┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 24
อยากจะบอกว่าไม่ได้โกหก
ธัญญ์อ้าปาก แต่กลับพบว่าไม่มีเสียงหลุดออกมา ครั้นยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าได้ขยับพูดอะไรไปจริงหรือไม่ มือก็ยังสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม
เขาเงยหน้ามองอีกฝ่าย สิ่งแรกที่เห็นคือร่องรอยความผิดหวังในแววตา ชัดเจนจนไม่อาจทำเป็นมองผ่านไปได้
คนคนนี้รู้อะไรแค่ไหนแล้ว ธเนศพูดอะไรกับภูเมศไปบ้างช่วงที่เขาไม่ได้อยู่ด้วย
หวาดกลัวเกินกว่าจะกล้าเอ่ยถามได้อีก
เพราะรู้แล้วหรือเปล่า..จึงได้มีท่าทางผิดหวังเช่นนี้
ฝันร้ายที่หลอกหลอนเขามากว่าสิบปี ทั้งที่พยายามทำเป็นลืมมันไปเสีย ไม่อยากนึกถึงอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่สามารถปฏิเสธตัวตนของตัวเองในอดีตได้
....ถ้าคนอื่นรู้....ถ้าเขารู้....ถ้าคนคนนี้รู้...
สกปรก
“..ไม่ได้โกหก..” เขาพยายามพูดอีกหน เสียงแหบพร่า
สกปรก...เขารู้
“...ผมเป็นลูกชายเขา..”
ธัญญ์กระซิบ แต่ยิ่งเอ่ยยืนยัน กลับยิ่งตอกย้ำความจริงที่ธเนศพร่ำบอกว่าเขายินดีให้เป็นเช่นนั้นเอง มีความสัมพันธ์น่าขยะแขยงกับพ่อบุญธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งหมดล้วนเป็นความต้องการของเขา..
“...เรื่องนี้ไม่ได้โกหก..”
ทว่าภูเมศกลับโคลงศีรษะ หัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าอัดอั้นราวกับทำนบที่กำลังจะถูกน้ำซัดพังทลาย ครู่หนึ่งหยดน้ำที่เอ่อคลอในดวงตาก็หยดลงมาอาบแก้ม ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งถูกทำลายย่อยยับไปแล้วครั้งหนึ่งไม่สามารถสร้างใหม่ได้โดยง่าย ยิ่งอธิบายกลับยิ่งกลายเป็นแค่คำแก้ตัว
ธัญญ์เม้มปาก ขอบตาร้อนผ่าว กล้ำกลืนกลุ่มก้อนความสะอิดสะเอียนลงไปในลำคอ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องในอดีตก็อยากจะทำลายทุกอย่างรอบตัวทิ้งไปให้หมด ทว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยากทำลายลงให้สิ้นซากจริง ๆ อาจเป็นตัวเองต่างหาก
คิดมาแต่แรกแล้ว ว่าหากวันใดวันหนึ่งถูกล่วงรู้ความจริงเข้า ไม่ว่าใครคงรังเกียจ
ไม่อยากให้รู้ว่าเคยมีความสัมพันธ์เช่นนั้นกันมาก่อน ความสัมพันธ์สกปรกโสโครกจนอยากจะตาย ๆ ให้พ้นไปเสีย หากยอมรับว่าเป็นพ่อบุญธรรม อีกฝ่ายคงล่วงรู้ได้ไม่ยาก จึงไม่อยากพูดถึงมากไปกว่านี้
แต่ทั้งที่สกปรกอย่างนั้น ก็ยังอยากถูกคนคนนี้กอด
คิดโง่ ๆ ว่าตราบใดที่ไม่เอ่ยปาก ก็จะสามารถอยู่ในอ้อมกอดนั้นได้ตลอดไป
“รู้ไหมธัญญ์” ภูเมศค่อย ๆ เริ่มพูดทั้งใบหน้าแดงก่ำ บางช่วงบางตอนฟังตะกุกตะกักเพราะคนพูดต้องหยุดพักเพื่อสงบสติอารมณ์ “...ฉันคิดเรื่องของเธอมาตลอด ตั้งแต่เราเจอกันจนถึงตอนนี้ ไม่อยากเซ้าซี้ให้เธอลำบากใจ แต่ก็อยากใกล้ชิดให้มากขึ้น อยากรู้ว่าเธอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร บ้านอยู่ที่ไหน มีพี่น้องหรือเปล่า จะอยากแนะนำครอบครัวตัวเองให้ฉันรู้จักบ้างไหม มีสถานที่ที่ชอบไปหรือเปล่า เพื่อนสนิทของเธอ หรือตอนเด็กเป็นยังไง สมัยเรียนมหา’ลัยสนุกหรือเปล่า แต่เธอไม่เคยบอกให้ฉันรู้เลยสักอย่าง...ฉันเฝ้ารอมาตลอด แต่เธอไม่เคยพูดเลย เหมือนฉันไม่เคยมีความสำคัญพอจะได้รับรู้ด้านอื่น ๆ ของเธอเลย”
“ผมเพียงแต่—”
“ทุกดูจะรู้จักเธอมากกว่าฉันทั้งนั้น บางทีในสายตาเธอ ฉันอาจเป็นผู้ชายโง่ ๆ ที่ไม่มีค่าอะไร เป็นผู้ชายลูกติดที่เล่นตลกให้เธอดูไปวัน ๆ แบบนั้นสนุกงั้นหรือ?”
เขาส่ายหน้า “..ไม่ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วเพราะอะไรกัน!?”
ธัญญ์โคลงศีรษะ ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด อีกฝ่ายก็ร้องถามด้วยความอัดอั้น เสียงดังจนเกือบกลายเป็นตะคอก
“ที่ทำอยู่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะจะปั่นหัวกัน งั้นเพราะอะไรล่ะ!?”
“เพราะว่าผม...รักคุณ” สิ้นหวังจนไม่รู้จะเรียบเรียงถ้อยคำใดออกมาให้ชัดเจนได้มากกว่านี้แล้ว “ทั้งหมดเพราะผมรักคุณจริง ๆ”
ภูเมศชะงักไปอึดใจ ทำหน้าเหมือนอยากสะอื้นออกมา สุดท้ายกัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน เบือนสายตาไปทางอื่นราวกับไม่อยากมองหน้ากันอีกแล้ว แม้แต่ตอนที่เขายืนยันอีกหน
“เรื่องนี้ก็ไม่เคยโกหกเหมือนกัน!”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงทำกับฉันกับลูกอย่างนี้!?”
เสียงตะโกนกลับมาดังยิ่งกว่า ธัญญ์สะดุ้งจนตัวโยน
“เรื่องที่ฉันต้องย้ายงาน ก็ฝีมือเธอด้วยไม่ใช่รึไง!?”
“...ผม...”
ในหูอื้ออึงไปหมด เขากัดปากตัวเองจนได้กลิ่นคาวเลือด
ธัญญ์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมอกเสื้อ สูดลมหายใจเข้าลึก รออยู่นานให้ฝ่ายนั้นหันกลับมาอีกหน สบตาตรง ๆ อย่างคนจนตรอก
“เป็นผมเอง”
เหมือนอย่างเคยธเนศว่าไว้
“อย่างที่คุณได้ยิน...ในไฟล์เสียงนั่น..”
เขาจะทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน
ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หนก็จะเป็นเช่นนี้เสมอ คนรอบตัวล้วนต้องเจอเรื่องแย่ ๆ เพราะเขาและถอยห่างออกไปในที่สุด เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก ทำไมถึงหลงคิดไปได้ว่ามันจะไม่จบแบบเดิม
ทุกครั้งที่ผิดหวังล้มลง คล้ายว่าชิ้นส่วนบางอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นจิตใจยิ่งผุกร่อนลงกว่าเก่า ค่อย ๆ ทรุดลงทีละน้อยโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“แต่ผมไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้”
“แล้วอยากให้เป็นแบบไหน?” ภูเมศถามน้ำเสียงอ่อนล้า คล้ายเรี่ยวแรงเหือดหายไปหมดแล้ว “ปกติเธอชอบให้ของเล่นของตัวเองเป็นแบบไหนก่อนจะทิ้งไปล่ะ?”
เขาอ้าปากจะค้าน ทว่าอีกฝ่ายชิงยกมือขึ้นปิดปากเขาเสียก่อน โคลงศีรษะช้า ๆ
“ดึกแล้ว” ภูเมศตัดบท “ฉันอยากพักผ่อน”
เขาดึงมือคนตรงหน้าออก “งั้นผมก็จะไปด้วย”
“คนเดียว” อีกฝ่ายว่า “เธอเองก็น่าจะไปพักผ่อนบ้างเหมือนกัน”
“แค่นอนเท่านั้น” เขาทำท่าจะเดินตามหลังคนที่นำออกไปก่อนแล้ว “ไม่ทำอย่างอื่น”
ภูเมศชะงักฝีเท้า หันกลับมาสรุปแบบไม่เปิดโอกาสให้ต่อรองอีก
“ฉันขอโทษที่อารมณ์เสียกับเธอ แต่คืนนี้เธอนอนห้องตัวเองเถอะนะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“เจ้าภูมิก็โตแล้ว พอจะดูแลตัวเองได้” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามเขา พูดต่อโดยไม่หันกลับมามอง “อีกอย่างใกล้หมดเดือนพอดี ไว้เราค่อยมาคุยเรื่องสัญญาว่าจ้างพี่เลี้ยงกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างกลับสู่สภาพเกือบปกติ
ธัญญ์ตื่นขึ้นมาเตรียมมื้อเช้าให้สองพ่อลูก ภูมิเมศอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนอีก บรรยากาศราบรื่นเฉกเช่นทุกวันที่ผ่าน เว้นแต่ผู้ใหญ่สองคนที่ดูขอบตาจะช้ำอยู่น้อย ๆ แต่หากไม่สังเกตดี ๆ คงไม่เห็น พร้อมภูมิจึงได้ไม่เอ่ยปากทักเรื่องนั้นสักคำ
ผ่านไปอีกสองวัน สามชีวิตร่วมชายคาก็ยังเป็นปกติสุขดี แม้จะแยกห้องกันนอนตั้งแต่วันนั้น แต่พร้อมภูมิที่นอนก่อน ตื่นทีหลังยังไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงไม่ได้นึกเอะใจอะไร
และเช่นเคย ผู้ใหญ่ทั้งสองคน ไม่มีใครเอ่ยเรื่องราวอันเป็นสาเหตุออกมาอีก ต่อให้รู้แก่ใจถึงสุดปลายทางที่สักวันจะต้องมาถึง
กระทั่งเช้าวันที่พร้อมภูมิต้องไปเข้าค่ายทัศนศึกษากับทางโรงเรียน เป็นเวลาสามวันสองคืน
ภูเมศขับรถไปส่งลูกชายที่โรงเรียนด้วยตัวเอง พร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หนึ่งใบ มีธัญญ์มาด้วยอีกคนทั้งที่เจ้าตัวตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เพราะทนลูกตื๊อของเด็กชายไม่ไหว ไม่ว่าอยากไรก็อยากให้พี่ธัญญ์มาส่งด้วยอีกคน
หลังจากมองหน้าเขาเป็นเชิงขออนุญาต จนสุดท้ายเขาพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง ธัญญ์ก็ก้าวขึ้นรถมาเงียบ ๆ อย่างว่าง่าย
“แปลกจัง” ระหว่างทาง พร้อมภูมิเปรยขึ้นจากเบาะนั่งด้านหลัง “พักนี้พี่ธัญญ์ไม่ค่อยดื้อเลย”
“อย่าใช้มาตรฐานตัวเองกับคนอื่นสิ” ธัญญ์ตอบกลับเสียงเรียบอย่างที่มักทำ
ภูเมศที่ขับรถอยู่ลอบมองจากหางตา เห็นว่าอีกฝ่ายยังพูดจาแนบเนียนได้เหมือนตอนก่อนเกิดเรื่อง คิดว่าไม่จำเป็นต้องช่วยเสริม
“หมายความว่าผมดื้อเหรอ?” เด็กน้อยถามตาใส
“ไม่ได้พูดสักหน่อย”
เห็นพี่เลี้ยงไม่ว่าอะไร คนถามก็ถอยกลับไปนั่งพิงเบาะ แกว่งขาไปมาแก้เบื่อไปเรื่อยเปื่อย ครู่หนึ่งก็เริ่มต้นเจื้อยแจ้วอีกหน
“ค่ายโรงเรียนเนี่ย น่าจะให้พาผู้ปกครองไปด้วยได้เนอะ”
“หืม?” ภูเมศส่งเสียงแสดงความสนใจ
“อยากให้พี่ธัญญ์ไปด้วย”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ไปแต่เด็ก ๆ ก็พอแล้ว มีผู้ใหญ่ไปด้วยก็เล่นกับเพื่อนไม่สนุกน่ะสิ”
“ก็ใช่หรอก แต่ก็อยากไปเที่ยวกับพี่ธัญญ์กับพ่อด้วยนี่นา” พร้อมภูมิบ่นหงุงหงิง “พ่อครับ เอาไว้เราสามคนไปทะเลด้วยกันไหม”
ธัญญ์ไม่แสดงความเห็นอะไร เบือนหน้ามองเหม่อออกนอกกระจกหน้าต่าง ความที่ปกติพูดน้อยอยู่แล้วจึงดูไม่ผิดสังเกตนัก เหลือแต่เขารับหน้าที่คอยตอบคำถามซื่อ ๆ ของลูกชายทั้งกระอักกระอ่วน หากเป็นสักเมื่อสัปดาห์ก่อน คงคุยกันง่ายกว่านี้มาก ไม่แน่อาจกลับมาวางแผนหาวันลาพักร้อน เตรียมตัวพาทั้งสองคนไปเที่ยวทะเลตามใจลูกชายแล้วก็ได้
“นี่ ๆ พี่ธัญญ์ชอบทะเลรึเปล่า”
พร้อมภูมิชะโงกตัวมายังเบาะโดยสารด้านหน้า ยื่นแขนมาเกาะไหล่ธัญญ์ไว้
“ชอบ”
น่าแปลก ครั้งนี้ธัญญ์กลับตอบออกมาง่ายดายผิดคาด ในเมื่อที่ผ่านมา หากบทสนทนาไปถึงเรื่องความชอบหรือเรื่องส่วนตัวเมื่อไร เป็นต้องบ่ายเบี่ยงไปทางอื่นได้ตลอด
“ดีเลย!” เด็กชายตบมือชอบใจ “ผมก็ชอบ พ่อก็ชอบเหมือนกัน เอาไว้พวกเราไปด้วยกันนะ จะกินปูเยอะ ๆ เลย อ๊ะ! พี่ธัญญ์ชอบปูไหม”
“อืม” ธัญญ์พยักหน้า “ปูนึ่งก็อร่อยดี ชอบตรงก้าม”
พร้อมภูมิหัวเราะร่า “งั้นต้องแย่งกับพ่อแล้วแหละ พ่อก็ชอบกินก้ามปูเหมือนกัน แต่ผมชอบกินตรงมัน ๆ มากกว่า”
ส่งเสียงคิกคักอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนจับสังเกตได้อีกครั้งว่าพี่เลี้ยงคนโปรดว่าง่ายผิดปกติ ถึงกับเผลอพูดซ้ำ
“แปลกจัง พี่ธัญญ์ดูเป็นเด็กดี”
ไม่ใช่แค่ลูกชายที่คิดเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตาม ในเวลาเช่นนี้กลับทำให้วางตัวลำบากขึ้นอีกหลายเท่า
“ปกติถามอะไรไม่เคยตอบเลยแท้ ๆ” เด็กน้อยยังเปรยต่อ แต่ดูไม่ได้ติดใจเก็บมาคิดจริงจังนัก “เล่าให้น้องเพลงฟังต้องตกใจแน่ ๆ”
เมื่อพูดถึงน้องสาว ก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เห็นว่าคราวนี้ถามอะไรฝ่ายนั้นก็ตอบจึงได้ทีชวนจ้อไปเรื่อย
“จริงสิ พี่ธัญญ์มีพี่น้องไหม เหมือนผมกับน้องเพลง”
“ก็เหมือนจะมีอยู่เหมือนกัน”
“เหมือนจะเหรอ?”
ธัญญ์พยักหน้าลอย ๆ คล้ายเออออกับตัวเอง ระหว่างที่พูดนั้น สายตาก็ยังเหม่อมองไปยังทิวทัศน์ข้างทางที่วิ่งฉิวผ่านไป
“เป็นพี่น้องไม่แท้น่ะ ที่มีแน่ ๆ ก็มีพี่ชายคนหนึ่ง บางทีอาจจะมีมากกว่านี้ แต่ไม่รู้จัก”
“เห? ทำไมล่ะ?” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่ค่อยเข้าใจ ชะโงกหน้าไปกระแซะคู่สนทนาอีกหน “ไม่รู้จักพี่น้องตัวเองหรอกเหรอ”
“ประมาณนั้น”
เสียงตอบของธัญญ์เรียบเรื่อย ค่อย ๆ พูดช้า ๆ คล้ายพยายามเรียบเรียงให้เข้าใจง่าย แม้จากสีหน้านิ่งงันนั้น คาดเดาลำบากว่าเจ้าตัวเต็มใจเฉลยหรือไม่ และที่เอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
แต่ยิ่งฟังไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ ว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง...จริงชนิดที่ฟังแล้วปวดหนึบในใจขึ้นมา ทั้งหมดนั้นธัญญ์ไม่เคยพูดเลยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเกือบปี
“ตอนหนุ่ม ๆ พ่อเจ้าชู้อยู่เหมือนกัน มีคนรักหลายคน อยู่ในหลาย ๆ ที่ เลยคิดว่าอาจจะมีพี่น้องคนอื่นที่ไม่รู้จักก็ได้”
พร้อมภูมิหน้าจ๋อยลงนิดหน่อยเมื่อพอจะเข้าใจได้เลา ๆ จึงพยายามตะล่อมให้บรรยากาศดีขึ้น อ้อมแอ้มถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“บอกว่าเมื่อก่อน แสดงว่าเดี๋ยวนี้คุณพ่อพี่ธัญญ์เลิกเจ้าชู้แล้วใช่มะ”
“อืม” ธัญญ์พยักหน้าเลื่อนลอย แต่ยังค่อย ๆ ตอบไปเรื่อยทีละคำถาม “เลิกแล้ว เดี๋ยวนี้รักแค่คนเดียว”
เด็กชายยิ้มเผล่ “คุณแม่พี่ธัญญ์สินะ”
“ไม่ใช่”
ถึงตรงนี้ ภูเมศที่ตั้งใจฟังอยู่เงียบ ๆ มาตลอดกลับนึกกลัวขึ้นมากับข้อมูลที่ปะติดปะต่อขึ้นเองในหัว
“เอ๋?”
“แต่เป็นคนที่ไม่ควรรักที่สุด”
ได้ยินธัญญ์พึมพำหลังจากนั้น ยิ่งชาวาบไปตลอดแนวสันหลัง เหมือนโยนตัวต่อจิ๊กซอว์ที่ไม่ได้ตั้งใจวางไปกองรวมกัน แต่เพราะเหลี่ยมมุมลงตัวพอดี มันจึงเข้าที่ของมันเองต่อให้ไม่เจตนา
“ถึงแล้ว”
เขาเหยียบเบรกกระชากเกินไปจนผู้โดยสารอีกสองคนคะมำมาด้านหน้าเล็กน้อย ดึงความสนใจจากเรื่องราวที่ทำเขาหายใจไม่สะดวกเหล่านั้นกลับมาที่ภาพตรงหน้า ทั้งเด็กนักเรียนและผู้ปกครองพากันหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางไปรวมกันบริเวณอาคารอันเป็นจุดนัดหมาย
ดูเหมือนพร้อมภูมิเองก็จะตื่นเต้นจนลืมเรื่องที่คุยกับพี่เลี้ยงค้างอยู่ ยิ่งเมื่อเห็นรุ่นพี่ชื่อสตางค์ที่เจ้าตัวชอบไปเล่นด้วยกำลังยกกระเป๋าอยู่ไม่ไกลก็ยิ้มร่าทำตาลุกวาว รีบเปิดประตูรถลงไปร้องตะโกนหา
“พี่ตัง”
เจ้าของชื่อหันมาทั้งหน้าตางัวเงีย ดูเหมือนเด็กน้อยที่ถูกปลุกขึ้นมาจากเตียงทั้งที่ยังนอนไม่พอ ท่าทางไม่ใส่ใจรุ่นน้องซึ่งกำลังร้องเรียกอย่างร่าเริงนัก แต่ก็ยังอุตส่าห์วางกระเป๋าแล้วเดินเข้ามาหาแบบพบกันครึ่งทาง
ธัญญ์เปิดประตูรถตามลงไป ช่วยยกกระเป๋าเดินทางตามหลังพร้อมภูมิ มองหน้าเจ้าเด็กสตางค์ที่เดินตรงเข้ามานิ่ง ๆ ทว่าคราวนี้ยกมือขึ้นไหว้เขาก่อนอย่างนอบน้อมพลางเอ่ยคำสวัสดี ตามด้วยสวัสดีภูเมศอีกคนที่เดินตามมาด้านหลัง
ธัญญ์ยกมือรับไหว้ ส่งของให้พร้อมภูมิที่ดึงแขนเขาเป็นเชิงบอกว่าจะเอาไปถือเอง มองเด็ก ๆ สองคนคุยกันเจื้อยแจ้ว
อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองที่คล้ายจะได้รับการยอมรับตอนนี้ อาจจะช้าไปแล้วหรือเปล่า
ก่อนแยกกันออกมา พร้อมภูมิกวักมือให้เขาย่อตัวลงไปหา ครั้นก้มลงไปตามคำบอก ฝ่ายนั้นก็เหวี่ยงแขนคล้องรอบลำคอ ส่งเสียงกระซิบกระซาบพร้อมหัวเราะคิกคักไปด้วย บอกว่าขากลับจะซื้อของฝากมาให้ จำได้หรือเปล่าเรื่องเงินเก็บของเจ้าตัวที่เคยตั้งใจจะใช้จ้างธัญญ์เมื่อครั้งหนีโรงเรียนมาตามเขากลับบ้านคราวนั้น
ธัญญ์พยักหน้าช้า ๆ “จำได้สิ”
“อีกสามวันเจอกันนะพี่ธัญญ์” เด็กน้อยยักคิ้วหลิ่วตา “เตรียมตัวได้เลย”
“อืม” เขาตอบรับเบา ๆ ในลำคอ ขณะกลับมายืนเต็มความสูง มองหน้าพร้อมภูมิที่หันไปเอ่ยลาภูเมศพลางคลี่ยิ้มบาง
อยากตอบว่า ‘จะรอนะ’ แต่ไม่กล้ารับปาก
สุดท้ายจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่โบกมือส่งเงียบ ๆ มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นห่างออกไป
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v