Yours and Mine EP.18 :: Seriously? (เอาจริงดิ) [50%]ผมกำลังนั่งอ่านตารางการใช้จ่ายของกองถ่ายด้วยความพยายามที่จะละเอียด เกลียดตัวเลข แต่ดันต้องมาทำงานเกี่ยวกับตัวเลข ชีวิตหนอ ไม่ต้องตรงกับสำนวนที่ว่าเกลียดสิ่งใดได้สิ่งนั้นมากก็ได้ คือถ้าทำผิดไปตัวเดียว มันคือหายนะเลยนะ เงินที่ใช้จ่ายในกองถ่ายจะมีพิรุททันทีเพราะอีนี่ทำเพี้ยน ฮือออ คิดเกี่ยวกับตัวเลขทีไรสมองล้าไวทุกที ช่วยให้เกียรติคนที่ผ่านศูนย์วิชาคณิตศาสตร์ตอนมอปลายด้วยการประจบอาจารย์มาด้วยเถอะ
“แมท เซ็นอันนี้ให้หน่อย” ผมยกมือขึ้นเบรคใครก็ไม่รู้ที่มาพูดอยู่ตรงหน้าและหยิบปากกามาจดบรรทัดตารางในเอ็กซ์เซลเอาไว้ก่อนว่าผมดูถึงไหนแล้ว ผมหลีกเลี่ยงอีโปรแกรมนี้มาตลอด เพราะใช้มันไม่เก่ง แต่ทุกวันนี้ผมต้องจำสูตรในการใช้มันให้ได้มากที่สุด
“ว่าไงนะ” ผมเงยหน้าขึ้นถามทีมงานผู้ชายหัวหยิกหยอยคนหนึ่ง เขายื่นกระดาษเบิกเงินมาให้ผมพร้อมกับที่ด้านหลังมีบิลรายจ่ายที่เสียไป ผมนั่งอ่านกระดาษสองแผ่นคู่กันอย่างละเอียดเท่าที่จะละเอียดได้
“แมท ถนนกับตึกที่ไทยที่เราขอถ่ายทำมีปัญหา ทางโปรดัคชั่นทีมไทยโทรมาบอก” ผมเงยหน้าพรึ่บ สติที่จดจ่อกับข้อมูลการเบิกเงินเมื่อกี้นี้หลุดหายไปแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มร่างหมี หน้าตาดี หนวดเคราดกครึ้มที่มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการกองถ่าย เขายักไหล่ยักคิ้วประมาณว่าเอาไงดี
เออ เฮอะ ฮะๆ เอาไงดี เดี๋ยว ตั้งสติก่อน
ปิก้าปี้ ปิก๊าจู๊ ปิก้าปีก๊า ปิ๊กะ ปิก่าจู๊~
ผมสะดุ้งตอนที่เสียงเจ้าตัวเหลืองๆ ชอบปล่อยกระแสไฟฟ้าร้องแบบเบาๆ เพราะผมลดเสียงไว้ ผมมองหน้าจอก็เห็นว่าเป็นชื่อวิคเตอร์ ผมวางกระดาษและยื่นมือไปรับทั้งที่มีทีมงานสองคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้า ผมเห็นสองคนนั้นมองหน้ากันแบบงงๆ ผมยิ้มแห้งแล้วกดรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล” ผมพูดเสียงกระซิบจนนึกงงตัวเองว่าจะกระซิบทำไม ตอนนี้เบรกอยู่
[ทำอะไรอยู่] วิคเตอร์ถามเสียงปกติ ผมมองทีมงานสองคนนั้นที่กำลังยืนรอแบบงงๆ ผมรีบเรียกสติตัวเองกลับมา
“ถือสายรอแปบนะ ไม่ต้องวาง” วิคเตอร์ตอบรับอย่างว่าง่าย ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทำงานตัวเอง และสำรวจกระดาษเบิกเงินอันนั้นอีกทีก่อนที่จะส่งไปให้ฝ่ายบัญชี พอตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นบิลจริง ราคาจริง ไม่มีมุบมิบผมก็เซ็นชื่อตัวเองลงไปในช่องของตำแหน่งตัวเองเป็นอันว่ารับรู้ ผมยื่นคืนให้หนุ่มหัวหยิก และหันไปมองผู้จัดการกองถ่ายต่อ
“โอเค ขอโทษครับ ทางนั้นเขาบอกว่าอะไรบ้าง”
“เอาถนนก่อน ถ้าจะถ่ายต้องเพิ่มเงิน แล้วเขาจะปิดถนนให้เป็นของเราเองเลย แต่ถ้าไม่เพิ่ม เราต้องไปสู้กับพวกแม่ค้าเจ้าถิ่นที่พร้อมจะวีนเหวี่ยงเราทุกเมื่อ…” ผมว่าตัวเองคงหน้าเอ๋อไปแล้ว เพราะผู้จัดการกองยกมือโบกตรงหน้าผม พอเห็นว่าผมพยักหน้าเขาก็พูดต่อ
“…ส่วนตึกที่ผู้กำกับอยากได้ เจ้าของเขาไม่ยอม เพราะก่อนหน้านั้นมีกองถ่ายเข้าไปถ่ายหนังและสร้างความเสียหายไว้ เขากลัวว่าจะเป็นแบบนั้นอีก” ฮึ?! ผมหลับตาลง ยกมือลูบหัวคิ้วทั้งสองข้างเบาๆ และพยักหน้าเป็นการรับรู้ก่อนจะคลี่ยิ้มเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเอง
“โอเคครับ เดี๋ยวผมขอปรึกษาอเล็กซ์ เจสันก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะติดต่อทางโปรดัคชั่นไทยไปอีกที” หนุ่มร่างหมียิ้มน่ารักและยกมือขึ้นทำท่าว่าโอเคก่อนจะเดินจากไป ผมพ่นลมหายใจเบาๆ กองนี้ดีตรงที่ทุกคนไม่แอนตี้ ไม่ได้มีท่าทีกิริยาไม่ดีกับผมที่อายุน้อยที่สุดในตำแหน่งใหญ่ของกองแบบนี้ มันเลยทำให้ผมไม่เกร็ง ไม่ลนลานและสบายใจในการทำงานมาก
ผมรู้สึกงงๆ สักแปบ มองบนโต๊ะทำงานตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงมุมรับแขกของบ้านป้าแมร์รี่ที่ผมเสนอใช้ให้เป็นที่ถ่ายทำสำหรับฉากที่นิวยอร์ก และทีมงานก็พักที่นี่กันด้วย ป้าแมร์รี่อำนวยความสะดวกดีมาก
“โอ๊ะ ตาย วิคเตอร์…” ผมที่กำลังจะกลับไปนั่งดูหน้าจอแม็คบุ๊คกับตารางตัวเลขต่อ แต่หางตาเหลือเห็นโทรศัพท์พอดีเลยนึกขึ้นได้
“…ฮัลโหล ขอโทษที พอดีมีงานแทรกเข้ามา คุณว่ายังไงนะ”
[ไม่ได้ว่าอะไรเลย แค่ถามว่าทำอะไรอยู่]
“อ่อ… อ๋อ ทำงานไง เอ่อ หมายถึงนั่งดูงบอะ แล้วก็เดี๋ยวต้องไปจัดการเรื่องโลเคชั่นที่ไทยอีก” ว่าไปมือก็หยิบดินสอมาเขียนบนกระดาษเอสี่เตือนความจำตัวเองเรื่องโทรหาทีมไทย
[ฉันกลับมาบ้านแล้วนะ] ผมตาโตคลี่ยิ้มแบบไม่เต็มปาก เพราะกำลังเขียนอยู่ แต่สมองรับรู้แล้วนะว่าเขาบอกว่าอะไร อารมณ์ดีใจก็มา แต่ยังไม่เต็มที่ พอเขียนเสร็จนั่นแหละถึงได้เบนสติตัวเองมาดีใจเต็มที่
“เวลคัมโฮมคุณสามี ซีรีส์ถ่ายเสร็จแล้วเหรอ” วิคเตอร์หัวเราะน้อยๆ
[เสร็จอะไรล่ะ ฉันเพิ่งเริ่มถ่ายได้สามอาทิตย์ อาทิตย์นี้เขาให้พักไง ลืมอีกแล้วนะ] ผมหลับตาย่นคิ้ว ในหัวหมุนวิ้งๆ
“ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจลืม แล้วหนังล่ะ”
[เริ่มถ่ายหลังฉันถ่ายซีรีส์จบ นายก็ลืมอีกแล้วเอเลี่ยน] ผมยกมือตีหน้าผากตัวเอง จากน้ำเสียงเขา ผมยังสัมผัสความโกรธไม่ได้ เขายังดูสบายๆ อยู่ แต่ผมก็ไม่สบายใจ
เพราะเหตุการณ์คราวก่อนนั่นแหละ มันเลยทำให้ผมกังวลไปหมด
“แล้วตอนนี้คุณอยู่บ้านแล้วใช่มั้ย”
[ใช่ นายเลิกกองกี่โมง] ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสอง วันนี้เลิกกองทุ่มนึงแน่ะ
“หนึ่งทุ่ม คุณจะรอผมกลับไปทำกับข้าวให้มั้ย”
[ถ้าฉันรอแล้วฉันจะได้กินรึเปล่าล่ะ] ผมยิ้มเพลีย กลอกตากับตัวเองน้อยๆ
“ได้กินสิ แหม”
[ถ้านายว่าแบบนั้น ฉันก็จะรอ]
“โอเค รอผมนะ” วิคเตอร์รับคำและกดวางสายไป ผมพ่นลมหายใจออกทางปาก กดเข้าไปเช็กวอทสแอพที่มีการแจ้งเตือน ไวโอล่าส่งรูปอัตตราซาวด์ของเจ้าแฝดตัวป่วนมาให้ดู พอเห็นแล้วผมก็ใจเต้นตึกๆ รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นบนใบหน้า ในภาพเป็นตัวเป็นหัวของเจ้าสองแฝดกำลังกุมมือกันอยู่ ผมหัวเราะน้อยๆ มองด้วยความเอ็นดูของเจ้าเด็กสองคนที่หลับตาจับมือกัน อีกสองเดือนก็จะได้เจอกันแล้ว ผมเซฟรูปแล้วกดส่งไปให้วิคเตอร์ รอไม่นานเขาก็เปิดอ่านและส่งข้อความกลับมาบอกว่า
‘Disaster twins. (แฝดพินาศ)’
ผมย่นจมูกและพิมพ์กลับไปว่าพวกเขาคือแฝดจอมป่วนต่างหาก วิคเตอร์ส่งอีโมชั่นกลอกตาบนกลับมาและเงียบหายไป ผมมองหน้าจอมือถือสลับกับมองแผ่นกระดาษที่จดเตือนความจำตัวเองไว้ มองนิ่งอยู่สักพักก่อนที่จะตัดสินใจวางโทรศัพท์ไว้บนกระดาษแผ่นนั้นแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว มองหาป้าแมร์รี่สักแปบแต่ก็ไม่เจอ เลยเดินไปที่ห้องนอนของเธอ เคาะประตูสองครั้งก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก
“ว่าไงจ๊ะ” เธอถามกลับมาอย่างเป็นมิตร ผมยิ้มแฉ่งและชี้ไปทางครัว
“ผมขอยืมครัวแล้วก็วัตถุดิบในตู้เย็นทำอาหารได้มั้ยครับ แล้วเดี๋ยวผมจะซื้อกลับมาคืนให้” เธอทำหน้างง ก่อนจะพยักหน้าแบบงงๆ
“ทำให้ทีมงานเหรอจ๊ะ” ผมยิ้มแหะๆ เม้มปากแล้วส่ายหัวเบาๆ แต่ก็ไม่ยอมตอบคำถามของเธอจนป้าแมร์รี่ยกยิ้มและพยักหน้า
“ตามสบายเถอะ เธอคุ้นเคยอยู่แล้วนะ” ผมยิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้าเต็มแรงก่อนจะก้าวเท้าเดินกลับไปที่ห้องครัว จัดการเปิดตู้เย็น หยิบของสดที่หาได้ออกมาวางบนโต๊ะ ยืนมองสักแปบก่อนจะตัดสินใจทำข้าวผัดกุ้งผสมแฮมใส่ถั่วลันเตาและไข่เจียวหนึ่งฟอง
ผมจัดการทำตามวิธีที่คุ้นเคย ที่ด้านนอกบ้าน กองถ่ายเริ่มถ่ายทำแล้ว แต่ผมอยู่ในบ้านฉะนั้นไม่ส่งผลอะไรกับด้านนอก ผมยืนทำให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ในระหว่างที่เขาถ่าย แต่พอได้ยินเสียงอเล็กซ์พูดว่าโอเคเมื่อไหร่ ผมก็จะออกแรงหนักๆ กับกะทะ พอเสร็จเรียบร้อยก็ไปหากล่องใส่อาหารของกองถ่ายมาตักข้าวใส่และโปะไข่เจียวไว้ด้านบน ผมจัดการเก็บกวาดล้างอุปกรณ์และเก็บเข้าที่ให้ป้าแมร์รี่ เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเอง หยิบกระดาษโน้ตออกมาเขียนและแปะลงบนหน้ากล่อง ผมหยิบถุงผ้าสปันบอนด์สีดำที่พกติดตัวมาด้วยออกมาใส่กล่องข้าว เดินถือออกไปนอกบ้าน แอบใช้อำนาจในตำแหน่งที่ใหญ่กว่าของตัวเองเล็กๆ ให้ผู้ช่วยกองถ่ายทำงานให้
“ช่วยเอาไปส่งที่บ้าน xxx ตรงอัพเพอร์อีทส์ไซด์ให้หน่อยสิ กดกริ่งหนึ่งทีก็พอนะ อย่ากดเยอะ เดี๋ยวโดนกินหัว” หนุ่มหัวหยิกหยอยที่มาขอลายเซ็นต์ผมไปเบิกเงินเมื่อกี้พยักหน้า รับถุงจากมือผมไปแล้วก้าวเท้าเดินออกไปจากบ้าน ผมบอกให้เขามาเบิกค่าแท็กซี่หรืออูเบอร์ตอนกลับมาแล้ว ผมยืนยิ้มด้วยความรู้สึกสบายใจ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่ามีงานค้างก็รีบเดินกลับเข้าไปในบ้าน และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาทีมงานฝั่งไทยที่ผมติดต่อไว้
“ฮัลโหล… ครับ แมทเอง… ได้คุยแล้วครับ… คือเรื่องเพิ่มเงินปิดถนนเดี๋ยวแมทจะคุยกับทีมทางนี้ก่อน แต่เรื่องโรงแรมนี่เราแก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆ เหรอ… โห ยากเลยอะ ผู้กำกับเขาต้องการที่นั่น… แล้วพอจะมีเส้นสายอะไรมั้ยครับ… ฮะ? กำลังจะเปลี่ยนเจ้าของใหม่ด้วย… เป็นคนต่างชาติ… เขาเป็นคนชาติอะไรอะ… อเมริกันเหรอ… พี่บอกข้อมูลแมทหน่อย” ผมหยิบกระดาษขึ้นมาอีกแผ่นแล้วจดรายละเอียดที่ทีมงานไทยบอกมาอย่างยึกยือ แต่ตัวเองเข้าใจว่าใครคือใคร
“โอเค เดี๋ยวแมทจะลองถามคนในกองฝั่งนี้ก่อนว่ามีใครรู้จักมั้ย”
[น้องแมทรีบคอนเฟิร์มเรื่องปิดถนนด้วยนะคะ อาทิตย์หน้าพี่จะเข้าไปทำเรื่องให้ เจ้าหน้าที่เขาจะได้มาอำนวยความสะดวกให้เราในวันถ่ายทำ]
“ได้ครับพี่ต่าย แล้วเดี๋ยวแมทจะรีบคอนเฟิร์มกลับไป” ผมกดวางสายจากพี่ต่าย พี่เจ้าของโปรดัคชั่นเฮ้าส์ในไทยที่ผมได้รับการแนะนำมาจากพี่ที่ผมเคยไปฝึกงานในกองถ่ายตอนสมัยเรียนมาให้อีกที ผมรู้สึกว่าค่อนข้างโชคดี เพราะพี่ต่ายแกทำงานเป็นและทำงานดี ฝากฝังเรื่องอะไรที่ไทยไว้มีความคืบหน้ามาให้ทราบตลอด และสแตนด์บายพร้อมคุยเสมอด้วย
“แมท!” เจสัน โปรดิวเซอร์ของกองที่ผมพามาดูโลเคชั่นที่นิวยอร์กเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้วกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา ผมหยิบกระดาษที่จดรายละเอียดเรื่องที่จะคุยกับเขาและเรื่องเจ้าของตึกนั้นด้วย
“ว่าไงครับ”
“สะดวกที่จะไปดูสะพานกับฉันที่จะถ่ายทำในช่วงเย็นมั้ย”
“อ๋อๆ ได้ครับ ไปได้ๆ” เจสันยิ้มใจดี
“เอ่อ เจสัน ผมรู้ว่ามันยากที่จะเป็นไปได้ แต่คุณรู้จักคนนี้มั้ย เขากำลังจะเป็นเจ้าของตึกที่เราอยากไปถ่ายทำกันที่ประเทศไทย” ผมยื่นกระดาษจดชื่อให้เขาดู เจสันรับไปดู เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวช้าๆ
“ไม่รู้จักเลย และคิดว่าในกองนี้ก็คงไม่รู้ แต่เราช่วยกันหาข้อมูลเขาได้นี่” ผมอ้าปากหวอเบาๆ ยกมือขวากุมหน้าผากตัวเองด้วยความเครียดเล็กๆ
“จริงสิ เราหาข้อมูลเขาได้ ทำไมนึกไม่ออกนะ” เจสันหัวเราะน้อยๆ
“เอาน่า คนเราทุกคนมีโอกาสมองข้ามจุดเล็กๆ กันทั้งนั้นแหละ แต่บางทีจุดเล็กที่มองข้ามนั่นแหละที่เป็นกุญแจสำคัญ” ผมยิ้มขอบคุณ ถ้าไม่มีเจสันผมคงลำบากมาก อเล็กซ์ก็สอนงานนะ แต่ความรู้สึกของผมคือไม่เท่าที่เจสันสอน ผมเลยชอบมาขอความรู้จากเจสันมากกว่า
“อ้อ อีกเรื่อง ผมขอพูดเลยแล้วกัน เดี๋ยวผมลืม ทางทีมไทยต้องการของบเพิ่มสำหรับปิดถนน ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเพราะตั้งใจมาถามคุณกับอเล็กซ์ก่อน” เจสันพยักหน้า
“ไปคุยกันต่อที่สะพาน เดี๋ยวฉันช่วยจำไว้ ตอนนี้เราต้องรีบไปก่อน อีกชั่วโมงเราจะย้ายกองแล้ว” ผมพยักหน้าเร็วๆ หมุนตัววิ่งกลับไปเอาโทรศัพท์ วางกระดาษไว้บนโต๊ะแล้ววิ่งกลับไปหาเจสัน โทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่ผมกำลังเดินออกไปหน้าบ้านที่มีกล้องสองตัวตั้งอยู่และไฟสามดวง กับอุปกรณ์มากมาย
“ฮัลโหล ได้ข้าวแล้วเหรอ” ผมยิ้มตอนที่รับสาย
[เอาเวลาไหนไปทำ หรือเอาข้าวกองถ่ายมาให้ฉันกิน] ผมบู้ปากกับคำสบประมาทขำๆ ของไอ้ยักษ์
“กินแล้วเดี๋ยวก็รู้เองแหละน่าว่าฝีมือผมเอง ผมทำตอนช่วงเบรกอะ ทำไว้ก่อน ผมกลัวกลับดึก ถ้าหิวก็กินอันนี้ไปก่อนนะยักษ์หนวด” ผมบอกด้วยความเป็นกังวลเล็กๆ
[แล้วทำไมจะต้องกลับดึก คิดจะไปต่อไหน] ผมตาโตพลางก้าวเดินไปพร้อมกับเจสัน
“ต่อไหนล่ะ เผื่อต้องเคลียร์งาน คุยงานอีกแปบที่กองไง” วิคเตอร์พ่นลมหายใจหนึ่งที
[เสร็จงานแล้วก็ควรกลับนะแมท อย่า…]
“…อย่าทุ่มเทเกิน ผมรู้น่า เดือนนึงที่ผ่านมาผมว่าผมก็แบ่งเวลาได้ดีนะ” ผมบอกอย่างภูมิใจเล็กๆ
[แน่ใจ๊?] ผมหุบยิ้มฉับ หน้าบูดน้อยๆ
“ทำไมอะ ไม่ควรแน่ใจเหรอ” วิคเตอร์หัวเราะเสียงทุ้มต่ำอย่างมีเลศนัย ผมถลึงตาทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่กลายเป็นเจสันหันมาพอดีแล้วเขาก็แกล้งทำหน้าตกใจที่ผมถลึงตา
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้จะทำใส่คุณ…” เจสันหัวเราะ ผมหัวเราะตามไปด้วย
[คุยกับผู้ชายคนอื่นเหรอ] วิคเตอร์ถามเสียงเข้ม ไม่รู้แกล้งหรือจริง เริ่มแยกไม่ออก สมองช่วงนี้ยิ่งเบลอๆ อยู่ด้วย
“โอ๊ย เขาเป็นเพื่อนพ่อคุณได้เลยเถอะ” เจสันหน้าตาดีในแบบคนมีอายุ หุ่นสมส่วน กองนี้นอกจากจะใจดีแล้วนะ หน้าตายังดีเป็นส่วนใหญ่ ผู้กำกับก็แม้ว่าหัวจะล้าน แต่หน้าดี โปรวดิวเซอร์แก่มีลูกมีเมียแล้วแต่ก็หล่ออบอุ่นมาก เอาแค่สองคนนี้ก็ดี๊ดีละ
[พ่อฉันหน้าตาดีนะ ดูได้จากฉัน]
“หะ ฮะ?!” ผมไม่ได้อำหรือแกล้งตกใจนะ แต่สมองกำลังจดจ่ออยู่กับการเดินให้ทันเจสัน และพยายามฟังที่เขาพึมพำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการถ่ายทำเย็นนี้
“โห เออ จ้า พ่อรูปหล่อ” วิคเตอร์ส่งเสียงหึๆ จนผมงงว่าจะทำเสียงทุ้มมีลับลมคมในทำไม
[เสร็จแล้วโทรมาบอก จะให้ออสตินไปรับ]
“โอเคๆ แค่นี้ก่อนนะ” ผมกดวางสายจากวิคเตอร์และดึงสติมาโฟกัสสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าเพียงอย่างเดียว
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้

หม่าบู๊ไฮฮฮ มาอัปกันต่อเด๊อค่าาา
แม้ว่างานจะยุ่ง แต่แมทก็พยายามที่มาเนจเวลาให้ดีที่สุด แบ่งให้งานแบ่งให้หลัว แม้ว่าจะมึนๆ งงๆ หน่อย แต่คงต้องค่อยเป็นค่อยไปเนาะ มือใหม่หัดแบ่งเวลา แว้บจากงานมาทำอาหารให้หลัวกิน นางก็พัฒนาอยู่เด๊ออะไรเด๊อ
ต้องขอบคุณพี่ยักษ์ด้วยนะคะที่ไม่วีนเหวี่ยงอาละวาด
เอ๊ะ หรือว่ามันคือการก่อตัวของพายุ?
จริงๆ ไม่มีอะไรเลย อีคนเขียนสร้างกระแสอีกตามเคย 555555
ช่วงนี้อาจจะดูเงียบๆ ไปหน่อย พอดีปั่นต้นฉบับเรื่องนี้อยู่ค่ะ อยากเสร็จภายในเดือนนี้อย่างที่แจ้งไว้ในเพจ เพราะก็ปิดโอนเงินไปแล้ว ไม่อยากให้รอกันนาน ตอนนี้เลยทุ่มสมองปั่นๆๆๆ
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกันมาจนถึงภาคจบมากๆ ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันในทุกๆ ช่องทาง บางทีด้วยความที่เรื่องมันก็นานแล้ว เลยอาจจะทำให้คนอ่านหายไปเพราะนึกว่าสตาร์วอร์ 55555 นานเกิ๊นนน แต่ภาคนี้ก็จะปิดไตรภาคที่แท้ทรูแล้วนะคะ จำนวนตอนจบยังฟันธงไม่ลงว่าจะ 35 หรือ 36 รึจะเกินก็ยังไม่รู้ 55555 แต่จบที่ตรงนี้ และเซย์กู๊ดบายกันในอีกไม่กี่เดือน อย่าเพิ่งรีบใจหาย ยังค่ะ อีกพักใหญ่ๆ ค่อยใจหาย จะมีคนใจหายกับฉันมั้ย 555555
แท็กเรื่องนี้ #LoveNoBoundaries