-14-
ทุกคนมาพร้อมกันในห้องผ่าตัด พร้อมกับทีมแพทย์อายุรกรรม ทีมรังสีแพทย์ที่นั่งอยู่บนห้องอัฒจรรย์เพื่อเฝ้าดูการผ่าตัดเคสนี้ วิสัญญีแพทย์ (วิสัญญีแพทย์ = หมอดมยา) ให้ยาสลบกับคนไข้เรียบร้อย ก็เป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์มือหนึ่งอย่างภูตะวันและแพทย์เฟลโล่ (Fellow = แพทย์ผู้ช่วยอาจารย์ เป็นแพทย์ที่จบเฉพาะทางแล้วต่ออนุสาขาย่อยลงไปอีก)
"ถ้าไม่ไหวรีบบอกนะครับ" แพทย์ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามบอกกับภูตะวันด้วยความเป็นห่วง เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะมองไปยังลูกศิษย์หน้าหวานที่ยืนสังเกตการณ์การผ่าตัดอยู่ไม่ไกล ถึงอีกฝ่ายจะมีผ้าปิดปากปิดบังอยู่ แต่ก็รู้ว่าภายใต้ผ้าปิดปากนั้นพระพายกำลังยิ้มให้เขา
"ผมจะผ่าด้านข้างทั้งหมดสองแผล แผลแรกคือเข้าทางช่องอกเพื่อหนีบเส้นเลือดแดงใหญ่เหนือกระบังลม แผลที่สองทางช่องท้องโกยอวัยวะทุกอย่างขึ้นมาเพื่อหาเส้นเลือดแดงโป่งพองที่แตกให้เจอและหนีบเส้นเลือดแดงที่ยังไม่แตกใกล้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไต ต้องทำให้ได้ภายใน 30 นาที .. เริ่มจับเวลา" เขาอธิบายการผ่าตัดครั้งนี้ให้ทุกคนได้ฟังเพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน รับมีดผ่าตัดจากพยาบาลผู้ช่วยในเวลาเดียวกับที่เวลาเริ่มนับถอยหลัง
"Blunt" (Blunt = ใช้เลาะบริเวณที่มีหลอดเลือดหรือเส้นประสาททอดผ่าน) หมอซันชะงักมือที่กำลังจะเลาะบริเวณที่มีหลอดเลือด นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อรู้สึกเจ็บปวดที่แผล ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็วและลงมือทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
"forceps" รับคีมจับหลอดเลือดเพื่อหนีบเส้นเลือดแดงใหญ่เหนือกระบังลม โดยมีแพทย์ผู้ช่วยคอยช่วย เมื่อทำในส่วนนี้เสร็จก็เริ่มลงมือแผลที่สองด้านข้างช่องท้องทันที โดยที่เวลาก็นับถอยหลังไปเรื่อยๆ โดยมีพระพายสังเกตอาการของเขาสลับกับสังเกตการผ่าตัดอยู่ตลอดเวลา
"เหลือเวลา 15 นาทีครับ" บุรุษพยาบาลร้องบอก เรียกความตื่นเต้นและกดดันให้กับทุกคนในห้องผ่าตัดรวมถึงเหล่าแพทย์ต่างสาขาที่บางคนถึงกับนั่งไม่ติด ต้องลุกขึ้นมายืนดูภาพจริงอย่างใกล้ชิด
"อาจารย์ครับ" แพทย์เฟลโล่เห็นอาการของอาจารย์ไม่ดีนัก ด้วยเหงื่อที่ผุดพราวออกมาเยอะกว่าปกติทั้งที่พยาบาลก็คอยซับอยู่ตลอด มือที่จับอุปกรณ์ก็ค่อนข้างไม่มั่นคงจึงเรียกเป็นเชิงถามว่าอีกฝ่ายไหวหรือเปล่า ภูตะวันหลับตาลงเป็นเวลาสั้นๆหวังระงับความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะกระชับมือที่จับอุปกรณ์ผ่าตัดและเริ่มต้นผ่าอีกครั้ง
"เราว่าอาจารย์จะไม่ไหวแล้ว ถึงเห็นแค่ครึ่งหน้าแต่ก็รู้ว่าหน้าเริ่มไม่มีสีเลือด" แพรดาวพูดเสียงเบากับเพื่อนทั้งสองคน ซึ่งพระพายที่สังเกตอาการของอีกคนมาตลอดย่อมรู้ดีว่าเป็นอย่างไร ห่วงแค่ไหนตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากภาวนาให้มันจบลงเร็วๆ
"ความดันลดลงมากครับ!!"
"ชีพจรล่ะ!?"
"อ่อนครับ!!" เสียงของศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์พูดกันเสียงดังแข่งกับเสียงเตือนของเครื่องวัดชีพจรและความดัน ทำให้ภูตะวันและแพทย์ผู้ช่วยต้องรีบเร่งโกยอวัยวะภายในขึ้นเพื่อหาเส้นเลือดแดงโป่งพองที่แตกออกให้ทันอย่างระมัดระวัง
"ระวังด้วย" ภูตะวันบอกเสียงเครียด ระหว่างที่ค่อยๆขยับอวัยวะภายในร่างกายออกจากตำแหน่งของมันไปเพื่อหาเส้นเลือดที่แตกออกให้เจอทันเวลา
"เจอแล้วครับ!!" เสียงแพทย์ผู้ช่วยร้องดัง อาจารย์จึงเริ่มขั้นตอนต่อไปคือการหนีบเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงไตและเปลี่ยนเส้นเลือดแดงที่โป่งพองเข้ากับเส้นเลือดเทียม"
"ทุกอย่างกลับมาปกติแล้วครับ" วิสัญญีแพทย์บอกอีกครั้ง ภูตะวันเหลือบมองเครื่องวัดชีพจรและความดันเล็กน้อย เขากัดกรามแน่นเมื่อความเจ็บปวดแผลยังไม่ทุเลาลง จนทำการผ่าตัดเสร็จลงในที่สุด ภายในระยะเวลา 25 นาที
"ผมเปลี่ยนเส้นเลือดเทียมเข้าไปแล้ว คุณจัดการต่อด้วย" เอ่ยสั่งแพทย์ผู้ช่วยให้จัดการเย็บปิดแผลต่อ ก่อนที่ทุกคนจะก้มหัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ เขาจึงพาร่างของตัวเองเดินออกจากห้องผ่าตัดช้าๆและรู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวหมุนเคว้งไปหมด
"เราไปดูอาจารย์นะ"
"อืม รีบไปเถอะ" อนุวัฒน์บอกเพื่อนให้รีบไป ด้วยเข้าใจว่าทั้งสองสนิทกันไม่แปลกหากเพื่อนจะเป็นห่วง พระพายจึงรีบวิ่งออก
จากห้องผ่าตัดและตามอีกคนไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบริเวณคลีนโซนทันที
เมื่อตามเข้ามาก็เห็นคนตัวสูงในชุดผ่าตัดสีน้ำเงินเข้มนั่งพิงผนังพลางหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเดินเข้ามานั่งข้างๆอีกฝ่าย พลางจับมือหนาที่กุมแผลของตัวเองอยู่ออก ก่อนจะค่อยๆเปิดเสื้อผ่าตัดเนื้อบางขึ้นดู
"ทำไมไม่อยู่สังเกตการณ์ให้จบ" อาจารย์หมอพูดเสียงอ่อนระโหย เหลือบมองลูกศิษย์ที่กำลังเปิดเสื้อเขาออกอย่างช้าๆ
"ผมเย็บแผลเป็นแล้วครับ" ตอบกลับไปเสียงนิ่ง คนฟังจึงหัวเราะเบาๆกับความดื้อรั้นที่แสนน่ารักของอีกคน พระพายใช้มืออีกข้างจับชายเสื้อให้เหนือแผล หน้าท้องที่เป็นลอนสวย มีผ้าก๊อซขนาดใหญ่ปิดแผลเอาไว้
"เลือดออกนี่ครับ แผลอักเสบแน่ๆ ไปทำแผลเดี๋ยวนี้เลยครับ ผมจะทำให้" ลูกศิษย์คิ้วขมวด ทำหน้าเครียดยิ่งกว่าคนเจ็บที่กำลังมองเขาและยิ้มมุมปากทั้งที่ใบหน้าก็แทบจะไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว ซึ่งพระพายก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับความไม่จริงจังของอีกฝ่าย ก่อนจะพาคนเจ็บไปพักที่ห้องทำงาน
พระพายกลับเข้ามาในห้องทำงานของอาจารย์หมออีกครั้งพร้อมด้วยอุปกรณ์ทำแผล ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างคนเจ็บที่ตอนนี้เอาศีรษะพาดกับพนักโซฟาอย่างหมดสภาพ
"จับชายเสื้อไว้ครับ" มือบางดึงชายเสื้อขึ้นให้อีกฝ่ายจับเอาไว้ ภูตะวันทำตามที่ลูกศิษย์บอกอย่างว่าง่าย เขาหายใจถี่เนื่องจากความเจ็บไม่ทุเลาลงเลยตั้งแต่อยู่ในห้องผ่าตัด ก่อนที่พระพายจะเริ่มทำแผลโดยการแกะผ้าก๊อซที่ปิดแผลไว้ออก
"แผลอักเสบแล้วครับเนี่ย" เขาพูดเสียงเข้ม พลางใช้คีมหนีบสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์เอาไว้แล้วมาทาแผลเพื่อทำความสะอาด คนเจ็บได้แต่สูดปากร้องเมื่อเจ็บและแสบอย่างที่สุด กัดฟันแน่นอย่างทรมาน พลางผงกหัวมาดูแผลของตัวเอง
"เป็นถึงศัลยแพทย์ที่มีฝีมือ แต่ปล่อยให้แผลอักเสบ" พระพายบ่นแต่ก็ทำแผลให้อาจารย์ของตนอย่างตั้งใจ ก่อนใช้สำลีชุบยาใส่แผล
"เจ็บแล้วยังจะไปผ่าตัด ไม่เป็นลมล้มพับไปก็ดีเท่าไหร่แล้วครับ"
"พูดมากจังพระพาย" ภูตะวันมองลูกศิษย์ที่พูดบ่นเขาไม่หยุด ก่อนจะเอื้อมมือข้างที่ว่างไปปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ พระพายจึงรีบเอามือนั้นออก ค้อนวงโตใส่ จิ้มสำลีกดไปที่แผลอย่างหมั่นไส้ อวดเก่งแล้วยังทำเหมือนรำคาญเขาอีก
"... ถ้ารำคาญผมก็ขอโทษแล้วกันครับ" พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำแผลให้อีกฝ่ายต่อ โดยมีสายตาของภูตะวันมองไม่วางตาเพราะประโยคเมื่อครู่
"... ผมไม่ได้รำคาญ ผมแค่แปลกใจที่คุณพูดเยอะกว่าปกติ ถ้าทำให้คุณคิดแบบนั้นผมขอโทษ" พระพายขมวดคิ้วก่อนจะระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของอีกคน
"ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย อย่าจริงจังขนาดนั้นสิครับ ที่ผมพูดมากเพราะเป็นห่วงอาจารย์มากหรอกนะ" เขาหัวเราะน้อยๆ ใช้ผ้าก๊อซสีขาวสะอาดปิดปากแผลจนเสร็จเรียบร้อย
"เสร็จแล้วครับ อาจารย์ก็ควรกลับไปนอนพักที่คอนโดนะครับถ้าไม่อยากนอนให้น้ำเกลืออยู่ห้องพักฟื้น"
"ผมมีงานต้องทำ" หมอซันปิดชายเสื้อลง พลางขยับท่านั่งเล็กน้อย คนฟังถอนหายใจเพิ่งจะบ่นไปแล้วแท้ๆยังจะไม่ยอมฟัง
"จะฟังผมบ้างได้ไหมครับ?" พระพายมองอีกฝ่ายอย่างน้อยใจ ทั้งที่ก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงแต่ก็ยังไม่ยอมฟังกันบ้าง
"โอเคๆ กลับก็กลับ" ยอมกลับง่ายๆเพียงเพราะสีหน้าแววตาของลูกศิษย์ที่ทำให้เขาอ่อนใจ
หลังจากที่ภูตะวันกลับไปพักที่คอนโดได้ไม่นาน ก็เป็นเวลาพักของบรรดาแพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาล กลุ่มแพทย์เรสสิเดนท์อย่างพระพายก็ลงมานั่งกินข้าวกันตามปกติเหมือนทุกวัน
"วันนี้บอสไม่มานั่งด้วยกันเหรอพาย?" แพรดาวถามอย่างสงสัย เพราะหลายวันมานี้ที่โต๊ะอาหารของพวกเขามักจะมีบอสมาร่วมด้วยเสมอ
"ไม่ว่างล่ะมั้ง" พระพายตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนัก เพราะก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะเคยเจอกันในโรงพยาบาลด้วยโรงพยาบาลก็มีหลายตึกและแผนกของบอสก็อยู่กันคนละตึกกับเขา
"เออ แล้วอาจารย์เป็นไงบ้าง?"
"กลับไปพักที่คอนโดแล้ว" เขาตอบก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ถึงแม้จะกลับไปพักแล้วแต่เขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีว่าฝ่ายนั้นจะกินยาหรือยังหรือว่าทำอะไรอยู่ ได้นอนพักหรือเปล่า เขาเองก็ไม่กล้าจะโทรไปด้วยกลัวว่าจะรบกวน
"แต่นับถือสปิริตอาจารย์เลยนะ เจ็บขนาดนั้นยังเข้าผ่าตัดเองจนเสร็จโคตรเท่เลย"
"เท่ตรงไหน ทำอย่างกับตัวเองเป็นยอดมนุษย์" พระพายพูดขัดที่อวยอาจารย์เกินจริง แพรดาวกับอนุวัฒน์จึงได้แต่มองหน้ากันอย่างแปลกใจที่อยู่ๆเพื่อนก็ทำเหมือนหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ก่อนที่ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มจะสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามาในศูนย์อาหาร
"หมอโจมา เราไปกันเถอะ" ทั้งแพรดาวและอนุวัฒน์อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นที่พฤติพงศ์บุกมาหาเรื่องภูตะวันถึงแผนกเรื่องขโมยคนไข้ คำพูดดูถูกเหล่านั้นทำให้ทั้งสองมีอคติกับหมอคนนี้ไปโดยปริยาย พระพายหันไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นเห็นเข้าพอดี พฤติพงศ์ยิ้มเย็นๆพลางเดินตรงเข้ามายังโต๊ะของพวกเขา
"ไปเถอะ ไม่อยากหายใจร่วมด้วย" พระพายพูดเสียงขุ่น พลางลุกขึ้นยืนถือจานข้าวเตรียมเอาไปเก็บ ทว่าร่างสูงของหมอแก่ก็ขวางเอาไว้ก่อน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มใจตัวเองให้ใจเย็นกลัวว่าโรคที่เป็นจะกำเริบขึ้นมา
"ฉันเพิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยังไงก็ระวังตัวกันมากกว่านี้ล่ะ มันอาจจะไม่โชคดีไปตลอด" พฤติพงศ์แสร้งทำสีหน้าเป็นห่วงเสียเต็มประดา หากแต่พระพายกลับรู้ดีว่าที่เห็นนั่นมันคือหน้ากากที่มันใส่เอาไว้แสดงละครเท่านั้น
"ขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วง ผมจะระวังตัวไว้ให้มาก แต่ผมว่าคนร้ายมันก็คงจะไม่โชคดีไปตลอดเหมือนกันครับ วันนี้มันหนีไปได้ ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปียี่สิบปี ผมก็จะเอามันเข้าคุกให้ได้ครับ" ปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มหวานที่ประดับบนใบหน้า ทำเอาพฤติพงศ์หน้าชาและเผลอกำหมัดแน่น ก่อนจะแสร้งยิ้มกลับเช่นเดียวกัน
"ยังไงก็พยายามเข้านะ อย่าปล่อยให้มันลอยนวลนาน ... เพราะมันอาจจะตามมาปิดปากคุณก็ได้" พฤติพงศ์เหยียดยิ้มเย็น ไม่มีท่าทีหวาดหวั่น พระพายมองอีกฝ่ายเขม็งทำท่าจะเดินเลี่ยงไป แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ถึงผมตาย คนที่ยังอยู่ก็จะพามันเข้าคุกเองครับ" คำพูดอวดดีของแพทย์เรสสิเดนท์ทำให้พฤติพงศ์โกรธและคาใจอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้เบื้องลึกของตัวเขามากแน่ๆ เขากดโทรศัพท์ต่อสายถึงคนสนิทที่คอยช่วยงานกันทันที
“สืบให้ฉันทีว่า นายแพทย์พระพาย ภูวนัตถ์ เป็นใคร มาจากไหน"
"พายกล้าไปพูดกับเขาแบบนั้นได้ยังไง เขาดูน่ากลัวออก เหมือนหมอจิตๆ" แพรดาวทำท่าขยาด ขนลุกเกรียว ในระหว่างที่กำลังเดินออกจากศูนย์อาหาร
"รอยยิ้มอย่างกับปีศาจ" อนุวัฒน์พูดเสริมอีกคน รอยยิ้มเย็นๆของหมอคนนั้นยังติดตาเขาไม่หาย พระพายได้แต่เงียบและถอนหายใจ ยังดีที่เพื่อนทั้งสองไม่ได้สนใจว่าเขากับไอ้หมอนั่นมีความหลังอะไรกันมา ไม่นานฝ่ายนั้นคงรู้แน่ว่าเขาเป็นลูกชายของคนที่มันปลอมเอกสารและขโมยอวัยวะไปอย่างหน้าตาเฉยโดยที่ไม่มีใครทราบเรื่อง
ตั้งแต่ภูตะวันกลับคอนโดไป เขาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกจนกระทั่งเวลาเลิกงาน พระพายจึงกลับคอนโดด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้างเช่นเคย ถึงแม้จะสนิทสนมคุ้นเคยกับอาจารย์หมอ ทว่าเขาก็ยังเว้นระยะห่างของอาจารย์กับลูกศิษย์อย่างถูกต้องเสมอ นานครั้งถึงจะมาหรือกลับพร้อมอีกคน ...
เมื่อถึงห้องก็ทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างด้วยสภาพอิดโรยจากที่ไม่ได้นอนมาเกือบสองวัน นึกถึงคำพูดเชิงข่มขู่ของพฤติพงศ์เมื่อกลางวันที่ผ่านมา หากฝ่ายนั้นพูดแบบนั้นออกมาได้ ก็เท่ากับว่าต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน ก่อนที่เสียงสมาร์ทโฟนในกระเป๋าสะพายจะแผดเสียงดังขึ้นมาให้เขาหลุดออกจากความคิดเมื่อครู่นี้
"ครับแม่"
(พายทำอะไรอยู่ลูก เสียงดูเหนื่อยๆ ได้พักบ้างรึเปล่า) คุณหมอหน้าหวานระบายยิ้มบางๆเมื่อสัมผัสถึงความเป็นห่วงในน้ำเสียงของบุคคลอันเป็นที่รัก
"พายเพิ่งเลิกงาน คิดถึงแม่กับยายจัง ไว้ถ้าพายว่างจะกลับไปหานะ" พระพายพูดเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อย และมักจะเป็นแบบนี้เสมอหากเขาได้คุยกับแม่และยายที่รักอย่างสุดหัวใจ
(แม่ก็คิดถึงจ้ะ ยายก็บ่นคิดถึงทุกวัน ถ้างานมันหนักนักไม่ต้องทำแล้วก็ได้นะพาย เรื่องนั้นก็ด้วยเหมือนกัน หยุดซะเถอะลูก แม่กลัวพายจะเป็นอะไร) น้ำเสียงของผู้เป็นแม่อ่อนระโหย พระพายถอนหายใจเบาๆ รู้ว่ามารดาเป็นห่วงตนมากแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสนับสนุนให้เขามาแก้แค้น มีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นที่ดึงดันจะทำ เอาความถูกต้องเป็นธรรมกลับมาให้ครอบครัว
"พายรู้นะว่าแม่เป็นห่วง แต่พายดูแลตัวเองได้ อีกไม่นานหรอกแม่เดี๋ยวมันก็จบแล้ว ... พายรักแม่กับยายนะ" เขาบอกคนปลายสายด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กดวางสายเมื่อฝ่ายนั้นบอกให้ดูแลตัวเองเพื่อรอวันกลับไปเจอกันอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเตรียมขึ้นไปหาคนที่คอยทำให้หัวใจเขาคิดหนักวันละหลายหนอย่างอาจารย์ภูตะวัน
กำปั้นเล็กเคาะลงบนประตูไม้เนื้อดีไม่ดังมากนัก ทั้งที่ก็ไม่อยากให้คนในห้องเป็นฝ่ายลุกมาเปิดด้วยกลัวว่าแผลจะอักเสบจนหายช้ากว่าเดิม แต่ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อเขาไม่มีคีย์การ์ดเข้าห้องนี้ รออยู่ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก พระพายชะงักไปนิดเมื่อคนที่มาเปิดประตูคือหญิงสาวแพทย์สูติ-นารี
"เอ่อ สวัสดีครับ" เขายกมือไหว้อย่างมีมารยาท แต่น้ำเสียงก็ตะกุกตะกัก แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าคุณหมอสาวสวยอยู่ในห้องอาจารย์ของเขาด้วย
"สวัสดีจ้ะ เข้ามาสิ ซันหลับอยู่" ขายาวเดินก้าวเข้าไปด้วยจังหวะไม่มั่นคงนัก สโรชาอยู่ในชุดทำงานสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนทำอาหาร
"คุณหมอ ... เข้ามาได้ยังไงเหรอครับ?" ถามอย่างสงสัย ในเมื่ออาจารย์ของตนหลับอยู่และเพิ่งจะเป็นเวลาเลิกงานได้ไม่นาน หากอาจารย์เป็นคนเปิดก็คงไม่น่าจะหลับไปเร็วขนาดนั้น
"ฉันมีคีย์การ์ด ซันเคยให้เอาไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน ก็ไม่เคยได้ใช้จนวันนี้นี่แหละ เข้าไปดูมันเถอะ" พระพายพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูเลื่อนเข้าห้องนอนไปจนเห็นว่าคนเจ็บนอนหลับอยู่และสีหน้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อเช้ามากแล้ว
เขานั่งลงที่พื้นข้างเตียง มองหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายที่กำลังนอนหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ พระพายเบะปากด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ
"สนิทกันขนาดไหนครับ ถึงได้ให้คีย์การ์ดเข้าห้องได้ มีหลายใบเลยสิท่า" ตาคู่สวยเหล่มองอีกคนอย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนจะพูดอีกครั้งเป็นการทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องเพราะไม่อยากรบกวนคนเจ็บที่กำลังพักผ่อนอยู่
"หมอบีเธอเป็นผู้หญิงนะครับ ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วมาอยู่ในห้องสองต่อสอง มันน่าเกลียด" พูดจบก็ถอนหายใจและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทว่ายังไม่ทันที่จะได้เดินออกไปก็ถูกมือหนารั้งข้อมือเอาไว้และดึงจนเขาเสียหลักล้มลงบนเตียงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
"เห้ย!!!" คนตัวเล็กกว่าร้องเสียงหลง เมื่อคิดว่าคนที่หลับอยู่กลับไม่ได้หลับอย่างที่คิด พระพายดิ้นขลุกๆให้หลุดจากพันธนาการของอ้อมแขนแข็งแกร่ง
"อย่าดิ้น! ผมเจ็บ" ภูตะวันบอกเสียงแข็ง อีกฝ่ายก็กลัวว่าอาจารย์ของตนจะเจ็บจริงๆจึงนอนนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้และยื่นใบหน้ามาใกล้กันเพียงคืบ
"ปล่อยผมสิครับ" พยายามดึงแขนอีกคนออกแต่ก็ไม่เป็นผล เหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก แน่นยิ่งกว่าหนวดปลาหมึก พระพายจึงต้องยอมนอนนิ่งอย่างอ่อนใจ
"รู้ไหมว่าทำตัวน่ารัก" ภูตะวันยิ้มละมุน เขาได้ยินสิ่งที่พระพายพูดตั้งแต่ประโยคแรก ถึงจะหลับไปแล้วแต่เขาก็เป็นประเภทรู้สึกตัวง่าย เพราะเป็นหมอมาหลายปีการจะหลับสนิทจึงเป็นเรื่องยาก
"ไม่เข้าใจครับ" ลูกศิษย์ตอบซื่อๆพร้อมด้วยแววตาสงสัย อยู่ๆก็มาพูดว่าทำตัวน่ารักทั้งที่เขาเองยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ภูตะวันหัวเราะเบาๆเอ็นดูกับท่าทางของคนในอ้อมกอดที่นอนตัวแข็งทื่อ
"คุณหึงผมกับบี" คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีด เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้หึง ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นหรือบางทีเขาอาจจะไม่เข้าใจว่านี่คืออาการของคนที่กำลังหึงหวง ไม่เคยรู้ ไม่เคยสนใจความรักเพราะชีวิตที่ผ่านมาอยู่กับเป้าหมายในชีวิตของตัวเองมาโดยตลอด
"ผะ ผมไม่ได้หึง ผมแค่ ..."
"แค่อะไร?" สายตาคมกริบมองลูกศิษย์ ราวกับหมาป่าที่กำลังต้อนลูกแกะให้จนมุม ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาใกล้จนเว้นระยะห่างไม่ถึงคืบ
"... ไม่รู้ครับ!" พระพายพูดเสียงห้วน ดันหน้าอีกฝ่ายออกห่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของอาจารย์ที่มองมันทำให้เขารู้สึกเก้อเขินแปลกๆ ทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ภูตะวันหัวเราะนิดๆ ไม่พูดล้อให้อีกฝ่ายต้องเขินอายมากกว่านี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นไม่ชอบใจกันเสียเปล่าๆ ก่อนจะลูบหัวกลมของลูกศิษย์แผ่วเบาด้วยความเอ็นดู
"อาการเจ็บดีขึ้นรึยังครับ?" เมื่อเงียบไปนาน พระพายก็ถามถึงอาการเจ็บของอีกคนและนอนสบายตัวมากขึ้น เมื่ออาจารย์คลายอ้อมกอดที่รัดแน่นออกเหลือเพียงโอบไว้หลวมๆเท่านั้น
"ดีขึ้นแล้ว ไม่ได้โกหก"
"ถ้างั้นก็ลุกไปกินข้าวครับ หมอบีเขาทำไว้ให้แล้ว"
"... ผมกับบีเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ไม่มีอะไรนอกเหนือกว่าความเป็นเพื่อน สบายใจได้" ภูตะวันตอบสีหน้าจริงจัง ลูบแก้มใสของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
"ผมก็ไม่ได้คิดอะไรนี่ครับ" พระพายตอบอ้อมแอ้มก่อนจะจับแขนของอีกฝ่ายที่โอบเอวของตัวเองออกแล้วลุกจากเตียง เดินหนีคนเจ็บออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้อาจารย์หมอได้แต่นอนยิ้มกับตัวเอง
"ซันตื่นหรือยังล่ะ?" สโรชาถามระหว่างจัดโต๊ะอาหารเย็น เมื่อเห็นว่าพระพายเดินออกมาจากห้องนอนของเพื่อนสนิทตตัวเอง
"ตื่นแล้วครับ" พระพายคลี่ยิ้ม ก่อนจะช่วยหญิงสาวจัดโต๊ะอาหาร ไม่ใช่ว่าไม่คิดจะหาอะไรให้อาจารย์ทานเป็นอาหารเย็น ขึ้นมาหาเพราะอยากจะถามว่าอยากกินอะไรทว่ากลับกลายเป็นสโรชามาหาและจัดการทุกอย่างก่อนแล้ว
"เดี๋ยวฉันต้องรีบไปแล้ว มีเข้าเวรต่อ นี่ก็แว้บมา เดี๋ยวมันจะหาว่าฉันใจจืดใจดำ เพื่อนเจ็บแล้วไม่ดูแล"
"ไม่อยู่ทานก่อนเหรอครับ?"
"ตามสบายเถอะจ้ะ" สโรชายิ้มสวย พลางถอดเสื้อกันเปื้อนออกในขณะที่หมอซันเดินออกมาจากห้องนอนพอดี
"ฉันทำอาหารไว้ให้ กินแล้วกินยาด้วยล่ะ ฉันกลับละอยู่เวร หายๆไวนะแก"
"อืม ขอบใจ" ภูตะวันพยักหน้าตอบเล็กน้อย เป็นเรื่องธรรมดาที่เพื่อนสนิทคนนี้จะชอบทำอาหารและชอบดูแลคนอื่น โดยเฉพาะเขา ทุกครั้งที่อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากสโรชาจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่ข้างเขาเสมอ
"ถ้างั้นผมลงไปส่งครับ" พระพายอาสาเดินลงไปส่งเธอที่ข้างล่างตึก แทนคำขอบคุณแทนอาจารย์ที่เธอสละเวลามาทำอาหารให้
บรรยากาศภายในลิฟท์ดูจะอึดอัดไม่น้อย เมื่อทั้งสองคนที่ไม่สนิทกันเลยมาอยู่ด้วยกันและด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่เห็นอีกฝ่ายมีอาการประหม่าอยู่บ้างจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาทำลายความเงียบก่อน
"โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก ตอนรู้เรื่องก็ตกใจเหมือนกัน" พระพายทำเพียงยิ้มบางๆเท่านั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรด้วยไม่สนิทกันและอีกฝ่ายโตกว่าเขาจึงประหม่าอยู่บ้าง
"กับซันเป็นยังไงบ้าง?" เธอถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ถึงแม้ในใจจะยังรู้สึกกับผู้ชายที่ชื่อภูตะวัน แต่ไม่ว่าเธอพยายามมากเท่าไหร่ เขาก็เหมือนจะไกลออกไปทุกที จนต้องปล่อยทุกอย่างเอาไว้และเข้าใจโลกของความเป็นจริง
"... ก็ ไม่มีอะไรนี่ครับ ยังเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์เหมือนเดิม" พระพายตอบอย่างไม่สะดวกใจ เงยหน้ามองตัวเลขสีแดงบอกที่บอกชั้นไปเรื่อยๆ
"อย่าหาว่าฉันยุ่งเลยนะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็บอกมันไปซะ ซันมันเป็นคนเย็นชา แข็งกระด้าง น่ากลัว อ่อนโยนไม่เป็น บางทีอาจจะเข้าถึงยาก" ลิฟท์เปิดออกในขณะที่สโรชายังพูดไม่จบ เธอหยุดพูดพักหนึ่งและเดินเลี่ยงคนที่จะเข้าลิฟท์ต่อ ก่อนจะเดินไปอย่างช้าๆคู่กันกับลูกศิษย์ของเพื่อนไปที่รถ
"แต่รู้ไหมว่าคนเย็นชาเวลารักใครแล้วเขาจะอบอุ่นและดูแลดีมาก ตอนนี้ฉันเห็นว่าซันมันเป็นแบบนั้น ฉันถึงบอกว่าถ้าไม่ได้คิดอะไรก็ควรบอกตั้งแต่ตอนนี้ อย่ายื้อเวลาเพื่อรอคำตอบของใจตัวเอง คนเย็นชาเวลาเขาเสียใจก็เจ็บหนักเหมือนกัน ..."
"... แค่ใจตรงกันแล้วรักกันได้ โลกนี้ก็คงมีคนสมหวังเต็มไปหมดแล้วครับ" นายแพทย์หนุ่มหน้าหวานถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มบางๆให้กับหญิงสาว
"ถ้าเป็นฉัน ... ฉันจะทำสิ่งที่ใจฉันต้องการ ความรักมันไม่มีเงื่อนไขอะไรหรอก เราต่างหากที่ตั้งเงื่อนไขให้กับมัน" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอวางมือบนบ่าของพระพายที่ตัวสูงกว่าเธอเล็กน้อยพร้อมกับบีบมันเบาๆให้กำลังใจ ก่อนจะเดินไปที่รถ ทิ้งให้พระพายจมอยู่กับความคิดของตัวเองถึงบทสนทนาระหว่างเขาและเธอเมื่อครู่
"ส่งถึงไหน ไปซะนาน" ภูตะวันพูดเสียงขรึม คนที่เพิ่งเข้ามาห้องมาคลี่ยิ้มให้แทนคำตอบก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร
"มียาก่อนอาหารรึเปล่าครับ?"
"กินเรียบร้อยแล้ว ผมรอคุณมากินข้าวด้วยกัน" พระพายเบะปากยิ้มๆ ตักข้าวสวยร้อนๆใส่จานอีกฝ่ายอย่างพอดี
"วันนี้ผมเจอมันด้วย" เขาพูดเสียงขุ่น จนหมอซันต้องเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมองใบหน้าอีกฝ่ายว่าหมายถึงใคร แต่เมื่อเห็นลูกศิษย์ทำหน้าบูดเบี้ยวก็รู้ว่าเป็นใครไม่ได้นอกจากพฤติพงศ์
"พูดไม่เพราะเลย เขาแก่กว่า .. แล้วเขาทำอะไรคุณรึเปล่า?" ตำหนิลูกศิษย์ด้วยเสียงที่นุ่มนวลและถามต่อด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าฝ่ายนั้นจะทำอะไรให้ลูกศิษย์ต้องเจ็บตัวหรือโกรธเคือง
"เป็นฆาตรกรยังจะให้พูดเพราะด้วยอีก" บ่นเบาๆพลางเขี่ยข้าวในจาน จนอีกคนต้องจับมือให้หยุดเขี่ยแล้วคุยกันก่อน
"เขาทำอะไรไหม?"
"ไม่ครับ แต่หลังจากนี้ผมว่าเขาต้องทำแน่" ตาคู่สวยมองคนตรงหน้าด้วยความกังวลเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างกังวลใจ
"เราก็ต้องเร่งมือหาหลักฐานเหมือนกัน อาผมได้ข้อมูลผู้ป่วยเมื่อไหร่เราคงทำอะไรได้ง่ายขึ้น"
"เอาไว้ก่อนเถอะครับ อาจารย์ยังไม่หายดี" เมื่อลูกศิษย์พูดแบบนั้นเขาจึงไม่อยากจะขัดใจ แต่ถึงยังไงก็คงไม่ปล่อยให้ช้ากว่าฝ่ายนั้นแน่ๆ ก่อนที่ทั้งสองจะนั่งกินข้าวกันไปเงียบๆโดยมีเสียงจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ไม่ให้ห้องเงียบจนเกินไป ...
***************
Talk : เสร็จเร็วมากตอนนี้ พิมพ์ในไอโฟนมือหงิก เรื่องเรียนยังไม่ขยันขนาดนี้เลย เขินจัง >///< 5555555555 มันก็เริ่มเข้มข้นขึ้นบ้างแล้วล่ะ ตอนหน้าอาจารย์หมอสุดหล่อของเราก็น่าจะหายได้แล้ว พร้อมระเบิดภูเขา เผากระท่อม ชำแหละหมอโจเอาคืนให้น้องพายอย่างเลือดเย็น (?) ไม่ใช่ละ นั่นแหละ แค่อยากให้ติดตามกันต่อไป อิอิ
เราอ่านคอมเม้นท์ตลอดนะ เม้นท์ได้เราชอบอ่าน อ่านแล้วชอบยิ้ม เราเป็นบ้า 555555555 พบกันตอนหน้าค่าาาา :3