ตอนที่5
ผมยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อย งานเลี้ยงวันนี้ไม่ใช่งานเป็นทางการอะไรมากมายทั้งบอกว่าเป็นงานเลี้ยงของสมาคม ชื่อเหมือนจะเป็นทางการแต่เปล่าครับ เหมือนจัดขึ้นเพื่อแค่อยากพูดคุยพบปะสังสรรค์กันซะมากกว่า วันนี้เลยเลือกเป็นชุดกางเกงยีนส์เข้ารูป เสื้อยืดสีเทาทับด้วยเบลเซอร์ดึงขึ้นถึงข้อศอก(เสื้อที่มีลักษณะเหมือนเสื้อสูท แต่จะดูไม่เป็นทางการมากนัก:คนเขียน) พร้อมกับรองเท้าหนัง นอกจากเสื้อยืดแล้วทุกอย่างล้วนดำหมดตามสไตล์ผม เสื้อผ้าสีอื่นนี่แทบจะไม่ค่อยใส่ มีแค่ขาว ดำ เทา วนกันอยู่แค่นี้จนบางทีแม่ก็บ่นให้ว่าเปลี่ยนสไตล์บ้าง ท่านบอกมองผมแล้วมันช่างไม่มีความสดใสเอาซะเลย
“คุณพัตคะ คุณท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงที่แทรกเข้ามาจากคนที่อยู่ข้างนอก
“ครับ” ผมตะโกนรับคำเด็กในบ้านก่อนจะหันไปหยิบนาฬิกาเรือนโปรดมาสวมพร้อมกับคว้าโทรศัพท์ติดมือมาด้วย เดี๋ยวนี้เครื่องมือสื่อสารชิ้นนี้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้วล่ะครับ ต้องพกติดตัวไว้ตลอด
“แต่งตัวซะหล่อเชียวนะจ๊ะ” มาถึงก็โดนแม่แซวจนพ่อผมหลุดหัวเราะ วันนี้ไปกันสองคนครับ พ่อผมไม่ไปหรอกงานแบบนี้ อยู่ชิลที่บ้านสบายๆคนเดียว ความสุขเขาล่ะ
“คนหล่อแต่งแบบไหนก็หล่อครับ” ไม่ต้องสาธยายว่าแม่ทำหน้าหมั่นไส้ผมแค่ไหน
“สองแม่ลูกมัวแต่คุยกันระวังไปสายล่ะ”
“คุณอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวไปเลยนะคะ ฉันกับลูกจะไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก...ไปกันดีกว่าจ้ะลูกชาย ทิ้งคนแก่ให้อยู่คนเดียวไป” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่ร่างเล็กๆของแม่จะเดินไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ผมและพ่อเลยได้แต่มองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งคู่ ไม่มีหรอกที่พ่อผมจะสะทกสะท้าน แม่ผมจะทำอะไรก็ไม่เคยทำให้พ่อผมขุ่นเคืองเลย ตามใจสุดๆอ่ะ
“ผมไปแล้วดีกว่านะครับพ่อ”
พ่อพยักหน้ารับโดยที่ยังยิ้มเช่นเดียวกับผม แต่รีบไปดีกว่าก่อนที่คุณนายท่านจะรอนาน พอบอกพ่อเสร็จก็รีบตามแม่มาให้รถได้เคลื่อนตัวออกไป วันนี้ผมกับวินก็คุยกัน(เป็นกิจวัตรไปแล้ว)แต่ผมไม่ได้บอกว่าจะไปงานนี้เหมือนกัน ระหว่างที่คุยกันอีกฝ่ายบอกแค่ว่าวันนี้ต้องไปงานเป็นเพื่อนแม่บ่นว่าคงเบื่อเพราะไม่รู้จักใคร หึหึ เอาไว้ถึงงานแล้วค่อยเซอร์ไพรส์ทีเดียวเลยดีกว่า เราคุยกันครั้งล่าสุดคือช่วงเที่ยงๆก่อนที่วินจะหายเงียบไปเพราะต้องเตรียมตัว ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเองก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกัน
“เป็นเกียรติจริงๆค่ะที่คุณพิมพ์มา”
“คุณหญิงนุชก็ พูดอะไรอย่างนั้นคะ ดิฉันต่างห่างที่รู้สึกเป็นเกียรติที่คุณหญิงเชิญมา...แล้วส่วนนี่ก็ตาพัตค่ะ ลูกชายของดิฉันเอง”
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มให้คุณหญิงนุชอย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้ะ แหม หน้าตาดีได้คุณพิมพ์กับคุณชัตเลยนะคะ เสียดายที่น้องดาวยังไม่ลงมา เดี๋ยวเอาไว้ทำความรู้จักกันไว้นะลูก” สายตาไม่ค่อยจะบ่งบอกว่าอยากให้รู้จักแค่ไหนเลยครับ พราวระยับจนผมต้องยิ้มแหยๆ
“อ้าว นั่นคุณษามาพอดีเลย...สวัสดีค่ะคุณษา”
ก่อนที่จะได้พูดอะไรให้ผมอึดอัดใจมากกว่านี้ก็ดูเหมือนว่าคนที่ผมรอจะมาซักที คนที่อยู่ในชุดกางเกงเข้ารูปสีขาวกับเชิ้ตสีชมพูอ่อน ผมที่เคยล้อมกรอบหน้าหวานก็ถูกเซ็ตขึ้นไปอย่างดีขับให้เห็นใบหน้าหวานชัดๆดูน่ารักไปอีกแบบ พออีกฝ่ายเห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ตาโตๆก็เบิกขึ้นมาอย่างมีคำถาม แถมดูเหมือนจะมีแววคาดโทษด้วยที่ผมไม่เอ่ยบอกอะไรไรซักคำ
“คุณหญิงนุช คุณพิมพ์สวัสดีค่ะ นี่วินค่ะ ลูกชายคนเล็ก...วินสวัสดีคุณหญิงนุชกับคุณป้าพิมพ์สิจ๊ะ” ร่างเล็กเลยต้องผละสายตาออกจากผมก่อนจะไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนพร้อมรอยยิ้มหวาน แม่ผมดูจะเป็นปลื้มซะเหลือเกิน สายตาที่มองวินเอ็นดูมากแบบที่ไม่รู้ว่าแม่เคยมองผมแบบนั้นบ้างไหม==
“สวัสดีจ๊ะ โอ๊ย นี่ป้าไม่ได้เจอน้องวินมาซักพักแล้วนะคะ เป็นไงบ้างลูก”
แล้วก็รีบเข้าไปคุยกับวินทันทีเมื่อทักทายกันตามารยาทเสร็จเรียบร้อย(ไม่ค่อยจะเห่อเลย) คือวินกับแม่ผมเคยเจอกันเพราะแม่ผมไปที่ร้านของคุณแม่วินบ่อย แต่เขาไม่รู้หรอกครับว่าเป็นแม่ผม ป้าษาแม่ของวินเองก็เหมือนกัน เพราะว่าผมไม่เคยไปที่นั่น แล้วงานสังคมของผู้หญิงแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยมาด้วย
“สบายดีครับ ป้าพิมพ์ล่ะครับสบายดีไหม” เขาคุยกันงุ้งงิ้งๆกันอยู่สองคนนั่นแหละ แม่ผมนี่ทั้งพูดทั้งจับตัวลูบตัว ขนาดผมยังไม่เคยทำแบบนั้นเลยนะ
“ป้าสบายดีจ้ะ โอ๊ะ...จริงสิ นี่ลูกชายป้าเอง อายุเท่ากันนี่จ้ะเรียนมอเดียวกันด้วย รู้จักกันไว้สิลูก”
“รู้จักกันแล้วครับแม่” ผมชิงเอ่ยบอกทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแม่จงใจแกล้งผมในขณะที่วินมีสีหน้าหลุกหลิกเล็กน้อย สายตาที่มองมาทำไมผมจะไม่รู้จักแม่ตัวเองว่าตอนนี้ท่านกำลังสนุกแค่ไหน คงอยากจะแกล้งให้พวกผมหลุดอาการออกมา
“อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอจ้ะ งั้นปล่อยให้เด็กๆอยู่ด้วยกันดีกว่า เราเข้าไปข้างในกันดีกว่านะคะ รู้สึกว่าคุณหญิงมนีก็จะมาถึงแล้วเหมือนกัน ทางนั้นค่ะๆ”
แม่ผมนี่เป็นตัวตั้งตัวตีเลยทีเดียว ลากทั้งคุณหญิงลากทั้งแม่ของวินออกไปทั้งที่พวกท่านยังงงๆเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ทิ้งให้ผมกับวินยืนมองหน้ากันอยู่สองคน ผมมองเขาด้วยรอยยิ้มแต่กลับอีกคนนี่ไม่ใช่เลย
“ไม่เห็นบอกเราเลย” เมื่อไม่มีใครก็เลยดูเหมือนว่างานจะเข้าผมคนเดียว วินหันมาพูดด้วยเสียงเรียบพร้อมกับปากบางๆนั้นเชิดขึ้นอย่างที่แสดงออกว่ากำลังไม่พอใจ ผมเลยขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิมเพื่อพูดคุย
“ก็...เซอร์ไพรส์ไง”
“ไม่ต้องมาพูดเลย” หน้าเล็กๆนั่นหันไปมองทางอื่นเสียแล้ว ผมเลยเนียนจับมืออีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆลูบเบาๆอย่างอนง้อ เสียวเหมือนกันว่าวินจะสะบัดออกแต่ก็โล่งใจที่เขาไม่ทำแบบนั้น มีเพียงสายตาที่หลุกหลิกไปมาพร้อมกับพวงแก้มที่ขึ้นสีจางๆ หึหึ อาการแบบนี้แถวบ้านผมเรียกว่าเขิน
“ขอโทษที่ไม่ได้บอก หายงอนนะ”
“คะ ใครงอน เราไม่ได้งอนซะหน่อย” เชื่อเขาไหมครับ หึหึ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้เพราะถือว่ามีความผิดอยู่ เขาบอกไม่ก็คือไม่ ผมไม่เสี่ยงที่จะเพิ่มคดีตอนนี้นะ
“ครับๆ ไม่งอนก็ไม่งอน ถ้างั้นคนไม่งอนไปนั่งคุยกันตรงสวนดีกว่าเนอะ อยู่ตรงนี้อึดอัดจะแย่”
ตรงนี้คนค่อนข้างพลุกพล่าน ส่วนมากก็มีแต่คนมีอายุทั้งนั้น ผมเลยหาทางพาวินไปนั่งตรงสวนย่อมเงียบๆสองคนดีกว่า ไม่ได้รอให้วินตอบรับแต่จัดการกุมมือที่จับไว้ให้เดินตามมา ตรงนี้มีมานั่งให้นั่งไว้เรียบร้อย ไม่มีใครรบกวนด้วย
“ปล่อยได้แล้ว” แรงกระตุกที่มือน้อยๆทำอะไรผมไม่ได้หรอก รู้สึกดีจนไม่อยากปล่อย มือเล็กๆนี่นุ่มมากกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก นุ่มยิ่งกว่ามือผู้หญิงคนไหนที่ผมเคยจับ แล้วถามว่าแค่เสียงเล็กๆกับแรงกระตุกแค่นี้จะทำอะไรผมได้ไหมก็ตอบเลยว่าไม่ครับ แถมผมยังกระชับมือวินให้แน่นกว่าเดิมซะเลย
“ขอจับไม่ได้เหรอ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน”
“ตอนจับไม่เห็นจะขออะไรเราเลย แล้วถึงไม่ได้เจอก็คุยกันทุกวันเหอะ” ปากก็พูดไปงั้นแต่แรงกระตุกนั้นหายไปแล้วอย่างเหมือนว่าสุดท้ายก็ยอมให้จับอยู่ดี เขาเป็นคนใจดีอ้อนนิดๆหน่อยก็ไม่กล้าปฏิเสธแล้ว ผมอมยิ้มกับตัวเองในใจอย่างพยายามไม่แสดงอาการลิงโลดออกไป อ้อยเข้าปากช้าง
“คุยแต่มันก็ไม่เหมือนเห็นตัวจริง”
“ก็เห็นแล้วนี่ไงงงงงงง”
สุดท้ายก็กลับมายิ้มเหมือนเดิม นึกว่าจะแกล้งงอนได้นานกว่านี้ซะอีก เขาก็เป็นคนแบบนี้ เคยถามเหมือนกันว่าเคยโกรธใครมากๆไหม ซึ่งคำตอบก็ไม่ได้ต่างจากความเป็นเขาเลย วินบอกโกรธนานคนที่ไม่มีความสุขก็คือตัวเองเลยไม่รู้จะโกรธไปอีกทำไม แต่ความรู้สึกของเขาจะเป็นการเฉยๆไม่รู้สึกอะไรด้วยและไม่คุย หลีกเลี่ยงคนที่ทำให้ไม่พอใจอย่างต่างคนต่างอยู่ ซึ่งผมว่าแบบนั้นมันอึดอัดกว่าการด่าออกมาตรงๆอีกนะ
“ก็เห็นแล้ว อุตสาห์มาเพราะอยากเจอหน้าเลยนะ” แก้มป่องๆนั้นดูเหมือนจะขึ้นสีอีกแล้วจนผมอดจะยิ้มกว้างไม่ได้ แต่พอยิ่งผมยิ้มแก้มวินก็ยิ่งแดงขึ้นซะงั้น สายตาที่สบกันก็เสมองนั่นมองนี่อย่างน่ารัก
“มะ ไม่ต้องมาพูด มาก็ไม่บอก ปล่อยให้เราคิดว่าไม่มีเพื่อนอยู่ได้ เอ้อ ใช่สิ...ป้าพิมพ์เป็นแม่พัตเหรอ โลกกลมเนอะ แต่ไม่เห็นจะเหมือนกันเลย ป้าพิมพ์ใจดีจะตาย” อ้าว หมอฟันเขาพูดแบบนี้จะด่าว่าผมไม่ใจดีเหรอ
“แล้วพัตไม่ใจดีตรงไหน”
“ทุกตรง...โหด ชอบดุ ขี้แกล้ง ไม่ดีเลยยยย”
“จริงเหรอ งั้นวินก็ไม่อยากคุยกับเราดิ”
เอาดราม่าเข้าข่มเขาซะเลย วินดูหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัดเพราะสรรพนามที่เปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ผมจะคุยกับเขาโดยเรียกชื่อตัวเองแทนแล้ว พอครั้งนี้ใช้คำว่าเราแทนเหมือนเดิมคงคิดว่าผมจะโกรธ ทั้งที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นซักนิด ที่เขาพูดมาผมยอมรับหมดแต่ผมเองก็มีเหตุผลนะ ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอด ที่เขาโดนผมโหดผมดุบ่อยก็เพราะว่าชอบดื้อไง ไอติมงี้กินจนบางวันเสียงหาย ดึกดื่นก็ดูหนังไม่ยอมนอน โดนผมใส่ไปตามระเบียบ โทรไปดุเลยด้วย
“ไม่ใช่ซะหน่อย ไม่อยากคุยจะยอมคุยทุกวันหรือไง” เสียงอ่อยเลยครับ ผมแค่แกล้งทำหน้านิ่งๆเข้าไว้
“งั้นแสดงว่าอยากคุยด้วยเหรอ” ทนไม่ไหวหลุดยิ้มจนได้ ใครบอกให้เดือนทันตะน่ารักขนาดนี้กันล่ะ
“พัต! นี่แกล้งเหรอ นิสัยไม่ดี แกล้งเราาาา ไอ้ขี้แกล้ง เราจะฟ้องป้าพิมพ์คอยดู” เมื่อเห็นผมปรับสีหน้ากลับมาเป็นแบบเดิมอย่างรวดเร็ว หมอฟันเขาเลยรู้ครับว่าโดนผมแกล้ง หน้าหวานๆนั้นยู่ยี่จนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ตลกทั้งสีหน้าและคำพูดของเขา
“ฮ่ะๆๆ เด็กขี้ฟ้องเอ้ย”
“ไม่ต้องมาพูดเลย!”
“หึหึ เลิกแกล้งแล้ว หิวไหม เดี๋ยวพัตไปเอาของกินมาให้ดีกว่า” เพราะออกมางานเลยไม่ได้ทานอะไรมา คาดว่าคนตัวเล็กนี่ก็เหมือนกัน ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา เกือบจะทุ่มนึงแล้ว
“หิวแล้ววววว มากด้วย แต่เดี๋ยวไปด้วยกันดีกว่า” งานกินไม่มีหรอกที่จะปฏิเสธ พอพูดถึงเรื่องกินนี่หน้าตาสดใสยิ้มรื่นเลย
“งั้นปะ” กำลังจะลุกขึ้นแต่วินเรียกไว้ซะก่อน
“เดี๋ยว...จับมือแบบนี้จะไปยังไงเล่า ปล่อยได้แล้ว” อ้าว ก็เพลินนี่ครับ อุตสาห์เนียนมาได้ตั้งนาน เจ้าของมือนุ่มๆเขารู้ตัวซะแล้ว
“ครับๆ” ผมยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินนำเข้าไปในงานทางโซนอาหารการกิน แน่นอนว่ามีมากมายจนวินอยุ่ไม่สุข เดินเข้าตรงนู้นเดินเข้าตรงนี้ทำตาโตตลอดเวลา นี่เขาจะตื่นเต้นมากเกินไปไหม อาการเหมือนเด็กเจอของเล่นกลับมาอีกแล้ว
“เดี๋ยวเราไปเอาน้ำให้ พัตเอาน้ำอะไร” ใจดีจะเอาน้ำเผื่อด้วย ก็ในเมื่อทุกอย่างของเขาอยู่ในมือผมหมดเลย จานใบใหญ่ที่มี
อาหารจนพูนสองจาน คนตักคือเดือนทันตะครับ อ้างว่าเผื่อผมบ้างล่ะ เผื่อชิมบ้างละ ตักมาเกือบจะทุกอย่าง สงสัยว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่วินยอมมา เพื่อของกิน==
“พัตอย่าลืมหยิบวุ้นให้เราด้วยนะ แหะๆ” ยังครับ ยังไม่หมด เจ้าตัวบอกว่าอยากกินวุ้นแต่ผมบอกค่อยเดินมาตักเป็นอย่างสุดท้าย นี่ทวงสัญญาแล้ว พูดเสร็จก็ยิ้มแล้ววิ่งดุ๊กๆไปเฉย ผมยืนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินเอาจานทั้งสองไปวางไว้ที่โต๊ะก่อนโดยเลือกที่ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวแล้วเดินกลับมาเอาวุ้นให้เดือนทันตะ
“มาคนเดียวเหรอคะ”ผมเงยหน้ามองเสียงที่ดังขึ้นข้างตัว แล้วก็ไม่แปลกใจซักนิดที่เธอเข้ามาหา ที่จริงผมเห็นอยู่นานแล้วตั้งแต่เดินเข้ามาที่นี่ว่าผู้หญิงคนนี้ส่งสายตามาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกหลังจากที่บังเอิญเหลือบไปเห็นแล้วเธอส่งยิ้มให้ ดูท่าว่าคราวนี้จะไม่ทำแค่ยิ้มแล้วถึงได้เดินเข้ามาหาขนาดนี้
“เปล่าครับ”
“อ๋อ เห็นอยู่คนเดียวก็นึกว่ามาคนเดียว พลอยเลยเข้ามาทักเพราะไม่มีเพื่อนน่ะค่ะ จะรังเกียจไหมคะถ้าพลอยจะขอนั่งด้วย” มาคนเดียว? ทั้งที่ผมยืนอยู่กับวินตลอดแล้วเธอก็เห็นนี่นะบอกว่านึกว่าผมมาคนเดียว
“พลอยขอนั่งด้วยนะคะ ^^” ครับ แล้วจะถามผมเพื่ออะไร== เอาจริงๆเมื่อกี้ผมจะบอกไปแล้วว่าไม่สะดวก ไม่คิดว่าเธอจะมัดมือชกผมขนาดนี้ ยังไม่ทันที่จะได้พูดเธอก็นั่งลงไปเลยแล้วอย่างนี้ผมจะพูดอะไรได้
“แล้วชื่อ...”
ปึก!!!!!!
“วิน!” คนที่ไปเอาน้ำช่างกลับมาได้ถูกเวลาจริงๆ เพียงแต่ดูท่าว่าจะไม่พอใจอะไรซักอย่างอย่างรุนแรงจนส่งผลให้แก้วน้ำที่ถูกวางลงกระแทกลงโต๊ะจนเกิดเสียง หน้าหวานๆนั้นก็บูดบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์ ตาโตๆที่เคยแพรวพราวตอนนี้กลับขุ่นมัว วินในด้านที่ผมยังไม่เคยเห็น
“เราไปนั่งที่อื่นนะ!” เอ่ยเสร็จมือเล็กก็ยื่นมาหยิบจานอาหารของตัวเองไป
“วิน...เดี๋ยวดิ จะไปไหน” ผมรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ก่อนจะถามออกมา ตอนนี้สนใจแค่คนตรงหน้าอย่างเดียว แม้แต่ใครอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยซักนิด
“เราไม่อยากนั่งตรงนี้ จะไปนั่งที่อื่น” ตอบทั้งที่ไม่มองหน้า ผมเริ่มขมวดคิ้วสงสัยว่าอีกคนเป็นอะไร ผมไม่แน่ใจว่าเขาไม่พอใจอะไร หรือไม่พอใจที่มีคนมานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่ผมก็กำลังจะปฏิเสธเธออยู่แล้วนะ แม้ว่าวินจะยังไม่มาก็ตาม
“โอเค งั้นจะนั่งตรงไหน เดี๋ยวพัตไปด้วย” ผมตามใจเขาอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่อยากนั่งตรงนี้ก็เปลี่ยนเป็นที่อื่นก็แค่นั้น นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรของผมเลย แค่วินพอใจผมก็โอเคหมด
“เอ่อ พัตคะ...”
“พัตมีเพื่อนแล้วก็นั่งตรงนี้ไปสิ เราไม่อยากกวน ปล่อยแขนเราด้วย” ผมไม่แม้แต่จะสนใจเสียงเล็กๆที่เอ่ยเรียกซักนิด ไม่สนด้วยว่าเธอจะรู้จักชื่อผมได้ยังไง สนใจแค่คนที่ดึงดันจะนั่งโต๊ะอื่นให้ได้นี่แหละ
“ไม่ใช่เพื่อน ไม่รู้จัก...ยะ”
“น้องวินครับ” กำลังจะพูดว่าอยากนั่งด้วยกัน แต่ยังไม่ทันจะจบประโยคเสียงเรียกชื่อของคนที่ผมยังจับแขนเขาไว้อยู่ก็ดังขึ้น ทั้งผมและพัตหันไปมองคนที่ก้าวเข้ามา โอเค อารมณ์หงุดหงิดผมเริ่มมาแล้วเมื่อเห็นว่าเป็นใคร...ไอ้พี่การ์ด!
“น้องวินก็มางานนี้เหมือนกันเหรอ ไม่เห็นบอกพี่เลย” แล้วทำไมวินต้องบอกมึงวะ! ผมคิดอย่างหงุดหงิดอยู่ในใจ แค่เห็นหน้ามันก็หงุดหงิดมากอยู่แล้ว
“ครับ พอดีคุณแม่ชวนมา” ผมหันฟรึบไปมองวินทันที คือเขาคุยกันก็เรื่องปกติ มีคนถามวินก็ต้องตอบ แต่ประเด็นที่ทำให้ผมโคตรหงุดหงิดเพราะมันเป็นไอ้พี่การ์ดไง คนที่กำลังจีบวินอยู่เหมือนกัน
“พอดีเลย พี่ก็มากับคุณแม่ ไม่มีเพื่อนด้วย น้องวินนั่งไหนพี่ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
ตอนนี้รู้สึกว่าเส้นเลือดตรงขมับจะเต้นตุบๆ วินไม่หันมามองผมซักนิด มองแต่ไอ้เดือนวิศวะอะไรนั่น ใช่สินะ ผมลืมว่าเขามาก่อน รู้จักและอาจจะคุยกันมาก่อน เผลอๆก็คงจะสนิทกันมากกว่าผมอีกมั้ง พอคิดแบบนั้นมือที่จับแขนอีกคนเลยปล่อยลงดื้อๆให้วินหันมามอง สายตาของเขาไม่เห็นจะเป็นมิตรเหมือนที่มองคนที่เข้ามาใหม่เลย...
“จะนั่งก็ตามสบายแล้วกัน”
ผมมองหน้าวินก่อนจะตัดสินใจลุกออกมาจากตรงนั้น ไม่กงไม่กินอะไรมันแล้ว ไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้นแหละตอนนี้ หมุนตัวเดินกลับไปทางส่วนย่อมที่มาตอนแรก สูดลมหายใจแรงๆเพื่อลดความขุ่นมัวในใจ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวยิ่งหงุดหงิด ในเมื่อทำยังไงก็ลดอาการนี้ของตัวเองลงไม่ได้ผมเลยล้วงบุหรี่ที่พกมาขึ้นมาสูบ ปกติก็ไม่ติดหรอกครับแต่พกบ้าง วันนี้หยิบมาเล่นๆไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ อัดนิโคตินเข้าปอดก่อนจะปล่อยควันออกมาอย่างหวังว่ามันจะทำให้หัวผมโล่งขึ้นบ้าง
“ทำไมต้องสูบ” ผมหันมามองเดือนทันตะที่มีสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนักก่อนจะหันหลังให้เขาทันที ไม่อยากให้เขาได้กลิ่นควันบุหรี่เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพผมรู้ อีกอย่างก็ยังไม่อยากมองหน้าเขา ไม่อยากคุยกันตอนที่ผมยังอารมณ์ไม่ดี
“เราถามทำไมไม่ตอบ พัตสูบบุหรี่ทำไม!” แรงกระชากท่อนแขนทำให้ผมถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ปลายมันให้มอด หมุนตัวหันกลับมาหาคนที่ผมยืนหันหลังให้ในตอนแรก
“เราแค่อยากสูบ วินมีอะไร” พยายามตอบเขาอย่างข่มอารมณ์ ผมรู้ว่าการคุยกันด้วยอารมณ์มันไม่ดี และตอนนี้อารมณ์ผมก็ไม่ค่อยคงที่ ไม่อยากทำหรือพูดอะไรที่อาจจะทำให้เขาเสียใจ ผมกำลังพยายามอย่างมากที่จะควบคุมมัน
“แล้วทำไมต้องอยากสูบ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ” ดูเหมือนว่าวินเองก็พยายามเย็นลงไม่ต่างจากผมเหมือนกัน แววตาคู่นั้นเจือไปด้วยความสั่นไหว คำพูดที่ออกจาปากเล็กก็ราวกับว่าเป็นห่วง
ไม่สิ...มันเป็นแค่เพียงการคิดเข้าข้างของตัวผมเอง
“อืม” ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำไหนเลยเลือกตอบออกมาสั้นๆ แล้วไม่รู้ว่าทำไมแววตาของอีกคนถึงได้มีแววตัดพ้อขนาดนี้
“ทำไมพัตต้องทำเหมือนไม่อยากคุยกับเรา” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือจนผมสัมผัสได้ แววตาคู่งามสั่นไหวอย่างที่ผมไม่ต้องการเห็นมันซักนิด พลันอารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นก็หายไปเกือบครึ่งเมื่อเห็นท่าทางของวิน ท่าทางที่เหมือนว่า...เขาเสียใจ
“เราไม่ได้ไม่อยากคุย คือ...จะว่าไงวะ”เอามือเสยผมที่เซ็ตมาอย่างดีของตัวเองด้วยความหงุดหงิด หงุดหงิดเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยแต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะคุย อย่างที่บอกไปว่าผมกลัวอารมณ์ของตัวเอง ในขณะที่อารมณ์ไม่คงที่ผมจะพยายามอยู่คนเดียว เก็บมันเอาไว้ เพราะถ้าผมควบคุมตัวเองไม่ได้จนหลุดพูดได้เลยว่าทุกอย่างต้องเละแน่ๆ และผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับวิน
“โอเคๆ ไม่ได้ไม่อยากคุยกับวิน เราแค่...อารมณ์ไม่ดี”
“แล้วทำไมอารมณ์ไม่ดี”ดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่รู้ซักนิดว่าไอ้อาการที่ผมเป็นแบบนี้ก็มาจากเขานั่นแหละ แต่จะพูดไปมันก็คงจะดูไร้สาระเกิน อย่าลืมว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ตัวผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจ ผมว่าบางทีผมคงต้องคิดเรื่องนี้ขึ้นบ้างแล้ว ไม่อยากจะรออะไรทั้งนั้น การที่ไม่มีสิทธิ์ในตัววินแบบนี้มันทำให้ผมอึดอัด แต่ถ้าพูดไปก็กลัวว่าจะทำให้เขาอึดอัดเช่นกัน กลัวว่าเดือนทันตะอาจจะยังไม่พร้อม...
“คือ...เราไม่อยากพูดถึงมันแล้ว ช่างมันเถอะ” เพราะกลัวว่ายิ่งขุดจะยิ่งทำให้อารมณ์ที่คุกกรุ่นกลับมาอีก ปล่อยๆมันไปเถอะ ผ่านไปซักพักผมคงจะดีขึ้นเอง
“ไม่อยากบอกเราเพราะอยากบอกกับแค่ผู้หญิงคนนั้นหรือไง” คิ้วขมวดทันทีเมื่อวินพูดประโยคนั้น เขาหมายถึงผู้หญิงคนไหน?
“วินหมายถึงใคร”
“มีหลายคนจนจำไม่ได้เหรอ”
อารมณ์ที่ดูเหมือนจะดีขึ้นนิดๆกลับต้องแย่ลงทันที ท่าทางและน้ำเสียงของวินมีแววตัดพ้อและประชดประชัน ผมไม่ได้ไม่โอเคกับท่าทางของเขาแต่ที่ไม่โอเคก็คือคำพูดที่เหมือนจะดูถูกนั่น ถ้าเขารู้ว่าผมชอบเขามานานแค่ไหนเขาจะไม่พูดแบบนี้เลย ยอมรับว่ามีคนเข้าหาเยอะแต่หนึ่งปีที่ผ่านมาผมไม่เคยตอบรับสัมพันธ์จากใคร ไม่มีการสานสัมพันธ์หรือแม้แต่จะมองใครทั้งนั้น ไลน์ที่ทักมาเป็นสิบยี่สิบคนผมไม่แม้แต่จะเปิดอ่านเลยด้วยซ้ำ แล้วตั้งแต่ที่ผมคุยกับเขาผมไม่มั่นคงขนาดนั้นเลยเหรอ ท่าทางผมเหมือนคนโลเลเข้ามาจีบเขาเล่นๆเหรอวะ
“วิน...ที่เราไม่รู้เพราะเราไม่เคยสนใจใคร ตอนนี้เราคุยอยู่แค่คนเดียวและคงไม่ต้องบอกว่าคุยกับใคร ที่ผ่านมาเราไม่รู้ว่าเราไม่ชัดเจนตรงไหน มันควรจะเป็นตัวเราเองมากกว่าที่คิดมากเรื่องนี้ เราต่างหากที่ไม่รู้เลยว่าเป็นคนที่วินคุยอยู่ด้วยรึเปล่า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
โทษที เรากลับก่อนแล้วกัน”
ผมหลับตาลงพร้อมกับสูดหายใจลึกอย่างพยายามสะกดตัวเอง...
เพราะกลัวว่าตัวเองจะพูดทุกอย่างที่คิด คำพูดของผมอาจจะยิ่งทำให้เขาอึดอัด และตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป.
*******************************************
Talkมาต่อแล้ววววว~ พึ่งสอบย่อยเสร็จวันนี้ค่ะ
อาทิตย์หน้าก็สอบมิดเทอมแล้วอาจจะไม่ค่อยมีเวลามาต่อเท่าไหร่ อย่าพึ่งลืมวินกับพัตนะ
ทั้งยุ่งทั้งเครียดจนมันคิดไม่ออกอ่ะค่ะเลยอาจจะมาช้าหน่อย แต่ก็จะพยายามรีบมาเน้อ
ช่วงท้ายของตอนนี้มีมาม่าเล็กๆ
กลัวคนอ่านจะแบบ...เห้ย มันฟรุ้งฟริ้งเกินจริงไปหน่อยเลยเอามาขัดแก้เลี่ยนค่ะ555555 อาจจะมีกรุบกริบแบบนี้บ้างแต่คงไม่หนักอะไรนะคะ คือเพราะต่างคนต่างไม่อธิบายเนอะมันเลยเป็นแบบนี้ ความงี่เง่าเกิดได้กับทุกคนนะคะ เรื่องเล็กๆน้อยที่ดูไร้สาระแบบนี้แหละที่มักจะนำพามาสู่ปัญหาใหญ่ๆเสมอ โดยเฉพาะกับความรักนี่ตัวดีเลยๆ มาดูกันว่าจะพัตกับวินจะเป็นยังไงต่อไปน๊าาาา~
>>>>>เรามีแฟนเพจด้วยนะเอออออ(สร้างแล้วๆ) คือถึงอาจจะไม่มีใครไปกดไลค์ก็จะเปิดค่ะ555555555555555 ก็เอาไว้พูดคุยกันเนอะ เข้ามาคุยกับคนเขียนได้เน้อเพราะอยู่ในเฟสเกือบตลอดเบย...แล้วก็จะมีอิมเมจและพาร์ทสั้นๆไว้อ่านเล่นๆ มีใครอยากเห็นวินกับพัตบ้างงงงงงงงงงงงง(เอาไว้มีคนถูกใจก่อนเนอะ><) ไปกดไลค์ให้เค้าหน่อยน๊า ตามลิ้งค์ข้างล่างเบยๆๆๆๆ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์มากๆค่ะ
https://www.facebook.com/Writer-Ex-SoulL-713126712164342/timeline/