สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปนานเลย ช่วงนี้งานเยอะจริง ๆ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ
ก่อนอื่นขอทบทวนความเดิมตอนที่แล้วกันหน่อยนะคะ
ตอนที่แล้วธันวาสงสัยในตัวบุ้งก็เลยสืบหาความจริงว่าเป็นใครกันแน่
บุ้งตามอารตีไปดูละครแล้วก็สร้างสถานการณ์ให้ได้รู้จักกัน ด้วยบุคลิกขี้เล่นของบุ้งเวลาพูดหรือทำอะไรก็ดูเล่น ๆ ไปหมด
พอโดนคาดคั้นเข้าก็เลยทำหัวเสีย หายหน้าหายตาไปจากคอนโด จากนั้นก็มีข่าวลือเรื่องวิญญาณผู้หญิง ธันวาก็เลยไปขอให้เก่งกาจช่วยสืบ
สองคนก็เลยรู้ว่าเป็นฝีมือบุ้ง แถมยังไปพบหลักฐานเป็นข่าวเก่าที่ถูกตัดจากหนังสือพิมพ์ซึ่งบุ้งบอกว่าได้จากห้องของกิ่งดาวอีก
ก็เลยทำให้เก่งกาจที่เคยไม่เชื่อคำพูดของบุ้งสนใจที่จะหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้....
ตอนที่ 6 คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย
บางครั้งก็นึกอยากหยุดทุกสิ่งแล้วอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเองเพื่อคิดอะไรเงียบ ๆ บ้าง แต่สำหรับคันธชาติแล้วคงไม่ใช่กับวันนี้....และในตอนที่เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่สามเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ส่วนครั้งแรก...ก็ตอนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ นั่นแหละ หัวคิ้วขมวดมุ่นพร้อมกับลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนออกจากปลายจมูก ตัดสินใจผุดลุกขึ้นก่อนจะก้าวฉับ ๆ เอื้อมมือกระชากเปิดประตูกล่าวอย่างหัวเสีย
“อะไรอีกเนี่ยไอ้เด็กพวกนี้”
แต่เมื่อได้เห็นเต็มตาว่าครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือเด็ก ๆ หากแต่เป็นผู้ใหญ่ห้องตรงข้าม จากที่คิดจะบ่นให้ยาว ๆ ก็กลายเป็ต้องสงบปากสงบคำ สงวนท่าทีเอาไว้แทน
"ค...คุณ... มีอะไรหรือเปล่า"
"ผมมีเรื่องข้องใจอยากถามน่ะ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม"
เจ้าของห้องพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ปิดประตูและหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปหยุดที่โซฟาก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญ
"คุณมีอะไรก็ว่ามา" คันธชาติกล่าวขณะอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ จ้องมองผู้มาเยือนอย่างเคลือบแคลงสงสัย
"คุณรู้หรือเปล่าว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานที่นาฏยกาลได้ยังไง"
"เรื่องนี้ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องถาม คุณเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กันไม่ใช่เหรอ"
ธันวาสบตานิ่ง จริงอย่างว่า ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาที่ควรจะรู้เรื่องของนักศึกษามากที่สุดแต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จริง ๆ ว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานในโรงละครแห่งนั้นได้อย่างไร เพราะหากเขารู้แล้วละก็คงจะไม่ปล่อยให้เธอไปพบกับเหตุการณ์แสนเศร้าเช่นนี้อย่างแน่นอน
"เธอไม่เคยเล่าผมให้ฟัง" ความรู้สึกผิดถูกดึงขึ้นจากซอกลึกของหัวใจอีกครั้ง ดวงตากดต่ำจ้องมองมือทั้งสองของตนเองที่ประสานกันอยู่ตรงหน้า "ตอนที่รู้ว่านาฏยกาลรับเธอเข้าทำงานผมเองยังแปลกใจ ถึงจะบอกว่านโยบายนั่นไม่ครอบคลุมไปถึงคนทำงานเบื้องหลังก็เถอะ แต่เท่าที่รู้มานาฏยกาลก็มีแต่สาวประเภทสองทั้งนั้น อีกอย่างกฎนี้ก็เข้มงวดเอามาก ๆ เสียด้วย นักศึกษาของผมหลายคนเคยไปที่นั่นแล้วก็ต้องผิดหวังกลับมา ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่เธอสนิทที่สุดเธออาจจะบอกคุณ"
ประโยคท้ายของธันวาเล่นเอาจุก คันธชาติหัวเราะขื่นก่อนจะตอบตามจริง "กิ่งก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเหมือนกัน แต่คุณคิดว่ายังไงกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเข้าไปทำงานในโรงละครที่บรรดาหนุ่มสาวต่างก็ขนานนามมันว่าเป็นโรงละครต้องห้ามได้น่ะ"
คนฟังวางหน้านิ่งแต่ในหัวกลับมีแต่ความสับสนวุ่นวายเมื่อพยายามคิดตาม หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันเลื่อนสายตาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า เห็นมุมปากได้รูปที่ยกขึ้นน้อย ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
“คุณหมายความว่ายังไง”
“การเป็นนักแสดงที่ดีน่ะคือการทำให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ ไม่ใช่หรือไง”
"คุณกำลังจะบอกว่าเธอทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นสาวประเภทสองอย่างนั้นน่ะเหรอ"
"ก็ไม่เชิง แต่ผมจะยังไม่เชื่อแบบนั้นจนกว่าจะได้ถามคนคนหนึ่งเสียก่อน"
"ใคร?" ปากถามในขณะที่ดวงตาก็ไม่ได้ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ มันยากจะคาดเดาและดูไม่เป็นชายหนุ่มที่ดูไม่มีสาระที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้เลยสักนิด
....
โทรศัพท์มือถือแผดเสียงดังลั่นห้องปลุกให้คนกำลังหลับสะดุ้งตื่น แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถเปิดเปลือกตาแสนหนักอึ้งได้ตามใจคิด ร่างปราศจากอาภรณ์ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นควานหาโทรศัพท์แต่เมื่อคว้าได้จะกดรับก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มถอนใจพลางทิ้งมันลงข้างตัวก่อนจะขยับลุกขึ้นพิงหัวเตียง สลัดศีรษะที่ปวดตุบ ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนจะรวบรวมกำลังปรือตาขึ้น ทันทีที่สามารถปรับให้ชินต่อแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านม่านผืนบางได้ก็เริ่มวาดมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา นึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่แล้วความยวบไหวทำให้ต้องดึงสายตากลับมาที่ปลายเตียงไล่มาตามผืนผ้าห่มที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเจ้าของแผ่นหลังเปลือยเปล่า
ชายหนุ่มจรดปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมยาวสลวยที่ปิดหน้าปิดตาคนกำลังอยู่ในห้วงนิทรา คิดจะแตะริมฝีปากลงบนผิวแก้มสีชมพูระเรื่อแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มเมื่อสักครู่ไม่ต่างอะไรจากละอองน้ำบนยอดหญ้าที่ถูกแสงแดดแผดเผาจนระเหยแห้งไปย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแตะหน้าจอเพื่อรับสายก่อนจะกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“สวัสดีครับ” เงี่ยหูฟังเสียงเอ็ดตะโลที่ดังลอดออกมาแล้วพูดต่อ “นี่เอะอะโวยวายอะไรกันแต่เช้า”
“อุ้ย! ไม่เช้าแล้วนะคะคุณอัศนัย”
“เมื่อกี้คุณพุฒิพงศ์ว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดช่วยบอกให้พวกนั้นเงียบเสียงหน่อยได้ไหม”
ปลายสายถอนใจเฮือก ไม่ใช่ไม่ทำ แต่พร่ำบอกจนปากจะฉีกแล้วต่างหาก แต่ก็ไม่มีใครฟัง
“เอ่อ...พอดีสาว ๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับการแสดงตอนค่ำอยู่นะค่ะ” พูดยังไม่ทันจบเสียงวี้ดว้ายด่าทอกันเรื่องชุดที่จะใส่สำหรับทำการแสดงก็ดังขึ้นอีกระลอก ในที่สุดก็เป็นพุฒิพงศ์ที่ต้องปลีกตัวออกมาหาที่สงบ ๆ พูดคุยให้เป็นกิจจะลักษณะ
“เมื่อกี้พุดดิ้งบอกว่านี่บ่ายแล้วนะคะ คุณอัศนัยจะเข้ามาตรวจแบบชุดละครไหมคะหรือเราจะนัดกันที่ไหนดี”
“เดี๋ยวผมเข้าไปดูเองดีกว่าครับ คุณรอผมหน่อยก็แล้วกัน”
“สำหรับคุณเล็ก เอ๊ย! คุณอัศนัย พุดดิ้งรอได้อยู่แล้วค่ะ แหม...ลูกค้านิสัยดีน่ารักแบบนี้ นานแค่ไหนก็รอได้ค่ะ”
“พอเถอะครับ ๆ นี่ผมจะลอยอยู่แล้วนะ” คนพูดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดวางสายในที่สุด จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินผ่านประตูไปยังห้องแต่งตัวซึ่งมีห้องน้ำอยู่ด้านใน ชายหนุ่มมองสำรวจตัวเองจากเงาสะท้อนในกระจก สังเกตว่าที่ลำคอและแผงอกเต็มไปด้วยร่องรอยสีกลีบกุหลาบสัญลักษณ์ของความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชวนให้นึกถึงเมื่อภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนสุดแสนเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านมา
แต่แทนที่ ‘คุณเล็ก’ หรือที่ในวงการธุรกิจบันเทิงรู้จักกันในนาม ‘อัศนัย นาฏยะ’ จะเป็นกังวล เขากลับผิวปากอารมณ์ดีในขณะที่เรียวนิ้วแตะครีมสีขาวในกระปุกก่อนจะป้ายเข้ากับสันกรามไล่ลงมายังปลายคางก่อนจะขึ้นไปเหนือริมฝีปากบางที่เริ่มจะมีขนแข็งเส้นเล็กโผล่ขึ้นมาให้ดูน่ารำคาญ จากนั้นจึงหยิบมีดโกนหนวดแบบพับบรรจงปาดเนื้อครีมออกจนใบหน้าเกลี้ยงเกลา เมื่อทอดมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้งพลันรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าที่ใคร ๆ ต่างก็ชมนักชมหนาว่าหล่อเหลางดงาม เป็นใบหน้าที่ทั้งสาวแท้สาวเทียมต่างก็พากันหลงใหล
เสียงน้ำจากฟักบัวเงียบลงครู่หนึ่ง อัศนัยที่พันท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวก็เปิดประตูออกมา ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือหญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอหันมายิ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามา ดวงตาคู่สวยจ้องประสานก่อนเลื่อนต่ำลงมายังลำคอตั้งตรง ไลงลงมายังช่วงบ่ากว้างกระทั่งแผงอกที่พราวไปด้วยหยดน้ำ หญิงสาวนึกกระหยิ่ม นั่นเพราะร่องรอยสีแดงจาง ๆ ทั้งหมดที่ปรากฏให้เห็นล้วนเกิดจากฝีมือของเธอทั้งสิ้น
“อันขอโทษนะคะที่....” พูดพลางใช้ปลายนิ้วเรียวจรดลงบนผิวขาวละเอียดเหนือราวนม แกล้งลากเล่นให้อีกฝ่ายจั๊กกะจี้
อัศนัยคว้าข้อมือเล็กที่กำลังจะทำให้เขาคลั่งอีกครั้ง ออกแรงรั้งเพียงเบา ๆ คนตรงหน้าก็โผเข้าหา มือหนาเชยคางให้หน้าสวยเชิดขึ้นให้สบตากัน แม้นึกอยากจะเริ่มบทรักอีกครั้งแต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ชายหนุ่มกดจูบเบา ๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง
“ผมรู้ว่าคุณตั้งใจ แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ตั้งใจจะยั่วผมใช่ไหม”
“แล้วถ้าอันบอกใช่ล่ะคะ คุณจะว่ายังไง”
ชายหนุ่มหัวเราะหึก่อนจะตอบ “บ่ายนี้ผมมีนัดดูแบบชุดกับคุณพุฒิพงศ์เสียแล้วสิ คุณเองก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการแสดงคืนนี้ไม่ใช่เหรอ จะติดรถผมไปเลยไหม”
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นรีบตอบ “ไม่เอาหรอกค่ะ ขืนอันโผล่ไปที่นั่นพร้อมคุณ พวกนั้นได้ฉีกอกอันแย่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี จะได้ไม่เสียของ” พูดจบก็สอดมือเข้าไปในเสื้อคุมอาบน้ำตะบบทรวงอกอวบก่อนจะออกแรงเค้นคลึงเบา ๆ จนหญิงสาวเผลอส่งเสียงที่เป็นดั่งเชื้อเพลิงเติมให้ไฟปรารถนาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ที่อีกฝั่งหนึ่ง...
เมื่อวางสายจากเจ้านาย พุฒิพงศ์หรือเจ๊พุดดิ้งเจ้าของห้องเสื้อพุทธรักษาก็เดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวภายในโรงละครที่ยังคงวุ่นวายเพราะบรรดาสาว ๆ ประเภทสองต่างก็กำลังเตรียมตัวสำหรับการแสดงละครเวลทีที่จะเริ่มทำการแสดงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทั้งกลิ่นเครื่องสำอางและน้ำหอมคละคลุ้งทั่วห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกยาวตลอดแนว ส่วนอีกฝั่งก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่แขวนเรียงรายจนแน่นราว
“นี่มันจะบ่ายสองแล้วนะแก นังอันมันยังไม่มาเตรียมตัวอีกเหรอ” คนหนึ่งกล่าวขณะปัดแก้มสีชมพูแจ่ม ผมตีพองมีจอนม้วนอ่อนช้อยทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าละครเวทีที่จะทำการแสดงในวันนี้ต้องเป็นเรื่องราวในยุคมิตร-เพชรา ไม่ผิดแน่
“นั่นน่ะสิ พี่อันหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ซ้อมเสร็จ นิกโทร.ไปก็ไม่รับ ร...หรือว่า...” อีกคนที่กำลังนั่งทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกกล่าวพลางเหลือบมองเพื่อน ๆ ที่พร้อมใจกันจ้องมองมายังตนเองเป็นตาเดียว
“หรือว่าอะไรยะนังนิกกี้” ร่างสูงที่ท่อนล่างสวมกางเกงเลสีเข้มคาดเอวด้วยผ้าขาวม้าตาห่างกล่าวขึ้นก่อนจะค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อแขนยาว เห็นเนินอกภายใต้การห่อหุ้มของบราเซียที่ดูไม่ค่อยจะรับกับขนาดที่ใหญ่โต พริบตาเดียวเมื่อเสื้อสีมอที่ใส่คลุมทับตอนแต่งหน้าและบราเซียตัวจิ๋วถูกดึงลงไปกองอยู่กับพื้น ดอกบัวตูมที่ปลายกลีบเป็นสีชมพูระเรื่อก็เด้งผึงออกมาอวดสายตาคนมอง แต่นี่ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัวของโรงละครแห่งนี้
หลายคนยังคงตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองจนแทบจะไม่ได้สนใจคนอื่น เจ้าของอกสวยใช้มือทั้งสองข้างขยับทรงให้เข้าที่จากนั้นจึงใช้ผ้าแถบพันรัดเพื่อเก็บซ่อนเนินอกเพราะวันนี้เธอจะต้องรับบทเป็นพระเอกของเรื่อง นั่นก็เพรารูปร่างสูงใหญ่ที่ดูโดดเด่นว่าเพื่อน
“หรือว่าพี่อันจะไปกับผู้ชาย นิกว่าต้องใช่แน่ ๆ เลย”
“พวกแกนี่มันยังไงกันนะ ทะเลาะกันเรื่องชุด แต่สามัคคีกันเม้าเรื่องชาวบ้าน” พุฒิพงศ์กล่าวขณะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้หน้ากระจกเท้าคางมองสาว ๆ อย่างหมั่นไส้ “แต่จะว่าไป เจ๊ไม่เห็นนังอันมันจะคบกับใครสักคน ทำตัวยังกับอยู่บนหอคอยงาช้าง”
“เจ๊พุดดิ้ง เจ๊เป็นฟรีแลนซ์เจ๊จะไปรู้อะไร นังอันมันอาจจะซุ่มก็ได้นะเจ๊ เข้าทำนองเห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดเรียบนะยะไงเจ๊ เห็นสวย ๆ เงียบ ๆ น่ะ ร้ายลึกจะตาย” คนที่เพิ่งติดขนตาเสร็จหันมาพูดจีบปากจีบคอ
“อุ๊ยตาย! นังนี่เม้านะยะ”
“พูดเรื่องจริงย่ะ”
“ทำพูดมากไป ที่แกพูดถึงน่ะตัวทำเงินของนาฏยกาลนะยะ”
“ทำเงินแล้วยังไง ถ้าทำตัวไม่ดีก็ไม่มีใครเอาหรอกย่ะ”
“นังเหมียว แกแต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหม ฉันว่าแกเลิกพูดมากแล้วมารัดนมให้ฉันดีกว่าย่ะ” สาวทรงโตกล่าวจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับยื่นผ้าแถบให้
“นังจีจี้ แกพูดอย่างเดียวก็พอไม่ต้องเอานมมาชี้หน้าฉัน” พูดจบก็คว้าผ้าจากมือเพื่อนก่อนจะออกคำสั่งให้อีกฝ่ายกางแขนออก จากนั้นจึงพันผ้ารัดหน้าอกให้
“นี่ถ้ารู้ว่าจะได้แต่บทผู้ชายฉันไม่ทำนมมาให้เป็นภาระหรอก ไม่รู้คุณเล็กเธอคิดยังไงถึงโละนโยบายเดิมทิ้งหมด ไม่รับชะนีเข้าทำงานยังพอว่า เล่นไม่รับหนุ่ม ๆ ด้วย กะเทยอย่างฉันเลยต้องลำบาก ทำนมมายังไม่ได้แต่งหญิงในละครกับเขาเลย นี่ก็นานแล้วนะที่ผู้ชายยังไม่ตกถึงท้องสักคน”
“ก็เพราะมีกะเทยโหยอย่างแกไงนังจีจี้ คุณเล็กเขาถึงรับแต่กะเทยเข้ามาทำงาน เพราะยังไงพวกแกก็ไม่กินกันเองอยู่แล้ว” พุฒิพงศ์ถอนใจก่อนจะเดินไปช่วยกะเทยทรงโตจัดการกับหน้าอกหน้าใจที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของผ้าแถบผืนน้อยง่าย ๆ
“ก็ไม่แน่นะเจ๊ หน้ามืดตามัวขึ้นมาก็ฟาดเรียบเหมือนกันนะคะ จะว่าไปเจ๊นี่ก็น่ารักเหมือนกันเนอะ” จีจี้กล่าวพลางสบตาคนร่างอวบเจ้าของทรงผมหยิกฟูตรงหน้า
“นังจีจี้! แกไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลยนะ”
“ดูดู๊! ทำตาเขียว จี้ไม่กินกินเนื้อสัตว์ค่ะเจ๊” พูดพลางก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มของคนตัวเตี้ยกว่าไปพลาง “หนังเหนียวเคี้ยวยาก อย่างจีจี้ต้องกินยอดหญ้าอ่อน ๆ เท่านั้น”
“ตามวิถีกระเทยควาย”
“ใช่! ถุย! กะเทยคงกะเทยควายอะไรยะนังเหมียว”
“แคทย่ะ เรียกให้มันถูก ๆ” เจ้าของจอนมหาเสน่ห์ค้อนขวับ
“อย่างฉันน่ะ เขาเรียกว่ากะเทยซูเปอร์โมเดลย่ะ”
“ย่ะ นังกะเทยแคทวอล์ก ว่าแต่หญ้าอ่อน ๆ ที่ว่าน่ะ แกหาได้แล้วเหรอ ทำมาเม้า”
คนถูกถามกลอกตาขึ้นพร้อมกับยักไหล่ “ก็ใกล้ ๆ นี่แหละ หล่อ สูง ขาว กัดลงไปคงกรุบกรอบน่าดู”
“ใครยะ”
“ก็ทายาทธุรกิจบันเทิงชื่อดังไงแก”
“คุณอัศนัยน่ะเหรอ”
“ต๊ายยยยยย ฉลาดนะยะนังแคท” พูดพลางใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากคนที่ความสูงระดับคางจนอีกฝ่ายหน้าหงาย
“แต่เจ๊ได้ข่าวว่าเขามีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเพชรด้วยนี่นา”
“อุ๊ยเจ๊! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ค่ะ นั่นมันเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันเอาไว้ตั้งแต่เธอยังเด็ก ๆ อีกอย่างก็ยังไม่ได้มีพิธงพิธีอะไรนี่คะ แต่ถึงจะมีก็เถอะ ตราบใดที่เขายังไม่ได้เสียเป็นเมียผัวกัน จีจี้ก็ยังมีสิทธิ์ค่ะ”
พุฒิพงศ์แปะปากขณะติดเข็มกลัดตัวสุดท้ายลงบนผ้าแถบรัดหน้าอก “ย่ะ ถ้าแกคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะนังจีจี้ นังกระเทยรถถัง”
จีจี้ยังไม่ทันได้เถียงกลับอัญชลิสาก็ปรากฏตัวขึ้น หน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางส่วนผมเผ้าก็ถูกเกล้าขึ้นจัดเป็นทรงสวยงามพร้อมสำหรับการขึ้นเวที จะเหลือก็แต่เสื้อผ้าเท่านั้นที่ยังคงเป็นชุดปกติ การมาของเธอทำให้ทั้งห้องแต่งตัวเงียบกริบ บางคนถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงในความงามของดาวเด่นแห่งนาฏยกาลผู้นี้ ร่างบางเดินมานั่งลงที่หน้ากระจก เชิดหน้าสำรวจตัวเองก่อนจะหยิบบรัชออนในกระเป๋าแบรนด์เนมขึ้นมาปัดทั้งสองแก้ม
“ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะยะแม่นางเอก” น้ำเสียงประชดประชันดังแว่วมาไกล ๆ แต่นั่นก็ได้ทำให้เจ้าของตำแหน่งรู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด อัญชลิสายังคงนั่งปัดแก้มอย่างสบายอารมณ์ราวกับเสียงนั้นเป็นแค่แมลงหวี่แมลงวันที่บินผ่าน
“พี่อันไปไหนมาคะ นิกกี้โทร.หาก็ไม่รับ”
คนถูกถามเก็บบรัชออนลงในกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นหมุนตัวเดินไปคว้าชุดที่แขวนเตรียมไว้สำหรับตัวละครหลักของเรื่อง “ไปธุระมาน่ะ” พูดก็ปลดกระดุมเสื้อออกเผยให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียดและทรวดทรงที่ไม่ต่างไปจากผู้หญิงแท้ ๆ
“ท่าทางจะเป็นธุระที่ต้องทำกันสองคนสินะ ถึงได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แบบนี้” แคทกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งไขว่ห้างรอฟังคำชี้แจงของอีกฝ่ายที่เก้าอี้หน้ากระจก คำพูดของเธอเล่นเอาเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พากันหันมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว
อัญชลิสาฟังเฉย ๆ พลางเหลือบมองช่วงบ่าของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยช้ำเล็ก ๆ ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างไม่ยี่หระก่อนจะขยับไหล่เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เสื้อเข้าที่ ติดกระดุมแล้วหันมาตรวจดุความเรียบร้อยของตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้าจากเงาสะท้อนในกระจกจากนั้นก็เดินออกจากห้องแต่ตัวไป
“ดูดู๊! เจ๊ดูมันสิ ขึ้นมาเป็นนางเอกได้ไม่นานทำเป็นจองหอง” จีจี้กล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่พุฒิพงศ์เองก็ได้แต่มองตามร่างอ้อนแอ้นที่เพิ่งเดินนวยนาดออกไป
....
ที่ห้องทำงานอัศนัย หนุ่มทายาทธุรกิจบันเทิงวัย 35 ปีกำลังกวาดตามองกระดาษร่างภาพชุดที่จะใช้ในละครเวทีเรื่องต่อไปซึ่งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ไม่นานเขาก็หยิบแบบชุด 3-4 แบบที่เห็นว่าน่าสนใจขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะดูมันอย่างพิจารณาทีละรายละเอียดซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญครับ” เขากล่าว
เมื่อประตูเปิดออกสาวเทียมร่างอวบก็เอ่ยทักทายเสียงอ่อนเสียงหวาน เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญแต่ก็ไม่วายลอบมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองไม่กี่ปีตาเป็นมัน
อัศนัย นาฏยะ ถือว่าเป็นนักธุรกิจไฟแรงที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารแบบก้าวกระโดด เพราะเสี่ยอนันต์ผู้เป็นพ่อเกิดล้มป่วยกะทันหัน หลายคนจึงพาพูดว่าเขากินบุญเก่าของผู้เป็นพ่อ แต่ตลอดระยะเวลาที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดของโรงละครนาฏยกาลเขาก็สามารถพิสูจน์ให้ใคร ๆ เห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้มาไม่ใช่โชคช่วยหรือเพราะบารมีของบุพการีแต่อย่างใด นั่นทำให้อัศนัยเป็นที่จับตามองของบรรดานักธุรกิจด้วยกันรวมไปถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่ปรารถนาจะมีความมั่นคงในชีวิต
“คุณพุฒิพงศ์มาก็ดีแล้ว นี่ผมกำลังเลือกชุดที่จะใช้ในละครเวทีเรื่องต่อไปอยู่พอดีเลย” กล่าวจบก็ดึงแบบที่ไม่ได้เลือกวางบนโต๊ะแล้วจึงส่งแบบที่เหลือให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ผมเลือกสามชุดนี้ก็แล้วกัน คิดว่าน่าจะเข้ากับเนื้อเรื่องที่มีความเป็นสมัยใหม่ แต่อยากให้ปรับแก้เรื่องสีหน่อย อยากจะให้มันฉูดฉาดกว่านี้อีกนิด”
“ได้ค่ะ ถ้ายังไงพุดดิ้งแก้เรียบร้อยแล้วจะเอาเข้ามาให้คุณอัศนัยดูอีกครั้งนะคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ สายตาเหลือบไปเห็นเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หลังจากจบเรื่องนี้แล้วนาฏยกาลคงจะพักยาวเพื่อเตรียมละครเวทีเรื่องใหม่ในช่วงกลางปี ยังไงคงต้องรบกวนคุณอีก”
“ช่วงกลางปี...ก็อีกไม่กี่เดือนเองนะคะ แหม...ท่าทางปีนี้นาฏยกาลก็มีละครให้ดูเยอะเลยนะคะ”
“อืม จริง ๆ มันเป็นงานที่ถูกแทรกเข้ามาน่ะ พอดีปีนี้เป็นปีที่คุณพ่ออายุครบห้าสิบเก้าปีแล้วก็เป็นปีที่นาฏยกาลดำเนินกิจการมาเป็นปีที่สิบเก้าก็เลยอยากจะทำอะไรพิเศษ ๆ หน่อย”
“แล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอคะ”
“น่าจะเป็นแฟนตาซี เพราะเรายังไม่เคยทำละครแนวนี้เลย ส่วนชื่อเรื่องทีมเขียนบทกำลังคิดอยู่ คิดว่าอีกไม่นานน่าจะได้”
“ว้าว!!! น่าตื่นเจ้นจังเลยค่ะ รับรองนะคะว่าพุดดิ้งจะช่วยคุณอัศนัยทำงานให้เต็มที่เลยค่ะ”
“มีเวลาอีกประมาณ 4-5 เดือน ยังไงคงต้องฝากคุณด้วยนะ” ผู้เป็นนายจ้างกล่าวทิ้งท้าย
(มีต่อค่ะ)