เอกสารเกี่ยวกับรูปแบบโรงแรมถูกแจกจ่ายให้กับพนักงานทุกคนที่เข้าประชุมในวันนี้ คณิตที่เป็นหัวหน้าทีมลุกขึ้นยืนและอธิบายมันให้ทุกคนฟังอีกครั้งด้วยท่าทางจริงจังท่ามกลางสายตาของลูกน้องที่มองมาอย่างชื่นชม
จนกระทั่ง...
“ขอโทษครับ โทรศัพท์ผมเอง”
คณิตบอกขอโทษทุกคนอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นกลางทีประชมเป็นครั้งที่สาม ถึงจะไม่แสดงออกมาเพราะเขาเป็นลูกของเจ้าของแต่คณิตก็ยังรู้สึกถึงสายตาตำหนิที่มองมาได้อยู่ดีโดยเฉพาะจากคนที่อายุมากกว่า ชายหนุ่มเดินไปยังเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วถอนหายใจเมื่อเห็นว่าชื่อของใครปรากฏอยู่บนนั้น
“อิงอรจัดการให้ผมที”
เขาส่งมันให้กับอิงอรด้วยอาการหัวเสีย ทั้งเรื่องที่ปูนโทรมาไม่หยุดทั้งที่ไม่มีธุระอะไร แล้วก็เรื่องที่เขาไม่อาจปิดเสียงโทรศัพท์ได้เพราะกำลังรอสายคอนเฟิร์มงานจากลูกค้า หญิงสาวรับมันมาแล้วขอตัวออกไปคุยด้านนอกเพื่อให้การประชุมออกไปได้ และทันทีที่ก้าวพ้นออกมาจากประตูห้องเธอก็รีบกดรับสาย
“ปูน นี่พี่อิงนะ”
“อ่ะ สวัสดีครับพี่ แล้วพี่นิดอยู่ไหนครับ ทำไมให้พี่มารับสาย”
อาการถามเป็นชุดของปูนไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าตัวกระวานกระวายมากแค่ไหนเธอเองก็อยากจะเข้าข้างปูนหรอกนะ ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นในเวลางานแบบนี้...
“คุณคณิตทำงานอยู่จ๊ะ ติดประชุมเลยให้พี่มารับสายแทน”
“เรื่องด่วนมากเลยหรอครับ ปูนโทรไปตั้งนานแล้ว”
“ไม่ด่วนแต่สำคัญมากจ๊ะ แล้วปูนล่ะมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า”
อิงอรไม่ได้ตั้งใจจะพูดกระทบ แต่คนที่หวังแค่โทรมาเช็คเฉยๆกลับรู้สึกเหมือนมันคือมือที่บีบคอเขาจนพูดไม่ออก ร่างเล็กอ้ำอึ้ง มือที่กำกันไว้ที่หน้าตักบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนมันสั่น...แต่ปูนก็ควบคุมไม่ได้
“เปล่าครับ...ขอโทษนะครับพี่อิงที่โทรมารบกวน”
“ไม่เป็นจ๊ะ เอาไว้ถ้าประชุมเสร็จพี่จะบอกให้คุณคณิตโทรหานะ”
ปูนบอกขอบคุณเธออีกครั้งก่อนจะตัดสายไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก และถึงแม้อิงอรจะไม่ได้ตำหนิอะไรเขาก็พอจะรู้ว่าการกระทำของตัวเองนั้นคงสร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครไม่น้อยโดยเฉพาะคณิต...ปูนไม่อยากเป็นอย่างนี้ ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ใครต่อใครแต่เพราะความกลัวจากคำพูดของเมษาและเรื่องราวบางอย่างที่เขาอยากจะลืมแต่มันกลับหวนกลับมา
เขากลัว...กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน
“ทำไมทุกอย่างมันถึงเป็นแบบนี้”
ความสุขแสนหอมหวานที่เขารับมาจางหายไปราวกับว่ามันเป็นเพียงความฝัน ปูนมองไปรอบๆห้องที่เคยอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงดังก้องอยู่ในหูเพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้ยินมันอีกแล้ว
เขาไม่รู้ว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน...ต้นเหตุที่ทำให้คณิตมองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมปูนไม่รู้จริงๆว่ามันคืออะไร ทั้งที่เรารักกัน แต่คำว่ารักที่คณิตมอบให้เป็นครั้งแรกกลับไม่ได้ทำให้เขาสบายใจอย่างที่คาด...ทั้งที่คณิตยังอยู่ข้างๆแต่ปูนกลับรู้สึกอ้างว้าง...ยิ่งกว่าตอนที่อยู่คนเดียวเสียอีก
‘มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้’
ปูนคิดถึงคำพูดของโต้งที่บอกกับเขาไว้ก่อนที่จะจากไป ร่างเล็กรู้สึกลังเล...เขาไม่อยากเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวให้คนใกล้ตัวคณิตรับรู้มากสักเท่าไหร่ ตัวเลือกของปูนจึงจบลงที่นามบัตรอีกใบที่โต้งบอกว่าเป็นเพื่อนของตัวเองอีกที
เด็กหนุ่มเปิดโปรแกรมแชทแล้วแอดไอดีที่ถูกระบุไว้ในนั้นแทนการติดต่อทางเบอร์โทรศัพท์เพราะสภาพจิตใจของเขาตอนนี้ปูนไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะไม่ร้องไห้ออกมาเมื่อต้องพูดถึงมัน เพียงแค่กดเพิ่มเพื่อนไปรูปโปรไฟล์ของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นมา มันเป็นรูปภาพสีดำที่มีจุดเล็กๆสีออกขาวเหลืองอยู่ตรงกลางภาพ...พระจันทร์งั้นหรอ
‘สวัสดีครับ’
ปูนเผลอสะดุ้งเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็ทักเขาขึ้นมาก่อน ร่างเล็กมองมันอย่างลังเลจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายแต่เพราะต้องการระบายเขาจึงตอบกลับไปในที่สุด
‘สวัสดีครับ…’
‘น้องของโต้งใช่ไหมครับ’
‘ครับ...พี่โต้งบอกหรอครับว่าผมจะติดต่อมาหา’
‘ครับ พี่ดีใจนะที่เราติดต่อกลับมา’
ปูนขมวดคิ้วน้อยๆเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาแบบนั้น ดีใจ? ทำไมกัน?
‘พี่เป็นจิตแพทย์เหมือนพี่โต้งหรอครับ’
‘ป่าวหรอก พี่เป็นแค่คนธรรมดาน่ะ’
‘อ้าว...’
*สติ๊กเกอร์หมีสงสัย*
‘แต่การมีเพื่อนคุยดีๆสักคนก็ไม่เลวนักหรอกนะ ว่าไหม”
ปูนเผลอยิ้มออกมาเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายว่าเขาก็เห็นด้วยกับมัน เหมือนอย่างในตอนนี้ที่ปูนเลือกจะพิมพ์ข้อความไปหาคนที่เขาไม่รู้จักและอีกฝ่ายก็ไม่รู้จักเขาเช่นกัน โดยที่ทางนั้นเป็นคนเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองก่อนเพื่อให้ปูนรู้สึกไว้ใจ
เพื่อนของพี่โต้งคนนี้บอกว่ากำลังออกเดินทางอยู่ในต่างประเทศก็คงเป็นพวกลูกคนรวยล่ะมั้ง คงไม่ต่างจากคณิตและกลุ่มเพื่อนสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ทำให้ปูนรู้สึกว่าการคุยกับคนคนนี้สนุกและน่าสนใจก็คือคำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวแปลกใหม่ที่อีกฝ่ายพบเจอในทุกๆที่ที่ได้ไป
‘แล้วพี่ทำยังไงอ่ะ ได้ไปแจ้งตำรวจที่นั่นไหม’
‘ไม่ได้แจ้งหรอก เสียเวลาน่ะตำรวจที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากที่ไทยสักเท่าไหร่ พี่ผิดเองด้วยที่คิดว่าเด็กนั่นคงไม่กล้าทำอะไร ที่ไหนได้เผลอแปปเดียวหยิบถุงของพี่ไปเฉยเลย’
‘ถ้ามันเปิดมาเห็นว่าในถุงนั่นมีแต่กระดาษที่จะเอาไปทิ้งคงโมโหน่าดู”
‘ก็นะ อย่างน้อยถุงของกระเป๋าแบรน์เนมนั่นก็น่าจะพอขายได้’
ผู้ชายคนนี้แสร้งทำเป็นมองโลกในแง่ดี แต่การคุยกันมากว่าชั่วโมงแม้จะไม่ได้เห็นหน้าก็พอจะทำให้ปูนเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ปูนรู้สึกสบายใจเข้าไปอีก
‘แต่มันก็แย่นะพี่ อายุแค่นี้ริอาจจะเป็นโจรแล้ว’
‘เขาก็คงมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นนั่นแหละ เพียงแต่เราไม่รู้’
สิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาทำให้นิ้วของปูนชะงัก เหตุผลของสิ่งที่ทำงั้นหรอมันมีแน่นอนอยู่แล้วแหละ...เพียงแต่จะมีสักกี่คนที่สนใจมัน
‘ใจดีจังนะครับ เขาทำพี่แบบนี้ยังไปสงสารเขาอีก’
‘พี่ไม่ใช่คนใจดีหรอก แถมไม่ใช่คนดีด้วย แค่ไม่อยากทำพลาดซ้ำสองน่ะ’
‘พลาด?’
‘ครั้งหนึ่งเคยตัดสินคนคนหนึ่งไปโดยไม่คิดจะรับฟังเขาเลย’
หากตัวอักษรพวกนี้เปล่งเสียงออกมาได้ ปูนสงสัยว่าเสียงของมันจะเป็นแบบไหน เศร้าสร้อย เสียใจ หรือเสียงหัวเราะอย่างเย้อหยันกันแน่นะ...
‘แฟนพี่หรอ?’
‘ประมานนั้นครับ’
‘เลิกกันแล้วหรอ’
‘อืม...ยังเสียใจมาถึงทุกวันนี้เลย’
แม้จะเพิ่งรู้จักกันและไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ปูนกลับรู้สึกเศร้าไปด้วยอย่างน่าประหลาด อาจจะเพราะความกลัวที่สุมอยู่ในหัวใจของเขาที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยล่ะมั้ง มันเลยอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากวันหนึ่งเขาและคณิตจะต้องจากกันด้วยความไม่เข้าใจแบบนี้บ้าง...เขาจะเป็นยังไง
‘ถ้าเสียใจทำไมไม่กลับไปหาเขาล่ะ’
‘กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ทั้งเขาและพี่ เราต่างก็เดินจากกันไปไกลแล้ว เขามีชีวิตใหม่พี่เองก็เหมือนกัน เพียงแค่พี่อยากมีโอกาสสักครั้งที่จะได้บอกเขาว่า...ขอโทษที่วันนั้นเราไม่ได้คุยกันมากกว่านี้’
ฝ่ายนั้นเงียบไปเหมือนกับปูนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เขารู้เพียงแค่ว่าเมื่อความสัมพันธ์จบลงย่อมมีคนที่เสียใจเพราะมันเกิดขึ้นเสมอ แต่มันก็น่าแปลกใจว่าทั้งๆที่เราต่างก็รู้ดีถึงความรู้สึกที่จะตามมา แต่มันก็ยังเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
‘เล่าได้ป่ะ...ว่าพวกพี่ทะเลาะกันเรื่องอะไร’
พอปูนถามอีกฝ่ายก็เงียบไปพักใหญ่จนร่างเล็กถอดใจไปแล้วว่าเขาคงไม่ได้รับคำตอบ แต่ก่อนที่ปูนจะกดปิดหน้าจอ ตัวหนังสือบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
‘พี่ละเลยเขาครับ’
‘…’
‘ตอนนั้นพี่มีอะไรหลายอย่างต้องทำ พี่ไม่มีเวลาไปหา ไม่มีเวลาไปอยู่ใกล้ๆ แถมเวลาเจอหน้ากันเขาก็มักจะพูดแต่เรื่องดีๆให้พี่สบายใจ ไม่เคยว่าพี่สักครั้ง ทั้งๆที่พี่เป็นคนผิด’
‘เพราะแค่นั้นเขาเลยทิ้งพี่หรอ แย่ชะมัด’
‘ตอนแรกพี่ก็คิดแบบเรานะ พี่เสียใจและโทษเขาว่าทำไมทำกับพี่แบบนี้ พี่โกรธที่สุดท้ายเขาไม่เลือกพี่ โดยไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าพี่ก็ไม่ได้เลือกเขาเหมือนกัน...ถึงเขาจะเป็นคนที่เดินจากไปก่อนแต่พี่ก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะพี่ไม่เคยอยู่ข้างๆเวลาที่เขาต้องการ พี่ไม่พูด เขาก็ไม่ถาม พี่เคยคิดว่าการที่เราเป็นแบบนี้แสดงว่าเราเข้าใจกันแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย’
ภาพของเขาและคณิตลอยขึ้นมาในหัวของปูนเป็นฉากๆ จนมือที่ประคองโทรศัพท์ไว้นั้นเผลอกำกันแน่นเช่นเดียวกับหัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปม
‘พี่เสียใจที่ตอนนั้นเราไม่ได้คุยกันให้มากกว่านี้ เสียใจที่เราไม่เคยทะเลาะกันเลยจนกระทั่งวันที่เราเลิกกัน...แม้ว่าสุดท้ายทุกอย่างจะลงเอยที่การจากลาเหมือนเดิมแต่อย่างน้อยพี่ก็อยากได้รับรู้ความรู้สึกของเขาบ้าง’
สติ๊กเกอร์รูปยิ้มถูกส่งมาทั้งๆที่ความรู้สึกของคนที่ส่งนั้นมันสวนทางกันสิ้นดี ปูนไม่รู้ว่าควรปลอบอีกฝ่ายยังไงเพราะเขาเองก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น อีกทั้งภาพสะท้อนที่เหมือนกันมากต่างไปแค่ตัวบุคคลและเวลา ทำให้ปูนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเตือนจากอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ร่างเล็กส่ายหน้าพยายามไล่ความกลัวที่กัดกินหัวใจออกไปก่อนจะพิมพ์คำถามถึงคนที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...พี่อยากจะทำเหมือนเดิมไหม’
ภาพๆหนึ่งถูกส่งมา มันเป็นรูปภาพของท้องฟ้ายามที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นแม้จะดูเหงาอย่างน่าประหลาดแต่มันก็สวยจนปูนเผลอยิ้มตาม
‘ไม่ล่ะ...เพราะถ้าเราไม่จากกันในวันนั้น ท้องฟ้ามันอาจจะไม่สดใสเหมือนกับวันนี้ก็ได้”
ปูนอ่านข้อความนั้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เขามองเห็นท้องฟ้าที่ถึงแม้จะไม่สดใสเท่า แต่มันก็ยังคงเป็นท้องฟ้าในวันที่เขากับคณิตยังไม่จากกันไป ร่างเล็กถามตัวเองว่าถ้าหากเขาปล่อยมือจากคณิตแล้วจะได้พบเจอกับท้องฟ้าที่สดใสเหมือนกับภาพที่ถูกส่งมา...เขาจะทำมันไหม
ไม่...คำตอบของปูนมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
.
.
.
.
.
.
คณิตกลับมาที่บ้านด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้า ทั้งความเครียดที่สะสมจากงานและความหงุดหงิดเรื่องที่ปูนโทรเข้าไปยังทำให้อารมณ์กรุ่นๆของเขายังไม่เย็นลงนัก แม้อิงอรจะบอกร่างสูงให้ใจเย็นแล้วค่อยๆคุยกับปูน แต่เพราะอาการแปลกๆของเด็กหนุ่มในช่วงนี้ทำให้เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในรถที่ดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแต่ยังไม่คิดจะก้าวลงไป เขานึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้นที่ปูนเรียกร้องคำว่ารักจากเขาด้วยสีหน้าที่แสดงความรู้เจ็บปวดอย่างน่าประหลาด เขารู้ว่ามันคงมีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะพวกเขาไม่เคยเปิดใจพูดคุยกัน รอยแผลที่ถูกปกปิดไว้เบื้องหลังรอยยิ้มที่เขาหลงรักของปูนนั้น...มันทำให้คณิตอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองช่างอ่อนแอ
“อย่าเพิ่งท้อสิวะ”
คณิตบอกกับตัวเองก่อนจะก้าวลงไปจากรถ เขาถือกระเป๋าเอกสารและเสื้อสูทไปด้วยโดยที่วันนี้ร่างสูงไม่ได้ซื้อขนมติดมือมาอย่างเคย แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปในบ้าน จู่ๆปูนที่อยู่ในชุดอยู่บ้านสวมผ้ากันเปื้อนก็วิ่งเข้ามาหาทั้งๆอย่างนั้น
“กลับมาแล้วหรอป๋า”
ร่างเล็กทักเขาแล้วรับเสื้อสูทของคณิตมาถือไว้ให้ บรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่ได้เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มอ่อนๆที่ปูนแสดงออกมาทำให้คณิตที่คิดไปเองว่าเด็กหนุ่มคงวีนเขาเรื่องวันนี้แน่ๆรู้สึกผิดคาด
“อะ อืม”
“กินข้าวเย็นมารึยัง ผมทำของโปรดป๋าไว้เพียบเลยนะ”
“ยังไม่ได้กิน”
“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ ป๋าไปรอที่โต๊ะก่อน เดี๋ยวผมคดข้าวให้”
ปูนไม่ได้รอให้คณิตพูดอะไร เขาเอาเสื้อสูทไปแขวนไว้บนเก้าอี้ตัวใกล้ๆก่อนจะกลับเข้าไปในครัวทิ้งให้คณิตที่ยังงงไม่หายเข้าไปนั่งยังโต๊ะกินข้าวอย่างที่ปูนว่า พอมาถึงร่างสูงก็มองอาหารตรงหน้าด้วยความแปลกใจ เพราะว่ามันเยอะมากจนไม่มีทางที่คนสองคนจะกินมันหมดได้แล้วที่สำคัญมันก็เป็นของโปรดของเขาทั้งนั้น แถมบางจานยังเป็นเมนูที่ปูนเคยบอกกับเขาว่าไม่ชอบกินมัน
รอไม่นานปูนก็เดินถือข้าวพูนๆสองจานเข้ามาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนประดับ คณิตช่วยรับมันมาถือแล้วได้รับคำขอบคุณจากปูนเป็นรางวัล
“ทำไมถึงทำกับข้าวเยอะแบบนี้ล่ะ”
คณิตถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะวันนี้ไม่ใช่วันพิเศษอะไร แถมเมื่อบ่ายก็มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีก
“ผมว่างน่ะเลยลองทำอะไรหลายอย่าง รู้ตัวอีกทีก็เต็มโต๊ะแล้ว”
ร่างเล็กว่าก่อนจะตักกับข้าวให้คณิตเป็นการเริ่มต้นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มกินข้าวไปก็มองหน้าปูนไปด้วย...ปูนดูสดใสขึ้นแม้ว่าจะไม่เท่าแต่ก่อนแต่มันก็ยังมากกว่าที่เขาเห็นเมื่อเช้า ร่างเล็กชวนเขาคุยไปเรื่อยๆโดยไม่วนเข้าไปในเรื่องที่เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ คณิตจึงตัดสินใจพูดถึงมันเป็นคนแรก
“ปูน เรื่องเมื่อบ่ายน่ะ ฉันขอ...”
“ผมขอโทษนะครับ”
“...!!”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าป๋ามีประชุมแต่ก็ยังโทรเข้าไปตั้งหลายสายทั้งที่ไม่มีเรื่องจำเป็น...ผมขอโทษนะครับ”
ปูนทำสิ่งที่คณิตไม่คาดคิดอีกครั้งและมันก็ทำให้คนที่เตรียมจะขอโทษก่อนเพื่อให้เรื่องมันจบไปได้แต่นั่งนิ่ง ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นจากจานของตัวเองก่อนจะเอื้อมมาจับมือของคณิตไว้แล้วบอกเล่าความในใจอีกครั้ง
“ช่วงนี้ผมเอาแต่ใจมาก ชอบทำให้ป๋าลำบากทั้งที่เคยบอกว่าจะเป็นกำลังให้แท้ๆ ขอโทษนะครับที่เป็นแบบนี้ ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ปูนไม่ได้ร้องไห้ ใบหน้าที่เขาหลงใหลยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่บ่งบอกอะไรหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือการพยายามสมานรอยร้าวระหว่างพวกเขาในแบบของปูนที่ยอมถอยไปหนึ่งก้าวทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของร่างเล็กเลยแม้แต่น้อย
การกระทำของปูนทำให้คณิตสะท้อนใจ ในระหว่างที่ปูนกำลังพยายามทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นเขากลับเอาแต่คิดในแง่ร้ายว่าปูนคงจะทำในสิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยใจอีกครั้ง คนที่เขามองว่าเป็นแค่เด็กกลับกำลังพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็เพราะเขา ในขณะที่ผู้ใหญ่อย่างคณิตเองกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“ฉันสิที่ต้องขอโทษเธอ ปูน...พี่ขอโทษนะ”
“...!!”
“พี่รู้ว่ารอบตัวเราช่วงนี้มีแต่เรื่อง งานพี่เองก็ยุ่งเราเลยไม่ได้มีเวลามานั่งคุยกันเท่าไหร่ ทั้งที่เคยคิดไว้ว่าจะดูแลเราให้ดีแต่ก็ยังทำไม่ได้ ขอโทษนะ”
คำขอโทษจากคณิตเปลี่ยนให้รอยยิ้มของปูนกลายเป็นรอยน้ำตา ร่างเล็กร้องไห้ออกมาแต่ไม่ใช่เพราะความเศร้าใจซึ่งคณิตก็เข้าใจมันได้เลยลุกขึ้นมาโอบกอดปูนไว้แล้วโยกตัวไปมาเพื่อปลอบโยน
“ปูนผิดเอง ฮึก ทุกเรื่องเลย ปูนผิดเอง”
“เด็กบ้า มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
คณิตฟังคำกล่าวโทษตัวเองของปูนแล้วพูดแย้งไป เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าที่สถานการณ์มันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะความไม่มั่นคงของพวกเขาทั้งสองคนนั้นแหละ หากเปรียบกับสิ่งที่ขิงเคยพูด เขาก็คงเป็นคนที่หวั่นไหวแต่กลับไปยืนอยู่ในจุดเดิมไม่ได้ ส่วนปูนเองก็มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เดินมาหาเขาไม่ได้อย่างเคย
“ป๋า”
“หื้ม?”
“ผมมีเรื่องมากมายเลยที่อยากจะบอก...แต่มันยาก ฮึก มันยากจริงๆ”
มือที่กำเสื้อของเขาไว้แน่นบ่งบอกถึงความอัดอั้นที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในร่างกายเล็กๆนี้ คณิตลูบแผ่นหลังของปูนไปมาเพื่อปลอบใจทั้งคนรักและตัวเขาเอง
“ถ้าเธอยังไม่พร้อม...ก็ไม่เป็นไรหรอก”
“แต่...”
“เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน ถ้าวันไหนที่เธอพร้อมจะเล่า...ฉันก็จะอยู่ตรงนี้...จะอยู่ข้างเธอและรับฟังมันเอง”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้...ไม่ใช่ว่าอยากใจอ่อนแต่คณิตอยากก้าวผ่านมันไปให้ได้ อย่างน้อยในวันนี้เขาอยากกอดปูนไว้โดยไม่ต้องคิดอะไร เพราะร่างเล็กกำลังพยายามมากเหลือเกินที่จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้แม้กระทั่งยอมเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง...ปูนพยายามมากเกินไปจริงๆ
คณิตรู้ว่าการยอมปล่อยไปแบบนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่การยอมให้ทุกอย่างพังลงมาในคราวเดียวแล้วหวังจะประกอบมันใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย หัวใจของคนเรามันเปราะบางไม่ต่างจากแก้วหรอก...หากยังไม่เข้มแข็งพอก็คงแทบจะไม่มีทางที่จะทำให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ฉันจะเข้มแข็งขึ้นนะปูน...เข้มแข็งพอที่จะยอมรับทุกอย่างของเธอได้”
คณิตบอกความหมายมาดของตัวเองให้ปูนรู้แล้วตั้งใจทำมันนับตั้งแต่วันนั้น เวลามีอะไรไม่สบายใจพวกเขาก็มักจะบอกกัน คณิตพยายามให้เวลากับปูนมากขึ้นแม้ว่างานที่ทำจะรัดตัว ส่วนปูนเองก็พยายามมีเหตุผล เขาข่มความกลัวของตัวเองไว้แล้วหันมาให้ความสนใจกับการเรียนภาษาและการทำงานมากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน และก็ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ปูนได้ระบายความในใจออกไปได้บ้างก็การพูดคุยกับเพื่อนของโต้งที่มักจะมีเรื่องราวดีๆมาเล่าให้เขาฟังอยู่เสมอ
“ช่วงนี้ติดโทรศัพท์จังนะ”
ร่างสูงเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าปูนกำลังพิมพ์แชทคุยกับใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคือใคร แต่เขาก็แค่สงสัยไม่ได้คิดว่าปูนจะนอกใจอะไรหรอก อย่างน้อยถ้าใช่ปูนคงไม่กล้าคุยกับมันต่อหน้าเขาแบบนี้
“คุยกับเพื่อนอยู่น่ะ ป๋าโกรธหรอ”
“ป่าว ว่าแต่คนอย่างเธอมีเพื่อนด้วยหรอเนี่ย”
ปูนทำหน้าบึ้งก่อนจะฟาดหลังของคณิตเข้าป้าบใหญ่ แต่แทนที่จะสำนึกร่างสูงกลับหัวเราะแล้วดึงปูนให้มานั่งลงบนตักของตัวเองก่อนจะดึงให้คนตัวเล็กหันกลับมาสนใจหนังที่กำลังฉายอยู่บนจอ
“ว่าแต่ถ้าผมคุยกับคนอื่นจริงๆ ป๋าจะไม่หึงผมหน่อยหรอ”
“ไม่”
“อ้าว ทำไมพูดงี้อ่ะ”
“ไม่หึง...แต่ฆ่าทิ้งเลยเข้าใจไหม”
คณิตแสร้งทำหน้าโหดใส่ ส่วนปูนที่ได้ฟังก็หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจแล้วเอนพิงอกของคณิตไปทั้งตัว มือของทั้งสองคนกุมกันไว้ ร่างสูงรู้สึกดีใจที่วันนั้นพวกเขาตัดสินใจยอมลดทิฐิแล้วถอยออกมากันคนละก้าวจนทำให้วันนี้บรรยากาศระหว่างเขากับปูนนั้นดีขึ้นมาก เมษาเองก็ไม่พูดถึงปูนอีก นาฬิกาเรือนนั้นก็หายไปจากข้อมือของมันโดยที่คณิตไม่คิดจะตั้งคำถาม อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ถือซะว่ามันเป็นบททดสอบเล็กๆที่ทำให้ร่างสูงรู้ว่าระหว่างเขากับปูนยังขาดอะไรไปสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
อื๊ด...อื๊ด...
เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้คณิตหลุดออกมาจากความคิดของตัวเอง เขาพยายามมองหาต้นตอของเสียงก่อนจะเห็นว่ามันคือโทรศัพท์ของปูนที่ร่างเล็กวางมันไว้บนโต๊ะตัวใกล้ๆ แต่พอเขากำลังจะปลุกก็ทำให้เพิ่งเห็นว่าปูนเผลอหลับไปแล้วคณิตจึงตัดสินใจขยับปูนที่ไม่ได้สติให้นอนลงบนโซฟาแทนที่ตัวเอง
ในระหว่างที่คณิตกำลังพยายามลุกออกมารับโทรศัพท์ก็ตัดไปหลายครั้งก่อนจะต่อสายเข้ามาใหม่เรื่อยๆ ชายหนุ่มสงสัยว่าเป็นใครที่โทรมาหาปูนเพราะนอกจากคุยกับเขาแล้วเขาก็แทบจะไม่เคยเห็นว่าร่างเล็กใช้มันคุยกับใคร ทันทีที่หลุดออกมาได้ชายหนุ่มก็รีบเดินตรงไปยังโต๊ะที่วางโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สายเรียกเข้าครั้งใหม่ดังขึ้นพอดี
“สวัสดีครับ”
“...”
“ฮัลโหล สวัสดีครับ”
“มึงเป็นใคร”
เสียงใหญ่ติดแหบๆที่ตอบกลับมาไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับคำพูดที่หยาบคายสำหรับคนที่เพิ่งคุยกันเป็นครั้งแรก
“ผมมารับสายแทนปูนครับ นี่คือโทรศัพท์ของปูน”
“แล้วปูนไปไหน ทำไมไม่มารับเอง”
“ปูนหลับอยู่ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ มีอะไรกับปูนรึเปล่า”
“อย่ามาถาม! มึงนั่นแหละเป็นใคร!”
คณิตชักจะเริ่มไม่สบอารมณ์กับความคุกคามเล็กๆที่คนปลายสายมอบให้ เขาเปรยตามองร่างเล็กที่ยังคงหลับใหลพร้อมกับความสงสัยที่เกิดขึ้นว่าปูนรู้จักผู้ชายคนนี้รึเปล่า
“ผมเป็นแฟนปูนครับ ผมตอบแล้วคราวนี้ถึงตาคุณบ้างที่จะบอกผมว่าคุณเป็นใครแล้วมาโทรหาแฟนผมทำไม”
“...”
“ว่ายังไงครับ”
“เลิกยุ่งกับปูนซะ”
“...!!”
“แล้วอย่าหาว่ากูไม่เตือน...”
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
อย่าว่าแต่คนอ่านรำคาญเลยคับเช่ยังรำคาญตัวเองเลย5555 อุปสรรคจะเยอะไปไหนนนนนนน รอบนี้ขนมาให้พิเศษช่วงสงกรานต์ ไปเล่นน้ำกันหรือไปเที่ยวไหนก็ระวังตัวกันด้วยน้า เช่เป็นห่วงคับ
ป.ล. ขอบคุณทุกคนเลยน้า