Chapter 9 : Unity & Spiritหลังจากที่น้ำสาธิตยูโดไปได้อีกสักพัก เขาเริ่มต้นกล่าวสรุป แต่ในขณะเดียวกันอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงขอเวลานอก
“ครับ?”
“เดี๋ยวอาจารย์จะไปเปลี่ยนเสื้อหน่อย เหงื่อออกเยอะชะมัดเลยวันนี้ แล้วจะมาช่วยสรุปต่อจากน้ำให้นะ” อาจารย์พูดพร้อมกับจับเสื้อกล้ามตัวในกระพือเบาๆ แล้วก้าวฉับๆ ออกไป
น้ำพยักหน้ารับ หากจู่ๆ พวกรุ่นน้องวิศวะปีหนึ่งที่นั่งอยู่บนที่นั่งก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ พอเขาหันไปมอง ก็เห็นว่าแต่ละคนมีสีหน้าตื่นๆ บางคนหันไปพูดคุยกัน บางคนก้มลงปรึกษากัน
“มีอะไรใช่มั้ยถึงได้ยกโขยงกันมาแบบนี้” ชายหนุ่มถามรุ่นน้องคนที่ยืนหันรีหันขวางอยู่ใกล้ๆ
“พี่รีบตามอาจารย์ไปที่ห้องแต่งตัวเถอะ ไม่งั้นไอ้เมฆแย่แน่”
..
.....
..
เมฆและยมยืนลังเลอยู่ที่หน้าตู้ขนาดใหญ่ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของโรงยิม ส่วนตำลึงคอยยืนดูต้นทาง ระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติการรื้อหาเสื้อผ้าและกางเกงในกัน
“ทางกำลังสะดวก พวกมึงเร็วเข้า” ตำลึงชะโงกหน้าออกไปสำรวจทางเดินแล้วหันกลับมาบอก
ยมพยักหน้า เขาชี้ไปที่ตู้ซึ่งสูงขึ้นไปจนเกือบถึงเพดาน มีบานประตูเรียงเป็นแถบ “อยู่ในช่องไหนสักช่องนี่แหละ รีบหาเร็ว”
“ทำไมไม่มีล็อกเลยวะ ไม่กลัวของหายกันเรอะ” เมฆพึมพำพลางเปิดดูทีละตู้
“ของมีค่าเขาเก็บไว้ในล็อกเกอร์ที่อยู่อีกห้อง ในห้องนี้มีแต่เสื้อผ้ากับรองเท้า ผ้าเช็ดตัวไรงี้ เพราะเดินทะลุไปห้องอาบน้ำได้ ใครจะมาฝึกซ้อมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วถอดของเดิมแขวนไว้ เสร็จแล้วเวลามาอาบน้ำจะได้หยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนใส่ได้สะดวก” อีกฝ่ายอธิบาย “เออ ดูจากไซส์แล้วน่าจะตู้นี้รึเปล่าวะ”
“ดูยี่ห้อสิวะ ถ้ายี่ห้อแพงๆ นี่น่าจะใช่” เมฆเสนอ
ยมหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมา “วาเลนติโนแพงพอมั้ยวะ”
“พอๆ ไซส์อะไรวะ” เมฆหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจดไซส์เสื้อ กางเกง และรองเท้าในตู้นั้น “กางเกงในล่ะ”
“เหี้ย กูไม่กล้ารื้อว่ะ มึงรื้อเองละกัน” ยมถอยออกมาห่างๆ “เร็วๆ”
เมฆก้าวเข้าไปยืนหน้าตู้ ยกมือไหว้แล้วรื้อกองเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง “เจอแล้ว แต่มองไม่เห็นไซส์เลย”
“มึงหยิบออกมาดูสิ”
ปลายนิ้วมือของเด็กหนุ่มเย็นเฉียบ เขารู้สึกว่าตัวเองโรคจิตชอบกล แต่ก็ช่วยไม่ได้ มันจำเป็น... เมื่อมือสัมผัสโดนกับผ้าเนื้อนิ่มลื่น ให้ความรู้สึกเย็นๆ เมฆจึงกระตุกออกมาจากในกอง
“อื้อหือ ขนาดกางเกงในยังเวอซาเช่ แล้วไซส์...”
“เฮ้ย! พวกมึงเร็วเข้า อาจารย์กำลังเดินมาทางนี้แล้ว” ตำลึงรีบปิดประตูห้องพลางหันมาบอก
“ฉิบหาย! ทำไงดี!” เมฆลนลาน ด้วยความตกใจจึงยัดกางเกงในใส่มือเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน
“เย้ย! ไม่เอาเว้ย” ยมยัดกลับใส่มืออีกฝ่าย
“มึงเก็บใส่กองทีสิวะ”
“ไม่เอา มือกูสั่นอะ”
“พวกมึงทำอะไรกันอยู่วะ” คนเฝ้าต้นทางเดินเข้ามาตาม แต่พออีกสองคนในห้องหันมาเจอเขา กลับโยนกางเกงในให้ซะนี่ “เฮ้ย! ส่งมาทำไม” ตำลึงโยนกางเกงในเจ้ากรรมตัวเดิมกลับไปหาสองหนุ่ม ซึ่งต่างถอยหนีกันไปคนละก้าว กางเกงในสีน้ำเงินขลิบลายเส้นสีทอง มีตัวหนังสือสีทองเขียนว่า VERSACE บนขอบยางยืดสีดำสนิท จึงร่วงลงบนพื้นห้อง พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนที่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง
บานประตูเปิดออกผาง!
“พวกคุณทำอะไรกัน!” อาจารย์ถามเสียงเข้ม พลางตวัดสายตามองยม หนุ่มน้อยที่เป็นสมาชิกในชมรม จากนั้นสายตาจึงเคลื่อนลงไปที่พื้นห้อง “ทำไมกางเกงในของผมถึงมากองอยู่กับพื้นฮะ”
“หา! ของอาจารย์เหรอครับ” สามหนุ่มเบิกตาโพลง
น้ำตามเข้ามาสมทบเช่นเดียวกันกับสมาชิกอีกสองสามคนในชมรม ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่เพื่อนในชมรมหลุดหัวเราะเสียงดังก้อง “โอ้โห! กางเกงในอาจารย์แซ่บมากคร้าบ”
“นี่ฝีมือใคร!” อาจารย์ทั้งโกรธทั้งอาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ยม!”
เมฆรีบก้าวเข้าไปขวาง “ผมเองครับอาจารย์”
ยมหันไปมองสีหน้าจริงจังของเพื่อน ก่อนจะก้มหน้าหลุบตาต่ำ ที่จริงเขาเองก็รู้ว่ามันผิด แต่ก็ยังพาเพื่อนเข้ามา เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น “แต่ผมเป็นคนพาเพื่อนเข้ามาครับ”
ตำลึงหันมองเพื่อนทั้งสองสลับกัน พลางพ่นลมหายใจออกหนักๆ “ผมเองก็มีส่วนครับ”
“พวกคุณปีหนึ่งวิศวะทั้งนั้นเลยนี่ เดี๋ยวพวกคุณสามคนตามผมไปที่ห้องพักอาจารย์...” อาจารย์ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงของกลุ่มคนดังขึ้นแทรก
“อาจารย์! พวกผมก็ด้วยครับ!”
อาจารย์หันขวับไปทางด้านหลัง ซึ่งมีกลุ่มของวิศวะชั้นปีที่หนึ่งยืนอยู่แน่นจนมองไม่เห็นทางเดิน “อะไรกันเนี่ย! พวกคุณรวมหัวกันมาขโมยกางเกงในผมรึไง” เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ละคนก็เอาแต่ก้มหน้านิ่ง
“เปล่าครับ ผมแค่จะขอดูไซส์” เมฆตอบเสียงอ่อย
“หา!”
น้ำก้าวเข้าไปหาอาจารย์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ “อาจารย์ครับ น้องๆ คงมีเหตุผลนะผมว่า ไม่งั้นคงไม่สามัคคีกันมาขนาดนี้”
น้ำเสียงของชายหนุ่มราวกับเป็นระฆังสั่งให้หยุดรบ อาจารย์หันไปฟังศิษย์คนโปรดพูด แล้วพยักหน้าหงึกหงัก “อืม... แต่เหตุผลอะไร...”
ชายหนุ่มพูดแทรก เขาเดาว่าคงเป็นพวกรุ่นพี่สั่งมานี่ล่ะ แต่ก็ไม่อยากให้อาจารย์สาวไปจนถึงต้นตอ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียเปล่าๆ “สมัยผมอยู่ปีหนึ่งก็ต้องทำมิชชั่นอะไรพิเรนทร์ๆ มากมาย แต่ก็ไม่เคยรวมตัวกันได้เป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ ผมว่าพวกน้องๆ เขาน่าประทับใจออกนะครับ ถึงจะผิดวิธีไปหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย... ผมว่าแค่ตักเตือนแล้วลงโทษให้ทำความสะอาดโรงยิมก็น่าจะพอแล้วนะครับ พากันมาตั้งมากมายขนาดนี้ โรงยิมคงสะอาดเอี่ยมแน่ๆ” ชายหนุ่มเกลี้ยกล่อมอาจารย์อย่างใจเย็น
อาจารย์หยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด “ถ้าน้ำว่าอย่างนั้น อาจารย์ก็โอเค แล้วแต่น้ำแล้วกัน”
เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังแว่ว เมฆชำเลืองมองคนที่เข้ามาช่วยด้วยความรู้สึกขอบคุณ เพราะถ้าหากเรื่องถึงอาจารย์ในคณะเขา คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ราวกับไฟลามทุ่ง
น้ำหันไปบอกกับปีหนึ่งวิศวะทุกคนที่ยืนในที่นั้น “พวกคุณได้ยินที่อาจารย์บอกแล้วใช่มั้ย ไปเริ่มต้นทำความสะอาดโรงยิมกันได้แล้ว” จากนั้นจึงหันไปทางเมฆ “ประธานรุ่น หวังว่าจะควบคุมเพื่อนคุณได้นะ”
เมฆยกมือขึ้นไหว้อาจารย์ “ขอบคุณครับอาจารย์” แล้วหันไปทางน้ำ “ขอบคุณครับ พวกผมจะช่วยกันทำความสะอาดเดี๋ยวนี้ครับ”
พื้นที่โรงยิมมีขนาดกว้างใหญ่พอสมควร แต่เมื่อเทียบกับจำนวนของวิศวะชั้นปีหนึ่งแล้วก็ยังดูแคบไปถนัดตา และเพราะพวกเขามีเวลาไม่มากนักก่อนการประชุมเชียร์จะเริ่มขึ้น จึงต้องเร่งทำความสะอาดกันเต็มที่
เมฆแบ่งกลุ่มเพื่อนแล้วให้แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ที่กำหนดให้ พวกเขาบ่นโวยวายเสียงดัง ทว่าก็ยังก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดกันไป
อาจารย์ยืนกอดอกมอง แต่แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ “ปีหนึ่งวิศวะรุ่นนี้สามัคคีกันดีนะ”
น้ำยิ้มมุมปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่ยืนนิ่งๆ มองประธานรุ่นวิ่งวุ่นคุมงานเพื่อนพ้องไปเรื่อยๆ เท่านั้น
หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านพ้นไป การทำความสะอาดยังไม่เสร็จสิ้นดี ทว่าเหล่าวิศวะปีหนึ่งก็จะต้องรีบไปเตรียมตัวเพื่อเข้าประชุมเชียร์กันแล้ว พวกเขาปรึกษากันชั่วครู่ แล้วจึงเดินไปหาอาจารย์
“พวกผมต้องไปเข้าประชุมเชียร์ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะกลับมาทำความสะอาดต่อครับ” เมฆสัญญากับอาจารย์
อาจารย์พยักหน้า “หวังว่าจะไม่โกหกนะ พรุ่งนี้ผมจะมาเช็ก” จากนั้นจึงหันไปทางชายหนุ่มที่เป็นศิษย์รัก “ฝากด้วยนะน้ำ”
กลุ่มวิศวะปีหนึ่งเดินกอดคอกันกลับไปอย่างจ๋อยๆ เนื้อตัวสกปรกมีแต่ฝุ่น เหนื่อยก็เหนื่อย คันก็คัน ร้อนก็ร้อน เหงื่อออกจนเหนียวตัวไปหมด แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมากันเลย
น้ำยืนมองทุกคนเดินจากไปพลางหัวเราะเบาๆ เขาเองก็ชักนึกสงสารรุ่นน้องพวกนี้เหมือนกันแฮะ
หลังจากการประชุมเชียร์เสร็จสิ้นลง เมฆกับเพื่อนๆ ก็กลับมาที่โรงยิมอีกครั้ง และเริ่มทำความสะอาดกันต่อทันทีที่มาถึง
น้ำยังอยู่ที่นั่น หากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขานั่งอยู่บนม้านั่ง มองพวกปีหนึ่งต่างคณะก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขันแข็ง เมื่อสายตาเคลื่อนไปประสานกับเมฆ เขาจึงกวักมือเรียก
เด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาหาทันที “ครับ”
“กินอะไรกันมารึยัง”
เมฆส่ายหน้า “พอเสร็จจากประชุมเชียร์ก็รีบมาเลยครับ”
“งั้นไปบอกเพื่อนพวกคุณด้วย เดี๋ยวผมจะสั่งอาหารมาให้”
“หา!”
“บอกให้เพื่อนคุณเร่งทำงานให้เสร็จเร็วๆ เข้า” น้ำพูดเสียงเรียบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออกไป
อีกกว่าชั่วโมงที่แสนสาหัสผ่านพ้นไป โชคดีที่อากาศในตอนกลางคืนไม่ร้อนมากนัก แต่หลายคนก็ถอดเสื้อออกวางกองไว้ขณะที่ทำความสะอาด พวกเขาเริ่มเก็บข้าวของกันแล้ว พอเสร็จงานก็ล้มตัวลงนอนแผ่หลาบนเบาะในโรงยิมนั่นเอง
เสียงฝีเท้าของคนที่เดินเข้ามาภายในโรงยิมเรียกให้ทุกคนหันหน้าไปมอง แล้วก็ต้องลุกขึ้นพรวดเมื่อเห็นพนักงานที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มร้านพิซซ่าดังสี่ห้าคนหอบกล่องและถุงอาหารตรงเข้ามา
“พวกคุณทำได้ดีมาก คงจะหิวกันแล้วใช่มั้ย” เวลานี้เสียงของน้ำราวกับเสียงสวรรค์เลยทีเดียว “เดี๋ยวออกไปกินข้างหน้าโรงยิมละกันนะ”
พวกปีหนึ่งจ้องมองรุ่นพี่ต่างคณะกันเป็นตาเดียว อาหารมากมายขนาดนั้น รุ่นพี่เลี้ยงพวกเขาเรอะ!?
“เอ้า ไม่หิวกันรึไง รีบออกไปกินสิ”
“ขอบคุณครับ” พวกเด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ จากนั้นก็กรูกันออกจากโรงยิมไป โดยมีน้ำเดินตามไปช้าๆ
ที่ด้านหน้าโรงยิมนั้น ปีหนึ่งนั่งลงกับพื้นปูนแล้วรับประทานพิซซ่า ไก่ทอด ขนมปังกระเทียมกันอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาตะโกนเรียกให้ชายหนุ่มรับประทานด้วยกัน หากอีกฝ่ายก็แค่ยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า
เมฆลุกเดินไปหารุ่นพี่พร้อมกับกล่องพิซซ่ากล่องหนึ่ง เขาเปิดฝาส่งให้อีกฝ่าย “สักชิ้นสิครับ ให้พวกผมกินแล้วพี่ยืนดูอย่างนี้มันแปลกๆ”
“ก็ได้” น้ำเอื้อมมือไปหยิบพิซซ่ามาหนึ่งชิ้น “ว่าแต่... จะบอกได้รึยังว่าไปรื้อหากางเกงในอาจารย์ทำไม พวกไอ้ตั้งใจสั่งมาเหรอ”
เด็กหนุ่มไม่ยอมตอบ เขาเอนหลังพิงกำแพงข้างๆ คนถามพลางรับประทานพิซซ่าไปอย่างเงียบเชียบ
“รู้มั้ยว่าถ้าอาจารย์เอาเรื่อง จะเป็นเรื่องใหญ่มากนะ ดีนะที่ห้องนั้นไม่มีของมีค่าอะไร แต่ถ้าเกิดมีใครของหายไป พวกคุณน่ะจะซวย” น้ำพูดเสียงเข้ม
เมฆกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก “...ผมไม่ได้จะหากางเกงในอาจารย์ แต่จะหาของพี่นั่นแหละ”
“ฮะ!” น้ำหันขวับไปทางคนพูด
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองพื้น “คือว่า ผมกำลังตามล่าลายเซ็นพี่ปีสี่ที่ภาค เลยทำให้ไอ้พวกนี้ตามมาติดร่างแหไปกับผมด้วย”
“อ้อ มิชชั่นขอลายเซ็น” ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะเขารู้ดีว่าสำหรับคณะวิศวะแล้วเป็นเรื่องจริงจังมากขนาดไหน แต่ว่า... “มิชชั่นหาไซส์กางเกงในผมเนี่ยนะ ของใคร?”
“เอ่อ ขอบคุณที่ช่วยพวกผมนะครับ แล้วก็ขอบคุณมากๆ สำหรับอาหารนี่ คงจะหลายตังค์...” เมฆตอบเลี่ยง
“...ผมได้คูปองลดราคามาเยอะ แล้วตอนนี้พิซซ่าก็มีโปรฯ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ไม่ได้แพงอะไรมากหรอก... แต่ว่าบอกผมมาซิ ไอ้มิชชั่นที่ว่ามันมีอะไรบ้าง แล้วใครสั่งมา” น้ำพูดเสียงเข้ม ใบหน้าที่เมฆคิดว่าสวยได้รูปถมึงทึงจนดูน่ากลัว
เวลานี้เมฆนึกอยากจะขุดดินหนีแล้ว ถ้าเขาบอกไป เขาอาจจะโดนทั้งด่าและทำโทษจากปีสี่ แล้วก็อาจจะโดนรุ่นพี่ต่างคณะคนนี้อบรมอีกยาว “เอ่อ...”
“บอกมาไวๆ”
“ถ้าบอกแล้ว... ผมจะขอเบอร์มือถือพี่ กับขอไซส์ เสื้อ กางเกง รองเท้าและกางเกงในของพี่ได้มั้ย”
“ใครสั่งมา”
“คือ...”
“ผมถามว่าใครสั่งมา!” น้ำดุเสียงดัง จนปีหนึ่งที่กำลังรับประทานพิซซ่ากันอยู่ตรงนั้นสะดุ้งโหยง
“...พี่ป๊อกเด้งกับพี่เต้าหู้ครับ” เมฆพูดเสียงเบาราวกระซิบ เวลานี้ใจหดเล็กกว่าใจปลาซิวแล้ว เรียกว่าไซส์จิ๋มแพลงค์ตอนก็แล้วกัน
...หน้าตาดีๆ ทำไมดุจังวะ... เด็กหนุ่มต่อว่าอยู่ในใจ
“บอกทุกคนอย่าเพิ่งกลับ ให้รอก่อน” ชายหนุ่มสั่ง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในโรงยิม
เมฆรู้สึกถึงความซวยมหาศาล เขาสบสายตากับเพื่อนๆ ที่นั่งหน้าสลอน ดูไม่ต่างกับวัวรอเวลาถูกเชือด ทว่าสักพัก รุ่นพี่ต่างคณะคนเดิมก็เดินกลับออกมาจากโรงยิม
“เอ้า” น้ำโยนแผ่นกระดาษที่พับไว้สามสี่ทบให้กับเด็กหนุ่ม
เมฆรับมาไว้ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย จากนั้นจึงคลี่แผ่นกระดาษออก บนแผ่นกระดาษนั้นมีเบอร์โทรศัพท์มือถือกับไซส์เสื้อผ้าเขียนบอกไว้ครบตามที่เด็กหนุ่มต้องการ
นัยน์ตาสีดำขลับเป็นประกาย เขายิ้มกว้าง รีบยกมือขึ้นไหว้ “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ” ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ เขาได้มาแล้ว มิชชั่นสำเร็จแล้วโว้ย
เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ “ได้แล้ว! ได้แล้วโว้ย”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาแสดงความยินดีกับเมฆ มิชชั่นสำเร็จ แปลว่าพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องถูกลงโทษแล้ว พวกเขาส่งเสียงเฮฮาดังลั่นอย่างลืมตัว
เมฆหันไปมองใบหน้าของรุ่นพี่ต่างคณะที่ดูนิ่งเฉย เขารู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจริงๆ นะ วันนี้ช่วยเหลือเขาไว้หลายอย่างเลยทีเดียว ที่เคยมองอีกฝ่ายไว้ไม่ดี คงต้องลบทิ้งไปให้หมด
“ปีหนึ่งเสียงดังอะไรกันครับ นี่มันกี่โมงแล้วรู้มั้ยครับ”
เสียงเข้มคุ้นหูส่งผลให้ทุกคนหยุดกึก แล้วหันหน้าไปทางต้นเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
เต้าหู้กับป๊อกเด้งยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาหันไปสบสายตากับเมฆ “ประธานรุ่น ได้ยินว่าคุณได้ที่ผมสั่งไปแล้ว ขอดูหน่อยครับ”
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหารุ่นพี่ แล้วยื่นแผ่นกระดาษให้ “นี่ครับ”
ทั้งสองรับแผ่นกระดาษนั้นไปเก็บไว้ “ไปเอาสมุดลายเซ็นมา”
เมฆวิ่งกลับไปหยิบสมุดลายเซ็นมาส่งให้กับรุ่นพี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดีใจราวกับถูกล็อตตารี่ยังไงยังงั้น
รุ่นพี่ทั้งสองเซ็นลายเซ็นลงในสมุด ส่งคืนให้เด็กหนุ่ม แล้วหันไปพูดเสียงดังกับปีหนึ่งที่เหลือ “ปีหนึ่งทั้งหมด ฟังผมให้ดี!”
บริเวณนั้นเงียบกริบลงทันควัน เต้าหู้กับป๊อกเด้งกวาดสายตามองด้วยสีหน้าขรึม จากนั้นจึงพูดต่อ “พวกคุณเห็นแล้วใช่มั้ย เมื่อมีความสามัคคี เมื่อเพื่อนมีน้ำใจให้กัน ไม่ว่างานอะไรก็สำเร็จลุล่วงไปได้ วันนี้ พวกคุณแสดงให้พวกผมเห็นทั้งความสามัคคีและการมีน้ำใจ เพราะงั้นทุกคนไปเอาสมุดลายเซ็นมา! เข้าแถวเรียงหนึ่ง! พวกผมจะเซ็นลายเซ็นให้กับพวกคุณในที่นี้ทุกคน”
ปีหนึ่งร้องเฮดังลั่น วิ่งกรูกันไปหาสมุดลายเซ็น งานนี้นอกจากจะได้ลายเซ็นพี่ปีสี่แล้ว ยังได้ลายเซ็นพี่ว้ากสุดโหดเสียด้วย น่าภูมิใจซะไม่มี พวกเขาวิ่งออกมาตั้งแถวกันเป็นพัลวัน ใช้เวลาสักพักใหญ่จึงเซ็นหมดทั้งแถว
น้ำก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างเพื่อนทั้งสองพร้อมบอกกับพวกปีหนึ่งทั้งหลาย “หอบเอาพิซซ่าที่เหลือไปกินกันบนหอเถอะ เดี๋ยวหอจะปิดซะก่อน”
“ขอบคุณครับ” พวกเขายกมือไหว้ ก้มลงเก็บข้าวของแล้วทยอยกันเดินออกไป
เหล่าปีหนึ่งโอบไหล่กันและกันไว้ เสียงหัวเราะดังสลับกับคำพูดชื่นชมรุ่นพี่ดังไม่ขาดปาก พวกเขาแทบจะลืมความอ่อนเพลียไปหมดสิ้น ถึงจะเหนื่อยมากแต่ก็คุ้ม สนุกดีเหมือนกัน
ส่วนน้ำก็เดินไปปิดโรงยิมให้เรียบร้อย สักพักจึงเดินออกมาหาเพื่อนทั้งสองคนที่ยืนรออยู่
“ไอ้พวกเหี้ย ทำให้กูลำบาก ดึกดื่นก็ไม่ได้กลับไปนอน ต้องอยู่เฝ้าโรงยิมแบบนี้” เขาเอ่ยกับเพื่อนพ้องด้วยน้ำเสียงเย็นชวนขนหัวลุก พลางส่งนิ้วกลางให้ทั้งสองวัดขนาด
สองหนุ่มย่อตัวลงนั่งแล้วยกมือไหว้ปลกๆ “ขอโทษครับไอ้สัตว์น้ำ ใครจะไปนึกว่าไอ้พวกปีหนึ่งมันจะบ้าจี้ขนาดนั้นวะ พวกกูนึกว่าพวกแม่งจะแค่แห่กันมาตามตื๊อ ก่อกวนมึงเล่นๆ อะ”
น้ำขมวดคิ้ว “แล้วทำไมพวกมึงต้องหาเรื่องก่อกวนกูด้วยวะ”
“ก็สนุกดีไม่ใช่รึไง ช่วงนี้พวกกูไม่ค่อยว่าง มึงจะได้ไม่เหงา อีกอย่างพวกกูเป็นพี่ว้ากกันหมด ก็เหลือแต่มึงนี่แหละที่จะส่งน้องมันมาหาได้”
น้ำกระตุกยิ้มมุมปาก “เอาเหอะ” ตามด้วยพ่นลมหายใจออกหนักๆ “แต่น้องปีหนึ่งของพวกมึงรักกันดี น่าชื่นชม ส่วนหนึ่งก็คงเพราะได้พี่ว้ากอย่างพวกมึง”
“ครับๆ ตบหัวดังป้าบแล้วลูบหลังเลยนะครับ” ทั้งสองลุกขึ้นช้าๆ
“หรือจะให้กูด่าต่อ” ชายหนุ่มหันไปขึงตาใส่
“โหย อย่าด่าอีกเลยครับ พอคุณมึงโทรไปเรียกพวกกูก็วิ่งห้อแรดออกมาขนาดนี้แล้ว เห็นใจพวกกูบ้างเถอะครับ”
“เออ ขอบใจเว้ย ไปๆ กลับกันเหอะ กูเหนื่อยจะแย่” น้ำยกแขนขึ้นโอบเพื่อนรักทั้งสอง แล้วเดินออกไปพร้อมๆ กัน
TBC~*หลงรักพี่น้ำกันแล้วรึยังเอ่ย~ คิคิ ใครไม่หลง ฮัสกี้หลงแว้ววว <-- เล่นง่ายนะยะ กร๊ากกก //โดดทับพี่น้ำ
ใจดีแบบนี้ น้องเมฆหวั่นไหวน้า อรั๊ยยยย~
และแล้วก็เสร็จไปสามมิชชั่นแล้วนะคะ 555555 เหลืออีกสองจะค่อยๆ ตามมา โปรดอดใจรอ เรื่องนี้ slow life นิดนึงค่ะ แฮ่...
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่า จุ๊ฟฟฟฟ 
ปล. แจ้งข่าวรวมเล่ม นิสรีน... กุหลาบขาวแห่งทะเลทราย กับ เงาจันทร์ในม่านหมอก ถ้าหากสนใจกดดูรายละเอียดการสั่งซื้อในลิงค์ชื่อเรื่องนะคะ ขอบคุณค่ะ