ตอนที่ 9อาเม่ยเคยคิดล่วงหน้าไปตามนิสัย ว่าหากแม่ทัพเชมัลมีความพอใจตนเองตามที่ทุกคนกล่าวกันอยู่เสมอ ผู้ที่จะรู้สึกลำบากใจมากที่สุดในยามพบหน้าคือองครักษ์เก้า แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงกลับพบว่า การเข้าหน้าองครักษ์ฮูดาคือเรื่องที่ลำบากใจมากกว่า
เมื่อออกจากบ้านพักของแม่ทัพกลับมาถึงบริเวณที่พักของเหล่าองครักษ์ จึงพบกับทุกคนรวมถึงองครักษ์ฮูดา และองครักษ์เก้า
องครักษ์เก้าหันมามองด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยความยินดี
...ช่างเป็นรอยยิ้มที่ทำให้อีกคนเก้อเขิน...
ส่วนองครักษ์ฮูดาหันมามองแล้วกลับไปให้ความสนใจการเตรียมอาวุธเหมือนเดิม
…แต่ความนิ่งเฉยแบบฮูดากลับทำให้รู้สึกต้องการเข้าใกล้มากกว่าท่าทีเป็นมิตรของเก้า..
อาเม่ยเดินเข้าไปหาองครักษ์ฮูดา “ฮูดา”
คนตาคมตวัดตามอง เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ห้วนและแสดงถึงความไม่เป็นมิตร “เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านพี่”
ความภาคภูมิใจ และความมั่นใจขององครักษ์ฮูดาไม่เคยเป็นรองใคร
ยิ่งยามนี้ ยิ่งเหมือนกับมีรั้วหนามขวางกลางระหว่าง 2 คน
อาเม่ยทำหน้าพิกล “ข้าก็แค่....”
พอองครักษ์ฮูดาหันมามองเต็มตาด้วยสายตาเย็นชา อาเม่ยก็ต้องลดเสียงเบาลง
“คือข้ายังไม่ได้...ท่านพี่”
อาเม่ยไม่เคยมีท่าทีแบบนี้ ไม่ว่ากับใครทั้งสิ้น ทำให้อีกคนต้องคลายยิ้ม
แต่ยังมีบางเรื่องที่ไม่ควรกล่าวต่อหน้าผู้คนมากมาย
องครักษ์ฮูดาพยักหน้าให้อีกคนเดินตามมาพูดคุยในที่ห่างออกมาอีกหลายก้าว
แต่ทั้งอยู่ห่างจากคนอื่น คนตาคมก็ยังก้มลงกัดฟันกระซิบ
“ข้ารักแม่ทัพเชมัลมานานหลายปี และข้าไม่เคยชอบเจ้า แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขารักเจ้า และข้ารอวันที่เจ้าจะทำให้เขาเสียใจ เพราะเมื่อถึงวันนั้น ข้าจะจัดการเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”
ประโยคขององครักษ์ฮูดาฟังยาก เข้าใจยาก แต่เมื่ออาเม่ยเงยหน้าขึ้นสบตา คนตัวเล็กกว่าก็กลับยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง
...นั่นเป็นคำอวยพรที่แปลกประหลาด แต่เป็นคำกล่าวที่จริงใจอย่างที่สุด
องครักษ์ฮูดาและองครักษ์เก้าต่างก็เป็นคนในอดีตของแม่ทัพเชมัล
ความรักของพวกเขาข้ามผ่านความต้องการครอบครองไปแล้ว
มีแต่ความภักดีโดยบริสุทธิ์ใจ
เพียงคนที่ถือเกียรติอย่างองครักษ์ฮูดา จะให้ยิ้มกว้าง ยอมรับ และกล่าวยินดีอย่างอ่อนหวานย่อมเป็นไปไม่ได้
คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าแล้วกอดแขนขององครักษ์ฮูดาไว้
“ข้ายังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร”
“อนาคตเจ้ามันเรื่องของเจ้า ข้าสนใจแต่เรื่องที่เกี่ยวกับแม่ทัพเท่านั้น”
“โห....” อาเม่ยลากเสียง
“ทำไม่ได้ใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะได้จัดการเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย”
พอองครักษ์ฮูดาเงื้อมือ อาเม่ยก็ยิ่งกอดแขนแน่นขึ้น จนองครักษ์ฮูดาสงสัย
“การต่อสู้อันใดของเจ้ากัน ข้าเงื้อมือแล้วเจ้ากลับยิ่งกอดข้า”
“นี่คือท่าไม้ตายของข้าไง สู้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องหนีให้เสียเวลา”
องครักษ์ฮูดาหันไปมองแม่ทัพเชมัลที่กำลังมองมา เช่นเดียวกับคนอื่น และเสียงหัวเราะประสานอยู่รอบตัว
คนตาคมก้มลงมองคนที่ยังกอดแขนอยู่
ดวงตาสีแปลก เส้นผมสีแปลก นิสัยร่าเริง
....ข้าไม่ใช่ผู้พยากรณ์ มองไม่เห็นอดีตและไม่ล่วงรู้อนาคต แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกว่าครานี้แม่ทัพเชมัลจะต้องเสียใจอย่างใหญ่หลวง
...เป็นความรู้สึก หรือคือเบื้องลึกในจิตใจที่อยากให้เกิดขึ้น….
…คนเพียงผู้เดียวที่แยกแยะได้คือพระราชาฟารัค...
และในขณะที่องครักษ์ฮูดายังคงระแวดระวัง องครักษ์เก้ากลับผ่อนคลายยิ้มแย้มมากขึ้น เพราะมีคนจากหมู่บ้านเดียวกันหลายคนประจำอยู่ที่ด่านชายแดนแห่งนี้ ทำให้มีความคุ้นเคยกับผู้คนมากมาย และสามารถแยกไปพูดคุยกับผู้อื่นได้ง่าย
เมื่อพบพ่อค้าจากต่างแดนที่เข้ามาส่งสินค้าได้เพียงตลาดนัดชายแดน แล้วต้องเดินทางกลับออกไปกำลังแสดงความไม่พอใจที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไปค้าขายถึงเมืองหลวง ก็เข้าช่วยเจรจาคลี่คลาย
แม้ตลาดชายแดนจะมีพ่อค้าของเมืองวันมารับซื้อของไปหลายอย่าง แต่ก็ยังมีกำไรไม่มากนัก
นอกจากนี้เมืองวันยังติดชายทะเล สินค้าจากต่างแดนส่วนใหญ่จึงมาจากทางทะเลไม่ใช่ทางบก
ข้อได้เปรียบเพียงประการเดียวคือการลดวันเวลาในการค้าขายในเมืองวัน
“จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน ไปซื้อหาสินค้าจากอีกเมืองมาขายได้อีก ไม่ดีหรือไร” องครักษ์เก้าถาม
แต่พ่อค้าส่ายหน้า “ไม่ได้พักหรอก เมืองอีกฝั่งก็ได้แค่เลียบเมือง ต้องเดินทางอ้อมไปหา เมืองบาสก์ กว่าจะถึงบ้าน แทบไม่เหลือกำไร”
พ่อค้าคนนี้ไม่ได้มาจากเมืองเหนือ แต่มาจากเมืองบาสก์ ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางผ่านพื้นที่รอยต่อระหว่างเมืองใหญ่เหล่านี้ ซึ่งมีแต่ชุมชนอิสระทั้งยังเสี่ยงต่อโจรร้าย
องครักษ์เก้าสอบถามสถานการณ์และกำหนดเวลาที่จะเดินทางกลับ เพราะอยากฝากคนติดตามไปด้วย
พ่อค้าไต่ถามถึงคนที่จะฝากเดินทางไปด้วย องครักษ์เก้าจึงแนะนำ และให้ข้อมูลเพิ่มเติม
“เส้นทางอันตราย ให้คนงานของพวกเราไปส่งท่านถึงเมืองบาสก์ก็พอ ท่านไม่ได้แวะเข้าเมืองเหนือมิใช่หรือ”
“นั่นก็จริง” พ่อค้ายังดูลังเล
“ไม่ต้องเผชิญหน้ากับทหารเมืองเหนือ แล้วก็ยังมีผู้คุ้มครองเพิ่มเข้ามาอีก ไม่ดีหรือ”
“แล้วเรื่องค่าจ้าง....”
องครักษ์เก้ายิ้มขำ “ข้าไม่เกี่ยงเรื่องนั้น เพราะคนที่จะฝากไปมีความจำเป็นจะต้องเดินทาง”
พ่อค้าคิดคำนวณแล้วตอบตกลง
ทีแรกคิดว่าต้องจ่ายค่าจ้างคนงานเพิ่ม แต่นี่กลับได้คนงานเพิ่ม และได้เงินเพิ่มด้วย ช่างเป็นการค้าที่คุ้มค่านัก
“ข้าจะออกเดินทางในเวลาบ่าย เจ้าพาคนของเจ้ามาก่อนเวลาก็จะดี”
องครักษ์เก้าจ่ายเงินล่วงหน้า แล้วแยกไปซื้อหาสินค้าต่างเมือง เมื่อหยิบปิ่นปักผมด้ามเงินสลักลวดลายสวยงามขึ้นมาพิจารณาแล้วถามไถ่ราคาจากพ่อค้า หากแต่เมื่อจะจ่ายเงินให้กลับมีมือใหญ่ส่งเงินให้กับพ่อค้าก่อน
“มิเป็นไร ข้าจ่ายเองได้”
องครักษ์เก้ากล่าวขึ้น แต่แม่ทัพนาซิมกลับส่งเงินให้พ่อค้าแล้วเดินนำออกมาทันที ทำให้องครักษ์เก้าต้องเร่งเท้าตามมา
“ให้ข้าคืนเงินให้ท่านเถิด”
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีเงิน แต่ข้าอยากจ่ายเงินนั้น”
“ข้าซื้อปิ่นนี้ไปฝากคนรักของข้า”
แม่ทัพนาซิมหยุดเท้า
หากคนรักของเก้าเป็นชาย ยังมีสิทธิ์แข่งขัน แต่หากคนรักเป็นหญิงจำต้องหลีกทาง
“ข้าจะซื้อปิ่นนี้ไปฝากพริม หากท่านเป็นคนจ่ายเงินก็เท่ากับท่านคือคนซื้อของฝากให้พริม”
“คิดเช่นนั้นก็ได้” แม่ทัพนาซิมบอกแล้วก้าวเดินต่อไป
หากองครักษ์ฮูดาไม่พูดเรื่องแม่ทัพนาซิมไว้ก่อนหน้านี้ องครักษ์เก้าก็คงไม่คิดจะพูดคุยด้วยอีก
“ท่านแม่ทัพนาซิม”
แม่ทัพแห่งเมืองหน้าด่านชายแดนหันมามอง แต่เมื่อเห็นว่าองครักษ์เก้าก้มหน้าอยู่ ก็ก้าวเดินต่อไป
“ที่นี่มีผู้คนพลุกพล่าน”
แต่องครักษ์เก้าเคยพบเจอกับแม่ทัพนาซิมในช่วงเวลาที่ไม่มีผู้คน และตระหนักว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยหากต้องพูดคุยกันตามลำพังจึงเดินตามมาพอให้พ้นจากผู้คนหนาแน่นจึงกล่าวคำ
“เรื่องที่ข้ารับใช้แม่ทัพเชมัล....”
“มันจบไปแล้ว” อีกฝ่ายตอบทั้งที่ยังก้าวเดินต่อไป ทำให้องครักษ์เก้าต้องเร่งเท้าไปดักด้านหน้า
“ถูกต้องที่มันจบไปแล้ว และเวลานี้ข้ามีพริมเป็นคนรัก”
“เจ้าเคยบอกข้าแล้ว” ดวงตาสีเข้มมองปิ่นในมือขององครักษ์เก้า ขณะที่ลดเสียงพูดลง “แต่ข้าไม่เชื่อ”
“แต่มันคือความจริง รวมถึงเรื่องที่ท่านบอกว่า มันจบไปแล้วด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลเสียต่อแม่ทัพเชมัล”
อีกฝ่ายทำเสียงขึ้นจมูก “จบก็คือจบ”
“เป็นเช่นนั้น" องครักษ์เก้าย้ำคำ "แต่ตราบใดที่ข้ากับพริมยังไม่แต่งงานกัน หากผู้คนพูดเรื่องที่ไม่ดีงามย่อมมีการผูกโยงไปถึงแม่ทัพในที่สุด”
แม่ทัพนาซิมใช้ลิ้นดุนแก้มพยักหน้าช้าๆ
“ทุกคำที่เจ้าพูดมีแต่เชมัล กับพริม”
องครักษ์เก้ายอมรับ “ข้าจึงขอพูดกับท่านอย่างชัดเจน ว่าอย่าติดตามข้าแบบนี้.....”
คนตัวสูงใหญ่ก้าวขา แต่กลับหันมาคว้าต้นแขนของอีกฝ่ายให้เดินตามมา ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านหันมามอง จากย่านตลาดชายแดน ตรงต่อไปยังเขตค่ายพัก และกระท่อมหลังเล็กในมุมอับของเมืองค่ายทหาร คาดเดาได้ไม่ยากว่าที่นี่คือสถานที่ไว้ใช้หลบซ่อนบุคคล หรือ สิ่งของ
สีหน้าตระหนกขององครักษ์เก้าเมื่อหันไปมองรอบกระท่อมอับชื้น ทำให้แม่ทัพนาซิมกระแทกเสียงในลำคออีกครั้งก่อนที่จะกล่าวคำ
“จะอยู่กับข้าที่นี่ หรือจะไปกับเชมัล”
องครักษ์เก้าหันมามองอีกฝ่ายเต็มตา “ข้าเป็นองครักษ์ของแม่ทัพเชมัล หากท่านขังข้าไว้ที่นี่ ย่อมสร้างความเสียหายอย่างไม่คาดคิด พวกเรากำลังจะมีศึก พวกเราต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำก่อนเรื่องส่วนตัว”
แม้จะเคยมาที่ด่านชายแดนแห่งนี้ แต่ที่ผ่านมาองครักษ์เก้าพูดคุยกับแม่ทัพนาซิมไม่มากนัก ได้แต่รับฟังเรื่องราว และคำบอกเล่าจากคำพูดของบุคคลอื่นทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้สรุปได้ว่า แม่ทัพไม่เชื่อเรื่องพริมอย่างสิ้นเชิง ทั้งเชื่อว่า เป็นเพียงคำโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่ที่นี่
“ข้ารักเจ้า ทั้งที่เจ้าไม่เคยมองข้า และข้ายอมถอยเมื่อรู้ว่าเจ้าเป็นผู้รับใช้ของเชมัล แต่วันนี้ เขาไม่ได้รักเจ้าแล้ว เขารักอาเม่ย”
“แต่ท่านกักขังข้าไม่ได้!”
เมื่ออีกฝ่ายไม่เชื่อเรื่องพริม องครักษ์เก้าก็ต้องพยายามยกเรื่องภาระหน้าที่ขึ้นมากล่าวถึง
“ข้าต้องไปหาพี่ใหญ่รอม เพื่อรายงานเรื่องแผนการที่จะส่งคนไปสอดแนม”
แม่ทัพนาซิมก้มหน้าแล้วพยักหน้าช้าๆ ทำให้องครักษ์เก้าเดินเลี่ยงไปหาประตู แต่กลับถูกดึงให้กลับมาหา
องครักษ์เก้าตวัดปิ่นยาวในมือกรีดใบหน้าอีกฝ่าย
แม่ทัพนาซิมไม่คาดคิดว่าคนสุภาพแบบองครักษ์เก้าจะตอบโต้ ผงะถอยพลางแตะปากบาดแผลตื้น
“ข้าผ่านการสู้รบมากมาย แต่กลับถึงเลือดด้วยปิ่นของสตรี ในมือของคนที่ข้ารัก”
องครักษ์เก้าตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ
บางอย่างที่องครักษ์ฮูดาสัมผัสจากดินในวันที่มาถึงในวันแรก
เพราะก่อนที่กลุ่มของแม่ทัพเชมัลมาถึง แม่ทัพนาซิมย่อมต้องออกตรวจดูพื้นที่นอกด่าน!
“ท่านออกไปที่นอกด่านก่อนที่พวกเรามาถึงใช่หรือไม่!”
ดวงตาที่จ้องมองมายิ่งแข็งกร้าวกว่าเดิม
“ท่านสัมผัสดินหรือไม่!”
คนตัวสูงใหญ่ยังคงก้าวเข้าหาคนที่ก้าวเท้าถอยหลังจนกระทั่งติดผนังห้อง
“ฮูดาเตือนว่าที่นี่มีสิ่งผิดปกติ ท่านคือผู้นำของที่นี่ อย่าปล่อยให้เวทย์ดำทำร้ายท่าน!”
แม่ทัพนาซิมหยุดเท้า กำมือแน่น เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มหน้าผาก
“รีบ ออก ไป”
องครักษ์เก้ารีบวิ่งออกไปจากกระท่อมหลังเล็กทันที แต่เมื่อพบเจอกับเด็กหนุ่มระหว่างทาง กลับต้องหยุดชะงัก
....เราวิ่งหนีออกมา แต่หากมีคนไปพบกับแม่ทัพในเวลานี้....
องครักษ์เก้าบอกให้เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงไปทางอื่น อ้างว่า ด้านในมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ แรกเด็กหนุ่มก็ยังสงสัย แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดมาจากบ้านที่อยู่ด้านใน ก็เลี่ยงไปทันที
คนสุภาพเดินกลับมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมอีกครั้ง
ยังยินเสียงครางต่ำๆ อย่างเจ็บปวดมากจากด้านใน
องครักษ์ฮูดาเป็นผู้มีเวทย์ใช้ดิน สามารถคลี่คลายเวทย์ดำชนิดนี้ได้เอง
อีกคนที่ทำได้ก็คือพี่ใหญ่รอมที่เป็นผู้รักษา แต่รอมก็รักษาได้แต่ตนเองเช่นกัน
...ยังมีอีกคน...
“ข้า จะไปเรียกหาแม่ทัพเชมัล ท่านอย่าเพิ่งออกมา”
แต่ประตูบ้านกลับเปิดออก
ใบหน้าของแม่ทัพนาซิม กลับกลายเป็นสีแดง ดวงตาแข็งกร้าว
มือใหญ่คว้าแขนคนที่ก้าวถอยแล้วดึงกลับเข้าไปในบ้าน
ตลอดชีวิตไม่เคยมีผู้ใดแสดงความก้าวร้าว ไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือการกระทำ เพราะองครักษ์เก้ารับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาด้วยความรอมชอมเสมอ
แต่มือใหญ่ที่กดรวบข้อมือตรึงไว้กับที่นอนกระด้าง ร่างกายสูงใหญ่ที่กดทับ ริมฝีปากหนาที่กดจูบมีแต่ความก้าวร้าว และเต็มไปด้วยความรุนแรง
เข็มขัดหนาถูกปลดออก กางเกงถูกดึงรั้ง แล้วจับพลิกคว่ำ
จากการพูดขอร้อง อ้วนวอนด้วยเหตุผลนานาที่ล้วนไม่เป็นผล องครักษ์เก้าร่ำไห้ รู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี้คือความเจ็บปวด และเรื่องราวที่เลวร้ายลงไปยิ่งกว่าเดิม
“อย่า...อย่าทำเช่นนี้”
น้ำตาอาบหน้า
.....เหตุใดข้าถึงเป็นคนที่นำพาแต่ปัญหามาให้แม่ทัพเชมัล.....
.....เหตุใดถึงไม่หนีไปให้พ้น...
.....เหตุใดต้องเป็นห่วงชายหนุ่มคนนั้น ที่อาจผ่านมาแล้วถูกทำเช่นนี้....
.....เหตุใดต้องกล่าวคำว่าจะไปเรียกหาแม่ทัพเชมัล....
นิ้วมือใหญ่บีบก้นกลมเต็มแรง แล้วแทรกนิ้วเข้าสู่ช่องทางด้านหลัง คนรูปร่างผอมดิ้นหนีด้วยความเจ็บ
“เจ้าโกหกว่าเป็นผู้รับใช้เชมัล” เสียงคำรามข้างหู
“ข้าไม่เคยโกหก” ตอบด้วยน้ำตา ความเจ็บเกินกว่าจะทานทน "ท่านถูกเวทย์ดำครอบงำ.."
“เจ้าโกหก! เจ้ายังบริสุทธิ์อยู่”
แม่ทัพนาซิมดันคางสวยให้หันมารับจูบ ขณะที่แทรกนิ้วเพิ่ม
ความเจ็บทำให้แทบหยุดหายใจ
“เจ้าเป็นของข้า ไม่ใช่เชมัล ไม่ใช่สตรีที่เจ้าอ้างถึง”
“ไม่...อย่าให้ข้าทำผิดต่อพริม”
เมื่อนิ้วมือใหญ่ถอนออก ทำให้องครักษ์เก้าผ่อนลมหายใจคลายความเจ็บ แต่มือใหญ่ยังคงจับสะโพกไว้
“อย่าให้ เวทย์ดำมีอำนาจเหนือท่าน”
เป็นอีกครั้งที่แม่ทัพนาซิมหยุดชะงัก
“เก้า....”
“ได้โปรด....ท่านชนะมันได้...”
แม่ทัพนาซิมยันตัวให้ออกห่างอย่างยากลำบาก ร่างกายสูงใหญ่หนักอึ้ง สมองเต็มไปด้วยใบหน้า ร่างกาย ไออุ่น ของคนที่กำลังร้องไห้
การดึงสติไปหาสิ่งอื่นยิ่งยาก
มีแต่ความต้องการที่จะครอบครอง
หากไม่ใช่เวลานี้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!
คนผู้นี้จะจากไป และจะไม่มีวันกลับมาที่นี่อีก!
ร่างกายสูงใหญ่กดทับ แล้วเบียดเข้าหาอย่างรุนแรง
องครักษ์เก้ากรีดร้องจนสุดเสียง ความเจ็บปวดเกินกว่าร่างกายจะทานทน
“เจ้าไม่เคยเป็นของเชมัล! เจ้าโกหกข้า! ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป เจ้าต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับข้า......”
....
จนเมื่อร่างกายขับความต้องการออกมาจนหมด หยาดเหงื่อ หยดจากปลายคาง แม่ทัพนาซิมจึงได้สติจ้องมองคนร่างกายเปล่าเปลือยผอมบางที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้าย
“อาเก้า! อาเก้า!”
แม่ทัพนาซิมพลิกกอดคนที่มีลมหายใจรวยรินไว้แน่น เสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาด ยังพอสวมใส่ได้ แต่หากอุ้มออกไปในเวลากลางวันเช่นนี้ย่อมถูกผู้คนมากมายพบเห็น คนร่างกายสูงใหญ่ใช้ผ้าปูที่นอนผืนใหญ่ห่อหุ้มจนเหลือเพียงปลายจมูกที่โผล่พ้นแล้วรีบอุ้มออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก
ระหว่างทางพบกับยามที่หน้าค่าย สั่งให้ไปเรียกหาแม่ทัพเชมัล ตามไปหาที่บ้านพัก
เมื่อวางองครักษ์เก้าลงบนที่นอน คลี่ผ้าออก แม่ทัพเชมัลก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์คนอื่น แต่แม่ทัพนาซิมรีบออกมาสั่งให้คนอื่นออกไปรอที่ด้านนอกของบ้านพัก แล้วพาน้องชายเข้าไปด้านในเพียงคนเดียว
“เชมัล ข้า...เสียใจ....ข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้...ข้าเสียใจ.. เก้าจะตายไหม เชมัล ข้าทำร้ายเขา”
พี่ชายผู้เข้มแข็ง กำลังมีน้ำตาอาบแก้ม มือกร้านกำลังสั่นแรง แม่ทัพเชมัลหันออกไปเรียกพี่ใหญ่รอม
“อย่า อย่า อาเก้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อน”
แม้ตลอดเวลาที่ทำเรื่องร้ายแรง ความเป็นจริงเหล่านี้จะเลือนหาย แต่ในยามนี้ทุกสิ่งกลับชัดแจ้ง
เสียงร้องขออ้อนวอนเหล่านั้นยังก้องอยู่ในหู!
“ไว้ใจรอมได้ ข้าจะให้เขาช่วยท่านอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนข้าจะดูแลเก้าเอง”
“เชมัล ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินเสียง ข้ามองเห็น รับรู้ทุกอย่างแต่ข้ากลับหยุดตัวเองไม่ได้...”
แม่ทัพเชมัลกอดไหล่พี่ชายไว้ หันไปมองหัวหน้าองครักษ์รอมที่ก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตกใจ
“แม่ทัพ...”
“ดูแลแม่ทัพนาซิมก่อน แล้วให้ฮูดาดูแลต่อ ส่วนเจ้าเสร็จจากแม่ทัพนาซิมเข้ามาหาข้า”
“เชมัล”
“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้”
แม่ทัพเชมัลเดินตามออกมานอกห้อง เทน้ำจากเหยือกใส่อ่าง ผ้าผืนเล็ก แล้วถือกลับมาหาคนที่นอนหายใจรวยริน
ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้ว แต่บาดแผล และร่องรอยต่างๆ ก็ยังรุนแรงกว่าที่คิดไว้
“เก้า ได้ยินข้าไหม”
น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความอบอุ่น เมื่อองครักษ์เก้าส่งเสียงตอบรับในลำคอ แม่ทัพเชมัลก็พูดต่อ
“ข้าจะรักษาเจ้าก่อน แล้วจะให้แซนพาเจ้ากลับไปหาพระราชา”
องครักษ์เก้าปรือตามอง ขยับริมฝีปากบวมช้ำ ทั้งมีบาดแผล “ขอโทษ....”
“อย่ากล่าวคำนั้น และข้าขอเพียงอย่าโทษตัวเอง”
แม่ทัพเชมัล ไม่อาจล่วงรู้ว่าพระราชามีแผนอะไรอยู่ แต่ไม่อาจให้องครักษ์เก้าอยู่ที่นี่โดยมีแม่ทัพนาซิมอยู่ใกล้ๆ
และไม่อาจให้ใครทำร้ายเก้าได้อีก!
มือใหญ่วางเหนือหน้าผากแล้วแตะลงแผ่วเบา
“พักผ่อนก่อนเถิด”
"นายท่าน...ขอโทษ...." เสียงกล่าวคำขอโทษแผ่วเบาจากริมฝีปากช้ำ ยิ่งทำให้ผู้ฟังเจ็บปวดกว่าเดิม
เมื่อแม่ทัพเชมัลก้าวออกมาจากห้องนอนก็พบกับ แม่ทัพนาซิมและพี่ใหญ่รอมที่เพิ่งชำระล้างเสร็จสิ้นเช่นกัน
“รอให้เก้าอาการดีขึ้นอีกสักนิด จะให้แซนพากลับไปหาพระราชา ให้พระองค์ช่วยดูแล แต่ระหว่างนี้ข้าต้องขอให้ท่านอยู่ห่างจากเก้า”
แม่ทัพนาซิมพยักหน้ายอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ทั้งรู้ตัวดีว่า หากเป็นผู้อื่นทำเช่นนี้ต้องโดนแม่ทัพเชมัลผ่าร่างไปตั้งแต่แรก
“ข้า รู้ตัวทุกอย่าง แต่หยุดตัวเองไม่ได้” พี่ชายหันมาขอร้องด้วยดวงตาแดงช้ำ “เจ้าต้องล่ามข้าไว้ในห้องขัง ก่อนที่ข้าจะทำร้ายใครอีก”
แต่น้องชายส่ายหน้า “มีแต่เก้าที่มีอิทธิพลเหนือใจท่าน”
“ข้าจะไปดูอาการของเก้าก่อน” พี่ใหญ่รอมพูดขึ้น “แล้วค่อยหารือกันว่า...จะต้องควบคุมอย่างไร”
แม่ทัพเชมัลพยักหน้าให้พี่ใหญ่รอมแยกไป แต่ทันทีที่พี่ใหญ่รอมเข้าไปในห้อง แม่ทัพนาซิมก็หันมา
“เจ้ารักษาอาเก้าไม่ได้หรือ”
เมื่อแม่ทัพเชมัลส่ายหน้า อีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ ซบหน้าลงกับฝ่ามือ “ข้าทำอะไรลงไป เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ข้านำภัยพิบัติมาสู่อาเก้าและเจ้าด้วย”
“หากพระราชาเห็นบาดแผล เขาย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
แม่ทัพนาซิมพยักหน้ายอมรับทั้งที่ยังซบหน้าอยู่กับฝ่ามือ
ผู้เป็นน้องชายก้าวมายืนอยู่ทางด้านหลัง แตะนิ้วมือลงที่ท้ายทอยของพี่ชาย
แม่ทัพนาซิมได้แต่เลื่อนมือมาจับขอบโต๊ะไว้แน่น ไม่ส่งเสียงบอกความเจ็บปวดจากการถูกกดจุด
เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดจากกลางหน้าผากหยดลงที่ปลายคาง ร่างกายหนาเกร็งเครียด แม้แต่จะหายใจยังไม่กล้า เมื่อแรงกดคลายลง แม่ทัพนาซิมก็ต้องซบหน้าลงกับโต๊ะ
....การถูกลงโทษด้วยการยังมีชีวิตอยู่กลับยิ่งเจ็บปวด.....
เมื่อพี่ใหญ่รอมออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่สู้ดี แม่ทัพนาซิมก็ตัดสินใจ
“ข้าจะย้ายไปอยู่ที่พักของทหารยามที่ประตูด่าน” พี่ชายก้มหน้าเดินออกไป
เมื่อเปิดประตูบ้าน ถึงได้เห็นว่า ทุกคนยังคงรออยู่ รวมถึงกลุ่มผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิมที่มารายงานข่าว
“เมื่อครู่มีพ่อค้าต่างเมืองมาแจ้งเรื่องที่จะท่านองครักษ์เก้าจะฝากคนงานเดินทางไปด้วย เขาขอให้ไปหาก่อนมื้อเที่ยง”
แม่ทัพทั้ง 2 พยักหน้า ไม่อาจให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับองครักษ์เก้าเล็ดลอดไปถึงผู้ใด
แต่ที่นี่เต็มไปด้วยผู้ใช้เวทย์ รวมถึงทุกคนที่ยืนรออยู่ที่นี่ พวกเขาอาจรู้แล้ว แต่ด้วยวินัยทหาร หากไม่เอ่ยปากถามก็ไม่ควรแสดงความเห็น
แม่ทัพเชมัลเรียกทั้งหมดเข้ามาในห้องโถงของบ้าน เปิดเผยเรื่องที่แม่ทัพนาซิมถูกเวทย์ดำ จนทำร้ายองครักษ์เก้า จึงต้องให้องครักษ์ฮูดาจัดการเรื่องการเดินทางไปกับพ่อค้า ส่วนองครักษ์แซนต้องพาเก้ากลับไปหาพระราชาที่เมืองหลวง
“หากแม่ทัพนาซิมถูกเวทย์ดำ ก็ไม่มีใครในที่นี่อีกแล้วที่จะปลอดภัย” ผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิมพูดขึ้น
อีกหลายคนช่วยเสริมเรื่องเพิ่มการตรวจตราอาหาร และน้ำดื่ม ทั้งการจัดหาแพทย์ไปกับองครักษ์แซนและองครักษ์เก้า แต่แม่ทัพเชมัลบอกปัด
“ที่นี่ต้องการแพทย์คอยดูแลมากกว่าเก้า”
“ให้แพทย์ไปกับอาเก้าเถิด” แม่ทัพนาซิมขัด แต่ฝ่ายน้องชายขอเพียงรถม้าให้องครักษ์เก้าเท่านั้น
เมื่อการสั่งงานเสร็จสิ้น ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงาน ส่วนอาเม่ยกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าขององครักษ์เก้า
แม่ทัพเชมัลนั่งอยู่บนเตียงจับมือขององครักษ์เก้าไว้ ส่วนของข้อมือที่พ้นจากผ้าห่มผืนบาง ยังเห็นรอยช้ำ แต่ไม่เท่ากับร่องรอย และบาดแผลที่ใบหน้า
อาเม่ยหยุดยืนอยู่ตรงประตูห้อง ไม่แน่ใจว่าควรจะเดินเข้าไปหาหรือไม่
แม่ทัพเงยหน้าขึ้นมองแล้วพยักหน้าให้เดินเข้าไปหา
“มาสิ”
“ข้าเอาเสื้อผ้ามาให้ท่านพี่เก้า ไม่รู้ว่า.....”
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ แม่ทัพเชมัลก็ปล่อยมือองครักษ์เก้า แล้วดึงให้อาเม่ยเข้ามานั่งตัก
อ้อมแขนแข็งแรงกอดแน่น จูบที่หน้าผากแล้วแนบแก้มอยู่ข้างหู
ไม่มีคำพูดใดจนกระทั่งองครักษ์ฮูดาก้าวเข้ามา
“ขอข้าดูเก้าได้ไหม”
แม่ทัพพยักหน้า องครักษ์ฮูดาก็เดินเข้ามาหา แตะปลายนิ้วที่หน้าผากที่มีรอยบวมจากการถูกจับกระแทก
“เก้าไม่ได้ถูกเวทย์”
“ใช่” แม่ทัพบอก “ท่านพี่นาซิมเป็นคนที่ถูกเวทย์ดำ”
องครักษ์ฮูดาหันมามองอาเม่ยที่แม่ทัพยังคงไม่ยอมปล่อยให้ลุกจากตัก
“พวกท่านออกไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะดูแลเก้าเอง”
“ไม่เป็นไร” แม่ทัพบอก แต่องครักษ์ฮูดาขัดขึ้น
“เราต่างก็รู้ดีว่า ช่องว่างในจิตใจทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้น” คนตาคมมองอาเม่ย “เชื่อมั่นหัวใจของเจ้าเอง”
เมื่อแม่ทัพลุกขึ้น ฮูดาก็เข้ามาแทนที่ จับมือ แล้วหลับตาลง
....แม่ทัพและฮูดาต่างถ่ายพลังชีวิต ให้องครักษ์เก้า...
*-*จบตอนที่ 9*-*
เดี๋ยวมาอังคารเดี๋ยวมาพุธ ขึ้นอยู่กับว่าโดนทวงหรือเปล่า เอ้ย ไม่ใช่ พอดีผมจะโกหกว่าพรุ่งนี้งานยุ่ง เชื่อผมนะว่ายุ๊งยุ่ง
น้ำชาศิษย์ป๋าไจฟ์ฮะ