ตอนที่ 6หลังการทรงงานในวันนี้ พระราชาฟารัคแห่งเมืองวัน รั้งแม่ทัพเชมัลไว้หารือข้อราชการเป็นการส่วนพระองค์
แต่ถึงจะส่วนพระองค์ ก็ยังคงมีราชองครักษ์บาดาเดินตามอยู่ไม่ห่าง
ยามอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนาง พระราชามักนิ่งฟังความเห็นของทุกคนด้วยความใส่ใจ แต่ยามเมื่อเข้าสู่เขตอุทยานก็ทรงมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
“อย่าถือสาขุนนางผู้เฒ่าเหล่านี้เลย” พระราชาตรัสกับพระอนุชา
“ไม่ได้ถือสาอันใด” พระอนุชาส่ายหน้า “เพียงแต่พอฟังความเห็นจากหลายคน แล้วกลับพบว่ามีแต่การมองไปที่ปัญหา แล้วพอถามว่าจะทำให้ทำอันใด ก็กลับตอบไม่ได้ ช่างน่าเหน็ดเหนื่อย”
“ทำตามที่เจ้าเห็นสมควร แม่ทัพนาซิมบอกมาว่า พวกเมืองเหนือใช้เวทย์ดำมากขึ้น ข้าจึงแนะนำว่าการเดินทางครานี้เจ้าควรมีฮูดาไปด้วย” พระราชาตรัสแล้ว หันไปมองพระอนุชาตรงๆ “พูดถึงเรื่องฮูดาแล้ว ข้าต้องขออภัยเจ้าอีกครั้ง”
แม่ทัพเชมัลยิ้มขำ “ตั้งแต่เกิดเรื่องพระองค์กล่าวขออภัยข้ามาไม่ต่ำกว่า 100 ครั้งแล้ว”
“เจ้าก็พูดเกินความ นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องขออภัยเจ้าจริงๆ” พระราชาหยุดยืน ทอดพระเนตรไปไกล “และคำสาบานของเจ้าทำให้ข้ารังเกียจบัลลังก์ของข้าเอง”
“พระองค์กลับยิ่งต้องทรงงานหนักเพื่อชดใช้ให้ข้าต่างหาก”
พระราชาหันมาตรัสอย่างจริงจัง “หากเจ้าต้องการบัลลังก์นี้...”
พระอนุชารีบโบกมือ “สนทนากันเรื่องอื่นเถิด พระองค์ก็รู้ว่าข้าไม่สนใจ”
“แต่ที่เจ้าจะไม่มีทายาทเพราะข้า ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า อย่างน้อยข้าก็ต้องการให้เจ้ามีความสุข“
“ข้ามีความสุขดี และข้าเป็นผู้กล่าวคำสาบานนั้นเอง” พระอนุชากล่าว
คำสาบานรุนแรง ที่เป็นสิ่งยืนยันว่าแม่ทัพเชมัลจะไม่มีวันแย่งชิงบัลลังก์จากพระราชาฟารัค
เมืองวันที่มั่งคั่งและผาสุกแห่งนี้ กลับมีการเมืองภายในเข้มข้นถึงขนาดที่พระอนุชาต้องกล่าวคำสาบานที่ทำให้พระราชาไม่สบายพระทัยมาตลอด
แต่เมื่อการสนทนาเรื่องนี้ไม่มีความคืบหน้าอันใด พระราชาจึงยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ชอบพอฮูดามากกว่าการเป็นเพื่อนกัน แต่ยิ่งนานวันฮูดาก็ยิ่งทะนงตน พอวันหนึ่งที่บาดาพาเก้ามาหาข้า ข้าจึงส่งเขาไปให้เจ้า”
แม่ทัพถามพระเชษฐา “ข้าสงสัยมานานแล้วว่า ที่แท้พระองค์พอใจเก้า”
“เจ้ากำลังจะทำให้ข้าถูกลงโทษ” พระราชาแย้มพระสรวล ก่อนที่จะยอมรับ “แต่ก็เป็นเช่นนั้น เก้าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา หน้าตาดี ท่าทางสุภาพ อ่อนน้อม และฝีมือดี สมบูรณ์แบบที่สุด ดีที่สุด แต่สิ่งเหล่านี้จะทำให้ข้าพลาดพลั้งในสักวัน ดังนั้นข้าจึงส่งเขาไปอยู่กับเจ้า เพราะข้าเชื่อว่า เจ้าจะต้องพอใจเขา ลดทอนความมั่นใจของฮูดาลง ข้าอยากให้เขาอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิต แต่ฮูดาก็กลับทำลายแผนการของข้า”
สีหน้าของพระราชาบ่งบอกว่า ยังคงไม่พอใจองครักษ์ฮูดาอยู่
“ตามระเบียบการ เมื่อฮูดาสมรสแล้วข้าต้องย้ายให้มาอยู่กับบาดา แต่ก็เกรงว่ายิ่งพบเห็นจะยิ่งไม่พอใจ ส่วนที่ยังไม่ให้เก้าสมรสกับพริม ก็เพราะข้ายังคงมีความหวังว่าสักวัน เจ้ากับเก้าจะได้อยู่ด้วยกันดังเดิม จนกระทั่งวันที่เจ้าพาอาเม่ยของเจ้าเข้ามา ข้าถึงรู้ว่า แผนการพ่อสื่อของข้าไม่มีวันเป็นจริงได้เลย”
แม่ทัพเชมัลยิ้มกว้างจนพระเชษฐาทัก “เจ้าน่ะออกนอกหน้าจนเห็นได้ชัดเจน เจ้ารู้จักอาเม่ยมาก่อนนี้หรือไร"
"ตอนพบครั้งแรกข้าคิดว่าเขาเป็นคนที่เคยพบ" แม่ทัพยอมรับ "แต่เมื่อพูดคุย ก็มีบางคราที่ทำให้แน่ใจว่าใช่ แต่บางคราก็มั่นใจว่าไม่ใช่ ทำให้คิดไปว่า หรือข้าจะสับสนต้องการให้อาเม่ยเป็นคนนั้น แต่พอนานวันกลับรู้สึกได้เองว่า ที่ข้ามีความสุขก็เพราะอาเม่ยคนนี้"
"อา...." พระราชาฟารัคหันไปสรวลกับราชองครักษ์บาดาที่มีท่าทียินดีไม่ต่างกัน
“พระองค์รู้ ทุกคนก็บอก แต่เสี่ยวเม่ยกลับไม่เคยเชื่อว่าข้าชอบเขา”
พระราชาเลิกคิ้วสูง รอให้พระอนุชากล่าวต่อ
“เขามักถามผู้คนไปทั่วเรื่องข้ากับเก้า”
“คงเพราะเจ้ายังแสดงความหวังดีกับเก้าอยู่”
“ข้าก็ดีกับฮูดา ดีกับลูกน้องของข้าทุกคนเช่นกัน แต่ก็มีบ้างที่ยังเสียใจที่ละเลยความรู้สึกของเก้าจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น”
พระราชาหันมาซักพระอนุชา “เจ้าชอบเก้าใช่ไหม”
“เคยชอบ” แม่ทัพยอมรับ “พระองค์กำลังสงสัยว่าชอบ แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เก้าไปจากข้าง่ายๆใช่ไหม”
เมื่อพระราชาพยักหน้า แม่ทัพก็กล่าวต่อ
“ประการแรกคือเก้าต้องการรับผิดชอบต่อพริม ประการต่อมาคือนางไม่ได้ผิดอะไร และสุดท้ายคือใจของข้าเองที่กลับคิดว่า...เป็นเช่นนี้ก็ดี”
“ดีได้อย่างไร” พระราชาเสียงดัง “เจ้าสูญเสียคนรักไปทั้งคน แต่กลับคิดว่าดีได้อย่างไร เหตุใดข้าไม่ถามเจ้าตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องนะ”
“นั่นแสดงให้เห็นว่า ข้าไม่ได้รักเก้ามากพอ ข้ายอมรับมานานแล้วว่า เก้าไม่มีวันที่จะเป็นคนของข้าได้ แต่เสี่ยวเม่ยกลับยังคงทึกทักเอาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนแปลง”
พระราชาเลิกคิ้วขึ้นสูง “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“แต่ความรู้สึกของข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
พระราชาเดินวนเป็นวงกลมแล้วหยุดเดิน
“ข้าเข้าใจแล้วว่าในเวลานี้ หัวใจของเจ้าอยู่ที่อาเม่ย” ไม่เพียงสรุปเรื่องอย่างรวบรัด แต่พระราชายังหันไปขอการสนับสนุนจากราชองครักษ์บาดาที่เห็นพ้องทันที “เมื่อแผนเป็นพ่อสื่อให้เจ้ากับเก้าล้มเหลวไปแล้ว เพราะเจ้ามีใจให้กับอีกคน แต่ข้าก็ยังมีอีกคนที่พอจะกู้หน้าให้ข้าได้”
“อีกคน”
“แม่ทัพนาซิม” เมื่อเรื่องราวของพระอนุชาองค์เล็กราบรื่น ก็หันไปจัดการพระอนุชาอีกองค์ที่อยู่ห่างไกล
“อ้อ...เขาดูสนใจเก้า”
“ใช่” พระราชาตรัส “แสดงว่าเจ้าก็มองเห็น”
“ข้าเคยไปเมืองหน้าด่านโดยมีเก้าไปด้วย ก็เห็นท่านพี่นาซิมมองอยู่ แต่ไม่เห็นว่าจะพูดคุย หรือมีท่าทีพิเศษ”
พระราชาตรัส “เพราะนาซิมยังไม่รู้ว่าเก้าจะคิดอย่างไร ก็ต้องรั้งรอดูท่าทีเป็นธรรมดา แต่ผู้ชายที่ชมชอบการใช้อำนาจเช่นเรามักแพ้ทางคนอ่อนน้อม สุภาพอยู่แล้ว”
พระราชาไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกคนแสดงความเห็น ชิงตรัสขึ้นก่อน “ไปเมืองหน้าด่านคราวนี้ พาเก้าไปด้วย หากนาซิมสานต่อความสัมพันธ์ ข้าก็ต้องการให้เจ้าส่งเสริม ข้ายังคงคิดถึงความสุขเวลาที่เห็นเจ้าอยู่กับเก้าอยู่เสมอ แต่การที่เรื่องราวพลิกผันและไม่อาจหวนคืน ข้ายังต้องรับผิดชอบให้เก้ามีความสุขมากกว่าการอยู่กับหญิงที่เขาไม่ได้รัก”
“ที่ยังไม่เลิกการเป็นพ่อสื่อ ไม่ใช่เพราะท่านยังไม่ชนะฮูดาหรือ”
“ข้าไม่ยอมแพ้ต่อความริษยา และจะต้องลงโทษฮูดาเมื่อมีโอกาส แต่เวลานี้ข้ามีโอกาสที่จะได้จัดการชีวิตของเก้า”
...ตกลงพระองค์ต้องการจัดการชีวิตของเก้า หรือของท่านพี่นาซิมกันแน่..
“ไม่ใช่ว่าท่านลงโทษฮูดาไปแล้วหรือ”
“นั่นยังไม่พอ”
”นอกจากนี้ท่านยังต้องการเข้าไปจัดการชีวิตขององครักษ์เก้าอีกครั้ง”
พระราชายอมรับ “ข้าส่งเขาไปให้เจ้า ก็เพื่อให้เจ้ามีความสุข แต่เพราะฮูดา ทำให้พวกเจ้าทั้ง 2 คนมีแต่ความทุกข์”
“ความทุกข์นั้นอยู่เพียงชั่วคราว ข้ายอมรับได้เพราะพริมเป็นคนดี ส่วนข้าเองวันนี้ก็มีความสุขดี”
“พริมและครอบครัวเป็นคนดี ไม่ได้หมายความว่าเก้าจะมีความสุขไปด้วย”
“ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าไม่มีความสุข เก้าไปหานางทุกครั้งที่มีโอกาส”
แม่ทัพมองหน้าพระเชษฐาแล้วหันไปหาราชองครักษ์บาดาที่รีบหันไปมองทางอื่น
พระราชาฟังเรื่องราวจากราชองครักษ์บาดา และราชองครักษ์บาดาก็ย่อมรับฟังเรื่องมาจากองครักษ์รอมกับองครักษ์คนอื่น
พระราชายิ้มอย่างคนที่เหนือกว่า “ข้ารู้เรื่องของพวกเจ้า โดยที่ไม่ต้องไปเฝ้าหน้าบ้านใคร”
“ข้าไม่ได้ไปเฝ้ารอเก้า”
พระราชายิ้มกว้างรู้ทันพระอนุชา “เจ้าไปตามหาเสี่ยวเม่ยของเจ้า รวมถึงการทำทีว่าจะไปที่อื่นแล้วสุดท้าย ก็แสร้งว่า บรรดาลูกน้องของเจ้ากดดันให้เจ้าต้องไปหาเสี่ยวเม่ยที่บ้านต้าซันด้วย”
“พระราชาฟารัค พระองค์ส่งคนสะกดรอยข้าหรือไร”
“แน่นอน” พระราชาเท้าเอว ยืดตัว “ข้าคือพระราชาบ้าอำนาจที่มีน้องชายเกเรตั้ง 2 คนเชียวนะ”
เมื่อจัดการเรื่องราวทุกอย่างที่ดำริไว้ จู่ๆ พระราชาก็ใช้นิ้วชี้กดที่ขมับด้านขวา ท่าทีผ่อนคลายสลายไป เหลือเพียงความกังวลอย่างแท้จริง
“เสี่ยวเม่ยของเจ้า ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็น”
แม่ทัพเชมัลถอนหายใจหนัก แล้วพยักหน้า
“เมื่อแรกที่เจ้าพาเขามาหาข้า เขายังมีกลิ่นไฟ แต่กลิ่นนั้นไม่ได้เกิดจากการใช้ไฟในการทดสอบ”
พระราชามองน้องชายนิ่งๆ ขณะที่ตรัสต่อ “สิ่งที่เขาทำ มันจะกลับมาทำร้ายเขา และเจ้าเอง เจ้ายังคิดที่จะเปลี่ยนใจหรือไม่”
แม่ทัพเชมัลคลี่ยิ้มกว้าง “ข้าพบเจอผู้คนมามากมาย กว่าที่จะพบคนนี้ที่ทำให้ข้ารักตัวเองมากขึ้น ต้องการทำในสิ่งดีๆ เพื่อผู้อื่น ข้าย่อมไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน”
“เจ้าแน่ใจว่ารักเสี่ยวเม่ย”
“ข้ารักเสี่ยวเม่ย และจะไม่มีวันยอมเสียเขาไป ไม่ว่าอนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม”
“ดี” พระราชาลูบคาง “เจ้าต้องเปิดโอกาสให้นาซิมกับเก้า เพื่อที่ข้าจะนำมาใช้ต่อรองเรื่องของเจ้ากับเสี่ยวเม่ยในอนาคต”
แม่ทัพเชมัลไม่เข้าใจแผนการของพระราชา แต่ยังคงรับฟังต่อ
“เพียงแค่เปิดโอกาส และส่งเสริมพวกเขา ส่วนเรื่องพริม เรื่องฮูดา ข้าจัดการเอง”
หากเป็นผู้อื่นกล่าวคำเช่นนี้ วางแผนเช่นนี้ แม่ทัพเชมัลคงไม่เชื่อใจ แต่เมื่อเป็นพระราชาฟารัค ผู้เป็นเชษฐาที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้น้องชายสมหวัง แม่ทัพเชมัลก็รู้สึกวางใจ แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม
“ไปเรียกทุกคนเข้ามา เราจะต้องไปที่เมืองหน้าด่านทางเหนือ” แม่ทัพสั่งเมื่อก้าวเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ของค่ายทหาร
ตามแผนการมีเพียงองครักษ์ซันที่ต้องอยู่ที่ค่ายทหาร ส่วนที่เหลือติดตามแม่ทัพเชมัลไปที่เมืองหน้าด่านที่ใช้เวลาในการเดินทาง 2 วัน
และเป็นอีกครั้งที่องครักษ์ฮูดายังคงเป็นผู้ที่มีปัญหาในการจัดคนออกเดินทาง
“ครั้งก่อนข้าไม่ให้เจ้าไป เจ้าก็มีคำถาม ครั้งนี้ให้ไปเจ้าก็ยังมีคำถามอีก”
คนใบหน้าคมเข้ม ใช้หางตามององครักษ์เก้า “มีทั้งข้า ทั้งเก้า แล้วก็ยัง...” คราวนี้ผู้ที่ถูกมองคืออาเม่ย ที่เมื่อถูกมองก็ถามทันที
“ทำไมข้าไปไม่ได้”
พี่ใหญ่รอมบอกก่อนที่จะมีการโต้เถียงกันเกิดขึ้น “แม่ทัพจัดวางคนแล้ว ย่อมแสดงว่าทุกคนย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องทำ”
องครักษ์ฮูดาไม่กล้าเถียงพี่ใหญ่รอมอย่างที่องครักษ์เก้ากล่าวไว้
ทั้งหมดใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานนักก็ออกเดินทางในทันที
ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดแม่ทัพถึงจัดคนทำงานเช่นนี้ แต่จากการที่ต้องอยู่รั้งท้ายของกลุ่มทำหน้าที่เฝ้ามองจากทางด้านหลัง อาเม่ยคิดว่า แม่ทัพเองก็ไม่ได้อยากจัดคนเช่นนี้
ระหว่างทางพี่ใหญ่รอมเล่าเรื่องของเมืองหน้าด่านให้องครักษ์ตง โป และอาเม่ยฟัง
เมืองหน้าด่านมีครอบครัวของพระอนุชา พระราชาองค์ก่อนปกครองอยู่ ในเวลานี้ผู้ปกครองคือเจ้าชายนาซิม ซึ่งมีอาวุโสน้อยกว่าพระราชา แต่มากกว่าแม่ทัพเชมัล
อาเม่ยคิดตาม พระราชาองค์ก่อนให้น้องชายไปอยู่เมืองหน้าด่าน แต่พระราชาฟารัคให้แม่ทัพเชมัลอยู่ใกล้ตัว ทั้งไว้วางใจเรียกหาตลอดเวลา
แม้คนที่เป็นน้องจะถูกกดดันจากความระแวงว่าจะแย่งชิงบัลลังก์จากพี่ แต่มันคือทางเลือกของคนที่เป็นพี่ว่าจะวางน้องไว้ที่ไหน
“พระอนุชาของพระราชาองค์ก่อนเคยคิดแย่งชิงบัลลังก์จากพี่ชายหรือ ถึงได้ส่งพวกเขาไปอยู่เมืองหน้าด่าน”
พี่ใหญ่รอมตอบอย่างระมัดระวัง “เรื่องนั้นไม่มีหลักฐาน แต่เมื่อผู้คนพูดกันมากเรื่องขุมกำลังทางทหารที่กล้าแข็งขึ้น พระราชาองค์ก่อนก็หารือกับพระอนุชา จากนั้นพระอนุชาก็พาครอบครัวออกจากเมืองหลวง และไม่กลับมาอีกเลย”
“แต่ตอนนี้ผู้ที่ปกครองที่นั่นคือเจ้าชายนาซิม ที่พวกเราเรียกพระองค์ว่าแม่ทัพนาซิม”
ชาวเมืองวันมักจะขานคำนำหน้าชื่อด้วยตำแหน่งในกองทัพเสมอ จนวันหนึ่งก็ลืมเลือนไป
แม้แต่องครักษ์ 3 คนที่ฟังเรื่องจากรอมอยู่ก็ยังส่งเสียงว่าเพิ่งจะนึกข้อเท็จจริงนี้ออกเช่นกัน
“แม่ทัพนาซิมสมรสมาหลายปี พอมีบุตรชาย ภริยาก็เสียชีวิต พระราชาเคยมาขอหลานกลับไปเลี้ยงในวัง แต่แม่ทัพยังไม่ให้ไป”
และเมื่อต้องหยุดพักในระหว่างทาง อาเม่ยหันไปถามแม่ทัพเชมัล “ใครแนะนำให้พาฮูดา เก้าและเรามาด้วย”
“เจ้าคิดว่าใคร” แม่ทัพหันมาถาม
คนตัวเล็กหรี่ตา “พระราชาฟารัคแน่ๆ”
แม่ทัพชี้นิ้วเชิงบอกว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง
“พระราชาคนนี้ กลับไปต้องคุยกันหน่อยแล้ว ว่าทำเช่นนี้ไม่สนุกเลยสักนิด”
องครักษ์ฮูดาเองยังยอมรับ ว่าคำกล่าวของอาเม่ยนั้นถูกต้อง
“หวังว่าจะเสร็จงานแล้วจะได้กลับไปโดยเร็ว”
ถึงจะตระหนักว่า พี่ใหญ่รอมทั้งกล่าวปราม และส่งสายตาตำหนิที่ใช้คำพูดไม่สุภาพ แต่เพราะอาเม่ยเมื่อเริ่มกล่าวคำ ก็กลับไม่ยอมหยุดกล่าวโดยง่าย ทั้งแม่ทัพก็ไม่ได้ปรามคำพูด สุดท้ายพี่ใหญ่รอมต้องถอนใจหนัก
“จะอย่างไรก็ตัดสินใจแล้ว บ่นว่าไปก็เท่านั้น”
องครักษ์แซนทำให้อาเม่ยฮูดาผ่อนคลายลงด้วยการชวนกันไปหาผลไม้ป่า “เจ้ามาจากทางเหนือ น่าจะรู้จักป่าแถบนี้เป็นอย่างดี”
“บ้านข้าอยู่ในหุบเขา” อาเม่ยเกี่ยง แต่การออกนอกทางไปกับองครักษ์แซน ย่อมยังดีกว่าการที่ต้องอยู่ใกล้กับองครักษ์ฮูดาตลอดเวลา
ส่วนคนที่แทบไม่ได้กล่าวคำใดเลยก็คือองครักษ์เก้า
เมื่อถึงเวลาเย็น แม่ทัพเชมัลสั่งตั้งค่ายพักง่ายๆ บริเวณทุ่งกว้าง ไม่ได้เข้าไปพักที่หมู่บ้านใกล้เคียง
เพียงตั้งกระโจมเล็กๆ กับก่อกองไฟรอในระหว่างที่องครักษ์เก้ากับโปออกไปหาเนื้อสัตว์
ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ทั้ง 2 คนก็ถือไก่ป่าและผลไม้กลับมา
“มีแบร์รี่ไหม” แม่ทัพถามองครักษ์โป
องครักษ์ฮูดาที่ติดตามแม่ทัพมานานยังสงสัย “ท่านอยากกินแบร์รี่หรือ”
“ไม่ใช่หรอก เห็นว่ามีผลไม้มาด้วย” แม่ทัพหันมาถามองครักษ์โปอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่มี แม่ทัพมองดูผลไม้ที่หามา สลับกับอาหารที่จัดเตรียมไว้แล้วหันมาถามอาเม่ย
“ไม่มีแบร์รี่ แต่มีเมลอน กินหรือไม่”
เมื่อถูกถามโดยไม่ทันตั้งตัว อาเม่ยที่ยังคงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว และท่าทีระหว่างแม่ทัพ องครักษ์ฮูดา และองครักษ์เก้าอยู่ทั้งวันกลับสะดุ้งตกใจ
"ห๊ะ"
“ข้าถามเจ้า ว่าไม่มีแบร์รี่ มีแต่เมลอนที่ฮูดาเตรียมมาจากเมืองหลวง กับผลไม้ป่าที่โปเก็บมา เจ้าจะกินไหม ถ้าไม่กินเราออกไปเดินหาแบร์รี่กัน”
อาเม่ยหน้าตาตื่น ส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้า “ข้ากินได้”
องครักษ์ตงยิ้มกว้าง รีบผ่าเมลอนส่งให้แม่ทัพ แม่ทัพก็กลับส่งให้อาเม่ยชิ้นหนึ่ง ตนเองถืออีกชิ้นหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงออกมาด้านนอกกลุ่ม
องครักษ์ตงยังคงต้องเป็นคนที่ดันหลังให้อาเม่ยตามแม่ทัพออกมา
“เหตุใด จู่ๆ พูดถึงแบร์รี่”
“ก็เจ้าชอบแบร์รี่”
“อ๋อ..” อาเม่ยลากเสียงยาวแล้วหัวเราะอารมณ์ดี “คิดว่าท่านลืมไปแล้วเสียอีก”
แม่ทัพส่ายหน้า กัดเมลอนในมือแล้วหันไปเช็ดมุมปากให้อีกคน
“ฮูดาทำไก่ป่ารสชาติดีมาก เจ้าต้องลองชิมดู แล้วตัดสินว่า ระหว่างแบร์รี่ที่เจ้าชอบกับไก่ป่า เจ้าชอบสิ่งใดมากกว่ากัน”
อาเม่ยทำปากยื่น “ไม่ต้องรอชิมก็รู้แล้วว่า ต้องฝีมือฮูดา”
“เจ้าเคยชิมแล้วหรือ” แม่ทัพหันไปมองฮูดาที่กำลังยิ้มกว้างเมื่อมีคนชมฝีมือ “เจ้าเคยทำให้เสี่ยวเม่ยชิมตั้งแต่เมื่อใด”
“ที่บ้านพี่ต้าซันไง” อาเม่ยบอก “แล้วกลิ่นหอม....ขนาดนี้ ท้องไส้ข้ากำลังตีกลองร้องเรียกอาหารอยู่ได้ยินไหม” คนช่างพูดมององครักษ์ฮูดาที่กำลังอารมณ์ดีแล้วหันมาหาแม่ทัพ
“ท่านทำอาหารสู้ฮูดาไม่ได้หรอก”
“เหตุใดจะสู้ไม่ได้ ก็แค่ทำอาหาร”
แม่ทัพบอกแล้วลุกกลับมาที่เตาทำอาหาร
“พี่เก้ากับโป ไปเตรียมหาเนื้อสัตว์มาเพิ่มได้เลย เพราะแม่ทัพจะทำของเสียหายแน่ๆ” อาเม่ยบอก
“ไม่ต้องเลย ก็แค่ทำอาหาร รับรองว่า ข้าทำออกมาดีที่สุด”
“จริงนะ” อาเม่ยถาม ทำสีหน้าไม่มั่นใจ
“จริงสิ”
“จริงนะ”
“จริงสิ ข้าทำได้”
“ข้าว่า....อย่าเลย”
“ข้าทำอาหารได้นะ”
อาเม่ยพยักหน้า “ก็ได้ ท่านทำอาหารได้ แต่มื้อนี้ให้ฮูดาทำอย่างเดิมดีกว่า”
“แต่ข้าทำได้จริงนะ”
อาเม่ยแกล้งลากเสียง “รู้แล้ว...ว่าท่านทำได้ ทำได้ดีกว่าฮูดาด้วย” กล่าวแล้วก็เดินหันหลังให้กลับออกมา
แม่ทัพต้องเป็นฝ่ายเดินตามมา
“ข้าทำอาหารได้”
“ฮื่อ เช่นนั้นแหละ”
“เสี่ยวเม่ย” แม่ทัพเรียก
“แม่ทัพขี้อิจฉา” อาเม่ยหันกลับมาทันที
“เสี่ยวเม่ย เจ้าเด็กแสบ”
“แม่ทัพตัวใหญ่ หล่อน้อย แล้วก็ยังขี้อิจฉา”
“เจ้านี่มัน....” แม่ทัพกล่าวแล้วหันไปหัวเราะกับรอมพี่ใหญ่ของกลุ่ม “ลูกน้องของเจ้านี่มันช่างเถียงเสียจริง”
หลังมื้ออาหารผ่านพ้น องครักษ์แซนกับตง อาสาอยู่ยามก่อน และหลังเที่ยงคืนจึงเป็นองครักษ์เก้ากับโป
“ข้าล่ะ” อาเม่ยถาม “ให้ข้าอยู่กับตงก็ได้”
นั่นหมายถึง 4 คนที่อยู่ในกลุ่มรุ่นเล็กจะต้องเฝ้าเวร ซึ่งทุกคนเห็นดีด้วย
แต่เมื่อทุกคนแยกไปพักผ่อน แม่ทัพกลับเดินออกมาจากกระโจมที่พัก
“เสี่ยวเม่ยอยู่กับตงหรือ”
ทั้ง 2 คนตอบว่าถูกต้อง
“ท่านต้องการสิ่งใด” อาเม่ยถาม แต่แม่ทัพไม่บอกทั้งเดินนำออกมานั่งลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ อาเม่ยตามมานั่งลงข้างๆ
“มีเรื่องไม่สบายใจหรือ”
“ไม่หรอก”
อาเม่ยพยักหน้า แต่พอจะลุกขึ้นแม่ทัพก็คว้าข้อมือไว้
“มีอันใด”
“นั่งอยู่ด้วยกันก่อน”
“เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก ผู้อื่นไม่ต้องนอนพักกันพอดี”
“เช่นนั้นก็อยู่เฉยๆ”
แม่ทัพดึงข้อมือให้เข้ามานั่งใกล้แต่ไม่ได้กล่าวคำอะไร
มีเพียงดวงตาสีเข้มที่มองไปรอบๆ แล้วหันกลับมามอง
“ง่วงหรือ”
“ไม่หรอก”
มือใหญ่จับเอวของอีกคนให้ขยับเข้ามาใกล้จับศีรษะเล็กให้พิงไหล่ “หลับเถิด”
อาเม่ยขืนตัว แต่แม่ทัพดุ “อยู่นิ่งๆ เป็นหรือไม่”
“ข้าว่ามันไม่ใช่นะ”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้าสักคำว่าใช่หรือไม่ใช่ ข้าบอกให้เจ้าหลับ และอยู่นิ่งๆ”
“แต่ข้าต้องอยู่ยามคู่กับตง”
“ก็อยู่ไปสิ”
“นั่งอยู่แบบนี้ ไม่เรียกว่าอยู่ยามหรอก”
“หรือจะเข้าไปพักในกระโจม แล้วให้ข้าเรียกรอมออกมา”
“แม่ทัพเชมัล” อาเม่ยหันกลับไปมองภายในค่าย จึงเห็นว่า ตอนนี้พี่ใหญ่รอมกำลังเดินยามคู่อยู่กับองครักษ์ตง และมีพลทหารอีก 2 คนอยู่อีกด้านของกระโจม “พี่ใหญ่ตื่นแล้วจริงๆ”
แม่ทัพยิ้มไม่เปิดริมฝีปากแล้วลุกขึ้น แต่ยังคงดึงมือให้อีกคนลุกขึ้นมาด้วย
“เจ้าต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
“เพราะข้าต้องอยู่ยาม แต่กลับต้องรบกวนพี่ใหญ่ให้ตื่นขึ้นมา”
จู่ๆ แม่ทัพก็กลับหันมามองคนช่างพูด ไม่ได้ต่อคำด้วย ทำให้อีกคนสงสัย
“ท่านมีเรื่องในใจใช่ไหม”
“มี” แม่ทัพยอมรับ แล้วย้อนถาม “เจ้าล่ะ มีเรื่องในใจใช่ไหม”
อาเม่ยหันไปมองทางอื่น ปิดบังความในใจ “ท่านไปพักเถิด”
แม่ทัพคลายมือออก แต่ก้าวเดินไปได้เพียง 2 ก้าว ก็กลับมาคว้าข้อมือให้เดินมาด้วยกัน
“เจ้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะต้องอยู่เวรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” แม่ทัพชี้บอกให้อาเม่ยนอนบนเตียงผ้าใบ ส่วนตัวเองกลับล้มตัวลงนอนพื้น ที่เป็นที่นอนของรอม “ห้ามกล่าวคำแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้น ข้าจะขึ้นไปนอนกับเจ้าบนเตียง”
อาเม่ยอ้าปากจะกล่าวคำแม่ทัพก็ขยับตัวจะลุกขึ้นมา จึงต้องหยุดปาก แล้วล้มตัวลงนอน
...จบตอนที่6...