ตอนที่ 5รอม องครักษ์พี่ใหญ่แห่งแม่ทัพเชมัล และเก้าองครักษ์ลำดับที่ 5 แห่งแม่ทัพเชมัล กำลังศึกษาแผนที่ที่จะใช้ในการเดินทางไปเมืองทางเหนืออยู่ภายในห้องทำงาน ของอาคารด้านหน้าของค่ายทหาร แต่จู่ๆ อาเม่ยองครักษ์คนใหม่ก็โผล่พรวดเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงดัง
“ท่านพี่ใหญ่รอม ข้ามีคำถาม” เสียงดังหยุดลงทันที เมื่อเห็นองครักษ์เก้าอยู่ในห้องด้วย “เก้าก็อยู่ที่นี่หรือ”
“เจ้าผู้นี้มีคำถามทุกวัน” องครักษ์พี่ใหญ่รอมกล่าวแล้วกวักมือเรียกให้อาเม่ยเดินเข้ามาในห้อง
“ข้าต้องออกไปก่อนไหม” องครักษ์เก้าถาม แต่อาเม่ยยักไหล่
“ฟังด้วยกันก็ได้”
“คำถามของเจ้าล่ะ” พี่ใหญ่ถามด้วยรอยยิ้มใจดี
“แม่ทัพทดสอบเก้ากับเพื่อนๆ แล้วเหตุใดท่านส่งเก้าไปให้ท่านบาดา ท่านบาดาพาไปหาพระราชา แล้วก็กลับมาที่นี่อีก”
พี่ใหญ่รอมคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมให้กับความคิดซับซ้อน
“ผู้ที่มีหน้าที่ทดสอบทหารใหม่มีเพียงข้ากับท่านบาดาเท่านั้น”
“แต่แม่ทัพทดสอบข้า” อาเม่ยถาม แล้วโบกมือวุ่นวายก่อนที่จะเริ่มตั้งคำถามใหม่ “เช่นนั้นใครทดสอบเก้ากับเพื่อน”
“ท่านบาดา” พี่ใหญ่รอมตอบ รอคอยคำถามต่อไป
“ท่านบาดาจัดเพื่อนของเก้าคนอื่นๆ ไปอยู่ที่นั่นที่นี่ แต่เขาพาเก้าไปหาพระราชา” คำกล่าวของอาเม่ยยังปราศจากราชาศัพท์อยู่เช่นเดิม
“ใช่”
“เหตุใด”
“เพราะเวทย์ธนูและความสุภาพ ที่ควรไปอยู่ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่แนวหน้า”
อาเม่ยยังไม่เคยเห็นฤทธิ์ธนูขององครักษ์เก้า จึงได้แต่มองดูอาวุธที่วางอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง
“ผู้ใช้ธนูย่อมมีจิตใจแน่วแน่”
“นั่นเป็นความจริง”
อาเม่ยยกมือขึ้นสรุปคำถามที่คิดไว้นานแล้ว “แต่ฮูดาสามารถเข้าถึงจิตใจของเก้าได้ ดังนั้น ฮูดาต้องเป็นผู้ใช้เวทย์อ่านจิต”
พี่ใหญ่รอมส่ายหน้า “ที่นี่ไม่มีใครใช้เวทย์ดำ”
“ก็เขา...” อาเม่ยชี้ไปที่องครักษ์เก้า ทำให้พี่ใหญ่รอมลากเสียงแสดงความเข้าใจ
“ฮูดาเป็นผู้สัมผัสดิน” พี่ใหญ่อธิบาย “เมื่อเขาสัมผัสดิน เขาสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวในที่ห่างออกไปได้ และนั่นทำให้เขามีความแม่นยำในเรื่องการสัมผัสจิตใจที่อ่อนแอ” คำกล่าวตรงไปตรงมา “แม้เก้าจะมีความภักดีต่อแม่ทัพ แต่ก็กลับเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตนเอง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการต่อสู้”
“พอดื่มเหล้า เกิดช่องว่างในจิตใจ เขาจึงลวงให้ท่านเข้าหาแม่หญิงพริม” อาเม่ยหันไปสรุปกับองครักษ์เก้า “แล้วเหตุใดท่านจึงไม่บอกความจริงกับแม่ทัพ”
องครักษ์เก้าส่ายหน้าเพราะเคยตอบอาเม่ยไปแล้ว
พี่ใหญ่รอมเป็นคนบอกอีกครั้ง “แม่ทัพรู้ว่าฮูดาทำอะไร” มือใหญ่ชี้บอกให้อาเม่ยนั่งลง “ผู้ใช้เวทย์ทุกคนย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ก็คือแม่ทัพ กับ เก้า ไม่ใช่คนอื่น”
พออาเม่ยหันไปมององครักษ์เก้า ก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
“เจ้าควรดีกับคนที่ดีกับเจ้า ถ้าเขาร้ายมาเจ้าต้องร้ายกลับไปให้มากกว่าเดิมร้อยเท่า” อาเม่ยท่าทางจริงจัง
“หากทำเช่นนั้นผู้ที่จะลำบากใจ คือท่านแม่ทัพ”
อาเม่ยหันไปทำหน้าตาพิกลกับพี่ใหญ่รอม เมื่อองครักษ์เก้ากล่าวคำเดิม
“ข้าลำบากใจเรื่องอะไร” แม่ทัพก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์ซันและแซน พอเห็นอาเม่ยอยู่ในห้องก็รู้คำตอบ “เจ้านี่มันช่างสงสัย”
หนุ่มตัวเล็กทำตาขวาง “แต่ข้าไม่สงสัยหรอกนะ ว่าแต่ละวันท่านไปไหนนักหนา”
“ผู้ใดไปไหน มีแต่พระราชาที่ให้ข้าเข้าวังไปทำงาน”
“อ้อ...” อาเม่ยลากเสียงล้อเลียน “คิดว่าไปร้าน....”
คนตัวเล็กพูดไม่จบคำแม่ทัพก็รีบใช้มือปิดปาก “รีบออกไปหาตง แล้วชวนกันไปเดินเล่นที่เขตทางใต้”
“เขตนั้นมีอะไร” อาเม่ยย้อนถาม
“ไม่รู้เช่นกันว่ามีอะไร แต่เจ้ากับตง ต้องไปดู” แม่ทัพย้อนแล้วหัวเราะ
“มีความสุขจริงนะ เวลาเถียงชนะทหารใหม่”
“ใครบอกว่าข้าดีใจที่เถียงชนะเจ้า แต่เพราะวันนี้พระราชาอารมณ์ดี พระราชทานของฝากให้พวกเราทุกคนต่างหาก”
“ของข้าล่ะ” อาเม่ยทำตาโต มองกล่องของในมือขององครักษ์ซัน แต่แม่ทัพบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดกล่อง
“ไปทำงานก่อนแล้วกลับมาเอาของ”
อาเม่ยทำหน้าตาไม่พอใจ แต่ก็ออกมาตามหาองครักษ์ตงที่โรงเสมียน เพื่อไปที่เขตใต้ด้วยกัน
เขตใต้เป็นย่านที่ผู้คนส่วนใหญ่จะทำงานในวังของพระราชา และพนักงานของทางการ
“บ้านของท่านพี่ฮูดาอยู่แถวนี้” องครักษ์ตงบอก “หากแถวนี้มีอะไรผิดปกติ เขาน่าจะรู้ก่อน”
อาเม่ยตั้งข้อสังเกต “พวกเขาคงมีอะไรที่จะคุยกัน แล้วไม่อยากให้พวกเราได้ยิน”
“จะอย่างไรก็รู้อยู่ดี” องครักษ์ตงบอก แล้วพาไปที่วัดด้านท้ายของเขต ซึ่งมีทั้งสุสาน ลำคลอง ข้ามฝั่งไปคือชุมชน
คนที่มีเวทย์ทางเพลงหยุดยืนบนสะพานมองไปที่ย่านชุมชน อาเม่ยก็ถามขึ้น
“ที่นี่มีพ่อค้าเร่ และขอทานมาก”
“ใช่” องครักษ์ตงบอกแล้วหันมายิ้ม “และมีมากกว่าที่ผ่านมา เราไปเดินเล่นดูสินค้าของพ่อค้าเร่กันสักพักเถิด”
เป็นทหารใช่ว่าจะมีเงินมากมาย องครักษ์ตงกับอาเม่ยหยุดยืนดูมายากลของพ่อค้าเร่ แล้วให้ทานไปด้วยเงินเหรียญ จากนั้นก็พากันกลับมาที่ค่ายทหาร
“คราวหน้า หากจะมาเขตชุมชนท้ายเขตใต้ ต้องขอเงินเหรียญจากท่านแม่ทัพมาด้วย” อาเม่ยบอก
เมื่อเดินมาใกล้ค่ายทหาร
พ่อค้าที่แผงน้ำชา สะกิดบอกชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าสะอาดตาที่นั่งรออยู่ ว่าองครักษ์ตงกับเม่ยกลับมาแล้ว ชายหนุ่มบอกขอบใจวางเงินค่าเครื่องดื่มแล้วเร่งเท้าเข้ามาทัก
“องครักษ์อาเม่ยใช่หรือไม่”
อาเม่ยตอบรับ ท่าทางของชายผู้นี้ดูคุ้นตา ใบหน้าคมคาย รูปร่างสูง ไหล่กว้าง
ขณะที่อาเม่ยยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้จัก แต่ชายผู้นั้นก็แนะนำตัว “ข้าคือต้าซัน เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
“ต้าซัน....” อาเม่ยพูดทวนแล้วก็นึกออก “ท่านคือพี่ใหญ่”
“ใช่แล้ว เป็นเจ้าจริงๆ” ต้าซันกอดน้องชายไว้แน่น “ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอกับเจ้าแล้วเสียอีก” ไม่รอให้อีกคนตอบคำถาม “พ่อพาเจ้าออกมาจากหมู่บ้านหรือ ดีจริง พ่ออยู่ไหนล่ะ”
ต้าซันถามถึงพ่อ แต่อาเม่ยหันไปบอกกับองครักษ์ตง ว่าพบเจอกับพี่ชายที่ไม่ได้พบกันมานาน มีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมาย
“เช่นนั้นข้าจะกลับเข้าค่ายไปแจ้งแม่ทัพ” องครักษ์ตงบอก แล้วกลับไปที่ค่ายทหารตามลำพัง
“ที่พักของท่านอยู่ที่ไหน” อาเม่ยถามด้วยความยินดี ลืมเรื่องของพระราชทานไปเสียสิ้น
“อยู่ใกล้กับเขตใต้”
“พวกเราก็เพิ่งจะมาจากทางนั้น”
ต้าซันบอก “ใกล้ได้เวลาอาหารเย็น พวกเรากลับไปคุยกันต่อที่บ้านเถิด”
ระหว่างที่เดินมาด้วยกัน ต้าซันยังคงถามไถ่ถึงเรื่องที่บ้านตลอดเวลา
“ข้าได้ยินข่าวร้ายที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้าน ก็ยังคิดเป็นห่วงพวกเจ้าอยู่ แต่อีกใจก็คิดว่าพ่อกับเจ้าต้องไม่เป็นไร ข้าดีใจจริงๆ ที่เจ้าไม่เป็นไร”
บ้านของต้าซันเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ที่มีพื้นที่เล็กๆ หน้าบ้าน
“ตอนที่แม่พาข้าออกมาจากหมู่บ้าน เราเช่าบ้านอยู่หลังตลาด แต่เมื่อแม่กับข้าได้ทำงานในวัง เราก็เก็บเงินจนซื้อบ้านหลังนี้ได้” ต้าซันเล่าด้วยความภูมิใจ
“ดีจริง” อาเม่ยนึกคำพูดไม่ออก ความยินดีที่ได้พบเจอพี่ชาย มาถึงเวลานี้กลับถูกบางสิ่งเข้ามาบดบัง
ต้าซันเปิดประตูหน้าต่างบ้าน หันไปต้มน้ำชา เตรียมของว่างขณะที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตในเมืองหลวงไปเรื่อย
“ตอนแรกที่มาถึง แม่พาข้าไปเรียนหนังสือละแวกบ้าน ส่วนแม่ได้เล่นดนตรีในวัง จากนั้นก็พาข้าไปเล่นดนตรีด้วย”
“เจ้าชอบเล่นดนตรีอยู่แล้ว”
อาเม่ยบอกขณะที่มองดูเครื่องดนตรีบนหลังตู้
“นั่นของแม่หรือ”
“ใช่” ต้าซันบอก “จะหยิบลงมาเล่นก็ได้”
“ไม่หรอก” อาเม่ยบอก “ข้าเล่นไม่เป็น”
“จริงสิ” พี่ชายวางขนมลงบนโต๊ะ “เจ้าไม่ชอบเล่นดนตรี แต่ชอบฟังดนตรี”
อาเม่ยนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กที่แทบไม่มีเหลืออยู่ “ทำไมถึงไปตามหาข้าที่ค่ายทหาร”
ต้าซันยิ้มกว้างขณะที่เล่าเรื่อง “มีคนเล่าว่า องครักษ์ใหม่มีดวงตาสีแปลก มาจากทางเหนือแล้วก็ชื่อเม่ย ข้าก็เลยลองไปถามหา แล้วก็เป็นเจ้าจริงๆ”
“ข้าจำเรื่องของท่านกับแม่ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” อาเม่ยสารภาพ และที่ไม่ได้ระแวงสิ่งใด ทั้งเดินตามมาจนถึงบ้านอาจเพราะความรู้สึกผูกพันในสายเลือด และความมั่นใจว่าจะไม่ถูกหลอกลวงได้โดยง่าย “ข้าพอจะจำเครื่องดนตรีของแม่ได้”
อาเม่ยชี้ไปที่เครื่องดนตรีของแม่ที่หลังตู้อีกครั้ง
“เจ้าชอบฟังเพลงที่ท่านแม่เล่น ยังคิดว่าเจ้าจะหัดเล่นดนตรี แต่สุดท้ายเจ้ากลับหยิบดาบ”
มีเสียงฝีเท้า และคนกลุ่มหนึ่งมาที่หน้าบ้าน ต้าซันหันไปมอง แล้วหันกลับมาหาอาเม่ย
“ท่านแม่ทัพกับองครักษ์มา”
“พวกเขาคงเกรงว่าข้าจะกลับค่ายไม่ถูก”
แม่ทัพเชมัลก้าวเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเป็นกันเองอย่างยิ่ง “ตงบอกว่า เม่ยพบกับพี่ชาย”
“ข้าเป็นพนักงานดนตรีในวัง” ต้าซันแนะนำตัว
แม่ทัพพยักหน้า “ข้าจำเจ้าได้” คนตัวโตบอก “ข้าไม่ได้ต้องการจะมาขัดขวางการพบกันของพวกเจ้าพี่น้อง เพียงแต่พอจะออกมา เจ้าพวกนี้ก็พากันตามมาด้วยกันทั้งหมด”
เมื่อแม่ทัพกล่าวคำ อาเม่ยก็นึกออกว่า แม่ทัพมักจะไปไหนมาไหนตามลำพังเสมอ รวมถึงการไปดักรอองครักษ์เก้าที่หน้าบ้านของแม่หญิงพริม แต่ในครั้งนี้ อาจเพราะองครักษ์ตงเข้าไปบอกเรื่องที่อาเม่ยพบพี่ชาย และเมื่อแม่ทัพจะออกไปนอกค่ายตามนิสัย องครักษ์ฮูดาที่มีนิสัยระแวงก็คงจะขอตามไปด้วย ดังนั้น พี่ใหญ่รอมที่รู้ทันความคิดของทุกคนอยู่เสมอก็ย่อมต้องตามไปด้วย ก่อนที่องครักษ์ฮูดาจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีก และแน่นอนว่าหากพี่ใหญ่รอมตามมาก็ยอมมีคนอื่นๆ ตามมาอีก
สุดท้ายจึงกลายเป็นการที่ทุกคนมาหาต้าซันด้วยกันทั้งหมด
“อาเม่ยมาอยู่ที่ค่ายหลายวันแล้ว แต่เพิ่งได้พบกับพี่ชาย” องครักษ์ซันคนอารมณ์ดีพูดขึ้น ต้าซันจึงหันไปตอบ
“ก่อนนี้มีคนเล่าว่า มีองครักษ์คนใหม่ ข้าไม่ได้สอบถามว่าเป็นใคร จนกระทั่งเมื่อบ่ายมีคนเล่าว่าองครักษ์คนใหม่มีดวงตาสีแปลกและมาทางทางเหนือ ข้าจึงไปลองถามดู แล้วก็ใช่จริงๆ” ต้าซันทำหน้าที่เจ้าของบ้านด้วยการรินน้ำชาต้อนรับทุกคน “วันนี้ เป็นวันของข้า นอกจากจะได้พบน้องชายแล้ว ท่านแม่ทัพและองครักษ์ยังมาเยือนบ้านข้าด้วย ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
“ตงก็เป็นคนร้องเพลง” อาเม่ยบอก แต่ทุกคนรีบห้ามองครักษ์ตงร้องเพลง
“เหตุใดจึงไม่ให้ท่านองครักษ์ร้องเพลง” ต้าซันคนที่ไม่มีเวทย์ และไม่รู้จักการต่อสู้ไม่เข้าใจ แม้จะเคยได้ยินเรื่องขององครักษ์ตงมาบ้าง แต่ก็เห็นว่าองครักษ์ผู้นี้ถือดาบเล่มหนึ่ง
ทุกคนพากันสนุกสนานกับการเล่าเรื่องของตง จนผู้ที่ถูกล้อเลียนต้องขอเป็นผู้ตอบคำถามนี้เอง
“ข้าใช้เวทย์บทเพลงเพื่อสังหาร แต่เพราะวันแรกที่ข้ามาที่ค่ายทหาร ข้าล้มม้าของแม่ทัพไปหลายตัว พวกเขาก็เลยไม่เชื่อข้าอีกเลย”
ต้าซันเกาหน้าผากตนเอง “บทเพลงเป็นศิลปะ ศิลปะย่อมไม่ทำร้ายผู้ใด”
“ตงไม่ได้ทำร้ายผู้ใด เขาล้มม้าของแม่ทัพ” องครักษ์โปบอกแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน ทำให้ทุกคนพลอยหัวเราะตามไปด้วย
ใกล้ได้เวลาอาหารค่ำ ต้าซันเดินเข้าครัวอีกครั้ง องครักษ์แซนขอไปช่วยในครัว แม้เจ้าของบ้านจะปฏิเสธ
“ข้าทำอาหารกินเองง่ายๆ”
ประโยคนี้ของต้าซันทำให้คนที่มีครอบครัวแล้วอย่างองครักษ์ฮูดารู้ว่าต้องทำอย่างไร
“พวกเจ้าหุงข้าวไว้ เดี๋ยวข้ามา”
ก่อนที่จะออกจากบ้าน องครักษ์ฮูดาไม่ลืมคว้าข้อมือองครักษ์ซันให้ตามมาด้วย
ทั้งคู่หายไปเพียงชั่วอึดใจก็กลับมาพร้อมกับของสด
“พวกเราเป็นทหารกินง่ายอยู่ง่าย” แม่ทัพบอก “เจ้าไม่ต้องวุ่นวายไป มานั่งคุยกัน ปล่อยให้องครักษ์ฮูดาจัดการดีกว่า”
เพียงแค่แม่ทัพเอ่ยชื่อ พร้อมคำกล่าวที่แสดงถึงความไว้วางใจ องครักษ์ฮูดาก็ยิ้มได้
อาเม่ยมองตามแล้วหันมาหาองครักษ์เก้าที่ก็ยังยิ้มค้างอยู่เหมือนกัน
...ความรักอาจมีหลายรูปแบบ และความรักโดยไม่คาดหวังว่าจะครอบครองขององครักษ์เก้าเป็นเช่นนี้เอง...
แม้จะทำงานในวังมาเป็นเวลานาน ต้าซันก็ยังประหม่าเมื่อต้องใกล้ชิดกับผู้ปกครอง ยิ่งมีแม่ทัพกับองครักษ์ทุกคนมาอยู่ในบ้านด้วยแล้ว ยิ่งนานยิ่งทำอะไรไม่ถูก ทั้งแม่ทัพยังเรียกให้นั่งคุยร่วมโต๊ะเดียวกัน
“อาเม่ยไม่ค่อยได้เล่าเรื่องที่บ้าน” แม่ทัพชวนคุย
“แม่พาข้าออกมาจากหมู่บ้านตอนที่อาเม่ยยังเล็กมาก ตัวข้าเองก็จำอะไรไม่ได้มากนัก รู้แต่ทุกคนที่นั่น....” ต้าซันนั่งหลังตรงเล่าเรื่อง
อาเม่ยตอบเหมือนกับที่เคยบอกกับแม่ทัพก่อนหน้านี้ “ผู้ชายทำนา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายทอผ้า ผู้หญิงทำนา”
ต้าซันหัวเราะพลางส่ายหน้า เช่นเดียวกับทุกคน อาเม่ยก็เลยถาม
“ก็จะให้ทำอันใดเล่า”
“เหตุใดพี่จึงเล่นดนตรี แล้วน้องชายใช้เวทย์” แม่ทัพถามในสิ่งที่อยากรู้
“แม่ของพวกเราเล่นดนตรี จึงหัดให้ข้าเล่นดนตรี....” เป็นอีกครั้งที่ต้าซันหยุดพูดแล้วหันไปมองน้องชาย “ตอนที่อาเม่ย 3 ขวบเขาเริ่ม....เล่น...”
“ดิน น้ำ ลม หรือไฟ” องครักษ์ฮูดาถาม
พี่ชายหันไปมองน้องชาย แต่น้องชายก็นิ่งเงียบ จึงตอบไปตามตรง “ทั้งดิน น้ำ ลม และไฟ พ่อพาเขาไปหาผู้เฒ่า แล้วแม่ก็ลักลอบพาข้าหนีออกมาจากหมู่บ้าน”
ขณะที่ทุกคนประหลาดใจและมีคำถาม แต่แม่ทัพกลับยกยิ้มมุมปาก
“แต่ผู้เฒ่าให้ฝึกการใช้เวทย์ไฟ เพราะมันมีประโยชน์ที่สุด” อาเม่ยหันไปพูดกับคนที่ยิ้มอยู่คนเดียว
ต้าซันเห็นด้วย “สำหรับหมู่บ้านเรา ไฟย่อมมีประโยชน์ที่สุดจริงๆ”
องครักษ์แซนที่เข้าไปช่วยองครักษ์ฮูดาเตรียมอาหาร เริ่มยกของออกมา
“เกรงใจพวกท่านจริงๆ” ต้าซันพูด
แม่ทัพโบกมือแล้วชวนเจ้าของบ้านชิมฝีมือขององครักษ์ฮูดา
เจ้าของบ้านกลับกลายเป็นแขก ส่วนแขกก็กลายเป็นเจ้าของบ้าน แม้เมื่อกินอิ่มองครักษ์ตงกับโปก็ไปช่วยกันเก็บล้าง
“เจอพี่ชายแล้วพูดน้อยลงนะ” องครักษ์ซันถามขึ้น
ต้าซันหันไปตอบ “อาเม่ยไม่ค่อยพูด”
อาเม่ยพยักหน้า แต่ทุกคนไม่เห็นด้วย
“เจ้าคนนี้มีคำถามทั้งวัน” พี่ใหญ่รอมบอก
“เถียงข้าทุกเรื่องด้วย” แม่ทัพบอกบ้าง
ต้าซันหันไปหาน้องชาย แล้วหันมาหาทุกคน “ไม่นะ อาเม่ยแทบไม่พูดอะไรเลย เขามักจะเล่น...อยู่คนเดียวเงียบๆ”
“ข้ายังเป็นเด็กดีด้วย”
และเป็นอีกครั้งที่มีเพียงต้าซัน ยืนยันคำกล่าว
ต่างคุยเล่นกันไปเรื่อย จนเมื่อมองออกไปด้านนอกเห็นบ้านเรือนหลายหลังดับไฟเข้านอนกันแล้ว แม่ทัพจึงลุกขึ้น
“วันนี้พวกเรามารบกวนเจ้านานมาก ได้เวลาที่จะต้องกลับกันแล้ว”
ทุกคนพลอยลุกตาม
ต้าซันเดินออกไปส่งแล้วหันมาหาน้องชาย
“เจ้าจะออกมาพักกับข้าที่นี่ก็ได้นะ ข้าอยู่ตามลำพัง”
อาเม่ยคิดก่อนตอบ “อาจอีกสักวันสองวัน”
ดวงตาสีแปลกมองผ่านเงาสลัวไปที่บ้านหลังถัดจากบ้านของต้าซัน เห็นคนผู้หนึ่งหลังงองุ้มนั่งอยู่หน้าบ้าน แต่อาเม่ยมองผ่านแล้วหันมาหาต้าซัน “รักษาสุขภาพด้วย”
เมื่อกลับมาถึงค่ายทหาร องครักษ์ตงถามขึ้น “เจ้ากับพี่ต้าซันมีอะไรที่เหมือนกันบ้าง”
อาเม่ยตอบอย่างภาคภูมิใจ “พวกเรามีพ่อและแม่คนเดียวกัน”
...จบตอนที่5....มาก่อนนัดอีกแล้ว เพราะเช้าวันพุธนี้มีความยุ่งเหยิงมารออยู่
และเวลาที่ลูกพี่ผมไม่อยู่ ความยุ่งเหยิงก็มักจะกลายเป็นเหตุจลาจลอยู่เสมอ
โปรดอ่านด้วยความสนุกสนาน เพราะหลังจากตอนนี้ไป...มันก็คือตอนที่ 6 สินะ
จะแวะมาอ่านข้อความที่คุณทิ้งไว้ แต่จะลงตอนต่อไป ในวันที่ 6 พฤษภาคมนะครับ
รักนะจ๊ะ ตะเอง
.น้ำชา.