คืนครั้งที3 ยางลบ☻✿
“ไอ้เหี้ยฝน!!! กระต่ายมึงไปปักตะไคร้ดิ๊” โวยวายกันใหญ่เลยครับเพราะฟ้าอยู่ดีๆก็มืดครื้ม วันนี้วันงานอาเซียนครับซึ่งผมก็บอกไปแล้วนี่หว่าว่ามันหน้าฝน เงยหน้ามองฟ้าก็เห็นเค้าลางฝนชัดเจน
“ปักทีไม่ฟ้าผ่าเลยเหรอ” เสียงโห่แซวดังขึ้นมาเงียบบ้างสลับกันไป ผมได้ยืนเหม่อมองงานที่กำลังจะเริ่มอยู่ตรงเวทีโรงเรียน จริงๆจากมุมนี้มองไม่เห็นหรอกครับ ตึกบัง แต่เสียงคนและบรรดาท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายก็พอจะรู้ว่างานกำลังจะเริ่ม
“เจ้าหนี้ๆ” ผมเงยหน้ามองไอ้คนที่วิ่งออกมาจากหน้างานแล้วแหกปากเรียกผม พี่ทิตย์อยู่ในชุดพิธีการซึ่งผมเห็นแล้วร้อนแทนเหลือเกิน
“หือ?” ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรแต่แค่ครางในลำคอเบาๆ
“เฝ้าซุ้มไหม” ผมส่ายหน้าไปมา ถึงยังไงผมก็ไม่จำเป็นจะต้องนั่งเฝ้าอยู่แล้วนี่นา
“ไปดูวงห้องพี่ไหมคะ” ผมขมวดคิ้วงงๆเพราะพี่ทิตย์อยู่ๆก็ดึงแขนผมไปเลยแล้วจะมาถามทำไม แล้วทำไมต้องมาพูดคะ ยิ่งคิดยิ่งงงครับแต่ผมโดนดึงมาจนหยุดยืนอยู่ที่ลานที่มีการแสดง ประธานทั้งหลายลงไปแล้วมั้งครับเลยให้เด็กๆประกวดดนตรีแข่งกัน
จริงๆผมชอบนะครับ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากเล่นเป็นเหมือนกัน พวกพี่ๆเขายังซาวน์เช็คกันอยู่ พี่ทิตย์ดึงให้ผมนั่งลงกลางลานเลยครับสักพักคนก็เริ่มทยอยมานั่งกันจนเกือบเต็ม ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย พี่เขาคิดอะไรอยู่วะ จะจีบกระต่ายมันจำเป็นต้องตีซี้ผมขนาดนี้ด้วยหรอ?
“สวัสดีครับ” นักร้องนำเรียกความสนใจผมไปเต็มๆ เสียงคุ้นๆครับพอผมหันไปเท่านั้นแหละ
“เฮ้ย.. พี่โจ...” ผมชอบพี่เขามากๆครับถึงขั้นเพ้อเลยแหละ เพราะว่าพี่เขาเล่นดนตรีเก่งมากแถมยังเรียนเก่งอีกด้วยนะครับ แต่พี่เขาจบไปแล้วนี่นา
“พี่เขาอาสามาเองเลยนะ เห็นอุ่นชอบเลยฉุดมาดูเนี่ย” ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ แอบติดตามพี่เขาในเฟสเงียบๆก็รู้ว่าพี่เขาเล่นดนตรีตามร้านอาหารด้วย โคตรเท่เลย อย่าให้ผมเล่นเป็นบ้างนะผมนั่งเล่นแม่งทั้งวันเลยด้วยแล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างออก
“พี่รู้ได้ไงว่าผมชอบพี่โจร้องเพลง” ผมว่าผมก็ไม่ได้บอกใครนะครับ ตามส่องบ้างแต่มั่นใจว่าไม่ได้ออกนอกหน้าอะไรขนาดนั้น
“พี่โจถามหา”จริงดิ ไอ้อุ่นโคตรซึ้งใจเลยครับ อยากจะเข้าไปขอลายเซ็นมันตอนนี้เลย
“ฟังก่อน”
“เพลงนี้มีไอ้เด็กหัวเกรียนมันมาขอให้ร้อง เอ้ามา!” ผมยิ้มขำให้กับคำว่าหัวเกรียน เสียงกรี๊ดจากทั่วทุกทิศดังขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย ยังคงฮอตไม่เปลี่ยนเลยจริงๆนะเนี่ย
ช่วงเวลาดีดี มันก็มีให้ไม่บ่อย
ช่วงเวลาเล็กน้อย เลยไม่อยากให้ต้องปล่อย
หนาวเหลือเกินคนดี อยู่ข้างข้างกันหน่อย
กอดกันนิดนะ อย่างน้อย ให้ไม่หนาวใจผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะเพลงน่ารักๆที่พี่เขาร้องออกมา ปกติพี่เขาไม่ใช่แนวนี้เลยนะครับจะเป็นแนวเท่ๆมากกว่า ไม่รู้ว่าเด็กหัวเกรียนที่ไหนไปสั่งพี่เขาให้ลองเพลงแนวนี้ได้
“ยิ้มไม่หุบเลยนะ” แล้วผมก็ต้องหุบยิ้มจริงๆเพราะเสียงแซวจากคนที่นั่งมองผมอยู่ข้างๆ แต่ก็ทำเมินไม่สนใจเพราะทุกคนที่นั่งอยู่ในลานก็ร้องเพลงตามเบาๆกันทั้งนั้น คิดว่าไม่ได้ยินแล้วกัน
ได้แต่บ่นพึมพำ ลำพัง แค่เพียงคนเดียว
เธอไม่เหลียว มอง กลับมาด้วยซ้ำไป....“อะไรวะ ไม่สนใจกันเลย” ผมหันไปมองหน้าพี่ทิตย์ที่ถอนหายใจออกมาพร้อมบ่นแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พี่ทิตย์ก็ส่ายหน้าไปมา งงสิครับ พี่เขาเป็นอะไร นึกอินดี้อะไรขึ้นมาเหรอ
ไม่เคยกล้าสักที ไม่รู้ควรทำไงดี
มีไหมนาฬิกา อันที่ลอยลงมาจากฟ้า
เพื่อหยุดเวลา ให้ฉันได้กอด
เธอไว้สักห้านาที ได้แค่วันละนิดก็ดี
ขอให้ได้มีเธอ ทุกวัน...“พี่ทิตย์…” ผมเรียกพี่ทิตย์ที่นั่งจ้องหน้าผมอยู่สักพักแล้วครับ ไม่รู้จะมองอะไรนักหนาหน้าผมมีอะไรติดหรือไง หรือหน้าผมเหมือนญาติส่วนไหนของพี่เขา
“ว่า?” พี่ทิตย์เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“จะมองผมทำไมเนี่ย” ผมพูดออกไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยแต่พี่ทิตย์กลับชี้นิ้วผ่านหน้าผมไปผมเลยหันไปมองตาม กระต่าย...? เออ ครับ ขอโทษที่เข้าใจผิด กระต่ายนั่งอยู่ทางลานโดมอีกฝั่งซึ่งมันมีเก้าอี้ครับส่วนที่ๆผมกับพี่ทิตย์นั่งอยู่ก็เป็นพื้นธรรมดาๆ
“หลงตัวเอง..” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆด้วยความเบื่อหน่าย เอาผมมาบังแล้วแอบมองกระต่ายหรือไง เป็นแบบนี้หลายครั้งแล้วนี่หว่า ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแต่พอตั้งสติได้ก็นั่งงงๆครับ พี่โจลงไปแล้วอ่ะ... ทั้งๆที่ผมไม่ได้ฟังพี่เขาเลย ฟังแต่เพลงนั้นท่อนแรกๆด้วย
เพราะไอ้พี่ทิตย์คนเดียว!!
ผมลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะเดินหนีเพราะไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้วครับ แต่พี่ทิตย์กลับลุกขึ้นตามผมแล้วมองผมเหมือนกำลังงงอะไรอยู่ ผมจะลุกหนีแท้ๆแต่รู้สึกเหมือนสถานการณ์มันบังคับให้ผมอธิบายเลยครับ ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“พี่จะไปไหนต่อ” ผมถามแล้วยกมือขึ้นกอดอกรอคำตอบ
“ไปกับอุ่นไง วันนี้พี่ว๊างว่าง” ผมขมวดคิ้วเลยครับ ปวดหัวกับผู้ชายคนนี้จริงๆไม่รู้ว่าจะตามเกาะแกะผมไปถึงไหน แต่ผมไม่ได้รำคาญอะไรมากหรอกครับ ถ้าให้พูดจริงๆก็สนุกดี เออ สนุกก็ได้
“ไม่รู้จะไปไหน ว่าแต่พี่เถอะ ใส่ชุดพิธีการแบบนี้ไม่ต้องเข้าประชุมหรอ” ผมถามกลับ เพราะปกติชุดนี้มันต้องใส่ทำพิธีอะไรสักอย่างไม่ใช่มาเดินร่อนแบบนี้ครับ
“ขี้เกียจเข้า เบื่อ” ไม่เข้าใจระบบความคิดของพี่ทิตย์จริงๆครับ ไม่เคยรู้เลยว่าคิดอะไรอยู่ ผมเพ่งมองหน้าพี่ทิตย์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็วกกลับมามองหน้าอีกครั้ง แปลกที่พี่เขาจ้องผมตอบไม่วางตาจนผมรู้สึกแปลกๆเลยหลบตาก่อน
“ไปเดินดูอะไรกันไหม เดินไปเรื่อยๆ” ผมพยักหน้าเออออตามไปโดยไม่ได้คิด เพราะผมไม่มีอะไรทำด้วยล่ะครับ เรียกได้ว่าโคตรว่าง ไปเดินดูนู่นนี่ก็ดีเหมือนกัน
“ไปดูของม.ไหนอ่ะ ม.6ไหมของกินเยอะดีนะพี่ทิตย์” แล้วทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยวะ หรือผมเรียกชื่อไม่ได้?
“เอาใกล้ๆก่อนสิ แถวนี้ม.5ไม่ใช่หรอ?” ผมพยักหน้างึกงักแล้วมองซ้ายมองขวา ก็ไอ้ม.5ที่ว่านี่ก็จัดซุ้มอยู่ที่ลานโดมแห่งนี้แหละครับอยู่สองข้างทางเลย แบบนี้มันก็ใกล้ไปไหมครับ แถมยังมีแต่เกมอะไรก็ไม่รู้ สอยดาวงี้ พับกระดาษ ต่อจิ๊กซอว์ ผมยกมือขึ้นเกาหัวงงๆ
“ร้อนว่ะ” พี่ทิตย์บ่นพึมพำขึ้นมา อากาศตอนนี้อบมากจริงๆครับเพราะฝนกำลังจะมาในไม่ช้า
“ถอดเสื้อออกดีกว่าไหม?” ผมเสนอความคิดเพราะเสื้อพิธีการหรือเสื้อราชประแตนมันทั้งหนาทั้งร้อนครับ พี่ทิตย์พยักหน้าเออออตามผมแล้วถอดเสื้อออกมาถือไว้ เหงื่อโชกหลังเลยครับ ฮ่าๆ
“อาทิตย์” อีกครั้งที่มีคนเรียกพี่ทิตย์ แปลกครับ แปลกจริงๆที่เขาเรียกพี่ทิตย์ว่าอาทิตย์ทุกคนเลย หรือที่ผมเรียกมันเป็นชื่อต้องห้ามพี่ทิตย์ถึงต้องตกใจ แต่จะให้เรียกพี่อาทิตย์ก็ยาวไปนะผมว่า ช่างแม่งเถอะ ทำไมสนใจก็พอ
“ถ่ายรูปรอบๆงานให้หน่อย เอาไว้ทำรวมเล่มความดีของห้อง” พูดเสร็จพี่เขาก็ยื่นกล้องให้พี่ทิตย์ พี่ทิตย์เกาหัวงงๆแล้วรับมาถือพร้อมพลิกซ้ายพลิกขวาดูกล้อง ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องกล้องเท่าไหร่ แต่กล้องใหญ่ๆแบบนี้ผมเห็นคนใช้เยอะเหมือนกันนะ
“ถือให้หน่อย” อยู่ๆก็ยื่นเสื้อมาให้ผมถือแล้วเจ้าตัวก็สำรวจกล้องนู่นนี่ ปรับโหมดเล่นแล้วก็พยักหน้าเออออกับพี่คนที่เอากล้องมาให้ ผมจำใจพับเสื้อแล้วเอามันพาดแขนไว้
“อันนี้กล้องใครวะ” พี่ทิตย์ละมือจากกล้องแล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“กล้องหัวหน้า” แล้วก็คุยกันไม่ได้สนใจผมอีก ผมเลยมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย
หือออ? พี่โจเดินมาแถวที่ผมยืนอยู่ด้วยครับ พี่เขาโคตรดูดีเลยครับ ในโรงเรียนว่าดูดีแล้วพอขึ้นมหาลัยได้ไว้ผมยาวหล่อกว่าเดิมเยอะเลย อ้อ กันเข้าใจผิดนะครับ ผมชอบที่พี่เขาเล่นดนตรีเก่งเฉยๆไม่ได้พิศวาสอะไรขนาดนั้น เหอะๆมีผู้หญิงเข้าไปขอพี่โจถ่ายรูปด้วยครับ ผู้หญิงโรงเรียนผมนี่ไวจริงๆ
แชะ!
ทำไมเสียงมันใกล้แปลกๆวะ... พอผมหันไปเท่านั้นล่ะครับก็รู้สาเหตุเลย ก็ไอ้เสียงที่ว่ามันเป็นเสียงจากกล้องที่พี่ทิตย์ถืออยู่ แถมพี่ทิตย์มันยังถ่ายรัวไม่หยุดจนผมต้องยกมือปิดกล้องและบังหน้าตัวเองวุ่นวายเลยครับ
“หน้าตาใช้ได้นะเราเนี่ย” พี่ทิตย์ดูรูปในกล้องพร้อมยิ้มล้อผม ผมได้แต่มองหน้าพี่ทิตย์นิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ก่อนจะยื่นเสื้อพี่ทิตย์คืนให้
“เอาไปเลย ผมจะไปที่อื่นแล้ว”
“เฮ้ยๆไปด้วยกันสิ” โดนจับแขนอีกแล้ว... ผมขมวดคิ้วหน้ายุ่งอีกทันที
“ทำไมพี่ต้องมายุ่งกับผมด้วยวะ”ผมถามออกไปตรงๆแต่ไม่ได้พูดเสียงดังครับ เพราะตอนนี้ผมยืนอยู่กลางลานเลยนะครับ โชคดีแค่ว่ามันเริ่มเป็นเพลงที่มีจังหวะหลายคนเลยกระโดดโลดเต้นไปเกาะเวทีทำให้ผมที่ยืนแบบนี้ไม่ได้เด่นอะไรเท่าไหร่
“รำคาญพี่หรอ”
“เออ!”
“อืมโทษที”
ผมก็ตกใจสิครับ พี่ท่านเล่นพูดขอโทษด้วยสีหน้าโคตรดราม่ายังกับเพิ่งถูกแฟนทิ้งแล้วก็เดินผ่านไหล่ผมไปเลย ผมได้แต่ยืนเอียงคอด้วยความงงก่อนที่สมองจะประมวลผลให้ดึงเสื้อพี่เขาไว้ พี่ทิตย์หยุดแล้วมองตามมือผม ผมเลยชักมือตัวเองกลับมาวางไว้ข้างตัว
“วันนี้ยังไม่เห็นคืนอะไรเลย” ผมเลิกคิ้ว พี่ทิตย์จากหน้านิ่งๆก็กลับมาทำหน้ากวนตีนแบบเดิม ไม่เข้าใจอารมณ์พี่ท่านจริงๆนะครับแต่ก็ดีแล้วล่ะ มั้ง?
“อยากกินไอติมไหม” ผมพยักหน้างึกงักแบบงงๆครับ ไม่รู้ว่าจะถามทำไม
“ไปตรงนู้นกัน” ผมลอบถอนหายใจออกมาแต่ก็ยอมเดินตามไปอย่างว่าง่าย ไม่รู้ทำไมเหมือนกันครับ
แต่ที่รู้สึกได้คือพี่ทิตย์เริ่มแทรกซึมเข้ามาในสมองผมเรื่อยๆ
“อันนี้เลี้ยง... ไม่ได้ใช้หนี้นะ” พี่ทิตย์ยื่นไอติมแท่งรสโคล่าที่น่าจะราคาพอๆกับจ่ายหนี้มาให้ผม ผมแกะแล้วเอาเข้าปากทันที อากาศอบๆกับไอติมมันดีจะตายครับ
“แล้วเราจะไปไหนต่อดีวะเนี่ย” พี่ทิตย์บ่นพึมพำขึ้นมา เอาจริงๆมันก็แอบเคว้งคว้างครับเพราะมันมีหลายๆซุ้มก็จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเล่นอะไร ผมกระพริบตาปริบๆอย่างเบื่อหน่ายแต่ปากยังคงอร่อยกับไอติมที่ใกล้จะหมดแล้ว
“พี่ทิตย์ต้องถ่ายรูปบรรยากาศไม่ใช่หรอ” แล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ครับผมเลยส่ายหน้าไปมา
“ไปถ่ายเวทีไหม ผมว่าตอนนี้น่าจะมีประกวดแต่งชุดอาเซียน กระต่ายอาจจะอยู่แถวนั้นด้วยนะ” ผมเสนอความคิดแต่พี่ทิตย์ส่ายหน้าไปมา
“ช่างกระต่ายไปเถอะ” เอ้า ผมแนะนำก็ผิดอีก ได้แต่ยืนเกาหัวงงๆอยู่สักพักพี่ทิตย์ก็ลากผมไปอีกแล้ว
แต่ครั้งนี้แม่ง...
มือ... พี่ทิตย์กำลังจับมือผมอยู่
เพื่ออะไร? มีหลายคนมองจนผมรู้สึกอายเลยใช้มืออีกข้างดันมือพี่ทิตย์ออก พี่ทิตย์หันมามองแต่ไม่ได้ว่าอะไรผมเลยทำเฉยแทนที่จะหงุดหงิด
“ขอโทษๆ ป้าแกเดินมาพี่กลัวเขามาทวงงาน” ป้าแกที่ว่าคงหมายถึงอาจารย์ที่วนเวียนดูงานแถวนี้ล่ะมั้งครับ
ตอนนี้เดินไปเดินมาจนมาหยุดอยู่ที่ลานโดมเหมือนเดิม พี่ทิตย์เลยยืนถ่ายรูปเวทีแล้วก็ซุ้มที่อยู่ข้างๆก่อนที่จะคืนกล้องให้กับพี่คนที่ให้มาโดยให้เหตุผลว่าเดินกับผมอยู่ไม่ว่าง.. ไอ้ผมก็ยืนหงุดหงิดเพราะพี่คนนั้นล้อผมกับพี่ทิตย์ว่าเหมือนจีบกันอยู่ พี่ครับ ไอ้พี่ทิตย์มันจีบกระต่ายต่างหาก
“อยากนั่งอยู่เฉยๆเย็นๆไหม” ผมพยักหน้างึกงักเพราะอากาศมันร้อนจนผมจะบ้าตายแล้วครับ ฝนก็ไม่รีบๆตกลงมาสักที
“งั้นไปอยู่ห้องพี่กัน แอบเปิดแอร์นอนก็ได้นะ”
“แล้วครูจะไม่ว่าหรอ”
“ใครจะรู้”
เอาจริงๆผมกลัวว่าครูจะมาด่ามากเลยครับ แล้วตึกชั้นล่างมันล็อคทุกห้องเพราะว่าเขาให้เด็กออกไปทำกิจกรรมทั้งหมด ส่วนชั้นอื่นๆก็ปกติ ซึ่งห้องพี่ทิตย์อยู่ชั้นล่างครับ พี่ทิตย์เลยพาผมขึ้นมาชั้น3แทน ชั้น2ไม่มีแอร์ครับ ส่วนชั้น3ก็มีเหมือนชั้นแรก ถ้าครูมาเห็นนี่โดนด่าเละแน่ๆ แต่พี่ทิตย์ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย แต่ไอ้ที่น่าแปลกสุดๆคือผมก็ตามพี่เขาอย่างว่าง่ายเหลือเกิน
“ห้องนี้มีคอมด้วยว่ะ ดูหนังไหม” ผมเดินเข้ามาในห้องแล้วก็เลื่อนประตูปิด จากด้านนอกไม่น่าจะเห็นข้างในเลยครับเพราะเป็นกระจกทึบๆแถมยังมีผ้าม่านสีเขียวบังอยู่จนมิด ผมเดินไปนั่งโต๊ะหน้าสุดมองพี่ทิตย์ที่ง่วนกับการต่อคอมฉายขึ้นโปรเจคเตอร์
“ข้างนอกฝนตกแล้ว…” ผมบ่นพึมพำขึ้นมาเพราะเสียงฝนที่เริ่มดังขึ้นตั้งแต่เมื่อกี้ มองไปทางหน้าต่างก็เห็นครับว่าแม่งกำลังกระหน่ำเลย
“เชื่อมเน็ตไม่ติดว่ะ”
“จะดูจริงๆหรอ” บรรยากาศแม่งโคตรน่ากลัวเลยครับ ห้องมืดๆมีแต่แสงโปรเจกเตอร์ที่เปิดไว้และอากาศที่เย็นยะเยือกแปลกๆเพราะแอร์ที่เปิดอยู่ แถมห้องมันก็ใหญ่อยู่กันสองหน่อมันหวิวๆแปลกๆมากเลยครับ
“มันมีหนังอยู่ในเครื่องด้วย หนังผี” พี่ทิตย์เงยหน้าขึ้นมองผม พร้อมๆกับเสียงฟ้าร้องจนผมสะดุ้ง แม่งเอ้ยหลอนชิบหาย
“ดูไหม” พี่ทิตย์เลิกคิ้วถามพร้อมทำหน้าล้อเลียนผม ด้วยความหงุดหงิดเวลาผมมองหน้าพี่ทิตย์ทำให้ผมตอบไปอย่างไม่คิด
“ดู!!”
แม่งเอ๊ย… ไม่น่าเลย
ผมค่อยๆกระชับเสื้อพิธีการของพี่ทิตย์ให้เข้าหาตัว อ้อ ผมบ่นว่าหนาวแล้วพี่ทิตย์ก็ให้ผมเอามาห่มไว้ ผ้ามันหนามากครับ กับแอร์เย็นๆแบบนี้โคตรสบายเลย จริงๆแล้วผมเอาให้มันบังจอตรงหน้าด้วยครับ แม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม หนังเริ่มเดินไปเรื่อยๆ เป็นหนังเก่าครับผมเคยดูเมื่อหลายปีที่แล้วอยู่ แต่เรื่องแบบนี้ผมไม่ถูกชะตาด้วยจริงๆ มันน่ากลัวครับ
“ยังหนาวอยู่หรอ” พี่ทิตย์ที่นั่งอยู่ข้างๆหันหน้ามาถามผม คือจะให้ผมบอกว่าไงดีครับ อ้อ ผมหนาวมากเลยพี่เหรอ เพราะว่าจริงๆแล้วไอ้เสียงซาวน์ประกอบตอนที่ผู้หญิงในเรื่องค่อยๆเดินสำรวจห้องมันโคตรจะน่ากลัวเลยครับ แล้วมันจะเดินไปเดินมาทำไมวะเดี๋ยวก็เจอหรอก
“อือ หนาว” ผมพูดแล้วซุกหน้าลงกับปกเสื้อจนมันบังภาพตรงหน้าไว้ได้ครึ่งหนึ่ง อย่าไปหาเลยเถอะอุ่นขอร้อง เสียงวิ้งๆหลอนๆเริ่มดังขึ้นมา แล้วผมก็ต้องสะดุ้งอีกทีเพราะพี่ทิตย์เอาแขนวางพาดกับเก้าอี้ผมมันเลยเหมือนผมกำลังโดนโอบอยู่
“กลัวหรอ ปิดก็ได้นะ” แล้วก็ยิ้มล้อเลียนผมอีกแล้ว ผมเลยได้แต่เม้มปากอย่างหงุดหงิด
“เสียงอะไรวะ” อยู่ดีๆพี่ทิตย์ก็ทักขึ้นมา ใครสั่งใครสอนให้ทักขึ้นมาในสภาพน่ากลัวแบบนี้วะ!! จริงๆผมก็ได้ยินครับเสียงก๊อกแก๊กๆ อยู่ทางประตูแต่มันต้องเป็นเสียงฝนอยู่แล้วแหละ ฝนเนอะ ฝน…
“อะไร ไม่มี!!” ผมโวยวายกลบทันทีแต่พี่ทิตย์ก็ยังชะโงกหน้ามองผ่านผมอยู่นั่นแหละ
“แต่พี่ว่ามันมีส…” ผมยกมือขึ้นปิดปากพี่ทิตย์เพื่อให้พี่เขารีบๆหยุดพูด แต่อยู่ๆแววตาพี่ทิตย์มันก็เปลี่ยนไป ผมเผลอจ้องพี่ทิตย์นานมาก มันเหมือนพี่ทิตย์ต้องการจะสื่ออะไรสักอย่างให้ผมรับรู้
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
เสียงจากลำโพงทำให้ผมชักมือกลับแล้วหันไปสนใจจอโปรเจกเตอร์ตรงหน้าแทน ผู้หญิงคนนั้นเจอรอยเลือดที่น่ากลัวจึงหวีดร้องออกมาแต่ผมกลับไม่ได้กลัวมันอย่างที่ควรจะเป็น สมองผมว่างเปล่า ทำไมพี่ทิตย์ต้องแทรกซึมเข้ามาในโลกของผมแบบนี้ด้วยวะ
พรึ่บ!
อยู่ดีๆในห้องก็มืดลงครับผมได้แต่มองซ้ายมองขวาเลิกลั่ก สงสัยจะไฟดับ ตึกนี้ไฟดับบ่อยมากครับผมไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร พี่ทิตย์ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืนผมเลยลุกตามพร้อมถือเสื้อพี่ทิตย์ไว้ในมือ
“เหี้ย..” พี่ทิตย์อุทานขึ้นมาเบาๆเพราะประตู…
ครับ ประตูแม่งเลื่อนไม่ได้…
“เหี้ยแล้วไง เสียงที่พี่ได้ยินแม่งมีคนมาล็อคประตูหรอ”ผมบ่นอย่างหงุดหงิดปนงงครับ แต่พี่ทิตย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาใครสักคน อาจจะโทรตามคนมาเปิดให้มั้งครับ ผมยืนอยู่เฉยๆก็รู้สึกหวิวๆ แหวกม่านออกดูข้างล่างก็ยังปกติดี ฝนเริ่มเบาลงมากแล้วครับแต่ไฟก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะติด
“มึงอยู่ไหน”
เห็นว่าคุยหาพี่ข้างล่างให้มาช่วยเปิดประตูให้ ผมเลยเดินมาเปิดหน้าต่างออกบานสองบานเพราะมันเริ่มอึดอัด ก็ไฟดับแถมยังโดนล็อคอีกนี่ครับ แถมพ่อตัวตั้งตัวตีก็โทรเรียกคนข้างล่างให้มาเปิดใหญ่เลยครับ จริงๆผมก็สงสัยนะว่าผมจะตามพี่ทิตย์มาทำไม แล้วผมจะเดินเปิดหน้าต่างไปถือเสื้อพี่ทิตย์ไปเพื่ออะไร…
นั่นสิเพื่ออะไร?
ผมเหลือบมองพี่ทิตย์ที่ยืนอยู่ติดประตูก่อนที่จะวางเสื้อพิธีการลงกับโต๊ะเรียนแถวนั้น
“แม่บ้านเขาจะปิดตึกเลยไล่ปิด เพื่อนพี่ไปล่าหาแม่บ้านอยู่” พี่ทิตย์พูดพร้อมถอนหายใจออกมา ผมก็ถอนหายใจตาม จะให้ทำอะไรได้นอกจากนั่งโง่ๆรอเวลาให้เพื่อนพี่ทิตย์มา
“เล่นอะไรกันดีไหม” ผมส่ายหน้าไปมา พี่ทิตย์ก็ยักไหล่ไม่สนใจ
“เล่นถามตอบ พี่ให้ถามอะไรพี่ก็ได้แลกกันคนละคำถาม อุ่นถามพี่ก่อนก็ได้ มาเริ่ม” มัดมือชกชัดๆครับ ผมดึงตัวเองให้ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะส่วนพี่ทิตย์ก็ยืนอยู่ตรงหน้าผม
“พี่มายุ่งกับผมทำไม” คำถามเบสิคครับ ผมอยากรู้จริงๆนะ ถ้าจะเข้าหากระต่ายไปตีซี้กับคนอื่นยังจะง่ายกว่าผมเยอะเลย
“ก็จะคืนเงินอุ่นไง ถามอะไรแปลกๆ” เออครับ ขอโทษด้วยที่ผมถามอะไรโง่ๆออกไปแต่จะคืนเงินมันจำเป็นต้องผ่อนจ่ายแบบนี้ด้วยหรอครับ พอผมจะอ้าปากถามไปอีกพี่ทิตย์ก็ดันพูดขึ้นมา
“คราวนี้ตาพี่ อุ่นชอบใครอยู่หรือเปล่า” ถามทำไม? นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิด สมองผมประมวลผลไม่ทันว่าพี่ทิตย์จะอยากรู้ไปทำไม และพอมันประมวลผลออกมาก็น่าขนลุกทั้งนั้น คำพูดของพี่ที่เอากล้องมาให้พี่ทิตย์มันลอยเข้ามาในหัว ที่พี่เขาบอกว่าเหมือนพี่ทิตย์จีบผม
คิดเหี้ยอะไรของมึงวะอุ่น?
“ไม่ชอบ” ผมตอบแบบกำกวมไปเพราะจะเอาคืน พี่ทิตย์ทำท่าจะพูดถามผมอีกผมเลยพูดแทรกพร้อมยกยิ้มออกมา
“พี่จีบกระต่ายอยู่ใช่ไหม” ผมเลิกคิ้วถาม พี่ทิตย์จ้องหน้าผมสักพักก็ยอมเปิดปากพูด
“แล้วอุ่นว่าพี่จีบไหมล่ะ” ผมจิ๊ปากออกมาเพราะท่าทางกวนตีนของพี่ทิตย์
“ให้ตอบ ไม่ได้ให้ถามย้อน” แล้วผมจะใส่อารมณ์ทำไมวะเนี่ย? แต่มันอดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆครับ ในเมื่อพี่ทิตย์คิดไอ้เกมนี้ขึ้นมาเองทำไมจะต้องตอบเลี่ยงตลอดด้วย
“ไม่ได้จีบ” อ้าว ผมก็งงสิครับ หรือจริงๆจีบเพื่อนกระต่าย ผมขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดแล้วพี่ทิตย์ก็ยิ้มออกมา หรือไม่ได้จีบแต่กำลังดูๆกันอยู่ ก็ได้ไลน์ไปแล้วนี่นา หน้าอย่างพี่ทิตย์ใครๆก็ชอบอยู่แล้ว ไม่แปลกเลยที่จะไม่ต้องจีบ มั้งครับมั้ง? แต่ผมก็พยักหน้างึกงักเหมือนเข้าใจ
“ถ้าพี่...”
ผมเลิกคิ้วรอคำถามแต่มีเสียงดังที่ประตูอีกครั้งผมเลยหันไปมอง สงสัยจะมีคนมาเปิดให้แล้วครับ แล้วผมก็หันกลับมามองพี่ทิตย์อีกครั้ง รู้สึกว่าพี่เขาจะพูดอะไรค้างไว้แต่ก็ไม่ยอมพูดต่อผมจึงขมวดคิ้วแน่น
“เมื่อกี้พี่ทิตย์พูดอะไร?” ผมถามย้ำไปอีกครั้งแต่พี่ทิตย์กลับส่ายหน้าไปมาแล้วบอกว่าไม่มีอะไร ไม่มีบ้าอะไรล่ะครับผมได้ยินจริงๆนะแต่จับใจความไม่ได้เลย
เสียงประตูเลื่อนออกทำให้ผมโดดลงจากโต๊ะเรียนด้วยความเร็วแสงก่อนที่จะยืนทำหน้าเฉื่อยชาอยู่ข้างๆพี่ทิตย์ เป็นพี่แม่บ้านและน่าจะเพื่อนพี่ทิตย์ที่ยืนอยู่ด้านนอก ผมเดินตามหลังพี่เขาออกจากห้องมาก่อนจะโดนสายตาพี่แม่บ้านทิ่มแทงครับ
“ตึกจะปิดแล้วค่ะ มาแอบทำอะไรกันในนี้” พี่เขาพูดเสียงเหวี่ยงใส่ผมก่อนที่จะล็อคห้องแล้วเดินหนีหายไปเลย อะไรวะทำไมต้องมาเหวี่ยงใส่แบบนี้ด้วย แต่จริงๆแล้วผมก็ผิดเต็มๆนั่นแหละครับ
“นอนสบายไหมมึง ถ้าไม่ติดว่ามึงไม่ได้อยู่คนเดียวกูไม่ไปเรียกป้ามาเปิดให้หรอก ปล่อยแม่งตายห่าคาห้อง” พี่เขาพูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ ผมเลยได้แต่ยิ้มแหยะออกมา
“เก็บของกันหรือยัง”
“เริ่มเก็บแล้วมึงก็ไปช่วยด้วยดิ”
“เออ เดี๋ยวกูตามไป”
“อุ่น” พี่ทิตย์อยู่ๆก็มาเรียกผมผมเลยงงๆไปนิดหน่อย
“หือ?”
“ใช้หนี้วันนี้” พี่ทิตย์พูดแล้วหยิบยางลบก้อนเล็กขึ้นมา ผมคว้ามาแล้วพลิกมันซ้ายขวา นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ทิตย์ไม่ต้องมายัดใส่มือผมครับ
ยางลบธรรมดาๆที่มีกระดาษห่อเป็นรูปการ์ตูนรูปหมาน่ารักๆไม่ได้เข้ากับหน้าพี่ทิตย์เลยสักนิดเดียว ผมขมวดคิ้วสำรวจมันอย่างไม่รู้จะทำอะไร
“พี่ว่าหน้าเหมือนอุ่นดีเลยซื้อ” โอ้โห... นี่ด่าผมว่าหน้าหมาหรอครับ ผมทำหน้ามุ่ยยัดมันใส่กระเป๋าเสื้อ
“ด่าหน้าหมาเลยก็ได้มั้ง”
“หืม... พี่เครียดกับอุ่นนะเนี่ย” ผมก็เครียดครับ เครียดกับนิสัยแปลกๆของพี่ทิตย์ชิบหายเลยครับ
“งั้นพี่ไปเก็บของช่วยห้องก่อน อุ่นไปซุ้มตัวเองไหม” ผมพยักหน้างึกงักตอบรับ
“อุ่นลงฝั่งนู้นใช่ไหม ซุ้มพี่ลงฝั่งนี้ใกล้กว่า อ่า พรุ่งนี้เจอกันนะ” ผมมองซ้ายมองขวาแล้วก็คิดอีกที ห้องที่ผมยืนอยู่มันใกล้กับบันไดลงฝั่งพี่ทิตย์มากกว่า ผมเลยอ้าปากพูดไปว่า...
“ก็ไปด้วยกันสิ”
ได้แค่วันละนิดก็ดี ขอให้ได้มีเธอทุกวัน_________________________________________________________
ยาวอยู่นะคะเนี่ย อิอิ เรื่องไฟดับตึกเดียวทั้งโรงเรียนมีจริงๆนะคะ เกี่ยวกับเรื่องเฟสไฟฟ้าที่ตึกนั้นแปลกกว่าเพื่อน555
ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่าน มาแสดงความคิดเห็น มาบวกเป็ดให้กันนะคะ เป็นกำลังใจชั้นดีเลยแหละ

ป.ล. ทวงได้เสมอค่ะ เราเป็นประเภทต้องโดนกระตุ้น
