(ต่อครับ)พริม ตลอดจนพ่อกับแม่ของนางเป็นเพียงชาวบ้านที่ปราศจากความสามารถด้านการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง ต่อให้พ่อของพริมจะเคยเข้าทำงานที่กองทัพอยู่ปีเศษ แต่ก็ยังรับหน้าที่ในโรงครัว จากนั้นก็กลับมาทำงานที่ร้านขนมปังตามเดิม
หากพริมจะเป็นสตรีรักสนุก หรือพ่อกับแม่ของนางจะเป็นคนร้ายกาจเห็นแก่ตัว การตัดขาดจากครอบครัวนี้คงทำได้โดยง่าย
ทั้ง 3 คนมีท่าทีตื่นเต้นดีใจที่วันนี้องครักษ์เก้าพาเพื่อนมาด้วย พ่อรีบไปเตรียมขนมหลายชนิด เพื่อให้นำกลับมาเป็นของฝากคนที่ค่ายทหาร ส่วนแม่รีบบอกลูกสาวให้หาเครื่องดื่มมาต้อนรับ
“องครักษ์เก้าไม่ได้บอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วย พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้” พ่อบอก
อาเม่ยบอกว่าไม่เป็นไร เพราะหลังจากที่กินอาหารเย็นก็ออกมาเดินตรวจการณ์ที่ท่าเรือ เสร็จแล้วถึงได้มาที่นี่
“หากผ่านมาแถวนี้ ก็แวะมารับขนมกลับไปกินได้” แม่บอก “พริมมักจะทำไว้เผื่อแจกเด็กๆ หลังจากที่สอนหนังสือกันอยู่แล้ว”
“ท่านพี่จะค้างที่นี่หรือไม่” พริมถามองครักษ์เก้าเบาๆ
อาเม่ยก็ต้องยกมือบอกว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง
“ข้ากลับไปเองได้”
เมื่อองครักษ์เก้าเดินออกมาส่งอาเม่ยที่หน้าบ้าน คนตาสีแปลกยังคงไม่หมดความสงสัยโดยง่าย
“คนเดียวที่รู้สึกดีกับการตัดสินใจของท่าน ก็คือแม่หญิงพริม แต่ทั้งท่าน ทั้งแม่ทัพกลับมีแต่ความเสียใจ”
องครักษ์เก้าถอนหายใจหนักๆ “มองในทางที่ดีสิ พริมและครอบครัวเป็นคนดี”
“ข้าคงเป็นคนไม่ดี ที่รู้สึกโกรธที่ท่านยอมรับการถูกกลั่นแกล้งโดยง่าย”
แต่อีกฝ่ายเข้าใจ “หลายต่อหลายครั้งที่ข้ามีคำถาม ว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะกลับมาที่นี่ในวันนั้นไหม ข้าจะกล้าบอกกับท่านแม่ทัพว่าทุกสิ่งคือแผนการทำลายข้าไหม”
“ท่านไม่กล้าหรอก” อาเม่ยบอกแล้วก็ถอนหายใจหนักๆ
“ใช้คำอย่างที่เจ้ามักจะเรียกก็ได้ ความรัก” องครักษ์เก้าบอกด้วยรอยยิ้มเศร้า “ข้าคงยังรักท่านแม่ทัพไม่มากพอ” คนที่กำลังพูดหยุดมองไปทางด้านหลังของอาเม่ย คนตัวใหญ่ใบหน้าคมเข้ม ก้าวมาหาช้าๆ
อาเม่ยหันไปมองผู้ที่เดินมาหา แล้วหันมาหาองครักษ์เก้า
แต่องครักษ์เก้าชิงพูดขึ้นก่อน “อย่ายอมแพ้ให้กับสิ่งใด อย่าทำเรื่องโง่ๆ อย่างข้า”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร..”
“สัญญาสิ อย่าทำให้เขาเสียใจ รักเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี”
คนตาสีแปลกยิ้มขำ เมื่อเห็นท่าทีจริงจังขององครักษ์เก้า “อย่างกับเขาจะรักข้า”
“เขาไม่ใช่คนปกปิดความรู้สึก หากเจ้าจะยอมรับว่าเขามีความรู้สึกที่ดีกับเจ้าจริงๆ”
“แล้วท่านล่ะ”
“มันสายไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเรียกความรู้สึกนั้นว่าอะไร ข้าก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” องครักษ์เก้าบอก แล้วหันไปยิ้มให้กับแม่ทัพ “มารับอาเม่ยหรือครับ”
“พวกเจ้าหายออกไปนานมาก”
แม่ทัพบอก
...พวกเขารักกัน....ดวงตาของพวกเขาที่มองกันและกัน บ่งบอกทุกอย่าง
...แม่ทัพไม่ได้มารับเรา เขาแค่มาดูเก้าอยู่กับคนรักด้วยตาตนเอง เพื่อตอกย้ำให้หัวใจมันเจ็บกว่าเดิม...
แต่ก็อย่างที่องครักษ์เก้ากล่าวไว้ เพราะไม่ได้รักกันมากพอ ถึงได้ยอมคลายมือโดยง่าย
เมื่อเดินกลับมาอาเม่ยยังคงคิดถึงแต่เรื่องครอบครัวของพริมที่ต้องตื่นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพบว่า มีองครักษ์ของแม่ทัพนอนอยู่ข้างๆ ลูกสาวก็คงเต็มไปด้วยคำถามมากมายเช่นกัน
“ไง ถึงกับนึกเรื่องที่จะทะเลาะกับข้าไม่ออกเลยหรือไง” คนตัวโตที่เดินอยู่ข้างๆ เรียกให้อีกฝ่ายกลับมาจากความคิด
“ใช่” ยอมรับโดยง่าย “ข้าไม่ค่อยเข้าใจความคิดของคนดีๆ อย่างเก้าสักเท่าไหร่”
แม่ทัพวางแขนลงบนไหล่ของอีกฝ่าย
“คุยได้ไหม”
“ได้”
“ท่านเสียใจมาก แล้วทำไม....”
“เจ้าจะให้ข้าเดินเข้าไปที่ร้านขนมปังนั่น แย่งชิงเขามาจากสตรีคนหนึ่ง กักขังเขาไว้ในค่ายทหารให้อยู่กับข้าตลอดไปงั้นหรือ”
เป็นความจริงที่ไม่อยากยอมรับ
จะให้แม่ทัพไปแย่งชิงคนรักจากหญิงชาวบ้านเช่นนั้นหรือ
องครักษ์ฮูดา มองเห็นจุดอ่อนของแม่ทัพและองครักษ์เก้า แล้วใช้สิ่งนี้กลับมาทำลายทั้ง 2 คน จากนั้นพี่ใหญ่รอมก็ลงโทษองครักษ์ฮูดาด้วยสิ่งที่ไม่กล้าปฏิเสธ
อาเม่ยหยิบขนม 1 ชิ้นจากห่อที่พ่อของพริมจัดมาส่งให้กับแม่ทัพ
“กินไหม”
แม่ทัพมองด้วยสีหน้ายากบรรยายแล้วส่ายหน้า “เจ้านี่ช่างใจร้ายจริง”
“กินเถิด เพราะที่เหลือข้าจะเอาไปให้ท่านพี่ใหญ่รอม”
แม่ทัพถึงกับหยุดเดิน หันมามองหน้า “เพิ่งได้ยินเจ้าเรียกผู้อื่นยกย่องเช่นนี้”
“ข้าย่อมยกย่องผู้ที่ควรยกย่องอย่างแน่นอน” อาเม่ยยัดขนมใส่ปากของแม่ทัพ “กินขนมของคนที่ชิงคนรักของท่านไป ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”
“เจ้านี่มัน...” ขนมปังหวานชิ้นใหญ่เต็มปากของแม่ทัพ จำต้องฝืนกลืนให้หมดชิ้น
...รักด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีมันเป็นอย่างไร อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่รู้เช่นกัน....
“ข้าไม่ใช่คนที่จะยอมรับการกลั่นแกล้งได้โดยง่าย”
“เสี่ยวเม่ย เจ้ามันตัวแสบ”
แม่ทัพพูดขึ้น
“แม่ทัพขี้อิจฉา”
“ตัวเล็กขี้โวยวาย”
“หล่อน้อยกว่าพระราชา แล้วยังอกหัก”
คนตัวโตถึงกับหยุดเดินยกมือแตะที่อก
“เจ้ามันวายร้าย ร้ายที่สุดจน....”
“นึกคำเถียงข้าไม่ออกเลยละสิ”
แม่ทัพชี้หน้าอย่างอาฆาต แล้วเหนี่ยวลำคอเล็กๆ คล้ายกำลังลากคอคนดื้อดึงกลับไปค่ายทหาร
“ข้านึกคำเถียงเจ้าไม่ออก แต่นึกออกว่าจะให้ไปช่วยงานในโรงครัวท่าจะดี”
....แบบนี้เรียกว่าไม่ปกปิดความรู้สึกหรือ.....เขาไม่ได้คิดพิเศษกับเรา...
เราก็แค่น้องชายตัวแสบของเขาเท่านั้น
....จบตอนที่ 4....
คนรับใช้ = ดูแลเรื่องส่วนคัว
ผู้รับใช้ = รับใช้เรื่องส่วนตัว
อยากสกายคิกฮูดาใช่ไหม ผมก็เหมือนกัน
มาอีกทีวันพุธที่ 29 นะครับ
.นายน้ำชา.