล่นมึงแน่’ อีกฝ่ายจึงตัดสินใจเดินถอยหลังออกไปเล็กน้อยแล้วเล่าต่อ
“ก็...ช่วงนี้มีคนมารับมาส่งมันพี่ ตามประกบตลอดไม่ยอมปล่อยให้ไอ้ปูนมันไปไหนเลย แล้วผมก็เคยเห็นไอ้คนที่ตามรับตามส่งปูนเนี่ย เคยไปนั่งเฝ้าไอ้ปูนที่มหาลัยผมด้วย”
“ตกลงมึงจะมานั่งเล่าชีวิตรักมันให้กูฟังใช่ไหม ถ้าใช่ก็ไสหัวกลับไปทำงานได้แล้ว กูรำคาญ”
“โห เดี๋ยวก่อนดิพี่ จะรีบไล่กันไปไหน โอเคๆ พี่อาจจะคิดว่าผมเอาเรื่องไร้สาระมาเล่าให้พี่ฟังนะเว้ย แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น”
คนปากมากวางกระดาษจดออเดอร์ที่ถือไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบบอกความจริงบางอย่างที่เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง
“ผมก็ไม่อะไรหรอกนะถ้าผัวไอ้ปูนมันเป็นคนปกติ แต่นี่แม่งล่อเอาผู้ชายอายุคราวพ่อมาทำผัว พี่ไม่คิดว่ามันน่าขนลุกบ้างรึไง”
บอยฟังแล้วแต่ก็ไม่กระโตกกระตาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน คนแก่งั้นหรอ...คนที่รับส่งปูนไม่ใช่รัตติกาลรึไง
“เขาเป็นญาติไอ้ปูนรึเปล่า”
“ไม่รู้สิพี่ แต่ผมว่าคนเป็นญาติกันเขาคงไม่ออกนอกหน้าขนาดนี้มั้ง ตามเฝ้าเช้าถึงเย็นถึง ทั้งที่มหาลัยแล้วก็ที่ทำงาน หึ ที่เตียงก็คงเหมือนกันมั้ง”
เด็กเสิร์ฟคนนั้นพยักเพยิดหน้าไปยังบาร์อีกฝั่งที่ปูนเดินออกมาทำงานพอดี ถึงจะมองดูอยู่ห่างๆแต่บอยก็สังเกตเห็นว่าปูนนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มขี้เล่นที่เคยมีให้แขกเสมอหายไป ดวงตาซุกซนนั่นก็ด้วย
“พี่คอยดูนะ อีกไม่ถึงสิบนาทีมาแน่ๆ”
ไม่ต้องรอให้บอยถามว่ามันหมายถึงอะไร เพราะยังไม่ทันถึงสิบนาทีที่ว่าก็มีผู้ชายที่ดูแล้วอายุน่าจะอยู่ราวๆสี่สิบปีเดินเข้ามานั่งตรงบาร์ใกล้กับที่ปูนยืนอยู่ ร่างเล็กหันไปมองทางนั้นเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสนใจงานของตัวเองต่อ แต่ถึงอย่างนั้นบอยก็ยังสังเกตเห็นความประหม่าของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ไม่เคยพลาด...นี่มันอะไรกัน
“ก็เพราะแบบนี้แหละพี่ ตอนนี้ทั้งที่นี่แล้วก็ที่มหาลัยเขาเลยลือกันสนุกปากว่าไอ้ปูนมีเสี่ยเลี้ยง ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรก็เถอะเพื่อนผมบางคนมันก็ทำกัน แต่ก็อย่างว่าล่ะเนอะ...”
แม้จะแสร้งทำเสียงว่าเห็นใจแต่สีหน้าที่แสดงออกมานั้นไม่มีความจริงใจเลยสักนิด บอยเลิกให้ความสนใจคนปากมากนั่นแล้วหันมานั่งมองความเป็นไปของคนทั้งคู่ที่สร้างไม่สบายใจให้เขาพอสมควร มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ...
“ปูน”
บอยอาศัยสิทธิพิเศษเข้ามาหลังร้าน แน่นอนว่าที่นี่คงเป็นสถานที่เดียวที่เขาจะได้คุยกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องโดยไม่มีคนคนนั้นตามเฝ้า ใช่ เฝ้าจริงๆ เพราะตั้งแต่สามทุ่มยันตีหนึ่ง หมอนั่นก็เอาแต่นั่งมองหน้าปูนไม่ยอมไปไหน
“อ่า พี่บอย...หวัดดีพี่”
ปูนทักบอยด้วยท่าทางที่แสนจะปกติ หากแต่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังร่างเล็กมากลับเห็นบางอย่างในขณะที่ปูนกำลังปลดกระดุมที่แขนเสื้อลง
“เอาแขนมานี่”
“ครับ?”
“เอาแขนมาให้กูดู”
บอยยื่นมือไปหมายจะจับแขนของปูนมาดูเอง แต่ปูนกลับปัดมันออกอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันเป็นปฏิกริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายไม่ใช่การปฏิเสธ
“ผะ ผม ขอโทษ...”
“แขนมึงไปโดนอะไรมา”
“...”
“มึงจะบอกกูดีๆ หรือจะให้กูออกไปถามไอ้เหี้ยที่นั่งอยู่ตรงบาร์นั่น”
ปูนรู้อยู่แล้วว่าบอยเป็นคนฉลาด(ยกเว้นบางเรื่อง) แต่เขาก็ไม่เคยนึกเกลียดความฉลาดของบอยได้เท่ากับวันนี้ ร่างเล็กพยายามเบี่ยงตัวหนีแต่ก็ถูกจับให้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“มันเป็นใครวะ ทำไมมึงปล่อยให้มันมาทำกับมึงแบบนี้ นี่ถ้าไอ้ปากมากนั่นไม่เสนอหน้ามาบอกกู กูคงไม่มีวันรู้ใช่ไหมว่าน้องตัวเองกำลังเจอกับอะไร!”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจหรอที่พูดมา งั้นไปหาตำรวจกันดูสิว่าทีนี้จะเป็นอะไรไหม”
บอยผละตัวออกเตรียมจะเดินไปทางประตูหลังแต่ร่างสูงใหญ่นั้นกลับถูกปูนที่ตัวเล็กกว่าเกือบครึ่งรั้งไว้ด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความอึดอัดใจ
“อย่าพี่...ผมขอร้องล่ะ”
“มึงจะโง่ปกป้องมันทำไมวะ หรือว่ามันเป็นแฟนมึงจริงๆ”
“ผมไม่ได้อยากปกป้องเขาพี่ แต่ว่า...เขาเป็นลุงผม”
“...!!”
ปูนเค้นยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของบอย แน่ล่ะจะตกใจก็คงไม่แปลกเพราะถึงไม่นับเรื่องทำร้ายร่างกาย ผู้ชายคนนั้นก็ดูไม่เหมือนลุงของเขาอยู่ดี
“เขาเป็นญาติมึง แล้วทำไม...”
“สิ่งที่พี่ถามผม ผมเองก็อยากถามเขาเหมือนกัน แต่ก็นะ...ถามไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา”
“ได้สิ มึงจะได้จบเรื่องบ้าๆนี่ไง! เป็นลุงแล้วยังไงวะ เป็นลุงแล้วจะทำยังไงกับหลานตัวเองก็ได้งั้นหรอ!!”
ปูนพยายามลูบแขนปลอบอีกฝ่ายให้ใจเย็นลงทั้งๆที่ตัวเขาเองเริ่มน้ำตาคลอออกมา เพราะสิ่งที่บอยพูดนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปูนเฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกๆวันว่าสิ่งที่เขาต้องเจอทุกวันนี้มันคืออะไร
“ผมไม่แคร์เขาหรอก ผมไม่อยากสนใจอีกแล้วว่าเขาเคยเป็นใครหรือเคยให้อะไรกับผมมาบ้าง แต่กับปิ่น...มันไม่ใช่”
แค่คิดถึงใบหน้าของน้องสาวขึ้นมา ปูนก็ทนไม่ได้...เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องกับฤทธิชาติวันนั้นวิทยาก็ตามติดชีวิตเขาจนแทบไม่มีเวลากลับไปเลี้ยงดูครอบครัว ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับตาไม่มีตอนไหนเลยที่ปูนสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้โดยที่ผู้ชายคนนั้นไม่รับรู้...ไม่ใช่แค่การตามรับตามส่ง แต่มันคือการคุกคามที่ปูนเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าลุงของตัวเองทำมันไปเพื่ออะไร
“ถึงจะบอกว่าเกลียดที่มึงเป็นเกย์ก็เถอะ แต่ทำแบบนี้มันเกินไป”
“ผมรู้...แต่ตอนนี้ผมยังทำอะไรไม่ได้”
“แล้วมึงจะรอถึงตอนไหนล่ะวะ มึงดูตัวเองบ้างสิปูน!”
“ไม่เป็นไรพี่ เพราะเดี๋ยวพี่กาลก็จะกลับมาแล้ว”
“...??”
“ถ้าพี่กาลกลับมาเขาต้องช่วยผมได้แน่ๆ พี่กาลเขาเก่งจะได้...เขาต้องพาผมออกไปจากที่นี่ได้แน่ๆเลยพี่”
ปูนพูดแล้วยิ้มออกมาแต่ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าที่สุดเท่าที่บอยเคยเห็น แม้ริมฝีปากจะแย้มสวยหากแต่ดวงตากลับเศร้ามองและหมดหวังจนบอยอยากถามให้ปูนได้ตระหนักถึงความจริง
แน่ใจหรอว่าเขาจะมาช่วย...
“ผมต้องไปแล้วนะพี่ ถึงเวลาแล้ว ถ้าผมออกไปช้าเดี๋ยวจะโดนเขาตีอีก”
“แต่นี่เพิ่งตีหนึ่ง มึงเลิกงานตีสองไม่ใช่รึไง”
“อืม...แต่ถ้าผมกลับช้ากว่านี้ เขาจะให้ผมลาออก ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงทนต่อไปไม่ได้แน่ๆ”
ปูนรู้ว่าทุกวันนี้ผู้คนมองเขาด้วยสายตาแบบไหน รวมไปถึงซุ่มเสียงนินทาที่ต่อให้พยายามหลับหูหลับตาเท่าไหร่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน จนจากที่เคยไม่คุยกับใครอยู่แล้วยิ่งไม่คุยหนักเข้าไปอีก ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีใครอยากคุยกับเขาอีกแล้วล่ะมั้ง แม้ว่าบางคนจะไม่ได้เห็นด้วยกับการที่จะหยิบเรื่องของเขามาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แต่นั่นไม่ได้รวมถึงการยอมมาเป็นเป้าร่วมเพื่อให้ตัวเองถูกคนอื่นนินทาไปด้วย ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของปูนกลับกลายเป็นเรื่องยาก จนบางครั้งร่างเล็กก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงไม่มีความจำเป็นกับสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้เขาไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ได้ก็คือการทำงาน ซึ่งปูนจะไม่ยอมให้มันจบลงเด็ดขาด
“สรุปกูขอให้มึงเลิกทนไม่ได้ใช่ไหม”
“ผมก็ไม่ได้อยากทนอะไร แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่...เดี๋ยวพี่กาลก็กลับมา”
ทั้งๆที่พูดออกไปอย่างมั่นใจแท้ๆ สุดท้ายแล้วปูนกลับต้องมานอนมองเพดานโดยที่ในมือมีโทรศัพท์ที่กำลังต่อสายไปหาเบอร์ที่ติดต่อไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้ว เขากดมันซ้ำๆ กดมันจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ดื้อดึงงั้นหรอ ไม่สิ...เรียกว่างมงายซะยังจะตรงกว่า
งมงายว่ารัตติกาลจะยังกลับมา
ทั้งๆที่ในความจริงเขาแทบจะลืมกลิ่นของรัตติกาลไปแล้วด้วยซ้ำ...
ร่างเล็กกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่หยดน้ำที่ไหลคลอ เขาลุกขึ้นนั่งแล้วเดินออกไปด้านนอกเพื่อหายาพาราและน้ำดื่มเพื่อให้ค่ำคืนที่ยาวนานนี้จะได้จบลงไปเสียที แต่แล้วในจังหวะที่ปูนกำลังเดินถือขวดน้ำกลับเข้าไปในห้องนอน แสงไฟสีส้มอ่อนและเสียงบางอย่างที่ดังลอดออกมาจากห้องน้ำก็ทำให้ปูนหยุดมองมันสักครู่ก่อนจะเดินผ่านไปราวกับว่าเขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะมารับ อย่าหายหัวไปไหนล่ะ”
วิทยาบอกกับปูนขณะที่กำลังจอดรถอยู่หลังคณะตามที่หลานชายพูดขอไว้ แม้จะพอทำเป็นหูทวนลมได้บ้าง แต่ปูนก็ไม่อยากเติมเชื้อๆไฟลงไปให้กระแสหนักอยู่แล้วถูกโหมให้แรงไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องเตือนผมหรอกครับ ต่อให้ผมไม่อยู่รอลุงก็คงตามตัวผมได้อยู่ดี”
ค่าตอบแทนของคำพูดประชดประชันนี้คือแรงกระแทกที่หัวซึ่งเล่นเอาซะปูนมึนไปหมด ร่างเล็กก่นด่าตัวเองที่พลาดเผลอพูดยั่วโทสะอีกฝ่ายไป แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าที่คนตัวเล็กแสดงออกออกมากลับไม่มีความสำนึกอยู่ในนั้น
“เดี๋ยวนี้หัดปีกล้าขาแข็งกับกูหรอ”
“ก็...คงงั้นมั้งครับ”
“ปูน!!”
“ครับๆ ผมรู้ครับว่าผมชื่อปูน ได้ยินแล้ว...เมื่อคืนก็ได้ยิน”
“...!!”
“หึ ผมไปล่ะ”
ปูนฉีกยิ้มให้คนเป็นลุงอีกครั้งก่อนที่จะรีบเดินลงไปจากรถก่อนที่ตัวเองจะโดนตบจนแหกหน้าไปเรียนไม่ได้ เขาเห็นลุงของตัวเองเคี้ยวฟันอย่างแค้นใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขับรถออกไปทั้งที่ยังโมโห ปูนยิ้มออกมาอย่างมีชัยแต่ดูเหมือนสวรรค์จะใจร้ายไม่ปล่อยให้เขามีความสุขกับการแก้แค้นเล็กๆน้อยๆมากนัก เพราะเมื่อทันทีที่หันหลังเตรียมจะเดินเข้าไปในตึกเรียนปูนก็พบเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเพิ่งจำชื่อของอีกฝ่ายได้เมื่อไม่นานมานี้
คนชื่อแมนมองปูนด้วยสายตาอึ้งๆ ก่อนจะตรงเข้ามาจับหัวของร่างเล็กที่ถูกชายสูงวัยคนนั้นตบเข้าอย่างจังจนคนมองรู้สึกเจ็บแทน หากแต่แทนที่ปูนจะยิ้มรับน้ำใจนั้น เขากลับปัดมือของอีกฝ่ายออกไปด้วยสีหน้าเฉยชา
“ปูน...มันเกิดอะไรขึ้น”
“อย่ามายุ่ง”
“ปูน แต่เขาทำปูนนะ!”
“กูบอกว่าอย่าเสือกไง!!”
“...!!”
“หุบปากมึงไว้ให้สนิท ถ้ามีคนอื่นรู้เรื่องมึงโดนแน่”
ปูนรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันแย่ แต่ความรู้สึกกลัวกับเรื่องที่อาจจะมาถึงทำให้ปูนเริ่มขาดสติ มันจะไม่เป็นไรถ้าหากเมื่อสองวันก่อนปิ่นไม่ได้โทรมาหาแล้วบอกเขาว่าสามารถสอบติดคณะเดียวกันได้
ถ้าหากว่าเรื่องของลุงแดงออกไป...ปิ่นต้องแย่แน่ๆ
“ทำไมปูนพูดแบบนี้ เราหวังดีกับปูนนะ!”
“ไม่ต้องหวังดีกับกูหรอก พวกมึงกับเพื่อนก็ดีแต่พูดลับหลังคนอื่น”
แมนเริ่มคิ้วกระตุก จริงอยู่ที่เขาแอบเชื่อข่าวลือพวกนั้นบ้างแต่ความรู้สึกดีๆที่มีให้ปูนมาตลอดก็ทำให้แมนไม่เคยนำเรื่องของปูนไปพูดต่อเหมือนที่คนอื่นทำ โดยเฉพาะก้อยซึ่งเป็นตัวหลักที่คอยตีข่าวขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่เรื่องเงียบ ทั้งๆที่ในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้มีปูนคนเดียวที่ทำมัน...
“เราไม่เคยทำอย่างที่ปูนว่า...เราชอบปูนนะ เราไม่มีทางทำร้ายปูนหรอก”
น่าเสียดายที่คำสารภาพรักจากแมนไม่ได้ทำให้ปูนรู้สึกดีขึ้นเลย ปูนจึงทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินมัน แล้วเดินจากไปพร้อมกับหัวใจของชายคนหนึ่งที่ถูกเหยียบย้ำจนติดปลายเท้า แมนที่ทั้งเสียใจและเสียหน้าได้แต่ยืนกำหมัดของตนจนแน่นแล้ว สลักภาพความเฉยชาของปูนไว้ในใจ...ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง มีคนบางคนกำลังยืนยิ้มอย่างยินดี
บ่ายวันนั้นปูนอยู่รอให้ลุงมารับตามที่บอก ไม่ได้เต็มใจหรอกแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน แม้จะไม่ใช่คนมีอิทธิพลอะไรแต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ลุงวิทย์เป็นที่รู้จักพอสมควร และนั่นก็คงเป็นสาเหตุที่ชายคนนั้นทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการได้
“วันนี้ลุงกลับไปก่อนนะครับ เลิกงานแล้วค่อยมารับผมก็ได้”
“ทำไม แกจะไปไหน”
“ไม่ได้ไป ผมแค่กลัวว่าลุงจะเบื่อ อีกอย่างเดือนหน้าต้องจ่ายค่าเทอมให้ปิ่นแล้วไม่ใช่หรอเอาเงินมาเทที่บาร์แบบนี้ไม่ดีมั้งครับ”
“หึ อย่ามาทำอ้างเป็นห่วงน้องหน่อยเลย ผัวแกกลับมาแล้วล่ะสิ เจ้ารัตติกาลอะไรนั่น”
“ยังหรอกครับ แต่ถ้าเขากลับมา...ผมจะบอกลุงเป็นคนแรกเลย”
พร้อมกับการตัดขาดของเราน่ะนะ...ปูนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เพราะถ้าหากเขาอยากจะไปจากบ้านหลังนี้ก็ต้องมีรัตติกาลเป็นสาเหตุเท่านั้น...ปิ่นรู้เรื่องของพี่กาล ถ้าหากเขาจากไปเพราะคนรักน้องสาวคนนี้จะต้องรู้สึกยินดีกับเขาแน่ๆแต่ที่สำคัญที่สุด...คือปิ่นจะไม่มีวันรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นคนแบบไหน ทุกคนจะมีความสุข...นั่นคือสิ่งที่ปูนหวัง
แต่วิทยาก็ไม่เคยฟังใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายที่นั่งตัวริมสุดของบาร์ก็มีร่างของชายสูงวัยคนเดิมจับจองอยู่เหมือนกับทุกๆครั้ง ปูนถอนหายใจออกมาเซ็งๆ ก่อนจะรินค็อกเทลตัวใหม่ลงไปในแก้วแล้วส่งมันให้กับบอยที่แวะมาหาก่อนจะกลับไปทำงานที่บางแสนในวันพรุ่งนี้
“เมื่อวานมันทำอะไรมึงรึเปล่า”
“เปล่า แต่เมื่อเช้าโดนตบหัวมานิดหน่อย”
“หรอ แล้วฉลาดขึ้นบ้างไหมโดนตบมาขนาดนั้น”
“อย่ากวนดิพี่ กินแล้วกลับๆไปได้แล้วไป”
ถึงจะเซ็งคำพูดของบอยอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าร่างใหญ่สามารถคลายเครียดให้ปูนได้มากพอสมควรแม้จะแลกกับการที่ต้องถูกจ้องมองแทบจะตลอดเวลา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีม่วงอ่อนๆมีรสหวานหอมสร้างความพอใจให้บอยไม่น้อย จนชายหนุ่มที่อยากช่วยรุ่นน้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเอ่ยปาก
“ปูน...ไปทำงานกับกูไหมล่ะ ที่บางแสน”
“หื้ม?”
“โรงแรมกูกำลังต้องการบาร์เทนเดอร์ใหม่พอดี มึงมีฝีมือ รางวัลก็เคยได้คงไปเอาดีที่นั่นได้ไม่ยาก”
“ฮ่าๆ จะบ้าหรอพี่แล้วเรื่องเรียนผมล่ะ”
“อืม ก็นั่นสินะ...”
ข้อเสนอของบอยน่าสนใจแต่มันก็เป็นได้แค่ฝัน แม้ว่าเรื่องที่รัตติกาลจะกลับมาช่วยจะไม่ต่างจากฝันเหมือนกัน แต่นั่นเป็นฝันที่ปูนอยากจะเชื่อมากกว่าการออกไปเผชิญโลกกว้างโดยไม่มีใครอุ้มชู เมื่อปูนปฏิเสธบอยก็ชวนเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้รุ่นน้องเครียดมากเกินไป จนกระทั่งเวลาเดินเลยมาเกือบเที่ยงคืน ก็มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ที่บาร์ซึ่งว่างอยู่
“ไงปูน เจอกันอีกแล้วนะ”
ปูนหันมามองตามเสียงทัก ก่อนจะเห็นว่าแขกคนใหม่คือชายที่เขาเพิ่งปฏิเสธความรักของอีกฝ่ายไปเมื่อเช้า
“อืม”
“แค่อืมเองหรอ เราอุตส่าห์มาทักนะ”
“สวัสดี แค่นี้พอใจรึยัง”
แมนยิ้มออกมากว้างจนปูนนึกแปลกใจในอาการของอีกฝ่าย ถ้าเป็นเขาโดนหักหน้าขนาดนั้นคงขยาดไม่เข้ามาใกล้แล้ว แต่นี่อะไร ไม่ด่าแถมยังมายิ้มให้อีก
“ขอเตกีล่าแก้วหนึ่งนะ ปูนทำให้เราได้ไหม”
“ถ้าคุณมาในฐานะลูกค้า สั่งอะไรผมก็ทำให้”
“อืม เรามาในฐานะลูกค้า...ปูนไม่ต้องห่วงหรอก”
บอยหันไปมองแมนนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นเดียวกับปูนที่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ร่างเล็กจัดการเตรียมเตกีล่าในแบบของตัวเองโดยใช้เวลาไม่นานนัก แมนมองเครื่องดื่มสีอำพันอ่อนๆที่ถูกเสิร์ฟมาในแก้วที่ปากของมันมีเกลือและมะนาวซีกเล็กประดับอยู่
“เยี่ยมเลย ปูนนี่เด็ดสมกับคำร่ำลือจริงๆ”
“เหล้ามันก็คือเหล้า คนไหนทำมันก็เหมือนกันแหละน่า”
“ฮ่าๆ ไม่เหมือนหรอก จะไปเหมือนกันได้ยังไง”
ในจังหวะที่ปูนกำลังทำหน้าเหม็นเบื่อ สายตาของแมนก็เหลือบมองไปยังชายที่เขาเห็นว่าอยู่กับปูนในรถเมื่อเช้า ฝ่ายนั้นกำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาที่ต่อให้ไม่พูดผู้ชายด้วยกันก็คงดูออก...หึ
“ว่าแต่ปูนทำงานแบบนี้สนุกไหม”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็เผื่อเราจะแนะนำเพื่อนให้มาใช้บริการปูนบ้าง”
“...?”
“ครั้งก่อนเรายังติดใจไม่หายเลยนะ ขนาดว่าไม่เคยกับผู้ชายแท้ๆเจอปูนไปครั้งเดียวเราลืมไม่ลงเลยจริงๆ ว่าแต่คืนนี้ว่างรึเปล่าล่ะปูน..ขายให้เราได้ไหม”
ปูนไม่นึกว่าสวรรค์จะเกลียดชังเขาได้ขนาดนี้ เพราะในจังหวะที่แมนพูดเรื่องเหลวไหลขึ้นมาเสียงดนตรีที่เปิดคลออยู่ตลอดคืนกลับทิ้งช่วงจนทำให้คนในร้านที่นั่งอยู่ใกล้ๆสามารถได้ยินมันหมดทุกคำชนิดที่ไม่ต้องพูดซ้ำ ปูนได้แต่ยืนนิ่ง ความโกรธมันระเบิดอยู่ในอกแต่กลับเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตรึงเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนแม้แต่บอยก็เช่นกัน
“ว่าไงปูน เห็นแก่เราหน่อยอย่าปฏิเสธเราเลยนะ ทีตอนปูนเดือดร้อนเรายังเคยช่วยปูนเลยไม่ใช่หรอ...อย่าลืมสิ ว่าลูกค้าคนแรกของปูนก็คือเรานะ”
“ไอ้เด็กเหี้ย มึงยุ่งกับคนของกูหรอ!!!”
ไวกว่าที่ใครจะตั้งตัวทัน หมัดของวิทยาที่ไร้สติต่อยเข้าไปเต็มหน้าของคนที่อายุน้อยกว่าตัวเองหลายรอบ แต่แมนก็เร็วไม่แพ้กัน ไม่สิ มันเหมือนกับว่าแมนรอคอยสิ่งนี้อยู่แล้วจึงถีบเข้ากลางลำตัวของคนที่เพิ่งทำร้ายตัวเองจนลูกค้าที่อยู่โดยรอบกรีดร้องไปทั่ว
“ปล่อยกู ปล่อยสิวะ!!”
“พวกมึงไม่ต้องห้ามมัน เข้ามาเลยไอ้แก่!!”
สองฝ่ายต่างฟาดฟันกันไปมา ไม่ได้ทางร่างกายก็ใช้วาจาจนพนักงานที่เข้ามาช่วยกันห้ามปวดหัวไปหมด โดยเฉพาะกับคนที่ได้ยินสิ่งที่แมนพูดซึ่งต่างหันก็มามองปูนอย่างคาดโทษในขณะที่ร่างเล็กเหมือนกับสติหลุดไปแล้ว
“ปูน ปูน ไอ้ปูน!!”
บอยเข้ามาเขย่าไหล่ปูนเมื่อเห็นว่าดวงตาไร้แววนั้นนิ่งค้าง เขาไม่เชื่อในสิ่งที่แมนพูดหรอกแต่ก็ไม่อาจแก้ต่างแทนใครได้เหมือนกัน ตอนนี้สิ่งเดียวที่บอยทำได้คือการพาปูนกลับเข้าไปด้านในแล้วเรียกตำรวจมา
“พี่...พี่บอย”
“เข้าไปข้างใน เดี๋ยวตรงนี้กูจัดการเอง”
“ไม่ได้ พี่จะเรียกตำรวจใช่ไหม ใช่ไหมพี่!”
“เราไม่มีทางเลือกว่ะ คนอื่นจะเอาไม่อยู่แล้ว”
ปูนมองไปยังผู้ชายสองคนที่กัดกันยิ่งกว่าหมา ต่างฝ่ายต่างพ่นถ้อยคำแสดงความเป็นเจ้าของปูนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งที่ความจริงแล้สมันมีแต่คำโกหก...คำโกหกที่คนมากมายอยากให้มันเป็นความจริง ทั้งแขกที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป คนที่ซุบซิบกันอย่างสนุกปากทั้งที่มันคือชีวิตของเขา...อนาคตของเขา...คนพวกนี้ไม่ได้มองเห็นมันเลย
“ผมจะปล่อยให้ปิ่นเจอเรื่องแบบเดียวกันไม่ได้ ถ้าเรื่องถึงตำรวจ น้องต้องรู้แน่ๆ...อย่าแจ้งตำรวจเลยนะพี่ ผมขอร้อง จะให้ผมกราบก็ได้”
ปูนเริ่มร้องไห้ออกมาเมื่อสิ่งที่เขากลัวที่สุดเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโดยไม่มีแม้แต่ทางให้เขาถอยหนี ร่างเล็กยกมือไหว้ท่วมหัว ขอร้องให้บอยเห็นใจแล้วล้มเลิกความคิดนั้นซะ...ขอแค่ปิ่นเท่านั้น...ขอแค่ชีวิตปิ่นไม่ต้องมาพังเพราะคนอย่างเขา
“ไอ้ปูนเอามือลง ไหว้กูทำไม!”
“ผมขอร้องล่ะพี่ ฮึก ขอร้องล่ะ”
“มึงนี่มัน...เออๆ กูไม่แจ้งตำรวจก็ได้ แต่มึงเข้าไปข้างในก่อนได้ยินไหมถ้ามึงยังอยู่ตรงนี้ไอ้สองตัวนั้นไม่หยุดแน่”
“แต่...”
“กูบอกให้เข้าไปไง ไป!!”
ปูนไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งเร็วแค่ไหน เขารู้แค่ว่าลำคอของตัวเองแห้งผากเพราะขาดน้ำ ในขณะที่ใบหน้ากลับเปียกชื้นด้วยรอยน้ำตา ผู้คนต่างมองมาที่ปูนด้วยความตกใจ แต่ปูนก็ไม่สนใจใครอีกแล้ว เขารู้แค่ว่าตัวเองจะต้องวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งไปให้ไกล...ไปให้พ้นจากเรื่องบัดซบนี่ซะ
“พี่กาล พี่กาล ฮึก พี่กาลอยู่ไหน”
ปูนร่ำร้องหารัตติกาล เขาพยายามไขว่คว้าหาคนที่ตัวรัก หากแต่เสียงที่ตอบกลับมากลับมีเพียงแต่ความว่างเปล่าที่บาดลึกเข้าไปกลางหัวใจ ปูนรู้สึกถึงความรวดร้าว ตัวตนของเขากำลังแตกสลาย เขาทำผิดอะไร เขาทำพลาดไปตรงไหน ทำไมกัน...ทำไมต้องเป็นเขาที่เจอเรื่องแบบนี้
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมที”
“...”
“ผมหายใจต่อไปไม่ไหวแล้ว”
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
แม่ค้าร้านอาหารตามสั่งมองสองหนุ่มที่มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่านางกวักช่วยเรียกลูกค้าสาวๆให้ต่างกรูกันเข้ามาอุดหนุนเธอตั้งแต่ตอนสาย เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกหากสองคนนั้นจะนั่งคุยกันต่อ แต่ตอนนี้มันกินเวลามากว่าเกือบสองชั่วโมงแล้วที่ทั้งคู่เอาแต่พูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าสาเหตุของบรรยากาศมาคุนั้นเกิดขึ้นจากอะไร
“หลังจากนั้นผมกับลูกจ้างในร้านก็ช่วยเคลียร์ ยังดีที่เรื่องยังไปไม่ถึงตำรวจแล้วก็ไม่มีคนเอามันไปดิสเครดิตร้านให้เสียหาย”
“แล้ว...ปูนล่ะ”
“ไม่รู้สิ หลังจากเกิดเรื่องผมก็ไม่ได้ติดต่อกับมันอีก ตอนนั้นคุณเมษเรียกตัวผมกลับไปพอดี ไอ้ปูนเลยต้องแบกรับเรื่องทุกอย่างอยู่คนเดียว แต่ก็นะ...ถึงอยู่ต่อก็ใช่ว่าจะช่วยได้”
บอยมองใบหน้าที่แสดงทั้งความโกรธ เสียใจ และไม่เข้าใจออกมาของคณิต ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักที่มันเป็นอย่างนั้น...ทั้งต้องห่างไกลจากคนรักและต้องมารับรู้ความโหดร้ายที่คนคนนั้นต้องเผชิญโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้ ทนไหวก็ไม่ใช่คนแล้ว
“บอย ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม”
“เอาสิ ยังไงคุณคงไม่ยอมปล่อยผมไปหากไม่ได้คำตอบที่ต้องการ”
“ตอนนั้น...ปูนขายตัวจริงรึเปล่า”
“...”
“...”
“หึ...แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ”
มันเป็นการคาดเดาที่ง่ายมากแล้วบอยก็ถามกลับไปได้ถูกจุด คิ้วเข้มของคณิตขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆคลายออก
“ไม่ทำหรอก...ปูนไม่มีทางทำแบบนั้น”
ความจริงจากข้อมูลที่รู้มาคณิตสามารถอุปมานเองได้ว่าปูนไม่ได้ทำตัวอย่างที่ใครๆกล่าวอ้าง...อย่างน้อยก็สำหรับตอนนั้น แต่ถึงจะรู้คณิตก็ยังอยากได้ยินคำยืนยันจากปากของคนนอก พอคิดถึงตรงนี้ร่างสูงก็รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา
“สุดท้ายผมเองมันก็ไม่ต่างจากคนอื่น”
“อย่ากดดันตัวเองนักเลย ผมว่ามันคงจะดีกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าปูนมันได้รู้จักคุณตั้งแต่ตอนนั้น”
บอยพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งข้าวผัดจานใหม่สำหรับตัวเองแล้วเผื่อแผ่มาถึงคนที่ไม่ได้ร้องขอ
“การที่คุณไม่มั่นใจมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก อย่างน้อยส่วนหนึ่งในความคิดคุณก็เชื่อจริงๆว่ามันไม่ได้ทำแบบนั้น ผิดกับคนอื่นที่ตัดสินไอ้ปูนไปโดยไม่คิดจะถามมันสักคำ...ยึดถือแค่สิ่งที่ตัวเองต้องการจะเชื่อโดยไม่สนใจเลยว่าความรู้สึกของคนที่ถูกพิพากษาอย่างไม่เต็มใจจะเป็นยังไง”
คณิตไม่รู้ว่าบอยต้องการปลอบเขาจริงๆหรือว่าแค่พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกมาตลอดเท่านั้น และแม้ว่าร่างสูงจะสบายใจขึ้นความจริงอย่างหนึ่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป
“แล้วทำไมหลังจากนั้นปูนถึงทำมันล่ะ คุณพอจะรู้อะไรบ้างไหม”
“ไม่รู้สิ อย่างที่บอกหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีก จนกระทั่งมันติดต่อขอมาทำงานที่นี่ด้วยนั่นแหละ...แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ปูนมันเปลี่ยนไปมากทั้งนิสัย ความคิด และสิ่งที่เลือกจะทำ...ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงทำอย่างนั้น ผมรู้แค่ว่าปูนมันไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เลือกนักหรอก”
จิกซอว์หนึ่งชิ้นถูกเติมลงไปหากแต่ใจกลางของผืนภาพนั้นยังคงขาดหาย ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเด็กผู้ชายที่ร่าเริงยิ่งกว่าใครคนนั้นถึงได้ตัดสินใจทำร้ายตัวเองด้วยวิธีที่น่าเศร้า และอะไรคือจุดเปลี่ยนของมัน
“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์เล่าให้ฟัง ว่าแต่คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าทำไมคุณถึงมาลาออกกับไอ้เมษมันตอนนี้”
บอยเลิกคิ้วขึ้น นึกไม่ถึงจริงๆว่าคณิตจะถามเขาแบบนั้น จริงอยู่ว่าการพูดคุยกันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกจะทำให้บอยมองทายาทเจ้าของโรงแรมคนนี้ในแง่ดีขึ้นเล็กน้อย หากแต่นิสัยบางอย่างรวมไปถึงความเป็นสุภาพบุรุษที่นี่หมั่นไส้นี่มันกวนโมโหเขาได้ทุกครั้งจริงๆ
“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่เกมของผมมันโอเวอร์แล้วเท่านั้นเอง”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มาช้าแต่มาแล้วนะ พร้อมกับความขัดใจที่ยังไม่จบ 55555 ช่วงหลังๆเช่รู้สึกว่าเช่ยัดคอนเท้นให้คนอ่านเยอะไปนิด ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงกันไปนะคับ ส่วนคนที่ขัดใจว่าทำไมปูนต้องยอมลุงขนาดนั้น คือยังไงดีล่ะ...ในชีวิตจริงการจะตัดญาติขาดมิตรกับใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกคับ แม้จะดูโง่ไปบ้างแต่ปูนก็มีเหตุผลอยู่นะ อยู่ที่ว่าใครจะยอมรับเหตุผลนั้นได้มากน้อยต่างกันไป เช่อยากให้ทุกคนอ่านนิยายเรื่องนี้อย่างสนุกสนานนะคับ อ่านไว้เป็นความบันเทิงอย่าเก็บไปเครียดมากเนอะๆ
ป.ล.ช่วงนี้จิตใจไม่ค่อยปกติ อาจจะมาช้ามาเร็วไม่อาจบอกได้เลยคับ นิสัยเสียมากกกกกกกกกกก
ป.ล.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ :really2:
-
สงสารปูน เหมือนลุงจะจิตปะว่ะคิดไรกะหลานตัวเอง
-
หน่วง...กับจิ๊กซอร์ตัวที่เหลืออยู่
-
เหมือน Dejavu'
เหตุการณ์แบบเดิมเวียนกลับมาอีกครั้ง
คำร้องขอที่ไม่ได้รับการตอบรับ
ไร้วี่แววความช่วยเหลือที่รอคอยจากพี่กาล
ภาวนาให้ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น
ภาวนาให้คณิตไปช่วยปูนทัน T T
-
งงว่าลุงจะหวงปูนทำไม ถ้าเกลียดเรื่องชอบผช.ก็ตัดขาดกันไปเลยสิ
-
ยังคงหน่วงกันต่อไปยาวๆ
-
ที่ลุงบอกว่ารับไม่ได้ที่ปูนมีคนรักเป็นผู้ชายนั่นก็แค่ข้ออ้าง
ฉากในห้องน้ำคืนนั้น ชื่อปูนที่ถูกเปล่งออกมา แค่นั้นก็ชัดแล้วว่าลุงคิดอะไร
ปูนยอมทนด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่ากาลจะมาช่วย
ทนด้วยความฝันโง่ๆว่าถ้าปิ่นไม่รู้ปิ่นจะมีความสุข
ซึ่งจริงๆเป็นวิธีที่โคตรผิดค่ะปูนขา
อาการทางจิตของลุงเป็นสิ่งที่คนอื่นๆ(อย่างน้อยก็คนในครอบครัว)ควรรู้
และควรส่งลุงไปบำบัดรักษากับหมออย่างถูกวิธีนะคะ
ชอบคำพูดพี่นิล "...สงสัยเด็กมันคงมีกรรม ต้องมาเจอคนเหี้ยๆแบบไอ้กาล แล้วยังมาเจอคนไม่เอาไหนอย่างมึงอีก"
-
โอ้ยปูนนนนนนนนนน :katai1: :katai1: :katai1:เลิกห่วงอิเดํกปิ่นได้แล้ววววววววว ตัวแกทุกข์ขนานนี้ อีลุงอิเห้ ไปตายซะ
นี่ไงที่กลัว กลัวอิเห้มันคิดอะไรกับปูน อีปิ่นดูพ่อ(ง)หล่อนด่วน
อย่าทำไรปูนนะ
-
ไม่เข้าใจปูน ทำไมต้องทน -_-
-
ใครไม่ช่วยเราช่วย เราจะพาปูนหนี :hao5: :o12:
-
ปูนต้องแบกรับอะไรขนาดนี้ :ling3:
-
แตกที่ 39
…การโต้กลับ...
แม้ว่าปูนจะทำงานกลางคืนแต่เขากลับไม่ค่อยชอบความมืดสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่ามันดูอ้างว้างและกว้างใหญ่เสียจนเขาไม่รู้ว่ามันมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน หากแต่ยามนี้ความกว้างใหญ่ของความมืดกลับเป็นสิ่งที่ปูนโหยหายิ่งกว่าอะไร...ขอให้ความมืดมิดนี้ได้โอบล้อมร่างกายของเขาไว้ ได้โปรด...ช่วยซ่อนเขาไว้จากเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที
‘คุณมีข้อความใหม่ 426 ข้อความ’
แสงหนึ่งเดียวในห้อง สว่างขึ้นและดับลงอีกครั้ง เช่นเดียวกับชีวิตของปูนที่ถึงอยากจะหนีไปแค่ไหนแต่เขาก็ยังคงต้องดำเนินมันต่อไปทั้งที่ไร้ซึ่งหนทาง ร่างเล็กจัดการปิดอินเตอร์เน็ตและปฏิเสธการรับโทรศัพท์ทุกทางไม่ว่ามันจะมาจากใครแม้แต่ปิ่นที่กระหน่ำโทรมาไม่หยุด
นอกจากนั้นปูนยังไม่กล้าไปเรียนหนังสือ ที่ทำงานก็ไม่ได้ไป แม้แต่สถานที่ที่เขาเคยเรียกมันว่าบ้าน...ปูนก็คิดว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้ว ห้องเช่าเล็กๆเท่าที่เงินสดของปูนจะหาได้ถูกใช้เป็นที่หลับนอนและหายใจทิ้งไปวันๆ จากหนึ่งวันกลายเป็นสอง ไล่เรื่อยมาจนถึงวันที่ห้าที่ไม่มีใครหาเขาพบ...วันที่ไม่มีใครทำร้ายเขาได้อีกนอกจากความคิดของตัวเอง
“หิวชะมัด”
ร่างเล็กควานหาเงินในกระเป๋าถือใบเล็กที่มีของอยู่ไม่กี่อย่าง เขาเจอแบงก์ยี่สิบอยู่ห้าใบและเศษเหรียญอีกหน่อย จำนวนเงินเพียงเล็กน้อยนี่บอกปูนว่าเขามีเวลาที่จะอาศัยอยู่ในหลุมหลบภัยแห่งนี้อีกแค่คืนเดียวเท่านั้น เขาไม่มีบัตรเครดิตหรือแม้แต่บัตรเอทีเอ็มติดตัวสักใบ ดังนั้นถ้าหากว่าอยากมีชีวิตต่อไป...ปูนจะต้องกลับไปที่ห้องเท่านั้น
“แวะเข้าไปเอาของแปปเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
เด็กหนุ่มปลอบใจตัวเองแล้วพาร่างที่เหนื่อยล้าไปจัดการล้างหน้าล้างตาก่อนจะออกไปเผชิญโลกภายนอกเป็นครั้งแรกในรอบห้าวัน ปูนไม่ถึงขั้นหวาดกลัวผู้คนที่มองมา แน่ล่ะ ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพปกติซะที่ไหน ร่างเล็กสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิม หน้าตาผมเผ้าก็คงดูไม่จืดตามสภาพจิตใจ เอาเถอะ ขอแค่ไม่มีใครที่นี่บังเอิญได้ดูคลิปบ้าๆนั่นก็พอแล้ว
ปูนโหนรถเมล์สายที่ผ่านหน้าหอของตัวเอง นานมาแล้วเหมือนกันนะที่เขาไม่ได้ออกมาใช้ชีวิตแบบนี้ เด็กหนุ่มหลับตาลงปล่อยให้กระแสลมที่เต็มไปด้วยควันพิษไหลผ่านร่างกายของตัวเองไป แม้ว่าโทษของมันจะรุนแรงเท่าไหร่แต่ก็คงไม่เท่าหัวใจที่บีบคั้นแรงขึ้นทุกๆนาทีที่ระยะทางนั้นสั้นลง
“บีทีเอส พี่ บีทีเอส บีทีเอสทีลงไหมพี่”
ปูนรีบก้าวลงมาจากรถทันทีที่ถึงที่หมาย น่าแปลก ทั้งๆที่อยู่บนโลกใบเดียวกัน เมืองเดียวกัน แต่ความกดดันที่ปูนรู้สึกได้จากสถานที่นี้นั้นแตกต่างจากก่อนมามากนัก เขามองไปรอบๆตัว หวาดระแวงเมื่อเห็นผู้คนยกโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ปูนก็พยายามปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆ มันจะไม่เป็นไรตราบใดที่เขาขึ้นไปเอาเงินแล้วรีบออกไปจากที่นี่ซะ
“หวังว่าลุงจะไม่อยู่ที่ห้องนะ”
ก่อนที่ปูนจะขึ้นไปบนห้องเขาก็รอบคอบพอที่จะสำรวจลาดจอดรถด้านล่างว่ามีรถของวิทยาจอดอยู่ไหม โชคดีที่ดูเหมือนว่าตอนนี้ลุงจะอยู่ที่ห้อง แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความแปลกใจให้ปูนคือรถมอเตอร์ไซด์ของชายที่ชื่อว่าอารัณย์...มันหายไปแล้ว
“พี่กาล...”
ความหวังลมๆแล้งๆถูกจุดขึ้นอีกครั้งทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารัตติกาลหายไปกับชายที่ชื่ออารัณย์จริงหรือเปล่า แต่ไม่รู้สิ สัญชาติญาณบางอย่างมันบอกกับปูนแบบนั้นเพียงแต่ที่ผ่านมาปูนทำเป็นไม่รู้สึกถึงมันมาตลอด...พอตระหนักได้ถึงความคิดของตัวเองปูนก็ยิ้มแห้งๆออกมา…นี่เขาคิดจะยอมแพ้แล้วหรอ
“อยู่ไหนนะ จำได้ว่าเอาวางไว้ตรงนี้นี่”
แม้เรื่องรัตติกาลจะสำคัญแต่เรื่องปากท้องนั้นสำคัญกว่ามาก เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในห้องของเขา ร่างเล็กก็รีบปรี่ขึ้นมาหาสมุดบัญชีที่มีเงินเก็บจากการทำงานของเขา แต่ว่ามันกลับไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ แน่นอนว่าตอนเข้ามาเขารู้สึกได้ว่าห้องของตัวเองถูกรื้อค้นแต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมานั่งสงสัย สิ่งสำคัญตอนนี้คือปูนต้องหาเงินก้อนนั้นให้เจอแล้วไปก่อนที่วิทยาจะกลับมา
“กลับมาแล้วหรอปูน”
ร่างเล็กสะดุ้งสุดแรงเมื่อจู่ๆคนที่เขากำลังนึกถึงโผล่เข้ามาจากทางด้านหลังทั้งที่ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยสักนิด เดี๋ยวนะ...
“ลุงอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
สภาพของวิทยาดูเปลี่ยนไปจนปูนตกใจ ใบหน้าที่เคยมีริ้วรอยตามอายุกลับดูอ่อนล้าและแก่กว่าวัยขึ้นมากในเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยเฉพาะรอยช้ำจางๆตามใบหน้าที่ทำให้ปูนรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
“ก็ตั้งแต่ปูนไม่อยู่ไง ปูนหายไปไหนมา”
ร่างเล็กก้าวถอยออกมาอย่างอัตโนมัติเมื่อลุงของตนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับทำสีหน้าอ่านยาก ลุงวิทย์ดูแปลกไปจนปูนรู้สึกกลัว เขาไม่น่ากลับมาที่นี่เลย...
“ลุงเป็นห่วงปูนมากเลยรู้ไหม ลุงตามหาปูนไปทั่วแต่ก็ไม่เจอ ลุงไม่รู้จะทำยังไงเลยกลับมารอที่นี่...รอจนกว่าปูนจะกลับ...แล้วปูนก็มาจริงๆด้วย
รอยยิ้มที่ตอนเด็กๆปูนเคยมองว่ามันอ่อนโยนถูกส่งมาให้ หากแต่ความรู้สึกของเจ้าของมันกลับเปลี่ยนไปจนร่างเล็กไม่อาจทนมองมันได้อีก ปูนเบือนหน้านี เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆแล้วหาทางเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจนี่
“...พอเถอะลุง ผมว่าลุงควรจบเรื่องนี้ได้แล้ว”
“โกรธลุงเรื่องวันนั้นหรอปูน ลุง...ลุงขอโทษนะ ลุงแค่โมโหไปหน่อย”
“หยุดพูดเถอะครับ ผมไม่อยากได้ยิน”
“แต่ปูนต้องฟัง!!”
คนที่ภายนอกดูอ่อนแรงแต่แท้จริงแล้วยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะบีบไหล่ของปูนจนมันเจ็บไปหมดได้ ปูนมองสีหน้าเกรี้ยวกราดของลุงแท้ๆแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา...สุดท้ายลุงก็ไม่เคยเปลี่ยน
“ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ต่อให้ลุงจะตีผม จะขู่ผม ไม่ว่าอะไรผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น...เพราะผมไม่มีอะไรให้กลัวอีกแล้วไงครับ ชีวิตของผมลุงทำลายมันไปหมดแล้วรู้ตัวบ้างไหม!!”
คนตัวเล็กพยายามจะไม่ร้องไห้ออกมา เขาไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าคนคนนี้ คนที่ครั้งหนึ่งเคยอุ้มชูชีวิตเขาอย่างดีก่อนจะทำลายมันด้วยวิธีที่ปูนไม่อาจบรรยายได้เลยว่าเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ใช่แค่ความอับอายที่เขาต้องแบกรับ หากแต่เป็นความผิดหวังและความรู้สึกผิดต่อน้องสาวอย่างปิ่น
“ลุงหวังดีกับปูนนะ ลุงแค่ไม่อยากให้ผู้ชายพวกนั้นมายุ่งกับปูน ไม่มีใครรักปูนเท่าลุงหรอกเชื่อสิ”
“ถ้าอย่างนั้นลุงก็ช่วยหวังร้ายกับผมเถอะครับ...ปล่อยผมไป...ไม่ว่าต่อไปผมเดือดร้อนแค่ไหนผมจะไม่บากหน้ากลับมาให้ลุงช่วยอีก”
“...!!”
“ขอบคุณนะครับที่รับเด็กอย่างผมมาเลี้ยง ผมขอบคุณลุงมาก แต่ผม...เป็นอย่างที่ลุงต้องการไม่ได้หรอกครับ”
ปูนหวังว่าคนคนนี้จะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น แต่ว่าดูเหมือนจะไม่ใช่...ดวงตาที่แสดงความเศร้าออกอยู่ครู่หนึ่งเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวไม่ต่างจากเมื่อก่อน...เหมือนกับครั้งแรกที่ลุงทำร้ายเขา
“เด็กโง่...คนโง่อย่างแกจะไปรู้อะไร คนอย่างแกถ้าไม่มีฉันจะทำอะไรได้ ถูกผู้ชายสวมเขามาตั้งเท่าไหร่ยังไม่รู้ตัวอีก!”
รูปถ่ายจำนวนหนึ่งถูกปาใส่หน้าของปูนอย่างแรงแต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดไม่ใช่การกระทำที่รุนแรงนั้นหากแต่เป็นสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาต่างหาก ภาพของรัตติกาลที่กำลังเดินจับมือกับลูกชายที่ยิ้มจนเห็นฟันขาวได้ครบทุกซี่...โดยที่อีกมือก็ถูกชายที่ชื่อว่าอารัณย์จับมันไว้อย่างถนอม ทั้งสองคนมองตากันแม้จะไร้ซึ่งคำพูดแต่ปูนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน
คำบอกรัก...ที่ถูกส่งผ่านสายตาสองคู่นั้น
“ดูเอาไว้ซะ! คนที่แกบอกว่ารักมันนักหนาจริงๆแล้วเป็นคนยังไง! ตอนแกมีปัญหามันเคยเข้ามาช่วยแกเหมือนฉันไหม ไม่! มันทิ้งแกไปมีคนอื่นแล้วเห็นไหม!”
คำพูดของลุงไม่ได้ทะลุเข้ามาในหัวของปูนสักนิด เพราะเขายังไม่อาจละสายตาจะภาพในมือได้เลย ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับดับไป ปูนรู้สึกผิดหวังและเสียใจ แต่มันก็มีเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นในหัวว่า...เห็นไหมกะไว้แล้วไม่มีผิด
“แล้วยังไงล่ะครับ ก็ในเมื่อเขาไม่เคยเป็นของผมจริงๆแต่แรกอยู่แล้ว”
“...!!”
“แล้วต่อให้พี่กาลจะมีใครผมก็ยังรักเขา ได้ยินไหมว่าผมรักเขา!!”
หน้าของปูนชาไปทั้งแถบเพราะแรงกระทบที่เกิดจากฝ่ามือของชายที่โมโหจนแทบคลั่ง ร่างเล็กคู้ตัวลงกับพื้น พยายามหดตัวให้เล็กที่สุดเพื่อหลีกหนีความโหดร้ายที่ลุงกำลังมอบให้เขาอย่างไม่มีผ่อนแรง
“มึงมันโง่ ไอ้ปูน มึงมันโง่!!”
“อึก...” “
มึงรักมันงั้นหรอ หึ ความรักโง่ๆน่ะสิ มึงรู้ไหมว่าตอนที่มันเห็นคลิปมึงที่ร้านมันพูดว่ายังไง…มันรังเกียจมึงแค่ไหนมึงรู้บ้างรึเปล่า!!”
“อะ อะไรนะ...”
“มันบอกกูว่ามึงมันแรด มันเกลียดมึง มันจะไม่มายุ่งกับมึงแล้ว เข้าใจรึยังว่าตัวเองมันโง่แค่ไหน เข้าใจขึ้นบ้างรึยัง!!”
ปูนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ลุงให้พี่กาลดูคลิปงั้นหรอ คลิปที่มีแต่เรื่องไม่จริงพวกนั้น...ไม่จริง พี่กาลไม่มีทางพูดแบบนั้นแน่ๆ...มันไม่จริง!
“ลุงโกหก!”
“กูไม่ได้โกหก มันเป็นคนบอกกูเองตอนที่กูพยายามตามหามึง มันบอกกูด้วยซ้ำว่าขอให้กูกักตัวมึงไว้อย่าให้มึงมาเจอมันอีก”
“ผมไม่เชื่อ!!!”
“ถ้างั้น...มาพิสูจน์กันไหมล่ะ”
“...!!”
“เอาสิ ไปถามมันให้ชัดๆเลย ว่ามันรังเกียจมึงแค่ไหน ทั้งสิ่งที่มึงทำ...สิ่งที่มึงเป็น มึงกล้าถามมันไหมล่ะ...ถ้ามึงกล้าก็ไปเลย ไปถามเลยว่ามันเคยรักมึงอย่างที่มึงรักมันบ้างไหม!!”
ชายแก่ยิ้มออกมาอย่างมีชัย เมื่อสีหน้าโกรธขึงของปูนเปลี่ยนเป็นซีดขาว ใครจะกล้า...รัตติกาลที่เห็นเขาไม่ต่างกับของตาย ปูนจะไปเอาความมั่นใจมากจากไหนว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดอย่างนั้น...ว่ารัตติกาลจะรักเขาบ้างสักส่วนเสี้ยวของหัวใจ
“ไม่จริงหรอก...ไม่จริง...ผมไม่เชื่อ”
แม้ว่าปูนจะบอกตัวเองแบบนั้นแต่คำพูดของวิทยาก็ยังคงดังวนอยู่ในหัวไม่ยอมจางหายไป ไม่ว่าจะยามตื่นหรือยามนอน ปูนก็ไม่อาจหยุดจินตนาการถึงสีหน้าของรัตติกาลที่แสดงออกถึงความเกลียดชัง และถ้อยคำว่าร้ายที่หากได้ยินสักครั้งหัวใจคงแตกสลาย ไม่ใช่หรอก...มันต้องไม่ใช่
พี่กาลต้องเชื่อเขา...เพราะพี่กาลคือคนที่เข้าใจเขาดีที่สุด
.
.
.
.
“น้องๆ จะลงป้ายนี้รึเปล่า”
กระเป๋ารถเมล์เดินมาพูดพร้อมกับสะกิดไหล่ของปูนเมื่อรถขับมาถึงป้ายหน้ามหาวิทยาลัยในเวลาหกโมงกว่าๆ ปูนรีบกุลีกุจอลงไปโดยไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณถ้าหากอีกฝ่ายไม่เรียกเขาคงนั่งเลยป้ายแน่ๆ
ร่างเล็กหมุนตัวไปรอบๆมองสถานศึกษาที่เขาไม่ได้อยากมาเลยสักนิด...ปูนยังไม่พร้อม หากแต่ข้อความจากอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งส่งมาเรื่องที่เขาขาดสอบมันเป็นเหมือนสัญญาณจากโลกความจริงที่ตอกย้ำปูนว่าเขาไม่มีวันและไม่มีทางหนีจากนรกแห่งนี้ได้ ปูนเลยต้องจำใจจากหอพักที่มืดสนิทและความคิดฟุ้งซ่านเรื่องรัตติกาลมา เพื่อนั่งอยู่ตรงหน้าอาจารย์วัยใกล้เกษียณที่ไม่ยิ้มให้เขาอย่างเคย
“เห็นแก่ที่เธอทำตัวดีมาตลอด ครูจะลองให้โอกาสเธอสักครั้ง อีกหนึ่งอาทิตย์ครูจะนัดเธอสอบ แน่นอนว่าต้องเป็นข้อสอบใหม่แล้วก็ยากกว่าเดิมด้วย”
แม้ถ้อยคำนั้นจะเต็มไปด้วยคำขู่ แต่ปูนก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงจากน้ำเสียงของอาจารย์ที่ดูแลเขามาตั้งแต่ปีหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอคงจะรู้เรื่องอะไรมาบ้างแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดมันออกมาซึ่งปูนก็รู้สึกขอบคุณอย่างยิ่ง
“ขอบคุณครับอาจารย์ ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ลำบาก”
“ไม่เป็นไร แต่ว่าครูอยากจะเตือนอะไรเราสักหน่อยนะปานภัทร์...มนุษย์เราไม่ได้มีชีวิตดีๆกันทุกคน แต่ก็เพราะว่าเป็นอย่างนั้นเราถึงต้องมีชีวิตต่อไปแล้วทำให้มันดีขึ้นให้ได้ อย่าหนีปัญหาแบบนี้อีก...เพราะมันคงไม่ใช่ทุกครั้งที่เธอจะได้รับโอกาสให้แก้ไขมันเหมือนอย่างตอนนี้ อีกไม่กี่เทอมเธอก็จะเรียนจบแล้ว อย่าให้อะไรมาขัดขวางการมีชีวิตที่ดีของเธอได้อีก...ครูเป็นห่วงเธอนะ”
ปูนรับฟังคำทุกคำอย่างตั้งใจ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ผู้หญิงตรงหน้าด้วยน้ำตา เขาเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์ด้วยหัวใจที่โล่งยิ่งกว่าเดิม จริงอยู่ที่ปัญหาทุกอย่างยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องของลุงที่หายหน้าไปนับตั้งแต่วันนั้น เรื่องของรัตติกาลที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ และเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกไม่สมหวังของใครบางคน
ความรู้สึกของแมน ที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาทางนี้
“ปูน เดี๋ยวก่อน ปูน!!”
ปูนไม่คิดจะอยู่ฟัง ทันทีที่เห็นหน้าอีกฝ่ายเขาก็รีบเดินจ้ำออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งหนีเมื่อพ้นเขตของห้องเรียน เสียงของแมนยังดังตามมาไม่ห่าง โดยที่ยิ่งฟังปูนก็ยิ่งคิดถึงเรื่องคืนนั้น น่าเสียดายที่สรีระระหว่างทั้งสองคนต่างกันมาก ทำให้แมนที่วิ่งตามมาทันสามารถคว้าแขนของเขาไว้ได้
“ปูน ขอร้องล่ะ คุยกับเราก่อนได้ไหม”
“ปล่อย! ไปให้ไกลๆแล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก!”
“ขอโทษ เราผิดไปแล้วปูน ขอโทษ...ขอโทษจริงๆนะ”
ร่างเล็กไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อคนที่เคยทำร้ายเขาอย่างแสนสาหัสกำลังคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวขอโทษปูนทั้งน้ำตา นักศึกษาที่เริ่มเดินเข้ามาในตึกต่างหันมามองแล้วซุบซิบราวกับว่าพวกเขาไม่มีทางได้ยินคำพูดพวกนั้น
“ลุกขึ้น แค่เรื่องตอนนั้นมึงยังทำให้กูอายไม่พอรึไง”
“ไม่ จนกว่าปูนจะยกโทษให้เรา”
“มึงคิดว่ามึงทำขนาดนั้นแล้วกูจะยกโทษให้ง่ายๆหรอวะ กูถามจริงๆแมนว่ากูไปทำอะไรให้มึงนักหนา กูเพิ่งได้คุยกับมึงไม่นานมานี้ด้วยซ้ำ!”
“ก็เพราะแบบนั้นแหละมั้ง...เราถึงรู้สึกทนไม่ได้”
แมนเงยหน้าขึ้น จนทำให้ปูนสามารถเห็นความเปียกชื้นที่เต็มไปด้วยความเศร้าได้อย่างถนัด ใบหน้าที่สาวๆในกลุ่มต่างชมว่ามันหล่อเหล่าดูโทรมไปถนัดตา รอยช้ำตรงมุมปากยังไม่จางลงไปเลยด้วยซ้ำ แมนเอื้อมมือขึ้นมา หวังจะจับมือของปูนไว้แต่ก็เปลี่ยนใจ...ชายหนุ่มเก็บมือของตัวเองลงข้างกายอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“ตอนนั้นเราโกรธที่ปูนไม่เคยรับรู้ความรู้สึกของเราเลยทั้งๆที่เรามองแต่ปูนมาตลอด ต่อให้เราพยายามเข้าใกล้ปูนแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ปูนจะมองมาที่เรา แม้แต่ตอนที่เราบอกว่าเราชอบปูนมาก...ปูนก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน”
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ให้บอกมึงว่ากูไม่เคยเห็นมึงในสายตางั้นหรอ”
“อืม...ถ้าปูนพูดแบบนั้นซะมันยังดีกว่า”
“...!!”
“อย่างน้องเราจะได้รู้ว่า เราพยายามมาพอแล้ว”
‘ให้ผมได้ช่วย ได้อยู่ข้างพี่ต่อไปไม่ได้หรอครับ...จนกว่าพี่จะได้สิ่งที่ต้องการ...เมื่อถึงวันนั้นผมจะไปจากพี่เอง’
ขอแค่พี่บอกผม...บอกผมสักคำเท่านั้น
แมนมองปูนอย่างแปลกใจเมื่อจู่ๆร่างเล็กที่มีท่าทีเกลียดชังเขากลับเปลี่ยนสีหน้า มันดูเศร้าสร้อยและตัดพ้ออย่างน่าประหลาดจนชายหนุ่มยอมลุกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปใกล้เพื่อจับแขนของปูนไว้
“เราขอโทษนะที่ทำไปแบบนั้น แต่ปูนไม่ต้องห่วงเราให้พ่อตามเก็บคลิปทั้งหมดมาแล้ว ถึงแม้เราจะห้ามปากคนไม่ได้...แต่อีกไม่นานทุกคนคงจะรู้ความจริงว่าเราแค่โกหก...ทุกคนจะรู้ว่าปูนไม่ได้ทำแบบนั้น”
“คลิปงั้นหรอ...”
“อืม มันอยู่ที่เราทั้งหมดถ้าปูนอยากจะได้เราให้ก็ได้นะ แต่ว่าวันนี้เราไม่ได้เอามา...ปูนค่อยมาเอาวันอื่นได้ไหม”
ถึงแม้คำพูดของแมนจะสะกิดใจเขาได้ แต่ปูนก็ยังไม่คิดจะยกโทษให้ชายคนนี้ เขามองคนตรงหน้าด้วยสายตาติดจะระแวงจนแมนต้องรีบอธิบาย
“คือเราไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีนะ แต่เราไม่ได้เอามาจริงๆ”
“งั้นส่งไฟล์มาก็ได้”
“คือมัน...”
“...”
“โอเคๆ เราขอโทษ...จริงๆแล้วเราหวังอยากจะไปกินข้าวกับปูนสักครั้งน่ะ เพราะถ้าหากได้คลิปคืนไปแล้วปูนคงไม่อยากมองหน้าเราอีก”
“ตอนนี้ก็ไม่อยาก”
คำพูดตรงๆของปูนทำให้คนฟังหัวเราะแหะๆออกมาอย่างน่าอาย ร่างเล็กมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งไม่ชอบ โกรธเคือง...และเห็นใจ
“ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากนี้เราสองคนไม่ต้องมายุ่งกันอีก”
“...!!”
“กูจะไม่พูดให้มึงรู้สึกดีว่ากูให้อภัยมึงได้ ต่อให้สิ่งที่กูทำมันจะทำร้ายความรู้สึกมึงจริงๆก็เถอะ แล้วบอกไว้อย่างนะว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้วต่อให้มึงใช้โอกาสครั้งนี้พยายามแค่ไหนมันก็เท่านั้น...กูไม่มีทางชอบมึง เข้าใจไหมแมน”
“อืม เราเข้าใจ ขอบคุณนะที่ยอมไปกับเรา”
“...”
“เราสัญญา...ว่าเราจะทำให้ปูนรู้สึกสนุกที่สุดเลย”
ปูนไม่ได้คาดหวังความสนุกจากคำสัญญาของแมนเท่าไหร่นัก เขาแค่อยากทำให้เรื่องทุกอย่างจบไม่ว่าจะเป็นคลิปหรือความรู้สึกของอีกฝ่ายที่เขาไม่อาจตอบแทนได้ ร่างเล็กเดินทางมายังห้างสรรพสินค้าที่แมนนัดไว้โดยเลือกที่จะมาถึงช้ากว่าเวลานัดนิดหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าแมนมาถึงที่นี่ก่อนเขาอย่างน้อยก็นานพอที่จะทำให้กาแฟยี่ห้อดังละลายจนไม่น่าทานเหมือนเก่า
“แต่งซะเต็มยศเลยนะ”
ไม่อยากทักเท่าไหร่หรอก แต่การแต่งกายของแมนวันนี้ออกจะแปลกตาไปมากเมื่อชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่นั้นให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ผิดกับทุกครั้ง ในขณะที่ปูใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดาไม่บ่งบอกถึงความใส่ใจ
“ก็เราเห็นปูนชอบคนมีอายุไงเลยใส่มา”
“...”
“เฮ้ย อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ เราล้อเล่น อย่าโกรธนะ”
ปูนออกอาการขำไม่ออกเมื่อถูกล้อเล่นแรงๆแบบนั้นแต่ก็ทำได้แค่สะบัดหน้าแล้วเดินหนีจนแมนที่เพิ่งรู้ตัวว่าแกล้งแรงไปมากต้องรีบวิ่งมาง้อ
“ขอโทษจริงๆนะปูน คือเราไม่รู้ว่าควรจะแต่งตัวออกมายังไงเลยไปยืมชุดพี่ชายมาใส่น่ะ ไม่ได้จะล้อปูนเลยนะ”
“ช่างมันเหอะ ไหนล่ะร้านที่จะไปกิน”
“อยู่ข้างหน้านี่แหละ ปูนยังโกรธเราอยู่อีกหรอ”
ปูนไม่ตอบ เขาทำแค่สาวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่การพบกันครั้งสุดท้ายจะได้จบๆไปได้สักที แมนพาปูนมายังร้านอาหารฟิวชั่นที่ปกติต่อให้มีเงินร่างเล็กก็ไม่คิดจะมาใช้บริการเพราะราคาของมันนั้นดูไม่เหมาะสมกับปริมาณที่ได้มาเลยสักนิด
“ปูน เราถามอะไรสักอย่างได้ไหม”
แมนเอ่ยปากถามขณะที่ปูนเอาแต่เขี่ยสลัดอาโวคาโดในจานของตัวเองไปมา เขาเลือกกินแต่สิ่งที่ตัวเองชอบแล้วเหลือของที่ไม่ชอบทิ้งเอาไว้
“อยากถามอะไรก็ถาม แต่ไม่รับปากนะว่าจะตอบ”
“อืม...เราอยากรู้ว่าจริงๆแล้วไอ้ลุงนั่น...เราหมายถึงลุงที่มีเรื่องกับเราวันนั้นเขาเป็นอะไรกับปูนกัน...”
แกร๊ง!
ยังไม่ทันที่แมนจะได้พูดจบประโยค ปูนก็โยนส้อมในมือของตัวเองลงบนจานจนผู้คนในร้านหันมามองทางนี้กันหมด ใบหน้าติดจะเฉยชาของร่างเล็กเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ จนแมนต้องรีบขอโทษอีกครั้ง
“ขอโทษ เราไม่อยากรื้อฟื้นอะไรหรอก เราแค่สงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องทำร้ายปูนแบบด้วย”
“สาบานมาสิว่ามึงสงสัยแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้อยากเสือกเรื่องอื่น”
“โอเค...ยอมรับก็ได้...ก็ลุงนั่นมันพูดจาแปลกๆกับเรา สายตาที่มันมองปูนก็ไม่น่าไว้ใจ เราเป็นห่วงนะ เราไม่อยากให้ปูนยุ่งกับคนแบบนั้นอีก”
“หึ รู้สึกว่ากูนี่มีแต่คนเป็นห่วงทั้งนั้นเลยนะ ห่วงว่าจะไปเสียรู้คนโน้นคนนี้ทั้งๆที่ตัวเองนั่นแหละที่เอาแต่ทำร้ายคนอื่น”
แมนหน้าเสีย แต่ก็ยอมอ่อนให้ปูนด้วยการบอกขอโทษอีกครั้งแล้วยุติบทสนทนาทุกอย่างลงในทันที อาหารที่รสชาติแย่อยู่แล้วยิ่งแย่ขึ้นอีก ปูนอยากจะกลับก็กลับไม่ได้เพราะเขายังไม่ได้ของที่ต้องการ
“แล้วเรื่องคลิปล่ะ เอามารึยัง”
“อืม เอามาแล้ว อยู่ในนี้ไง”
แฟลช์ไดร์ฟอันเล็กถูกยื่นไปให้โดยไม่มีการตุกติก ปูนรับมันมาพร้อมกับนำภาพความทรงจำในคืนนั้นย้อนกลับมาด้วย
“แน่ใจใช่ไหมว่าไม่มีไฟล์นี้เก็บไว้ที่อื่นอีกแล้ว”
“อืม แม้แต่ที่เราก็ไม่มี”
ปูนไม่รู้ว่าเขาเชื่อใจคนคนนี้ได้มากแค่ไหน แต่สำหรับคนที่ไร้ซึ่งหนทางตัวเลือกสำหรับเขามันมีไม่มากนัก ร่างเล็กไม่แม้แต่จะขอบคุณคนที่เริ่มต้นเรื่องทุกอย่าง เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไปเปราะหนึ่งแล้วมองออกไปด้านนอกตัวร้านเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง...แล้วเขาก็เห็นมัน
“พี่กาล...”
:z10:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z10:
-
ชายที่ปูนรักกำลังเดินมากับเพื่อนสนิทที่ปูนเคยเห็นหน้าอยู่ครั้งหนึ่ง รัตติกาลในวันนี้ดูสดใส เดินคุยไปหัวเราะไปจนผู้คนที่พบเห็นต่างก็หันกลับมามองคนที่โดดเด่นเสมอไม่ว่าจะไปที่ไหน ไวกว่าความคิดปูนลุกขึ้นจากโต้ะแล้วเดินตามรัตติกาลกับนิลไปจนเห็นว่าทั้งคู่หายเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งใกล้ๆกับร้านที่เขากับแมนนั่งอยู่ พี่กาลอยู่ที่นี่...พี่กาลกลับมาแล้ว
“มีอะไรรึเปล่าปูน ลุกออกมาทำไม”
“มึงกินข้าวเสร็จรึยัง กูมีธุระจะไปทำต่อ”
ปูนอยากจะไปหารัตติกาล อยากจะไปถามว่าร่างสูงหายไปไหนมาทำไมไม่เคยติดต่อมาหาเขาเลย โทรศัพท์หลายสาย ข้อความทั้งหมดที่ปูนส่งไปรัตติกาลเคยได้รับมันบ้างไหม เคยมีความคิดจะกลับมาหาเขาบ้างรึเปล่า...ภายในหัวของปูนมีแต่คำถามเหล่านี้วิ่งเวียนอยู่ไปมา จนแมนที่เห็นช่องว่างนั้นแปลกใจ
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครหรอ...เขาเป็นแฟนของปูนใช่ไหม”
“...นั่นไม่ใช่เรื่องของมึงไม่ใช่หรอ”
ร่างเล็กบอกปัดเพราะเขาไม่อาจตอบคำถามของแมนได้ ปูนไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานะอะไรหรือว่ายืนอยู่ตรงไหนในชีวิตของชายคนนั้น เขารู้แค่ว่าตอนนี้รัตติกาลคงมีคนอื่นที่ดีกว่าคอยดูแลแล้ว แต่เขาล่ะ...เขาควรทำยังไงต่อไป
“แมน กูขออะไรสักอย่างได้ไหม”
“อะไรหรอ”
“ช่วยเดินไปแล้วก็ไม่ต้องพูดอะไร...แค่ยิ้มให้กูอย่างเดียวก็พอ”
ยังไม่ทันที่แมนจะได้ตอบ ปูนก็คว้าแขนของคนข้างกายมากอดไว้แล้วออกแรงลากให้เดินไปด้วยกัน เขาพยายามมองเข้าไปในร้านจนเห็นว่ารัตติกาลและนิลนั่งอยู่ตรงไหน ปูนหยุดขาที่กำลังก้าวเดินแล้วไตร่ตรองถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ
เขากำลังหวังอะไรจากมัน...และเขาจะได้อะไรจากมัน...ปูนไม่รู้คำตอบสักอย่าง เขารู้แต่ว่าขอแค่เพียงสักครั้งที่จะยืนยันกับตัวเองว่าสำหรับรัตติกาลแล้วปูนยังเป็นคนที่สำคัญอยู่
“ปูนจะทำมันหรอ”
แมนพูดขึ้นพร้อมกับมองร่างเล็กอย่างรู้ทัน รอยยิ้มแบบที่ปูนไม่ชอบใจมันเท่าไหร่นักถูกจุดขึ้นมา...รอยยิ้มที่ทำเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่าง
“พูดมากน่า...”
ปูนพูดก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานหยดให้แมนทั้งที่ในใจนั้นไม่ใช่ เท้าสองคู่ก้าวเดินออกไป แสร้งทำเป็นหัวเราะแล้วเบียดกายเข้าหากันเหมือนกับคนรัก...ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ปูนก็ยิ่งทำเป็นร่าเริงมากขึ้นเท่านั้นในขณะที่ดวงตาก็พยายามเหลือบมองเข้าไปในร้านที่มีรัตติกาลนั่งอยู่
“เขามองปูนใหญ่เลยนะ ดูท่าจะโมโหมากด้วย”
แมนบอกหลังจากที่พวกเขาเดินพ้นออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าปูนจะไม่พอใจแค่นั้น ทำไมพี่กาลไม่เดินออกมา เมื่อกี้ก็มองเขาอยู่ไม่ใช่รึไง
“ปูน”
“อะไร”
“รู้ไหม ว่าทำไมผมถึงชอบปูนมาก”
“พูดบ้าอะไรของมึง”
ปูนบ่นอย่างหงุดหงิด เพราะภายในหัวเอาแต่คิดถึงเรื่องของรัตติกาลเลยทำให้ไม่สามารถเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนข้างๆ
“แค่อยากจะบอกน่ะว่าผมชอบปูนมาก โดยเฉพาะเวลาที่ปูนทำตัวร้ายกาจ ชอบปั่นหัวผู้ชายเล่นแบบนี้...ปูนน่ารักมากเลยนะรู้ตัวไหม”
ปูนรู้สึกขนลุก เขารีบหันมาแล้วเบี่ยงตัวหนีมือของแมนที่เอื้อมเข้ามาใกล้หมายจะจับแก้มของตนไว้ แต่คนที่ถูกปฏิเสธกลับไม่ได้ว่าอะไร แมนทำแค่หัวเราะเล็กน้อยแล้วเดินนำหน้าไปยังส่วนของร้านค้าเท่านั้น
“ไหนๆก็มาถึงแล้ว ไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ”
“คือกู...”
“น่า ผมไม่ทำอะไรหรอก แค่อยากได้แก้วไวน์สวยๆไปตอบแทนพี่ชายเรื่องเสื้อผ้าน่ะ ปูนน่าจะเลือกเก่งกว่าผมช่วยหน่อยไม่ได้หรอ”
ปูนไม่อยากช่วยเลยสักนิด แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับทำให้เขาปฏิเสธแมนออกไปไม่ได้ พวกเขาพากันเดินไปยังร้านขายแก้วรูปทรงต่างๆ โดยปูนจัดการเลือกแก้วสำหรับไวน์และอย่างอื่นอีกสองสามชิ้นให้ก่อนที่แมนจะเป็นคนจ่าย มันควรเป็นช่วงเวลาดีๆใช่ไหม...แต่ตลอดเวลาที่เดินเลือกของด้วยกันปูนกลับรู้สึกแย่จนอยากจะเดินหนีไปให้พ้นๆ
“แมน กูอยากกลับบ้านแล้ว”
“เอาสิ น่าจะได้เวลาพอดี”
“...?”
“เราหมายถึง เวลาที่พี่ชายเราจะกลับบ้านน่ะ”
ปูนพยายามไม่ใส่ใจมันแล้วเตรียมจะหมุนตัวกลับไปยังหน้าห้างเพื่อขึ้นรถเมล์ แต่เขากลับโดนแมนรั้งตัวไว้ด้วยเหตุผลว่าจะขับรถไปส่งเพื่อตอบแทนน้ำใจที่ปูนยอมมาซื้อของด้วยทั้งที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ ร่างเล็กพยายามปฏิเสธ แต่ด้วยลูกตื้อที่ทั้งน่ารำคาญและมีแรงคุกคามอย่างที่อธิบายไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีทั้งปูนและแมนก็มาถึงลานจอดรถที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้สักคน
“มาเถอะ อย่ากลัวไปเลยเราไม่ทำอะไรปูนหรอก”
แมนว่าแล้วปล่อยให้ปูนเดินนำไปทั้งๆที่ความจริงปูนอยากจะเดินตามหลังแล้วแอบเนียนชิ่งหนีไปเลยมากกว่า แต่ลานจอดรถเงียบๆที่แม้แต่เสียงการก้าวเดินยังได้ยินอย่างชัดเจนแบบนี้ต่อให้ปูนพยายามจะหนีก็คงทำไม่ได้ง่ายๆ ร่างเล็กมองซ้ายมองขวา พยายามหาว่าที่นี่มีคนอื่นนอกจากพวกเขาอยู่ไหม แต่ยังไม่ทันที่ปูนจะได้ทำอะไรริมฝีปากเล็กๆนั่นก็ถูกมือของแมนบีบเข้าเต็มแรง
“อื้อ!”
ปูนถูกผลักจนกระแทกเข้ากับฝากระโปรงรถอย่างแรงจนร่างเล็กต้องนิ่วหน้า แต่ปูนไม่มีเวลาแม้แต่จะโอดครวญเมื่อเสื้อผ้าบางส่วนของเขากำลังถูกแมนพยายามกระชากมันออกมาด้วยแรงที่มากอย่างไม่น่าเชื่อ
“หยุดนะ มึงจะทำอะไร!”
“ก็ค่าตอบแทนสำหรับเรื่องวันนี้ไง ไม่เห็นต้องถาม”
“...!!”
“ทั้งๆที่คิดว่าจะยอมปล่อยปูนไปแล้วเชียว แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ...ผมบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าปูนเวลาทำตัวร้ายๆน่ะ ผมชอบมันมากจริงๆ”
ร่างเล็กพยายามเบี่ยงหนีริมฝีปากที่หมายจะก้มลงมาจูบเขา แต่ด้วยพละกำลังที่ต่างกันมากเกินไปปูนจึงไม่อาจปัดป้องสัมผัสของแมนได้ทุกอย่าง เขาทำได้เพียงแค่ขัดขืนแต่มันก็จบลงที่เป็นการเปิดโอกาสให้ไอ้สารเลวนี่สัมผัสตัวเขาได้มากขึ้นเท่านั้น ใจของปูนสั่นด้วยความกลัวร่างกายก็เช่นกัน
“ปล่อยนะ อื้อ พอ บอกให้พอไง!”
“ปฏิเสธให้มากกว่านี้หน่อยสิ ทำแบบนี้ปูนหนีผมไม่พ้นหรอกนะรู้ไหม”
ลิ้นสากๆลากไล่ไปตามลำคอขาว น้ำตาของปูนแทบจะระเบิดออกมาด้วยความกลัวและตกใจแต่แมนก็ไม่หยุด ความขยะแขยงแล่นริ้วขึ้นมาจนปูนแทบจะเป็นบ้า ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยผมด้วย
“อย่า อื้อ อย่านะ”
“ฉิบหาย ไอ้กาลใจเย็นๆ!”
เสียงโยนของโครมใหญ่ดังขึ้นก่อนตัวของแมนจะถูกกระชากออกจากปูน ในเสี้ยววินาทีนั้นปูนยอมสาบานด้วยทุกสิ่งทุกอย่างว่าเขาเห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มราวกับว่าเป็นผู้ชนะ...ก่อนที่ปูนจะเห็นว่าคนที่เข้ามาช่วยเขาไว้คือใคร
“พะ พี่กาล”
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ ปล่อยกูนะเว้ย!”
คนที่ทำหน้าสะใจอยู่เมื่อครู่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและโวยวายเสียงดัง แต่สายตาของรัตติกาลตอนนี้ไม่ได้จับจ้องไปที่ใครอื่นนอกจากปูน..มันเป็นสายตาที่มีแต่ความผิดหวังและแค้นใจ ฝ่ามือที่แข็งแกร่งของรัตติกาลบีบลำคอของแมนแน่นด้วยโทสะจนคนที่หมายให้ปูนได้ผิดใจกับคนรักเริ่มเกิดอาการหายใจไม่ออก
“ปูนทำแบบนี้ได้ยังไง ทำอะไรลงไปห๊ะปูน!”
“ไอ้กาล ปล่อยเขาก่อน ใจเย็นๆสิวะ!”
นิลซึ่งเดินตามมาพยายามดึงรัตติกาลออกจากแมนที่ทรุดลงไปหายใจหอบกับพื้นแล้วหันมามองปูนอย่างคาดโทษโดยที่ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเลยสักนิด แมนสบถอย่างหัวเสีย ทำไมเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะคนอย่างปูนอีกครั้งทั้งๆที่ตอนแรกกะว่าจะเข้ามาใกล้ชิดเพื่อหาทางแก้แค้นให้สะใจ ช่วยไม่ได้ อย่างน้อยขอเอารูปพวกนั้นกลับคืนมาก่อนแล้วกัน
“ทำอะไร มึงจะเอาของกูไปไหน!”
แมนที่เพิ่งหลุดจากรัตติกาลมาได้ตรงเข้าไปยื้อกระเป๋าของปูนแล้วควานหาแฟรชไดร์ฟที่เขาเพิ่งให้ร่างเล็กไปเมื่อก่อนหน้านี้ ปูนที่รู้ดีว่าคนคนนี้กำลังหาอะไรพยายามขัดขวางแต่ด้วยสรีระที่ต่างกันมากทำให้การต่อสู้ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป แมนผลักปูนจนล้มลงกับพื้นแล้ววิ่งหนีไปทั้งๆที่รถของตัวเองก็อยู่ตรงนั้น โดยทิ้งปูนไว้ให้มองตามความหวังริบหรี่ที่ค่อยๆจางหายไปจนเหลือแต่ความมืดมิด
“เป็นเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ปูน ทำอะไรอยู่รู้ตัวบ้างไหม!”
ปูนนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยความผิดหวังโดยมีเสียงของคนที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่างกำลังด่าทอปูนด้วยคำพูดที่ปูนเกลียดมันที่สุดที่สุด...คำพูดที่สื่อว่าปูนนั้นสกปรกเกินกว่าที่รัตติกาลจะรับได้ ที่ลุงพูดไว้เป็นความจริง...พี่กาลไม่เคยเชื่อสักนิดว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น
สุดท้ายรัตติกาลก็ไม่ต่างจากคนอื่น
คนที่บอกว่าเขาเลวทั้งๆที่ไม่เคยมองมาที่เขาเลย
“รู้สิครับ...อย่างน้อยก็มากกว่าที่พี่รู้”
“พี่ควรรู้อะไรมากกว่านี้อีกหรอปูน ยังมีอะไรทุเรศมากกว่าสิ่งที่พี่เห็นอีก!”
“พี่กาล!”
“ไอ้กาลมึงพูดแรงไปแล้วนะเว้ย!”
นิลเข้ามาผลักรัตติกาลออกไปเพื่อให้ทั้องสองคนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หากแต่มันก็ไม่อาจปิดกั้นสายตาที่มามองยังปูน สายตาที่เหมือนกับว่าครั้งหนึ่งเราไม่เคยรู้สึกดีต่อกัน
“ทำไมพี่พูดแบบนี้...ใจร้าย ฮึก ต่อให้พี่ไม่เคยรักผมแต่แบบนี้มันเกิดไปแล้วนะ!!”
ปูนเดินฝ่านิลไปหารัตติกาล ร่างเล็กใช้หมัดที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเองกระหน่ำต่อยไปที่ไหล่ขวาของคนที่เคยรักอย่างบ้าคลั่ง...เขาไม่ได้หวังให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย...ปูนอยากจะชกเข้าใจที่หัวใจดำๆดวงนั้นแต่เพราะน้ำตาทำให้การมองเห็นของปูนมันพร่าเลือนเต็มที
“ผมทำอะไรผิด บอกผมสิพี่กาลว่าผมทำอะไรผิด!”
“...พี่ว่าปูนน่าจะรู้ตัวอยู่แล้วนะ”
“หึ ใช่ ผมรู้ตัวว่าผมผิด แล้วพี่ล่ะครับ...รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าตัวเองก็เลวพอๆกัน”
แม้มันจะเป็นความเลวที่ปูนไม่ได้ก่อ แต่มันก็ทำให้เขารู้ตัวถึงความอยุติธรรมที่โหดร้าย...ในขณะที่ปูนร้องไห้รัตติกาลกำลังหัวเราะอยู่กับคนอื่น...ในขณะที่ปูนกำลังทรมานเพราะความโดดเดี่ยวรัตติกาลกลับมีคู่คิดอยู่เคียงข้าง
ปูนปารูปถ่ายที่ทำให้ปูนตระหนักถึงความจริงข้อนี้เข้าที่ใบหน้าของรัตติกาลเต็มแรง ภาพของคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักและเชื่อใจปรากฎขึ้นมาพร้อมๆกับชายที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่ารัตติกาลเกลียดชังนักหนา แต่ตอนนี้กลายเป็นทุกอย่างมันกลับตาลปัตร
คนที่รัก...กลายเป็นไม่รัก
คนที่เกลียด...กลายเป็นผูกพัน
หากว่านี่เป็นความฝันมันก็คงเป็นฝันร้ายที่สุดเท่าที่ปูนเคยเจอ
“ผมไม่เคยเรียกร้องอะไร ผมยินดีเดินไปจากพี่ถ้าพี่ต้องการ...แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ พี่ปล่อยให้ผมรอ พี่ทิ้งผมไว้คนเดียวแล้วไปมีความสุขกับมัน ฮึก พี่คิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไง!”
“...”
“พี่เคยบอกผมว่าเกลียดการทรยศ ฮึก แล้วทำไมถึงทำมันซะเองล่ะครับ ทำไม...พี่กาลต้องทรยศผมด้วย”
“ปูน...”
“แค่พี่บอกผมก่อน...แค่บอกผมเท่านั้นพี่กาล”
แค่เพียงพี่บอกผมว่าต้องไป แค่เพียงพี่บอกว่าพี่ไม่เคยเชื่อผม...
“ผมคงจะไม่...รู้สึกเกลียดพี่มากขนาดนี้”
ปูนเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับคนที่ทำลายความเชื่อใจของเขาจนป่นปี้ ชายที่ปูนเคยคิดว่าเข้าใจตัวเขามากที่สุด...ชายที่ปูนเคยคิดว่าต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักรัตติกาลก็จะไม่มีวันทรยศความเชื่อใจที่เขามีให้
“พี่อธิบายได้”
“มันสายไปแล้วครับ...พี่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
ปูนลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยขาสองข้างของตัวเอง แม้ว่ามันจะเจ็บจนเขาอยากกรีดร้องออกมา แต่ปูนกลับเก็บมันไว้ กลั้นน้ำตาแล้วเอ่ยคำสาปแช่งออกไป
“สักวันพี่จะต้องชดใช้...ด้วยทั้งหมดที่พี่มี”
.
.
.
.
.
.
.
“พี่ปูนๆ หรี่ไฟหน่อยจะไหม้แล้วพี่”
เสียงหวานๆของปิ่นปลุกปูนที่กำลังจมดิ่งไปกับอดีตของตัวเองให้กลับมาได้สติ เขารีบหรี่ไฟที่กำลังเคี่ยวน้ำเชื่อมให้เบาลง เกือบไปแล้ว...
“แปลกจัง ปกติปิ่นไม่เคยเห็นพี่เหมอเวลาทำขนม”
“พี่แค่เหนื่อยๆน่ะ ขอบใจนะที่เข้ามาบอก”
ปูนยิ้มให้กับปิ่นน้อยๆก่อนจะส่งลูกชุบที่เพิ่งทำเสร็จไปให้ปิ่นชิม
“อื้มมม อร่อยเหมือนเดิมเลย ว่าแต่พี่ปูนคิดเรื่องอะไรอยู่หรอคะ บอกปิ่นได้ไหม เห็นทำหน้ายุ่งเชียว”
“ก็...เรื่องสมัยก่อนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ร่างเล็กยิ้มหวานแล้วบอกปัด เขาไม่มีทางบอกให้ปิ่นรู้ถึงเรื่องราวโสมมในอดีตที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นอันขาด ไม่ว่าจะด้วยเพราะอะไร แต่ดูเหมือนว่าปิ่นจะยังไม่รู้เรื่องนั้นแม้ว่าแมนจะได้คลิปคืนไปแล้วซึ่งปูนก็ไม่มีโอกาสได้เจออีกฝ่ายอีกจนกระทั่งวันที่เขากับคณิตพาขิงกับโต้งไปที่ผับ
“พี่ปูนมีอะไรก็เล่าให้ปิ่นฟังได้นะ ปิ่นอยากจะถามอยู่หรอกแต่รู้ว่าพี่ปูนคงไม่ยอมตอบ งอนจะเลิกงอนไปแล้วเนี่ย”
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า แค่เรื่องไร้สาระน่ะ”
“เรื่องไร้สาระแล้วทำไมเล่าไม่ได้ล่ะคะ ปิ่นอยากรู้มาตลอดเลยนะว่าพี่ปูนไปเจออะไรมา ทำไมถึงหายไป...แล้วก็ไปทำอะไรมาบ้าง”
มือที่กำลังหยอดไข่แดงลงไปในน้ำเชื่อมชะงักค้างกับคำถามข้อสุดท้ายที่เลวร้ายที่สุด...ใช่ เลวร้ายมาก...มันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่ทำให้เขากับคณิตต้องมีจุดจบแบบนี้
หลังจากรู้ซึ้งถึงคำว่าทรยศที่รัตติกาลมอบให้ ปูนก็กลับมาเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นแล้วทิ้งทุกอย่างที่เคยมีไว้เบื้องหลังก่อนจะออกเดินทางไปใช้ชีวิตที่เละเทะไม่ต่างจากหัวใจของเขา...ปูนรู้สึกทรมานกับการมีชีวิต เพียงแค่หลับตาลงเรื่องราวเลวร้ายมากมายก็ย้อนกลับเข้ามาจนปูนไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ปูนรอคอยปาฏิหารย์ที่สามารถทำให้เขารู้สึกดีกับตัวเองอีกครั้ง...แต่มันก็ไม่มี จนสุดท้ายหัวใจที่อ่อนล้าดวงนั้นก็ทำให้ปูนตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
เขาทำร้ายชีวิตของตัวเองด้วยวิธีที่โง่ที่สุด
ปูนก้าวลงไปในโคลนตมแห่งตัญหานั้นให้สมกับที่คนอื่นตีค่า
เขากรีดร้องออกมาผ่านเสียงครางที่สุขสม หากแต่แท้ที่จริงแล้วยิ่งปูนระบายมันออกไปมากเท่าไหร่ ช่องว่างในตัวของเขาก็ยิ่งขยายมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่เชื่อใจใครอีก แม้แต่ตัวเองปูนก็ไม่เชื่อมัน ไม่ต้องพูดถึงความรักที่กลายมาเป็นเรื่องโง่เง่าที่เลวร้ายที่สุดซึ่งเขาไม่คิดจะมีมันอีก...จนกระทั่งวันที่คณิตก้าวเข้ามา
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ...อย่างน้อยพี่ก็คิดว่าตัวพี่เองได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว”
“...?”
“พี่ไม่อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน และจะไม่มีวันกลับไปเป็นแบบนั้นอีก”
ใช่...ตัวเขาที่เอาแต่กล่าวโทษโลกใบนี้แล้วหนีปัญหาไม่มีอยู่อีกแล้ว คณิตได้ทำลายมันลงไปในวันที่ทำให้ปูนเข้าใจว่าความรักแท้จริงนั้นเป็นยังไง
‘ความรักที่ไม่ทำร้ายตัวเอง’
“ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะค่ะ”
ปิ่นยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปกอดปูนไว้จากทางด้านหลัง ร่างเล็กหัวเราะออกมาน้อยๆ ให้กับความโง่เง่าของตัวเองในสมัยก่อนและโชคชะตาที่เล่นตลกกับชีวิตเขามาจนถึงทุกวันนี้
ไม่เป็นไรนะปิ่น เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้...ปูนบอกกับตัวเองแบบนั้นแล้วพยายามหาทางมีชีวิตต่อไปโดยไม่ทำให้คณิตเดือดร้อนอีก แน่นอนว่าตอนที่คณิตพยายามมาพาเขากลับไปปูนรู้สึกเหมือนกับว่าแสงสว่างในชีวิตมันโชติช่วงขึ้นอีกครั้ง แต่โคลนตมที่ฝั่งกลบเท้าของเขาไว้มันกลับหนักหนาเกินกว่าจะทานทัน...
เขาจะทำให้คณิตเดือดร้อนไม่ได้
เขาจะไม่มีวันให้ลุงมาทำร้ายคนที่เขารักได้เป็นอันขาด
“คุณ เห็นหนังสือพิมพ์ของวันนี้รึเปล่า ผมหาไม่เจอเลย”
เสียงของวิทยาที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกดังขึ้น ทำให้ปูนและปิ่นที่กำลังให้ความสนใจอยู่กับการทำขนมหันไปมอง
“อยู่ในครัวค่ะ ให้ลูกหยิบไปให้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเดินไปหยิบเอง”
วิทยาเดินเข้ามาในห้องครัวก่อนจะหยิบเอาหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะไปโดยแอบเหลือบมองหน้าปูนเล็กน้อย แต่ร่างเล็กก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน เขาหันกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่โดยมีปิ่นคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง
ปัง!
“นี่มันอะไรกัน!!”
ยังไม่ทันที่ไข่แดงจะสุกดี จู่ๆวิทยาก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมกับปาหนังสือพิมพ์ทิ้งจนมันกระจายไปทั่ว ปานจิตที่รดน้ำอยู่หลังบ้านรีบเดินเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ ในขณะที่ปูนกับปิ่นได้แต่ยืนงง ไม่มีใครรู้ว่าประมุขของบ้านเป็นอะไร พวกเขาจึงทำได้แค่ช่วยกันก้มลงเก็บกระดาษพวกนั้นเพื่อหาคำตอบแต่ก่อนที่ปูนจะได้สัมผัสมัน คนที่เป็นฝ่ายปาหนังสือพิมพ์ทิ้งเองในตอนแรกกลับก็กระชากเอามันมาไว้ในมือของตัวเองอีกครั้ง
“พ่อทำอะไรน่ะ”
ปิ่นถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจกับพฤติกรรมที่แปลกไปของบิดา แต่วิทยากลับไม่ตอบหนำซ้ำยังเดินมาปิดเตาแก๊สทั้งที่ยังทำขนมที่จะนำไปถวายพระในวันพรุ่งนี้ไม่เสร็จดีลงแล้วหันมาพูดกับลูกสาวและหลานชายด้วยเสียงสั้นห้วน
“ไม่มีอะไร พวกแกขึ้นไปบนบ้านได้แล้ว”
“อะไรกันพ่อ ปิ่นกับพี่ปูนยังทำขนมไม่เสร็จเลยนะ แล้วนี่มันเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเองพ่อจะให้ปิ่นขึ้นไปข้างบนทำไม”
“ฉันบอกให้ขึ้นก็ขึ้นไปสิ!!”
ปิ่นสะดุ้งเฮือกก่อนจะปล่อยให้น้ำตาเอ่อคลอเพราะมันเป็นครั้งแรกที่พ่อตะคอกเธอรุนแรงแบบนี้ ปานจิตที่เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้ามาปลอบลูกสาวแต่ก็ไม่วายส่งสายตาตำหนิมาให้ปูนทั้งๆที่ร่างเล็กยังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ลุงเป็นอะไรก็ค่อยๆพูดกันสิครับ มาตะคอกปิ่นทำไม”
“ไม่ต้องพูดมาก พาน้องขึ้นไปบนห้องแล้วไม่ต้องลงมาจนกว่าฉันจะสั่ง”
“แต่...”
“ฉันบอกให้ขึ้นไปไง!”
ปูนไม่มีทางเลือกเขาไม่อยากให้น้องสาวต้องมาเห็นอารมณ์ร้ายๆของพ่อตัวเองมากไปกว่านี้ ปูนจึงพูดปลอบปิ่นเท่าที่จะทำได้แล้วพาน้องขึ้นไปนั่งเล่นในห้องนอนของตัวเองโดยที่ไม่รับรู้อะไรสักอย่าง
“พ่อตะคอกปิ่นทำไม...ทำไมพ่อถึงอารมณ์เสียแบบนี้”
ปิ่นพูดออกมาด้วยความน้อยใจ ไม่ใช่ว่าเธอถูกเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมจนใครแตะต้องไม่ได้หากแต่เรื่องครั้งนี้มันเกินไป
“ใจเย็นๆนะ พ่อปิ่นคงทำไปเพราะมีเหตุผล”
“ปิ่นว่ามันต้องเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์นั่นแน่ๆ ตอนเช้าพ่อยังดีๆอยู่เลย”
ปูนเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนั้น แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์มันได้ มือถือของปิ่นถูกพ่อยึดไปตั้งแต่อยู่ข้างล่าง แถมพวกเขาทั้งคู่ก็ถูกสั่งให้อยู่ในห้องของปูนที่ไม่มีแม้แต่คอมพิวเตอร์สักตัวให้เปิดดูว่าอะไรที่ถูกพิมพ์ลงบนกระดาษพวกนั้น ปูนได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ ในขณะที่ปิ่นแสดงมันออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการที่จะรู้ให้ได้ เด็กสาวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงของปูนสักพัก แล้วเธอก็คิดออก
“จริงด้วย วันนี้วันอาทิตย์นี่ งั้นตั้มก็ต้องอยู่บ้าน!”
“ตั้มงั้นหรอ”
ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ตั้มคือผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับปิ่นที่อยู่บ้านข้างๆ หญิงสาวรีบเดินตรงไปยังหน้าต่างห้องของปูนด้านที่อยู่ติดกับบ้านของตั้มแล้วโชคก็เข้าข้าง เพราะเด็กหนุ่มคนที่ว่ากำลังเล่นอยู่กับสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนตัวใหญ่อย่างสบายอารมณ์
“ตั้มๆ ทางนี้!”
ปิ่นพยายามร้องบอกด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่โชคดีที่เจ้ากะทิ สุนัขหน้าหล่อตัวนั้นมันหูไวพอที่จะได้ยินเสียงของปิ่นได้
โฮ่งๆ
“เห่าอะไรกะทิ อ้าว ปิ่นกับพี่ปูนเองหรอ มีอะไรรึเปล่า!!”
ตั้มตะโกนถามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจนทำให้สองศรีพี่น้องรีบทำท่าบอกให้ตั้มหุบปากแทบไม่ทัน ปูนจึงตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองแล้วเขียนข้อความว่า ‘ช่วยไปซื้อหนังสือพิมพ์ของวันนี้มาให้หน่อย’ ก่อนจะห่อมันลงบนตุ๊กตาเซรามิกที่เป็นของประดับอยู่บนโต๊ะของเขา
“รับนะ”
ปูนพูดกับตั้มโดยไม่ออกเสียง ก่อนจะโยนมันลงไปโดยที่ตั้มสามารถรับมันไว้ได้ทันพอดี ในขณะที่เจ้ากะทิทำท่าขัดใจที่อดเล่น
“หนังสือพิมพ์หรอ เอามาทำไมอ่ะ”
“อย่าเพิ่งถามมากได้ไหม ไปซื้อมาให้หน่อย เดี๋ยวจะแบ่งขนมฝีมือพี่ปูนไปให้ โอเคไหม”
“โอเค งั้นรอแปปนึงนะ กะทิมาเร็วเดี๋ยวพ่อแบ่งทองหยอดให้ลูกหนึ่ง!”
ปูนแทบอยากจะตบกบาลตัวเอง พอพูดเรื่องขนมเข้าหน่อยก็ร่าเริงจนเสียงดังทั้งคนทั้งหมา แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดีเพราะใช้เวลาเพียงไม่นาน ทั้งตั้มและเจ้ากะทิก็กลับมาพร้อมถุงใส่กระดาษหนังสือพิมพ์...และไม้สอยมะม่วงอันใหญ่
“รับนะพี่ อย่าให้ตกไปซะก่อนล่ะ”
“อื้อ ขอบใจมาก”
โชคดีที่ชั้นสองของบ้านหลังนี้ไม่สูงมากนักทำให้ภารกิจลอบส่งหนังสือพิมพ์ของพวกเขาผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น ปูนบอกขอบคุณตั้มและเจ้ากะทิอีกครั้ง ในขณะที่ปิ่นแทบจะกระโจนเข้าใส่หนังสือพิมพ์เล่มนั้นทันทีที่ได้มา
ปิ่นรับมันไปแล้วเปิดอ่านไปอย่างลวกๆ เธอพยายามมองหาหน้าที่มีเนื้อหาที่พอจะทำให้พ่อของเธอโมโหได้ ข่าวประท้วงหรอ หรือข่าวน้ำมันขึ้นราคากัน ในระหว่างที่ปิ่นกำลังควานหานั้นสายตาของเธอก็ไปสะดุดกับรูปของคนสองคนที่ถูกพิมพ์ลงในหน้าข่าวของแวดวงไฮโซ
“เฮ้ย นี่มันรูปพี่ปูนนี่!”
ปูนที่กำลังง่วนกับการปิดหน้าต่างหันมาทันทีที่ปิ่นเอ่ยถึงชื่อตน แต่ไม่ต้องรอให้ปูนเดินเข้าไปหาเพราะปิ่นรีบนำหนังสือพิมพ์ที่ว่ามาให้ร่างเล็กดูถึงที่
‘ทายาทโรงแรมดังเปิดตัวหวานใจ – แฟนผมเป็นผู้ชายครับ’
“ป๋า...”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
พาร์ทย้อนอดีตหมดลงที่ตอนนี้นะคับ ต่อจากนี้จะเป็นการสะสางเรื่องในปัจจุบันแล้ว อันนี้อยากพูดคุยกันนิดนึงเพราะเห็นหลายคนบอกว่าเหมือนเช่ยังไม่แก้ปมเลย คือ ปมในเรื่องนี้มันออกแนวบอกเล่าเรื่องราวของตัวละครมากกว่า มันเป็นอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้ จะมีก็แค่ตัวละครในปัจุบันอย่างป๋าจะทำยังไงเมื่อรับรู้อดีตที่ไม่สวยงามของปูนเท่านั้นล่ะคับ และที่บางคนบอกว่ามันดูเยิ่นเย้อเกินไป อยากบอกว่าเช่ก็คิดเหมือนกันคับ เช่คิดว่าทำไมชีวิตคนคนหนึ่งถึงเจ็บปวดได้ขนาดนี้เมื่อตอนที่ได้รับรู้ว่าเพื่อนคนหนึ่งของเช่เขาใช้ชีวิตมาแบบไหน ความรุนแรงในครอบครัวและผลที่เกิดขึ้นเพราะมันเป็นสิ่งที่เช่ต้องการใส่ลงไปในนิยายเรื่องนี้ เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของคนที่สังคมมองว่าเขาทำตัวไม่ดีหรือมีชีวิตที่ผิดไปจากเรา ทุกการกระทำมีเหตุผลไม่ว่าเรายอมรับมันได้แค่ไหนก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันได้ ดังนั้นเช่จึงรู้สึกว่าเรื่องราวของเพื่อนเช่คนนี้มีค่ามากจนทำให้พยายามไม่ตัดเนื้อหาบางส่วนออกไปจนมันผิดเพี้ยน
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมลุงของปูนถึงได้ทำตัวแบบนั้นในตอนจบเราจะได้รับรู้คำตอบที่อาจไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ในความรู้สึกของคนบางคน เพราะปัจจุบันนี้เช่ก็ยังไม่อาจหาคำตอบให้กับพฤติกรรมของคนคนนั้นได้เหมือนกัน แต่ก็อย่าคิดมากคับ มันไม่ได้ค้างอะไรขนาดนั้นหรอก55555 แค่พูดเผื่อไว้ก่อนเนอะๆ^^
-
ปูนจะประชดชีวิตแบบนั้นไปเพื่อ? โอยอยากจะจับหัวมาเขย่าแรงๆ สมองจะได้เข้าที่เข้าทาง
-
อิลุงนิสงสัยจะชอบปูนจริงๆ อยากเก็บไว้กับตัวเองไรงี้
ปูนนิก็โชกโชนจนนน แต่ก็นะ
สู้ๆ นะ ปูน
ภาวนาให้ผ่านไปได้ด้วยดี
-
ตอนแรกไม่รู้สึกไรกับพี่กาลนะ
แต่อ่านตอนนี้แล้วอยากพุ่งเข้าไปตบ
ปะ มันควรจะจบได้ละเมื่อคนสองคนใจตรงกัน
ให้จบด้วยดีเถอะ
-
สรุปปมอดีตที่เราไม่รู้ว่าปูนทำอะไรไว้ ก็คือ ปูนไม่ได้ทำอะไรเลย
เป็นแพะรับบาป โดนลุงชักใย โดนสังคมพิพากษา
ต้องกลายเป็นเหยื่อของความรุนแรง จนสุดท้ายก็ลงเอยที่ประชดชีวิต
"ในเมื่อเขาคิดว่าเราขายตัว เราก็ขายตัวไปจริงๆเสียเลยสิ" อะไรแบบนั้นสินะ
-
ป๋าาาาาาาาาาา ลงมือแล้ว > ///// <
-
โอ๊ยยย ป๋าณิต รอบนี้รักป๋ามากกกก (เอ่อ ทำไมรู้สึกเสียวสันหลัง) ป๋าเล่นหนังสือพิมพ์งี้ รู้กันทั่วเมืองเลยนะป๋า รักป๋าอะ :hao7: (#หันหลังกลับ) เด็กป๋าจะฆ่าป้าไหมลูกทำหน้าน่ากลัวเชียว :hao4:
-
สงสารปูน แล้วก็คิดถึงป๋าด้วย...อยากอ่านต่ออ รอนะคะ
-
อดีตมีแต่คนเลวๆทำร้ายปธน สงสารปูนอะ แต่ดีใจที่ป๋านิดไม่ยอมแพ้ สู้นะช่วยปูนให้ได้
-
กับกาลเหมือนปูนแค่ผิดหวังที่ไม่เชื่อใจ เฮ้อ ไปล่ะคู่จิ้นเค้า :ling3:
-
คุณคณิตเล่นใหญ่มากคร่า แต่ได้ใจอิชั้นไปเต็มๆเลย :katai2-1:
-
จะมีใคร ทำเพื่อเราอย่างนี้บ้างนะ ฮี่่ ฮี่ ฮี่
:really2: :really2: :really2:
-
บทนี้คณิตได้ใจไปเต็มๆ
-
โอ้ยๆ จำเป็นต้องเปิดตัวกันขนาดนี้เลยหรอป๋าาา อิจค่ะอิจๆ :-[
-
กอดปูน ไม่เป็นไรนะป๋ามาช่วยแล้ว
สงสารปูน ทุกอย่างดูเข้ามาพร้อมกันไปหมด ทั้งความรัก สังคม แม้แต่คนที่เหมือนจะเป็นครอบครัว ทุกอย่างดูทำร้ายปูนไปหมด แต่กลับไม่มีใครอยู่ข้างๆปูนเลย เราดีใจมากนะที่ปูนไม่คิดฆ่าตัวตายไปซะก่อน(เดี๋ยวไม่ได้เจอป๋า)
-
ติดตามค่ะ
หูยย สงสารอดีตของนุ้งปูนจัง ช็อตนี้ป๋าเอาใจหนูไปเต็มๆ
:-[
เป็นกำลังใจให้นะคะ
-
แตกที่ 40
…สารภาพ...
หลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างให้คณิตฟังบอยก็บอกลาร่างสูงพร้อมกับทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าหากเขาพาปูนกลับมาได้ ให้คณิตช่วยพาปูนไปขอโทษพลัสในสิ่งที่สองคนนั้นร่วมกันกระทำลงไป แม้ว่าผลของมันจะกลายบาดแผลที่ไม่มีวันหายบนหัวใจของใครบางคน แน่นอนว่าคณิตรับปากบอยอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะเพราะลึกๆเองเขาก็รู้สึกผิดกับพลัสอยู่ไม่น้อย แม้สุดท้ายเรื่องราวระหว่างสามคนนั้นจะลงเอยด้วยการแยกกันไปคนละทิศคนละทาง แต่หากมีโอกาสคณิตก็อยากให้ตัวต้นคิดอย่างปูนได้ชดใช้ในสิ่งที่กระทำลงไปอย่างเหมาะสม
“นม? กูนึกว่ามึงแดกเหล้าอยู่ซะอีก”
นิลที่เพิ่งซัดมาม่าไปถ้วยใหญ่ชนิดไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าคณิต เป็นของเหลวสีขาวแทนที่จะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหมือนอย่างที่พวกอกหักมักจะทำกัน
“กูขี้เกียจฟังมึงด่า อีกอย่างปูนไม่ค่อยชอบให้กูกินเหล้าด้วย”
แม้ว่าจะมีอาชีพเสริมเป็นบาร์เทนเดอร์แต่ปูนกลับชอบบอกให้คณิตอย่าดื่มมากและดูแลสุขภาพของเขาอยู่เสมอ คณิตเคยถามร่างเล็กว่าถ้าไม่ชอบโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นเพราะมันแล้วทำไมถึงมาทำอาชีพนี้อยู่อีก ปูนฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะอแล้วตอบกับเขาว่า เวลาเห็นคนเมาแล้วรู้สึกสนุกดี...ตัวแสบจริงๆเลยเห็นไหมล่ะ
“หึ มานั่งเพ้อถึงเมียเก่าแบบนี้ไปได้ข้อมูลดีๆมารึไง”
“เมียเฉยๆ ไม่ใช่เมียเก่า”
“อ้าวหรอ กูนึกว่ามึงโดนเขาเขี่ยทิ้งแล้วซะอีก ฮ่าๆ”
คณิตส่ายหัวให้เพื่อนอย่างไม่ถือสาแต่ว่าในใจคาดโทษไปแล้ว นิลที่เพิ่งล้างจานเสร็จนั่งลงข้างๆแล้วมองไปยังจุดที่เพื่อนของตัวเองมองอยู่ รูปของปูนและคณิตที่กำลังยิ้มให้กันเหมือนโลกนี้ไม่มีความทุกข์ใดๆ
“แล้วตกลงว่าไง ไปคุยกับคนคนนั้นมาได้อะไรมั้ง”
“ได้โดนเขาด่า แต่ก็สนุกดี”
“จริงดิ รู้งี้กูไปด้วยดีกว่าจะได้ผสมโรงกับเขาด้วย”
“พอเหอะสัด แค่นี้มึงก็ด่าจนกูเบื่อจะฟังแล้ว”
นิลยิ้มขึ้นมาน้อยๆเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนดูไม่เคร่งเครียดเท่ากับตอนแรก แม้ปากจะด่ามันไปบ้างแต่นิลจะไม่โกหกหรอกนะว่าไม่ได้เป็นห่วง
“เขาเล่าเรื่องของลุงแล้วก็เรื่องที่ร้านนั่นให้กูฟัง แต่ว่าที่สำคัญกว่านั้นคือบอยทำให้กูคิดอะไรได้อยู่อย่าง”
“...?”
“ยิ่งกูรู้เรื่องของปูนมากเท่าไหร่ กูก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องพวกนั้นมันสำคัญกับกูน้อยลงทุกที”
ความอยากรู้ที่คณิตเคยมีมันลดน้อยถอยลงแล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกห่วงใยที่ท่วมท้น เขาอยากไปหา อยากกอดปูนให้แน่นๆจนเด็กคนนั้นบ่นว่าอึดอัด อยากอยู่ด้วยกันถึงเช้าเพื่อที่จะทำให้ปูนรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะไม่ทิ้งปูนไปไหน คณิตรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่า ที่เฝ้ามองหาแต่อดีตจนเผลอทำให้ปูนหลุดมือไป ถ้าหากวันนั้นเขาเข้มแข็งและจับมือปูนให้แน่นพอ ปูนคงไม่ต้องฝืนใจเอ่ยคำลากับเขาแบบนี้
“คิดได้สักทีนะ เพื่อนกูเปลี่ยนสถานะจากควายมาเป็นวัวแล้ว”
“ห่า มันต่างกันตรงไหนวะ”
“เขามันสั้นกว่าหน่อย แต่เอาเถอะ ฉลาดขึ้นยังดีกว่าโง่ลง ถ้าเด็กนั่นมาได้ยินที่มึงพูดแบบนี้คงร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเตา”
คำพูดของนิลทำให้คณิตอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ใช่แล้ว นั่นแหละปูนเลย พอเป็นเรื่องเขาทีไรก็หวั่นไหวจนร้องไห้ตลอด
“แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นมึงต้องไปช่วยเด็กนั่นออกมาก่อน ตามที่ไอ้ชาติบอกลุงนั่นน่าจะพาปูนกลับไปที่บ้านแล้วไม่ยอมให้ออกมาเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ว่าเราก็คงไปถึงตัวเด็กมึงไม่ง่ายอย่างตอนแรกหรอกนะ”
“เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาหรอก สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆคือการตัดสินใจของปูนมากกว่า...ถ้าปูนยังคิดจะปกป้องกูแค่ฝ่ายเดียวต่อให้กูทำยังไงเขาก็คงไม่กลับมา ดื้อชะมัดเลยให้ตายสิ”
“ก็ตามนั้น แต่ดูเหมือนว่ามึงจะไม่เครียดเท่าไหร่เลยนะ”
นิลพูดไปตามสิ่งที่เห็น เพราะระหว่างพูดคุยกันคณิตดูมีท่าทางผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่กำลังคิดอะไรตลอดเวลา...มันเหมือนคนที่ตัดสินใจได้แล้วอย่างไรอย่างนั้น และเขาก็เดาถูก
“อืม กูรู้แล้วล่ะว่าจะต้องทำยังไง เพียงแค่...มันทำได้ค่อนข้างยาก”
“หึ จะยากสักแค่ไหนเชียว อย่างน้อยก็คงไม่ยากเท่าไปบอกป๊ามึงว่ามึงมีเมียเป็นผู้ชายหรอกมั้ง”
“...”
“ไอ้สัดเอาจริงดิ”
ไม่ใช่แค่นิลที่ตกใจ คณิตเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่หากคิดดูให้ดีๆ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีจุดอ่อนอะไรบ้าง
“ต่อให้คิดยังไง จุดอ่อนที่อีกฝ่ายสามารถยกมาขู่กูได้มันก็มีแค่อย่างเดียว”
ถึงจะไม่ใหญ่โตเท่าThe Pilot แต่โรงแรม The Next ของครอบครัวคณิตก็ถือเป็นโรงแรมชื่อดังที่ถ้าถามคนในจังหวัดนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะเมื่อเขามีคู่แข่งตามฐานะอย่างเมษาที่ถือเป็นคนดังระดับประเทศชื่อของคณิต จึงกลายมาเป็นชื่อที่มักจะถูกกล่าวถึงบ้างเป็นบางครั้งถ้าหากเขายินยอมให้เป็นข่าว
“กูไม่เคยมีข่าวเสียหายๆ โรงแรมของพ่อก็เหมือนกัน ถ้าหากว่ามันมีหลักฐานว่ากูกำลังคบกับผู้ชาย ต่อให้จะไม่ใช่เรื่องผิดแต่ก็คงเป็นเรื่องที่ชาวบ้านจะเก็บไปพูดกันได้สนุกปาก”
คณิตรู้ความจริงข้อนี้ดีอยู่แล้ว เขาถึงไม่เคยเอ่ยเรื่องปูนให้คนในบ้านฟังนอกจากน้องสาวของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รัก แต่ถ้าหากพวกเขาประกาศออกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลังคนที่จะเจ็บปวดจากความโหดร้ายของโลกใบนี้ก็คือปูน
“แล้วมึงยังคิดจะทำอีกนะ มึงคิดถึงเมียจนเพี้ยนไปแล้วรึไง มึงอย่าลืมนะไอ้นิด ว่าเรื่องของมึงกับไอ้กาลจะลงเอยไม่เหมือนกัน ไอ้กาลมันเปิดตัวมาแต่แรกและมันก็ไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปร่วมวงไฮโซไฮซ้อกับใครแต่กับมึงมันไม่ใช่ไหนจะอาชีพการงานมึงด้วย”
“กูรู้ แต่ถ้าหากกูคิดจะอยู่กับปูน สักวันคนข้างนอกก็ต้องรู้อยู่ดี ถึงจะไม่เคยพูดถึงมาจนกระทั่งตอนนี้แต่กูก็ไม่อยากให้ปูนจะต้องหลบอยู่ในมุมมืดเพื่อกูตลอดไปหรอกนะ”
“...”
“เอาตรงๆกูก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าทุกคนจะรับได้ โดยเฉพาะป๊ากับม๊า แล้วก็อาม่าที่เขาหวังกับกูไว้มาก แต่ว่านะนิล...ถ้าสุดท้ายพวกเขาจะต้องรู้ กูอยากให้พวกเขารู้ความจริงที่ออกมาจากปากกูมากกว่า...ความจริงที่ว่าผู้ชายที่กูเลือกเป็นคนยังไง เขาเคยทำอะไรไว้และรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ กูอยากให้เขารู้ว่ากูเลือกคนที่จะก้าวเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันได้แล้ว”
มือของคณิตสั่นในทุกๆคำที่เขาพูดออกมา ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน คณิตคงไม่แม้แต่จะกล้าทำอะไรให้พ่อกับแม่ของตัวเองผิดหวัง แต่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆคนนั้นทำให้เขาคิดได้...ว่าขนาดปูนที่ไร้ซึ่งอำนาจและกำลังกลับพยายามปกป้องคนที่รักอย่างเขาสุดความสามารถโดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นแม้แต่ตัวเอง
“อาม่าสอนกูว่าลูกผู้ชายต้องรักษาคำพูด เพราะฉะนั้นมันคงถึงเวลาที่กูจะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับปูนสักที”
‘สัญญา...ถ้าหากเธอต้องการฉันจะอยู่กับเธอในทุกๆที่’
รออีกนิดนะปูน...พี่กำลังจะไปรับ
.
.
.
.
.
.
คณิตมองบ้านเจริญวัฒนะของตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มันทั้งประหม่าและกดดันแต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่ขนาดนั้นเมื่อนึกถึงใบหน้าของปูนที่กำลังส่งยิ้มอยู่ในหัวใจของเขา
“อ้าวคุณคณิต วันนี้กลับบ้านหรอคะ”
สาวใช้คนหนึ่งซึ่งทำงานที่นี่มาตั้งแต่รุ่นแม่เอ่ยทักทายาทคนโตของบ้านที่ไม่ได้กลับบ้านมาสักพักใหญ่ จนอาม่าของคุณคณิตบ่นคิดถึงหลานชายคนโปรดแทบทุกวัน
“ครับ แล้วนี่ป๊าอยู่ไหม”
“อยู่ค่ะ แต่ติดรับแขกอยู่”
“วันเสาร์เนี่ยนะ ใครมากัน”
“คุณเมษาค่ะ เข้ามาตั้งแต่ช่วงสายๆแล้ว”
คณิตงงหนักเมื่อเพื่อนของตนมาโผล่อยู่ที่นี่ทั้งๆที่ถ้าปกติคณิไม่อยู่เมษาก็ไม่เคยคิดจะมา ร่างสูงเก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วเลือกที่จะเดินเข้าไปดูด้วยตาของตัวเองซึ่งตามคำบอกเล่าของสาวใช้ บรรพตและเมษากำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องหนังสือของบ้านที่กว่าครึ่งเป็นหนังสือที่คณิตสะสมไว้ตั้งแต่สมัยเรียน
“ป๊า ไอ้เมษ”
เสียงของคณิตทำให้บทสนทนาของทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสชะงักไป บรรพตหันมามองลูกชายที่จู่ๆก็โผล่มาแบบงงๆผิดกับอีกคนที่ทำหน้าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าคณิตจะต้องมาที่นี่
“กลับมาบ้านได้แล้วรึไงเจ้าตัวดี วันก่อนป๊าไปหาที่โรงแรมไม่เห็นเจอ”
“ขอโทษครับ แต่ผมมีเรื่องด่วนจะคุยด้วย...เมษ มึงกลับไปก่อนได้ไหม”
บรรพตส่งสายตาตำหนิไปให้ลูกชายทันทีที่คณิตแสดงมารยาทไม่ดีกับแขกถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันก็ตาม เมษามองหน้าคณิตนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหาเจริญวัฒนะคนพ่อแล้วเอ่ยคำลา
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไว้มีโอกาสจะมาคุยเรื่องงานที่สิงค์โปรด้วยใหม่”
“ขอโทษแทนเจ้าคณิตมันด้วยนะเมษ ลูกของลุงมันไม่มีมารยาท”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ คณิตมันคงมีธุระสำคัญจริงๆ”
เมษาส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยไมตรีให้ก่อนจะพนมมือไหว้ด้วยท่าทางนอบน้อมจนบรรพตต้องเอ่ยชม ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมาหาเพื่อนตัวเองที่มีสีหน้าแน่วแน่ไม่ต่างจากตอนที่มาขอตัวบอยไปจากเขาเลยสักนิด
“จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ชีวิตมึงไม่ได้มีมันแค่คนเดียวรู้ใช่ไหม”
มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆที่เมษาพูดออกมาโดยไม่ได้มองหน้าใคร หากแต่คณิตก็รู้ดีว่าคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่เพื่อนคนนี้ต้องการจะย้ำเตือนกับเขา
“ขอบใจ แต่กูเลือกแล้วว่ะ”
เมษายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองนั้นจะตั้งตรงแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีก คณิตลอบถอนหายใจ อาการเหนื่อยเล็กๆที่เกิดขึ้นทำให้เขาเริ่มรู้สึกกลัวชายผู้เป็นพ่อที่ทำสีหน้าอ่านยากรอเขาอยู่ตรงนั้น...แต่มันคงถอยไม่ได้แล้ว
“พูดมาซะว่าแกมีเหตุผลอะไรถึงได้ทำตัวแบบนี้ นี่ถ้าเป็นแขกคนสำคัญที่ไม่ใช่เมษา เราจะเสียหายแค่ไหนแกรู้บ้างไหม”
“ขอโทษครับป๊า แต่ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะพูด”
“งั้นก็ว่ามา ส่วนมันจะสำคัญพอไหมฉันจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
บรรพตว่าแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในขณะที่คณิตเกร็งจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับ ให้ตายสิ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้วนะ ตั้งแต่มอหกได้มั้ง ตอนที่เขาเดินมาบอกกับพ่อว่าตัวเองสอบติดอักษรไม่ใช่บริหารอย่างที่ท่านต้องการ
“ป๊า...ไม่สิ พ่อครับ”
“...”
“ผมมีคนที่ผมรักแล้วนะ”
“...!!”
“ถึงจะไม่ใช่คนที่ดีพร้อม แต่เขาคือคนที่ทำให้ผมมีความสุข เขาคือคนที่ผมอยากอยู่ด้วยในทุกๆวันนับจากนี้ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถึงแม้มันจะไม่นานที่ผมกับเขาได้พบกัน แต่หลายๆสิ่งที่เราผ่านมันมาด้วยกันนั้นมันก็ทำให้ผมมั่นใจแล้วว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น”
พอคณิตพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการพูดออกไปจนหมดทำให้ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เขามองใบหน้าของพ่อที่ไม่ได้แสดงความโกรธเกลียดหรือผิดหวังออกมา แต่ติดออกจะงงๆเสียด้วยซ้ำ
“ก็ดีแล้วนี่ อายุแกก็ขนาดนี้จะมีแฟนก็ไม่เห็นแปลกอะไร ส่วนเรื่องดีพร้อมไหมป๊าไม่ว่าแต่อย่างน้อยก็ลองพามาให้ม๊ากับอาม่าได้รู้จักกันก่อนที่จะไปติดต่อผู้ใหญ่ทางนั้นแล้วกัน”
คณิตยิ้มเศร้า...ก็ไม่แปลกหรอกถ้าป๊าจะเข้าใจว่าปูนเป็นผู้หญิง เพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ ความรู้สึกกลัวแล่นริ้วออกมาเกาะกุมหัวใจ คณิตอยากจะลุกขึ้นแล้วเดินหนี ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมาที่นี่ ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่เสียใจ...แต่คณิตก็ทำอย่างนั้นไม่ได้...เขาหลอกพ่อกับแม่ต่อไปไม่ได้ว่าหัวใจนี้ไม่ได้มีใครทั้งที่มันมี
“ป๊าครับ...”
“ว่าไง?”
“ปูน...คนที่ผมรักเขาไม่ใช่ผู้หญิง”
“...!!”
“ผมขอโทษนะครับป๊า ผมขอโทษจริงๆ แต่ว่าผมโกหกทุกคน...โกหกตัวเองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
-
‘แล้วเป็นยังไงบ้างครับ หลังจากบอกกับทางบ้านไปแบบนั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างรึเปล่า’
‘อย่างแรกเลยก็คือสบายใจขึ้นครับ ผมรู้สึกดีที่ไม่ต้องทำตัวหลบๆซ่อนๆทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอีกแล้ว แน่นอนว่าทางบ้านผมก็ยังต้องการเวลาแต่ผมก็เชื่อว่าสักวันพวกเขาจะเข้าใจและรับเรื่องของพวกเราได้’
‘แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ยอมรับหรอครับ’
‘อืม...มันก็พูดยากนะครับ จะให้ออกมาสนับสนุนทุกทางมันก็ยังไม่ใช่ แต่ว่าพวกเขาก็อนุญาตให้ผมกับน้องได้พิสูจน์ตัวเองกันต่อไป แค่นั้นก็ดีมากแล้วครับ’
‘ฟังอย่างนี้แล้วรู้สึกอิจฉาคนที่คุณคณิตเรียกว่า ‘น้อง’ จริงๆเลยนะครับ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเด็กผู้ชายที่รู้จักกันด้วยความบังเอิญจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ชายอย่างคุณได้’
‘ผมก็ผู้ชายธรรมดาเนี่ยแหละครับ แต่พูดตรงๆก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะได้รักใครสักคนแบบนี้’
‘ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเรื่องครอบครัวโอเคแล้ว แต่เรื่องงานล่ะครับ คุณคณิตคิดว่าการที่คุณออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้มันจะมีผลกระทบอะไรต่อโรงแรม The Next บ้างรึเปล่า ได้ข่าวว่ากำลังจะเปิดสาขาใหม่ด้วย’
‘ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่ามันจะไม่มีผลกระทบ แต่ว่าแรกเริ่มเดิมทีโรงแรมแห่งนี้คุณพ่อสร้างขึ้นมันมาก็เพื่อให้เป็นของขวัญกับคุณแม่ The Next จึงเป็นเหมือนกับตัวแทนความรักของท่านทั้งสอง ด้วยเจตนารมณ์นี้คุณพ่อกับผมก็ได้บริหารโรงแรมเรื่อยมาด้วยความรู้สึกที่ว่าอยากให้แขกทุกท่านที่ได้มาพักที่นี่มีความสุขและสบายใจเหมือนกับได้อยู่บ้านของตัวเองไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ดังนั้นการที่ผมมีคนรักเป็นเพศเดียวกันนั้นน่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า ไม่ว่าคนเราจะเป็นยังไง เหมือนหรือแตกต่างกันแค่ไหน สุดท้ายทุกๆท่านก็จะได้รับความเอาใจใส่และความรักอย่างเท่าเทียมกันแน่นอนครับ’
‘คุณคณิตจะบอกว่าเพราะเรื่องของตัวเองจะมีส่วนทำให้แขกที่มาพักได้รับความสุขสะดวกสบายที่มากขึ้นหรอครับ’
‘ฮ่าๆ ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ทางเราก็ดูแลแขกทุกคนอย่างดีอยู่แล้วล่ะครับ แค่อยากให้มั่นใจขึ้นเท่านั้นเองว่าไม่ว่าผมจะเป็นยังไง ที่ The Next ก็พร้อมที่จะให้บริการทุกท่านด้วยความรู้สึกดีๆอย่างเดิมแน่นอน’
‘ได้ยินอย่างนี้แล้วทุกคนก็มั่นใจกันได้เลยนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร โรงแรม The Next ก็พร้อมที่จะดูแลคุณแน่นอน สุดท้ายนี้คุณคณิตมีอะไรอยากจะบอกกับ ‘น้อง’ และท่านผู้อ่านหน่อยไหมครับ’
‘ครับ...สำหรับการออกมาบอกเล่าเรื่องราวความรักของผม มันคงจะสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนนะครับ มันแน่นอนอยู่แล้วที่จะมีทั้งคนที่ชอบไม่ชอบ หรือแม้แต่จะรู้สึกเฉยๆกับมัน แต่ไม่ว่าพวกคุณจะรู้สึกยังไง สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ก็คือความรักไม่มีถูกผิด...ผมจะไม่บอกว่าความรักของผมกับน้องเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะสิ่งที่ใช้ตัดสินเรานั้นไม่มีคำว่าถูกผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ผมคงไม่ออกมาเรียกร้องให้ทุกคนยอมรับและเข้าใจตัวตนของพวกผม ผมแค่ต้องการให้พวกคุณเฝ้าดูพวกเราต่อไปเรื่อยๆไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวมันจะจบลงที่ตรงไหนก็ตาม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ แล้วส่วนที่จะฝากถึงน้อง...’
“ปูน...พี่กำลังจะไปรับนะ”
กระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นบางเปียกเป็นดวงๆเพราะหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ปูนมองรูปของคณิตบนกระดาษแผ่นนั้น และรูปคู่ของพวกเขาที่ถูกถ่ายในวันที่เขากับร่างสูงช่วยกันลองทำอาหารเป็นครั้งแรก ปูนกอดมันไว้แนบอกราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังไขว่คว้าอยู่นี้คือร่างกายของคณิตที่มีทั้งเลือดเนื้อและจิตใจ...คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน ทำไมนะ ทำไมหัวใจถึงได้เต้นรัวแบบนี้
“พี่เขารักพี่ปูนมากเลยเนอะ”
ปิ่นที่นั่งอ่านทุกอย่างอยู่ข้างๆกันเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้พี่ชายที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าแต่หญิงสาวก็ส่งมือขึ้นไปลูบหัวของปูนเบาๆอย่างอ่อนโยนจนคนที่พยายามเข้มแข็งมานานต้องโผเข้าหาแล้วกอดเธอไว้
“พี่รักเขาปิ่น ฮึก พี่รักเขา”
“ปิ่นรู้แล้วน่า แถมอิจฉาด้วยนะรู้ไหม ฮ่าๆ”
ปูนคิดไม่ถึงว่าคณิตจะกล้าทำเพื่อเขามากถึงขนาดนี้ มันมากจนปูนไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีโอกาสได้รับมันจากใคร การออกมายอมรับความจริงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างที่คณิตบอกไม่ใช่ว่าทุกคนพร้อมจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเป็น แค่ลองคิดว่าร่างสูงต้องใช้ความกล้าแค่ไหนในการพูดมันออกไป...ความรักที่ปูนมอบให้กับคณิตก็เพิ่มมาขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“เขาบอกว่าจะมารับ แสดงว่าพี่ปูนหนีเขามาหรอ”
“พี่...”
“ไม่ได้นะไม่ได้ คนรักกันต้องอยู่ด้วยกันสิเข้าใจไหม เอ้า! เก็บของเลยดีกว่า เดี๋ยวปิ่นช่วย”
ไม่พูดเปล่า ปิ่นรีบไปหยิบกระเป๋าเป้ของปูนลงมาจากหลังตู้แล้วช่วยหยิบเสื้อผ้าบางชุดมาใส่ลงไปในนั้นโดยไม่ฟังความคิดเห็นของปูนแม้แต่น้อย แต่ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นปูนก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามเธอแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะลึกๆแล้วเขาอยากจะไปจากที่นี่ก็ได้ อยากจะไปหา...ไปที่ที่คณิตอยู่
“เอาของไปแค่นิดเดียวก็พอเนอะ แล้วถ้าพี่ปูนอยากได้อะไรอีกปิ่นจะเอาไปให้ที่หลังนะ”
“ปิ่น...”
“แล้วก็นี่! ลืมไม่ได้เลยนะเอกสารเรื่องเรียนเนี่ย พี่ปูนต้องกลับไปเรียนหนังสือนะรู้ไหมจะเรียนอยู่ที่นู้นก็ได้เขาก็สอนดีเหมือนกัน แฟนพี่เขามีหน้ามีตา อย่าให้คนอื่นเขามาดูถูกได้นะว่าพี่ชายปิ่นเกาะทางนั้นกิน พี่ปูนต้องเรียนให้เยอะๆจบมาจะได้มีงานดีๆทำแล้วก็มีความสุขมากๆนะ”
ปูนมองน้องสาวที่พูดด้วยรอยยิ้มแต่น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุด เธอพร่ำบอกพี่ชายต่างสายเลือดให้ดูแลตัวเองมากๆ แม้ในวันนั้นเธอจะไม่ได้อยู่ด้วย
“พี่ปูนสัญญากับปิ่นได้ไหม ฮึก ว่าพี่จะมีความสุขกว่าตอนนี้ พี่ปูนสัญญานะ ฮึก ว่าพี่จะต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่ที่นี่แล้วอย่าให้ใครมาทำร้ายพี่ได้อีก”
ปิ่นขอร้องในสิ่งที่เธอต้องการที่สุดก่อนจะดึงแขนเสื้อของปูนขึ้นจนเธอสามารถเห็นร่องรอยที่พ่อของตัวเองฝากเอาไว้บนตัวพี่ชายเป็นครั้งแรก ปูนพยายามขืนไม่ให้ปิ่นมองมัน แต่หญิงสาวก็เอาแต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าเธอไม่เป็นไร
“ปิ่นขอโทษนะที่ปกป้องพี่ปูนไม่ได้ แต่พี่ปูนอย่าโกรธพ่อเลยนะ...ปิ่นขอโทษแทนพ่อด้วย”
“ฮึก พี่ไม่โกรธหรอก พี่ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่มีคุณลุงพี่เองก็คงไม่มีวันนี้”
ปิ่นยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขแต่แววตากลับรู้ทัน
“ขอบคุณนะคะ...ที่ยอมโกหกเพื่อปิ่นจนนาทีสุดท้าย”
ปิ่นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเองและปูน ก่อนเธอจะออกแรงจูงพาพี่ชายลงมายังชั้นล่าง ปิ่นไม่เห็นพ่อแล้ว เห็นแต่แม่ที่กำลังจัดการกับขนมด้วยท่าทางไม่สนใจสิ่งใด แม้กระทั่งตอนที่ปูนและปิ่นเดินผ่านไปเธอก็ไม่คิดจะมอง
“พี่ปูนออกไปทางนี้นะ เดินไปแปปนึงแล้วไปโบกแท็กซี่เอา”
“เดี๋ยวปิ่น แน่ใจหรอว่าจะให้พี่ทำแบบนี้ ถ้าหากว่าพี่ไม่อยู่ ลุงอาจจะมาว่าปิ่นอีกก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ปูน ถึงพ่อจะเป็นแบบนั้นเขาก็เป็นพ่อของปิ่นนะ และถึงจะว่าก็ไม่เป็นไร พี่ปูนปกป้องปิ่นมามากเกินไปแล้วล่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นปูนก็ตกใจและมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะถาม แต่ปิ่นกลับปิดโอกาสนั้นด้วยการโบกมือลาปูนแล้ววิ่งกลับไปที่บ้านโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปูนยืนกำสายสะพายของกระเป๋าแน่นแล้วมองไปยังบ้านที่เขาเติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของคนที่ให้โอกาสเขามากที่สุดในชีวิต ถึงแม้สุดท้ายทุกอย่างจะถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีก็ตาม
“ขอบคุณนะครับ...แล้วก็ขอโทษด้วย”
ปูนเริ่มออกวิ่งโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง เขามองถนนใหญ่เบื้องหน้าซึ่งเป็นจุดหมายแรกของอิสรภาพที่ต้องไขว่คว้าเอาไว้ให้ได้ น่าเสียดายที่ถนนตรงนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเลยทำให้กว่าปูนจะเห็นแท็กซี่ก็ปาไปเก็บสิบนาที ร่างเล็กรีบเดินไปชิดขอบถนน เขายกมือขึ้นหวังให้รถยนต์คันสีเขียวเหลืองนี่จอดแต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น จู่ๆรถญี่ปุ่นคันคุ้นตาก็แทรกตัวเข้ามาจอดเทียบท่าแทน
“ขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน”
.
.
.
.
.
.
คณิตเดินถอนหายใจออกมาจากประตูบ้าน แน่นอนว่าทันทีที่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นวางแผง ทั้งแม่และอาม่าก็ต่างเข้าห้องของตัวเองแล้วล็อคประตูไม่ยอมให้คณิตได้เข้าไปพูดคุยเลยสักครั้ง แต่เขาก็เข้าใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายและมันคงจะไม่มีทางง่ายขึ้นกว่านี้ถ้าหากว่าเขายังไม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย...คณิตต้องพาปูนกลับมาที่นี่ แล้วทำให้ทุกคนได้เขาใจว่าการตัดสินใจของเขานั้นไม่ใช่เรื่องผิด
“จะออกไปแล้วหรอคะเฮีย ไม่กินข้าวด้วยกันก่อนหรอ”
หน่อยเดินมาหาพี่ชายซึ่งกำลังทำหน้าซังกะตายก่อนที่เธอจะเอ่ยปากทัก แน่นอนว่าเธอรักและเป็นห่วงคณิตมาก แต่สำหรับเรื่องที่ร่างสูงตัดสินใจทำหน่อยเองก็ยังไม่อยากออกความเห็นใดๆ
“อืม เดี๋ยวเฮียจะเข้ากรุงเทพนะ จะไปจัดการเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
“เรื่องพาตัวปูนกลับมาหรอคะ”
“เรารู้??”
“ป๊าบอกมาน่ะค่ะ แถมบอกหน่อยอีกนะคะว่าถ้าหากไม่มีเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยวนั่นป๊าไม่มีทางยอมให้เฮียไปสัมภาษณ์ลงหนังสือแน่ๆ”
คณิตยิ้มเจื่อนเมื่อได้ยินความจริงข้อนั้น แต่มันก็ถือว่าดีแล้วที่พ่อของเขานึกถึงสวัสดิภาพของปูนมากกว่าอะไร
‘ฉันยังไม่ยอมรับเรื่องของพวกแกหรอกนะ แต่ฉันขอสั่งว่าแกต้องไปช่วยเด็กคนนั้นให้ได้”
“นักเลงเก่าจริงๆนะป๊าเรา ยอมไม่ได้เลยไอ้เรื่องข่มเหงคนอื่นเนี่ย”
หน่อยว่าพลางขำออกมาน้อยๆ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่าความจริงแล้วพี่ชายของเธอก็ได้เชื้อนักเลงโตมาจากพ่อเหมือนกัน
“ช่วยน้องเขาให้ได้นะคะ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรการทำร้ายร่างกายคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ แม้ว่านั่นจะเป็นคนในครอบครัวก็เถอะ”
“อืม ไม่ต้องห่วงนะ เฮียฝากหน่อยดูม๊ากับอาม่าด้วย เดี๋ยวถ้าเรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่ เฮียจะพาปูนมาพบพวกท่านอีกที”
“ค่ะๆ ปล่อยสองคนนั้นไว้เถอะ งอนเฮียได้ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็หาย”
“ก็หวังว่านะ”
คณิตพูดออกมาแบบนั้นทั้งๆที่รู้ว่าความจริงมันคงไม่ง่าย เพราะนอกเหนือจากการเป็นลูกชายคนโต คณิตยังถูกหวังให้มีทายาทซึ่งหากเขาคบกับปูนเรื่องนั้นคงต้องพับโครงการไปชนิดไม่มีทางสานต่อ แต่ก็อย่างว่าต่อให้ไม่มีปูนเขาก็ไม่คิดจะมีลูกอยู่ดี
“ฮัลโหลไอ้นิล กูออกมาจากบ้านแล้วนะ มึงเตรียมตัวเลย”
ร่างสูงโทรไปหานิลที่ยังคงพักอยู่ที่บ้านของเขา และเพราะเรื่องครั้งนี้ทำให้คณิตรู้ซึ้งถึงน้ำใจของเพื่อนมากพอๆกับค่าน้ำค่าไฟที่เจ้านักเขียนนั่นมาอาศัยใช้จนมิตเตอร์ไหลเร็วยิ่งกว่าน้ำตกวังตะไคร้ซะอีก
“เออ มึงถึงแล้วค่อยโทรมาอีกทีแล้วกัน แค่นี้นะ กูแช่น้ำอยู่”
นิลวางสายไปดื้อๆ จนคณิตได้แต่บ่นอุบคนที่ไม่มีท่าทีรีบร้อนทั้งๆที่พวกเขานัดกับโต้งและขิงแล้วว่าจะเข้าไปเจอกันที่กรุงเทพตอนบ่ายนี้ ร่างสูงมองดูแผนที่บ้านของปูนที่ฤทธิชาติแฟกซ์มาให้ตั้งแต่เมื่อคืนซึ่งมันถูกยืนยันแล้วว่าปูนและครอบครัวอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
“รอพี่นะปูน วันนี้พี่จะไปรับเราแล้ว”
คณิตพูดกับคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หากแต่เขารู้ว่าถ้าปูนได้อ่านบทสัมภาษณ์นั้นร่างเล็กจะต้องยอมกลับมากับเขาแน่ๆ แค่คิดถึงร่างสูงก็ยิ้มออกมาแล้วเลี้ยวรถเข้าไปเทียบจอดหน้าบ้านของตนที่มีนิลยืนหน้ามึนอยู่
“กูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าถ้าจะถึงให้โทรมาก่อน”
“จะโทรทำไม กูรู้นิสัยบ้าความตรงต่อเวลาของมึงดีหรอกน่า”
นิลจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะยัดตัวเองเข้ามาในรถซึ่งพุ่งทะยานออกไปแทบจะทันที โดยที่จุดหมายในครั้งนี้ก็คือที่ที่หัวใจของคนขับกำลังรออยู่
ตื๊ดๆ
ขับรถออกมาสักพัก เสียงโทรศัพท์ของนิลก็ดังขึ้น คนที่นั่งฟังเพลงไปบ่นไปได้ฤกษ์หุบปากแล้วหยิบมันขึ้นมา แต่แล้วจู่ๆสีหน้าของนิลก็เปลี่ยนไปเป็นมึนงงจนคณิตที่มองอยู่แปลกใจ
“เป็นอะไรวะ ทำไมไม่รับสาย”
“ไอ้กาลโทรมาว่ะ”
“...!!”
จริงอยู่ที่คณิตไม่ได้เคืองใจเรื่องปูนกับรัตติกาลแล้ว แต่การที่จู่ๆเพื่อนที่ซึ่งกำลังพักอยู่ในแดดไกลโทรมาทั้งๆที่ทางนั้นน่าจะอยู่ในเวลากำลังนอนคงไม่ใช่ปกติแน่นอน นิลมองสีหน้าแปลกใจระคนลำบากใจของคณิตแล้วลังเลว่าจะรับมันดีไหม บางทีไอ้กาลมันอาจจะเห็นข่าวของคณิตกับปูนแล้วโทรมา หรืออาจจะแค่มีธุระอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้ แต่ในขณะที่เขากำลังสับสน คณิตก็ช่วยให้คำตอบ
“รับเถอะ เผื่อมันมีธุระกับมึง”
“แน่ใจนะ?”
“อืม ยังไงมันก็เพื่อนป่ะวะ ถึงกูจะโกรธไอ้กาลเรื่องที่มันทำไม่ดีกับปูน แต่ยังไงกูก็ตัดเพื่อนกับมันไม่ลงว่ะ”
คณิตพูดออกมาตามจริง โดยที่คนฟังก็รู้สึกพอใจกับคำตอบนั้น จนนิลอดที่จะลองคิดมุมกลับไม่ได้ว่าถ้าหากคนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ชวนลำบากใจแบบนี้คือรัตติกาล หมอนั่นคงพยายามสับคณิตเป็นชิ้นๆแน่
“ฮัลโหล มีอะไรวะ”
“นิล มึงอยู่กับไอ้นิดรึเปล่า”
“เอออยู่ กูบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้ามึงจะโทรมาวีนมันเรื่องเด็กปูนช่วยโทรมาตอนอื่นเพราะกูขี้เกียจรับรู้ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงกูมีบริการโทรไปฟ้องไอ้รัณย์ให้ฟรีๆชนิดที่ว่ามึงไม่ต้องคอยรายงานผัวมึงเองเลย”
นิลจัดการปิดประตูโต้เถียงของรัตติกาลทุกทาง โดยมีคณิตนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ แต่เขาเห็นนะ...ว่ามันแอบแสยะยิ้มด้วย
“เฮ้อ มึงเลิกเพ้อเจ้อแล้วส่งโทรศัพท์ให้ไอ้นิดซะ กูมีธุระ”
“ธุระ? ธุระอะไร?”
นิลหยุดฟังปลายสายพูดไปสักครู่แล้วก็เกิดอาการสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง จากที่เคยพูดหยอกเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเสียจนคณิตรู้สึกว่าอากาศในรถมันเย็นขึ้นกว่าเก่า เขาได้ยินเสียงนิลรับคำคนปลายสายอยู่สองสามประโยคก่อนที่โทรศัพท์ในมือของนิลนั้นจะถูกส่งผ่านมาให้
“ไอ้กาลมีเรื่องจะคุยด้วย”
“เรื่องอะไร?”
“คุยกับมันเอง แล้วเอาโทรศัพท์มึงมานี่ กูจะใช้โทรหาชาติหน่อย”
นิลหยิบมือถือของคณิตที่วางไว้หน้าคอนโซนรถมากดเบอร์โทรศัพท์ของคนรักที่น่าจะยังทำงานอยู่ที่โรงพัก คณิตที่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของนิลก็รู้สึกไม่สบายใจและสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาด แต่สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือขับรถต่อไปพร้อมกับรับสายรัตติกาลไปด้วย
“กูเองกาล มีอะไรรึเปล่า”
“ปูนถูกพาตัวไปแล้ว มึงต้องไปช่วยปูนเดี๋ยวนี้”
“มะ มึงว่าอะไรนะ!”
แล้วแสงแห่งความหวังในใจของคณิตก็ถูกดับไปในเสี้ยววินาที
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
แล้วพี่กาลก็โผล่มา....แต่เสียง 55555555555 ค่าตัวแพ๊งแพงงงงงงงงง
ก่อนอื่นขอตอบคำถามที่หลายคนถามมาเยอะเลยนะคับคือลุงได้ขืนใจปูนไหม คำตอบคือ ไม่ได้ทำนะคับมีแค่ทำร้ายร่างกายเฉยๆ อย่าได้ดาร์กไปกว่านี้เลยชีวิต :hao5:
อีก3ตอนก็จบแล้วนะครัช! คิดว่าอาจจะจบค้างในความรู้สึกใครหลายๆคน แต่สไตล์เดียวกับพี่กาลคับ คือจะมีตอนพิเศษที่เป็นลักษณะของตอนเสริมมาช่วยไขความไม่เข้าใจและจัดการปมต่างๆให้สมบูรณ์มากขึ้น เรื่องของป๋าปูนไม่ได้ซับซ้อนเท่าเรื่องพี่กาล แต่ปมมันมีหลายมุมจากหลายๆตัวละครซึ่งค่อนข้างกระจายบทได้ยากพอสมควรคับ รู้จุดด้อยตัวเองเลย แต่ยังไงก็จะพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดนะคับ
-
คนที่ปูนคุยด้วยคือพี่กาลสิน่ะ โอ้ยยย..เรื่องมันช่างซับซ้อนนนนน
รีบไปช่วยน้องเร็วเข้า!!
-
อะไรยังไง!!!!! ไปช่วยปูนเร็วววววว :katai1: :katai1:
-
:katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
รีบด่วนเลยคุณนิด น้องตกอยู่ในอันตราย
-
ป๋าๆๆ ป๋าต้องรีบช่วยปูนนะ
-
เอ้า รีบเลยป๋า น้องจะแย่แล้ว
-
อิลุงนี่ยังไง ไม่ไปทำงานทำการบ้างเรอะ :fire:
-
ทำไมกาลรู้ล่ะว่าปูนโดนจับตัวไปแล้ว
-
ตอนแรกเราก็คิดนะว่าจะไปอ่านไนท์แมร์ด้วย เพราะเห็นว่ามีปูนไปเอี่ยวนิดหน่อย แบบว่าถ้าไปอ่านเรื่องนั้นด้วยล่ะก็ มันอาจทำให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับตัวละครในนิยายเรื่องนี้มากขึ้น แต่พอมาตอนนี้... รู้สึกว่าคงทำใจอ่านเรื่องนั้นไม่ไหวซะละ5555555555 ก็นะ ลองคิดดูว่าแค่นี้เราก็คันไม้คันมือ อยากกระโดดตบอิกาลเสียเต็มที่แล้ว คือก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดชังสาปแช่งอะไรหรอกนะ แต่ก็มีความรู้สึกค่อนข้างติดลบอยู่ กลัวว่าถ้าต้องไปอ่านเรื่องนู้นที่พี่มันโผล่มาเต็มๆบทเต็มๆเรื่อง แทนที่จะทำใจรักและสงสารพี่มันได้ลง(เพราะเรื่องนู้นก็คงดราม่าพอตัว) มีหวังเราคงได้สบถคำหยาบทั้งเรื่องซะมากกว่า
-
Happy แต่ก็ยังมีความหน่วงนะ
ตแนป๋าบอกพ่อนี่เกร็งแทนมาก เข้าใจเลยว่าพูดลำบาก
-
เดี๋ยว!!!! มันผู้นั้นใช่เมษารึป่าววว :z3:
-
ปูน เมื่อไหร่จะได้มีความสุขสักที เจอเรื่องร้ายๆไม่หยุดไม่หย่อน
คณิตรีบไปช่วยปูนเร็ว
-
อ่านบทสัมภาษณ์ป๋าอล้วน้ำตาไหลเลยจ้า
-
ป๋าา มาดแมนที่สู้ดดด รีบๆไปช่วยน้องปูนนะคะ.
-
ลุ้นสุดๆ ปูนอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ รออ่านตอนต่อไปจ้า
-
แตกที่ 41
…หวนคืน...
ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบคนรักของคณิตเมื่อตอนเช้าถูกทำลายลงไปง่ายๆเพราะโทรศัพท์จากรัตติกาลเพียงสายเดียว แต่หาใช่เพราะเรื่องของรัตติกาลหรอก แต่เป็นข้อมูลบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมาทางคนไกลต่างหาก
“ชาติบอกว่ากล้องวงจรปิดจับภาพรถได้ก่อนเข้ามาทางมอเตอร์เวย์ เพราะฉะนั้นมันก็น่าจะอยู่ในภาคตะวันออกเนี่ยแหละ”
“กว้างไป...คุณชาติพอจะหากล้องวงจรปิดมาเพิ่มอีกได้ไหม เราต้องการข้อมูลที่ชี้ชัดกว่านี้”
ความเครียดทำให้คณิตเผลอเหยียบคันเร่งมากขึ้นจนนิลต้องพูดปราม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจหัวอกเพื่อนอยู่เหมือนกัน เพราะความทรงจำของเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานยังคงไม่เลือนหายไปง่ายๆ
“มันกำลังพยายามอยู่แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ ตอนนี้เราต้องพยายามล้อมกรอบกันเองก่อน ว่าลุงนั่นมันน่าจะพาปูนไปที่ไหนทั้งๆที่รู้อยู่ว่าแถวนี้คือถิ่นมึง”
นั่นคือสิ่งที่คณิตฉุกคิดเหมือนกัน ในตอนแรกที่ได้ยินจากรัตติกาลว่าลุงของปูนเพิ่งพาตัวหลานชายแท้ๆหนีหายไปเขาก็รีบมุ่งตรงเข้ากรุงเทพโดยคิดว่าฝ่ายนั้นคงจะพาปูนไปซ่อนไว้ตามห้องพักที่ไหนสักแห่ง แต่ทันทีที่มาถึงข้อมูลจากกล้องวงจรปิดกลับบอกว่ารถยนต์ที่แผ่นป้ายทะเบียนถูกระบุไว้ว่าเป็นรถของวิทยากำลังขับผ่านเส้นพระรามสองแล้วมุ่งตรงไปยังมอเตอร์เวย์อันถือเป็นประตูสู่ภาคตะวันออกที่เขาเพิ่งขับผ่านมาเมื่อครู่นี่เอง
“ถ้าไม่ใช่ว่าโง่จนลืมคิด หรือว่าบ้าจนไม่ยอมคิดอะไรแล้วลุงนั่นมันก็กล้ามากนะที่พาปูนมาที่นี่ หรือมันอาจจะมีเหตุผลอื่นที่เราคิดไม่ถึงอีกว่ะ”
“ก็คงอย่างนั้น แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าระหว่างพยายามเข้าใจกับตั้นหน้ามันกูอยากทำอย่างหลังมากกว่าเยอะเลย”
แค่คิดก็รู้สึกโกรธ คณิตไม่เข้าใจว่าทำไมวิทยาถึงทำแบบนี้กับหลานชายแท้ๆของตัวเองได้ แม้ว่าคณิตจะล้มกระดานด้วยการประกาศเรื่องของปูนออกสื่อจนอีกฝ่ายไม่สามารถใช้เรื่องของเขามายื้อร่างเล็กไว้ข้างกายได้อีก แต่ชายคนนั้นก็ยังคงยืนยันที่จะทำเหมือนเดิมโดยที่ไม่สนใจใครทั้งนั้น
“แล้วคนในบ้านทางนั้นล่ะ ได้ข้อมูลมาบ้างรึเปล่า”
“คนเป็นแม่บอกอย่างเดียวว่าไม่รู้เรื่อง ส่วนน้องสาวปูนที่ชื่อปิ่นบอกว่าตัวเองเป็นคนพาปูนไปส่งที่ถนนเพื่อให้น้องมันโบกแท็กซี่กลับมาหามึง แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นซะก่อน”
“สรุปไม่มีใครรู้เลยใช่ไหมว่าหมอนั่นมันพาปูนไปไว้ที่ไหน โถ่เว้ย! ทำไมเรื่องทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยว่ะ”
คณิตเริ่มสติแตกจนนิลต้องบังคับให้เพื่อนจอดตรงข้างทางแล้วเปลี่ยนมาขับแทนให้เองก่อนที่ความร้อนใจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น โดยทันทีที่มือว่างร่างสูงก็จัดการโทรหาคนรู้จักในจังหวัดที่พอจะฝากฝังได้ให้คอยเป็นหูเป็นตาพร้อมกับบอกรูปพรรณสัณฐานของปูนไว้เป็นข้อมูล
“กูรู้สึกเหมือนเรากำลังงมเข็มในมหาสมุทรยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ทั้งๆที่น่าจะเป็นฝ่ายเราที่ได้เปรียบเรื่องพื้นที่แต่กลายเป็นว่ามันใกล้จนเรามองไม่เห็น”
“มันอาจจะกะไว้แล้วก็ได้ว่าต้องเป็นแบบนี้ เหมือนมันกำลังปั่นหัวมึงแล้วมันก็เชื่อว่ามึงคงไม่มีวันหาเจอ”
ร่างสูงสบถเสียงดัง เขาพยายามไม่ใช้อารมณ์แต่มันก็ทำได้ยากเกินไป นิลขับรถเขามาเรื่อยๆจนเข้าเขตบางแสนสิ่งที่คณิตรอคอยมาตลอดก็ดังขึ้น นิลรีบกดรับโทรศัพท์แล้วจัดการเปิดสปีกเกอร์โฟนเพื่อไม่ให้ไอ้คนข้างๆมันคลั่งขึ้นมาอีก
“ว่าไงชาติ ได้อะไรเพิ่มเติมบ้างรึเปล่า”
“ผมโทรไปเช็คที่ทำงานเขามาครับ ทางนั้นบอกว่านายวิทยาโทรมาลางานไว้หนึ่งอาทิตย์เมื่อเช้าโดยไม่ได้แจ้งเหตุผลไว้ ทางนายจ้างเห็นว่าโปรเจคใหญ่ที่ทางนั้นรับผิดชอบเพิ่งเสร็จไปเลยอนุมัติให้ลาได้ไม่มีปัญหา”
“แล้วมึงจะบอกกูทำไมวะ กูไม่ได้อยากรู้ว่ามันทำงานได้ดีแค่ไหนนะชาติ!”
“ครับ ตอนแรกผมก็ไม่สนใจมันเหมือนกันจนกระทั่งได้รู้ว่าโปรเจคที่นายวิทยาได้ทำคืออะไร”
คนฟังทั้งสองต่างหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบที่ฤทธิชาติบอกมา
“โครงการปรับพื้นที่ของโรงแรม The Pilot ที่สัตหีบครับ โรงแรมคู่แข่งของคุณคณิตไง”
.
.
.
.
.
.
.
กลิ่นเกลือที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในการรับรู้ของปูน ร่างเล็กที่ถูกทำให้หมดสติด้วยผ้าเช็ดหน้าซึ่งมันถูกโป๊ะลงบนจมูกของเขาแทบจะทันทีที่พยายามหนี อาการปวดหัวแล่นริ้วขึ้นมา ให้ตายสิ ทำไมถึงพูดคุยกันดีๆไม่ได้ ทำไมลุงถึงชอบทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องใหญ่ ว่าแต่เขาอยู่ที่ไหนเนี่ย
“นี่มัน...”
ภาพวิวที่คุ้นตาปรากฏขึ้น ถึงจะจำไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาเคยมาที่นี่ไม่ผิดแน่ โขดหินแปลกๆตรงนั้นที่พอมองเลยไปจะเห็นร้านอาหารริมทะเลที่ตั้งอยู่ไกลๆ ไม่ผิดแน่ๆ เขากำลังอยู่ที่สัตหีบ!
“ตื่นแล้วหรอ”
เสียงของลุงวิทย์ทำให้ปูนที่กำลังสับสนหลุดออกจากภวังค์ ร่างเล็กหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจและไม่ไว้ใจ ใช่ คำขอโทษที่เขาเพิ่งให้ลุงของตนไปก่อนหน้านี้ถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว
“ลุงบ้าไปแล้วหรอ จับผมมาทำไม”
“ฉันไม่ได้จับแกมาทำไม่ดีสักหน่อย แค่พามาพักผ่อนเท่านั้นเอง”
พักผ่อนบ้าอะไร มือและเท้าของปูนอยู่ในภาพถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาด้วยเชือกอะไรก็ไม่รู้ที่ทั้งเหนียวและหยาบ บาดผิวของเขาจนแดงหมด
“ผมไม่อยากพัก ผมอยากกลับบ้าน”
“อยากกลับบ้าน หึ ทั้งๆที่แกเพิ่งหนีออกมาจากที่นั่นเนี่ยนะ”
“เปล่า ผมหมายถึงบ้านอีกหลัง...บ้านของผมกับคุณคณิต”
“...”
“ลุงก็ได้อ่านมันแล้วไม่ใช่หรอ ว่าผมกับเขาเรารักกันแค่ไหน ถ้าลุงเป็นห่วงเรื่องที่ใครจะมาหลอกผมก็ไม่ต้องหรอกครับ ปล่อยผมไปได้แล้ว”
ปูนพูดแบบนั้นออกมาทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ ซึ่งดูเหมือนว่าวิทยาก็เข้าใจถึงเนื้อในของสิ่งที่ปูนต้องการจะสื่อ
“ไม่มีใครบนโลกนี้อีกแล้วที่รักแกได้มากเท่าฉัน ข้างนอกนั้น...คนพวกนั้นจะทำร้ายแกสักวันเมื่อแกหมดประโยชน์”
ลุงวิทย์เดินเข้ามาหาปูนช้าๆ ดวงตาที่แสดงความอ่อนล้าออกมาจ้องมองหลานชายของตัวเองด้วยความรักและหวงแหน...แต่มันมากเกินไป มากจนมันสามารถทำลายทั้งตัวเขาและคนรอบข้างได้โดยไม่ทันได้รู้ตัว
“ถ้าแกอยู่กับฉันแกจะไม่มีวันเสียใจ แกจะไม่มีทางถูกทิ้ง ไม่มีทางโดนดูถูกเหมือนที่แกเคยเจออีก”
“ถ้าลุงพูดถึงเรื่องตอนนนั้นทุกอย่างมันจบแล้ว ไม่ว่าจะพี่กาล ไอ้แมน หรือว่าลุง ทุกคนต่างก็ทำร้ายผมไม่มีใครดีกว่าใครทั้งนั้น แต่คุณคณิต...เขาไม่ใช่”
ภาพความทรงจำทุกอย่างที่คณิตสร้างเอาไว้ในใจของปูนถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรอยยิ้มที่วิทยาไม่เคยเห็น มันทั้งมีความสุขและอิ่มเอมจนคนมองรู้สึกปวดร้าวไปทั้งใจ แม้แต่ตอนเด็กๆที่ปูนยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่วิ่งเอาขนมที่ทำเองมาให้เขาชิม...ปูนยังไม่เคยมีรอยยิ้มที่สดใสขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
“คุณคณิตเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ดีไปซะทุกอย่าง เขาเคยพลาดทำผมร้องไห้มาหลายครั้งแล้วด้วยซ้ำไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ คือผู้ชายคนนั้นเขาพร้อมที่จะฟังผมเสมอขอแค่ผมเอ่ยปาก...แต่ผมก็ไม่เคยทำ”
ปูนถามตัวเองว่าถ้าหากเขายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้คณิตฟังตั้งแต่แรกเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร คณิตอาจจะยอมรับเขาได้หรือว่าอาจจะไม่เพราะแม้แต่ตัวปูนเองก็ยังไม่อยากยอมรับมันเหมือนกัน
“เขาคือคนที่ได้เจอผมในสภาพที่แย่ที่สุด แต่ถึงผมจะทำตัวไม่ดีแค่ไหนเขาก็ยังให้โอกาสและเชื่อเสมอว่าผมจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ได้ เขาทำให้ผมได้มีชีวิตของตัวเอง ได้มีชีวิตจริงๆไม่ใช่แค่เปลือกนอกที่หายใจทิ้งไปวันๆ...และมันก็คือโอกาสที่ลุงไม่เคยให้กับผมเลย”
ร่างเล็กสบตาคนที่ดูแลเขามาตลอด แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกเหล่านั้นเริ่มบิดเบี้ยวจนกลายมาเป็นแบบนี้ ปูนไม่อยากเกลียดผู้ชายตรงหน้าพอๆกับที่เขาไม่อยากเกลียดตัวเองเหมือนกัน ปูนอยากจบเรื่องราวทุกอย่างเสียที เรื่องราวความรักที่ทำร้ายทุกคน
“ผมไม่มีทางเป็นเด็กที่ต้องรอให้ลุงปกป้องตลอดไป ผมอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง ได้สุข ได้ทุกข์...ได้รักใครเท่าที่ใจอยากจะรัก ถึงแม้ผมจะต้องร้องไห้ยิ่งกว่าตอนที่ลุงทำร้ายผมก็ตาม แต่ว่าได้โปรดเถอะครับ”
“...”
“ได้โปรดปล่อยให้ผมได้มีชีวิตของตัวเองจริงๆสักที”
ปูนร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นแต่มันก็เป็นได้แค่ก้อนหินเล็กๆที่ถูกปาเข้าใส่หน้าผาใหญ่ไร้ซึ่งความรู้สึก วิทยาไม่ได้พูดอะไร เขาทำแค่มองดูหลานชายด้วยดวงตาที่อ่านไม่ออกคู่นั้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องพร้อมกับล็อคประตู
“เพราะแกมันโง่แบบนี้ไง ฉันถึงปล่อยแกไปไม่ได้...คนพวกนั้นจะทำร้ายแกยิ่งกว่าที่ฉันทำ คนพวกนั้นไม่มีทางรักแกมากกว่าที่ฉันรักหรอกปูน”
ร่างเล็กไม่มีแม้แต่โอกาสจะโต้เถียง เขาจึงทำแค่ถอนหายใจแล้วภาวนาให้มีใครมาพบเขาเข้าแต่ก็คงยาก ปูนพยายามชะโงกหน้าไปมองด้านนอกเท่าที่ร่างกายเล็กๆของตัวเองจะทำได้ เขาจำได้ว่าที่นี่เป็นที่ดินที่เมษาเตรียมจะนำมาสร้างโรงแรมสาขาใหม่ ถ้าให้ปูนเดาลุงคงพาเขามาพักอยู่ในบังกะโลเล็กๆที่ถูกปลูกไว้ไม่ไกลจากกันนัก แม้จะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนปัญหาก็คือเขาจะออกไปได้ยังไง
แสงแดดแรงๆข้างนอกที่ส่องเข้ามาทางทิศตะวันตกทำให้ปูนรู้ว่าตอนนี้คงเข้าช่วงบ่ายแล้ว เขาออกจากบ้านมาแต่เช้าการถูกพามาที่นี่คงกินเวลาไปหลายชั่วโมง ความเหนื่อยล้าเริ่มเกาะกุมจิตใจ เช่นเดียวกับความหิวที่เริ่มทำร้ายกะเพราะน้อยๆของปูนอย่างแรง เมื่อสภาพกายและสภาพใจอ่อนแอปูนก็เริ่มโหยหาอ้อมกอดของคนที่บอกว่าจะมารับเขา
“คุณจะรู้บ้างไหมว่าผมอยู่ที่นี่...คุณคณิต”
ก็อก!
เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นจากตรงหน้าต่างบานเดียวในห้องทำให้ปูนรีบหันไปมองก่อนที่จะสะดุ้งสุดแรงเมื่อเขาเห็นชายแปลกหน้าผิวกายดำกร้านคนหนึ่งกำลังยืนยิ้มเห็นฟันขาวมาแต่ไกล แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเข้ามาในนี้ได้ปูนก็ยังพยายามเขยิบตัวหนีไปยังอีกฝั่งของเตียง
“คุณชื่อปูนใช่ไหมครับ ที่ถูกเอาตัวมาจริงกรุงเทพ”
สำเนียงการพูดแปลกๆแบบที่ฟังแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่คนไทยถูกเอ่ยขึ้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา
“คุณรู้!? รู้ได้ยังไงครับ!”
“คุณเมษาบอกว่าให้มาช่วยคุณ รอแปปนึงนะ ผมจะงัดหน้าต่างเข้าไป”
เป็นอีกครั้งที่ปูนรู้สึกแปลกใจเพราะชื่อของเจ้านายเก่าที่ถูกอ้างถึง ทำไมเมษาถึงให้คนมาช่วยเขา ไม่สิ ทำไมหมอนั่นถึงรู้ว่าเขาถูกจับตัวมาที่นี่ สมองที่อ่อนล้าของปูนพยายามประติดประต่อเรื่องราวแต่พอคิดว่าคนที่เกลียดชังเขาอย่างเมษาคงไม่ยอมยื่นมือมาช่วยง่ายๆหากไม่มีเหตุผล...และเหตุผลนั้นก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากชายที่เมษารัก...คุณคณิต
ใช้เวลาไม่นานชายแปลกหน้าคนนั้นก็งัดหน้าต่างเข้ามาได้สำเร็จ อีกฝ่ายรีบปีนเข้ามาช่วยแก้มัดเชือกที่พันธนาการปูนไว้แม้ว่าจะลำบากนิดหน่อย ร่างเล็กมองแขนและขาที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเองด้วยความโล่งใจ เขากำลังจะกลับไปหาคณิตแล้ว เขาจะกลับบ้านได้แล้ว
“ขอบคุณมากเลยนะครับที่มาช่วยผม ผมไม่รู้ว่าจะตอบแทนยังไงจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าคุณรีบไปเถอะ ผมเห็นผู้ชายที่พาคุณมาขับรถออกไปข้างนอก เราต้องไปก่อนที่เขาจะกลับ”
ปูนพยักหน้ารับแล้วปีนออกจากหน้าต่างตามชายแปลกหน้าไป พวกเขาวิ่งไปตามชายหาดที่เม็ดทรายอ่อนยวบจนกินพลังงานไปพอสมควรก่อนจะมาถึงถนนที่เริ่มมีผู้คนใช้ชีวิตให้เห็น เด็กหนุ่มมองกลับไปด้านหลังเขาไม่พบร่องรอยว่ามีใครตามมาจึงวางใจ แต่พอหันกลับมาอีกทีก็ต้องชะงัก
“ลุง!”
“ทำไมเป็นเด็กไม่รู้ฟังแบบนี้ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าออกไปไหน”
วิทยาพูดกับปูนด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ แต่สายตาที่ใช้มองมานั้นไม่ใช่เลย ร่างเล็กหันหลังกลับเตรียมจะวิ่งออกไปจากที่นี่แต่ก็โดนคนที่มีอายุเยอะกว่ามากรั้งตัวไว้จนไม่อาจขยับได้
“ปล่อยคุณเขานะเว้ย!”
“มึงอย่าเสือก ถ้าอยากมีปัญหากับตำรวจก็ลองดู นี่หลานกู การที่มึงบุกเข้าไปพาหลานกูมามึงคิดว่าตำรวจเขาจะจับใคร!”
ข้ออ้างง่ายๆสามารถหยุดการกระทำของชายที่เข้ามาช่วยปูนไว้แทบจะทันที อีกฝ่ายมองวิทยาอย่างไม่ชอบใจก่อนจะหันมาขอโทษปูนทางสายตาเพราะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังคงร้องขอ
“ช่วยผมด้วยครับ ช่วยผมด้วย!”
“หยุดร้อง ไม่อย่างนั้นไอ้ต่างด้าวนี่เดือดร้อนแน่!”
“พอเถอะครับลุง ผมอยากกลับบ้าน ฮึก ผมอยากกลับบ้าน”
“บ้านของแกบนโลกนี้ก็มีแต่ฉัน เราต้องอยู่ด้วยกัน ฉันจะไม่ยอมให้แกไป”
พูดจบวิทยาก็พาปูนเดินมายังรถที่จอดไว้ข้างต้นไม้ไม่ไกลนัก ชายแก่เหยียบคันเร่งจนรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าผ่านทิวทัศน์ที่ปูนเคยเห็นมันมาด้วยตาตัวเองแล้วครั้งหนึ่ง...ลุงกำลังพาเขาไปที่ท่าเรือ
“ฉันไปติดต่อเรือไว้ คิดว่าแกคงจะเบื่อถ้าต้องอยู่ในห้องนานๆ”
“ลุงทำอย่างนี้กับผมไม่ได้นะ พาผมกลับไปเดี๋ยวนี้!”
“อย่าดื้อกับลุงนักเลยปูน ลุงจะพาแกมาเที่ยวไงตอนเด็กๆแกชอบให้ลุงพาไปเที่ยวอย่างนี้บ่อยๆไม่ใช่หรอ”
ดูเหมือนว่าความทรงจำครั้งวัยเยาว์จะทำให้ลุงวิทย์เป็นสุขมากกว่าปัจจุบัน เพราะเมื่อได้คิดถึงนั้นลุงก็ยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นจนใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีปูนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือประมงลำเล็กที่มีแต่คนขับนั่งรออยู่
“อย่าโวยวายออกไปล่ะเข้าใจไหม หมอนั่นก็เป็นพวกต่างด้าวแอบเอาเรือของนายจ้างมาให้ฉันเช่าเหมือนกัน”
คำขู่ถูกยกขึ้นมาเพราะลุงรู้จุดอ่อนของปูนดี ร่างเล็กจึงทำได้เพียงเดินตามแล้วพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้คนที่เขาไม่รู้จักแต่ก็ไม่ได้ผล
“ไปเลยไหมครับคุณ ถ้าหากเย็นกว่านี้จะไม่ดีนะ”
“ออกเรือได้เลย ขับไปไหนก็ได้พวกฉันอยากนั่งเรือเที่ยวนานๆ”
ปูนอยากรู้เหลือเกินว่านานของลุงน่ะมันแค่ไหน แต่สุดท้ายความอยากรู้ของเขาก็ถูกกองทิ้งไว้ตรงท่าเรือที่ไร้ซึ่งผู้คนและความหวังที่จะได้พบเจอกับคณิต ปูนไม่อยากร้องไห้แต่มันก็ทำไม่ได้จริงๆ
“คุณคณิต...ป๋าครับช่วยผมด้วย”
:z6:(ต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
รถคันหรูที่มีนิลเป็นคนขับจอดลงตรงท่าเรือที่มีชายต่างด้าวคนหนึ่งกำลังยืนมองมาด้วยทีท่าร้อนใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะดับเครื่องคณิตที่นั่งอยู่ข้างๆกันก็รีบพุ่งลงไปหาชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ร้อนใจยิ่งกว่า
“ปูนอยู่ไหน ผู้ชายคนนั้นอยู่ไหน!”
“คุณเขาถูกพาขึ้นเรือไปแล้วครับ! สักสิบนาทีได้!”
คณิตสบถอย่างหัวเสีย เวลาแค่สิบนาที ถ้าหากพวกเขาไหวตัวเร็วกว่านี้ปูนคงไม่ถูกพาออกไปข้างนอกนั้น นิลเดินตามลงมาจากรถพร้อมกับคุยโทรศัพท์กับใครคนหนึ่งไปด้วยซึ่งจากที่ฟังๆแล้วก็คงเป็นนายตำรวจที่ช่วยประสานเรื่องให้อยู่ทางกรุงเทพนั่นแหละ
“เออ เห็นคนบอกว่ามันพาตัวปูนขึ้นเรือไปแล้ว เอายังไงต่อดี”
“ก็ตามไปสิวะ นายพอจะหาเรือให้ฉันได้ไหม”
ไม่ใช่ฤทธิชาติที่เป็นคนพูด หากแต่เป็นคณิตที่ทำสีหน้าแน่วแน่อยู่ข้างๆนิลนั่นแหละ ชายหนุ่มหันไปถามลูกจ้างของเมษา โดยที่อีกฝ่ายก็รับปากว่าจะหาเรือมาให้แต่คงต้องใช้เวลา คณิตจึงค้นเบอร์โทรศัพท์ของเรือประมงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยจ้างตอนพาปูนไปเที่ยวยังเกาะขาม และเขาก็โทรติด
“ลุงแกบอกว่ากำลังขับเรือผ่านมาทางนี้พอดี เดี๋ยวลุงเขาจะพาไปให้”
“เรือนำเที่ยวหรอวะ”
“เปล่า เรือตกปลา”
ปลา...มีแต่ปลาจริงๆด้วย นิลแทบจะโก่งคออ้วกเมื่อต้องมายืนอยู่ท่ามกลางกองอาหารทะเลที่ต่างส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งราวกับว่าจะแข่งกัน คือเขาก็ไม่ใช่คนกระเดะอะไรขนาดนั้นแต่พอมาอยู่ในที่แบบนี้นิลสงสัยจริงๆว่าชาวประมงเขาทนกันได้ยังไง นิลจึงหันไปถามชายต่างด้าวคนนั้นที่ขอขึ้นเรือมาด้วย
“น้องไม่เหม็นหรอวะ จมูกพี่จะพังอยู่แล้วเนี่ย”
“ชินแล้วครับ เหม็นจนเลิกเหม็นไปแล้วพี่ ว่าแต่คุณคนนั้นนี่เก่งมากเลยนะ ดูท่าทางไม่เป็นอะไรเลย”
นิลหันไปมองทางคณิตที่ยืนอยู่แถวหัวเรือ ก็นะ ฝ่ายนั้นก็คงร้อนใจจนไม่ได้กลิ่นอะไรไปแล้วล่ะมั้ง
“ลุงพอจะรู้ไหมครับ ว่ามันน่าจะพาคนของผมออกไปที่ไหนได้บ้าง”
คณิตถามคนขับเรือซึ่งมีน้ำใจมาช่วยเหลือทั้งๆที่ปกติ การนำปลาขึ้นฝั่งต้องทำให้ตรงตามเวลา แต่เอาเถอะในเมื่อเขาเสนอที่จะรับซื้อปลาพวกนี้ไว้เองอีกฝ่ายเลยไม่มีทีท่าอิดออดอะไร
“ตอบยากเลยครับ ทะเลก็ออกจะกว้างผมก็ไม่รู้ว่ามันจะขับไปทางไหน แต่มันคงไปได้ไม่ไกลมากนักหรอกกับเรือลำแค่นี้”
ในระหว่างที่คณิตกับคนขับกำลังปรึกษาหารือกัน เสียงโทรศัพท์รุ่นเก่าของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น ชายผู้มีผิวกร้านแดดกดรับมันก่อนจะพูดกับคนปลายสายด้วยเสียงอันดังขนาดที่ว่าคณิตและคนอื่นๆยังได้ยิน
“เออ มีไรวะ!”
“มึงอยู่ที่ท่าเรือรึเปล่าวะ เห็นเรือลำเล็กของกูไหม!”
“ไม่เห็นๆ ทำไมมีอะไรหรอ!”
“แม่ง ลูกน้องกูแม่งขโมยไปใช้ สงสัยจะเอาไปรับนักท่องเที่ยว!”
“ไอ้ฉิบหาย! เรือลำไหนวะ!”
“ลำสีฟ้า ลำใหม่ที่กูเพิ่งไปทาสีมานั่นแหละ แต่มันคงไปได้ไม่ไกลเพราะกูยังไม่ได้เติมน้ำมัน!”
“เฮ้ยพี่ ลำนั้นเลยๆ!!”
เสียงตะโกนของชายต่างด้าวดังขึ้นทำให้คนอื่นๆหันไปมองเป็นทางเดียว เรือลำประมงสีฟ้าลำเล็กจอดแน่นิ่งอยู่กลางท้องทะเลที่คลื่นทำให้มันโคลงเคลงไปมา หากมันเป็นแค่เรื่องของเรือที่ถูกลูกน้องขโมยมาใช้อย่างที่ได้ยินคณิตคงไม่สนใจอะไร แต่คนที่เขามองเห็นจากไกลๆว่าอยู่บนเรือลำนั้นกำลังทำให้หัวใจของคณิตที่เต้นเร็วอยู่แล้วยิ่งเร็วขึ้นไปอีก
“เรือลำนั้นแหละพี่ ที่มันพาคนที่ชื่อปูนไป ลำนั้นเลย!”
“ปูน!!!!”
ปูนที่นั่งซุกหน้าลงกับเข่าตัวเองได้ยินเหมือนมีใครกำลังเรียกชื่อเขามาจากที่ไกลๆ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเขาถูกจับมาขึ้นเรือที่ดันจอดสนิทเพราะน้ำหมดทั้งๆที่เพิ่งออกมาจากท่าได้ไม่กี่นาที ปูนดีใจอยู่หรอกที่ตัวเองไม่ถูกพาไปไกลกว่านี้ แต่พอต้องอยู่บนเรือนิ่งๆแล้วรู้สึกถึงเกลียวคลื่นที่กระแทกเข้ามาหลายครั้งต่อนาที เขาก็ชักจะพะอืดพะอมเหมือนกัน
“เมาเรือจนหูแว่วเลยหรอวะ แถมยังได้ยินเหมือนเสียงคุณคณิตอีก”
“ปูน!!!!!!!”
“อีกแล้ว รอบนี้เมาเรือหนักไปไหมเนี่ย”
“ปูน ทางนี้ พี่อยู่ตรงนี้!!!!!!”
“แล้วมันพี่ไหนล่ะวะ!!!!!!”
ร่างเล็กตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิดจนวิทยาและคนขับเรือที่ช่วยกันดูเรื่องน้ำมันอยู่หันมามองด้วยความตกใจก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นเรืออีกลำที่แล่นเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที
“ฉิบหายแล้ว!”
“ไอ้เวรนั่น”
เสียงแรกเป็นเสียงของคนขับเรือที่จำได้ดีว่าเรือลำนั้นเป็นของเพื่อนเจ้านาย และเสียงต่อมาคือเสียงของวิทยาที่สบเข้ากับแววตาเกรี้ยวกราดของคณิตพอดี เขาละมือจากสิ่งที่ทำอยู่ก่อนจะมาฉุดหลานชายที่นั่งมึนอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นมา ปูนที่แทบจะอ้วกอยู่รอมรอพยายามขืนตัวออกเพราะไม่อยากอยู่ใกล้แต่เพราะการทำอย่างนั้นทำให้เด็กหนุ่มเพิ่งได้สังเกตว่าเรือของเขาที่เคยอยู่โดดเดี่ยวกลางทะเลกำลังถูกเทียบข้างด้วยเรืออีกลำที่มีใครอีกคนอยู่
“คุณคณิต!!!”
อาการเมาเรือแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อปูนได้เห็นคนที่ตัวเองคิดถึงจนต้องร้องไห้ออกมา ร่างเล็กพยายามเดินเข้าไปใกล้ตามที่ใจสั่งหากแต่ความเป็นจริงที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้ผ่านฝ่ามือของลุงแท้ๆกลับทำให้ปูนไม่อาจไปถึงคณิตได้
“คุณลุงปล่อยปูนมาเถอะผมจะได้ไม่เอาเรื่อง!!”
คณิตตะโกนขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองรักถูกกระทำยังไง มือขาวๆที่เขาชอบมองเวลาเจ้าของมันทำของอร่อยให้ทานตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยแผลจนคณิตแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ หากไม่ได้นิลที่คอยรั้งไว้รับรองเลยว่าคณิตได้กระโจนไปกระทืบคนบนเรืออีกลำแน่
“มึงจะมาเอาเรื่องอะไรกู นี่หลานกู ครอบครัวกู มึงนั่นแหละคนนอก!”
“คุณยังกล้าเรียกปูนว่าครอบครัวอีกหรอ ทั้งๆที่คุณเป็นคนที่ร้ายเขามาตลอด คุณเห็นไหมว่าตอนนี้ปูนเป็นยังไง!”
เพราะยืนอยู่ข้างหน้าเลยทำให้ปูนไม่อาจเห็นว่าลุงของตนมีสีหน้าเปลี่ยนไปบ้างไหมเมื่อได้ยินคำพูดของคณิต แต่เขารู้สึกว่าตัวของลุงกำลังสั่น
“คนอย่างมึงจะไปรู้อะไร นี่หลานกู กูเลี้ยงของกูมาตั้งแต่เล็ก! ผู้ชายอย่างพวกมึงก็แค่จะมาหลอกหลานกู มาทำให้หลานกูเสียใจ กูจะไม่ยอมให้หลานกูยุ่งกับคนแบบมึงเด็ดขาด!!”
“เฮ้อ น่ารำคาญชะมัดพวกมึงจะตะโกนด่ากันอีกนานไหมวะ”
“...!!”
นิลที่ยืนฟังอยู่นานพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แสดงอาการเบื่อเต็มขั้น เขาเปรยตามองคณิตอย่างเซ็งๆ มาถึงขนาดนี้ยังเรียกอีกฝ่ายว่าคุณๆอยู่ได้ ที่ยังไม่ลดสถานะจากวัวมาเป็นคนให้มันก็เพราะแบบนี้นั่นแหละ ส่วนฝ่ายนั้นก็ยึดแต่ความคิดและความรู้สึกของตัวเองไม่ยอมฟังใคร ต่อให้ยืนเถียงกันจนตะวันจมน้ำก็คงยังไม่จบ เอายังไงดีนะ...อ่า เจอแล้ว
“เฮ้ย ไอ้คนขับเรือนั่นนะ เออ มึงนั่นแหละ!”
ลูกจ้างที่ขโมยเรือของนายมาใช้หากินสะดุ้งเมื่อถูกนิลเรียกแล้วพยายามจะหนี แต่จะให้ไปที่ไหนได้ในเมื่อรอบข้างมีแต่ยักษ์มีครามล้อมอยู่
“กูจ้างมึงสามพัน ช่วยกูจับไอ้ลุงนี่ไว้ที ส่วนเรื่องที่มึงเอาเรือนายมาใช้กูจะชวนพูดให้ โอเคไหม”
“อะไรนะ?”
ไม่ใช่แค่คนขับเรือที่อึ้ง ทั้งคณิต ปูน วิทยา ต่างก็ตกใจกับข้อเสนอง่ายๆที่สามารถพลิกเรื่องทุกอย่างให้กลับตาลปัด
“ว่าไงจะทำไม่ทำ ถ้าไม่ก็เตรียมไปนอนคุกก่อนถูกส่งกลับประเทศได้เลย”
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ คนขับเรือที่อับจนหนทางรีบปรี่เข้าไปจับตัวชายที่มาจ้างตัวเองไว้โดยไม่คิดอะไรอีก วิทยาหันมามองนิลอย่างเคียดแค้นแต่นักเขียนหนุ่มกลับปั้นหน้ายิ้มกลับไปให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา พอไร้คนคอยจับตัวคนที่เริ่มจะรู้สึกไม่สบายก็ทรุดฮวบลงกับพื้นท่ามกลางความตกใจของคนที่มองมาโดยเฉพาะคณิต
“ปูน เป็นอะไรไหม!!”
“มะ ไม่เป็นไร ผมแค่เมาเรือ”
ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่หน้าของปูนกลับซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด คณิตรีบมองหาทางจะปีนขึ้นไปบนเรืออีกลำ แต่เพราะเรือที่เขานั่งมานั้นบรรทุกปลาไว้มากทำให้มันลอยต่ำกว่าเรือที่ปูนอยู่ คลื่นในทะเลก็สูงและแรงมากเสียจนร่างสูงหาจังหวะดีๆจะข้ามไปทางนั้นไม่ได้
“นิล กูฝากของหน่อย”
“ของ? มึงคิดจะทำอะไร?”
คณิตไม่ตอบ แต่เริ่มหยิบเอาโทรศัพท์และของมีค่าของตัวเองทั้งหมดออกมาให้นิลถือไว้แล้วทำท่าเหมือนกับจะกระโดดไปบนเรือลำนั้น นิลพอเห็นท่าทางของเพื่อนก็พอจะเดาได้เลยรีบห้ามไว้แทบไม่ทัน
“มึงจะบ้ารึไงไอ้นิด จะกระโดดไปให้ตกน้ำตายรึไง!!”
“ใช่ ไม่ไหวหรอกครับคุณ ถ้าเรือสูงเท่ากันหรือต่ำกว่าก็ว่าไปอย่าง แต่กระโดดขึ้นไปอย่างนี้ต่อให้หุ่นอย่างคุณก็ไม่ไหว”
แม้คนอื่นจะร้องห้าม แต่คณิตจะให้ทิ้งปูนไว้ตรงนั้นจนกว่าจะมีคนมาช่วยก็ไม่ได้ สีหน้าปูนไม่ไหวแล้วรวมถึงความรู้สึกของเขาก็เช่นกัน ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่น้ำทะเลกั้นกลางแต่ความคิดถึงที่คณิตมีต่อเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนี้ก็ไม่ได้บรรเทาลงเลย
“ปูน...ข้ามมาไหวไหม”
“...!!”
“กระโดดมาที่นี่ เดี๋ยวพี่จะคอยรับทำได้ใช่ไหม”
ความทรงจำเมื่อครั้งมาเกาะขามแล่นกลับเข้ามาในหัวที่ปวดหนึบของปูน ความรู้สึกเวลาที่ตัวเองลอยอยู่เหนือพื้นและผืนน้ำมันช่างน่ากลัวจนปูนทำอะไรไม่ได้นอกจากส่ายหน้า เขากลัว โดยเฉพาะการข้ามไปที่นั่นคงเดียวเขายิ่งทำไม่ได้
“ไม่ไหว...ผมทำไม่ได้หรอก”
“ได้สิ ไม่เป็นไรแค่กระโดดมาเดี๋ยวพี่จะคอยรับเอง”
“ไม่เอา ผมกลัว”
ปูนเอาแต่ปฏิเสธในขณะที่คณิตก็ทำอะไรไม่ได้ วิทยาที่ถูกจับไว้ก็ไม่รู้ว่าจะหลุดมาเมื่อไหร่ต่อให้คนที่นิลเสนอเงินให้จะมีแรงมากแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาของเขาจะมีมากนัก
“คุณคณิตครับเร็วๆเข้าเถอะ น้ำมันก็ของผมก็เหลือไม่มากแล้ว ถ้าไม่เข้าฝั่งตอนนี้ได้จอดนิ่งกันทั้งสองลำแน่”
คำพูดของเจ้าของเรือทำเอาทั้งปูนและคณิตเครียดหนัก โดยเฉพาะร่างเล็กที่เริ่มเกลียดความกลัวไม่เข้าเรื่องของตัวเอง ทั้งที่อยากไปหา ทั้งที่อยากอยู่ใกล้ๆแต่เขากลับเอาชนะความกลัวของตัวเองไม่ได้
“ปูนเชื่อใจพี่ไหม”
เสียงของคณิตดังขึ้นพร้อมกับความแน่วแน่ที่ปูนสัมผัสได้ บรรยากาศรอบตัวคนที่เขารักค่อยๆเปลี่ยนไป มันให้ความรู้สึกที่มั่นคงแบบที่ปูนไม่เคยเห็น
“ถ้ากลัวก็หลับตาลงแล้วกระโดดมาทางนี้ พี่จะรับปูนไว้ให้ได้ พี่จะไม่ทำให้ปูนต้องเจ็บอีก...สัญญา”
“คุณคณิต...”
“กลับบ้านของเรากันนะปูน...พี่มารับแล้ว”
ทั้งปูนและคณิตไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่นอีกนอกจากเสียงหัวใจของตัวเองสายลมค่อยๆหยุดลงเช่นเดียวกับแรงกระทบจากคลื่นที่จางไปจนแทบไม่รู้สึก เด็กน้อยขี้กลัวพยายามยันตัวลุกขึ้นยืนแม้จะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“อย่าไปนะปูน! มันอันตราย!”
“...”
“อยู่กับลุงเถอะนะ ลุงสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายปูนอีก กลับบ้านเรากันเถอะ ปูนจะทำอะไรก็ได้ลุงจะไม่ห้ามปูนอีกแล้ว ขอแค่ยังอยู่กับลุงนะ อย่าทิ้งลุงไป”
ในขณะที่ปูนกำลังรวบรวมความกล้า ลุงของเขาก็พยายามอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่ปูนไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ปูนหันไปมองผู้ชายที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก...คนที่พยายามใช้ทุกอย่างเหนี่ยวรั้งเขาไว้ ทั้งคำพูด แววตา และแม้แต่น้ำตา
“ขอโทษนะครับลุง”
แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าความเจ็บปวดคือการไม่ได้อยู่กับคนที่ผมรัก...
ทันทีที่ตระหนักถึงความต้องการของตัวเอง ปูนก็หลับตาลงแล้วกระโจนข้ามผืนน้ำไปยังเรืออีกลำโดยที่เขาไม่เห็นเลยว่าเท้าของตัวเองจะได้แตะพื้นหรือไม่ ในหัวของปูนมีแต่ภาพรอยยิ้มของคณิตที่กำลังมองมายังตัวเองพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างกว้างๆ...อ้อมแขนที่เขาคิดถึง...ความอบอุ่นที่เขาห่วงหา และสุดท้ายเท้าของปูนก็ไม่ได้แตะพื้นเพราะร่างกายสูงใหญ่ของคณิตได้โอบรัดเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหลุดมือไป...เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาทันทีที่ได้สัมผัสความรู้สึกนั้น ความรู้สึกของความโหยหาที่เดินทางมาถึงจุดหมาย
“ทำได้แล้วนะ ปูน เราทำได้แล้ว”
“ฮือ ผมกลัว ฮึก กลัวมากเลย”
“ฮ่าๆ เก่งมากเลย ไม่เอาไม่ร้องไห้นะ”
แม้คณิตจะปลอบปูนไปอย่างนั้นแต่ร่างเล็กก็ยังคงร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอ ทั้งความเสียใจ ผิดหวัง และความโหยหาความรักที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอสำหรับใครสักคน...แม้ว่าสุดท้ายในวันที่เขาได้มันมา จะไม่ได้มีแต่ความสุขก็ตาม คณิตใช้มือของตัวเองเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาจนนึกกลัวว่ามันจะทำให้ตาดวงเล็กๆนี่เจ็บแต่ก็ไม่เป็นไร...ปูนกลับมาหาเขาแล้ว...ปูนอยู่ในมือเขาแล้ว...และเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ปูนไปที่ไหนอีก
นิลมองภาพของเพื่อนที่เอาแต่กอดคนที่ตัวเองรักไว้ราวกับสิ่งล้ำค่าแล้วหันไปมองอีกคนที่เพิ่งสูญเสียคนสำคัญไปอย่างสมบูรณ์แม้ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม แววตาของวิทยาเต็มไปด้วยความสูญเสีย...มันเป็นแววตาแบบเดียวกันกับที่รัตติกาลเพื่อนของเขาเคยมี แม้ว่านิลจะไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็รู้อย่างหนึ่งว่าต่อให้คนพวกนี้จะทำตัวเลวร้ายเท่าไหร่...พวกเขาก็ยังคงมีหัวใจที่ร้องไห้ได้เหมือนกับเราทุกคน
“ร้องไห้ให้พอ แล้วใช้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ให้ได้นะครับ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
นุ้งปูนกลับมาแล้ว :mew1:
เห็นปูนเรียกป๋าคุณๆแบบนี้ไม่ชินเลยเนอะ :mew5:
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ปูนได้กลับสู่อ้อมอกป๋าแล้วววว
-
เขาเจอกันแล้วววววว ปูนกับป๋ากลับมาแล้ววว :hao5: :mc4:
-
:katai2-1: :katai2-1:
-
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
ป๋าเก่งที่สุด เจอน้องปูนด้วย o13
-
เย้ เค้ากลับมาเจอกันแล้ว ! :katai2-1:
-
ฮืออออ ปูนกลับมาแล้ววว
-
อีตาลุงนี่เข้าขั้นโรคจิตนะเราว่า - -"
หมดทุกข์หมดโศกนะลูก
ห่อเหี่ยวมาหลายตอน อินจัด เสียน้ำตาไปเป็นไหๆ
ตอนถัดไปขอพักเบรค รีเควสน้ำตาลหวานๆให้คนอ่านได้ชาร์ตพลังก่อนด่วนๆ
:กอด1: :กอด1:
-
อ่าาา น้ำตาจิไหล ได้อยู่ด้วยกันสักที ดีใจด้วยนะน้องปูนนนน
-
โฮกกกกก ในที่สุดก็ได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดป๋าซะทีนะ :เฮ้อ:
-
ดีใจ ปูนจะได้มีความสุขสักที
-
แตกที่ 42
…ข้อเสนอ...
ความรู้สึกพะอืดพะอมและอาการปวดหัวเล่นงานปูนอยู่ตลอดทั้งคืน แม้ว่าคณิตจะจัดการหายาให้ปูนกินทันทีที่เข้ามาถึงฝั่ง แต่อาจจะเป็นเพราะความเครียดและความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานทำให้เด็กน้อยของเขานอนหลับนานกว่าปกติ
“ไปทำอย่างอื่นบ้างก็ได้ค่ะเฮีย น้องเขายังไม่ตื่นง่ายๆหรอก”
หน่อยพูดด้วยความเหนื่อยใจ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดเธอเพิ่งจะเห็นมุมดื้อด้านของพี่ชายเข้าก็วันนี้ ไอ้ที่ว่าชอบขัดป๊ากับม๊านั่นถือว่าเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับการที่คณิตไม่ยอมให้ปูนอยู่ห่างกายสักนาทีตั้งแต่ได้ร่างเล็กกลับคืนมา
“แต่นี่มันจะเที่ยงแล้วนะหน่อย ปูนหลับไปเกินสิบสองชั่วโมงแล้วนะ”
“ร่างกายอ่อนแอแบบนี้จะเพลียมากกว่าปกติก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ว่าแต่เฮียเถอะได้นอนบ้างรึเปล่าเมื่อคืน”
“ก็ได้นอนไปหน่อยแล้ว แต่เดี๋ยวบ่ายนี้เฮียต้องออกไปประชุมที่โรงแรมคงเลื่อนไม่ได้ ฝากเราดูแลปูนทีนะ”
หญิงสาวยิ้มรับอย่างเห็นใจ ทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่องลำบากมาแท้ๆแต่คณิตกลับต้องไปรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองต่อโดยไม่มีการหยุดพัก ซึ่งนั่นก็ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองกับป๊ากับทีมบริหารคนอื่นเรื่องการทำงานของพี่ชายเธอที่จะไม่เปลี่ยนไปแม้ว่าเพิ่งลงข่าวกับหนังสือพิมพ์ไปแบบนั้น
“เหนื่อยหน่อยนะคะ แต่ว่าเฮียต้องผ่านมันไปให้ได้เนอะ”
คณิตอยู่เฝ้าปูนจนถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องไป โดยเขาไม่ลืมที่จะฝากฝังหน่อยและคนในบ้านให้คอยดูแลคนรักของตัวเองอย่างดีอีกครั้งแม้ว่าใจจริงคณิตอยากจะอยู่ดูแลปูนด้วยตัวเองมากกว่า แต่ก็อย่างว่า มันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับมารับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองเพื่อไม่ให้มีใครว่าได้
“น้องเป็นไงบ้างคณิต โอเคไหม”
อิงอรรีบวิ่งเข้ามาถามทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในโรงแรม เธอรับรู้เรื่องราวเพียงคร่าวๆจากหน่อยแล้วรู้สึกเป็นห่วงปูนมาก แต่สิ่งที่เธอทำได้ดีที่สุดคือการอยู่รับมือกับสถานการณ์อันเป็นผลพวงจากข่าวของทั้งคู่ที่นี่
“ปลอดภัยแล้วล่ะแต่ก็ยังหลับอยู่ แล้วนี่ความคิดเห็นของทีมเป็นยังไงบ้าง มีใครมีปัญหาอะไรไหม”
“ก็มีบ้างนั่นแหละ แต่ยังไม่มีใครเอ่ยขึ้นในที่ประชุม”
“งั้นคงจะเก็บไว้พูดกันตอนนี้แหละนะ เอาเถอะ มาลุยกันสักตั้ง”
ชายหนุ่มพูดด้วยความมาดมั่นจนอิงอรแอบชื่นชมในใจ ดูเหมือนว่าเรื่องราวคราวนี้คงจะมอบบทเรียนให้กับเพื่อนของเธอไม่น้อยเช่นกัน...
การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียดในตอนแรก เพราะคนบางกลุ่มที่กลัวว่าการที่คณิตออกมาเปิดตัวเรื่องความสัมพันธ์อย่างโจ่งแจ้งแบบนี้จะกระทบกับภาพลักษณ์ของโรงแรมความพอใจของลูกค้าโดยเฉพาะสาขาใหม่ที่ร่างสูงรับผิดชอบมันโดยตรง แต่เพราะข้อมูลการจองห้องพักที่ไม่ได้ลดน้อยลงและฟี๊ดแบ็คตามอินเตอร์เน็ตที่มีไม่มากอย่างที่กลัวก็ทำให้เรื่องนี้ถูกยกออกไปก่อนอย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ และถึงแม้จะมัวแต่ยุ่งเรื่องของปูนข้อมูลการประชุมต่างๆคณิตก็เตรียมมาอย่างดีชนิดที่ไม่ขาดตกบกพร่อง
“เรื่องโรงแรมสาขาใหม่ท่านประธานได้เซ็นอนุมัติให้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่กว่าที่เราจะเตรียมการกันเสร็จคงได้เริ่มงานกันจริงๆในอีกสามเดือน”
“มันจะไม่ช้าไปหน่อยหรอครับ ผมได้ยินมาว่าโรงแรมของคุณเมษา เริ่มปรับพื้นที่กันแล้ว”
“ครับ เมื่อวานตอนไปสัตหีบผมก็เห็นแล้ว เท่าที่ดูคร่าวๆทางนั้นน่าจะก่อสร้างเสร็จก่อนเราประมานสองเดือน”
“ถ้าอย่างนั้นก็แย่สิครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องแผนเปิดตัวผมคิดไว้เรียบร้อยแล้ว เราแค่ทำตามแผนของเราไป ไม่ต้องเร่งเพื่อจะแข่งกับทางนั้น อย่าลืมสิครับว่างานนี้ทาร์เก็ตของเราเป็นคนละกลุ่มกับ The Pilot ถึงจะเป็นสาขาแรกที่เราสร้างแต่ผมก็เชื่อว่าโรงแรมของเราไม่มีทางแพ้ใครแน่ๆ”
คำพูดของคณิตสร้างกำลังใจให้ที่ประชุมได้อย่างน่าประหลาด โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของบรรพตที่นั่งฟังมันเงียบๆอยู่ข้างๆลูกชาย
“อิง เห็นพ่อผมบ้างไหม”
คณิตเดินมาถามอิงอรเพราะทันทีที่ประชุมเสร็จบรรพตก็หายไป โดยไม่บอกเขาสักคำทั้งๆที่คณิตมีเรื่องราวมากมายอย่างจะพูดด้วย
“เห็นท่านออกไปกับเลขาน่ะคะ แต่วันนี้ก็ไม่น่าจะมีงานที่ไหนอีก”
“งั้นคงจะกลับบ้าน ผมขอตัวก่อนแล้วกันถ้ามีอะไรด่วนอิงโทรหาผมได้ตลอดเลยนะ”
คณิตขอตัวแล้วทำท่าจะเดินไปที่รถด้วยความร้อนใจ ร่างสูงคิดว่าพ่อของตนต้องชิงกลับบ้านก่อนเพื่อพูดคุยกับปูนแน่ๆ ถึงจะเคยรับปากว่าจะรอดูเรื่องของพวกเขาไปก่อนแต่ถึงอย่างนั้นการให้ร่างเล็กเผชิญหน้ากับพ่อโดยไม่มีเขาอยู่ข้างๆมันเร็วเกินไป แต่เพียงแค่คณิตก้าวขาออกไปก้าวแรก น้ำเสียงที่ติดจะเครียดๆของอิงอรก็หยุดเขาไว้
“เดี๋ยวค่ะ คุณยังกลับไม่ได้นะคะเพราะว่าตอนนี้มีแขกมารอพบคุณอยู่”
“...?!”
“เขาเป็นแขกคนสำคัญ...รบกวนมากับอิงด้วยนะคะ”
อิงอรไม่ได้ให้คำตอบกับคณิตเพิ่มเติม เธอทำแค่เดินนำร่างสูงไปยังห้องรับรองบนชั้นสูงสุดซึ่งมีไว้สำหรับการเจรจาธุรกิจ พอมาถึงที่หญิงสาวก็หันมาอวยพรให้คณิตเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไปทิ้งเขาไว้กับความสงสัยและความร้อนใจที่มีต่อคนในบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นคณิตก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเปิดประตูเข้าไป
“ไอ้เมษ”
“ไง ประชุมใหญ่หรอ ช้าชะมัด”
เมษาในชุดเป็นทางการเหมือนทุกครั้งละสายตาจากดอกแมกโนเลียสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าขึ้นมาทักทายเพื่อนสมัยเด็กที่มีหนี้กับเขาอยู่
“อืม มึงมาทำไมวะ มีธุระอะไรกับกูรึเปล่า”
“อะไรกัน เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียวลืมหนี้ของกูไปแล้วรึไง”
“เออว่ะ โทษทีๆ พอดีกูเป็นห่วงปูนมากไปหน่อย”
คณิตเกาท้ายทอยของตัวเองแก้เก้อ ก่อนจะเดินมานั่งลงบนโซฟาตัวข้างๆในตำแหน่งที่ทำให้เขาสามารถเห็นเมษาได้ชัดเจน เพื่อนของเขายังคงดูดีอย่างเคยแต่ความรู้สึกบางอย่างกลับบอกคณิตว่าวันนี้เมษามีบางอย่างเปลี่ยนไป
“เด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ถ้าเมื่อวานไม่ได้มึงส่งคนไปช่วยก่อนกูก็คงแย่”
เมื่อวานหลังจากที่รู้ว่าลุงของปูนทำงานให้กับใคร ความเป็นไปได้ที่คนรักของเขาจะถูกพาไปที่นั่นก็ไต่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง คณิตรีบโทรหาเมษาขอร้องให้เพื่อนคนนี้ส่งคนไปคอยดูว่าปูนอยู่ที่นั่นจริงไหม แล้วพวกเขาก็คิดถูก
“เอาเถอะ กูไม่อยากให้แถวนั้นมีข่าวลือเสียหายๆหรอกนะ”
“อืม ยังไงก็ขอบใจอีกครั้งนะ รบกวนมึงมากจริงๆ แล้วก็ตามสัญญากูจะให้มึงขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง”
แน่นอนว่าคณิตรู้จักเมษาดี นักธุรกิจไฟแรงที่เก่งกาจยิ่งกว่าใครๆคนนั้นไม่มีทางทำอะไรให้โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่เพื่อแลกกับการช่วยชีวิตปูนคณิตจึงยินยอมที่จะทำข้อแลกเปลี่ยนกับเมษาผ่านโทรศัพท์สายนั้น และมันคงถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้หนี้แล้ว
“อะไรก็ได้งั้นหรอ?”
“อืม ตราบใดก็ได้ที่ไม่ใช่ชีวิตกู ฮ่าๆ”
คณิตหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลางคิดไปว่าคนที่มีทุกอย่างพร้อมสรรพอย่างเมษาจะยังมีอะไรที่ไม่ได้ครอบครองอีกไหม โดยที่ร่างสูงไม่รู้เลยว่าภายในใจของเมษานั้นได้เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมา
“หึ เพ้อเจ้อจริงๆ”
“มึงว่าอะไรนะ?”
“เปล่า กูแค่พูดกับตัวเองน่ะ”
“เออ แล้วตกลงว่าไงมึงอยากขออะไรกู”
คณิตเลิกคิ้วใส่เมษาที่ยังคงไม่พูดอะไรทั้งๆที่ตามมาทวงหนี้เขาถึงที่ แต่แล้วจู่ๆในระหว่างที่เขากำลังรอคำตอบ ใบหน้าของเมษาก็เคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“อะ ไอ้เมษ”
ดวงตาคมๆที่เต็มไปด้วยอำนาจจ้องมองเข้ามาในตาของคณิตโดยไม่คิดจะหลบหนี กลิ่นลมหายใจสะอาดๆที่ชวนให้รู้สึกดี แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ มันใกล้เกินไปแล้ว…คณิตคิดแบบนั้นแต่ความจริงจังของเมษากลับทำให้เขาขยับไม่ได้
“กูอยากจะขอถามอะไรมึงสักอย่าง”
“...?!”
“ทำไมตอนคบกับแก้ม มึงถึงไม่เคยบอกรักเธอเลยวะ”
ชื่อของรักครั้งเก่าถูกเอ่ยออกมาจากปากของเมษา ย้อนความทรงจำเมื่อวันวานให้ร่างสูงได้คิดถึงมันอีกครั้ง
“มึงจะรู้ไปทำไมวะ”
“ก็แค่สงสัยน่ะ ว่าทั้งๆที่มึงเป็นแบบนั้น แล้วทำไม...”
เมษาเลือกที่จะไม่พูดจนจบประโยค เขากลับมานั่งตัวตรงมองดอกแมกโนเลียบนโต๊ะเหมือนเคยทำให้คณิตที่ถอยไปจนหลังชิดโซฟาได้หายใจหายคอบ้าง ชายหนุ่มมองเพื่อนคนนี้อย่างไม่เข้าใจ ทั้งการกระทำที่เปลี่ยนไปของเมษาและคำถามที่มีค่าเท่ากับชีวิตปูนนั้น...เมษาอยากรู้มันไปทำไม
“มึงคงรู้ใช่ไหม เรื่องที่แก้มมาบอกรักกูทั้งๆที่คบกับมึงอยู่”
“อืม รู้...แล้วก็รู้ด้วยว่าวันนั้น มึงตั้งใจทำทุกอย่างให้กูเห็น”
พอนึกย้อนไป ในวันนั้นนอกจากเรื่องที่แก้มโกหกเขาว่าจะไปทำธุระก็มีข้อความจากเมษาที่บอกให้ไปหาหลังเลิกเรียนนั่นแหละที่ถือว่าผิดปกติ แต่ที่เห็นชัดที่สุดก็คงเป็นแววตาคู่นั้นที่จับจ้องมายังเขาแม้ว่าตัวเองกำลังถูกผู้หญิงของเพื่อนกอดและบอกรักอยู่ก็ตาม
“แก้มเคยบอกกับกูว่ามึงไม่เคยบอกรักเขาเลย...แม้ว่าจะแสดงออกแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่รักเขามากอย่างมึงถึงพูดคำคำนั้นออกมาไม่ได้ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่มึงตัดสินใจจบเรื่องทุกอย่าง”
ไม่ใช่เพียงแค่แก้มที่สงสัย เมษาเองก็เช่นกัน ตอนนั้นเขาคิดว่าคณิตคงรักอีกฝ่ายไม่มากพอที่จะเอ่ยคำนั้นออกมาได้ เช่นเดียวกับปูน...เด็กผู้ชายที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างในสายตาของเมษา...ทั้งสกปรกและนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้คณิตเสมอ เขาถึงได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดหวังให้เด็กนั่นตระหนักถึงสถานะของตัวเอง
แต่เมษาก็คิดผิด...
ทันทีที่ได้เห็นบทสัมภาษณ์ของคณิต เมษาก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่า คนที่ไม่ได้ตระหนักถึงความจริงก็คือตัวเขา...คณิตรักเด็กคนนี้มาก...มากจนสามารถทำร้ายตัวเองเพื่อมันได้ ถึงตอนนี้ผลของการกระทำโง่ๆนั้นจะยังไม่ปรากฏให้เห็นแต่สักวันคณิตจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้ลงไป แต่ทั้งๆที่รักถึงขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่เคยบอกว่ารัก
ทำไมคณิตถึงต้องทำให้ปูนคิดมาก
และทำไมต้องทำให้เมษาคิดเข้าข้างตัวเองด้วย
“อาจจะเพราะว่าตอนนั้น แก้มเขาไม่ได้ต้องการคำว่ารักจากกูเท่าไหร่มั้ง”
“...!!”
“ต่อให้ไม่มีมึงเข้ามา กูเองก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าสักวันเขาคงจะต้องไป”
ร่างสูงนึกถึงภาพของเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกจับให้คู่กับเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร อาจจะเพราะเรื่องฐานะในสังคมโรงเรียนหรือหน้าตาที่ทำให้คณิตและแก้มได้ร่วมงานด้วยกันบ่อยๆ และความใกล้ชิดที่พอกพูนขึ้นทีละน้อยมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นการคบหากัน
“แก้มก็เป็นเหมือนคนอื่น ที่มองว่าคนอย่างกูคงจะเป็นคนที่ทำให้เขาภูมิใจได้หากว่าได้อยู่ใกล้ๆ แต่มันก็ไม่แปลกหรอกนะถ้าเขาจะคิดแบบนั้นเพราะตอนเด็กๆกูเองก็ยังมีความคิดแบบนี้เหมือนกัน จนกระทั่งได้เจอมึง”
“กู?”
“อืม กูเป็นที่หนึ่งอยู่ดีๆมึงก็โผล่มา มึงหล่อกว่า เก่งกว่า รวยกว่า แถมโรงแรมที่บ้านก็ยังดังกว่า ตอนนั้นกูเลยคิดว่ามึงเป็นคู่แข่งที่อยากจะเอาชนะให้ได้ แต่พอนานๆไปมึงกลับเข้ามาทักกูก่อนมันเลยทำให้กูรู้สึกว่าการเป็นเพื่อนกับมึงมันน่าสนุกกว่าการเป็นคู่แข่งกันตั้งเยอะ”
สีหน้าของคณิตดูผ่อนคลายในขณะที่ของเมษากลับเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ คณิตเนี่ยนะเคยมองเขาเป็นคู่แข่ง...คณิตที่หนีเขามาตลอดคนนี้เนี่ยนะ
“ความรู้สึกที่ว่า ‘ช่างมันเถอะ ถึงแพ้ก็ไม่เป็นไร’ มันไม่ใช่อะไรที่ไม่ดีหรอกนะ กูไม่ได้ท้อกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ กูแค่จะอยากเดินให้ช้าลงไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่วิ่งเข้าใส่สิ่งที่เคยคิดว่ามันสำคัญ แม้ว่าการที่กูทำแบบนั้นจะทำให้สิ่งที่กูเห็นคือแผ่นหลังของมึงที่ไกลออกไปเรื่อยๆก็ตาม...แต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่ระยะห่างระหว่างกูกับมึงมันไกลกันเกินไป ทุกๆครั้งมึงก็จะเป็นคนที่หันกลับมาแล้วหยุดคอยกูเสมอ”
ร่างสูงบอกความในใจของตัวเองออกไปจนหมดก่อนจะโน้มคอของเมษามากอดไว้ โดยไม่เห็นเลยว่าคนที่เงียบไปมีสีหน้ายังไง
“ส่วนเรื่องที่กูไม่ได้ไปเรียนบริหารตามที่สัญญากันไว้ ก็ไม่เกี่ยวกับมึงหรอกนะ กูแค่ไม่อยากให้แก้มเขาลำบากใจน่ะ อีกอย่างกูคิดว่าเรียนอักษรมันก็เอามาใช้ในงานโรงแรมได้เหมือนกันถึงแม้ตอนนี้กูจะบริหารงานได้ไม่เก่งเท่ามึง แต่ถ้าหากเป็นเรื่องดูแลลูกค้ากูมั่นใจว่ากูไม่แพ้มึงแน่ๆ”
เมษายิ้มขืนแต่ก็ยังคงหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงว่าตัวเขานั้นบ้าบอแค่ไหน ไม่ใช่คณิตหรอกที่วิ่งตามอยู่ข้างหลัง แต่เป็นเขาต่างหากที่ได้แต่ยืนมองคณิตที่มีแต่เดินห่างออกไปเรื่อยโดยตัวเองทำได้แค่นั่งอยู่บนบัลลังค์ที่ก้าวลงมาไม่ได้
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ ทำไมตอนแรกมึงถึงไม่บอกรักมัน”
“ปูนบอกมึงงั้นหรอ”
“อ่าฮะ อย่าลืมสิว่ากูกับปูนเคยมีอะไรด้วยกันมาก่อน”
คณิตฟังแล้วก็ทำหน้ายุ่ง ก่อนที่จะตบหัวเพื่อนตัวดีไปเบาๆ
“ห่า เลิกอำกูได้แล้ว กูรู้หรอกน่าว่าปูนไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”
“หรอ สาบานไหมล่ะว่าไม่เคยเชื่อ”
เมษายักคิ้วให้อย่างเป็นต่อ ถึงจะไม่เข้าใจคณิตทั้งหมดแต่ไอ้นิสัยขี้หวงของร่างสูงเขารู้จักมันดี ซึ่งนั่นก็เป็นจุดอ่อนแรกที่เมษาตั้งใจหยิบขึ้นมาใช้เพื่อพิสูจน์ให้ทั้งคณิตและปูนเห็นว่าความรักของคนทั้งคู่ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด
“มึงนี่มัน...เออๆ โอเค กูเคยหวั่นไหวเหมือนกัน แค่นี้พอใจไหม”
เมษาพยักหน้าแทนการตอบว่าพอใจ แล้วปล่อยให้คณิตพูดต่อ
“สำหรับปูนที่ตอนแรกยังไม่บอกก็ไม่มีอะไรมาก...กูแค่คิดว่าตัวเองกำลังจะจริงจังเลยอยากให้น้องมันไปเจอกับป๊าม๊าก่อนอะไรทำนองนั้น”
ผิวแก้มสีขาวขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อคิดไปถึงความตั้งใจที่ค่อนข้างจะไกลเกินไปของตัวเองจนมันทำให้ปูนเข้าใจผิดมาแล้ว คณิตยังจำได้ดีเลยว่าตอนที่ปูนร้องขอให้เขาพูดมันออกมาตัวเขานั้นรู้สึกผิดแค่ไหน
“ก็นะ แต่สุดท้ายก็บอกไปแล้วล่ะ...แล้วก็คงจะบอกต่อไปเรื่อยๆด้วย”
แค่นี้ก็เพียงพอ...เมื่อได้รับคำตอบที่เกินกว่าตัองการเมษาก็ลุกขึ้นยืนจนคณิตทำหน้างงกับท่าทางที่เปลี่ยนไป ชายหนุ่มที่ไม่เคยแพ้ให้กับใครทั้งนั้นหันมายิ้มให้กับเพื่อนด้วยใบหน้ากวนประสาทเหมือนกับวันแรกที่เจอกัน
“ช่างเรื่องรักๆของมึงเถอะ ส่วนเรื่องโรงแรมใหม่กูไม่ยอมแพ้หรอก”
คณิตนิ่งไปก่อนจะยิ้มให้เมษาจนผิวข้างๆแก้มบุ๋มลง ชายหนุ่มมองรอยยิ้มที่แสนสดใสนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ต่อให้มันจะมีมากเท่าไหร่...ก็คงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“พยายามเข้านะ”
“...!!”
“โรงแรมสาขาใหม่ของเราทั้งคู่ มาพยายามต่อไปด้วยกันนะ”
บ้าบอจริงๆ...เมษาบ่นพึมพำก่อนจะเดินจากมาโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองรอยยิ้มที่น่าเจ็บปวดนั่นอีก เขาพาตัวเองเดินเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปิดมันทั้งๆที่เห็นว่าอิงอรกำลังส่งสายตาเห็นใจมาให้จากตรงนั้น แม้รอบกายจะมีแต่ความเงียบทว่าในหัวของเมษามันเต็มไปด้วยคำพูดของคณิตที่ไม่อาจสลัดให้หลุดไปโดยง่าย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเก็บไว้และคงจะไม่มีวันที่คณิตจะได้รับรู้
“ให้ตายสิ...ชอบจริงๆด้วยสินะ”
เมษาใช้เวลาที่มีไม่มากนักในลิฟต์จัดการความคิดของตัวเองให้เรียบร้อยและเมื่อทันทีที่ประตูเหล็กบานนี้เปิดออกเขาก็จะกลับมาเป็นเมษาที่ยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งนั้น พนักงานบางคนที่จำเขาได้ต่างทำความเคารพแม้ว่าตามศักดิ์จะเป็นขู่แข่งกัน แต่อาจจะเพราะว่าเป็นแบบนั้นคนพวกนี้เลยต้องเกรงใจเขาก็เป็นพิเศษ
“นายครับ วันนี้จะเข้าไปที่โรงแรมรึเปล่า”
เลขาคนสนิทถามขึ้นเมื่อเมษาเดินกลับมาถึงรถ เขาถอนหายใจเล็กน้อยกับความเหนื่อยอ่อนที่เกิดขึ้นแต่ทว่าก็ยังตอบรับไป
“อืม ว่าจะเข้าไปดูงานกัปตันคนใหม่สักหน่อย แต่ไม่ต้องรีบแล้วกัน”
อีกฝ่ายรับคำก่อนรถยนต์นำเข้าคันงามของเมษาจะแล่นออกไปโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่โรงแรมของตัวเอง แล้วในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังให้ความสนใจกับหนังสือพิมพ์ธุรกิจในมือรถของเมษาก็ขับสวนกับรถบิ๊กไบค์ของบอยที่กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลซึ่งมีใครคนหนึ่งรออยู่
:ling1:(ต่อเม้นต์ล่าง) :ling1:
-
“สวัสดีครับป้า สบายดีไหมครับ”
ชายหนุ่มในชุดแจ็คเก็ตหนังเหมือนกับทุกครั้งจะมีที่เปลี่ยนไปก็คือทรงผมที่ไม่ได้จัดแต่งมันให้เป็นทรงเหมือนเคย บอยวางตะกร้าผลไม้ในมือของตัวเองลงบนโต๊ะใกล้ๆก่อนจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยที่มีพรนั่งยิ้มให้อยู่
“ป้าสบายดี แล้วบอยล่ะหายไปนานไม่ยอมมาเยี่ยมป้าเลย”
“ผมติดธุระนิดหน่อยน่ะครับ แต่ว่าวันนี้ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกป้า”
“เรื่องสำคัญ? บอยมีอะไรหรอ?”
ถึงแม้จะเตรียมตัวมาดีแต่พอถึงคราวพูดจริงๆบอยกลับตกประหม่า เขามองหน้าผู้หญิงที่ตนเองเคารพในความเข้มแข็งของเธอและในขณะเดียวกันใบหน้านี้ก็ทำให้เขาคิดถึงคนที่ไมได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
“มีสองเรื่องน่ะครับ ระหว่างข่าวดีกับข่าวร้ายป้าอยากฟังอะไรก่อน”
“ฮ่าๆ อย่าแกล้งคนแก่สิบอย มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ไม่เอาครับ ป้าเลือกเถอะไม่งั้นผมพูดไม่ออก”
“ถ้าอย่างนั้น...เล่าข่าวร้ายมาก่อนแล้วกัน ป้าจะได้ทำใจได้”
พรยิ้มให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเธออย่างอ่อนโยน ใจจริงเธออยากจะเล่าให้บอยฟังก่อนว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอและพลัสกำลังดีขึ้นแล้ว แม้จะยังไม่มากเท่าเมื่อก่อนแต่มันก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นโดยมันคงจะเป็นแบบนี้ไม่ได้หากไม่มีบอยคอยช่วย แต่แล้วทันทีที่บอยเอ่ยปากพูดความสุขใจของพรก็ถูกทำลายลงไปในพริบตา
“ผมเคยข่มขืนพลัสครับป้า...ผมเคยทำร้ายน้อง”
เพี้ยะ!!
มันเป็นการกระทำที่ไปไวกว่าสมอง พรฟาดฝ่ามือที่อ่อนแรงของตัวเองเข้าไปเต็มแก้มของเด็กหนุ่มที่เคยไว้ใจและคิดว่าพึ่งพาได้
“บอยว่าอะไรนะ บอยทำอะไรน้อง!”
“ผม...ขื่นใจน้องครับ แล้วผมก็บังคับให้น้องคบกับตัวเอง”
“...!!”
“ขอโทษนะครับ ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งนั้น ถ้าหากว่าป้าอยากแจ้งตำรวจจับผม ผมก็จะไม่ขัดขืน หรือว่าถ้าป้า...”
“บอยทำน้องทำไม บอยไม่ได้รักน้องหรอ!!”
“...!!”
“ป้ารู้ว่าบอยรักน้อง รักมาตลอด...ป้าเลยคิดว่าบอยจะปกป้องน้องได้ แล้วทำไมล่ะบอย ทำไมบอยถึงทำร้ายคนที่ตัวเองรักบอกป้ามาสิ!!”
หัวใจของบอยค้างนิ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงที่เอาแต่ทำงานตัวเป็นเกลียวคนนี้จะดูออก คนที่พยายามเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่อาจต้านทานมันได้อีกแล้ว บอยก้มหน้าลงปล่อยให้หลังมือตัวเองเปื้อนคราบน้ำตาที่ไม่มีใครเช็ดให้เขาได้
“ผมขอโทษครับ ผมแค่กลัวว่าพลัสจะไปชอบคนอื่น ผมคิดตื้นๆว่าถ้าหากทำอย่างนั้นไปพลัสจะรักผมบ้าง แต่มันก็ผิด...ผิดไปหมดทุกอย่าง ผมแค่คนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่ความต้องการของตัวเอง และผมก็ทำร้ายคนที่ผมรักมากที่สุดไปแล้ว”
น้ำเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาลูกผู้ชายเป็นหลักฐานถึงความผิดบาปที่บอยกระทำลงไปได้อย่างดี มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจึงฟาดลงบนแผ่นหลังของชายหนุ่มซ้ำๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นการลูบมันไปมาอย่างสงสาร
“ทำไมสิ้นคิดแบบนี้ฮะบอย บอยไม่ได้เห็นเรื่องของป้าเป็นตัวอย่างเลยหรอว่าต่อให้เราเจ็บปวดเพราะเขาแค่ไหน เราก็ไม่สมควรทำร้ายคนที่ตัวเองรัก...ทำร้ายน้องแล้วบอยเจ็บไหม...เจ็บใช่ไหมล่ะ...เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้นป้าคงให้อภัยบอยไม่ได้”
บอยปาดน้ำตาบนหน้าของตัวเองก่อนจะก้มลงกราบไปที่เท้าของพรด้วยความรู้สึกที่ยินยอมหมดทุกอย่าง ไม่ใช่เพื่อการร้องขอโอกาส แต่เป็นการขอขมาโดยที่เขาเองก็ยังไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
“ความจริงผมควรทำมันกับพ่อของพลัสด้วย แต่ว่าผม...จะต้องไปแล้ว”
“ไป? ไปไหน บอยจะไปไหน?”
น้ำเสียงของพรเต็มไปด้วยความร้อนใจ ซึ่งมันทำให้บอยรู้สึกดีจริงๆ
“ขอบคุณป้าสำหรับทุกๆอย่างนะครับ รักษาตัวเองให้หายไวๆแล้วคืนดีกับพลัสให้ได้นะครับ...ส่วนข่าวดีที่ผมยังไม่ได้บอก”
“...!!”
“ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีกครับ”
พรไม่เข้าใจว่าสิ่งที่บอยพูดมามันเป็นข่าวดีตรงไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือการตัดสินใจของบอยครั้งนี้ทั้งหมดมันเป็นไปเพื่อลูกชายของเพื่อนรักที่กำลังปอกผลไม้ที่บอยนำมาฝากใส่จานโดยที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง
“ได้แล้วครับน้า อยากได้ผมปอกอะไรให้อีกไหม”
“ไม่เป็นไร ขอบใจมากนะ”
พรทิพย์รับแอปเปิ้ลที่ถูกปอกอย่างสวยงามมาแต่ทว่าเธอไม่ได้กินมัน...จะให้เธอกินลงได้ยังไง ในเมื่อภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของบอยที่พรเห็นมันเป็นครั้งแรกยังติดตาอยู่เลย
“ผลไม้เยอะเลยนะครับวันนี้ มีคนมาเยี่ยมน้าหรอครับตอนที่ผมไม่อยู่”
“อืม...มีคนหนึ่งน่ะ”
“ถึงว่า มีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลยด้วย”
พลัสจัดการเอาแตงโมที่ตัวเขาชอบกินใส่เข้าไปในตู้เย็นที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ จะว่าไปพอเห็นเปลือกเขียวๆนี่ทีไรก็คิดถึงตอนนั้นทุกที
‘พี่บอย ตอนเด็กๆพี่เคยลองกินเปลือกแตงโมป่ะ”
“ไม่ มึงเคยกินรึไง”
“อืม ตอนนั้นอยากรู้ว่าทำไมกินมันทั้งเปลือกเหมือนแอปเปิ้ลไม่ได้ เลยลองแทะดู แต่เล่นซะฟันหน้าหลุดไปสองซี่เลย”
“...”
“พี่บอย นี่พี่หัวเราะผมหรอ นี่!”
“ฮ่าๆๆๆ มึงนี่มันโง่ตั้งแต่เด็กเลยว่ะ ไหนดูดิ ใส่ฟันปลอมอยู่ใช่ไหม”
“อื้อออ พี่บอยปล่อยนะ ผมเจ็บ!”
เด็กหนุ่มอมยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงมัน แต่พอจะหันไปถามน้าพรด้วยคำถามเดียวกันบ้างสิ่งที่รอพลัสอยู่กลับเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจและคำพูดที่บีบรัดก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอก
“พลัส...วันนี้คนที่มาเยี่ยมน้าคือบอยนะ”
“...ครับ”
“พี่เขา...มาบอกลา...บอยบอกกับน้าว่า เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
หูของพลัสอื้ออึงไปชั่วขณะแต่ไม่นานพลัสที่เสียการควบคุมไปคู่หนึ่งก็กลับมาส่งยิ้มให้คนที่อยู่บนเตียงก่อนจะลุกขึ้นแล้วปิดประตูตู้เย็นที่มีหนึ่งในความทรงจำระหว่างเขากับบอยอยู่ในนั้น
“ครับ...ถ้าเขาตัดสินใจแบบนั้นก็ดีแล้ว”
ตอนเด็กๆพลัสเคยได้ยินเสมอว่าความรักคือการให้อภัย เขาก็เชื่อมันมาตลอดโดยที่ไม่เคยเข้าใจด้วยซ้ำว่าการให้อภัยจริงๆแล้วมันเป็นยังไง มันคือการที่เรายอมรับความผิดที่คนอื่นก่อ หรือคือการยอมรับคนที่ทำร้ายเรากันแน่นะ...
พลัสถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้ซ้ำๆในวันที่บอยขอให้เขาให้อภัย เขาควรยอมรับสิ่งที่บอยกระทำต่อเขา หรือยอมรับบอยที่ทำร้ายเขาด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุดกันแน่...แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม พลัสไม่เคยตอบคำถามตัวเองได้ด้วยตัวเลือกเหล่านี้ ดังนั้นสำหรับพลัสการให้อภัยคงไม่ใช่การยอมรับ
หากแต่เป็น...การให้โอกาส
‘ผมคงยอมรับในสิ่งที่พี่ทำไม่ได้ แต่ผมก็อยากให้โอกาสทั้งตัวเองแล้วก็พี่ได้ใช้ชีวิตเพื่อเรียนรู้ชีวิตกันต่อไป...ขอบคุณนะครับสำหรับทุกสิ่งที่เคยทำให้...ผมไม่ได้เสียใจหรอกนะที่รู้จักพี่...ขอให้พี่โชคดี...ถ้าหากเราได้เจอกันอีกคราวนี้อย่าลืมเข้ามาทักผมด้วยนะครับ’
พลัสอ่านข้อความที่เขาพิมพ์ลงในช่องสนทนาแต่ทว่ายังไม่ถูกกดส่งซ้ำๆ เด็กหนุ่มใคร่ครวญถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เป็นอยู่ และสิ่งที่กำลังจะเกิดในวันข้างหน้า เขายิ้มและร้องไห้ให้กับมันเพียงลำพังก่อนที่จะกดลบข้อความทุกอย่างไปด้วยน้ำมือของตัวเอง
ลาก่อนครับ...
.
.
.
.
.
.
.
หลังความฝันอันยาวนานเกี่ยวกับการเดินทางที่เต็มไปด้วยเสียงคลื่นและกลิ่นน้ำทะเล ตัวเขากำลังบินอยู่บนท้องฟ้าเพื่อข้ามผืนน้ำอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาไปยังเกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นช่างสวยงานและเต็มไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ปูนรู้สึกอุ่นใจ เขาเห็นคณิตตัวเล็กๆ...มีแต่คณิตเต็มไปหมดเลย
แกร็ก!
แต่ใครจะไปคิดว่าคณิตจิ๋วที่กำลังพากันวิ่งกรูมาใส่ตัวเขากลับแตกกระเจิงออกไปเพียงเพราะเสียงเล็กๆนั่น ปูนกระพริบตาอย่างเชื่องช้า ความฝันและการพักผ่อนอันยาวนานทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่คุ้นชินกับแสงไฟสักเท่าไหร่ แต่เขาก็พยายามยันกายลุกขึ้นนั่งเมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวอีกต่อไป
“อื้อ...พี่หน่อยครับ ตอนนี้กี่โมงแล้วหรอ”
“กำลังจะบ่ายสาม ฉันว่ามันถึงเวลาที่เธอควรตื่นได้แล้ว”
ไม่ต้องให้พูดซ้ำแค่ได้ยินว่าเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เสียงของหน่อยปูนก็แทบกระโดดออกจากเตียงแต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ปูนที่สติยังกลับมาไม่ครบถ้วนดีมองไปยังคนที่กำลังเดินมานั่งเก้าอี้ที่คนรักของเขาใช้มันต่างที่นอนเมื่อคืน... รูปร่างแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ท่าทางแบบนี้...ไม่ผิดแน่
“ขะ ขอโทษครับ”
ร่างเล็กยกมือไหว้ประมุขของบ้านเจริญวัฒนะด้วยท่าทางตระหนก ส่วนบรรพตที่ใช้ลูกสาวอย่างหน่อยออกไปจัดการธุระอย่างอื่นให้เพื่อที่ตัวเองจะมีโอกาสได้มาพูดคุยกับแขกคนนี้เป็นการส่วนตัวยังคงรักษามาดของตัวเองไว้ได้อย่างดีจนน่าชื่นชม
“คำทักทายแรกที่เธอควรพูดกับคนไม่รู้จักคือสวัสดี ไม่ใช่ขอโทษ”
“ขอโท...ผมหมายถึง สวัสดีครับ”
“อืม สวัสดี”
ให้ตายสิ คุณคณิตไปไหนเนี่ย!!
“ร่างกายเป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า”
หลังจากนั่งเงียบกันมาสักพัก บรรพตก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน พลางคิดในใจว่าเด็กนี่ไม่เห็นช่างพูดอย่างที่ลูกชายเขาว่า แต่ดูจากหน้าตาและท่าทางเรื่องที่ว่าเป็นตัวแสบก็คงไม่ผิดนัก
“ดีขึ้นมากแล้วครับ ไม่เจ็บตรงไหนแล้ว”
“หรอ ก็ดี งั้นเธอคงพร้อมแล้วใช่ไหม”
“พร้อม? พร้อมอะไรครับ?”
“พร้อมที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้ไง”
หัวใจของปูนหล่นลงไปกองกับพื้น ความคาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับกลับถูกปฏิเสธกลับมาด้วยท่าทางที่เรียบนิ่งจนเขาไม่รู้จะทำตัวยังไง ควรโกรธหรอ หรือควรร้องไห้ ปูนไม่รู้จะทำหน้ายังไงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอดี
“ว่าไง เธอพร้อมที่จะไปรึยัง”
“ผม...คือผม...”
“ตอบไม่ได้สินะ”
“...”
“ถ้าหากเธอยังตอบคำถามของฉันไม่ได้ แล้วเธอจะอยู่ข้างกายลูกชายของฉันต่อไปในอนาคตได้ยังไง”
น้ำเสียงของบรรพตฟังดูเหมือนผิดหวังมากกว่าตำหนิ ชายที่เห็นโลกนี้มามากกว่าปูนเดินไปยังชั้นวางของที่มีรูปถ่ายของคณิตตั้งแต่วัยเยาว์เรื่อยมาจนถึงรูปที่ครอบครัวของพวกเขาเพิ่งถ่ายด้วยกันไปเมื่อต้นปี
“คณิตเป็นเด็กไม่ดื้อแต่เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ตั้งแต่เล็กๆฉันก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันนิสัยแบบนี้ของเขาจะเป็นปัญหา...เธอรู้ไหมว่าครั้งแรกที่เขาดื้อกับฉันเกิดขึ้นตอนไหน”
“ผม...ไม่รู้ครับ”
ปูนตอบไปตามความจริง และต่อให้รู้เขาก็ไม่คิดจะพูดมันออกไป
“ตอนเขาอยู่มอหกกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นฉันไม่กังวลเรื่องของเขาเลยสักนิด จนกระทั่งวันหนึ่งคณิตกลับมาที่บ้านพร้อมกับบอกฉันว่าเขาจะไปเรียนคณะที่ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจบแล้วจะไปทำงานอะไร”
“คณะอักษร...”
“ใช่ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ฉันกลัว”
รูปของคณิตในวันที่เริ่มทำงานโรงแรมเป็นครั้งแรกถูกหยิบออกมาดู แน่นอนว่าลูกชายคนนี้หน้าตาไม่เหมือนบรรพตเลยยกเว้นก็แต่นิสัย แต่ไม่รู้ทำไมทุกๆครั้งที่เขาเห็นภาพนี้ บรรพตก็มักจะนึกถึงตอนที่เขาและภรรยาช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อสร้างโรงแรมแห่งนี้ขึ้นมา
“แม้ว่าสุดท้ายสิ่งที่เขาเรียนจะได้ใช้ประโยชน์แต่ฉันก็ไม่เคยลืมเรื่องนั้น ฉันเฝ้าดูเขาแล้วรู้สึกกลัวทุกครั้งเมื่อมีอะไรไม่ดีเข้ามาใกล้ คณิตเป็นคนหัวดีแต่เขาก็มักจะมีวิธีคิดแปลกๆ ไม่ว่าจะการบริหารโรงแรมแบบไม่เน้นเก็บเกี่ยวกำไรมากเกินควร การหยิบของที่มันไม่มีประโยชน์มาใช้ แล้ววันดีคืนดีเขาก็ดันไปเลือกคนที่มองยังไงก็ไม่มีอะไรนอกจากตัวมาอยู่ข้างๆ...เธอรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง...ต่อให้เป็นลูกชายคนโตฉันก็อยากจะตัดมันออกจากกองมรดกซะให้รู้แล้วรู้รอด”
นั่นเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ใช่แค่คำขู่ที่หวังให้คนที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวอย่างปูนได้เข้าใจถึงความผิดหวังที่หนักอึ้งของครอบครัวนี้ ร่างเล็กมองมือบนตักของตัวเองพยายามสรรหาคำพูดดีๆมาโน้มน้าวความคิดของอีกฝ่ายว่านอกจากตัวและความรักแล้วเขายังมีอะไรที่คู่ควรกับคณิตอีกบ้าง แต่ว่า...
“ไม่มีเลยใช่ไหมคำว่าคู่ควรน่ะ ฉันคิดไว้แล้วว่าเธอคงจะเป็นคนที่เข้าใจความจริงข้อนี้มากที่สุด”
ปูนไม่ชอบความรู้สึกตอนนี้เลย เขารู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายสามารถมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งในขณะที่ตัวเองกลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ปูนเงยหน้าขึ้นหวังจะบอกพ่อของคนรักว่าเขารักคณิตมากขนาดไหน แต่คำพูดทุกอย่างกลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป เพียงเพราะคำๆเดียวที่ออกมาจากปากของบรรพต
“ฉันเป็นห่วงเขา เธอเข้าใจใช่ไหม”
ใช่...ปูนเข้าใจแต่การยอมเดินถอยไปมันก็ทำได้ยาก ความรู้สึกที่หยั่งรากลึกเข้าไปข้างในไม่ต่างอะไรกับรากไม้ที่ยากจะถอนได้ด้วยการเด็ดมัน
“ผมเข้าใจครับ แต่ก็มีเรื่องบางอย่างที่ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
“...”
“ผมไม่เข้าใจว่าการที่คุณมาพูดเรื่องนี้...คุณต้องการบอกอะไรผมกันแน่”
ไม่รู้ว่าปูนตาฟาดหรือเปล่าแต่ในชั่วขณะนั้นเขาเห็นว่าริมฝีปากของบรรพตกำลังยกยิ้มออกมา พร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความถูกใจแต่มันก็เป็นแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่เขาจะต้องเผชิญกับบรรพตที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งสมชื่อ
“ต้องการทำให้เธอรู้ไง ว่าตัวเองยังขาดอะไรบ้าง”
“...!!”
“ถ้าเธอเป็นผู้หญิงฉันคงไม่คิดเข้าไปก้าวก่าย แต่เพราะว่าเธอเป็นผู้ชาย มันเลยทำให้ทุกสายตาข้างนอกนั่นพุ่งตรงมายังคณิต...ตัวเธอคือตัวเขา การกระทำของเธอไม่ว่าจากอดีตหรือปัจจุบันก็จะถูกมองว่าเป็นการกระทำของเขาเช่นกัน...เธอและสิ่งที่เธอเคยทำจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของคณิตโดยที่ไม่อาจปฏิเธได้”
บรรพตคิดถึงเรื่องราวของตัวเองในสมัยก่อนตอนที่ยังทำตัวไม่เอาไหนจนกระทั่งวันที่ได้มาพบกับนันทยา...แม่ของคณิตและหน่อยเข้า เขาไม่ได้รับการยอมรับจากใครแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้ามาหลบภัยในบ้านหลังนี้อย่างที่ปูนกำลังทำอยู่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้ง เขาต้องใช้ความพยายามมากมายเพื่อที่จะพิสูจนตัวเองต่อพ่อและแม่ของหญิงที่ตนรัก และต่อให้ปัจจุบันสิ่งที่เขาพยายามทำมาตลอดจะเกิดผลแล้ว แต่บรรพตก็ตระหนักเสมอว่าสายตาของทั้งคนในบ้านและข้างนอกนั้นกำลังจับตาดูสิ่งที่เขาทำตลอดไม่ว่าจะไปที่ไหน
“เพราะต้องการคำอนุญาตจากฉันคณิตเลยเล่าเรื่องทุกอย่างของเธอให้ฉันฟังแน่นอนว่าฉันรู้สึกเห็นใจกับปัญหาที่เธอต้องเจอ แต่ว่านะ...ทุกคนบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เธอหรือฉันเพราะฉะนั้นมันจะยกมาอ้างไม่ได้หรอกว่าเพราะเธอถูกทำร้ายมาเธอเลยสามารถทำร้ายคนอื่นต่อได้...โดยเฉพาะกับคนที่เธอรักและแม้แต่ตัวของเธอเอง”
บรรพตเดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากแฟ้มที่เลขาคนสนิทเตรียมไว้ให้ตั้งแต่วันที่ลูกชายเดินทางไปรับเด็กคนนี้เข้ามา เขากลับมานั่งลงตรงหน้าปูนที่ได้แต่กัดฟันแล้วนึกถึงความผิดพลาดที่ตัวเองได้กระทำลงไปซึ่งมันตอกย้ำคำพูดของบรรพตได้อย่างชัดเจนว่า สุดท้ายแล้วคนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือปูนเองไม่ใช่ใครอื่น
“อ่านมันให้ดี แล้วให้คำตอบกับฉันซะว่าเธอจะเอายังไงต่อไป...โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นและฉันก็หวังว่าเธอจะไม่เลือกทางผิดอีก
.
.
.
.
.
.
รถของคณิตเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านซึ่งข้างๆกันนั้นคือรถของบิดาที่คงกลับมาถึงนานกว่าเขาอยู่มากโข ร่างสูงรีบเดินลงมาหมายจะขึ้นไปบนห้องนอนของตนตรงชั้นสองเพื่อดูว่าพ่อของเขาได้เข้ามาคุยกับปูนไหม แต่ยังไม่ทันไรคณิตก็เห็นเด็กหนุ่มคนรักที่นอนเป็นผักอยู่ตลอดคืน กำลังพยายามทำความรู้จักกับเจ้าถังแมวตัวอ้วนใหญ่ของหน่อยที่นอนแผ่หราปล่อยให้ปูนเกาพุงให้อย่างสบายอารมณ์
“อ้าว กลับมาแล้วหรอครับ”
เป็นปูนที่เอ่ยทักขึ้นก่อนเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคณิตเดินเข้ามาใกล้ๆ แม้จะยังดูขัดเขินอยู่บ้างแต่ปูนก็เดินเข้ามาช่วยคณิตปลดชุดสูทออกจนทำให้คนรักสามารถเห็นดวงตาที่บวกช้ำของเขาได้ถนัดตา
“ร้องไห้ทำไม พ่อของฉันมาพูดอะไรกับเธอใช่รึเปล่า”
แต่คณิตก็ไม่ได้คำตอบ ร่างเล็กเอื้อมมาจับมือของเขาไว้แล้วขอให้คณิตพาไปนั่งคุยกันที่อื่นเพื่อไม่ให้เสียงรบกวนการนอนของเจ้าถัง หากแต่จริงๆร่างสูงรู้ว่าปูนยังคงประหม่ากับสายตาของสาวใช้ที่มองมาอย่างสงสัยในตัวเอง
“ก่อนอื่น...ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยผมไว้ ถ้าไม่ได้คุณเรื่องของผมกับลุงคงจะไม่จบลงแบบนี้”
ปูนพูดขึ้นหลังจากที่พวกเขาทรุดกายลงนั่งบนม้าหินตรงสวนหลังบ้านซึ่งเป็นมุมโปรดของอาม่าที่ยังไม่คุยกับคณิตเลยนับตั้งแต่วันนั้น
“ไม่เป็นไร แต่ถ้าเธออยากตอบแทนก็ช่วยกลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ไหม เรียกกันสุภาพแบบนี้มันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
คณิตจะไม่บอกหรอกว่าเขาอยากให้ปูนเรียกตัวเองว่ายังไง แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะเข้าในความต้องการของคณิตดี ใบหน้าน่ารักนั้นซับสีก่อนที่ริมฝีปากซึ่งยังมีรอยแตกจากการโดนทำร้ายอยู่จะเอื้อนเอ่ยคำที่ร่างสูงรอคอยออกมา”
“ขอบคุณนะป๋า...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่คณิตรู้สึกว่าเขาได้ปูนคนเดิมกลับมาแล้วจริงๆ ชายหนุ่มโอบกอดคนที่ตัวเองรักไว้เขานึกขอบคุณทุกๆอย่างและทุกๆคนที่คอยช่วยเหลือจนเขาสามารถไขว่คว้าคนคนนี้กลับมาอยู่ข้างกายได้ในวันที่ยังไม่สายเกินไป ไม่สิ ไม่ใช่...ครั้งนี้เป็นปูนเองต่างหากที่ยอมก้าวออกมาจากโลกของตัวเองเพื่อที่จะอยู่ข้างกายเขา
“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีอะไรจะต้องกลัวแล้ว”
ปูนพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เพราะในใจเขายังคงกังวลเรื่องของลุงวิทยาอยู่มาก รวมถึงเรื่องปิ่น รัตติกาล หรือแม้แต่สิ่งที่เขาเคยทำ...ภาพการทะเลาะกันของทั้งคู่ก่อนวันจากลาหวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับคำถามที่ว่า
“ป๋าไม่โกรธผมแล้วหรอ เรื่องของพี่กาล”
“ก็...ไม่ได้โกรธหรอก ฉันแค่รู้สึกเจ็บใจน่ะ แต่ช่างเถอะเรื่องทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว ทั้งตัวเธอแล้วก็ไอ้กาลมัน”
คณิตไม่ได้บอกปูนว่าเมื่อคืนตอนที่ร่างเล็กกำลังหลับเพราะพิษไข้ มีใครโทรมาหาเขาจากแดนไกล เรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น ทุกความรู้สึกที่เคยก่อตัวเป็นรูปร่างถูกถ่ายทอดออกมาโดย จนทำให้คณิตเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงต้องทิ้งปูนไปในวันที่เลวร้ายอย่างนั้น
“อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ ทั้งเรื่องของไอ้กาลและทุกๆอย่างที่เคยเกิดขึ้น การสูญเสียเธอไปในช่วงเวลาสั้นๆทำให้รู้แล้วว่าว่าระหว่างสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วกับมือของเราที่กำลังจับกันอยู่นี้อะไรสำคัญมากกว่า...ขอโทษนะที่เคยปล่อยมือเธอไป ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก”
“ป๋า...”
“อย่าจากกันไปไหนอีกนะปูน ชีวิตที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆมันไม่มีทางทำให้ฉันมีความสุขได้อีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ไม่ว่าพ่อของฉันจะพูดกับเธอว่ายังไง ฉันก็จะไม่ให้เธอต้องแบกรับมันแค่คนเดียวอีก เรามาผ่านมันไปด้วยกันนะ”
คณิตไม่มีทางเห็นน้ำตาที่เต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าของปูนในยามนี้ได้ ร่างเล็กมองข้ามไหล่ของร่างสูงไป เขาเห็นเลขาของบรรพตยืนมองอยู่ราวกับการย้ำเตือนว่าข้อเสนอบนกระดาษแผ่นนั้นเขาต้องตัดสินใจเลือกมันเดี๋ยวนี้
“ขอบคุณนะครับที่พยายามปกป้องผม แต่...”
“...?”
“แต่ผมขอโทษที่รับมันไว้ไม่ได้”
ปูนได้ยินเสียงบางอย่างแตกออกจากกัน มันคงเป็นหัวใจของเขาและคณิตนั่นแหละที่กำลังร้องไห้ออกมาราวกับว่ามีใครทำมันให้แตกสลาย
“หมายความว่ายังไง”
“....”
“พ่อฉันมาพูดอะไรกับเธอใช่ไหมปูน!”
“ไม่ใช่นะครับ…ไม่ใช่แบบนั้น ขอร้องล่ะ ฟังผมก่อนได้ไหม”
ปูนพยายามบอกให้คณิตใจเย็นลง เขาพูดกล่อมคนที่เคยใจเย็นที่ใจร้อนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าเรื่องของพวกเขามันคงไม่เป็นอย่างที่คิด คณิตไม่อยากนั่งจมอยู่ตรงนี้ เขาอยากจะเดินไปถามพ่อว่าพูดอะไรออกมาถึงทำให้ปูนคิดจะจากเขาไปอีกครั้ง ไหนบอกว่าจะให้โอกาสพวกเขาไง ไหนบอกว่าจะรอดูจนกว่าจะแน่ใจ...แล้วทำไมถึงทำแบบนี้
ปูนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจของคนรักแล้วพยายามกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมาแทบไม่หยุด ถึงจะยากลำบากแต่เขาต้องทำมันให้ได้...ปูนตีหัวใจของตัวเองเบาๆราวกับว่าต้องการให้มันเป็นเครื่องเตือนใจตัวเองว่าเขาต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้เพื่อคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า คนที่เขาอยากเห็นหน้าทุกครั้งที่ลืมตา...คนที่ปูนรักหมดหัวใจ
“พ่อของป๋าเขาไม่ได้บอกให้ผมทำแบบนี้ เขาไม่ได้บอกให้ผมเลิกกับป๋าด้วยซ้ำ...แต่เขาทำให้ผมเข้าใจว่าแค่ความรักมันทำให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้ ป๋ายังมีคนอื่นที่ต้องแคร์ ทั้งคนในบ้านและแม้แต่คนข้างนอกนั่นที่ถ้าหากวันหนึ่งเขารู้ว่าผมเคยทำอะไรมา เรื่องพวกนั้นต้องย้อนกลับมาทำร้ายป๋าแน่ๆ”
มันไม่ได้แย่นักหรอกกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ ไม่สิ มันดีมากๆด้วยซ้ำกับโอกาสที่พ่อของคณิตยื่นมาให้ เด็กหนุ่มยิ้มให้คนรักแล้วเป็นฝ่ายกอดคณิตไว้พร้อมกับบอกความในใจของตัวเองออกไป
“ผมจะพยายามเพื่อป๋านะ ป๋าเองก็ต้องพยายามเพื่อผมเหมือนกัน”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!! :t3:
Bad End ไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งคู่ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นตอนจบที่แย่เท่าไหร่นะคับ เช่คิดว่ามันสมเหตุสมผลดีแล้ว สักวันพลัสอาจจะให้อภัยบอยได้ แต่ทั้งสองคนควรจะเรียนรู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผลของมัน และสิ่งที่อยากให้เป็นไปในอนาคตมากกว่านี้ เรื่องต่อจากนี้ในตอนพิเศษอีก2ตอน เช่จะไม่ใบ้ว่ามันจะจบยังไง แต่ก็ตั้งใจว่าอยากให้ตัวละครสองตัวนี้ได้เรียนรู้ชีวิตอย่างที่พลัสตั้งใจไว้ ส่วนจะกลับมารู้สึกเหมือนเดิมไหมนั่นก็เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งนะคับ
ตอนหน้าก็จบแล้ว เหงาดีเหมือนกัน ตอนพิเศษก็คงเลือกมาลงให้อ่านในเว็บประมาน1-2ตอนนะคับ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาตอนไหนมาลงบ้าง แต่คงจะเลือกตอนที่ตอบโจทย์ความค้างคาในระดับหนึ่ง เรื่องหนังสือตอนนี้ยังไม่ได้นะคับว่าจะจัดพิมพ์ช่องทางไหน จะเอายังไงเช่จะแจ้งให้ทราบในเพจนะคับ ส่วนตอนพิเศษพี่กาล2ตอนที่เคยติดไว้ จะลงให้อ่านหลังจากป๋าปูนจบ อาทิตย์เว้นอาทิตย์ รวมๆแล้วก็น่าจะก่อนหนังสือรอบรีปริ้นออกนั่นแหละ แล้วเช่ก็จะขอหายตัวไปปั่นตอนพิเศษป๋าปูนให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะหันมาแต่งชาตินิลต่อนะคับ เรื่องนั้นจะพยายามไม่ใช้เวลามาก แต่คิดว่าน่าจะสร้างความบันเทิงให้ไม่น้อยเชียวแหละ
ช่วงนี้เช่งานยุ่งมาก ทั้งเรียนและการเตรียมตัวไปฝึกงานที่น่าจะหนักหน่วงมากเลยคับ (เข้าออฟฟิศ8โมงเช้า-6โมงเย็น ฮือออออออ) คงจะมาได้แค่อาทิตย์ละตอน แต่จะพยายามไม่หายไปนานกว่านั้นนะคับ พูดแล้วเศร้า แต่ก็ช่วยเข้าใจเช่หน่อยเนอะ
-
พ่อป๋าจะให้ทำไรอีกเนี่ย :ling3:
-
ง่าาาาา....ปูนจะทำอะไร
จะปล่อยมือป๋าอีกแล้วเหรออออออ....อย่าปล่อยนานนะเว้ย เดี๋ยวปั๊ดยุให้เกิดเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมาแทรกเลย อิอิ
-
คู่นู้น bad end ไปละ ... รอตอนพิเศษ
คู่นี้ล่ะ จะ sad ending มั้ย? กลัวใจคนเขียนเหลือเกิน
จนถึงตอนนี้ก็ยังชั่งใจว่าจะไปอ่านเรื่องกาลดีมั้ย
กลัวว่าจะทำใจสงสารไม่ลง แบบว่ายิ่งอ่านยิ่งหมั่นไส้ไรงี้ 5555
-
ฮือออออ หวังว่าข้อเสนอของพ่อจะดีกับตัวปูนล่ะป๋านะน่ะ :hao5:
-
อดทนเวลาที่ฝนพรำ ~
คุณพ่อตามีแผนชัวๆ น่าจะมีเงื่อนไขบางอย่างแน่เลย
แบบส่งปูนไปอัพเกรดการศึกษาให้เรียนบริหารกลับมาจะได้ช่วยป๋าได้
ส่วนป๋าระหว่างรอก็ทำยอดโรงแรมให้ทะลุเป้ากำไร 40%
# มโนล้วนๆ #มโนด้วยจิตวิญญาณทีมป๋าปูน 55555555
-
จบไปคู่นึงแล้วว แบบลุ้นต่อว่าบอยกับพลัสจะกลับมาคบกันไหมมม :o12:
ขอให้ป๋ากะปูน ผ่านอุปสรรคต่างๆไปด้วยกันให้ได้
ขอบคุณนะคะ สู้ๆเน้อ :L2:
-
แอบเสียดายบอยพลัส :mew6:
อยากให้กลับมาอยู่ด้วยกัน
-
แตกที่ 43
…เสียงที่ได้ยิน...
ปิ่นในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปในตึกใหญ่ของโรงพยาบาลที่มีทั้งคนไข้และญาติเข้ามาใช้บริการกันอย่างเนืองแน่น หญิงสาวยิ้มให้กับพยาบาลบางคนที่จำหน้าเธอได้โดยที่ปิ่นเองก็ยิ้มรับกลับไปเช่นกันก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้าไปพบกับคนที่โทรมานัดเธอไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“พี่โต้งหวัดดีค่ะ คนไข้เยอะเหมือนเดิมเลยนะพี่”
“ไม่ต้องมาประชดเลยปิ่น มาๆนั่งๆ”
โต้งที่อยู่ในชุดเสื้อกราวสีขาวเหมือนกับนายแพทย์ท่านอื่นๆแต่ก็คงแตกต่างกันตรงที่งานของเขาไม่ล้นมือมากนัก อย่างที่ปิ่นว่า แผนกจิตเวช ที่โต้งประจำอยู่นั้นไม่ใช่แผนกที่ผู้คนจะแวะเวียนมามากสักเท่าไหร่ บางคนเข้ามาแต่พอถึงคิวตรวจก็หนีหายกลับไปก็ยังมี
“พี่โต้งโทรตามปิ่นมาทำไมหรอคะ จะคุยเรื่องอาการของพ่อรึเปล่า”
“เรื่องนั้นก็ด้วย แต่ว่าก่อนอื่น...นี่ ไอ้กาลมันส่งของมาให้”
กระเป๋าแบรนด์เนมและสมุดภาพที่ปิ่นอยากได้ถูกส่งให้พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งถูกจ่าหน้าซองด้วยลายมือที่เขียนอย่างสวยงามว่า ‘Rattikarn’
“ทำไมพี่กาลต้องซื้อของให้ปิ่นด้วยพี่โต้ง มีแต่ของแพงๆทั้งนั้น”
“รับไว้เถอะน่า มันคงจะอยากตอบแทนปิ่นที่คอยดูแลปูนให้มันนั่นแหละ”
คำตอบของโต้งจุดรอยยิ้มหวานขึ้นบนใบหน้าของหญิงสาว เพียงแค่ได้ยินว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าใจพี่ชายของเธอผิดมากมายกำลังรู้สึกยังไง
“จริงๆแค่พี่กาลเลิกเข้าใจพี่ปูนผิดปิ่นก็พอใจแล้วล่ะค่ะ แล้วอีกอย่างพี่ปูนก็เป็นพี่ชายปิ่นนะคะ ยังไงปิ่นก็ต้องดูแลอยู่แล้ว”
“พี่ก็บอกมันแล้ว แต่ก็ปล่อยให้มันทำไปเถอะ มันคงอึดอัดน่ะเพราะอยู่ทางนั้นเลยเข้ามาช่วยเรื่องนี้ไม่ได้มาก”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่ความจริงพี่กาลก็ช่วยพี่ปูนไว้หลายเรื่องเลยนะคะ โดยเฉพาะตอนที่ปิ่นโทรหาพี่โต้งไม่ติด ถ้าตอนนั้นปิ่นไม่โทรหาพี่กาลปิ่นก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องพ่อยังไง”
ปิ่นคิดถึงตอนนั้นที่เธอย้อนกลับมาที่ถนนเพื่อจะมอบโทรศัพท์เครื่องเก่าที่ปูนเคยใช้เมื่อสมัยก่อนให้พี่ชายแต่กลับเห็นภาพพ่อของตัวเองกำลังบังคับให้ปูนขึ้นรถแล้วขับหนีไปต่อหน้าต่อตา ปิ่นไม่รู้จะทำยังไง โทรหาโต้งที่คอยช่วยเหลือกันมาตลอดก็ไม่ติด เธอเลยเลือกที่จะโทรไปหารายชื่อที่ถูกบันทึกไว้ในมือถือเครื่องนั้น
ใช่...ปิ่นรู้จักรัตติกาลและรู้เรื่องราวทุกอย่างของปูนมานานแล้ว
หลังจากปูนหนีออกจากบ้านไปครั้งแรก ทุกคนที่นี่ก็พาร้อนใจกันไปหมดพ่อของเธอพยายามวิ่งเต้นขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ปิ่นเที่ยวสอบถามคนในมหาวิทยาลัยที่เธอกำลังจะไปเป็นนักศึกษา แต่สิ่งที่ปิ่นเจอกลับเป็นข่าวลือแปลกๆของปูนที่เธอไม่คิดจะเชื่อมันสักนิด ปิ่นพยายามตามหาปูนอย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่งเธอได้มาเจอโทรศัพท์มือถือของปูนที่ตกอยู่ในห้องพักในมุมที่ไม่มีใครเคยสังเกตเห็นเช่นเดียวกับเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในนั้น
คำพูดของปูนและพ่อของปิ่นทุกคำหญิงสาวจำมันได้ดีมาจนถึงทุกวันนี้ เสียงของปูนที่พยายามขอความช่วยเหลือแต่กลับไม่เคยมีใครได้ยินมันทำให้ปิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายของเธอจึงเลือกที่จะจากไป ปิ่นพยายามเสาะหาความจริงที่ยังขาดหายแต่สิ่งที่เธอรวบรวมมาได้นั้นมันน้อยนิด จนกระทั่งเธอตัดสินใจโทรไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่พยายามโทรหาปูนอยู่หลายครั้ง แม้ว่ามันจะสายเกินไป
“ตอนแรกปิ่นเกลียดพี่กาลมากเลยนะคะ เพราะถ้าหากพี่กาลไม่ทิ้งพี่ปูนไว้คนเดียว พี่ชายของปิ่นคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ปิ่นก็คิดถูกจริงๆที่ลองติดต่อพี่กาลไปถึงได้รู้ว่าพี่กาลเองก็มีปัญหามากเหมือนกัน”
“แต่ยังไงซะสิ่งที่ไอ้กาลมันทำกับปูนก็ไม่ถูกหรอก โดยเฉพาะที่มันปักใจเชื่อคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองน่าจะเป็นคนที่รู้จักนิสัยปูนดีที่สุด”
“ก็เหมือนคนพวกนั้นแหละค่ะ...ถึงพี่กาลจะช่วยจัดการเรื่องคลิปของพ่อกับพี่ปูนไปแล้ว แต่ทุกวันนี้ในมหาลัยก็ยังมีคนพูดถึงพี่ปูนในแง่ไม่ดีอยู่ดี”
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่รัตติกาลพยายามชดใช้ให้กับปูน หลังจากที่ได้คุยกับปิ่นและรับรู้เรื่องราวบางส่วนที่เกิดขึ้น คนที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่ต่างประเทศก็ใช้เงินตราและอำนาจที่มีอยู่ทางนี้จัดการเก็บคลิปทุกคลิปที่ถูกชายที่ชื่อแมนนำมาปล่อย และจากการกระทำนั้นก็ทำให้ทั้งรัตติกาลและปิ่นได้รู้เรื่องราวส่วนที่เหลือซึ่งมันทั้งตอกย้ำเรื่องราวเลวร้ายที่ปูนเคยเจอและความรู้สึกผิดในใจรัตติกาลให้ฝั่งแน่นเข้าไปอีกแต่ก็อย่างว่า แม้หลักฐานของเหตุการณ์นั้นอย่างคลิปจะถูกกำจัดไปแต่เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดผ่านปากของมนุษย์ยังคงมีอยู่โดยที่มันไม่มีทางลบออกไปได้
“เพราะมันเป็นเรื่องสนุกสำหรับพวกเขาไง บางทีคนเราก็ไม่ได้ใช้เหตุผลในการดำรงชีวิตมากนักหรอกปิ่น”
โต้งพูดปลอบทั้งๆที่รู้ดีว่าเด็กสาวคนนี้เข้มแข็งยิ่งพี่ชายอย่างปูนเสียอีก โต้งยังจำได้ดีว่าตอนที่รัตติกาลติดต่อมาหาแล้วแนะนำเด็กคนนี้ให้เขารู้จักพร้อมกับฝากฝังให้โต้งคอยช่วยเหลือดูแลสภาพจิตใจของปิ่นที่ต้องแบกรับทั้งความรู้สึกผิดและความชิงชังต่อคนรอบข้างไว้ ตอนนั้นโต้งคิดภาพไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าปิ่นจะใช้ชีวิตยังไงในสังคมที่มีแต่คนกล่าวโทษพี่ชายของตัวเองตลอดเวลา แต่เธอก็ผ่านมันมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ช่างเถอะค่ะ เดี๋ยวพอคนปล่อยข่าวอย่างนังก้อยกับไอ้แมนจบไป ทุกคนก็คงจะลืมเรื่องของพี่ปูนไปเอง ไม่สิ อันที่จริงขอแค่มีเรื่องสนุกใหม่ๆให้ได้เมาท์กันทุกคนก็พร้อมจะลืมเรื่องในอดีตไปแล้วมั้ง”
“ก็อย่างนี้ล่ะนะ เราก็อย่าไปยุ่งกับสองคนนั้นมากแล้วกัน นี่พี่ยังเสียดายถ้าหากตอนนั้นรู้ว่าไอ้คนที่เข้ามาหาเรื่องปูนกับพี่ที่ผับคือมัน คงจะปล่อยให้คณิตมันยำมันให้เละกว่านี้อีก”
“ฮ่าๆ โหดจริงๆพี่เรา ว่าแต่เรื่องของพ่อปิ่นล่ะคะ เป็นยังไงมั้ง”
“ไม่มีอะไรมากหรอก พี่แค่จะให้คำแนะนำเรื่องสภาพจิตใจของพ่อปิ่นเพิ่มเติมเท่านั้นเอง”
พอพูดถึงเรื่องนี้ปิ่นก็เริ่มจะเป็นกังวลจนโต้งต้องลูบหัวกลมนั้นเบาๆ เพื่อให้เด็กสาวผ่อนคลายลงบ้าง
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกน่า”
“ก็พี่โต้งพูดเหมือน...พ่อปิ่นป่วย”
“ถ้าจะตีความว่าป่วยคือการไม่สบายล่ะก็ พี่กับปิ่นเองก็อาจจะถือว่าเป็นคนป่วยอยู่เหมือนกันนะ”
โต้งหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นปิ่นที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวทำหน้างงหนัก แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะ ในเมื่อยังมีอีกหลายคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้แบบผิดๆ
“จิตใจมนุษย์เราก็เหมือนร่างกายแหละปิ่น มีป่วยมีล้าได้เหมือนกัน เพียงแต่จะมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป บางคนก็อาจจะแค่เครียด นอนไม่หลับ กินอะไรไม่ลง หรือแม้แต่ร่าเริงเกินไป หรือกินเยอะกว่าปกติ ซึ่งอาการพวกนี้ถ้าเป็นคนเขาก็ไม่ค่อยจะมาพบจิตแพทย์อย่างพี่กันหรอก คนที่เข้ารับการรักษาก็จะเป็นคนที่อาการของเขารุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว ทั้งๆที่คนพวกนั้นเป็นแค่หนึ่งในสี่ของผู้ป่วยเป็นโรคจิตเภททั้งหมดเท่านั้นเอง”
“เหมือนกับพี่กาลหรอคะ”
“ใช่ แต่ว่าเพราะเป็นความเข้าใจผิดๆแบบนั้นด้วยล่ะนะเลยทำให้คนที่อาการยังไม่แสดงออกมามากไม่อยากมาหาจิตแพทย์เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น บ้างก็กลัวว่าคนอื่นจะหาว่าเป็นบ้า แล้วพอไม่ได้รับการรักษามันเลยทำให้อาการที่เป็นอยู่หนักขึ้นจนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้แล้ว”
ปิ่นรับฟังแล้วพยายามทำความเข้าใจมันแม้จะขัดแย้งกับความรู้สึกเดิมที่เคยมีมาอยู่บ้าง แม้ลึกๆปิ่นจะเริ่มคิดไปแล้วว่าพฤติกรรมรุนแรงที่พ่อของตนนั้นกระทำต่อปูนมันอาจเกิดจากโรคแบบที่โต้งว่าจริงๆ
“กรณีของพ่อปิ่นพี่คงยังไม่สามารถยืนยันได้หรอกนะว่าท่านป่วยรึเปล่าจนกว่าท่านจะยอมมาคุยกับพี่ด้วยตัวเอง แต่พี่เป็นห่วงเพราะเท่าที่ปิ่นมาปรึกษาให้พี่ฟังว่าพ่อมีอาการเครียดแล้วก็นอนไม่หลับตั้งแต่วันที่ปูนจากไป ในเบื้องต้นพี่อยากให้ปิ่นกับแม่พยายามเข้าใจและดูแลสภาพจิตใจของพ่อก่อน พยายามชวนท่านคุยให้มากๆ ลองหากิจกรรมใหม่ๆทำอย่าให้ท่านจมอยู่กับความคิดเดิมๆตลอดเวลา ถ้าหากว่าอาการของพ่อปิ่นดีขึ้นท่านก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่ถ้าไม่ปิ่นก็ควรจะพาท่านมาโรงพยาบาลเพื่อที่แพทย์จะได้ช่วยกันวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไปนะ”
โต้งพยายามพูดกับปิ่นด้วยเหตุผลและใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนจนหญิงสาวเริ่มที่จะแสดงอาการเปิดรับให้เห็น ปิ่นครุ่นคิดและเห็นว่าหากสิ่งที่โต้งพูดมันเกิดขึ้นจริงการพาพ่อมาพบแพทย์ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ปิ่นเข้าใจแล้วค่ะ ปิ่นจะลองไปพูดกับคุณแม่ดูนะคะแต่ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเข้าใจสิ่งที่พ่อเป็นรึเปล่า”
“อืม ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าไม่ต้องเป็นกังวลนะ ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แม้จะพ่อของปิ่นจะป่วยขึ้นมาจริงๆมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่ร่วมกับพวกเขาไม่ได้ กลับกันกำลังใจจากครอบครัวต่างหากที่เป็นยาที่ดียิ่งกว่ายาไหนๆ ความรักและความเข้าใจเป็นสิ่งที่ปิ่นต้องมีมันให้มากๆนะ”
ปิ่นฟังแล้วพยักหน้ารับและบอกกับตัวเองว่าเธอจะดูแลพ่อให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าครั้งหนึ่งพ่อจะเคยทำสิ่งที่เลวร้ายก็ตาม
“ตอนเด็กๆปิ่นจำได้ว่าตอนที่แม่ของพี่ปูนเสีย พ่อปิ่นเสียใจมากที่ช่วยน้องสาวของตัวเองไม่ได้ พ่อเลยตัดสินใจรับพี่ปูนมาเลี้ยงทั้งๆที่บ้านของเรากำลังลำบาก...พ่อเลี้ยงปิ่นกับพี่ปูนมาดีมาก ไม่เคยสักครั้งที่พ่อจะว่าหรือทำให้เราเสียใจ ถึงแม้ว่าสุดท้าย...ความรักที่พ่อมีให้พี่ปูนนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายเราทั้งหมด แต่ปิ่นก็เชื่อว่าพ่อไม่เคยตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น”
โต้งได้ฟังแล้วก็ยิ้มได้ อย่างน้อยความพยายามที่จะเข้าใจที่ปิ่นมีให้กับพ่อของตัวเองนี้จะเป็นยาที่จะบรรเทาเรื่องเลวร้ายทุกอย่างได้ เขาให้คำแนะนำปิ่นอีกนิดหน่อยรวมถึงฝากหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสภาพจิตใจเบื้องต้นให้ปิ่นกับแม่ไปอ่าน เด็กสาวบอกขอบคุณเขาพร้อมกับรับปากว่าเจอกันครั้งหน้าจะทำขนมมาให้ทาน เล่นเอาพวกสวีททูธแบบโต้งพอใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากปิ่นเดินออกจากห้องไปไม่ถึงนาที แขกไม่ได้รับเชิญก็โผล่เข้ามา
“หื้ม เป็นอย่างนี้เองสินะ”
“ไอ้นิล!”
นิลที่ไม่แม้แต่จะทักทาย เดินมานั่งบนเก้าอี้ที่เมื่อครู่น้องสาวของปูนนั่งอยู่โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องอนุญาต โต้งทำหน้าเลิกลั่กพยายามเก็บโทรศัพท์มือถือที่ใช้การอยู่แต่ก็ไม่ทัน นิลถือวิสาสะแย่งมันมาก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าโต้งกำลังคุยอยู่กับใคร
“กูเอาของให้ปิ่นเรียบร้อยแล้วนะ ส่วนนี่ก็ไอดีไลน์ใหม่ของปูน”
นิลอ่านข้อความที่โต้งเพิ่งพิมพ์ลงไปแต่ยังไม่ทันได้กดส่ง ชายหนุ่มผู้ที่มีจิตใจดีไม่แพ้หน้าตาเลยอาสากดให้โดยที่รูปประจำตัวของคู่สนทนาซึ่งเป็นรูปพระจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้ารีบตอบกลับมาว่าขอบคุณแทบจะทันที
“กูก็คิดอยู่ว่าทำไมเรื่องของเด็กนั่นมันถึงคลี่คลายได้ง่ายผิดปกติ ทั้งตอนที่มึงเสนอแผนให้ไอ้นิดปลอมตัวเข้าไปในงานเลี้ยงบริษัททั้งๆที่ไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าปูนจะได้โผล่ไปที่นั่น แล้วก็เรื่องที่ไอ้กาลเป็นคนแรกที่รู้ว่าปูนโดนลุงจับตัวไปทั้งๆที่มันอยู่เมืองนอก ฮ่าๆ มึงนี่ร้ายกว่าที่กูคิดอีกนะไอ้โต้ง”
ถึงปากจะชมแต่วแววตาของนิลไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยสักนิด โต้งลอบกลืนน้ำลายตัวเองแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ถอยห่างออกไปเล็กน้อย
“กะ กูไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนะเว้ย แต่ไอ้กาลขอไว้ว่าไม่ให้บอกใคร”
“อ่าฮะ เหมือนกับตอนนั้นใช่ไหม ที่มึงช่วยไอ้กาลปิดบังพวกกูว่ามันกำลังป่วยเป็นอะไร”
รอยยิ้มและแววตาคมกริบของนิลที่มองมาทำเอาโต้งอยากจะกระโดดหนีออกทางหน้าต่างหากไม่ติดว่าแผนกจิตเวชมันตั้งอยู่บนชั้นห้า จิตแพทย์หนุ่มจึงต้องตียิ้มซื่อแล้วพยายามหาทางเอาตัวรอดให้มันเจ็บตัวน้อยที่สุด
"คราวของไอ้กาลมันเป็นความลับของคนไข้ ถ้ามันไม่เต็มใจกูก็ไม่มีสิทธิบอกใครทั้งนั้น ส่วนเรื่องของปูนมันก็มีเหตุผลอยู่นะ ที่ไอ้กาลมันยังไม่เปิดเผยตัวนั่นก็เพราะว่ามันยังรู้สึกผิดกับปูนอยู่”
“รู้สึกผิดเลยมาทำตัวเป็นฮีโร่ลับหลังเนี่ยนะ นั่นมันการกระทำของพวกขี้ขลาดไม่ใช่รึไง”
แม้จะสนิทกันแต่โต้งก็ไม่ชอบเท่าไหร่ที่นิลพูดถึงสิ่งที่รัตติกาลทำแบบนี้ เขาจึงใช้เสียงที่เข้มขึ้นเพื่ออธิบายความคิดของคนที่ไม่มีโอกาสพูดแก้ตัว”
“มึงก็รู้สถานการณ์ของกาลมันดีนะนิล ว่าตอนนี้เพื่อนเรากำลังพยายามแค่ไหนอยู่ที่นั่น มันรู้ตัวว่ามันผิดแล้วมันก็รู้ด้วยว่าปูนคงไม่มีทางให้อภัยมันง่ายๆต่อให้มันบินกลับมาคุกเข่าตรงหน้า ทุกอย่างต้องใช้เวลามึงก็อย่าไปว่ามันนักเลย”
“ที่กูพูดก็เพราะว่ากูรู้จักมันดี ไอ้นิสัยชอบหนีปัญหาของมันเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว กูไม่ได้บอกว่าสิ่งที่มันทำอยู่ไม่ดีนะ แต่กูเชื่อว่าตราบใดที่ไอ้กาลไม่ออกมาเผชิญหน้ากับปัญหาตรงๆโดยไม่หวังหลบอยู่ใต้เงาคนอื่น บาดแผลที่มันสร้างไว้ให้ปูนก็จะไม่มีวันหาย ต่อให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ที่มันไปทำตัวเหี้ยๆกับเขาไว้ก็คือความจริง ไอ้กาลมันยังต้องชดใช้ให้ปูนอีกเยอะ”
นิลไม่คิดโกรธโต้งที่พูดปกป้องรัตติกาลเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาชื่นชมในความอ่อนโยนของมันด้วยซ้ำซึ่งก็หวังว่าเพื่อนคนนี้จะเข้าใจ เสียงถอนหายใจของโต้งดังขึ้นชายหนุ่มพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วเก็บเหตุผลของนิลเอาไว้ในใจ คนกลางอย่างพวกเขาคงพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากคอยดูผลของมันในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
“แล้วมึงมาหากูมีอะไรรึเปล่า นัดของรพีมันอาทิตย์หน้าไม่ใช่รึไง”
“กูเปล่ามาเรื่องของหลาน พอดีไอ้นิดมันโทรมาเมื่อเช้าบอกให้ฝากชวนมึงไปงานเลี้ยงส่งปูนด้วยกันตอนสุดสัปดาห์”
“อ้าว จะไปอาทิตย์นี้แล้วหรอ”
“อืม เพื่อนมึงนี่แทบไม่เหลือสภาพ เสียงหงอยเป็นหมาเลยว่ะ ฮ่าๆ”
นิลหัวเราะอย่างสะใจ จนโต้งเริ่มชักสงสัยอีกครั้งแล้วว่าหมอนี่มันเคยเห็นอกเห็นใจเพื่อนบ้างรึเปล่า เพราะถ้าเป็นเขา หากต้องมาจากคนรักไปแบบนี้ก็คงออกอาการหงอยบ้างไม่ต่างกัน
“ฝากมึงบอกไอ้ขิงด้วยแล้วกันนะ กูไปล่ะ นัดกินข้าวกันผัวไว้”
“หึ เพื่อนจะเป็นจะตายยังมีกะใจไปเดทได้อีกนะมึง”
“ก็ใช่สิ ช่วงนี้ไอ้ชาติไม่ค่อยกลับบ้านต้องเก็บเกี่ยวกันหน่อย กูไปล่ะ”
นิลโบกมือลาโต้งแล้วทิ้งเพื่อนที่ทำสีหน้าเหม็นเบื่อออกมาไว้เบื้องหลัง โต้งส่ายหัวเบาๆอย่างอ่อนใจก่อนจะส่งข้อความไปหาขิงตามที่นิลบอก
.
.
.
.
.
.
.
สนามหญ้าหน้าบ้านเจริญวัฒนะถูกตกแต่งให้เป็นงานปาร์ตี้เล็กๆ ด้วยฝีมือของว่าที่ผู้บริหารใหญ่ของโรงแรม The Next ที่ตื่นมาเลือกซื้อวัตถุดิบต่างๆตั้งแต่หัววัน (แน่นอนว่าต้องมีแม่บ้านไปด้วย) โต๊ะที่ยาวที่สุดในบ้านถูกเลือกมาใช้งานเพื่อให้แขกทุกคนได้พูดคุยกันได้สะดวก ผ้าปูโต๊ะสีน้ำเงินถูกปูลงไปพร้อมกับแจกันที่เตรียมไว้เพื่อใส่ดอกไฮเดรนเยียสีฟ้า ซึ่งคณิตเลือกใช้มันเพื่อสื่อถึงจิตใจของใครบางคน
“เฮีย อาหารเตรียมเสร็จแล้วนะคะ เหลือแค่ยกออกมาตอนงานเริ่ม”
“อืม ขอบใจมาก หน่อยไปพักก่อนเถอะ”
ถึงปากจะบอกว่าให้น้องสาวไปพักแต่คนเป็นพี่อย่างคณิตกลับยังคงตั้งหน้าตั้งตา เตรียมดอกไฮเดรนเยียที่ว่าให้อยู่ในสภาพที่สวยที่สุด
“เฮียน่าจะพักกว่าหน่อยอีกนะคะ ตั้งแต่เช้าหน่อยเห็นเฮียทำนั่นทำนี่ไม่ยอมหยุดเลย”
“แค่ไม่อยากปล่อยตัวเองให้ว่างนะ แต่เฮียยังไหวไม่ต้องห่วงนะ”
หน่อยสายหัวเมื่อเห็นว่าสีหน้าของคณิตไม่ได้ไหวอย่างปากพูด รอยคล้ำใต้ดวงตาที่เหมือนกับเธอคู่นั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่าคณิตกังวลมากแค่ไหน
“เดี๋ยวป๊าก็พาน้องกลับมาแล้ว เฮียไม่ต้องห่วงหรอกค่ะไปกันแค่นี้เอง”
“อืม...แต่ว่ามันก็อดเป็นกังวลไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
คณิตว่าแล้วก็หัวเราะ เขารู้ว่าตัวเองคิดมากเกินไปแต่มันจะทำยังไงได้เมื่อในวันพรุ่งนี้ปูนก็จะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว...
“ถ้าคิดแล้วอะไรๆมันดีขึ้นก็คิดไปเถอะค่ะ แต่ถ้าไม่หน่อยว่าเฮียเอาเวลามาทำอย่างอื่นดีกว่านะ อย่างน้อยขึ้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ทำตัวโทรมๆแบบนี้ถ้าปูนทิ้งไปมีแฟนใหม่นี่หัวเราะไม่ออกแน่ๆ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำขู่ของหน่อยรึเปล่า สาวใช้ในบ้านทั้งหลายจึงเห็นคณิตก้มๆเงยๆอยู่ที่โต๊ะไม่นานก่อนจะหายขึ้นไปบนห้องของตัวเอง จนกระทั่งรถของบรรพตที่ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าขับกลับเข้ามาคณิตก็ยังไม่ลงมาเลย
“ขอบคุณนะครับ ที่วันนี้ยอมไปเป็นธุระให้ผม”
ปูนพูดกับพ่อของคนรักที่เขาเริ่มจะรู้สึกชินกับอาการพูดน้อยต่อยหนักของคนตรงหน้า ไม่ต้องพูดถึงนิสัยชอบเผด็จการที่เขารู้แล้วว่าคณิตได้มันมาจากใคร
“ไม่เป็นไร เธอขึ้นไปพักผ่อนเถอะ แต่อย่าเผลอหลับแล้วกัน เย็นนี้ต้องทำตามใจลูกชายฉันอีกไม่ใช่รึไง”
บรรพตว่าพลางหันไปมองสนามหน้าบ้านที่ถูกตกแต่งจนเสร็จเรียบร้อยเหลือแค่รอให้แขกเหรือมากันครบเท่านั้น
“ครับ...แต่ผมห้ามเขาแล้วนะครับ”
“แก้ตัวทำไม ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“แต่ตาคุณลุงบอกว่ามันไร้สาระ”
คำพูดของปูนทำให้บรรพตยิ้มได้ แต่ก็ช่างเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกซะเหลือเกิน ร่างเล็กแสร้งทำเป็นไม่กลัวในขณะที่ขาดันถอยออกไปแล้วสองก้าว ให้ตายสิ ทำไมใจกล้าเถียงเขาไปแบบนั้นวะ!
“ดูเหมือนว่านอกจากเรื่องที่เราเพิ่งไปจัดการกันเธอยังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะ โดยเฉพาะเรื่องมารยาท”
“...”
“หึ แต่ว่าเรื่องความกล้าบ้าบิ่นนี่คงไม่ต้องสอน”
ปูนกระพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าพูดนั้นจะออกมาจากปากของคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในห้องทำงานโดยไม่คิดจะสนใจเขาอีก ร่างเล็กอมยิ้ม ถึงแม้แม่และยายของคณิตจะยังไม่ยอมรับเขาแต่ดูเหมือนว่าการเข้าหาทางพ่อคงไม่ยากเท่าไหร่ พอมีเรื่องให้สบายอกสบายใจปูนก็เดินฮัมเพลงขึ้นไปยังห้องที่เขาใช้หลับนอนมานานกว่าสามอาทิตย์แล้ว
แน่นอนว่าปูนอยากกลับไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กของคณิตมากกว่า แต่ด้วยเพราะธุระอะไรหลายๆอย่าง และคำสั่งของบรรพตที่ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขากลับไปที่นั่นตามลำพังอีก ปูนเลยเรียกร้องอะไรไม่ได้ แม้ว่าจะมีเรื่องให้อึดอัดใจอยู่บ้างอย่างสายตาของคนในบ้านที่มองมา...แต่เขาก็เริ่มชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ขึ้นมาทีละน้อยถึงแม้จะเป็นก่อนที่เขาจะต้องจากไปก็เถอะ
“ป๋า...หลับอยู่หรอ”
ภาพของคณิตที่กำลังนอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียงเป็นภาพแรกที่ปูนเห็นตอนที่เปิดประตูเข้ามา เขาวางกระเป๋าใบเล็กของตนลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โดยระวังไม่ให้เกิดเสียงจนไปรบกวนการนอนของคนรักเข้า ปูนมองใบหน้าที่บ่งบอกความเหนื่อยล้าของร่างสูงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งคิดถึง เป็นห่วง และรัก...จนอดไม่ไหวที่จะจูบเปลือกตาสีอ่อนของคณิตเบาๆด้วยทุกอย่างที่มี
“เหนื่อยมากเลยสิท่า บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องจัดๆ”
“...”
“วันนี้ผมจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะ พรุ่งนี้ก็ต้องไปแล้ว...ต่อไปคงเหงาน่าดูเลยเนอะ”
“ถ้าเหงานักก็ไม่ต้องไปสิ”
คนที่ปูนเข้าใจว่าหลับอยู่ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้าออดอ้อนแบบที่ปูนทนไม่ไหวจนต้องซุกกายเข้าหา กลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆที่คุ้นเคยดีและไออุ่นที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับกลับคืนมาทำให้ปูนรู้สึกสงบลงในขณะที่คณิตยังคงว้าวุ่น
“วันนี้ป๋าทำอะไรบ้าง เห็นข้างล่างจัดของไว้เยอะแยะเลย”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ตอบมาก่อนว่าถ้าเหงาแล้วยังคิดจะไปอีกหรอ”
ปูนยิ้มให้กับน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดที่เขาได้ฟังมันมาตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือมันเป็นด้านเด็กๆที่มีอยู่ในตัวของคณิตอยู่แล้วชายหนุ่มที่เคยดูเคร่งขรึมและเป็นผู้นำช่วงนี้ถึงได้แสดงท่าทางอ่อนโยนแบบนี่ออกมาจนทำให้ปูนรู้สึกลังเลกับการตัดสินใจของตัวเองทุกครั้งแต่ว่า...เขาคงจะเปลี่ยนใจไม่ได้
“เหงาแต่ก็ต้องไป เพราะผมรับปากไว้แล้วว่าจะพยายามเพื่อป๋า”
“ฉันไม่ได้ขอร้องให้เธอทำสักหน่อย”
“แต่ผมอยากทำให้ ผมอยากให้ป๋าดีใจ...ป๋าไม่ชอบมันหรอครับ”
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ...คณิตรู้สึกดีใจทุกๆครั้งที่เด็กคนนี้พยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อเขาไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม หากแต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...
“ถ้าแลกกับการที่เธอไม่ไป จะอยู่ขัดใจฉันมากเท่าไหร่ก็ได้นะ”
คำตอบของคณิตทำให้ปูนหลุดขำหากแต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่ามันมีความจริงจังอยู่ในนั้นมากแค่ไหน
“ขอโทษนะ แต่ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่านอกจากเรื่องนี้ผมจะเลิกดื้อกับป๋า ป๋าเองก็อย่าดื้อกับผมนะ แค่แปปเดียวเอง”
:mc4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mc4:
-
“นั่นสิ แค่สามเดือนนี่มันนานตรงไหนวะ”
ขิงที่เพิ่งบึ่งรถมาจากกรุงเทพพูดออกมากลางบทสนทนาที่ทั้งคณิตและปูนต่างถกกันใหญ่เลยว่าเวลาสามเดือนที่ปูนต้องไปเรียนต่อให้จบมันนานตรงไหน
“ให้แฟนมึงลองไปอยู่ที่อื่นสามเดือนบ้างเอาไหมล่ะ กูจะได้โทรบอกจิ๊บเขาให้เก็บของลองหนีไปเที่ยวไกลๆตอนนี้เลย”
“อย่าพาลดิวะไอ้นิด มันเทียบกันได้ที่ไหนระหว่างไปเที่ยวกับไปเรียนหนังสือ อีกอย่างสามเดือนนี่หายใจแปปเดียวก็พ้นไปแล้ว”
ทั้งโต๊ะพยักหน้าเชิงเห็นด้วย เรื่องนี้คงเป็นแค่เรื่องเดียวที่ทุกคนยอมเข้าข้างขิงเพราะตอนนี้คณิตเริ่มไร้เหตุผลจนเข้าขั้นบ้า ปูนถอนหายใจเขาพยายามลูบแขนคนรักให้ใจเย็นลงแต่มันก็ไม่เคยสำเร็จตั้งแต่วันที่ปูนตัดสินใจบอกคณิตว่าตัวเองรับข้อเสนออะไรไป
“ครั้งนี้มึงฟังขิงมันไว้บ้างเถอะไอ้นิด ปูนแค่ต้องกลับไปเก็บวิชาบังคับให้หมด เวลาแค่สามเดือนสั้นจะตาย”
“ถ้าแค่กลับไปเรียนสามเดือนกูไม่ว่าอะไรหรอกไอ้โต้ง...แต่ที่กูไม่เข้าใจคือป๊าจะให้ปูนตระเวนไปทำงานที่โรงแรมอื่นทำไม”
แค่นึกถึงก็ฉุนคนเป็นพ่อ อย่างที่บอกคณิตเห็นด้วยติดจะยินดีด้วยซ้ำกับการที่ปูนจะได้กลับไปเรียนหนังสือต่อ แต่สิ่งที่เขายอมรับไม่ได้คือการฝึกงานที่พ่อของเขาตัดสินใจเอาเองว่าจะให้ปูนตระเวรไปฝึกงานตามโรงแรมต่างๆซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของคนที่รู้จักกันดี ฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นห่วงอะไร แต่พอคณิตถามพ่อของตนว่าปูนต้องทำมันไปนานแค่ไหนคำตอบก็คือ
จนกว่านายบรรพตจะบอกให้หยุด…
“ถ้าเกิดว่าป๊าเล่นตุกติกไม่ยอมให้ปูนกลับมาที่นี่ขึ้นมากูจะทำยังไง จริงอยู่ที่เขายอมให้กูติดต่อกับปูนได้ แต่มันมีอะไรรับประกันได้ล่ะ ว่าทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม”
ไม่ใช่ว่าคณิตไม่เชื่อใจปูน แต่เพราะเรื่องที่ผ่านมามันสร้างความหวาดระแวงให้เขามากกว่าที่คิด...คณิตกลัวว่าจะมีคนมาพาปูนไป กลัวทุกๆครั้งที่ระยะห่างทำให้เขาไม่สามารถมองตาคนที่รักได้ แค่คิดก็อึดอัดในอกคณิตเอื้อมมือไปโอบไหล่ของปูนไว้อย่างหวงแหน จนทั้งโต้ง ขิง และนิลที่มองมาได้แต่ทำหน้าเอือมระอาในความติดปูนจนเกินเหตุ
“กูว่าที่ป๊ามึงทำอย่างนั้นก็เพราว่ามึงเป็นแบบนี้เนี่ยแหละ กูเข้าใจนะว่ามึงอยากเก็บปูนไว้ใกล้ๆจนแทบจะสิงร่าง แต่อย่าลืมสิว่านอกจากคอยรักเด็กนี่แล้วมึงยังมีอย่างอื่นที่ต้องทำอีก”
นิลพูดขึ้นพลางมองออกไปยังบ้านอีกหลังซึ่งปลูกไว้ในเขตรั้วบ้านเดียวกันแต่ตั้งใจแยกออกไปเพราะความรักสงบและความเป็นส่วนตัวอันเป็นนิสัยของประมุขตัวจริงของครอบครัวนี้
“ปูน ยังไม่ได้เจออาม่าอีกหรอ”
โต้งซึ่งเข้าใจในสิ่งที่นิลต้องการจะสื่อหันมาถามร่างเล็กด้วยความเป็นห่วง เพราะถึงแม้จะเข้มงวดไปบ้างแต่ยายของคณิตก็เป็นมิตรกับแขกของหลานชายเสมอแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่ใช่
“ยังไม่เคยเจอครับ ส่วนแม่ของป๋าผมเคยเจอแล้วแต่ก็ไม่ได้คุยกัน”
ปูนตอบกลับมาอย่างสบายๆดูไม่มีท่าทีกังวลอย่างที่โต้งคิด ผิดกับคณิตที่เริ่มทำท่าคิดมากอีกครั้งจนร่างเล็กต้องโอบเอวของคนรักกลับไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงแค่เขายอมให้ผมอยู่ที่นี่ด้วยมันก็เกินคาดไปมากแล้วด้วยซ้ำ”
“นั่นก็ใช่ แต่ปูนคงไม่หวังแค่นี้ไปตลอดหรอกใช่ไหม”
“ฮ่าๆ ไม่มีทางแน่นอนพี่ เพราะแบบนี้ผมถึงต้องไปไงครับ”
การยินยอมให้ปูนอาศัยอยู่ที่นี่อาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าไมตรีที่เพื่อนมนุษย์จะมอบให้แก่กัน ซึ่งปูนก็คิดแบบนั้นแต่เขาก็ยังคงยิ้มได้ นิลมองหน้าคนที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านความทุกข์มามากมาย ทั้งการถูกทำร้ายจากคนรอบข้างและการถูกทรยศหักหลังซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยเมื่อเทียบกับเวลาที่ต้องใช้เยียวยาทุกผลกระทบที่เกิดจากเรื่องนี้
“เข้มแข็งขึ้นเยอะเลยนี่ เอามันมาสอนเพื่อนกูบ้างแล้วกัน”
ปูนฟังแล้วก็สงสัยว่านิลหมายถึงเพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขานี่หรือคนที่ปูนไม่คิดจะพบเจออีกฝ่ายอีกแล้วในชีวิตนี้ นิลเองพอเห็นสีหน้าของปูนก็พอจะเดาออกว่าร่างเล็กคิดไปไกลแค่ไหน เขาจึงถอนหายใจแล้วอธิบายให้ฟัง
“กูหมายถึงไอ้คณิตเนี่ยแหละ ส่วนไอ้กาลก็ช่างหัวมันเถอะ มันกับมึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้วไม่ใช่รึไง”
นิลว่าพลางเหลือบไปมองโต้งที่สีหน้าเปลี่ยนไปและคณิตที่ดูจะเป็นห่วงความรู้สึกของคนในอ้อมแขนมากกว่ารัตติกาล ในขณะที่ปูนนั้นยังคงมองมาที่นิลนิ่งๆก่อนจะระบายยิ้มสวยออกมาแต่ทุกคนที่เห็นมันกลับรู้สึกเหมือนกันว่ารอยยิ้มของปูนครั้งนี้ดูเด็ดเดี่ยวและไร้ซึ่งความรู้สึกดีๆเหมือนอย่างทุกครั้ง
“ครับ ผมกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว พี่นิลสบายใจเถอะ”
“มึงจะว่ายังไงมันก็ไม่ช่วยให้กูสบายใจขึ้นหรือทุกข์ใจลงหรอก แต่พูดชัดเจนแบบนี้ก็ดีแล้ว ไอ้คณิตมันจะได้ไม่หึงจนเป็นบ้าขึ้นมาอีก”
“กูกับปูนเข้าใจกันแล้วเถอะ มึงอย่ามาชงซะให้ยาก”
คณิตแกล้งพูดให้มันเป็นเรื่องตลกไปเพื่อยุติความตึงเครียดที่ปกคลุมไปทั้วโต๊ะอาหาร ซึ่งทุกคนต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยเฉพาะปูนที่เอาแต่ใส่ใจคนข้างๆแล้วไม่คิดถึงคนในอดีตคนนั้นอีกแล้ว ค่ำคืนแห่งการอำลาที่ให้ความรู้สึกเหมือนงานฉลองมากกว่าดำเนินต่อไปเรื่อยๆท่ามกลางสายตาของคนในบ้าน ทั้งบรรดาสาวใช้ที่ยังไม่แน่ใจกับสถานะของแขกคนใหม่ หน่อยที่เดินมาคุยกับพวกเพื่อนของคณิตเป็นบางครั้ง บรรพตที่ออกมาดูสักพักก่อนจะกลับไปทำงานต่อ รวมถึงนันทยาที่เพิ่งกลับมาจากบ้านของผู้เป็นแม่ที่ยังคงบอกเล่าถึงความทุกข์ใจที่หลานชายคนโปรดเปลี่ยนไปให้เธอฟัง
“ไม่เข้าไปคุยกับเฮียหรอคะม๊า มายืนอยู่ตรงนี้ทำไม”
หน่อยพูดกับมารดาของตนผู้ที่เคยมีใบหน้าอิ่มสุขอยู่เสมอแต่บัดนี้กลับซูบผอมและไม่สดใสอย่างเคย นันทยาหันมามองหน้าลูกสาว เธอไม่คิดว่าหน่อยจะสังเกตเห็นเธอที่ยืนมองคณิตเงียบๆอยู่ตรงนี้ เหมือนกับที่ลูกชายเธอไม่เคยเห็น...
“ไม่ล่ะ อีกสักพักม๊าก็ไปแล้ว”
“แต่หน่อยว่าม๊าเข้าไปทักทุกคนสักหน่อยก็ดีนะคะ พวกพี่ๆเขาบ่นคิดถึงม๊ากันใหญ่ แต่หน่อยว่าคงคิดถึงกับข้าวฝีมือม๊ามากกว่า”
คนที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารในบ้านมาตลอดยิ้มอ่อน เพราะวันนี้อาหารที่เสิร์ฟให้แขกทุกอย่างเธอไม่ได้เป็นคนทำ แต่มันกลับเป็นลูกชายที่ไม่แทบจะไม่เคยเข้าครัวอย่างคณิตที่พยายามจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองถึงแม้สุดท้ายจะเหลวไม่เป็นท่าจนพวกแม่บ้านทนไม่ไหวขออาสาทำแทนนั่นแหละ
“ม๊าฝากหน่อยไปขอโทษทุกคนแทนด้วยแล้วกันนะที่ไม่ได้ลงมาทำให้ ไว้คราวหน้าม๊าจะดูแลอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน”
“แล้วทำไมต้องรอคราวหน้าด้วยล่ะคะ คราวนี้ไม่ได้หรอ...หรือเป็นเพราะว่าปูนอยู่ด้วยม๊าเลยไม่อยากทำ”
หน่อยไม่ได้มีเจตนาจะกระทบกระเทียบมารดาของตัวเองหากแต่เธอรู้สึกว่าอคติที่คนในบ้านกำลังแบกไว้นั้น ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้แต่คนรักของพี่ชายหรือตัวคณิตเองเท่านั้น แต่มันยังส่งผลถึงทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่หน่อยรักและห่วงใย
“หน่อยเข้าใจม๊านะว่าม๊าคงทำใจลำบาก แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องคอยดูกันต่อไปใช่ไหมล่ะคะ ว่าเฮียกับเด็กคนนั้นจะไปด้วยกันได้ไกลแค่ไหน”
นันทยามองหน้าลูกสาวที่มีความคิดความอ่านไกลไม่ต่างจากพ่อและพี่ชาย แต่ถึงจะเข้าใจมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับเธออยู่ดี
“ขอเวลาให้ม๊ากับอาม่าอีกหน่อยเถอะ เพราะต่อให้มองยังไงม๊าก็ยังไม่เห็นอนาคตของสองคนนั้น พวกเขายังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก...แค่คำว่ารักกันมันไม่พอหรอกนะสำหรับวันพรุ่งนี้”
หน่อยฟังแล้วค่อนข้างแปลกใจกับความคิดของแม่แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงยิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปกอดมารดาที่ถึงแม้จะเป็นช้างเท้าหลังของบ้านแต่หากมองดูดีๆแล้วผู้หญิงคนนี้คือเสาหลักที่มั่นคง เข้มแข็งและคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
“ใจแข็งอย่างนี้หน่อยคงต้องเตือนเฮียแล้วว่าให้เร่งทำคะแนนหน่อย ไม่อย่างนั้นปูนแย่แน่ๆ”
“นี่ก็พูดไป ม๊าไม่ได้จะทำอะไรเขาสักหน่อย”
“ค่ะๆ ไม่ทำเนอะ แค่ม๊ายังไม่ยอมรับไหว้ปูนเท่านั้นเอง ว่าแต่ผิดคาดเหมือนกันนะคะเนี่ย หน่อยคิดว่าถ้าเฮียบอกทุกคนเรื่องนี้ม๊าจะรับได้ก่อนป๊าซะอีก แต่นี่อะไรเดี๋ยวนี้ป๊าตัวติดกับปูนอย่างกับอะไรดี อย่างวันนี้ที่ปูนต้องไปทำเรื่องขอลงทะเบียนเรียนพิเศษกับมหาลัย ป๊าก็อุตส่าห์ไปเป็นธุระให้ทั้งๆที่ความจริงส่งแค่เลขาไปก็พอแล้ว”
หน่อยได้ทีก็ฟ้องใหญ่ แต่เธอไม่ได้นึกเกลียดอะไรปูนหรอกนะ หญิงสาวเพียงแค่ออกอาการงอนที่ปูนแย่งเวลาว่างของบรรพตที่ปกติมักจะพาหน่อยไปช็อปปิ้งเสมอไปเท่านั้นเอง
“ก็นี่ล่ะนะป๊าเรา เห็นปากร้ายๆแบบนั้นเอาเข้าจริงไม่เคยใจแข็งกับใครเขาหรอก โดยเฉพาะกับเฮียเราน่ะตามใจจะตาย แล้วที่สำคัญ...”
นันทยายิ้มออกมาขณะที่หันไปมองลูกชายที่กำลังลูบหัวคนรักอย่างอ่อนโยน เธอเห็นแล้วก็คิดถึงอดีตที่เด็กชายคณิตตัวไหม้แดดวิ่งจูงมือน้องสาวที่อยู่ในสภาพพอๆกันมาหาเธอและสามีเพื่ออวดปูลมที่สองพี่น้องช่วยกันจับมาได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอจำฝังใจไม่ใช่เรื่องนั้น...หากแต่เป็นภาพของปูลมตัวเล็กที่นอนตายอยู่ในฝ่ามือของคณิตที่กำลังยิ้มร่า ในขณะที่หน่อยกำลังร้องไห้ด้วยความสงสารมัน
เธอจำได้ว่าตอนนั้นเธอรีบปรี่เข้าไปกอดปลอบลูกสาวที่รู้ซึ้งถึงหนึ่งชีวิตที่จากไปไม่เหมือนกับพี่ชายที่มองมันเป็นแค่เรื่องสนุก...นันทยากลัว...กลัวมากว่าลูกชายที่เธอรักจะจดจำความรู้สึกเหล่านี้และเคยชินกับมันไปจนถึงวันข้างหน้า แต่ในขณะที่เธอได้แต่นึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังไม่มาถึง บรรพตผู้ที่เป็นทั้งพ่อและคู่ชีวิตได้ใช้มือของตัวเองตีลงไปที่มืออีกข้างของคณิตเป็นครั้งแรก
เพี๊ยะ!
‘ป๊าไม่เคยสอนตี๋ให้ทำแบบนี้ ตี๋จะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าไม่ได้’
เด็กชายคณิตที่ถูกตีจนมือชามองใบหน้าเคร่งขรึมของคนเป็นพ่อด้วยดวงตาที่มีน้ำเอ่อคลอ ก่อนที่จะค่อยๆหันกลับมามองปูลมตัวน้อยที่สิ้นลมอยู่บนมือของตัวเองอีกครั้ง
‘ตี๋ไม่ได้ตั้งใจ ตี๋แค่จะเล่นด้วยเฉยๆ’
‘แต่ตี๋ทำเขาเจ็บ ปูลมตัวเล็กนิดเดียวตี๋จะจับเขาแรงๆแบบนี้ไม่ได้รู้ไหม’
บรรพตว่าก่อนจะประคองมือลูกชายข้างที่หนึ่งชีวิตน้อยๆได้จากไปไว้ แล้วค่อยๆจับมือของคณิตที่กำลังสั่นเพื่อเททุกอย่างบนนั้นลงไปในมือของตัวเองอย่างทะนุถนอม ทั้งปูลมตัวเล็กและเม็ดทรายที่โอบล้อมมันไว้
‘สัญญากับป๊านะว่าตี๋จะไม่ทำอย่างนี้อีก เราเป็นลูกผู้ชายต้องอ่อนโยนให้มาก...ชีวิตของทุกคนมีค่า ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนตี๋ก็ต้องทะนุถนอมมันไว้เหมือนกับทรายในมือป๊า...ตี๋สัญญากับป๊าได้ไหม’
เด็กชายคณิตที่กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร แต่พร้อมกันนั้นก็ยังพยายามจะพูดในสิ่งที่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ยิ้มออกมา
‘ตี๋สัญญาฮะ ฮึก ตี๋จะไม่ทำอีก ฮึก ตี๋จะเป็นคนดีของป๊ากับม๊า’
เด็กชายคณิตที่ร้องไห้ในวันนั้นได้เติบโตเป็นนายคณิตที่อ่อนโยนกับทุกคนตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครมาจากไหนคณิตก็พร้อมที่จะแสดงน้ำใจกับผู้คนเหล่านั้นเสมอ นันทยาดีใจที่ลูกชายเธอเป็นคนแบบนั้นแม้ว่ามันจะสร้างความลำบากใจให้เธอบ้างก็ตาม
“แล้วอะไรอีกคะม๊า ม๊าจะพูดว่าอะไรหรอ”
หน่อยถามมารดาถึงประโยคที่ยังพูดไม่จบดี เธอเห็นแม่ของตัวเองนิ่งไปแล้วทำหน้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนอดที่จะสงสัยไม่ได้ หากแต่เมื่อเธอพูดออกไปแบบนั้นแม่ของเธอก็หันกลับมายิ้มให้เหมือนอย่างที่เคยทำ
“ม๊าจะบอกว่า นอกจากจะรักเฮียเรา ป๊าของหน่อยน่ะยังเป็นคนที่เข้าใจความไม่สมบูรณ์แบบของคณิตได้ดีที่สุดแล้ว”
:mew1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew1:
-
คณิตที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคู้ตัวลงเล็กน้อยเพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แต่ถึงจะหนาวยังไงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะหาชุดนอนมาสวมเพราะตอนนี้ดวงตาที่บ่งบอกถึงเชื้อสายกำลังสอดส่ายหาคนที่สมควรนอนรอเขาอยู่ในห้อง
“ปูน เธออยู่ไหนน่ะ”
“ผมอยู่นี่ครับ ตรงระเบียง”
เสียงของปูนดังขึ้นตามทิศทางที่เจ้าตัวบอก โดยร่างเล็กที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าชุดเดิมนั้นกำลังส่งภาพถ่ายในวันนี้ไปให้น้องสาวอย่างปิ่นและชายปริศนาผู้เป็นเพื่อนของโต้งที่เพิ่งแอดไลน์ปูนมาอีกครั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้
“ทำอะไรอยู่น่ะ ส่งรูปหรอ”
“อืม รูปนี้ไง น่ารักไหม”
ความน่ารักที่ปูนว่า คือภาพที่ขิงถูกเพื่อนๆจับมัดมือมัดเท้าด้วยเนคไทเพราะแพ้พนันที่ว่าวันนี้คณิตจะร้องไห้เพราะปูนหนีไปเรียนต่อกี่ครั้ง แน่นอนว่าขิงผู้มีหัวใจอ่อนไหวเทคะแนนไปที่สามครั้งเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่โต้งและนิลกลับบอกว่าหัวข้อพนันมันปัญญาอ่อนซึ่งก็ใช่ ใครจะร้องไห้เพราะเรื่องแบบนี้กันล่ะ สมน้ำหน้ามันแล้ว!
“เอารูปที่มันโดดเอาแครอทยัดจมูกไปด้วยสิ ส่งไปเลย”
“ฮ่าๆ ป๋านี่ไม่สงสารเพื่อนเลยนะ ป่านนี้พี่ขิงร้องไห้แย่แล้ว”
ปูนพูดออกมาด้วยความห่วงใยโดยหารู้ไม่ว่าคนที่ตีหน้าเศร้าเหมือนกับจะร้องไห้อยู่เมื่อหัวค่ำตอนนี้กำลังนัวกับสาวอยู่ในผับดังของบางแสนพร้อมกับโต้งและนิลที่วันนี้ไม่มีใครมาคุม แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้ไม่มีก็ไม่กล้า...
“ช่างเรื่องไอ้ขิงมันเถอะน่า ว่าแต่เก็บของเสร็จแล้วหรอ ฉันยังเห็นของบางอย่างเธอยังไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋าเลย”
ถึงปากจะบอกว่าไม่อยากให้ไป แต่พอถึงเวลาคณิตก็เป็นฝ่ายเตรียมพร้อมต่อการก้าวเดินอีกครั้งของปูนมากที่สุด เสื้อผ้าชุดใหม่ และข้าวของเครื่องใช้ที่ยังขาดร่างสูงก็เป็นคนจัดหามาให้จนปูนอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นเด็กประถมที่เพิ่งเข้าโรงเรียนเป็นวันแรกรึยังไง
“เรียบร้อยแล้วครับ ของพวกนั้นผมตั้งใจทิ้งไว้เอง เพราะยังไงสุดสัปดาห์ก็ต้องกลับมาค้างที่นี่อยู่ดี คุณลุงบอกว่าผมต้องมาช่วยงานที่โรงแรมในช่วงที่ป๋าไปทำงานที่สัตหีบ เหนื่อยหน่อยแต่ก็ต้องทำล่ะนะ”
พูดแล้วก็ยิ้มบาง เพราะความจริงต่อให้ปูนไม่ไปเรียนต่อพวกเขาก็ยังคงต้องห่างกันเพราะหน้าที่การงานของร่างสูงที่รุมเข้ามาตามกำหนดการณ์ที่เขียนไว้ โรงแรม The Next สาขาใหม่ที่สัตหีบกำลังจะเริ่มก่อสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างภายใต้การควบคุมดูแลของคณิตโดยสมบูรณ์ ซึ่งสาขาหลักอย่างบางแสนจะมีนายบรรพตเข้ามาดูแลให้ชั่วคราวจนกว่าทุกอย่างจะลงตัว
“แล้วเรื่องที่มหาลัยไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม ป๊าช่วยจัดการให้รึเปล่า”
“ครับ ไม่มีปัญหาอะไร คุณลุงช่วยเคลียร์ให้หมดแล้ว”
“เรียกคุณลุงๆอยู่ได้ สนิทกันแล้วไม่ใช่รึไง ทำไมไม่เรียกป๊าล่ะ”
“ฮ่าๆ สนิทกันที่ไหนล่ะครับ ลองผมเรียกอย่างนั้นสิ คุณลงบรรพตผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นได้เอาผมตาย”
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องใหญ่แต่ปูนกลับพูดมันออกมาราวกับว่าเป็นเรื่องขบขันซึ่งคณิตที่เป็นห่วงเรื่องการยอมรับของคนในครอบครัวก็สบายใจไปเปราะหนึ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะอย่างน้อยปูนก็ยังคงยิ้มได้
“ไม่เป็นไรนะ ฉันเชื่อว่าสักวันพวกเขาจะยอมรับเราได้ ทุกคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก เพียงแต่เธอยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันเท่านั้นเอง”
“ครับผมเข้าใจ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา แต่ถึงผมต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการพิสูจน์มัน ผมก็ไม่ยอมถอยหรอกป๋าวางใจได้”
ได้ฟังอย่างนั้นคนที่มีความสุขอยู่แล้วก็อิ่มเอมไปทั้งใจ พลางคิดว่าตั้งแต่เขากับปูนได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งเราก็ต่างพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย
“ถ้ากลับไปเรียนแล้วมีปัญหาอะไรเธอต้องบอกฉันนะ คนชื่อก้อยกับแมนก็ยังเรียนไม่จบ...เธอคงต้องเจอกับพวกเขาอีก”
“ผมรู้ครับ แต่ไม่ต้องห่วง พี่นิลสอนผมแล้วว่าต้องรับมือกับคนพวกนั้นยังไง งานนี้รับรองมันไม่กล้ามาแหย่มกับผมอีกแน่”
คณิตเห็นปูนกับเพื่อนของเขาเข้ากันได้ก็ดีใจอยู่หรอก...แต่นี่มันจะดีเกินไปไหม ชายหนุ่มที่รู้ฤทธิ์เดชของเพื่อนดีเริ่มรู้สึกระแวงว่านิลจะเอาอะไรแผลงๆมายัดใส่หัวปูนรึเปล่าจนลืมคิดไปเลยว่าคนรักของตัวเองน่ะ...แสบพอกัน
พวกเขายืนคุยกันสักพักก่อนที่คณิตจะไล่ปูนไปอาบน้ำ โดยที่ตัวเองก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการเตรียมการบางอย่างซึ่งถือเป็นเซอร์ไพร์สครั้งแรกที่คณิตตั้งใจทำมันให้กับคนที่เขารัก กล่องไม้สีขาวสะอาดเช่นเดียวกับโบว์ที่ผูกมันไว้วางลงตรงข้างหมอนพร้อมกับดอกไฮเดรนเยียแบบเดียวกันกับที่ใช้ประดับโต๊ะอาหารในตอนเย็น ร่างสูงหันมาจุดเทียนหอมกลิ่นวานิลลาแบบที่ปูนชอบโดยไม่ลืมที่จะวางมันลงบนพื้นที่ว่างตรงหัวเตียงอย่างระมัดระวัง...นั่นแหละ...เขยิบเข้าไปอีกนิด
“ป๋าทำเซอร์ไพร์สให้ผมหรอ”
“เฮ้ย!!!”
คณิตที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการจัดเทียนให้ตรงจุดสะดุ้งเฮือกก่อนจะร้องโวยวายเสียงดังจนปูนที่ตัวยังไม่แห้งดีต้องเข้ามาช่วยหุบปากอีกฝ่ายด้วยฝ่ามือนุ่มๆของตัวเอง แต่พอคณิตเริ่มตั้งสติได้เขาก็นึกอยากลองกัดมือของปูนแทนเพราะเด็กนี่มันดันเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งๆที่ไม่ได้ใส่อะไรเลย!
“ทำไมเธอถึง…!!”
“อย่าเพิ่งด่านะ ผมเผอิญทำผ้าขนหนูตกอ่ะ มันเลยเปียกผืนอื่นก็ไม่มีเลยต้องแอบย่องมาหยิบ แต่ดันเห็นป๋าทำอะไรลับล่อๆเลยเดินเข้ามาดูก่อน”
“เธอนี่มัน! โอ้ย! ไปใส่เสื้อเลยไป!”
ร่างสูงโวยวายทั้งที่น้ำตาตกในไปแล้วเพราะงานเซอร์ไพร์สของตัวเองดันล่มไม่เป็นท่า แถมคนที่ทำมันพังยังอารมณ์ดีใส่เสื้อผ้าไปหัวเราะไปจนคณิตแค้นหนักอยากจะเดินเข้าไปฟัดแก้มก้นกลมๆนั่นเสียจริง แต่ก็ได้แค่คิด ความเป็นจริงคือคณิตกำลังนั่งคอตกแล้วจัดการดับเทียนหอมเจ้าปัญหาด้วยหัวใจห่อเหี่ยว ให้ตายสิ อุตส่าห์เตรียมมาอย่างดีแท้ๆ
“ไหนๆขอดูหน่อย ป๋าเตรียมอะไรไว้ให้ผมบ้างเนี่ย”
ปูนที่แต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วเดินมาหาคนรักพร้อมกับล้มตัวลงนอนทันทีโดยไม่สนว่าคณิตกำลังทำหน้ายังไง เขามองช่อดอกไฮเดรนเยียที่มีความหมายว่า ‘คุณนั้นช่างเย็นชาเหลือเกิน’ ที่วางอยู่เคียงข้างกับกล่องไม้ใบหนึ่งที่คงเป็นพระเอกของงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมเปิดเลยได้ไหม ขอเปิดเลยนะๆ”
“จะทำอะไรก็ทำ ตามสบายเลย”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทำหน้าเซ็งๆก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก็เมินไม่ได้นานเพราะปูนเลือกที่จะหยิบทั้งดอกไม้และกล่องของขวัญที่แค่ดูก็รู้ว่าคณิตตั้งใจเตรียมมันอย่างมากเพื่อเขามาแล้วพาตัวเองไปนั่งตรงหว่างขาเพื่อให้ร่างสูงสามารถโอบอุ้มเขาไว้ได้ทั้งตัว
“เปิดแล้วนะครับ ดูสิ มีอะไรเอ่ย”
ปูนค่อยๆบรรจงแกะโบว์อันเป็นปราการเพียงหนึ่งเดียวออกก่อนจะแง้มฝากล่องขึ้นจนเผยให้เห็นนาฬิกาข้อมือตัวเรือนสีเงินสว่างที่เล่นกับแสงไฟทันทีจนปูนรู้สึกตาพร่า แต่นั่นไม่ได้ทำให้ปูนรู้สึกพิเศษมากไปกว่าสีหน้าปัดของมันที่สื่อถึงตัวตนเขาได้อย่างชัดเจน...มันเป็นสีฟ้า
“อยากจะหายี่ห้อแพงๆกว่านี้ให้อยู่หรอก แต่คิดไปคิดมาเอายี่ห้อเดียวกันไว้คงดีกว่า นี่ฉันสั่งทำพิเศษให้เธอเชียวนะ เพราะถ้าจะเอาตัวเรือนเหมือนกันแต่หน้าปัดเป็นสีนี้เลยมันไม่มี”
คณิตอวดอ้างสรรพคุณของมันทันทีที่มีโอกาส แต่ความจริงเขาแค่อยากพูดอะไรก็ได้ระหว่างที่คนในอ้อมแขนของเขากำลังเสียน้ำตาก็เพราะมัน ตัวของปูนสั่นเล็กน้อยเพราะแรงสะอื้นจนคณิตต้องหยุดพูดแล้วคว้าเอาคนรักมากอดไว้ ความเข็มแข็งที่ปูนเพียรพยายามสร้างมันแทบตายพังทลายลงมา ไม่สิ ปูนแค่ยอมให้คณิตเห็นความอ่อนแอของตัวเองเท่านั้น
“อย่าร้องสิ ตอนนี้เข้มแข็งขึ้นแล้วไม่ใช่รึไง”
“ก็มันดีใจนิ ฮึก แล้วถึงจะร้องไห้ก็ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอลงสักหน่อย”
ร่างสูงยิ้มให้กับคำพูดนั้น...นั่นสินะ ปูนของเขาเข้มแข็งขึ้นมากจนบางครั้งคณิตรู้สึกใจหาย คนที่เคยวิ่งตามเขาตลอดเริ่มมีความคิดของตัวเองและพยายามก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความต้องการที่แรงกล้าซึ่งเขาไม่ได้ชี้นำให้...ปูนกำลังเติบโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่แบบที่คณิตเคยหวังไว้
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงผมก็ยังเป็นผม ไม่เปลี่ยนไปหรอกน่า”
“...!!”
“แล้วอีกอย่างนะ ผมจะเข้มแข็งแค่บางเรื่องเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นเรื่องอ้อนป๋าขออ่อนแออย่างเดิมแล้วกัน”
ปูนปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเองก่อนจะฉีกยิ้มให้คนที่ถึงแม้จะไม่พูดแต่แค่มองตาก็รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ร่างเล็กหยิบนาฬิกาสีฟ้าของเขามาใส่ก่อนจะยื่นไปให้คนที่ซื้อมันดูว่าสวยแค่ไหน ซึ่งคณิตก็คิดว่ามันสวยจริงๆ...รอยยิ้มที่ปูนมอบให้กับเขาน่ะ...สวยมาก
“ผมจะรักษาอย่างดีเลย ฝนตกก็จะไม่เอามาใส่”
“ใส่ไปเถอะ มันกันน้ำได้”
“ฮ่าๆ รู้แล้วล่ะน่า ล้อเล่นๆ ผมจะใส่มันตลอดเวลาเลย แบบนี้โอเคไหม”
คณิตตอบคำถามนั้นด้วยการประทับจูบหวานๆลงไปบนริมฝีปากอุ่นที่จ้อไม่หยุดของปูนจนทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่เสียงครางอื้ออึงของร่างเล็กจะดังขึ้นเบาๆตามแรงอารมณ์ที่คณิตส่งผ่านมาทางบทจูบที่ทั้งลึกซึ้งและเต็มไปด้วยความรู้สึก
“เธอต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ตั้งใจเรียนให้มากๆ...”
“อื้อ ป๋าก็เหมือนกันนะ อย่าหักโหมมาก กินข้าวเยอะๆ ไปที่นู้นก็อย่าไปเหล่สาวที่ไหนล่ะ เหล่ผมคนเดียวพอตกลงไหม”
“รู้แล้วล่ะน่า เธอนี่นะฉันจะทำซึ้งสักหน่อยนี่ไม่ได้เลยใช่ไหม”
“ซึ้งแค่นี้พอแล้ว ขืนซึ้งมากกว่านี้มีหวังผมจับป๋าปล้ำแน่”
ไม่พูดเปล่า ปูนโน้มคอของคณิตมาขบกัดเบาๆเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเองซึ่งร่างสูงก็ดูพอใจกับการกระทำนั้น พวกเขาถ่ายทอดสัมผัสให้กันและกันอยู่สักพักก่อนที่คณิตจะเปลี่ยนเป็นล้มตัวลงนอนแล้วปล่อยให้หน้าที่ปิดโคมไฟตรงหัวเตียงเป็นของปูนที่ซุกเข้าหาอกของเขาทันทีที่หลังสัมผัสกับผืนผ้า
“พรุ่งนี้ตอนเข้ากรุงเทพป๋าไม่ต้องไปส่งผมนะ พี่โต้งนัดกับผมแล้วว่าเขาจะพาไปส่งที่หอให้ ส่วนของใหญ่ๆ เลขาของคุณลุงจะเอาไปให้ที่หลัง”
“เธอจะไปอยู่คอนโดของป๊าฉันใช่ไหม ทำไมไม่ให้ฉันไปส่งล่ะ รบกวนคนอื่นเขาทำไม”
“ไม่เอาหรอก ถ้าป๋าไปส่งมันก็เหมือนเราต้องจากกันจริงๆน่ะสิ”
“...?”
ในความมืดปูนยิ้มให้กับตัวเองและคนข้างๆ เขาคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งดีและร้าย แต่ที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่ได้มาจากมัน
“ผมไม่อยากให้มันเป็นการจากลา ผมแค่กลับมาทำในสิ่งที่สมควรทำมานานแล้วเท่านั้น...ผมอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้น เป็นคนที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างป๋าได้ในอนาคตข้างหน้าไม่ใช่แค่วันนี้ ผมรู้ว่าสำหรับป๋าผมคงดีพอแล้ว แต่สำหรับคนอื่นๆที่เขารักป๋าเหมือนผม...ผมก็ต้องคิดถึงเขาด้วย ป๋ารอผมหน่อยนะ สักวันผมจะกลายมาเป็นคนที่ทำให้ป๋าและทุกคนภูมิใจ”
ปูนพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงพร้อมกับกระชับมือของคณิตที่กำลังจับไว้ให้แน่น ซึ่งคนฟังก็เข้าใจมันและดีใจที่วันนี้ปูนมีหัวใจที่เข้มแข็งแล้ว แม้ครั้งหนึ่งมันจะเคยแตกสลายจากการกระทำเลวร้ายของคนรอบข้างและจากตัวของปูนเอง
“เราจะต้องผ่านมันไปได้แน่ๆ ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“อื้อ ว่าแต่ป๋า ผมขออะไรสักอย่างได้ไหม”
คณิตเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ยังจะขออะไรอีกเนี่ย นาฬิกาที่ให้ไปยังไม่พอรึไง
“ผมอยากให้ป๋าแทนตัวเองว่าพี่เหมือนเดิมได้ไหม แทนตัวเองว่าพี่นิด”
“...!!”
“ตอนที่ป๋าไปช่วยผมมาจากลุงป๋ายังเรียกตัวเองแบบนั้นอยู่เลย แต่พอผมตื่นขึ้นมาป๋ากลับไม่เรียกอีก แทนตัวว่าฉันๆอยู่ได้ ห่างเหิน
ชะมัดอ่ะ”
คำร้องขอของปูนทำเอาคณิตงงหนัก แต่พอเห็นใบหน้าง้ำงอลางๆในความมืดร่างสูงก็รับรู้ถึงความจริงจังในคำพูดนั้นก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ จริงจังขนาดนั้นเลยหรอ ทีเธอยังเรียกฉันว่าป๋าได้เลย”
“ก็ป๋าคือป๋าอ่ะ จะให้เรียกพ่อรึไงเล่า!”
“ถ้างั้นฉันจะเรียกเธอว่าลูกสาว ไปเปลี่ยนนามสกุลเลยดีไหม”
“ลูกสาวอะไรล่ะ ผมผู้ชายนะ ไอ้ป๋าบ้า!!”
เสียงโวยวายของปูนและเสียงหัวเราะของคณิตดังไปทั่วทั้งห้องขนาดที่หน่อยซึ่งห้องอยู่ติดกันและบรรพตที่เดินผ่านมายังได้ยิน ร่างเล็กหายใจถี่หอบ ยามที่ฝ่ามืออุ่นร้อนของคณิตไล่ไปตามสีข้างแล้วใช้นิ้วเขี่ยไปเขี่ยมาตามจุดไวต่อสัมผัสจนอาการบ้าจี้ที่แก้ไม่หายของปูนจะทำพิษจนใบหน้าน่ารักแบบที่คณิตชอบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอย่างน่าสงสาร
“ฮ่าๆๆๆ พอแล้ว พ่อแล้วป๋า โอ้ย ยอมแล้วๆ”
“ยอมแล้วจริงอ่ะ จะบังคับฉันให้เรียกเธออย่างอื่นอีกไหม”
“ไม่แล้ว ฮ่าๆ ไม่บังคับแล้ว จะเรียกอะไรก็เรียกไปเลย!”
ปูนว่าแล้วยกมือยอมแพ้เพราะทนไม่ไหวแล้ว แต่แล้วจู่ๆลมหายใจหอบๆของเขาก็ต้องชะงักไปเพราะสัมผัสอุ่นวาบบนริมฝีปากที่ถูกประทับลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“พี่รักปูนนะ”
“...!!”
“แบบนี้พอใจรึยังหื้ม”
ร่างเล็กยิ้มหวานก่อนจะหลับตาลงโดยมีคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง เขารู้สึกดีใจที่ตัวเองได้อยู่ตรงนี้ และดีใจที่มีคนคนนี้อยู่เคียงข้าง...คนที่สอนความรักยิ่งใหญ่ให้กับเขา
“ครับ...ปูนก็รักพี่นิดที่สุดเลย”
ท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนโลกใบนี้
ผม...ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองแล้ว
…Never Ending...
------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
จบกันไปเรียบร้อยแล้วกับป๋าปูนที่ตอนแรกเช่จั่วหัวว่าเป็นนิยายใสๆโนดราม่า 5555555555 สาบานว่าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกกันนะคับ มันมือไปหน่อย :hao6:
สำหรับนิยายเรื่องนี้บอกตามตรงว่าไม่ใช่แนวที่ถนัดสักเท่าไหร่ แต่เช่ก็พยายามจะเขียนนิยายที่ทั้งสนุกแล้วก็แฝงข้อคิดดีๆให้คนอ่านทุกคนได้อะไรที่มากกว่าบันเทิงไปหลังจากอ่านจบแล้ว ทั้งเรื่องของครอบครัว การดำเนินชีวิตที่เกิดขึ้นทุกวันแต่เราก็มักจะมองข้าม เรื่องราวของ "ปูน" ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านไปแล้วแต่ยังคงมีคำถามให้ได้คิดกันต่อไป
เรื่องรวมเล่มหนังสือ ตอนนี้เช่ยังไม่มีคำตอบให้นะคับว่าจะตีพิมพ์เองหรือผ่านสำนักพิมพ์เพราะยังรอการพิจารณาอยู่ แต่ก็คงไม่นานคงได้คำตอบ เก็บตังรอกันไว้ได้เลยคับ สุดท้ายนี้ เช่อยากขอบคุณทุกคนมากๆที่อยู่กับป๋าปูนและเช่มาถึงทุกวันนี้ เช่ดีใจและแปลกใจที่ปูนซึ่งเป็นตัวละครที่มีแต่คนไม่ชอบจากเรื่องพี่กาล กลายมาเป็นตัวละครที่หลายๆคนรักและอวยพรอยากให้มีความสุข ขอเวลาเขียนตอนพิเศษอีกสักพักนะคับ แล้วมาเจอกันใหม่ในเรื่องของฤทธิชาติและนิล
ขอบคุณนะคับ :) :L2: :pig4:
ป.ล. ตอนสุดท้ายแล้ว อยากอ่านคอมเม้นต์จังเลย :katai2-1:
-
ก่อนอื่นขอชมก่อนว่าคุณเช่เขียนได้สนุกอย่างเคยเลยค่ะถึงจะบอกว่าไม่ใช่แนวที่ถนัดแต่ก็ทำเราเสียน้ำตาไปหลายถังเลย
หลงรักน้องปูนอย่างจัง จากที่ชอบอยู่แล้วยิ่งรักเข้าไปอีก รอตอนพิเศษและเล่มอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
-
ขอบคุณนะคธ นิยายสนุกมากกกกกก หวังว่าจะได้อ่านเรื่่องต่อๆไปอีกนะ :pig4: :pig4: :pig4:
-
ป๋ากะปูน ทำไมน่ารักขนาดนี้ เด็ดสุดคือป๊าอะ ยอมใจ...แกน่ารักมาก
-
ไปเรียนสามเดือนป๋าทำอย่างกะจะจากกันแรมปี 5555555
ขออวยพรทั้งคู่ให้อดทน
ฟันฝ่าอุปสรรคและเติบโตไปด้วยกันอย่างงดงาม ^^
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องค่ะ
-
น่ารักมาก ละมุนสุดๆ น้องปูนโตขึ้นมากๆ เข้มแข็งขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังน่ารักสดใสเหมือนเดิม
พี่นิดน่าร้ากกกก อ่านไปเขินไป :-[
ขอบคุณสำหรับนิยายมากๆนะคะ สนุกมากเหมือนเราไปแอบส่องชีวิตจริงของน้องปูนกะป๋าเลย :laugh:
ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ รอตอนพิเศษด้วยคนค่ะ
-
เป็นเรื่องที่สนุกมาก อยากอ่านตอนพิเศษจัง
-
น่ารักและเต็มไปด้วยข้อคิดดีๆจนตอนสุดท้าย
ชอบเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของรัตติกาลเลนค่ะ
ถึงจะคนละแนวกันแต่ก็เป็นนิยายดีๆที่ควรค่าแก่การอ่าน
ขอบคุณเช่มากนะคะ รออ่านคู่ชาตินิลต่อ :pig4:
-
ชอบป๊าจังเลย~~ :hao7:
-
เค้าก็รักปูนกับป๋าเหมือนกัน
:กอด1: :กอด1:
-
โอ๊ยย จบซะแล้ว :mew6:
ชอบน้องปูนกับป๋ามากๆเลย :-[
:L2: :pig4: :pig4: :L2:
-
ชิวิตปูนรันทดจริงๆ อ่านไปเศร้าไป แต่ก็ยังดีสุดท้ายก็ยังเจอคนที่รักกันจริงๆ
**ไม่ได้อ่านเรื่องของกาล แค่อ่านในนี้ บอกตรงๆรู้สึกแย่กับกาลมากเลย ที่ทำให้ปูนเสียใจ **
-
ชอบบบบบบบบ
ตัวละครของปูน นี่สอนอะไรหลายอย่างให้เรามาก ชอบปูนอ่ะ ชอบป๋าด้วย
ปล.อยากเห็นป๋างอแงอีกอ่ะ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
-
รอตอนพิเศษค่ะ^^
-
เป็นเรื่องที่มีปมมากมาย แรกๆก็งงๆเพราะไม่ได้อ่านเรื่องพี่กาลมาก่อน เกือบจะเลิกอ่านไปแล้ว 555
แต่ก็กลับมาอ่านต่อเพราะอยากรู้ปมทั้งหมดของเรื่อง
สนุกมากค่ะ สงสารปูนที่ตอนแรกทำตัวก๋ากั๋น แต่จริงๆแล้วมีปมที่น่าสงสารและเก็บไว้ในใจมากมาย
จนมาเจอแสงสว่างของชีวิต ขอให้รักกันนานๆนะ
ขอบคุณป๊าของป๋าที่เข้าใจด้วย ทั้งๆที่เป็นคนที่น่าจะเข้าใจยากที่สุดนี่สิ 555
-
รอตอนพิเศษ ตอนที่ครอบครัวยอมรับน้องปูน รอว่านังก้อยกับไอ้แมนมันจะโดนอะไรไหม รอนะคะ
-
:pig4:
-
จบแล้วววววววว ชอบมากเลยค่าาาา :ling1: :mew1:
-
น้องปูนของแม่ น่ารักอะไรขนาดนั้นลูก
-
อ๊ายยย จบแล้วว อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากค่ะ
-
จบแล้วววววว จบแบบน่ารักมากๆ เนื้อเรื่องสนุกมากๆเลยค่ะ. :mew1: :3123:
-
จบแล้วววว
สนุกมาก เป็นเรื่องที่มีปมดราม่าเยอะจริง อ่านไปก็ต้องทำใจไป ว่าปูนจะเจอเรื่องร้ายอะไรอีกมั้ย สรุปเรื่องที่ปูนเจอมาเทียบกับตอนที่มีความสุขตอนนี้ไม่ได้เลย
ขอบคุณป๋าที่รักปูนจริงๆ ยอมเข้าใจ และเชื่อมั่นในรักของกันและกัน ทั้งคู่เลย ขอให้ผ่านอุปสรรคทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นไปให้ได้นะ
:mew1:
-
อยากบอกคุณนักเขียนว่าชอบนิยายเรื่องนี้มากค่ะ ชอบมากกกก
ไม่รู้จะพูดจะอธิบายยังไง เรียบเรียงไม่เก่ง
แต่ชอบมากๆ ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
:กอด1:
-
เรื่องปูนนี่ทำเราเครียดมาหลายวันเลย
:hao7: :katai4: จบแล้ววว เย้
-
o13 o13 o13
คนเขียนสุดยอดดดดด
น่าจะมีตอนพิเศษนะคะ
สู้ๆๆๆๆๆ
:mew1: :mew1:
-
จบแล้วววว อ่านจนเหนื่อยเลย
อ่านไปลุ้นไปว่าจะจบแบบไหน
:pig4: :pig4:
-
ในที่สุดก็อ่านจบ ป๋าน่ารักอะถึงแม้จะลังเลไปนิดก็เถอะ
-
ใครอยากอ่านเรื่องของนิลต่อ เชิญได้ที่เรื่อง
{MIDNIGHT....กาลครั้งหนึ่งคืนนั้น} http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55576.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55576.0)
-
ในที่สุดก็สมหวังสักทีนะปูน :กอด1:
ขอบคุณคุณเช่ที่แต่งนิยายสนุกๆ ให้อ่านนะคะ
-
สนุกมากเลยค่ะ ในที่สุดปูนก็ได้มีความสุขจริงๆซักทีเนอะ
ป๋าก็อบอุ่นมากกก ชอบคาแรกเตอร์แบบป๋ามากๆเลยค่ะ :-[
ละก็ขอขอบคุณคุณเช่ที่เขียนเรื่องนี้มานะคะ o13
-
เข้ามาแจ้งข่าวกันสักนิด ว่าป๋าปูนเปิดพรีออเดอร์แล้วนะคับ
ติดตามรายละเอียดได้ที่แฟนเพจ และสั่งจองทางลิ้งนี้เลย
https://goo.gl/forms/XBwtDlIY11cyWeuh1 (https://goo.gl/forms/XBwtDlIY11cyWeuh1)
ไอดีห้องซื้อขายที่เล้าเป็ด : TBL-963-422
[/b]
(http://upic.me/i/07/3zpre.jpg)
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
อยากอ่านตอนพิเศษ :ling1: :ling1:
-
เนื้อเรื่องสนุกดีแต่ตอนก่อนจะจบเรื่องมันอืด ๆ ไปหน่อย แล้วก็แอบลำไยไอ้ปูนเบา ๆ ในหลาย ๆ ช่วง
:katai3: :katai3: :katai3:
-
โอ้โหหห อะไรมันจะหลายซับหลายซ้อนขนาดนี้
ปัญหารุมเร้าทั้งคู่มาก ไม่รู้จะสงสารใครกว่ากันเลย สงสารหมดเลยละกัน T-T
:sad4:
-
มารอตอนพิเศษ :katai1:
-
แตกพิเศษ
Men Talks
‘เฮ้ย เมษ! มึงเจ๋งว่ะสอบเลขชนะไอ้คณิตห้องคิงได้ด้วย!”
’จริงอ่ะ แม่งงงงง สะใจฉิบหาย!’
‘เมษๆ ไปเยาะเย้ยมันกันไหม เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนเอง’
‘ใครเป็นเพื่อนพวกคุณกันหรอครับ’
‘...!!’
‘ผมจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยคบเพื่อนที่ทำอะไรไม่ได้นอกเห่าเหมือนหมา พวกคุณคิดไปเองแบบนี้...ผมก็แย่สิครับ’
และนั่นก็คือบทสนทนาแรกที่เมษาพูดกับเพื่อนร่วมห้อง...
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคมกริบไม่ต่างจากเหยียวหวนคิดถึงอดีตเมื่อบาร์ชื่อดังริมแม่น้ำเจ้าพระยาเปิดเพลง Those Good Old Days ของ Jimmy Cliff ขึ้นมา แม้ว่าความทรงจำที่เขานึกถึงจะไม่สวยงามอย่างในเพลงว่า แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เมษาลืมไม่ลงแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เขากับเพื่อนร่วมห้องเกือบจะต่อยกันตายถ้าหากไม่ได้ครูประจำชั้นมาคอยห้ามไว้ แต่เป็นเรื่องที่เมษาตัดสินใจตามหาชายที่ชื่อว่า 'คณิต' ซึ่งถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงเสมอในฐานะคนที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเขา
ตลกน่า...แค่เขาเก่งกว่าหมอนั่นมันแปลกตรงไหน
เพราะตั้งแต่เกิดมาเมษก็รู้จักแต่คำว่าชนะ
“แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วสินะ”
ชายหนุ่มที่ซัดวอดก้าไปหลายแก้วรำพันกับตัวเองแต่ถึงอย่างนั้นสติของเมษากลับยังคงอยู่ครบถ้วน เขาไม่ใช่คนเมาง่าย ไม่สิ ไม่เคยเมาเลยมากกว่า แต่ถึงมันจะไร้ประโยชน์เมษาก็ยังคงดื่มเหล้าดีกรีแรงพวกนี้ต่อไปทั้งที่มันรังแต่จะทำลายสุขภาพก็เท่านั้น เหมือนกับความรู้สึกบางอย่างที่มันทั้งไร้ค่าและทำให้เจ็บปวดแต่เขาก็ยังคงรู้สึกถึงมัน...จนน่าเจ็บใจ
เมษาเหลือบมองโทรศัพท์ราคาแพงที่กำลังแสดงรูปงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านของคณิตซึ่งถูกอัพขึ้นอินสตรแกรมของร่างสูงไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ในภาพๆนั้นไม่ได้สวยงามหรือมีอะไรที่พิเศษแต่กลับทำให้คนที่มีงานล้นมือนั่งมองมันไปเรื่อยๆราวกับต้องการจดจำรายละเอียดต่างๆให้ขึ้นใจ...ภาพของคณิตที่กำลังยืนยิ้มอยู่เคียงข้างเด็กที่ชื่อปูน...ภาพของคนพิเศษที่กำลังโอบกอดคนที่ไร้ค่าในความรู้สึกของเขาเอาไว้
ผิวกายขาวละเอียด ใบหน้าที่น่ารัก ดวงตาร้ายๆที่บางครั้งก็ส่อแววไร้เดียวสา และขนาดตัวที่น่ากอดนั่นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปูนมีแต่เมษาไม่มี แต่ถึงอย่างนั้นเมษาก็ไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายที่สูงใหญ่สมชาย ใบหน้าที่คมเข้มและดวงตาที่แสดงความเจ้าเล่ห์แทบจะตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ทำให้คุณค่าในตัวของเขาลดน้อยลงไป เขาภูมิใจในสิ่งที่ตนมี แต่เขากลับไม่ได้ในสิ่งที่ควรได้...พื้นที่ข้างกายของคณิตที่เมษาสูญเสียมันไปให้กับคนที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากตัว
“เฮ้ย! นั่นไอ้เมษนี่หว่า หวัดดีเพื่อน!”
เมษาที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองหันไปหาคนที่ถือวิสาสะเรียกเขาว่าเพื่อนแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น ผู้ชายตัวสูงใหญ่พอๆกันสองคนที่มองยังไงก็ไม่คุ้นหน้าสักนิดกำลังเดินมาทางนี้ โดยไอ้คนที่ตะโกนเรียกเขาซะเสียงดังลั่นร้านกำลังทำหน้าเหมือนกับได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานทั้งๆที่เขาไม่เคยรู้จักมันด้วยซ้ำ...ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมชีวิตนี้ถึงมีคนมาโมเมเป็นเพื่อนกับเขาบ่อยนักนะ
“เป็นไงบ้างวะมึง ไม่ได้เจอกันนานเลยสบายดีไหม แล้วนี่มาทำอะไรที่กรุงเทพวะ ดูงานหรอ หรือว่ามาหาสาว”
คนที่ดูร่าเริงเป็นพิเศษพล่ามไม่หยุดตั้งแต่เดินมาถึงโต๊ะที่เมษากำลังนั่งอยู่ ชายหนุ่มที่ต้องการความสงบเริ่มไม่สบอารมณ์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสร้างทำหน้านิ่งต่อไปตามการวางตัวที่ถูกสั่งสอนมาอย่างดี
“มึงนี่นะ เมษเขาตกใจหมด...ขอโทษที่ทำให้แปลกใจนะเมษ นี่โต้งกับขิงเพื่อนของไอ้คณิตไง จำได้ไหม”
ชายอีกคนที่ไม่ได้พูดอะไรในทีแรกเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มให้เมษาด้วยท่าทางเป็นมิตรแต่ก็ยังไว้ตัว คำพูดของชายคนนี้ทำให้เมษาต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณาอีกครั้ง เขามองทั้งสองคนสลับกันไปมาก่อนจะหยุดลงที่ชายคนแรกแล้วระลึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหนมาก่อน
“อ่อ คนที่ถูกมัดมือมัดเท้านี่เอง”
“จำบ้าอะไรว่ะนั่น!!!”
ขิงร้องเสียงหลงจนโต้งที่ยืนอยู่ข้างกันหัวเราะจนหน้าแดงตัวงอ ผิดกับคนก่อเรื่องอย่างเมษาที่ยังคงนั่งนิ่งมองคนแปลกหน้าสองคนไปมาด้วยความสงสัย ว่าทำไมเพื่อนของคณิตที่เขาไม่เจอรู้จักถึงได้รู้จักเขา และสองคนนี้ต้องการอะไร
“ฮ่าๆ เจ๋งนี่หว่า งั้นพวกกูขอนั่งด้วยได้ไหม โต๊ะอื่นไม่ว่างพอดี”
โต้งว่าพลางปาดน้ำตรงหางตาออกเบาๆ แต่แทนที่จะรอฟังคำตอบจิตแพทย์หนุ่มที่เพิ่งออกเวรมาก็ถือวิสาสะนั่งลงตรงเก้าอี้ทางฝั่งซ้ายของเมษาในขณะที่ขิงก็รีบปรี่ไปจับจองเก้าอี้ทางด้านขวาจนกลายเป็นว่า เมษาที่ยังงงๆถูกขนาบข้างด้วยแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสองไปโดยปริยาย
ทายาทเจ้าของโรงแรมดังเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์กรุ่นๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นในอก เขารักความเป็นส่วนตัว แต่ที่รักยิ่งกว่าก็คือความเกรงขามที่ทำให้ผู้คนเชื่อฟัง ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งโต้งและขิงจะไม่รู้สึกถึงมันในตัวของเมษาเลย
“โต้ง มึงเอาอะไรวะ เหมือนเดิมป่ะ”
“อืม มึงเอาด้วยไหมเมษ”
“ไม่ต้องถามหรอกน่า จัดมาเยอะๆเลยแล้วกัน”
ขิงที่ไม่รอให้เมษาตอบหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่ยืนรอออเดอร์อยู่แล้วด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่างเริงผิดกับคนข้างๆ คนที่ถูกกวนอารมณ์อย่างหนักเริ่มหน้างอ เมษหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองหวังจะโทรเรียกเลขาให้ส่งรถมารับเร็วกว่าที่เคยบอกไว้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำโทรศัพท์ของเขาก็ถูกแย่งไปโดยเจ้าของรอยยิ้มที่นั่งประกบอยู่อีกข้าง
“นี่มันรูปพวกกูที่ถ่ายเมื่อเดือนก่อนนี่หว่า ฮ่าๆ ตลกชะมัด”
โต้งเลื่อนหน้าจอมือถือของเมษาเพื่อดูรูปอื่นที่ปรากฎอยู่บนอินสตราแกรมของคณิตซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เมษากดติดตามไว้ แม้จะเคยเห็นรูปพวกนี้มาแล้ว แถมบางรูปพวกเขาก็อยู่ร่วมเฟรมเสียด้วยซ้ำแต่โต้งกลับยังคงชอบมันเสียจนเผลอกดไลค์ไปทั้งๆที่ไม่ใช่แอคเค้าท์ของตัวเอง
“เอาคืนมา”
“...?”
“กูบอกให้เอาคืนมาไง”
ไม่รู้ว่าเพราะแอลกอฮอลล์ที่อยู่ในกระแสเลือดหรือเพราะความหวงแหนสมบัติเมษาจึงแสดงน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวออกไปทั้งๆที่ผิดวิสัยของตัวเอง เขาไม่ใช่คนใจร้อน ไม่เคยแม้แต่จะตกหลุมพรางโง่ๆที่คนอื่นขุดขึ้นมาแต่ไม่ใช่กับครั้งนี้...เมษารู้ตัวว่าเขาพลาดเมื่อเห็นรอยยิ้มมุมปากถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของโต้ง
“นี่แหละๆ คุยกับเพื่อนมันต้องประมานนี้ล่ะเนอะ”
เมษาเบิกตาขึ้น เพราะทันทีที่โต้งพูดจบเบียร์เย็นๆก็ถูกเลื่อนมาวางตรงหน้าเขาทั้งขวด โดยไม่มีแก้วสักใบ โต้งและขิงที่เคยชินกับการดื่มแบบนี้ดีหันมาชนขวดกันก่อนจะพร้อมใจยกมันขึ้นดื่มรวดเดียวหมดไปเกือบครึ่ง
“อ๊าาาาา ชื่นใจจริงโว้ย!”
ขิงร้องออกมาอย่างสุดกลั้น แต่ก็อย่างว่าเบียร์ดีๆมันต้องมีกับแกล้มด้วย ชายหนุ่มผู้ไม่เคยเกรงกลัวอะไรจึงหันไปคว้าเสต็กเนื้อที่เมษากินค้างไว้มาเข้าปาก
“กูกลับล่ะ”
ดูเหมือนว่าความอดทนของเมษาจะมีไม่มากพอ เขากระชากเอาโทรศัพท์ของตัวเองคืนมาจากโต้งก่อนจะหุนหันลุกขึ้นโดยไม่คิดจะสนใจใครทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ก้าวขาออกไปมือที่มีกำลังมากของขิงกลับคว้าไหล่ของเมษาเอาไว้แล้วออกแรงกดมันลงมาจนเมษาต้องกลับมานั่งที่เดิมด้วยความไม่เต็มใจ
“พวกกูล้อเล่นนิดเดียวอย่าหงุดหงิดสิวะ ขอโทษๆ อ่ะ กูยอมให้มึงกินเอ็นไก่ทอดของกูก็ได้”
ขิงว่ายิ้มๆก่อนจะเลื่อนจานเอ็นไก่ทอดที่เมษาจำได้ว่าไม่เคยเห็นมันในเมนูมาให้ โดยโต้งที่นั่งอยู่ถัดไปก็จิ้มมันกินด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
“ฮ่าๆ กูรู้หรอกน่าว่ามึงจำพวกกูไม่ได้ แค่แกล้งเล่นน่ะ อย่าคิดมากสิ”
“มึงพูดเหมือนกูเคยเจอพวกมึงมาก่อน”
“ก็น่ะใช่สิ งานรับปริญญามึงกูยังไปอยู่เลย จำไม่ได้แล้วรึไง”
ถึงปากจะบ่นแต่ใบหน้าของโต้งกลับประดับด้วยรอยยิ้ม คราวนี้เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเขี่ยๆมันอยู่สักครู่ก่อนจะยื่นรูปถ่ายเมื่อหลายปีก่อนไปให้ดู มันเป็นภาพงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่เมษาเรียนอยู่ คนที่จำอะไรไม่ได้เลยขมวดคิ้วแน่นเพราะเห็นเหมือนกันว่าในรูปนั้นนอกจากคณิตแล้วยังมีสองคนนี้ยืนอยู่ด้วยแถมคนชื่อขิงกำลังโอบไหล่ของเขาไว้อีกต่างหาก
“น้อยใจชะมัดไอ้สัด เจอกันแค่ครั้งเดียวกูยังไม่เคยลืมมึงเลยแท้ๆ”
“มึงก็เว่อร์ไปขิง คนที่จำเมษได้ก่อนน่ะมันกูไม่ใช่รึไง”
คนที่เป็นฝ่ายชี้ให้ขิงหันไปมองเมษาพูดขึ้นราวกับต้องการจะอวดอ้าง แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรเลยกับเมษาที่ไม่รู้สึกยินดีกับการเจอกันครั้งนี้เลยสักนิด เขามองหาทางหนีทีไล่ด้วยการส่งข้อความไปหาเลขาส่วนตัวในจังหวะที่ขิงและโต้งกำลังเถียงกันอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าจะมาถึงที่นี่ในอีกไม่เกิน15นาที
“ขอโทษด้วยแล้วกันสำหรับเรื่องนั้น พวกมึงกินกันไปเถอะ กูกลับล่ะ”
“เฮ้ยอะไรวะ พวกกูเพิ่งมาถึงเองนะเว้ย”
“ก็กินกันต่อไปสิ ต่างคนต่างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
เมษาพูดด้วยท่าทางไม่ยี่หระ แต่ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นยื่นอีกครั้ง เบียร์ขวดเดิมที่ยังไม่ถูกแตะต้องก็ถูกยื่นมาให้เมษาพร้อมกับรอยยิ้มของโต้งที่เขาสัมผัสได้ว่ามันแปลกไปจากเดิม
“อย่างน้อยดื่มเบียร์ให้หมดก่อนได้ไหม อย่าให้พวกกูรู้สึกเสียน้ำใจเลย”
“...”
“ถึงเราจะไม่ใช่เพื่อนกัน แต่อย่างน้อยพวกกูก็เป็นเพื่อนของไอ้คณิตนะ อย่าลืมสิ”
คำพูดของโต้งทำให้คิ้วของเมษากระตุกด้วยความโมโหและความสงสัยบางอย่าง แต่มันก็ทำให้คนที่เกลียดความวุ่นวายตัดสินใจนั่งลงแล้วหยิบแก้วที่ใช้ใส่ว็อดก้าที่หมดลงไปแล้วมารินเบียร์ลงไปแทนก่อนจะดื่มมัน
“แค่ขวดนี้เท่านั้น เข้าใจไหม”
“อ่าฮะ แค่ขวดเดียวก็พอแล้ว”
โต้งยิ้มพรายแล้วหันไปคุยกับขิงเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญที่จะถูกจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แม้จะเป็นเรื่องที่เมษาสนใจอยู่ไม่น้อยแต่เขากลับนั่งเงียบๆดื่มด่ำกับวิวของแม่น้ำตรงหน้าทำเป็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่ได้ยินผ่านหูทั้งที่ไม่ต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นขิงและโต้งก็ยังพยายามชวนคนมาดเยอะให้เข้ามามีส่วนร่วมอยู่เรื่อยๆ
“จะว่าไปเมื่อวานไอ้คณิตแม่งโทรมาหากูด้วยว่ะ”
“มึงด้วยหรอ ของกูแม่งโทรมาตอนกูกำลังตรวจคนไข้ กูนึกว่ามีเรื่องสำคัญอะไร ที่ไหนได้แม่งบอกให้กูแวะไปดูปูนที่คอนโดให้หน่อย กูแม่งจะบ้า”
บทสนทนาของสองคนนั้นทำให้มือที่กำลังยกเบียร์แก้วสุดท้ายเข้าปากหยุดชะงัก โดยไม่รู้ตัวเมษาค่อยๆลดมือลงแล้ววางมันไว้ทั้งที่ความตั้งใจเดิมคือดื่มมันให้หมดๆไปจะได้กลับบ้าน
“คราวนี้มีปัญหาอะไรอีกวะ อาทิตย์ก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว”
“เห็นว่าปูนไม่ยอมเอารถที่ให้ไว้ไปใช้น่ะ มันกลัวน้องจะลำบากเลยให้กูไปช่วยกล่อม ให้ตายสิ ไอ้นิดมันลืมไปแล้วรึไงว่าปูนชินกับถนนหนทางในกรุงเทพมากกว่าตัวมันซะอีก”
“ฮ่าๆ เออว่ะ แต่กูว่ามันก็แค่เป็นห่วงนั่นแหละ อยู่ใกล้แค่นี้จะไปหาก็ไม่ได้ ถึงพ่อมันจะไม่ห้ามแต่เล่นเอางานใหญ่มาให้ทำตลอดแทบจะไม่ได้พัก คณิตมันจะปลีกตัวออกไปได้ยังไง”
“ผู้ใหญ่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองแหละน่า ว่าไหมเมษ”
โต้งหันมาถามคนที่แอบฟังอยู่เงียบๆเชิงถามความคิดเห็น เมษาหันมาสบตากับคนที่ทำเหมือนกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่สักครู่ ก่อนจะตอบออกมา
“โง่”
“...?”
“คณิตกับเด็กนั่นน่ะ โง่ชะมัด”
โง่ที่หลับหูหลับตาเลือกความรัก ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางสมหวังเหมือนในนิยาย อยากให้ครอบครัวยอมรับงั้นหรอ...หึ...มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง ลูกชายที่เป็นยิ่งกว่าความหวังของบ้านอย่างพวกเขาน่ะ โอกาสที่จะคิดถึงเรื่องของตัวเองก่อนคนอื่นมันยังไม่มีเลย
“นั่นสินะ ก็โง่จริงๆนั่นแหละ”
“...!!”
“ไม่รู้สิ บางทีกูก็ไม่ค่อยเข้าใจพวกที่อินกับความรักมากๆเหมือนกันนะ...ว่าตอนที่ตัดสินใจทำแบบนั้นมันคิดอะไรอยุ่”
เมษาที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองหันไปมองหน้าขิงที่พูดสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายออกมา เขาคิดว่าคนตรงหน้าจะเถียงกลับแล้วยืนยันว่าความรักของเพื่อนเป็นเรื่องสวยงามและถูกต้อง แต่มันกลับไม่ใช่...
“กูก็ไม่ได้คิดว่าปูนไม่ดีนะ น้องแม่งโคตรน่ารักแล้วก็รักไอ้นิดมากๆ เพื่อนเราก็เหมือนกัน แต่พอเห็นสิ่งที่พวกมันทำแล้วกูก็ไม่เข้าใจว่ามันจะทุ่มเทให้ความรักมากถึงขนาดนี้ไปเพื่ออะไร...ในเมื่อผลตอบแทนของมันไม่ได้มีแต่ความสุข”
ขิงพูดขึ้นพร้อมกับคิดถึงกระทู้ในโลกโซเชียลที่เขาบังเอิญเปิดไปเจอมันเมื่อไม่กี่วันก่อน แน่นอนว่าการเปิดตัวของคณิตจะไม่ได้สร้างผลกระทบมากมายอย่างที่พวกเขากลัวแต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มี...
คำพูดว่าร้ายส่อเสียดของผู้คนที่เร้นกายอยู่ข้างหลังคีย์บอร์ดทำให้คนรักเพื่อนอย่างเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก พวกวิปริตบ้างล่ะ น่าสมเพชบ้างล่ะ หรือแม้แต่คำปรามาสว่าเสียชาติเกิดเขาก็อ่านมันมาหมดแล้ว และขิงก็เกลียดมัน...เขาเกลียดคำพูดของคนพวกนั้นที่นอกจากทำร้ายคนอื่นแล้วก็ไม่มีค่าใดๆเลย
“ความรักไม่ใช่เรื่องผิด กูเชื่อว่าเราทุกคนมีสิทธิที่จะรักเท่าที่ใจอยากจะรัก แต่ในโลกแบบนี้สังคมแบบนี้มันโอเคจริงๆหรอวะกับการแสดงออกแบบไม่สนใจใครแล้วต้องมานั่งเสียใจกับผลที่ตามมา กูไม่ได้หมายความว่าคนที่ด่าเพื่อนเรามันทำถูก แต่ก็เพราะเราห้ามความคิดของพวกเขาไม่ได้ไง แม้แต่ความรักเรายังห้ามมันไม่ได้นับประสาอะไรกับความเกลียดชังพวกนั้นกัน”
ขิงยิ้มขืน เขาเจ็บใจกับความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวดนี้ ขิงยินดีกับความรักของเพื่อน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เจ็บปวดเพราะมัน ไม่มีใครหรอกที่จะยิ้มได้เมื่อต้องเห็นคนที่ตัวเองรักถูกทำร้าย เพราะฉะนั้นขิงถึงเข้าใจว่าทำไมครอบครัวของคณิตถึงยังพยายามทำให้ลูกชายคนโตตระหนักถึงผลที่จะตามมาอย่างถี่ถ้วน
“อาจจะฟังดูใจร้ายแต่บางครั้งกูก็อยากให้ไอ้นิดกับปูนหันมามองความเป็นจริงมากกว่านี้...หันมามองอย่างอื่นนอกจากความรักบ้าง เพราะถ้าเกิดวันหนึ่งความรักของมันไม่แข็งแรงพอสำหรับเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างน้อยตอนนั้นพวกมันจะสามารถเดินต่อไปได้แม้ว่าจะไม่เหมือนเดิมก็เถอะ”
เมษามองใบหน้าด้านข้างของคนที่เพิ่งพูดเรื่องจริงจังออกมาทั้งที่บุคคลิกภายนอกนั้นไม่ใช่ เขาไม่รู้หรอกว่าแท้จริงแล้วขิงเป็นคนแบบไหน เป็นพวกบ้าๆบอๆหรือจริงจัง ฉลาดเฉลียวหรือโง่เง่าเหมือนที่เมษาเคยคิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าคำพูดของขิงคือสิ่งที่เขาใช้เตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา
อย่าได้ก้าวเข้าไปในโลกใบนั้น
โลกที่จะมีแต่ความเจ็บปวดและผิดหวังรออยู่
โลกที่เขาจะเป็นผู้แพ้...แพ้ให้กับความผิดหวังในตัวเอง
โต้งที่นั่งฟังขิงพูดทุกคำอย่างตั้งใจ ยื่นเบียร์ขวดที่สามไปให้เพื่อนที่ยังคงแสดงความกังวลออกมาทางใบหน้า ในขณะที่แก้วของเมษาก็ยังคงเต็มไปด้วยน้ำสีเหลืองอำพันที่จางลงเหมือนกับบรรยากาศโดยรอบ
“กูเข้าใจสิ่งที่มึงพูดนะ เพราะบางครั้งกูเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน...แต่ที่กูรู้สึกมากกว่าก็คือกูชื่นชมคณิตที่กล้าลุกขึ้นมาทำตามหัวใจของตัวเอง”
ในเสี้ยววินาทีเมษารู้สึกว่าเขาเห็นโต้งหันมามองทางนี้ด้วยสีหน้าที่ชวนให้หงุดหงิดใจ แววตาที่เหมือนกับสามารถมองทะลุร่างกายของเขาได้ และริมฝีปากที่ยกขึ้นคล้ายจะปลอบใจ แต่มันก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
“มนุษย์เป็นสัตว์สังคมก็จริง แต่สังคมก็ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตเราหรอกนะ...มันก็เป็นแค่กรอบๆหนึ่งที่คนเราสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่ามีที่พึ่ง กูไม่ได้บอกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในกรอบเป็นเรื่องผิด กูแค่คิดว่ามันน่าเสียดายถ้าเราจะต้องใช้ชีวิตแบบที่คนอื่นมองว่าดีทั้งที่หัวใจเราปฏิเสธว่ามันไม่ใช่”
โต้งสังเกตมาตลอด ไม่ใช่แค่คราวของคณิตหากแต่ยังรวมถึงคนอื่นๆที่มีความรักแบบนี้ ทั้งนิล และรัตติกาลที่แทบจะไม่ฟังเสียงของคนอื่นเลยนอกจากตัวเอง ให้ตายสิ ไอ้พวกนี้มันยอดมนุษย์ชัดๆ
“ไอ้กาลมันเคยบอกกูว่าบนโลกของเรามีกฎอยู่สองอย่าง คือสิ่งที่เราควรทำกับสิ่งที่เราไม่ควรทำ ถ้าหากว่าเราอยากจะมีชีวิตที่ปกติ เราก็แค่ทำสิ่งที่ควรทำทและไม่ทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้น แต่คนเราสมัยนี้กลับใช้ชีวิตเหมือนกบในกะลาเข้าไปทุกที”
“กบในกะลา?”
“อืม เปรียบเทียบง่ายๆตัวมึงก็คือกบ ที่อาศัยอยู่ในกะลาที่เป็นเหมือนกรอบของสิ่งที่มึงควรทำ ในขณะที่โลกภายนอกคือสิ่งที่มึงไม่สมควรทำ”
“เอ้า แบบนั้นมันก็ถูกแล้วไม่ใช่รึไงวะ”
“อืม มันถูกแต่ว่าความรู้สึกมันก็ต่างกันออกไปใช่ไหมล่ะ”
ขิงที่ไม่ค่อยจะสนปรัชญาชีวิตเหมือนเพื่อนคนอื่นงงหนัก ในขณะที่เมษาได้แต่นั่งฟังเงียบๆแล้วนึกภาพตาม หากเขาเป็นกบตัวนั้นที่อาศัยอยู่ภายใต้กะลาที่ทั้งชื้นและมืดมิดอยู่เพียงลำพัง ความรู้สึกที่มีต่อโลกภายนอกที่ไม่เคยมองเห็นเลยนั้น...มันจะเป็นยังไงนะ
เขาคง...กลัวล่ะมั้ง
“ชีวิตที่ถูกตีกรอบด้วยสิ่งที่ทำไม่ได้ กับชีวิตที่เป็นอิสระจากความรู้สึกพวกนั้น ถ้ามึงเป็นกบในกะลามึงก็จะมีชีวิตเท่าที่ในกะลาใบนั้นมีให้ แต่ถ้ามึงเป็นกบที่ไม่อยู่ในกะลาแล้วมองโลกใบใหญ่นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ในขณะที่กะลาใบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมันจะไม่ดีกว่าหรอวะ”
ชีวิตที่จะทำอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ไปเบียดเบียนใครก็เหมือนกับกบตัวน้อยที่สามารถท่องเที่ยวไปได้ในทุกๆที่มันอยากจะไป โลกที่แสนสว่างและสดใสต่างจากกะลาใบน้อยที่เคยอาศัยอยู่ จะดีแค่ไหนกันนะถ้าหากทุกคนเป็นเหมือนกับตัวนั้น ไม่สิ...จะยากแค่ไหนกันนะกับการที่จะกล้าหาญเพื่อที่จะคิดแบบนั้นได้
“คนที่ว่าร้ายเพื่อนเราก็เป็นเหมือนกบที่อาศัยอยู่ในกรอบเล็กๆของตัวเอง ใช้ชีวิตโดยที่คิดถึงแต่สิ่งที่ทำไม่ได้และหวาดระแวงไปซะหมดเพราะเห็นโลกใบนี้ไม่กว้างพอ เขามองว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือสิ่งที่ถูก แต่กลับตัดสินว่าสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งที่ผิดทั้งๆที่มันไม่ใช่...ความรักของคนแบบคณิตกับปูนไม่เคยทำร้ายใคร ต่อให้มันจะรักกันหรือเลิกกันก็ไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกมองว่ามันเป็นเรื่องผิด ไม่ยุติธรรมเอาซะเลยว่าไหม”
เบียร์ขวดที่สามหมดไปหลังจากโต้งพูดจบ ความเงียบที่ไม่อัดอัดเกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวพวกเขา โต้งรู้สึกโชคดีที่ขิงถึงจะทึ่มไปบ้างแต่ก็เป็นคนยอมรับอะไรได้โดยง่าย เขาไม่รู้สึกแย่หรอกที่ได้รับรู้ว่าเพื่อนมีความคิดแบบนี้ เพราะความจริงแล้วตัวเขาและคนอื่นๆบางมุมต่างก็เป็นกบในกะลาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครฉลาดเฉลียวในการใช้ชีวิตได้ซะทุกเรื่อง...ก็เพราะพวกเขายังคงเป็นมนุษย์นี่เนอะ
“กูก็ไม่ได้ว่าสิ่งที่มึงคิดมันผิดหรอกนะขิง เพราะสิ่งที่มึงว่าก็คือความจริงที่คณิตกับน้องปูนต้องเผชิญมันต่อไปถ้าคิดว่าจะอยู่ด้วยกัน ชีวิตคนเรามันไม่ง่ายแต่กูว่ามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เอาเป็นว่าแค่เพื่อนเรามันได้เดินอยู่บนทางที่ตัวเองเลือกแค่นั้นมันก็พอแล้วไม่ใช่รึไงวะ”
โต้งพูดทิ้งท้ายก่อนจะยื่นเบียร์ขวดใหม่ไปให้เมษาที่ใช้ดวงตาคมกริบคู่เดิมมองมาที่เขา แน่นอนว่ามันไม่ได้ดูเป็นมิตรขึ้นหรอกหลังจากที่นั่งคุยกันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่โต้งก็คิดว่าตัวเขานั้นได้ทำในสิ่งที่สมควรทำลงไปแล้ว
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวกูจะกลับแล้ว”
เมษาปฏิเสธความหวังดีของโต้ง ด้วยการยกเบียร์ที่ชืดจนไม่เหลือรสชาติขึ้นดื่มจะหมดก่อนจะวางเงินส่วนที่ตัวเองต้องจ่ายลงบนโต๊ะแล้วเดินจากไปโดยไม่ได้ร่ำลา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเปล่า ที่เพลง Those Good Old Days ของ Jimmy Cliff ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับภาพความทรงจำในวันวานที่ย้อนกลับเข้ามาให้คิดถึง
‘ไอ้เมษ มึงไม่คิดจะมีแฟนบ้างหรอวะ’
‘ถามทำไมวะ’
‘เปล่า กูเห็นว่ามึงไม่ยอมมีใครสักที เห็นกูกับแก้มไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้ไม่เหงาบ้างรึไง’
‘ก็ไม่นี่ อีกอย่างตอนนี้มึงก็อยู่กับกูไม่ใช่หรอ’
‘ก็ใช่แต่กูคงไม่ได้อยู่กับมึงตลอดไปหรอกนะรู้ใช่ไหม’
‘…’
‘ถ้ามึงชอบใครอย่าปิดบังกูนะเว้ย กูจะได้ช่วยมึงจีบเขา มึงจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวต่อไปไง ดีไหม’
ไม่...เมษาปฏิเสธคำถามที่สะท้อนถึงความว่างเปล่าในตัวเขาไปนับครั้งไม่ถ้วน จะให้เขาบอกออกไปหรอว่ารู้สึกยังไง หึ ตลกแล้ว เขาไม่ใช่คนบ้ายอมควักหัวใจตัวเองออกมาเพื่อให้ความเจ็บปวดที่เผชิญจบลงง่ายๆหรอกนะ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวของกบในกะลาที่โต้งเล่าให้ฟังยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา สิ่งที่เมษายึดถึงและสิ่งที่เขากลัว...มันทำให้ร่างสูงอดที่จะถามตัวเองอีกครั้งไม่ได้ว่า ถ้าหากวันนั้นเขาลองมองข้ามโลกของตัวเองออกไป...วันนี้เขาและคณิตจะเป็นยังไงกันนะ
“เป็นความคิดที่โง่ชะมัด”
เมษาพูดกับตัวเองและความคิดไร้สาระที่แวบเข้ามาในหัว ต้องอยู่คนเดียวแล้วยังไงล่ะ แม้จะเป็นเพียงกะลาแคบๆอย่างที่คนอื่นกล่าวอ้างแต่ถ้ามันเป็นโลกที่ปกป้องเขาได้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ และแล้วเมษาก็สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าสิ่งที่ปูนและคณิตมีแต่เขาไม่มีนั้นคืออะไร...
ความโง่ไง...ความโง่ที่ยอมออกไปเผชิญโลกที่โหดร้ายเพื่อแลกกับอิสระภาพที่เขาไม่เคยมี แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาสามารถถ่มความว่างเปล่านั้นด้วยปณิธานของตัวเองได้มันก็เพียงพอแล้ว
“เมษ!!”
ในขณะที่เมษากำลังก้าวเดินไปด้วยความมั่นคงในแบบของตัวเองเสียงตะโกนของขิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาใช้ดวงตาคมกริบไม่ต่างจากเหยียวหันไปมองทางต้นเสียงที่กำลังโบกมือมาทางนี้อย่างร่าเริง
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะเว้ย ไว้คราวหน้ามาดื่มกันอีกนะเพื่อน!!”
รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของเมษาเป็นครั้งแรกซึ่งมันสร้างความแปลกใจและยินดีให้ขิงเป็นอย่างมาก ในขณะที่โต้งกลับเสหน้าหนีไปทางอื่นราวรู้อยู่แล้วว่าเมษากำลังจะพูดอะไร
“กูจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยคบมึงเป็นเพื่อน”
“...!!”
“คิดไปเองแบบนี้...กูก็แย่น่ะสิ”
แล้วเมษาก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงโวยวายของขิง
และเสียงถอนหายใจของโต้ง...
“เฮ้อ...ปากแข็งจริงๆ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เสร็จสิ้นเรื่องสารนิพนธ์แล้วเลยได้ฤกษ์เอาตัวพิเศษมาให้อ่านแก้คิดถึงกัน แต่ถึงอย่างนั้นเช่กลับเลือกตอนของบอยแบนด์ 'เมษโต้งขิง' มาให้อ่านเพราะอยากให้เข้าใจตัวตนของสามคนนี้มากขึ้นนะคับ โดยเฉพาะเมษาที่บางคนบอกว่าร้ายไม่สุดเลย ก็แน่ล่ะ เช่ไม่ได้วางบทตัวร้ายให้พี่เมษของเราซะหน่อย เขาเป็นแค่ผู้ชายที่ pride สูงทะลุเพดาน ถึงจะดูเหมือนพวกที่ใช้ชีวิตในกรอบของครอบครัวและสังคมแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นโดยไม่เข้าใจตัวเองเลย เป็นผู้ชายแบบที่เช่คิดว่ามีเสน่ห์สุดๆเลยคับ ส่วนพี่โต้งไม่ต้องพูดไรมาก อบอุ่นและฉลาดเช่นเดิม ที่ผิดคาดที่สุดคงเป็นพี่ขิง ที่เป็นตัวฮาคอยลดแรงดราม่าของเรื่อง แต่ภายใต้บุคคลิกอย่างนั้นจริงๆแล้วเป็นคนมีหัวคิด เอ้ย! คิดมากเหมือนกันนะ ตอนพิเศษตอนนี้เป็นตอนที่เช่เขียนไปยิ้มไป ให้ความรู้สึกเหมือนกับนั่งก๊งเหล้าอยู่กับสามคนนี้เลย ^^
ส่วนตอนพิเศษป๋าปูน(จริงๆ)ทุกคนคิดถึง ติดตามได้ในเล่มเลยนะคับ บอกตรงๆว่าเลือกตอนพิเศษมาลงเว็บยาก เพราะตอนพิเศษแต่ละตอนเหมือนเป็นการเล่าเรื่องของป๋าปูนหลังจากตอนหลัง คล้ายๆกับตอนจบที่แท้จริงนั่นแหละ ปูนกลับไปเรียนแล้วเป็นไง ปูนเข้ากับที่บ้านป๋าได้ไหม บอยพลัสได้กลับมาเจอกันอีกครั้งรึเปล่า ปูนกับพี่กาลล่ะ(ข้อนี้สำคัญมาก!) แนะนำว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยคับ! ใครสนใจก็พรีได้ตามลิ้งนี้เลย https://goo.gl/forms/a6BVqLlj4CgPaE1f2 (https://goo.gl/forms/a6BVqLlj4CgPaE1f2) (พิเศษเฉพาะรอบจอง รับมินิโนเวลตอนพิเศษหวานๆเพิ่มไปอีก3ตอนเลยจ้า!!!)
ป.ล. เป็น talk ที่ Hard Sale มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก (อุดหนุนเค้าเป็นค่าน้ำค่าขนมนุ้งปูนหน่อยยยยย)
ป.ล.ล. เดี๋ยวมีตอนพิเศษมาลงอีก แต่ตอนไหนติดตามได้อีกทีนะคับ
ป.ล.ล.ล. Midnight กลับมาอัพเดือนหน้าจ้า
-
สนุกมากๆค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย ตอนแรกก็เกลียดๆพี่เมษนะ แต่ชักชอบความซึนๆของแกซะแล้ว ไม่ใช่คนดีแต่พี่แกก็ไม่เลวนะเออ555 อยากได้พี่โต้งขอได้ไหมดูมีออร่าอบอุ่นอะไรเบอร์นี้
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
พี่เมษสมควรมีคู่ค่ะ
:katai4: :katai4: :katai4:
คู่พี่แกควรเป็นพวกลูกบ้าเยอะ จริงๆนะ
5555555555555555
-
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะสนุกมากแม้จะเครียดไปหน่อย555 สารภาพว่าไม่ได้อ่านคู่พลัสบอยเลย มีความไม่แฮปปี้เพราะคู่หลักก็มีตวามเครียดอยู่แล้วถ้าลองเปลี่ยนคู่รองให้สดใสขึ้นอีกนิดคงจะสนุกกว่านี้ สำหรับเรื่องนี้อ่านแล้วมีความเกลียดกาล5555 แบบต่อให้ชดใช้ให้ปูนเท่าไหร่ก็ไม่พอ แม้จะมีเหตุผลอะไรก็ตามที่กาลทำแบบนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเกลียดกาลอยู่ดี 555 สุดท้าย อยากให้เมษ ขิงและโต้ง 3pเถอะค่ะ มีความออร่ากระจาย 555 จุบๆณเซ่ค่ะ
-
เข้ามาอ่านรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ :laugh3: :laugh3: :laugh3: :laugh3:
-
สนุกดึค่ะ
แต่กลางๆเรื่อง
เนื้อเรื่องมันเอื่อยๆ
เบื่อไปนิดๆ
แต่โดยรวมโอเคจ้า
จะรอตอนพิเศษตอนต่อไปน้า
-
เสียน้ำตาหนักมากช่วงท้าย ตอนแรกคิดว่าปูนจะไปเมืองนอกสะอีก เห็นพี่นิดซึมๆ อยากบอกพี่นิดว่าสมแล้วที่ให้เพื่อนว่า 555
-
เข้ามาอ่านใหม่อีกรอบ รอเล่มจ้า :mew1:
-
อ่านจบก็ได้แต่อึนๆมึนๆไป เอ๊ะ นี่โนดราม่าจริงๆใช่ไหม
-
ชอบนิยายเรื่องนี้มาก สะท้อนความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอกออกมา ทำให้คนอ่านรู้สึกว่าที่ผ่านมาแล้ว ต่อให้ทำอะไรพลาดไป ก็อย่าเก็บมาเป็นปมในใจ ได้กำลังใจดีค่ะ
-
o13 น้ำตาไหล :mew1: :mew1:
สนุกค่าาาาา
-
ขิงมีคู่กับเขามั้ยอ่ะ!!! ชอบขิงฮาดี
-
ชอบเรื่องนี้จัง ปูนน่ารักกก คุณคณิตก็ดีงามมมมม :กอด1:
-
แล้วปมของทางนี้ก็คลี่ลายยยย o13
-
:hao5: :hao5:
-
ฮรื่อออ ปูนน่ารักมากๆป๋าก็น่ารัก
-
สนุกมากค่ะ
-
ขอบคุณค่ะ :pig4: :pig4:
-
ดีใจที่ปูนจะมีความสุขจริงๆสักที
-
ปูนผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆสงสารน้องมากหลังจากนี้ฟ้าสดใสแล้วป๋ากับปูนจะมีความสุขแบบจริงๆสักที :heaven
-
ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :กอด1:
-
ขอบคุณมากค่ะ ประทับใจมาก
คิดว่าเดี๋ยวคงต้องย้อนไปอ่านเรื่องของกาลแล้ว :katai2-1:
-
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆเลย
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
ชอบมากเลยค่ะ มีครบทุกอารมณ์ มันจริง ได้แง่คิดอะไรหลายๆอย่างเลย ขอบคุณนักเขียนมากเลยค่ะ