‘แล้วเป็นยังไงบ้างครับ หลังจากบอกกับทางบ้านไปแบบนั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างรึเปล่า’
‘อย่างแรกเลยก็คือสบายใจขึ้นครับ ผมรู้สึกดีที่ไม่ต้องทำตัวหลบๆซ่อนๆทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดอีกแล้ว แน่นอนว่าทางบ้านผมก็ยังต้องการเวลาแต่ผมก็เชื่อว่าสักวันพวกเขาจะเข้าใจและรับเรื่องของพวกเราได้’
‘แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ยอมรับหรอครับ’
‘อืม...มันก็พูดยากนะครับ จะให้ออกมาสนับสนุนทุกทางมันก็ยังไม่ใช่ แต่ว่าพวกเขาก็อนุญาตให้ผมกับน้องได้พิสูจน์ตัวเองกันต่อไป แค่นั้นก็ดีมากแล้วครับ’
‘ฟังอย่างนี้แล้วรู้สึกอิจฉาคนที่คุณคณิตเรียกว่า ‘น้อง’ จริงๆเลยนะครับ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเด็กผู้ชายที่รู้จักกันด้วยความบังเอิญจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ชายอย่างคุณได้’
‘ผมก็ผู้ชายธรรมดาเนี่ยแหละครับ แต่พูดตรงๆก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะได้รักใครสักคนแบบนี้’
‘ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเรื่องครอบครัวโอเคแล้ว แต่เรื่องงานล่ะครับ คุณคณิตคิดว่าการที่คุณออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้มันจะมีผลกระทบอะไรต่อโรงแรม The Next บ้างรึเปล่า ได้ข่าวว่ากำลังจะเปิดสาขาใหม่ด้วย’
‘ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่ามันจะไม่มีผลกระทบ แต่ว่าแรกเริ่มเดิมทีโรงแรมแห่งนี้คุณพ่อสร้างขึ้นมันมาก็เพื่อให้เป็นของขวัญกับคุณแม่ The Next จึงเป็นเหมือนกับตัวแทนความรักของท่านทั้งสอง ด้วยเจตนารมณ์นี้คุณพ่อกับผมก็ได้บริหารโรงแรมเรื่อยมาด้วยความรู้สึกที่ว่าอยากให้แขกทุกท่านที่ได้มาพักที่นี่มีความสุขและสบายใจเหมือนกับได้อยู่บ้านของตัวเองไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ดังนั้นการที่ผมมีคนรักเป็นเพศเดียวกันนั้นน่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า ไม่ว่าคนเราจะเป็นยังไง เหมือนหรือแตกต่างกันแค่ไหน สุดท้ายทุกๆท่านก็จะได้รับความเอาใจใส่และความรักอย่างเท่าเทียมกันแน่นอนครับ’
‘คุณคณิตจะบอกว่าเพราะเรื่องของตัวเองจะมีส่วนทำให้แขกที่มาพักได้รับความสุขสะดวกสบายที่มากขึ้นหรอครับ’
‘ฮ่าๆ ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ทางเราก็ดูแลแขกทุกคนอย่างดีอยู่แล้วล่ะครับ แค่อยากให้มั่นใจขึ้นเท่านั้นเองว่าไม่ว่าผมจะเป็นยังไง ที่ The Next ก็พร้อมที่จะให้บริการทุกท่านด้วยความรู้สึกดีๆอย่างเดิมแน่นอน’
‘ได้ยินอย่างนี้แล้วทุกคนก็มั่นใจกันได้เลยนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร โรงแรม The Next ก็พร้อมที่จะดูแลคุณแน่นอน สุดท้ายนี้คุณคณิตมีอะไรอยากจะบอกกับ ‘น้อง’ และท่านผู้อ่านหน่อยไหมครับ’
‘ครับ...สำหรับการออกมาบอกเล่าเรื่องราวความรักของผม มันคงจะสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนนะครับ มันแน่นอนอยู่แล้วที่จะมีทั้งคนที่ชอบไม่ชอบ หรือแม้แต่จะรู้สึกเฉยๆกับมัน แต่ไม่ว่าพวกคุณจะรู้สึกยังไง สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ก็คือความรักไม่มีถูกผิด...ผมจะไม่บอกว่าความรักของผมกับน้องเป็นเรื่องถูกต้อง เพราะสิ่งที่ใช้ตัดสินเรานั้นไม่มีคำว่าถูกผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว ผมคงไม่ออกมาเรียกร้องให้ทุกคนยอมรับและเข้าใจตัวตนของพวกผม ผมแค่ต้องการให้พวกคุณเฝ้าดูพวกเราต่อไปเรื่อยๆไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวมันจะจบลงที่ตรงไหนก็ตาม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ แล้วส่วนที่จะฝากถึงน้อง...’
“ปูน...พี่กำลังจะไปรับนะ”
กระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นบางเปียกเป็นดวงๆเพราะหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ปูนมองรูปของคณิตบนกระดาษแผ่นนั้น และรูปคู่ของพวกเขาที่ถูกถ่ายในวันที่เขากับร่างสูงช่วยกันลองทำอาหารเป็นครั้งแรก ปูนกอดมันไว้แนบอกราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังไขว่คว้าอยู่นี้คือร่างกายของคณิตที่มีทั้งเลือดเนื้อและจิตใจ...คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน ทำไมนะ ทำไมหัวใจถึงได้เต้นรัวแบบนี้
“พี่เขารักพี่ปูนมากเลยเนอะ”
ปิ่นที่นั่งอ่านทุกอย่างอยู่ข้างๆกันเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้พี่ชายที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าแต่หญิงสาวก็ส่งมือขึ้นไปลูบหัวของปูนเบาๆอย่างอ่อนโยนจนคนที่พยายามเข้มแข็งมานานต้องโผเข้าหาแล้วกอดเธอไว้
“พี่รักเขาปิ่น ฮึก พี่รักเขา”
“ปิ่นรู้แล้วน่า แถมอิจฉาด้วยนะรู้ไหม ฮ่าๆ”
ปูนคิดไม่ถึงว่าคณิตจะกล้าทำเพื่อเขามากถึงขนาดนี้ มันมากจนปูนไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีโอกาสได้รับมันจากใคร การออกมายอมรับความจริงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างที่คณิตบอกไม่ใช่ว่าทุกคนพร้อมจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเป็น แค่ลองคิดว่าร่างสูงต้องใช้ความกล้าแค่ไหนในการพูดมันออกไป...ความรักที่ปูนมอบให้กับคณิตก็เพิ่มมาขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“เขาบอกว่าจะมารับ แสดงว่าพี่ปูนหนีเขามาหรอ”
“พี่...”
“ไม่ได้นะไม่ได้ คนรักกันต้องอยู่ด้วยกันสิเข้าใจไหม เอ้า! เก็บของเลยดีกว่า เดี๋ยวปิ่นช่วย”
ไม่พูดเปล่า ปิ่นรีบไปหยิบกระเป๋าเป้ของปูนลงมาจากหลังตู้แล้วช่วยหยิบเสื้อผ้าบางชุดมาใส่ลงไปในนั้นโดยไม่ฟังความคิดเห็นของปูนแม้แต่น้อย แต่ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นปูนก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามเธอแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะลึกๆแล้วเขาอยากจะไปจากที่นี่ก็ได้ อยากจะไปหา...ไปที่ที่คณิตอยู่
“เอาของไปแค่นิดเดียวก็พอเนอะ แล้วถ้าพี่ปูนอยากได้อะไรอีกปิ่นจะเอาไปให้ที่หลังนะ”
“ปิ่น...”
“แล้วก็นี่! ลืมไม่ได้เลยนะเอกสารเรื่องเรียนเนี่ย พี่ปูนต้องกลับไปเรียนหนังสือนะรู้ไหมจะเรียนอยู่ที่นู้นก็ได้เขาก็สอนดีเหมือนกัน แฟนพี่เขามีหน้ามีตา อย่าให้คนอื่นเขามาดูถูกได้นะว่าพี่ชายปิ่นเกาะทางนั้นกิน พี่ปูนต้องเรียนให้เยอะๆจบมาจะได้มีงานดีๆทำแล้วก็มีความสุขมากๆนะ”
ปูนมองน้องสาวที่พูดด้วยรอยยิ้มแต่น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุด เธอพร่ำบอกพี่ชายต่างสายเลือดให้ดูแลตัวเองมากๆ แม้ในวันนั้นเธอจะไม่ได้อยู่ด้วย
“พี่ปูนสัญญากับปิ่นได้ไหม ฮึก ว่าพี่จะมีความสุขกว่าตอนนี้ พี่ปูนสัญญานะ ฮึก ว่าพี่จะต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่ที่นี่แล้วอย่าให้ใครมาทำร้ายพี่ได้อีก”
ปิ่นขอร้องในสิ่งที่เธอต้องการที่สุดก่อนจะดึงแขนเสื้อของปูนขึ้นจนเธอสามารถเห็นร่องรอยที่พ่อของตัวเองฝากเอาไว้บนตัวพี่ชายเป็นครั้งแรก ปูนพยายามขืนไม่ให้ปิ่นมองมัน แต่หญิงสาวก็เอาแต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่าเธอไม่เป็นไร
“ปิ่นขอโทษนะที่ปกป้องพี่ปูนไม่ได้ แต่พี่ปูนอย่าโกรธพ่อเลยนะ...ปิ่นขอโทษแทนพ่อด้วย”
“ฮึก พี่ไม่โกรธหรอก พี่ไม่เป็นไร เพราะถ้าไม่มีคุณลุงพี่เองก็คงไม่มีวันนี้”
ปิ่นยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขแต่แววตากลับรู้ทัน
“ขอบคุณนะคะ...ที่ยอมโกหกเพื่อปิ่นจนนาทีสุดท้าย”
ปิ่นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเองและปูน ก่อนเธอจะออกแรงจูงพาพี่ชายลงมายังชั้นล่าง ปิ่นไม่เห็นพ่อแล้ว เห็นแต่แม่ที่กำลังจัดการกับขนมด้วยท่าทางไม่สนใจสิ่งใด แม้กระทั่งตอนที่ปูนและปิ่นเดินผ่านไปเธอก็ไม่คิดจะมอง
“พี่ปูนออกไปทางนี้นะ เดินไปแปปนึงแล้วไปโบกแท็กซี่เอา”
“เดี๋ยวปิ่น แน่ใจหรอว่าจะให้พี่ทำแบบนี้ ถ้าหากว่าพี่ไม่อยู่ ลุงอาจจะมาว่าปิ่นอีกก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ปูน ถึงพ่อจะเป็นแบบนั้นเขาก็เป็นพ่อของปิ่นนะ และถึงจะว่าก็ไม่เป็นไร พี่ปูนปกป้องปิ่นมามากเกินไปแล้วล่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นปูนก็ตกใจและมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะถาม แต่ปิ่นกลับปิดโอกาสนั้นด้วยการโบกมือลาปูนแล้ววิ่งกลับไปที่บ้านโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ปูนยืนกำสายสะพายของกระเป๋าแน่นแล้วมองไปยังบ้านที่เขาเติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของคนที่ให้โอกาสเขามากที่สุดในชีวิต ถึงแม้สุดท้ายทุกอย่างจะถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดีก็ตาม
“ขอบคุณนะครับ...แล้วก็ขอโทษด้วย”
ปูนเริ่มออกวิ่งโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง เขามองถนนใหญ่เบื้องหน้าซึ่งเป็นจุดหมายแรกของอิสรภาพที่ต้องไขว่คว้าเอาไว้ให้ได้ น่าเสียดายที่ถนนตรงนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเลยทำให้กว่าปูนจะเห็นแท็กซี่ก็ปาไปเก็บสิบนาที ร่างเล็กรีบเดินไปชิดขอบถนน เขายกมือขึ้นหวังให้รถยนต์คันสีเขียวเหลืองนี่จอดแต่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น จู่ๆรถญี่ปุ่นคันคุ้นตาก็แทรกตัวเข้ามาจอดเทียบท่าแทน
“ขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน”
.
.
.
.
.
.
คณิตเดินถอนหายใจออกมาจากประตูบ้าน แน่นอนว่าทันทีที่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นวางแผง ทั้งแม่และอาม่าก็ต่างเข้าห้องของตัวเองแล้วล็อคประตูไม่ยอมให้คณิตได้เข้าไปพูดคุยเลยสักครั้ง แต่เขาก็เข้าใจดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายและมันคงจะไม่มีทางง่ายขึ้นกว่านี้ถ้าหากว่าเขายังไม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย...คณิตต้องพาปูนกลับมาที่นี่ แล้วทำให้ทุกคนได้เขาใจว่าการตัดสินใจของเขานั้นไม่ใช่เรื่องผิด
“จะออกไปแล้วหรอคะเฮีย ไม่กินข้าวด้วยกันก่อนหรอ”
หน่อยเดินมาหาพี่ชายซึ่งกำลังทำหน้าซังกะตายก่อนที่เธอจะเอ่ยปากทัก แน่นอนว่าเธอรักและเป็นห่วงคณิตมาก แต่สำหรับเรื่องที่ร่างสูงตัดสินใจทำหน่อยเองก็ยังไม่อยากออกความเห็นใดๆ
“อืม เดี๋ยวเฮียจะเข้ากรุงเทพนะ จะไปจัดการเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อย”
“เรื่องพาตัวปูนกลับมาหรอคะ”
“เรารู้??”
“ป๊าบอกมาน่ะค่ะ แถมบอกหน่อยอีกนะคะว่าถ้าหากไม่มีเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยวนั่นป๊าไม่มีทางยอมให้เฮียไปสัมภาษณ์ลงหนังสือแน่ๆ”
คณิตยิ้มเจื่อนเมื่อได้ยินความจริงข้อนั้น แต่มันก็ถือว่าดีแล้วที่พ่อของเขานึกถึงสวัสดิภาพของปูนมากกว่าอะไร
‘ฉันยังไม่ยอมรับเรื่องของพวกแกหรอกนะ แต่ฉันขอสั่งว่าแกต้องไปช่วยเด็กคนนั้นให้ได้”
“นักเลงเก่าจริงๆนะป๊าเรา ยอมไม่ได้เลยไอ้เรื่องข่มเหงคนอื่นเนี่ย”
หน่อยว่าพลางขำออกมาน้อยๆ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นว่าความจริงแล้วพี่ชายของเธอก็ได้เชื้อนักเลงโตมาจากพ่อเหมือนกัน
“ช่วยน้องเขาให้ได้นะคะ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรการทำร้ายร่างกายคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ แม้ว่านั่นจะเป็นคนในครอบครัวก็เถอะ”
“อืม ไม่ต้องห่วงนะ เฮียฝากหน่อยดูม๊ากับอาม่าด้วย เดี๋ยวถ้าเรื่องเรียบร้อยเมื่อไหร่ เฮียจะพาปูนมาพบพวกท่านอีกที”
“ค่ะๆ ปล่อยสองคนนั้นไว้เถอะ งอนเฮียได้ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็หาย”
“ก็หวังว่านะ”
คณิตพูดออกมาแบบนั้นทั้งๆที่รู้ว่าความจริงมันคงไม่ง่าย เพราะนอกเหนือจากการเป็นลูกชายคนโต คณิตยังถูกหวังให้มีทายาทซึ่งหากเขาคบกับปูนเรื่องนั้นคงต้องพับโครงการไปชนิดไม่มีทางสานต่อ แต่ก็อย่างว่าต่อให้ไม่มีปูนเขาก็ไม่คิดจะมีลูกอยู่ดี
“ฮัลโหลไอ้นิล กูออกมาจากบ้านแล้วนะ มึงเตรียมตัวเลย”
ร่างสูงโทรไปหานิลที่ยังคงพักอยู่ที่บ้านของเขา และเพราะเรื่องครั้งนี้ทำให้คณิตรู้ซึ้งถึงน้ำใจของเพื่อนมากพอๆกับค่าน้ำค่าไฟที่เจ้านักเขียนนั่นมาอาศัยใช้จนมิตเตอร์ไหลเร็วยิ่งกว่าน้ำตกวังตะไคร้ซะอีก
“เออ มึงถึงแล้วค่อยโทรมาอีกทีแล้วกัน แค่นี้นะ กูแช่น้ำอยู่”
นิลวางสายไปดื้อๆ จนคณิตได้แต่บ่นอุบคนที่ไม่มีท่าทีรีบร้อนทั้งๆที่พวกเขานัดกับโต้งและขิงแล้วว่าจะเข้าไปเจอกันที่กรุงเทพตอนบ่ายนี้ ร่างสูงมองดูแผนที่บ้านของปูนที่ฤทธิชาติแฟกซ์มาให้ตั้งแต่เมื่อคืนซึ่งมันถูกยืนยันแล้วว่าปูนและครอบครัวอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน
“รอพี่นะปูน วันนี้พี่จะไปรับเราแล้ว”
คณิตพูดกับคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ หากแต่เขารู้ว่าถ้าปูนได้อ่านบทสัมภาษณ์นั้นร่างเล็กจะต้องยอมกลับมากับเขาแน่ๆ แค่คิดถึงร่างสูงก็ยิ้มออกมาแล้วเลี้ยวรถเข้าไปเทียบจอดหน้าบ้านของตนที่มีนิลยืนหน้ามึนอยู่
“กูบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าถ้าจะถึงให้โทรมาก่อน”
“จะโทรทำไม กูรู้นิสัยบ้าความตรงต่อเวลาของมึงดีหรอกน่า”
นิลจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะยัดตัวเองเข้ามาในรถซึ่งพุ่งทะยานออกไปแทบจะทันที โดยที่จุดหมายในครั้งนี้ก็คือที่ที่หัวใจของคนขับกำลังรออยู่
ตื๊ดๆ
ขับรถออกมาสักพัก เสียงโทรศัพท์ของนิลก็ดังขึ้น คนที่นั่งฟังเพลงไปบ่นไปได้ฤกษ์หุบปากแล้วหยิบมันขึ้นมา แต่แล้วจู่ๆสีหน้าของนิลก็เปลี่ยนไปเป็นมึนงงจนคณิตที่มองอยู่แปลกใจ
“เป็นอะไรวะ ทำไมไม่รับสาย”
“ไอ้กาลโทรมาว่ะ”
“...!!”
จริงอยู่ที่คณิตไม่ได้เคืองใจเรื่องปูนกับรัตติกาลแล้ว แต่การที่จู่ๆเพื่อนที่ซึ่งกำลังพักอยู่ในแดดไกลโทรมาทั้งๆที่ทางนั้นน่าจะอยู่ในเวลากำลังนอนคงไม่ใช่ปกติแน่นอน นิลมองสีหน้าแปลกใจระคนลำบากใจของคณิตแล้วลังเลว่าจะรับมันดีไหม บางทีไอ้กาลมันอาจจะเห็นข่าวของคณิตกับปูนแล้วโทรมา หรืออาจจะแค่มีธุระอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้ แต่ในขณะที่เขากำลังสับสน คณิตก็ช่วยให้คำตอบ
“รับเถอะ เผื่อมันมีธุระกับมึง”
“แน่ใจนะ?”
“อืม ยังไงมันก็เพื่อนป่ะวะ ถึงกูจะโกรธไอ้กาลเรื่องที่มันทำไม่ดีกับปูน แต่ยังไงกูก็ตัดเพื่อนกับมันไม่ลงว่ะ”
คณิตพูดออกมาตามจริง โดยที่คนฟังก็รู้สึกพอใจกับคำตอบนั้น จนนิลอดที่จะลองคิดมุมกลับไม่ได้ว่าถ้าหากคนที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์ชวนลำบากใจแบบนี้คือรัตติกาล หมอนั่นคงพยายามสับคณิตเป็นชิ้นๆแน่
“ฮัลโหล มีอะไรวะ”
“นิล มึงอยู่กับไอ้นิดรึเปล่า”
“เอออยู่ กูบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้ามึงจะโทรมาวีนมันเรื่องเด็กปูนช่วยโทรมาตอนอื่นเพราะกูขี้เกียจรับรู้ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงกูมีบริการโทรไปฟ้องไอ้รัณย์ให้ฟรีๆชนิดที่ว่ามึงไม่ต้องคอยรายงานผัวมึงเองเลย”
นิลจัดการปิดประตูโต้เถียงของรัตติกาลทุกทาง โดยมีคณิตนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ แต่เขาเห็นนะ...ว่ามันแอบแสยะยิ้มด้วย
“เฮ้อ มึงเลิกเพ้อเจ้อแล้วส่งโทรศัพท์ให้ไอ้นิดซะ กูมีธุระ”
“ธุระ? ธุระอะไร?”
นิลหยุดฟังปลายสายพูดไปสักครู่แล้วก็เกิดอาการสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง จากที่เคยพูดหยอกเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเสียจนคณิตรู้สึกว่าอากาศในรถมันเย็นขึ้นกว่าเก่า เขาได้ยินเสียงนิลรับคำคนปลายสายอยู่สองสามประโยคก่อนที่โทรศัพท์ในมือของนิลนั้นจะถูกส่งผ่านมาให้
“ไอ้กาลมีเรื่องจะคุยด้วย”
“เรื่องอะไร?”
“คุยกับมันเอง แล้วเอาโทรศัพท์มึงมานี่ กูจะใช้โทรหาชาติหน่อย”
นิลหยิบมือถือของคณิตที่วางไว้หน้าคอนโซนรถมากดเบอร์โทรศัพท์ของคนรักที่น่าจะยังทำงานอยู่ที่โรงพัก คณิตที่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของนิลก็รู้สึกไม่สบายใจและสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาด แต่สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือขับรถต่อไปพร้อมกับรับสายรัตติกาลไปด้วย
“กูเองกาล มีอะไรรึเปล่า”
“ปูนถูกพาตัวไปแล้ว มึงต้องไปช่วยปูนเดี๋ยวนี้”
“มะ มึงว่าอะไรนะ!”
แล้วแสงแห่งความหวังในใจของคณิตก็ถูกดับไปในเสี้ยววินาที
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
แล้วพี่กาลก็โผล่มา....แต่เสียง 55555555555 ค่าตัวแพ๊งแพงงงงงงงงง
ก่อนอื่นขอตอบคำถามที่หลายคนถามมาเยอะเลยนะคับคือลุงได้ขืนใจปูนไหม คำตอบคือ ไม่ได้ทำนะคับมีแค่ทำร้ายร่างกายเฉยๆ อย่าได้ดาร์กไปกว่านี้เลยชีวิต
อีก3ตอนก็จบแล้วนะครัช! คิดว่าอาจจะจบค้างในความรู้สึกใครหลายๆคน แต่สไตล์เดียวกับพี่กาลคับ คือจะมีตอนพิเศษที่เป็นลักษณะของตอนเสริมมาช่วยไขความไม่เข้าใจและจัดการปมต่างๆให้สมบูรณ์มากขึ้น เรื่องของป๋าปูนไม่ได้ซับซ้อนเท่าเรื่องพี่กาล แต่ปมมันมีหลายมุมจากหลายๆตัวละครซึ่งค่อนข้างกระจายบทได้ยากพอสมควรคับ รู้จุดด้อยตัวเองเลย แต่ยังไงก็จะพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดนะคับ