.
.
.
“สิงห์จะพาเพลงไปไหนเหรอ?” เขาเอ่ยถามระหว่างที่คนตัวโตขอทำหน้าที่เป็นสารถีหลังจัดการลางานในวันเสาร์อาทิตย์ได้ คราวก่อนที่บังคับให้สีหราชลางานไปปากช่องกับเขาคีตกาลก็เกรงใจแย่แล้ว หากคราวนี้เขาเองกลับเป็นฝ่ายถูกขอให้ติดตามมาด้วยกันแทน
“ไว้ถึงแล้วจะบอกนะครับ”
“.....ตามใจ” คีตกาลส่งค้อนให้วงเล็กๆอย่างไม่ถือสาพลางยิ้มแล้วนั่งนิ่งไม่ซักถามต่อ
รถยนต์คันหรูของคีตกาลซึ่งสีหราชเป็นผู้ขับ เคลื่อนไปยังนอกเมือง นานจนคีตกาลต้องคอยชวนคนขับคุยเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหลับในเนื่องจากออกเดินทางกันแต่เช้ามืด บางช่วงก็แกะผลไม้บ้าง ขนมบ้างป้อนคนตัวโตไม่ขาดแล้วตามด้วยน้ำแร่จ่อหลอดถึงริมฝีปาก
“ขอบคุณครับ” คนตัวโตเหล่ตามอง ยิ้มกว้างด้วยความอิ่มเอิบใจ
สีหราชหยุดจอดรถแวะร้านสังฆภัณฑ์ จัดการซื้อของบางอย่างใส่หลังรถแล้วขับต่อไปอีกชั่วโมงกว่าก็ถึงจุดหมาย คีตกาลเลิกคิ้วมองหากไม่เอ่ยถามอะไรออกมา
ร่างโปร่งลงจากรถตามสีหราชออกมาเมื่อรถหยุดลงในเขตบริเวณวัดแห่งหนึ่ง มีพระภิกษุไม่กี่รูปซึ่งกำลังกวาดลานอยู่ ร่างสูงหอบหิ้วของโดยมีเขาช่วยแบ่งเบาขึ้นไปยังศาลา กราบนมัสการหลวงพ่อชรา ถวายสังฆทานรับศีลรับพร หลังจากนั้นก็กรวดน้ำเป็นอันเสร็จพิธี ตลอดเวลาคีตกาลเพียงทำตามสีหราชเงียบๆ
“ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้พ่อเกษมและแม่ชบา วิรุณรักษ์”
“?” คีตกาลเลิกคิ้วมอง
“ไปพบพ่อกับแม่สิงห์นะ”
“หืม?” มือใหญ่ยื่นเกาะกุมมือขาวแล้วจับจูงไปยังส่วนด้านหลังวัด
เจดีย์เล็กๆสององค์ตรงหน้าเก่าคร่ำ รูปที่อยู่บนนั้นซีดจางจนแถบมองไม่เห็น สีหราชปัดกวาดเช็ดถูโดยมีคีตกาลช่วย เมื่อเสร็จจึงวางดอกไม้ลงแล้วคว้าข้อมือขาวรั้งให้ร่างโปร่งทรุดกายนั่งเคียงกัน
“เพลงครับ นี่พ่อกับแม่ของสิงห์”
“สวัสดีครับ” ร่างโปร่งยกมือไหว้เจดีย์องค์เล็กตรงหน้า
“พ่อครับ แม่ครับ นี่เพลง คีตกาล เป็นคนที่ผมรักครับ” ท้ายประโยคใบหน้าหล่อเหลานั้นหันมามองใบหน้าเนียนขาวซึ่งตอนนี้แก้มเนียนขึ้นสีแดงเรื่อ ริมฝีปากบางยกยิ้มไม่เอ่ยค้านคำพูดนั้นแม้ครึ่งคำ
“คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ เพลงสัญญาว่าจะดูแลลูกชายของพ่อกับแม่ให้ดี”
“หืม?”
“เอาน่า ตามนั้นแหละ!” คีตกาลยิ้มกว้างตบลงบนหลังมือใหญ่ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง คืนนั้นทั้งสองเข้าไปพักในตัวเมือง วันรุ่งขึ้นสีหราชพาคีตกาลไปยังบ้านหลังหนึ่งดูโอ่อ่าหรูหรา
“บ้านใครหรือ?”
“....ไม่รู้”
“หืม?”
“เมื่อก่อนนี้เคยเป็นบ้านของสิงห์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“.....”
“เพลงก็รู้ว่าสิงห์เป็นเด็กกำพร้า”
“.....” เรื่องราวตั้งแต่ต้นสีหราชเล่าให้คีตกาลฟังจนหมดสิ้น เมื่อหลายเดือนก่อนสีหราชเจอคนเก่าแก่ของบ้านวิรุณรักษ์โดยบังเอิญ หลังการพูดคุยชายหนุ่มจึงตามหาบ้านเก่าของตัวเองเจอ หาพ่อกับแม่เจอ...
ร่างโปร่งเพียงยิ้มแล้วกุมมือของคนตัวโตแน่น ไม่ได้เอ่ยคำปลอบประโลมหากเพียงแค่กุมมือแล้วยิ้มให้กัน เท่านั้น....
.
.
“เพลงไปไหว้พ่อแม่สิงห์แล้ว ปิดเทอมสิงห์ก็ไปฝากตัวกับพ่อแม่เพลงได้แล้วนะ”
“แต่....”
“นะ?”
”สิงห์กลัวว่าพ่อกับแม่เพลงจะรับไม่ได้”
“เพลงจะอยู่ข้างๆสิงห์เอง นะ?”
“...ครับ”
แม้การเปิดเผยความจริงจะทำให้คุณยุวดีและคุณพีรพลตกใจมากหากท่านทั้งสองก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่โวยวายรุนแรงเกินไปนัก แม้ท่าทีไม่ชอบใจของคุณพีรพลจะทำให้สีหราชหวาดหวั่นหากท่านก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงเรียกคีตกาลเข้าไปคุยเท่านั้น
คีตกาลมีความสุขมากที่ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่นไปเสียหมด พ่อกับแม่ของเขาไม่รังเกียจความรักของเขากับสีหราช แม้จะยังไม่อาจทำใจยอมรับได้เต็มร้อยหากพวกท่านก็ไม่ได้ขัดขวาง ขอเพียงการคบหากันนี้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่เท่านั้นก็พอ
“....คนขี้เซา วันนี้จะไปทำงานไหม?” ริมฝีปากบางยื่นกระซิบถามชิดริมหู เจ้าของใบหน้าเข้มคร้ามขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวคว้าร่างโปร่งข้างกายเข้ามาในอ้อมกอด
“มีช่วงสายๆครับ”
“งั้น... วันนี้เพลงจะกลับเข้าบ้านนะ”
“ให้ไปส่งไหมครับ?” สีหราชลืมตาขึ้นมอง
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเพลงไปเองได้”
“แล้ว...จะค้างที่บ้านหรือกลับมาหอ?”
“อืม เอาไงดีน้า?” คนในอ้อมแขนแกล้งยกนิ้วแตะปลายคางคล้ายคิดหนัก
“กลับมานะ นะ นะ นะครับ ไม่งั้นสิงห์นอนคนเดียวหนาวแย่”
“หูย~ เลี่ยนมากอ่ะ” เสียงหัวเราะคลอเคล้าหยอกเย้ากันไม่ขาด
จูบอ่อนหวาน แตะแต้มแผ่วเบา รุกล้ำเนิบช้าอ่อนโยนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าพัดโหม ในอกข้างซ้ายสิ่งนั้นเต้นโหมแรงเสียจนสั่นไหว ดวงตาสีสนิมคู่นั้นเปิดเผยซึ่งหัวใจทั้งหมด ความรู้สึกรักท่วมท้นจนคนมองใจสั่นคำรบแล้วคำรบเล่าอย่างไม่อาจห้าม
ริมฝีปากหยักคู่นั้นแตะแต้มแผ่ว ซ้ำ...ครั้งแล้วครั้งเล่า อ่อนหวาน...ระเรื่อยให้อยากให้มอบความรักมากมายกลับคืน อ่อนโยน...ไม่เร่งเร้าเร่าร้อน ต่างส่งมอบความรู้สึกในหัวใจให้อีกคนรับรู้
คีตกาลยกมือขึ้นทาบแก้มกร้าน เลื่อนริมฝีปากแตะจูบปลายจมูกโด่งของคนตัวโตแล้วแนบหน้าผากจ้องเข้าในดวงตาคมกล้าคู่นั้น จูบย้ำลงบนริมฝีปากหยักอีกครั้งก่อนผละออก
.
.
.
คีตกาลยิ้มแย้มอารมณ์ดี เขากลับบ้านโดยไม่ได้แจ้งคุณพีรพลและคุณยุวดีบิดามารดา เมื่อถึงบ้านเขาจึงไม่เห็นพวกท่านในห้องรับแขกจนต้องร้องถามสาวใช้ในบ้าน ‘พวกท่านสองคนอยู่ในห้องทำงาน ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน พวกหนูถูกสั่งไม่ให้ไปรบกวน‘ เด็กในบ้านตอบอย่างนั้น ร่างโปร่งขมวดคิ้วกับคำตอบนั้นหากไม่ได้คิดอะไรมาก ร่างโปร่งก้าวเท้าตรงไปยังห้องทำงานของบิดาทันที
เสียงพูดคุยเล็ดลอดดังแว่ว ประโยคหนึ่งทำให้มือขาวที่กำลังจะยกเคาะประตูชะงักค้าง
“ผม....อยากให้ตาเพลงมีแฟนเป็นผู้หญิงมากกว่า” ถ้อยคำนั้นเป็นของบิดา คีตกาลขมวดคิ้ว ตอนที่เขาบอกความจริงเรื่องสีหราช บิดาเคยเรียกเขามาคุยครั้งหนึ่ง ขอร้องให้พวกเขาสองคนอยู่ในกรอบ อย่ามีอะไรเกินเลยหากยังไม่พ้นวัยเรียนและเขาก็รับปาก บิดาไม่ได้ห้าม เพียงเอ่ยถามถึงความมั่นใจในความสัมพันธ์เท่านั้น แล้วเหตุใดวันนี้บิดาจึงเอ่ยถ้อยประโยคนี้ออกมา
“คุณคะ...”
“ผมอยากเห็นตาเพลงเรียนจบ มีการงานที่ดีสืบทอดธุรกิจของที่บ้าน แต่งงานแล้วก็มีลูก”
“....”
“หากเราได้อุ้มหลานที่เกิดจากตาเพลงคงมีความสุขมาก....” ท้ายประโยคเสียงทุ้มนั้นสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นไห้
จะมีสิ่งใดทำให้คนเป็นพ่อร้องไห้ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องของลูก....
คีตกาลนิ่งอึ้ง เขายืนค้างอยู่หน้าห้องไม่กล้าขยับ ไม่กล้าเคาะประตูเพื่อเข้าไปพูดคุยกับบิดามารดา พ่อของเขารับไม่ได้ที่เขามีคนรักเป็นผู้ชาย หากเพื่อความสุขของลูกจึงได้แต่กล้ำกลืนคำห้ามปราม คำดุด่าว่ากล่าว ทำเพียงแค่ยืนมองห่างๆเท่านั้น
ความร้อนแล่นขึ้นกลางอกลามไปจนถึงหัวตา ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นเพื่อกักกั้นหยาดน้ำอุ่นไม่ให้ไหลลงมา ช่วงจังหวะตัดสินใจจะเดินหันหลังออกมาพลันในห้องทำงานก็เกิดเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของมารดาลั่นก้อง
“คุณคะ!” คีตกาลถลาเข้าไปในห้อง ร่างของบิดาที่ฟุบลงบนโต๊ะทำงานพาให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น ไม่รู้ว่าเขาตะโกนร้องเรียงคนในบ้านไปด้วยเสียงดังแค่ไหน มือที่กดโทรศัพท์เรียกรถฉุกเฉินสั่นระริก ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด แผ่นอกกล้าแกร่งขยับแผ่วและคราบหยาดน้ำบนหางตาของบิดาทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบ
“...เป็นโรคหัวใจขาดเลือดครับ ต้องให้ยาเพื่อสลายลิ่มเลือด หลังจากนี้.....จึงค่อยพิจารณาทำการผ่าตัดครับ”
“แต่...ก่อนหน้านี้คุณพีร่างกายแข็งแรงมาตลอดนะคะ” คุณยุวดีเอ่ยค้านเนื่องจากครอบครัวเขาตรวจสุขภาพประจำปีมาตลอดและไม่เคยมีอาการบ่งบอกถึงโรคนี้เลย
“ก่อนหน้านี่ที่ตรวจไม่เจอเพราะไม่มีแสดงอาการ การมาเจอตอนนี้เพราะคุณพีรพลอาจจะมีเรื่องเครียดหนักจนทำให้อาการกำเริบก็ได้ครับ” คุณยุวดีเหลือบสายตามองบุตรชายเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้หมอผู้ตรวจ
“.....” เรื่องเครียด? คีตกาลฟังแล้วใจกระตุกวาบ
เรื่องเครียดของบิดาในระยะนี้....มีเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องที่กำลังคุยอยู่กับมารดาของเขาก่อนอาการจะกำเริบออกมา...เรื่องของเขาและสีหราช....
เพราะเขา...
ที่บิดาเป็นแบบนี้เพราะเขา?
ความเสียใจถาโถมแล่นขึ้นกลั่นเป็นหยาดน้ำอุ่นไหลอาบแก้ม ร่างโปร่งทรุดกายลงบนเก้าอี้หน้าห้องตรวจอย่างอ่อนแรง คุณยุวดีเหลือบมองบุตรชายแล้วซักถามอาการกับหมอต่อ
ร่างโปร่งจมลึกลงในความรู้สึกผิด.... เป็นเพราะเขาที่ทำให้บิดาเป็นแบบนี้? เพราะเรื่องของเขา เขาที่รักกับสีหราช... ลูกชายคนเดียวรักผู้ชายด้วยกันเอง...ลูกชายเพียงคนเดียว...ลูกชายซึ่งเป็นความหวังของครอบครัว ลูกชายที่บิดามารดาคาดหวังไว้ว่าจะมีชีวิตครอบครัวปกติ แต่งงานมีลูก คนแก่ซึ่งหวังจะได้เป็นปู่เป็นย่าของหลานตัวน้อยๆ.... คีตกาลซบหน้าลงกับฝ่ามือ ซ่อนหยาดน้ำตาจากสายตาของมารดา
ใบหน้าซีดขาวของบิดามีหน้ากากออกซิเจนครอบอยู่ หลังมือมีสายน้ำเกลือกำลังให้ยาบางอย่างเพื่อสลายลิ่มเลือด เครื่องmonitor อัตราการเต้นของหัวใจทำให้คีตกาลเจ็บแปลบในใจ
คืนนั้นเขาไม่ได้กลับหอพัก ไม่ได้รับโทรศัพท์หลายสิบสายของสีหราช อิ่มเอมหรือแม้แต่ชายชาญ ทำเพียงกุมมือเย็นเฉียบของบิดาเอาไว้ตลอดคืนด้วยความรู้สึกหนักหน่วงในหัวใจ
คุณพีรพลพ้นขีดอันตรายในเช้าวันที่สามของการนอนสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดในห้องกึ่งICUโรคหัวใจ แล้ว จึงย้ายออกไปห้องพิเศษ คุณยุวดีที่ลางานกำลังเร่งเร้าให้บุตรชายกลับไปเรียนหลังหยุดมาเฝ้าบิดากะทันหัน
“งั้น...เย็นนี้เพลงคงค้างที่หอนะครับ”
“?” สีหน้าเรียบเฉยของบุตรชายทำให้คุณยุวดีผิดสังเกต หลายวันมานี้คีตกาลไม่ร้องไห้ ไม่โวยวายหากก็ไม่ยิ้ม... “ลูกพักเถอะ ทางนี้แม่ดูแลเอง”
“ครับ”
“...พรุ่งนี้พาสิงห์มาด้วยซิ”
“....”
“เพลง?”
“ครับ”
*********
ร่างโปร่งเหลือบมองรอบห้อง ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวยังคงวางอยู่ที่เดิมกระทั่งเสื้อผ้าก็ไม่ได้ถูกหยิบจับ เขาเพียงแค่รอ... นั่งรอสีหราชอยู่บนเตียง ตั้งแต่บ่าย...จนเย็นค่ำ... เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหน้าจอโชว์เบอร์จากตู้สาธารณะหน้าหอ หลายครั้งก่อนจะเงียบไปโดยที่เขาไม่ได้กดรับ ครู่ใหญ่เสียงไขกุญแจจากบานประตูจึงดังขึ้น
“เพลง?” สีหราชเลิกคิ้วแปลกใจ มือใหญ่เลื่อนไปกดสวิตไฟแล้วก้าวไปหาร่างโปร่งบนเตียงอย่างรวดเร็ว ร่างสูงทรุดกายลงนั่งเคียงกันบนเตียง
“สิงห์”
“ทำไมเพลงถึงไม่รับโทรศัพท์ล่ะ? รู้ไหมว่าสิงห์ เอมแล้วก็ชาญเป็นห่วงมาก”
“ขอโทษ พอดีโทรศัพท์เสียน่ะ”
“..... แล้วทำไมถึงขาดเรียน?”
“ก็...อยากลองเป็นเด็กเกเรียนดูบ้าง” เจ้าของริมฝีปากสวยยกยิ้มกว้างอย่างเด็กนิสัยเสีย
“ไม่ใช่สิ่งดีเลย เกเรียนแบบนี้สิงห์จะลงโทษ”
“ฮื่อ ลงโทษ?”
“ใช่ ฐานที่ขาดเรียนและทำให้สิงห์เป็นห่วง”
“จะลงโทษแบบไหนเหรอ?” สายตาวิบวับคล้ายไม่เกรงกลัว คีตกาลยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างท้าทาย ริมฝีปากร้อนผ่าวคู่นั้นทาบทับลงมา บดขยี้ไม่อ่อนโยนหากไม่รุนแรงนัก
“แบบนี้...”
“แล้วยังไงอีก?” เสียงใสเอ่ยถาม มือขาวแตะสาบเสื้อสีขาวอย่างหยอกเย้า ส่งผลให้มือใหญ่ต้องยกขึ้นตะปบเมื่อมือนั้นเริ่มซุกซนเลื้อยลงไปยังหน้าท้องแกร่ง
“เดี๋ยวเถอะ!”
“ไม่กลัวสักหน่อย” ดวงตาคู่สวยพราวระยับ ร่างโปร่งโถมกายขึ้นทาบทับให้คนตัวโตหงายหลังเอนลงไปบนเตียงด้วยไม่ทันตั้งตัว
ริมฝีปากบางแตะแต้มข้างแก้มสาก ขบเม้มซอกคอเจือกลิ่นเหงื่ออ่อนจาง มือขาวเร่งปลดกระดุมเสื้อนักศึกษารวดเร็ว วกจูบริมฝีปากหยักที่เผยอรอรับอย่างเร่าร้อน บดเบียดแลกเปลี่ยนลมหายใจร้อนระอุอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย คลึงเคล้าปลายนิ้วลงบนยอดอกแกร่งให้เสียงทุ้มเล็ดลอกจากลำคอหนาด้วยรัญจวนตีขึ้นเข้ากลางท้องน้อย
มือสากลากไล้แผ่นหลังของคนด้านบนที่จู่โจมเขา รั้งชายเสื้อให้หลุดพ้นขอบกางเกงแล้วไล้ฝ่ามือเข้าแนบผิวเนียนกลางหลัง ลูบไล้ลากปลายนิ้วให้ร่างโปร่งสะท้านกายจนต้องละริมฝีปากออกห่าง
สีหราชจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาระยิบระยับ ริมฝีปากสีแดงช้ำตรงหน้าพาให้ใจสั่นหวั่นไหว เขายืดกายขึ้นจูบคีตกาล รั้งท้ายทอยให้โน้มลงมาจูบเขาอีกครั้ง มือแกร่งข้างหนึ่งเลื่อนกอบกุมสะโพกหนั่นแน่นแล้วบีบเบาๆ คีตกาลผละริมฝีปากออกห่างถลึงตามองเจ้าของมือร้อนให้ฝ่ายนั้นหัวเราะลงคออย่างชอบใจ
คีตกาลรั้งมือใหญ่ให้หลุดจากสะโพกตัวเองแล้วรั้งขึ้น สอดประสานนิ้วมือแนบลงข้างใบหน้าหล่อเหลา กดลงกับฟูกนอนแน่นแล้วจึงค่อยโน้มลงขบเม้มซอกคอคนตัวโต สร้างรอยแสดงเป็นเจ้าของ...บดเบียดสะโพกกระพือความเร่าร้อนให้ลุกโหมจนร้อนระอุไปทั้งห้อง มือขาวเลื่อนปลดกระดุมเสื้อและกางเกงของคนข้างใต้ แหวกสาบเสื้อแล้วแนบริมฝีปากลงบนอกแกร่ง ...หน้าท้องขึ้นลอนสวย นาบความร้อนจากริมฝีปากลงปลุกเร้าให้เจ้าของเสียงทุ้มครางเครือ
ร่างโปร่งยกยิ้มเมื่อคนข้างใต้อยู่ในห้วงความรัญจวนอย่างที่ตั้งใจ มือขาวยกรั้งขาแกร่งขึ้นแนบข้างเอวแล้วโน้มกายลง ความร้อนเร่าเคร่งครัดปวดหนึบจนแทบปลดปล่อย สีหราชที่อ่อนระทวยเพราะความรัญจวนซ่านปรือตาหวานฉ่ำอยู่ใต้ร่างของเขา มือขาวกอบกุมความปวดร้าวเคร่งเบื้องล่างของตัวเองเข้าจ่อเบื้องหลังของสีหราช ก่อนจะกดแทรกลึกร่างหนาพลันพลิกกายรวดเร็ว!
“โอ๊ะ!”
“เพลงจะกอดสิงห์เหรอ?”
“....ใช่”
“....ให้สิงห์เป็นฝ่ายกอดเพลงดีกว่า”
“ไม่เอา!” เสียงใสตวาดกร้าว
“เอ๊ะ?”
“เพลงจะกอดสิงห์!” ท่าทางแข็งขึงอย่างไม่เคยเป็นทำให้สีหราชนิ่งขึ้ง คีตกาลพลิกกายขึ้นคร่อมร่างสูงใหญ่ทันทีที่อีกฝ่ายเผลอ
“เพลง?”
“สิงห์ เป็นของเพลงนะครับ?”
“ดะ เดี๋ยว! เพลงครับ!” สีหราชยกมือขึ้นจับมือขาวที่ลากไล้ลงสีข้างของเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับต่อ
“สิงห์!”
“ครับ?”
“..ให้เพลงกอดเหอะ”
“แต่สิงห์อยากเป็นฝ่ายกอดเพลงมากกว่านี่ครับ”
“ไม่เอา!”
“?”
“....ถ้าสิงห์ไม่ให้เพลงกอดเราเลิกกัน!”
“เพลง!” ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือด สีหราชจ้องมองคนตรงหน้าที่เอ่ยคำว่าเลิกกันออกมาได้อย่างง่ายดายอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“จะให้เพลงกอดหรือจะเลิกกัน?”
“?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สีหราชจ้องมองดวงตาเรียวคู่นั้นเพราะเขาหวังว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยคำล้อเล่นไม่จริงจัง
“เพลงพูดจริง ถ้าสิงห์ไม่ให้เพลงกอด เราเลิกกัน!”
“เพลง....” สีหราชร้องครางเรียกชื่ออีกฝ่าย
อาการนิ่งขึ้งของคนตัวโตทำให้คีตกาลฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ร่างโปร่งผละออกห่างอารมณ์เสียก่อนจะคว้าเสื้อที่ถอดขว้างไว้ข้างเตียงขึ้นมาสวมพลางทำท่าจะเดินออกไป สีหราชผุดลุกขึ้นรวดเร็วเข้ามาสวมกอดร่างโปร่งจากทางด้านหลัง
“ปล่อย!”
“เพลงครับ?” เสียงทุ้มทอดอ่อนเอ่ยเว้าวอนสั่นเครือ
“เพลงไม่อยากเป็นฝ่ายโดนกอด!”
“เพลง....”
“...ถ้าสิงห์คิดอยากให้เพลงกอดเมื่อไหร่ก็ติดต่อมา ถ้าไม่อย่างนั้นก็เลิกกัน!”
“เพลง!”
คีตกาลแกะมือหนาที่กอดรั้งรอบเอวเขาเอาไว้ออก ไหล่สวยตั้งตรง ใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ยอมหันกลับมามองคนด้านหลังแม้เพียงนิด ร่างโปร่งก้าวออกไปจากห้อง...ทิ้งไว้เพียงความตื่นตะลึงและตกใจของสีหราช
.
.
.
หลังจากนั้นสีหราชติดต่อกลับไปหาคีตกาล หากอีกฝ่ายไม่เคยรับสาย ในมหาวิทยาลัยก็หลบเลี่ยงหนีหน้าไม่ให้พบเจอ ไปหาที่บ้านก็มีเพียงสาวใช้มารับหน้า ทั้งคุณพีรพลและคุณยุวดีก็ไม่ได้พบ
เขาถูกคีตกาลทิ้งจริงๆหรือ?
ถูกทิ้งด้วยเหตุผลเพียงเพราะเขาไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายกอด?
ข้าวของเครื่องใช้คีตกาลทิ้งไว้ไม่เอากลับ ไม่พบเจอ ไม่พูดคุย ไม่มีการถามถึง มีเพียงเขาที่ร้อนรนโหยหา มีเพียงสีหราชคนนี้ที่อยากให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ? คีตกาลทิ้งเขาได้ลงคอง่ายดายเพียงนั้น? หรือที่ผ่านมาเป็นเพียงความรู้สึกหวั่นไหวชั่ววูบ? พอเขาไม่ยินยอมให้ในสิ่งที่ต้องการจึงผละห่างทอดทิ้งไม่ใยดี
สีหราชไม่ได้อยากจะยอมแพ้ หากแต่เพราะอีกคนไม่ยอมหันกลับมา... ใบหน้าเนียนใสแย้มยิ้มให้กับบิดามารดาและเพื่อนร่วมคณะ ไม่มีสักนิดที่จะหันมามองทางเขาในวันที่รับปริญญา ชั่วระยะไม่กี่เดือน....คีตกาลลืมเลือนเขาได้หมดใจแล้วหรือ? มีเพียงเขาที่เฝ้าติดตามและทวงถามความรู้สึกเดิมให้กลับมา ร้องเรียกอีกฝ่ายในใจเพราะคีตกาลเอาแต่ปิดใจไม่รับ.. ปิดหูไม่ฟัง ปิดตาไม่มอง
ทุกอย่างจบลงพร้อมรอยร้าวลึกที่กรีดลึกลงกลางใจของสีหราช...
ความอ่อนหวานยามได้แต้มจูบ ความอ่อนโยนเมื่อได้โอบกอด ความห่วงหาตอนกุมมือ เสียงหัวเราะยามได้เคียงข้าง ความสุขล้นทดแทนความว่างเปล่าอ้างว้าง....
ทุกอย่างจดจารลงกลางใจของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เขาเมามาย เขาโศกเศร้าเสียใจเหมือนคนบ้า.... เขาละทิ้งทุกสิ่งอย่าง...
เขาสูญเสียทุกอย่างในโลกนี้ได้...หากไม่อาจเสียคีตกาลไป..
เขาเจ็บ...เจ็บแต่ยังรักอยู่ รักหมดหัวจิตหัวใจดวงนี้...
หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงได้รู้...ว่าความจริงแล้ว ไม่ใช่พวกเขาไม่รักกัน...
โปรดติดตามตอนต่อไป
สวัสดีค่ะ
หายหัวไปนานเลย ขอโทษด้วยนะคะ หลังกลับจาก ตจว. ภารกิจและงานก็รุมเร้าเข้ามาเต็มไปหมดเลยค่ะ
กว่าจะได้แตะคีบอร์ก็ล่วงเข้ากลางเดือนไปแล้ว ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้ค้างคาและรอคอยนะคะ
ตอนต่อไปจะพยายามมาให้เร็วที่สุดเทาที่จะทำได้นะคะ
ปล. งานเรื่องนี้แต่งไปแต่งมา ลักษณะการดำเนินเรื่องไปทาง 'อสงไขย' เลยเพราะตัดบทอดีตกับปัจจุบันสลับกันไป-มา
หวังว่าทุกท่านจะไม่งงนะคะ
ปลล.เช่นเคยค่ะ อ่านให้สนุกนะคะ มีสิ่งใดผิดพลาดบอกกันได้ แนะนำ-ติ-ชมกันได้เสมอค่ะ
ปลล. กำลังบ้าอตีตา พี่เมืองใจ-ท่านศรีอยู่ ใครเป็นเหมือนกันมาคุยกันได้นะคะ
ด้วยรักและคิดถึง