14 เกี่ยวเถอะนะ ‘แม่’ เกี่ยว อย่ามัวชะแง้แลเหลียว เดี๋ยวเคียวจะเกี่ยวก้อยเอ๋ย...???
เมื่อวานไม่น่าเกือบป่วย
ดูดิ
วันนี้เลยมาเกี่ยวข้าวแบบเด๋อๆ ไม่รู้จักใครเลยสักคน
ไอ้แกวก็เกี่ยวข้าวไปยิ้มรับคำคุณป้าที่ชมมันไม่หยุดปาก ว่าทั้งหล่อทั้งแข็งแรงไปตั้งแต่เช้า ไม่สนใจไอ้เอ๋ยหัวเน่าที่ก้มลงจับรวงข้าวมาพอดีมือแล้วใช้เคียวเกี่ยวอย่างทุลักทุเลเลยสักนิด
พวกไอ้หวาน ไอ้เอื้อย ไอ้เซ้งก็เกี่ยวข้าวไปเกี้ยวสาวน้อยสาวใหญ่ไป...
ไอ้เอื้อย...กูจะฟ้องผัวมึง
พายุที่เข้าวันนั้นทำเอารวงข้าวลู่ลงต่ำ ตอนเกี่ยวต้องก้มตัวลงต่ำเอามากๆ เกี่ยวไปไม่ถึงมัดดีก็ปวดเอวหมด ไปเป็นหน่วยแบกข้าวไปตีแทนได้ไหมวะ
“อ้ายมาทำอะไรกันวะ” เสียงงุ้งงิ้งๆ ของไอ้เอื้อยเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองไปทางคันนา เห็นพวกเด็กนิเทศแต่งตัวมาเต็มยศ เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ผ้าโพกหัวมิดเหลือแต่ตา
อะไรมันจะปานนั้นวะ
ช่างมัน ไม่สน...ขี้เกียจมองหน้าไอ้เหี้ยพัชด้วย มองมาอยู่ได้...หาเรื่องชิบ
“น้องแพ เอ๋ยอยากดื่มน้ำครับ” ตะโกนเรียกหาเด็กน้อยที่นั่งเล่นหลบแดดอยู่ใต้ต้นพุทราไม่ห่างจากนาเท่าไหร่ เด็กตัวกลมที่ตอนนี้พุงเริ่มกลมตามเงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งให้ทันที
เอ๋ยเห็นเด็กตัวป้อมวิ่งดุ๊กดิ๊กๆ มาพร้อมขันที่ตักน้ำเย็นใส่น้ำยาอุทัยทิพย์ กำลังจะหัวเรากับท่าวิ่งอยู่ก็พอดีกับที่เด็กน้อยสะดุดพื้นล้มคะมำลง
“น้องแพ!” เอ๋ยหัวใจกระตุกวูบ กลัวเด็กน้อยเจ็บ แต่ขาก้าวไม่ออก เพราะเห็นหลังไวๆ ของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้กว่าก้าวเข้าไปหาเด็กน้อยของเขา
ไอ้พัชมันขี้สอดตั้งแต่เมื่อไหร่
เตรียมก้าวขาขึ้นจากนาบ้าง เดี๋ยวเด็กน้อยร้องไห้แล้วใจจะยิ่งเจ็บ ก็เห็นไอ้ยืนมองเด็กน้อยที่กำลังทำท่าเหมือนสะอึกสะอื้นพยายามลุกขึ้นยืนอยู่
“เด็ก...ล้มแล้วก็ลุกดิ จะเบะปากทำไม ไม่ต้องร้องเลย เดี๋ยวเอ๋ยมันร้องไห้ตาม ชอบให้เอ๋ยร้องไห้หรอวะ”
เดินไปใกล้พอทีจะเห็นมันเอ็ดลูกเขา ไอ้พัช ไอ้คนใจบาป ปากไม่ดีใส่เด็ก
“แพ ไหนดูแผลสิ มีแผลหรือเปล่า?” กระแทกไหล่ใส่ไอ้คนจุ้นก่อนก้มลงปัดฝุ่นให้เด็กน้อย ลูบหัวลูบตัวไม่ให้คนเบะปากร้องไห้ออกมา
“แพคนเก่ง ล้มแค่นี้ไม่ร้องหรอกเนอะ” พยักหน้าเนอะๆๆ กับแพสองสามครั้งก็หันมามองตาขวางใส่ไอ้พัชที่ยืนกอดอกไม่ไปไหนอยู่ข้างหลัง
“มึงโอ๋เด็กมันมากเกินไป”
“กูโอ๋ตรงไหน น้องเจ็บก็ต้องมีปลอบบ้าง ใครเขาจะใจดำอย่างมึง” สวนมันกลับไปเบาๆ เสียงดังเดี๋ยวแพดุอีก
“มึงก็ให้เด็กมันหายร้องไห้เองดีวะ”
“แพยังไม่ได้ร้อง มึงใช้ส้นตีนดูหรอเมื่อกี้” เสียงไอ้เอ๋ยเริ่มดังขึ้นอีก คุยกับไอ้พัชแล้วหงุดหงิดงุ่นง่าน
“ไอ้เอ๋ย มึงเลี้ยงลูกตามใจเกินไป” ไอ้พัชก็เสียงดังขึ้นตามบ้าง
“ก็ลูกกู!!” ทีนี้ไอ้เอ๋ยตะโกนตอกไป
“แพไม่ใช่ลูกมึง!!!” และไอ้พัชที่ตะโกนตอกกลับ...
“...”
“กู...” คนปากพล่อยมองหน้าคนที่ตะโกนอยู่ปาวๆ อยู่ที ก่อนผินหน้าไปมองหน้าเด็กที่กอดขาไอ้เอ๋ยซุกหน้าอยู่ตรงเอว แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“สันดานเสีย” ไอ้เอ๋ยตัวสั่น ดูก็รู้ว่ามันหวั่นไหวเรื่องเด็กมากมายขนาดไหน
“ถ้ามึงจะปากแมวขนาดนี้ก็ไม่ต้องพูดนะพัช ไม่ต้องแสดงให้กูรู้ว่าทั้งใจทั้งปากมึงมันเลวขนาดไหน” ไอ้เอ๋ยเสียงสั่นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนๆ คุณลุงคุณป้าก็เริ่มหยุดกิจกรรมแล้วจ้องดูเหตุการณ์
“กูพูดความจริงเอ๋ย กูสันดานเสีย ปากเสีย แต่กูก็พูดความจริง” ไอ้พัชถอนหายใจอีกเฮือก ก้าวเข้าไปใกล้ ทั้งสองคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“อะไร” ไอ้เอ๋ยกระชากเสียงห้วนอยากจะฉุดน้องให้เดินหนีก็ติดที่ว่าเด็กน้อยเกาะขาแน่นไม่ปล่อยเลย
“เด็ก...เงยหน้าดิ” ไอ้พัชมันนั่งยองๆ ลงคุยกับเด็กตัวป้อม น้องก็ยอมเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามัน เอ๋ยอยากพาเดินหนีอยู่หรอก แต่ก็ยอมยืนดูอยู่เฉยๆ อยากรู้ว่าไอ้พัชจะทำอะไร
“เด็ก...กลับกรุงเทพแล้วไปนอนด้วยกันนะ”
ไอ้พัชมันลูบหัวน้องแพ เด็กน้อยก็พยักหน้าตอบรับ มีไอ้เอ๋ยเนี่ยแหล่ะที่คันปากยิบๆ อย่างอยากเอ่ยท้วงมัน
“จะพาไปโรงพยาบาล”
“!!!”
*****
“เอ๋ย...” แกวเอ่ยปากเรียกเพื่อนตัวเองที่เกี่ยวข้าวไปใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไป หลังจากคุยกับพัชเสร็จก็พักกินข้าวกัน พอกินข้าวเสร็จก็ลงแรงเกี่ยวข้าวต่อโดยมีเด็กนิเทศมาช่วย แต่ไอ้เอ๋ยนี่สิ นิ่งเงียบไปตั้งแต่ตอนนั้น
แกวถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองเพื่อนที่คงไม่ได้ยินตนเรียกทีแล้วหันไปมองพัชที่เกี่ยวข้าวอยู่คนละแปลงที่แกวสังเกตว่าเหลือมองมาหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
“เอ๋ย...”
“จะทำไงดีวะแกว กูไม่อยากให้น้องไปตรวจเลือด กู...กูไม่อยากรู้ว่าน้องแพเป็นลูกใครแล้ว กูรักน้องไปแล้วแกว กูอยู่โดยไม่มีน้องไม่ได้แล้ว” ไอ้เอ๋ยหยุดเกี่ยวข้าวไปเสียดื้อๆ หันตาแดงๆ ที่นับตั้งแต่รู้จักมันมาเกือบ 3 ปีได้ แกวไม่เคยเห็นมันทำท่าจะใจสลายอย่างนี้มาก่อน
“เอ๋ย” ไอ้แกวก็สะท้อนใจ หนักใจแทนเพื่อน ไอ้ครั้นจะปฏิเสธไอ้พัชไป แต่สักวันก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่อาจได้รู้ว่าน้องเป็นลูกไอ้พัชจริงหรือเปล่า
ตัวไอ้พัชน่ะ มันก็อยากมั่นใจ แน่ใจ ไม่รู้ว่ามันมาคิดอะไรได้เอาตอนนี้ แต่เพราะเสียงลือเสียงนินทามันดังไปทั่วเกือบมหาวิทยาลัยแล้วว่าพัชมันเลวขนาดทำหญิงท้องไม่รับผิดชอบ เขาเอาลูกมาปล่อยก็ผลักภาระให้ไอ้เอ๋ยเลี้ยงทั้งๆ ที่ตัวเอ๋ยเองก็ไม่มีจะแดก
จริงๆ คนเรามันก็พูดกันไป...ตื้นลึกหนาบางไม่รู้ แต่เพราะมันสองคนก็เป็นคนดังอยู่ เรื่องสนุกปากแบบนี้ใครจะไม่เอาไปพูดกันล่ะ
“กูว่า...ไอ้พัชแค่อยากจะมั่นใจว่าไม่ใช่ลูกมันจริงๆ”
ไอ้พัชมันบอกว่าจะไปพิสูจน์ดูให้รู้ไปเลย เพราะคณบดีคณะมันบอกจะคุยกับผู้ปกครองถ้าไม่ได้หลักฐานมาว่าไอ้พัชไม่ใช่ลูกมันจริงๆ ไปยื่นให้เขาดู
คณบดีก็ลุงมันนั่นแหล่ะ...
“มันบอกว่าถ้าเป็นลูกมันมันจะเอาไปเลี้ยงเอง” ไอ้เอ๋ยพูดเสียงสั่น นี่แหล่ะประเด็นที่ทำให้กลัว แววตาไอ้พัชตอนนั้น แกวที่ได้เห็นได้ยินด้วยยังคิดว่ามันตั้งใจจริงแน่ๆ ถ้ารู้ว่าน้องแพเป็นลูกน่ะ มันคงเอาไปเลี้ยงเองอย่างที่ปากมันบอกแน่ๆ
“เอ๋ย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนะมึง”
“เออ...กูรู้ โอ๊ย!”
“เอ้าไอ้เอ๋ย!”
แกวร้องเสียงหลง ตาเบิกกว้างมองเลือดที่หยดไหลแหมะๆ จากนิ้วมือเพื่อนอย่างตกใจ ผู้คนที่อยู่ในนาด้วยกันก็มองตามเสียงร้องก่อนจะกรูกันเข้ามาหาคนเจ็บที่เกี่ยวข้าวอยู่ดีๆ ดันเอาเคียวไปเกี่ยวนิ้วตัวเองจนเลือดพุ่ง
“ไอ้เอ๋ย มึงไม่มองเคียวรึไงวะ” ไอ้หวานมาก็ตะโกนเสียงด่า รู้หรอกว่ามันห่วง ด่าไปหน้าซีดมองแผลลึกเหวอะจนเห็นเนื้อเยื่อสีขาวปูดออกมา
“แกว...กู...กู”
“หาผ้ามาปิดแผลมัน ไอ้เอ๋ยมันกลัวเลือด” ไอ้แกวพึ่งคิดขึ้นได้ตอนเห็นเพื่อนหน้าซีดปากสั่น ขามันเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง พอขาอ่อนจะทรุดลงก็พอดีกับมือไอ้คนใจบาปบางคนที่เจ้าตัวเคยด่าวิ่งมาช้อนหลังมันไว้เสียก่อน
มือใหญ่ฉกผ้าจากบ่าไอ้เซ้งที่อ้าปากค้างอยู่มาคลุมหัวคนเจ็บที่นิ่งค้างไปก่อนจะอุ้มไอ้เอ๋ยขึ้นมาอย่างง่ายดายเหมือนว่ามันเป็นปุยนุ่น เดินตรงดิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ตั๊กแตนที่ลุงติ๊กขับมา แล้วหนีบเอาน้องแพที่วิ่งตามไปขึ้นนั่งด้านหน้า ก่อนจะสตาร์ทออกไปแบบรวดเร็ว ไม่พูดพร่ำทำเหี้ยอะไร
คนมองก็มองตามไปก่อนจะมารู้สึกตัวกันเอาตอนที่รถตั๊กแตนเสียงดังแท๊นๆๆ แว่วไปไกลเสียแล้ว
“ไอ้พัชมันไวกว่าคนอยู่ใกล้อย่างพวกเราอีกว่ะ...”
เอาแล้ว...เอาแล้ว...
เรื่องนี้ต้องขยาย...
***************
ทําให้ (ว่าที่) ผัวเมีย ตีกัน คืองานของซอว์ เอิิ๊กกกกกกก
เรื่องของอ้ายเอื้อยมีนะ ไปตามอ่านกันได้นะเค๊อะ