ตอนที่ 10
ในที่สุดช่วงของการสอบมิดเทอมของเทอมแรกก็มาถึง ช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงมหาประไลสำหรับนักศึกษาทุกคนเลยก็ว่าได้(ส่วนไฟนอลเรียกว่าช่วงโคตรของโคตรของโคตรมหาประไล) ตอนนี้ผมกำลังนั่งอธิบายเนื้อหาของการเรียนให้เพื่อนทั้งโต๊ะฟังมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว ผ่านมาเกือบจะครึ่งทางสีหน้าทุกก็เริ่มไม่ไหวจากการอัดเนื้อหาเข้าสมองในหลายเรื่องรวดเดียว
ใครบอกว่าสถาปัตย์ไม่ต้องอ่านหนังสือนี่เข้าใจผิดกันนะครับ อย่างน้อยภาอังกฤษก็ยังจำเป็น ตัวผมเองไม่ค่อยจะมีปัญหาอะไรซักเท่าไหร่แต่ก็ต้องมาติวให้เพื่อนโดยเฉพาะเพื่อนสนิททั้งสอง ทุกงานอะมัน ช่วงสอบนี่จะปฏิบัติตัวดีกับผมซะเหลือเกิน
“เบรคก่อนเดี๋ยวค่อยต่อ” เมื่อจบบทนี้เรียบร้อยจึงเอ่ยบอกเพื่อนซึ่งทุกคนก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ บ้างก็ไปเข้าห้องน้ำบ้างก็ไปเซเว่น ผมเองก็เดินเลี่ยงไปเพื่อที่จะไปโทรศัพท์
“ไปไหนวะพัต” ไอ้จีนถามออกมา
“โทรศัพท์” ผมตอบเพียงสั้นๆพร้อมกับเดินออกไปหาที่คุย อยากได้ยินเสียงหวานๆของวินจะแย่
“กูจะไปเซเว่นเอาไรเปล่า” เสียงตะโกนของเพื่อนยังคงตามมาก่อนที่ผมจะตอบกลับไปว่าเดี๋ยวไปเอง
รอเสียงสัญญาณดังไม่กี่ครั้งปลายสายก็รับ
(ฮัลโหล)
“อยู่ไหนครับ” ผมพรูลมหายใจออกมายาวเพื่อที่จะลดความเมื่อยล้าจากการนั่งนานๆ ทั้งต้องพูดต้องอธิบายให้เพื่อนฟังจนตอนนี้เริ่มจะเจ็บคอแล้วเหมือนกัน
(อยู่หอสมุด พัตอยู่ไหน) เดือนทันตะไปอ่านหนังสือกับเพื่อนที่หอสมุดครับแต่พวกผมอยู่ที่โรงอาหารคณะตัวเอง ไม่ชอบไปที่หอสมุดเพราะช่วงเวลาการสอบแบบนี้คนจะเยอะมากก่อให้เกิดเสียงดัง ถึงแม้ที่นี่จะไม่สบายเท่าแต่ก็ไม่มีเสียงรบกวนเท่าที่นั่น
“อยู่คณะ...คิดถึง” เพราะช่วงนี้ต่างคนต่างยุ่งเลยแทบไม่ได้เจอกัน ผมเองก็ต้องติวต้องอ่านหนังสือซึ่งวินเองก็ไม่ต่างกัน ไม่ได้เจอกันมาสามวันแล้ว และคาดว่าช่วงการสอบแบบนี้คงจะไม่ได้คุยไม่ได้เจอกันบ่อยเหมือนอย่างเคย แค่มีเวลาโทรหากันก็หรูแล้วครับ
(อดทนนะ...หลังสอบเดี๋ยวไปดูหนังกันดีไหม) ปลายสายเอ่ยบอกเสียงอ่อนโยนทั้งที่ผมรู้ว่าเขาเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน คณะเขาเรียนง่ายซะที่ไหน
แต่หนึ่งสิ่งที่เรายังทำในช่วงที่แทบไม่มีเวลาอย่างนี้ก็คือเมื่ออีกฝ่ายโทรหาจะพยายามรับให้ได้ตลอดแม้จะได้คุยกันเพียงสองสามประโยคก็ตาม ผมเป็นคนบอกเขาเองว่าให้เราสามารถโทรหากันได้เมื่อเวลาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าง
“อื้อ อยากกดสคิปไปตอนสอบเสร็จจะแย่แล้ว” สิ่งสำคัญคือผมอยากเจอ อยากคุย อยากใช้เวลากับวิน เพราะรู้ว่ามันทำไม่ได้เลยอยากจะให้เวลาเหล่านี้ผ่านไปเร็วๆ
(เดี๋ยวมันก็ผ่านไป สู้ๆนะ สู้ไปด้วยกันไง) ก็เพราะว่ามีกำลังใจดีอย่างนี้ไงผมเลยมีกำลังใจสำหรับทุกๆอย่าง ทุกครั้งที่ผมเหนื่อยวินจะช่วยได้เสมอ แค่ได้ยินเสียงกับคำพูดน่ารักๆผมก็ดีขึ้นแล้ว
“ครับ...อย่าลืมทานข้าวนะไม่ใช่กินแต่ขนม ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างเข้าใจไหม” เป็นห่วงจริงๆคือกลัวเขาฝืนจนร่างกายไม่ไหว ส่วนเรื่องกินนี่ผมคิดว่าไม่น่าจะห่วงซักเท่าไหร่ คนอย่างเขาไม่น่าจะละเลยเรื่องอาหารไปได้
กังวลแค่ว่าวินจะกินพวกขนมขยะมากเกินไป พวกของไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
(ก็กินทุกอย่างแหละ เรื่องกินหายห่วงได้ คิกคิก...พัตเองก็เหมือนกันนะ ดูแลตัวเองด้วย กินเยอะๆ พักผ่อนบ้าง)
“อื้ม เดี๋ยวพัตต้องวางแล้ว...คิดถึงนะครับ” ย้ำให้รู้อีกที ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันกันตอนไหน อย่าว่าแต่เจอกันเลยเวลาคุยกันยังแทบไม่ค่อยมี ต่างคนต่างต้องอ่านหนังสือตลอดไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวมาคุยกันมากนัก
ทั้งที่อยากได้ยินเสียงมากกว่านี้แต่ก็จำใจต้องวางสาย เหมือนผมจะได้ยินเพื่อนวินเรียกเขาแล้วเหมือนกัน
(คิดถึงเหมือนกันนะ) ราวกับเป็นยาวิเศษที่ช่วยให้หายเหนื่อยชั้นดี ผมยิ้มออกมาแม้ว่าจะเหนื่อยอ่อนแค่ไหนกับการอ่านหนังสือก็ตาม
“ครับ” ผมวางสายก่อนจะมองโทรศัพท์นิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วในหัวก็นึกอะไรขึ้นได้ มือเลื่อนหน้าจอไปที่แอพพลิเคชั่นสีฟ้าที่มีสัญลักษณ์ตัวเอฟ เข้าไปแล้วก็กดเข้าไปในเฟสของอีกคน
Pithan Kitiphaisan> Win Winnapat
Just now
คิดถึง23 Likes
นานๆทีผมถึงจะเข้ามาเล่นแอพนี้ ยิ้มกับตัวเองพร้อมหัวเราะน้อยๆที่ทำอะไรเหมือนเด็ก ผมแค่อยากลองทำเหมือนที่คนสมัยนี้ทำบ้าง หวังว่าจะให้คนที่อ่านหนังสืออยู่ตอนนี้ผ่อนคลายขึ้น ไม่เพียงทำให้วินหายเครียดผมเองก็เช่นกัน พอเรียบร้อยจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเดินเข้าเซเว่นไปหาไรกิน
“มึงไม่ต้องเลยนะไหนบอกไปโทรศัพท์ แหมะ...ร้อยวันพันปีไม่ค่อยจะเล่นเฟส พอจะเล่นทีเสนอหน้าไปโพสต์คิดถึงเขา” ปากหมาแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้กิมเจ้าเก่าเจ้าเดิม
“แล้วไอ้เหี้ยไหนมันชอบอัพรูปคู่กับเด็กตัวเองแล้วแคปชั่นเสี่ยวๆ พอเลิกคั่วก็ตามลบแทบไม่ทัน” ผมตอกกลับไปทันที หน้าฟีดผมไม่ค่อยจะมีอะไรหรอกนอกจากจากรูปไอ้เหี้ยกิมกับเด็ก รำคาญลูกตามากจนบางทีอยากจะเลิกติดตามเพื่อนตัวเองไปซะเลย
“กูบอกแล้วว่าอย่าไปแหย่มัน เป็นไงมึงเข้าตัวเองเลย” ไอ้จีนเอ่ยบอกไอ้กิมที่ทำหน้ามองแรงใส่ผม พูดความจริงเข้าหน่อยทำเป็นรับไม่ได้ คือมันแค่อัพเอาใจคนพวกนั้นทั้งที่จริงๆแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกครับ แต่เหมือนว่าความรักจะทำให้คนตาบอด เขาไม่รู้แถมยังหลงคิดว่ามันรักแบบหัวปรักหัวปรำด้วย เหอะ ตลกไหมล่ะ
“เออ เดี๋ยวนี้มีแฟนแล้วนี่ เพื่อนก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
“อยากโดนกูเตะใช่ไหมกิม” ยิ่งคุยกับมันยิ่งเพลีย ไม่คิดเลยว่าผมจะมีเพื่อนปัญญาอ่อนขนาดนี้ กว่าจะรู้ตัวก็พลาดท่าคบมันซะแล้ว
“ชิ หมั่นไส้!” แล้วมันก็สะบัดตูดออกไปหาไรกินที่โซนอื่นให้ผมกับไอ้จีนมองตามอย่างเอือมๆ ไม่มีอะไรหรอกครับมันก็กวนตีนผมไปงั้นแหละ ทำให้ผมด่าเป็นกิจวัตรของมันไปแล้วมั้ง วันไหนไม่ได้ยินคงจะนอนไม่หลับ
“ที่คุยกันยังไม่พออีกเหรอวะ ถึงขั้นต้องโพสต์หน้าวอลเลย...ไปหอสมุดไหมครับเพื่อน” อย่าคิดว่าไอ้จีนจะเป็นคนดี คนเหมือนกันเลยคบกันได้ไง
“ก็ดีนะ งั้นวันนี้เลิกติวกูจะไปหาแฟน” พูดแล้วก็เดินหนีออกมาหาไรกินทันที ปล่อยมันให้วิ่งตามมานั่นแหละ
“เห้ย ไม่ได้นะเว้ย ถ้ามึงไม่ติวพวกกูก็ต้องตายโหงกันพอ ไม่เอานะเพื่อนนะ กูล้อเล่นนิดเดียวเอง” ผมส่ายหน้าก่อนจะเดินหนีมันไปหาของกินให้สบายอารมณ์
ไม่ได้จริงจังหรอกครับเพราะยังไงก็ต้องติวให้เพื่อน ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป ถึงจะเหนื่อยแต่ถ้าเราช่วยให้เพื่อนไปด้วยกันได้มันก็เป็นอะไรที่น่ายินดี หลายเรื่องเพื่อนก็ช่วยผม เวลาที่เพื่อนขอให้ติวให้ผมเลยไม่มีปัญหา วิชาไหนผมไม่ถนัดก็ต้องถามเพื่อนเหมือนกัน
ขณะที่รออาหารเวฟผมก็ลองกดเข้าไปดูเฟสอีกทีว่ามีอะไรเคลื่อนไหวไหม พอมีเลขขึ้นที่การแจ้งเตือนเลยกดเข้าไปดูปรากฎว่าคนที่ผมโพสต์ไปหาตอบกลับแล้วเมื่อห้านาทีที่แล้ว ซึ่งวินมาตอบกลับในโพสต์ผมว่า
เหมือนกัน ^^แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ผมทำเพียงแค่กดไลค์ให้รับรู้ว่าผมเห็นคอมเมนต์เขาแล้วก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเมื่อพนักงานเอ่ยบอกว่าของที่เวฟได้แล้ว
แม้จะเหนื่อย ยุ่ง หรือว่าไม่ได้เจอกันยังไงแต่แค่ได้ยินเสียงเพียงนาทีสองนาที คุยกันในไลน์วันละสามสี่ประโยคก็ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น เพราะสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นคือกำลังใจที่สำคัญสำหรับผม
กำลังใจสำคัญที่มาจากคนสำคัญ : )
“อิ้งเหี้ยอะไรวะทำไมมันมากมายก่ายกองมหาศาลขนาดนี้ อาจารย์เขาคิดว่าพ่อกูเป็นฝรั่งรึไงวะ นี่กูเรียนถาปัตย์นะครับไม่ใช่อินเตอร์ ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดรึเปล่าถึงได้ออกข้อสอบกลัวคนโง่ๆอย่างกูสอบได้ขนาดนี้ อยากจะบ้าตาย” ไอ้กิมโวยวายออกมาคนแรกหลังจากที่สอบวิชาในวันแรกผ่านพ้นไป
“เออ กูมั่วรีดดิ้งสุดตีนครับ เยอะชิบหาย” ไอ้จีนเองก็ไม่ต่างกัน ส่วนผมไม่มีความคิดเห็นใดๆนอกจากรอคะแนนออกอย่างเดียว ก็มันแก้ไขไม่ได้แล้วกังวลไปก็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนข้อผิดเป็นถูก ไม่ได้ทำให้ได้คะแนนมากขึ้น ดังนั้นจึงสมควรปล่อยวางซะ
“ใครจะเหมือนไอ้เหี้ยพัต ชิวชิบหายเลยนะมึง ทำไมไอคิวมันไม่ไหลเข้าหัวกูบ้างวะเนี้ย” ไอ้กิมหันไปโวยวายกับไอ้จีนสองคนเนื่องจากผมไม่สนใจ สองมือกดพิมพ์แล้วไลน์หาเดือนทันตะอย่างเดียว
“ทำใจว่ะเพื่อน นอกจากมึงจะผ่าหัวมันแล้วเอาสมองมายัดใส่หัวมึงอ่ะนะ”
“เห้อ นี่ขนาดมันติวให้แล้วนะ ถ้ามันไม่ติวให้กูนี่ชิบหายเลย”
“เอาเว้ย มันผ่านมาละ ไปเต็มที่กับวิชาภาคที่จะสอบพรุ่งนี้เถอะ”
“โอ้ยยยย กูอยากจะตาย” ผมไม่ได้สนใจเสียงคร่ำครวญอันน่ารำคาญของเพื่อนตัวเองซักเท่าไหร่เมื่อกำลังคุยกับอีกคนที่พึ่งตอบไลน์กลับมา ไม่ได้เจอกันมาอาทิตย์นึงแล้วซึ่งถือว่านานมากสำหรับผม วันนี้ยังไงก็ต้องเจอกันให้ได้
“วันนี้เจอกันที่เดิมหกโมงเย็น ถ้าพวกไอ้เมตรจะไปด้วยก็บอกมัน กูไปละ” ต้องติวกันทุกวันครับ ยิ่งพรุ่งนี้เป็นวิชาภาควันนี้นี่คงไม่ได้นอนกันเลย แต่ตอนนี้เป็นเวลาฟรีไทม์ของผมแล้ว เป็นช่วงการพักผ่อนสั้นๆที่ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสอบ เจอกันหกโมงค่อยจัดเต็มทีเดียว ขืนอยู่กับมันตลอดเวลามึนหัวแน่ๆ
“เออๆ ไม่ค่อยจะอ่ะเพื่อนกู อีกนิดคาดว่าจะลงแดงเพราะทนคิดถึงแฟนไม่ไหว” ผมไม่ได้สนใจเสียงไอ้จีนหรอกครับเพราะรีบออกมาเลย นัดกับวินเรียบร้อยแล้วที่ร้านอาหารซึ่งเราลงความเห็นว่าจะไปเจอกันที่นู้นเลย ใครไปถึงก็ให้สั่งอาหารรอ
และพอผมเดินเข้าไปในร้านคนที่ไม่ได้เจอกันมาอาทิตย์นึงก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เป็นไงบ้าง ทำได้ไหม” ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม วินถามออกมาพร้อมกับยิ้มกว้างจนผมอดจะยิ้มตามไม่ได้
“ก็โอเค แล้ววินล่ะ” เราสอบวิชาภาอังกฤษเหมือนกัน มหาลัยผมจะใช้ข้อสอบภาษอังกฤษให้เหมือนกันในแต่ละชั้นปี ปีสองของทุกคณะใช้ข้อสอบแบบเดียวกัน ปีหนึ่งสองสามสี่ก็เช่นกัน(ยกเว้นพวกอินเตอร์) และวันแรกของการสอบก็จะสอบอังกฤษกันทั้งมอราวกับให้มันเป็นประธานเปิดพิธีในการสอบ เรียกได้ว่าเป็นวิชาที่โคตรจะให้ความสำคัญ
“พอได้เหมือนกัน....เห็นพัตใส่ชุดนี้แล้วแปลกตาจัง” ผมก้มลงมองชุดตัวเองเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาอย่างยิ้มๆ เพราะวันนี้สอบเลยต้องแต่งตัวเต็มยศ กางเกงสแลค เสื้อถูกระเบียบพร้อมด้วยเนคไทด์ที่ปักด้วยตรามหาลัย รองเท้าหนังตามกฎ
ถ้าไม่ใช่พิธีการหรือวันสอบอย่างนี้คงไม่ได้เห็นผมใส่จริงๆ
ปกติยีนส์กับรองเท้าผ้าใบตลอดซึ่งแตกต่างจากวิน คนตัวเล็กเขาจะอยู่ในชุดนักศึกษาตลอดเพียงแค่ไม่ใส่ไทด์เท่านั้น
“หล่ออ่ะดิ” ยักคิ้วใส่เขาไปเมื่อเห็นวินยังคงมองอย่างไม่วางตา
“หลงตัวเองจัง ก็...ธรรมดานะ”หน้าหวานๆส่งยิ้มยียวนมาให้พร้อมกับแววตาวิบวาว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมอารมณ์เสียหรือเคืองใจกับคำพูดกวนๆของเขา ตรงกันข้ามผมกลับมองว่ามันน่ารักซะมากกว่า
“ถึงจะหน้าตาธรรมดาแต่ก็มีสาวทักไลน์มาหาทุกวันนะครับ ไม่อยากจะคุยเลย หึหึ” อันนี้ผมจงใจพูดยั่วเขาเท่านั้นแม้ความจริงมันจะเป็นตามนั้นก็เถอะ ผมไม่เคยสนใจจะตอบไลน์พวกนั้นซักนิด ไม่แม้จะเปิดอ่านด้วยซ้ำกดลบทิ้งตลอด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไอดีไลน์ผมมาจากไหน
“เราก็ไม่อยากจะคุยว่ามีคนมาขอเบอร์เหมือนกัน^^”
“เห้ย ใคร!” อันนี้ไม่ตลกไม่ต้องมาทำหน้ายิ้มใส่ มันไม่ใช่เรื่องที่สนุกแน่ๆเพราะว่าเรื่องที่วินพูดโอกาสมันเป็นไปได้สูงมากที่วินจะมีคนเข้ามาขอเบอร์ ไหนจะพวกที่ใจกล้าเข้ามาขอและพวกอื่นๆอีกมากมาย ผมรู้ว่ามีคนเข้าหาเขาเยอะแต่พยายามเชื่อใจ แต่อันนี้ก็ดูท่าว่าจะใจกล้าไปหน่อยมั้ง
“พัตก็บอกคนที่ทักไลน์มาก่อนสิ”
“รหัสหน้าจอ1409 รหัสไลน์1404” ผมวางมือถือลงโต๊ะทันทีอย่างไม่รีรอ วินอมยิ้มขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นผมทำอย่างนั้น ก็เอาสิ...ถ้าไม่เคลียร์กันเรื่องนี้ก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้วข้าว ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
และในโทรศัพท์ผมก็ไม่มีความลับอะไร ในเครื่องมีแค่เกมส์หนังแล้วก็รูปของเราเท่านั้น จนไอ้กิมยังชอบแซะว่าซื้อเครื่องความจำ128gbมาทำซากอะไร
“ทำไมตั้งรหัสหน้าจอเป็นรหัสนี้ล่ะ” วินถามขึ้นทั้งที่กำลังก้มหน้าก้มตาเลื่อนดูนั่นดูนี่ในเครื่องผม ส่วนรหัสหน้าจอที่เขาถามถึงมันเป็นวันเกิดของเจ้าตัว
วันที่14 เดือนกันยายน
“ก็วันเกิดแฟน กดแล้วมันคล่องมือ” ผมใช้รหัสนี้มานานมากแล้วครับเขาแค่ไม่รู้เฉยๆ ใช้มาตั้งแต่ที่สืบประวัติวินมาได้นั่นแหละ เคยเป็นกันไหมครับที่วันสำคัญของเขาก็จะกลายเป็นวันสำคัญของเราไปด้วย
เพราะผมเป็นอย่างนั้นเลยชอบใช้รหัสต่างๆเกี่ยวกับวิน โคตรน้ำเน่าแต่ก็ทำชอบทำอย่างนั้นจริงๆ
“มีแฟนแล้วก็ต้องรักแฟนให้มากๆ ห้ามคุยกับใครห้ามนอกใจห้ามมีกิ๊กด้วย” มือบางเอื้อมมาวางโทรศัพท์ไว้ข้างมือผมเมื่อเขาคงจะดูจนพอใจแล้ว
พูดเองก็ดูเหมือนว่าวินจะเขินเอง แม้จะพยายามขึงตาใส่ราวกับจะบอกให้ทำตามนั้นอย่างเคร่งครัดแต่ริ้วแดงๆก็ยังแต้มดวงหน้าหวานให้ได้เห็นจางๆจนผมต้องยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ แล้วน่ารักขนาดนี้ไม่ให้รักมากได้ไง
“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่องนั้นขึ้นแน่นอน...ห่วงฝั่งตัวเองเถอะ สรุปว่าใครมาขอเบอร์” ไม่ลืมนะครับไม่ลืมแน่นอน ใครก็ตามที่กล้ามายุ่งกับวินผมไม่ปล่อยไว้แน่ ตัดไฟได้ตั้งแต่ต้นลมเป็นเรื่องที่ดี กว่าจะได้มาเป็นแฟนไม่ใช่เรื่องง่ายคิดว่าผมจะปล่อยให้ใครหน้าไหนมายุ่งเหรอ
“ก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร เรียนคณะไหนเพราะเราไม่ได้สนใจ...แล้วก็ไม่ได้ให้เบอร์ไปด้วย” เหมือนจะยิ้มอ้อนให้รอดตัวและถึงแม้ผมจะใจอ่อนกับรอยยิ้มของวินแค่ไหนเรื่องนี้ก็ไม่อยากจะปล่อยผ่านจริงๆ ช่วงนี้ยิ่งไม่ได้เจอกันด้วย อะไรป้องกันได้ผมก็ต้องป้องกัน
“ทีหลังก็ให้เบอร์พัตไปเลยดิ จะได้ตามตัวถูกว่าใคร”
“ถ้ารู้ว่าใครแล้วพัตจะทำอะไรเล่า”
“กระทืบ” สองคำสั้นๆ ไม่มีอะไรมากมายความหมายก็ตามนั้น และผมสามารถทำแบบนั้นได้จริงๆอย่างไม่ต้องคิดเลย
“จะบ้าเหรอ ทำแบบนั้นได้ไงเล่า...ไม่เอาแล้วไม่พูดเรื่องนี้แล้ว กินข้าวกันดีกว่า” วินพูดเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อพนักงานเดินมาเสิร์ฟอาหาร ผมเองก็เลยเลยตามเลยไม่พูดเรื่องนี้อีกแต่ใช่ว่าในใจจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ
แต่ผมก็เลือกจะเชื่อใจวินว่ามันไม่มีอะไรเหมือนที่เรื่องของผมไม่มีอะไร เขาบริสุทธิ์ใจถึงได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ถ้าปิดบังกันก็ค่อยว่าไปอย่าง
TBC.
Talkทำไมมันสั้นลงเรื่อยหว่า55555 คนแต่งกลับบ้านค่ะซึ่งที่บ้านไม่มีเน็ตต้องแชร์จากโทรศัพท์เอาเลยมาต่อตอนสิบให้ก่อนกลัว่าจะนานเพราะกว่าจะกลับก็อีกสองวันเลย เค้าทุ่มเทมากเลยเห็นไหม
ไม่เวิ่นอะไรมากแล้วค่ะเดี๋ยว3Gหมดก่อนจะอัพ(ถ้าหมดคือเปิดกูเกิ้ลก็ยังไม่ได้อ่ะ) บ๊ายบายนะคะ
**เม้นต์ให้ความทุ่มเทของเค้าด้วยนะ แวะไปหากันได้ที่เพจเน้อ