ตอนที่ 3 แม่ทัพเดินนำไปเรื่อยๆ โดยมีอีกคนเดินตามมาเยื้องไปทางด้านหลัง 1 ฝีก้าว จนกระทั่งออกมานอกเมือง แม่ทัพก็หันมาคว้าข้อมือให้เดินอยู่ข้างกัน ที่นี่ไม่ใช่เส้นทางที่อาเม่ยเดินทางมาเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังคงเป็นทุ่งนาเขียวชอุ่ม ต้นไม้ใหญ่ตามคันนา และกลุ่มบ้านเรือนหลังเล็ก
เป็นบรรยากาศเย็นๆ คล้ายทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหมุนไปอย่างช้าๆ ตรงข้ามกับการใช้ชีวิตในค่ายทหาร โดยเฉพาะในเขตกำแพงวังที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด และเรื่องราวซับซ้อน ผู้คนมากมายจนยากที่จะทำความเข้าใจ
เมื่อหันไปมองคนรูปร่างสูงใหญ่ที่จับมือเดินอยู่ข้างกัน
เดี๋ยวนะ!
จับมือหรือ!
อาเม่ยยกมือตัวเองที่มีมือใหญ่กอบกุมอยู่ขึ้นมามอง แต่อีกฝ่ายทำเสียงดุในลำคอ ทั้งที่ดวงตาสีเข้มยังมองตรงไปข้างหน้า
ดวงตามองตรง ลำคอ ไหล่ หลังตรง ก้าวเท้าอย่างมั่นคง
ต่อให้เป็นคนต่างถิ่นจากแดนไกล หากมาพบเจอก็รู้ว่าคนผู้นี้เป็นทหาร ทั้งจากคำบอกเล่าของทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเป็นทหารที่มีความเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นการที่แม่ทัพเชมัล พระอนุชาของพระราชาฟารัคผู้นี้ พูดจาผ่อนคลายกับทหารใหม่ที่เพิ่งเดินเข้าไปในค่ายทหาร ทุกสายตาจึงจับตามอง
คนเหล่านี้ถือตนว่ามีเวทย์แข็งกล้า และเชื่อมั่นในเวทย์ของตนเอง หาใช่ความวางใจใน “คนแปลกหน้า” ที่ใช้พลังเวทย์ไฟเข้าทดสอบ
ตลอดเวลาที่อาเม่ยยืนอยู่ที่กลางลานประลองกับแม่ทัพเชมัล เหล่าผู้ใช้เวทย์ต่างใช้เวทย์ของตนตรวจตราที่มาของ “คนแปลกหน้า”
ขอเพียงมิใช่เวทย์ดำ เมืองวันยินดีต้อนรับผู้มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมในกองทัพ
การถูกตรวจสอบด้วยองครักษ์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทย์แข็งกล้า โดยเฉพาะแม่ทัพเชมัล ที่อ่านความคิดทั้งหมดของอาเม่ยจากทุกการเคลื่อนไหวในวันนั้น
หากเป็นผู้ใช้เวทย์ดำย่อมไม่อาจทานทน
แต่อาเม่ยไม่มีปฏิกิริยาใด นอกไปจากท่าทีลังเลเมื่อจะใช้เวทย์แห่งไฟ
กับท่าทีไม่ค่อยต้องการเล่าเรื่องที่หมู่บ้าน
การพาอาเม่ยเข้าเฝ้าพระราชาในวันถัดมา จึงไม่มีผู้ใดทักท้วง
แต่จนถึงยามนี้ อาเม่ยก็ยังสงสัยว่า คนเหล่านี้เชื่อมั่นในพลังเวทย์ของตนมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ.
อาเม่ยเหลือบตามองดวงตาสีเข้ม กับจมูกโด่ง รับกับริมฝีปากสวยอีกครั้งแล้ว ทำปากยื่นจนอีกคนหันมาถาม
“สีหน้าอะไรของเจ้า”
“อ้อ ในที่สุดก็พูดแล้ว”
แม่ทัพเชมัลเพียงยิ้มมุมปาก เดินไปถึงเนินดินสูงใต้ร่มไม้ใหญ่ ก็ดึงมือให้นั่งลงข้างๆ มองทุ่งนา
“ที่บ้านเจ้าทำนาหรือเปล่า”
“ทำสิ” อาเม่ยตอบขณะที่นั่งลงข้างๆ
“ทุกคนเลยหรือ”
“ใช่”
แม่ทัพพยักหน้า ท่าทางจะนึกคำถามต่อไปไม่ออก
นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่อยากรู้ แต่คงอยากหาเรื่องชวนคุยมากกว่า
"เสี่ยวเม่ย...แล้ว...." แม่ทัพเกาหน้าผากเมื่อจะถามต่อ ท่าทางคล้ายลังเลที่จะถามต่อทำให้ถ้อยคำถัดมาไม่ต่อเนื่องกัน "เจ้าไม่เคย...แล้ว..."
"ท่านจะถามอันใด ก็คนบ้านนอกน่ะ ปลูกทุกอย่างที่จะกิน”
อาเม่ยแน่ใจว่า ที่กล่าวออกมา ไม่ใช่สิ่งที่แม่ทัพต้องการถาม
"ท่านจะถามอันใด"
แม่ทัพหยุดมองดวงตาสีแปลกอึดใจหนึ่งแล้วส่ายหน้า เปลี่ยนใจไม่ถามในสิ่งที่สงสัย ทั้งเลือกที่จะกล่าวคำพูดคล้อยตามที่อาเม่ยกล่าวก่อนหน้านี้
“ผู้ชายทำนา ผู้หญิงอยู่บ้านทอผ้าใช่ไหม”
“ครึ่งเดียว” อาเม่ยตอบอย่างมั่นใจ “ที่บ้านเราน่ะ ผู้ชายทำนาแล้วก็มาทอผ้า ส่วนผู้หญิงทอผ้าแล้วก็ไปทำนา” ทั้งที่กล่าวคำยังไม่จบประโยค หนุ่มตัวเล็กก็กลับทำตาโต “ผลไม้!”
มือผอมๆ เด็ดผลไม้ลูกเล็กสีแดงจากพุ่มไม้ “แบร์รี่ กินไหม”
แม่ทัพส่ายหน้า “แบร์รี่แบบนี้กินแล้ว ลิ้นแดง ปากแดง”
“แต่มันเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยนะ”
อาเม่ยชวนกิน แต่แม่ทัพบอกให้กินตามสบาย
“เดินมาตั้งไกลไม่หิวน้ำหรือ”
“จะหิวน้ำก็เพราะเจ้าทักนี่แหละ” แม่ทัพบอก
“อ้าว....” อาเม่ยยื่นลูกแบร์รี่ในมือ “งั้นกินก่อน เดี๋ยวกลับไปดื่มน้ำแถวประตูเมืองกัน”
“เจ้านี่รู้เอาตัวรอดดีเหมือนกัน” แม่ทัพชมจนอีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“ก็เราเป็นลูกพ่อค้า”
“แล้วทำไมถึงฝึกดาบฝึกเวทย์ ไม่ทำการค้าแบบพ่อ”
แบร์รี่ในมือหมดแล้ว “เขาเป็นคนให้เราฝึก” คนตัวเล็กลุกขึ้นชวนกลับ “อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง กลับกันเถอะ”
แม่ทัพกลับเป็นฝ่ายเดินตามกลับมา “รู้ได้อย่างไรว่าข้าอารมณ์ไม่ดี”
“ไม่รู้หรอก เดาไปเรื่อยน่ะ”
แม่ทัพมองคนตัวเล็กแล้วหัวเราะ
“อะไร หัวเราะทำไม”
“บอกแล้วว่าอย่ากินแบร์รี่นั่น ลิ้นเจ้าแดงไปหมดแล้ว”
อาเม่ยใช้แขนเสื้อเช็ดปาก แต่อีกคนยื้อแขนไว้ “เดี๋ยวไปดื่มน้ำที่ประตูเมืองไง”
“เม่ย...”
ดวงตาสีแปลกหันมามอง “อันใด เรียกชื่อแล้วเงียบ”
“หมู่บ้านที่เจ้ามาอยู่ในหุบเขา...”
“ใช่” ดวงตาคู่นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง
“แล้วเจ้าจำ....”
“จำอันใด ท่านนี่แปลกนัก พูดจาครึ่งคำ ครึ่งประโยค”
“ช่างเถิด” คนตัวโตถอดใจยอมแพ้ แล้วเดินกอดคออีกคนกลับเข้าเมือง
...ดวงตาสีนี้ ผมสีนี้ไม่ผิดแน่ แต่จะมีประโยชน์อันใดหากจดจำเรื่องเหล่านั้นไม่ได้...
น้ำดื่มที่ประตูเมืองไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ที่ปากแดงเพราะแบร์รี่ก็ยังคงแดงจัดอยู่จนทหารยามที่แบ่งปันน้ำดื่มยังยิ้มกว้าง
แต่เมื่อเข้ามาถึงค่ายทหาร พบว่า องครักษ์ฮูดายังรออยู่
“ข้าว่า ท่านควรคุยกับฮูดากันตามลำพัง”
สิ่งที่อาเม่ยบอก ใช่ว่าแม่ทัพเชมัลจะไม่คิดไว้ในใจ แต่เพราะเกรงว่า หากทำอย่างนั้น จะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากขึ้น ถึงได้เลี่ยงออกไปนอกเมือง
องครักษ์เก้า องครักษ์ตง และ องครักษ์โป เสร็จจากการคุยเรื่องการจัดเวรกับเหล่านายกองพอดี ทั้งหมดเลยพากันไปกินอาหารที่โรงครัว
ลุงดา พ่อครัวยังคงทำหน้าที่แบบเกินพอดีเหมือนเคย
อาหารเต็มโต๊ะสำหรับคน 4 คน
อิ่มเกินอิ่ม ลุงดาถึงได้ยอมให้ 4 คนออกมา
“เก้า ถามเรื่องแม่ทัพกับฮูดาได้ไหม” อาเม่ยกระซิบถาม
“ได้สิ” องครักษ์เก้ารับคำเพราะไม่มีเรื่องใดที่เป็นความลับ แล้วชวนไปคุยต่อที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านพัก
“ท่านบอกว่า ฮูดาเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของแม่ทัพเชมัล เหมือนกับท่าน”
“ใช่” องครักษ์เก้าตอบ “แต่ท่านพี่ฮูดาเป็นคนในเมือง อายุไล่เลี่ยกับนายท่านพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนข้ามาจากหมู่บ้านทางเหนือเหมือนเจ้า”
เมื่ออยู่ส่วนตัว องครักษ์เก้าเปลี่ยนคำเรียกขานแม่ทัพมาเป็นนายท่านตามความเคยชิน โดยปราศจากน้ำเสียงโอ้อวดว่าเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ต่างจากองครักษ์ฮูดาอย่างสิ้นเชิง
....คนสุภาพแบบอาเก้าไม่เหมาะกับการเป็นทหารเลยสักนิด....
“เจ้าบอกว่าแม่ทัพไม่มีคนรัก”
“แม่ทัพไม่มีคนรัก พวกเราเป็นเพียงผู้รับใช้” องครักษ์เก้าย้ำคำพูด โดยมีอีก 2 คนสนับสนุน
...คำว่าคนรัก ใช้กับคู่รักที่คบหากัน แต่สำหรับแม่ทัพเชมัล คำนี้กลับเป็นคำต้องห้ามและมีความซับซ้อนกว่าผู้คนทั่วไป..
“เขาถึงต้องมีพวกท่าน”
องครักษ์เก้าพยักหน้า รอยยิ้มเศร้าบ่งบอกว่า ภายใต้หน้าที่ของคำว่าผู้รับใช้ คือความภักดีที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าองครักษ์ฮูดา เพียงแต่ไม่ได้แสดงออก
“เขาเป็นคนที่ครอบครองใครไม่ได้ และไม่มีใครครอบครองได้”
“แล้วท่านยังมีคนรักอยู่ข้างนอก”
“ใช่” องครักษ์เก้ายิ้มกว้าง “และข้าก็อยากแต่งงานกับนาง ถึงแม้ว่าจะทำให้ต้องออกไปอยู่ข้างนอก หรือถูกย้ายไปทำงานในวังกับราชองครักษ์บาดา”
อาเม่ยถามตรงๆ “ท่านมีใจให้กับแม่ทัพใช่ไหม”
องครักษ์เก้าโอบไหล่อีกคนไว้หลวมๆ “สิ่งแรกของการเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดก็คือต้องมีใจ แต่ยิ่งนานไป ความรู้สึกต้องการครอบครองมันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นอันตราย”
“แล้วท่านรักคนรักของท่านไหม”
“แน่นอน ตอนที่ได้พูดคุยกับนาง ข้าก็รู้แล้วว่า นี่แหละคือคนที่จะเป็นของข้าเพียงคนเดียว”
ดวงตาขององครักษ์เก้าดูแปลกไปเมื่อกล่าวคำนี้ แต่อาเม่ยคิดว่าจะเก็บไว้ถามเรื่องนี้ในวันหลัง
“ท่านก็เลยดีใจ ที่แม่ทัพพูดเล่นกับข้า เพราะคิดว่าเขาต้องการให้ข้าไปรับใช้เขา”
“ก็....” องครักษ์เก้าอยากยอมรับว่ามันคือความจริง แต่ก็เกรงว่าอีกคนจะรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินดีหรือไม่ชอบที่เขาเรียกหา แต่เพราะข้าเห็นเขาเมตตาเจ้า อย่างตงหรือโปก็ไม่ได้คุยเล่นขนาดนี้”
“พระราชาก็พูดเล่นเหมือนกัน”
“พระราชามีพระชายาแล้ว พระองค์จะไม่มายุ่งกับเจ้ามากไปกว่านั้น และอยากให้เข้าใจว่า แม่ทัพก็เป็นผู้ชายปกติธรรมดา ที่ยังมีความต้องการอยู่”
....ความสัมพันธ์เพศเดียวกันอาจไม่ยั่งยืน อยู่บนการยอมรับว่าทุกสิ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แต่การสมรสจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อต่างเพศกัน และจะคงอยู่ตลอดไป
....ก่อนแต่งงานอย่างไรก็ได้ แต่หากแต่งงานแล้วต้องอยู่กับครอบครัว
“ที่บ้านข้าไม่ได้เข้มงวดเหมือนเมืองหลวง” อาเม่ยบอก
องครักษ์โปช่วยอธิบาย “ที่บ้านข้าก็ไม่เป็น มีแต่ที่เมืองหลวงนี่แหละ ที่พวกเขามองว่า ความสัมพันธ์ชายกับชาย หรือหญิงกับหญิงล้วนเป็นเรื่องสามัญ รวมถึงหากวันหนึ่งพวกเขาจะแยกกันไปเพื่อสมรสและมีครอบครัว”
อาเม่ยส่งเสียงรับรู้ในลำคอ องครักษ์ตงก็เลยเล่าเรื่องของราชองครักษ์บาดา “ก่อนหน้านี้เขามีคนรัก” องครักษ์ตงย้ำคำ “คนรักเลยนะ เขาไม่เคยเป็นผู้รับใช้แบบพี่ฮูดาหรือพี่เก้า ค่ำลงท่านบาดาก็จะออกจากวังไปหา เป็นชายอยู่ร้านขายผ้าตรงถนนสายชายฝั่ง แต่มาวันหนึ่งพวกเขาก็แยกกัน ต่างคนต่างมีครอบครัว”
นอกจากราชองครักษ์บาดา ก็ยังมีอีกหลายคนในค่ายที่มีชีวิตรักในแบบเดียวกัน และมีไม่น้อยที่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า แม้จะไม่มีงานสมรสก็ตาม...
“ที่สงสัยขึ้นมา ก็เพราะเห็นท่าทีของท่านพี่ฮูดาใช่ไหม” องครักษ์ตงถาม
อาเม่ยยอมรับ “เรื่องการคบหากัน หรืออยู่ด้วยกันน่ะเข้าใจ ส่วนเรื่องการเป็นผู้รับใช้ พ่อเคยเล่าให้ฟัง ว่า เจ้าเมืองหลายเมืองจะมีผู้รับใช้ ซึ่งเป็นเรื่องของผู้มั่งคั่ง ไม่ใช่คนแบบเราที่หากรักกันก็อยู่ด้วยกัน แต่พอข้าเห็นท่าทีของฮูดา มันทำให้คิดว่า เขาน่าจะรักท่านแม่ทัพมาก แล้วทำไมเขาถึงยังไปชอบสตรี แล้วแต่งงานออกไป ท่านเองก็เช่นกัน”
...ยิ่งได้พูดคุยกับองครักษ์เก้า ก็ยิ่งเข้าใจว่าคนผู้นี้ก็รักแม่ทัพเช่นกัน แล้วเหตุใดจึงรักผู้อื่นได้อีก
..ยุ่งยากยิ่งนัก!
...ความผูกพันที่อาเม่ยรู้จัก คือเรื่องของหัวใจ แต่เรื่องระหว่างแม่ทัพ องครักษ์ฮูดา และองครักษ์เก้า กลับเป็นเรื่องของหน้าที่มากกว่าหัวใจ..
“ท่านสงสัยว่า ท่านพี่ฮูดาแต่งงานออกไปแล้ว เหตุใดยังหวงท่านพี่เก้าใช่ไหม” องครักษ์ตงช่วยสรุป
“ใช่”
“เพราะเขารู้จักและรับใช้แม่ทัพมานาน ย่อมผูกพันมาก” องครักษ์เก้าพูดเบาๆ
“ท่านเอง ก็รับใช้แม่ทัพ” อาเม่ยใช้คำว่ารับใช้อย่างที่อีกฝ่ายมักพูดถึง “แต่ก็ยังพอใจหญิงอื่น”
เมื่อทั้งองครักษ์เก้า องครักษ์ตง และโป ต่างเงียบไม่ตอบคำถาม อาเม่ยก็กลับไปถามเรื่ององครักษ์ฮูดาอีกครั้ง
“เขาเคย...เอ่อ หึงหวง หรือไม่พอใจท่านไหม”
“ข้าเห็นเขาทำแบบนั้นตั้งแต่วันแรก” องครักษ์ตงรีบบอก “ท่านพี่ซัน บอกว่า แม่ทัพพอใจพี่เก้ามาตั้งแต่แรก แต่พี่เก้าก็ดูนิ่งๆ แบบนี้ แล้วพี่ฮูดาก็ขัดขวางตลอด จู่ๆ คืนหนึ่งท่านก็มาเรียกพี่เก้าให้ไปหา ทำให้พี่ฮูดาโกรธ”
“ข้าไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะเรียกให้รับใช้”
“ท่านไม่คิด แต่ทุกคนคิดหมด ขนาดพี่ฮูดายังคิดเลย” องครักษ์โปบอก ทั้งที่องครักษ์ตงกับโป ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น
“แล้ว....ท่านรับมือกับฮูดาอย่างไร”
“ก็นิ่งไว้น่ะสิ” องครักษ์ตงยังเป็นคนตอบอีกครั้ง
องครักษ์เก้าส่ายหน้า ย้ำคำที่พูดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง “แล้วจะให้ทำอย่างไร พวกเราต่างก็เป็นเพียงผู้รับใช้ ไม่ใช่คนรัก”
อาเม่ยหันไปถามองครักษ์ตงกับโป “จากนั้นแม่ทัพก็ไม่เรียกฮูดาอีกเลยหรือ”
“เรียก” องครักษ์เก้าบอก “แต่เวลาที่ท่านเรียกใช้ทั่วๆ ไป ก็ยังเป็นข้า เพียงแต่เรื่องนั้น....ข้าคงทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก”
องครักษ์โปไม่เห็นด้วย “ข้าว่า ถ้าไม่เรียกเลย ท่านจะต้องโดนพี่ฮูดากลั่นแกล้งหนักกว่านี้”
“เรียกไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเรียกไปหลับนอน เรียกไปคุยงานต่างหาก” องครักษ์ตงบอก
“รู้ได้อย่างไร” องครักษ์โปหันมาถาม
องครักษ์ตงตอบทันที “ลืมไปแล้วหรือไง พี่ฮูดาเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องพักกับข้านะ ข้าต้องฟังเขาบ่นอยู่ทุกคืน”
“ท่านพี่ฮูดาไม่พอใจข้า แต่ไม่ได้กลั่นแกล้งข้า” องครักษ์เก้าช่วยแก้ไข “ตั้งแต่ที่แม่ทัพเรียกข้าครั้งแรก จนท่านพี่ฮูดาแยกออกไป มาถึงวันนี้ จำนวนครั้งที่ข้ารับใช้แม่ทัพ มันเทียบไม่ได้เลยกับช่วงเวลา 6 เดือนที่ข้าไปหาคนรักของข้า”
องครักษ์ตง โป และอาเม่ย หันมามองหน้ากันแล้ว หัวเราะร่วน จนองครักษ์เก้ารู้สึกอับอาย
“ไม่ต้องหัวเราะกันขนาดนี้ก็ได้” องครักษ์เก้าแก้เก้อด้วยการหันมาหาอาเม่ย “เมื่อข้าเห็นแม่ทัพเดินไปทักเจ้าที่หน้าค่าย ข้าถึงคิดว่า ท่านอาจพบคนที่ท่านพอใจ คนที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับใช้ใกล้ชิด”
“ก็ท่านพูดเอง ว่าเขาเป็นคนที่ครอบครองไม่ได้” อาเม่ยย้อนคำพูด ที่ทำให้องครักษ์เก้าต้องก้มหน้ากล่าวคำ
“ข้าเพียงหวัง....ว่า...จะเป็นเจ้า....”
คุยเรื่องคนนั้นคนนี้ จนกระทั่งแม่ทัพเชมัลมายืนอยู่ข้างหน้า
ทั้ง 4 คนลุกขึ้นยืนตัวตรง
“เจ้า 4 คนนี่ช่างนินทาเรื่องผู้นั้น ผู้นี้กันได้ทั้งวัน”
“อยากรู้ไหม ว่าพวกเรานินทาใคร”
แม่ทัพกอดอก หรี่ตามองสมาชิกใหม่ที่ช่างพูดคุย ยอกย้อนได้ทุกเรื่อง
“พวกเจ้าต้องนินทาข้าแน่ๆ”
องครักษ์ตง โป และอาเม่ย หันไปหัวเราะให้กัน ส่วนองครักษ์เก้าคนสุภาพก้มหน้าซ่อนยิ้ม
“เก้า”
“ครับ แม่ทัพ”
“ออกไปตรวจที่ท่าเรือ แล้วจะแวะหาแม่หญิงพริมก็ได้นะ”
องครักษ์เก้าเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพ คลี่ยิ้มกว้างกล่าวคำขอบคุณ แล้วหันมาหาอาเม่ย
ลักษณะการมองขององครักษ์เก้าทำให้แม่ทัพถามขึ้น “เจ้าตัวเปี๊ยกนี่ ทำอะไร”
“ไม่ใช่เช่นนั้น อาเม่ยไม่ได้ทำอะไร” องครักษ์เก้าชี้แจง “ข้าสงสัยว่า...แล้วคืนนี้”
“ไม่ต้องกังวล ไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด”
แต่องครักษ์เก้ากลับดูลังเล “ข้าไปเตรียมน้ำอาบ กับจัดที่นอนให้ท่านก่อนดีไหม” คนสุภาพพูดเสียงแผ่วเบา “นายท่าน”
“เรื่องพวกนี้ข้าทำเองได้” แม่ทัพ หันไปสั่งอีก 3 คน “ตง โป เม่ย ไปดูที่ประตูเมือง”
ทั้ง 3 คนรับคำสั่ง แล้วหันไปหยิบอาวุธ แต่องครักษ์เก้ายังไม่หยิบอาวุธ
“นายท่าน พวกเราอาจไม่อยู่หลายวัน”
“ข้าถึงคิดว่า เจ้าควรออกไปหาแม่หญิง” แม่ทัพจับไหล่ข้างหนึ่งขององครักษ์เก้า “ไม่ต้องกังวลเรื่องข้า มันถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเติบโตเป็นผู้ชายเต็มตัว”
“นายท่าน”
“ไปทำในสิ่งที่ข้าไม่มีโอกาส”
องครักษ์เก้าพยักหน้า “ข้าคิดว่า อาเม่ย....”
“อย่าคิดไปเรื่อยเปื่อย”
“ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านเงียบเหงา แล้วอาเม่ยก็ร่าเริงดี...”
“ข้าไม่ได้เงียบเหงา มีทหารอยู่เต็มค่าย กลางดึกก็ถูกปลุกให้เข้าวัง มีเวลาไหนให้เงียบเหงา”
องครักษ์เก้าพยักหน้าทั้งที่ไม่ค่อยเห็นด้วย
“พรุ่งนี้เช้าข้าจะรีบกลับมา”
“ขอร้องละ” แม่ทัพมีสีหน้าเหนื่อยหน่าย “ขอข้านอนสบาย อย่ามาปลุกข้าแต่เช้ามืดเลย”
“ไม่ปลุกก็ได้ แต่....”
“ไปทำงาน แล้วก็ไปหาแม่หญิงของเจ้าเถอะ”
แม่ทัพตัดบท ดันไหล่คนสุภาพให้ออกเดิน
อาเม่ยได้ยินทุกคำพูด เห็นทุกการกระทำ
การเรียกขานแม่ทัพว่านายท่านเมื่อสนทนาในเรื่องส่วนตัว บ่งบอกถึงการแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวกับการทำงาน และไม่ว่าองครักษ์เก้าจะเรียกสิ่งที่ทำว่าอะไร อาเม่ยก็ยังคงเห็นว่ามันเป็นความรัก และความภักดีโดยบริสุทธิ์ใจ
…รูปแบบของความรัก และการใช้ชีวิตแบบคนในเมืองที่ชาวบ้านแบบเราไม่มีวันเข้าใจ....
แล้วมันเรื่องอะไรที่ข้าถึงได้คาดหวังว่าแม่ทัพจะเรียกหา
ฟังทุกคนพูดมากไปหรือไง ถึงได้หลงตัวเองว่าแม่ทัพพอใจข้ามากกว่าความต้องการให้เป็นผู้รับใช้
...เพิ่งจะเป็นทหารได้ข้ามวันเองนะ
...คนที่แม่ทัพพอใจ ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเก้าคนสุภาพ เรียบร้อยคนนั้นต่างหาก
...พวกเขาต่างมีความรู้สึกที่ดี
...หากอยู่ด้วยกัน อย่างไรก็มีบุตรไม่ได้ ไม่มีปัญหาเรื่องแย่งชิงบัลลังก์พระราชาอยู่แล้ว
...ทำไมพวกเขาต้องทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจ...
...จบตอนที่ 3...ก่อนนี้สัญญาว่าจะมาวันพุธ แต่สัญญาณเน็ตมันอืด หนืด เหนียวเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อพอจะเจอสัญญาณจึงต้องรีบลงไว้ก่อนที่สัญญาณจะแวบหายไปเสียอีก
ตอนที่สี่มาวันพุธที่ 22 เมษายนนะครับ
สำหรับคุณที่อยากคุยกันในเฟส รบกวนพิมพ์ในกล่องบอกผมนิดนะครับ ว่ามาจากเล้าเป็ด หลายคนที่ขอแอดมาแล้วไม่ได้บอกก่อน ผมลบไปหมดแล้ว ถ้ายังอยากคุยกันอยู่ก็ทักมาใหม่นะครับ
ผมกลัวเข้ามารู้จักกันเพื่อขายของน่ะครับ
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์กับทีครับ