Yours and Mine EP.20 (100%)ผมเดินไปตามถนนในย่านเวสต์วิลเลจที่เป็นทางไปร้านของจีอันนาหลังจากลงจากรถอูเบอร์ที่เรียกให้ไปรับที่บ้านและขับมาส่งที่นี่ เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ออกมาข้างนอกคนเดียวโดยที่เดินตัวปลิวไม่มีใครตาม ครั้งแรกก็ตอนหนีวิคเตอร์ไปทบทวนตัวเอง จริงๆ รอบนี้วิคเตอร์ก็ขัดไม่อยากให้มา แต่เพราะเขาเองก็มีความผิดติดตัวอยู่ เขาเลยไม่กล้าขัดใจผมมาก ผมเลยถือโอกาสนี้ใช้สิทธิ์ในการออกมาเดินทอดน่องล่องลอยคนเดียว แกล้งขู่เขาว่าไม่งั้นจะโกรธย้อนหลัง เขาก็ปล่อยผมมาแบบหน้างอๆ
ผมเอามือซุกในเสื้อกันหนาวสีเทามีฮู้ด แหงนหน้ามองต้นไม้ริมสองทางที่คล้ายกับซอยบ้านวิคเตอร์ นิวยอร์กช่วงผลัดใบใกล้เข้าสู่ใบไม้ร่วงนี่มันช่างสวยจริงๆ สีสันใบไม้งดงามมาก มันตัดกับสีตึกสีน้ำตาลสีขาวที่ตั้งขนาบข้างสองฝั่งอย่างลงตัว มันเป็นช่วงเวลาที่ผมชอบสุดๆ ละ ตระการตาดี ถ่ายรูปสวยแทบทุกมุม ระหว่างเดินไปร้านจีอันน่าผมก็เก็บไปได้หลายรูปแล้ว
ผมมาที่นี่เพราะความขี้เผือกกำเริบ อยากจะสาระแนทำตัวเป็นนักสืบตัวอวบเพื่อหาความจริงเรื่องที่ว่าฌอณไม่ใช่เป็นคนทำจริงๆ ใช่มั้ย ออสตินกำลังสืบอยู่ก็จริง แต่ผมคิดว่าถ้าผมมาสืบเองอาจได้เห็นปฏิกิริยาพิเศษบางอย่างจากเขาหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ได้บอกวิคเตอร์หรอกนะ ผมบอกแค่ว่าจะมาร้านจีอันนา
ปิก้าปี้ ปิก๊าจู๊ ปิก้าปีก๊า ปิ๊กะ ปิก่าจู๊~ ผมหยิบมือถือในกระเป๋าสะพายข้างออกมาดูก็เห็นว่าเป็นเจสันโทรมา ในขณะที่กำลังจะกดรับผมก็สะดุ้งตกใจกับใครบางคนที่ยืนอยู่บนสเก็ตบอร์ดที่ไหลผ่านหน้าผมไป หมอนั่นยิ้มให้อย่างทะเล้นพร้อมกับโบกมือทักทายอย่างมีสไตล์
“อะไรเนี่ย?!” ผมถลึงตาใส่เซบาสเตียนที่วันนี้ใส่หมวกไหมพรมสีเทามาด้วย เขาใช้เท้าเบรกสเก็ตบอร์ดและหยุดรอผมให้เดินไปตรงที่เขายืนอยู่
นึกว่าผีเถอะ โผล่ไปแทบจะทุกที่ ดีนะไม่โผล่ไปที่เคปทาวน์ตอนผมถ่ายหนังด้วย
“ฮัลโหล” ผมตัดสินใจกดรับสายเจสันก่อนเพราะเดี๋ยวเขาจะรอนาน สายตาเหลือบมองไอ้เด็กกวนสตินั่นอย่างระแวง
[เป็นไงบ้าง]
“ขอโทษทีครับที่ไม่ได้โทรไปบอก ผมลืมคิดไปเลย แต่วิคเตอร์ปลอดภัยแล้วครับ” ผมทำตาโตใส่เซบาสเตียนที่ไถลสเก็ตบอร์ดมาใกล้ๆ
[โล่งอกไปนะ ฉันจะโทรมาบอกว่า ไม่ต้องกลับมาที่เคปทาวน์แล้ว นายดูแลวิคเตอร์ไปเถอะ ให้นายไปเจอกันที่ไทยแลนด์ได้เลย] ผมรู้สึกผิดและเป็นกังวลที่ทิ้งงานมา แต่จะให้ทิ้งวิคเตอร์นอนเจ็บผมจะยิ่งรู้สึกแย่มากกว่า
“ขอโทษนะครับ และขอบคุณมากๆ ที่คุณช่วยรับงานต่อจากผม ถ้ามีอะไรสงสัยหรือเป็นปัญหาโทรหาผมได้ตลอด”
[อย่ากังวลเลย ชีวิตคนมีค่ามากกว่างานนะ] ผมยิ้มด้วยความรู้สึกดี แม้ว่าอเล็กซ์จะติสท์แตก ให้กำลังใจผมแบบแดกดันเป็นบางครั้ง แต่ผมก็ไม่เก็บมาคิดมาก เพราะทีมงานคนอื่นดีกับผมแบบนี้ อย่างเจสันคือเห็นชัดว่าทำให้ผมสบายใจกับกองนี้จริงๆ
“ขอบคุณมากนะครับ เรื่องเตรียมงานที่ไทยไม่ต้องเป็นห่วง เขารอเราไปเท่านั้นเอง เดี๋ยวผมบินไปรอก่อนสักสามวัน”
[แล้วไว้คุยกันนะ นายยังเป็นทีมงานเราเหมือนเดิม] ผมยิ้มปลื้มใจแต่พอหันไปเห็นว่าเซบาสเตียนกำลังก้มหน้ามองผมอยู่จากด้านหลัง ผมก็หุบยิ้มและกระเถิบตัวหนีเขา
“โอเคครับ ขอบคุณมากๆ แล้วเดี๋ยวเจอกัน” ผมกดวางสายเจสันแล้วหันไปมองเซบาสเตียนที่ขยับหมวกไหมพรมไปด้านหลัง
“นายมาได้ยังไงเนี่ย”
“ไถลสเก็ตบอร์ดมาเรื่อย” ผมย่นคิ้ว มองด้วยความไม่ไว้ใจ เขาหัวเราะอารมณ์ดี
“ตามฉันมาเหรอ” เขายักไหล่ทั้งสองข้างท่าทางสบายๆ
“จะว่างั้นก็ได้ ฉันตามมาเอาคำขอบคุณและคำสัญญาที่ฉันช่วยให้นายได้ตึกนั้นไปถ่ายทำ” ผมอยากจะกลอกตาและชักสีหน้า แต่ก็เกรงว่าจะเสียมารยาทกับความช่วยเหลือที่เขามอบให้เมื่อคราวก่อน
เรื่องตึกนั้นที่ว่าลุงเขาเป็นเจ้าของคือเรื่องจริง ไม่ได้ติงนัง โอ้ว มาย ก้อด โลกมันกลมอย่างแท้ทรู เซบาสเตียนพาผมไปพบลุงเขาตามที่บอก วินาทีแรกที่ผมเจอลุงของเซบาสเตียน อยากจะถามให้แน่ใจว่านี่คือลุงเขาจริงๆ เหรอ เพราะคุณเคย์เดนหล่อมากกก เขาไม่ใช่ไม่แก่เลยนะ คือเขามีอายุของเขานั่นแหละ แต่เขาดูหล่อมากกก ผมไม่อยากใช้แค่คำว่าดูดี เพราะเขาหล่อแบบทะลุออกมาเลย อย่างวิคเตอร์ผัวตัวเองมันยังมีความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนหล่อจัดเต็มแต่มีเสน่ห์มีความเท่ความดิบเถื่อนเป็นตัวดึงดูดเหนือความหล่อ แต่กับคุณเคย์เดนผมเต็มปากเต็มคำจริงๆ ว่าเขาหล่อ ตาสีฟ้าสดของเขาร้อนแรงมากยามที่อยู่ในมาดขรึม ผมตะลึงในความหล่อของลุงเซบาสเตียนจริงๆ เขาตัวสูง หุ่นสมาร์ท บ่งบอกเลยว่าเขาดูหนุ่มเพราะเขาดูแลสุขภาพตัวเอง เขาเป็นผู้ชายแนว DILF (Dad I would like to fuck) แนวแดดดี้อบอุ่น ที่สำคัญเขาโสดดด อายุสี่สิบกว่าแล้วแต่โสด แก่กว่าอเล็กซ์ แต่อเล็กซ์ดูแก่กว่าไปทันทีเมื่อเจอคุณเคย์เดนคนนี้
“ก็ขอบคุณไปแล้วไง” เซบาสเตียนเอียงคอและยิ้มกวนๆ
“แต่นายยังไม่ได้ไปกินข้าวกับฉันสักมื้อเลยนะ” ผมขมวดคิ้วทำปากขมุบขมิบ คือวันนั้นก่อนพบคุณเคย์เดนผมก็เป็นกังวลเนาะว่าแกจะไม่ให้ เลยบอกเซเบาสเตียนว่าช่วยผมพูดด้วย ไปถึงไอ้เด็กนี่ก็ช่วยเต็มที่จนลุงเขายอม แต่ผมพลาดตรงที่ไปสัญญาว่าถ้าช่วยพูดให้จะไปกินข้าวด้วยตามที่บอก ปรากฎว่าคุณเคย์เดนใจดีมากกก ผมนึกว่าเขาจะหวง แต่เขากลับมองว่าเป็นการดีที่เขาจะได้โปรโมตธรุกิจตัวเองผ่านหนังก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แล้วผมก็ดันพลาดไปสัญญาแล้ว โชคดีที่ไปถ่ายหนังที่เซ้าท์แอฟริกาก่อน เลยหนีเขาได้ นี่ไม่รู้มารู้ได้ไงเนี่ยว่าผมกลับมานิวยอร์ก
“ก็ได้ ฉันกำลังจะไปร้านอาหารของเพื่อนพอดี” เซบาสเตียนเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มงงๆ
“ทำไมยอมง่ายจัง” ผมมองบนแว้บหนึ่งพร้อมกับพ่นลมหายใจ
“ฉันกลัวโดนสะกดรอยตามอีก กินให้มันจบๆ ไป” เซบาสเตียนทำปากยื่น แสร้งตีหน้าเศร้า
“ใจร้ายจัง รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมตาโตสั่นหัวรัวๆ ด้วยความตกใจ ความคิดที่ว่าตัวเองออกแสดงว่ารังเกียจเขามีด้วยเหรอ
“ไม่ได้รังเกียจนะ…” ไอ้เด็กสเก็ตบอร์ดยิ้มล้อ ผมเลยทำหน้าบูด “…แต่รำคาญอะจริง ฉันกำลังจะแต่งงานนะ”
“วู้ววว! ย้ำอยู่ได้ รู้แล้วน่า แต่ฉันไม่ได้แต่งด้วยสักหน่อย” เนี่ย มันเป็นซะอย่างเนี้ย
ผมขี้เกียจเถียงแล้ว เพราะยืดเยื้อไปเดี๋ยวจะเป็นโมเม้นต์คู่กัดกลายเป็นคู่จิ้น ผมเลยกวักมือให้เขาเดินตามมา เซบาสเตียนยิ้มกว้าง ใช้เท้าดีดสเก็ตบอร์ดให้ลอยขึ้นและยื่นมือคว้าดึงไปไว้ข้างลำตัว เขาก้าวเท้ามาเดินข้างๆ ผม
“นายจะบินไปที่ไทยเมื่อไหร่” ชวนคุยตามปกติ อันนี้คุยได้
“อาทิตย์หน้ามั้ง” เขายักคิ้วหนึ่งทีก่อนว่าเสียงระรื่น
“เจอกันที่นู่น” ผมอ้าปากหวอด้วยความตกใจ
“นายไปด้วยเหรอ?!”
“อ้าว ก็ต้องไปสิครับ”
“ไปทำไมเนี่ย” เซบาสเตียนหัวเราะ เหมือนกำลังสนุกที่เห็นผมหน้านิ่วคิ้วย่นใส่ตัวเอง
“ลุงผมไปดูตึกตัวเอง ผมก็จะไปดูงานกับลุง ผมผิดอะไรเนี่ย” ผมจิกตาใส่เขา จะพูดเต็มปากก็ไม่ได้ว่าหมอนี่มีเจตนาตามเราไป เดี๋ยวจะหาว่าเราหลงตัวเอง
“อยากเป็นนักธุรกิจว่างั้น” เซบาสเตียนแบมือซ้ายออกแล้วยักไหล่กวนๆ อยากหยิบสเก็ตบอร์ดมาฟาดหน้าเขาซะจริง แต่ที่ทำได้จริงคือเงียบและเดินต่อไปไม่พูดไม่จาอะไร แม้จะหงุดหงิดกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของไอ้เด็กนี่ก็ตาม
ปิก้าปี้ ปิก๊าจู๊ ปิก้าปีก๊า ปิ๊กะ ปิก่าจู๊~ ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นวิคเตอร์โทรมา ผมกดรับสายเขาตามปกติ “ฮัลโหล”
[อยู่ไหนแล้ว]
“อีกห้านาทีก็ถึงร้านจีอันน่าแล้ว ผมเดินชมเมืองเพลินไปหน่อย”
[ฉันหิว]
“อาหารอยู่บนโต๊ะในครัวไง”
[ไม่เอา อยากกินอย่างอื่น] ผมขมวดคิ้วอ่อนๆ งงนิดหน่อยกับความเอาแต่ใจของเขาในตอนนี้
“อยากกินอะไรอะ ให้ออสตินออกไปซื้อก่อนได้มั้ย”
[ออสตินไม่อยู่ เดี๋ยวฉันรอนายกลับมาทำให้] แน่ะ โกหกชัดๆ ช่วงเวลาแบบนี้ออสตินไม่ออกไปไหนหรอก อยู่คุ้มกันเจ้านายตัวเองอย่างดี ผมนึกหน้าตอนนี้เขาออกเลยว่าคงพูดมึนๆ ปล่อยให้ออกมาก็จริง แต่ก็ชอบเล่นแง่แบบเนี้ยแหละ
“งั้นก็รอไปก่อน เสร็จแล้วผมถึงจะกลับไป”
[อือ นานแค่ไหนก็รอ ฉันจะกินฝีมือนายคนเดียว] หืมมม ปากหวาน แต่มีแผนการซ่อนอยู่ รู้หรอกน่ะว่าจะให้กลับเร็วๆ ไม่ให้อยู่ข้างนอกนาน
“อะ โอเคๆ เดี๋ยวผมรีบกลับ”
[ฉันต้องกินยาด้วย แต่เป็นยาหลังอาหาร และฉันยังไม่ได้กินอะไร] อู๊ยยยย ใช้แผนนี้ทุกทีแหละเวลาตัวเองอยู่บ้านแล้วไม่ได้ออกไปไหนกับผม
“ครับๆ เดี๋ยวรีบกลับไป” ผมว่าอย่างอ่อนใจ แต่ก็ยิ้มขำก่อนจะกดวางสาย พอหันไปด้านขวาตัวเองก็ต้องสะดุ้งตกใจ เพราะลืมไปแล้วว่าเซบาสเตียนอยู่ด้วย
“คุยกับฉันแบบนี้บ้างสิ” เขาพูดแบบหน้าซื่อ ผมไม่อยากว่าหน้ามึนเดี๋ยวเหมือนไอ้ยักษ์
“ไม่” ผมว่าห้วนๆ และผายมือไปทางร้านจีอันน่าที่มีคนเดินเข้าออกอย่างบางตา แต่ก็ไม่ใช่โล่งโหวงเหวง เซบาสเตียนหันไปมองร้านนั้นและเดินนำหน้าผมเข้าไปในเขตรั้วร้านด้านนอก ผมเดินตามเขาไปด้านใน เห็นจีอันนายืนอยู่ตรงเค้าน์เตอร์กำลังก้มทำอะไรสักอย่าง เธอเลิกเป็นนางแบบถาวรแล้ว เพราะกิจการร้านไปได้ดีและเธอก็มีความสุขกับมันมาก ส่วนกับชาร์ลีเธอใจแข็งใจเด็ดจริงๆ ที่ไม่ยอมกลับไปคืนดีกับเขา ทุกวันนี้เธอชิลมาก ส่วนชาร์ลีก็แห้ว แต่ก็เดินหน้าต่อได้แล้ว
“อ้าว ตามสบายเลยนะ” ผมยิ้มให้เธอที่เงยหน้าขึ้นมาทักทาย ผมสอดส่องมองหาฌอณแต็ไม่เห็นเขา
“ฌอณไม่มาเหรอครับ”
“มาสิ อยู่หลังร้านน่ะ เขามีอาการปวดหัว ฉันเลยให้เขาไปพักก่อน”
“ประมาณสามวันที่แล้ว ที่ร้านเลิกงานตามปกติมั้ยครับ” จีอันน่าทำหน้านึกก่อนจะพยักหน้าแบบไม่แน่นอนแต่ก็คงแน่นอนในความรู้สึกเธอ
“ปิดร้านห้าทุ่มตามปกตินะ”
“ทุกคนเลิกงานพร้อมกันใช่มั้ยครับ”
“ใช่สิ เลิกพร้อมกันเหมือนเดิมนั่นแหละ” จีอันน่ามองหน้าผมอย่างสงสัย
“ผมไม่ได้จะจีบฌอณนะ”
“โอ้ แน่ล่ะ อย่าหาเรื่องให้วิคเตอร์มาถล่มร้านฉันเลย” ผมหัวเราะเบาๆ จีอันนาทำหน้าแหยง ก่อนจะผายมือไปทางโต๊ะว่างใกล้กับเค้าน์เตอร์ ผมสะกิดเซบาสเตียนที่กำลังยืนมองไปรอบร้านให้เดินไปนั่งด้วยกัน
“สั่งได้เลยนะ สั่งช็อคโกแล็ตเย็นให้ฉันด้วย” ผมบอกหลังจากเซบาสเตียนนั่งลงบนเก้าอี้
“อ้าว แล้วนายไม่สั่งเหรอ”
“ไปหลังร้านแปบนึง เดี๋ยวกลับมา” เซบาสเตียนพยักหน้า ผมเดินผ่านเค้าน์เตอร์ไปหลังร้านด้วยความคุ้นเคย พนักงานในร้านที่จำกันได้ส่งยิ้มให้ ผมแหวกผ้าดำที่กั้นประตูเชื่อมหลังร้านแล้วเดินทะลุเข้าไปด้านใน เจอครัวก่อนเป็นด่านแรก เดินเข้าไปเรื่อยๆ จะเป็นที่พักและห้องน้ำของพนักงาน มีลานโล่งหลังร้าน สำหรับนั่งพักผ่อน สูบบุหรี่และวางของบางอย่าง ที่ห้องพนักงานไม่มีฌอณอยู่ ผมเลยเดินไปต่อที่ลานโล่งหลังร้านก็เจอกับฌอณกำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ
“ฌอณ…” ผมเอ่ยเรียกเขา เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับลืมตาขึ้น เขาขมวดคิ้วมองผมน้อยๆ ก่อนที่จะคลายคิ้วออก
“นายนั่นเอง”
“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามพลางสำรวจสีหน้าและท่าที เขาดูมึนๆ งงๆ คล้ายคนอ่อนแรง
“ฉันพยายามใช้ความคิดมากเกินไปน่ะ เลยปวดหัว” เขายกมือขึ้นลูบหัวด้านบนวันไปตามเข็มนาฬิกาเบาๆ ผมเห็นรอยแผลเป็นแนวยาวบนหนังศรีษะของเขาฝั่งซ้ายมือ เป็นรอยเป็นที่เกิดจากรอยเย็บ ผมมองท่าทีของเขาแล้วครุ่นคิดด้วยความสับสน
“คุณรู้จักวิคเตอร์มั้ย” ฌอณหันมามองผมงงๆ เขาทำหน้าพยายามนึกก่อนจะส่ายหัวช้าๆ
“ชื่อคุ้นๆ แต่ไม่แน่ใจว่ารู้จักมั้ย” ผมว่าผมมั่นใจได้นะว่าฌอณไม่ได้เป็นคนทำร้ายวิคเตอร์ หรือไม่ใช่คนที่ไปสั่งการให้ใครมาทำร้าย สถานภาพของเขาตอนนี้มันต่างจากตอนนั้นมากจริงๆ และผมคิดว่าเขาไม่แอคติ้งอะไรได้นานขนาดนี้หรอก แค่ผมเป็นเพศที่สามเขายังโกรธเกลียดผมจนจะเอาถึงตาย แต่นี่เขามีความแค้นใจต่อผมกับวิคเตอร์เป็นเรื่องเป็นราว เขาคงไม่ปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยแล้วมายืนปั่นกาแฟแบบนี้หรอก
“เขาเป็นนักแสดงน่ะ คุณเลยอาจจะคุ้น” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดจิ้มๆ หารูปวิคเตอร์ในกูเกิ้ลสักแปบก็หันโทรศัพท์ให้ฌอณดู เขารับไปดูรูปวิคเตอร์ก่อนจะขมวดคิ้วแช่ไว้นานมาก และจ้องหน้าจอโทรศัพท์นานมากจนผมงง
“ฌอณ…” ผมยกมือโบกตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับผมช้าๆ “…คุณโอเคมั้ย”
เขาไม่ตอบแต่จ้องมองผมนิ่ง แล้วสักพักแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาของฌอณคนเดิม ผมชะงักกึก รู้สึกกลัวขึ้นมาแต่ก็ทำนิ่งทำเนียนไม่กระโตกกระตาก เขายื่นมือถือคืนมาให้ ผมยื่นมือไปหยิบมาจากมือเขา แต่ตอนที่กำลังจะชักมือกลับเขากลับคว้าข้อมือผมแน่นจนผมตกใจ
“แมท” เสียงของเขาห้วนสั้น แววตากระด้างกระเดื่อง ผมเบิกตากว้าง หัวใจเต้นรัวฉับพลับ รู้สึกเลือดในตัวเย็นลงกับแววตาและน้ำเสียงของเขา
“ฮะ… เฮ้”
“ฉัน… ฉันรู้สึก…” เขาย่นคิ้ว ยกมือขวาขึ้นจับหัว สีหน้าของเขาเจ็บปวด ผมมองเขาด้วยความตกตะลึง พยายามควบคุมลมหายใจตัวเองให้อยู่ในระดับปกติ แต่สักพักก็ต้องช็อคเพราะฌอณจ้องผมตาขวาง มือขวาพุ่งเข้ามาบีบคางผมอย่างแรง
“คะ… คุณ…”
“ฉันเคยทำแบบนี้” เขาพูดเสียงต่ำ น้ำตาผมเอ่อคลอด้วยความกลัว ฌอณบีบคางผมไว้และจ้องหน้าผมด้วยดวงตาก้าวร้าว ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่น ไม่กล้าต่อสู้หรือต่อต้าน เพราะกลัวว่าจะยิ่งกระตุ้นความทรงจำเขา ตอนนี้เขาคงกำลังต่อสู้กับความจำตัวเองอยู่
“เฮ้!!” เสียงดังขึ้นด้านหลังของผมก่อนที่เซบาสเตียนจะพุ่งเข้าผลักฌอณออกจนเขาล้มลงบนพื้น ผมหายใจหอบเพราะเมื่อกี้แทบจะกลั้นหายใจ พอมองไปทางฌอณก็เห็นเขานั่งกุมหัวตัวเอง เซบาสเตียนยืนประคองผมไว้และมองฌอณตาแข็ง
“ฉะ…. ฉัน… ฉันขอโทษ” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ควบคุมสติตัวเองให้นิ่งแล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเขา
“ไม่เป็นไรครับ อย่าพยายามนึกอะไรอีกเลยนะ” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม ดวงตาเมื่อกี้หายไปเหลือแต่แววตาสับสนและดูเศร้าสร้อย เขาคงหงุดหงิดที่ตัวเองอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ เหมือนไปไม่สุดสักทางกับชีวิต
“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร” เขาน้ำตาคลอ มองผมอย่างอ้อนวอน เหมือนอ้อนวอนว่าให้เห็นใจเขา ผมพยักหน้า ส่งยิ้มให้เขาสบายใจ
“ช่างมันเถอะ อยู่กับปัจจุบันดีกว่านะ” แววตาเขาสลด เขาพยักหน้าเบาๆ ผมจับแขนเขาแล้วพาเขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ฌอณหันไปมองเซบาสเตียนที่ยืนจ้องเขม็งอยู่
“ขอโทษครับ พอดีผมมีปัญหาด้านอารมณ์กับสมอง” เซบาสเตียนขมวดคิ้ว มองฌอณอย่างไม่ไว้ใจ ผมปล่อยมือออกจากแขนฌอณ
“ถ้าดีขึ้นแล้ว คุณก็กลับไปทำกาแฟต่อนะ ลูกค้าคงรอกินฝีมือคุณอยู่เยอะเลย” ฌอณยิ้มและพยักหน้า ผมยิ้มตอบบางเบา หมุนตัวพาเซบาสเตียนเดินกลับเข้าไปด้านใน ผมหันไปมองเขาอีกที ฌอณลุกขึ้นยืนสีหน้างุนงงก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม เอาจริงๆ ท่าทางเขาน่าสงสารมาก เหมือนเขากำลังหลงทางกับอารมณ์ของตัวเอง ผมถอนหายใจแล้วปล่อยให้ฌอณอยู่กับตัวเองต่อไปตามที่เขาต้องการ
“มันทำร้ายนายอะ” ผมสั่นหัวในขณะที่เดินผ่านครัวออกไปในส่วนของร้าน
“เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำ เขามีปัญหาอย่างที่เขาบอกจริงๆ” ผมพูดพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ บนโต๊ะตอนนี้มีของมาวางเต็มแล้ว
“ไบโพล่าเงี้ยเหรอ” เขาว่าพลางนั่งลงตรงข้าม ผมครุ่นคิดตามที่เขาบอกก่อนจะพยักหน้า
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น” เซบาสเตียนทำหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่แล้วก็หยิบขนมปังปิ้งไปกิน
“อาหารมานานแล้ว ฉันเห็นนายหายไปนานเลยไปตาม กินสิ” ผมพ่นลมหายใจเบาๆ หยิบเฟรนฟรายจิ้มซอสมะเขือเทศแล้วยัดเข้าปาก กินๆ ไปจะได้จบสัญญาผีนั่นสักที
ส่วนเรื่องฌอณ สำหรับผม ผมว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับการที่วิคเตอร์โดนยิง แต่ก็ต้องรอดูที่ออสตินสืบมาได้ด้วยว่าจะเป็นยังไง จากที่ผมเห็นเขา ฌอณไม่น่าสั่งการใครได้ ขนาดตัวเองเขายังสั่งไม่ได้เลยตอนนี้
ถ้าไม่ใช่ฌอณจริงๆ แล้วไอ้ยักษ์มีเรื่องกับใคร เดายากด้วยเพราะสามีตัวเองน่าจะมีศัตรูเยอะจากการเป็นคนเอาแต่ใจแบบนั้น ดีไม่ดีคนที่กองรวมเงินกันจ้างมือปืนรึเปล่าเนี่ยห๊า
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้

มาแว้วววว
ด้วยความเผือกที่พรั่งพรูอยู่ในหัวจิตหัวใจจึงพาหัวใจนังแมทไปหาบุคคลต้องสงสัยคนแรกในชีวิตของตัวเอง ความเสือกเกือบพาตายมั้ยคะแม่นาง ดีนะรอดมาได้
แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ฌอณ นกอุ่นๆ บินกลับรังกรุบๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ เอ๊ะหรือใช่ แล้วโดนหลอกรึเปล่านังแมท
ปั่นกระแสที่สุดคือใครคะ อีเจ้ค่ะ
อันนี้ต้องขอบคุณเซบาสเตียนแบบน้อยๆ แต่พองามที่เข้ามาช่วยแม่นางเอเลี่ยนเอาไว้ได้ ไม่งั้นอาจโดนบีบคอตาย
สำหรับใครที่พรีออเดอร์หนังสือพาร์ทนี้ไว้ อ่านความคืบหน้าและคำอธิบายล่าสุดได้ที่เพจขุ่นเจ้เลยนะคะ ปักหมุดโดพสต์นั้นไว้ให้เรียบร้อยค้าาา
ขอบคุณทุกคอมเม้น ขอบคุณทุกอินเนอร์ค่าาา ขอบคุณกำลังใจดีๆ ที่คอยให้กำลังใจกันในทุกๆ กรณีเลย แล้วก็ขอบคุณโหวตที่มีให้บ้างไม่มีบ้าง 55555 ที่โหวตให้กันมาก็ขอบคุณมากๆ เด๊อ เจอกันตอนหน้านาค้าาาา ^___^
#LoveNoBoundaries