Chapter 12 : ท่องราตรีหลังจากได้กุญแจรถคืนมาแล้ว เมฆเคลื่อนรถผ่านบริเวณร้านอาหารโต้รุ่งด้านหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อที่จะกลับเข้าไปภายในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ทว่ากลิ่นอาหาร ทั้งจากร้านข้าวต้ม หมูย่าง บะหมี่เกี๊ยว ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน ชวนให้พยาธิในท้องของทั้งสองหนุ่มที่ยังไม่ได้รับประทานมื้อเย็นร้องกันระงม
“เอ่อ คุณหิวรึเปล่า” น้ำถามขึ้น
เมฆกัดริมฝีปากเบาๆ จะว่าไปก็หิวล่ะ ยิ่งได้กลิ่นอาหารยิ่งรู้สึกตาลาย “แล้วพี่ล่ะ หิวมั้ย”
จ๊อกกก~ เสียงท้องของทั้งสองร้องลั่นแทนคำตอบชนิดไม่ไว้หน้าเจ้าของกันเลย
“งั้นแวะกินอะไรสักหน่อยดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน” น้ำพยักหน้า “กินอะไรดี”
“ผมกินได้หมดแหละ พี่เลือกละกัน”
“เวลาหิวๆ นี่น่ากินไปหมดทุกร้านเลยแฮะ อืม... งั้นข้าวมันไก่ละกัน” น้ำเลือกชี้ไปยังร้านที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
ข้าวมันไก่หมดไปแล้วหนึ่งจาน หากดูเหมือนว่ายังไม่พอยาไส้ ชายหนุ่มจึงถามอีกฝ่าย “คุณอิ่มรึยัง เราไปต่อบะหมี่เกี๊ยวกันมั้ย”
“เอ่อ...” เมฆยังไม่ทันได้ตอบ คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันก็ลุกขึ้นพรวด จัดการจ่ายเงินแล้วคว้าแขนเด็กหนุ่มให้เดินตามกันไป “เฮ้ย! เดี๋ยวสิพี่ ผมยังไม่ได้จ่ายเงินเลย”
“ผมเลี้ยงเอง ถือเป็นค่ามอไซค์ละกัน”
ทว่าความหิวโหยนั้นไม่ปรานีใคร เมื่อจัดการกับบะหมี่เกี๊ยวชามใหญ่เรียบร้อย น้ำก็ยังลากเด็กหนุ่มไปกับตนเองต่อ จนไปจบที่ร้านขายขนมหวาน
เมฆใช้ช้อนตีน้ำแข็งไสให้แตกออก ตักรวมมิตรในชามขึ้นใส่ปาก แล้วบ่นพึมพำ “ขอบคุณครับ ค่ามอไซค์ครั้งนี้โคตรจะคุ้มเลย”
“ผมเริ่มจะอิ่มแล้วนะ คุณล่ะ” ชายหนุ่มถามหน้าตาย
“โหย ผมอิ่มจนจะยัดไม่เข้าแล้ว พี่ไปหิวโหยมาจากไหนเนี่ย”
“ผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวันแล้ว” น้ำตอบ พลางใช้ช้อนเขี่ยขนมข้าวต้มน้ำวุ้นใส่ลูกชิดไปมา “ไอ้ข้าวเหนียวนี่ก็อร่อยมาก พวกไอ้ตั้งใจพามากินทีไร ผมต้องสั่งทุกที”
“ข้าวเหนียวนั่นเขาเรียกข้าวต้มน้ำวุ้น แม่ผมก็ทำขาย อร่อยที่สุดในนครสวรรค์เลยแหละ”
“บ้านคุณอยู่นครสวรรค์เหรอ”
“อือ บ้านผมเป็นร้านอาหารเล็กๆ น่ะ ขายก๋วยเตี๋ยวกับขนมหวาน คนเต็มร้านตลอดทั้งวันเลยล่ะ”
น้ำพยักหน้าหงึกหงักอย่างสนใจ “งี้เสาร์อาทิตย์ก็อดกลับบ้านน่ะสิ”
“ผมคงกลับปิดเทอมนู่นเลย... แล้วบ้านพี่ล่ะ อยู่ไหน”
“กรุงเทพฯ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านสักเท่าไหร่...” ชายหนุ่มตอบ แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการกับของหวานของตน
“อือ...” เมฆชำเลืองมองท่าทางของอีกฝ่าย ในขณะที่ใช้ช้อนเขี่ยรวมมิตรไปมารอให้น้ำแข็งละลาย “ที่บ้านพี่ไม่มีใครอยู่สินะ”
น้ำหยุดกึก เพราะไม่นึกว่ารุ่นน้องที่เพิ่งได้พบกันไม่นานจะมองตัวเขาได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ เขาทำเป็นเขี่ยขนมหวานไปมา “ทำไมถึงคิดยังงั้น”
“เพราะพี่ดูเหงาๆ ล่ะมั้ง”
“......”
เมฆตักของหวานใส่ปากตัวเองบ้าง นัยน์ตาสีนิลจับจ้องใบหน้าสวยคมของคนตรงหน้า ไม่ว่าจะขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่ง ริมฝีปากรูปกระจับ ทุกอย่างดูเข้ากันไปหมด จะว่าไป... รุ่นพี่คนนี้ก็หน้าตาโคตรดีสมคำร่ำลือเลยจริงๆ เมื่อย้อนนึกกลับไป เขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่าจะมีโอกาสได้มานั่งญาติดีอยู่ด้วยกันแบบนี้ ก็เมื่อครั้งแรกที่พบกัน... กัดกันซะขนาดนั้น
น้ำเงยหน้าขึ้นสบสายตากับคนที่กำลังจ้องมองตนเองตาแป๋ว “มีอะไร”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่กำลังนึกถึงตอนที่พบกับพี่ครั้งแรก”
“หืม?” รุ่นพี่เลิกคิ้วขึ้น “ทำไมเหรอ”
“ก็พี่แกล้งผมได้เจ็บแสบมากเลยน่ะสิ ครั้งแรกเจอกันก็ตีไข่แตกในกางเกงผมแล้ว แถมยังให้พี่ๆ ลากไปทิ้งทะเลอีก”
น้ำหัวเราะเบาๆ “คุณเองก็กวนประสาทน้อยนักนี่ อยู่ปีหนึ่งแท้ๆ มีอย่างที่ไหน มาท้ารุ่นพี่ตั้งแต่วันแรกที่รับน้องแบบนั้น ดีนะที่เป็นผม ไม่ใช่กับพวกรุ่นพี่โหดๆ”
“หมายถึงพวกพี่ตั้งใจเหรอครับ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “พี่ว้ากคณะคุณน่ะ ดุแต่หน้าตาเท่านั้นแหละ พวกเขาเป็นคนที่มีเหตุผลมากนะ ผมหมายถึงถ้าคุณไปเจอพวกรุ่นพี่จากคณะอื่นหรือที่อื่นน่ะ”
เมฆพยักหน้า ทำตาละห้อยอย่างสำนึกผิด “แต่จะว่าไป พี่กับพวกพี่ปีสี่คณะผม ดูแล้วไม่น่าจะอยู่แก๊งเดียวกันได้เลย”
“แค่เพราะผมไม่ได้ไว้ผมยาวกับไว้หนวดรึไง”
“เหย ไม่ไว้น่ะดีแล้วล่ะ ผมนึกหน้าพี่มีหนวดไม่ออกเลย”
“พวกไอ้ตั้งใจก็พูดแบบนี้เหมือนกัน” น้ำย่นคิ้วเข้าหากัน เขายกมือขึ้นลูบปลายคางแล้วหันไปมองเงาสะท้อนบนกระจกบานหน้าต่าง “ไม่เหมาะยังไงนะ”
...ไม่รู้ตัวจริงๆ หรือนี่ ท่าทางสำอางออกจะขนาดนี้ ถ้ามีหนวดเคราคงแปลกพิลึก พวกผู้หญิงคงจะทนดูไม่ไหว ต้องวิ่งไล่แล้วจับโกนออกแน่ๆ มหาลัยคงจะวุ่นวายน่าดู...
แต่แล้วใบหน้าของใครบางคนก็แวบเข้ามาในความคิด “พี่รู้จักคอนชิตา เวิสต์รึเปล่า”
รุ่นพี่ส่ายหน้า “ไม่ ทำไมเหรอ”
เมฆเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นหัวเราะ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขาแค่คิดว่าถ้าพี่น้ำมีหนวด ก็คงจะออกแนวเดียวกับคอนชิตา เวิสต์แหงๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ
“นี่คุณเป็นอะไรน่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าหัวไหล่ของอีกฝ่ายสั่นไหว “มีอะไรตลกกัน”
“ขอโทษ ขอโทษครับ ช่างเถอะ...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น “จริงสิ พี่ดูบอลรึเปล่า คืนนี้มีบุนเดสลีก้า... เฮ้ย!” เขายกนาฬิกาขึ้นมองดูแล้วลุกขึ้นพรวด “ฉิบหายแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“หอปิดแล้วน่ะสิ! ผมลืมดูเวลา!” เมฆยกมือสองข้างขึ้นกุมศีรษะ “แย่แล้ว!”
น้ำโบกไม้โบกมือ พลางกระตุกเสื้อให้เด็กหนุ่มนั่ง “เดี๋ยวไปค้างห้องผมก็ได้”
“แต่... แต่... บุนเดสลีก้า! คืนนี้บาร์เยินกับดอร์ทมุนด์ด้วย!” คือว่าตัวเขาน่ะ นอนไหนก็นอนได้ แต่โทรทัศน์น่ะสิ! “ผมพนันไว้กับไอ้ตำลึงด้วยนะเนี่ย แม่ง! ไม่ได้ลุ้นเลย”
“โธ่เอ๊ย... ห้องผมก็มีทีวีน่ะ จอใหญ่ด้วย”
“จะ... จะดีเหรอพี่ ผมเกรงใจ...” พูดไปแบบนั้นแหละ เพื่อรักษามารยาทเท่านั้น ที่จริงแค่ได้ยินว่ามีโทรทัศน์จอใหญ่ เด็กหนุ่มก็เทใจไปก่อนแล้ว
“หรือจะไปนอนหน้าเซเว่นก็เลือกเอา”
เมฆยิ้มเจื่อนๆ พลางยกมือขึ้นลูบท้ายทอย “อ่า... งั้นผมรบกวนหน่อยนะครับ”
“งั้นไปเถอะ กลับไปเอารถกัน แล้วจะได้รีบไปดูบอล” น้ำลุกขึ้นพรวด เดินไปจ่ายเงินแล้วยังไม่วายซื้อขนมใส่ถุงมาอีกหลายถุง
สองหนุ่มนั่งมอเตอร์ไซค์กลับไปยังที่จอดรถ BMW คันหรู แต่เมฆขอไปโทรศัพท์เรียกให้เพื่อนโยนเสื้อผ้าลงมาให้จากระเบียงห้องก่อน เสร็จแล้วจึงรีบกลับมายังรถที่เคลื่อนมาจอดรออยู่ใกล้ๆ อีกครั้ง
รถยนต์แล่นไปบนท้องถนนที่ว่างเปล่า สองข้างทางมีไฟเปิดไว้สว่างไสว คอนโดมิเนียมของน้ำอยู่ไกลออกไปจากบริเวณหอด้านนอกมหาวิทยาลัยพอสมควร ทว่าใช้เวลาขับรถสิบห้านาทีก็ถึง
ดวงตาสีดำขลับเบิกโพลง “ผมนึกว่าพี่อยู่หอแถวหน้ามหาลัยซะอีก”
น้ำก้าวลงจากรถ แล้วเปิดประตูหลังหยิบถุงขนมออกมา “ผมอยู่คอนโดฯ นี่มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว” ชายหนุ่มเดินนำอีกฝ่ายไปยังลิฟต์โดยสาร แล้วพาขึ้นไปยังห้องพักของตนที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุด
เมฆถอดรองเท้า ก่อนจะก้าวตามเข้าไปในห้องพักสุดหรูอย่างเชื่องช้า ห้องขนาดกว้างใหญ่ชนิดที่ครอบครัวของเขามาอยู่รวมกันได้แบบสบายๆ แต่คนคนนี้กลับอยู่คนเดียว... เด็กหนุ่มหันมองไปรอบๆ
“ทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนั้น แล้วห้องนอน...”
“ผมนอนหน้าทีวีก็ได้พี่”
“งั้นเดี๋ยวมายกที่นอนปิคนิกไปสิ พวกไอ้ตั้งใจมันหอบมาทิ้งไว้” ชายหนุ่มเดินนำไปยังห้องนอนว่างห้องหนึ่งซึ่งภายในห้องมีเพียงแค่เตียงกับตู้เท่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกใช้งาน เขาเปิดตู้แล้วกวักมือเรียก “ที่นอน หมอน ผ้าห่ม จะใช้อะไรก็ขนไป”
“ครับ” เมฆก้าวเข้าไปเลือกหยิบเครื่องนอนออกมา จากนั้นจึงเดินตามเจ้าของห้องไปยังห้องนั่งเล่น
ภายในห้องนั้นมีพื้นที่เหลือใช้มากมาย มีโทรทัศน์จอ LED ขนาดใหญ่กับชุดโฮมเธียเตอร์ กับโซฟานอนตัวยาว
“จะปูนอนตรงไหนก็ได้ หรือจะปูบนโซฟาก็ได้ เอ้านี่... รีโมต” น้ำโยนรีโมตโทรทัศน์ให้กับเด็กหนุ่ม แล้วจึงหันไปกดเปิดเครื่องปรับอากาศ
เมฆจัดการปูที่นอนลงใกล้ๆ กับโซฟานอนแล้วนั่งลง หากพออีกฝ่ายจะเดินออกไป เขาก็ดึงชายเสื้อไว้ “แล้วพี่ไม่ดูบอลเหรอ” ...แบบว่าดูคนเดียวมันไม่สนุกนี่หว่า
“ผมจะไปเทขนมใส่ถ้วยมากินต่อ”
“เหย! นี่พี่ยังไม่อิ่มอีกเรอะ”
“คุณจะกินด้วยกันมั้ยล่ะ”
“ก็ดีเหมือนกันพี่” เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อย ก็เพราะบอลกับขนมเป็นของคู่กัน เขาจัดการกดปุ่มเปิดโทรทัศน์แล้วกดไล่หาช่องที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลทันที
ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไป สักพักก็กลับมาพร้อมถาดใส่ขนม ซึ่งนอกจากจะมีพวกขนมหวานที่เพิ่งซื้อมาแล้วก็ยังมีขนมขบเคี้ยวอย่างอื่นอีก เขาวางถาดนั้นลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างหน้าโซฟา จากนั้นจึงนั่งลง “อะ จะกินอะไรก่อนก็กิน”
เมฆขยับไปมองขนมในถาด แล้วหันไปมองหน้าเจ้าของห้อง “...พี่มีขนมเยอะเวอร์”
“ไอ้พวกรุ่นพี่ของคุณน่ะ ซื้อมาทิ้งไว้”
เมฆขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกพี่สนิทกันมากเลยจริงๆ แฮะ”
น้ำชี้ไปทางโทรทัศน์ “นั่น มุลเลอร์จะเตะลูกมุมแล้วนะ”
“เฮ้ย!” เด็กหนุ่มสะดุ้ง รีบหันไปทางจอโทรทัศน์ทันที
“พนันข้างไหนไว้ล่ะ”
“บาร์เยินแน่นอนสิครับ”
ชายหนุ่มเจ้าของห้องจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังเชียร์ฟุตบอลด้วยดวงตาเป็นประกาย ทำท่าทางอย่างกับเชียร์มวยอย่างไรอย่างนั้น เขาหัวเราะเบาๆ พลางเอนหลังพิงพนักโซฟา
ตามปกติแล้ว เขามักจะทำสีหน้านิ่งเฉยเพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตัวเขามากนัก จะทำตัวสบายๆ กับเฉพาะเพื่อนรักทั้งห้าคน หากก็น่าแปลกที่เขารู้สึกสบายใจ แม้จะอยู่ด้วยกันตามลำพังกับเด็กหนุ่ม ทั้งที่อยู่คนละคณะและอายุห่างกันหลายปี
คงเพราะความเป็นธรรมชาติ ปราศจากการเสแสร้งของอีกฝ่าย ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
อีกอย่าง... เขารู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองได้ เมื่ออยู่กับรุ่นน้องคนนี้
น้ำยื่นมือออกไปเพื่อจะสัมผัสกับศีรษะของเด็กหนุ่มที่ใจจดจ่ออยู่กับลูกบอลในโทรทัศน์ แต่แล้วก็หยุดกึก เมื่ออีกฝ่ายชูมือขึ้นร้องไชโย เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจตัวเอง จากนั้นก็ชักมือกลับ
เมฆหันมาทางคนที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับยิ้มกว้าง “มุลเลอร์นี่พระเอกของผมเลย อยากเตะเมื่อไหร่ก็เตะ อยากวิ่งไปไหนก็วิ่ง ผมโคตรชอบ พี่เห็นลูกเตะเมื่อกี้มั้ย เกือบเข้าแล้ว เสียดายชะมัด”
“อือ” รุ่นพี่เออออตอบไปแบบนั้น
เสียงเฮจากในโทรทัศน์ดังขึ้นอีกครั้ง เรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มกลับไปที่หน้าจอเช่นเดิม
“สุดยอด!”
ชายหนุ่มอมยิ้มอย่างรู้สึกเอ็นดูกับท่าทางของรุ่นน้อง เขาหันไปดูฟุตบอลอีกสักพักก็รู้สึกง่วง นัยน์ตารูปเมล็ดอัลมอนด์ปิดลงทีละน้อย ในที่สุดก็ผล็อยหลับไปบนโซฟาทั้งอย่างนั้น
“เข้าประตูไปแล้ว เย้...” เมฆชะงักเมื่อหันไปเห็นว่าเจ้าของห้องพาตัวเองไปเฝ้าพระอินทร์เรียบร้อยแล้ว เขารีบหันกลับไปควานหารีโมตเพื่อเบาเสียงจากโทรทัศน์ ก่อนจะยืนขึ้นมองคนที่นอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบที่สุด เข้าไปในห้องซึ่งมีตู้ที่เจ้าของห้องใช้เก็บพวกเครื่องนอน เขาเปิดหาผ้าห่มมาอีกผืน แล้วเอากลับไปห่มให้กับอีกฝ่าย
“หลับไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ แฮะ” เมฆย่อตัวลงนั่ง สายตาพิจารณาใบหน้าผ่อนคลายยามหลับใหลของเจ้าของห้อง พลางยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
...หลับอย่างกับเด็ก
แต่จะว่าไป... เขาหันไปมองจอโทรทัศน์และตู้ใส่ดีวีดี ก่อนจะหันกลับมาทางคนที่หลับอยู่อีกครั้ง
...ลืมถามถึงเรื่องภาษาญี่ปุ่นในหนังเอวีตามที่ได้ยินมาเลย เอาไว้คราวหลังก็แล้วกัน
เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มของรุ่นพี่เบาๆ จากนั้นจึงลุกไปปิดไฟ ถอยกลับไปนั่งบนที่นอนปิคนิก แล้วดูการถ่ายทอดฟุตบอลต่อไปอย่างเงียบๆ
..
.....
..
เสียงกดกริ่งดังรัวๆ ในตอนสายของวัน ส่งผลให้คนที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มบนที่นอนปิคนิกกระสับกระส่าย จำใจต้องลุกขึ้นมาในที่สุด ดวงตาสีดำขลับกะพริบปริบพลางหันมองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคย แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คนที่ยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา
“พี่... เอ้อ...” เด็กหนุ่มเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนอนหลับสบาย เขาจึงตัดสินใจลุกเดินไปดูลาดเลาที่ประตูห้องพัก
...จะเปิดดีมั้ยว้า ใครมาก็ไม่รู้
เมฆยกมือขึ้นเกาศีรษะ หากขณะที่กำลังลังเลอยู่ที่หน้าประตูนั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นหู
“ไอ้น้ำมันยังหลับอยู่ป่าววะ ทำไมไม่เปิดประตู”
เขาจึงค่อยๆ เปิดประตูห้องพักออก “เอ่อ...”
“ทำไรอยู่ว้า ช้า... เฮ้ย!” ตั้งใจผลักบานประตูห้องเข้าไป พบกับรุ่นน้องปีหนึ่งภาคตนเข้าอย่างจัง ต่างคนต่างยืนประจันหน้ากันอย่างงุนงง “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย”
“เอ่อ เมื่อคืนผมกลับหอไม่ทัน ก็เลยค้างที่นี่น่ะครับ”
“แล้วน้ำ...”
“ยังหลับอยู่ครับ”
รุ่นพี่อีกสี่คนตามเข้ามาทางด้านหลังพร้อมกับถุงใส่โจ๊กสำหรับมื้อเช้าในมือ พอพบกับเมฆเข้าก็พากันชะงัก จะว้ากรุ่นน้องตอนนี้ก็ใช่ที่ แต่จะให้พูดกันดีๆ ก็ไม่ใช่พี่ว้ากน่ะสิ
ขณะที่กำลังอ้ำอึ้ง เสียงงัวเงียของเจ้าของห้องก็ดังขึ้น “ยืนทำไรกัน เข้ามาได้แล้ว วันนี้มีไรกินวะ”
“โจ๊ก”
ชายหนุ่มทั้งห้าก้าวเข้าไปภายในห้องอย่างงงๆ โดยมีรุ่นน้องปีหนึ่งของพวกเขาเดินตามไปติดๆ น้ำเดินนำเข้าไปภายในห้องอาหารซึ่งมีโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ มีเคาน์เตอร์กั้นครัวไว้อีกฟากของห้อง
“พวกมึงซื้อมากี่ถุง มีเผื่อปีหนึ่งของพวกมึงมั้ย ถ้าไม่มีก็ให้แบ่งกับกู” เจ้าของห้องออกคำสั่งพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“ซื้อมาเยอะอยู่” ป๊อกเด้งหันไปสบสายตากับรุ่นน้องแบบงงๆ “กินใส่ไข่ได้มั้ย”
เมฆพยักหน้าพร้อมกับพูดอย่างเกรงใจ “ขอบคุณครับ แต่เอ่อ... พี่ไปนั่งกันเถอะครับ เดี๋ยวผมแกะใส่ชามไปให้”
“รู้มั้ยว่าชามอยู่ที่ไหน”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่รู้ครับ”
“ช่วยไม่ได้นี่นะ”
สุดท้าย ปีสี่คณะวิศวะทั้งห้ากับปีหนึ่งอีกคนก็เข้าไปอัดกันอยู่ในครัว แบ่งกลุ่มเทโจ๊ก จัดปาท่องโก๋ลงในจานชาม อีกกลุ่มเปิดตู้เย็นเทน้ำผลไม้ใส่แก้ว
“ไอ้น้ำดูเพลียๆ เดี๋ยวกูเอาน้ำไปให้มันก่อน” ตั้งใจเทน้ำสะอาดใส่แก้วแล้วรีบนำไปเสิร์ฟ เขาสะกิดเพื่อนรักจนอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงใช้หลังมือแตะสัมผัสหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ “ดื่มน้ำก่อนละกัน เมื่อคืนนอนดึกเหรอวะ”
“อือ ปวดหัวนิดหน่อยว่ะ”
“เอายามั้ย วันนี้จะเข้ามหาลัยป่าว”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูจะไปนอนต่ออีกสักหน่อย มีนัดจะไปดูไอ้พวกนั้นซ้อมว้ากตอนบ่ายว่ะ”
“งั้นมึงกินโจ๊กก่อนค่อยไปนอนต่อ” ตั้งใจบีบไหล่เพื่อนรักเบาๆ
เป็นที่รู้กันว่าถ้าหากน้ำนอนไม่พอหรือไม่สบายจะหงุดหงิดมาก พวกเขาคอยดูแลเพื่อนรักมานาน โดนลูกหลงมาหลายครั้งจึงรู้ดีว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้เพื่อนรักรู้สึกดีขึ้น แล้วไม่ลุกขึ้นตีเข่าหรือจับพวกเขาทุ่มรายตัว
เมฆถือถุงโจ๊กค้างอยู่ในมือ สายตาจับจ้องไปที่เฮดว้ากปีสี่กับรุ่นพี่ต่างคณะซึ่งเขาคิดแล้วคิดอีกว่าแปลก... ที่ดูสนิทสนม ถึงเนื้อถึงตัวกันมากขนาดนั้น
...ทำอย่างกับคนเป็นแฟนกันงั้นล่ะ
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “.....”
“เฮ้ย คุณ โจ๊กจะหกแล้ว” ไข่ย้อยใช้ศอกสะกิด
“อะ! ขอโทษทีครับ”
ไม่นานชามโจ๊ก จานใส่ปาท่องโก๋และแก้วน้ำก็ถูกนำไปจัดวางบนโต๊ะอาหาร เมฆนั่งลงร่วมในวงด้วย ซึ่งทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารกันไปอย่างเงียบเชียบ แต่ก็มีเหลือบมองกันบ้างเป็นบางครั้ง บรรยากาศน่าอึดอัด ราวกับพบพ่อตาแม่ยายกันเป็นครั้งแรก
“จริงสิ เดี๋ยวคุณจะเข้ามหาลัยพร้อมกับพวกผมเลยมั้ย” ใบตองถามขึ้น
“หรือจะรอไปกับผม แต่ผมจะเข้ามหาลัยตอนบ่ายนะ” น้ำหันไปถามบ้าง
เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อย “เอ่อ ผมไปเช้าหน่อยดีกว่า ขอบคุณมากนะครับ”
แล้วบรรยากาศก็กลับไปเงียบกริบเช่นเดิม จนกระทั่งเจ้าของห้องพูดขึ้น “จริงสิ เมื่อคืนใครชนะ”
“บาร์เยิร์นสิพี่” เมฆรีบตอบ “ชนะขาดลอย”
ป๊อกเด้งเลิกคิ้วขึ้น เลือดรักฟุตบอลในกายพลุ่งพล่าน ทำให้เขาพูดเสริมไปอย่างลืมตัว “เออ น้อย (นอยเออร์) แม่งนอนเฝ้าประตูเลย ถ้าแดกนูเทลล่าได้คงหยิบขึ้นมาจกแดกแล้วเนี่ย” เมื่อคนหนึ่งเริ่มแล้ว คนอื่นๆ จึงลอยตามน้ำเข้ามาร่วมวงด้วย
“ลาห์มเมื่อวานดูมึนๆ นะ แม่งวิ่งเตี้ยไปมา ขาไม่ได้แตะลูกเลย สงสารฉิบหาย”
เมฆหัวเราะ “ผมก็ว่างั้น แต่มึนเลอร์ (มุลเลอร์) กลับดึงสติอยู่ นัดนี้แปลกจริงๆ ว่ะพี่”
“หูย ตอนได้ลูกโทษงี้ ไอ้ไข่ย้อยแม่งทนดูไม่ได้ ต้องวิ่งออกจากห้องเลยด้วยนะ”
ไข่ย้อยหันไปส่งสายตาขุ่นๆ ให้ “แล้วทีมึงตะโกนด่ากรรมการล่ะโว้ย!”
“แต่กรรมการนัดนี้แม่งเหี้ยจริงๆ นะพี่ แม่งฟาล์วชัดๆ อะ” การสนทนาของพี่ว้ากปีสี่กับรุ่นน้องปีหนึ่งยังคงดำเนินไปอย่างถึงพริกถึงขิง พอได้คุยกันเรื่องถูกใจ ต่างก็พากันลืมเก๊กไปเสียสนิท
“เออ ไอ้น้อง มึงเห็นบัวแตงป่าววะ แม่งไม่ได้ลง ยังออกมาตะโกนด่ากรรมการที่ข้างสนามเลย”
“ฟิลลิ่งแม่งมาเต็มเลยพี่ ถลึงตาซะนึกว่าเป็นนางร้ายในละครมาเอง”
“จริงของมึงว่ะไอ้น้อง กูนี่ เห็นเป๊ป(โค้ช)กรอกตาเป็นเลขแปดเลยมึง”
น้ำอมยิ้ม นึกขำจนต้องเบือนหน้าหนี เขารออยู่ว่าไอ้พวกนี้จะเอะใจเมื่อไหร่ ไอ้พวกพี่ก็ชวนกันเฮฮา ไอ้น้องก็ตีซี้ เรียกพี่เรียกน้องอย่างสนิทสนมแล้ว ก่อนจะมีการบายศรีรับเป็นพี่น้องกันตามธรรมเนียมเสียอีก
เสียงหัวเราะดังลั่นห้องอยู่นาน สลับกับเสียงพูดคุยเรื่องฟุตบอลทีมโปรดกันอย่างเมามัน
“เฮ้ย แล้วทำไมพวกพี่ถึงเชียร์บาร์เยิร์นอะ”
“กูชอบทีมเยอรมันไงมึง ติดใจมาตั้งกะตอนบอลโลก”
“เหย เหมือนผมเลย”
“บาร์เยิร์นนัดหน้ามึงต้องมาดูบอลกับพวกกูเลยนี่ มาสุมหัวกันที่ห้องไอ้น้ำนี่ก็ได้” ตั้งใจเชื้อเชิญโดยไม่สนใจเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย
เมฆยิ้มกว้าง เพราะจอโทรทัศน์ของน้ำน่ะ ใหญ่เบ้อเริ่ม ดูฟุตบอลมันส์เป็นบ้า ยิ่งถ้ามีพวกดูด้วยแล้ว เขาหันไปทางเจ้าของห้อง
“งั้นพี่...” แต่จู่ๆ ก็ฉุกใจคิดได้ การสนทนาของเขากับพี่ว้ากปีสี่ มันดูสนิทสนมคุ้นเคยกันแบบแปลกๆ นะ
รุ่นน้องปีหนึ่งเพียงคนเดียวในห้องหันไปสบสายตากับปีสี่ทีละคน ซึ่งดูเหมือนว่าแต่ละคนก็เพิ่งจะเอะใจ พวกเขาอ้าปากค้างไว้ ดวงตาเบิกกว้าง
น้ำไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไปแล้ว ก็ดูหน้าตาแต่ละคนเข้าสิ ทีเมื่อกี้ล่ะคุยกันถูกคอ พอนึกขึ้นได้ก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี เขาหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ”
เมฆยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “เอ้อ...” หากเพราะเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มกว้างของรุ่นพี่ต่างคณะ ส่งผลให้เขาพลอยยิ้มตามไปด้วย
...จริงสิ ที่อีกฝ่ายจงใจยกเรื่องฟุตบอลขึ้นมาคุย ก็คงเพื่อช่วยให้บรรยากาศภายในห้องอาหารดีขึ้นงั้นสินะ เมื่อย้อนนึกกลับไป ชายหนุ่มก็เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกันก็ว่าได้
เพื่อนสนิทของน้ำหัวเราะเบาๆ จะทำไงได้ หลุดหัวเราะไปแล้ว ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย ทั้งที่จริงพวกเขาควรจะดูขรึมอยู่เสมอเพื่อให้รุ่นน้องเกรงกลัว
ตั้งใจหันไปบอกกับเมฆ “เดี๋ยวกลับมหาลัยไป ค่อยเปลี่ยนโหมดเป็นปีสี่กับปีหนึ่งใหม่ก็ละกัน”
“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก แต่ว่าเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กับพวกพี่ว้ากได้หรอกนะ จริงๆ ก็เป็นคนคุยสนุกใจดี น่าคบหานี่นา นับวันก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมรุ่นพี่คณะของตนมากขึ้นไปทุกที
เมฆหันไปมองเจ้าของห้อง ซึ่งอีกฝ่ายกำลังนั่งอ้าปากหาว เส้นผมบนศีรษะยุ่งฟูไม่เป็นทรง นัยน์ตาฉ่ำเยิ้มคงเพราะยังง่วงนอน แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาของเขา... ก็คิดว่ารุ่นพี่เป็นคนที่น่ารัก ชวนให้สนใจมากเลยทีเดียว เป็นเสมือนน้ำเย็นที่ช่วยบรรเทาความร้อนและความกระหายให้บางเบาลงไป ทำให้เขารู้สึกดีเวลาที่อยู่ใกล้ๆ กัน
“มองอะไร” คนถูกมองขมวดคิ้ว
นัยน์ตาสีดำขลับเสหลบ “...เปล่าครับ”
ไข่ย้อยโอบศีรษะของรุ่นน้องเข้าหาตัว พลางหัวเราะเบาๆ “มึงอิจฉาที่ไอ้น้ำมันหล่อใช่มั้ยล่ะ เช้าๆ เพิ่งตื่นแบบนี้ แม่งตาหวานฉิบ!”
“เปล่านะครับ!” เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนบนใบหน้าชอบกล เขารีบหลุบตาลงต่ำ
“เอาน่ะๆ มึงก็หน้าตาไม่เลวนะ ไม่ต้องไปอิจฉามันหรอก” ป๊อกเด้งเขกศีรษะของรุ่นน้องเบาๆ อย่างเอ็นดู
“กูไปนอนต่อดีกว่า” น้ำลุกขึ้นพรวด “พวกมึงจะอยู่ต่อหรือจะทำอะไรก็ทำ อย่าเสียงดังแล้วก็อย่ารังแกเด็กนะโว้ย”
“รู้แล้วน่ะ งั้นเดี๋ยวบ่ายเจอกัน”
ชายหนุ่มเจ้าของห้องพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกจากห้องรับประทานอาหารไป
ตั้งใจลุกขึ้นบ้าง “กินเสร็จแล้วใช่มั้ยพวกมึง ลุกๆ ไปล้างจานกันดีกว่า”
TBC~*ขออภัยในความล่าช้าค่ะ
เห็นหลายๆ คนลุ้นให้หอปิด ฮัสกี้ก็รีบไปปิดหอเลยนะคะเนี้ยะ <-- ปากดี 5555555
ตอนนี้แอบเริ่มมีสีชมพูมารางๆ แล้วนะคะ ใกล้แล้วค่ะคู่นี้ อีกไม่นานเกินรอออ~
สำหรับคอนชิตา เวิสต์ คือคนที่ประกวดชนะยูโรวิชั่นคอนเทสต์แล้วเป็นข่าวดังอยู่ช่วงนึงน่ะค่ะ ถ้าหากนึกไม่ออกจิ้ม --> Conchita Wurst
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านค่า