Chapter 5 : ประชุมเชียร์เที่ยงวัน ในโรงอาหารของคณะวิศวกรรมศาสตร์
ประธานรุ่นหมาดๆ นั่งคิ้วขมวดพลางเขี่ยข้าวในจาน ตั้งแต่เขาเข้ารับหน้าที่ประธานรุ่นมานี่ การเข้าประชุมเชียร์ก็หนักหนาสาหัสมากขึ้นทุกวินาที เป็นเพราะอะไรกัน...
อย่างเมื่อวันก่อน“651 ลุกขึ้น! คุณอยู่ภาคอะไร” พี่ว้ากปีสามตะโกนก้อง
“เครื่องกลครับ”
“ภาคคุณมีกี่คน”
“187 คนครับ”
“แล้วนี่ มากันกี่คน”
ปีหนึ่งผู้น่าสงสารอ้ำอึ้ง ก็ในเมื่อไม่ได้นับมาก่อน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามาเข้าประชุมเชียร์กันกี่คน เด็กหนุ่มหันมองไปทางเพื่อนๆ ที่เข้าแถวเรียงหน้ากระดานกันอยู่ นั่งเรียงตามรหัสกันแบบนี้ เขาจะนับตามหนังหน้าเอายังไม่ได้เลย
พี่ว้ากปีสามอีกคนก้าวเข้าไปยืนตรงหน้ารุ่นน้อง พลางพูดเสียงดัง “ทำไมไม่ตอบเพื่อนผม ให้เกียรติเพื่อนผมด้วยครับ”
“ครับ ผม... ไม่ทราบ... ครับ”
“ทำไมถึงไม่ทราบครับ แปลว่าพวกคุณไม่ได้ตระเตรียมความพร้อมที่จะมาเข้าประชุมเชียร์เลยใช่มั้ย! ไม่มีความรักคณะกันเลยใช่มั้ยครับ!”
เมฆยกมือขึ้น “ขออนุญาตช่วยเพื่อนครับ”
“ผมไม่อนุญาต!” พี่ปีสามตอบ โดยไม่หันมองไปทางคนที่ยกมือขึ้นแม้แต่น้อย ก่อนที่พี่ว้ากปีสี่ซึ่งยืนกอดอกอยู่ทางด้านหลังจะเข้ามาสมทบ
“ไม่ทราบแล้วคุณจะทำยังไงครับ!” ตั้งใจในบทเฮดว้ากปีสี่มาดโหดถามเสียงดังก้อง
“ขอ... ขออนุญาตนับครับ” ปีหนึ่งผู้เคราะห์ร้ายตอบเสียงสั่น
“ผมอนุญาต! ปีหนึ่งเครื่องกล ยกมือขึ้นให้เพื่อนนับ ปฏิบัติ!”
เด็กหนุ่มหันกลับไปนับอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นวันโชคร้ายของเขา เพราะเพื่อนร่วมภาคหายไปถึงสิบเอ็ดคน... พวกมันไปไหนกันวะ ไอ้พวกเวร! เขาหันไปตอบรุ่นพี่ด้วยสีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นระริก “ร้อย... เจ็ดสิบ... เอ่อ... หกคน ครับ”
เฮดว้ากยิ้มกริ่มอยู่ในใจ เขาหาเรื่องทำโทษได้แล้วโว้ยวันนี้ “ปีหนึ่งเครื่องกล ทั้งหมด ยืนขึ้น!”
“ครับ!/ค่ะ!”
“เพื่อนคุณหายไปไหน”
พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าเพื่อนพ้องหายไปไหน เล่นหายไปทีสิบกว่าคน จึงได้แต่หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แม้แต่เมฆเอง เขาก็อึ้งไปเหมือนกัน
“คนอื่นก้มหน้าลงไป!” เฮดว้ากกวาดสายตามองปีหนึ่งจากภาคอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็รีบก้มหน้าหลบทันที “เพื่อนคุณไม่มีความสำคัญเลยใช่มั้ย เพื่อนไม่อยู่ตั้งสิบเอ็ดคน ทำไมไม่รู้!”
“พวกคุณไม่มีความรับผิดชอบ ทำไมไม่ดูแลกัน เพื่อนหายไปทำไมไม่ไปตามกันมา”
“.....” ไม่มีเสียงตอบจากปีหนึ่งภาคเครื่องกล พวกเขายืนก้มหน้านิ่ง ทำใจรอรับโทษ
“ปีหนึ่งเครื่องกล วิ่งรอบสนามบาสสามสิบรอบ! ปฏิบัติ!”
คำสั่งจากเฮดว้ากปีสี่ถือเป็นคำขาด ในขณะปีหนึ่งภาคเครื่องกลทั้งหมดออกไปวิ่ง เขาก็หันมาถามปีหนึ่งภาคอื่นที่เหลือ “ปีหนึ่ง! บอกความหมายของคำว่า SOTUS มาซิ”
“SOTUS Seniority - อาวุโส Order - การปฏิบัติตามระเบียบวินัย Tradition - ประเพณี Unity - ความสามัคคี และ Spirit – การมีน้ำใจ ครับ/ค่ะ”
“แล้วไหนคือ Unity ของพวกคุณ! เพื่อนของพวกคุณวิ่งรอบสนามอยู่นั่น พวกคุณจะนั่งเฉยๆ งั้นเรอะ!”
สรุปแล้วปีหนึ่งก็ต้องลุกไปวิ่งพร้อมสนามพร้อมกันทั้งหมด ประชุมเชียร์วันนั้นเสร็จแทบจะคลาน แต่คืนนั้นก็ยังไปวิ่งวุ่นตามตัวไอ้พวกที่โดดประชุมเชียร์ทั้งหมดกันวุ่นวาย ไม่เพียงแต่สิบเอ็ดคนของภาคเครื่องกล แต่ร้อนไปถึงทุกคนที่โดดจากภาควิชาอื่นๆ ด้วย หลังจากวันนั้นมา เขาจึงบอกให้หัวหน้าปีหนึ่งแต่ละภาครวมรวบพล นับจำนวนกันก่อนเข้าประชุมเชียร์ทุกครั้ง ใครที่ขาดหายไปจะได้ไปตามตัวกันทัน มาเข้าประชุมให้ได้มากที่สุด จะได้ไม่ต้องถูกทำโทษมากมายนัก
แต่ในการประชุมเชียร์ครั้งถัดมา พวกเขาก็โดนลงโทษอยู่ดี
วันนี้เป็นคิวของพี่ว้ากปีสาม “ประธานรุ่นอยู่ไหน!”
“ครับ” เมฆลุกขึ้นขานรับ
“นำเพื่อนคุณบูมให้พี่ปีสี่ฟังหน่อยซิ”
แล้วพอตะโกนบูมกันไปคอแทบแหก ก็ได้คำตอบกลับมาว่า...
“พวกคุณบูมยังไม่พร้อมกันเลย ประธานรุ่น! เปิดเทอมมากี่วันแล้วครับ”
เมฆตอบเสียงดัง “สิบห้าวันครับ”
“คุณเป็นประธานรุ่นยังไง ดูแลเพื่อนคุณยังไงกัน แค่นำให้เพื่อนบูมพร้อมกันยังทำไม่ได้ คุณจะยังเรียกตัวเองว่าประธานรุ่นได้อยู่อีกรึไงครับ!” เฮดว้ากปีสามเดินเข้าไปประจันหน้ากับเมฆ แล้วดุเสียงดัง จากนั้นจึงหันไปทางที่ปีหนึ่งเข้าแถวเรียงหน้ากระดานกันอยู่ “สิบห้าวันแล้ว บูมยังไม่พร้อมกัน เด็กประถมยังทำได้ดีกว่าพวกคุณอีก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ พวกคุณจะเรียนวิศวะไหวเหรอครับ!”
“ปีหนึ่ง วิดพื้นสองร้อยครั้ง! ปฏิบัติ!”
...เขาว่าเพื่อนๆ ก็แหกปากบูมพร้อมเพรียงกันออกนะ แม่งเอ๊ย... แล้วต่อจากนั้นมา ทุกครั้งที่เขาขออนุญาตช่วยเพื่อนก็ไม่เคยได้รับอนุญาตอีกเลย โดนด่าว่าทำตัวเป็นฮีโร่ แล้วยังถูกทำโทษพร้อมกับเพื่อน แต่รับโทษเป็นสองเท่าของเพื่อนอีก อะไรวะเนี่ย!
แต่ที่เมฆคิดว่ารุ่นพี่ทำไม่ถูกมากที่สุด ก็ในการประชุมเชียร์ครั้งสุดท้ายนี่แหละ มีอย่างที่ไหนกัน สั่งให้เพื่อนผู้หญิงที่กำลังไม่สบายไปวิ่งรอบสนามบาสฯ ยี่สิบรอบ บ้าหรือเปล่าวะ พอเขาขอรับโทษแทนเพื่อน รุ่นพี่กลับไม่อนุญาต แถมยังไล่ตะเพิดเพื่อนเขาออกจากการประชุมเชียร์เสียอีก
เขาคิดว่ารุ่นพี่ทำตัวพาล ทำตัวไร้เหตุผล แต่โดยเฉพาะกับเขานี่ ไร้เหตุผลมากที่สุด... เลือดในกายเด็กหนุ่มพลุ่งพล่าน จนช้อนที่ถือไว้ในมือหักงอ
“เฮ้ย! ไอ้เมฆ! เป็นไรวะ” ตำลึงเดินถือถ้วยขนมหวานกับจานลูกชิ้นปิ้งมาวางลงตรงหน้าเพื่อนรัก “แดกๆ เดี๋ยววันนี้ไม่มีแรงโดนด่า”
“ไอ้เหี้ย! กูโมโหว่ะ วันนี้ใครไม่เข้าประชุมเชียร์ กูจะแดกแม่ง!” เมฆทุบโต๊ะดังโครมใหญ่
“ใจเย็นเว้ย! กูเข้าใจมึงนะ ไอ้เมฆ แต่กูบอกมึงไว้แต่แรกแล้วใช่มั้ย ว่าพี่ว้ากต้องรักมึงมากกว่าคนอื่นๆ แน่ๆ”
“ทำไมวะ”
“ก็มึงมันน่าหมั่นไส้นี่หว่า” แหนมตอบ พร้อมกับตบไหล่เพื่อนรักปุๆ “เอาน่า อดทนไว้มึง”
“อาจจะเพราะมึงเป็นประธานรุ่นด้วยก็ได้” หิน... เพื่อนในคณะที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันอยู่พูดขึ้น “แต่ก็คงหลายๆ อย่างรวมกันแหละ กูว่ากว่าจะประชุมเชียร์จบ มึงได้ใช้ครบเก้าชีวิตแน่ๆ ไอ้เมฆ”
จู่ๆ เสียงพูดคุยอื้ออึงก็สงบลง เมฆเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนทักทายกัน เขาเห็นว่านักศึกษาที่โต๊ะที่อยู่ตรงทางเข้าโรงอาหารยืนขึ้นแล้วยกมือไหว้ ถ้างั้นก็คงเป็นเพราะว่ามีพวกพี่ว้ากเข้ามาในโรงอาหาร ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เงียบกริบกันขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าพวกพี่ว้ากปีสี่เดินเข้ามาใกล้ ทุกคนที่โต๊ะของเมฆก็ลุกขึ้นยกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
เมฆเองก็เช่นกัน เขาก้มศีรษะไหว้รุ่นพี่ทุกคน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับคนเกือบสุดท้ายซึ่งไม่ใช่รุ่นพี่คณะ แต่ดันเดินปะปนมากับกลุ่มรุ่นพี่เขานี่สิ...
ความทรงจำย้อนกลับไปในวันที่เขาพบกับคนคนนี้ครั้งสุดท้าย
“นี่เป็นหน้าที่ของผม ไม่ใช่คนนอกคณะอย่างพี่ ถ้าจะกลับแล้วก็รีบไปเถอะครับ” หรือว่าจะเป็นไอ้หมอนี่ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกพี่ว้ากโหดร้ายและกลั่นแกล้งรุ่นน้องมากขึ้น เพราะเขาพูดจาไม่ดีไปในวันนั้น ไอ้หมอนี่คงเอาไปฟ้องเพื่อนในกลุ่ม
เมฆชักสีหน้า ลดมือที่ประนมอยู่ลง “.....”
น้ำกระตุกยิ้มมุมปาก ยังไม่ทันพูดอะไร ตั้งใจ... เพื่อนในกลุ่มที่เดินรั้งท้ายมากับเขาก็พูดแทรก
“ประธานรุ่น! บอกความหมายของ SOTUS มาหน่อยสิครับ” ตั้งใจสวมวิญญาณเฮดว้ากสุดเหี้ยม เขาตะโกนถามเสียงดังอย่างต้องการให้รุ่นน้องในโรงอาหารทุกคนได้ยิน
“Seniority - อาวุโส Order - การปฏิบัติตามระเบียบวินัย Tradition - ประเพณี Unity - ความสามัคคี และSpirit – การมีน้ำใจครับ”
เฮดว้ากก้าวเข้าไปยืนประจันหน้ากับเด็กหนุ่ม “แล้วไหนคือ Seniority ของคุณ! เพื่อนผมยืนอยู่ที่นี่ คุณไม่ให้เกียรติเพื่อนผม ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติผม”
เมฆกัดฟันกรอด เป็นอย่างที่เขาเดาไว้ไม่ผิดแน่ เด็กหนุ่มจำใจยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับ”
“คุณเป็นประธานรุ่น ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับเพื่อนๆ ของคุณด้วย! ประธานรุ่น สควอทจัมพ์ร้อยครั้ง ปฏิบัติ!”
“ครับ” เด็กหนุ่มย่อตัวลง เริ่มนับดังๆ พร้อมกับสควอทจัมพ์ไปด้วย ขณะที่พี่ว้ากปีสี่เดินจากไป
...ขนาดเขาอยู่ดีๆ ในคณะ ไอ้หมอนี่ก็ยังหาเรื่องมาให้เขาจนได้ สายตากับรอยยิ้มเยาะเย้ยแบบนั้น นี่คงไปฟ้องพี่ปีสี่ แล้วบอกให้มากลั่นแกล้งเขาสินะ เป็นรุ่นพี่ยังไงกันวะ! ทำให้เขาเดือดร้อนคนเดียวยังไม่พอ แต่นี่กระทบไปถึงเพื่อนในคณะทั้งหมดอีก
เมฆเงยหน้าขึ้น มองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่ต่างคณะเคลื่อนห่างออกไปอย่างเคียดแค้นในใจ
กว่าจะสควอทจัมพ์ครบหนึ่งร้อยครั้ง เด็กหนุ่มก็เหงื่อโซมกาย เขาลุกขึ้นนั่งบนม้านั่ง หอบหนักๆ จนตัวโยน
“เมฆเป็นอะไรรึเปล่า ดื่มน้ำก่อนสิ” จุ๊บจิ๊บ เด็กสาวชั้นปีหนึ่งในคณะเดียวกันส่งขวดน้ำให้พร้อมรอยยิ้มบาง เธอคือคนที่ถูกพี่ว้ากไล่ออกจากการประชุมเชียร์ครั้งที่แล้ว และสั่งไม่ให้มาเข้าร่วมประชุมอีก
เมฆยิ้มรับ “ขอบใจ ว่าแต่จิ๊บหายดีหรือยัง”
จุ๊บจิ๊บส่ายหน้า สีหน้าของเธอสลดลง “เมฆว่าวันนี้พี่เขาจะยอมให้เราเข้าประชุมเชียร์รึเปล่า” เธอเอ่ยอย่างหนักใจ
การประชุมเชียร์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญ มีการเช็กชื่อทุกครั้ง และถ้าหากใครเข้าร่วมประชุมน้อยกว่า 80% ก็จะถูกตัดสิทธิ์ ไม่ให้เข้าร่วมวันรับเกียร์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนานและเป็นความภาคภูมิใจของชาววิศวะทุกคน
จุ๊บจิ๊บเป็นเด็กสาวที่มีสปิริตแรงกล้า มีความตั้งใจสูง เธอไม่เคยขาดประชุมเชียร์เลยสักครั้ง แต่เพราะในการประชุมเชียร์ครั้งก่อนมีไข้ สมองมึนๆ ไปหน่อย จึงไม่สามารถตอบคำถามและทำตามที่รุ่นพี่สั่งได้ ทำให้เธอถูกไล่ออกจากการประชุมเชียร์ไป
เมฆหันไปมองท้องฟ้าทางด้านนอกโรงอาหาร แล้วตอบอย่างห่วงๆ “เราว่าวันนี้จิ๊บพักก่อนดีกว่า อย่าฝืนเลย” เพราะวันนี้มีนัดประชุมเชียร์ตอนบ่าย เมฆครึ้มๆ แถมยังอากาศร้อนจัด ดีไม่ดีฝนอาจจะเทลงมาได้
เด็กสาวขมวดคิ้วพลางกัดริมฝีปาก “....”
..
.....
..
สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาตั้งแต่ก่อนหมดชั่วโมงเรียนชั่วโมงสุดท้าย หากการนัดประชุมเชียร์ก็ไม่ได้ถูกยกเลิกไป แม้จะไม่ค่อยพอใจกันนัก แต่พี่ว้ากปีสามปีสี่ พี่สันทนาการและพี่สตาฟฟ์เชียร์ก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาที่นั่น เหล่าปีหนึ่งทั้งหลายจึงต้องยืนกรำฝนซ้อมเชียร์กัน
พี่ว้ากปีสามและปีสี่เดินเอามือไขว้หลัง สำรวจแถวของปีหนึ่ง แต่สักพักเฮดว้ากของปีสี่ก็ตะโกนขึ้น “ครั้งที่แล้วผมบอกคุณว่าอะไร!”
สายตาของปีหนึ่งทุกคน รวมทั้งของเมฆด้วย เบนไปทางต้นเสียง ที่ตรงนั้น... จุ๊บจิ๊บยืนก้มหน้าอยู่ท่ามกลางสายฝนที่พรั่งพรูลงมา ไหล่เล็กสั่นไหวด้วยความกลัว “...ไม่... ไม่ให้เข้าประชุมเชียร์อีกค่ะ”
“ถ้างั้นก็รีบออกไปซะ! ประธานรุ่น!”
“ครับ!”
“พาเพื่อนคุณออกไป!” เฮดว้ากสั่งเสียงเข้ม แล้วเดินจากไปอย่างไม่ใยดี
เมฆรีบรุดเข้าไปหาเด็กสาว ใบหน้าของเธอเปียกชื้นน้ำ แต่เขาคิดว่าคงไม่ใช่เพราะน้ำฝนเพียงอย่างเดียว
“ขออนุญาตค่ะ!” จุ๊บจิ๊บตะโกนพร้อมยกมือขึ้น
“ผมไม่อนุญาต! ออกไปเดี๋ยวนี้! ถ้าคุณไม่ออกไป ผมจะลงโทษเพื่อนคุณทั้งหมด”
เมฆหันไปสบสายตากับเฮดว้าก เพื่อนคนสนิทของรุ่นพี่ต่างคณะคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าเอาเสียเลย นัยน์ตาคมกริบนั่นไม่ได้มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย ทั้งที่เพื่อนเขาทุ่มเท ตั้งใจกับการเข้าร่วมประชุมอยู่ตลอด “ไปเถอะจิ๊บ เราบอกแล้วว่าอย่ามาไม่ใช่เหรอ”
จุ๊บจิ๊บร้องไห้โฮ ขณะที่เมฆจับข้อมือพาเธอเดินออกไปจากบริเวณที่ใช้ประชุมเชียร์
รุ่นพี่ปีสามที่ทำหน้าที่พยาบาลตรงเข้ามากางร่มให้เด็กสาวทันที “น้องจิ๊บ ไม่ต้องร้องไห้ค่ะ กลับหอก่อนนะ ที่หอมียามั้ย”
จุ๊บจิ๊บพยักหน้า แต่ก็ยังร้องไห้โฮ “ฮึก... มีค่ะ”
พี่พยาบาลอีกคนเอาผ้าขนหนูวางบนศีรษะของเด็กสาว “เดินไหวมั้ยคะ ให้พี่พยุงมั้ย”
เด็กสาวส่ายหน้า “ไหวค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่จะไปส่งที่หอนะคะ”
“ผมจะไปกับพี่ด้วยครับ” เมฆมองเพื่อนร่วมคณะด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าและริมฝีปากของเธอซีดไร้สีเลือด ร้องไห้จนตัวโยน เด็กหนุ่มจับแขนของเธอคล้องคอตนเองไว้ แล้วประคองเด็กสาวเดินออกไปช้าๆ โดยมีรุ่นพี่ช่วยกางร่มให้
เดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ฝนก็เทกระหน่ำลงมาหนักขึ้นจนมองทางเดินได้ลำบาก จุ๊บจิ๊บรู้สึกหนาว เนื้อตัวเย็นลงกะทันหัน สองขาสั่นเทา จู่ๆ ก็ทรุดฮวบลง
“จิ๊บ!” เมฆคว้าตัวเธอไว้ทัน ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นแนบกาย แล้วหันไปบอกกับรุ่นพี่ที่มาด้วย “จิ๊บตัวร้อนมากเลยพี่”
“งั้นพาน้องไปโรงพยาบาลดีกว่า เมฆถือร่มไว้นะ เดี๋ยวพี่ไปเอาโทรศัพท์มาโทรเรียกรถ...” เธอวิ่งกรำฝนออกไปได้ไม่กี่ก้าว รถ BMW คันหรูก็เคลื่อนผ่านทั้งสองคนมาพอดี เธอรีบโบกไม้โบกมือเรียกให้รถจอด “เฮ้ย! พี่น้ำนี่! พี่น้ำหยุดรถก่อนค่ะ”
โชคดีที่น้ำขับรถมาอย่างเชื่องช้า เพราะฝนตกหนัก เขาเพิ่งเรียนเสร็จ กำลังจะขับรถกลับคอนโดมิเนียมพอดี ชายหนุ่มเห็นท่าทางตกอกตกใจของรุ่นน้อง เขาจึงเบี่ยงรถเข้าจอดใกล้ๆ คว้าร่มแล้วก้าวลงไปหา “มีอะไรเหรอ”
“ปีหนึ่งเป็นลมค่ะ ไม่สบายมาก”
“เฮ้ย! อยู่ไหนล่ะ”
รุ่นน้องหันไปตะโกนเรียก “เมฆ! อุ้มเพื่อนมานี่เร็ว”
เด็กหนุ่มอุ้มเพื่อนไว้ในอ้อมแขน หนีบร่มไว้กับศีรษะ เขาจึงมองเห็นเบื้องหน้าไม่ชัดเจนนัก เมื่อได้ยินเสียงรุ่นพี่เรียกก็รีบเดินเข้าไปหา แต่พอเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าคุ้นตาเท่านั่นล่ะ เขาก็หยุดชะงัก
น้ำตรงเข้าไปตรวจดูอาการของเด็กสาว เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าใครกำลังอุ้มเธออยู่ “คงต้องพาไปโรงพยาบาล เดี๋ยวผมพาไปเอง พาเพื่อนขึ้นรถก่อน เร็วเข้า!” น้ำพูดเสียงเครียด เขาวิ่งไปเปิดประตูรถ ให้เด็กหนุ่มอุ้มเพื่อนเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง จากนั้นจึงหันไปถามรุ่นน้องที่ทำหน้าที่พยาบาล “จะไปด้วย... อะ...” ทว่าเนื้อตัวเธอเปียกโชก “เอางี้ ไปบอกพวกไอ้ตั้งใจกับอาจารย์ก่อนว่าผมพาน้องไปโรงบาลมหาลัยนะ แล้วเราก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน”
“คะ... ค่ะ... เดี๋ยวหนูจะรีบไปบอกอาจารย์กับพี่ตั้งใจค่ะ”
“โอเค ผมไปก่อนนะ”
“ขับรถดีๆ นะคะพี่”
น้ำวิ่งไปเปิดหลังรถ หยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาไว้ในมือ ก่อนจะวิ่งขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ เขาโยนผ้าเช็ดตัวให้กับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลัง “เอาห่มตัวเพื่อนไว้” แล้วเคลื่อนรถออกไปช้าๆ
ภายในรถเงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงเม็ดฝนกระทบตัวรถดังก้อง เมฆนั่งก้มหน้า บางทีก็หันไปมองเพื่อนข้างๆ บ้าง แต่ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมองคนขับรถเลยสักนิด เขาไม่นึกเลยว่าจะเป็นคนคนนี้ที่เข้ามาช่วย เพิ่งจะมีปัญหากันไปแท้ๆ
“หนาวรึเปล่า” เจ้าของรถถาม ขณะที่เอื้อมมือไปเพิ่มอุณหภูมิภายในรถ “ที่ช่องหลังเบาะมีเสื้อยืดอยู่ เปลี่ยนใส่ซะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เมฆตอบทันควัน
น้ำชำเลืองมองในกระจกมองหลัง พลางพูดเสียงเรียบ “เปลี่ยนซะ ประธานรุ่นไม่สบายไปซะคน เพื่อนๆ คุณจะทำยังไง มีความรับผิดชอบหน่อย”
เมฆชักสีหน้า หากเพราะที่อีกฝ่ายพูดก็ถูก เขาจึงหยิบเสื้อยืดในช่องใส่ของหลังเบาะออกมา ถอดเนกไทกับเสื้อเปียกโชกของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนใส่เสื้อตัวใหม่นั้น เสื้อยืดสีขาวแบบธรรมดาๆ แต่ราคาคงจะไม่ธรรมดาไปด้วย
เด็กหนุ่มลอบมองภายในรถคันหรู เบาะหนัง คอนโซลจัดเต็ม ออโตเมติกไปหมดเสียทุกอย่างแบบนี้... เขาไม่อยากจะได้ยินราคาของรถคันนี้เลยจริงๆ ในมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเด็กทุน คงมีเพียงไม่กี่คนที่ขับรถหรูหราขนาดนี้ แต่จะว่าไป เขาก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ก็อีกฝ่ายท่าทางคุณชายซะขนาดนั้น
ไม่นานรถคันหรูก็เคลื่อนเข้าไปจอดเทียบตรงหน้าโรงพยาบาล จากนั้นบุรุษพยาบาลจึงมารับตัวเด็กสาวไปยังห้องแพทย์ฉุกเฉิน น้ำหันไปบอกกับเด็กหนุ่ม “เข้าไปกับเพื่อนคุณก่อน ผมจะเอารถไปจอด เดี๋ยวมา”
“ครับ” เมฆตอบรับอย่างเชื่อฟัง แต่แล้วก็ไปยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่หน้าห้องตรวจ จะเข้าไปข้างในก็คิดว่าคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
ระหว่างนั้นก็มีพยาบาลเข้ามาหา “ขอบัตรประจำตัวนักศึกษาแล้วกรอกแบบฟอร์มด้วยค่ะ น้องผู้หญิงคงจะต้องนอนโรงพยาบาลคืนนี้นะคะ”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างพร้อมอุทานอยู่ในใจ... ฉิบหาย เขามาแต่ตัวเลย กระเป๋าสตางค์ เงินทองก็ไม่มี โทรศัพท์มือถือยังไม่ได้เอามาเลย เพราะตรงมาจากการประชุมเชียร์ เพื่อนของตนก็เช่นกัน “เอ่อ...”
“อ่า บัตรนักศึกษาเดี๋ยวเอามาให้ทีหลังนะครับ พอดีเหตุการณ์มันฉุกละหุกมาก” คนที่เพิ่งเดินมาถึงตอบแทนให้ พร้อมกับส่งรอยยิ้มมัดใจพยาบาลสาว “ผมต้องขอโทษด้วย แต่ผมยืนยันได้ครับ ว่าน้องเป็นนักศึกษาของมหาลัยเราจริง ๆ” เขาพูดพร้อมกับหยิบบัตรนักศึกษาส่งให้พยาบาลสาวดู “เอาบัตรของผมไว้ก่อนก็ได้ครับ”
พยาบาลก้มลงอ่านชื่อของเด็กหนุ่มพลางยิ้มหวาน “งั้นต้องขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วยนะคะ”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแทรก น้ำจึงหยิบขึ้นมากดรับสาย เขาพูดคุยอยู่ชั่วครู่จึงหันไปหานางพยาบาล “อาจารย์ที่คณะน้องโทรมาพอดีเลยครับ เดี๋ยวอาจารย์จะเอาบัตรนักศึกษามาให้ ขอทราบอาการน้องคร่าวๆ หน่อยครับ”
“มีไข้ขึ้นสูงนะคะ คุณหมอให้ยาลดไข้แล้วและให้อยู่ดูอาการก่อนค่ะ”
น้ำพยักหน้า เขารายงานใส่โทรศัพท์สักพักจึงกดวางสาย แล้วหยิบบัตรนักศึกษาของตนคืนมาจากนางพยาบาล “ขอบัตรผมคืนนะครับ เดี๋ยวอาจารย์ศุภลักษณ์ คณะวิศวะ ท่านจะมาจัดการเรื่องต่อให้ ท่านติดต่อกับทางฝ่ายทะเบียนของโรงพยาบาลแล้วครับ”
พยาบาลสาวยิ้มเจื่อนๆ แต่ก็ยอมถอยกลับไปโดยดี ที่ตรงนั้นจึงเหลือสองหนุ่มอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“จะกลับเลยรึเปล่า” น้ำหันไปถามเด็กหนุ่ม
“เอ่อ... แล้วเพื่อนผม...”
“เดี๋ยวอาจารย์ก็มาแล้ว ไปเถอะ เดี๋ยวผมจะไปส่ง” ชายหนุ่มเดินนำออกไป
เมฆหันรีหันขวาง แต่ก็คิดว่าอย่างไรเพื่อนก็อยู่ในความดูแลของแพทย์แล้ว เขาจึงเดินตามรุ่นพี่ไปห่างๆ “เอ่อ... ที่จริงผมกลับเอง...”
รุ่นพี่ไม่พูดอะไร เขาเดินตรงไปที่ลานจอดรถ กดปลดล็อกแล้วพูดเสียงเรียบ “ขึ้นรถ”
เด็กหนุ่มยืนจังงังอยู่ที่ข้างประตูรถ ลังเลว่าจะเปิดขึ้นไปนั่งดีหรือเปล่า “......”
“มีเงินรึไง”
เมฆเงยหน้าขึ้นพรวด “......”
“ไม่มีเงินแล้วจะกลับยังไง ขึ้นรถซะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างไม่เต็มใจนัก
รถคันหรูเคลื่อนออกจากโรงพยาบาลไปช้าๆ ตัวโรงพยาบาลตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย แต่ก็ไกลจากคณะวิศวกรรมศาสตร์และส่วนของหอพักมากพอตัว เวลานี้ฝนซาไปมากแล้ว เหลือเพียงแค่เม็ดฝนเปาะแปะเท่านั้น
“เอ่อ...” เมฆชำเลืองมองเจ้าของรถ แล้วเม้มปาก เขาควรจะพูดอะไรสักหน่อย อย่างน้อยก็ขอบคุณตามมารยาท
“มีอะไร”
เด็กหนุ่มถอนหายใจหนักๆ “ขอบคุณที่ช่วย...” หากยังพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็พูดแทรก
“ไม่จำเป็น อีกอย่าง ผมไม่ได้ช่วยอะไรคุณ ไม่ต้องออกรับแทนชาวบ้านไปซะทุกเรื่องก็ได้”
“พี่พูดงี้หมายความว่ายังไงครับ” เมฆหันขวับ เส้นเลือดบนหน้าผากกระตุกยิบๆ หากอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ นัยน์ตาเรียวรูปเมล็ดอัลมอนด์นั่นมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้ใส่ใจกับเด็กหนุ่มที่กำลังถลึงตาใส่
จนกระทั่งรถคันหรูเคลื่อนเข้าไปจอดหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชายหนุ่มเจ้าของรถเลื่อนเกียร์ไปไว้ตรงที่ตำแหน่งจอดเรียบร้อย จึงค่อยหันไปตอบ “ผมบอกว่า คุณไม่ต้องออกรับแทนชาวบ้านไปซะทุกเรื่องก็ได้ ผมก็พูดเป็นภาษาไทยนี่ แค่นี้ฟังไม่เข้าใจรึไง ท่านประธานรุ่น”
ไม่ต่างกับการราดน้ำมันลงไปบนเปลวไฟ เมฆชักสีหน้า “ผมเป็นประธานรุ่น ก็ต้องดูแลเพื่อนในรุ่น มันเป็นหน้าที่ของผม”
“เพื่อนคุณไม่มีปัญญาดูแลตัวเองเรอะ”
“ถ้างั้นจะมีประธานรุ่นไว้ทำไมกันเล่า! แล้วเวลาที่พี่เห็นเพื่อนลำบาก พี่ไม่คิดจะช่วยเพื่อนรึไง”
“อ้อ... ประธานรุ่นมีไว้เป็นฮีโร่” น้ำหัวเราะเสียงขึ้นจมูก “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพื่อนผมช่วยตัวเองกันได้”
“ใครได้พี่เป็นเพื่อนแม่งโคตรซวย” เด็กหนุ่มสบถ แววตาฉายแววโกรธขึ้ง เขาหันไปเปิดประตูรถออกผลัวะ “อีกอย่าง นี่เรื่องของผม คณะผม เพื่อนผม ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่โว้ย” ขายาวพาเจ้าของก้าวออกจากรถไปแล้ว พอจะปิดประตูถึงนึกขึ้นมาได้ว่า การที่ตัวเองระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ไปต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายเช่นนี้ อาจจะนำพาความซวยมาถึงเพื่อนๆ ในคณะได้อีก เด็กหนุ่มจึงหันกลับไปบอกกับเจ้าของรถ “แล้วถ้าพี่มีปัญหากับผม ก็คุยกับผมตรงๆ ไม่ต้องวิ่งโร่ไปฟ้องเพื่อนพี่อีก”
เมฆปิดประตูรถแล้วสาวเท้ายาวๆ ออกไป โดยที่ลืมเสื้อกับเนกไทของตนที่ถอดวางไว้ที่เบาะหลังรถไปเสียสนิท
คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถนิ่งค้าง “ฟ้องเรอะ” ไอ้เด็กนี่เห็นเขาอายุเท่าไหร่กัน ถึงได้มีอะไรก็ต้องวิ่งโร่ไปฟ้องเพื่อนที่เป็นพี่ว้ากของคณะตัวเอง
“ฮะ... ฮ่าๆๆๆ” น้ำหลุดหัวเราะเสียงดัง ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา ก็เพิ่งมีไอ้เด็กคนนี้นี่แหละ ที่กล้าประจันหน้า พูดจากับเขาแบบนี้ เขาส่ายหน้าไปมา ก่อนจะขับรถกลับไปยังคอนโดมิเนียมของตน
TBC~*อย่าาาา~ อย่าเพิ่งด่าพี่ว้ากกันนะคะ 555555 เพื่อนของฮัสกี้เล่าให้ฟังว่า การกระทำของพี่ว้ากมีลิมิตและมีเหตุผลรองรับเสมอ เพราะงั้นขอให้รอฟังเหตุผลของเพื่อนพี่น้ำกันก่อนแน้ อาจจะไม่ได้ใจร้ายอย่างที่หลายๆ คนคิดนะคะ #ออกตัวไว้ก่อนเดี๋ยวเพื่อนมาด่า 55555555555555555555
บทบาทของพี่ว้ากในเรื่องมีมากพอสมควร แต่ฮัสกี้คงจะเล่าถึงการประชุมเชียร์แค่บทต้นๆ เท่านั้นนะคะ เอาเฉพาะที่เกี่ยวกับพี่น้ำน้องเมฆดีกว่าเนอะ
บทนี้พี่น้ำใจดีใช่มั้ยล่าาาา น้องเมฆเลิกอคติได้แว้ว~
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะค้า เอาตอนใหม่มาลงเร็ว ชมเค้าที 555555555555555