┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 26
“คันนั้นคุ้น ๆ” ภูเมศร้องทักขึ้น ก่อนภาคีจะทันได้หมุนพวงมาลัยเลี้ยวไปอีกทาง “คุณจำได้ไหม ใช่รถเขาหรือเปล่า”
อีกฝ่ายชะเง้อมองตาม ถัดไปด้านหน้ามีรถอีกสี่ห้าคันขวางอยู่ก่อนจะถึงพาหนะที่ถูกกล่าวถึง มองเห็นหลังไว ๆ ขณะรถคันนั้นขยับกำลังจะแซง เมื่อตัวรถเบนออกจากแถว จึงเห็นป้ายทะเบียนแวบหนึ่ง
แต่แค่แวบเดียวก็เพียงพอแล้ว
“รถคุณธเนศจริง ๆ” ภาคีพึมพำ มือที่กำพวงมาลัยชื้นเหงื่อไปหมด รู้สึกไม่ดีขึ้นมาอย่างไรแปลก ๆ
“เป็นเขาขับแน่ใช่ไหม”
“เก่าพอสมควรแล้วแต่เขาชอบ" เขาจ้องตามรถคันนั้นตาไม่กะพริบ "ปกติคันนั้นเขาใช้ขับเองคนเดียว ไม่มีใครอีก”
“ตามไปได้รึเปล่า” ภูเมศเอาแต่ยิงคำถาม
ต่อให้ไม่บอก ภาคีก็คิดไว้ว่าจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว เส้นทางเดิมจึงถูกเปลี่ยนแผนเสียใหม่ จากที่จะพาอีกฝ่ายไปบ้านของธเนศตามที่ได้รับการร้องขอ และเขารับปากจนได้หลังจากทะเลาะกันเสียใหญ่โตจนเลขานุการต้องมาเคาะประตูห้องร้องถามด้วยความเป็นห่วง
ตอนที่เธอเปิดประตูเข้ามาพบ หน้าตาของทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องก็ดูไม่จืดเสียแล้ว สองคนนัยน์ตาแดงก่ำ ขอบตาช้ำบวม ใบหน้าเริ่มเป็นรอยปูด แผลปากแตกยังมีเลือดซึม และเลือดส่วนหนึ่งก็เปรอะเปื้อนเชิ้ตยับยู่ยี่เป็นรอยด่างดวง ข้าวของล้มระเนระนาด ไม่มีทางคิดเป็นอื่นได้นอกจากคนข้างในเพิ่งผ่านการทะเลาะวิวาทกันมาสด ๆ ร้อน ๆ
ทว่าทั้งสองคนต่างยืนยันว่าไม่มีอะไร โดยเฉพาะคำสั่งของเจ้านายอันถือเป็นเด็ดขาด ไล่ให้เธอเลิกงานกลับบ้านไปได้แล้ววันนี้ และอย่าอ้าปากพูดอะไรหากยังรักจะทำงานในตำแหน่งเดิมอยู่
สุดท้ายจึงได้แต่เดินหน้าซีดออกจากห้อง ไม่ปริปากพูดอะไรกับคนอื่นเรื่องนั้นแม้แต่คำเดียว
ส่วนพวกเขาทั้งสอง ตอนนี้มาขับรถตามคนอยู่บนถนน
“คุณบอกเขาอยู่บ้านไง?”
“เขาก็มีมือมีเท้านี่” ภาคีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ อดคิดไม่ได้ว่าถามอะไรโง่ ๆ “คุณลองดูซิว่าคุณธัญญ์อยู่ในรถด้วยหรือเปล่า”
ภูเมศพยายามเพ่งมอง เห็นเงาไหว ๆ คล้ายว่ามีคนนั่งไปด้วย แต่ไม่แน่ใจนัก เมื่อตัวรถสีดำนั้นขยับกลับเข้าไปอยู่ในแถวอีกครั้งหลังจากแซงคันหน้าอีกหน ก็เป็นการยากจะยืนยันว่าในนั้นมีผู้โดยสารนอกจากคนขับจริงหรือไม่ และหากมี คนคนนั้นใช่ธัญญ์หรือเปล่า
ระหว่างการจราจรเคลื่อนตัวไปได้เรื่อย ๆ ไม่ติดขัดนัก พวกเขาติดตามไปห่าง ๆ พยายามไม่เข้าใกล้จนเกินไป กระทั่งมาจอดอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง เห็นว่ารถของธเนศจอดเป็นคันหน้าสุดในแถว ขณะที่พวกเขาอยู่ถัดมาด้านหลังอีกไกลกว่าเก่า
ภูเมศยังไม่ละความพยายามในการชะเง้อมองว่าธเนศเดินทางคนเดียวหรือมีผู้ร่วมทางไปด้วย แต่อยู่ไกลและยังมีรถร่วมถนนกีดขวางลานสายตามากเกินกว่าจะมองเห็น
ระหว่างนั้นมือก็กดต่อสายโทรศัพท์หาธัญญ์ แต่เช่นเคยอย่างที่ได้ลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เลขหมายนั้นไม่สามารถติดต่อได้
“ทางเส้นนี้ไปไหน มีที่ไหนที่เขาชอบไปเป็นประจำหรือเปล่า”
ภาคีนิ่งคิดครู่หนึ่ง จากนั้นโคลงศีรษะ
“แล้วถ้าสมมติเขาพาธัญญ์ไปด้วย คุณเดาได้ไหมว่าเขาจะไปที่ไหน”
“คุณอย่าตื่นตูมนักเลย!” น่าแปลก ถ้อยคำนั้นเหมือนภาคีกำลังบอกตัวเองมากกว่า “เขาอาจจะแค่ออกไปหาอะไรกินก็ได้ ไว้เราตามไปจนถึงก็รู้”
ภูเมศพยักหน้าเห็นด้วย เฝ้ารอตัวเลขบนสัญญาณไฟจราจรนับถอยหลังกระทั่งกลายเป็นเลขหลักเดียว เวลาแค่ไม่กี่วินาทีนั้นทำเขากระวนกระวายจนแทบนั่งไม่ติด
ผู้ขับรถนั่นคงเป็นธเนศจริง ๆ แต่ที่เห็นเงาไหวคล้ายคนโดยสารเพียงแวบหนึ่งนั้นจะใช่ธัญญ์หรือเปล่า
และหากเป็นธัญญ์จริง เขาจะทำอย่างไรต่อ จุดหมายของรถคันนั้นอยู่ที่ไหน หลังจากเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่าน อีกฝ่ายจะยังอยากเห็นหน้าเขาอยู่หรือไม่ ธเนศจะขัดขวางอีกหรือเปล่า
แต่เรื่องพ่อเลี้ยงงี่เง่านั่นย่อมไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ฝ่ายนั้นจะทำอย่างไร ก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น
สัญญาณไฟจราจรนับถอยหลังจนเหลืออีกสามวินาที
อย่างแรกที่อยากจะบอกธัญญ์คือเขาขอโทษ
สาม..อยากมีโอกาสได้พูดจากปากต่อหน้าสักครั้ง ว่าเขารักธัญญ์สุดหัวใจ แม้ได้ลงมือทำร้ายไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จะไม่มีอีกแล้ว ยืนยันเช่นกันเหมือนอย่างธัญญ์บอกเขาผ่านจดหมายซึ่งถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ด้วยชีวิต ด้วยจิตใจ ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี
สอง..หากยอมให้โอกาสอีกหน จะไม่ยอมปล่อยมืออีก จนกว่าความตายจะพราก
หนึ่ง..จนกว่าความตายจะพราก..
รถสีดำคันแรกสุดนั้นพุ่งทะยานไปข้างหน้า ด้วยความเร็วราวกับว่าจุดหมายอยู่ในที่ไกลแสนไกล
นึกว่าจะได้ขับตามไปติด ๆ ทว่ารถคันหน้าพวกเขากลับยังจอดนิ่งคล้ายมองไม่เห็นว่าสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้พักหนึ่งแล้ว เสียงแตรไล่ดังให้ขรม กว่าคนขับจะรู้สถานการณ์แล้วพารถออกตัว
ผู้ได้รับผลกระทบชัดเจนคือสองคนเจ้านายลูกน้องที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่ก็ยังนั่งอยู่ไม่สุข ติดแหง็กอยู่เป็นคันแรกของสี่แยกไฟแดงนั้นทั้งที่ควรจะได้ออกตัวตามธเนศไปตั้งนานแล้ว ได้แต่มองกระทั่งยานยนต์อันเป็นเป้าหมายพุ่งฉิวออกไปจากลานสายตา
ภูเมศพรมนิ้วมือลงบนต้นขาตัวเอง งุ่นง่านบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าความรู้สึกกระวนกระวายใจนี้มาจากไหน
เขาพยักพเยิดไปยังทิศทางที่ธเนศเพิ่งพารถทะยานจากไป
“ปกติเขาขับเร็วขนาดนี้เลยหรือ”
ภาคีส่ายหน้า แทบไม่เสียเวลาคิด “ไม่”
“ทำไมถึงรีบแบบนั้น”
“ไม่รู้”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยดี”
“อืม” หัวหน้าหนุ่มตอบ
เหมือนเป็นหนแรกที่พวกเขาเห็นตรงกันอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง นับแต่เริ่มบทสนทนา ต่อยตี และการเดินทางฉุกละหุกซึ่งยังไม่รู้ที่หมายปลายทางนี้ รอยบวมบนใบหน้าปวดตุบ ๆ แต่ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนั้น สายตาสองคู่จับจ้องอยู่กับตัวเลขที่นับถอยหลังได้ไม่ทันใจเอาเสียเลย
ความเงียบงันโรยตัวอยู่อึดใจหนึ่ง
ภูเมศหักใจไม่พุ่งเข้าไปกระชากภาคีลงจากที่นั่งคนขับแล้วขึ้นนั่งแทน พารถผ่าไฟแดงไปตอนนี้เสียเลย เอ่ยถามขึ้นเบา ๆ ระหว่างรอ
“ทำไมถึงยอมช่วยผมล่ะ”
“ผมไม่ได้ช่วยคุณ แต่ช่วยคุณธัญญ์”
เขาหันไปทางคนพูด เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ
“ช่วย..ในส่วนที่ผมทำอะไรไม่ได้” ฝ่ายนั้นว่า พลางเบือนหน้าไปทางอื่นคล้ายละอายใจ “ผมเลือกคนไม่เก่งเท่าคุณธัญญ์ แต่เขาคงมีเหตุผลที่เลือกคุณ”
ภูเมศชะงักไป
เหตุผลที่ธัญญ์เลือกเขานั้น ตอนนี้รู้ดีแก่ใจแล้ว ความโชคดีของตัวเองที่ถูกคนคนนั้นรัก สิ่งละอันพันละน้อยที่ธัญญ์ทำให้เขาตลอดมา ทั้งที่ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีค่าพอให้ได้รับความรักขนาดนี้หรือเปล่า ได้แต่หวังว่าคงไม่สายเกินจะไขว่คว้าสิ่งที่ทำหลุดมือไปกลับมาอีกครั้ง
“บางทีเขาอาจเลือกผิด..”
“งั้นคุณก็มีหน้าที่พิสูจน์ว่าเขาเลือกถูกแล้ว”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก
จวบจนสัญญานไฟจราจรเปลี่ยนสีอีกหน
ในเวลาเดียวกันนั้น ของแข็งปะทะกันก่อเสียงกัมปนาทบาดหู แรงกระแทกรุนแรงส่งมาถึงตัวห้องโดยสาร สองร่างในนั้นแม้จะคาดเข็มขัดนิรภัยก็ยังถูกเขย่าจนเหมือนเป็นตุ๊กตายัดนุ่นตัวเล็ก ๆ ในกล่องกระดาษซึ่งถูกปาอัดกำแพง
ราวกั้นปูนเตี้ย ๆ ที่ขวางอยู่หักพังลง ชะลอความเร็วของพาหนะที่พุ่งเข้ากระแทกได้บ้าง แต่ไม่เพียงพอจะหยุดมันไม่ให้ไถลหลุดเลยไปไกลกว่านั้นได้
ชั่วขณะแสนสั้นที่รถเหินออกไปกลางอากาศ ธัญญ์รู้สึกราวกับกำลังโผบิน เหมือนเงาของมือที่ทำเป็นรูปนกซึ่งทอดบนผนังห้องเมื่อวัยเยาว์ ในคืนที่เขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงเป็นครั้งแรก
รถหน้าทิ่มลง แรงกระแทกรุนแรงจนทั้งร่างเหมือนถูกจับเขย่ากลับมาอีกครั้งเมื่อตัวรถปะทะเข้ากับผิวน้ำ
ครู่ใหญ่ กว่าแรงสั่นสะเทือนจะเบาบางลง พร้อมกับที่ด้านหน้าของรถค่อย ๆ จมลงไป
กระจกหน้าเป็นซึ่งเป็นรอยปริร้าวอยู่ตั้งแต่ชนราวกั้นครั้งแรก บัดนี้ขยายวงกว้างออกคล้ายใยแมงมุม ถักทอเส้นใยซับซ้อนของมันล้อมรอบตัวพวกเขาไว้ ส่วนกระจกด้านข้างทั้งสองฝั่งถูกบังคับให้เลื่อนลงมาเล็กน้อย
น้ำค่อย ๆ ไหลทะลักเข้ามาจากทางนั้น
เขาหลุบตาลงมองข้อมือตัวเอง ปมเชือกสีแดงสดพันธนาการพวกเขาไว้แน่นหนา เส้นเชือกกดลงบนข้อมือจนเริ่มเป็นรอยแดง บางจุดถูกบาดจนเลือดซึม คงจากตอนที่เหวี่ยงไปมาหลังจากรถโดนกระแทก
ยิ่งมัดติดกันไว้ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งดิ้นรนจะยิ่งกดลึกลงในผิว แบบเดียวกับที่พวกเขาเคยทำมาทั้งชีวิต ไม่ใช่แค่เส้นเชือก แต่เป็นความสัมพันธ์ทั้งดีและร้าย..
ไม่ใช่แค่ข้อมือ แต่เป็นทั้งชีวิต
ครั้นเงยขึ้นมองหน้าธเนศ ฝ่ายนั้นยิ้มอ่อนโยนกลับมาทั้งน้ำตาคลอหน่วย
ทั้งที่คิดไว้ว่าเป็นแบบนี้ดีแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงเจ็บปวดนัก
“ผมเกลียดคุณ” เขาเอ่ย ขอบตาร้อนผ่าว
“ฉันรู้”
“...เกลียด...”
“ถูกแล้ว” ธเนศว่า กุมมือเขาไว้หลวม ๆ ก่อนเขาจะกระตุกหนีด้วยความเคยชิน จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ตะโกนใส่เสียงเกรี้ยวกราด
“ผมเกลียดคุณ! เกลียด! คุณได้ยินไหม!?”
คนฟังเพียงแต่พยักหน้าสองสามหน รอยยิ้มเจือความโศกเศร้ากว่าครั้งใดที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต คล้ายว่าหน้ากากที่พวกเขาต่างสวมเข้าหากันกำลังพังทลายลง พร้อมกับที่ระดับน้ำรอบตัวค่อย ๆ สูงขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงซึ่งถูกซุกซ่อนไว้นานนับปี
“ดีแล้ว...” ฝ่ายนั้นว่าเสียงเครือ “เธอตะโกนได้ ร้องไห้ได้ แสดงอารมณ์ได้อย่างมนุษย์คนหนึ่งพึงเป็น โกรธก็ตะโกน เสียใจก็ร้องไห้ ดีกว่าตอนเธอเอาแต่ยิ้มหมดจดไร้ที่ติแต่เหมือนเป็นตุ๊กตาไม่มีหัวใจ”
“ของแบบนั้นมันไม่มีเหลืออีกแล้ว!” ธัญญ์ตะเบ็งจนสุดปอด “มันแหลกเละไปนานแล้วไม่ใช่หรือไง!”
รู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มต้นร้องไห้ แต่สุดท้ายได้ร้องออกมาจริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจอีกแล้ว
ทั้งร่างถูกโอบกอดด้วยมวลน้ำแน่นหนักท่วมขึ้นมาจนถึงอก คืบคลานสูงขึ้น...สูงขึ้น....นำความเย็นเยียบห่อหุ้มจนเหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก
ระดับน้ำแตะปลายคาง...ไล้อ่อนโยนบนริมฝีปากที่กำลังหอบ
“ฉันขอโทษที่ทำลายเธอ ผิดต่อเธอ ผิดต่อพ่อของเธอ ไม่เคยรักษาอะไรไว้ได้เลย”
ทั้งร่างเย็นเฉียบ
“แต่เธอยังมีมันอยู่ไม่ใช่หรือ?”
ธเนศยืดตัวขึ้น สำลักน้ำเข้าไปขณะพยายามพูดต่อให้จบทั้งใบหน้าชุ่มโชก
“..หัวใจน่ะ..”
ปลายนิ้วฝ่ายนั้น แตะแผ่วเบาที่กลางอกเขา เหนือต่อสิ่งที่ยังเต้นตุบ ตุบ อยู่ข้างในอย่างบ้าคลั่ง
ธเนศเอาแต่ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่คล้ายเจ้าตัวกำลังจะแหลกสลาย คงเหลือเพียงแววตาที่ทอดแววอ่อนโยนทว่ามั่นคง จนราวกับว่ามันจะคงอยู่เช่นนั้นตลอดไป ต่อให้ลมหายใจจะถูกพรากจากร่างกายในอีกไม่ช้า
กระทั่งผิวน้ำสูงพ้นเปลือกตา...สูงขึ้นไปจนทั้งศีรษะพวกเขาจมอยู่ใต้น้ำ
ในหูอื้ออึงไปหมด ไม่เข้าใจที่พูดสักนิด และทั้งที่อยากร้องไห้ออกมา แต่ก็ไม่รู้อีกแล้วว่ายังมีน้ำตาให้ไหลอีกหรือไม่ รู้แค่เจ็บ...ข้างในนั้น เจ็บจนเหมือนมันจะระเบิดออกมาแล้วตายไปทั้งอย่างนี้
ต่อให้หัวใจนั่นยังมีอยู่จริง แต่มีแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ในเมื่อทุกอย่างพังภินท์ลงสิ้นแล้ว
เหนื่อยมากแล้ว หายไปจากโลกนี้เสียได้ก็ดี
ทว่าส่วนลึกสุดในความคิดเฝ้ากู่ร้องทั้งที่ไม่มีเสียง ถ้อยคำที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ยออกมาสักครั้ง
กลัวกลัวมาตลอด
เวลานี้ คนที่คิดถึงที่สุด กลับเป็นคนที่เพิ่งออกปากไล่เขาด้วยตัวเอง
อยากบอกกับคนคนนั้น ว่าเขากลัว ช่วยจับมือไว้แน่น ๆ ได้หรือเปล่า ช่วยกอดไว้แน่น ๆ ได้ไหม อย่าทิ้งเขาไป อย่าจากไปไหน อย่าขับไล่ไสส่ง เขาทนอยู่กับความหวาดกลัวเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
อึดอัด หายใจไม่ออก
ไม่เอา...ไม่อยากตาย
อยากมีชีวิต อยากอยู่กับคุณ อยากใช้ชีวิตจนแก่ไปกับคุณ รอดูลูกชายคุณโตเป็นหนุ่ม อยากรู้ว่าเขาจะหน้าเหมือนคุณตอนนี้จริงหรือเปล่า อยากรู้ว่ารอยตรงหว่างคิ้วหรือหางตาตอนคุณอายุมากกว่านี้จะเป็นอย่างไร อยากรู้ว่ามือคู่นั้นจะยังโอบกอดตัวเองไว้ในคืนที่ฝนตกฟ้าร้องได้อ่อนโยนเหมือนเดิมไหม อยากฟังเสียงคุณไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหลับในทุกค่ำคืน
อยากได้ยินกับหู อยากเห็นทั้งหมดนั้นด้วยตา อยากสัมผัสผิวหนังอุ่น ๆ ด้วยมือตัวเอง
ช่วยด้วย
ผมกลัว
อย่าทิ้งผมไป...
ในอกแทนที่จะระเบิดอย่างคิด กลับกลายเป็นถูกบีบรัดจนทรมาน ร่างเขากระตุกเฮือก แรงกระเสือกกระสนจนแทบถึงที่สุดดันกลุ่มฟองอากาศหลุดจากปากที่อ้าออก
ฟองเล็ก ๆ เหล่านั้นลอยขึ้นคล้ายมีชีวิตเป็นของตัวเอง สูงขึ้นไปเกินไขว่คว้าด้วยมือที่ยังถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกซึ่งเขาและธเนศต่างผูกมัดกันและกัน จากนั้นอันตรธานไปเงียบเชียบในแสงสว่างเบื้องบน
เสี้ยววินาทีก่อนการรับรู้จะปลิวหายไปกับฟองอากาศ ก่อนแสงสุดท้ายจะดับสิ้น เขาคล้ายเห็นภาพหลอน
ท่ามกลางภาพอดีตน่าสะอิดสะเอียนเหมือนฝันร้ายที่ไม่ว่าจะข่มตาหลับแล้วลืมตาตื่นสักกี่หนก็ยังคงอยู่ กลับมีใบหน้าของคนที่ตัวเองรักสุดหัวใจปรากฏขึ้น
ช่วยผมด้วย...
เขาอ้าปาก ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เชือกสีแดงบนข้อมือกระตุกรุนแรง
ไม่มีเสียงตอบ
เหมือนอย่างเคยเป็นตลอดมาทั้งชีวิต ต่อให้ตะโกน กรีดร้อง ก็ไม่เคยมีคำตอบรับจากที่ไหนทั้งนั้น
ตัวเขาที่เกลือกกลั้วกับความโสมม กระทั่งตนเองยังรังเกียจทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นร่างกายและลมหายใจนี้ อาจไม่เหลือความหมายใดให้มีชีวิตอีก
ทั้งอย่างนั้นก็ยังกลัว.. ทั้งอย่างนั้น...ลึก ๆ อาจยังคาดหวังว่าจะมีใครสักคนฉุดรั้งเขาขึ้นมาจากโคลนตม
คุณจะยังกอดผมที่เป็นแบบนี้ได้หรือเปล่า ทว่าไร้สรรพสำเนียงใดแว่วมาถึงหู
คนคนนั้นคงไม่ต้องการเขาอีกแล้ว
อุบัติเหตุข้างหน้าทำให้ภาคีต้องชะลอความเร็วรถลง
ราวกั้นข้าง ๆ แหลกจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ เลื่อนสายตาเลยออกไป รถคันหนึ่งซึ่งคงเพิ่งพุ่งชนมันอย่างรุนแรงกำลังจมลงไปในน้ำ
รถคันนั้นที่แสนคุ้นตา...รถของธเนศ...กำลังจมลงไปในน้ำ
เขาเบิกตากว้าง รีบพารถเข้าจอดข้างทาง ภูเมศเปิดประตูกระโจนลงไปตั้งแต่ล้อยังไม่ทันนิ่งสนิท
สิ่งที่เขาหวาดกลัว จุดหมายเลวร้ายที่สุดของสองคนนั้นเท่าที่เขาจะนึกออก ถูกยืนยันด้วยเสียงร้องโหยหวนของคนที่ถลาลงไปเห็นภาพเบื้องหน้าก่อนแล้ว
“ธัญญ์!”
ก่อนเจ้าตัวจะกระโดดตามลงน้ำไปอย่างไม่คิดชีวิต
อุบัติเหตุนี้ อาจเป็นที่กล่าวถึงของคนในละแวกไปอีกสองสามวัน และตกเป็นข่าวต่อไปอีกสักสัปดาห์ จนกว่าผู้คนจะหันไปสนใจเรื่องใหม่ ๆ และค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องที่เพิ่งเกิด
รถเก๋งสีดำคันนั้น พุ่งมาด้วยความเร็วสูง เมื่อผ่านจุดที่เป็นสะพานข้ามคลองลึก จู่ ๆ ก็พุ่งชนเข้ากับรั้วกั้นด้านข้างจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
รถทะยานออกไปตกลงกลางน้ำ ก่อนจะค่อย ๆ จมลง ผู้สัญจรไปมาแถวนั้นเห็นเหตุการณ์ รีบโทรศัพท์แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
ระหว่างนั้น ขณะผู้คนรี ๆ รอ ๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อดีกับรถซึ่งกำลังจมน้ำ รถอีกคันก็หักเข้ามาหาที่จอดริมทางอย่างกะทันหัน
ผู้ชายคนหนึ่งกระโจนลงมาจากที่นั่งโดยสารข้างคนขับ และเมื่อชายคนนั้นมองลงไปยังรถที่เกิดอุบัติเหตุ คงเห็นว่ามีคนรู้จักของตัวเองติดอยู่ข้างใน จึงได้ส่งเสียงร้องตะโกนออกมา พุ่งตัวตามลงไปในน้ำโดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้คนในบริเวณนั้นซึ่งเป็นห่วงความปลอดภัย ดำผุดดำว่ายไม่คิดชีวิตจนไปถึงตัวรถซึ่งตอนนั้นจมลงไปเกือบถึงหลังคาแล้ว
ตามด้วยชายหนุ่มผิวเข้มอีกคนที่วิ่งตามลงมาจากรถคันเดิม เขาถอดรองเท้า ปลดเนคไท จากนั้นกระโจนลงน้ำตามไปอีกคน
ทั้งสองคนผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่พักหนึ่ง จึงเห็นว่าชายคนแรกที่โดดน้ำลงไปก่อน กำลังลอยคอทุลักทุเลอยู่ข้างตัวรถ แบกร่างชายหนุ่มอีกคนโผล่พ้นขึ้นจากน้ำ พยายามผลักให้ร่างนั้นขึ้นไปอยู่บนหลังคารถ แต่ดูเหมือนผู้ถูกช่วยจะยังไม่ได้สติ
เขาเฝ้าอยู่เช่นนั้น กระทั่งทีมกู้ชีพ รถพยาบาล และตำรวจมาถึง ตามที่ได้รับแจ้งเหตุ
ห่วงยางและเสื้อชูชีพจึงถูกโยนลงไปให้ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ซึ่งกระโจนตามลงไป
ผู้ชายคนนั้นคว้าเสื้อชูชีพไว้เป็นอย่างแรก แต่ไม่ได้นำมาใส่หรือกอดไว้กับตัว กลับรีบสวมให้คนที่ตัวเองเพิ่งฉุดขึ้นมา จากนั้นผูกเอวชายหนุ่มที่นอนแน่นิ่งไว้กับเชือกซึ่งถูกทอดมาจากฝั่ง เตรียมให้คนบนนั้นช่วยดึงขึ้นไป
คนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์โห่ร้องด้วยความยินดี แต่สีหน้าผู้กล้าคนนั้นกลับไม่สู้ดีนัก
แม้มองจากระยะไกล ยังเห็นได้ชัดว่าทั้งซีดเผือด และเหนื่อยล้า
ชั่วพริบตา เจ้าของใบหน้านั้นค่อย ๆ จมลง
กระทั่งแม้แต่ศีรษะก็มิดหายลงไปใต้น้ำ
หลังการช่วยเหลือเสร็จสิ้น ผู้เห็นเหตุการณ์ในบริเวณนั้นทราบแต่เพียงว่าเจ้าหน้าที่สามารถพาร่างของผู้ชายทั้งสี่คนขึ้นจากน้ำมาได้ทั้งหมด
แต่คนที่ยังเหลือสติพูดคุยรู้เรื่อง มีเพียงชายหนุ่มผิวเข้มที่ร้องเรียกซ้ำ ๆ ว่า
‘คุณธเนศ’ บ้างก็
‘พ่อ’ สลับกับ
‘คุณธัญญ์’ ด้วยเสียงร้อนรนทั้งน้ำตานองหน้า เนื้อตัวเปียกปอน
เชือกสีแดงผูกอยู่บนข้อมือของชายที่ไม่ได้สติทั้งสองซึ่งติดอยู่ในรถ ของคนหนึ่งผูกอยู่ที่ข้อมือซ้าย อีกคนอยู่ที่ข้อมือขวา เชือกทั้งสองเส้นนั้นไม่ต่อกัน สร้างความงุนงงให้กับผู้คนอยู่ไม่น้อย เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดสองคนนั้นจึงผูกเชือกเส้นโตคนละเส้นไว้บนข้อมือคนละข้าง
คนนอกที่มาเห็นเอาตอนนี้ ย่อมไม่รู้ว่าเชือกนั้นถูกตัดออก ด้วยฝีมือของใครบางคน และไม่รู้ด้วยเช่นกัน ว่ามันถูกผูกขึ้นแต่แรก โดยเชื่อมโยงระหว่างข้อมือของชายต่างวัยทั้งคู่
พวกเขาทราบแต่เพียงมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์แน่นอน แต่เพราะผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกกันออกไปขณะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและลำเลียงผู้ประสบเหตุ จึงไม่ทราบว่าใครเป็นใครบ้าง
อีกไม่นานนัก แม้อาจคงเหลือความเวทนาสงสารติดค้างอยู่ในใจบ้าง แต่ซากรถจะถูกกู้ขึ้นมา ราวปูนกั้นสะพานจะถูกซ่อมแซม และเรื่องราวของคนไม่รู้จักเหล่านี้ก็คงถูกหลงลืมไปในที่สุด
เขารู้สึกตัวขึ้นด้วยความรู้สึกแสบคอ แสบจมูก ทั้งหน้าและเนื้อตัวร้าวระบมไปหมด
เมื่อพยายามเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง พบว่าภาพที่เห็นพร่ามัวจนต้องเพ่งให้ดีอีกหน
เห็นผู้คนในชุดขาวทะมัดทะแมงชะโงกหน้าเข้ามา ใครบางคนส่งเสียงร้องว่า “ฟื้นแล้ว ดูตื่นดี”
เขากะพริบตาถี่ ๆ
หูได้ยินเสียงพูดคุยที่ฟังไม่เข้าใจ
“พัลส์(Pulse) เป็นไง”
“ฟูลค่ะ” อีกคนตอบ “BP 100/70, heart rate 64”
หน้ากากออกซิเจนครอบลงมาบนหน้า เขาถูกเรียกให้ถามตอบอยู่สองสามคำถาม และได้รับคำสั่งง่าย ๆ ให้ทำตามเป็นการทดสอบ อย่างเช่นยกแขนซ้าย
เขาพยักหน้าเชื่องช้า ทำตามเท่าที่พอจะฟังรู้เรื่อง เจ็บแปลบน้อย ๆ ตรงแขนเมื่อถูกเข็มเล็ก ๆ แทงเข้าไปเพื่อเปิดเส้นเลือดดำต่อเข้ากับสายน้ำเกลือ แล้วถูกนำส่งขึ้นรถพยาบาล
“ไม่เป็นไรแล้ว” ได้ยินเสียงปลอบ ไม่รู้ว่าเป็นของใคร “..แต่คนนั้นไม่รอด น่าสงสาร”
ใครไม่รอด?
เขาไม่มีเสียง และหมดสิ้นเรี่ยวแรงจะถาม
To be continued...มาต่อแล้วค่ะ งวดนี้สั้นนิดนึง เดี๋ยวมาชดใช้ด้วยการอัปเร็ว ๆ แทนนะคะ
เขียนตอนนี้แบบสลับไปสลับมาหนักมาก กลัวอยู่เหมือนกันว่าอ่านแล้วจะงงว่าใครเป็นใคร ถ้าไม่รู้เรื่องยังไง จะทิ้งคำถามไว้ก็ได้นะคะ TwT
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ คนอ่านทุกคนเข้มแข็งกันมากเลย ขอบคุณมากจริง ๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ที่พิมพ์ให้ด้วยค่ะ หลายอันเราชอบในความเห็นมาก ๆ จนแคปเก็บไว้อ่านซ้ำไปซ้ำมาเลยค่ะ
พบกันงวดหน้านะคะ