-16-
อากาศยามเช้าของวันนี้ช่างสดชื่นกว่าทุกวัน ด้วยเพราะเมื่อคืนฝนตกมาตลอดทั้งคืนจนเกือบย่ำรุ่ง ทำให้เช้านี้อากาศสดชื่นและเย็นสบาย เจ้าของห้องเปิดหน้าต่างออกเพื่อให้ลมพัดโกรกเข้ามา แสงแดดอ่อนๆที่โผล่พ้นจากก้อนเมฆส่องลอดเข้ามาทำให้ห้องสีขาวสะอาดดูสว่างสดใส พระพายระบายยิ้มเล็กน้อยพลางคิดในใจว่าหน้าต่างที่ถูกเปิดออกบานนี้ คงเหมือนการเปิดอ้าเพื่อรับความสดใสให้กับชีวิตในเช้าวันนี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เรียกให้เจ้าของห้องละสายตาจากทิวทัศน์ตึกระฟ้าของเมืองหลวงไปมองยังที่มาของเสียง ก่อนจะรีบเดินไปเปิดให้คนมาใหม่โดยที่ไม่ส่องตาแมวเพราะรู้อยู่แล้วว่าคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอาจารย์หมอของตนที่ตอนนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นคนรักไปหมาดๆ
“ไม่โทรมาล่ะครับ ผมจะได้ขึ้นไป” เมื่อเห็นอีกฝ่ายถือถุงข้าวต้มมาด้วยจึงคว้าไปถือไว้แทน พลางเบี่ยงตัวให้เดินเข้ามา
“พี่มาหาก็ไม่ได้ลำบาก ... แล้วเป็นอะไรทำไมทำหน้าอย่างนั้น” ภูตะวันขมวดคิ้วหรี่ตามองเล็กน้อย เหตุใดคนรักถึงได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่หลังจากเขาพูดประโยคนี้จบลง พระพายถอนหายใจพลางเดินเข้าครัวไปเพื่อจัดการข้าวต้มสำหรับมือเช้านี้ โดยมีคนตัวสูงเดินตามไม่ห่าง
“มันไม่ชินเลยนี่ครับที่เราต้องใช้สรรพนามที่ไม่เคยพูดกันมาก่อน” เขาดูจะขัดเขินอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินสรรพนามแทนตัวเองของอีกฝ่ายแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“จะคิดมากอะไร เดี๋ยวก็ชินไปเอง” อาจารย์หมอพูดเสียงอ่อน รับชามข้าวต้มทั้งสองชามมาวางบนโต๊ะทานอาหารที่มุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกัน
“ถ้าพายลืมเผลอพูดเหมือนที่เคย อย่าโกรธพายนะ มันต้องใช้เวลา” ภูตะวันหัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดูที่คนรักดูท่าจะเขินอายมากจริงๆกับการใช้สรรพนาม รวมถึงความจริงจังในการใช้อีกด้วย
“ไม่เป็นอะไร อย่าคิดเยอะสิ ... พี่ก็แค่อยากให้เราคุ้นเคยกันมากกว่านี้ แต่ความจริงจะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญนักหรอก แค่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงต่อกันก็พอแล้ว” คนฟังอมยิ้มเขิน อดจะแซวอีกฝ่ายในใจไม่ได้ที่ไปสรรหาคำพูดหวานเลี่ยนแบบนี้ที่ไหนมา แต่ก็ได้แต่คิดในใจเพราะถ้าหากว่าพูดออกไปก็กลัวว่าจะไม่ได้ยินมันอีก ...
“แล้ววันนี้มีเวรรึเปล่า?”
“ไม่มีครับ มีอะไรเหรอฮะ?” เขาถามอย่างสงสัย เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
“อาพี่ส่งเมล์ที่เป็นเวชระเบียนของคนไข้หมอโจมาแล้ว พายไม่มีเวรคืนนี้เราจะได้ช่วยกันอ่านและรวบรวมข้อมูล” หัวใจของคนฟังเต้นแรงเมื่อรู้สึกเหมือนสิ่งที่รอใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่าคงไม่มีทางหาเวชระเบียนของพ่อตนเจอเพราะอาจจะถูกทำลายทิ้งไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีของคนอื่นที่สามารถใช้เป็นหลักฐานสำคัญได้อีกเช่นกัน พระพายเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ครอบครัวเขาแน่ที่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้
“ใกล้แล้วสินะ ...” พระพายพึมพำเบาๆ ทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง อีกไม่นานเรื่องนี้คงจบลงโดยที่เขาต้องเอาคนร้ายมารับกรรมให้ได้ มือหนายื่นมาวางบนหลังมือเล็กเบาๆก่อนจะบีบอย่างให้กำลังใจ
“แต่เราก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น อย่าชะล่าใจ พี่ว่าทางนั้นเขาคงไม่ยอมถูกเรากระทำฝ่ายเดียวแน่” ภูตะวันพูดอย่างคนรู้จักหมอโจดี เพราะเขาก็เคยนับถือเป็นเหมือนคนในครอบครัวมานาน รู้ดีว่าพฤติพงศ์ไม่ใช่คนยอมคนนัก หากเขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ งานนี้ฝ่ายนั้นคงไม่อยู่เฉยแน่ ดีไม่ดีตอนนี้อาจจะให้คนจับตามองอยู่ก็เป็นได้ เป็นห่วงก็แต่คนตัวเล็กกว่าตรงหน้าว่าจะได้รับอันตราย
“พายจะระวังตัว พี่ก็ด้วยนะครับ ห้ามโดนแทงอีกไม่งั้นพายจะโกรธ”
“ถ้าพี่เป็นอะไร จะยกเคสให้พายเป็นคนผ่าตัดเลยดีไหม พี่อนุมัติ” ภูตะวันพูดติดตลก หัวเราะเบาๆกับการขู่ที่ดูยังไงก็น่ารัก ทว่าคนฟังกลับชะงักมือที่ถือช้อนแล้วเงยหน้ามองคนพูดด้วยสายตาตระหนกกับที่ประโยคที่ได้ยิน
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย”
“พี่ขอโทษ กินข้าวเถอะ” อาจารย์หมอรู้สึกผิดไม่น้อยที่พูดโดยไม่คิด ตั้งใจจะหยอกคนรักเล่นเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าคำพูดที่เขาไม่ได้ตั้งใจพูดจะทำให้คนฟังที่ชอบคิดมากอย่างพระพายรู้สึกไม่ดีไปด้วย แต่ถ้าลองคิดจริงจัง เกิดวันหนึ่งเขาเป็นอะไรขึ้นมาอย่างที่ว่าจริงๆ หากยังพอมีโอกาสรอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น ศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดเขาก็คงจะต้องเป็นพระพายที่เป็นทั้งลูกศิษย์และคนรัก
จู่ๆโทรศัพท์มือถือเครื่องบางก็แผดเสียงดังพร้อมกับสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงแสลคสีดำสนิทของเจ้าของ มือหนาวางช้อนลงก่อนจะรีบหยิบมันขึ้นมาสไลด์รับสายเมื่อเป็นหมายเลขแผนกต่อสายเข้ามา
“ฮัลโหลครับ”
(อาจารย์หมอคะ มีเคสด่วน อาการตอนนี้ไม่ค่อยดีเลยค่ะ!!) เสียงพยาบาลที่เขาคุ้นเคยพูดรัวเร็ว ภูตะวันรีบลุกขึ้นยืนสะพายกระเป๋า ทำให้พระพายต้องรีบทำตามด้วยท่าทางรีบร้อนเช่นเดียวกัน
“อาการเป็นยังไง!?” หมอซันคว้ามือเล็กมาจับเอาไว้แล้วรีบเดินเข้าไปลิฟท์ไปด้วยกันหลังจากที่ปิดประตูห้องลง คนตัวเล็กกว่ามองคนรักที่คุยโทรศัพท์สีหน้าเคร่งเครียดทำให้เขาพลอยเป็นกังวลไปด้วย
(มีไข้สูง ชาที่แขน ขาและลำตัวทางด้านซ้ายมาได้สามสี่วันค่ะ หลังจากที่ตรวจพบว่ามีลิ้นหัวใจรั่วโดยบังเอิญ)
“โอเค ผมกำลังรีบไป” ภูตะวันกดวางสายเป็นจังหวะที่ลิฟท์เปิดออกที่ชั้นล่างพอดี เขาจับมือพระพายไม่ปล่อยให้รีบวิ่งไปขึ้นรถพร้อมกัน
“อาการหนักมากไหมครับ?” พระพายถามทันทีหลังจากที่ขึ้นนั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว ภูตะวันจึงได้แต่บอกออกไปว่าไม่แน่ใจนัก หากได้ตรวจอาการคงจะวินิจฉัยได้ว่าหนักมากหรือไม่ คนถามจึงเข้าใจและไม่คาดคั้นเอาความต่อ
เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วอาจารย์และลูกศิษย์ต่างพากันวิ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินด้วยความรีบเร่ง เพราะถ้าหากช้าเพียงหนึ่งวินาทีนั่นก็หมายชีวิตหนึ่งชีวิตที่อาจจะต้องสูญเสียไป พวกเขาสาวเท้าเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ขณะนี้กำลังทั้งพยาบาลและแพทย์ต่างเดินกันให้วุ่นวาย
“อาจารย์หมอคะ ทางนี้ค่ะ” เมื่อเห็นว่าอาจารย์หมอมาถึงแล้ว พยาบาลสาวจึงเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเครียดก่อนจะนำทางไปยังเตียงผู้ป่วยทันที
“พี่! เอ่อ ... อาจารย์ครับ เสื้อกาวน์” คุณหมอหน้าหวานส่งเสื้อกาวน์ที่ตนถือพาดแขนไว้ให้ ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทุกคนกำลังสนใจหน้าที่ของตัวเอง ไม่ได้ยินว่าเมื่อครู่เขาเผลอพูดอะไรออกไป คนตัวสูงจึงรีบรับไปสวม พลางจับต้นแขนของคนรักเบาๆอย่างเป็นการขอบอกขอบใจก่อนจะหันไปสนใจผู้ป่วยแทน
“ให้ยาลดไข้ไปแล้วค่ะ” พยาบาลสาวอีกคนรายงานให้คุณหมอทราบทันที ภูตะวันตรวจทุกอย่างตามกระบวนการรักษาเบื้องต้นอย่างละเอียด พบเพียงผู้ป่วยเป็นไข้สูง หากจะรู้รายละเอียดกว่านี้จะต้องส่งแผนกรังสีเพื่อเอ็กซเรย์ภายในว่าอาการตอนผู้ป่วยเข้ามาเป็นเพราะอะไร
“ผมขอดูชาร์จหน่อย”
“นี่ค่ะ เขาไม่เคยรักษาที่นี่มาก่อน ในชาร์จจึงเป็นการทำประวัติใหม่ รายละเอียดบางอย่างจึงเป็นการบอกคร่าวๆของญาติค่ะ” ภูตะวันอ่านชาร์จอย่างตั้งใจและรีบจับใจความทั้งหมดให้ได้ หากช้ากว่านี้ผู้ป่วยก็อาจจะได้รับอันตราย
ในประวัติการรักษาของคนไข้จากการบอกกล่าวของญาติ บันทึกไว้เพียงว่าเขาเพิ่งจะตรวจพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมาได้ไม่นานและเริ่มมีหัวใจโตร่วมด้วย แพทย์แนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัดแต่ผู้ป่วยขอกลับบ้านไปจัดการธุระเสียก่อนแพทย์จึงอนุญาต ทว่าเพียงสี่ห้าวันกลับมีไข้และชาที่ลำตัวด้านซ้ายทั้งหมดอย่างที่พยาบาลได้รายงานเขาไว้ ภูตะวันพอเข้าใจได้ว่าหัวใจที่รั่วนั้นคงไม่รั่วมากกว่าเดิมและหัวใจที่โตก็คงจะไม่โตขึ้นมากภายในสองหรือสามสัปดาห์แน่ แต่ทำไมเพียงไม่กี่วันผู้ป่วยถึงมีอาการแทรกซ้อน
“ส่งเอ็กซเรย์และแอดมิดเข้าแผนกผมด่วนเลย!” อาจารย์หมอสั่งเสียงดัง เครียดไม่น้อยกับเคสนี้ที่ยังไม่เคยเจอมาก่อน พระพายยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลนักก็อดจะเป็นห่วงทั้งผู้ป่วยทั้งคนเป็นหมอไม่ได้ ผู้ป่วยก็ห่วงว่าจะเป็นโรคที่ร้ายกว่านี้ คุณหมอเองก็ห่วงว่าจะเครียดจนเกินไป
“พระพายตามญาติผู้ป่วยไปพบผมที่ห้องตรวจด้วยนะ” อาจารย์หมอเอ่ยสั่ง พระพายพยักหน้ารับก่อนจะรีบออกไปด้านนอกหาญาติผู้ป่วยตามที่ได้รับมอบหมายทันที
นัยน์ตาคมจ้องมองสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องตรวจ ผลเอ็กซเรย์ของผู้ป่วยส่งตรงจากแผนกรังสีมาถึงห้องตรวจด้วยระบบออนไลน์ ภูตะวันอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อวินิจฉัยอาการจากเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ได้ ไม่เคยเจอเคสแบบนี้มาก่อนทำให้เขาค่อนข้างจะกังวล
“ญาติคนไข้มาแล้วครับ” พระพายเลื่อนประตูห้องที่เปิดแง้มไว้อยู่เล็กน้อยเพื่อรายงานอาจารย์หมอว่าญาติคนไข้ที่ต้องการพูดคุยด้วยมาถึงห้องตรวจแล้ว เมื่อภูตะวันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาต ลูกศิษย์จึงพาญาติของคนไข้ที่เป็นผู้หญิงสองคนเข้าพบ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” หญิงสาววัยกลางคนเข้ามาด้วยสีหน้ากังวลระคนเศร้าใจยกมือไหว้เขา คะเนจากสายตาแล้วอายุคงประมาณอาทั้งสองของตน หมอซันรับไหว้เธอและหญิงสาวอีกคนที่ดูจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพระพายก่อนจะเชิญทั้งสองคนให้นั่งลง
“ผมเรียกมาพบเพื่อดูผลเอ็กซเรย์และแจ้งอาการของคนไข้ให้ทราบนะครับ” เขาชี้แจ้งด้วยความสุภาพ แต่สีหน้าก็แสดงออกถึงความเครียดอยู่มากจนคนที่รอฟังเริ่มจะใจคอไม่ดี
“คนไข้มีภาวะติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเชื้อโรคพวกนี้แตกออกและลอยไปตามกระแสเลือดไปอุดหลอดเลือดที่สมองทำให้มีอาการชาครึ่งซีก” ภูตะวันชี้ผลเอ็กซเรย์ตามตำแหน่งที่ได้บอกไป พระพายยังคงเกิดความสงสัยในโรคนี้ สิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาวนเวียนอยู่ในหัว แต่ก็เลือกที่จะยืนฟังเงียบๆต่อไป ด้วยยังเป็นเวลาของอาจารย์หมอและญาติของคนไข้ หญิงสาวทั้งสองมีสีหน้าตกใจอยู่มากหลังจากที่ได้ฟังการวินิจฉัย หัวใจวูบไปราวกับมีใครมาคว้ามันออกไปจากอก
“ร้ายแรงมากไหมคะ พ่อฉันจะหายไหม!?” ลูกสาวของคนไข้มีสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกังวล ทว่านัยน์ตากลับฉายแววเศร้าออกมาให้คนอื่นได้เห็น คนเป็นหมอถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถ้อยคำต่อไปให้อีกฝ่ายได้ฟัง
“โชคดีครับที่มาโรงพยาบาลเร็ว ตอนนี้เราได้ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและทำให้เชื้อที่สมองไม่เติบโตเป็นฝีขึ้นมา เมื่อได้รับยาครบจึงจะผ่าตัดเพื่อเอาลิ้นหัวใจที่รั่วและติดเชื้อออก แล้วเปลี่ยนเป็นลิ้นหัวใจเทียมครับ”
“ดีที่บ้านอยู่ใกล้ค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นคงแย่แน่” คนเป็นภรรยาถอนหายใจโล่งอก แต่ความเป็นห่วงสามีก็ยังมีเต็มหัวใจ ภูตะวันหรี่ตาลงอย่างแปลกใจ เธอบอกว่าบ้านอยู่ใกล้โรงพยาบาลจึงมาทัน ทั้งที่นี่ก็ยังเป็นศูนย์โรคหัวใจอีกด้วยแล้วทำไมครั้งที่ตรวจพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วถึงไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรก หากแต่เขาก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจเพราะถึงยังไงก็เป็นการตัดสินใจของญาติคนไข้และตัวคนไข้เองอยู่แล้ว
“แล้วทำไมถึงไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรกล่ะครับ?” พระพายเผลอโพล่งออกไปอย่างเสียมารยาท ภูตะวันมองอย่างตำหนิเล็กน้อยเช่นเดียวกับหญิงทั้งสองคนที่มองเขาอย่างอึ้งๆจนพระพายรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำเสียมารยาทกับญาติผู้ป่วย
“เอ่อ ผมไม่ได้จะว่าโรงพยาบาลอื่นไม่ดีนะครับ เพียงแต่สงสัยเพราะเห็นว่าที่นี่อยู่ใกล้บ้าน ขอโทษที่เสียมารยาทครับ” เขายกมือไหว้ขอโทษทั้งสองคนอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะสงสัยเหมือนคุณหมอ โรงพยาบาลวิวรรธน์ใกล้บ้านก็จริง ดีในอันดับต้นๆของประเทศก็จริง แต่ ...”
“แม่...” หญิงสาวเอ่ยปรามผู้เป็นแม่ ด้วยกลัวว่าหากพูดไปอาจจะเป็นอันตรายแก่ครอบครัว เธอไม่แน่ใจนักว่าคุณหมอสองคนจะไว้ใจได้หรือไม่ ภูตะวันหรี่ตามองอย่างสงสัยกับพฤติกรรมของหญิงทั้งสองที่ดูเหมือนมีอะไรเก็บไว้และไม่สามารถพูดออกมาได้
“... ดิฉันเคยมารักษาที่โรงพยาบาลนี้เมื่อสามปีก่อน ฉันประสบภาวะเส้นเลือดในสมองตีบและเป็นอัมพาต ก็เข้ามารักษาตัวที่นี่ หมอบอกกับลูกสาวว่าฉันไม่มีทางจะดีขึ้นและคงไม่รอดชีวิต ให้บริจาคอวัยวะของฉันให้กับโรงพยาบาล ทางเราจึงย้ายโรงพยาบาลในทันทีเคราะห์ดีที่ฉันอาการดีขึ้นจนเป็นปกติ นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่อยากพาสามีมาที่โรงพยาบาลนี้อีก”
“แต่ทางเราก็ไม่ได้คิดจะฟ้องร้องอะไร เพราะไม่มีหลักฐานไปเอาผิดเขา” ลูกสาวของเธอพูดเสริม สีหน้าและแววตาของทั้งคู่ยามที่เล่าเรื่องในอดีตยังซ่อนความกลัวไว้จนภูตะวันและพระพายสังเกตเห็น คนเป็นหมอทั้งสองคนในห้องรู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าจะเจอหลักฐานที่พวกเขาพยายามรวบรวมอีกหนึ่งชิ้น
“หมอคนนั้นชื่ออะไรจำได้ไหมครับ?”
“... พฤติพงศ์ ฉันจำได้ไม่ลืม” สิ้นคำบอกของหญิงสาว อาจารย์และลูกศิษย์ก็หันมองหน้ากันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้วี่แววตระหนกตกใจเพราะเดาไว้อยู่แล้วว่าคงไม่ใช่ใครที่ทำเรื่องเลวๆแบบนี้ได้
“ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและจะเอาคนผิดมารับโทษให้ได้ ส่วนเรื่องคุณณรงค์เดชผมจะรักษาอย่างสุดความสามารถ เขาจะหายดีครับ” ภูตะวันบอกน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อให้ทั้งสองเชื่อใจในตัวเขาว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูดอย่างแน่นอน
ก่อนที่ญาติคนไข้ทั้งสองจะออกจากห้องตรวจไป ภูตะวันได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าขอให้เรื่องนี้ยังเป็นความลับต่อไปเพื่อความปลอดภัยของครอบครัวของพวกเขาเอง และหากในวันที่เขาเอาคนผิดมารับโทษก็ขอให้ครอบครัวนี้ช่วยเป็นพยานเสริมอีกแรง
“พายว่าพายคิดไม่ผิดที่เรียนหมอแล้วมาอยู่ที่นี่” เขายิ้มบางๆให้กับคนรัก หากในตอนนั้นเขาไม่เลือกเรียนหมอ ก็คงจะไม่ได้เห็นความพินาศของคนผิดอย่างพฤติพงศ์ที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกทีๆเช่นวันนี้ ...
ช่วงพักกลางวันภูตะวันและพระพายแยกกันทานข้าวกันอย่างปกติ เพื่อให้ต่างฝ่ายได้มีเวลาเป็นส่วนตัวและไม่อยากให้การตัดสินใจคบกันของพวกเขามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก หมอซันจึงออกมาทานข้าวที่ร้านอาหารข้างนอกไม่ไกลจากโรงพยาบาลกับเพื่อนสนิทอย่างสโรชาที่ไม่ค่อยจะได้เจอกันเท่าไหร่ แต่เมื่อเจอกันแต่ละทีก็มักจะต้องมีเรื่องให้พูดคุยกันอยู่เสมอ ...
“เป็นยังไงบ้าง?”
“ถ้าเรื่องร่างกายของฉัน ฉันสบายดี แต่ถ้าเรื่องหัวใจ ... ฉันรู้สึกเจ็บเป็นบางครั้ง ถ้าแกว่างก็ตรวจให้ฉันบ้างนะ” หญิงสาววางมือลงบนตำแหน่งของหัวใจตัวเองพร้อมกับแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด
“เพ้อเจ้อ” ภูตะวันเบ้ปากพลางหัวเราะหึในลำคอกับท่าทางเสแสร้งแกล้งทำของเพื่อนสนิท คุณหมอสาวจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนจะถามถึงเรื่องหัวใจของอีกฝ่ายกับลูกศิษย์
“อะแล้วแกล่ะ กับพระพายไปถึงไหนละ?”
“ก็ ... เขาเพิ่งจะตอบตกลงคบกับฉันเมื่อคืน แต่แกอย่าเที่ยวไปบอกใครล่ะ ฉันไม่อยากให้ใครมานั่งจับตามองและพายก็จะไม่สบายใจไปด้วย” นายแพทย์หนุ่มตอบปรับสีหน้าจริงจังขึ้นมา เขาไม่ค่อยสนใจคนอื่นที่ไม่มีผลกับชีวิตเขามากนัก ทว่ากับเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้เขาก็ไม่อยากให้คนรักต้องไม่สบายใจ คบกันไปเรื่อยๆแบบเงียบๆไม่หวือหวาก็น่าจะดีกว่า
“ถ้าฉันจะพูดฉันคงพูดไปนานแล้ว ว่าแต่แกจริงจังใช่ไหมกับเด็กคนนี้?” สโรชาผงกหัวเล็กน้อยแทนคำขอบคุณที่พนักงานบริการของร้านยกอาหารมาวางบนโต๊ะจนครบ
“ฉันรู้สึกว่าเขาพิเศษสำหรับฉัน ฉันอยากดูแลและอยากมีเขาอยู่ในทุกวันของฉัน ...” หญิงสาวคลี่ยิ้มบางเมื่อได้ฟัง แววตาของภูตะวันเวลาที่พูดถึงพระพายคนรักมันทอประกายและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน น้อยครั้งนักที่เธอจะได้เพื่อนสนิทที่สุดจะแสดงอาการเช่นนี้
“ฉันดีใจกับแกจริงๆนะ ส่วนเรื่องอาทั้งสองคนของแกฉันว่าไม่ยาก แกจัดการได้ได้สบาย” เธอยักคิ้วอย่างรู้ทัน เพราะไม่ว่าภูตะวันจะพูดหรือทำอะไรอาทั้งสองคนของเขาก็ไม่เคยขัด เมื่อหลานชายมีเหตุผลที่ดีให้เสมอ เรื่องหัวใจสโรชาก็หวังว่าเพื่อนจะจัดการได้
“เรื่องนั้นฉันยังไม่ได้คิด อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป” เพราะยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าที่เขาและพระพายต้องช่วยกันจัดการให้มันจบไป เรื่องหัวใจจึงยังไม่ได้ให้ความสำคัญมากเกินไปนัก แค่มีพระพายอยู่ในชีวิต อยู่ให้กำลังใจและคอยดูแลกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“จ้า พ่อพระเอก ยังไงฉันก็ขอให้ผ่านไปด้วยดีนะ” คุณหมอระบายยิ้มหวาน พลางตบหลังมือเพื่อนสนิทเบาๆอย่างให้กำลังใจ ภูตะวันเองก็ยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำส่งให้ สายตาสองคู่มองประสานกันอย่างรู้ใจ
“ขอบใจแกมากนะ เอาไว้ฉันจะหาผู้ชายให้แกสักคนเป็นการตอบแทน” ภูตะวันหัวเราะในลำคออย่างชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อนให้หน้าหงิกขึ้นมาได้ หญิงสาวเบะปากพลางยกส้อมขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธๆแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร
“ไม่รับรักฉันน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ยัดเยียดฉันให้คนอื่นนี่จี๊ดเลยนะ จี๊ดเลย!!” เขากลอกตาไปมา ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับกริยาท่าทางงอนๆที่ดูน่ารักของอีกฝ่าย พลางตักอาหารใส่จานให้เธอแทนคำขอโทษ ซึ่งเธอเองก็ได้แต่ตวัดค้อนวงโตใส่เขา ก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะให้กันอย่างอารมณ์ดี
ถึงแม้ในแต่ละครั้งที่เจอกันสโรชาจะยังมีความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวังหลงเหลือ ทว่าเธอก็ไม่คิดที่จะบังคับหัวใจเพื่อนให้มารักตนและเคารพหัวใจของเพื่อนสนิทเธอเสมอ อย่างน้อยก็ยังได้เป็นเพื่อนกันอย่างที่เคยเป็น ภูตะวันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นเลย มันดีแล้วและเพียงพอแล้วสำหรับเธอ ...
(Reply ถัดไปค่ะ)