มาเช็คดูในคอมของคนแต่งขึ้นให้ไม่ครบอีกแล้ว ต้องเปิดในgoogle chromeอ่ะค่ะ(ในโทรศัพท์ก็ปกติ) ตอนนี้ต้องจบที่>>>>ตอนนี้เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดเลย.<<<<<ใครอ่านไม่มีตรงนี้เปิดในchromeเอาเน้อออออ(คนอื่นอาจจะไม่เป็น คอมคนแต่งเจ๊งคนเดียวล่ะมั้ง><)
ตอนที่ 7
(เราอยากกินไอติม)
“เอามาจากสิงคโปร์กว่าจะถึงไทยมันก็ไม่เหลืออะไรแล้วมั้ง เอาดีๆ”
มีอย่างที่ไหนถามว่าอยากได้อะไรรึเปล่างอแงจะเอาไอติม ถ้าหิ้วมาจากที่นั่นจริงๆกว่าจะถึงไทยก็คงต้องใช้หลอดดูดเอาแล้วล่ะ เดือนทันตะเขาบอกมีร้านที่เขาชอบมากอยู่ที่นั่น อืม คือชอบแค่ไหนมันก็เอาไม่ได้ไง
(คิคิ เราล้อเล่น ไม่เอาอะไรหรอก)
ตลอดอ่ะเขา ตั้งแต่วันนั้นที่เคลียร์กันได้ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม ไม่สิ ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เราไปไหนมาไหนกันบ่อยขึ้น พักเที่ยงผมก็แวะไปหาเขาบ้าง บางทีมีเวลานิดนึก็ต้องเจอกัน วันไหนเลิกเรียนเร็วก็พาเดือนทันตะไปกินข้าวเลี้ยงติมแบบที่เขาชอบ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีมากและหลังจากที่คิดมาดีแล้ว ผมว่าจะขอเขาเป็นแฟนตอนที่กลับมาจากสิงคโปร์เลย เนียนว่าเอาของไปให้แล้วก็ขอตอนนั้น ไม่อยากรออะไรแล้ว
“เดี๋ยวเถอะๆ งั้นเดี๋ยวถึงที่นู้นจะไลน์หาอีกทีนะ” ตอนนี้ใกล้ได้เวลาต้องออกจากบ้านเต็มทีแล้วครับ ถ้าออกหลังจากนี้อาจตกเครื่องได้
(โอเค เดินทางปลอดภัยนะ)
“ครับ” วางสายเสร็จก็เดินมาเช็คของ เรียบร้อยแล้วก็ขนลงมาข้างล่าง ของที่เอาไปก็ไม่มีอะไรมากครับ เป้ถือแค่ใบเดียวเพราะไม่ได้อยู่นาน แค่ไปดูรถแล้วก็เดินดูของอีกนิดหน่อย ดึกๆของวันเสาร์ก็กลับ
“ซื้อของมาฝากแม่ด้วยนะ^^” แม่ผมท่านไม่ได้ไปครับ บอกว่าไม่ชอบอะไรแบบนี้เพราะเป็นเรื่องของผู้ชายเลยอยู่บ้านดีกว่า
“ได้ครับ เดี๋ยวพัตเบิกตังค์กับพ่อซื้อให้หนักๆ” พ่อหันขวับมามองหน้าทันที ประมาณว่าเกี่ยวไรกับตังค์พ่อวะ
“จ๊ะ มีอะไรเบิกพ่อเลย งั้นแม่ขอกระเป๋าซักสองสามใบก็พอ คิกคิก”
“โถ่คุณ สองสามใบของคุณก็ได้รถคันนึงแล้วนะ”
“ก็เงินคุณนี่คะ หรือจะไม่ซื้อของมาฝากฉัน” อากับผมมองหน้ากันด้วยความอ่อนใจ ปล่อยให้เขาพ่อแง่แม่งอนกันไปส่วนผมก็เลี่ยงเอากระเป๋าไปไว้หลังรถดีกว่า ยืนรอซักพักพ่อกับแม่และอาก็เดินอออกมา ร่ำรากันไม่นานก็เดินขึ้นรถ
“เดินทางปลอดภัยจ้ะ”
“ครับแม่” ผมรับคำแล้วปิดประตูให้รถเคลื่อนตัวออก พอถึงสนามบินก็เข้าไปเช็คอินแล้วรอเวลาขึ้นเครื่อง พอว่างผมก็เลยไลน์หาวินทันทีจนอีกฝ่ายแซวว่าไหนบอกถึงที่นู้นค่อยไลน์หา ก็คุยกันจนต้องขึ้นเครื่องนั่นแหละครับ ผมเองก็บังคับให้เขาไปนอนเพราะว่าตอนดึกแล้ว
“เป็นไงเรา เอาซักคันไหมเรา”
“ถ้าคุณอาจะซื้อให้ผมก็โอเคครับ”
อาหลุดหัวเราะทันทีกับคำพูดผม ตอนนี้ดูรถเสร็จแล้วกำลังตกลงเรื่องเอกสารซึ่งตรงนี้ผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่เพราะพ่อกับอาเป็นคนจัดการทุกอย่าง ไม่มีอะไรทำเลยปลีกตัวเองไปดูรถคันอื่นๆที่อยู่รอบๆบ้าง ก็สวยดีครับแต่ยังไม่ได้อยากได้อะไรเอาไว้ถ้าผมอยากได้ก็ค่อยว่ากัน เดินดูหลายๆคันรอจนอะไรเรียบร้อยผมก็ขอตัวไปเดินเล่นย่านถนนออร์ชาร์ดเพื่อหาซื้อของให้อีกคน มาหาซื้อให้ตัวเองด้วยเผื่อผมอยากได้อะไร ส่วนพ่อกับอาก็กลับโรงแรมไปก่อน
ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ค่อนข้างนานพอสมควร พอผมได้ซื้อก็ซื้อเยอะจริงๆเพราะเจอนั่นเจอนี่หลายอย่า ได้ของฝากไปให้หลายคนด้วย เยอะจนเกือบจะขนกลับโรงแรมเองไม่ไหว พอมาถึงก็ได้พักสองสามชั่วโมงก่อนจะต้องบินกลับไทย
มีของฝากให้
พรุ่งนี้เจอกันนะครับผมไลน์หาคนที่อยู่เมืองไทยทันทีที่ถึงที่พัก คิดไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะพาเขาไปที่ไหน เป็นร้านอาหารของเพื่อนผมเอง บรรยากาศดีแถมยังเป็นร้านเพื่อนที่สามารถทำอะไรได้ง่ายๆ
ไม่ไปได้ไหม
: pกวนเกินเขาไม่มีหรอก แต่ก่อนโดนหน้าหวานๆหลอกคิดว่าจะเป็นคนเฟรนลี่เฉยๆ ทั้งกวนทั้งดื้ออย่าบอกใครเชียวล่ะ
ไม่ได้
ต้องมาคึคึ
ไปก็ได้ จะมาถึงไทยตอนไหนตีสองก็ถึงแล้ว
เจอกันตอนเย็นนะครับ
ซักหกโมง เดี๋ยวไปรับอาทิตย์นี้วินไม่ได้กลับบ้านด้วยครับเพราะว่าติดงานนิดหน่อยเลยไม่ได้กลับแล้ววันอาทิตย์ตอนเย็นเขาก็ว่างพอดี
เราไปเองได้ๆ
ไม่ต้องมารับหรอก เสียเวลาพัตเปล่าๆวินไม่รู้ที่ที่จะไปหรอก
เดี๋ยวพัตไปรับ
ไม่ต้องดื้อไม่ได้ดื้อ!เชื่อมากกกกก
เดี๋ยวพัตต้องเก็บของแล้ว เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหาอีกที
หกโมงเย็นไปรับนะเผด็จการรรรร
แต่ก็...
จะรอ ^^ก็น่ารักซะแบบเนี้ย ผมส่งสติกเกอร์หัวใจให้เขากลับไปก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้แล้วเก็บของที่ซื้อมาให้เรียบร้อย อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปที่สนามบินแล้ว กลับถึงไทยผมจะนอนยาวเลย นั่งเครื่องถึงจะไม่นานมากแต่ก็เหนื่อยครับ ไม่สบายเหมือนอยู่ที่บ้านเฉยๆหรอก
.............................................................
“จะไปร้านอะไรทำไมต้องดูลึกลับขนาดนี้ด้วย”
ไปรับหมอฟันมาจากคอนโดโดยที่ไม่ได้บอกเขาเลยว่าจะพาไปร้านอะไร หรืออยู่ที่ไหน ร้านเพื่อนผมเป็นร้านอาหารไทยที่บรรยากาศดีมากๆเพราะติดริมแม่น้ำด้วย นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ไปแล้วก็ไม่ได้เจอเพื่อนเนื่องจากว่ามันเรียนคนละที่ พึ่งได้คุยกันก็ตอนโทรไปจองร้านนี่แหละ บ่นให้ผมใหญ่เลย ถ้าไอ้กิมกับไอ้จีนรู้ว่าผมจะพามาวินมาร้านไอ้ดราฟพวกมันต้องตามมาแน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องเลือกที่จะไม่บอกพวกมัน
“ไม่พาไปขายหรอกน่า กลัวอะไร”
“คนแถวนี้หน้าตาไม่น่าไว้ใจไง อีกไกลไหมอ่ะพัต...หิว”
ดูเขา ไม่หิวไม่ใช่วินเดือนทันตะนะครับ ทั้งที่ก่อนออกมาก็กินขนมที่ผมซื้อมาฝากแล้วแท้ๆ เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรเลยหอบของกินหลากหลายอย่างจกานู้นมาให้ซะเลยและหมอฟันก็ถูกใจมาก
“กินขนมจนจะหมดรถยังหิวอีกเหรอหืม”
“ขนมไม่ใช่ข้าวนี่นา ตอนนี้หิวข้าว” เชื่อเขาเลย กระเพาะสามารถแยกอาหารได้หลายประเภทจริงๆ กินอันนี้อิ่มใช่ว่าจะกินอีกอันอิ่มนะ เป็นประเภทๆไป
“ครับๆ รอแป๊บนึงครับ อีกไม่ไกลแล้วครับ” คนหิวยู่ปากใส่เมื่อรู้ว่าผมแกล้งพูดเพราะประชดเขา
“ให้เร็วเลย” ผมส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะหันกลับมาสนใจการขับรถแทนหน้าหวานๆนั่น เพราะว่ามันอยู่ค่อนข้างชานเมืองบรรยากาศก็เลยดี แต่กว่าจะมาถึงก็ใช้เวลาพอสมควรครับ ถึงร้านก็เกือบๆทุ่มครึ่งเลย
“ไม่เจอกันนานนะมึง แล้วนี่พาใครมา” ทันที่เห็นหน้าเพื่อนผมก็ทักเรื่องวินทันที สายตากรุ้มกริ่มอย่างไม่ปิดบังว่ามันต้องเล่นอะไรผมแน่ ไอ้ดราฟขี้แกล้งจะตาย
“เพื่อน...วินนี่ดราฟเพื่อนพัตตั้งแต่มัธยม ส่วนนี่วิน” ผมชิงตอบออกไป ซึ่งวินก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร แค่ก้มตัวให้เพื่อนผมเป็นเชิงทักทายพร้อมรอยยิ้มประจำของเจ้าตัว
“สวัสดีครับ”
“หวัดดีครับ”
ทักทายเสร็จก่อนจะหันไปสนใจบรรยากาศโดยรอบเช่นเดิม ดี้ด้าตั้งแต่ขับรถเข้ามาในพื้นที่ร้านอาหารแล้วครับ อาการเด็กเจอของเล่นออกทันที
“เพื่อนแน่เร๊อ”
“อย่ากวนไอ้เหี้ย เดี๋ยวกูไปกินข้าวก่อนเสร็จแล้วจะมาคุยด้วย”
ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่หรอกครับแต่คนที่มาด้วยนี่สิดูท่าจะไม่ไหวเพราะบ่นมาตลอดทาง เดี๋ยวผมจัดการเรื่องของตัวเองเสร็จเมื่อไหร่ค่อยออกมาหามันก็ไม่สาย อีกอย่างรีบถอยก่อนจะโดนไอ้ดราฟเล่นหนัก
“โอเค ตามสบายครับคุณพัต”
ผมส่ายหน้าให้ไอ้เจ้าของร้านก่อนจะจับมือคนที่มัวแต่มองนั่นมองนี่ให้ไปที่โต๊ะ จองโต๊ะไว้มุมที่เป็นส่วนตัวเป็นพิเศษ แล้วก็จองทั้งโซนไว้เลยเพื่อความเป็นส่วนตัว ที่ติดแม่น้ำพอนั่งแล้วลมเอื่อยๆก็พัดมาให้ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์
“พัตสั่งอาหารไว้แล้ว วินอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
ที่จริงผมสั่งอาหารตั้งแต่ที่โทรมาจองแล้วว่าจะเอาอะไรบ้าง บอกให้เขาเตรียมไว้ว่าจะมาถึงที่นี่ประมาณไหน พอมาถึงจะได้ไม่ต้องรอนาน
“เอาไว้ค่อยสั่งเพิ่มก็ได้ น่าทานทั้งนั้นเลย” อีกคนก็เปิดดูเมนูอย่างสนอกสนใจพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา
“เจ้าของร้านเป็นเพื่อนพัตเหรอ ร้านบรรยากาศดีมากเลย” หมอฟันถามออกมาเมื่อตัดสินใจวางเมนูลงได้แล้ว แอบเห็นแล้วด้วยว่าเขาเล็งอะไรไว้บ้างเพราะเจออะไรที่ถูกใจเขาก็จะจิ้มลงไปพร้อมพูดพึมพำกับตัวเอง
“เป็นเพื่อนตอนมัธยมน่ะ มันชอบการทำอาหารแล้วก็ทำอร่อยมาก เคยไปเป็นเชพที่โรงแรมตั้งแต่มอห้าแล้ว จนขึ้นปีหนึ่งแม่มันก็ยอมเปิดร้านให้เพราะมันยอมเรียนวิศวะตามที่ที่บ้านอยากให้เรียน นี่พัตก็ไม่ได้มาที่ร้านมันซักพักแล้วเหมือนกัน อร่อยจนต้องอยากมาอีกรับรอง”
ไอ้ดราฟมันทำอาหารอร่อยจริงๆครับ ส่วนโรงแรมที่มันไปทำงานก็เป็นโรงแรมของบ้านผมเอง ส่วนเชฟที่ร้านนี้ก็ถูกคัดสรรมาอย่างดีกว่าที่จะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ เชื่อฝีมือได้ทุกคนว่าทำอร่อยทุกอย่าง
“เก่งจังเนอะ อายุแค่นี้ก็มีร้านของตัวเองแล้ว คนเยอะด้วย ที่จอดรถเกือบไม่พอแหนะ”
เกือบไม่มีที่จอดรถจริงๆครับ ดีที่ว่าผมสั่งมันล็อคที่ไว้ให้แล้ว แล้วที่เหมาโซนวันนี้ก็โดนมันบ่นชิบหายว่าขาดลูกค้าไปหลายราย ทั้งบรรยากาศและรสชาติอาหารบอกเลยว่าไม่แปลกที่คนจะเยอะขนาดนี้ บางทีว่างๆผมกับไอ้กิมไอ้จีนยังเคยมาช่วยงานที่ร้านเลย
“โอ๊ะ อาหารมาแล้ว” ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อพอเดือนทันตะเห็นอาหารถูกเสิร์ฟมาที่โต๊ะเท่านั้นแหละ ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าแล้ว มีการหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปด้วย
“น่ากินมากเลย”
“น่ากินก็กิน บ่นว่าหิวมาตลอดงั้นก็ต้องกินให้เดินกลับไม่ได้เลย กลิ้งกลับเหมือนหมูเลยดีไหม”
“แน่นอน เราจะกินให้คนแถวนี้ต้องแบกกลับบ้านเลยแหละ”
พูดแล้วก็พร้อมทำ คนตัวเล็กทานนู้นทานนี่ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าโคตรมีความสุข นี่อาหารพวกนี้ทำให้เขามีความสุขมากกว่าผมอีกนะเนี้ย งี้ถ้าผมขอเป็นแฟนควรจะขอเขาด้วยการบอกว่าสามารถมากินข้าวที่นี่ฟรีตลอดไปเลยดีไหม==
“อันนี้อร่อยมากเลย” มีแก่ใจตักให้ผมด้วย เป็นปลาช่อนลุยสวนครับ ปลานี่ตัวโคตรใหญ่อ่ะ แล้วดูเหมือนว่าวินเขาจะชอบเป็นพิเศษเห็นตักจานนี้บ่อยมากๆ ดูท่าแล้วว่าเขาจะชอบกินปลา
“ชอบกินปลาเหรอ” ผมลองถามเขาออกไป
“อืม ก็ชอบนะ ชอบปลาทอดตัวใหญ่ๆเป็นพิเศษ แต่ก็กินได้แค่บางชนิด อย่างปลาดุกเราไม่ชอบส่วนปลาตัวเล็กๆไม่กินเลย”
ข้าวจานแรกหมดไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเติมข้าวจานที่สองพร้อมกับพูดกับผม พอได้กินอาหารอีกก็เลิกสนใจผมเช่นกัน ซึ่งผมก็ชินแล้วล่ะ นั่งกินของตัวเองไปเงียบๆโดยตักให้วินบ้างวินตักให้ผมบ้างจนอาหารตรงหน้าหมดไป
“อยากกินของหวานจัง” พูดไปพร้อมกับเปิดเมนูของหวาน พนักงานเดินมาเคลียร์โต๊ะให้เสร็จแล้วครับ คือมาสองคนกินเหมือนมาสี่คน
“พัตเอาไรดีอ่ะ เราอยากกินทุกอย่างเลย”
“หึหึ แล้วแต่เลยครับ อยากกินอะไรก็สั่งมา” พอผมตอบวินก็กลับไปดูเมนูในมืออีกพร้อมกับอยู่ในความคิดของตัวเอง ดูท่าว่าเขาจะลำบากใจมากเพราะอยากกินหลายอย่าง
“งั้นเอาสาคูลข้าวโพด กล้วยบวชชี แล้วก็ข้าวเหนียวมะม่วงครับ” พนักงานรับออร์เดอร์แล้วก็เดินออกไป ดูเขาสั่งสิ เยอะไปไหน แต่ใช่ว่าจะกินไม่หมดนะ เชื่อเลยว่าหมดแน่นอน
“เอ้อ แล้วทำไมวันนี้ถึงพามากินข้าวถึงนี่เลยล่ะ มีอะไรรึเปล่า” และหมือนว่าคนตัวเล็กจะพึ่งนึกสงสัย
“ก็...มีนิดหน่อย” ได้ยินดังนั้นวินก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที ที่รู้เพราะตาโตๆนั่นฟ้องทุกอย่าง
“อะไรอ่ะ สำคัญมากถึงต้องมานี่เลยเหรอ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบอกเราได้ไหม”
“เอาไว้ถึงเวลาก็รู้เอง นั่น...ของหวานมาแล้ว” เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เบนความสนใจอีกคนได้ดีผมรู้ พนักงานก็ช่างรู้จังหวะดีเหลือเกิน พอของกินมาวางอยู่ตรงหน้าโลกทั้งใบของหมอฟันเขาก็มีแค่นั้นแล้ว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตาโตอย่างชอบอกชอบใจอยู่นั่น เหมือนผมเลี้ยงเด็กไม่มีผิด
“กินแล้วน้าา” ไม่ได้พูดกับผมหรอกครับ เขาพูดกับของหวานตรงหน้า พอพูดเสร็จก็ค่อยๆตักข้าวเหนียวมะม่วงเข้าปากก่อนที่หน้าหวานๆจะยิ้มเผล่ออกมา จากนั้นก็เริ่มตักอีกสองอย่างที่เหลือกินไปเรื่อยพร้อมกับยิ้มอยู่ตลอด ผมมองด้วยความอ่อนใจกับความเด็กของเขา ส่วนตัวเองก็ชิมนู้นชิมนี่บ้างแต่ก็นิดหน่อยเพราะไม่ชอบของหวานเท่าไหร่อยู่แล้ว ซึ่งต่างจากอีกคน เวลาต่อจากนั้นผมก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของเขาจนทุกอย่างบนโต๊ะเกลี้ยงหมดนั่นแหละ
“ฮ้า อิ่มจัง” กินขนาดนั้นไม่อิ่มก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่ผมก็ชอบนะที่เห็นเขามีความสุขกับมัน แค่วินมีความสุขไม่ว่าจะเรื่องใดก็ให้เขาทำเถอะ ผมชอบที่เห็นเขายิ้ม และยิ่งรู้สึกดีมากถ้ามันมาจากผมเองที่ทำให้เขายิ้มได้
“ชอบที่นี่ไหม” ผมถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ชอบสิ ชอบมากกกก...ชอบทุกอย่างเลย ทั้งอาหาร ของหวาน บรรยากาศ” คนพูดพูดไปพร้อมกับยิ้มจนตาปิด ความสุขฉายชัดออกมาจนผมสัมผัสได้
“แล้วคนที่พามาล่ะ...ชอบไหม” วินชะงักไปทันทีที่ผมพูด ผมไม่มีพิธีการอะไรมากที่จะพูดหรอกครับ ไม่มีดอกไม้ช่อใหญ่ ไม่มีของขวัญ ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีเพียงความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองที่จะให้เขา ผมแค่พูดออกมาตอนนี้เพราะอยากพูดแล้ว
“แต่พัตชอบนะ...” ดูเหมือนว่าวินจะอึ้งไปทันที ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาพูดอะไรเพราะคิดว่าผมต่างหากที่เป็นฝ่ายควรจะพูด เพราะฉะนั้นให้เขานั่งฟังอย่างเดียวก็พอ สิ่งที่วินจะต้องพูดมีแค่แค่คำเดียวเท่านั้นแหละ
“ที่ผ่านมาที่คุยมาตลอดไม่ได้แค่คุยเฉยๆ ไม่ได้คิดแค่เพื่อน การกระทำอาจจะสำคัญกว่าคำพูด...แต่มันคงชัดเจนกว่าใช่ไหมที่จะได้ยินในสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ”
“...”
“พัตชอบวินนะ ชอบมานานจนตอนนี้ไม่ใช่แค่ชอบแล้ว...”
“...”
“...”
“...”
“
เป็นแฟนกันไหม เป็นแฟนกับพัต...”
ไม่มีคำพูดสวยหรู ไม่มีดินเนอร์แสนหวาน ไม่มีความโรแมนติค...ผมไม่ได้เตรียมคำพูดอะไรมาซักนิด หนึ่งประโยคที่คิดก็แค่คำว่าเป็นแฟนกันนะ สิ่งที่เอ่ยออกไปทั้งหมดล้วนมาจากวามรู้สึกที่อยากพูดในตอนนี้ ทั้งที่ใจสั่นจนจะบ้าเพราะไม่รู้ว่าคำที่จะออกจากปากอีกคนตอนนี้คือคำว่าอะไร มันอาจจะเป็นคำปฏิเสธที่ผมไม่อยากฟังหรืออาจจะเป็นคำที่ผมคาดหวัง และผมไม่สามารถเดาได้จากคนที่นั่งนิ่งสนิทในตอนนี้ซักนิด เขานิ่งจนมือผมเริ่มเย็นเฉียบ
เวลาผ่านไปชั่วครู่แต่กลับนานเหลือเกินในความรู้สึกขณะที่เราสบตา ก่อนที่ผมจะเห็นวินสูดหายใจลึกแล้วปากบางๆก็ขยับเอื้อนเอ่ย
และมันเป็นวินาทีที่ผมตื่นเต้นสุดหัวใจ...
“ไม่ให้เราตั้งตัวเลย ไม่โรแมนติกด้วย คิดจะขอก็ขอตรงๆอย่างนี้อ่ะนะ...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แต่ยังไงเราก็ตกลงอยู่ดี: )” กลายเป็นผมซะเองที่อึ้งไปสนิทเมื่อคนตรงหน้าพูดออกมา
มะ เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ ผมหูฝาดไปรึเปล่า!
“วะ วินพูดว่าอะไรนะ”
“ตกลงไง ก็พัตขออะไรเราล่ะ”
หมับ
พอได้ยินชัดอีกทีผมก็ไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปสวมกอดคนที่ยังนั่งอยู่ทันที ซบหน้ากับไหล่บางให้สัมผัสจากคนตัวเล็กบอกว่าผมไม่ได้ฝันไป
“ดีใจ ดีใจที่สุดเลยนะ ดีใจที่วินตกลง” ผมรัดคนที่อยู่ในอ้อมกอดแน่นพร้อมกับโยกตัวเบาๆอย่างดีใจ มันบรรยายความรู้สึกตอนนี้ไม่ถูกเลย เหมือนโดดจากที่สูงแล้วเจอเบาะรองนิ่มๆประมาณนั้นล่ะมั้ง ดีใจจนอยากจะโดดลงแม่น้ำอยู่แล้ว
“พอแล้ว...เราจะหายใจไม่ออกแล้วนะ อายคนอื่นด้วย” ผมผละออกมามองคนที่นั่งอยู่ก่อนจะคุกเข่าลง วินมองไปรอบๆบ้างมองหน้าผมบ้างทั้งที่ตรงที่เรานั่งค่อนข้างห่างไกลจากผู้คนพอสมควร ใบหน้าหวานขึ้นสีจัดราวกับเป็นไข้และผมรู้ว่านั่นคืออาการของคนเขินซึ่งผมเองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
“
พัตรักวินนะ” ผมจับมือสองข้างที่อยู่บนตักของวินแล้วบีบเบาๆ พูดคำสี่คำนั้นด้วยความมั่นคงและด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ผมทำได้แค่มาตลอดวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ในที่สุดผมก็มีสิทธิ์ที่จะบอกคำๆนี้กับเขาซะที
“
ระ เราก็...รัก” แม้คำสุดท้ายจะเบาจนมากแต่ผมก็ยังได้ยิน คนพูดทั้งเสียงสั่นทั้งหลบตา หัวใจของผมที่เต้นรัวยิ่งทำงานหนักขึ้นไปอีก
“ดีใจจนอยากโดดลงน้ำแล้วเนี้ย”
“เวอร์! กลับไปนั่งเก้าอี้ได้แล้ว...เร็ว” แฟนบอกก็ต้องทำตาม ผมลุกขึ้นยืนแล้วกลับมานั่งที่ตัวเองตามเดิม มองหน้าคนที่ดวงตาหลุกหลิกไปมาอย่างจับจ้อง
“ทำอะไรฉลองการเป็นแฟนกันดี” นึกขึ้นได้ว่าผมทำทุกอย่างอย่างธรรมดาไปหมด โอกาสพิเศษควรจะมีอะไรที่พิเศษบ้างใช่ไหม
“จะทำอะไรเล่า เรื่องแค่นี้เอง” ใช้คำว่าเรื่องแค่นี้เองทั้งที่หน้าคนพูดยังแดงไม่หาย
“อืม...เรามาถ่ายรูปกันดีกว่า” ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าวันพิเศษอย่างนี้ก็ควรจะมีการบันทึกภาพแห่งความทรงจำ เคยเห็นพวกเพื่อนๆอัพสเตตัสในเฟสบุ๊คหรือลงภาพในไอจีเนื่องในวันต่างๆคงจะเป็นธรรมดาที่ผมจะทำบ้าง กล้องเกลิ้งอะไรก็ไม่ได้เตรียมมา ใช้โทรศัพท์มือถือตัวเองนี่แหละถ่าย
“เอามือมาเร็ว” บอกอีกคนที่ยังนั่งงงๆอยู่
“เอาไปทำไมอ่ะ”
“เอามาก่อน เดี๋ยวก็รู้” แม้จะยังงงแต่หมอฟันก็ยอมยื่นมือมาหามือผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมจับมือที่เล็กกว่ามากแล้วกดชัตเตอร์ไปสามสี่ภาพ ก่อนจะเลื่อนกล้องขึ้นไปถ่ายหน้าอีกคน “ยิ้มเร็ว”
“ห๊ะ ไม่เอาอ่ะ หน้าเราไม่โอเคเลย”
“น่ารักแล้ว เร็วดิ ไม่งั้นถ่ายแบบไม่ตั้งตัวยิ่งแย่กว่าเดิมนะ” พูดขู่เขาไปด้วยเมื่ออีกฝ่ายงอแงไม่ยอมถ่าย ผมก็ไม่เห็นว่าจะแย่อะไร ตอนไหนเขาก็น่ารักทั้งนั้นแหละ
“ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวเราถ่ายพัตบ้าง” ยู่ปากใส่กล้องก่อนจะตั้งตัวดีๆแล้วยิ้มหวาน ผมกดชัตเตอร์ตั้งแต่ที่เขายู่ปากแล้วครับ นับไม่ได้เหมือนกันว่ากดไปเท่าไหร่ พอพอใจแล้วก็ลดโทรศัพท์ในมือลง
“มาเลย ให้เราถ่ายพัตบ้าง” เจ้าตัวล้วงโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง เปิดกล้องแล้วก็ถ่ายรูปมือเราที่ยังจับกันก่อนจะเบนกล้องมาทางหน้าผม
“ไม่เอาดิ ถ่ายแค่วินก็พอแล้ว” ผมเป็นพวกไม่ค่อยชอบถ่ายรูปซักเท่าไหร่ เซลฟี่ตัวเองนี่แทบจะนับครั้งได้ ส่วนมากโดนคนอื่นถ่ายทีเผลอมากกว่า หลักๆเลยก็ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองคน
“ทีเรายังยอมให้ถ่ายเลยอ่ะ ขี้โกงเหรอ ให้เราถ่ายเดี๋ยวนี้นะ” ผมยังคงเอามือปิดหน้าหลบกล้องไว้อย่างนั้น ก็มันไม่ค่อยชินนี่นาที่ต้องมานั่งให้คนอื่นถ่ายรูปตัวเอง ไม่รู้ต้องทำหน้ายังไง
“แค่นี้ก็ยอมให้เราไม่ได้ใช่ป๊ะ” นั่นไง ก็ทำเสียงน้อยใจขนาดนี้เป็นใครจะไม่ยอมวะ สุดท้ายก็เลยต้องยอมเอามือที่บังหน้าออก
“โอเค ยอมๆ” คนตรงหน้ายิ้มแฉ่งออกมาทันทีพร้อมกับบอกให้ผมยิ้มกว้างๆแล้วมองกล้อง เห้อ เอาตรงๆคือโคตรไม่ชินแต่ผมก็มีเทคนิคพิเศษล่ะนะ
นั่นก็คือคิดว่ายิ้มให้กับคนที่อยู่หลังกล้อง ให้เปรียบเสมือนว่าเลนส์ที่ต้องมองเป็นดวงตาโตๆของวิน แค่นี้ภาพที่ออกมาก็คงไม่ดูแย่ล่ะมั้ง ก็หมอฟันเขาบอกใช้ได้นี่
“วิน”
“หืม?” ผมเรียกชื่อเขาเมื่ออีกคนเอาแต่ดูรูปในโทรศัพท์ คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างที่บอกว่าเรียกทำไม
“จะไม่ปล่อยมือหรอกนะ” มองไปที่มือหนึ่งคู่ที่จับกันอย่างบอกว่าผมหมายถึงอะไร มือที่ผมใฝ่ฝันจะจับมาตลอดมาวันนี้ที่ความฝันเป็นจริงผมจะไม่มีทางปล่อยเขาไปไหนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เหตุผลเดียวที่จะทำให้ผมปล่อยคืออีกฝ่ายไม่รักผมแล้ว ถ้าวินหมดความรู้สึกนั้นผมก็จะไม่รั้งเขาไว้เลย แต่ถ้าไม่ใช่เหตุผลนี้ต่อให้ผมตายก็จะไม่มีวันปล่อยมือเล็กๆคู่นี้แน่
“
แล้วใครจะยอมให้ปล่อย” วินบีบมือผมตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มกว้าง ประโยคที่อีกคนเอ่ยน่ารักจนอยากเข้าไปฟัดชะมัด
ตอนนี้เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดเลย.TBC.
ตามนั้นค่ะเลยค่ะ เป็นแฟนกันแล้วววว

คนแต่งขอตัวไปอ่านหนังสือแล้วค่ะ อู้มาหลายชม.

ช่วงนี้เค้าสอบอาจมาช้าอย่าลืมกันนะ
**ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์มากๆค่ะ(คอมเม้นต์คือกำลังใจจจจจ ชอบอ่านแบบยาวๆมากเลยนะ ใครเม้นต์มายาวๆรักตายเยยยยย)
https://www.facebook.com/Writer-Ex-SoulL-713126712164342/timeline/?ref=aymt_homepage_panel