ด้วยรักจากสวรรค์ ตอนจบ – ...Fall Again======================================
ชายหนุ่มร่างสูงหยุดยืนและเหลียวมองไปข้างหลังก่อนจะหันกลับมาเรียกชื่อสุนัขที่กำลังวิ่งย่ำทรายอย่างสนุกสนาน “ริชชี่ ไปเอาลูกบอลมาเร็ว”
ลูกบอลพลาสติกเนื้อหนาสีสดใสในมือถูกเขวี้ยงสุดแรง สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ตัวโตเต็มที่ไม่รอช้า รีบตะกุยเท้าทั้งสี่วิ่งไล่ตามลูกบอลไปเร็วจี๋ ในขณะที่เจ้าของยืนมองตามแล้วตะโกนให้กำลังใจ “เร็วเข้า เร็ว”
ไม่กี่วินาทีต่อมา ริชชี่ก็คาบลูกบอลกลับมาเต็มปาก วิ่งยั่วเย้าให้เจ้านายหนุ่มไล่ตามสักพักแล้วค่อยปล่อยลูกบอลให้แต่โดยดี “แกเนี่ยน้า ทำไมถึงไม่รู้จักคาบมาคืนแต่แรก ใครสอนมา...ใช้ไม่ได้” บ่นพึม หากแสงเหนือก็ยังลูบหัวลูบตัวเป็นรางวัลให้กับสุนัขตัวโปรด
แสงแดดแรงกล้าในยามกลางวันเริ่มโรยอ่อน พระอาทิตย์ดวงโตแดงอมส้มก่ำค่อยๆ ลับหายราวกับจะร่วงหล่นลงในผืนทะเล ร่างสูงหยุดมองภาพอันงดงามนั้นพร้อมรอยยิ้มอิ่มเอม
...ร่วมสามปีแล้วที่เขาสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ชายหนุ่มยังจำได้ว่าวินาทีที่ลืมตาแล้วสามารถมองเห็นแสงสว่างอีกครั้งนั้นเป็นเช่นไร ความตื้นตัน ความปลาบปลื้มยินดีปะปนกันจนมากล้น แม้ตาจะยังปวดพร่าอยู่ไม่น้อย หากภาพทุกอย่างดูจะสวยงามยิ่งกว่าที่เคยจำได้ สีทุกสีดูจะสดใสงดงามกว่าที่เคยเห็น ใบหน้าของทุกคนที่ยืนรุมล้อมรอฟังผลอยู่รอบเตียงแม้จะดูแปลกตาไปบ้าง หากเขาก็ยังจดจำได้ทุกคน
...เขาจดจำได้ทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นมารดาที่ร้องไห้ทันทีที่สบตากับเขา ท่านดูแก่ชราขึ้นกว่าที่เขาจำได้ หากยังคงสวยสง่าไม่เปลี่ยนแปลง บิดาของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน ภาพของผู้ชายร่างสูงใหญ่ละม้ายบุตรชายที่กำลังยืนยิ้มและกระพริบตาถี่พลางโอบภรรยาคู่ชีวิตไว้แน่น ถัดไปคือเจ้าอั้ม...พี่ชายจอมยียวนกอดอกยิ้มกว้างต้อนรับไม่ไกลจากวิกกี้ซึ่งอุตส่าห์บินกลับมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ และยังจะลุงโต ผู้ยืนเช็ดน้ำตาป้อยด้วยความดีใจอยู่ตรงข้างประตู นอกจากนั้นคือคุณหมอและนางพยาบาล กระนั้น แสงเหนือยังอดมองไปรอบๆ ห้องด้วยความคาดหวังอีกไม่ได้ คาดหวัง...ในสิ่งที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูกว่ากำลังมองหาอะไร...หรือใครอยู่
รอยยิ้มเขาสลดลงเล็กน้อย แต่ไม่มีใครสังเกตนอกจากจะยิ้มแย้มให้กันด้วยความปลาบปลื้มที่การผ่าตัดประสบความสำเร็จ
หลังจากนอนพักฟื้นจนอาการดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอจึงอนุญาตให้เขากลับบ้านได้ในที่สุด
สิ่งมีชีวิตอย่างแรกที่วิ่งถลามาต้อนรับการกลับบ้านของเขาคือสุนัขลาบราดอร์ตัวอ้วนสีอ่อน มันกระโดดเริงร่าไปมารอบๆ และทันทีที่เจ้านายคุกเข่าลงมาหาใกล้ๆ เจ้าริชชี่ไม่รอช้าเลยที่จะใช้ลิ้นกับจมูกร้อนๆ ซุกไซ้จนเขาเปียกน้ำลาย
คนรับใช้ทุกคนรอต้อนรับเขากลับบ้าน สีหน้าของทุกคนปลาบปลื้มยินดีแม้ว่าหลายๆ คนในนั้นจะเคยโดนเจ้านายหนุ่มอาละวาดใส่ขนาดหนักมาก่อน
แสงเหนือนั่งพูดคุยกับพ่อแม่พักใหญ่ก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อน การเดินขึ้นบันไดไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องจับราวบันได ไม่ต้องค่อยๆ ย่างก้าวยกเท้าขึ้นบันไดทีละขั้นๆ อย่างระมัดระวังอีก มันให้ความรู้สึกดีเสียจนอดยิ้มออกมาคนเดียวไม่ได้
มือใหญ่บิดลูกบิดประตูห้องนอน หยุดสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยที่เขาแทบจะไม่รู้สึกตัว บานประตูเปิดกว้าง แสงแดดสดใสส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาจนห้องสว่างไสว ลมหอมกลิ่นสะอาดสดชื่นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ทุกอย่างล้วนดูดี ทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบ หากภายในหัวใจกลับว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก
ข้าวของทุกชิ้นยังวางอยู่ที่เดิม ดังเช่นครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ ...เตียงหลังกว้าง โต๊ะริมหน้าต่าง เก้าอี้หนานุ่มนั่งสบาย ตู้เก็บหนังสือและข้าวของส่วนตัว ทว่าห้องกลับดูกว้างเกินไปยามเขาได้มองเห็นเต็มสองตา ไม่มีอีกแล้วกับความดำมืดที่คล้ายกับจะบีบรัดจากทุกทิศทาง ไม่มีอีกแล้วกับความวิตกกังวลโลกภายนอก แต่น่าแปลก...ในยามนั้น กลับไม่มีความยินดีดังเช่นในวินาทีแรกที่เขาลืมตามองเห็นอีกครั้ง
เขาคาดหวังและผิดหวังในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาไม่สามารถอธิบายสิ่งนี้ให้ใครฟังได้ และในเมื่อทุกคนต่างห้อมล้อมแสดงความยินดีกับเขาราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แสงเหนือจึงได้แต่ปัดความกังวลไร้สาระทิ้งไป พยายามลืมความรู้สึกอันอธิบายไม่ถูกและหันมาใส่ใจกับสิ่งที่ตามองเห็น พยายามลืมอดีดอันเจ็บปวดและสิ้นหวัง เพื่อก้าวไปสู่อนาคตและวันพรุ่งนี้
ในเวลากลางวัน เขาสามารถปรับตัวกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้
หากในเวลากลางคืน ความมืดมิดกลับยังตามมาหลอกหลอนไม่จบสิ้น
ท้องฟ้าดำมืดไม่ใช่ปัญหา โมงยามที่เงียบกริบยามอยู่ตามลำพังไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว ทว่าปัญหากลับเกิดขึ้นยามหลับตานอนต่างหาก
การจะผ่านพ้นช่วงทิ้งหัวลงบนหมอนและเคลิ้มหลับสร้างความอึดอัดบอกไม่ถูก หลายต่อหลายครั้งที่เขาพยายามฝืนตาเบิกโพลงทั้งที่ง่วงงุนเหลือแสน กว่าจะหลับลงได้คือยามที่ร่างกายอ่อนล้าจนสุดทน เพียงเพื่อจะตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกวูบโหวง ภายในความมืดมิด เขาคลับคล้ายจะได้พบบางสิ่งบางอย่างที่ทำหล่นหาย แต่ทุกครั้งที่ลืมตา มันกลับจางหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยใดให้จดจำ
ฝันดีที่เขาจำไม่ได้ หลายครั้งที่เขาตื่นขึ้นพร้อมรอยยิ้ม แต่อีกหลายครั้งมากกว่าที่ความฝันหม่นเศร้าทำให้ตื่นขึ้นพร้อมอาการแน่นหน้าอก ความโศกเศร้าบีบรัดในช่องอกจนอึดอัด ...อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกและไม่นึกอยากหายใจ อึดอัดเสียจนอยากทิ้งตัวอยู่แต่ในโลกแห่งความฝันตลอดไป
ทั้งที่คิดว่าปกปิดดีแล้ว หากแม่ของเขาคล้ายจะสังเกตได้และไต่ถามอย่างใจเย็น จะให้เขาอธิบายสิ่งที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เข้าใจได้ยังไงเล่า แสงเหนือตอบปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อนทุกครั้ง กระนั้นแม่ยังเพียรพยายามชักชวนเขาให้ทำโน่นทำนี่รวมถึงการท่องเที่ยวให้สบายใจอีกด้วย
“เราไม่ได้ไปเที่ยวพักผ่อนกันนานแล้วนะ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยโน้มน้าว “เหนือเลือกสิว่าอยากไปเที่ยวไหน ทะเลหรือภูเขา อยากล่องเรือหรือ...”
“...ทะเลครับ” คำตอบหลุดจากปากไปก่อนสมองจะทันคิด แสงเหนือเงยหน้าบอกมารดา “ผมอยากไปทะเล”
“ได้สิ งั้นเป็นบาหลี มัลดีฟส์หรือ...” ก่อนทะเลชื่อดังรอบโลกจะถูกเอ่ยมากกว่านี้ เขากลับตัดบท กล่าวยิ้มๆ “เอาแค่ใกล้ๆ ดีกว่าครับ ผมอยากเอาริชชี่ไปด้วย แล้วก็...เผื่อเจ้าอั้มอาจจะลางานไปเที่ยวด้วยกันได้ ถ้าเป็นไกลๆ หมอนั่นคงไปไม่ได้”
“หือ เหนือจะชวนตาอั้มไปด้วย” เสียงสูงบ่งบอกความประหลาดใจของมารดาทำเขาหน้าม้านนิดๆ “นึกยังไงจ๊ะ”
“...ไม่รู้เหมือนกันครับ” ตอบตามตรงหลังจากนิ่งอึ้งพักใหญ่ นึกสับสนไม่แพ้มารดาว่าเหตุใดจึงตนหลุดปากเช่นนั้นออกไป
“ผมแค่... ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าแม่ลองถามหมอนั่นดูก่อนแล้วกันว่าจะไปหรือเปล่า ถ้าเขาเล่นตัวอิดออดไม่อยากไปก็ไม่ต้องเซ้าซี้...” หยุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนแสงเหนือจะนึกออกว่าเหตุใดเขาจึงคิดชวนศัตรูคู่แค้นไปเที่ยวด้วย “แม่ลองถามดูแล้วกัน”
หลังได้รับคำตอบจากพี่ชายต่างมารดาในอีกสองสามวันต่อมา แสงเหนือจึงรีบกดโทรศัพท์ข้ามทวีปไปหาวิกกี้ ทีแรกพอเอ่ยปากชวนให้หญิงสาวมาเที่ยวทะเลไทย ปลายสายก็สวนแหวกลับมาแทบจะทันที “จะบ้าเหรอยะ ประสาทดีหรือเปล่า บอกให้ฉันบินกลับไปครึ่งโลกเพื่อไปเที่ยวทะเลเป็นเพื่อนนายเนี่ยนะ! ต่อให้ฉันอยากเที่ยวทะเลจริง ฉันหาเที่ยวเอาแถวนี้ไม่ดีกว่ารึ! จากนี่ไปกรุงเทพฯ นายพูดอย่างกับนั่งรถชั่วโมงสองชั่วโมงก็ถึงงั้นล่ะ ถึงตานายจะหายดีแต่ฉันว่าสมองนายคงมี...”
“เจ้าอั้มบอกว่าจะไปด้วย” ประโยคสั้นๆ เบรกหญิงสาวได้ชะงัด “ถ้าเธอไม่อยากไป ฉันก็ไม่...”
“ขอเวลาเคลียร์ตารางหนึ่งเดือน” สั่งฉับแล้ววิกกี้ก็รีบร้อนวางหูโดยไม่แม้แต่จะกล่าวลา ดูท่าว่าคงจะวิ่งไปเคลียร์ตาราง
เกือบสองเดือนหลังจากนั้น พวกเขาจึงได้ไปเที่ยวทะเลกันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรก หลังจากลำบากลำบนจนแทบจะต้องหิ้วคอเมืองเอกที่รู้ในวินาทีสุดท้ายว่ามีแขกพิเศษอย่างวิกกี้ไปด้วยและตั้งท่าจะถอนตัวจากทริปท่าเดียวเอาไว้ได้ การเที่ยวทะเลครั้งนั้นก็มีความสุขดี
แม้จะโดนมารดาเหลือบค้อนคล้ายจะตำหนิเนืองๆ กับความพยายามทำตัวเป็นกามเทพ แม้จะโดนเจ้าอั้มถลึงตาจ้อง ตั้งท่าหาเรื่องและทำท่าคลับคล้ายอยากไล่เตะเขาเต็มทนตลอดทริป แต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มซึ่งมีมากกว่าก็ช่วยยืนยันว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด
รูปภาพที่ได้จากทริปท่องทะเลมีเกือบสามอัลบั้ม แสงเหนือเลือกได้รูปถ่ายที่มีครบทุกคนโดยอาศัยพนักงานโรงแรมถ่ายให้ ตั้งใจจะมาใส่กรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะแทนที่รูปเก่าซึ่งถ่ายกับมารดาตั้งแต่สมัยเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
หากยังไม่ทันเปลี่ยนรูปเก่าออก ซองจดหมายฉบับหนึ่งกลับดึงความสนใจของเขาไปเสียก่อน
จดหมายฉบับบางถูกกรอบรูปวางทับไว้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ หากเมื่อพิจารณาจากคราบฝุ่นบางๆ ก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันถูกวางลืมอยู่ตรงนี้มานานพอสมควรแล้ว
ด้วยความสงสัยแกมอยากรู้ ชายหนุ่มค่อยๆ แกะซองจดหมายที่ไม่มีกระทั่งรอยเปิดออกช้าๆ หัวใจของเขาเต้นเร็วทั้งที่ไม่น่ามีอะไรตื่นเต้น ...มันก็แค่จดหมาย แค่จดหมายที่ถูกลืมทิ้งไว้อย่างไร้ค่าหรือความสำคัญ กระนั้นกลับนำพาความรู้สึกบางอย่างมาให้จนหัวใจเขาเต็มตื้นล้นเอ่อ คาดหวังจนปลายนิ้วสั่นยามดึงกระดาษไม่กี่แผ่นออกมา สูดหายใจลึกยามค่อยๆ คลี่มันออกอย่างช้าแสนช้า...ด้วยกลัวมันจะฉีกขาดเสียหายหรือมีรอยยับเกิดขึ้นสักนิด
...........
...........
ลมหายใจที่ถูกกลั้นไว้ค่อยผ่อนออกเนิ่นนานหมดปอด หัวใจที่เคยเต้นรัวแรงกลับเชื่องช้าลงจนน่าใจหาย ...กระดาษเปล่าในมือเขาไม่มีแม้แต่ร่องรอยขีดเขียน กระดาษทุกแผ่นล้วนว่างเปล่าเหมือนหัวใจของเขา
กำปั้นทุบโครมลงบนผนังพร้อมกับที่เจ้าตัวก้มหน้าหอบหายใจ แสงเหนือบิดเบ้รอยยิ้มขื่น ก่นด่าตัวเองกับอาการผิดปกติอันไม่รู้สาเหตุ เหนื่อยล้ากับความเจ็บปวดอันไม่รู้ที่มา ก่อนจะสลัดความคิดสับสนและความผิดหวังทิ้งไป ...ชีวิตของเขามีความสุขดีแล้ว เขามีทุกอย่างที่ต้องการ มีคนที่เขารักและรักเขา และแน่นอนว่าเขาพร้อมจะต่อสู้กับทุกอย่างและเสียสละทุกสิ่งเพื่อให้ทุกสิ่งในเวลานี้ดำเนินต่อไปอย่างสงบสุข
เขาจะไม่ยอมให้ความผิดปกติมาพรากความสุขที่เพิ่งได้รับกลับมาเมื่อไม่นานมานี้ไปเด็ดขาด
กระดาษว่างเปล่าถูกพับกลับลงซอง หากก่อนที่จะถูกวางกลับลงที่เดิม ...ร่างสูงก็ส่ายหน้า ยิ้มขำตัวเองเล็กน้อยก่อนจะขยำสิ่งที่อยู่ในมือจนเป็นก้อนกลมแล้วโยนทิ้งถังขยะ
...พอกันทีกับอดีต เขาจะอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้เท่านั้น
++++++++++
หลังจากเอนหลังนอนเล่นบนเก้าอี้ชายหาดอยู่จนตะวันดวงโตจวนเจียนจะลาลับ ร่างสูงจึงลุกขึ้นบิดตัว เจ้าริชชี่ที่นอนคาบบอลยางน้ำลายยืดหมอบคอยอยู่ข้างๆ มาตลอดจึงกระโดดลุกขึ้นยืนบ้าง มันสะบัดเนื้อสะบัดตัวเพื่อให้ทรายหลุดจากขนสั้นๆ ของมันแล้วหันมามองหน้าเจ้านายอย่างคาดหวัง
“ไม่เล่นแล้ว ริชชี่ เย็นแล้ว วันพรุ่งนี้ต้องรีบกลับแต่เช้าด้วย” แสงเหนือกำสายจูงที่ถอดออกมาม้วนหลวมๆ ไว้ในมือในขณะที่ริชชี่รับภาระคาบลูกบอลของตนเองมุ่งหน้ากลับที่พัก
ตั้งแต่หายดี เขามักหาเวลาว่างในวันหยุดเพื่อขับรถมาเที่ยว บางครั้งก็มากับแม่ บางครั้งก็มากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ กินดื่มเที่ยวเมากันให้สนุกสนาน หากบ่อยครั้งกว่า...ที่เขามาคนเดียว อย่างดีก็พ่วงเจ้าริชชี่มาอีกตัวเท่านั้น
“ต๊าย น่ารักจัง คาบลูกบอลตัวเองไว้ด้วย” เสียงหญิงสาวดึงความคิดของชายหนุ่มออกจากภวังค์ ผู้พูดคือหญิงวัยรุ่นหน้าตาสะสวยที่มากับเพื่อนสาวอีกสองสามคน เธอเงยหน้ายิ้มพร้อมขออนุญาต “จับได้ไหมคะ ดุหรือเปล่า”
“ตามสบายครับ ริชชี่มันชอบสาวๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะสวยๆ ยิ่งไม่มีปัญหา” แสงเหนือสัพยอกตามความเคยชิน ส่งผลให้เกิดเสียงกิ๊วก๊าวดังจากปากเพื่อนๆ ขณะใบหน้าเนียนขึ้นสีจัด รีบก้มลงลูบหัวสุนัขแสนรู้แทบไม่ทัน พยายามทำทีไม่สนใจเสียงหัวเราะเบาๆ ของชายหนุ่มหน้าตาดีผู้เป็นเจ้าของอีก
เขาไม่ทั้งปฏิเสธหรือคิดเข้าข้างตัวเองไปฝ่ายเดียว แสงเหนือรู้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขามักจะถูกตาต้องใจเพศตรงข้ามเสมอๆ และไม่ปฏิเสธเช่นกันว่าเขาชอบของสวยๆ งามๆ บรรดาแฟนเก่าทุกคนตั้งแต่สมัยก่อนถ้าไม่ใช่หญิงสาวหน้าตาสวยงามสะดุดตาก็มักจะเป็นสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ทุกๆ คนเต็มใจและล้วนมีความสุขในยามคบหาเป็นคนรักกับเขา แม้ว่าจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าในเวลาไม่นานจะต้องแยกทางกัน แต่ระหว่างนั้น แสงเหนือเทคแคร์และทำให้พวกเธอทุกคนมีความสุขมากมายเกินพอ ทว่าสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นผิวกายที่อิงแอบ ไออุ่นและสัมผัสที่ถ่ายทอดล้วน...ไม่ใช่ ไม่เคยมีใครที่ใช่เลย
เมื่อความสัมพันธ์เริ่มเหินห่างจนนำไปสู่การแยกทาง หญิงสาวหลายคนร้องห่มร้องไห้ตัดพ้อว่าว่าทำไมเขาถึงไม่เคยรักพวกเธอเลย
คร้านจะอธิบายว่าเขาเคยรัก...หากความรักนั้นมันจบลงไปแล้วต่างหาก
ในขณะที่หลายๆ คนกลับอวยพรให้เขาได้เจอคนที่รักจริงๆ เสียที
คนที่รักจริงๆ งั้นเหรอ แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่หัวใจเขาเจ็บแปลบกับคำอวยพรนี้ทุกครั้ง... หลายคนคง
คาดหวังกับความรักในอนาคต แต่เขากลับรู้สึกคล้ายว่าความรักของตนจมอยู่ในอดีต อนาคตสดใสอาจรอเขาอยู่ข้างหน้าก็จริง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนทำหัวใจหล่นหายไป ตั้งแต่เมื่อใด...ก็ไม่รู้
แม้จะเคยพร่ำบอกตัวเองให้ลืมอดีตและอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ หากเวลาที่ล่วงผ่านกลับบ่งบอกชัดเกินกว่าจะปฏิเสธ เขาทำไม่ได้ โลกอาจจะยังหมุนไปไม่สิ้นสุด แต่เวลาของเขากลับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนนาฬิกาตาย
เป็นช่วงเวลาอันไร้ค่า ไร้ซึ่งจุดจบ ยกเว้นเสียแต่จะได้เจอส่วนที่ขาดหาย บางสิ่งที่เขาเฝ้าตามหา โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังมองหาอะไรอยู่
แสงเหนือลอบถอนหายใจกับความว่างเปล่าวูบโหวงซึ่งแล่นวาบขึ้นในอกอีกครั้ง ฝืนยิ้มสุภาพ ไม่หลงเหลือร่องรอยการเกี้ยวพาในน้ำเสียง “ริชชี่ชอบเล่นน่ะครับ จะคนแปลกหน้าหรือใครก็เล่นกับเขาไปได้หมด”
ชายหาดยามเย็นมีผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยออกมารับลมเย็นและชมทิวทัศน์พระอาทิตย์ตกตอนกลางคืน บ้างมาเป็นคู่เดินจูงมือกัน บ้างมากับกลุ่มเพื่อนพูดคุยกันอย่างร่าเริง บ้างก็เดินมาตามลำพัง...
“ถ้าไง ลองโยนลูกบอลให้มันไปเก็บก็ได้ครับ แต่บางครั้งมันก็ไม่ยอมเอามาคืน ชอบให้วิ่งไล่ประจำ”มือใหญ่เอื้อมลงดึงลูกบอลจากปากสุนัขส่งให้ ใครบางคนเดินสวนมาจากทางด้านหลังของกลุ่มหญิงสาว แสงเหนือไม่ได้หยุดพูด ไม่แม้แต่จะเหลือบมองดูด้วยซ้ำ “ระวังน้ำลายนะครับ มันชอบ...”
คำพูดที่เหลือชะงักอยู่ในลำคอ ร่างสูงยืนตัวแข็งทื่อเป็นหิน ดวงตาแทบจะมองสิ่งใดไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนรอบกาย ผืนทราย ท้องฟ้าหรือทะเลกว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับจะดับวูบหายไปต่อหน้าต่อตา ร่างของคนแปลกหน้าเดินสวนลับหายไปแล้วแต่ชายหนุ่มยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ยังไม่สามารถพูดคำใดออกจากลำคอตีบตันได้
ในเสี้ยววินาทีที่ราวกับจะไม่สิ้นสุด เขามองไม่เห็นสิ่งรอบกายดังเช่นยามดวงตามืดบอด หากมาบัดนี้ หัวใจกลับเห็นกระจ่าง ชัดเจน...
ในเสี้ยววินาทีที่ยาวนานราวชั่วนิรันดร์ ทั้งดวงตา ทั้งหัวใจเขาไม่ยอมรับรู้สิ่งใด ไม่ยอมมองสิ่งอื่นใด นอกจากคนคนเดียว...
น้ำตาไหลพรากเป็นสายจากสองตา ก่อนแสงเหนือจะหมุนตัวหันกลับไป...
................
......................
............................
ภาพบนหน้าจอค่อยๆ ถอยห่างออกมาจนมองเห็นร่างของคนทั้งสองเป็นแค่จุดเล็กๆ ทว่าผู้ที่นั่งเท้าคางมองอยู่ตลอดกลับไม่ขยับตัวทำอะไรนอกเสียจากจะแอบใช้ปลายนิ้วเช็ดตรงหางตา
เผลอทำเสียงสูดจมูกดังเบาๆ แล้วเทวดาชุดขาวจึงรีบยกมือโบก ภาพบนจอยักษ์จึงดับวูบหายไป
“หึ... แล้วค่อยเจอกันนะ ทั้งคู่นั่นล่ะ” ดวงตาแดงนิดๆ หรุบต่ำ อมยิ้มกับตัวเอง ...ก็ดี ครั้งหน้าที่จะได้ต้อนรับพวกนั้นพร้อมกันที่นี่จะได้ไม่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายใดๆ ให้รำคาญหู...แต่นั่น คงยังเป็นเรื่องอีกนาน
“เฮ้อ พอๆ ทำงานดีกว่า” รีบลุกกระปรี้กระเปร่า บ่นพึมทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มจาง “ดูสิ แล้วภาระก็ต้องมาตกที่ฉันจนได้ ว่าแต่จะทำยังไงดีหว่า สงสัยคงต้องขอให้ใครช่วย มีใครที่ใจดีแถมไม่เคร่งกฏว่างๆ อยู่บ้างล่ะเนี่ย อืม คิดอีกที ลองมั่วเองดีกว่ามั้ง เผื่อจะยังกลบเกลื่อนเรื่องไม่แดง...”
โครมมม!!!
ร่างในชุดขาวล้วนชนิดไม่มีสีอื่นเจือปนหกล้มหน้าคว่ำนอนไม่กระดุกกระดิกจนคล้ายเวลาจะหยุดนิ่งไปหลายวินาทีสวรรค์ ก่อนเจ้าตัวจะกระเด้งตัวลุกพรวด หน้าซีดเผือดจนกลายเป็นสีเทาขี้เถ้า หกล้มหกลุกคลุกคลานไปตะปบพื้นตรงปลายเท้าดังป้าบ
สิ่งที่ติดมือสั่นเทาขึ้นมาคือสายไฟทั้งยวง
++++++++++ จบ ++++++++++
จบแล้วววววววววววววววววววววววแม้จะรู้สึก ห้วน สั้นไปนิด.....แต่ก็ทิ้งตอนจบได้สวยงามนะ *ในความรู้สึกของเรา*
ขอบคุณ DD มากมาย สำหรับเรื่องที่น่ารัก ซาบซึ้ง และทำให้เราศรัทธาในรักแท้ต่อไป
ขอบคุณทุกๆ ความคิดเห็น ในกระทู้นี้ด้วยนะคะ ที่ตามให้กำลังใจตลอดมา

โอกาสหน้าจะหาเรื่องมาโพสให้อ่านกันอีกนะคะ
