-18-
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ในยามเช้า ส่องลอดผ้าม่านสีขาวบางของรีสอร์ทเข้ามา ในขณะที่พระพายกำลังหลับใหลแต่ยังมีใครอีกคนที่ยังไม่ได้นอน ภูตะวันนั่งพิงหัวเตียงใหญ่ นัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ดวงหน้าหวานของคนรักที่นอนหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมนุ่มแผ่วเบาเกรงว่าจะรบกวนจนอีกคนตื่นขึ้นมา เขาไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เขานึกไม่ออกจริงๆว่าถ้าพระพายจัดการคนเดียวจะเป็นยังไง เพราะดูเหมือนยิ่งเข้าใกล้ความจริงเท่าไหร่ อันตรายก็เพิ่มทวีคูณมากเท่านั้น
“.... ตื่นนานแล้วเหรอครับ?” พระพายถามอย่างงัวเงียพร้อมกับขยี้ตาตัวเองเบาๆ
“อรุณสวัสดิ์” เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แต่เปลี่ยนเป็นทักทายคนรักแทน พลางยกมือลูบแก้มใสเบาๆอย่างอ่อนโยน พระพายคลี่ยิ้มบาง เขาลุกขึ้นนั่งมองหน้าคนรักอย่างชั่งใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ประกบปากลงบนริมฝีปากหนาแล้วผละออกอย่างรวดเร็ว โดยที่ภูตะวันเองรู้สึกตกใจเพราะเป็นสิ่งที่ตนไม่คาดคิดว่าพระพายจะเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน
“อรุณสวัสดิ์ครับ” คุณหมอหน้าหวานรีบผละเข้าห้องน้ำไปในทันทีด้วยความอายเล็กๆ ทิ้งให้อาจารย์หมอได้แต่นั่งอมยิ้มเอ็นดูกับกิริยาที่ดูน่ารักของของคนรัก เพียงเท่านั้นสิ่งที่เฝ้ากังวลมาตลอดทั้งคืนก็ดูจะหายไปเกือบครึ่ง
หลังจากที่ทั้งสองได้ทำธุระส่วนตัวของตัวเองจนเสร็จ ก็ออกมานั่งทานอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทได้จัดไว้ให้ โดยที่ภูตะวันเองก็ยังคงมีสายตาที่ระแวดระวังตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะยังคอยเฝ้าติดตามพวกเขาอยู่หรือไม่และยังต้องคอยทำตัวไม่ให้ดูมีพิรุธจนพระพายรู้สึกได้ หากแต่คุณหมอหน้าหวานที่เป็นคนช่างสังเกตอะไรรอบๆตัว บังเอิญเห็นชายชุดดำอยู่มุมหนึ่งของรีสอร์ทที่คล้ายกับว่ากำลังมองมายังโต๊ะพวกเขา ดวงตากลมหรี่มองอย่างสงสัยและเหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ภูตะวันที่เห็นว่าคนรักของตนเงียบไปจึงมองตามสายตานั้นไป ชายคนนั้นที่เริ่มจะรู้ตัวจึงรีบหลบไปในทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่พระพายจำได้แล้วว่าสายตาของชายผู้นั้นเขาเคยเห็นมันที่ไหน
“มันคือคนที่แทงพี่ไง ที่ห้องทำงานพายวันนั้น พายจำสายตามันได้!!” เขาพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร ก่อนจะรีบลุกขึ้นเพื่อจะวิ่งตามชายคนนั้นไป ทว่าคนตัวสูงกลับคว้าแขนเล็กเอาไว้ไม่ให้วิ่งตามไปเพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย
“อย่าไปพาย!!”
“มันตามเรามานะครับ พายไม่ยอมให้สิ่งที่เรากำลังทำเสียแน่!” คนตัวเล็กกว่าพยายามจะวิ่งออกไปอีกครั้ง หากแต่สู้แรงฉุดรั้งจากภูตะวันที่มีแรงกว่าเยอะไม่ได้ เขาจับอีกฝ่ายให้นั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิมและคอยจับมือบางเอาไว้เพื่อให้ใจเย็นลง
“พายฟังนะ”
“.............”
“... อาจจะเป็นแผนของมันก็ได้ที่อยากให้เราตามไป พายแค่ทำเป็นไม่รู้เห็นแล้วทำตามวิธีของพี่ก็พอ” เขาพูดเสียงเข้มแต่ก็แฝงความใจเย็นอยู่ในนั้น วิธีที่เขาเลือกทำอาจจะเป็นวิธีที่ดูอิงละครเกินไปหน่อย แต่เขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดกว่าการแจ้งตำรวจโดยตรง เพราะเขาเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรหากตำรวจจะสาวถึงต้นตอของการสะกดรอยตาม
“วิธีอะไรครับ?”
ภูตะวันถามทางจากพนักงานในรีสอร์ทหลังจากที่เก็บข้าวของและเช็คเอาท์เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ตั้งใจจะอยู่พักผ่อนอีกสักคืน แต่ตอนนี้คงไม่มีอารมณ์จะทำอะไรมากกว่าการทำเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ให้เสร็จโดยไว รวมถึงพระพายเองก็เครียดเกินกว่าจะมีอารมณ์มาเที่ยวเล่นพักผ่อนอย่างที่คนรักต้องการให้เป็นแบบนั้น ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจความรู้สึกของกันและกันก็เป็นอันว่าตกลงรีบเร่งมือให้เรื่องที่กำลังทำอยู่สำเร็จบรรลุผลอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ โดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวาง
“คันนั้นใช่ไหมครับที่ตามเรามา?” พระพายถามเสียงเรียบ มองรถเก๋งคันหนึ่งที่ขับเว้นระยะออกไปไม่ไกลมากนักผ่านกระจกมองข้างฝั่งที่ตนนั่ง คนขับเหลือบมองกระจกมองหลังเล็กน้อยก่อนจะวางมือข้างที่ว่างลงบนมือบางของคนรักพร้อมกับบีบเบาๆ
“อืม ... กลัวไหม?” อาจารย์หมอเอ่ยถามพลางเหลือบมองหน้าคนรักสลับกับมองถนนเป็นระยะ พระพายส่ายหน้าช้าๆระบายยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“มีพี่อยู่ พายไม่กลัวครับแล้วพี่ล่ะ?”
“ไม่ พี่ไม่เคยกลัวตายแต่พี่กลัวว่าถ้าตายแล้วจะไม่ได้อยู่กับเรามากกว่า” คนฟังถึงกับใบหน้าแดงระเรื่อ เขาเกาหางคิ้วตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีมองออกไปนอกกระจกฝั่งตัวเองพลางอมยิ้มเบาๆ ภูตะวันกระแอมไอเล็กน้อยอย่างเก้อเขินที่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าพูดอะไรอย่างนั้นออกไป
รถสีบลอนด์เงินเลี้ยวเข้ามายังจุดหมายที่ต้องการ ทั้งสองคนเหลือบมองกระจกว่าคนพวกนั้นที่ขับตามมาจะเผลอเลี้ยวตามเข้ามาหรือไม่ ทว่ามันขับผ่านไปอย่างช้าๆอย่างที่พวกเขาหวัง ภูตะวันหัวเราะหึ ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจที่แผนการเลี้ยวรถเข้ามาในสถานีตำรวจนั้นได้ผล คนพวกนั้นไม่กล้าขับตามพวกเขาแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องรอเวลาให้ผ่านไปสักพัก เพื่อให้มั่นใจว่าพวกมันจะไม่ตามอีกต่อไปซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะละความพยายามไปหรือไม่
ชายชุดดำคนของพฤติพงศ์นั่งอยู่ในรถฝั่งข้างคนขับด้วยสีหน้ากังวล พวกเขาขับมาจอดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสถานีตำรวจที่ภูตะวันและพระพายเลี้ยวเข้าไป ถึงแม้จะไม่อยากทำแต่คำว่าผู้มีพระคุณก็ค้ำคอ พฤติพงศ์เป็นคนดึงเขามาทำงานในโรงพยาบาลวิวรรธน์ ทำให้เขามีงานมีเงินเพื่อจุนเจือครอบครัวและถ้าไม่ทำเขาก็ไม่แน่ใจว่าครอบครัวของเขาจะปลอดภัยหรือไม่
‘พวกเขามาที่สถานีตำรวจของอำเภอหนึ่งในจังหวัดครับ จะให้ทำยังไงต่อครับคุณหมอ’
(มันรู้ตัวหรือเปล่า?)
‘... ผมไม่แน่ใจ’
(บ้าชิบ! พวกแกกลับมาก่อน)
พฤติพงศ์วางสายไปทันทีหลังจากพูดจบด้วยความฉุนเฉียว ต่อให้ไม่รู้ว่าภูตะวันกับลูกศิษย์กำลังทำอะไรกัน ยังไงเรสสิเดนท์ที่ชื่อว่าพระพายก็ต้องได้รับโทษจากการรู้มากอยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าการสะกดรอยตามจะเป็นผลหรือไม่ ทางออกสุดท้ายของสองคนนั้นคือชีวิต ... ไม่ใครก็ใคร
จนเวลาผ่านไปได้หลายชั่วโมง ทั้งสองคนก็มองหารถคันที่ขับตามมาว่ายังอยู่แถวนี้หรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่เห็นแล้วเขาจึงรีบขับออกมาจากสถานีตำรวจแล้วตรงไปยังจุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรกทันที โดยที่มีพระพายคอยบอกทางจากแผนที่คร่าวๆที่พนักงานรีสอร์ทเขียนเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
“ทางเข้าหมู่บ้านชาวประมงข้างหน้าครับ” พระพายชี้บอกทางกับคนรักอย่างตื่นเต้น อาจารย์หมอเลี้ยวรถเข้ามาในซอยเล็กๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านคนสลับกับพื้นที่ป่าชายเลนเป็นระยะๆ
“บ้านคนเยอะขนาดนี้ขับรถหาคงไม่เจอ พายว่าเราจอดรถแล้วเดินหากันดีกว่าไหมครับ?”
“โอเค” หมอซันจึงจอดรถที่วัดเล็กๆภายในหมู่บ้านของชาวประมง ก่อนที่ทั้งสองคนจะลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าเอกสารที่พระพายถือไว้เก็บรักษาเป็นอย่างดี
ภูตะวันอ่านที่อยู่ของบุคคลที่ต้องการพบอีกครั้งและออกเดินตามหา ทันทีที่ชาวบ้านเห็นพวกเขาก็พากันมองอย่างสงสัยเพราะดูยังไงก็ไม่ใช่คนในพื้นที่
“เอ่อโทษนะครับ ผมตามหาบ้านหลังนี้ ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนรู้ไหมครับ?” อาจารย์หมอเป็นฝ่ายเข้าไปถามชาวบ้านในละแวกนั้น พวกเขาต่างพากันมารุมดูกระดาษใบเล็กที่เขียนชื่อและที่อยู่เอาไว้
“อยู่ฝั่งนู้นพ่อหนุ่ม ต้องข้ามสะพานไป เดี๋ยวป้าให้ไอ้เท่หลานป้ามันพาไป ไม่ไกลๆ”
“ขอบคุณครับ” ทั้งสองคนระบายยิ้มกับสิ่งที่ได้พบเจอ คนที่นี่ถึงจะไม่ได้รวยเงินทองแต่ก็ดูรวยน้ำใจกว่าคนที่มีหลายเท่านัก
ป้าใจดีตะโกนเรียกหลานเสียงดังโหวกเหวก ไม่นานเด็กตัวเล็กๆรูปร่างผอมบาง ผิวคล้ำ เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าย้วยๆเก่าๆก็วิ่งออกมาพร้อมเพื่อนที่ตัวไล่ๆกันอีกสองคน พระพายอมยิ้มที่เห็นภาพเด็กพวกนี้ เพราะทำให้เขาเห็นภาพตัวเองตอนที่ยังเด็กตอนที่ยังอยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวในเวลาสั้นๆ
“เอ็งไปส่งพวกคุณเขาข้ามไปฝั่งนู้นที แล้วรีบกลับมาล่ะอย่าเถลไถล” เด็กสามคนเงยหน้ามองพวกเขาพร้อมขมวดคิ้วอย่างสงสัยตามประสาเด็ก แต่สุดท้ายก็พยักหน้าและเดินนำเขาทั้งสองคนไป
ทางเดินที่จะข้ามไปหมู่บ้านอีกฝั่งเป็นดินทราย ข้างทางเป็นป่าชายเลนทั้งสองฝั่งทำให้แสงแดดยามบ่ายเช่นนี้ไม่ลงมากระทบผิวหน้าให้ร้อนมากนัก เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกันดังระงมถึงแม้จะไม่ใช่ยามค่ำคืน เพื่อนร่วมทางต่างวัยส่งเสียงเจื้อยแจ้วกันตลอดทาง อาจารย์หมอลอบสังเกตสีหน้าของคนรักที่เดินอยู่ข้างๆก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มและทอดสายตามองเด็กสามคนอย่างเอ็นดู
“ยิ้มอะไรนัก หื้มม?”
“...พวกเขาเหมือนพายตอนเด็ก”
“พายตัวดำแบบนี้เหรอ?” คนตัวสูงพูดกลั้วหัวเราะ จนคนฟังยู่หน้าตวัดมองค้อนเล็กน้อยอย่างไม่จริงจังนักที่ทำเสียบรรยากาศในการคิดถึงตัวเองสมัยยังเป็นเด็ก
“พายชอบเล่นจนเนื้อตัวมอมแมมแล้วพ่อก็ชอบเอาก้านมะยมมาขู่จะตีถ้าพายไม่ไปอาบน้ำ ตอนนั้นพายก็กลัววิ่งหนีไม่อยากโดนพ่อตี แต่ตอนนี้ ... พายอยากให้พ่ออยู่ตีพายดุพายทุกวัน”
“มันผ่านมาแล้ว แต่พายก็รู้ใช่ไหมว่าท่านไม่ได้ไปไหน ท่านแค่ย้ายมาอยู่ในความทรงจำของเรา” เขาบอกพร้อมกับลูบศีรษะคนรักพร้อมกับสายตาและรอยยิ้มที่อบอุ่น แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เด็กชื่อเท่ผู้นำทางพร้อมกับสมุนก็ตะโกนขัดขึ้นมาเสียงดังลั่นป่า
“ถึงแล้วจ้ะพี่ เดินข้ามสะพานนี้ไป แต่ว่าต้องเดินทีละคนนะ” นิ้วสั้นๆป้อมๆชี้ไปยังสะพานตรงหน้า ไม้กระดานสองแผ่นมีราวจับที่ทำจากไม้ไผ่เชื่อมฝั่งนี้กับฝั่งนู้นให้ไปมาหาสู่กันได้ง่าย สูงจากผืนน้ำด้านล่างค่อนข้างมาก ซึ่งคงจะเป็นการร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านที่ทำขึ้นเอง
เด็กๆวิ่งลิ่วข้ามไปโดยใช้เวลาเพียงสั้นๆ คงเพราะเจ้าตัวคุ้นชินกับทางแถวนี้แล้ว พอถึงฝั่งนู้นก็กวักไม้กวักมือเรียกให้คุณหมอทั้งสองคนรีบตามไปจนพระพายต้องหัวเราะออกมาเบาๆกับความทะเล้นของพวกเด็กน้อย อาจารย์หมอให้พระพายข้ามไปฝั่งนู้นก่อนเพราะเขาไม่สามารถทิ้งให้คนรักต้องอยู่ฝั่งนี้คนเดียวได้
พระพายเดินข้ามสะพานไม้ที่มีเพียงแผ่นไม้สองแผ่นวางขนานกันและจับราวไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง โดยมีภูตะวันที่รออยู่ด้านหลังยืนลุ้นและเตรียมพร้อมเสมอหากเกิดอะไรที่ผิดพลาด แต่สุดท้ายคุณหมอหน้าหวานก็เดินข้ามไปรวมอยู่กับพวกเด็กๆอย่างปลอดภัย เขาจึงโล่งใจและเดินตามอีกคนไปในเวลาถัดมา
“พวกหนูส่งพี่แค่นี้นะ เดี๋ยวกลับช้าแล้วจะโดนตีเอา คิกๆ” เจ้าเท่พูดไปหัวเราะไป เรียกความเอ็นดูจากหมอทั้งสองคนได้ไม่น้อย หมอซันจึงควักธนบัตรใบสีแดงให้คนละใบเป็นสินน้ำใจ เด็กๆหูตาแพรวพราวดีใจเป็นการใหญ่ที่ได้ค่าขนมเอาไปฝากยายให้เก็บไว้ ก่อนจะรีบวิ่งข้ามสะพานกลับไปฝั่งเดิม
“นอกจากจะเป็นหมอแล้วก็ยังเป็นป๋าด้วยนะครับเนี่ย” พระพายแซวคนรักด้วยรอยยิ้ม คนถูกแซวหัวเราะเล็กน้อยพลางยกมือหยิกแก้มอีกฝ่ายเบาๆอย่างเอ็นดูแล้วพากันเดินเข้าหมู่บ้านชาวประมงฝั่งนี้ไปเพื่อหาบ้านของคนที่ต้องการพบ
อาจเพราะเป็นวันและเวลาทำงานจึงไม่ค่อยชาวบ้านเดินไปมาในหมู่บ้านมากนัก คงจะอยู่ที่ท่าเรือของหมู่บ้านหรือบางคนก็อยู่ แต่ในบ้านจึงไม่กล้าที่จะรบกวนถามไถ่เลยต้องเดินหากันต่อไปจนเมื่อเจอหญิงสาวที่เป็นเจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้านก็รีบเดินเข้าไปในทันที แต่จะให้เดินเข้าไปถามเฉยๆพระพายเองก็เกรงว่าจะน่าเกลียดจึงขอซื้อน้ำเปล่าจากเขาสักสองขวด ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการ
“พอดีผมมาหาบ้านหลังนี้น่ะครับ พอจะรู้ไหมฮะว่าอยู่ตรงไหน?” หญิงสาวอ่านชื่อและที่อยู่ในกระดาษสีขาวใบเล็กที่พระพายเป็นคนจดมา เธอใช้เวลาอ่านไม่นานก็ส่งให้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลให้ช่วยดูอีกแรงเพื่อความแน่ใจก่อนจะบอกออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ได้ย้ายออกไปนานแล้ว
“ย้ายไปไหนครับ!?” พระพายถามด้วยความตระหนกตกใจเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองตั้งใจทำมาตลอดดูเหมือนจะกลายเป็นศูนย์เพียงแค่คำว่าย้ายออกไปแล้วของคนที่เขาต้องการพบ อาจารย์หมอเองก็ใจหายไม่น้อยแต่ก็ยังคงมีสติไม่ตระหนกตกใจจนทำให้ชาวบ้านที่พวกเขามาขอความช่วยเหลือต้องแปลกใจและสงสัยพวกเขาจนเกินไป
“พอจะบอกได้ไหมครับว่าเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน? ผมมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขาจริงๆ” หญิงสาวทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างชั่งใจว่าควรจะบอกไปดีหรือไม่ แต่เท่าที่ดูจากหน้าตา การแต่งตัวและกิริยาท่าทางของชายทั้งสองคนแล้วก็ดูไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไรจึงตัดสินใจบอกออกไป
“ย้ายไปทำรีสอร์ทเล็กๆอยู่ที่หาด....”
“ทำรีสอร์ท” พระพายพึมพำอย่างแปลกใจว่าพวกเขาเอาเงินจากไหนมาทำรีสอร์ท เพราะในประวัติการรักษาของผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้วครอบครัวเป็นเพียงชาวประมงเท่านั้น อีกทั้งค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดคู่กรณีก็เป็นคนจ่ายให้
“ตั้งแต่ที่ลูกชายแกเสีย แกก็ย้ายออกไปเห็นบอกว่าจะไปทำรีสอร์ท แกน่าจะได้เงินจากประกันชีวิตลูกหรือไม่ก็คู่กรณีเขาให้ค่าทำขวัญ” หญิงวัยกลางคนบอกกึ่งสันนิษฐานไปด้วย ทว่าพระพายกลับเดาเรื่องออกว่ามันอาจไม่ใช่อย่างที่เธอคิดทั้งหมด เงินที่พวกเขาได้มาอาจจะเป็นเงินค่าทำศพจากไอ้หมอชั่วคนนั้น
“ชื่อรีสอร์ทอะไรพอทราบไหมครับ?”
“........” หญิงชาวบ้านส่ายหัวช้าๆด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อยที่เธอไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้มากกว่านี้ เพราะพวกเธอก็ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นใช่ชื่อรีสอร์ทว่าอะไร รู้แค่เพียงว่าก่อนย้ายออกไปสองสามีภรรยาบอกแค่เพียงว่าจะย้ายออกไปทำรีสอร์ทให้เป็นสมบัติของลูกสาวคนเล็กที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้พวกผมก็ขอบคุณมากแล้ว” คุณหมอยกมือไหว้ขอบคุณหญิงสาวทั้งสองที่ให้ความช่วยเหลือ ก่อนจะลากลับและรีบพากันเดินออกจากหมู่บ้านชาวประมงทันที เพราะนี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว
“เราจะหารีสอร์ทพวกเขาจากไหนดีครับ?” พระพายถามอย่างกังวลในขณะที่มือของตนก็ถูกอีกฝ่ายจับจูงไปตลอดทาง
“อันดับแรกเราไปที่หาดนั้นก่อน หาที่พักแล้วหาชื่อเขาจากรายชื่อผู้ประกอบกิจการในอินเทอร์เน็ต”
ภูตะวันขับรถออกจากหมู่บ้านชาวประมงและขับไปตามแผนที่ในสมาร์ทโฟนที่นำไปหาดที่เป็นจุดหมายต่อไป เขาดูอิฐโรยและสีหน้าเหนื่อยล้ามากเนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืนและวันนี้ยังต้องขับรถเกือบจะทั้งวันอีกทั้งยังต้องเดินตระเวนหาบ้านของคนที่ต้องการพบท่ามกลางไอแดดจากทะเล หากแต่ก็ไม่ย่อท้อเพราะหนักกว่านี้ช่วงทำวิจัยหรือผ่าตัดหลายชั่วโมงก็ผ่านมันมาแล้ว
เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งเย็นพอดี รถคันหรูก็เทียบจอดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักที่ริมชายหาดอันเงียบสงบของอำเภอนี้ หลังจากที่เช็คอินเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้วอาจารย์หมอก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มทันที ภูตะวันหลับตาลงพลางถอนหายใจออกมาพรูใหญ่
“นอนพักเถอะครับ ขับรถมาทั้งวัน”
“ไปเดินเล่นกัน”
“แต่ว่า....” คุณหมอหน้าหวานตอบอย่างลังเลใจ เพราะอีกใจก็อยากจะหารายชื่อของฝ่ายนั้นให้เจอ จะได้พบกับพวกเขาเร็วๆอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ทว่าอาจารย์หมอหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้เขาลุกขึ้นจากเตียงและจูงคนรักออกจากห้องไปโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายได้ท้วงอะไรอีก
ภูตะวันพาพระพายเดินลงมาที่ชายหาดสีขาวทอดยาวไปไกลสุดตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองไปยังท้องทะเลยามเย็นที่ดูสบายตา เสียงคลื่นลูกเล็กวิ่งมากระทบปลายเท้าชวนให้ผ่อนคลายไม่น้อย พระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าดูเหมือนจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของชีวิตไปเมื่อได้ยืนดูมันกับคนรัก
“ไม่เหนื่อยเหรอครับ ถึงชวนออกมาเดินเล่น” เอียงใบหน้าถามคนรักที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อย ภูตะวันยกยิ้มบางๆพลางปัดปอยผมด้านหน้าของคนรักที่ถูกลมพัดออก
“พี่เจอหนักกว่านี้มาตั้งเยอะ แค่นี้สบายมาก” เขาจับมือจูงกันไปบนหาดทรายสีขาวที่ทอดตัวเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตาและดูเหมือนจะมีเพียงแค่เขาสองคนเท่านั้นบนหาดทรายในวันธรรมดาเช่นนี้
“...คิดแล้วก็ตลกดีนะครับที่เราสองคนมาคบกันได้”
“ตลกยังไง?” เขาถามเสียงนุ่มพลางดึงมือบางให้หยุดเดินและนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ริมชายหาดข้างๆกัน
“ไม่รู้สิครับ พี่ดูเหมือนไม่ชอบพายตั้งแต่วันแรกทำอะไรก็เหมือนถูกจับตามองตลอดเวลา พายก็ไม่ค่อยถูกชะตากับพี่เท่าไหร่ด้วย” ภูตะวันหัวเราะกับคำบอกเล่าของคนรักที่พูดย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน
“...เพราะพี่ชอบพายมากต่างหากพายถึงอยู่ในสายตาพี่ตลอดไง” คนฟังถึงกับหน้าขึ้นสี อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีมองท้องทะเลยามเย็นที่สะท้อนแสงสีส้มแดงจากพระอาทิตย์ดวงใหญ่แทน
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะไม่มีวันปล่อยมือพาย พี่จะทำให้ดีที่สุดนะ” พระพายหันไปสบตากับอีกคน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนความจริงใจและความอ่อนโยนให้เขาเห็น เขาระบายยิ้มบางๆอย่างรู้สึกดีไม่น้อยที่ได้รับความรักความจริงใจจากชายคนนี้มากมายเหลือเกิน
“...ถึงพี่จะปล่อยมือพาย พายก็ไม่ยอมให้ปล่อยหรอกฮะ พายดื้อพี่ก็รู้ เพราะฉะนั้นเราจะเดินไปด้วยกัน ขอบคุณนะครับ ... พายรักพี่นะ” พูดจบก็เอนศีรษะซบลงกับไหล่หนาของคนรักพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่สุด ภูตะวันที่ได้ฟังก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะละสายตาจากคนรักมองพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นน้ำทะเลอยู่ครึ่งดวง สองมือกระชับแน่นเพื่อยืนยันว่าจะจับมือกันเดินไปไม่มีวันปล่อย ...
***************
Talk : คลอดมาอีกตอน อย่าว่าเลยนะคะที่อัพช้า T^T บางทีเวลามีแต่อารมณ์ไม่มีก็พิมพ์ไม่ออกค่ะ 555555
เราไม่ได้ยืดเยื้อให้ไม่จบซักทีน้าาา แต่แหมมม มันก็ต้องมีอุปสรรคกันมั่งเนอะ จะมาหากันเจอง่ายๆได้ไง
คนไม่รู้จักกันมาก่อนเนอะ อิอิ แต่เดี๋ยวอีกนิดก็จบแล้วล่ะค่ะ ใกล้ความจริงแล้ว
เป็นกำลังใจให้ด้วยน้าาา

อ้อ! เรามีเรื่องใหม่ ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ #หลงเหลี่ยมรัก ลองอ่านกันดูนะ ^^
เจอกันตอนหน้าค่าาาา จุ้บๆ :3