Lv.32 เป็นห่วง
ผมนั่งอยู่ในห้องพร้อมแมวสองตัว นายท่านนอนหาวอยู่บนตัก ส่วนขุนพลกระแซะมานอนเบียดขาผมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกแกเป็นแมวขาดความอบอุ่นรึไงกัน
ช่วงเวลากลางวัน ไม่สิ แถมจะตลอดเวลาทุกคนในแผนกต่างคนต่างทำงานในส่วนของตัวเอง นานๆ ทีจะเห็นออกมาเข้าห้องน้ำ หาน้ำดื่มบ้าง ขนาดพี่ชินที่เข้าออกห้องทำงานบ่อยสุดเพื่อบริการท่านหัวหน้าแผนกยังเก็บตัวเงียบไปตามๆ กัน
การประชุมครั้งล่าสุดพี่วินสันนิษฐานว่าอาจจะมีสายของพวกมันแฝงอยู่ในฝั่งพวกเรา ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ คิดทำการใหญ่ต้องรู้จักศัตรูให้มาก รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฝั่งเราเองคงไม่น้อยหน้าหรอก รู้เรื่องอีกฝ่ายดีขนาดนี้ ต้องมีสายแฝงตัวไปกับพวกมันด้วยแน่นอน
ประเด็นคือ ผมเบื่อชะมัด วันๆ อยู่แต่ในแผนก ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ทำงานเป็นแม่บ้านอย่างเดียว เล่นเกมก็ไม่ได้ อยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่ใช่นิสัยผมจริงๆ ตั้งแต่จำความได้ บ้านผมปล่อยลูกให้ทำอะไรอิสระอยู่เสมอ วัยเด็กยังอยู่ในสายตา พอโตขึ้นมหาลัยก็ปล่อยตามสบาย ผมเลยติดนิสัยอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป ขอแค่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่เป็นภัยกับตัวเองก็พอ
มาโดนกักตัวอยู่แบบนี้ จะรู้สึกเบื่อก็ไม่แปลก จำได้ว่าแถวหน้าบริษัทมีสวนสวยร่มรื่นให้คนเดินเล่น พาเจ้าสองเหมียวไปเดินหน่อยดีกว่า
ผมกดลิฟท์เนียนลงมาชั้นล่าง คาดว่าทุกคนในแผนกไม่ออกจากห้องทำงานเร็วๆ นี้แน่ แต่เพื่อความชัวร์ ผมเลยเขียนกระดาษโน๊ตแปะไว้ตรงกำแพงห้องทำงานพี่วินซะเลย ตรงจุดนั้นต้องคนเดินผ่านหมด ตัวพี่วินออกมาเองก็เห็น แขนอุ้มนายท่าน ข้างกายมีขุนพลเดินตาม นับวันผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงขุนพลเป็นหมาหรือแมว
ถ้าจะผิดคงต้องโทษคนเลี้ยง คนเลี้ยงดันเป็นหมาป่า เลี้ยงแมวเลยเลี้ยงมาสไตล์เดียวกันสินะ ผิดกับนายท่าน มีดีกรีความเป็นเจ้านายเต็มเปี่ยม เชิดซะไม่มี บางทีผมเองยังหมั่นไส้
ลงมาถึงชั้นล่างรอบข้างเงียบสงบ แต่ละคนทำงานของตัวเอง อย่างมากแค่เงยหน้ามองยิ้มทักทายนิดหน่อย สีผมสีตาผมมาแบบเดียวกับพี่ชายเป๊ะ พี่วินเป็นคนดังของบริษัท ผมเลยพลอยเป็นที่รู้จักไปด้วย
ความจริงห้ามนำสัตว์เลี้ยงมาในบริษัท เว้นเจ้าสองตัวนี้เป็นกรณีพิเศษ ผมถามพี่วินแล้วว่าทำไม เจ้าตัวบอกว่า เพราะตัวเองไปขอท่านประธานมา ทางนั้นคงกลัวว่าพนักงานแผนกพี่วินจะเป็นโรคประสาทตายกันหมดซะก่อน เลยยอมอนุโลมให้สองเหมียวเข้ามาในบริษัทได้ โดยมีข้อแม้คือ ต้องดูแลไม่ให้มารบกวนคนอื่น และอยู่ได้แค่ที่แผนกพี่วิน กับชั้นล่างสุดเท่านั้น
นายท่านถูกเลี้ยงมาแบบระบบปิด ผมเลยอุ้มตลอดไม่ปล่อยให้วิ่งเอง ส่วนขุนพล กลฝึกวินัยมาดีมาก เขาเลี้ยงแบบเปิด ปล่อยให้วิ่งเล่นตามสบาย เจ้าเหมียวตัวยักษ์คงรู้ ที่นี่ไม่คุ้นไม่ควรวิ่งมั่ว เลยเดินตามผมไม่ห่าง
ผมเห็นใจขุนพลแมวผู้แสนจะขาดความอบอุ่น พ่อเป็นซะแบบนั้น ไอ้ผมเองจะอุ้มก็ไม่ไหว แม้จะยังเป็นแค่แมวที่ยังไม่โตเต็มวัย แต่สายพันธ์นี้ก็ตัวใหญ่กว่าแมวทั่วไปอยู่ดี
“เมี้ยว” แมวยักษ์เหมือนจะรู้ตัว เงยหน้ามองผมแล้วร้องเสียงหล่อ แถมยังเดินเชิดหน้าชูตาลัลล้าจนน่าฟัด พอผมย่อตัวลงลูบหัวเกาคางขุนพล เจ้าเหมียวตัวโตส่งเสียงครืดๆ ในคอดูมีความสุข นายท่านเห็นเอาหัวมาดันๆ ใต้คางผม พวงหางขาวกระตุกส่ายไปมาคล้ายไม่สบอารมณ์ เจ้าแมวขี้อิจฉาเอ๊ย นิสัยเสียเพราะพี่วินกับผมตามใจแท้ๆ จะฝึกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
“โอเคๆ รักทุกตัวไม่ต้องแย่งกัน นายท่านอย่างกกับน้องสิ” ผมบ่นแบบไม่จริงจังนัก ได้ยินเสียงหัวเราะแถวหน้าประตู ระหว่างที่ผมกำลังเปลี่ยนตัวเองเป็นรางวัลให้กับแมวทั้งสองอยู่หน้าประตูบริษัท
“แมวสวยดีนะครับ” ลุงยามทักด้วยรอยยิ้ม ผมยิ้มให้กระชับแขนอุ้มนายท่านเรียกขุนพลเดินเข้าไปหา หลบจากหน้าประตูให้คนเข้าออก
“คงเพราะเป็นพันธุ์นอกมั้งครับ แต่ผมว่าแมวไทยก็สวยนะ สวยคนละแบบ”
“บ้านลุงเองมีอยู่ตัว เป็นแมวสามสีเลี้ยงคู่กับไอ้ด่างหลังอาน”
เริ่มประเด็นกันมาแบบนี้ คุยกันยาวล่ะครับ ผมชอบคุยกับพวกผู้ใหญ่ ได้ความรู้ใหม่ๆ เยอะดี ประสบการณ์หลายอย่างสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของตัวเองได้ อย่างช่วงแรกคุยกับเรื่องหมาแมว สักพักไหลยาวไปถึงชีวิตสมัยก่อน ความแตกต่างของอดีตกับปัจจุบันกับวิธีการแก้ไขปัญหาชีวิต
พอลุงแกต้องกลับไปทำงานต่อ ผมถึงหลบออกมาเดินเล่นของตัวเองบ้าง ยามบริษัทไม่ได้มีแค่ลุงหรอกครับ ลุงเขาอยู่ตรงหน้าประตูคอยเช็คคนเข้าออก ส่วนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ แยกกันประจำจุดของตัวเอง บางคนลาดตระเวณรอบๆ บริษัท ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดสักเท่าไหร่ แต่ถือว่าบริษัทนี้มีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนามากกว่าที่ตาเห็น
ว่าจะมาเดินเล่นผ่อนคลาย สมองดันไปนึกถึงเรื่องพวกองค์กรนั่นซะได้ ไม่รู้ว่าป่านี้พวกมันดำเนินการไปถึงไหนแล้ว รางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าอีกไม่นานตัวผมต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่ๆ
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจเลือกนั่งบนเนินหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ สองเหมียวนอนกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นหญ้านุ่มไม่ไกลจากผมนัก แสงแดดส่องผ่านใบไม้สีเขียวสด ลมเบาๆ หลายคนอาจไม่สังเกตว่าเวลาอยู๋ใต้ต้นไม้กับใต้ร่มพวกอาคารลมจะต่างกันมาก เวลาอยู่ใต้อาคารต่อให้มีลมแค่ไหนก็ยังรู้สึกถึงความร้อนจากไอแดด ส่วนใต้ต้มไม้มีเพียงลมเย็นสบายพัดผ่าน
นึกถึงบรรยากาศในเกมเลย อยากกลับไปเล่นชะมัด ผู้คนมากมายมาจากทุกแห่งทั่วโลก ธรรมชาติผสมผสานกับสิ่งก่อสร้างอย่างลงตัว ความสามารถพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน มันเหมือนกับดินแดนแห่งความฝันในวัยเด็ก ที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้
ละจากเรื่องปวดหัวชั่วคราว ไปเพิ่มพลังในเกม แล้วค่อยกลับมาลุยกับโลกความจริงในวันรุ่งขึ้น ไม่แปลกใจเลย ทำไมทุกคนดูชื่นชมพี่วินนัก ในเมื่อเจ้าตัวเป็นคนริเริ่มสร้างเกมนี้ขึ้นมาจากความฝันร่วมกับพวกเพื่อน ส่วนผมน้องชายผู้แสนน่ารัก ใช้ชีวิตอันสดใสโลดแล่นอยู่ในเกมที่พี่ชายสร้าง ฮือ อยากเล่นเกม...
ผมคงกลายเป็นเด็กติดเกมแล้วจริงๆ คิดถึงไวไวกับคนอื่นจังเลย ถ้าไวไวอยู่ รู้ความคิดผมคงจะหันมาทำหน้าเอือมใส่ แล้วพูดประมาณว่า ช่วงแรกพูดซะดูดี ที่แท้ก็เด็กติดเกมที่ลงแดงเพราะโดนพี่สั่งห้ามไม่ให้เล่น
ทุกวันนี้มันยังส่งโทรมาเย้ยผมเรื่องในเกมรัวๆ อิจฉาเฟ้ย หลังเรื่องวุ่นพวกนี้จบเมื่อไหร่ จะเล่นเกมปั่นตัวให้เทพสร้างกิลด์ของตัวเองมั้งคอยดู
“ฟ่อ! ฟู่!!” จู่ๆ สองเหมียวขู่น่ากลัว ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเงาที่ทาบทับตัวผม เพราะอีกฝ่ายยืนตรงต้นแสง ทำให้ผมต้องหรี่ตามอง
“สวัสดี ในที่สุดก็ออกมาจากกรงได้แล้วเหรอ” เสียงลากยาวดูยียวนมาจากคนที่ผมไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด
“เข้ามาที่นี่ได้ยังไง!” ผมลุกขึ้นก้าวถอยหลังออกห่างจากชายตรงหน้า นายท่านกับขุนพลขู่พองขนกางเล็บน่ากลัว ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ผมอีกนิดคงโดนสองแมวข่วนยับแน่ ดูอีกฝ่ายจะไม่เดือดร้อนสักเท่าไหร่ เขายืดตัวขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มกับดวงตาไม่น่าไว้ใจ
“พูดเป็นเล่น การป้องกันรอบนอกหละหลวงขนาดนี้ ถ้าฉันเข้ามาไม่ได้คงเหมือนพวกไร้ความสามารถ ที่เป็นได้แค่ขยะกันพอดี ไม่ต้องระแวงไป ฉันยังไม่เอาตัวนายไปตอนนี้หรอก แค่แวะมาทักทายเฉยๆ”
“นายพูดเหมือนกับว่าถ้าต้องการตัวฉันเมื่อไหร่ก็พาไปได้อย่างนั้นแหละ”
“ไม่เชิง แม้ภายนอกจะห่วย แต่ด้านในการป้องกันแน่นหนามาก สมกับที่วินเป็นคนวางระบบ ยังไงซะ ต่อให้ระบบจะสมบูรณ์แบบแค่ไหนมันยังคงมีจุดอ่อนเสมอ เหมือนที่นายพาตัวเองออกมาล่อเป้าอยู่แบบนี้ไง นายว่างั้นไหม”
อือหือ ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ตรงข้ามกับวาจาเจ็บแสบ บ่งบอกถึงความชื่นชมในตัวพี่วินจนดูน่ากลัว สำหรับคนอื่นในสายตารุจนอกจากพี่วินแล้วคงเป็นได้แค่คนไร้ค่า เกินเยียวยาแบบที่พี่วินพูดไว้ไม่มีผิด ผมยอมรับตัวเองพลาดไปแล้วจริงๆ ที่ลงมาด้านล่างแบบนี้
“สำนึกไปเถอะ นายนี่คล้ายกับวินดีนะฉันชอบ” อีกฝ่ายยื่นมือเรียวเข้าใกล้ผม ก่อนจะต้องถอยหลังไปเพราะโดนนายท่านทำท่าจะตะปบใส่ขา และอาจมีรายการกระโจนใส่ในอนาคตอันใกล้
รุจถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีออกไปทางสวย น่าจะเป็นสเปคของผู้หญิงหลายคน รูปร่างเพรียวบางเหมือนไม่เคยทำอะไรที่ต้องออกแรงหนักมาก่อน ดูเผินๆ ไม่น่ากลัวเลยสักนิด แค่ซัดทีสองทีก็หมอบ สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายอันตรายคือความฉลาดกับนิสัยเหลือรับ
“แมวนี่เกะกะจริง ช่างเถอะ อีกไม่นานนายต้องตกอยู่ในมือฉันอยู่แล้ว เอาไว้เจอกันนะ น้องวัต...”
เขายักไหล่ โบกมือแล้วเดินจากไปเสียเฉยๆ ผมมองจนชายในชุดสูทเดินหายไปจากสายตา พลางบ่นอุบอิบ
“ฉันจำไม่ได้ว่ามีคนโรคจิตเป็นพี่ชาย...ไม่สิ พี่วินเองก็ เหอะๆ ไม่พูดถึงแล้วกัน ไปนายท่านขุนพล กลับขึ้นข้างบนกันเถอะ ป่านนี้คนอื่นๆ คงรอแย่แล้ว”
ผมย่อตัวลงกางแขนรับนายท่านที่กระโดดขึ้นมาให้ผมอุ้มอย่างเหมาะเหม็ง แล้วพยักหนาเรียกขุนพลเดินกลับเข้าบริษัท เรื่องเจอกับรุจผมต้องบอกพี่วิน ถึงไม่อยากให้เป็นห่วงมากกว่าเดิม แต่เก็บเงียบไว้อาจส่งผลร้ายมากกว่า ผมยิ้มทักลุงยาม รีบเดินเร็วๆ เข้าลิฟท์ขึ้นชั้นบน
ลิฟท์เปิดออก ผมชนเข้ากับใครคนหนึ่งจนแทบหงายหลัง อีกฝ่ายรีบมากถึงขนาดไม่รอให้คนออกจากลิฟท์ก่อน นายท่านตกใจกระโดดหนีลงจากแขน ส่วนผมได้คนชนนั้นแหละคว้าแขนไว้เลยไม่หงายกลับเข้าลิฟท์ ได้กลิ่นหอมเย็นๆ ประจำตัวผมถึงรู้ว่าใคร
กลมองผมด้วยสีหน้าตื่นๆ แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ในมืออีกข้างกำกระดาษที่ผมเขียนแปะไว้จนยับยู่ยี่ไม่พูดอะไรสักคำ จากที่ปกติไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้วทีนี้เงียบสนิทเป็นป่าช้า อาการคล้ายกับเครียดกังวลมากจนพูดอะไรไม่ออก ผมเห็นท่าไม่ดี ลากกลเข้าห้องเจ้าตัวแล้วปิดประตูล็อก ปล่อยแมวให้อยู่ด้านนอก เวลานี้ผมขอดูอาการเจ้าหมาก่อน
กลนั่งนิ่งบนเตียง จับมือผมไม่ปล่อย พอผมจะพูดอะไรเขายกมือห้ามแล้วสูดลมหายใจลึกๆ สองสามที เรานั่งเงียบกันสักพัก กลดึงผมเข้าไปกอด
“ดีจริงๆ ที่นายยังไม่หายตัวไปไหน”
เสียงทุ้มปกติจะราบเรียบหนักแน่นกลับสั่นดูไม่มั่นคง ผมพอเข้าใจแล้วล่ะว่ากลเป็นอะไร
“ใจเย็นๆ ฉันอยู่นี่ อยู่กับนาย ขอโทษที่ลงไปข้างล่างคนเดียว”
“อย่าทำอีก ฉันขอ” แววตาขอร้องทำให้ผมพยักหน้ารับไปโดยไม่รู้ตัว มันต้องมีอะไรมากกว่าเรื่องที่ผมลงไปข้างล่างแน่ๆ ไม่งั้นกลที่เคยเก็บความรู้สึกเก่งอยู่ตลอด คงไม่ออกอาการขนาดนี้ ผมรอให้เขาสงบลงแล้วลองถาม
“บอกได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น นายเจออะไรมา”
หมาป่าหนุ่มย้ายตัวเองมานอนบนเตียง เอาหัวหนุนขาผมแล้วกอดเอวใช้หน้าซุกพุงอย่างหวงแหน ผมลูบผมยุ่งของอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ใช่แค่พวกพี่วินที่ทำงานหนัก กลเองไม่ต่างกัน ทั้งที่เพิ่งอายุแค่สิบแปด แต่ต้องทำอะไรที่เหมือนกับพวกผู้ใหญ่ ต่อให้ไม่มีคนบอกผมก็รู้ ทั้งหมดทั้งสิ้นกลทำเพื่อผม
“ระหว่างที่ฉันสรุปข้อมูลทั้งหมดตามที่อาจารย์สั่ง มันมีบางอย่างทำให้ฉุกคิดว่าพวกมันคงลงมือเร็วๆ นี้ ช้าสุดคือหนึ่งอาทิตย์ เร็วสุดไม่เกินสามวัน”
กลพูดเสียงอู้อี้เพราะยังซุกหน้าอยู่กับท้องผมไม่เลิก ถือว่าเป็นการคาดเดาที่แม่นมาก พวกนั้นคิดจะลงมือแล้วจริงๆ ไม่งั้นรุจคงไม่ถ่อมาทักทายผมถึงที่ ส่วนเรื่องทำไมเขาถึงรู้ว่าผมที่ถูกกักอยู่ชั้นบนลงมาด้านล่างที่การป้องกันน้อย ต้องมีสายในหมู่พวกเราแน่นอน
“พอฉันกำลังไปบอกอาจารย์ เห็นกระดาษของนายรู้มั้ยตกใจแค่ไหน วันหลังอย่าทำอีก ไม่งั้นฉันจะล่ามนายไว้กับเตียง รับรองว่าอาจารย์ต้องเห็นด้วยแน่ๆ”
ดวงตาผมสีนิลวาววับบ่งบอกว่าเอาจริง ผมกลืนน้ำลายอึก ลูบๆ หัวหมาพลางเสตาหลบไปทางอื่น กลไม่ยอมปล่อยผมเฉไฉง่ายๆ ลุกขึ้นมาใช้สองมือประกบแก้มผมดึงไปจูบหนักคล้ายจะระบายความกรุ่นภายใน เหมือนไม่หน่ำใจเจ้าตัวร้องฮึ่มในคอ มือหนาเริ่มสอดเข้าใต้เสื้อ ผมสะดุ้ง ชัดเลย เจ้าหมาบ้าหนิมันจะใช้วิธีนี้เพื่อตัดกำลังผมและระบายความอัดอั้นของตัวเอง!
ร้ายกาจ ร้ายกาจมากๆ ที่น่าเศร้ามากกว่านั้นคือ ผมดันเอาตัวเองมาเสิร์ฟให้ถึงปากหมาป่า
“เดี๋ยวกล นายต้องไปรายงานผลการสรุปกับพี่วินไม่ใช่เหรอ” ผมเริ่มอ้างพี่ชายผู้น่ากลัวที่สุดในแผนก หมาป่าที่เริ่มกลายพันธ์ชะงักกึก เงยหน้าจากซอกคอผมมาจ้องเป๋ง แล้วลุกขึ้นหรี่ตามอง
“ห้ามไปไหนฉันจะกลับมา” สองประโยคสั้นๆ พร้อมเจ้าหมาป่าสะบัดก้นออกไปจากห้อง ทิ้งให้ผมนั่งอยู่บนเตียงคนเดียว หลังประตูปิด พอผมจะลุกไปเปิดเตรียมเผ่นไปห้องพี่วิน มันดันเปิดไม่ได้ เจ้าหมามันขังผมไว้ในห้อง! มือตะปบกระเป๋ากางเกงหาโทรศัพท์มือถือ เพื่อโทรให้ใครสักคนในแผนกมาเปิดประตูให้ แน่นอนว่ามัน-หาย-ไป!!
“กล ไอ้ลูกหมา! กลับมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย”
ไร้เสียงตอบรับจากปลายทาง ผมเดินไปเดินมา ห้องกลเหมือนห้องพี่วินและคนอื่นๆ อุปกรณ์สื่อสารภายในห้องมีก็จริง แต่เชื่อเถอะเจ้าหมาโปรแกรมเมอร์มันบล็อกไม่ให้ผมใช้ชัวร์ ถึงมีความสามารถของตัวเองในการแก้ไขดัดแปลง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใช้ซี้ซั้วได้ รอรับชะตากรรมอย่างเดียวหมด หวังแต่ว่าพี่วินจะเอะใจ
หมาป่าเดินฉับๆ เข้าห้องประชุมประจำแผนก วินและคนอื่นที่กำลังปรึกษากันอยู่ หันขวับไปทางผู้มาใหม่เป็นตาเดียว กลเดินเข้าไปนิ่งๆ ยื่นกระดาษที่ตัวเองขยับจนยับให้วิน เจ้าตัวรับไปดูสีหน้าไม่แปลกใจสักนิด จะให้แปลกใจได้ไง ในเมื่อคนข้างล่างติดต่อขึ้นมาแจ้งแล้วว่าวัตลงไปข้างล่าง วินเลยสั่งให้คนคุ้มกันอยู่ห่างๆ เรื่องที่เจอรุจวินก็รู้ แค่ไม่ทำอะไร เพราะยังไม่ถึงเวลา
ยังไงซะทางฝั่งนั้นพาตัววัตไปไม่ได้แน่นอน ตราบใดที่ยังอยู่ในสายตาของวิน นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้รุจยังไม่ลงมือก็เป็นได้ คนที่ไม่รู้อะไรเลยคงมีแค่เจ้าหนูสองตัว
วินกับกลไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก เห็นท่าทางไม่เดือดร้อนของวิน กลก็พอจะรู้เรื่องทั้งหมด เลยขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ พอโดนดวงตาสีเทาจ้อง ปมตรงหว่างคิ้วถึงหายเปลี่ยนมาเป็นสีหน้านิ่งตายไม่สื่ออารมณ์ตาเดิม คนอื่นๆ ที่เหลือนอกจากชินมองการสื่อสารผ่านทางโทรจิตของอาจารย์ลูกศิษย์อย่างเงียบๆ
“ฉันเห็นผลสรุปที่นายส่งมาแล้ว กำลังคุยกับคนอื่นพอดี นายลองบอกความคิดของตัวเองหลังจากอ่านสรุปนี้ออกมาซิ”
หัวหน้าแผนกสั่ง เด็กฝึกงานควบตำแหน่งลูกศิษย์และน้องเขย มีทางเลือกเดียวคือตอบ
“พวกนั้นจะลงมือในอีกไม่ช้า เร็วสุดสามวัน ช้าสุดหนึ่งอาทิตย์” สั้นง่ายได้ใจความ ข้อมูลทุกอย่างทุกคนรู้อยู่แล้ว เพยีงแค่มาแลกเปลี่ยนความคิดหลังจากอ่านเท่านั้นเอง
“พวกเราคิดเหมือนกัน แต่ฉันว่าเร็วสุดคือพรุ่งนี้ ดูวัตให้ดีๆ ในฐานะหัวหน้าแผนกที่ประสานงานกับนักโปรแกรมเมอร์และหน่วยงานอื่นๆ ฉันไม่อยากให้พวกมันได้ตัววัตไป ไม่งั้นเราคงทำงานได้ยากขึ้น ตอนนี้เรามีข้อมูลของทางนั้นครบหมดแล้ว ที่เหลือคือรอเวลาลงมือตามแผนการกับหาตำแหน่งที่แน่นอนของพวกนั้นให้เจอ”
ทุกคนพยักหน้ารับ ไม่มีใครขัด การทำงานหนักตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่การกระทำโดยไร้ประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างของทางนี้ก็พร้อมแล้วเช่นกัน หากการเตรียมตัวของทุกฝ่ายเสร็จเมื่อไหร่ สามารถลงมือได้ทันที
ชายร่างโปร่ง หลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่ ไม่มีสีหน้าแววตาจริงจังเช่นตอนแรก มันคือโฉมหน้าของคนเป็นพี่คนหนึ่งที่เป็นห่วงน้องชายจับใจ วินก้มหัวลงน้อยๆ แบบไม่สนว่าทุกคนตรงหน้าเป็นแค่ลูกน้อง
“ในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง ฉันขอยืมกำลังทุกคนปกป้องน้องชายด้วย”
“ฉันขอร้องด้วยอีกคน” ชินเสริมขึ้นมาทำท่าแบบเดียวกับวิน แต่ละคนนิ่งอึ้ง มะลิที่มีอายุมากที่สุด รวมถึงประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่าทุกคนในห้อง ยิ้มและถอนหายใจออกมา
“พวกนายไม่ต้องลงทุนถึงขนาดนั้นหรอก พวกเราเข้าใจดี เรื่องนี้เรื่องใหญ่ยังไงก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว” วินกับชินเงยหน้าขึ้นออกปากขอบคุณสาวคนเดียวในแผนก บรรยากาศในห้องประชุมผ่อนคลายลง วาโยพูดทีเล่นทีจริง
“พวกเราไม่ยอมให้แม่บ้านเป็นอะไรแน่ ทุกคนเป็นหนี้ชีวิตน้องวัต ถ้าเกิดไม่มีน้องวัตเราคงจะอดตายกันหมด”
“วัตเป็นคนรักผม ผมไม่ยอมให้วัตเป็นอะไรไปอยู่แล้ว” คนสุดท้ายดูจะมาวินสุด วายุลุกจากเก้าอี้มากอดคอรุ่นน้องที่ดันสูงกว่า แอบทิ้งน้ำหนักเหมือนจะกดให้อีกฝ่ายเตี้ยลงให้ได้
“น้อยๆ หน่อยไอ้เสือ พี่ชายบราค่อนอยู่ตรงหน้าตั้งสอง เดี๋ยวโดนขบหัวตายพอดี”
“ยุอย่าแกล้งรุ่นน้อง” อัคคีผู้ดูแลแฝดสายลมวายุวาโยเอ็ดขึ้น เขากลัวเหลือเกินว่าถ้าเกิดขาดรุ่นน้องคนนี้ไป งานมากมายและการรองมือรองเท้าหัวหน้าคงตกใส่หัวเขาแหง พักหลังอุตส่าห์มีโอกาสให้พักหายใจหายคอ
วินขำกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ชินบีบบ่าเบาๆ เจ้าตัวตบๆ มือบนบ่าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“เรื่องนอกประเด็นฉันจะคิดซะว่าไม่ได้ยินแล้วกัน ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมาก หลังจากนี้คงต้องเหนื่อยกันอีกเยอะ ไว้จบเรื่องฉันจะให้ทุกคนพักเต็มที่!”
“เฮ้!!”
“อย่าเพิ่งดีใจไป ใครทำพลาด ต้องทำงานส่วนของทุกคนในช่วงวันหยุด” เสียงเฮตอนแรกเงียบเป็นเป่าสาก
“แยกย้ายไปทำงานได้”
แต่ละคนบ่นอุบอิบโดยเฉพาะเจ้าแฝดดูจะเยอะสุดจนอัคคีต้องใช้มือปิดปากลากตัวออกไป ก่อนจะซวยมากไปกว่านี้ มะลิทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้จนพี่ชินต้องปลอบด้วยบุพเฟ่ของหวานฟรีสามที่สำหรับแม่ผู้ทำงานหนักและลูกผู้น่ารักทั้งสอง เธอถึงอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
ในห้องประชุมจึงเหลือเพียงวิน ชินและกลสามคน หมาป่าไม่ทันออกปาก วินโบกมือไล่
“อนุญาต จะขอวัตไปนอนด้วยใช่มั้ยล่ะ”
อาจารย์พูดแบบรู้ทัน กลยิ้มขอบคุณแบบที่นานทีปีหนจะได้เห็นสักที ลับหลังกลออกไปชินหันมาคุยกับเพื่อนตัวเอง
“ทำไมปล่อยง่าย ฉันคิดว่านายจะไม่ยอมซะอีก” ชินเลิกคิ้ว วินหัวเราะในคอ
“ถือว่าให้รางวัลเด็กมัน ทำงานเกินวัย พักๆ ซะมั้งเดี๋ยวสมองจะฝ่อจนใช้การตอนโตไม่ได้พอดี ฉันไม่อยากได้คนใช้งานไม่ได้มาอยู่ในแผนก”
คนฟังหัวเราะอย่างรู้ทัน กระแซะไหล่เพื่อนตามสไตล์ชินเวอร์ชั่นอยู่กับคนสนิท ไม่วางตัวแสนจะน่าพึ่งพาเหมือนทุกที
“ใจอ่อนแล้วทำเป็นอ้างนู่นอ้างนี้ไปได้ นายกลายเป็นพวกซึนเดเระตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาเถอะ จะแบบไหนฉันก็ชอบ ขอแค่เป็นนายพอ ซึนบ้างอะไรบ้าง ตรงมากบางครั้งฉันปวดใจนะ” ไม่พูดอย่างเดียวยังเนียนมาซบเลยโดนหลังมือเข้าหน้า
“ไม่ต้องมาใช้ศัพท์แปลกๆ ตามเจ้าวายุ ใจอ่อนแค่ส่วนเดียว ที่เหลือเป็นไปตามที่พูด” ชินไม่ตอบโต้อะไร แค่ยิ้มหัวเราะเบาๆ
“ขอบใจ ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะ”
“เพื่อนายแล้วได้เสมอ ต่อให้สั่งฉันไปเป็นโล่บังกระสุนฉันยังทำให้นายได้ ขออย่างเดียว อย่าสั่งให้ฉันอยู่ในที่ ที่ไม่สามารถปกป้องนายได้ก็พอ”
สีหน้าจริงจังถูกส่งมา วินไม่หลบความรู้สึกอีกฝ่าย แค่ยิ้มรับและยักคิ้วให้
“อย่าห่วงเลย ฉันสัญญาแล้วไม่มีทางทำผิดสัญญาเด็ดขาด ต่อให้เป็นนรก ฉันก็จะพานายไปด้วย นายพร้อมรึเปล่าล่ะหืม?”
“พร้อมเสมอ สำหรับนาย” ชินยกมือที่กุมกันของอีกฝ่ายมาแตะริมฝีปากเบาๆ ก่อนแยกทำงานตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น วาโยที่กลับเข้ามาสอบถามไม่เอะใจอะไรเลยสักนิด
กลับมาทางวัต รอเกือบชั่วโมง ในที่สุดหมาป่ายอมเสด็จกลับราชฐานสักที อารมณ์กรุ่นๆ ตอนขาไปพอกลับมีสีหน้าดูดีขึ้น
“คืนนี้นายนอนกับฉัน”
ผมอ้าปากค้าง เป็นไปได้ไงพี่วินยอม? หรือหมาป่ามันโมเมเอาเอง??
“ฉันขออาจารย์มาแล้ว ถ้านายสงสัยจะออกไปถามก็ได้ แต่หลังจากที่ฉันจัดการนายเสร็จ”
ใบหน้าหล่อๆ ยื่นเข้ามาใกล้พูดด้วยน้ำเสียงในคอ ตอนนี้นายอยู่นอกเกมนะ ไม่ได้เป็นหมาป่าเหมือนในเกมสักหน่อย อย่าทำเหมือนจะคำรามแบบนั้นสิ
กลตัดกำลังผมแบบจัดเต็มไม่พอ ตัวผมช่างน่าสงสาร ถูกรังแกแล้วยังต้องเอาใจหมาป่าให้อารมณ์ดีอีก ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย อยู่ข้างล่างว่าหนัก พอต้องมาอยู่ข้างบนให้หมาป่ารังแกเหนื่อยเพิ่มอีกสิบเท่า เวลานี้เลิกคิดเรื่องก้าวเท้าออกจากห้องได้เลย
หากเทียบกับในเกม หมาป่าได้รับการฟื้นฟูพลังเต็มเปี่ยม แถมยังบัพเพิ่มความสามารถจนกระปรี้กระเปร่า ส่วนผมโดนทำดาเมจรัวๆ เลือดเหลืออยู่ก้นหลอดปล่อยให้หมาป่าบริการพาไปอาบน้ำเสิร์ฟอาหารถึงเตียง ตัวต้นเหตุกลับไปทำงานสลับแวะมาดูผมเป็นระยะ ส่วนผมนอนแผ่อยู่บนเตียง มีแมวสองตัววนเวียนใกล้ๆ
ผมนอนคว่ำหน้า นายท่านกระโดดทับผมเหมือนทุกที แต่ร่างกายผมมันไม่ปกติเหมือนเดิม ขุนพลไม่รู้คึกมาจากไหน ตามมาสมทบบนหลังผมอีกตัว ลามไปแถวสะโพก เจ็บร้าวเหลือเกิน กว่ากลจะกลับมาดูใจ ผมแน่นิ่งใต้ตัวแมวไปเรียบร้อย
ฝากให้อาหารแมวข้าด้วย คร่อก