พิมพ์หน้านี้ - หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-11-2014 00:12:46

หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-11-2014 00:12:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-11-2014 00:13:23
ห  น้  า  ก  า  ก  ด  อ  ก  ไ  ม้


เรื่องย่อ : เมื่อนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานนึกสงสัยในสาเหตุการเสียชีวิตของเพื่อนสนิท ภารกิจค้นหาความจริงในระยะประชิดจึงเริ่มต้น เพราะเขาถือคติว่า "รู้ว่าใครคือศัตรู ก็ต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้น" ตั้งใจจะสืบหาคนผิดเหมือนกับนักสืบในนวนิยาย แต่ดันตกม้าตาย ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายขโมยหัวใจเสียเอง


เรื่องอื่น ๆ (http://bit.ly/2etBTpw)


สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2862873#msg2862873)
ตอนที่ 1 ยินดีที่ได้รู้จัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2865953#msg2865953)
ตอนที่ 2 รอยสักรูปดอกไม้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2879079#msg2879079)
ตอนที่ 3 สงสัย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2892988#msg2892988)
ตอนที่ 4 หลักฐานในภาพถ่าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2898795#msg2898795)
ตอนที่ 5 ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2913203#msg2913203)
ตอนที่ 6 คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2940347#msg2940347)
ตอนที่ 7 ผู้ร่วมขบวนการ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2956464#msg2956464)
ตอนที่ 8 ก้าวแรกในนาฏยกาล (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2965971#msg2965971)
ตอนที่ 9 เกือบไปแล้ว (1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2967481#msg2967481)
ตอนที่ 10 พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2969799#msg2969799)
ตอนที่ 11 ความลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2971283#msg2971283)
ตอนที่ 12 ฝันร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2978042#msg2978042)
ตอนที่ 13 โรงละครร้าง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2982280#msg2982280)
ตอนที่ 14 กลัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2982284#msg2982284)
ตอนที่ 15 เสียงของหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2983883#msg2983883)
ตอนที่ 16 หลักฐานชิ้นสำคัญ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg2987596#msg2987596)
ตอนที่ 17 คำให้การของชายลึกลับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg3005130#msg3005130)
ตอนที่ 18 คนในความมืด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg3009104#msg3009104)
ตอนที่ 19 ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg3009438#msg3009438)


ตอนพิเศษ

01 ผู้ร้ายตัวจริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44261.msg3014899#msg3014899)



หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-11-2014 00:18:35
บทนำ



แสงแดดในยามสายถูกกลืนหายไปในเงาของพยับฝนที่เริ่มก่อนตัว เสียงคำรามครืน ๆ ของท้องฟ้าเป็นสัญญาณเตือนให้หลายคนต้องเร่งฝีเท้าในขณะที่สายตาก็ต้องมองหาที่กำบัง ไม่ช้าความเร่งรีบนั้นก็กลับกลายเป็นความเชื่องช้าจนแทบจะหยุดนิ่งเมื่อหยดน้ำเล็ก ๆ โปรยปรายลงมาจนฉ่ำยอดหญ้า หากตอนนี้มีใครสักคนมองผ่านกระจกหน้าต่างของอาคารสูงลงไปเบื้องล่างคงจะได้เห็นร่มหลากสีสันเคลื่อนที่สวนกันไปมาจนดูคล้ายกับดอกไม้สีสวยที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางสภาพอากาศขมุกขมัวในช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้


ดอกไม้เล็ก ๆ ที่ถูกเสียบเอาไว้ในแจกันแก้วใบจิ๋วยังคงส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วห้องแม้กาลเวลาจะทำให้กลีบดอกเหี่ยวเฉาก็ตาม มันช่างหอมเย็นเสียจนตัดสินไม่ได้ว่าระหว่างอากาศกับกลิ่นของดอกไม้ อย่างไหนให้ความรู้สึกเย็นเยือกมากกว่ากัน


เสียงเคาะประตูทำให้ชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองกลีบดอกสีขาวต้องละสายตาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ สาวน้อยหน้าตาสะสวยเจ้าของความสูงเทียบเท่ามาตรฐานนางแบบในหน้านิตยสารก้าวเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง กระโปรงสีเขียวอ่อนยาวคลุมเข่ากับเสื้อเชิ้ตสีขาวลายจุดและผมยาวสลวยที่ถูกรวบตึงทำให้เธอดูเรียบร้อยน่ารักไม่ต่างไปจากวันแรกที่ได้พบกันเมื่อสองปีก่อน หยุดยกมือไหว้ก่อนจะนั่งลงตามคำเชื้อเชิญของเจ้าของห้อง


“ว่ายังไงอารตี มาห้องผมแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า”


“รตีแวะเอาดอกไม้มาเปลี่ยนให้อาจารย์ค่ะ เสร็จแล้วว่าจะไปค้นหนังสือที่หอสมุดสักหน่อย” พูดจบเธอก็จัดการรวบดอกปีบสีขาวช้ำ ๆ 3-4 ดอกออกจากแจกันก่อนจะแทนที่ด้วยดอกใหม่ที่เพิ่งเก็บมาจากริมทางเดิน “ต้นที่หลังมหาวิทยาลัยน่ะค่ะ ออกดอกมากจนกิ่งย้อยลงมาพอจะเอื้อมถึง รตีก็เลยเก็บมาฝาก เห็นว่าอาจารย์ชอบ”


หญิงสาวยิ้มหวานก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหย่อนดอกไม้ช้ำ ๆ ลงในถังขยะ เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้อสันนิษฐานเธอจึงเดินกลับมานั่งลงจ้องหน้าอาจารย์ที่ปรึกษาของตนเองก่อนจะถามย้ำ “เอ...หรือว่าอาจารย์ไม่ชอบคะ”


คนถูกถามค่อย ๆ คลี่ยิ้มที่พักนี้แทบจะเหือดหายไปจากใบหน้า หากพูดกันตามจริงเขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มอ่อนหวานที่พิศมัยในกลิ่นหอมของดอกไม้สักเท่าไร แต่ที่ต้องคอยหาดอกปีบนี่มาเสียบแจกันทุกวันก็คงเป็นเพราะใครคนหนึ่งที่ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความเคยชินสำหรับเขา


“อืม...มันก็หอมดีนะ”


“ถ้าอย่างนั้นวันไหนรตีเข้ามาที่มหาวิทยาลัยจะแวะเอาดอกใหม่มาเปลี่ยนให้ก็แล้วกันนะคะ”


“ดูแลดีขนาดนี้สงสัยผมต้องรีบตรวจงานให้แล้วละมั้งจะได้จบไว ๆ”


“โธ่ อาจารย์คะ ค่อย ๆ ตรวจก็ได้ รตียังไม่ได้บอกสักคำเลยว่าอยากจะรีบจบ” อารตียิ้มน้อย ๆ พลางมองป้ายชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอซึ่งวางอยู่ตรงหน้า


‘ดร.ธันวา ธิตินาวา’ คือชื่อของเขา ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ท่าทางสุขุม แม้จะมีวัยวุฒิเพียงเท่านี้แต่หากพิจารณาด้านคุณวุฒิแล้วก็ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว นอกจากเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาการบริหารงานศิลปวัฒนธรรมแล้ว เขายังรั้งตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาอีกด้วย


“ปริญญาโทน่ะเรียนแค่สองปีครึ่ง หรือให้อย่างมากสามปีก็พอแล้ว อย่าเรียนนานนักเลย รีบ ๆ จบ ผมจะได้ไปดูแลรุ่นน้อง ๆ ของคุณต่อ”


“ก็ได้ค่ะอาจารย์รตีสัญญาว่าจะรีบจบ ไม่อยู่เป็นภาระของอาจารย์นานหรอกค่ะ ถ้าอย่างนั้นรตีขอตัวไปหอสมุดก่อนก็แล้วกันนะคะ”
 

อารตีเดินออกจากห้องไปแล้ว การมาของเธอในทุก ๆ ครั้งมักจะทำให้ธันวานึกถึงหญิงสาวร่างเล็กเจ้าของรอยยิ้มชวนมองคนนั้น...


“นึกยังไงถึงเอาแจกันดอกไม้มาตั้งที่โต๊ะผม” ร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นนักศึกษาสาวในความดูแลของตนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ จัดดอกไม้ในแจกันเล็ก ๆ ที่มีอยู่เพียงไม่กี่ดอกแต่กลับส่งกลิ่นหอมฟุ้ง


“สร้างความสดชื่นให้กับชีวิตบ้างสิคะอาจารย์ กิ่งเข้ามาทีไรเห็นอาจารย์นั่งตรวจงานหน้าเครียดทุกที”


“ก็งานพวกคุณมันไม่ได้เรื่องนี่นา” ธันวาหัวเราะก่อนจะเดินอ้อมหลังร่างเล็กมานั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน จ้องมองกลีบดอกสีขาวอย่างสนใจ “เขาเรียกดอกอะไรน่ะ”


“Millingtonia hortensis Linn.f ค่ะ”


“หือ? ว่าไงนะ”


“ชื่อวิทยาศาสตร์นะค่ะ กิ่งจำจากเพื่อนมาอีกที” สาวน้อยยิ้มก่อนจะเลื่อนเก้าอี้จากนั้นจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม “เขาเรียกว่าดอกปีบค่ะ”


“คุณชอบเหรอ”


คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ “เปล่าหรอกค่ะ แต่เพื่อนสนิทกิ่งชอบดอกปีบ กิ่งว่าผู้ชายกับดอกไม้มันดูน่ารักดีก็เท่านั้นเอง”


“ก็เลยคิดว่าผมต้องชอบด้วย?”


“ไม่ได้คิดว่าอาจารย์จะชอบหรอกค่ะ แต่ถ้าอาจารย์ชอบกิ่งจะเอามาใส่แจกันให้ทุกวันเลย”



ธันวายังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ดอกปีบดอกเล็ก ๆ ยังคงถูกนำมาเปลี่ยนใส่แจกันให้เกือบทุกวันตลอดระยะเวลาสองปีที่เธอเข้ามาเป็นนักศึกษาในความดูแลของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด


“อาจารย์คะ ที่โรงละครนาฏยกาลเขารับกิ่งเข้าทำงานแล้วนะคะ กิ่งตัดสินใจแล้วว่ากิ่งจะเข้าไปเก็บข้อมูลที่นั่น” ประโยคยืดยาวผสมกับน้ำเสียงตื่นเต้นดังขึ้นรวดเดียวโดยไม่รอให้คนที่ปลายสายได้กล่าวทักทาย


“ไหนคุณบอกว่าที่นั่นเขารับแต่สาวประเภทสองเข้าทำงาน ไม่รับผู้หญิงไง” ธันวาผ่อนลมหายใจหนักพลางนึกถึงโรงละครมีชื่อเสียงที่บรรดาหนุ่มสาวต่างก็อยากจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น ติดตรงที่ข้อบังคับที่เข้มงวดเอามาก ๆ ในเรื่องของการรับคนเข้าทำงานซึ่งจะต้องเป็นสาวประเภทสองเท่านั้น แต่ทำไมนาฏยกาลที่เข้มงวดในเรื่องนี้ถึงยอมรับนักศึกษาสาวผู้นี้เข้าทำงานได้ นั่นเป็นสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาอย่างเขาต้องคิดหนักและอดเป็นห่วงไม่ได้


“กิ่งมีวิธีของกิ่งค่ะ อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”


“มันก็จริงอยู่ที่การเข้าไปฝังตัวอยู่ในนั้นจะทำให้คุณได้ข้อมูลในเชิงคุณภาพ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าจะต้องเป็นนาฏยกาลนี่ ที่อื่นก็มีเยอะแยะ”


“แต่ที่นี่เขามีชื่อเสียงนี่คะอาจารย์ มันน่าสนใจตรงที่ว่าเขารับเฉพาะนักแสดงที่เป็นสาวประเภทสอง แต่กลับทำการแสดงได้ทุกแนว ไม่ใช่ลักษณะของนางโชว์ทั่ว ๆ ไป กิ่งก็เลยอยากรู้ว่านี่หรือเปล่าที่เป็นสาเหตุให้แต่ละปีมีผู้ชมเข้าชมการแสดงของที่นี่จำนวนเยอะมาก แล้วก็มีแนวโน้มว่าจะมากขึ้นทุกปีด้วย อยากรู้จังว่าอะไรนะที่เป็นสิ่งดึงดูด”



‘กิ่งดาว’ หญิงสาวที่ได้พบกันครั้งสุดท้ายทางโทรศัพท์เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้วก่อนที่มัจจุราชจะพรากเธอไปจากเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นและอาจารย์ที่เคยสอนตลอดกาล


ธันวาถอนใจเฮือกใหญ่ เรื่องของกิ่งดาวฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้วงแห่งความคิดของเขาตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนกระทั่งถึงคอนโด ทั้งที่พยายามจะสลัดความนี้ออกไปแต่สุดท้ายมันก็ยังหวนกลับมาให้นึกถึง แม้จะรู้ดีว่าไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายและนึกโทษตัวเองอยู่ทุกครั้งที่ไม่ใช่อำนาจของความเป็นครูเป็นศิษย์เอ่ยปากห้ามเธออย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์น่าเศร้านี้คงไม่เกิดขึ้น ความคิดหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น ตาคมทอดมองดอกไม้สีเล็ก ๆ สีขาวที่เก็บได้ตรงทางเดินของลานจอดรถด้านข้างคอนโด มันเป็นดอกไม้ชนิดเดียวกันกับที่ถูกเสียบไว้ในแจกันบนโต๊ะทำงาน แม้กลิ่นของมันหอมฟุ้งเพียงใดก็ไม่อาจสู้กับกลิ่นของสปาเก็ตตี้ปลาเค็มที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งอยู่ในขณะนี้ได้


“สปาเก็ตตี้ปลาเค็มสองวันติดกันแล้วนะ” มือหนายกขึ้นทึ้งหัวตัวเองพลางนึกถึงเจ้าของห้องตรงข้ามที่เพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่ถึงสัปดาห์ ทั้งที่ยังไม่เคยพบหน้ากันแต่กลับรู้ว่าอาหารเย็นในวันนี้ของเจ้าของห้องคงไม่พ้นสปาเก็ตตี้ปลาเค็มเป็นแน่ รู้ได้โดยไม่ต้องสืบนั่นเป็นเพราะมันถูกแบ่งให้แม่บ้านที่คอยทำความสะอาดเป็นค่าปิดปากนั่นเอง



....



หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 03-11-2014 00:39:48
 :-[  ลึกลับน่าติดตามฝุดๆ 
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 03-11-2014 02:19:22
เรื่องกำลังอิน กำลังดราม่าได้อารมณ์
จนมาสดุดกับสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม 555555
รอติดตามตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 03-11-2014 06:11:00

มารอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 03-11-2014 07:01:51
อย่าบอกนะ ว่าครูจะปลอมเป็น'สาวสอง' เพื่อเข้าไปตามหากิ่งน่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-11-2014 10:22:46
แอบอู้งานมาอ่านนิยายเรื่องใหม่ ฮี่ๆ
ดร.ธันวา มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบุคคลจากสองเรื่องที่แล้วมั้ยคะ
ขอแผนภูมิต้นไม้ซิ // ล้อเล่นค่ะ
เรื่องนี้เล่าโดยพระเอกหรือนายเอกน้อ ยังไม่มีใครออกมาแสดงตัว
คงต้องรอตอนต่อไป แม้ว่ากลิ่นจะมาแล้วก็เถอะ

ดร.ธันวา ไม่ได้อะไรกับกิ่งใช่มั้ยคะ แค่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ห้ามใช่มั้ย // แต่ก็ไปกับมัจจุราชแล้วเนาะ คงไม่กลับมาแล้ว
นอกจากจะฝังอยู่ในจิตใจส่วนลึกของ ดร.ธันวาเองนั่นแหละ // นี่ต้องตั้งหม้อเติมน้ำตั้งแต่บทนำเลยป่ะคะ
รตีนี่ก็แค่ลูกศิษย์...ใช่มั้ย

เกือบจะเปิดแก๊ซแล้ว แต่มาเจอซีนทึ้งหัวกับกลิ่นปลาเค็มนี่ ฮาเลยนะ
อยากรู้จริงๆว่าเจ้าของสปาเก็ตตี้ปลาเค็มรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
โอ้ยยยย อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววววว

อ่านเร็วๆเห็นคำผิดที่คงจะพิมพ์รัวไปหน่อย 2-3 คำค่ะ

คนถูกถามค่อยๆคลี่ยิ้มที่พักนี้แทบจะเหือบหายไปจากใบหน้า.  เหือดหาย

มันเป็นดอกไม้ชิดเยวกัน.   เดียว

แต่กลับรู้ว่าอาหารเห็นในวันนี้. เย็น
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 03-11-2014 10:36:06
โฃคดีจังเข้ามาเจอเรื่องใหม่พอดี เห็นชื่อคนแต่งปุ๊บเข้ามาอ่านปั๊บ

************

ลึกลับ น่าดูเลย
สงสัยเนื้อคู่อาจารย์ จะอยู่ในคณะละคร
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 03-11-2014 12:41:10
ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 03-11-2014 13:52:53
ตอนนี้กำลังทำตัวประหนึ่งโคนัน
เกิคคดีฆาตกรรมในโรงละครสาวประเภทสอง!!!!
55555 แนวเรื่องลึกลับแบบนี้ก็ดีน่ะค่ะ เราจะได้ขอแปลงกายเป็นนักสืบ :hao3: :katai2-1: :hao6:
ติดตามจ้า^^

แก้คำผิดนิดนึง
แม้กาลเวลาจำทำให้กลีบดอกเหี่ยวเฉาก็ตาม>>>> แม้กาลเวลาจะทำให้กลีบดอกเหี่ยวเฉาก็ตาม
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: GlassesgirL ที่ 03-11-2014 14:01:33
รอติดตามนะคะ
 :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 03-11-2014 14:12:24
 :impress2: รอตอนที่ 1  :mew2:ค่ะ อยากให้ธันวารับจัง คึๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 03-11-2014 15:30:59
น่าสนุก รอติดตามอยู่นะคะ o13
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 03-11-2014 18:26:49
ปัดหมุดรอ พร้อมซัดสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-11-2014 18:54:47
มารออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-11-2014 19:33:23
มาติดตามเรื่องใหม่ ยังเดาไม่ออกจะมาแนวไหน
จำได้สองอย่าง กลิ่นดอกปีบกะกลิ่นปลาเค็ม อิอิ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 03-11-2014 19:58:47
เข้ามาอ่านเรื่องใหม่ และมาให้กำลังใจคนแต่ง

เริ่มต้นด้วยกลิ่นดอกไม้ ลงท้ายด้วยกลิ่นปลาเค็ม
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 03-11-2014 20:00:43
กลิ่นปลาเค็มคละคลุ้ง 555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 03-11-2014 20:14:26
เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นของเรื่องนี้เหมือนกับกลิ่นดอกปีบ
มาแอบขำตรงสปาเก็ตตี้ปลาเค็มนี่ล่ะค่ะ 5555555555

ชอบบุคลิคอาจารย์จังเลยน้า
ถ้าเราเป็นนักศึกษา ก็ยังไม่อยากรีบจบเหมือนกันนะเนี้ย
เดี๋ยวจะเอาดอกปีบมาใส่แจกันให้ทุกวันเลยค่าา ชอบเหมือนกัน  :o8:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 03-11-2014 20:20:50
หวั่นๆ จะมีดราม่าเล็กๆ แต่คนแต่งใจดี คงไม่ปล่อยให้คนอ่านปวดใจหรอกเนอะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 03-11-2014 22:18:02
อ่านแล้วได้กลิ่นมาม่าลอยมาอ่อนๆ
เอ๊ะ หรือจะเป็นกลิ่นดอกปีปเย็นๆนะ
น่าติดตามมากค่าา
แต่แอยหวั่นใจรัวๆ เพราะกลิ่นมาม่าโชยมา เอาเป็นว่าจะคอยลุ้นต่อไปแล้วกันนะคะ :mew3:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 03-11-2014 23:24:12
 :hao7: o13
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: nunnuns ที่ 04-11-2014 10:37:57
เปอดเรื่องมาก็น่าติดตามมากเลยค่ะ อืม...อ่านแล้วอยากกินสตาเกตตี้ปลาเค็มเลยน้า555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 04-11-2014 11:09:16
เห็นชื่อคนแต่งก็รีบพุ่งเข้ามาอ่านทันที
แค่บทนำก็น่าติดตามแล้ว
ตั้งหม้อเปิดไฟอ่อนไว้รอค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 04-11-2014 11:20:10
รอๆค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (บทนำ) 03-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 05-11-2014 14:40:17
แนวลึกลับ
ตามตามตามตามตาม
รอรอรออรอรอมาต่อนะค่ะ
คนที่อยู่ห้องข้างๆ........
 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-11-2014 16:33:32
ตอนที่ 1 ยินดีที่ได้รู้จัก




วันนี้เป็นวันศุกร์แห่งชาติเป็นสวรรค์ของมนุษย์เงินเดือนแทบทุกคน บนถนนคลาคล่ำไปด้วยรถรา ส่วนในร้านอาหารก็เต็มไปด้วยบรรดาหนุ่มสาวที่พากันมานั่งดื่มกินฉลองเงินเดือนออก แต่สำหรับ ดร.ธันวา ธิตินาวา กลับเป็นวันที่ไม่อยากจะให้มาถึง ลำพังภาระการสอนก็มากมายจนแทบจะไม่ได้กระดิกตัวไปไหนอยู่แล้ว การประชุมพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกิจการของคณะก็ยังดันมารวมกันอยู่ในวันนี้ ไม่รู้ว่าเป็นวันมงคลที่สุดในรอบหนึ่งเดือนหรืออย่างไร


ชายหนุ่มเลือกที่จะปฏิเสธการสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ทุกกลุ่มเพื่อพาร่างกายที่ดูเหมือนคนไร้วิญญาณกลับมาที่คอนโด กะว่าจะงีบเอาแรงให้สมใจอยากหากแต่จมูกยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นของสปาเก็ตตี้ปลาเค็มตีกับกลิ่นหอมเย็นของดอกปีบที่วางอยู่ตรงหน้า พาให้ในท้องปั่นป่วนเพราะน้ำย่อยที่กำลังหลั่งผสานกับการบีบรัดตัวของกระเพาะอาหารราวกับจะย่อยตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายความเหนื่อยล้าก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้เขาผล็อยหลับไปได้ไม่ยาก


ห้องทั้งห้องเงียบสนิทได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา ดินแดนแห่งความฝันอ้าแขนโอบกอดเขาไว้ได้เพียงไม่นาน เสียงกริ่งที่ดังแว่วอยู่ในโสตประสาทก็ทำให้ต้องขยับพลิกตัวด้วยความรำคาญ


หรือนี่จะเป็นความฝัน?


แต่ไม่น่าใช่ พลันหน้าของเจ้าเด็กแฝดวัย 8-9 ขวบที่ชอบวิ่งเล่นกดกริ่งป่วนเพื่อนบ้านก็ลอยขึ้นมาเตือนให้ไม่ไต้องไปใส่ใจเพราะเดี๋ยวเจ้าสองคนนั่นก็คงจะถูกผู้เป็นแม่ตามมาลากตัวกลับไปที่ห้องเหมือนเคย คิดได้ดังนั้นจึงหลับต่อ


ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ กระทั่งเสียงรัวกริ่งจนน่ารำคาญได้ปลุกให้ทำให้เจ้าของห้องตาสว่างขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงผุดลุกขึ้นอย่างหัวเสียก่อนจะย่างสามขุมไปที่ประตู มองผ่านช่องตาแมวออกไปเพื่อดูให้แน่ใจว่าจะใช่อย่างที่ตนเองคิดเอาไว้หรือไม่ ถ้าเป็นเจ้าสองแสบนั่นวันนี้คงต้องไปคุยกับผู้ปกครองให้ช่วยตักเตือนลูก ๆ เสียหน่อย ไม่ใช่ปล่อยไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเช่นนี้ แต่แล้วภาพของชายหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ด้านนอกก็ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวคลายลง  ในหัวนึกทบทวนว่าเคยรู้จักอีกฝ่ายมาก่อนหรือไม่ และทันทีที่ประตูเปิดออกธันวาก็ยิ่งแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับคน ๆ นี้มาก่อนแน่นอน


“สวัสดีครับ”


เป็นคำทักทายที่ไร้ซึ่งความขัดเขินใด ๆ แถมรอยยิ้มของคนพูดยิ่งเป็นสิ่งย้ำว่าในความรู้สึกของเขาคงไม่มีคำว่า ‘คนแปลกหน้า’ อยู่เลยสักนิด 


ความสูงไล่เลี่ยกันทำให้ดวงตาสองคู่แทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน อาจารย์หนุ่มมองสำรวจดวงหน้ารูปไข่รับกับผมเส้นเล็กสีเข้มยาวเลี่ยลำคอ ส่วนที่เหนือหน้าผากขึ้นไปถูกรวบเป็นจุกปัดไปด้านข้างค่อนไปทางด้านหลัง เพื่อไม่ให้ตกลงมาละลูกตา ธันวาขมวดคิ้วหนักรู้สึกขัดตากับภาพที่เห็น หนังยางสีแดงนั่นก็เป็นแบบที่ใช้มัดปากถุงกับข้าว แต่นี่ก็คงจะเข้ากับชุดกางเกงขาสั้นกับรองเท้าแตะที่อีกฝ่ายสวมอยู่ในตอนนี้ที่สุดแล้วกระมัง


“ผมเอาสปาเก็ตตี้มาให้”


เจ้าของห้องจ้องหน้าคนพูดสลับกับสปาเก็ตตี้ที่จัดใส่จานมาอย่างสวยงาม ยอมรับก็ได้ว่ามันหน้าตาดีพอ ๆ กับหน้าตาของคนเอามาให้ ริมฝีปากได้รูปรับกับสันจมูกเชื่อมกับหัวคิ้วไม่หนาไม่บาง ดูเหมือนว่าองค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้านั้นจะเข้ากันอย่างเหมาะเจาะราวกับหุ่นที่ช่างฝีมือดีบรรจงปั้นออกมาอวดสายตาคนทั้งโลก


"หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่า" ผู้มาใหม่กล่าวพลางปล่อยมือข้างหนึ่งจากจานก่อนจะยกขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเอง


"ปละ เปล่า" ธันวาละสายตาจากดวงหน้าที่ทำให้ความคิดกำลังเตลิดไปไกลก้มมองไมตรีที่ถูกหยิบยื่นมาให้ สปาเก็ตตี้ปลาเค็มที่ส่งกลิ่นหลอกหลอนเขามาสองวัน กลิ่นของมันปลุกให้พยาธิในท้องร้องคำรามขึ้นอีกครั้ง


“คุณคงงงใช่ไหมว่าผมเอามาให้ทำไม ทั้ง ๆ ที่ผมกับคุณก็ไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย”


คนฟังยังคงยืนนิ่งรู้สึกราวกับกำลังโดนอ่านใจ


“ถ้าคุณรับมันไว้ เดี๋ยวเราก็รู้จักกันไปเองนั่นแหละ อย่าคิดมากน่า ผมทำเองไม่มียาพิษหรอก” พูดจบก็ยื่นจานสปาเก็ตตี้เข้ามาใกล้จนขอบจานแทบจะกระแทกกับปลายจมูกจนอีกคนต้องเอียงคอออกห่างแต่มือก็รับไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเสียน้ำใจ นั่นคือเหตุผลรองต่างหาก เพราะจริง ๆ แล้วถ้าสมองยังคิดดึงดันไม่รับเอาไว้แล้วละก็ กระเพาะอาหารคงจะบีบรัดและย่อยตัวเองประชดเจ้าของร่างกายเสียเดี๋ยวนี้


“ขอบคุณมาก”


“ไม่เป็นไร ผมเพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่กี่วันก็เลยอยากจะผูกมิตรกับเพื่อนบ้านเอาไว้น่ะ” ชายหนุ่มแปลกหน้าคลี่ยิ้มพลางยักคิ้ว แววเจ้าเล่ห์นั่นทำให้ธันวานึกสงสัยจริง ๆ ว่านี่เป็นวิธี ‘ผูกมิตร’ หรือว่า ‘กลบกลิ่นตุ ๆ’ ของปลาเค็มกันแน่


"ผมชื่อคันธชาติ เรียกบุ้งเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องถามนะว่าแปลว่าอะไร จะผักบุ้ง หนอนบุ้งหรือตัวบุ้งอะไรก็ได้แล้วแต่คุณจะเข้าใจเถอะ ผมชินแล้ว"


ร่างสูงพยักหน้า แต่ยังไม่ทันอ้าปากแนะนำตัวเอง หนุ่มห้องตรงข้ามก็ร้องห้ามขึ้นมาก่อน


"ไม่ต้อง ๆ พี่แววที่เป็นแม่บ้านบอกผมแล้ว"


นั่นทำให้ธันวาต้องค่อย ๆ กลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูดลงคอทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี


"อืม...เดี๋ยวนะ ขอนึกก่อน" คันธชาติถูปลายคางมนพลางมองไปตามทางเดินทางปีกซ้าย "ห้องที่อยู่ใกล้บันไดหนีไฟชื่อพี่แก้ว เป็นแม่บ้านมีลูกแฝด ถัดมาชื่อคุณพงศ์เทพเป็นวิศวกร ส่วนห้องทางปีขวานั่น...เป็น...”


“พริตตี้” 


“เอ้อ ใช่ ๆ เป็นพริตตี้ ชื่อน้องบิวตี้สวยสมชื่อจริง ๆ” คนพูดยิ้มกริ่ม ในขณะที่ธันวาได้แต่แอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ดีเหลือเกินที่ชั้นที่เขาอยู่มีคนอยู่แค่นี้ ไม่เช่นนั้นคงต้องนึกกันยันเช้า


“ส่วนคุณ...ชื่อ...”


ไม่ได้มีอะไรเลยแต่เจ้าของชื่อกลับรู้สึกลุ้น


“ปลายปี?”


“ธันวา”


“ก็เดือนสุดท้ายของปีไม่ถูกเหรอ”


“ก็ธันวาไง”


“อ่ะ ๆ ธันวาก็ธันวา ว่าแต่คุณมีชื่อเล่นไหม”


“ธัน”


“อืม คุณธัน คงไม่ต้องเรียกพี่หรอกนะ เพราะผมเกิดช้ากว่าคุณแค่ปีเดียวเอง”


คนฟังขมวดคิ้วฉงน นี่เขารู้ได้อย่างไรกัน?


“นี่คุณรู้อายุผมเหรอ แล้วรู้ได้ยังไง”


“นับเส้นหน้าผากมั้งคุณ แบบนับเส้นวงปีของต้นไม้อะไรทำนองนี้”


คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาคนถามนึกอยากจะวิ่งเข้าห้องไปส่องกระจก นี่เขาแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ


“ฮ่า ๆ ดูทำหน้าเข้า ผมล้อเล่น ผมเคยเห็นคุณในหนังสือพิมพ์ต่างหาก”


“หนังสือพิมพ์?”


“ใช่ ก็ที่คุณให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เรื่องการเสียชีวิตของนักศึกษาเมื่อเดือนก่อนไง เป็นคนดังเลยนะคุณ” คนหน้าระรื่นไม่ได้รู้เลยว่าคำพูดของตนเองกำลังฉุดรั้งความรู้สึกผิดที่ธันวาพยายามจะทิ้งมันไว้กับกาลเวลาให้กลับคืนมาสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ดร.ธันวา ธิตินาวา”


เจ้าของชื่อมองตามหลังชายหนุ่มที่กำลังเดินหันหลังกลับเข้าไปในห้อง ทันที่ประตูปิดลง คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นภายในใจ


‘ถามผมสักคำหรือยังว่าผมยินดีที่ได้รู้จักคุณหรือเปล่า?’



คันธชาติเดินยิ้มกริ่มเข้ามาในห้องก่อนจะเดินออกไปยืนที่ระเบียงชมทิวทัศน์ยามค่ำของกรุงเทพฯ  และแล้วภารกิจในการทำความรู้จักเพื่อนบ้านของเขาก็สำเร็จด้วยดีภายในระยะเวลา 2  วัน คำสอนของแม่เมื่อสมัยเด็กที่ว่าคนเราต้องรู้จักการแบ่งปันเป็นคาถาอย่างดี จากนี้ไปถ้าวันไหนอยากกินสปาเก็ตตี้ปลาเค็มของโปรด ก็คงทำกินได้อย่างสบายอกสบายใจไม่ต้องกลัวจะถูกบ่นว่าเป็นตัวต้นเหตุสร้างกลิ่นรบกวนคนอื่น เพราะทุกคนต่างก็โดนปิดปากด้วยเมนูโปรดของเขาเสียแล้ว


ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวมองตามแสงไฟระยิบระยับที่เคลื่อนช้าไปตามแนวถนน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าวันหนึ่งจะต้องเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแสนวุ่นวายนี้ ความที่อยู่กับต้นไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงเลือกเรียนในคณะเกษตรที่มหาวิทยาลัยมีชื่อทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากเรียนจบปริญญาโทสาขาธุรกิจการเกษตรก็กลับมาช่วยงานทางบ้าน จะมีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเฉพาะตอนที่ครบกำหนดตรวจบัญชีของร้านก็เท่านั้น ซึ่งร้านที่ว่าก็คือร้านทานตะวันเป็นร้านค้าผลิตผลทางการเกษตรในเครือฟาร์มแสงฉานธุรกิจของครอบครัวนั่นเอง


การเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัวไม่ได้ทำให้ ‘คันธชาติ ณ แสงฉาน’ นายน้อยแห่งฟาร์มชื่อดังของปากช่องกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนหรือได้รับการเลี้ยงดูผิดแปลกไปจากคนอื่น เขาก็เหมือนกับลูกคนงานที่ต้องเรียนรู้ทุกกระบวนการในฟาร์ม  แต่ที่ใคร ๆ มักจะพากันเอาอกเอาใจนายน้อยผู้นี้ก็คงเป็นเพราะความมีน้ำใจและนิสัยขี้เข้ากับคนง่ายของเขา ซึ่งทั้งหมดนี้คงต้องยกความดีความชอบให้นายทินกฤตและนายหญิงบุปผาที่คอยให้คำอบรมสั่งสอน


คันธชาติเดินกลับเข้ามาในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา พลิกดูภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ตัดเก็บเอาไว้ในแฟ้มเอกสารตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน มันเป็นข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาสาวผู้หนึ่ง สาเหตุการเสียชีวิตก็คือเธอพลัดตกจากดาดฟ้าของโรงละครหลังจากขึ้นไปยืนท่องบทบนนั้น ภาพเล็ก ๆ ที่มุมบนขวามือซึ่งเป็นภาพถ่ายหน้าตรงของเธอชวนให้ปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็น ชายหนุ่มไล่ปลายนิ้วไปบนรูปภาพพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ อดคิดไม่ได้ว่าพญามัจจุราชช่างใจร้ายเหลือเกินที่ทำให้ดวงตาสุกสกาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าต้องปิดลงตลอดกาลแบบปัจจุบันทันด่วนชนิดที่ใคร ๆ ก็ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่กระนั้นตัวเขาเองก็พยายามจะเข้มแข็งแม้ว่านี่จะเป็นการเสียเพื่อนรักไปก่อนเวลาอันควรก็ตาม 


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-11-2014 16:34:32
(ต่อค่ะ)



“แม่ครับ บุ้งกลับมาแล้ว” เด็กชายเนื้อตัวมอมแมมวิ่งหน้าเริ่ดตามกลิ่นหอม ๆ ของกับข้าวที่แม่ทำเข้ามาในครัว แต่เมื่อร่างเล็กหลุดพ้นกรอบประตูก็สะดุดกึกกะทันหัน ยิ้มแหย ๆ ทันทีที่เห็นว่าแม่กำลังยืนมองมาอย่างคาดโทษ


“นี่ไปเล่นซนมาอีกแล้วใช่ไหมถึงได้มอมแมมแบบนี้”


“บุ้งไปช่วยพ่อเอาต้นปีบลงดินมาต่างหาก ไม่ได้เล่นซนสักหน่อย (แต่จริง ๆ ก็มีบ้างนั่นแหละ)”


นายหญิงของบ้านโคลงศีรษะน้อย ๆ พลางมองลูกชายวัยเก้าขวบอย่างรู้ทัน ในช่วงปิดเทอมแบบนี้ถ้าเด็กชายคันธชาติ หรือ ‘เจ้าบุ้ง’ ไม่ออกไปเที่ยวเล่นป่วนคนงานในฟาร์มก็จะขลุกอยู่กับผู้เป็นพ่อที่คอกม้าทั้งวัน จะบ่ายหน้ากลับบ้านอีกทีก็จวนมืดหรือไม่ก็เมื่อท้องหิว และก็มักจะมีแผลฟกซ้ำเลือดตกยางออกให้แม่ต้องปวดหัวอยู่บ่อยครั้ง


“อืม...ถ้าอย่างนั้นวันนี้แม่จะให้รางวัลเด็กดีที่ช่วยพ่อทำงานด้วยการทำสปาเก็ตตี้ปลาเค็มให้ทานดีไหม”


“ดีครับแม่” หนุ่มน้อยกระโดดโลดเต้นเมื่อรู้ว่าจะได้กินของโปรด


“แต่ลูกต้องเอากับข้าวที่แม่ทำไปให้ที่บ้านคุณลุงพิพัฒน์ก่อนตกลงไหม”


เด็กชายไม่รีรอที่จะตอบตกลงเมื่อนึกถึงคุณลุงใจดีที่มักจะมีขนมติดไม้ติดมือมาฝากทุกครั้ง ลุงพิพัฒน์เป็นข้าราชการต่างถิ่นที่ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ปากช่องตั้งแต่เมื่อประมาณ 5  ปีก่อน เมื่อคิดว่าจะตั้งรกรากที่นี่ก็มองหาที่ดินเหมาะ ๆ เพื่อทำการเกษตรซึ่งน่าจะช่วยคลายเหงาได้ในปั้นปลายของชีวิต ด้วยความที่เป็นมือใหม่แต่สนใจเรื่องต้นไม้ เวลาที่มีเรื่องที่ไม่เข้าใจลุงพิพัฒน์ก็มักจะแวะเวียนมาปรึกษาหรือขอความรู้จากพ่อของเขาซึ่งยึดอาชีพเกษตรกรมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยายอยู่เสมอ เมื่อสองคนที่ต่างก็สนใจในเรื่องเดียวกันได้โคจรมาพบกัน มิตรภาพจึงเกิดขึ้นตามมา


“ตกลงครับแม่”


“ถ้าอย่างนั้นลูกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน ขืนไปแบบนี้ลุงพิพัฒน์กับป้ากาญจน์คงตกใจแน่ ๆ เดี๋ยวแม่ตักกับข้าวใส่ปิ่นโตไว้รอ”


เด็กชายบุ้งพยักหน้าก่อนจะหายขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้านและกลับลงมาอีกครั้งกลิ่นหอมฟุ้งของแป้งเด็กกับผมเผ้าที่หวีเสียเรียบแปล้ทำเอานายหญิงบุปผาอดยิ้มไม่ได้


“นี่แม่ให้เอากับข้าวไปส่งบ้านลุงพิพัฒน์นะ แต่งหล่อยังกับจะไปจีบสาว” พูดจบผู้เป็นแม่ก็ยกมือขึ้นประคองสองแก้มของลูกชายพร้อมกับเกลี่ยแป้งฝุ่นที่ติดเป็นปื้นอยู่กับข้างแก้มอย่างเบามือ “ทาแป้งเสียหน้าขาวเลย”


“ไม่ได้หรอกแม่ เดี๋ยวบุ้งโดนกิ่งล้อ กิ่งน่ะชอบล้อว่าบุ้งน่ะมอมแมมเป็นหนอนบุ้ง เป็นตัวบุ้งบ้างละ จนเดี๋ยวนี้เพื่อน ๆ ในห้องพากันเรียกตามหมดแล้ว”


“จ้ะ ก็บอกเพื่อนไปสิว่าพ่อตั้งให้ มาจากผักบุ้ง ไม่ใช่หนอนบุ้ง”


“ไม่ทันแล้วละแม่” เด็กชายเกาหัวแกรกพลางมองร่างบางของแม่ที่กำลังเดินไปหยิบน้อยหน่าผลโตใส่ถุง มันเป็นผลไม้พันธุ์ดีของปากช่องและเป็นผลผลิตสุดท้ายของช่วงปีนี้ที่พ่อเพิ่งเก็บมาเมื่อวาน หมดจากนี้กว่าจะได้กินอีกทีก็นับไปอีกหกเดือน


“ทำไมเราไม่เก็บไว้กินเองล่ะแม่ นี่ห้าลูกสุดท้ายแล้วนะครับ”


บุปผามองลูกชายที่กำลังทำหน้าสงสัยก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “เราต้องรู้จักแบ่งปันนะบุ้ง บ้านลุงพิพัฒน์เขาไม่มีน้อยหน่าทาน แต่บ้านเราน่ะอีกแค่หกเดือนมันก็ออกมาใหม่แล้ว”


“ถ้าลูกอยากมีเพื่อนลูกก็ต้องรู้จักผูกมิตร รู้จักแบ่งปัน เหมือนกับที่ลูกเล่าให้แม่ฟังว่ากิ่งแบ่งขนมให้ลูกไงจ๊ะ”


‘กิ่ง’ หรือ ‘เด็กหญิงกิ่งดาว’ ก็คือลูกสาวของลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์ เธอเคยตามผู้เป็นพ่อมาที่ฟาร์มเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาที่ฟาร์มแสงฉานอีกเลย คันธชาติจะมีโอกาสได้พบเธอก็ตอนที่เดินสวนกันในโรงเรียนเท่านั้น เพิ่งจะได้เรียนร่วมห้องกันเมื่อเทอมที่ผ่านมานี่เอง และเขาพบความจริงที่ว่าถึงกิ่งดาวจะเป็นเด็กผู้หญิงแต่เธอก็ทะโมนไม่แพ้เด็กผู้ชายเลยสักนิด


เด็กชายตัวน้อยปั่นจักรยานไปตามทางดินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของฟาร์มซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านไม้สีขาวสองชั้นซึ่งแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ บุ้งจอดจักรยานที่นอกรั้วก่อนจะกดกริ่งที่หน้าบ้าน ไม่นานเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเขาก็เดินออกมาพร้อมกับแม่ของเธอ


“หนอนบุ้ง!” สาวน้อยร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น


เจ้าของชื่อยกมือไหว้ป้ากิ่งกาญจน์ภรรยาของลุงพิพัฒน์ ก่อนจะส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมห้องที่ตั้งแต่โรงเรียนปิดเทอมก็ไม่ได้พบกันเลย


“แม่ให้บุ้งเอากับข้าวกับน้อยหน่ามาให้ครับ” พูดจบก็ส่งปิ่นโตเถาใหญ่กับถุงใส่น้อยหน่าให้


“ขอบใจนะจ๊ะบุ้ง เนี่ยกิ่งบ่นถึงบุ้งทุกวันเลย ป้าว่าจะพาแวะไปที่ฟาร์มก็ไม่ได้ไปสักที”


“กิ่งเหงาเหรอ” เด็กชายหันไปถามคนที่กำลังยืนเกาะมือแม่ไม่ห่าง


คนถูกถามจี้จุดขมวดคิ้วทำแก้มป่อง รู้สึกว่ามันเป็นการเสียฟอร์มเล็กน้อยหากจะยอมรับความจริง แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะตอบในสิ่งที่ตนเองคิด “เหงาสิ อยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไรดี”


น้ำเสียงอ้อมแอ้มของลูกสาวทำให้ผู้เป็นแม่อดสงสารไม่ได้ แม้สามีจะขอให้เพียงแค่ทำหน้าที่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน แต่สุดท้ายเธอก็ยังรับงานตัดเย็บเสื้อผ้ามาทำแก้เหงาในระหว่างวันที่ลูกต้องไปโรงเรียน ยิ่งปิดเทอมเช่นนี้งานตัดเย็บเสื้อผ้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนเธอแทบจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหน เด็กหญิงดาวจึงต้องอยู่บ้านทั้งวันไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเหมือนลูก ๆ ของคนอื่น ๆ และเพราะเป็นเด็กผู้หญิงหากจะปล่อยให้ออกไปเล่นนอกบ้านคนเดียวก็อดเป็นห่วงเรื่องงูเงี้ยวเขี้ยวขอไม่ได้ 

 
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้บุ้งมารับกิ่งไปเล่นที่ฟาร์มได้ไหมครับป้ากาญจน์” สิ้นเสียงของเพื่อนรัก กิ่งดาวก็เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นแม่อย่างรอคำตอบ


กิ่งกาญจน์คลี่ยิ้มน้อย ๆ พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกสาวอย่างเอ็นดู “ได้สิจ๊ะ แต่อย่าชวนกันทำอะไรโลดโผนนักนะ” 
เมื่อได้ยินดังนั้นเด็ก ๆ ต่างก็รับคำอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะจับเกี่ยวแขนกันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ


วันต่อมานายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานก็ทำตามสัญญาที่เขาได้ให้ไว้ เด็กชายหนอนบุ้งปั่นจักรยานมารับเด็กหญิงกิ่งดาวตั้งแต่เช้า เช้ากว่าเวลาที่ปลัดอำเภออย่างพิพัฒน์จะออกไปทำงานเสียอีก ส่วนเด็กหญิงกิ่งดาวเองก็ตื่นนอนพร้อม ๆ กับเสียงไก่ขัน จัดการอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวกินปลาก่อนจะมานั่งชะเง้อมองออกไปที่นอกรั้วจนผู้เป็นแม่อดแซวไม่ได้ว่าตอนจะไปเที่ยวไม่เห็นต้องให้แซะกันออกจากที่นอนเหมือนตอนไปโรงเรียนเลยสักนิด


เด็กหญิงในชุดเอี๊ยมขาสั้นกระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานที่ไม่รู้ว่าคนขี่จะพาเธอไปไหน รู้แต่ว่ามันต้องสนุกแน่ ๆ ดวงตาเป็นประกายทอดมองลำแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างปุยเมฆสาดแสงอาบยอดหญ้าเนเปียร์ที่ปลูกเอาไว้สำหรับเป็นอาหารสัตว์บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ รถบรรทุกน้ำคันใหญ่กำลังเคลื่อนไปตามทางดินที่ขั้นระหว่างแปลงปลูก ละอองน้ำเล็ก ๆ จากปลายสายยางต้องกับแสงอาทิตย์ทำให้เกิดเป็นสายรุ้งสีสวย สร้างความตื่นเต้นให้กับสองหนูน้อยจนต้องชี้ชวนกันให้หยุดดู แม้ตอนนี้ต้นหญ้าเนเปียร์ในแปลงจะมีความสูงแค่ระดับเข่าแต่อีกไม่นานมันก็จะเติบโตขึ้นจนสูงท่วมหัวพวกเขาทั้งสองและสามารถตัดไปเลี้ยงวัวนมรวมถึงสัตว์อื่น ๆ ในฟาร์มได้   

     
“เราจะไปไหนกันน่ะบุ้ง” คนนั่งซ้อนท้ายเอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ เมื่อรู้สึกไม่คุ้นตากับเส้นทางที่เพื่อนพามาในวันนี้


“เราจะพากิ่งไปดูลูกม้าตัวใหม่ของพ่อที่โรงเลี้ยงม้า”


“ลุงทินได้ลูกม้ามาใหม่เหรอ”


“ใช่ เพิ่งมาถึงเมื่อวานน่ะ สีขาวทั้งตัวเลยนะ”


“สีขาวทั้งตัวเลยเหรอ กิ่งตื่นเต้นจัง อยากเห็นเร็ว ๆ” พูดจบเด็กหญิงก็ใช้มือเล็ก ๆ ของเธอตบลงบนแผ่นหลังเจ้าของจักรยานเพื่อเร่งให้เขาออกแรงปั่นไปให้ถึงที่หมายโดยไว


ในที่สุดจักรยานคันเล็กก็มาหยุดสนิทที่หน้าโรงเลี้ยงม้า เด็กชายบุ้งจัดการจอดจักรยานพิงไว้กับรั้วไม้สีขาวที่โอบล้อมทุ่งหญ้าสีเขียวซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงโคนม ก่อนจะเดินนำเพื่อนรักเข้าไปดูม้าตัวใหม่ที่เจ้าตัวภูมิใจนำเสนอ


เสียงร้องของเจ้าสัตว์สี่เท้าตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ในอาณาเขตของตนเองทำให้เด็กหญิงกิ่งดาวที่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกรู้สึกตกใจจนต้องหลบหลังคนเดินนำ แต่แล้วมืออุ่น ๆ ของเพื่อนรักที่กุมมือเธอเอาไว้ก็ทำให้ความกลัวหายเป็นปลิดทิ้ง บุ้งจูงมือกิ่งไปที่หน้าคอกของเจ้าม้ารุ่นที่ยืนเคี้ยวหญ้าอย่างสบายอารมณ์ ขนของมันเป็นสีขาวสะอาดตาราวกับนุ่นที่แม่ยัดใส่ในหมอนข้าง อดคิดไม่ได้ว่ามันจะนุ่มเหมือนกันไหม


“ลองจับสิกิ่ง” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเด็ก ๆ หันกลับไปมองก็พบร่างสูงในชุดเอี๊ยมที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีเข้มอีกทีหนึ่ง รอยยิ้มที่เป็นมิตรนั้นแทบจะเป็นเครื่องหมายประจำตัวของชายคนนี้ ผู้ที่ทุกคนในฟาร์มแสงฉานเรียกเขาว่า ‘นายใหญ่’ หรือ ‘นายทินกฤต’ นั่นเอง


“จับได้เหรอคะลุงทิน ไม่กัดเหรอคะ”


“ไม่กัดหรอก มันใจดี” พูดจบทินกฤตก็เดินอ้อมหลังเด็ก ๆ มาเกาะเหล็กปิดหน้าคอก เอื้อมมือลูบที่คอของเจ้าม้าเบา ๆ มันส่ายหัวไปมาก่อนจะพ่นลมออกมาจากปากกระพือส่งเสียงชวนขันจนเด็ก ๆ พากันหัวเราะชอบใจ


เด็กหญิงกิ่งดาวมองตามมือตัวเองที่กำลังถูกรั้งด้วยมือของคนมาด้วยกัน ในที่สุดฝ่ามือของเธอก็สัมผัสลงบนสันจมูกที่ปกคลุมด้วยขนหยาบของเจ้าม้าหนุ่มซึ่งมันยืนนิ่งราวกับรูปปั้นยอมให้จับแต่โดนดี


“มันยืนนิ่งเลยค่ะลุงทิน” เด็กหญิงละล่ำละลัก


“ลุงบอกแล้วว่ามันใจดี เดี๋ยวรอไว้กิ่งโตกว่านี้จะให้เจ้าบุ้งมันพาขี่”


“จริง ๆ นะคะลุงทิน”


“จริงสิ กิ่งอยากไปไหนก็บอกให้เจ้าบุ้งมันพาไปได้เลย” ทินกฤตกล่าวพลางโอบไหล่ของลูกชายก่อนจะโยกเบา ๆ จากนั้นจึงขอตัวไปดูคนงานปรับหน้าดินสำหรับปลูกทานตะวันท้ายฟาร์ม


...


“อีกหน่อยเราจะพากิ่งขี่เจ้าปุยฝ้ายให้รอบฟาร์มเลย” เด็กชายบุ้งกล่าวขณะที่ทั้งสองคนพากันเดินออกมาจากโรงเลี้ยงม้า


“ปุยฝ้าย? ชื่อลูกม้าเหรอ”


“ใช่ เราตั้งชื่อมันว่าปุยฝ้าย”


“ชื่อตลกจัง” เด็กหญิงหัวเราะคิก ก่อนจะทวนสัญญา “จริงนะที่บอกว่าจะพาขี่เจ้าปุยฝ้ายน่ะ”


“อื้อ จริงสิ” เด็กชายกล่าวก่อนจะมองเด็กหญิงที่ตอนนี้ไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว เธอกำลังก้มมองบางสิ่งที่เพิ่งตกลงบนศีรษะ ในที่สุดก็พบว่ามันคือดอกไม้เล็ก ๆ สีขาวที่เพิ่งจะปลิดปลิวหลุดจากขั้วเพราะแรงลมกลางฤดูฝน


กิ่งก้มลงหยิบดอกไม้ดอกนั้นขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ดอกเล็ก ๆ แต่กลับส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจเหลือเกิน “เขาเรียกดอกอะไรน่ะบุ้ง หอมจัง”


“เขาเรียกว่าดอกบีปน่ะ ต้นมันอยู่ข้างคอกม้านี่เอง ไปดูไหม”


คนถูกถามพยักหน้าก่อนจะเดินตามนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานไปยังต้นไม้ใหญ่ที่กำลังออกดอกสีขาวราวกับโคมระย้า ส่งกลิ่นหอมอบอวลยามเมื่อสายลมพัดผ่าน


“ที่ท้ายฟาร์มน่ะมีอีกเต็มเลยนะ แต่ว่ายังเล็กอยู่ เราเพิ่งไปช่วยพ่อเอาลงดินมาเมื่อวาน อีกไม่กี่ปีรอให้มันโตกว่านี้หน่อย คงส่งกลิ่นหอมไปถึงบ้านกิ่งเลยละ”


“ดีจัง บ้านบุ้งมีดอกไม้ด้วย แถมยังหอมอีกต่างหาก”


“เอาไปปลูกบ้างไหม เดี๋ยวเราบอกพ่อให้แบ่งไปให้”


“ไม่ได้หรอก แม่เราแพ้เกสรดอกไม้น่ะ”


“อืม อย่างนั้นหรอกเหรอ ถ้าปลูกไม่ได้ กิ่งก็มาที่บ้านเราบ่อย ๆ สิ เราจะเก็บไว้ให้”


“มาได้บ่อย ๆ จริงเหรอ”


“จริงสิ อยากมาเมื่อไรก็ได้ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”


ตั้งแต่วันนั้นมาเด็กหญิงกิ่งดาวก็มักจะมาเล่นที่ฟาร์มแสงฉานบ่อย ๆ จนกระทั่งทั้งสองคนสนิทกันชนิดที่พวกคนงานต่างก็เอาไปลือกันว่าอีกหน่อยลูกสาวข้าราชการกรมการปกครองผู้นี้แหละจะเป็นนายหญิงของฟาร์มแสงฉานต่อไป


เด็กสองคนค่อย ๆ เติบโตทุกวันเหมือนกับต้นปีบที่ถูกปลูกเอาไว้ที่ท้ายฟาร์ม เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ยืนต้นสูงใหญ่ออกดอกส่งกลิ่นหอมอบอวล ในขณะที่มิตรภาพระหว่างเพื่อนก็ส่งกลิ่นหอมหวานจนใคร ๆ ที่ได้สัมผัสพากันชื่นอกชื่นใจไปตามกัน   


คันธชาติเอนหลังพิงพนักโซฟาพลางเหม่อมองไปบนเพดานที่มีแต่ความว่างเปล่า ภาพของเด็กหญิงจอมแก่นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ยังคงชัดเจนอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำเสมอแม้ว่าตออนนี้เธอจะจากเขาไปไกลแสนไกลแล้วก็ตาม ได้แต่ภาวนาว่าตอนนี้เพื่อนรักคงจะมีความสุขอยู่ในที่ของเธอ ส่วนตัวเขาเองก็สัญญาว่าจะทำหน้าที่ของเพื่อนให้ดีที่สุดแบบที่เคยให้คำมั่นสัญญากันเอาไว้



...


เสียงรัวกดกริ่งที่หน้าประตูทำให้ความคิดต้องหยุดลงเพียงเท่านั้น


“กดกริ่งยังกับที่บ้านไม่มี” ชายหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินมาที่ประตู เมื่อมองจากช่องตาแมวก็ไม่เห็นว่าจะมีใครสักคน ร่างสูงถอนใจเมื่อคิดว่าคงมีใครเล่นตลกแน่ ๆ ดังนั้นเขาจึงจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม แต่แล้วเสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง คันธชาติพรวดพราดลุกขึ้นเพราะทนรำคาญไม่ไหว


ทันทีที่เปิดประตูออกไปเขาก็พบกับความว่างเปล่า ที่ทางเดินปราศจากสิ่งมีชีวิตใด ๆ นอกจากแบคทีเรียในอากาศ ทั้งที่จากโซฟาวิ่งมาถึงตรงนี้ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน แล้วคนกดกริ่งหายไปไหน? คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำเอาเสียวสันหลังวาบ แต่ก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้อง ประตูห้องฝั่งตรงข้ามก็ค่อย ๆ แง้มออก ชายหนุ่มเจ้าของห้องตรงข้ามโผล่หน้าออกมามองซ้ายมองขวาก่อนจะถอนหายใจยาว หน้าตางัวเงียเหมือนคนเพ่งตื่นนอนทำให้รู้ว่าเขาคงนอนหลับไปแล้วแต่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงกดกริ่งเช่นกัน


ธันวายืนเกาะประตูเกาหัวแกรกก่อนจะหันมาสบตาคนที่กำลังยืนแข็งเป็นหินอยู่ฝั่งตรงข้าม หน้าซีด ๆ นั่นชวนหัวหัวเราะเสียเหลือเกินผิดกับคนช่างพูดที่เอาสปาเก็ตตี้มาให้เมื่อชั่วโมงก่อนลิบลับ แต่อาจารย์หนุ่มก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ (ทั้งที่รู้สึกสะใจเล็ก ๆ)


“ไม่ต้องกลัว ไม่ได้โดนผีหลอกหรอก ฝีมือเจ้าแฝดนรกลูกชายพี่แก้วนั่นแหละ”


“ไม่ได้โดนผีหลอกแต่โดนเด็กแกล้งสินะ” คนพูดพยักหน้าเข้าใจเรื่องราวแปลกประหลาดถูกเฉลย ตาคมหรี่ตาลงเมื่อเห็นหลังไว ๆ ของเจ้าสองคนที่ว่า แต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่ามาอยู่ได้ไม่นานก็จะเจอกับพลังงานบางอย่างเข้าเสียแล้ว


“เดี๋ยวก็ชิน โดนแบบนี้กันจนชินแล้ว”


“แล้วทำไมไม่มีใครทำอะไรบ้าง"


“ก็เด็ก ๆ น่ะคุณ จะให้ไปมีเรื่องกับเด็กเก้าขวบก็ไม่ใช่เรื่อง อีกอย่างพี่แก้วแกก็เป็นซิงเกิ้ลมัมด้วย ทุกคนก็เลยเกรงใจไม่อยากจะถือสา”


คันธชาติพยักหน้าช้า ๆ นึกถึงสองคนพี่น้องที่เดินสวนกันตรงหน้าร้านสะดวกซื้อเมื่อวันก่อน เห็นหน้าตาน่าเอ็นดูไม่คิดว่าจะแสบไม่ใช่เล่น กล้าแหย่หนวดเสือแบบนี้มันต้องมีเอาคืนกันบ้างแน่ ๆ


“ผมไปนอนก่อนนะ” พูดจบธันวาก็ทำท่าจะผลุบเข้าห้องแต่ก็โดนอีกฝ่ายรั้งเอาไว้ด้วยคำถามสั้น ๆ


“สปาเก็ตตี้อร่อยหรือเปล่า”


“อะ...อร่อย อร่อยดี”


คนถูกถามตอบงง ๆ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะกลับเข้าห้องแต่กลายเป็นตนเองที่ยังคงยืนนิ่งมองประตูห้องตรงข้ามที่ถูกปิดลงแทน อยู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนที่ข้างแก้ม สงสัยไข้จะขึ้นเพราะถูกฝนเมื่อตอนเย็น ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเลยจริง ๆ



....


สวัสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ

เรื่องนี้ก็คงเป็นไปตามที่หลายคนคาดเดาก็คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับสืบสวนสอบสวน

แต่คงไม่ถึงขนาดตำรวจจับผู้ร้ายค่ะ เดี๋ยวจะต้องเดือดร้อนหาที่ปรึกษาเป็นคุณตำรวจ

คงจะเป็นการค้นหาความจริงแบบงู ๆ ปลา ๆ ตามประสาคนบ้านิยายนักสืบแบบหนอนบุ้งแทนนะคะ

ยังไงก็ฝากติดตามด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ ^^

ปล.ขอบคุณหลาย ๆ คนที่ช่วยทักเรื่องคำผิดนะคะ


 
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 06-11-2014 16:48:17
บุ้งเป็นเพื่อนกิ่ง คงไม่ได้บังเอิญที่มาพักห้งตรงข้ามอ.ธัน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 06-11-2014 17:15:31
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-11-2014 18:22:21
....................เช้ากว่าเวลาที่ปลัดอำเภออย่างพิพัฒน์................
.............ลูกสาวข้าราชการกรมที่ดินผู้นี้แหละ...................
ปลัดอำเภอสังกัดกรมการปกครองค่ะ


นายบุ้งมาสืบคดีของกิ่ง มาอยู่ห้องใกล้ ๆ กับ อ.ธันวา นี่เจตนาหรือบังเอิญ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 06-11-2014 18:35:24
 o18 น่าตามติดติดตามมากกกกฮร่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 06-11-2014 19:10:46
มาวันลอยกระทงเลยเชียว คนเขียนไปลอยกระทงที่ไหนค่ะ
คนอ่านไม่ได้ลอยเพราะเตรียมขบวนกระทงไปเข้าร่วมกับจังหวัดพรุ่งนี้
ที่จริงก็ไม่ได้ลอยมาหลายปี พระแม่คงคาคงงอนไปแล้ว
เพราะพอแห่ขบวนเสร็จ หาซื้อกระทงจะไปลอยก็เจอกับสมรภูมิประทัด
กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ คนพวกนั้นชอบไปยืนเล่นใกล้ท่าน้ำที่เตรียมไว้ให้ไปลอยกระทงซะด้วย แย่ๆ

คิดว่าตอนนี้จะพอจับทางได้ว่าใครเป็นพระเอก ใครเป็นนายเอก
แต่ก็ยังเดาไม่ถูกเลยนะคะ ตัวเท่ากัน อายุพอๆกัน ถึงบุ้งจะอ่อนกว่า แต่ก็ฟันธงไม่ได้ว่าเป็นพระเอก
ไหนธันจะเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อยอีก
แต่ซีนที่หน้าแดงอยู่คนเดียวนี่ ทำให้เอนเอียงไปว่านายเอกเรื่องนี้อาจจะเป็นอาจารย์ที่อายุมากกว่าพระเอกหนึ่งปีก็ได้
เหยยยย เป็นลูกชายคนเดียวซะอีก นายใหญ่กับนายหญิงจะว่าไงล่ะเนี่ย ลูกชายจะมาขโมยหัวใจผู้ชายซะแล้ว

คราวที่แล้วบังอาจเห็นคำผิดแล้วก็ดันพิมพ์ผิดซะเอง ก็พิมพ์ใน iPad มันไม่สะดวกเหมือนพิมพ์ในคอมพิวเตอร์จริงๆนะคะ
คราวที่แล้วกว่าจะทำสีแดงสีเขียวได้ ใช้เวลานานพอดู
คราวนี้เลยขอใช้สีเดียวนี่แหละ >>>

>ทำให้ต้อง[ยับ]พลิกตัวด้วยความรำคาญ

>ฉุดรั้งความรู้สึกผิดที่ธันวา[พยาม]จะทิ้งมันไว้

>ไม่ต้องกลัวจะถูกบ่น[เป็นว่า]ตัวต้นเหตุ

>เธอพลักตกจากดาดฟ้าของโรงละคร[แห่ง]หลังจาก...

>ส่วนเด็กหญิงกิ่งดาวเองก็[นอน]พร้อมๆกับเสียงไก่ขัน

>ดอกไม้เล็กๆสีขาวที่เพิ่งจะปลิดปลิว[หยุด]จากขั้ว

>ถ้าปลูก[ไม้]ได้ กิ่งก็มาที่บ้านเราบ่อยๆสิ

>จะให้ไปมีเรื่องกับเด็กเก้า[ขววบ]ก็ไม่ใช่เรื่อง.



หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 06-11-2014 19:51:33
พอบอกออกแนวนักสืบ นึกถึงโคนันขึ้นมาทันที
รอติดตามตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 06-11-2014 22:11:03
อ่าาา ตัวบุ้งตั้งใจไว้แล้วสินะที่มาอยู่ห้องตรงข้ามกับอาจารย์ทันเนี้ย
รู้สึกได้ถึงเงื่อนงำแบบเย็นๆ เหมือนกลิ่นดอกปีบ 5555
ไม่ใช่ว่าสงสัยว่าอ.ธันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของกิ่งดาวรึเปล่านะ?

ตอนมาโผล่หน้าประตูห้องอ.ธัน รู้สึกว่าตัวบุ้งเซี้ยวไม่เบานะคะเนี้ย

รอตอนหน้าาา >_<
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: liza sarin ที่ 06-11-2014 22:49:00
เรื่องนี้มีเงื่อนงำ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 06-11-2014 22:58:59
คงไม่บังเอิญหรอกใช่มั้ยที่บุ้งจะมาพักห้องตรงข้าม อ ธัน หรือจะมาสืบเรื่องเพื่อนรักของตัวเอง
น่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: twenty8 ที่ 06-11-2014 23:43:05
ทำไมฉากกดกริ่งแล้วรู้สึกหลอนมากๆ ฮือออ
คงไม่ใช่พลังงานบางอย่างจริงๆนะคะ แงงง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 07-11-2014 01:03:57
ผักบุ้งน่ารักจัง ^^
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 07-11-2014 02:53:32
ก่อนอื่นเลยจะบอกว่าเราชอบกลิ่นดอกปีบมากค่ะ
ดอกปีบ ดอกลีลาวดี ดอกพุดที่กลีบแข็งๆ
ชอบกลิ่นดอกไม้แนวนี้ หอมเย็นๆ

บุ้งคงจะมาสืบเรื่องของกิ่งแน่เลย
เดาเอาว่ากิ่งอาจจะชอบธันวา แล้วบอกให้บุ้งรู้
ไม่งั้นการที่ข่าวลงว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
คงไม่ถึงกับตามมาสืบถึงคอนโดเดียวกันขนาดนี้
ไปตามหาเรื่องจากคนที่อยู่โรงละครดีกว่า

รออ่านต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 07-11-2014 10:05:00
พล็อตเรื่องใหม่น่าติดตามมาก ๆ ค่ะ
เป็นกำลังใจนะคะ~^^
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: nooklepper ที่ 07-11-2014 11:07:47
ลงชื่อ เรื่องรางน่าติดตาม ดีที่เปิดเรื่องใหม่นะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 07-11-2014 11:13:07
บุ้ง....
ปริศนาอะไรรู้จักกันมาก่อนด้วย
น่าสงสัยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 07-11-2014 16:09:22
แหม เรื่องนี้สนุกจริง ต้องดูว่าน้องบุ้งจะสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับการตายของเพื่อนรักอย่างไร
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 08-11-2014 14:10:25
เรื่องนี้ออกแนวไขปริศนาสินะ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 08-11-2014 17:20:35
น่าสนใจ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 08-11-2014 19:32:17
รอดูการสืบของผักบุ้งค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 16-11-2014 14:43:43
อยากดูบุ้งจัดการเด็กแสบ อิอิ น่ารักจริงๆๆๆ ติดตามต่อคะ่ ทุกเรื่องอยู่แว้ววว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 16-11-2014 16:35:16
รออ่านจ้าาาาาาาาา
เเนวใหม่เเต่ยังดูอุ่นๆเหมือนเดิมนะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 1 : ยินดีที่ได้รู้จัก) 06-11-2557 หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-11-2014 06:48:05
ขอบคุณสำหรับเรื่องใหม่ค่ะ

เรื่องนี้จะใช้กลิ่นมาเป็นจุดเด่นในเรื่องหรือเปล่าคะ? เราจำกลิ่นตอกปีปไม่ได้เสียแล้ว แล้วมานั่งน้ำลายไหลกับสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม

เริ่มต้นแบบนุ่มๆ ชวนติดตาม เป็นภูมิแพ้คำว่านายน้อยค่ะ ยิ่งมาเจอกับคุณปลายปีด้วย   :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-11-2014 02:08:22
ตอนที่ 2 รอยสักรูปดอกไม้


ร.ต.อ.เก่งกาจ กิตติธเนศ นั่งจ้องกระดาษขนาดเดียวกันกับที่ใช้พิมพ์เอกสารซึ่งวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะทำงาน ใบหนึ่งเป็นภาพของหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มน่ารักที่กำลังแนบแก้มลงบนแผ่นหลังเปลือยของใครคนหนึ่ง ช่วงบ่ากว้างรับกับหัวไหล่กลมกลึงนั้นยากจะคาดเดาว่าอีกคนเป็นชายหรือหญิงกันแน่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับต่ำลงมาจากแนวบ่าด้านขวามองเห็นรอยสักเล็ก ๆ ประดับอยู่บนผิวเนื้อนวลผ่อง แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคเมื่อรูปนี้ถูกเลือกเฉพาะบริเวณที่ต้องการมาขยายออกให้เห็นรายละเอียด มันเป็นรอยสักรูปดอกไม้สีแดงตัดกับผิวขาวที่ปราศจากตำหนิ นิ้วหนาเคาะลงบนภาพที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด หากจะให้เดาแล้วละก็ ทั้งสองคนในภาพจะต้องสนิทสนมกันมากเป็นแน่จึงได้ถ่ายภาพที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเช่นนี้เก็บเอาไว้ นายตำรวจหนุ่มหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะวางมันไว้ที่เดิมในขณะที่ปลายนิ้วยังคงเคาะเป็นจังหวะทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเริ่มรำคาญจนต้องขยับตัวนั่งกอดอก เม้มปากแน่นและเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว


“เคาะแบบนี้แล้วจะหาเจอเหรอวะ” เมื่อจบคำถามเสียงเคาะโต๊ะก็เงียบลงราวกับกดปุ่มปิด เก่งกาจทำหน้าฉงนเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด


“หาอะไรวะ”


“ก็หาพ่อแกไง พ่อหายทำไมไม่ไปแจ้งความ เคาะอยู่ได้”


ประโยคยียวนกวนประสาทเรียกสายตาหมั่นไส้ก่อนจะสวนกลับตามประสาเพื่อนสนิทที่แค่ต่างคนต่างอ้าปากก็มองเห็นไปถึงลำไส้ใหญ่ “ไอ้บุ้ง! พ่อแกสิหาย!”


“ก็เห็นเอาแต่เคาะ จะพูดอะไรก็ไม่พูด นึกว่าเคาะเรียกพ่อ”


“ขอเวลาคิดบ้างสิวะ”


คันธชาติมองตามมือคนหัวเสียที่เลื่อนกลับกระดาษทั้งหมดคืนให้ รู้สึกว่านี่กำลังจะเป็นอีกครั้งที่สิ่งที่เขาทำต้องสูญเปล่า 


“แล้วยังไง แค่นี้มันจะช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานของแกได้ยังไงกันในเมื่อทุกอย่างถูกสรุปออกมาแล้ว เมื่อไรจะเชื่อเสียที” นายตำรวจหนุ่มถอนใจพลางจ้องหน้าเพื่อนอย่างรอคำตอบ แม้การเสียชีวิตของกิ่งดาวจะล่วงเลยมาจนเข้าสู่เดือนที่สอง รวมถึงกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหญิงสาวพลัดตกจากที่สูงลงมากระแทกพื้นเสียชีวิตจริง แต่เพื่อนรักอย่างคันธชาติก็ยังเป็นคนเดียวที่ไม่อาจทำใจเชื่อในการสรุปสำนวนคดีของตำรวจได้ เขายังคงค้นหาหลักฐานอยู่เนือง ๆ เพื่อสนับสนุนความคิดของตนเองที่ว่ากิ่งดาวอาจถูกใครบางคนทำให้ตกลงมาก็ได้


คนถูกถามขยับตัวนั่งหลังตรงเอื้อมหยิบกระดาษอีกใบที่ซ้อนอยู่ข้างใต้ก่อนจะยื่นให้ เก่งกาจรับมันมาอย่างเสียมิได้ พลันลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกปล่อยผ่านปลายจมูกอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อพบว่าชายหนุ่มหน้าตาคมสันที่ปรากฏอยู่ในภาพไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ ดร.ธันวา ธิตินาวา คนที่เคยได้พบกันแล้วครั้งหนึ่งในห้องสอบสวนและอีกครั้งที่งานศพของกิ่งดาวนั่นเอง 


“ดร.ธันวา?” 


“ใช่ เขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับกิ่ง เบอร์สุดท้ายที่กิ่งโทร.หาก็คือเบอร์ของเขา แกสอบปากคำเขาเองก็น่าจะรู้นี่”


“แต่พยายานยืนยันนะว่าวันนั้นเขาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แล้วเขาจะลงมือฆ่ากิ่งได้ยังไง”


“ฉันก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาเป็นคนฆ่ากิ่ง แค่รู้สึกว่าเขาน่าสงสัยเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างเขาอาจจะบอกไม่หมดก็ได้ว่าเขาคุยอะไรกับกิ่งบ้างในวันที่เกิดเหตุ บางที...เขาอาจจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น” คันธชาติกล่าวทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างพลางแหวกม่านอะลูมิเนียมบานเกล็ดมองดูสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา นับตั้งแต่วันที่กิ่งดาวจากไปก็ไม่มีวันไหนที่ในหัวของเขาปราศจากภาพและเรื่องราวของเธอ


“ที่สำคัญ หลัง ๆ มากิ่งพูดถึงเขาให้ฉันฟังบ่อย ๆ”


คนฟังถอนใจยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินตามมายืนใกล้ ๆ มองใบหน้าเคร่งขรึมของคนที่กำลังหันหลังจากเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่าง เพื่อนรักในตอนนี้ดูไม่เหมือนหนุ่มเจ้าสำราญทายาทเจ้าของฟาร์มใหญ่ที่เคยรู้จักเลยสักนิด ว่าไปแล้วนับตั้งแต่วันที่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของกิ่งดาว ความร่าเริงในตัวเขาก็เหือดหายไปเกือบครึ่ง 


คันธชาติเหลือบมองชายหนุ่มร่างกายกำยำเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามแบบคนออกกำลังกายในยิมเป็นประจำก่อนจะเบนสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่สัมผัสลงมาบนบ่า ห้องทั้งห้องกลับเงียบงันแต่รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน


เก่งกาจจ้องมองหลังมือของตนเองที่ขยับขึ้นลงตามการหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักที่เคยเม้มแน่นค่อย ๆ คลายออก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดแต่ยังไม่เคยได้พูดมันออกมา


“ไอ้บุ้ง หยุดพยายามแล้วยอมรับความจริงเถอะ แกแค่ยังทำใจไม่ได้แล้วก็เสียดายที่แกไม่ใช่คนที่ได้อยู่กับกิ่งในวินาทีสุดท้ายเท่านั้นแหละ”


คำพูดที่ดังอยู่ข้างหูเล่นเอาคนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าการที่ภาพตรงหน้ามัวหม่นลงนั่นจะเป็นเพราะสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหรือเพราะน้ำตาที่กำลังเอ่ออยู่กันแน่ ทั้งที่ในใจร้องตะโกนค้านข้อสันนิษฐานบ้า ๆ ของเพื่อน แต่คำว่า “ไม่จริง” ที่ปากพูดออกมานั้นกลับแผ่วเบาจนแทบจะฟังไม่ได้ยิน


“มันเป็นเรื่องจริงบุ้ง แกควรทำใจได้แล้ว กิ่งตายไปแล้ว แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องดร.ธันวานั่นน่ะมันก็อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างที่แกสร้างขึ้น แกอาจแค่อยากรู้ว่าเขาหรือเปล่าที่เป็นคนทำให้กิ่งปฏิเสธแก”


คันธชาติรีบขยับตัวออกห่างก่อนจะหันมาจ้องเขม็ง “การที่ฉันไม่แก้ต่างข้อกล่าวหาของแกไม่ใช่ว่าฉันจะยอมรับในสิ่งที่แกพูดหรอกนะ” ไม่รู้ตัวเลยว่าแววตาและน้ำเสียงเอาแต่ใจแบบนั้นจะทำให้คนพูดจี้จุดค่อยคลายใจขึ้นมาบ้าง


เก่งกาจกดยิ้มที่มุมปาก ทำยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจราวกับจะบอกว่า 'ก็เรื่องของแก' ก่อนจะกลับไปนั่งลงที่โต๊ะ มองดูภาพถ่ายของหนุ่มสาวในกรอบที่วางอยู่ตรงหน้า สองคนที่ยืนขนาบข้างคือเขาในชุดนักเรียนนายร้อยตำรวจและคันธชาติที่สวมชุดนักศึกษาเต็มยศ ส่วนตรงกลางก็คือหญิงสาวในชุดครุยที่กำลังถูกพูดถึงอยู่เมื่อสักครู่ รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่งดงาม มันควรจะได้อยู่ประดับโลกนี้ไปอีกแสนนานถ้าหากเหตุการณ์น่าเศร้าในวันนั้นไม่เกิดขึ้นเสียก่อน


แม้จะเพิ่งรู้จักกันเมื่อตอนสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่พวกเขาทั้งสามคนก็ถือว่าเป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกันจนใคร ๆ ก็พากันอิจฉา หลังจากเรียนจบ ม. 6 แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ กิ่งดาวสอบเข้าเรียนในคณะศิลปศาสตร์ สาขาการละครได้ตามที่เธอฝัน ส่วนคันธชาติก็ได้เรียนในคณะเกษตรอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้ว่าอย่างไรก็จะไม่ทิ้งบ้านเกิดและฟาร์มแสงฉานไปไหน ส่วนเก่งกาจเองก็เข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารจากนั้นจึงไปต่อนายร้อยตำรวจตามรอยผู้เป็นพ่อและย้ายรกรากจากปากช่องมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างถาวร แต่กระนั้นระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรค เพื่อรักทั้งสามยังคงไปมาหาสู่กันเสมอไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานเพียงใด คนที่เป็นศูนย์รวมของเพื่อน ๆ ก็หนีไม่พ้นหนุ่มน้อยขี้เล่นที่ชอบทำนิสัยเด็ก ๆ ให้เพื่อน ๆ ต้องคอยปวดหัว 


ชีวิตการรับราชการของเก่งกาจเริ่มต้นที่สถานีตำรวจภูธรในต่างจังหวัด จากนั้นไม่กี่ปีก็ถูกย้ายกลับเข้ามาประจำการที่กรุงเทพฯ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ต้องคอยรับเรื่องร้องทุกข์ของผู้คนมากมาย วันหนึ่งจะต้องมาได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับเพื่อนของตนเอง ไม่เคยลืมเสียงวอแจ้งจากหัวหน้าสายตรวจแจ้งเหตุพบหญิงสาวพลัดตกจากที่สูงในเช้าของวันที่อากาศขมุกขมัวได้เลยสักนาทีเดียว


‘โรงละครนาฏยกาล’


คนที่ไม่มีความสุนทรีย์ในใจอย่างเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำถ้าหากกิ่งดาวไม่พูดถึงบ่อย ๆ บ่อยเสียจนเขาต้องรู้ไปโดยปริยายว่าที่นั่นเป็นโรงละครที่มีชื่อเสียง ผลิตดาวประดับวงการบันเทิงมานับไม่ถ้วน น่าเสียดายที่ในระยะหลังนโยบายของโรงละครเปลี่ยนเป็นรับเฉพาะนักแสดงที่เป็นสาวประเภทสอง แต่กระนั้นหนุ่มหญิงสาวมากมายก็ยังหวังและแข่งขันกันเพื่อจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งน้อยคนจะได้รับโอกาสนั้นแต่กิ่งดาวก็ทำมันได้สำเร็จ ยังจำวันที่เธอโทร.มาละล่ำละลักว่าสามารถเข้าทำงานในโรงละครนั้นได้ดี แม้จะไม่เห็นหน้ากันแต่น้ำเสียงที่ได้ยินก็พลอยทำให้คนฟังยิ้มแก้มปริตามไปด้วย


เมื่อทราบชื่อที่เกิดเหตุผู้กองเก่งกาจก็ภาวนาไปตลอดทางขอให้ไม่ใช่อย่างที่เขากำลังเป็นกังวล แต่ทันทีที่ไปถึง บัตรประชาชนซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่ใช้ยืนยันตัวตนของผู้ตายก็ทำให้เข่าอ่อน พยายามตะโกนเรียกชื่อตัวเองในใจเผื่อว่าจะสะดุ้งตื่นแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันแต่ก็สูญเปล่า เสียงไซเรนที่ดังเคล้าไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงของบรรดาเหล่าไทยมุงเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง สุดท้ายเขาก็ต้องเปลี่ยนมาตะโกนเรียกชื่อเจ้าของร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดแทน


จากผลการชันสูตรพลิกศพของตำรวจร่วมกับแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งพบว่าทางซีกขวาของร่างกาย  เช่น แขน ขา รวมถึงซี่โครงหัก คาดว่าจะตกลงมาในลักษณะที่ดฝั่งขวากระแทกพื้นจนเสียชีวิต ระยะเวลาการเสียชีวิตอยู่ที่ราว ๆ 6-7 ชั่วโมง ตั้งแต่เมื่อกลางดึกจนกระทั่งมีผู้มาพบศพในตอนเช้า ร่างของหญิงสาวที่ปราศจากลมหายใจนั้นซีดขาวจนนึกต่อว่าสายฝนที่ใจร้ายตกลงมาไม่รู้เวล่ำเวลาทำให้เพื่อนต้องเหน็บหนาว แม้จะไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ ทรัพย์สินมีค่าก็ยังอยู่ครบ แต่กะโหลกศีรษะที่ยุบเนื่องจากการกระแทกกับพื้นอย่างแรงประกอบกับสภาพแขนและขาที่หักนั้นชวนให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็น นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะทรมานแสนสาหัสสักเพียงใดก่อนจะสิ้นใจ


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนผู้ที่พักอยู่บริเวณใกล้เคียงซึ่งได้ความว่าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของเมื่อคืนก่อนฝนตกหนักมากและเพิ่งจะมาซาลงในตอนรุ่งเช้าจึงไม่มีใครออกจากบ้านหรือได้ยินเสียงผิดปกติใด ๆ เมื่อตำรวจตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุและบนดาดฟ้าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ไม่ไกลจากจุดที่ผู้ตายตกลงมาพบเพียงบทละครที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างของเธอถูกนำกลับไปตรวจสอบที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลอีกครั้งก่อนจะรอญาติมารับกลับ และแน่นอนว่าข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นที่รักย่อมนำความเศร้าโศกมาสู่คนใกล้ชิด คันธชาติแทบคลั่งไม่ต่างจากกิ่งกาญจน์และพิพัฒน์เมื่อทราบข่าวของลูกสาว  เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นจึงเป็นสาเหตุให้เก่งกาจลืมความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่มักจะตกลงมาในตอนเช้าอยู่พักใหญ่ กลับเป็นความหม่นเศร้าและความกลัวที่ก่อตัวขึ้นภายใต้ความเข้มแข็ง ซึ่งเขาเองไม่คิดจะแสดงออกให้ใครเห็น 
     




“ยังไงฉันก็จะสืบต่อ”


นายตำรวจหนุ่มถูกฉุดขึ้นจากห่วงแห่งความคิดด้วยคำพูดสั้น ๆ ของคนที่เดินกลับมานั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม หัวคิ้วหนาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง ไม่เห็นประโยชน์อะไรในการตั้งข้อสงสัยในเรื่องที่ดำเนินมาจนถึงบทสรุปแล้ว การขุดคุ้ยรังแต่จะนำความทุกข์ใจมาสู่คนที่พยายามจะลืม 


“ไอ้บุ้ง แกดูหนังนักสืบมากไปหรือเปล่าวะ นี่มันเรื่องจริงนะโว้ย ไม่ใช่บทประพันธ์ นึกว่าว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อค โฮล์มส์หรือไง ตำรวจเขาก็สรุปสำนวนคดีออกมาแล้วว่ากิ่งขึ้นไปบนนั้นแล้วก็ตกลงมาเอง”

"แกก็รู้...กิ่งน่ะไม่มีวันขึ้นไปท่องบทละครอะไรนั่นบนนั้นแน่ ๆ ไม่รู้ละ ยังไงฉันก็ยังไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ แล้วแกก็ต้องช่วยฉันสืบด้วยไอ้กาจ”


คนฟังย่นคอพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนิสัยดื้อด้านของเพื่อนคนนี้


“แล้วแกจะสืบยังไง”


“ก็ต้องเริ่มจากคนที่เรามองเห็นก่อน” คันธชาติยักคิ้วก่อนจะกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ รู้อยู่แล้วว่ายังไงคนรักเพื่อนอย่างเก่งกาจก็ไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรบ้าบิ่นอยู่คนเดียวแน่


คนฟังโคลงศีรษะอยากจะทึ้งหัวตัวเองในเวลาเดียวกัน ถึงปากจะห้ามแต่พอเจอลูกดื้อแบบนี้เข้าก็ใจอ่อนยอมตามน้ำทุกทีไป เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จนเก่งกาจมักจะบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่า ไอ้นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานที่แสนจะขี้เล่นเป็นกันเองอย่างที่พ่อแก่แม่เฒ่ารวมถึงบรรดาพี่ป้าน้าอาซึ่งเป็นคนงานในฟาร์มพากันโจษขาน แท้จริงแล้วมันช่างหัวดื้อและเอาแต่ใจชนิดหาตัวจับยาก ตั้งแต่รู้จักกันกระทั่งตอนนี้นิสัยก็ไม่ได้โตตามอายุเลยจริง ๆ เก่งกาจรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกำลังถูกมัดมือชก ในใจนึกอยากจะตบเข้ากลางกะโหลกของ ‘ไอ้นายน้อยเจ้าสำราญ’ ให้จำได้เสียทีว่าตัวเองเป็นเกษตรกรไม่ใช่นักสืบ แต่ยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับดวงตาเป็นประกายนั่นแล้วยิ่งให้คิดว่าอย่างไรก็ตามแต่คันธชาติก็จะไม่ยอมรามือจากเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่


ฝนปลายฤดูเพิ่งหยุดตกไปเมื่อต้นชั่วโมง พยับฝนที่เคยตั้งเค้าเคลื่อนห่างออกไปเพราะไม่อาจต้านทานแรงลม ทิ้งเอาไว้ก็แต่ความชุ่มชื้นบนผืนหญ้า เหนือขึ้นไปที่หน้าต่างหอสมุด หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งทอดอารมณ์มองแสงอาทิตย์สะท้อนหยาดน้ำระยิบระยับ มันเป็นภาพที่สวยงามจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้เห็นมัน โชคดีที่ยังได้เป็นเจ้าของลมหายใจของตนเอง


“คิดถึงกิ่งเนอะแก ถ้ากิ่งยังอยู่ป่านนี้คงมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันบนนี้”


หน้าสวยหันกลับมามองคนพูดที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ช่างไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เอื้อมมือดึงเอาความรู้สึกเศร้าหมองกลับมาสู่จิตใจของคนฟังอีกครั้ง


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 19-11-2014 02:13:48
(ต่อค่ะ)


เรียวนิ้วเกี่ยวปอยผมขึ้นทัดหูพลางขยับผ้าคลุมไหล่ผืนบางก่อนจะมองออกไปยังทุ่งกว้างที่ฉาบด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน ในใจนึกสนุกอยากจะลองกลายร่างเป็นดอกไม้ดูบ้าง คิดได้ดังนั้นดวงหน้างามเงยขึ้นรับแสงอุ่นอ่อนของดวงอาทิตย์ยามเช้า พลันดวงตาก็สะดุดเข้ากับไม้ใหญ่ที่โน้มกิ่งลงมาราวกับอ้อมแขนของเพื่อนเก่า กลิ่นหอมอวลของโคมระย้าสีขาวที่ประดับประดาอยู่เต็มต้นไม่ต่างอะไรกับคำทักทายแสนหวาน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มขณะสูดกลิ่นหอมเย็นชื่นใจให้สมกับที่คิดถึง นานเหลือเกินที่ภารกิจทางด้านการศึกษาทำให้เธอไม่ได้หวนกลับมาที่บ้านเกิดและฟาร์มแสงฉานแห่งนี้ หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นโน้มกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้มือหวังจะปลิดก้านดอกลงมา แต่สุดแขนแล้วก็ยังเอื้อมไม่ถึง


“ไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งนาน ตัวไม่โตขึ้นเลย”


เสียงนุ่มของใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับไออุ่นจากแผงอกที่แนบลงกับแผ่นหลัง คนฟังยิ้มน้อย ๆ พลางมองตามมือหนาที่กำลังปลดดอกไม้ก้านยาวลงมาจากต้น เธอค่อย ๆ หมุนตัวกลับมารับดอกไม้ที่เขาส่งให้ ทันทีที่ปลายจมูกสัมผัสกับกลีบดอกบาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งแจ่มชัด       


“หอมจัง” กิ่งดาวกล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย   


“คิดว่าไปหลงกลิ่นน้ำหอมแบรนด์เนมในกรุงเทพฯ จนลืมกลิ่นดอกปีบแล้วเสียอีก” เจ้าของร่างสูงยักคิ้วกวน ๆ


“พูดเวอร์ บุ้งน่ะชอบพูดเวอร์ ๆ เรื่อยเลย” พูดจบก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนผืนหญ้าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หยิบหนังสืออ่านเล่นกับไดอารี่จากเป้สะพายข้างออกมาวางข้างตัว เจ้าของหน้าสวยยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับดอกไม้เล็ก ๆ ในมือโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังเดินมานั่งลงข้าง ๆ กัน


คันธชาติมองดูทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวไม่วางตา มือบางเอื้อมคว้าไดอารี่มากางออกวางบนหน้าตัก จากนั้นจึงวางดอกปีบลงในหน้าหนึ่งแล้วหันไปควานหาอะไรสักอย่างในเป้ หัวคิ้วที่ขมวดน้อย ๆ พาให้คนมองเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว  มือหาไปปากก็บ่นว่าจำได้มาเอาติดมาด้วยแต่ไม่รู้ว่าใส่ไว้ตรงไหน พอถามเข้าว่าหาอะไรก็ไม่ยอมตอบ ยังตั้งหน้าตั้งตาหาอยู่อย่างนั้น และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการเธอก็ยิ้มกว้างราวกับเด็กที่ค้นเจอของเล่นชิ้นโปรด แต่สิ่งที่เธอหยิบออกมาจากซอกหนึ่งของเป้สะพายมันก็แค่เทปกาวชนิดใสเท่านั้น


“ทำอะไรน่ะ” อดรนทนไม่ไหวจึงต้องถามให้รู้ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรก็ขยับตัวเข้าใกล้ ๆ มองปลายนิ้วที่กำลังดึงเทปกาวใสแปะทับก้านดอกปีบให้ติดกับหน้ากระดาษไม่มีเส้น   


“เอาไว้ดูตอนคิดถึง” เจ้าของไดอารี่กล่าวพลางเลื่อนสายตามองข้างแก้มของชายหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ห่างจากปลายจมูกของเธอไม่ถึงคืบ


“คิดถึงก็กลับมาบ่อย ๆ สิ” พูดจบก็พลิกตัวนอนหนุนตักเสียอย่างนั้นจนกิ่งดาวยกของบนตักหนีแทบไม่ทัน


มือหนาคว้าไดอารี่จากมือของหญิงสาวพลางหยิบดินสอที่เลื่อนหลุดออกมาจากหน้าหนึ่งมาขีด ๆ เขียน ๆ ข้อความบางอย่างลงไป


“นี่น่ะ เขาเรียกว่า Millingtonia hortensis Linn.f”


“อะไรนะ”


“ชื่อทางวิทยาศาสตร์น่ะ” พูดจบก็ปิดสมุดบันทึกเล่มหนาวางไว้บนหน้าอก หลับตาพริ้มปล่อยให้เจ้าของมือหอมลากเรียวนิ้วไปตามแนวคิ้ว


กิ่งดาวทอดมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนตัก อดคิดไม่ได้ว่ากาลเวลาทำให้เด็กชายที่เคยจูงมือกันวิ่งเล่นกลายเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาหมดจดไปตั้งแต่เมื่อไร เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาก็อยู่ด้วยกันบ่อยจนเธอไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้


“ทำไมจะมาไม่เห็นบอกกันเลย นี่ถ้าเราไม่ตามพ่อมาดูแปลงทานตะวันก็คงไม่รู้ว่ากิ่งกลับมา”


“คราวก่อนที่คุยกัน เห็นบุ้งบอกว่าช่วงนี้ต้องไปขับส่งของตลอด กิ่งก็เลยคิดว่ารอไว้เย็น ๆ ถึงจะแวะไปหาที่บ้าน”


“วันนี้ว่างน่ะ เห็นคนงานบอกว่าดอกทานตะวันที่ท้ายฟาร์มบานแล้วเลยแวะมาดู”


“เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ผู้ชายชอบดอกไม้” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะดึงไดอารี่บนแผงอกผึ่งผายมาวางไว้ข้างตัวพลางเอื้อมหยิบดอกปีบที่เพิ่งร่วงลงสู่พื้นหญ้าขึ้นมาไล้ไปตามแนวสันกรามและหยุดเขี่ยเบา ๆ ที่ปลายจมูก มองดูคนขี้รำคาญขมวดคิ้วขยับตัวยุกยิก


“แปลกตรงไหน ไม่เห็นจะแปลกเลย” พูดจบก็ดึงมือหญิงสาวมาวางไว้บนอกทั้งที่ยังหลับตา


กิ่งดาวยังคงทอดตามองหนุ่มน้อยพลางอมยิ้มกับตัวเอง มือเล็กเลื่อนขึ้นมาวางบนศีรษะของชายหนุ่มก่อนจะลูบเบา ๆ ไปบนเส้นผมสีดำขลับลื่นมือ ปากก็ท่องบทละครคำฉันท์ที่เคยผ่านตามาด้วยกันเมื่อสมัยเรียน ม.ปลาย


“ไม้เรียก ผะกากุพ        ชะกะสี อรุณแสง

ปานแก้ม แฉล้มแดง    ดรุณี ณ ยามอาย

ดอกใหญ่ และเกสร      สุวคน ธะมากมาย

อยู่ทน บ วางวาย          มธุรส ขจรไกล

อีกทั้งสะพรั่งหนาม      ดุจะเข็มประดับไว้

ผึ้งเขียว สิบินไขว่         บมิใคร่ จะห่างเหิน”



“อืม...มัทนะพาธา ตำนานกุหลาบนี่ กิ่งยังจำได้อีกเหรอ”


“จำได้สิ ก็เพราะงานละครโรงเรียนคราวนั้นไม่ใช่เหรอ บุ้งถึงได้กลายเป็นหนุ่มน้อยเนื้อหอมสมชื่อคันธชาติน่ะ”


“ว่าไปนั่น เนื้อหงเนื้อหอมอะไรกัน” เจ้าของชื่อหัวเราะในลำคอพลางนึกถึงละครเวทีเมื่อสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย ที่เขาถูกเพื่อนรักบังคับให้รับบทเป็น ‘มายาวิน’ ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องมัทนะ พาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งที่พยายามหาข้ออ้างที่จะไม่แสดง แต่สุดท้ายลูกอ้อนของกิ่งดาวก็ทำให้เขาต้องยอมใจอ่อนจนได้


“แสดงเป็นวิทยาธรหนุ่ม แต่สาว ๆ กรี๊ดกว่าพระเอกเสียอีก โอ้โฉมเจ้า คมสัน คันธชาติ    งามผุดผาด แจ่มจรัส รัศมี    เป็นที่ต้อง ตรึงตรา อิสัตรี    เทพเทวี หลงใหล ยามได้ยล"


ชายหนุ่มลืมตาโพลงเมื่อสิ้นเสียงหวาน คันธชาติทำหน้าเหยมองหญิงสาวที่กำลังหัวเราะชอบใจ กลอนอะไรกันทำไมฟังแล้วมันช่างน่าขนลุกจนต้องรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งแบบนี้


“ไม่ชอบเหรอ”


“ม่ายยยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงพร้อมกับส่ายหัวยิก “กลอนอะไร ฟังแล้วขนลุกพิลึก”
 

“กลอนชมบุ้งไง นี่แต่งสด ๆ เลยนะ” กิ่งดาวยิ้มหวานพร้อมกับเอื้อมมือจับปลายคางมนของคนตรงหน้า ขยับหันซ้ายหันขวาราวกับจะสำรวจหาอะไรสักอย่าง “ดูสิ หน้าตาผิวพรรณดีกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเรียนเกษตร นี่ถ้าบุ้งเป็นผู้หญิงแล้วกิ่งเป็นผู้ชายละก็ กิ่งจีบบุ้งแน่ ๆ ไม่ปล่อยให้โสดมาถึงวันนี้หรอก”


คนฟังหน้าเบ้ขยับตัวออกห่างจากสัมผัสนุ่มนวลนั้นก่อนจะกล่าว “เราเป็นผู้ชายกิ่งก็จีบเราได้นี่”


“ไม่เอาหรอก”


“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นเราจีบกิ่งล่ะได้ไหม”


กิ่งดาวสบตานิ่งในขณะที่เจ้าของคำถามยังคงสู้สายตาของเธอเช่นกัน 

 
“แล้วถ้ากิ่งบอกว่าไม่ได้ บุ้งจะสาปให้กิ่งเป็นกุหลาบเหมือนที่สุเทษณ์สาปมัทนาไหม”


“เป็นเพื่อนรักกันจะทำแบบนั้นได้ยังไง” ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปาก ลุกขึ้นหันมาแล้วหันกลับมาผายมือออกก่อนจะกล่าว “ไปเถอะ จะพาไปขี่ม้า”


เมื่อได้ฟังดังนั้นกิ่งดาวก็รวบเก็บข้าวลงใส่คืนลงในเป้ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้นก่อนที่สองคนจะจูงมือกันเดินไปยังโรงเลี้ยงม้าเหมือนที่เคยทำสมัยเด็ก ๆ


ม้ารุ่นลักษณะดีรูปร่างงามสง่าถูกคนงานจูงออกมาเตรียมไว้ที่หน้าโรงเลี้ยงม้ารอนายน้อยหนุ่มหล่อนานแล้ว เมื่อมาถึงคันธชาติก็กระโดดขึ้นนั่งประจำที่ก่อนจะดึงร่างบอบบางของหญิงสาวขึ้นมานั่งด้วยกัน เพียงขยับขาและดึงบังเหียนเบา ๆ เจ้าม้าแสนรู้ก็ออกเดินไปตามทางดินที่ทอดยาวไปตามแนวทุ่งดอกทานตะวัน เสียงฝีเท้ายามมันเดินทอดน่องฟังเพลินพอ ๆ กับเสียงฮัมเพลงที่ลอดผ่านริมฝีปากของคนในอ้อมแขน กิ่งดาวฮัมเพลงไปก็หันมามองคนข้างหลังไป รอยยิ้มแสนหวานแต่งแต้มใบทั่วใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นเป็นสิ่งที่เห็นทีไรก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสำหรับคันธชาติ   

   
“ช่วงนี้เรียนหนักเหรอโทร.ไปไม่ค่อยรับเลย”


“อืม เก็บข้อมูลทำรายงานน่ะ นี่ยังนึกอิจฉาบุ้งอยู่เลยเนี่ย รู้อย่างนี้ตัดสินใจเรียนพร้อม ๆ กันก็ดีแล้ว จะได้เหนื่อยด้วยกัน”


“เผลอแป๊บเดียวเดี๋ยวก็จบแล้วน่า ถึงจะเรียนพร้อมกันก็ไม่ได้เรียนที่เดียวกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”


หญิงสาวพยักหน้าเธอเข้าใจดีในสิ่งที่เขาพูด ร่างเล็กเอนหลังพิงกับแผ่นอกของคนบังคับม้าทอดตามองฟ้าสีสดตัดกับแนวทานตะวันสีเหลืองที่ออกดอกสะพรั่ง สายลมของฤดูหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ๆ แรงบ้างแผ่วบ้าง พาให้ลำต้นตั้งตรงไหวเอนแต่ดอกสีเหลืองเหล่านั้นก็ยังคงพร้อมใจกันหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์แม้จะอยู่แสนไกล 


“บุ้ง”


“หืม?”


“ที่ถามเมื่อกี้น่ะ คิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”


“แบบนั้นน่ะแบบไหน”


“ก็ที่บอกว่าถ้าจีบ...”


“จีบกิ่งน่ะเหรอ”


“อือ”


“รอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก่อนเถอะถึงจะมีวันนั้น”


“บ้า”


คันธชาติหัวเราะเมื่อกิ่งดาวใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่หน้าท้อง 


“แต่ถ้าบุ้งไม่ได้คิดอย่างนั้นกิ่งก็ดีใจนะ เพราะว่ากิ่งน่ะอยากจะเป็นเพื่อนกับบุ้งไปนาน ๆ จนแก่เลยละ”


“ที่พูดแบบนี้แสดงว่ามีคนชอบอยู่แล้วละสิ” ชายหนุ่มเอียงคอมองปรางแก้มเนียนก่อนจะวางคางลงบนบ่าเล็ก สูดกลิ่นหอม ที่จมูกเคยคุ้นพร้อมกับเงี่ยหูรอฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด


“อืม...ก็ไม่เชิงหรอก แค่แอบชอบเขาน่ะ”


“แอบทำไม ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ”


“ไม่เอาหรอก เขาต่างจากคนที่กิ่งเคยพบ แล้วเขาคงไม่ชอบกิ่งหรอก” กิ่งดาวได้ยินทุกคำพูดของตนเอง น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ผิดจากประโยคที่เธอจะพูดออกไปต่อจากนี้นัก  “แต่กับบุ้งน่ะกิ่งไม่เคยแอบนะ กิ่งรักบุ้ง รักเกินกว่าจะคิดอะไรแบบนั้นกับบุ้งได้ สัญญานะว่าจะเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้”


“เราสัญญา” คันธชาติกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว แผ่วเบาแต่หนักแน่นและชัดเจนราวกับตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้บนแผ่นหิน ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถลบคำสัญญาได้


...แม้แต่ความตาย...   





สายลมที่ผ่านม่านหน้าต่างนั้นให้ความรู้สึกเย็นเฉียบที่ขางแก้ม แต่เหงื่อเม็ดโตกลับผุดขึ้นที่ไรผมของคนกึ่งหลับกึ่งตื่นในขณะที่ปากยังคงเปล่งเสียงงึมงำขาดหายเป็นห้วง ๆ 



“ระ..เราสัญญา”


“...เราสัญญา เราสัญญา!!!” ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียงก่อนจะสะตุ้งตื่น รีบยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกตกแต่งแบบเรียบ ๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ซึ่งทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ นิ้วหนาแตะลงบนหัวคิ้วก่อนจะหนวดเบา ๆ เมื่อรู้สึกปวดตุบอยู่กลางหน้าผากและเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น ชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นแต่กรอบรูปที่วางอยู่บนหน้าตักกลับทำให้ต้องชะงักเสียก่อน หญิงสาวในภาพก็คือเจ้าของห้องที่เขานั่งอยู่ในขณะนี้ เมื่อคิดทบทวนดูก็จำได้ว่าเขามาขลุกอยุ่ที่บ้านของกิ่งดาวตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย หลังจากขออนุญาตลุงพิพัฒน์และป้ากิ่งกาญจน์ขึ้นมาบนนี้ก็เอาแต่รื้อ ๆ ค้น ๆ เพื่อหาหลักฐานที่ว่าจะเป็นประโยชน์ แต่เมื่อไม่เจอสิ่งที่ต้องการจึงมานั่งดูรูปเก่า ๆ ของเพื่อนรักกพลางนึกถึงเรื่องเก่า ๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไป


คันธชาติผุดลุกขึ้นล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรคนโทร.มาก็แผดเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว


“มัวทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไหนแกบอกว่าถึงคอนโดแล้วจะโทร.บอกไง นี่ฉันแวะไปถามที่คอนโดเขาก็บอกว่ายังไม่เห็นแกเข้ามา โทร.ไปที่บ้าน แม่แกก็บอกว่าขับรถออกมาตั้งแต่ตอนบ่าย แล้วนี่ทำไมยังไม่ถึงคอนโดอีก”


“ใจเย็น ๆ ก่อนไอ้กาจ” คนถูกต่อว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ใบหน้ากลับเจือรอยยิ้มจาง ๆ “ฉันแวะมาบ้านกิ่ง ว่าจะมาอยู่แค่พักเดียวแต่ดันเผลอหลับ”


“นี่แกหลับลึกขนาดไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยเหรอ ฉันโทร.หาแกจะเป็นร้อยสายแล้วมั้ง”


“ปิดเสียงไว้”


“โห! อะ...ไอ้...” คนที่ปลายสายถอนหายใจเฮือกพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นแกติ “ฉันไม่รู้จะด่าแกว่าอะไรดี”


“นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว แกมีอะไรอีกหรือเปล่า”
น้ำเสียงที่ฟังแล้วดูจะไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ ยิ่งทำให้นึกประหลาดใจและที่สำคัญมันยังทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านของคนฟังกลับคลายลงเสียด้วยซ้ำ 


“มะ...ไม่ ไม่มีแล้ว ถึงคอนแล้วก็โทร.หาฉันด้วยก็แล้วกัน”


“รู้แล้ว”


“ดึกแค่ไหนก็โทร.นะโว้ย”


“เออน่า”


“ขับรถดี ๆ” เสียงที่อ่อนลงของเพื่อนรักเรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นบนใบหน้าของคันธชาติอีกครั้ง เสียงลมหายใจทำให้รู้ว่าอีกฝั่งยังไม่ได้วางสาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วตาม แต่หากว่านี่จะเป็นการได้พูดคุยกันครั้งสุดท้าย เขาก็เลือกที่จะบอกความรู้สึกที่อยู่ภายในใจออกไป   


“แกก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอกไอ้กาจ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” ชายหนุ่มกล่าวเพียงสั้น ๆ จากนั้นจึงกดตัดสาย ดวงตาคมกริบทอดมองกรอบรูปในมืออีกครั้งก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเขียนหนังสือดังเดิม



เสียงพูดคุยกันซึ่งดังอยู่ไม่ไกลนักทำให้ธันวาต้องพรวดพราดลุกขึ้นเดินตรงไปเงี่ยหูฟังที่ประตู และเมื่อดูจากช่องตาแมวก็พบว่าชายหนุ่มห้องตรงข้ามกลับมาแล้ว เขากำลังยื่นขนมถุงใหญ่ให้พี่แววแม่บ้านประจำคอนโดผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า ‘แววรู้ โลกรู้’ นั่นก็ด้วยความเป็นคนช่างเจรจา เกาะติดทุกสถานการ์และรู้จักแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเผื่อแผ่ไปยังคนอื่น ๆ ของเธอ      ครั้งนี้ก็เหมือนเธอคงจะเที่ยวคุยให้บรรดาเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพหรือคนรู้จักได้อิจฉาเล่นเหมือนทุก ๆ ครั้ง เพราะดูเหมือนว่าของที่ได้รับจะเป็นของชอบจึงได้กระโดดโลดเต้นส่งเสียงดังจนได้ยินกันไปทั้งชั้น



เมื่อแม่บ้านในตำนานเดินคล้อยหลังไปแล้วคนแอบมองจึงหันไปคว้าสิ่งที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะเปิดประตูออกไป เป็นเวลาเดียวกับที่อีกคนกำลังแตะคีย์การ์ดเพื่อเข้าห้องของตนเอง


“อ้าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็ ดร.ปลายปีนี่เอง”


เจ้าของชื่อลอบถอนใจไม่คิดว่าจะต้องมาต่อความยาวสาวความยืดกันด้วยเรื่องของชื่อเช่นนี้ “ผมบอกแล้วไงว่าผมชื่อธันวา”


คันธชาติพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะหันกลับไปหมุนลูกบิด แต่คำพูดของชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันก็ทำให้ต้องหันกลับมาฟังอีกครั้ง 


“ผมเอาจานมาคืนน่ะ จะคืนให้หลายวันแล้วแต่ไม่เห็นคุณกลับมาที่ห้อง”


“ผมกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดมา” พูดจบก็รับจานเปล่าจากมือของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้


“อือ แค่นี้แหละ” ด็อกเตอร์หนุ่มตัดบททำท่าจะหันหลังกลับ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไมตรีของคนแปลกหน้าฉุดยื้อเขาเอาไว้


“เอาขนมไปกินไหม แม่ผมให้มาเยอะ”


ธันวามองดูถุงขนมที่คันธชาติยื่นมาให้อย่างตัดสินใจ ที่ลังเลก็เพราะเกรงใจ ทั้งที่วันนี้ตั้งใจจะเอาจานมาคืนแต่กลับได้ขนมติดมือมาด้วยมันดูเป็นการเอาเปรียบคนให้ไปสักหน่อย


“รับไปสิครับ คิดอะไรนานจัง”


“ผม...”


เจ้าของถุงขนมเลิกคิ้วขึ้นตามก่อนจะทำหน้านิ่วเมื่อเห็นทีท่าลังเลของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า


“คุณเก็บไว้ทานเถอะ”


“รังเกียจว่างั้นเถอะ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ธันวาขมวดคิ้ว ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด อยากจะอธิบายด้วยประโยคยาว ๆ กว่านี้แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน


“ถ้าอย่างนั้นก็รับไป ไม่ต้องเกรงใจหรอก ผมเป็นเกษตรกรยังไง ๆ หว่านพืชก็ต้องหวังผล อีกหน่อยคุณคงได้ตอบแทนผมแน่ ไม่ต้องห่วง จะเป็นเลี้ยงมื้อใหญ่หรืออะไรก็ค่อย ๆ คิดไปก่อนก็แล้วกัน”


คำพูดกวนประสาทของคันธชาติทำให้ธันวาต้องรับถุงขนมมาอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้อง วางถุงพลาสติกใสที่ข้างในมีขวดโหลเล็ก ๆ บรรจุข้าวโพดคั่วกับเมล็ดทานตะวันกระเทาะเปลือกอยู่อย่างละขวด เมื่อพิจารณาดี ๆ จึงเห็นว่าที่ด้านหน้ามีสติ๊กเกอร์รูปดอกทานตะวันกับแม่วัวยิ้มแฉ่งกับชื่อ ‘ฟาร์มแสงฉาน’ กำกับอยู่


“ฟาร์มแสงฉาน?”


ธันวากอดอกนิ่งคิด รู้สึกคุ้นกับชื่อนี้แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน จู่ ๆ เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ทำให้ต่อมสงสัยหยุดทำงาน ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เมื่อพบว่าคนที่มากดกริ่งคือคนที่เพิ่งจะแยกกันไปเมื่อสักครู่ก็ยิ่งประหลาดใจหนัก


“คุณมีประแจหรือเปล่า”


“มะ...มี คิดว่ามีนะ ทำไมเหรอ”


“ท่อน้ำทิ้งอ่างล้างหน้าที่ห้องผมมันน่าจะตันน่ะ ก็เลยจะมาขอยืมประแจไปขันเปิดท่อสักหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ ผมเข้าไปหยิบกล่องเครื่องมือในห้องก่อน” พูดจบธันวาก็เดินหายเข้าไปในห้องก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องเครื่องใบใหญ่สำหรับใส่เครื่องมือช่าง


“ขะ ขอบ...คุ...” ยังพูดไม่ทันจบร่างสูงก็เดินผ่านหน้าคันธชาติเข้าไปยังห้องฝั่งตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ


“เฮ้ย! เดี๋ยวสิคุณ คุณเข้ามาในห้องผมทำไมเนี่ย”


“ก็มาซ่อมท่อให้ไง”


“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผมไปกดกริ่งขอยืมประแจนะ ไม่ใช่เรียกคุณมากซ่อมท่อ”


“ไหนบอกว่าหว่านพืชหวังผล ทำอะไรหวังสิ่งตอนแทน นี่ผมก็กำลังจะตอบแทนไง เปลี่ยนจากเลี้ยงมื้อใหญ่มาเป็นซ่อมท่อให้ก็แล้วกัน ห้องน้ำอยู่ทางนั้นใช่ไหม” ธันวากล่าวก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนอึ้งเพราะถูกย้อนอยู่อย่างนั้น เมื่อตั้งสติได้คันธชาติก็รีบเดินตามไปทันที ไม่ลืมที่จะคว้ากรอบรูปตั้งโต๊ะติดมือไปด้วย ชายหนุ่มแวะที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะหย่อนกรอบรูปลงในลิ้นชักจากนั้นก็เดินตามไปเกาะขอบประตูยืนมองนายช่างใหญ่ที่กำลังเปิดกล่องหาเครื่องมือ


“ท่อน้ำทิ้งน่าจะตันอย่างที่คุณว่านั่นแหละ” ร่างสูงกล่าวพลางหันมามองหน้าเจ้าของห้อง "เพราะคุณล้างถุงมือที่มีเศษดินในนี้ใช่ไหม"


คันธชาติเหลือบมองถุงมือที่ใช้สวมเวลารดน้ำพรวนดินผักสวนครัวที่ปลูกไว้ที่ระเบียงก่อนจะยิ้มแหย ๆ หลักฐานเห็นอยู่ตำตาแบบนี้ก็ไม่รู้จะเถียงให้เปลืองน้ำลายทำไมอีก


“เศษดินมันก็เลยลงไปอุดในท่อนี่ไง” คนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะนั่งลงใช้มือหมุนคลายเกลียวจากนั้นจึงใช้ประแจขันเปิดส่วนที่เป็นท่อดักกลิ่น


“ขอถุงสักใบสิคุณ”


“ถุงยางอนามัยหรือถุงพลาสติก” ปากที่ไวกว่าใจทำให้อยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองแรง ๆ เมื่อนายช่างใหญ่หันมาส่งสายตาเอือมระอา


“ถุงพลาสติกสิครับ จะเอาใส่เศษดินที่ค้างท่ออยู่เนี่ย”


คันธชาติพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะหันไปหยิบสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการส่งให้พลางจ้องมองแผ่นหลังกว้างก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


“เห็นไหม” ธันวากล่าวพลางเคาะท่อดักกลิ่นแรง ๆ เพื่อให้เศษดินที่ค้างท่อหลุดออก  “จริง ๆ ถ้าคุณจะปลูกผักสวนครัวแบบนี้ ผมว่ายิ่งต้องระวังเรื่องเศษดินที่จะลงไปอุดตันท่อให้มาก ๆ นะ” ปากอิ่มบ่นพึมพำขณะจัดการทำความสะอาดและหมุนท่อกลับคืนที่เดิม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เก็บเครื่องมือลงกล่องก่อนจะลุกขึ้นมองหาเจ้าของห้องที่เคยยืนเกาะประตูแต่ก็ไม่พบ


“ปล่อยให้พูดคนเดียวอยู่ได้” ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินถือกล่องใส่เครื่องมือช่างออกมาจากห้องน้ำ มองออกไปที่นอกระเบียงมีกระถางพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับปลูกผักวางเรียงรายจนเหมือนยกเอาแปลงผักมาไว้กลางเมือง ภายในห้องตกด้วยเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น ข้าวของวางเป็นระเบียบช่างต่างจากห้องหนุ่มโสดอย่างเขาเสียเหลือเกิน   


“เอ้า เสร็จแล้วเหรอคุณ” คุณที่กำลังเดินถือแก้วน้ำหวานสีแดงสดเข้ามาเอ่ยขึ้น


“เสร็จแล้วครับ”   


“ถ้าอย่างนั้นดื่มน้ำเย็น ๆ ก่อนนะแล้วค่อยกลับ”


ธันวาสบตาคนที่กำลังเดินยิ้มกริ่มเข้ามาก่อนจะวางกล่องเครื่องมือลงอย่างรู้งาน ถ้าปฏิเสธก็คงจะโดนจิกกัดอีกแน่ ๆ รีบดื่มให้หมด ๆ เสียจะได้รีบกลับ คิดได้แค่น้ำก็รู้สึกได้ถึงแรงปะทะจากร่างของอีกคนที่เมื่อเปรียบเทียบด้วยสายตาแล้วดูจะตัวเล็กกว่าเขาหน่อยหนึ่ง เสียงร้องโวยวายกับความเย็นของน้ำที่รดลงบนหน้าอกด้านขวาเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มได้แต่เพียงก้มลงมองน้ำหวานเหนียว ๆ ที่กำลังลามไหลลงมาจนถึงเอวกางเกงอย่างอ่อนใจ


“คุณ ผมขอโทษ” คันธชาติละล่ำละลัก วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะก่อนจะหันกลับมาขอโทษขอโพยอีกครั้ง


“ไม่เป็นไร”


“ถอดเสื้อสิคุณ เดี๋ยวผมซักให้” พูดจบก็ทำท่าจะช่วยถอดเสื้อให้แต่ธันวาเบี่ยงตัวหลบเสียก่อน


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับไปทำเองที่ห้องดีกว่า”


“เฮ้ย! ได้ยังไงคุณ มันเกิดเรื่องในห้องของผมนะ ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ นี่ถ้าคุณไม่ยอมถอดเสื้อให้ผมไปซักผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ”


คนฟังถอนใจเบา ๆ พร้อมกับช้อนตามองชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าเขารู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่อย่างไรกันแน่



คันธชาติทำหน้าเศร้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง “ถ้าอย่างนั้นคุณกลับไปที่ห้องก็ได้ แต่ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ อุตส่าห์มาช่วยซ่อมท่อให้แท้ ๆ แต่กะ..กลับ...”


“เอาละ ๆ ผมถอดก็ได้” ธันวากล่าวเสียงเนือยก่อนจะค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออก


“มา ๆ ผมช่วย”


แต่ก่อนที่คนพูดจะเดินเข้าไปช่วยตามที่ปากว่าก็โดนห้ามไว้เสียก่อน “ไม่ต้อง ผมถอดเองได้” พูดจบก็ถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมมาออกแล้วส่งให้คนที่อยากจะซักมันเสียเหลือเกิน


คันธชาติรับเสื้อมาถือเอาไว้พลางมองร่างสูงตรงหน้าแววตาเป็นประกาย พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก “คุณกลับห้องไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมซักเสร็จแล้วจะเอาไปคืนให้”


ธันวาพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปหยิบกล่องใส่เครื่องมือ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังลอบสำรวจแผ่นหลังนวลเนียนของเขาอยู่


ในที่สุดนาทีที่รอคอยก็มาถึง นักสืบสมัครเล่นเม้มปากแน่นในขณะนัยน์ตาสีดำค่อย ๆ ไล่มองจากแนวบ่ากว้างลงมา...



‘รอยสัก ๆ’




‘อยู่ไหนวะ รอยสัก’




‘ด้านขวา’





‘รูปดอกไม้’




จนกระทั่ง...



‘ผละ แผลเป็น?’





‘เฮ้ย! แผลเป็น’



ร่างสูงสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ ปลายนิ้วเย็นเฉียบก็แตะลงกลางแผ่นหลัง “เฮ้ย! ทำอะไรน่ะคุณ” พูดจบก็รีบยกมือที่เหลือปิดหน้าอกตัวเองก่อนจะถอยกรูดติดผนังห้องจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง


สายตาหวาดระแวงทำเอาคันธชาติถึงกับต้องเกาหัว “ผมไม่หน้ามืดปล้ำคุณหรอกน่า แค่อยากรู้ว่าหลังคุณไปโดนอะไรมา”


เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็ค่อยคลายความหวาดระแวงลง ถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะอธิบายให้หายข้องใจ “อ๋อ แผลเป็นนี่น่ะเหรอ สมัยเด็ก ๆ ซนไปหน่อยน่ะ”


“อืม ผมไม่มีอะไรสงสัยแล้ว คุณกลับไปเถอะ” ถึงจะดูเหมือนการถีบหัวส่งแต่ก็คันธชาติก็เลือกที่จะทำมัน


ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกผ่อนออกจากปลายจมูก รู้สึกสับสนในความรู้สึกของตัวเอง อธิบายไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ ‘ธันวา ธิตินาวา’ ไม่ใช่เจ้าของรอยสักรูปดอกไม้นั่น
 





  ...

สวัสดีค่ะ มาต่อตอน 2  แล้วนะคะ เว้นช่วงไปนานหน่อยเพราะว่าหาข้อมูลเยอะ

คิดเยอะ ปมเยอะไปหมดจนจะพันคอตัวเอง

คิดยากจริง ๆ ค่ะแนวนี้ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ ^^

ปล.ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยทักเรื่องคำผิดด้วยค่ะ



หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 19-11-2014 08:44:19
 :ling1: มาต่อเร็วนะค๊าาาาาา ชอบ ดร.ปลายปี  :mew2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Shin Heeyoo ที่ 19-11-2014 10:10:45
ให้มันได้อย่างนี้สิ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 19-11-2014 10:13:37
กลายเป็นว่าบุ้งรักกิ่งซะงั้น  :hao4:
คนที่กิ่งแอบชอบ เหมือนจะไม่ใช่ ดร.ปลายปี
ไม่รู้สิ คิดเอาเองว่า ถ้าเป็น ดร.ปลายปี ปมมันจะน้อยไป
แล้วก็อย่างที่เห็นว่า ดร.ปลายปีไม่ได้มีรอยสักรูปดอกไม้
แผ่นหลังเนียนที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายนั่นน่ะ
ขอมโนว่าเป็นผู้หญิง ฮ่าาาาา เพราะซีนสั้นๆในห้องสมุดนั่น โผล่มาให้สงสัย
บางที ดร.ปลายปี อาจจะเป็นศิราณีของกิ่งก็ได้

ค่อยๆเผย character ออกมาทีละนิดละ
เริ่มจากทำอาหาร หน้าเนียนใส ตัวเล็กกว่า
ขอโมเมว่า บุ้งเป็นนายเอก ฮ่าาาา

นอกจากว่าคนเขียนจะเปลี่ยนแนวเป็นพระเอกใสๆตัวเล็กกว่านายเอกล่ะนะ ฮ่าาาาา


โว้วๆๆๆๆ ผมนี่ อยากแปลงร่างเป็นโคนันเลยครับ

ปล. ตามมาด้วยข้างล่างนี่ค่ะ เห็นแว๊บๆ

> "[เป็นเราผู้ชาย]กิ่งก็จีบเราได้นี่”

> เพราะคุณล้างถุงมือที่มีเศษดินในนี้ใช่ไหม  [เหมือนจะเป็นประโยคคำพูด แต่ไม่มี " "]

> [ปากไวที่กว่าใจ]ทำให้อยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองแรง ๆ

> คันธชาติทำหน้าเศร้า[แม่]เห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 19-11-2014 15:30:44
ชอบดร.ปลายปีจัง

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 19-11-2014 16:35:21
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 19-11-2014 18:37:11
 :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 19-11-2014 18:40:13
รอต่อไป ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 19-11-2014 19:56:15
ปมเยอะจริงๆเรื่องนี้
รู้สึกโล่งที่ ดร ธันวาไม่มีรอยสัก
หวังว่านะ ว่า ดร จะพ้นข้อกล่าวหา
ส่วนคนที่มีรอยสักเราว่าน่าจะเป็นผู้หญิงนะ
เพราะมีซีนนึงที่เหมือนเป็นเพื่อนของกิ่งรึเปล่าจะคุยกัน  พูดถึงกิ่งดาวอ่ะ มันเหมือนเป็นบทสนทนาระหว่างผู้หญิง
ที่สำคัญ ที่คนเขียนได้บรรยายไว้ เกี่ยวกับแผ่นหลังเปลือยของใครคนหนึ่ง ช่วงบ่ากว้างรับกับหัวไหล่กลมกลึงซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง แต่เราเดาว่าเป็นผู้หญิง แหะๆ :mew3:
หนุกดีอ่ะได้ช่วยกันวิเคราะห์หาตัวฆ่าตกร แล้วก็ค้นหาความจริง
แล้วมาต่ออีกนะคะ :katai3:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 19-11-2014 20:19:21
รอติดตามตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 19-11-2014 20:50:29
โล่งใจที่ดอกเตอร์ไม่มีรอยสัก  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-11-2014 22:21:47
เอ่อ จนถึงตอนนี้ก็ยังเดาไม่ออกว่าใครควรจะเป็นพระเอกระหว่างนายบุ้ง และคุณดร.
ผู้ต้องสงสัยมีรอยสักรูปดอกไม้ รูปร่างคล้ายผู้หญิงหรืออาจจะเป็นชายคล้ายหญิงก็เป็นได้นะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 19-11-2014 22:45:22
ขำบุ้ง เหมือนเป็นเด็กคนนึงเลย แบบหาวิธีสืบเสาะสิ่งที่ตัวเองอยากรู้เอง
ดร.ธันวาก็นิ่งๆดี พูดน้อย แต่พูดน้อยแบบนี้ก็กลัวคนจะเข้าใจผิดนะเนี่ย

บุ้งชอบกิ่ง แต่กาจชอบบุ้งรึเปล่า
พอดีสะดุดคำบรรยายก่อนวางสายโทรศัพท์

แอบสงสารบุ้งนะ คือรักแหละ และผูกพัน
เจอปฏิเสธ(จริงจังหรือกลายๆ?) คงชา หนึบในอกแน่

ป.ล.ขอโทษนะคะที่เมนท์วกไปวนมา555

รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 19-11-2014 22:52:54
ลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนน เฮือกกกกกก

 :ling1:

ปรากฏว่าตัวบุ้งต้องคิดอะไรกับกิ่งดาวมากกว่าเพื่อนแน่ๆ
แต่คนที่กิ่งดาวกำลังแอบชอบนี่สิ เป็นใครกัน?
สาวปริศนาในห้องสมุดที่โผล่มากระจึ๋งนึงนั้น? หรือดร.ธันวา?
แต่ที่แน่ๆ แผ่นหลังนั้นไม่ใช่ของด๊อกเตอร์เพราะด๊อกเตอร์มีแผลเป็นไม่ใช่ดอกไม้
ฮู้ยย อ่านไปลุ้นไปเดาไปค่ะ นี่ก็เผลอคิดเล่นๆ ว่านั้นอาจจะไม่ใช่รอยสักแต่เป็นการเพ้นท์ที่สามารถลบออกได้รึเปล่านะ?

บรรยากาศตอนนี้หลากอารมณ์มากเลยค่ะ 5555555555555
ความหวานมุ้งมิ้งของตัวบุ้งกับกิ่งดาวที่เหมือนคนเป็นแฟนกัน
ความสัมพันธ์แบบเพื่อนรักของตัวบุ้งกับคุณตำรวจ (แอบชูป้ายไฟผู้กองนะคะ >_<)
แล้วก็ฟีลลิ่งเวลาอยู่กับด๊อกเตอร์ ตัวบุ้งจะให้อารมณ์หนุ่มน้อยแก่นเซี้ยวมากเลยค่ะ
ต่างกับตอนอยู่กับเพื่อนอีกสองคนที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนนึงโดยสิ้นเชิง 555555
แต่เราชอบน้าาา  :-[

รอลุ้นอีกทีตอนหน้านะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-12-2014 15:51:14
ตอนที่ 3 สงสัย



“โธ่โว้ย! ไม่ได้อะไร แถมยังต้องมาล้างห้องตอนดึกอีก ลงทุนมากไปหรือเปล่าวะเนี่ย” ปากบ่นพลางมือก็บิดผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำหวานที่หกอยู่กลางห้องไปพลาง แต่กระนั้นในหัวก็ยังคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันจะเรียกว่าคว้าน้ำเหลวได้ไหมเมื่อ ‘ธันวา ธิตินาวา’ คือคนเดียวที่พอจะมีข้อมูลอยู่ในมือ แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของรอยสักนั่น ความหวังก็ดูจะเลือนรางเต็มที


“หรือว่าลบออก?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งถอนหายใจเซ็ง ๆ คงจะไม่มีใครลงทุนเท่าตัวเขาเองอีกแล้ว คิดได้ดังนั้นก็โยนผ้าขี้ริ้วลงในถังน้ำก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะโทร.หาเก่งกาจตามที่รับปากเอาไว้


“ถึงแล้วเหรอวะ” เสียงงัวเงียของคนที่ปลายสายกับตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาติดฝาผนังที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มทำให้รู้ทันทีว่านี่คงจะเป็นการโทร.รายงานตัวที่ผิดจังหวะไปหน่อย


“เออ สักพักหนึ่งแล้วละ พอดีแวะเอาของไปส่งที่ร้านมา นี่แกนอนแล้วเหรอ”


“เผลองีบไปน่ะ ถึงแล้วก็ดี คราวหลังจะไปไหนมาไหนหัดบอกให้คนอื่นเขารู้บ้าง”


“หึ! พ่อแม่ฉันเขายังไม่ยุ่งฉันเหมือนแกเลย ทำไม เป็นห่วงหรือไง” เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย คนถามก็เลยได้ใจกระเซ้าต่อ “จี้ใจดำเข้าหน่อยถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอวะ” คันธชาติกล่าวพลางเดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา กดยิ้มที่มุมปากในขณะที่ดวงตาจดจ้องไปยังกรอบรูปในมือ


“แกก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอกไอ้กาจ ตอนนี้แกรู้สึกกลัวใช่ไหม กลัวการจากไปโดยไม่ทันร่ำลากันเหมือนที่เกิดกับกิ่ง”


“ทำไมพูดแบบนี้วะ”


“หรือไม่จริง”


เก่งกาจจำนนต่อคำถาม ยอมรับข้างในใจก็ได้ว่าตั้งแต่เสียกิ่งดาว ความกังวลและความกลัวที่จะต้องสูญเสียก็มีอำนาจเข้าแทรกซึมในห้วงของความคิดทุกครั้งที่มีโอกาส จนบางครั้งก็นึกอยากจะให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เขากำลังโดนกิ่งดาวล้อเล้นเหมือนทุกครั้งเวลาที่ได้พบหน้ากัน แต่มันก็เป็นแค่ภาพที่สร้างขึ้นได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทำได้ดีที่สุดก็คือยอมรับความจริงอย่างที่ปากเคยพร่ำพูดกับคันธชาติเอาไว้


“แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า”


“เออ เป็นแบบนั้นก็ดี พ่อแม่แกเขามีลูกชายคนเดียวนะโว้ยจำใส่กะลาหัวเอาไว้บ้าง”


“รู้แล้วน่า แต่ถึงฉันจะตายพ่อกับแม่ก็ต้องภูมิใจแน่ ๆ ที่ฉันตายในหน้าที่”


“หน้าที่บ้าบออะไรของแกวะ”


“ช่างเถอะ” คนอารมณ์ดียิ้มกับตัวเองก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้กองทราบ “อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่า ดร.ธันวา อะไรนั่นไม่มีรอยสักรูปดอกไม้”


“แกรู้ได้ยังไง” แม้จะฟังแล้วไร้สาระ แต่ก็อดถามไม่ได้


“ก็พิสูจน์มาแล้ว เมื่อกี้เอง”


“หมะ หมายความว่ายังไง แล้วแกไปเจอเขาที่ไหน”


คันธชาติวางกรอบรูปลงข้างตัวก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาผ่อนลมหายใจยาวอย่างสบายใจ แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงตื่นเต็มตาแล้ว     


“ที่คอนโดนี่แหละ บังเอิญอยู่ห้องตรงข้ามกัน”


“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนนะ นะ...นี่ นี่แกอย่าบอกนะว่าคอนโดที่แกซื้อเป็นคอนโดเดียวกับกับที่ ดร.ธันวาอยู่”


“ใช่”


“แกจะบอกว่านี่ก็เรื่องบังเอิญด้วยใช่ไหมไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวประชดอยู่ในที

 
“มันบังเอิญจริง ๆ พอดีขับผ่านมาแล้วเห็นว่าเขาปลูกต้นปีบก็เลยแวะมาดูเฉย ๆ แต่ดันมีห้องที่เจ้าของประกาศขายฉันก็เลยซื้อ ยังแปลกใจไม่หายตอนที่รู้ว่าคนห้องตรงข้ามเป็นใคร แต่ตอนนี้คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยตามหาให้ยุ่งยาก”


“แล้วยังไง ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เจ้าของรอยสักแล้วแกจะเอายังไงต่อ จะเลิกสงสัยได้หรือยัง”


“ฉันไม่สงสัยในตัวเขาแล้วก็ได้ แต่ยังไงฉันก็จะสืบต่อ ฉันว่าเขานี่แหละที่อาจจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยไขข้อข้องใจทั้งหมดของเราก็ได้”


“แค่แก ไม่ใช่เรา”


“เออ ๆ ฉันคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าเรื่องนี้มันเป็นจริงตามที่ฉันคิดละก็ เวลานักข่าวมาถามฉันจะยกความดีความชอบให้แกในฐานะผู้ช่วยก็แล้วกัน”


น้ำเสียงที่ฟังดูไม่สะทกสะท้านเล่นเอาคนฟังต้องกุมขมับ “โอ๊ย! ไอ้บุ้งเอ๊ย! ฉันจะทำยังไงกับแกดีวะ”


“แกก็ไม่ต้องทำยังไง เลิกโวยวายแล้วก็ไปนอนซะ”


“พูดง่ายเนอะไอ้บุ้ง ฉันคงหลับลงหรอก”


คันธชาติไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำพูดของเพื่อนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงนั่งกระดิกขาสบายอารมณ์ฟังเสียงบ่นชุดใหญ่ของนายตำรวจหนุ่มราวกับมันเป็นเรื่องสนุกที่เคยทำด้วยกันเมื่อสมัยเด็ก


....



เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ธันวาที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงต้องสะดุ้งตื่น มือควานหาต้นเสียงเพื่อจะกดปิดให้วุ่น ในใจนึกตำหนิตัวเองที่ตั้งปลุกเสียเช้าตรู่ แต่แล้วตัวเลขที่หน้าปัดก็บอกให้รู้ว่าขณะนี้ล่วงเลยอาหารเช้ามานานมาก ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าทำธุระส่วนตัวก่อนจะออกไปยืนรับลมที่ระเบียงรอน้ำในกาเดือด ตั้งใจจะชงกาแฟดื่มกับขนมปังแผ่นที่เพิ่งเด้งออกจากเครื่องปิ้ง ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้เขาก็มักจะขลุกอยู่ที่ห้อง ถ้าไม่ทำความสะอาดห้องก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือกองโตหรืองานของนักศึกษาที่เอากลับมาตรวจกว่าจะเสร็จก็หมดวันพอดี ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีเวลาเหลือให้ออกไปไหน


ในที่สุดอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินถือถ้วยกาแฟดำหอมกรุ่นกับจานขนมปังปิ้งมาวางบนโต๊ะทำงานก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่คืนวันก่อนมาเปิดอ่าน ลากสายตาไล่ไปตามตัวอักษรได้ไม่กี่บรรทัด จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ผ่านเข้ามาในหัว เผลอส่ายหน้าน้อย ๆ ยกมือขึ้นจับต้นคอตัวเองโดยอัตโนมัติ ท่าทางตลก ๆ ของชายหนุ่มห้องตรงกันข้ามที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นานจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยจนใครที่ได้เห็นตีความไปก่อนว่าเขาน่าจะเป็นคนดุและติดจะหยิ่งเสียด้วยซ้ำ แต่หากเป็นเพื่อนหรือคนที่คบหาจนสนิทสนมจะรู้ว่าแท้จริงแล้วธันวาก็เป็นแค่คนขี้อายที่ยิ้มยากไปหน่อยเท่านั้นเอง


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้งเมื่อเสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้น ทันทีที่ประตูเปิดออกก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคนที่มากดกริ่งก็คือ ‘เก็จแก้ว’ หรือ ‘พี่แก้ว’ คุณแม่ลูกสองที่อยู่ห้องถัดไปไม่ไกลนัก แม้การเป็นซิงเกิ้ลมัมจะทำให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกชายสองคนโดยลำพัง แถมเจ้าลูกลิงสองตัวก็ซนเหลือร้าย สร้างวีรกรรมทำให้ผู้เป็นแม่ต้องคอยบ่นปากเปียกปากแฉะอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทุกคนในคอนโดรับรู้ได้ก็คือความสุขของการเป็นแม่ที่ส่งผ่านรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้


“วันนี้พี่ทำแซนด์วิชก็เลยแบ่งมาให้ธันทานจ้ะ”


“ขอบคุณครับ” เจ้าของห้องกล่าวพลางรับถุงพลาสติกที่มีกล่องใส่แซนด์วิชชิ้นโต 2-3 ชิ้นมาถือไว้


“พอดีเมื่อเช้าน้องบุ้งเอาน้ำสลัดไปให้ พี่เห็นว่ารสชาติดีเลยเอามาทาขนมปังทำเป็นแซนด์วิชให้เด็ก ๆ ทาน ก็เลยนึกถึงธัน วันหยุดแบบนี้เดาว่าธันไม่น่าจะออกไหนเลยแบ่งมาให้”


ธันวากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะมองหาเจ้าเด็กน้อยสองคนที่ปกติจะเห็นติดแม่แจ “แล้วนี่เจ้าสองลิงไปไหนเสียละครับ”


“อยู่ในห้องโน่นนะจ้ะ ดูแต่การ์ตูน ชวนให้มาดูแปลงผักของน้าบุ้งด้วยกันก็ไม่มา” เก็จแก้วกล่าวพลางเอี้ยวตัวกลับไปมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิท “เห็นว่าน้องบุ้งเขาปลูกผักที่ระเบียง พี่ก็เลยแวะมาดูสักหน่อยว่าจะปลูกยังไง พื้นที่ระเบียงก็แค่นั้นเอง แต่พอไปเห็นแล้วชักอยากจะลองปลูกบ้าง”





ตายยาก...


พูดยังไม่ทันขาดคำประตูห้องก็ถูกเปิดออกก่อนที่เจ้าของห้องจะโผล่หน้าออกมาอย่างรีบร้อนจนอีกสองคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ต้องหันกลับไปมองเป็นตาเดียว


“คิดว่าจะออกมาไม่ทันพี่แก้วเสียแล้ว” คันธชาติเอ่ยขึ้น เผลอสบตาชายหนุ่มห้องตรงข้ามแวบหนึ่งก่อนจะต่างคนต่างมองไปทางอื่น


“มีอะไรเหรอจ๊ะน้องบุ้ง”


“ผมเก็บผักสลัดไว้ให้น่ะครับ พี่แก้วจะได้เอาไปทำเป็นอาหารเย็นวันนี้”


“ตายจริง แค่น้ำสลัดที่เอาไปให้พี่เมื่อเช้าก็เกรงใจจะแย่แล้วนี่ยังแบ่งผักให้อีก”


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แต่พี่แก้วคงต้องช่วยเปิดประตูห้องให้ผมแล้วละ เพราะผมจะให้ไปทั้งกระถางเลย”


“จะดีเหรอจ๊ะน้องบุ้ง พี่เกรงใจจัง เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อกระถางกับดินมาปลูกเองก็ได้ ที่น้องบุ้งทำให้ดูเป็นตัวอย่างก็พอจะเข้าใจอยู่ หรือถ้ามีปัญหาก็ค่อยมาถามก็ได้”


“แบบนี้แหละครับดีแล้วพี่แก้วจะได้ไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ให้ยุ่งยาก รอเปิดประตูให้ผมนะครับ”


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้ถึงเพียงนี้เก็จแก้วก็เต็มใจที่จะรับมันไว้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะไปเปิดประตูห้องไว้รอก็แล้วกันนะจ๊ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินตรงไปยังห้องของเธอ


อาจารย์หนุ่มมาดนิ่งที่ยืนฟังอยู่นานแล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงพอ ๆ กันกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง “หะ...ให้ผมช่วยอะไรไหม”


เป็นอีกครั้งที่บังเอิญได้สบตากัน...


คันธชาติหันกลับมามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แทบไม่เชื่อหู อาการลังเลแสดงชัดอยู่บนใบหน้าจนคนยื่นข้อเสนอต้องกล่าวซ้ำ


“ให้ผมช่วยไหม ตอบแทนเรื่องขนมเมื่อวานไง”


เจ้าของดวงตาสีเข้มจ้องหน้าคนพูดอย่างตัดสินใจก่อนจะยอมตกลงในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นคุณรอตรงนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปยกออกมาให้” พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ในขณะที่ธันวาเองก็หันกลับไปแขวนถุงใส่แซนด์วิชไว้ที่ลูกบิดประตู ยืนรอกระทั่งอีกคนเดินกลับออกมาอีกครั้ง


ไม่นานคันธชาติก็อุ้มกระเช้าใบใหญ่ที่สานจากหวายซึ่งตอนนี้ถูกแปรสภาพเป็นกระถางปลูกผักเรดโอ๊คออกมาจากห้องก่อนจะส่งให้


“รอเดี๋ยวนะ ยังเหลืออีกอัน” พูดจบก็ผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะอุ้มกระเช้ากรีนโอ๊คกลับออกมา จากนั้นก็พากันเดินไปยังห้องฝั่งที่ใกล้กับบันไดหนีไฟ


เมื่อไปถึงก็พบว่าเจ้าของห้องเปิดประตูไว้รอแล้ว เธอดูตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเห็นกระเช้าผักสลัดปลูกเองที่หนุ่ม ๆ ช่วยกันยกมาให้ นั่นเพราะวิถีคนเมืองทำให้เธอห่างไกลจากเรื่องพวกนี้เหลือเกิน


เสียงหัวเราะคิกคักของพวกเด็ก ๆ เงียบลงทันทีที่ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในห้อง สองหนุ่มน้อยที่หน้าตาเหมือนกันราวกับทำสำเนาพากันมายืนเกาะประตูระเบียงมองดูผู้มาใหม่โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายตามที่แม่เคยสอนเอาไว้


“ขอบใจมากนะจ๊ะน้องบุ้ง น้องธัน” เก็จแก้วกล่าวขอบคุณอีกครั้งหลังจากที่สองหนุ่มล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยแล้ว


“ไม่เป็นไรครับพี่แก้ว แต่ถ้าพี่แก้วอยากจะเพิ่มกระถางก็บอกนะครับ ผมจะช่วยเตรียมดินให้”


ธันวาละสายตาจากผู้ใหญ่สองคน หันมาทักทายเด็กชายฝาแฝดที่กำลังยืนเกาะขอบโต๊ะมองดูผักสีสวยในกระเช้าอย่างสนอกสนใจ


“ไง สองลิง ได้ข่าวว่าดูแต่การ์ตูนเหรอ ช่วยคุณแม่ทำงานบ้านบ้างหรือเปล่า”


สิ้นเสียงคุณน้ามาดนิ่ง สองพี่น้องก็พร้อมใจกันตอบเป็นเสียงเดียว “ช่วยครับ!!”


“อืม ถ้าอย่างนั้นบอกน้าธันซิว่าปิงกับน่านช่วยคุณแม่ทำอะไรบ้าง”


“ปิงช่วยล้างจาน ส่วนพี่น่านช่วยถูพื้นครับ” คนน้องตอบ


“คนไหนปิงคนไหนน่าน” ทั้ง ๆ ที่เมื่อตอนเช้าเก็จแก้วก็แนะนำลูกชายของเธอให้ได้รู้จักไปแล้ว แต่คันธชาติก็ยังแยกไม่ออกอยู่ดี


ได้ฟังดังนั้นธันวาก็อาศัยความคุ้นเคยพูดกับเด็ก ๆ “บอกน้าบุ้งซิครับว่าคนไหนน่านคนไหนปิง”


เด็กชายมองหน้ากันยิ้ม ๆ ก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “ให้น้าบุ้งทายดีกว่า”


คันธชาติชี้มือไปที่สองคนพี่น้องอย่างลังเล ในที่สุดก็หยุดที่คนใกล้ตัว “อืม คนนี้น่าน ส่วนอีกคนปิง ใช่ไหม?” อาศัยความมั่วล้วน ๆ ในการตอบ แต่เมื่อได้ยินคนยืนข้างกันหัวเราะหึก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นคำตอบที่ผิด


“คนนี้ปิงต่างหาก ส่วนนั่นน่ะน่าน”


“น้าธันตอบถูกครับ” เด็ก ๆ พากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ


“ฮื้อ...ลูกสองคนนี่แกล้งน้าบุ้งได้ยังไงกัน” ผู้เป็นแม่ปราม


“ไม่ได้แกล้งครับ น่านแค่ให้น้าบุ้งทายเฉย ๆ” คนพี่ตอบฉะฉานในขณะที่คนน้องก็พยักหน้าสนับสนุน 


“คุณแยกออกได้ยังไง หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้”


“เจอกันบ่อย ๆ เดี๋ยวก็แยกออกเองแหละ ถึงเขาสองคนจะดูเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วสองคนนี้น่ะมีบางอย่างที่ต่างกัน”


“อือ ๆ” คนฟังพยักหน้าเนือย ๆ พลางมองเจ้าสองคนที่ยังคงยืนยิ้มแป้น ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรที่ทำให้แฝดคู่นี้แตกต่างกัน

คันธชาติเดินตามหลังร่างหนาไปตามทางเดิน ในใจยังคงคิดทบทวนเรื่องรอยสักรูปดอกไม้ แต่ก็ได้เห็นเต็มตาแล้วว่าคนตรงหน้าไม่มีรอยสักที่ว่าอยู่จริง ๆ


‘หรือว่าไปลบที่ประตูน้ำโพลีคลีนิคมาวะ’ ความคิดหยุดอยู่เท่านั้นเมื่อร่างของตนเองปะทะเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างจัง


“เอ้า! จะหยุดก็ไม่บอก”


เสียงโวยวายนั่นทำให้ธันวาต้องหันกลับมามองคนเดินตามหลังอย่างแปลกใจ “คุณนั่นแหละใจลอย ก็นี่น่ะถึงหน้าห้องผมแล้ว”



‘เออว่ะ จริงด้วย’



เลิกคิดที่จะเถียงเมื่อเห็นว่าถึงหน้าห้องตัวเองแล้วเช่นกัน คันธชาติก้มหน้ายกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ พลันสะตาก็สะดุดเข้ากับรอยแผลเป็นทางยาวที่ท่อนแขนของอีกฝ่าย คงจะโดนซี่ไม้ของกระเช้าหวายบาดไม่ผิดแน่


“แขนคุณเป็นแผลนี่ เลือดซิบเลย”


คนถูกทักก้มลงมองที่แขนของตนเองก็เห็นเป็นจริงตามที่ว่า “อ๋อ ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวก็หาย”


“ไปใส่ยาเสียหน่อยดีกว่าคุณ เดี๋ยวผมทำแผลให้”


“แผลแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง”


“ผมไม่ได้ห่วงคุณ แต่ห่วงนักเรียนคุณมากกว่า เดี๋ยวเกิดเป็นบาดทะยักต้องตัดแขนทิ้งก็ถือไม้เรียวตีนักเรียนไม่ได้กันพอดี”


ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มเดินตามคันธชาติที่เปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้าม เป็นอีกครั้งที่ธันวาจำใจยอมเพียงเพราะคำพูดเหน็บแนมของคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน 


“นั่งรอที่โซฟาก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอากล่องปฐมพยาบาลก่อน” เจ้าของห้องกล่าวก่อนจะหายเข้าไปในห้อง


ตอนแรกก็คิดจะทำตามแต่เมื่อสายลมเย็นพัดแผ่วกระทบผิวเนื้อ กับกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่คุ้นจมูกก็ชวนให้ต้องกวาดสายตาหาที่มาของกลิ่น ขายาวก้าวผ่านประตูกระจกบานเลื่อนที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้ออกสู่ระเบียงที่ขนาดกว้างยาวเพียงไม่กี่เมตรแต่น่าจะรับแสงแดดได้เกือบตลอดทั้งวัน เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เป็นห้องที่อยู่ทางฝั่งของลานจอดรถด้านหลังคอนโดจึงได้กลิ่นหอมของดอกปีบที่ถูกปลูกเอาไว้รอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา บนพื้นเต็มไปด้วยกระถางเซรามิกขนาดต่างกันที่ใช้ปลูกดอกไม้แปลก ๆ หลายชนิดรวมถึงผักสวนครัวขึ้นง่าย ฉากไม้ระแนงที่วางขนานกับด้านกว้างของระเบียงก็ถูกใช้แขวนกระบะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับปลูกผักกินใบ สะดุดตาที่สุดคงเป็นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่แขวนตากอยู่กับราวผ้า อกเสื้อด้านซ้ายยังคงปรากฏคราบจางของน้ำหวานสีแดง ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา พลันรอยยิ้มแรกของวันก็ปรากฏขึ้นราวกับกลีบของดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวัน เชื่องช้าและบางเบาเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็น


ธันวาเดินกลับเข้ามาด้านในอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของห้องซึ่งกำลังยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำ ชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟาพลางมองกล่องปฐมพยาบาลที่วางอยู่บนโต๊ะ อดทึ่งไม่ได้ว่าคนที่ดูไม่มีแก่นสารก็รู้จักเตรียมพร้อมเหมือนกัน มือเอื้อมหยิบหนังสือเล่มหนาพอ ๆ กับพจนานุกรมที่หน้าปกเป็นรูปแมลงขึ้นซึ่งวางอยู่ถัดไปไม่ไกลมาดูอย่างสนใจปากก็อ่านชื่อหนังสือไปด้วย “โรคและแมลงศัตรูพืช"


"นี่คุณอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ”


“อือ ก็อย่างที่ผมเคยบอกว่าผมเป็นเกษตรกร ศัตรูของเกษตรกรก็คือโรคพืชกับแมลง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องทำความรู้จักกับศัตรูให้มากเข้าไว้ก่อนที่จะหาวิธีป้องกันหรือกำจัดพวกมันไง” คนถูกถามกล่าวขณะเดินมานั่งลงใกล้ ๆ จัดการเปิดกล่องปฐมพยาบาลหยิบสำลีพันก้านจุ่มแอลกอฮอล์ “ยื่นแขนมาสิ”


ธันวาละสายตาจากหนังสือในมือก่อนจะทำตามโดยดี ทันทีที่อีกฝ่ายแตะสำลีลงบนผิวรอบแผลความแสบก็พุ่งทะยานขึ้นสมองจนเผลอสะดุ้งโหยง แทนที่จะปลดปล่อยด้วยการโวยวายกลับกัดกรามแน่นวางมาดนิ่ง แต่ถึงกระนั้นคนทำแผลก็ยังรับรู้ได้อยู่ดี


“แสบเหรอ” ไม่รอให้ตอบ คนถามก็โน้มหน้าลงพร้อมกับค่อย ๆ เปล่าลมออกจากปากเหมือนที่แม่เคยทำทุกครั้งที่เขาออกไปเล่นซนจนได้แผล


ธันวาเลื่อนสายจากแผลที่แขนขึ้นมาที่ปลายคางประดับด้วยริมฝีปากสีระเรื่อของคนตรงหน้า ยากจะปักใจเมื่อคันธชาติบอกว่าตัวเขาเองเป็นเกษตรกร เพราะหากพิจารณาจากหน้าตาผิวพรรณยิ่งไม่ชวนให้เชื่อว่าเขาจะสนใจในเรื่องพวกนี้ ธันวากลับคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นเสียด้วยซ้ำกระทั่งได้มาเห็นสิ่งที่เขาทำ  ดวงตาสีดำสนิทไล่มาตามสันจมูกกระทั่งมาหยุดยังแพขนตาที่บดบังหน้าต่างของหัวใจคู่นั้นที่มักจะเคลือบแฝงด้วยแววแห่งความสงสัยเสมอ แม้การได้พบกันในครั้งแรกจะทำให้คาดเดาเอาว่าคงจะหาสาระอะไรจากคนคนนี้ไม่ได้ ซ้ำยังดูเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองชนิดหาใครสู้ยาก หากแต่การได้พบกันในแต่ครั้งกลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ต่างจากคนอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้ธันวาเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามันคืออะไรกันแน่


“เสร็จแล้ว”


“ขอบคุณนะ”


“ไม่เป็นไร” เจ้าของห้องตอบเพียงสั้น ๆ พลางมองคนนั่งขยุกขยิกที่กำลังสอดมือลงใต้หมอนอิงก่อนจะดึงอะไรบางอย่างออกมา


“นั่งทับกรอบรูปนี่เอง” 



‘กรอบรูป’



‘เฮ้ย!’



“เอามานี่” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เห็นว่าเป็นรูปอะไร คันธชาติก็รีบคว้าหมับพลางยิ้มแห้ง ๆ หาข้อแก้ตัว “รูปสมัยเด็กน่ะ อย่าดูเลย น่าเกลียด”


คนฟังพยักหน้างง ๆ “แต่จริง ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”


“คุณติดตาภาพผมตอนหล่อ ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว” พูดจบก็ลุกพรวดเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือยัดกรอบรูปลงในลิ้นชักเหมือนเดิม


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับห้องก่อนนะ ขอบคุณมากที่ช่วยทำแผลให้” ธันวากล่าวขณะลุกขึ้น มองคนที่ยืนเกาะโต๊ะเขียนหนังสือไม่ห่าง ไม่รู้ว่าจะหวงหรืออายอะไรนักหนากับแค่รูปถ่ายสมัยเด็ก จะน่าเกลียดแค่ไหนกันในเมื่อตอนนี้ก็....


เรียกว่าอะไรดี?


....ในเมื่อตอนนี้ก็ก้าวข้ามความน่าเกลียดมาไกลเสียจนไม่หลงเหลือแล้วนี่....



แบบนี้ก็แล้วกัน



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 03-12-2014 15:59:58
(ต่อค่ะ)



พนักงานหน้าแฉล้มจับผ้าเช็ดทำความสะอาดหน้าเคาท์เตอร์พลางชะเง้อมองโฟลค์ตู้หน้าวีแบบกระบะสองตอนที่จอดนิ่งอยู่หน้าร้านตั้งแต่เช้าแรกของวันทำงาน หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาสิบหกนาฬิกาเศษแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของรถ ในใจอดคิดไม่ได้ว่าสีเขียวพาสเทลตัดกับสีขาวของกันชนและแร็คบนหลังคาคงทำให้มันเป็นรถส่งของที่ดูเด่นสะดุดตายามเมื่ออยู่บนท้องถนนแน่ ๆ ขณะกำลังคิดอะไรเพลินจู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงก็ผลักประตูมาในร้าน ตรงมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างหมดแรง


“นายน้อย” หญิงสาวร้องทักด้วยความยินดีระคนประหลาดใจเมื่อเห็นสภาพเหนื่อยอ่อนของคนตรงหน้า “ทะ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะคะ”


คันธชาติยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อย่าเพิ่งถาม บุ้งขอน้ำเปล่าสักแก้วเถอะพี่นิ่ม”


“ได้ค่ะ ๆ หายใจลึก ๆ ก่อนนะคะนายน้อย” เธอละล่ำละลักก่อนจะหันไปรินน้ำส่งให้ มองดูนายน้อยกระดกแก้วขึ้นดื่มอัก ๆ อย่างกระหาย ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นน้ำในแก้วก็หมดเกลี้ยง


“ฮ่า!!! แทบแย่แน่ะ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกหลังมือซับน้ำที่ริมฝีปาก   

 
“นายน้อยไปทำอะไรมาคะถึงได้หมดสภาพแบบนี้”


“ไปเดินรอบเกาะรัตนโกสินทร์มา”


“หือ? นึกยังไงคะ”


“ก็ไม่นึกยังไง” ชายหนุ่มยักไหล่ จะว่าไม่นึกยังไงก็ไม่ถูก จริง ๆ ต้องเรียกว่านึกไม่ถึงมากกว่า ใครจะรู้ว่าวันนี้ ดร.ธันวาจะพานักศึกษาไปทัวร์รอบเกาะแบบนั้น ผู้คนบนทางเท้าก็เยอะแยะพอ ๆ กับรถราบนถนน ลำพังเดินธรรมดาก็แทบแย่แล้ว นี่ยังต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้คนถูกตามรู้อีก กว่าจะพาร่างกลับมาถึงร้านได้เล่นเอาเหนื่อยจะแย่


แต่อย่างน้อยที่ทำวันนี้ก็ไม่เสียเปล่า เพราะเขาได้รู้จักกับคนที่น่าจะใกล้ชิดกับกิ่งดาวเพิ่มอีกคน


ผู้หญิงที่พบกันที่หอสมุดคนนั้น... 


“อารตี...”


“นายน้อยว่าอะไรนะคะ”


“ปละ เปล่า พอดีกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”


“ก็นิ่มได้ยินอยู่นี่นา นายน้อยจะตีอะไร”


“โอ๊ย! พี่นิ่มถามมากจริง บุ้งไม่ตีอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าขืนถามต่อก็ไม่แน่”


เมื่อเห็นนายน้อยเริ่มอารมณ์ไม่ดี นิ่มก็รูดซิปปากเลิกเซ้าซี้ทันที หญิงสาวแก้เก้อด้วยการจัดของที่อยู่ใกล้มือซึ่งมันก็เป็นระเบียบเรียบร้อยของมันอยู่แล้วจนคนนั่งเท้าคางมองจับสังเกตได้ ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรงก้มมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าอย่างตัดสินใจ


“บุ้งขอโทษ”


“คะ?”


“ก็ขอโทษไง เมื่อกี้อารมณ์เสียใส่”


เพียงเท่านั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง “โธ่ นายน้อยไม่เห็นต้องขอโทษเลย นิ่มไม่โกรธนายน้อยหรอกค่ะ”


เป็นความสัตย์จริง แต่ถึงจะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจก็ไม่คิดถือสาหาความใด ๆ อยู่แล้ว แต่เพราะพื้นฐานของชายหนุ่มเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจกับทุกคน เธอจึงมองเขาเป็นน้องชายที่น่าเอ็นดูคนหนึ่ง เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก นับตั้งแต่เมื่อตอนที่ติดตามผู้เป็นแม่ไปช่วยดูแลนายหญิงบุปผาเมื่อครั้งคลอดลูกชายคนแรก ที่สำคัญการที่ได้ทำงานที่ร้านทานตะวันแห่งนี้ก็เพราะได้นายน้อยช่วยเหลือ เพราะหลังจากสามีเสียชีวิตลงซ้ำถูกบริษัทเลิกจ้างเธอก็ไม่รู้จะไปทำงานที่ไหน จะกลับไปปากช่องก็มีลูกสาวที่ต้องเรียนหนังสืออยู่ทางนี้ โชคดีที่คันธชาติรับเธอเข้าทำงานโดยให้ช่วยดูแลร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในเครือฟาร์มแสงฉานสาขาในกรุงเทพฯ เธอจึงไม่ต้องย้ายที่อยู่ไปไหนแถมยังพอมีพอกินจนทุกวันนี้ แล้วเธอจะโกรธผู้มีพระคุณลงได้อย่างไรกัน


“นั่นแหละ ถึงไม่โกรธก็ขอโทษ บุ้งรู้ตัวว่าพูดจาไม่ดี” นายน้อยคันธชาติกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อได้คลายตัวบ้าง


“นายน้อยจะกลับแล้วเหรอคะ”


ชายหนุ่มพยักหน้าเนือย ๆ ก่อนจะหันหลังเดินผลักประตูออกไปโดยมีสายตาของหญิงสาวติดตามไปไม่ห่าง เธอมองตามร่างสูงที่เปิดประตูเข้าไปนั่งรถ เสียงติดเครื่องที่ฟังดูแปลก ๆ ทำให้ต้องเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


“ชาเขียวเป็นอะไรเนี่ย”


“ไม่ติดเหรอคะนายน้อย”


“อืม น้ำมันก็เต็มถัง สงสัยแบตเตอรีจะหมด ก่อนจะมาก็ลืมเปลี่ยน ไม่ได้เอาสายต่อพ่วงมาด้วย”


“เอายังไงดีคะ โทร.เรียกร้านที่ท้ายซอยมาลากไปดีไหม”


“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละพี่นิ่ม” คันธชาติกล่าวเมื่อเปิดประตูลงมายืนมองโฟล์คตู้สีเขียวพาสเทลที่ตั้งชื่อเสียดิบดีว่า ‘ชาเขียว’


“พี่นิ่มมีเบอร์เขาใช่ไหม”


“ค่ะ เดี๋ยวนิ่มโทร.เรียกให้ นายน้อยจะให้เรียกแท็กซี่ด้วยไหมคะ”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวบุ้งเรียกเอง ว่าจะแวะไปหาเพื่อนก่อน ยังไงบุ้งฝากพี่นิ่มโทร.เรียกช่างด้วยนะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายบอกเขาว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้บุ้งมาจัดการ” พูดจบชายหนุ่มก็มองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินข้ามถนนไปยืนรอแท็กซี่ที่ฝั่งตรงข้าม ไม่นานแท็กซี่เขียวเหลืองก็แล่นมาจอดเทียบ ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ แน่นอนว่าที่ที่เขาจะไปก็คือสถานีตำรวจ


...



เก่งกาจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ฟังเรื่องที่เพื่อนเล่า มันน่าจะเรียกว่าวีรกรรมบ้า ๆ ของไอ้ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตมากกว่า มีอย่างที่ไหนไปตามสะกดรอยตามชาวบ้าน คิดว่าตัวเองเป็นใคร เป็นยอดนักสืบโคนันแบบในหนังสือการ์ตูนที่เกือบจะล้นห้องอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มถอนใจพลางคลึงเบา ๆ ที่หัวคิ้ว รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ อย่างบอกไม่ถูก


“ฉันแอบฟังตอนที่เขาคุยกับนักศึกษาคนนั้น เธอพูดถึงกิ่งกับอีกคน” คันธชาติหยุดนึก “อืม รู้สึกจะชื่ออารตี ผู้หญิงคนนั้นน่ะชอบขึ้นไปนั่งที่หอสมุด นั่งอยู่ที่หน้าต่างบานนั้นอยู่เป็นชั่วโมง ๆ”


“เออ แล้วทำไมวะ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปอ่านหนังสือที่หอสมุด แปลกตรงไหน ทำไมฉันหรือแกต้องให้ความสำคัญ”


“เธอจะไม่สำคัญเลย ถ้าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเสี่ยอนันต์กับภรรยายที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน”


“อะ ไอ้บุ้ง นี่แกไปตามสืบเรื่องเขาขนาดนี้เลยเหรอวะ” เก่งกาจตาโต ไม่คิดว่าเพื่อนจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ เสี่ยอนันต์ที่ว่าก็คือนักธุรกิจสายบันเทิงเจ้าของโรงละครนาฏยกาลอันโด่งดัง น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหนุ่มใหญ่ผู้นี้มีภรรยาอีกคนซึ่งไม่ได้จดทะเบียนกัน แต่ถึงขนาดรู้ว่ามีลูกสาวชื่ออะไรอยู่ที่ไหนนี่ถือว่ารู้ลึกรู้จริง


“เก่งใช่ไหมล่ะ” คันธชาตินั่งกระดิกขากอดอกยิ้มอย่างภูมิใจ


“ไม่บ้าจริงทำไม่ได้มากกว่าว่ะ” นายตำรวจหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดขีด


“แกจะด่าอะไรก็ด่ามาเถอะถ้ามันจะทำให้แกสบายใจ”


“แล้วยังไง อย่าบอกนะว่าคิดจะเปลี่ยนเป้าหมาย”


“ฉลาดนี่ ฉันว่าเราต้องได้เบาะแสอะไรจากยัยอารตีนั่นบ้างแหละ”


“แก ไอ้บุ้ง ไม่ใช่เรา แกคนเดียว”


“โธ่! อะไรวะ ร้อยตำรวจเอกเก่งกาจแกเป็นตำรวจประสาอะไรกัน คดีอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ แต่แกกลับทำเป็นไม่เห็น”


“ฉันบอกแกจนปากจะฉีกถึงหางคิ้วแล้วว่าคดีของกิ่งมันจบไปแล้ว มีแต่แกนั่นแหละที่ไม่ยอมรับความจริง สงสัยอะไรไม่เข้าเรื่อง”


“เออ ๆ จะพูดยังไงก็แล้วแต่แก คอยดูเถอะ ฉันจะทำคดีฉีกหน้าแก ไม่แน่นะถ้าความจริงเปิดเผย ฉันอาจจะถูกเชิญตัวมาทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ เผลอ ๆ จะตำแหน่งสูงกว่าแกอีก”


“K9?”


“เออ เลี้ยงไว้ในปากแกเถอะ อย่างฉันมันต้องที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กรมสอบสวนคดีพิเศษโว้ย”


“ถุย! คนธรรมดาคิดไม่ได้ว่ะ”



...



ธันวาอุ้มตะกร้าผ้าออกจากร้านซักรีดใต้คอนโด พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับแสงไฟรถยนต์ที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอด ครู่หนึ่งประตูทั้งฝั่งคนนั่งและคนขับก็ถูกเปิดออก จำได้แม่นว่าหนึ่งในนั้นก็คือชายหนุ่มห้องตรงข้าม ส่วนอีกคน...ที่สวมเสื้อยืดแขนสั้นโชว์กล้ามเป็นมัดนั่นก็รู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกินแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบกันที่ไหน  อาจารย์หนุ่มส่ายหน้าเมื่อรู้สึกว่าตนเองอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นมากเกินพอดี คิดได้ดังนั้นจึงทิ้งความสงสัยทั้งหมดเปิดประตูเดินเข้าไปในคอนโดโดยไม่ได้หันกลับมามองที่ด้านหลังอีก


“ขอบใจมากนะที่มาส่ง” คันธชาติกล่าวขณะรับถุงใส่ของสดที่แวะซื้อจากห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ จากมือของเพื่อนรัก


“เออ ไม่เป็นไร แล้วนี่แกได้คุยกับช่างหรือเปล่าว่าเขาให้ไปรับรถเมื่อไร”


“ถามพี่นิ่มแล้ว เขาบอกให้ไปรับพรุ่งนี้สาย ๆ น่ะ”


“ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทร.มาแล้วกัน ฉันไปละ แล้วก็อย่าบ้าให้มันมากนะแกน่ะ”


“เออ ๆ รู้แล้ว ๆ แกรีบไปเถอะ” คนฟังโบกมือไล่ รอจนอีกฝ่ายขับรถออกไปแล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน


สังเกตว่าวันนี้คอนโดดูเงียบเชียบทั้งที่เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่เพิ่งกลับถึงบ้านของคนกรุง ขณะคิดอะไรเพลินก็สะดุ้งโหยงเมื่อมีมือเย็น ๆ แตะเข้าที่แขน ทันทีที่ก้มลงมองก็พบว่าเป็นเด็กชายในชุดนักเรียนที่ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกนอกกางเกง หนึ่งในพี่น้องฝาแฝดที่อยู่ชั้นเดียวกันนั่นเอง


“สวัสดีครับน้าบุ้ง”   

 
“โธ่...ปิงวังยมน่านนี่เอง มาเงียบ ๆ ไม่ให้สุ้มให้เสียงน้าตกใจหมด”


“นี่น่านครับน้าบุ้ง”


คันธชาติพยักหน้าส่ง ๆ เจอแบบมาเป็นคู่ก็แยกไม่ออกแล้ว ยิ่งมาเดี่ยว ๆ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เรียกมันปิงวังยมน่านนี่แหละต้องถูกสักชื่อละน่า


“น่านเรียกน้าบุ้งตั้งนานแล้วแต่น้าบุ้งไม่ได้ยิน”


“อ๋อ สงสัยน้ามัวคิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ แล้วนี่น่านไปไหนมา”


“น่านไปซื้อไอศกรีมมาครับ กำลังจะกลับขึ้นไปบนห้อง” หนูน้อยกล่าวพลางอวดถุงขนมในมือที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ


“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน” คุณน้าตัวสูงกล่าวก่อนจะเดินนำเข้าไปในลิฟท์ที่เพิ่งเปิดออก ในขณะที่เด็กชายน่านก็เดินตามเข้ามายืนพิงผนังลิฟท์ฝั่งตรงข้าม


คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกเพียงไม่กี่ชั้นก็จะถึงที่หมาย ทันใดนั้นไฟในพื้นที่ทรงสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ก็เริ่มติด ๆ ดับ ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างมองหน้ากันอย่างสงวนท่าที ไฟในลิฟท์ดับลงอีกครั้งคราวนี้ดูท่าจะดับนานคงเป็นเพราะหลอดไฟเสื่อมสภาพ นึกชมเจ้าหนูน้อยที่มาด้วยกันที่ดูไม่มีทีท่าจะตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นิ่งเสียจนผู้ใหญ่อย่างคันธชาติอยากจะถามเหลือเกินว่าไม่กลัวบ้างหรืออย่างไร


กระทั่งไฟเริ่มติด ๆ ดับ ๆ อีกครั้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ หันกลับไปมองยังจุดที่เด็กชายเคยยืนแต่กลับไม่พบร่างของเขาแล้ว เล่นเอาขนลุกซู่ โชคดีที่ลิฟท์มาหยุดยังที่หมายพอดี เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกไฟก็ติด นั่นยิ่งตอกย้ำกับคันธชาติว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในลิฟท์ เจ้าของร่างสูงรีบกระแทกปลายนิ้วลงบนปุ่มเพื่อเร่งให้ประตูลิฟท์เปิดแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเปิดช้าเหลือเกิน


เมื่อลิฟท์ค่อย ๆ ประแง้มออกภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำเอาคันธชาติถึงกับผงะ เด็กชายที่มาด้วยกันในลิฟท์กำลังยืนประจันหน้ากับเขาอยู่โดยมีระยะห่างเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น


'นี่มันอะไรกันวะ? แล้วจะทำยังไง ขามันก้าวไม่ออก’


ความคิดหยุดอยู่เพียงแค่นั้นเมื่อเด็กชายค่อย ๆ แสยะยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่น่าน แอบไปซื้อขนมไม่ชวนปิงเลย”



‘น่าน?’



สิ้นเสียงของคนตรงหน้าก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็น ๆ ที่แตะลงบนแผ่นหลัง “น้าบุ้ง ถึงแล้วครับ ออกกันเถอะ” พูดจบเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เดินผ่านเขาไปยืนกอดคอน้องชายที่ด้านนอกก่อนจะโบกมือให้คุณน้าตัวสูงจากนั้นจึงพากันเดินกลับห้อง ระหว่างทางก็ยังคงเถียงกันเรื่องซื้อขนมไม่หยุดไม่ได้ห่วงผู้ใหญ่ที่ยังคงยืนนิ่งเพราะก้าวขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย


'ไอ้แฝดนรก'



ชายหนุ่มผลักประตูเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เปิดไฟทุกดวงเสียสว่างโร่ จัดการเก็บของสดใส่ตู้เย็นก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา นึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโดนเจ้าสองพี่น้องรวมหัวแกล้งกันแน่ แต่ความเหนื่อยอ่อนก็ทำให้ต้องหาทางสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง ขณะกำลังจะเอนหลังสายตาเหลือบเห็นเสื้อเชิ้ตที่วางอยู่บนโต๊ะ ตั้งใจจะเอาไปคืนให้เจ้าของตั้งแต่เมื่อตอนเช้า และก็เพราะมันนี่แหละแผนการสะกดรอยตามคนห้องตรงข้ามถึงได้เริ่มขึ้น ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น เล่นเอาเหนื่อยจนร่างแทบแหลก พอได้หย่อนตัวลงนั่งก็แทบไม่อยากจะกระดิกตัวไปไหน แต่แล้วคันธชาติก็ตัดสินใจคว้าเสื้อก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องตรงไปเคาะประตูห้องตรงข้าม รอไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา



“ผมเอาเสื้อมาคืน แต่มันซักไม่ออกน่ะ ยังมีคราบอยู่เลย”


“ไม่เป็นไร” ธันวากล่าวก่อนจะรับเสื้อมาถือเอาไว้


“เอาไว้ผมจะซื้อมาคืนนะ ผมจำยี่ห้อกับขนาดได้”


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้เอง วันก่อนคุณก็ช่วยทำแผลให้ผม”


“แต่ว่า...”


“ถ้าอยากชดใช้นักละก็ เปลี่ยนเป็นสอนผมปลูกผักทานเองดีไหม”


“เอาอย่างนั้นเหรอ” คันธชาติถามอย่างไม่แน่ใจ


“อือ เอาแบบนี้แหละ”


“ก็ดีเหมือนกัน ทั้งวันทานแต่อาหารฟาสต์ฟู้ดมันจะไปได้ประโยชน์อะไร กินผักเสียบ้าง”


“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมทานแต่ฟาสต์ฟู้ด” คนถามขมวดคิ้วสงสัย


“เอ้อ! ดะ...เดา ผมเดาเอา ถูกใช่ไหมล่ะ” ได้ยินเสียงหัวเราะเผื่อน ๆ ของตัวเองแล้วอยากจะยกมือขึ้นตบปากที่พูดอะไรไม่คิด


“เดาเก่งเนอะ ถ้าอย่างนั้นผมเดาบ้าง”


“เดาอะไร”


“คนที่มาส่งคุณวันนี้น่ะ เขาเป็นตำรวจใช่ไหม ผมรู้สึกคุ้นหน้าแต่จำชื่อเขาไม่ได้...” คนพูดยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็ยกมือปิดปากหาวหวอด ๆ เสียก่อน


“นั่นไง ง่วงขึ้นมาเลย ผมเพลีย ๆ น่ะคุณวันนี้เดินตาม... เอ๊ย! เดินทางทั้งวันเลย เอาไว้คุยต่อวันหลังนะ ไปนอนละ ฝันดี ๆ” พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าห้องไปดื้อ ๆ ทำเอาคนพูดยืนอ้าปากค้างได้แต่มองตาม



ทันทีที่ประตูห้องตรงข้ามปิดลง ธันวาก็โคลงศีรษะพลางก้มลงมองเสื้อเชิ้ตที่พับมาเสียเรียบร้อยในมือ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่พบคนคนนี้ถึงมีเรื่องให้ต้องยิ้มหรือหัวเราะออกมาทุกที
       


“ฝันดี”



คงเป็นคำพูดสุดท้ายของวันนี้ที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ยิน




....


สวัสดีค่ะ ตอนที่ 3 มาแล้วนะคะหลังจากหายไปนานเลย

ต้องขอโทษด้วยค่ะ เพิ่งจะมีเวลาเขียนต่อ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ

ขอบคุณที่ช่วยทักเรื่องคำผิดกับข้อมูลบางอย่างที่อาจจะคลาดเคลื่อนค่ะ

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ แล้วพบกันตอนหน้านะคะ แอบบอกหน่อยว่า ตอนหน้าบุ้งจะได้รู้ว่าบุ้งไม่ได้สืบแต่เรื่องของคนอื่นเป็นอยู่คนเดียวนะ

บางคนก็อยากสืบเรื่องของบุ้งเหมือนกัน ^^
 

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-12-2014 18:39:17
เจ้าของโรงละครนาฏยกาลอันโงดัง>>>>>>>>>>โด่งดัง
เมื่อประตูลิฟท์ปิดออกไฟก็ติด>>>>>>>>>>>>เปิดออก

บุ้งสนใจธันวาเพราะเรื่องคดี
ส่วนธันวาสนใจบุ้งเพราะอะไรน้า...อิอิ

ผู้ร้ายน่าจะจำกัดวงแคบแล้วล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 03-12-2014 19:00:34
อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังระบุสถานะที่ชัดเจนไม่ได้สักที
รู้สึกว่าตัวเองจะคิดมากเกินไปหน่อย
ใครเป็นพระ? ใครเป็นนาย?

ไอ้เรื่องบังเอิญมาอยู่ห้องตรงข้ามนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย
บุ้งอำใช่มั้ย

แล้วเด็กแฝดนี่ยังไง
นิยายเรื่องนี้นนอกจากจะเป็นแนวสืบสวนสอบสวนแล้ว
ยัง thriller ด้วยเหรอคะ

เห็นคำนี้ "ล้อเล้น" กับ "ละตา" แต่จำไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหนแล้วอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 03-12-2014 21:08:34
บุ้งโดนเด็กแฝดเล่นเข้าแล้วไง
อย่าหลุดดร.เขาสงสัยบ่อยนะจ๊ะว่าเราสงสัยเขาอยู่
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 03-12-2014 21:57:56
แอบสงสัยเหมือนคุณ sillyfoolstupid ใครตัวพระ ตัวนายกันแน่
เอาใช่ช่วยโคนันบุ้งน้อย สืบคดีต่อ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 04-12-2014 23:05:20
พอเรียกนายน้อยแล้ว
ให้ความรู้สึกว่าตัวบุ้งมุ้งมิ้งขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็น 55555

แอบขำพ่อโคนันเหมือนกันนะคะเนี้ย
ลงทุนตามเค้าทั้งวันเชียว แต่ก็ดีที่ไม่เหนื่อยเปล่า
อย่างน้อยก็ได้เรื่องมาแล้วนิดนึง (หรือเปล่า?) อ่านแล้วรู้สึกเหมือนไปช่วยตัวบุ้งสืบเลยค่ะ

อารตีจะเป็นใครกันนะ?
ลุ้นไปด้วยเลยว่าเธอจะโผล่ออกมาในบทบาทไหน
ตื่นเต้นตามตัวบุ้งไปด้วยเลยค่ะ นี่ถ้าผู้กองเก่งกาจไม่ช่วย เดี๋ยวเราช่วยตัวบุ้งสืบเองนะ
ช่วยสืบอยู่หน้าจอเนี้ยแหละ 555555555555

นี่ดีใจด้วยที่เห็นดร.ธันวากับตัวบุ้งได้ใกล้ชิดกันอีกนิด >_<
อยู่ห้องตรงข้ามกันมันดีอย่างนี้นี่เอง แอร๊ยยยยย สอนปลูกผักอย่างนี้ก็ต้องเข้านอกออกใน
ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แล้วสิน้าาาา ฮริ้งงงงงงงงง  :hao3:

ตอนนี้แอบหลอนเด็กแฝดในลิฟต์ด้วยค่ะ 5555555
นี่หลอนจริงนะ นึกว่าผีหลอกแล้ว ถถถถ ที่ไหนได้เด็กหลอก

แต่เอ๊ะ? หรือผีหลอกจริง?

ขนลุกตามไปด้วยเลย เราเป็นตัวบุ้งเรานั่งตัวสั่นอยู่ในห้องแล้วค่ะ
กลัวจริงจังนะ โอ้ยยย นี่กลัวผีมากกว่ากลัวคนอีก 55555555
แอบนึกว่าเรื่องนี้นอกจากจะเป็นนิยายสืบสวนแล้วจะมีผีออกมาช่วยไขคดีด้วยมั้ย ฮาาา

จะรอตอนหน้านะค่า ^^
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 05-12-2014 00:50:27
คือแฝดแกล้นงน่ากลัวไปนะ บรื้อออออ

อารมณ์อ่านละค้างมากมายมีแต่ปม 555555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 06-12-2014 10:40:52
เอาใจช่วยน้องบุ้งนะ
ตกใจตรงแฝดนรกนั่นเหมือนกัน
นึกว่าบุ้งจะเจอดีเข้าซะแล้ว
ตอนต่อไปบุ้งคงจะเริ่มลำบากเค้าแล้วล่ะ เพราะดร. เริ่มสงสัยแล้ว
ตกลงใครจะสืบใครกันแน่เนี่ย
แล้วมาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 06-12-2014 13:33:53
น้องแฝดปิงวังยมน่านแกล้งแรงจังค่ะ กลัวตามเลย :o12:

รอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: eye-lifestyle ที่ 06-12-2014 17:06:13
 :katai2-1: น่าติดตามสุดๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-12-2014 10:46:12
ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย


“อืม ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้วนะ คุณปรับแก้ตามที่บอกแล้วก็เตรียมทำเรื่องสอบได้เลย” อาจารย์หนุ่มกล่าวพลางกวาดตาอ่านเอกสารในขณะที่มือก็จับปากกาแก้ไขข้อความที่เรียงกันแน่นในแต่ละหน้า


“ขอบคุณนะคะอาจารย์”


ชายหนุ่มพยักหน้าละสายตาจากเอกสารเล่มหนาที่นั่งอ่านมาร่วมครึ่งชั่วโมงเงยหน้าขึ้นมองแจกันใส่ดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ที่แม้จะเหี่ยวเฉาแต่ก็ยังส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วทั้งห้อง นึกถึงคนที่เอามันมาให้จึงถามกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า


“แล้ววันนี้อารตีไปไหนล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ พักนี้ผมไม่ค่อยเห็นเขาเลย”


“วันนี้เห็นบอกว่ามีธุระค่ะ แต่ถ้าวันไหนอาจารย์อยากเจอ อาจารย์ไปหาได้ที่หอสมุดเลยค่ะ โต๊ะเดิมที่อาจารย์เคยไปเจอพวกเรานั่งติวหนังสือกันั่นแหละค่ะ” พูดจบก็ดึงเอกสารเย็บเล่มมาวางบนตักก่อนจะควานหาบางสิ่งในกระเป๋าสะพาย กระทั่งซีดีแผ่นหนึ่งถูกหยิบติดมือออกมา “นี่รูปวันเผากิ่งค่ะอาจารย์ หนูเพิ่งจะรวบรวมได้จากเพื่อน ๆ คิดว่าอาจารย์น่าจะอยากเก็บเอาไว้”


“ขอบคุณมากนะ ยังเสียดายอยู่เลยที่ไปทันแค่วันเผา แล้วนี่พวกคุณได้ข่าวคุณพ่อคุณแม่ของกิ่งดาวบ้างหรือเปล่า”


“เมื่อสัปดาห์ก่อนหนูเพิ่งโทร.ไปคุยมาค่ะ ดูทั้งคุณพ่อคุณแม่ท่านก็พอจะเข็มแข็งขึ้นบ้างแล้วละค่ะ”


“อืม ยังไงก็หมั่นติดต่อท่านบ้างนะ”


“ค่ะอาจารย์”


ธันวามองตามหญิงสาวที่เปิดประตูเดินออกจากห้องพลางจดปลายนิ้วลงบนแผ่นซีดีตรงหน้า ที่ปกซีดีเขียนด้วยลายมืออ่านแล้วให้รู้สึกใจหาย


‘ภาพงานศพกิ่ง’


จนวันนี้ก็ยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ว่าตนเองจะสูญเสียลูกศิษย์คนสนิทไปเร็วถึงเพียงนี้ มือหนาค่อย ๆ เปิดกล่องหยิบแผ่นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตรูปวงกลมออกมาก่อนจะใส่ลงในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กคลิกเลือกโฟลเดอร์ชื่อเดียวกับที่เขียนบนปก ไม่นานภาพนับร้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นภาพที่ถูกถ่ายเอาไว้ตั้งแต่วันที่ร่างไร้ลมหายใจของกิ่งดาวถูกนำกลับไปยังบ้านที่อำเภอปากช่อง หลายคนที่ปรากฏในภาพล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะคนเหล่านั้นต่างก็เป็นเพื่อนนักศึกษาของกิ่งดาวทั้งสิ้น มีแต่ตัวเขาเองที่เป็นถึงอาจารย์ที่ปรึกษาแต่กลับมีโอกาสไปร่วมงานแค่เฉพาะในวันฌาปนกิจเท่านั้น นั่นเป็นเพราะภาระหน้าที่ในฐานะรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาที่ทำให้แทบจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้ กว่าจะได้ไปร่วมงานพิธีการต่าง ๆ ก็เกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว


ธันวาเลื่อนดูภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่ภาพภาพหนึ่ง สิ่งที่สะดุดตาไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นองค์ประกอบหลักของภาพ หากแต่เป็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง หัวคิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวจนแทบจะผูกกันเป็นปม ถ้าใครบังเอิญเปิดประตูเข้ามาในห้องตอนนี้คงคิดว่าอาจารย์ ดร.ธันวา จะต้องเร่งทำงานด่วนอะไรสักอย่างอยู่เป็นแน่เพราะทั้งสีหน้าและแววตาต่างแสดงออกซึ่งความเคร่งเครียด


เสียงคลิกเมาส์ดังถี่ขึ้นจนธันวานึกตั้งคำถามกับตนเองในใจว่านี่เขากำลังสงสัยอะไรหรือกำลังหาอะไรอยู่กันแน่ กระทั่งในที่สุดคำตอบก็ปรากฏขึ้นในภาพตรงหน้า แม้จะนึกชื่อไม่ออกแต่ก็จำได้ว่านายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนที่ทำหน้าที่ถือรูปหน้าศพนั้นเป็นคนที่พบกันในห้องสอบสวน ส่วนชายหนุ่มผิวพรรณดีที่เดินถือกระถางธูปนั่นแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็ชัดเจนเสียจนยากจะบอกตัวเองว่าจำคนผิด


“ไม่ผิดแน่ ต้องใช่เขาแน่ ๆ”

 
ไม่รู้ว่าทำไมสองคนนี้จึงมาอยู่ด้วยกันในงานฌาปนกิจของกิ่งดาวได้ แต่มันต้องไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ ๆ


....


“ฮัดชิ่ว! ใครนินทาวะ”


คันธชาติบ่นพลางใช้นิ้วถูปลายจมูกตัวเองขณะเดินมานั่งในมุมหนึ่ง มองยาที่เภสัชกรเพิ่งจ่ายให้แล้วรู้สึกท้อแท้ตามประสาคนกินยายาก ยังงงตัวเองไม่หายที่มาหาหมอด้วยอาการเป็นหวัดคัดจมูกทั้งที่ก่อนนี้ก็ปล่อยให้หายเองไปตามธรรมชาติ แต่จะว่าไปครั้งนี้ก็อาการหนักจริง ๆ เพราะเล่นเอาหูอื้อตาลายไปหมด หลังจากเก็บยาลงกระเป๋าแล้วก็หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเพรียวลมของอารตีที่เก้าอี้แถวหน้าสุด ความคิดที่ว่าจะกลับไปนอนพักผ่อนที่คอนโดก็เลยเป็นอันต้องพับเก็บ


ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้มาเกือบ 1 ชั่วโมง เสียงประกาศเรียกชื่อรับยาที่ดังมาจากเคาท์เตอร์ทำให้ต้องรีบร้อนเงยหน้าขึ้นเมื่อนึกได้ว่าตนเองกำลังละสายตาจากเป้าหมายมานานแล้ว แต่เมื่อมองไปยังเก้าอี้แถวหน้าสุดก็ยังพบว่าหญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ตอนแรกเข้าใจว่าเธอคงมาเยี่ยมใครไม่ก็ป่วยเสียเอง แต่นับตั้งแต่มาถึงอารตีกลับนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหนเหมือนกำลังรอคอยใครสักคน


“รอใครอยู่วะ นี่ตาลายไปหมดแล้วนะ” พึมพำกับตัวเองพลางเกาหัวขณะมองตามผู้คนรวมถึงบุรุษพยาบาลที่เข็นรถเข็นผู้ป่วยผ่านไปผ่านมา


ผ่านไปพักใหญ่ ๆ คันธชาติก็รีบขยับตัวเตรียมจะลุกเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าผลุนผลันลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเธอย้ายมานั่งเก้าอี้แถวเดียวกับที่เขานั่ง หยิบแว่นตากันแดดในกระเป๋าสะพายขึ้นมาสวม ถึงกระนั้นก็ยังเห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่ไหน พลันชายร่างสูงใหญ่ในชุดซาฟารีสีกรมท่าก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นที่มีชายวัยกลางคนนั่งมาด้วย


‘เสี่ยอนันต์’ ที่จำได้ก็เพราะเคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตสารบ่อย ๆ   


เจ้าของหน้าคมขมวดคิ้วนิ่งเมื่อรู้ว่าที่แท้อารตีก็มารอผู้เป็นพ่อ แต่น่าแปลกที่เธอเลือกจะนั่งมองจากมุมนี้แทนที่จะเดินเข้าไปพูดคุยทักทายกันเหมือนพ่อลูกทั่วไป หรือเพราะเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาซึ่งไม่ได้จดทะเบียนของนักธุรกิจบันเทิงชื่อดัง หรือเพราะเธออายที่สภาพของพ่อตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ นั่นคือสิ่งที่นักสืบจำเป็นดูจะไม่เข้าใจสักเท่าไรนัก


ชายในชุดซาฟารีที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกน้องของเสี่ยอนันต์ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างรถเข็นของเจ้านาย เวลาผ่านไปครู่ถึงเขาก็เดินไปชำระเงินและรับยาที่เคาท์เตอร์เมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียก หลังจากรับยาเรียบร้อยแล้วเสี่ยอนันต์ก็ถูกเข็นไปรอที่ประตูทางออกโดยมีอารตีตามไปห่าง ๆ ไม่นานชายในชุดซาฟารีก็ขับรถเบ็นซ์มาจอดเทียบ บรรดาบุรุษพยาบาลต่างกรูกันเข้าไปช่วยประคองคนป่วยขึ้นนั่งบนรถก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนออกจากบริเวณของโรงพยาบาลไปในที่สุด

...


แลนด์โรเวอร์สีขาวแล่นมาจอดที่ที่จอดรถชั่วคราวหน้าคอนโด เจ้าของรถเปิดประตูลงมาก่อนจะเดินอ้อมเปิดท้ายหยิบถุงใส่อุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้ออกมาวาง เป็นจังหวะเดียวกับที่แท็กซี่สีเขียวเหลืองคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบ ครู่หนึ่งประตูฝั่งคนโดยสารก็เปิดออกก่อนที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งจะก้าวลงมา ธันวาหรี่ตามองจนแน่ใจว่าเขาเป็นใครจากนั้นจึงปิดท้ายรถเตรียมจะหอบข้าวของที่ซื้อมาขึ้นคอนโด


“อ้าว เพิ่งกลับเหรอ” คันธชาติกล่าวทักท้ายตามประสาเมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นหน้ากัน


“เพิ่งกลับน่ะ แล้วนี่รถเสียเหรอถึงนั่งแท็กซี่”


“อือ แบ็ตหมดน่ะ ไหน ๆ ก็เข้าอู่แล้วผมก็เลยให้เขาเช็กสภาพทั้งคันไปเลย อีกหลายวันกว่าจะได้รถคืน” คนถูกถามอธิบายพลางก้มลองมองถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 3-4 ถุงตรงหน้า “แล้วนี่คุณซื้ออะไรมาเยอะแยะ”


“ผมแวะไปซื้ออุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้มา”


“นี่เอาจริงเหรอเนี่ย” คันธชาติกอดอกขมวดคิ้วมองทั้งซองเมล็ดผักกับดอกไม้ กระถางต้นไม้ บัวรดน้ำไหนจะส้อมกับเสียมพรวนในถุงอีก


“ก็คิดว่ามันน่าจะสนุกดี”


“ซื้อของเยอะขนาดนี้กะจะปลูกขายเลยหรือไง”


“ก็ดีนะ จะได้ขายแข่งกับคุณไง”


“หืม? คุณว่าอะไรนะ”


“คุณบอกว่าคุณเป็นเกษตรกรไม่ใช่เหรอ ผมก็จะปลูกผักขายแข่งกับคุณไง”


ธันวายิ้มน้อย ๆ มันเป็นยิ้มที่น่ารักทีเดียว แต่ในสายตาของคันธชาติแล้วรอยยิ้มแบบนั้นกลับดูน่าสงสัยพิกล ชายหนุ่มพยักหน้าเออออก่อนจะอาสาช่วยถือของ จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินเข้าไปในคอนโด 




เจ้าของร่างหนาเหลือบมองคนยืนข้าง ๆ กันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์เปิดแล้วแต่เขากลับยังลังเลที่จะเข้าไป ดังนั้นธันวาจึงเดินนำเข้าไปก่อน


“มีอะไรหรือเปล่า” ธันวากล่าวกับชายหนุ่มที่เอาแต่เงยหน้าไม่ก็หันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ

 
“ปละ เปล่า ไม่มีอะไร”


คนถามพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเลื่อนสายตามองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในที่สุดลิฟต์ก็เปิดออกอีกครั้ง


“ถึงแล้วคุณ”


คันชาติรู้สึกได้ถึงความอุ่นของมือหนาที่แตะลงบนบ่า จากนั้นร่างหนาของคนที่เคยยืนเคียงข้างกันก็ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป ชายหนุ่มก้าวตามช้า ๆ บอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในหัวกำลังคิดเรื่องอะไร รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่หน้าห้องแล้ว 


“ขอบคุณนะที่ช่วย” เจ้าของห้องกล่าวก่อนจะรับถุงใส่กระถางต้นไม้มาถือเอาไว้ พร้อมกับแตะคีย์การ์ดเปิดประตูในขณะที่คนอาสาเองนั้นได้แต่เพียงพยักหน้าเบา ๆ ตั้งใจจะหันหลังกลับไปเปิดประตูห้องของตนเองบ้างแต่ก็ต้องชะงักกึกเพียงเพราะคำพูดสั้น ๆ 


“ดื่มอะไรอุ่น ๆ หน่อยไหม”


เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจ้องด้วยสายตาที่เจือด้วยแววแห่งความสงสัย อาจารย์หนุ่มจึงกล่าวต่อ “ไม่สบายไม่ใช่เหรอ ผมว่าทานอะไรอุ่น ๆ สักหน่อยอาจจะดีขึ้น”


“ไม่เป็นไร นอนพักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย ไปก่อนนะ” คันธชาติตอบด้วยน้ำเสียงเนื่อย ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเดินไปแตะคีย์การ์ดเข้าไปในห้อง




คันธชาติขลุกอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนจนกระทั่งค่ำ เสียงกริ่งที่หน้าประตูทำให้คนกำลังหลับต้องปรือตาขึ้น หน้าปัดนาฬิกาติดฝาผนังบอกให้รู้ว่าเขาหลับไปเกือบ  2 ชั่วโมงเลยทีเดียว รู้สึกหนักอึ้งในหัวแต่ก็ยังฝืนพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดประตู


ทันทีที่เห็นหน้าของคนที่แง้มประตูออกมา ธันวาก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคงมารบกวนเวลาพักผ่อนของคนป่วยแน่ “หลับอยู่เหรอ”

 
เห็นสภาพแบบนี้ไม่น่าจะต้องถาม คันธชาติจึงเลือกที่จะเข้าประเด็น “มีอะไรหรือเปล่า”


“ขอโทษที่รบกวนนะ พอดีผมลงไปหาอะไรทานข้างล่างมาคิดว่าคุณน่าจะยังไม่ได้ทานอะไรเลยซื้อมาฝาก” พูดจบก็ชูถุงใส่ข้าวต้มให้ดู


“ขอบคุณมากนะ” คันธชาติกล่าวพลางเอื้อมเพื่อจะรับของที่อีกผ่ายให้ แต่ธันวากลับเลื่อนมือหนีเหมือนผู้ใหญ่หยอกเด็ก


“เดี๋ยวผมใส่ชามให้ดีกว่า หน้าคุณซีด ๆ นะ”


เจ้าของห้องมองคนตรงหน้าอย่างลังเลก่อนจะตัดสินใจเอี้ยวตัวหลีกทางให้ มองตามหลังกว้างที่เดินผลุบเข้าไปในโซนทำครัวก่อนจะพาร่างไร้เรี่ยวแรงกลับมานั่งลงที่โซฟา ได้ยินเสียงเปิดเตาตามด้วยกลิ่นหอม ๆ  ที่ทำเอาในท้องปั่นป่วนไปหมด จากนั้นเพียงไม่นานข้าวต้มร้อน ๆ ก็ถูกยกมาวางตรงหน้า


“ขอบคุณนะ”


“ไม่เป็นไร ก็เราเป็นเพื่อนบ้านกันนี่ รีบทานเถอะเดี๋ยวจะเย็น” พูดจบก็รินน้ำใส่แก้วให้ ในขณะที่คันธชาติยังคงมองข้าวต้มในชามตรงหน้าอย่างชั่งใจ


“ผมไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปหรอกน่า”


“ประโยคคุ้น ๆ นะ”


แทนที่จะตอบโต้คนถูกเหน็บกลับปิดปากเงียบนั่งมองเจ้าของห้องที่กำลังใช้ช้อนเขี่ยข้าวต้มในชามไม่ต่างกับเด็กเบื่ออาหาร


“ผมไปรดน้ำต้นไม้ให้ก็แล้วกัน คุณจะได้ทานถนัด ๆ” พูดจบธันวาก็ลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงโดยไม่หยุดฟังคำทักท้วงใด ๆ


คันธชาติถอนใจพลางตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเสียมิได้ นัยน์ตาอิดโรยมองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการรดน้ำต้นไม้ราวกับเป็นเจ้าของมันเสียเอง ชายหนุ่มตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะเดินเอาชามไปล้าง จากนั้นก็กลับมานั่งที่โซฟากินยาที่หมอให้ เปลือกตาหนักกับอาการปวดตุบในหัวทำให้ต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก่อนจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งแว่ว ๆ


“คุณ เข้าไปนอนในห้องไหม”


“ไม่เป็นไร...ปล่อยผมนอนตรงนี้แหละ คุณกลับไปเถอะ...ขอบคุณมาก...” พยายามจะตอบให้ครบถ้อยกระทงความที่สุด แต่ปากแห้งผากก็แทบจะปิดสนิทไม่ต่างอะไรกับเปลือกตาที่ลืมไม่ขึ้น กระนั้นก็ยังรู้สึกถึงสายลมเย็น ๆ ที่หอบเอากลิ่นหอมอ่อนของดอกปีบกระทบกับปลายจมูก


เสียงวัตถุที่ล้มคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเพราะแรงลมทำให้ทำให้ธันวานึกได้ว่าลืมเปิดประตูระเบียงทิ้งเอาไว้ เจ้าของร่างสูงจึงเดินไปเลื่อนประตูกระจกเข้าหากันจัดการใส่กลอนดึงผ้าม่านปิดเสียเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ในมุมหนึ่งเพื่อจับของที่ล้มให้ตั้งขึ้นดังเดิม เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงเมื่อครู่ก็คือกรอบรูปจึงเอื้อมหยิบขึ้นมา คิดว่าคงจะเป็นภาพถ่ายสมัยเด็กที่เจ้าของดูจะหวงนักหวงหนา อยากรู้เหลือเกินว่าที่อีกฝ่ายบอกว่าน่าเกลียดนั้นจะน่าเกลียดสักแค่ไหนกันเชียว ทันทีที่พลิกมือธันวาก็พบว่าภาพในกรอบนั้นไม่ใช่ภาพเด็กหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ หากแต่เป็นภาพของหนุ่มหล่อสวมชุดครุยที่ถ่ายคู่กับหญิงสาวในชุดกระโปรงน่ารัก หญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มแสนสดใสผู้มีดวงตาทอประกายดั่งดวงดาวไม่ผิดไปจากชื่อของเธอ


“กิ่งดาว”


ชื่อนั้นลอดผ่านริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบา มีหรือที่ ดร.ธันวา ธิตินาวา จะจำนักศึกษาในความดูแลของตนไม่ได้ ชายหนุ่มวางกรอบรูปกระแทกลงกับโต๊ะอย่างแรง หันขวับเดินกลับไปที่โซฟาตั้งใจจะเค้นเอาความจริงจากคนที่เก็บซ่อนความลับเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ยืนกอดอกมองคนที่กำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเท่านั้น


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 09-12-2014 10:53:05
(ต่อค่ะ)


คันธชาติปรือตาตื่นขึ้นเพราะโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงดังอยู่ไม่ไกลจากหูนัก ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะคว้าโทรศัพท์มากดรับสายทั้งที่ยังไม่ได้ดูว่าใครโทร.เข้ามาเสียด้วยซ้ำ


“ครับ”


“บุ้ง เจ้าปุยเมฆมันใกล้จะตกลูกแล้วนะลูก เห็นลุงครรชิตเขาบอกว่าน่าจะอีกไม่เกินสามวัน แม่ก็เลยโทร.มาบอกเผื่อว่าลูกจะอยากกลับมาดูมัน”


“ครับแม่ เดี๋ยวบุ้งขอทำธุระทางนี้ให้เรียบร้อยก่อนนะครับ แล้วบุ้งจะรีบกลับ” ชายหนุ่มกล่าวพลางพยุงตัวลุกขึ้นเดินไปเปิดผ้าม่าน ทันทีที่ม่านสีขาวถูกรวบเก็บแสงแดดอ่อน ๆ ก็สาดกระทบกับผิวหน้าชวนให้คิดถึงอากาศยามเช้าของฟาร์มแสงฉานจนอยากจะมีประตูวิเศษที่ร่นระยะทางให้เหลือเพียงแค่ขยับเท้าก้าวข้ามเท่านั้น


“นี่ลูกไม่สบายเหรอ”


“เป็นหวัดนิดหน่อยน่ะครับ แต่บุ้งไปหาหมอมาแล้ว”


“ถึงขนาดไปหาหมอก็แสดงว่าไม่นิดหน่อยละสิ”


คนฟังกดยิ้มที่มุมปาก นี่เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถหลอกนายหญิงแห่งฟาร์มแสงฉานได้ “แม่บอกบุ้งเองไม่ใช่เหรอว่าไม่สบายก็ต้องไปหาหมอ นี่บุ้งก็ทำตามที่แม่บอกแล้วไงครับ”


คันธชาติพยายามจะหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อให้คนที่ปลายสายสบายใจขึ้น แต่ดูท่าว่าผู้เป็นแม่จะไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาเลย นายหญิงบุปผาเงียบเสียงไปนานทีเดียวก่อนที่ประโยคแฝงความห่วงใยจะทำเอาลูกชายแทบน้ำตาซึม


“บุ้ง พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกนะ”


“ครับแม่ บุ้งทราบครับ อีกไม่นานทุกอย่างก็จะเรียบร้อย บุ้งจะกลับไปอยู่ที่บ้านของเรานะครับแม่ พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะ” 


คันธชาติเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหลังจากที่ผู้เป็นแม่เพิ่งจะวางสายไป ไม่มีวันไหนที่แม่จะทำหน้าที่ของแม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ตั้งใจจะไปอาบน้ำอาบท่าหลังจากนอนซมพิษไข้มาทั้งคืนแต่ความผิดปกติบางอย่างก็ทำให้ยังต้องนั่งอยู่อย่างนั้น


“จำได้ว่าเก็บไว้ในลิ้นชักนี่หว่า แล้วขึ้นมาตั้งอยู่บนนี้ได้ยังไงวะ” บ่นกับตัวเองพลางใช้มือถูที่ปลายคางอย่างใช้ความคิด “หรือว่าเราจะเอาออกมาตั้งเองวะ” ชายหนุ่มมุ่นคิ้วส่ายหัวดิกพยายามนึกก็นึกไม่ออก แต่เรื่องที่ว่ากรอบรูปนี้ขึ้นมาตั้งอยู่บนโต๊ะได้อย่างไรยังไม่น่าหนักใจเท่ากับเรื่องที่ว่าเมื่อคืนนี้ ดร.ธันวาจะได้เห็นมันแล้วหรือไม่


ตาย ๆ หนอนบุ้งเอ๊ย!


...



แลนด์โรเวอร์สีขาวที่จอดอยู่ข้างคอนโดค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้า ๆ ทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเข้าไปนั่งในแท็กซี่ที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเรียกไว้ให้ ธันวากวาดตามองสำรวจรถยนต์คันหน้าราวกับจะบันทึกทุกรายละเอียดเอาไว้ในสมองกล แม้จะพยายามจับจ้องไม่ให้คลาดสายตาแต่รถที่ขับปาดไปปาดมาก็ทำให้เกือบพลาดอยู่เหมือนกัน เจ้าของแลนด์โรเวอร์ยืดตัวมองแท็กซี่ที่จอดติดไฟแดงอยู่ในเลนข้าง ๆ ซึ่งห่างออกไปไกลพอสมควร โชคดีที่เมื่อรถเคลื่อนตามกันมาได้สักระยะหนึ่งก็ติดไฟแดงอีกครั้งจึงมีเวลาพอที่จะจดจำเลขทะเบียนได้


“พี่ครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยวขวาตรงแยกข้างหน้านะครับ” คนที่นั่งอยู่ด้านหลังคนขับแทรกขึ้นท่ามกลางเสียงรายงานสภาพการจราจรของ จส.100 คนขับพยักหน้าก่อนจะเอื้อมมือหมุนหรี่เสียงวิทยุติดรถยนต์ลงพลางมองกระจกมองหลัง


“แหม ไอ้รถสีขาวคันข้างหลังนี่มันสวยจริง ๆ นะคุณ ผมเห็นตามเรามาตั้งแต่คอนโดแล้ว สวยจริง ๆ ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร” สิ้นเสียงของชายคนขับแท็กซี่หัวคิ้วของคันธชาติก็เคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ค่อย ๆ เหลียวไปมองหารถสีขาวที่ว่า ในที่สุดสายตาก็มาหยุดอยู่ที่แลนด์โรเวอร์คันโตที่แล่นตามหลังมาโดยมีรถคันหนึ่งขั้น พลันความสงสัยที่ว่าธันวาจะเห็นภาพนั้นแล้วหรือไม่ก็คลี่คลายลงทันที


“เอ้อ พี่ ๆๆ เดี๋ยวส่งผมลงหน้าห้างข้างหน้าก็แล้วกันนะครับ”


“ยังไม่ถึงเลยนะคุณ” คนขับแท็กซี่กล่าวเมื่อชะลอความเร็วลงจนกระทั่งรถมาจอดนิ่งที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง


“พอดีผมนึกได้ว่าต้องแวะที่นี่ก่อนน่ะพี่ ขอบคุณมากนะครับ” พูดจบก็ควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ส่งให้คนขับก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยไม่รอเงินทอน


ธันวารีบหักพวกมาลัยตามแท็กซี่คันหน้าก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นคนที่เขากำลังเฝ้าสังเกตการณ์เปิดประตูลงมาจากรถ แต่แทนที่จะเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า อีกฝ่ายกลับเดินเลี้ยวไปตามแนวตึกที่อยู่หัวมุมถนน ดังนั้นเจ้าของแลนโรเวอร์คันสวยจึงตัดสินใจจอดรถที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าก่อนจะรีบตามเป้าหมายที่คิดว่าน่าจะยังไปได้ไม่ไกลไปทันที   


เป็นจริงตามคาด เมื่อธันวาวิ่งหลุดจากแนวตึกก็เห็นหลังไว ๆ เดินข้ามถนนแล้วเปิดประตูหายเข้าไปในร้านอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนแทบจะวิ่งก่อนจะมาหยุดที่หน้าร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรขนาดสองคูหา ซึ่งที่ด้านหน้ามีโต๊ะสำหรับให้นั่งดื่มกาแฟ ดังนั้นธันวาจึงตัดสินใจนั่งลงเพื่อรอให้อีกฝ่ายออกมา


“รับอะไรดีคะ” หญิงสาวในชุดพนักงานที่เพิ่งเปิดประตูเดินออกมาจากร้านกล่าวพร้อมกับส่งรายการเครื่องดื่มให้


“ขอกาแฟดำก็แล้วกันครับ” ชายหนุ่มตอบส่ง ๆ พลางชะเง้อคอมองหาคนที่หายเข้าไปข้างใน


กระทั่งกาแฟถูกยกมาเสิร์ฟ....


ดื่มหมดไปครึ่งแก้ว...


ชะเง้อมองตามลูกค้าที่มาใหม่...


ดื่มกาแฟที่เหลืออีกครึ่งแก้ว...


ก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพอดีแต่ก็ยังไม่เห็นคนที่กำลังตามจะโผล่หน้าออกมา ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปจ่ายเงินด้านในพร้อมกับกวาดตามองหาแต่ก็ไม่พบ


“หายไปไหนเนี่ย” ริมฝีปากหยักพึมพำกับตัวเอง เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีคนอื่นนอกจากลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่


“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณ” พนักงานสาวที่หลังเคาท์เตอร์ถามขึ้น


“อืม...เมื่อกี้ผมว่าผมเห็นคนรู้จักเดินเข้ามาในร้านน่ะครับ เป็นผุ้ชายตัวสูง ๆ ขาว ๆ ไว้ผมรองทรงประมาณนี้” ธันวากล่าวพลางทำท่าประกอบ


“ไม่มีนะคะ ฉันเปิดร้านมาตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นมีลูกค้าผู้ชายสักคนเลยค่ะ”


“เหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมคงตาฝาด” อาจารย์หนุ่มกล่าวเสียงอ่อยก่อนจะเดินคอตกออกจากร้านไปในที่สุด


พนักงานงานสาวเปิดประตูออกไปชะเง้อคอมองชายหนุ่มที่กำลังข้ามไปอีกฝั่งของถนน รอจนกระทั่งเขาเลี้ยวหายไปตรงมุมตึกจึงหันกลับเข้ามาในร้าน


“ออกมาได้แล้วค่ะนายน้อย เขาไปแล้ว” สิ้นเสียงของหญิงสาว คันธชาติก่อนค่อย ๆ โผล่หน้าออกมาก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง เป่าปากอย่างโล่งอก


“บอกพี่นิ่มมาซิคะว่าทำไมต้องหนีเขาด้วย” นิ่มถามพลางกอดอกจ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับพี่สาวกำลังสอบสวนน้องชาย แต่มีหรือที่คนเจ้าแผนการจะยอมปลิปากบอกให้รู้ง่าย ๆ ชายหนุ่มทำเพียงกดยิ้มที่มุมปากตอบเลี่ยง ๆ


“เรื่องมันยาวน่ะ ไว้ว่าง ๆ บุ้งจะเล่าให้ฟังนะ เดี๋ยวบุ้งไปเอารถก่อนนะ” พูดจบก็เดินผิวปากอารมณ์ดีเสียเต็มประดาออกไปจากร้าน




‘คิดจะจับนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉาน สิบปียังเร็วไปนะครับอาจารย์’


 
...
   

“คุณเป็นใครกันแน่นะ แล้วคุณเกี่ยวข้องกับกิ่งดาวได้ยังไงกัน”


ดร.ธันวากำพวงมาลัยแน่น ดวงตาคมกริบยังคงมองไปยังบ้านไม้สองชั้นที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ ในใจนึกทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ห้องตรงข้ามกันมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ กระทั่งเรื่องภาพถ่ายที่บังเอิญพบในห้องของเขา คันธชาติจะต้องมีอะไรที่ปิดบังเอาไว้แน่ ๆ เพราะหลังจากที่สะกดรอยตามและคลาดกันในวันนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ได้กลับมาที่คอนโดอีกเลย และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ธันวาต้องมาปากช่องในวันนี้


ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถดูเลขที่บ้านเทียบกับรายละเอียดในกระดาษที่ได้มาจากงานทะเบียนนักศึกษาแล้วเห็นว่าตรงกันจึงกดกริ่ง รอกระทั่งเจ้าของบ้านเดินออกมาเปิดประตู ธันวายกมือไหว้สองสามีภรรยาที่เดินประคองกันออกมาต้อนรับ ซึ่งทั้งพิพัฒน์และกิ่งกาญจน์ต่างก็จำเขาได้ หลังจากพูดคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านครู่หนึ่งเจ้าของบ้านก็เชื้อเชิญให้แขกเข้าไปดื่มน้ำดื่มท่าที่ด้านใน


ธันวาทอดสายตามองทุ่งดอกทานตะวันสีเหลืองอร่ามที่เห็นอยู่ไกล ๆ จากริมหน้าต่าง ลมพัดเย็น ๆ เตือนให้รู้ว่าขณะนี้ได้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ผิดกับในกรุงเทพฯ ที่ตอนนี้ยังคงร้อนระอุไม่ต่างอะไรกับเตาไฟร้านปิ้งย่าง ชายหนุ่มหันกลับมามองสำรวจไปรอบ ๆ ในที่สุดสายตาก็มาหยุดอยู่ที่กรอบรูปขนาดใหญ่ติดอยู่บนฝาผนังซึ่งเป็นภาพถ่ายครอบครัว ข้าง ๆ กันเป็นกรอบที่ขนาดย่อมลงมาหน่อยเป็นภาพในพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรของลูกสาวคนเดียวของบ้าน ในภาพนอกจากจะมีพ่อและแม่มาร่วมแสดงความยินดีแล้วยังมีอีกสองคนที่ธันวารู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกิน คิดไม่ผิดที่การค้นหาคำตอบในเรื่องตนเองกำลังสงสัยเริ่มต้นจากที่นี่


“นี่น่ะรูปกิ่งเมื่อสมัยรับปริญญาครับ เราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน งานวันนั้นก็เลยมีแค่คนในครอบครัวกับเพื่อน ๆ ของกิ่งไม่กี่คน”  ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ในแววตาบอกถึงความเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด “ทั้งที่กิ่งบอกแล้วว่าไม่ต้องเสียเงินไปซื้อช่อดอกไม้ แต่ลุงกับป้าก็แอบเตรียมเอาไว้เพราะกลัวว่าเดี๋ยวลูกจะไม่มีช่อดอกไม้ถือเหมือนคนอื่น ๆ”


กิ่งกาญจน์แตะที่แขนแกร่งอย่างเบามือ ก่อนจะประคองสามีและเชิญแขกให้นั่งที่เก้าอี้รับแขก เป็นเวลาเดียวกับที่แม่บ้านยกถาดเครื่องดื่มและของว่างออกมาตั้งที่โต๊ะ   


“ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่ยังนึกถึงคนแก่”   


“พอดีผมมาธุระแถวนี้น่ะครับก็เลยแวะเข้ามาเยี่ยม คุณลุงคุณป้าสบายดีนะครับ”


“ก็ไม่เจ็บไม่ไข้น่ะครับอาจารย์” พิพัฒน์กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูเหือดแห้งเหลือเกิน


“อยู่กันสองคนตายายมันก็มีเหงาบ้างนั่นแหละค่ะ ปกติกิ่งจะโทร.มาคุยเกือบทุกวัน พอไม่มีลูกเสียคนมันก็เลยเหงา นี่ก็ได้เพื่อน ๆ ของกิ่งที่แวะมาเยี่ยม พอช่วยให้หายเหงาได้ประเดี๋ยวประด๋าวนะค่ะ”


“แล้วลูกชายอีกสองคนล่ะครับ ไปไหนเสีย” เห็นว่าสบโอกาสจึงแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ากิ่งดาวเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว จึงไม่วายรู้สึกผิดนึกขอโทษผู้อาวุโสที่ต้องพูดโป้ปด


กิ่งกาญจน์สบตาสามีแล้วอมยิ้มก่อนจะตอบคำถาม “ใคร ๆ ที่มาบ้านเราครั้งแรกก็จะถามแบบนี้ เพราะเห็นรูปบุ้งกับกาจก็เลยเข้าใจว่าเป็นพี่ชายของกิ่ง”


“ไม่ใช่หรอกเหรอครับ”


“ลุงกับป้ามีกิ่งเป็นลูกสาวคนเดียวจ้ะ ส่วนอีกสองคนนั่นน่ะเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม” คุณนายปลัดอำเภอบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางของเธอดูเข้มแข็งกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก ธันวานั่งฟังสองสามีภรรยาถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตอยู่พักใหญ่ ๆ จึงขอตัวกลับ รู้สึกสบายใจขึ้นบ้างที่เห็นว่าทั้งสองคนเข้มแข็งขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเมื่อกว่าสองเดือนก่อน

...


แลนด์โรเวอร์สีขาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามทางดินเรียบแปลงปลูกทานตะวันที่มีรั้วไม้สีขาวเตี้ย ๆ กั้นบอกอาณาเขต เมื่อสุดทางแทนที่จะเลี้ยวไปตามป้ายที่ชี้ไปไปถนนใหญ่กลับหักพวงมาลัยไปอีกทาง ลัดเลาะมาตามเส้นทางคดเคี้ยวกระทั่งเข้าสู่อาณาบริเวณอันแสนกว้างใหญ่ของฟาร์มแห่งหนึ่ง


ภาพรุ้งกินน้ำที่เกิดจากการหักเหของแสงยามเมื่อละอองน้ำจากหัวสปริงเกอร์ต้องแสงอาทิตย์ ภาพคนงานกำลังแบกจอบเสียมเดินไปตามแนวคันดิน และภาพทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่วัวนมตัวโตนับสิบกำลังยืนเล็มหญ้าอย่างสบายท่ามกลางไอแดดอุ่น ๆ เป็นภาพทำให้ธันวาต้องหยุดทอดสายตามอง ชีวิตคนเมืองทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เห็นภาพเช่นนี้บ่อยนัก ชายหนุ่มตัดสินใจจอดรถใต้ร่มไม้ข้างทางเปิดกระจกสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด นึกอิจฉาคนที่นี่อยู่เหมือนกันที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาผจญกับรถติดและสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยมลพิษอย่างผู้คนในเมืองหลวง แต่กระนั้นก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ขวนขวายหาทางเข้าไปทำงานในเมืองหลวงเพียงเพราะต้องการจะมีชีวิตที่ดีขึ้น จนทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นมหานครที่แออัด คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตึกรามบ้านเรือนรวมถึงยวดยานพาหนะ



“เอ้า ๆๆ ระวังหน่อยไอ้กล้า เอ็งเดินดูทางบ้าง นั่น ๆ จะชนนายน้อยอยู่แล้ว” เสียงเอะอะโวยวายของผู้เป็นตาทำให้หลานชายวัยสิบเอ็ดปีที่กำลังเดินถือบัวรดน้ำมาแต่ตากลับมองไปทางอื่นต้องหันมายิ้มแหย ๆ เด็กชายเอ่ยปากขอโทษคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเอาต้นไม้ลงดินก่อนจะรดน้ำต้นอยู่ถัดไปไม่ไกลเสียจนชุ่ม


“มัวมองอะไรอยู่” คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองหนุ่มน้อยที่ติตามผู้เป็นตามาช่วยงานในฟาร์มตั้งแต่เช้าตรู่อย่างเอ็นดู 


“มองรถครับนายน้อย รถใครก็ไม่รู้สวยจัง” ต้นกล้ากล่าวพลางวางบัวรดน้ำลง จากนั้นจึงหันไปมองรถสีขาวคันใหญ่ที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้บนเนินให้เต็มตา ฝันว่าอยากจะมีรถสวย ๆ แบบนี้ขับบ้างจะได้พาตากับแม่ไปซื้อกับข้าวในตลาดทุกเช้า


“สงสัยจะรถนักท่องเที่ยวละครับนายน้อย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ชายวัยกลางคนที่โพกผ้าขาวม้าบนศีรษะกล่าวขณะเดินหาที่เหมาะ ๆ กระชับด้ามจอบในมือเริ่มขุดหลุมใหม่


“สวยขนาดไหนกันเชียว สวยกว่าชาเขียวของฉันอีกเหรอ หืม? ต้นกล้า” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะหันมองไปยังทิศเดียวกัน แลนโรเวอร์สีขาวนั่นน่ะไม่เท่าไร แต่คนขับที่เพิ่งเปิดประตูลงมานี่สิ


“ซวยแล้วววววววว” ริมฝีปากอิ่มบ่นงึมงำกับตัวเอง ไม่คิดว่า ดร.ธันวาจะตามมาจนถึงที่นี่


“อะไรซวยครับนายน้อย” เด็กชายหันมาถาม


“ซวยอะไร สวยต่างหาก” พูดจบก็หัวเราะราวกับคนบ้า แต่เจ้าของคำถามหาไม่ได้ใส่ใจเสียงหัวเราะขื่น ๆ นั่น ยังคงมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่รถคันงามจนไม่ทันได้เห็นว่าเจ้านายกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่


“นั่น ๆ เจ้าของเขาเดินมาทางนี้แล้วตา สงสัยจะมาถามทางมั้ง”


เมื่อได้ฟังที่หลานชายพูดนายกรก็หยุดขุดพลางเท้าเอวมอง จริงอย่างว่า เจ้าของรถกำลังเดินมาทางนี้ ดูจากการแต่งเนื้อแต่งตัว หน้าตาผิวพรรณ ก็เดาเอาตามประสาคนบ้านนอกว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับพวกที่เคยมาติดต่อขอซื้อที่ดินเมื่อไม่กี่วันก่อนแน่ ๆ


“สวัสดีครับคุณลุง” ผู้มาใหม่ทักทายอย่างเป็นมิตร


“ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม ไปยังไงมายังไงล่ะ”


“ผมมาจากกรุงเทพฯ ครับ ตั้งใจจะมาหาเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็เลยจะแวะมาถามคุณลุงว่าพอจะรู้จักไหม”


“ชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ”


ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปถอนใจพลางดึงปีกหมวกสานลงปิดหน้า เงี่ยหูฟังการสนทนาของคุณลุงผู้มีน้ำใจล้นเหลือกับหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้ผ่านทางมาอย่างตั้งอกตั้งใจ


“หล่อระเบิดเลยละนายน้อย” เด็กชายนั่งลงกระซิบกระซาบ แต่นายน้อยของเขากลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้น สิ่งที่คันธชาติสนใจก็คือคำตอบต่อจากนี้ต่างหาก


“ชื่อคันธชาติครับ แต่ผมจำนามสกุลไม่ได้”


“แค่ก ๆ” คำตอบนั้นทำเอาสำลักอากาศ อยากจะยกมือขึ้นปิดปากแต่มันก็เลอะเทอะเละเทะเสียเหลือเกิน นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานจ้องมองสองมือที่เต็มไปด้วยดินโคลนอย่างชั่งใจ ก่อนจะทำในสิ่งที่เล่นเอาเด็กชายต้นกล้าอ้าปากค้าง


ช่วยไม่ได้ ก็มันไม่มีทางเลือกแล้วนี่...


“แหยะ!!! อี๋!!! นายน้อยเอาโคลนป้ายหน้าตัวเองทำไมครับ”


“พอกหน้าไง จะได้หล่อ ๆ เหมือนพี่ชายคนนั้น คนกรุงเทพฯ เขาทำกันแบบนี้แหละถึงได้หน้าตาดี” คนที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยโคลนกระซิบบอกเคล็ดลับ


“คันธชาติ... คันธชาติ... อืม...” นายกรทวนชื่อนั่นซ้ำ ๆ รู้สึกคุ้นแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน คิดได้ดังนั้นจึงหันมาร้องถามหลานชายเผื่อจะรู้บ้าง “ไอ้กล้า เอ็งรู้จักคนชื่อคันธชาติไหม”


หนุ่มน้อยทำหน้ายุ่งก่อนจะหันมาสบตาคนที่กำลังหย่อนปุ๋ยลงก้นหลุม ไม่รู้เสียเลยว่าริมฝีปากเล็ก ๆ ที่ยกขึ้นเป็นรูปแตงโมผ่าครึ่งนั่นทำเอาคนมองหายใจแวบ ลุ้นเสียจนหัวใจพาลจะหยุดเต้นเสียให้ได้


‘อย่านะ’ ชายหนุ่มร้องห้ามในใจ   





“นายน้อยรู้จักคนที่ตาพูดถึงเมื่อกี้ไหมครับ”


อย่างกับยกเขาใหญ่ออกจากปากช่อง มันโล่งเสียยิ่งกว่ายกภูเขาออกจากอกเสียอีก คนถูกถามส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบก่อนจะหันกลับไปหาสองคนที่ด้านหลังซึ่งก็คาดว่าคงกำลังรอคำตอบจากปากของเขาอยู่เช่นกัน ไม่ผิดไปจากที่คาดเมื่อเห็นว่าทั้งลุงกรและชายหนุ่มแปลกหน้าต่างก็พากันจับจ้องมายังตนเอง โดยเฉพาะลุงกรที่อ้าปากหวอทำหน้าประหลาดใจชวนให้คิดว่าสภาพของเขาในตอนนี้น่าจะไม่ต่างอะไรกับลูกหมูในเล้าแน่ ๆ 


“วะ...ว่าไงครับนายน้อย นายน้อยรู้จักคนชื่อคันธชาติไหม ผมคุ้น ๆ นึกไม่ออกจริง ๆ” นายกรถามให้แน่ใจ ในขณะที่คนเป็นนายเองก็ส่ายหน้าซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ   


ชายหนุ่มยิ้มกริ่มในใจ แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบเลยที่ใคร ๆ พากันเรียกเขาว่า ‘นายน้อย’ ดูเป็นคุณหนูนุ่มนิ่มฟังแล้วจั๊กจี้หูพิลึก  เพิ่งจะเห็นประโยชน์ของมันก็วันนี้แหละ เพราะว่าคนงานพากันเรียกเช่นนี้ จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาก็คือ 'คันธชาติ ณ แสงฉาน' คนที่หนุ่มกรุงเทพฯ กำลังตามหานั่นเอง


เมื่อเห็นชายวัยกลางคนถึงกับถอดผ้าขาวม้าพาดบ่าปาดเหงื่อบนหัวล้านเพราะหมดปัญญาจะช่วย ธันวาก็ได้แต่เพียงกล่าวขอบคุณในความมีน้ำใจของเขา  กำลังจะหันไปขอบใจหนุ่มน้อยหน้ามอม อีกฝ่ายก็รีบเบนสายตาหนีพร้อมกับผุดลุกขึ้นเสียก่อนเมื่อเสียงโคร้งเคร้งของถังอะลูมิเนียมสำหรับใส่น้ำนมดิบเคล้ากับเสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมาแต่ไกล ครู่หนึ่งรถกระบะสนิมเขรอะซึ่งเป็นต้นกำเนิดเสียงก็แล่นมาจอดใกล้กับแลนด์โรเวอร์ที่ดูเทียบกันไม่ได้เลย คนขับโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างก่อนจะตะโกนสุดเสียงแข่งกับเครื่องยนต์ที่ฟังแล้วจะพังแหล่มิพังแหล่


“นายน้อย ไปรีดนมวัวกันไหม”


คนถูกชวนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้รอ ก่อนจะหันมาบอกลาลุงกรและหลานชายเป็นภาษาถิ่น จากนั้นก็รีบโกยแนบขึ้นไปบนเนิน กระโดดขึ้นนั่งห้อยขาท้อยรถกระบะฉีกยิ้มเสียจนเห็นฟันขาว


ธันวาเดินตามขึ้นมาบนเนินพลางมองตามรถกระบะผุ ๆ ที่กำลังเคลื่อนออกไป คิ้วหนาขมวดมุ่นคิดไม่ตกว่าน้ำเสียง ท่าทางและรอยยิ้มแบบนั้น เหมือนเคยเห็นที่ไหน...


...



ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 09-12-2014 11:40:31
นายน้อยจอมแสบ
เสร็จแน่ๆ 555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 09-12-2014 13:14:11
นายน้อยน่ารักเนอะ
อ.ธัน สุ้ๆนะ 55
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-12-2014 17:31:59
ดร.ธันวาเอาจริงเว้ย น่าสนุก
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 09-12-2014 18:09:42
แฮ่.....ได้เบาะแสมาอีกหน่อย// ร่างหนาๆ //พระเอกต้องหนากว่า  :hao3:
เค้าอ่านที่คดี แต่เราสนใจแต่ระบุสถานะตัวเอกนี่แหละ ฮ่าๆๆๆ

[ปล.บรรทัดข้างล่างนี้ บางคำบางประโยคแปลกๆค่ะ แถมคำผิดอีกนิดหน่อย พิมพ์รัวสินะๆ ^^]

- ธันวาเลื่อนดูภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาหยุดที่ภาพภาพหนึ่ง สิ่งที่สะดุดตาไม่ใช่กลุ่มคนที่เป็นองค์ประกอบหลักของภาพ หากแต่เป็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง หัวคิ้วหนาเคลื่อนเข้าหากันอย่างโดยรู้ตัวจนแทบจะผูกกันเป็นปม ถ้าใครบังเอิญเปิดประตูเข้ามาในห้องตอนนี้คงคิดว่าอาจารย์ ดร.ธันวา จะต้องเร่งทำงานด่วนอะไรสักอย่างอยู่เป็นแน่เพราะทั้งสีหน้าและแววตาต่างแสดงออกซึ่งความเคร่งเครียด

- เสียงคลิกเมาส์ดังถี่ขึ้นจนธันวานึกตั้งคำถามกับตนเองในใจว่านี่เขากำลังสงสัยอะไรหรือกำลังหาอะไรอยู่กันแน่ กระทั่งในที่สุดคำตอบก็ปรากฏขึ้นในภาพตรงหน้า แม้จะนึกชื่อไม่ออกแต่ก็จำได้ว่านายตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนที่ทำหน้าที่ถือรูปหน้าศพนั้นเป็นคนกับที่พบกันในห้องสอบสวน ...

- เจ้าของหน้าคมมวดคิ้วนิ่งเมื่อรู้ว่าที่แท้อารตีก็มารอผู้เป็นพ่อ ...

- คันชาติรู้สึกได้ถึงความอุ่นของมือหนาที่แตะลงบนบ่า จากนั้นร่างหนาของคนที่เคยยืนเคียงข้างกันก็ค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป ชายหนุ่มก้าวตามช้า ๆ บอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในหัวกำลังคิดเรื่องอะไร รู้ตัวอีกทีก็เมาอยู่ที่หน้าห้องแล้ว 

- แทนที่จะตอบโต้คนถูกเหน็บกลับปิดปากเงียบนั่งมองเจ้าของห้องที่กำลังใช้ช้อนเขี่ยข้าวในต้มในชามไม่ต่างกับเด็กเบื่ออาหาร

- “คุณ เข้าไปในนอนในห้องไหม”

- เสียงวัตถุที่ล้มคว่ำหน้าลงกับโต๊ะเพราะแรงลมทำให้ทำให้ธันวานึกได้ว่าลืมเปิดประตูระเบียงทิ้งเอาไว้ ...

- คันธชาติเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหลังจากที่ผู้เป็นแม่เพิ่งจะวางสายไป ไม่มีวันไหนที่แม่จะทำหน้าที่ของแม่ขาดตกปกพร่องเลยแม้แต่วันเดียว ...

- “จำได้ว่าเก็บไว้ในลิ้นชักนี่หว่า แล้วขึ้นมาตั้งอยู่บนนี้ได้ยังไงวะ” บ่นกับตัวเองพลางใช้มือถูกที่ปลายคางอย่างใช้ความคิด “หรือว่าเราจะเอาออกมาตั้งเองวะ” ...

- ธันวารีบหักพวกมาลัยตามแท็กซี่คันหน้าก่อนจะค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงเมื่อเห็นคนที่เขากำลังเฝ้าสังเกตการณ์เปิดประตูลงมาจากรถ ...

- “ลุงกับป้ามีกิ่งเป็นลูกสาวคนเดียวจ้ะ ส่วนอีกสองคนนั่นน่ะเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม” คุณนายปลัดอำเภอบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางของเธอดูเข้มแข็งอีกกว่าผู้เป็นสามีเสียอีก ...

- แลนด์โรเวอร์สีขาวค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามทางดินเรียบแปลงปลูกทานตะวันที่มีรั้วไม้สีเขาเตี้ย ๆ กั้นบอกอาณาเขต ...

- ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ห่างออกไปถอยใจพลางดึงปีกหมวกสานลงปิดหน้า เงี่ยหูฟังการสนทนาของคุณลุงผู้มีน้ำใจล้นเหลือกับหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้ผ่านทางมาอย่างตั้งอกตั้งใจ

- หนุ่มน้อยทำหน้ายุ่งก่อนจะหันมาสบตาคนที่กำลังหย่อนปุ๋ยลงก้นหลุม ไม่รู้เสียเลยว่าริมฝีปากเล็ก ๆ ที่ยกขึ้นเป็นรูปแตงโมผ่าครึ่งนั่นทำเอาคนมองหายใจแวบลุ้นเสียจนหัวใจพาลจะหยุดเต้นเสียให้ได้
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 09-12-2014 20:50:00
เอาละทีนี้เริ่มสงสัยกันเองแล้ว
นายน้อยต้องโดน ดร.ธันวาจับตีก้นซะให้เข็ด
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 09-12-2014 21:49:44
ตายล่ะวานายน้อย จะโดนจับได้มั้ยเนี่ย
ถึงขนาดลงทุนพอกหน้าเลย
สุดยอดจริงๆ
ลุ้นๆตลอด อยากรู้ความจริงแล้ว
แล้วมาต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 09-12-2014 21:55:10
นายน้อยนี่แสบจริงๆ  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 11-12-2014 15:24:35
สนุกค่ะ ชอบมากเลย
คุณธันวาเค้าก็ตามสืบบ้างล่ะนะ อิอิ ~.~
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 11-12-2014 16:14:18
นายน้อยบุ้ง แสบใช่ย่อย  ยอมพรางตัวด้วยโคลนเชียว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย) 09-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 11-12-2014 20:22:52
อ่านไปลุ้นไป ขำไป
ยิ่งช่วงท้ายๆ นี่ยิ่งขำก๊ากก ถถถถถถถถถ

 :laugh:


ตลกตอนตัวบุ้งขึ้นลิฟต์
เดาว่ายังหลอนเด็กแฝดไม่หายอยู่แน่ๆ เป็นเราก็หลอนค่ะ 5555
จะหลอนไปอีกหลายวันเลยด้วย กลัวผีเป็นการส่วนตัว ฮาาาาาา

ในที่สุดดร.ธันวาก็รู้แล้วว่าตัวบุ้งเป็นเพื่อนของกิ่งดาว
คราวนี้พ่อโคนันน้อยถูกตามสืบเองบ้างแล้ว เป็นไงคะ? ตื่นเต้นดีมั้ย? 555
ตอนท้ายๆ นี่อ่านไปก็รู้สึกได้ว่า นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ
แก่นเซี้ยวขนาดนี้ เหมือนเด็กซนเตะบอลใส่กระจกคนข้างบ้านแตก
พอเค้ามาตามเอาเรื่องก็หนีไปซ่อน โถๆๆๆๆ  :เฮ้อ:
นี่อยากให้ดร.ธันวาจับได้คาหนังคาเขาจริงๆ ดูซิว่าถ้าหนีไม่รอดแล้ว
นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานจะแก้ตัวว่ายังไง น่าสนุกดีนะคะ 555555


ส่วนอารตีนี่เป็นปริศนามากเลยค่ะ
เป็นตัวละครที่ให้อารมณ์หลอนๆ ลึกลับยังไงไม่รู้ ฮาาา
รอตอนหน้าาาา  :katai5:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-12-2014 13:34:32
ตอนที่ 5 ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด




ท่ามกลางความมืดมิดปรากฏจุดแสงเล็ก ๆ ขึ้นตรงหน้า มันใกล้เข้ามาทีละน้อยกระทั่งรอบตัวกลับสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เมื่อดวงตาสามารถปรับให้เข้ากับสภาพแสงที่เปลี่ยนไปได้ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เสียงลมหวีดหวิวพัดพริ้วหยอกเย้าพาเอาดอกหญ้าเล็ก ๆ ฟุ้งกระจายไปในอากาศราวกับละอองหิมะ เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาไกล ๆ พลันร่างเล็กของเด็กชายหญิงที่กำลังไล่จับกันอยู่พรมหญ้าผืนมหึมาก็แจ่มชัดขึ้น


“หยุดเดี๋ยวนี้นะหนอนบุ้ง”


“จ้างให้ก็ไม่หยุด” เด็กชายเจ้าของชื่อหันมาทำหน้าทะเล้น


“คอยดูนะ ถ้าจับได้ละก็กิ่งจะให้บุ้งวิ่งไล่ตามกิ่งให้เหนื่อยเลยละ จะไปซ่อนไกล ๆ ให้หาไม่เจอ หาไม่เจอไปตลอดเลย”


ได้ผล...


เพียงแค่คำขู่ที่ฟังดูไม่จริงจังอะไรแต่กลับทำให้คนช่างแกล้งชะงักกึก


“นี่แน่ จับได้แล้ว”


เด็กหญิงร้องอย่างดีใจพลางยึดข้อมือเล็กของคนตรงหน้าเอาไว้ให้มั่น สบตากันแล้วให้ประหลาดใจนักเมื่อพบว่าความขี้เล่นในแววตาเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยแววแห่งความเป็นกังวล นัยน์ตาสั่นไหว เนื้อตาตัวแข็งทื่อราวกับจะกลายเป็นหินเสียต่อหน้าต่อตาก็ไม่ปาน ในที่สุดริมฝีปากเล็กก็ค่อย ๆ เผยอขึ้นก่อนจะกล่าวคำแผ่วเบาอย่างผู้ยอมแพ้


“ยอมให้จับแล้ว อย่าหนีไปไหนนะ อย่าหนีไปจนหาไม่เจอ”


“บุ้ง เป็นอะไรหรือเปล่า” คนถามขมวดคิ้วสงสัยขณะค่อย ๆ คลายมือออก 


“สัญญามาก่อน” เด็กชายกล่าวพลางคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ “สัญญาว่าจะไม่หายไปไหน”


“โธ่ นึกว่าอะไร ได้สิ กิ่งสัญญา สัญญาว่าจะอยู่ข้าง ๆ หนอนบุ้ง จะไม่หายไปไหนแน่นอน จะจับมือให้แน่น ๆ แบบนี้เลย” พูดจบเธอก็เกี่ยวมือเพื่อนรักเอาไว้ กระชับแน่นเพื่อย้ำคำสัญญา


เมื่อได้ฟังดังนั้นหนุ่มน้อยก็ค่อยยิ้มออก หนอนบุ้งพยักหน้าก่อนจะจูงมือคนตัวเล็กไปยังต้นมะขามต้นยักษ์ที่ยืนต้นตระหง่านแผ่กิ่งก้านอยู่ที่ปลายเนินหญ้าเขียวชอุ่ม


“บนนั้นน่ะสวยมากเลยนะ กิ่งอยากขึ้นไปไหม”


กิ่งดาวมองตามปลายนิ้วที่กำลังชี้ขึ้นไปยังกิ่งของต้นไม้ที่แค่ลำต้นก็สูงใหญ่กว่าตัวเธอหลายเท่านัก ดวงหน้าฉายแววสวยตั้งแต่เด็กส่ายน้อย ๆ ก่อนจะหันมาตอบคำถามเมื่อครู่ “ไม่เอาหรอก สูงจะตาย กิ่งกลัว”


“ไม่น่ากลัวหรอกเชื่อเราสิ” ไม่พูดเปล่ายังรั้งข้อมืออีกฝ่ายหวังจะให้ขึ้นไปเห็นทิวทัศน์ที่มองเห็นได้จากข้างบนด้วยกัน “มันสวยจริง ๆ นะ เราอยากให้กิ่งเห็น”


เด็กหญิงแสดงอาการลังเลเล็กน้อย จ้องมองมืออุ่นที่เกาะกุมกันไว้แน่นก่อนจะตัดสินใจเดินตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี เมื่อถึงยังดคนต้นบุ้งก็คลายมือออกก่อนจะหลีกทางให้สาวน้อยในชุดเอื้อมขึ้นไปก่อน มือเล็ก ๆ ยึดเชือกเส้นใหญ่เอาไว้แน่นก่อนจะดึงตัวเองขึ้นปืนไปตามบันไดเชือกที่ห้อยลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งคนงานทำเอาไว้ในขณะที่เท้าก็วางมั่นอยู่บนขั้นบันไดที่ทำจากไม้เนื้อแข็งดูแข็งแรง


“เห็นไหม ไม่น่ากลัวเลย” คนที่ปืนตามขึ้นมาติด ๆ ร้องขึ้น


เสียงนั้นทำให้เด็กหญิงอดไม่ได้ที่เหลียวกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าตนเองอยู่สูงจากพื้นพอสมควรอาการกลัวก็ผุดขึ้นในหัว มือไม้เริ่มไม่มีแรงเอาเสียดื้อ ๆ “สูงจังเลย กิ่งกลัว”


“อย่ามองลงไปนะกิ่ง หันกลับไปแล้วปืนต่อ”


กิ่งทำตามอย่างว่าง่าย มือและเท้ายังคงทำงานประสานกันไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ก้าวต่อก้าวอย่างระมัดระวัง แต่ความสูงระดับนี้ก็ทำให้กล้ามเนื้อเล็ก ๆ เกิดอาการล้าอยู่เหมือนกันจึงต้องหยุดพักเป็นระยะ มือเล็กยกขึ้นซับเหงื่อที่ไรผมก่อนจะเปลี่ยนมาเกี่ยวกำเชือกออกแรงป่ายปืนอีกครั้ง กระทั่งในที่สุดก็ใกล้ถึงจุดหมาย เพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น...



“อีกนิดเดียวจะถึงแล้วนะกิ่ง”



ริมฝีปากบางแม้มแน่นในขณะที่ดวงตาจ้องเขม็งไปที่สุดปลายบันไดเชือก ใช่...มันห่างออกไปแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น แต่กำลังที่เหลือกลับทำให้ไม่สามารถคว้าเชือกเอาไว้ได้ทำให้เสียจังหวะ



เสียงกรีดร้องของกิ่งทำให้บุ้งรีบเงยหน้าขึ้นมองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้สาดกระทบดวงตาก็ทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวเหลือเกิน ในวินาทีนั้นแม้สมองจะสั่งให้ยึดเชือกให้มั่น แต่ในใจกลับสั่งให้เอื้อมมือคว้าร่างของอีกฝ่ายเอาไว้แม้จะต้องหล่นกระแทกพื้นหญ้าไปด้วยกันก็ตาม




มือไม้ปัดป่ายไปหาหาที่ยืด ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกหายใจหอบในขณะที่มือสองข้างยังเกาะขอบอ่างอาบน้ำแน่น เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็รู้ว่าภาพเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน


“ฝันหรอกเหรอ” ริมฝีปากแห้งฝากพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าลูตา เสยผมชุ่มน้ำที่ตกลงมาปรกหน้าผาก ร่างเปลือยลุกขึ้นก่อนจะคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวม โปะผ้าขนหนูไว้บนหัวจากนั้นจึงเดินออกไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้งมองหน้าตัวเองในกระจก แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่คันธชาติก็รู้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก และมันก็ทำให้กิ่งดาวฝังใจจนเธอกลายเป็นคนกลัวความสูงนับตั้งแต่นั้น



....



กลิ่นสปาเก็ตตี้ปลาเค็มที่ลอยเตะจมูกตั้งแต่ประตูลิฟต์เปิดทำให้ธันวารู้ได้ทันทีว่าเพื่อนบ้านของตนเองได้กลับมาแล้วหลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน


“สงสัยวันนี้จะได้ทานสปาเก็ตตี้ปลาเค็มแสนอร่อยกันอีกแน่ ๆ เลย” หญิงสาวร่างเล็กหัวเราะพลางก้มลงคว้าถุงพลาสติกใบใหญ่ 2-3  ที่วางอยู่ใกล้ตัว


คนฟังยิ้มน้อย ๆ กดปุ่มให้ประตูลิฟต์เปิดค้างรอกระทั่งเธอลากสัมภาระออกไปเรียบร้อย จึงเดินตามออกไป


“เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่ห้องนะครับพี่แก้ว”


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะน้องธัน ไม่ได้หนักอะไร เสื้อผ้าทั้งนั้น”


“ส่งมาเถอะครับ ผมช่วย” พูดจบชายหนุ่มก็รั้งของพะรุงพะรังในมือหญิงสาวมาถือไว้เสียเองก่อนจะเดินไปส่งเธอที่ห้องซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ


“เสื้อผ้าอะไรเหรอครับเนี่ย”


“ก็พวกชุดใส่ไปงาน กระโปรงบ้าง เสื้อใส่ทำงานน่ะจ้ะ ช่วงนี้ลูกจ้างที่ร้านทำกันไม่ทัน พี่ก็เลยเอามาช่วยเย็บ”


“นี่พี่แก้วมีร้านตัดเสื้อผ้าด้วยเหรอครับ ตอนแรกผมคิดว่าแค่ขายทางอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวเสียอีก”


“ร้านนี้พี่ทำกับเพื่อนน่ะจ้ะ ที่ขายในอินเทอร์เน็ตส่วนหนึ่งก็เอามาจากร้านด้วย แต่เพราะมีเจ้าลูกลิงสองตัวก็เลยไม่ค่อยได้แวะไปดูร้านสักเท่าไร เกรงใจเขาก็เลยขอแบ่งส่วนที่พอจะช่วยทำได้กลับมาทำที่บ้าน” เก็จแก้วกล่าวพลางแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู
หลังจากส่งคุณแม่ลูกสองเรียบร้อยแล้วธันวาก็เดินกลับมายังห้องของตัวเอง


ดวงตาเจือแววแห่งความสงสัยจ้องมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิทก่อนจะหันกลับมาแตะคีย์การ์ดเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ร่างสูงวางถุงใส่อาหารกล่องที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานพลางพับแขนเสื้อลวก ๆ ทอดตามองข้อสอบกองใหญ่ที่ตั้งใจจะตรวจให้เสร็จตั้งแต่หลายวันแล้วแต่ก็ไม่เสร็จเสียทีเพราะมัวแต่คิดเรื่องของใครบางคนจนไม่เป็นอันทำอะไร ลมหายใจหนัก ๆ ถูกผ่อนผ่านปลายจมูก พยายามสลัดเรื่องที่ค้างคาใจจากนั้นจึงลงมือตรวจข้อสอบต่อจนลืมอาหารที่ซื้อมา



ลืมว่าเวลาผ่านไปนานเพียงไหน...



ไม่ได้สนใจเสียงกริ่งที่ดังอยู่หน้าประตู...       



คันธชาติจ้องมองประตูที่ยังคงปิดสนิท เลื่อนสายตากลับมามองจานสปาเก็ตตี้ในมือก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวกลับ แต่แล้วเสียงเปิดประตูก็ทำให้ต้องหยุด เมื่อเหลียวกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของห้อง



“มีอะไรหรือเปล่า”


“ผมเอาสปาเก็ตตี้มาให้”


“ขอบคุณนะ” ธันวากล่าวก่อนจะรับจานสปาเก็ตตี้มาถือไว้ “เข้ามาก่อนไหม”


“ว...ว่าอะไรนะ” คันธชาติถามอย่างไม่เชื่อหู


“คือ...ผมอยากให้ช่วยดูหน่อยว่าจะวางกระถางสำหรับปลูกผักยังไงดี”


“อืม ได้สิ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะ”


เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าของร่างสูงจึงเบี่ยงตัวหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาข้างใน ก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินตรงไปยังระเบียง


คันธชาติไม่ได้ใส่ใจจะหยุดมองสิ่งต่าง ๆ ภายในห้องเลยสักนิด ดวงตาจ้องมองไปยังระเบียงในขณะที่เท้าก็ก้าวฉับ ๆ เหมือนจะรีบ ๆ ทำภารกิจให้เสร็จ ๆ ไป ชายหนุ่มกวาดตามองพื้นที่ขนาดไม่มากก่อนจะหันกลับมามองเจ้าของห้องที่กำลังวางจานสปาเก็ตตี้ลงบนโต๊ะ


“ห้องฝั่งคุณ แดดมันแฉลบตัวตึกน่าจะบังแดดได้พอดี หรือถ้าต้นไม้โดนแดดก็คงไม่มากไม่ถึงกับต้องทำที่บังแดด แค่ทำราวสำหรับแขนไม้กระถางเล็ก ๆ ไว้บังแดดก็พอ” พูดจบก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ถือโอกาสมองสำรวจไปรอบ ๆ “อีกหน่อยปลูกผักทานเองก็คงไม่ต้องทานอาหารกล่องแล้วละมั้ง ไม่เห็นจะมีประโยชน์เลย”


“ก็มันสะดวกดีนี่นา”


“สบายคุณแต่โลกไม่สบายด้วยนะ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงานอย่างถือวิสาสะ เห็นกองกระดาษตรงหน้าแล้วก็อดแสดงความเห็นไม่ได้ “นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ออกข้อสอบแบบนี้ก็จะช่วยลดกระดาษ ลดการตัดต้นไม้ สมัยเรียนน่ะผมไม่ชอบเลยจริง ๆ ข้อสอบแบบนี้ ไม่รู้ทำไมอาจารย์ชอบออกกันนัก กว่าจะได้แต่ละคะแนนเล่นเอาเจ็บข้อไปหมด”


“ไม่ชอบแต่ก็จบมาด้วยปริญญาเกียรตินิยมอันดับสองไม่ใช่เหรอ แถมยังได้ทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดิมด้วย”


คนฟังขมวดคิ้วหันขวับจ้องหน้าเจ้าของห้องที่กำลังเดินใกล้เข้ามาก่อนจะตัดสินใจหัวเราะแก้เก้อทำกลบเกลื่อน “เหอะ เหอะ ๆ เหอะ คุณพูดอะไรของคุณน่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย ไปดีกว่าคุณจะได้ทานข้าว สงสัยจะหิวจนสมองเสื่อม” พูดจบก็ลุกขึ้นแต่กลับถูกขวางเอาไว้ 


ธันวาโครงศีรษะเบา ๆ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมรับง่าย ๆ “จะรีบไปไหนล่ะครับ นายน้อยคันธชาติ ณ แสงฉาน ถ้าจะมีคนสมองเสื่อมก็คงเป็นคุณนั่นแหละที่จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร”


คนกำลังจะจนมุมเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขม็ง ไม่คิดว่าจะถูกอาจารย์มาดนิ่งตามสืบเรื่องของตัวเองเข้าบ้าง ในหัวคิดหาทางออกแต่สถานการณ์แบบนี้จะทำอย่างไรได้นอกจาก...


ยอม...




สมองเสื่อม...




“อืม ผมจะสมองเสื่อมจริง ๆ พักนี้มันงง ๆ เบลอ ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ ส่วนคุณ คงดูละครมากไป” ชายหนุ่มข่มใจฉีกยิ้มกว้างทั้งที่รู้สึกแสบสีข้างตงิด ๆ มองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดหน้าตาเฉย “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับห้องก่อนนะ นี่ละครหลังข่าวก็ใกล้จะมาแล้ว เดี๋ยวจะรบกวนเวลาดูละครของคุณ”



ทันทีที่ประตูปิดลงธันวาก็เดินกลับไปนั่งกุมขมับที่โซฟา คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอาตัวรอดโดยการสีข้างเข้าถูเช่นนี้ ถ้าไม่จับให้มั่นคั้นให้ตายคงไม่ยอมรับง่าย ๆ แน่ ๆ 



คันธชาติเปิดประตูพรวดกลับเข้ามาในห้องก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ในหัวเต็มไปด้วยคำถามว่าธันวารู้เรื่องของตนเองได้อย่างไร ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะในขณะที่คิ้วก็ขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด   

....



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-12-2014 13:44:44
(ต่อค่ะ)



เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เมื่อการแสดงละครเวทีร่วมสมัยเรื่องมัทนะพาธาซึ่งเป็นการแสดงสุดตระการตาส่งท้ายปีของโรงละครนาฏยกาลรูดม่านปิดฉากลง ไม่นานชายหนุ่มหน้าหวานเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหนึ่งก่อนจะเดินมายืนตรงกลางเวที เขาคือ ‘อัศนัย’ ทายาทโดยถูกต้องของตระกูลนาฏยะที่ก้าวเข้ามารับช่วงดูแลธุรกิจบันเทิงต่อจากเสี่ยอนันต์ เมื่อลูกชายคนรองผายมือออกไปยังทิศตรงข้ามกับที่เขาปรากฏตัวเมื่อสักครู่ รถเข็นซึ่งควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าที่มีผู้เป็นพ่อนั่งมาด้วยก็ค่อย ๆ เคลื่อนมาหยุดยังจุดเดียวกันกับที่เขายืน และนั่นก็สามารถเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นไม่แพ้รอบแรก เหล่านักแสดงต่างก็พากันเดินตามออกมายืนขนาบทั้งสองข้างยาวตลอดหน้าเวทีก่อนจะโค้งคำนับต่อหน้าผู้ชมนับร้อย จากนั้นคอละครเวทีก็ทยอยกันนำช่อดอกไม้ไปมอบให้กับนักแสดงที่ตนเองชื่นชอบ ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ในขณะที่ช่างภาพทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพที่อยู่ในที่นั้นต่างก็รัวชัตเตอร์แข่งกันจนแสงแฟลชสว่างไสวแปลบปลาบไปทั่วบริเวณ



แต่ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั้นกลับมีบางสิ่งหยุดนิ่ง...



ร.ต.อ.เก่งกาจมองตามสายตาของคันธชาติที่กำลังจ้องมองไปยังเก้าอี้แถวหน้าเยื้องไปทางขวาใกล้กับทางเดิน หญิงสาวผู้หนึ่งยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่กับที่ ทั้ง ๆ ที่ผู้ชมจำนวนมากต่างก็กรูกันลงไปยังหน้าเวทีในขณะที่อีกหลายคนเริ่มทยอยกันเดินออกจากโรงละคร


“แกคงไม่ได้แค่จะชวนฉันมาดูละครเวทีใช่ไหม” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางเลื่อนสายตากลับมาสบกันนิ่ง


“แกว่าแปลกไหม ทั้งที่เป็นพ่อลูกกันแต่กลับมานั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้ แทนที่จะขึ้นไปแสดงความยินดีกับพ่อกับพี่ชาย ตอนที่พบกันที่โรงพยาบาลนั่นก็ด้วย”


“เธออาจจะไม่อยากแสดงตัวก็ได้ เป็นแค่ลูกนอกกฎหมาย แม่ก็เสียไปหลายปีแล้ว พ่อยอมรับหรือเปล่าก็ไม่รู้ อีกอย่างนะ ขืนเข้าไปยุ่มย่ามพี่ชายอีกสองคนอาจจะไม่ชอบใจนักก็ได้ มันเรื่องของครอบครัวเขาแกจะสงสัยอะไรนักหนาวะ กลับเถอะ” พูดจบก็รั้งแขนของเพื่อนให้ลุกขึ้นก่อนจะพากันเดินออกไปที่ด้านนอกซึ่งก็ดูจะชุลมุนวุ่นวายไม่ต่างอะไรกับภายในโรงละครเลย นั่นเป็นเพราะผู้ชมที่ทยอยกันออกมาต่างหยุดรอเพื่อจะถ่ายภาพกับนักแสดงและฉากที่จำลองมาจากเวทีใหญ่



“ท่านผู้ชมที่จะไปยังลานจอดรถด้านหลังสามารถใช้ประตูด้านข้างได้นะคะ” ประกาศจากเมกะโฟนดังแทรกเสียงจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ พลันประตูด้านข้างโถงหน้าโรงละครก็ถูกเปิดออกโดยพนักงานรักษาความปลอดภัย คันธชาติไม่รอช้าเดินตามผู้ชมจำนวนหนึ่งออกไปโดยไม่ฟังคำห้ามปรามของคนที่มาด้วยกัน เมื่อหลุดออกมานอกตัวอาคารชายหนุ่มก็มองซ้ายมองขวาหาอะไรบางอย่าง


“ออกมาทางนี้ทำไมวะ เราจอดรถไว้ด้านหน้านะ” เก่งกาจกล่าวทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนมีจุดประสงค์อะไร


“ตรงไหนวะกาจ”


“ตรงไหนอะไรของแก”


“ก็ตรงที่กิ่งตกลงมาไง”


เก่งกาจสบตานิ่งก่อนจะเบนหน้าไปยังตึกสูง 5 ชั้นที่ตั้งตระหง่านดำทมึนอยู่ท่ามกลางความมืด “ด้านหลังตึกโรงละครร้างนั่น"


“โรงละครร้าง?”


“อือ ตอนที่สอบปากคำคุณอัศนัยลูกชายคนเล็กของเสี่ยอนันต์น่ะ เขาบอกว่ามันเป็นโรงละครร้างที่เตรียมจะทุบทิ้งเพื่อจะทำเป็นศูนย์การค้า”


“ศูนย์การค้า? แล้วนาฏยกาลล่ะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน ก็อาจจะเปิดคู่กันไปหรือปิดตัวถ้าดูแลไม่ไหว”


“ทั้งที่กิจการกำลังไปได้ดีเนี่ยนะ”


“โอ๊ย! ฉันจะรู้กับเขาไหม”


“แล้วทำไมแกไม่ถามวะ”


“ฉันก็ถาม แต่ถามเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับคดีโว้ย”


คันธชาติใช้ปลายนิ้วถูที่คางอย่างใช้ความคิด พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างเพรียวบางของใครคนหนึ่ง แผนการบางอย่างจึงเริ่มต้นขึ้น


“อะ...อ้าว เฮ้ย! แล้วนั่นแกจะไปไหนวะ” เก่งกาจร้องเมื่อเห็นเพื่อนรักเดินไปอีกทาง


“ตามมาเถอะน่า” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางรีบสาวเท้าให้ทันคนที่กำลังเดินหายไปด้านหลังตึก



เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ตามหลังมาทำให้หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทึมต้องชะงัก เมื่อเธอเหลียวกลับมามองก็ร่างสูงใหญ่ก็ถาโถมเข้ามาปะทะเสียแล้ว อารตีมองชายหนุ่มที่ละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษ ท่าทางรีบร้อนของเขาทำให้เธอไม่คิดจะเอาความ


“จะ..เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”


“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ต้องขอโทษคุณด้วยที่หยุดกระทันหัน”


ยังไม่ทันที่หนุ่มแปลกหน้าจะตอบ เสียงของคนที่วิ่งตามมาก็แทรกขึ้นเสียก่อน


“ไอ้บุ้ง! แกจะไปไหนวะ ระ..รถเรา...” เก่งกาจจ้องหน้าเพื่อสลับกับหน้าสวยที่ยืนข้างกัน จำได้ว่าเธอคือหญิงสาวคนเดียวกับที่พบในโรงละคร ลูกสาวที่เกิดกับภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของเสี่ยอนันต์ จึงได้แต่ทำปากพะงาบ ๆ กลืนข้อความที่เหลือลงคอ


“รถเราจอดอยู่โน่นไง” เจ้าของชื่อชิงตัดบท


“เออ! เดินเร็วจังวะ รีบไปตามคนที่ไหน” น้นคำว่า ‘คน’ เสียจนคนฟังค้อนขวับ


“จะรีบกลับไปดูบอล ก็เลยเดินชนคุณผู้หญิงคนนี้เข้า” พูดจบก็หันไปขอโทษขอโพยอีกครั้ง


“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยังกล่าวคำเดิม รอยยิ้มงดงามทำให้เก่งกาจรู้ว่าเธอไม่ได้เอะใจกับเหตุการณ์ที่เพื่อนของเขาสร้างขึ้นเลยสักนิด


“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”


เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูชอบกล


“อาจารย์ รตีคิดว่าอาจารย์กลับไปแล้วเสียอีกค่ะ”


“ผมเห็นคุณยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วก็เลยเดินมาดู” อาจารย์หนุ่มกล่าวก่อนจะหันมาสบตาสองหนุ่มที่ตอนนี้ถอยกรูดไปเกาะกันเป็นกระจุกอยู่ที่มุมตึก ธันวาค้อมศีรษะให้เก่งกาจก่อนจะเบนสายตามายังอีกคนที่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


“ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่นะครับผู้กอง”


“อะ...เอ้อ ครับ” คนถูกทักยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ไอ้ตัวต้นเรื่องที่ชวนมาที่นี่


“คุณด้วย คุณบุ้ง”


“นี่รู้จักกันหมดเลยเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้างงก่อนจะหลุดขำออกมา “โลกกลมจังเลยนะคะ”


“ครับ” คันธชาติที่ตอนนี้เหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอตอบเพียงสั้น ๆ


“กลมจนน่าสงสัยนะครับ ว่ามันกลมเองหรือมีใครพยายามทำให้มันกลมกันแน่” รอยยิ้มเย็น ๆ ของธันวาเล่นเอาคนที่เคยพูดเก่งถึงกับเสียวสันหลังวาบ


“อาจารย์หมายความว่ายังไงคะ รตีไม่เห็นจะเข้าใจเลย”


“นั่นสิครับ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมพวกอาจารย์ต้องพูดอะไรให้เข้าใจยากด้วย เนอะไอ้กาจเนอะ”


‘ไอ้เวรบุ้ง!’ นายตำรวจหนุ่มได้แต่ยิ้มแก้เก้อ


“ถ้าอย่างนั้นรตีกลับก่อนนะคะอาจารย์ กลับก่อนนะคะผู้กอง กลับก่อนนะคะคุณ....”


“เรียกบุ้งก็ได้ครับ”


“ค่ะ คุณบุ้ง” พูดจบเธอก็เดินข้ามฝั่งไปยังลานจอดรถ ทิ้งให้ชายหนุ่มสามคนยังคงยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ตรงนั้น


ธันวาถอนใจเบา ๆ ละสายตาจากร่างของนักศึกษาในความดูแลหันกลับมากล่าวกับคนที่ยืนมองตากันปริบ ๆ “จะรีบกลับไปดูบอลไม่ใช่เหรอ กลับพร้อมผมก็ได้นะ”


“นี่อยู่คอนโดเดียวกันเหรอครับ” เก่งกาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ ในขณะที่ธันวาเองก็ตอบพาซื่อ


ส่วนคนถูกถามที่ยังไม่ทันจะตั้งสติคิดหาคำตอบกลับโดนมือหนาตบผัวะเข้าที่บ่าจนเซไปข้างหน้า


“ไปสิไอ้บุ้ง”


“อะ...อะไรวะ” คันธชาติเกาะหัวแกรก


“ไม่ได้ยินที่ด็อกเตอร์เขาพูดเหรอ ทางเดียวกันไปด้วยกัน รีบไปดูบอลไม่ใช่เหรอแกน่ะ”


“แต่ฉันมากับแกนะ”


“เฮ่ย ฉันต้องรีบไปเข้าเวร”


“ไหนแกบอกวันนี้ว่าง”


“ว่างที่ไหนล่ะ เมื่อกี้นายโทร.ตามให้ไปเข้าเวรแล้วเนี่ย”


“แต่ฉันยังไม่ได้ยินเสียงทะ..โทร...”


“คุยนานไม่ได้แล้วว่ะ ใกล้เวลาเข้าเวรแล้ว” เก่งกาจทำหน้าขึงขังพลางมองนาฬิกาข้อมือ “ยังไงผมฝากเพื่อนด้วยนะครับด็อกเตอร์”


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนคันธชาติถึงกับอ้าปากหวอ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนหมัดตรงของเพื่อนรักเข้าไปเต็มเปา ความมึนงงคลายลงเมื่อร่างกำยำค่อย ๆ ห่างออกไป เสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีที่ดังแว่วอยู่ไกล ๆ ทำให้ชายหนุ่มเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘ชิ่ง’ เข้าทำนองตัดช่องน้อยแต่พอตัวล่ำ ๆ ไม่ผิดแน่


“ไปเถอะ” น้ำเสียงเย็นเยือกเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง 


“ผมว่าผมไม่รบกวนคุณดีกว่า” เจ้าของรอยยิ้มแห้ง ๆ กล่าวก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ก็ถูกคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ


“รบกวนอะไร ทางเดียวกันไปด้วยกันน่ะถูกแล้ว ประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ ช่วยโลกนะคุณ”


แม้ธันวากล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ แต่ฟังแล้วให้รู้สึกคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก คันธชาติมุ่นคิ้วพลางสะบัดมือออกก่อนจะก้าวฉับ ๆ ไปยังแลนด์โรเวอร์คันงามที่จอดอยู่ไม่ไกลอย่างรู้งาน


ทันทีที่รถเคลื่อนพ้นอาณาบริเวณของโรงละครนาฏยกาล เจ้าของรถจึงเปิดฉากถามในประเด็นที่ค้างคาใจ “คุณคิดจะทำอะไรของคุณ”


คนที่กำลังทอดมองแสงไฟนอกหน้าต่างดึงสายตากลับมามองเงาสะท้อนของร่างสูงในกระจก ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ดวงตามุ่งมั่นคู่นั้นก็ยังคงมองไปข้าง เดาไม่ออกเลยว่าเขาต้องการอะไรจากคำถามเมื่อสักครู่ แต่กระนั้นคันธชาติก็ยังฝืนทำเฉไฉ


“ไม่รู้ว่ารถจะติดไหมนะ” พูดจบก็เอื้อมมือเปิดเครื่องเสียงติดรถยนต์ก่อนกดจะเลื่อนหาคลื่นไปเรื่อยเปื่อย


“ทำแบบนี้ทำไม คุณต้องการอะไรกันแน่” นิ้วหนากดปิดเครื่องเสียงฉับพลันทันใด


“ฟัง จส.100 สิคุณจะได้รู้ว่าการจราจรเป็นยังไงบ้าง กว่าจะถึงคอนโดอีกตั้งไกล” พูดจบก็กดเปิดเครื่องเสียงอีกครั้ง


“นี่ เลิกทำเฉไฉได้แล้ว” ธันวากดปิดอีกครั้งก่อนจะรีบคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาสองคู่สบกันเพียงเสี้ยววินาทีพลันผละจากกันไปพร้อมกับมือที่ค่อย ๆ คลายออก


“ทั้งเรื่องที่คุณสะกดรอยตามอารตี ทั้งเรื่องที่คุณย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโด เรื่องที่คุณกับผู้กองเก่งกาจเป็นเพื่อนของกิ่งดาว แล้วก็เรื่องที่คุณตามไปดูผมที่มหาวิทยาลัย คุณต้องการอะไรกันแน่”


“ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ” คันธชาติตอบเพียงสั้น ๆ เสมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง


สองคนนั่งเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งถึงคอนโด ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้อง ธันวาก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณไม่ยอมบอก ผมก็จะตามสืบให้รู้จนได้”


“คุณอย่ามายุ่งกับเรื่องของผมดีกว่า เพราะผมจะไม่ยุ่งเรื่องของคุณอีก” พูดจบคันธชาติก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทิ้งให้ชายหนุ่มห้องตรงข้ามได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ


ในที่สุดธันวาก็พบว่าทุกอย่างเป็นจริงตามที่คันธชาติพูดเอาไว้ เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย กระทั่งมีข่าวลือแปลก ๆ เกิดขึ้นในคอนโด


สองพี่น้องฝาแฝดที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนยืนเกาะแขนกันจ้องมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ ลดลงจนมาหยุดอยู่ที่ชั้นล่างสุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่ ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกหนุ่มน้อยทั้งสองก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง


“ว่ายังไงเด็ก ๆ” คันธชาติร้องขึ้นพร้อมกับบีบลงเบา ๆ ที่ไหล่เล็กของเด็กชายทั้งสองคน


“โธ่!!!! น้าบุ้ง ปิงตกใจหมดเลย” น้องชายบ่นอุบ


“อะไรกันแค่นี้ทำขวัญอ่อนไปได้ ปกติสองลิงไม่เคยกลัวใครนี่นา” คุณน้าหน้าหล่อหัวเราะพลางดันหลังสองคนให้เดินเข้าไปในลิฟต์ สองพี่น้องยึดเอามุมหนึ่งเป็นที่พึ่งยังคงเกาะแขนกันแน่นพยายามยืนให้หลังชิดผนังมากที่สุดจนคันธชาติอดสงสัยไม่ได้


“เป็นอะไรกัน วันนี้ท่าทางแปลก ๆ”


ปิงและน่านมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่คนพี่จะตอบคำถาม “น้าบุ้งไม่ได้ยินที่เขาลือกันเหรอครับ เรื่องผะ...ผู้หญิงผมยาวที่ชั้นเรา”


“หืม? น้าบิวตี้นะเหรอ คนสวย ๆ ที่อยู่ห้องทางปีกขวาใช่ไหม”


“ที่เราสองคนเห็นน่ะไม่ใช่ครับ เพราะถ้าเป็นน้าบิวตี้น่านกับปิงก็ต้องจำได้ ตะ...แต่นี่ไม่ใช่”


“อาจจะเป็นคนย้ายมาใหม่ก็ได้มั้ง”


“แต่แม่บอกว่าไม่มีใครย้ายมาใหม่นะครับน้าบุ้ง”


“ครั้งแรกปิงเห็นเขาที่หน้าประตูบันไดหนีไฟ ส่วนเมื่อวันก่อนเห็นแถว ๆ ห้องน้าบุ้งกับน้าธัน แล้วอยู่ ๆ เขาก็หายไป” คนน้องเสริม
“แล้วเห็นหรือเปล่าว่าเขาใช้คีย์การ์ดเปิดประตู หรือว่า...” คันธชาติกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เดินทะลุเข้าไป”


“น้าบุ้ง อย่าพูดอย่างนี้สิครับ เราสองคนยิ่งกลัวอยู่”


สองพี่น้องต่างมองหน้ากันหวาด ๆ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ก็พากันพุ่งพรวดโกยแนบแบบไม่คิดชีวิตไปยังห้องของตนเองโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลยสักนิด ร่างสูงที่เดินตามออกมากดยิ้มที่มุมปากมองท่าทางตลก ๆ ของเด็กแฝดก่อนจะเดินตรงไปที่ห้อง


“กลัวอะไรกัน ผีไม่มีจริงสักหน่อย”



ตั้งแต่ข่าววิญญาณของหญิงสาวที่มักจะมาปรากฏตัวให้เห็นแพร่สะพัดออกไป เด็ก ๆ และคนที่เชื่อในเรื่องลี้ลับต่างก็พากันไม่กล้าออกจากห้อง บรรดาแม่บ้านต้องจูงมือกันมาทำความสะอาดในแต่ละชั้น ซึ่งธันวาก็เป็นคนหนึ่งที่ดูจะไม่เชื่อเรื่องนี้สักเท่าไร เขายังคงใช้ชีวิตตามปกติในขณะที่หลายคนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง ร่างสูงปิดประตูห้องก่อนจะเดินไปยังลิฟต์ ยังไม่ทันกดประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียก่อน พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวกับกางเกงขากระบอกสีครีม ผมยาวสยายรับกับดวงหน้า องค์ประกอบบนใบหน้าดูเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมใต้แนวคิ้วเข้มเรียงเส้นสวย จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากสีเรื่อ เธอดูจะตกใจเล็กน้อย ดังนั้นธันวาจึงเบี่ยงตัวเพื่อหลีกทางให้หญิงสาวเดินออกมาก่อน ระยะห่างเพียงไม่มากทำให้แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้าเธอคนนี้มาก่อน ชายหนุ่มก้าวเข้าไปแทนที่พลางมองแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปทุกที รอจนเห็นว่าเธอกำลังเลี้ยวไปตามทางที่จะไปตามที่เขาเดินมาจึงกดปิดประตู


ธันวาเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ ลดลงพลางในหัวยังคงนึกถึงหญิงสาวแปลกหน้าที่พบกันเมื่อครู่ “ห้องตรงนั้นมันก็มีแค่ห้องเรากับห้องตรงข้ามนี่นา แล้วเขาจะไปไหน หรือว่าไปผิดทาง” ชายหนุ่มเกาศีรษะก่อนจะสลัดความคิดทิ้งไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งที่ชั้นล่างสุด ใช้เวลาเพียงไม่นานเปิดล็อกเกอร์หยิบเอกสาร เมื่อกลับขึ้นมายังชั้นที่เขาอยู่ก็พยายามกวาดตามองหาหญิงสาวคนเดิมแต่ก็ไม่พบ ห้องทุกห้องยังคงปิดเงียบ


ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องตั้งใจจะชงกาแฟแต่จานใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างอ่างล้างจานก็ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด ร่างสูงคว้าจานใบนั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไปกดกริ่งห้องตรงข้าม รออยู่นานประตูก็ไม่เปิดออกสักทีทั้งทีในเวลาแบบนี้เจ้าของห้องน่าจะอยู่ ธันวากดกริ่งซ้ำยืนรออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าคงไม่มีคนอยู่จริง ๆ จึงเดินกลับเข้าห้อง ไม่รู้เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองตนเองผ่านช่องตาแมวแต่ก็เลือกที่จะไม่เปิดประตูออกมาตามคำที่ได้พูดเอาไว้ว่าจะไม่ยุ่งด้วยอีก

....




(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 25-12-2014 13:48:07
(ต่อค่ะ)


หลายวันแล้วที่ธันวายังคงกดกริ่งหน้าห้องตรงข้ามซ้ำ ๆ แต่เจ้าของห้องก็ไม่เปิดประตูออกมา ไม่แม้แต่จะบังเอิญเดินสวนกันในคอนโดหรือเจอกันที่หน้าลิฟต์อย่างที่เคยเป็น กลับพบแต่ผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนและมาหาใครที่นี่  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาถอนใจเฮือกจ้องมองจานเปล่าที่ตั้งใจจะเอาไปคืนเจ้าของ ทุกครั้งที่ไปกดกริ่งหน้าห้องเจ้าของห้องก็ไม่เปิดประตูออกมา ทั้งที่บางวันมองจากลานจอดรถก็เห็นว่าไฟในห้องเปิดอยู่


“นี่คุณจะเอาแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม”


ริมฝีปากหยักพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องอารมณ์เสียกับเรื่องแค่นี้ ทั้งที่สามารถจะคืนของให้ได้โดยผ่านคนกลางแต่ก็กลับเลือกที่จะรอคืนให้เจ้าของกับมือ แบบนี้ยังจะมานั่งหัวเสียทำไม รู้สึกว่าพักนี้ในหัวมีแต่เรื่องให้คิด ไหนจะเรื่องของวิญญาณหญิงสาวผมยาวยังคงเป็นที่โจษจันของคนในคอนโดนั่นอีก ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือเป็นเรื่องที่ใครกุข่าวขึ้นมาสร้างความปั่นป่วนกันแน่ ในที่สุดก็เป็นเขาเองที่อดรนทนไม่ไหวต้องหาทางไขข้อข้องใจนี้


“คุณแน่ใจเหรอว่าจะเจอเธอ” ร.ต.อ.เก่งกาจถามพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ 


“ผมค่อนข้างมั่นใจนะครับ เพราะผมมักจะเดินสวนกับเธอที่หน้าลิฟต์ในเวลานี้ แล้วทุกครั้งเธอก็มักจะเดินมาทางห้องที่ผมอยู่” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางเดินนำนายตำรวจหนุ่มไปที่ห้องของตนเอง “ฝั่งซ้ายคือห้องของผม ส่วนฝั่งขวานั่นคือห้องของเพื่อนคุณ ถัดไปก็ไม่มีห้องใครนอกจากห้องเก็บของของแม่บ้าน”


“อืม...ไม่คิดว่าเธอจะเดินผิดทางบ้างเลยเหรอ” พูดจบเก่งกาจก็ย่อตัวลงเก็บอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น


“ผิดทุกครั้งเลยนะครับ”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปมองประตูห้องเพื่อนของตนเองที่ยังคงปิดสนิท “แล้วนี่คุณเจอไอ้ตัวดีบ้างหรือเปล่า”


“ไม่ครับ ตั้งแต่วันที่พบพวกคุณที่โรงละคร ผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย”


เก่งกาจพยักหน้าก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงมองดูเศษผมที่อยู่ในมือพลางกดยิ้มที่มุมปาก อันที่จริงมันเป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่เหมือนเส้นผมเอามาก ๆ ความยาวเกินศอกนั่นทำให้คาดเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่ผมของหนุ่มโสดสองคนที่ประตูห้องอยู่ตรงข้ามกัน


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณอาจจะได้เจอ” พุดยังไม่ทันขาดคำร่างสูงของคนที่กำลังพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น นายตำรวจหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูงกอดอกมองคนที่กำลังถือของพะรุงพะรังในมือ เมื่อเห็นทั้งเพื่อนและชายหนุ่มห้องตรงข้ามอยู่กันพร้อมหน้ากันก็ชะงักเล็กน้อยก่อนที่ขายาวจะก้าวต่อจนมาหยุดที่หน้าห้อง


“มาได้ไงวะ”


“ด็อกเตอร์เขาตามฉันมาให้ช่วยจับขโมยน่ะ เป็นผู้หญิง สวยเสียด้วยแกเคยเห็นบ้างหรือเปล่าวะ”


“ไม่นี่” คันธชาติกล่าวก่อนจะแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู ไม่มี ทีท่าจะสนใจเพื่อนบ้านห้องตรงข้ามเลยสักนิด 


“ผมคิดว่าวันนี้เราคงไม่เจอเธอแล้วละครับ เอาไว้วันหลังก็ได้ เชิญผู้กองคุยกับเพื่อนตามสบายนะครับ” ธันวาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังกลายเป็นส่วนเกิน


“เดี๋ยวสิครับด็อกเตอร์ เข้ามาข้างในก่อน ไม่แน่นะเราอาจจะเจอเบาะแสอะไรในนี้ก็ได้” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางเหล่ตามมองเจ้าของห้องที่ยังคงวางหน้านิ่ง


“ชวนเขายังกับเป็นห้องแกเองเลยนะ”


“เออ ห้องแกก็เหมือนห้องฉันนั่นแหละ”


ธันวาเดินตามสองหนุ่มเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตามคำเชิญของเก่งกาจ เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นปกติไม่เห็นจะมีเบาะแสอะไรอย่างที่อีกฝ่ายว่า ที่ไม่ปกติก็คงจะเป็นเจ้าของที่ห้องไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ พอเข้ามาก็หอบข้าวของที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเก็บในครัว ในขณะที่เก่งกาจยังคงเดินสำรวจไปรอบ ๆ เปิดประตูระเบียง เดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้เพราะเพิ่งเคยได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ผู้กองร่างบึกหยุดนิ่งอยู่ที่ชั้นวางหนังสือก่อนจะคว้ากรอบรูปเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาพลางยิ้มให้ เสียงปึงปังที่ดังมาจากในครัวทำให้รู้ว่าเจ้าของห้องจงใจก่อกวนแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นสนทนานัก


“อย่าไปใส่ใจมันเลยครับ ไอ้บุ้งมันก็กวนประสาทแบบนี้แหละ จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอก” นายตำรวจหนุ่มกล่าวกับคนที่กำลังมองไปทางโซนทำครัว


ธันวาดึงสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กดตาลงมองกรอบรูปที่เขากำลังดูอยู่ “คุณสามคนเป็นเพื่อนกัน?”


“ครับ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม” เก่งกาจตอบในขณะที่ดวงตายังคงจ้องมองหนุ่มสาวในภาพ “แต่กิ่งกับไอ้บุ้งน่ะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะว่าพ่อเป็นเพื่อนกันแถมบ้านก็ยังอยู่ใกล้กันอีก” ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาอีกครั้งและก่อนที่จะไม่สามารถควบคุมอะไรได้แม้กระทั่งน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจวางกรอบรูปลงบนโต๊ะตรงหน้าหยุดความคิดเอาไว้แต่เพียงแค่นั้น


“ขอโทษนะครับที่ถามนอกเรื่อง”


“ไม่เป็นไรครับ จริง ๆ แล้วมันก็สมควรที่คุณจะอยากรู้อยู่หรอก จู่ ๆ คนรอบตัวก็เกี่ยวโยงกันไปหมดแบบนี้”


ธันวาพยักหน้า ตั้งใจจะถามคำถามคำถามที่ค้างคาใจแต่ก็โดนขัดจังหวะโดยเจ้าของห้อง


“บ้านช่องไม่มีกลับกันหรือไง” คันธชาติบ่นพลางเดินงุ่นง่านมาหยิบซองใส่เอกสารก่อนจะเดินไปนั่งแหมะที่โต๊ะทำงาน


“อ้าวไอ้นี่” พูดจบก็หันไปมองคนท่าทางมีพิรุธ “แล้วนั่นแกซ่อนอะไรไว้”


“เปล๊า!” คันธชาติขึ้นเสียงสูงก่อนจะเท้าแขนลงกับโต๊ะทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เก่งกาจคลายความสงสัยลงได้


ชายหนุ่มร่างกำยำลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินอาด ๆ ไปลากคอไปลากคอผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน ร่างบางของคันธชาติถูกเหวี่ยงกระแทกลงกับโซฟาต่อหน้าต่อตาธันวาที่มองอย่างเป็นห่วง


“อะไรวะเนี่ยไอ้กาจ เจ็บนะโว้ย” คนเจ็บยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับท้ายทอยตัวเอง ส่วนมือที่เหลืออีกข้างยังคงกำซองเอกสารแน่น แต่เพราะไม่ทันระวังตัวสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญจึงถูกแย่งไปอย่างง่ายดาย “เฮ้ย! ไอ้กาจ เอาคืนมา” คันธชาติโวยวายพลางเอื้อมมือแย่งซองเอกสารคืนแต่อีกฝ่ายอาศัยความไวลุกหนีไปเสียก่อน


“ข้างในนี้มันมีอะไรวะแกถึงหวงนักหวงหนา” พูดจบก็เปิดซองเทสิ่งที่อยู่ข้างในลงกับโต๊ะ


ธันวามุ่นคิ้วทันทีเมื่อพบว่าสิ่งที่ถูกเทออกมามีทั้งวิกผมและภาพข่าวที่ถูกตัดจากหนังสือพิมพ์ “นี่มันอะไรกันครับ” คำถามนั้นลอดผ่านริมฝีปากอิ่มอย่างแผ่วเบาขณะดูภาพข่าวที่พอจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างแต่ก็นานเสียจนแทบจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้ คับคล้ายคับคลาว่ามันจะเป็นข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของ ‘อัศวิน’ ลูกชายคนโตทายาทนักธุรกิจสายบันเทิงชื่อดัง และการล้มป่วยลงของอนันต์ นาฏยกาล รวมถึงการปรับนโยบายใหม่ของโรงละครนาฏยกาลซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา


“แกจะอธิบายเรื่องพวกนี้ว่ายังไง” เก่งกาจหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งปิดปากเงียบอย่างคาดโทษ ในที่สุดผู้กองหนุ่มก็เริ่มเปิดฉากสอบสวนตามสัญชาติญาณตำรวจที่เห็นความชอบมาพากลไม่ได้


 “เรื่องอะไรวะ” คันธชาติแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจก่อนจะเบนหน้าหนีสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยสองคู่กำลังจ้องมายังตนเอง ทั้งที่หลักฐานก็แผ่หลาอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน


“ยังจะถามอีกว่าเรื่องอะไร”


“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่หว่า”


“ได้” เก่งกาจถอนใจพลางลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าเพื่อนรัก “ก็เรื่องที่แกปลอมตัวเป็นผู้หญิงทำให้คนทั้งคอนโดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผี ไหนจะภาพข่าวพวกนี้อีก ฉันว่าคนที่พูดไม่หมดน่ะคือแกต่างหาก”


ผู้ต้องหาถอนใจเฮือกเมื่อรู้ว่าที่สุดแล้วตนเองก็จนมุม ชายหนุ่มเอื้อมมือรวบสิ่งของทั้งหมดใส่คืนลงในซองเอกสารก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเหมือนเดิมโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใด ๆ


“ถึงเวลาที่แกต้องพูดความจริงแล้วไอ้บุ้ง”


“ความจริง? นี่มันเรื่องอะไรเหรอครับผมงงไปหมดแล้ว”


“ไอ้บุ้งมันสงสัยในการเสียชีวิตของกิ่ง ดังนั้นมันจึงเริ่มสืบจากคนที่น่าจะมีความใกล้ชิดกับกิ่งมากที่สุด นั่นก็คือคุณ”


“ผม?” ธันวาชี้ที่ตัวเอง ไม่คิดว่าก่อนว่าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งที่ไม่รู้ตัว “นี่คุณคิดว่าผมฆ่ากิ่งดาวอย่างนั้นเหรอ”


“ผมขอโทษ” คันธชาติกล่าวเสียงอ่อย “แต่ถ้าคุณเป็นผมคุณก็ต้องทำแบบนี้”


“คงไม่มีใครทำอะไรบ้า ๆ แบบแกแล้วละว่ะ” นายตำรวจหนุ่มไหวหน้าเบา ๆ


“ก็ไม่แน่นะ” คนจนมุมหัวเราะขื่น ๆ “แกจำวันที่ฉันพาแม่กิ่งไปเก็บของกิ่งที่หอพักได้ไหม หลังจากงานศพกิ่งน่ะ วันนั้นคนดูแลหอเอาโทรศัพท์ที่กิ่งทำตกไว้ในลิฟต์มาให้ฉัน พอเปิดเครื่องก็เจอข้อความที่ค้างส่ง กิ่งจะส่งข้อความนั่นให้ฉันหลังจากวางสายจาก ดร.ธันวา แต่แบตคงหมดไปเสียก่อน”


“แล้วยังไง มันข้อความอะไรกันถึงทำให้แกสงสัยเรื่องนี้”


“เลขสิบสอง”


“แค่เลขสิบสองเนี่ยนะ”


“ใช่”


“แกก็เลยเดาว่าเป็น ดร.ธันวา” เก่งกาจอยากจะหัวเราะการตีความแบบเด็ก ๆ แต่ก็เกรงใจเจ้าของชื่อ


“แล้วแกว่ามันบังเอิญไหมล่ะ คนสุดท้ายที่กิ่งโทร.หาก็คือเขา ทั้งชื่อ ทั้งเลขห้องของเขา เลขที่คอนโด เลขชั้น ทั้งทะเบียนรถ หรือแม้แต่วันเกิดของเขามันเกี่ยวข้องกับเลขสิบสองทั้งนั้น”


ธันวาช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้า จริงอย่างว่า ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาล้วนเกี่ยวข้องกับเลขสิบสอง แต่อย่าปรักปรำสิถ้าไม่รู้จริง “วันนั้นกิ่งดาวโทร.มาคุยกับผมตามปกติ เราคุยกันได้ไม่นานเพราะผมกำลังจะขึ้นเครื่องไปต่างจังหวัด”


“แล้วภาพข่าวกับวิกผมนี่แกจะอธิบายยังไง”


“ภาพข่าวนั่นฉันเจอในหนังสือหลายเล่มที่กิ่งชอบอ่าน ไม่รู้เหมือนกันว่ากิ่งเก็บมันไว้ทำไม ส่วนวิกผมนี่...” คนยอมจำนนเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป “ซื้อมาใส่เล่น ๆ”




‘ยังไม่วายมีอารมณ์ขัน’ ธันวาส่ายหน้าน้อย ๆ



“ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีกไอ้นี่ แกคิดจะปลอมตัวเข้าไปในโรงละครนั่นใช่ไหม เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่เล่าให้ฉันฟัง”


“ฉันบอกแกแล้วแต่แกไม่เชื่อ ก็จะเข้าไปหาหลักฐานมายืนยันให้แกเชื่อนี่ไงว่าการตายของกิ่งไม่ใช่อุบัติเหตุ คนที่กลัวความสูงยังกับอะไรจะขึ้นไปบนนั้นทำไม ถึงจะบอกว่าไปหาที่เงียบ ๆ อ่านบทละครก็เถอะ ที่อื่นก็มีถมไป”


“มีอะไรอีกไหมที่แกยังไม่ได้บอกฉัน”


“กิ่งเคยพูดถึงใครคนหนึ่งให้ฉันฟัง แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ท่าทางจะเป็นคนสำคัญมาก กิ่งถึง....” คันธชาติหยุดไว้เพียงแค่นั้นเป็นอันเข้าใจระหว่างเพื่อนสนิทสองคน “แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่เราควรจะพบในห้องของกิ่งแต่กลับไม่มี ไดอารี่ที่กิ่งมักจะพกติดตัว มันหายไป”


นายตำรวจหนุ่มถอนใจหนัก ถ้ามันคือคดีฆาตกรรมจริง ๆ และคันธชาติที่เข้าไปพัวพันกับมันโดยลำพังเป็นอะไรไป เขาคงรู้สึกผิดมากที่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขาเองไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูด


‘ฉันขอห้ามแกไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจจัดการ’ เป็นคำพูดที่เก่งกาจทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะกลับ



...


หลังจากส่งเก่งกาจที่หน้าลิฟต์คันธชาติและธันวาก็เดินกลับมาที่ห้อง ต่างคนต่างเงียบมาตลอดทางจนน่าอึดอัด ดังนั้นก่อนที่จะแยกกันคนรู้ที่ตัวว่าทำผิดจึงกล่าวขอโทษอีกครั้ง


“ผมขอโทษนะ”


หนุ่มมาดนิ่งหันมาสบตาโดยไม่ได้พูดอะไร นั่นเป็นเพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะรู้สึกยังไงกันแน่


“ด่าผมก็ได้นะ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น”


ธันวายังคงนิ่งเงียบ...


“ยอมให้ต่อยเลยก็ได้เอ้า!”


ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง...


คันธชาติกอดอกมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เดาไม่ออกจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกัน อยากจะโวยวายแต่เพราะรู้ตัวว่าผิดจึงต้องสงบปากสงบคำ


“น้องธัน น้องบุ้ง อยู่พอดีเลย”


“มีอะไรเหรอครับพี่แก้ว”


ท่าทางปกติของธันวาที่ปฏิบัติกับหญิงสาวที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหายิ่งทำให้คันธชาติหงุดหงิดเป็นทวีคูณ พูดด้วยตั้งนานก็ไม่ยอมพูด แต่พอคนอื่นพูดด้วยกลับพูดจาเสียดิบดี


“คือพี่จะรบกวนน้องธันกับน้องบุ้งหน่อยจ้ะ พอดีพี่จะตัดชุดซานตาคลอสเป็นของขวัญคริสต์มาสให้คุณครูที่สอนพิเศษของตาปิงกับตาน่าน เลยจะขอให้สองคนช่วยเป็นแบบวัดตัวให้หน่อยจ้ะ” เก็จแก้วกล่าว


“แล้วต้องห้พวกผมทำยังไงบ้างครับ” ธันวากล่าวพลางสบตาคนหน้าตึงที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน


“เราเข้าไปในห้องกันก่อนไหมจ๊ะน้องธันน้องบุ้ง”


“ห้องผมเหรอครับ” กล่าวพลางควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋ากาางเกง


“ห้องใครก็ได้จ้ะ พี่เตรียมอุปกรณ์มาแล้ว” พูดจบเก็จแก้วก็ชูสมุดฉีกกับสายวัดพร้อมกับยิ้มหวาน


“ห้องคุณก็แล้วกัน ผมทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างในห้องคุณ”


“หือ?” คันธชาติหลับตาพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจ รู้สึกเหมือนวันนี้ห้องจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มกลอกตาขึ้นข้างบนพร้อมกับถอนใจยาว แตะคีย์เปิดประตูก่อนจะหลีกทางให้เจ้าของตัวจริงเข้าไปในห้อง


หญิงสาวเดินไปนั่งลงที่โซฟามองชายหนุ่มที่ตัวเกือบจะเท่ากันซ้ายทีขวาที “อืม...น้องบุ้งน่าจะตัวเล็กไป พี่ว่าเขาน่าจะตัวพอ ๆ กับน้องธันนี่แหละ เผื่อไว้หน่อยหลวมดีกว่าใส่ไม่ได้” เก็จแก้วลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นสายวัดให้คันธชาติ


“อะ..อะไรเหรอครับพี่แก้ว”


“จะรบกวนให้น้องบุ้งช่วยวัดตัวน้องธันให้พี่หน่อยจ้ะ น้องธันตัวใหญ่แขนพี่สั้นวัดไม่ถึง”


สองหนุ่มสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะเสมองกันไปคนละทาง


“เริ่มจากช่วงบ่าก่อนนะจ๊ะ”


คันธชาติรับสายวัดมาถือไว้ในมือก่อนจะเดินอ้อมไปที่ด้านหลัง จรดปลายสายวัดที่บ่าหัวไหล่ก่อนจะลากยาวไปตามแนวบ่าจนไปสุดที่หัวไหล่อีกข้าง รอกระทั่งหญิงสาวจดตัวเลขที่วัดได้เรียบร้อยแล้วจึงปล่อยมือ


“ต่อไปเป็นวงแขนแล้วก็ความยาวแขนจ๊ะ”



“ทีนี้ก็เป็นความยาวรอบคอก็แล้วกัน น้องบุ้งมายืนตรงนี้จ้ะ” เก็จแก้วกล่าวก่อนจะประคองเอวหนุ่มร่างบางให้ยืนในตำแหน่งที่ต้องการ ผลก็คือตอนนี้สองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่


“น้องบุ้งคล้องสายวัดกับคอน้องธันเลยจ้ะ”


เมื่อสิ้นคำสั่งสองหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย และสุดท้ายก็เป็นคนขี้อายอย่างธันวาที่ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา เมื่อคนตรงหน้าเอื้อมคล้องสายวัดเย็นเฉียบเข้ากับต้นคอของตัวเอง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดอยู่ข้างแก้มทำเอาหน้าร้อนผ่าวไปหมด


“ทีนี้ก็รอบอกจ้ะ”


คันธชาติกลั้นหายใจขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะสอดแขนทั้งสองเข้าที่ข้างลำตัวของคนร่างหนาที่กำลังเบือนหน้าหนี เมื่อคว้าสายวัดได้ก็รีบรั้งพันรอบอกกว้างของอีกฝ่ายทันที


“ดีมากจ้ะ ทีนี้รอบเอวบ้าง”


สายวัดถูกคลายออกก่อนจะเลื่อนลงมาที่รอบเอวตามคำสั่ง 


“ต่อไปเป็นส่วนของกางเกงแล้ว”


“หือ?” ธันวาหันขวับมองหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการจดบางสิ่งลงในกระดาษก่อนเลื่อนสายตามายังอีกคนที่มีอาการไม่ต่างจากตนเองหลังจากได้ฟังประโยคเมื่อสักครู่


“เอ่อ...ผมว่าอันนี้พี่แก้วน่าจะวัดถนัดแล้วมั้งครับ” คันธชาติกล่าวก่อนจะยื่นสายวัดพลาสติกคืนให้


“อ้อจ้ะ เดี๋ยวพี่วัดเอง” หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะรับสายวัดมาจัดการวัดส่วนที่เหลือจนไม่ทันได้สังเกตชายหนุ่มสองคนที่ต่างก็พากันถอนใจอย่างโล่งอก


หลังจากส่งเก็จแก้วกลับไปแล้วคันธชาติก็เดินกลับเข้ามาในห้อง


“คุณเจอกระเป๋าสตางค์หรือยัง”


“ฮะ?”


“กระเป๋าสตางค์ไง วางไว้ตรงไหนเจอหรือยัง”


“อะ...อ๋อ เจอ เจอแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะ” พูดจบธันวาก็ทำท่าจะเปิดประตูออกจากห้องแต่ก็ต้องชะงักเมื่อประตูถูกดึงเอาไว้


“สรุปว่าหายโกรธหรือยัง” เจ้าของคำถามสบตานิ่งรอฟังคำตอบ


“ผมบอกสักคำหรือยังว่าโกรธ” คนถูกถามกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง 


“เออว่ะ” เมื่อประตูปิดลงคันธชาติก็หมุนตัวกลับยืนพิงประตูเกาหัวด้วยความงุนงง นี่เขาจะพยายามถามไปเพื่ออะไรหากสุดท้ายคำตอบที่ได้รับจะเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง ไม่รู้ที่เลยว่าที่อีกฝั่งของประตูก็มีอีกคนกำลังยืนยิ้มพร้อมกับตบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน


มันไม่ได้ถูกลืมไว้ในห้องแต่มันอยู่ในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลาต่างหาก.... 




....


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ




หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 25-12-2014 16:20:56
ตอนที่กำลังอ่าน
แล้วอยู่ ๆ ก็คิดว่าน้องบุ้งใส่วิกแหง๋ ๆ
นี่นั่งขำกิ๊ก ~.~
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 25-12-2014 17:44:09
ใส่วิกเพราะตามสืบ หรือเพราะหลบหน้าธันคะ หุหุ :hao3:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-12-2014 17:46:47
บุ้ง...เป็นอะไรมากกว่าที่คุณคิด
วันดีคืนดีก็แต่งหญิงซะงั้น สวยจนอ.ธันจำไม่ได้เชียว
เงื่อนงำของครอบครัวนั้นก็เยอะเกิ๊น
จะสงสัยลูกชายหรือลูกสาวล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 25-12-2014 18:06:39
โอ้โห ถึงขนาดลงทุนแต่งหญิงเลยเชียว
ระบุสถานะจากตอนนี้เลยละกัน ยังๆยังไม่เลิกบ้า ฮ่าๆๆๆ
บุ้งมุ้งมิ้งกว่าที่คิดไว้เยอะนะเนี่ย มีง้งมีง้อ
แล้วไอ้ซีนเขินอายระหว่างวัดตัวนี่มันอะไรยังไง
ไปเอาโมเม้นต์พวกนี้มาจากไหนคะ คุณด็อกเตอร์คุณนายน้อย
คุณเก็จแก้วน่าจะทำมึนให้วัดกางเกงด้วย
เป็นผู้ชายด้วยกันแท้ๆไม่รู้จะอายอะไรกัน  :hao7:

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 25-12-2014 19:32:51
บุ้งเอ้ย ลงทุนจริงๆนะลูก ขนาดแต่งหญิง ใส่วิกผมกันเลยทีเดียว
ทำเอาคนในคอนโดหลอนกันเลย
ชอบภาษาของคนเขียนจัง แต่งได้ลื่นไหล น่าติดตามตลอดจริง
อยากบอกว่า มันส์มาก
อยากรู้ความจริงแล้วอ่า แบบว่าคนนั้นก็น่าสงสัย คนนี้ก็น่าสงสัย
โอ๊ย สนุกมาก
แล้วมาต่ออีกนะคะ
ปล.Merry Christmas นะคะ :mc3: :mc2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 25-12-2014 20:44:54
บุ้งงงงงงง หลบไม่พ้น จำนนด้วยหลักฐาน
ทำเอาคนที่คอนโดขวัญผวา

ดร.ธันวาชักแม่งๆ แล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 25-12-2014 21:51:37
แหมๆ น่าจะให้น้องบุ้งวัดเป้า เอ๊ย วัดขนาดกางเกง ดร.ธันวาซะหน่อย
รอติดตามตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 25-12-2014 22:21:39
อุ๊ย  สนุกมากค่ะ ตอนนี้กำลังสงสัยไปหมดว่าใครเป็นยังไง

เดาออกแค่บุ้งแต่งสาว  ตอนแรกนึกว่าเรึ่องนี้จะมีผีเสียอีก แต่พอสาวน้อยในลิฟท์แสดงอาการก้เลยอ๋า....

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 25-12-2014 23:54:31
นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ เลยค่ะ !!

 :-[

ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก
มันน่าจับมาตีก้น 5555555

ตอนนี้ต้องขอบคุณผู้กองเก่งกาจจริงๆ ที่ต้อนเพื่อนสนิทจนมุม
ตอนนี้มุ้งมิ้งนะคะ นายน้อยนี่ถึงกับลงทุนแต่งหญิงแล้วยังสวยจนดร.ธันวาจำไม่ได้ แอร๊ยยย

ก็นึกอยู่ว่าคนกลัวผีอย่างตัวบุ้ง (เรายังจำตอนหลอนเด็กแฝดได้นะ 555)
ได้ยินข่าวลือเรื่องผีผู้หญิงแล้วทำไมยังเฉยอยู่ได้ โหยย นี่เล่นคนเค้ากลัวกันทั้งคอนโด
ตอนนี้เราเลิฟผู้กองเก่งกาจมากเลยนะ *ชูป้ายไฟ*

แล้วแบบนี้สามหนุ่มเค้าจะมาช่วยกันสืบคดีด้วยไหมนะ?
ไหนๆ ก็ได้เบาะแสที่ตัวบุ้งไปหามา ไหนๆ ดร.ธันวาก็รู้แล้วว่าจุดประสงค์ของตัวบุ้งคืออะไร
ถ้าช่วยกัน อาจจะรู้สาเหตุการตายของกิ่งดาวเร็วขึ้นก็ได้ ลุ้นๆๆ >_<

แล้วก็อีกอย่าง.. นอกจากผู้กองแล้วอยากขอบคุณพี่แก้วมากเลยค่ะ 5555
ขอบคุณที่มาวัดตัวตัดเสื้อนะคะ ไม่รู้อ่ะ เป็นฉากที่มุ้งมิ้งมาก ทำไมเขินก็ไม่รู้ค่ะ
แต่เป็นเขินปนฮานะ มันแบบ แอร๊ยยยยย  :-[

ชอบตอนที่ออกจากห้องมาแล้วต่างคนต่างยิ้มมากมาย เป็นอะไรที่อ่านแล้วก๊าวใจ
ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นอีกแย้ววววววววววววว >__<

รอตอนหน้าา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-12-2014 05:33:12
แต่งหญิงเลยเหรอคะบุ้ง55
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 26-12-2014 11:16:50
เราอ่านมาตั้งแต่แรกๆเราคิดว่าบุ้งเหมือนเมะมาก
พออ่านมาถึงตอนนี้แล้วเอิ่มผิดคาดอ่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 5 : ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด) 25-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-01-2015 23:01:00
มาแนวสืบสวนแต่ก็ยังคงความอบอุ่นไว้เหมือนเดิม
ชอบๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-01-2015 05:03:42
สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปนานเลย ช่วงนี้งานเยอะจริง ๆ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ

ก่อนอื่นขอทบทวนความเดิมตอนที่แล้วกันหน่อยนะคะ

ตอนที่แล้วธันวาสงสัยในตัวบุ้งก็เลยสืบหาความจริงว่าเป็นใครกันแน่

บุ้งตามอารตีไปดูละครแล้วก็สร้างสถานการณ์ให้ได้รู้จักกัน ด้วยบุคลิกขี้เล่นของบุ้งเวลาพูดหรือทำอะไรก็ดูเล่น ๆ ไปหมด

พอโดนคาดคั้นเข้าก็เลยทำหัวเสีย หายหน้าหายตาไปจากคอนโด จากนั้นก็มีข่าวลือเรื่องวิญญาณผู้หญิง ธันวาก็เลยไปขอให้เก่งกาจช่วยสืบ

สองคนก็เลยรู้ว่าเป็นฝีมือบุ้ง แถมยังไปพบหลักฐานเป็นข่าวเก่าที่ถูกตัดจากหนังสือพิมพ์ซึ่งบุ้งบอกว่าได้จากห้องของกิ่งดาวอีก

ก็เลยทำให้เก่งกาจที่เคยไม่เชื่อคำพูดของบุ้งสนใจที่จะหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้



....


ตอนที่ 6 คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย




บางครั้งก็นึกอยากหยุดทุกสิ่งแล้วอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเองเพื่อคิดอะไรเงียบ ๆ บ้าง แต่สำหรับคันธชาติแล้วคงไม่ใช่กับวันนี้....และในตอนที่เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่สามเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ส่วนครั้งแรก...ก็ตอนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ นั่นแหละ หัวคิ้วขมวดมุ่นพร้อมกับลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนออกจากปลายจมูก ตัดสินใจผุดลุกขึ้นก่อนจะก้าวฉับ ๆ เอื้อมมือกระชากเปิดประตูกล่าวอย่างหัวเสีย 


“อะไรอีกเนี่ยไอ้เด็กพวกนี้”


แต่เมื่อได้เห็นเต็มตาว่าครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือเด็ก ๆ หากแต่เป็นผู้ใหญ่ห้องตรงข้าม จากที่คิดจะบ่นให้ยาว ๆ ก็กลายเป็ต้องสงบปากสงบคำ สงวนท่าทีเอาไว้แทน


"ค...คุณ... มีอะไรหรือเปล่า"


"ผมมีเรื่องข้องใจอยากถามน่ะ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม"


เจ้าของห้องพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ปิดประตูและหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปหยุดที่โซฟาก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญ


"คุณมีอะไรก็ว่ามา"  คันธชาติกล่าวขณะอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ จ้องมองผู้มาเยือนอย่างเคลือบแคลงสงสัย


"คุณรู้หรือเปล่าว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานที่นาฏยกาลได้ยังไง"


"เรื่องนี้ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องถาม คุณเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กันไม่ใช่เหรอ"


ธันวาสบตานิ่ง จริงอย่างว่า ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาที่ควรจะรู้เรื่องของนักศึกษามากที่สุดแต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จริง ๆ ว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานในโรงละครแห่งนั้นได้อย่างไร เพราะหากเขารู้แล้วละก็คงจะไม่ปล่อยให้เธอไปพบกับเหตุการณ์แสนเศร้าเช่นนี้อย่างแน่นอน


"เธอไม่เคยเล่าผมให้ฟัง" ความรู้สึกผิดถูกดึงขึ้นจากซอกลึกของหัวใจอีกครั้ง ดวงตากดต่ำจ้องมองมือทั้งสองของตนเองที่ประสานกันอยู่ตรงหน้า "ตอนที่รู้ว่านาฏยกาลรับเธอเข้าทำงานผมเองยังแปลกใจ ถึงจะบอกว่านโยบายนั่นไม่ครอบคลุมไปถึงคนทำงานเบื้องหลังก็เถอะ แต่เท่าที่รู้มานาฏยกาลก็มีแต่สาวประเภทสองทั้งนั้น อีกอย่างกฎนี้ก็เข้มงวดเอามาก ๆ เสียด้วย นักศึกษาของผมหลายคนเคยไปที่นั่นแล้วก็ต้องผิดหวังกลับมา ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่เธอสนิทที่สุดเธออาจจะบอกคุณ"


ประโยคท้ายของธันวาเล่นเอาจุก คันธชาติหัวเราะขื่นก่อนจะตอบตามจริง "กิ่งก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเหมือนกัน แต่คุณคิดว่ายังไงกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเข้าไปทำงานในโรงละครที่บรรดาหนุ่มสาวต่างก็ขนานนามมันว่าเป็นโรงละครต้องห้ามได้น่ะ"


คนฟังวางหน้านิ่งแต่ในหัวกลับมีแต่ความสับสนวุ่นวายเมื่อพยายามคิดตาม หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันเลื่อนสายตาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า เห็นมุมปากได้รูปที่ยกขึ้นน้อย ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่


“คุณหมายความว่ายังไง”


“การเป็นนักแสดงที่ดีน่ะคือการทำให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ ไม่ใช่หรือไง”


"คุณกำลังจะบอกว่าเธอทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นสาวประเภทสองอย่างนั้นน่ะเหรอ"


"ก็ไม่เชิง แต่ผมจะยังไม่เชื่อแบบนั้นจนกว่าจะได้ถามคนคนหนึ่งเสียก่อน"


"ใคร?" ปากถามในขณะที่ดวงตาก็ไม่ได้ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ มันยากจะคาดเดาและดูไม่เป็นชายหนุ่มที่ดูไม่มีสาระที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้เลยสักนิด



....



โทรศัพท์มือถือแผดเสียงดังลั่นห้องปลุกให้คนกำลังหลับสะดุ้งตื่น แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถเปิดเปลือกตาแสนหนักอึ้งได้ตามใจคิด ร่างปราศจากอาภรณ์ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นควานหาโทรศัพท์แต่เมื่อคว้าได้จะกดรับก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มถอนใจพลางทิ้งมันลงข้างตัวก่อนจะขยับลุกขึ้นพิงหัวเตียง สลัดศีรษะที่ปวดตุบ ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนจะรวบรวมกำลังปรือตาขึ้น ทันทีที่สามารถปรับให้ชินต่อแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านม่านผืนบางได้ก็เริ่มวาดมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา นึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่แล้วความยวบไหวทำให้ต้องดึงสายตากลับมาที่ปลายเตียงไล่มาตามผืนผ้าห่มที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเจ้าของแผ่นหลังเปลือยเปล่า


ชายหนุ่มจรดปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมยาวสลวยที่ปิดหน้าปิดตาคนกำลังอยู่ในห้วงนิทรา คิดจะแตะริมฝีปากลงบนผิวแก้มสีชมพูระเรื่อแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มเมื่อสักครู่ไม่ต่างอะไรจากละอองน้ำบนยอดหญ้าที่ถูกแสงแดดแผดเผาจนระเหยแห้งไปย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแตะหน้าจอเพื่อรับสายก่อนจะกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ   


“สวัสดีครับ” เงี่ยหูฟังเสียงเอ็ดตะโลที่ดังลอดออกมาแล้วพูดต่อ “นี่เอะอะโวยวายอะไรกันแต่เช้า”


“อุ้ย! ไม่เช้าแล้วนะคะคุณอัศนัย”


“เมื่อกี้คุณพุฒิพงศ์ว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดช่วยบอกให้พวกนั้นเงียบเสียงหน่อยได้ไหม”


ปลายสายถอนใจเฮือก ไม่ใช่ไม่ทำ แต่พร่ำบอกจนปากจะฉีกแล้วต่างหาก แต่ก็ไม่มีใครฟัง


“เอ่อ...พอดีสาว ๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับการแสดงตอนค่ำอยู่นะค่ะ” พูดยังไม่ทันจบเสียงวี้ดว้ายด่าทอกันเรื่องชุดที่จะใส่สำหรับทำการแสดงก็ดังขึ้นอีกระลอก ในที่สุดก็เป็นพุฒิพงศ์ที่ต้องปลีกตัวออกมาหาที่สงบ ๆ พูดคุยให้เป็นกิจจะลักษณะ


“เมื่อกี้พุดดิ้งบอกว่านี่บ่ายแล้วนะคะ คุณอัศนัยจะเข้ามาตรวจแบบชุดละครไหมคะหรือเราจะนัดกันที่ไหนดี”


“เดี๋ยวผมเข้าไปดูเองดีกว่าครับ คุณรอผมหน่อยก็แล้วกัน”


“สำหรับคุณเล็ก เอ๊ย! คุณอัศนัย พุดดิ้งรอได้อยู่แล้วค่ะ แหม...ลูกค้านิสัยดีน่ารักแบบนี้ นานแค่ไหนก็รอได้ค่ะ”


“พอเถอะครับ ๆ นี่ผมจะลอยอยู่แล้วนะ” คนพูดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดวางสายในที่สุด จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินผ่านประตูไปยังห้องแต่งตัวซึ่งมีห้องน้ำอยู่ด้านใน ชายหนุ่มมองสำรวจตัวเองจากเงาสะท้อนในกระจก สังเกตว่าที่ลำคอและแผงอกเต็มไปด้วยร่องรอยสีกลีบกุหลาบสัญลักษณ์ของความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชวนให้นึกถึงเมื่อภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนสุดแสนเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านมา


แต่แทนที่ ‘คุณเล็ก’ หรือที่ในวงการธุรกิจบันเทิงรู้จักกันในนาม ‘อัศนัย นาฏยะ’ จะเป็นกังวล เขากลับผิวปากอารมณ์ดีในขณะที่เรียวนิ้วแตะครีมสีขาวในกระปุกก่อนจะป้ายเข้ากับสันกรามไล่ลงมายังปลายคางก่อนจะขึ้นไปเหนือริมฝีปากบางที่เริ่มจะมีขนแข็งเส้นเล็กโผล่ขึ้นมาให้ดูน่ารำคาญ จากนั้นจึงหยิบมีดโกนหนวดแบบพับบรรจงปาดเนื้อครีมออกจนใบหน้าเกลี้ยงเกลา เมื่อทอดมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้งพลันรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าที่ใคร ๆ ต่างก็ชมนักชมหนาว่าหล่อเหลางดงาม เป็นใบหน้าที่ทั้งสาวแท้สาวเทียมต่างก็พากันหลงใหล


เสียงน้ำจากฟักบัวเงียบลงครู่หนึ่ง อัศนัยที่พันท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวก็เปิดประตูออกมา ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือหญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอหันมายิ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามา ดวงตาคู่สวยจ้องประสานก่อนเลื่อนต่ำลงมายังลำคอตั้งตรง ไลงลงมายังช่วงบ่ากว้างกระทั่งแผงอกที่พราวไปด้วยหยดน้ำ หญิงสาวนึกกระหยิ่ม นั่นเพราะร่องรอยสีแดงจาง ๆ ทั้งหมดที่ปรากฏให้เห็นล้วนเกิดจากฝีมือของเธอทั้งสิ้น


“อันขอโทษนะคะที่....” พูดพลางใช้ปลายนิ้วเรียวจรดลงบนผิวขาวละเอียดเหนือราวนม แกล้งลากเล่นให้อีกฝ่ายจั๊กกะจี้
อัศนัยคว้าข้อมือเล็กที่กำลังจะทำให้เขาคลั่งอีกครั้ง ออกแรงรั้งเพียงเบา ๆ  คนตรงหน้าก็โผเข้าหา มือหนาเชยคางให้หน้าสวยเชิดขึ้นให้สบตากัน แม้นึกอยากจะเริ่มบทรักอีกครั้งแต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ชายหนุ่มกดจูบเบา ๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง


“ผมรู้ว่าคุณตั้งใจ แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ตั้งใจจะยั่วผมใช่ไหม”


“แล้วถ้าอันบอกใช่ล่ะคะ คุณจะว่ายังไง”


ชายหนุ่มหัวเราะหึก่อนจะตอบ “บ่ายนี้ผมมีนัดดูแบบชุดกับคุณพุฒิพงศ์เสียแล้วสิ คุณเองก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการแสดงคืนนี้ไม่ใช่เหรอ จะติดรถผมไปเลยไหม”


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นรีบตอบ “ไม่เอาหรอกค่ะ ขืนอันโผล่ไปที่นั่นพร้อมคุณ พวกนั้นได้ฉีกอกอันแย่”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี จะได้ไม่เสียของ” พูดจบก็สอดมือเข้าไปในเสื้อคุมอาบน้ำตะบบทรวงอกอวบก่อนจะออกแรงเค้นคลึงเบา ๆ จนหญิงสาวเผลอส่งเสียงที่เป็นดั่งเชื้อเพลิงเติมให้ไฟปรารถนาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง



ที่อีกฝั่งหนึ่ง...

เมื่อวางสายจากเจ้านาย พุฒิพงศ์หรือเจ๊พุดดิ้งเจ้าของห้องเสื้อพุทธรักษาก็เดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวภายในโรงละครที่ยังคงวุ่นวายเพราะบรรดาสาว ๆ ประเภทสองต่างก็กำลังเตรียมตัวสำหรับการแสดงละครเวลทีที่จะเริ่มทำการแสดงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทั้งกลิ่นเครื่องสำอางและน้ำหอมคละคลุ้งทั่วห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกยาวตลอดแนว ส่วนอีกฝั่งก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่แขวนเรียงรายจนแน่นราว


“นี่มันจะบ่ายสองแล้วนะแก นังอันมันยังไม่มาเตรียมตัวอีกเหรอ” คนหนึ่งกล่าวขณะปัดแก้มสีชมพูแจ่ม ผมตีพองมีจอนม้วนอ่อนช้อยทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าละครเวทีที่จะทำการแสดงในวันนี้ต้องเป็นเรื่องราวในยุคมิตร-เพชรา ไม่ผิดแน่


“นั่นน่ะสิ พี่อันหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ซ้อมเสร็จ นิกโทร.ไปก็ไม่รับ ร...หรือว่า...” อีกคนที่กำลังนั่งทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกกล่าวพลางเหลือบมองเพื่อน ๆ ที่พร้อมใจกันจ้องมองมายังตนเองเป็นตาเดียว 


“หรือว่าอะไรยะนังนิกกี้” ร่างสูงที่ท่อนล่างสวมกางเกงเลสีเข้มคาดเอวด้วยผ้าขาวม้าตาห่างกล่าวขึ้นก่อนจะค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อแขนยาว เห็นเนินอกภายใต้การห่อหุ้มของบราเซียที่ดูไม่ค่อยจะรับกับขนาดที่ใหญ่โต พริบตาเดียวเมื่อเสื้อสีมอที่ใส่คลุมทับตอนแต่งหน้าและบราเซียตัวจิ๋วถูกดึงลงไปกองอยู่กับพื้น ดอกบัวตูมที่ปลายกลีบเป็นสีชมพูระเรื่อก็เด้งผึงออกมาอวดสายตาคนมอง แต่นี่ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัวของโรงละครแห่งนี้


หลายคนยังคงตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองจนแทบจะไม่ได้สนใจคนอื่น เจ้าของอกสวยใช้มือทั้งสองข้างขยับทรงให้เข้าที่จากนั้นจึงใช้ผ้าแถบพันรัดเพื่อเก็บซ่อนเนินอกเพราะวันนี้เธอจะต้องรับบทเป็นพระเอกของเรื่อง นั่นก็เพรารูปร่างสูงใหญ่ที่ดูโดดเด่นว่าเพื่อน


“หรือว่าพี่อันจะไปกับผู้ชาย นิกว่าต้องใช่แน่ ๆ เลย”


“พวกแกนี่มันยังไงกันนะ ทะเลาะกันเรื่องชุด แต่สามัคคีกันเม้าเรื่องชาวบ้าน” พุฒิพงศ์กล่าวขณะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้หน้ากระจกเท้าคางมองสาว ๆ อย่างหมั่นไส้ “แต่จะว่าไป เจ๊ไม่เห็นนังอันมันจะคบกับใครสักคน ทำตัวยังกับอยู่บนหอคอยงาช้าง”


“เจ๊พุดดิ้ง เจ๊เป็นฟรีแลนซ์เจ๊จะไปรู้อะไร นังอันมันอาจจะซุ่มก็ได้นะเจ๊ เข้าทำนองเห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดเรียบนะยะไงเจ๊ เห็นสวย ๆ เงียบ ๆ น่ะ ร้ายลึกจะตาย” คนที่เพิ่งติดขนตาเสร็จหันมาพูดจีบปากจีบคอ


“อุ๊ยตาย! นังนี่เม้านะยะ”


“พูดเรื่องจริงย่ะ”


“ทำพูดมากไป ที่แกพูดถึงน่ะตัวทำเงินของนาฏยกาลนะยะ”


“ทำเงินแล้วยังไง ถ้าทำตัวไม่ดีก็ไม่มีใครเอาหรอกย่ะ”


“นังเหมียว แกแต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหม ฉันว่าแกเลิกพูดมากแล้วมารัดนมให้ฉันดีกว่าย่ะ” สาวทรงโตกล่าวจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับยื่นผ้าแถบให้


“นังจีจี้ แกพูดอย่างเดียวก็พอไม่ต้องเอานมมาชี้หน้าฉัน” พูดจบก็คว้าผ้าจากมือเพื่อนก่อนจะออกคำสั่งให้อีกฝ่ายกางแขนออก จากนั้นจึงพันผ้ารัดหน้าอกให้


“นี่ถ้ารู้ว่าจะได้แต่บทผู้ชายฉันไม่ทำนมมาให้เป็นภาระหรอก ไม่รู้คุณเล็กเธอคิดยังไงถึงโละนโยบายเดิมทิ้งหมด ไม่รับชะนีเข้าทำงานยังพอว่า เล่นไม่รับหนุ่ม ๆ ด้วย กะเทยอย่างฉันเลยต้องลำบาก ทำนมมายังไม่ได้แต่งหญิงในละครกับเขาเลย นี่ก็นานแล้วนะที่ผู้ชายยังไม่ตกถึงท้องสักคน”


“ก็เพราะมีกะเทยโหยอย่างแกไงนังจีจี้ คุณเล็กเขาถึงรับแต่กะเทยเข้ามาทำงาน เพราะยังไงพวกแกก็ไม่กินกันเองอยู่แล้ว” พุฒิพงศ์ถอนใจก่อนจะเดินไปช่วยกะเทยทรงโตจัดการกับหน้าอกหน้าใจที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของผ้าแถบผืนน้อยง่าย ๆ


“ก็ไม่แน่นะเจ๊ หน้ามืดตามัวขึ้นมาก็ฟาดเรียบเหมือนกันนะคะ จะว่าไปเจ๊นี่ก็น่ารักเหมือนกันเนอะ” จีจี้กล่าวพลางสบตาคนร่างอวบเจ้าของทรงผมหยิกฟูตรงหน้า


“นังจีจี้! แกไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลยนะ”


“ดูดู๊! ทำตาเขียว จี้ไม่กินกินเนื้อสัตว์ค่ะเจ๊” พูดพลางก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มของคนตัวเตี้ยกว่าไปพลาง “หนังเหนียวเคี้ยวยาก อย่างจีจี้ต้องกินยอดหญ้าอ่อน ๆ เท่านั้น”


“ตามวิถีกระเทยควาย”


“ใช่! ถุย! กะเทยคงกะเทยควายอะไรยะนังเหมียว”


“แคทย่ะ เรียกให้มันถูก ๆ” เจ้าของจอนมหาเสน่ห์ค้อนขวับ


“อย่างฉันน่ะ เขาเรียกว่ากะเทยซูเปอร์โมเดลย่ะ”


“ย่ะ นังกะเทยแคทวอล์ก ว่าแต่หญ้าอ่อน ๆ ที่ว่าน่ะ แกหาได้แล้วเหรอ ทำมาเม้า”


คนถูกถามกลอกตาขึ้นพร้อมกับยักไหล่ “ก็ใกล้ ๆ นี่แหละ หล่อ สูง ขาว กัดลงไปคงกรุบกรอบน่าดู”


“ใครยะ”


“ก็ทายาทธุรกิจบันเทิงชื่อดังไงแก”


“คุณอัศนัยน่ะเหรอ”


“ต๊ายยยยยย ฉลาดนะยะนังแคท” พูดพลางใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากคนที่ความสูงระดับคางจนอีกฝ่ายหน้าหงาย


“แต่เจ๊ได้ข่าวว่าเขามีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเพชรด้วยนี่นา”


“อุ๊ยเจ๊! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ค่ะ นั่นมันเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันเอาไว้ตั้งแต่เธอยังเด็ก ๆ อีกอย่างก็ยังไม่ได้มีพิธงพิธีอะไรนี่คะ แต่ถึงจะมีก็เถอะ ตราบใดที่เขายังไม่ได้เสียเป็นเมียผัวกัน จีจี้ก็ยังมีสิทธิ์ค่ะ”


พุฒิพงศ์แปะปากขณะติดเข็มกลัดตัวสุดท้ายลงบนผ้าแถบรัดหน้าอก “ย่ะ ถ้าแกคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะนังจีจี้ นังกระเทยรถถัง”


จีจี้ยังไม่ทันได้เถียงกลับอัญชลิสาก็ปรากฏตัวขึ้น หน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางส่วนผมเผ้าก็ถูกเกล้าขึ้นจัดเป็นทรงสวยงามพร้อมสำหรับการขึ้นเวที จะเหลือก็แต่เสื้อผ้าเท่านั้นที่ยังคงเป็นชุดปกติ การมาของเธอทำให้ทั้งห้องแต่งตัวเงียบกริบ บางคนถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงในความงามของดาวเด่นแห่งนาฏยกาลผู้นี้ ร่างบางเดินมานั่งลงที่หน้ากระจก เชิดหน้าสำรวจตัวเองก่อนจะหยิบบรัชออนในกระเป๋าแบรนด์เนมขึ้นมาปัดทั้งสองแก้ม


“ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะยะแม่นางเอก” น้ำเสียงประชดประชันดังแว่วมาไกล ๆ แต่นั่นก็ได้ทำให้เจ้าของตำแหน่งรู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด อัญชลิสายังคงนั่งปัดแก้มอย่างสบายอารมณ์ราวกับเสียงนั้นเป็นแค่แมลงหวี่แมลงวันที่บินผ่าน


“พี่อันไปไหนมาคะ นิกกี้โทร.หาก็ไม่รับ”


คนถูกถามเก็บบรัชออนลงในกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นหมุนตัวเดินไปคว้าชุดที่แขวนเตรียมไว้สำหรับตัวละครหลักของเรื่อง “ไปธุระมาน่ะ” พูดก็ปลดกระดุมเสื้อออกเผยให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียดและทรวดทรงที่ไม่ต่างไปจากผู้หญิงแท้ ๆ


“ท่าทางจะเป็นธุระที่ต้องทำกันสองคนสินะ ถึงได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แบบนี้” แคทกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งไขว่ห้างรอฟังคำชี้แจงของอีกฝ่ายที่เก้าอี้หน้ากระจก คำพูดของเธอเล่นเอาเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พากันหันมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว
อัญชลิสาฟังเฉย ๆ พลางเหลือบมองช่วงบ่าของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยช้ำเล็ก ๆ ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างไม่ยี่หระก่อนจะขยับไหล่เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เสื้อเข้าที่ ติดกระดุมแล้วหันมาตรวจดุความเรียบร้อยของตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้าจากเงาสะท้อนในกระจกจากนั้นก็เดินออกจากห้องแต่ตัวไป


“ดูดู๊! เจ๊ดูมันสิ ขึ้นมาเป็นนางเอกได้ไม่นานทำเป็นจองหอง” จีจี้กล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่พุฒิพงศ์เองก็ได้แต่มองตามร่างอ้อนแอ้นที่เพิ่งเดินนวยนาดออกไป



....



ที่ห้องทำงานอัศนัย หนุ่มทายาทธุรกิจบันเทิงวัย 35 ปีกำลังกวาดตามองกระดาษร่างภาพชุดที่จะใช้ในละครเวทีเรื่องต่อไปซึ่งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ไม่นานเขาก็หยิบแบบชุด 3-4 แบบที่เห็นว่าน่าสนใจขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะดูมันอย่างพิจารณาทีละรายละเอียดซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น


“เชิญครับ” เขากล่าว


เมื่อประตูเปิดออกสาวเทียมร่างอวบก็เอ่ยทักทายเสียงอ่อนเสียงหวาน เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญแต่ก็ไม่วายลอบมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองไม่กี่ปีตาเป็นมัน


อัศนัย นาฏยะ ถือว่าเป็นนักธุรกิจไฟแรงที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารแบบก้าวกระโดด เพราะเสี่ยอนันต์ผู้เป็นพ่อเกิดล้มป่วยกะทันหัน หลายคนจึงพาพูดว่าเขากินบุญเก่าของผู้เป็นพ่อ แต่ตลอดระยะเวลาที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดของโรงละครนาฏยกาลเขาก็สามารถพิสูจน์ให้ใคร ๆ เห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้มาไม่ใช่โชคช่วยหรือเพราะบารมีของบุพการีแต่อย่างใด นั่นทำให้อัศนัยเป็นที่จับตามองของบรรดานักธุรกิจด้วยกันรวมไปถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่ปรารถนาจะมีความมั่นคงในชีวิต 


“คุณพุฒิพงศ์มาก็ดีแล้ว นี่ผมกำลังเลือกชุดที่จะใช้ในละครเวทีเรื่องต่อไปอยู่พอดีเลย” กล่าวจบก็ดึงแบบที่ไม่ได้เลือกวางบนโต๊ะแล้วจึงส่งแบบที่เหลือให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ผมเลือกสามชุดนี้ก็แล้วกัน คิดว่าน่าจะเข้ากับเนื้อเรื่องที่มีความเป็นสมัยใหม่ แต่อยากให้ปรับแก้เรื่องสีหน่อย อยากจะให้มันฉูดฉาดกว่านี้อีกนิด”


“ได้ค่ะ ถ้ายังไงพุดดิ้งแก้เรียบร้อยแล้วจะเอาเข้ามาให้คุณอัศนัยดูอีกครั้งนะคะ”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ สายตาเหลือบไปเห็นเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หลังจากจบเรื่องนี้แล้วนาฏยกาลคงจะพักยาวเพื่อเตรียมละครเวทีเรื่องใหม่ในช่วงกลางปี ยังไงคงต้องรบกวนคุณอีก”


“ช่วงกลางปี...ก็อีกไม่กี่เดือนเองนะคะ แหม...ท่าทางปีนี้นาฏยกาลก็มีละครให้ดูเยอะเลยนะคะ”


“อืม จริง ๆ มันเป็นงานที่ถูกแทรกเข้ามาน่ะ พอดีปีนี้เป็นปีที่คุณพ่ออายุครบห้าสิบเก้าปีแล้วก็เป็นปีที่นาฏยกาลดำเนินกิจการมาเป็นปีที่สิบเก้าก็เลยอยากจะทำอะไรพิเศษ ๆ หน่อย”


“แล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอคะ”


“น่าจะเป็นแฟนตาซี เพราะเรายังไม่เคยทำละครแนวนี้เลย ส่วนชื่อเรื่องทีมเขียนบทกำลังคิดอยู่ คิดว่าอีกไม่นานน่าจะได้”


“ว้าว!!! น่าตื่นเจ้นจังเลยค่ะ รับรองนะคะว่าพุดดิ้งจะช่วยคุณอัศนัยทำงานให้เต็มที่เลยค่ะ”


“มีเวลาอีกประมาณ 4-5 เดือน ยังไงคงต้องฝากคุณด้วยนะ” ผู้เป็นนายจ้างกล่าวทิ้งท้าย



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-01-2015 05:08:45
(ต่อนะคะ)


ร.ต.อ.เก่งกาจเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินเข้าทักทายอาจารย์หนุ่มหล่อที่กำลังยืนรออยู่ ถึงจะไม่ได้แต่งชุดนายตำรวจเต็มยศแต่ร่างบึกภายใต้เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวสวมทับด้วยเสื้อหนังสีเข้มก็ทำให้เข้าตกเป็นเป้าสายตาของบรรดานักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมา ดังนั้นชายหนุ่มหยิบแว่นกันแดดที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อนอกออกมาสวมพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ ตามสัญชาติญาณ จากนั้นสองคนก็เดินตามกันไปยังอาคารสำนักหอสมุดกลางซึ่งมีความสูงเจ็ดชั้นซึ่งอยู่ไปไกลจากบริเวณลานจอดรถ


“วันนี้เลยต้องรบกวนเวลาคุณเลย” เก่งกาจกล่าวขณะยืนอยู่ในลิฟต์


“ไม่เป็นหรอกครับ วันนี้ไม่ได้ยุ่งอะไร จะมีก็แค่เข้าประชุมแทนท่านคณบดีตั้งแต่เมื่อตอนเช้าเท่านั้นเอง” ธันวาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้าพลางลอบมองกิริยาท่าทางนิ่ง ๆ ดูสุขุมของอีกฝ่าย อดนึกชมอยู่ในใจไม่ได้ว่ามันช่างดูทรงภูมิและน่าเกรงขามเหมาะกับตำแหน่งและภาระหน้าที่ที่เขาได้รับเสียเหลือเกิน หากเทียบกับคนวัยใกล้ ๆ กันอย่างไอ้นายน้อยเจ้าสำราญแห่งฟาร์มชื่อดังของปากช่องแล้วถือว่าต่างกันลิบลับ รายนั้นนอกจากจะติดขี้เล่น ไม่มีสาระ แล้วยังใจร้อนอีกต่างหาก


“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ากิ่งดาวเข้าไปในนาฏยกาลด้วยวิธีการไหน นี่ก็แทบจะลืมไปเลยว่ายังมีอารตีอีกคนที่เกี่ยวข้องกับที่นั่น” ธันวากล่าว


“ครับ ก็หวังว่าเราจะได้อะไรจากการพูดคุยกับเธอในวันนี้บ้าง”


เมื่อเก่งกาจกล่าวจบ สัญญาณก็ดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกสู่บริเวณที่ใช้เป็นที่ศึกษาค้นขวาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ทั้งชั้นเงียบสงบและมีผู้คนอยู่บางตา
ธันวากวาดตามองหาคนที่เขานัดเอาไว้ มองผ่านชึ้นวางหนังสือจนในที่สุดสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชั้นหนังสือความสูงท่วมหัวทำให้มองไม่เห็นว่าเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับใครอยู่ คงจะเป็นเพื่อน ๆ ที่บังเอิญผ่านมาแถวนี่แน่ ๆ ธันวาเดินนำเก่งกาจไปยังที่ที่นักศึกษาในความดูแลของเขานั่งอยู่พลันร่างของคู่สนทนาของเธอก็ปรากฏชัดเจนขึ้น


“ผมว่าเราช้าไปนะ ไอ้หมา K9 นี่มันจมูกไวจริง ๆ”


อาจารย์หนุ่มหันไปพยักหน้าน้อย ๆ กับคนที่ยืนข้างกันก่อนจะเบนสายตาไปยังสองคนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส ไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเขาเคยเห็นความขี้เล่นเป็นกันเองของคนที่อารตีกำลังสนทนาด้วยมาก่อนแล้ว


ดูเหมือนว่าการมาของเขาทั้งสองคนจะทำให้การพูดคุยหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น คันธชาติที่รู้ว่ากำลังถูกมองเบนหน้าสบตาคนมาใหม่ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“แกมาทำอะไรทำอะไรที่นี่วะไอ้กาจ”


เจ้าของชื่อถอนใจหนักจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษอยากจะตอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน


‘ฉันต้องถามแกมากกว่าว่าแกมาทำอะไรที่นี่’ เก่งกาจคิดในใจ แต่พามากลับไวกว่า


“พวกผมต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”


“ผมก็มาคุยกับเพื่อนกิ่งไง ไม่เห็นจะแปลก” คันธชาติกล่าวก่อนจะแนะนำให้อารตีรู้จักกับเก่งกาจ


“คุยอะไรกันอยู่” อาจารย์หนุ่มเลิกสนใจมนุษย์ยียวนกวนประสาท หันไปถามเอากับนักศึกษาพลางนั่งลงอย่างถือวสาสะ ไม่วายช้อนตามองคันธชาติอย่างไม่ไว้ใจ


“กำลังคุยเรื่องพี่กิ่งค่ะ” หญิงสาวยิ้มบาง “สรุปว่าพี่บุ้งไม่ใช่คนที่อาจารย์ธันวาบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับรตีเรื่องพี่กิ่งหรอกเหรอคะ”


ได้ฟังดังนั้นคันธชาติก้ส่ายหน้าน้อย ๆ ยอมรับโดยดีว่าตนเองสวมรอยก่อนจะกล่าวคำขอโทษ แทนที่จะต่อว่าอารตีกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ


“บังเอิญจังเลยนะคะที่พี่บุ้งกับผู้กองเป็นเพื่อนพี่กิ่งแถมยังรู้จักกับอาจารย์ธันวาอีก”


“บังเอิญหรือเพราะมีใครตั้งใจให้มันเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” คนเป็นอาจารย์พูดจบก็หันไปเหล่มองตัวต้นเรื่องทั้งหมดที่ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


“นี่แสดงว่าเรื่องที่พี่บุ้งเดินชนรตีเมื่อวันที่ไปดูละครที่นาฏยกาลนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมคะ”


“พี่ขอโทษนะ” ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ชายหนุ่มเลือกที่จะตอบคำถามนั้นด้วยคำขอโทษ น้ำเสียงจิงจังทำให้คำขอโทษที่กล่าวออกมานั้นเป็นคำขอโทษที่ฟังดูจริงใจในความคิดของคนที่ได้ยิน 


หน้าสวยของอารตีก็ปรารศจากร่องรอยแห่งความเคียดเคือง เธอยังคงยิ้มสดใสในแบบของเธอไม่ผิดไปจากตอนที่คันธชาติแนะนำตัวเอง “เอาเถอะค่ะรตีไม่โกรธหรอก รตีพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนะคะ เพื่อนรักมาด่วนจากไปแถมยังมีเงื่อนงำแปลก ๆ แบบนี้เป็นรตีเองก็คงอยู่เฉยไม่ได้ แต่ถ้าถามรตีว่าพี่กิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลได้ยังไง รตีก็ตอบเหมือนเดิมค่ะว่ารตีไม่ทราบจริง ๆ ถึงเราจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่พี่กิ่งไม่เคยเล่าอะไรให้รตีฟัง”


“กิ่งก็เป็นแบบนี้แหละครับ บางครั้งก็ยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ รู้สึกยังไงก็เขียนลงไดอารี” คันธชาติกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ


“รตีขอโทษนะคะที่ช่วยให้ข้อมูลไม่ได้มาก”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามอีกสัก 2-3 ข้อได้ไหมครับ” เก่งกาจที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่


“ค่ะ ถ้ารตีตอบได้ก็จะตอบนะคะ”


“อืม ผมคิดว่าคุณน่าจะตอบได้”


คันธชาติสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันโดยบังเอิญก่อนที่ทั้งคู่จะพุ่งความสนใจไปที่นายตำรวจที่กำลังเริ่มต้นวิธีการสืบสวนสอบสวนของเขา


“คุณกับเสี่ยอนันต์เป็นพ่อลูกกันใช่ไหม”


“ค่ะ”


“แล้วทำไมที่โรงละครวันนั้นคุณถึงไม่เข้าไปร่วมยินดีกับพ่อและพี่ชายล่ะ มันควรจะเป็นสิ่งที่คนในครอบครัวเดียวกันปฏิบัติต่อกันไม่ใช่เหรอ”


“ตั้งแต่รตีเด็ก ๆ รตีกับแม่ถูกคุณนายห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งย่ามในบ้านใหญ่ ตั้งแต่เด็กรตีก็อยู่กับแม่สองคนที่บ้านที่พ่อซื้อให้ เราแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่บ้านใหญ่เลยค่ะ”


“แต่ตอนนี้ภรรยาของเสี่ยอนันต์ก็เสียแล้วนี่ ทำไมคุณยังแสดงตัวไม่ได้ล่ะ”


“คุณพ่อขอร้องรตีไว้ค่ะ แต่จริง ๆ แล้วเราสองคนแม่ลูกก็ไม่คิดจะไปเกี่ยวข้องกับที่นั่นอยู่แล้ว”


“แล้วสาเหตุการป่วยของคุณพ่อล่ะ คุณทราบหรือเปล่า”


“ลุงพันที่เป็นคนขับรถของคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ที่คุณอัศวินลูกชายคนโตหนีการแต่งงานไปกับผู้หญิงที่รักท่านก็ตรอมใจ วัน ๆ เอาแต่เหม่อลอยจนกระทั่งพลัดตกบันไดค่ะ”


เก่งกาจพยักหน้าพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองดูมือที่ประสานกันก่อนจะกล่าวขอบคุณสั้น ๆ ที่อารตีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้วสามหนุ่มก็อำลาหญิงสาวแล้วจึงพากันกลับออกมาจากที่ด้านนอกตัวอาคาร


“เป็นยังไงบ้างวะ” คันธชาติเอ่ยขึ้น


“สิ่งที่คุณอารตีเธอเล่าก็ตรงกับข่าวที่ฉันได้มา ทั้งเรื่องที่ภรรยาเสี่ยอนันต์เกลียดเธอกับแม่ เรื่องการล้มป่วยของเสี่ยอนันต์เอง จะมีที่ฉันส่งสัยหน่อยก็เรื่องการหนีการแต่งงานของคุณอัศวิน ลูกชายคนโตของตระกูลนาฏยะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่น่าจะสำคัญอะไร ว่าแต่แกเถอะมายังไงแล้วจะกลับเลยหรือเปล่า”


“ฉันนั่งรถไฟฟ้ามาน่ะ นี่ว่าจะแวะเข้าไปที่ร้านก่อน จะเอาของไปคืนพี่นิ่มแล้วค่อยกลับ แล้วแกล่ะ”


“วันนี้วันเกิดแม่ว่ะ ว่าจะพาท่านออกไปทานข้าวนอกบ้าน” พูดจบก็ก้มมองนาฬิกาข้อมมือ เมื่อเห็นว่าได้เวลานัดแล้วจึงหันไปกล่าวขอบคุณธันวาที่ช่วนเป็นธุระให้ก่อนจะขอตัวกลับ


คันธชาติเดินไปส่งเพื่อนรักที่รถ รอกระทั่งรถเก๋งสีดำติดฟิล์มมืดลับตาไปจึงหันมาพูดกับธันวา


“ผมไปก่อนนะ”


“ไปด้วยกันสิ ผมกำลังจะกลับคอนโดอยู่พอดี”


“ไม่เป็นไร ผมต้องไปธุระต่อน่ะ คุณกลับคอนโดไปเถอะ”


“มันไม่หนีไปไหนหรอก แวะไปส่งคุณก่อนก็ได้”


คันธชาติหันขวับจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้เช่นนี้ก็ไม่ขัดศรัทธา คิดแล้วว่าคนอย่างธันวาหากตั้งใจจะทำอะไรแล้วคงไม่ยอมล้มเลิกง่าย ๆ แน่นอน     


...ป่วยการจะดื้อดึง...


...


พนักงานสาวที่ยืนคิดเงินอยู่หลังเคาน์เตอร์ชะเง้อคอมองแลนด์โรเวอร์สีขาวที่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าร้าน สักพักคนที่เปิดประตูลงมาก็ทำให้เธอยิ้มกว้าง จากนั้นนิ่มรีบก้มหน้าก้มคิดเงินให้ลูกค้าให้เสร็จ จึงไม่ทันมองคนที่มาพร้อมกับนายน้อยของเธอ     วันนี้ลูกค้าในร้านค่อนข้างมากเพราะเป็นช่วงเทศกาลแห่งการให้ของขวัญ ประกอบกับระยะหลังคนเมืองเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ สินค้าการเกษตรจึงมีแนวโน้มว่าจะขายดีขึ้น หลายวันมานี้เธอจึงแทบไม่มีเวลาพัก การมาของนายน้อยจึงเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวเหมือนต้นไม้ไม่ได้รดน้ำกลับชุ่มชื่นขึ้นอีกครั้ง


“นี่ร้านคุณเหรอ” ธันวาถามขึ้นขณะเดินตามชายหนุ่มตัวบางกว่าเข้ามาในร้าน


“อือ ร้านของที่บ้านน่ะ” คนถูกถามตอบแบบไม่คิดอะไร


“สวัสดีค่ะ เชิญข้างในก่อนค่ะ” พนักงานที่เดินไปเดินมาอยู่ภายในร้านกล่าวทักทาย เมื่อเห็นว่าคนมาใหม่คือนายน้อยผู้เป็นเจ้าของร้านก็พากันยกมือไหว้


นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานเดินยิ้มกริ่มตรงไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะวางถุงกระดาษลงตรงหน้าหญิงสาวที่กำลังยืนยิ้มแฉ่ง ธันวาจำเธอได้ ชายหนุ่มแสร้งทำเดินดูผลิตภัณฑ์ในร้านแต่ก็ยังคอยเงี่ยหูฟังว่าสองคนคุยอะไรกัน


“อ่ะนี่ บุ้งเอามาคืน”


“ไม่ใช้แล้วเหรอคะ” ถามพลางหัวเราะคิก “เสียดายจัง ตอนนายน้อยแต่งตัวแบบนั้นไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ถ้านายใหญ่กับนายหญิงหรือคนงานที่ฟาร์มเห็นต้องจำไม่ได้แน่ ๆ ค่ะ”


“ไม่ถ่ายเก็บน่ะดีแล้ว ถ้าพ่อกับแม่เห็นละก็มีหวังไล่บุ้งออกจากบ้านแน่ ๆ”


“ไล่อะไรกันคะ แต่งออกมาแล้วสวยขนาดนั้น”


เพียงเท่านั้นร่างสูงที่ยืนหยิบโน่นจับนี่อยู่ที่ชั้นวางของก็พอจะเดาได้ว่าในถุงคืออะไร ชายหนุ่มคว้าขวดน้ำสลัดแบบที่คันธชาติเคยแบ่งไปให้เดินมาวางที่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังขมวดคิ้วมองมายังเขา


“คุณชอบเหรอ”


“อือ ผมว่ารสชาติดีกว่าที่เคยทานน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องซื้อหรอก เดี๋ยวผมทำให้ก็ได้ สูตรนี้น่ะของแม่ผมเอง” พูดจบคันธชาติก็เลื่อนขวดน้ำสลัดไปอีกทาง แต่ธันวาก็ยื้อมันกลับมาอีกครั้ง


“ไม่เป็นไร ซื้อนี่แหละ จะได้ช่วยอุดหนุนร้านคุณไง” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “คิดเงินเลยครับ”


“อ...เอ้อ...ค่ะ”


“บอกว่าไม่ต้องไง ถือว่าตอบแทนที่คุณขับรถพาผมมาที่นี่ก็แล้วกัน เอาใส่ถุงเลยพี่นิ่ม”   


“อ...อะ ค่ะ” เจ้าของชื่อรับคำก่อนจะจัดการหยิบขวดน้ำสลัดใส่ถุงแล้วส่งให้นายน้อยของเธอพร้อมกับกระซิบถาม  “คนนี้หรือเปล่าคะที่ทำให้นายน้อยลุกขึ้นมาแต่งตัวเป็นผู้หญิง”


“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย คิดอะไรไปใหญ่โตแล้ว” คนถูกถามโครงศีรษะ


“แหม ไม่ต้องอายหรอกค่ะนายน้อย วันนี้ดีกันแล้วเหรอคะถึงมาด้วยกันได้แบบไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ”


“หืม? หมายความว่ายังไง หลบอะไรซ่อนอะไร มาด้วยกันได้อะไรของพี่นิ่ม ก็นี่น่ะเพิ่งมาด้วยกันครั้งนี้...” คันธชาติเบิกตากว้าง นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนเองและธันวามาที่นี่ด้วยกัน “ค…ครั้งที่สองไง” ชายหนุ่มกระซิบตอบ หัวเราะแหะแก้เก้อก่อนจะหันไปสบตาคนมาด้วยกันที่ยังคงวางหน้านิ่ง เดาเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้ยิน อาศัยจังหวะนี้ชวนกันกลับเสียก่อนที่งานจะเข้า


“กลับเถอะคุณ” คันธชาติกล่าวก่อนจะคว้าถุงใส่ขวดน้ำสลัด รีบคว้าข้อมือคนช่างสงสัยเดินออกจากร้านทันที     


“ดีกันแล้ว คราวต่อไปก็มากันธรรมดา ๆ แบบนี้นะคะนายน้อย ไม่ต้องเล่นซ่อนแอบกันเหมือนคราวก่อน นิ่มละหัวใจจะวาย” เสียงดังฟังชัดที่ดังไล่หลังทำให้คันธชาติรู้สึกว่าสิ่งที่คิดไว้เมื่อครู่ผิดถนัด ยังไม่ทันจะหันกลับเอ่ยปากห้ามปราม ธันวาก็พูดขึ้นเสียก่อน


“นี่ คราวที่แล้วคุณรู้เหรอว่าผมตามคุณมา”


“รู้อะไร คุณพูดอะไรผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” พูดจับก็ปล่อยมือจากแขนของอีกฝ่ายก่อนจะเปิดปรตูเข้าไปนั่งในรถ มองดูร่างสูงที่เดินเกาหัวแกรกเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ


“คุณนี่มันร้ายกาจ” ริมฝีปากอิ่มพึมพำขณะออกรถ


“รู้แบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่คิดมาต่อกรกับผม”


คันธชาติหัวเราะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของรถจะไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตนเองด้วย อาจารย์หนุ่มยังคงปั้นหน้าเฉย ไม่มีคำต่อว่าใด ๆ หลุดออกจากปาก นั่นยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด จนในที่สุดก็เป็นคันธชาติที่อดรนทนไม่ไหวต้องทำให้เขาพูดอะไรสักอย่าง


“ทำไมเงียบล่ะ ไม่ต่อว่าผมหน่อยเหรอ”


ธันวายังคงเงียบ...


“เฮ่ยคุณ นี่จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”


“ผมมีสิทธิ์จะพูดอะไรด้วยเหรอ ผมก็เหมือนกับแมลงศัตรูพืชพวกนั้นแหละ”


“โอ๊ย! ไปกันใหญ่แล้ว” คันธชาติกล่าวพลางทึ้งหัวตัวเองก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมหายใจหนักถูกผ่อนผ่านปลายจมูก รู้ดีว่าเป็นความผิดของตัวเองส่วนหนึ่งแต่ก็อดพูดจากวนประสาทไม่ได้ “ทำงอนเป็นเด็ก ๆ ไปได้”


“ไม่ได้งอนสักหน่อย แล้วทำไมผมจะต้องงอนคุณด้วย”


คนฟังหันขวับมองอีกฝ่ายที่กำลังแสดงอาการ ‘งอน’ แต่กลับบอกว่าไม่ได้งอน แล้วถ้าไม่งอนแบบนี้ควรจะเรียกว่าอะไรดี ก็มันรู้สึกได้อย่างนั้นนี่นา


“ก็นั่นน่ะสิ จะงอนทำไม ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย" คันธชาติถอนใจยาวพลางเหลือบมองคนข้างๆ "รู้สึกยังไงก็ไม่พูด พูดออกมาบ้างก็ได้ครับอาจารย์ไม่ต้องรักษาภาพนักหรอก เก็บไว้เยอะเข้าเส้นเลือดในสมองแตกกันพอดี ปากเบี้ยว มือหงิก เป็นชายน้อยแห่งวังจุฑาเทพกันพอดี”


“บ้านทรายทองไม่ใช่เหรอ”


เจ้าของมุกมองไปออกไปนอกกระจกรถพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนจะนึกสนุกเลียนแบบท่าทางของ ‘ชายน้อย’ แห่งบ้านทรายทองตามที่เคยเห็นในละครโทรทัศน์ มือเรียวค่อย ๆ หงิกงอในขณะที่ริมฝีปากได้รูปก็กลับบิดเบี้ยว


“อาจารย์ธันวาก๊ะ ช...ชายน้อย ขอบคุณ ขอบคุณนะก๊ะ ท...ที่อุตส่าห์ช่วยแก้ให้” พูดจบก็หัวเราะลั่น ทำเอาคนมองพลอยหัวเราะตามไปด้วย


เมื่องเสียงหัวเราะจางหายธันวาดึงสายตากลับมามองคนขี้เล่นที่ตอนนี้เอาแต่นั่งเงียบ เท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่าง หัวคิ้วที่บางครั้งก็ขมวดแน่น บางครั้งก็คลายออกแล้วกลับมาขมวดใหม่ รวมถึงปลายนิ้วเรียวที่ถูริมฝีปากบางเป็นระยะทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังมีอะไรให้คิดอยู่แน่ ๆ เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานคนนี้แปลกกว่าทุกคนที่เคยรู้จัก บางครั้งก็ดูจริงจังนิ่งเงียจนยากจะคาดเดา แต่เวลาเล่นก็เล่นเสียจนน่าปวดหัวเหมือนกัน
 


‘นึกโกรธทีไรก็ทำให้หัวเราะได้ทุกที เล่นเป็นเสียแบบนี้แล้วจะโกรธลงได้ยังไง’ 



....

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 22-01-2015 09:58:56
อาจารย์ปลายปีงอนได้น่าง้อมาก น่ารักจัง  :mew3:

คิดแทนพี่นิ่มว่า "ไว้มาเล่นหนังอินเดียที่ร้านกันอีกนะคะ นายน้อย"  :z2:
มีจีบไม้จับมือกันอ่ะ  :impress2:
แล้วไอ้ที่บอกจะไปทำน้ำสลัดให้ ไม่ต้องซื้อเนี่ย เสนอตัวเหรอคะ นายน้อย อ่อยอ่ะ ไม่สำรวมเลย  :hao7:
 
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 22-01-2015 10:37:13
เล่นได้ทุกสถานการณ์จริงๆเลย
น่าสงสารแต่ธันวาอ่ะดิจะคอย
รับมุกเค้านะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-01-2015 14:17:04
เดา... เดา... เดา...
๑. กิ่งดาวอาจถูกจับได้ว่าไม่ได้เป็นกะเทยจริง เลยถูกฆ่า แล้วใครฆ่า ...อาจเป็นอัศนัยที่ชื่นชอบกะเทย แต่ไม่นิยมชายแท้หรือหญิงแท้
๒. หรือเป็นน้องอัน ที่กลัวอัศนัยไปหลงกะเทยตัวปลอมอย่างกิ่งเข้า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 22-01-2015 16:15:42
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-01-2015 18:16:19
ก็น่ารักจริงๆ นะบุ้งเนี่ย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 22-01-2015 18:54:33
ขอบคุณค่ะ แล้วมาต่อเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 22-01-2015 19:27:45
กำลังสนุกเลยค่ะ รอจ้าา
เป็นกำลังใจนะคะ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: bon ที่ 22-01-2015 22:14:05
จะสงสัยใครดี ตัวละครออกมาครบแล้ว ขอคำใบ้เพิ่มตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 22-01-2015 22:35:12
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:เข้ามาติดตามด้วยคนจ้า :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-01-2015 23:10:23
เห็นชื่อก็คลิกเลย อาจจะช้าแต่ก็เข้ามาอ่านแล้ว
อ่านได้สองตอน อาการง่วงก็เข้ามาขัดจังหวะ
+1 พร้อมกำลังใจให้ครับ  :L2:
ปล. ค่อยตามอ่านกันทีหลัง นอนก่อนแหละ  :a12:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 24-01-2015 17:51:29
การที่ต้องตามสืบเรื่องของเพื่อนรัก ทำให้การพัฒนาการของความรัก เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เพียงแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจ  แต่อาการการแคร์ความรู้สึกนี่ เป็นการแสดงออกแล้วนะ
ว่าไป ก็ทั้งสองคนนั่นแหละ  :z2:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 26-01-2015 15:33:33
อื้อหือออ อ่านแล้วรู้สึกว่าลุ้นขึ้นไปอีกค่ะ
ประเด็นนี้เคยสงสัยอยู่แต่ลืมไปแล้ว
จนดร.ธันวามาถามนายน้อยนี่แหละว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานที่นาฏยกาลได้ยังไง
รู้สึกเหมือนจะมีปมผูกอยู่ระหว่างประเด็นที่กิ่งดาวอาจจะปลอมตัวเป็นกะเทยเข้าไปทำงาน
กับประเด็นที่คุณเล็กแอบคั่วสาวในโรงละครอย่างหนูอัน อ่านแล้วยิ่งซ่อนเงื่อนเข้าไปอีก
แต่ตอนนี้คิดไม่ออกเลยว่าจะเดาไปทางไหน 55555

ชอบตอนที่ไปร้านกันมากเลยค่ะ
แอบขำพี่นิ่มกับนายน้อย อยากรู้ว่าพี่นิ่มคิดว่านายน้อยกับดร.ธันวางอนอะไรกันน้าา ถึงได้หนีกันแบบนั้น 555555
พี่นิ่มจะเป็นสาววายแบบเรามั้ยคะ? ก๊ากกกกกกกกก

ดร.ธันวางอนได้น่าตีมาก 55555
แต่ก็น่างอนบ่อยๆ นะคะ ถ้าคนง้อจะน่ารักขนาดนี้
มีทำทะเล้นอีก โอ้ยย เข้าใจความรู้สึกดร.เลยค่ะ จะไปโกรธนานได้ยังไง ก็มาทำให้หัวเราะแบบนี้
เราเองอ่านแล้วยังขำเลยค่ะ นายน้อยน่ารัก นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ อยากหยิกด้วยความหมั่นเขี้ยว ฮาาา

รออ่านตอนหน้านะคะ
ตอนนี้ยังจับทางไม่ถูก ก็เลยไม่รู้จะเดาทางไหน เดี๋ยวรอเดาอีกทีตอนหน้า
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อคโฮม 555555555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 6 : คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย) 22-01-2558 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: SiLent_GRean ที่ 27-01-2015 00:13:42
กำลังสนุก บุ้งน่ารัก ดอกเตอร์ธันงอนได้น่ารักไปอีก  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-02-2015 21:53:15
สวัสดีค่ะ พอดีว่าพรุ่งนี้จะออกไปแตะขอบฟ้า ไม่อยู่หลายวันเลยปั่นตอนที่ 7 มาส่งค่ะ

อ่านแล้วไม่รู้จะได้เบาะแสอะไรเพิ่มไหม ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตาม 

ขอบคุณสำหรับการวิเคราะห์วิแคะแกะเกานะคะ อ่านแล้วสนุกมาก ๆ เลย แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ


ตอนที่ 7 ผู้ร่วมขบวนการ



แลนด์โรเวอร์คันงามเคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณลานจอดรถหลังคอนโดเป็นเวลาเดียวกันกับที่รถนั่งแบบครอบครัวคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดห่างออกไปไม่ไกลนัก เพียงไม่นานประตูฝั่งคนนั่งก็เปิดออกก่อนที่ร่างบางของหญิงสาวจะก้าวลงมา ยังไม่ทันจะปิดประตู เจ้าเด็กชายสวมชุดนักเรียนที่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะพร้อมกับถุงข้าวของพะรุงพะรังก็พรวดพราดออกมาจากประตูด้านหลังจากนั้นก็พากันวิ่งหายเข้าไปในคอนโด


ที่แท้ก็เก็จแก้วกับลูก ๆ ของเธอ คันธชาติยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงความซนระดับเทพของเจ้าสองลิงที่ทำให้ผู้เป็นแม่รวมไปจนถึงคนในคอนโดต้องปวดหัว อดคิดย้อนกลับไปไม่ได้ว่าสมัยตนเองยังเด็กจะทำให้แม่ต้องคอยบ่นปากเปียกปากแฉะอย่างนี้หรือไม่ ความคิดถูกหยุดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างของใครคนหนึ่ง รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้ากลับจางหาย หัวคิ้วขมวดแน่นจ้องเขม็งไปข้างหน้า ดวงตาคู่นั้นไม่หลงเหลือแววขี้เล่นให้เห็นจนคนเผลอมองนึกสงสัย


“ผมคุ้นหน้าผู้ชายคนนั้นจัง”
 

คนฟังหลุบตาจากเสี้ยวหน้าที่มองเสียเพลินก่อนจะเบนความสนใจไปยังชายร่างอวบที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถ นอกจากผมหยิกฟูแล้วเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดที่หุ้มห่อร่างก็ทำให้เป็นที่สะดุดตาไม่แพ้กัน 


“คงเป็นเพื่อนพี่แก้วน่ะ” พูดจบธันวาก็หันไปคว้าเอกสารกับถุงใส่น้ำสลัดที่วางอยู่ด้านหลังก่อนจะเปิดประตูออกจากรถพร้อม ๆ กัน ร่างสูงเดินมายืนข้าง ๆ คันธชาติที่ยังคงเอาแต่จ้องมองเจ้าของท่าทางตุ้งติ้งที่เดินนวยนาดหัวร่อต่อกระซิกคู่ไปกับเก็จแก้ว พยายามนึกทบทวนว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน จนในที่สุดริมฝีปากบางที่เคยเม้มแน่นก็กลับคลายออกเมื่อจู่ ๆ ภาพเหตุการณ์หนึ่งผุดขึ้นในหัว


“ผมจำได้แล้ว จำได้แล้ว ผมเคยเจอเขาเมื่อวันไปดูละครที่นาฏยกาล วันนั้นเขาอยู่บนเวทีด้วย รีบไปเถอะคุณ ผมอยากรู้จักเขา”  ชายหนุ่มละล่ำละลัก ด้วยความลืมตัวจึงเผลอไปรั้งแขนของคนที่ได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ หวังจะเดินตามให้ทัน  แต่แล้วคิ้วหนาก็ขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ความร่วมมือเอาเสียเลย


“เร็วสิคุณ” ปากพูดพร้อมกับออกแรงดึงแต่ก็ไร้ผล


ธันวามองมือที่จับแขนตนเองแน่น ยอมรับว่ามันไม่ได้หยาบกร้านอย่างที่คิด หากแต่นุ่มเกินกว่าจะเป็นมือของคนที่ต้องจับจอบจับเสียมเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงจะนุ่มอย่างไรช่วยปล่อยก่อนจะได้ไหม ไวพอ ๆ กับใจคิด ใบหน้าคมสันเงยขึ้นสบตาพร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ “ปล่อยมือก่อน ผมเดินเองได้”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคันธชาติจึงผละมือจากแขนแกร่งอย่างไม่ใส่ใจ รีบสาวเท้าเดินตามเป้าหมายทิ้งให้อาจารย์หนุ่มได้แต่ยืนโคลงศีรษะให้กับความใจร้อนไม่ต่างอะไรกับเด็กรุ่น ๆ (ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว)


“ไปด้วยครับ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดสนิทเปิดออกอีกครั้ง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มองมายังคนที่กำลังยืนหอบอยู่ด้านนอกเป็นตาเดียว คันธชาติยิ้มก่อนจะก้าวเข้าพรวดมายืนด้านในโดยมีธันวาตามเข้ามายืนข้าง ๆ กัน


“วันนี้ทำไมสองหนุ่มถึงมาด้วยกันได้จ๊ะ” เก็จแก้วทักทายในขณะที่ลูกชายทั้งสองของเธอก็พากันยกมือไหว้คุณน้ารูปหล่อเช่นกัน


“ผมบังเอิญเจอบุ้งเขาข้างนอกน่ะครับ ก็เลยรับมาด้วยกัน”


“แล้วนี่ทานอะไรกันมาหรือยังจ๊ะ”


“ยังครับ” คนถูกถามตอบตามจริง


“ซื้ออะไรเข้ามาทานกันหรือเปล่า ถ้ายังไม่ซื้อวันนี้น้องธันกับน้องบุ้งไปทานข้าวที่ห้องพี่สิจ๊ะ พี่ซื้อของมาทำกับข้าวทานเยอะแยะเลย พอดีมีเพื่อนมาทานข้าวด้วยน่ะ” พูดจบก็หันไปค้อนใส่คนที่แสร้งทำกระแอมขัดจังหวะ “นี่พุดดิ้งเพื่อนพี่จ้ะ คนที่เคยเล่าว่าทำห้องเสื้อด้วยกันไง”


ธันวากำลังจะยกมือไหว้ แต่เจ้าของชื่อก็ห้ามขึ้นเสียก่อน


“ต๊าย! ไม่ต้องไหว้จ้ะ เดี๋ยวเจ๊อายุสั้นกันพอดี” ไม่ห้ามเปล่า ยังทำเนียนจับมืออีกฝ่ายแน่น ในขณะที่ธันวาเองก็ได้แต่ยิ้มตามประสาคนไม่คิดอะไร เมื่อเห็นว่านานเกินไปแล้วจะชักมือกลับ อีกฝ่ายก็ยังคงยื้อ ยื้อกันอยู่นานกว่าจะยอมปล่อย 


“มือนิ้มนิ่ม แถมหอมด้วย” พุฒิพงศ์ทำปากขมุบขมิบพลางลูบหน้าลูบตาตัวเองจนคันธชาติต้องกลั้นหัวเราะในอากัปกิริยาของคนที่เพิ่งรู้จักกัน ก็ไม่แปลกอะไรถ้าเพื่อนบ้านของเขาจะเป็นที่สนอกสนใจของทั้งเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน ตี๋อินเตอร์ขนาดนี้ต่อให้เจ้าตัวบอกว่าโสดสนิทก็ยากจะเชื่อเต็มที


“ว่าไงจ๊ะ ไปทานข้าวด้วยกันนะ” เก็จแก้วถามย้ำ


กระนั้นธันวาก็ยังเลือกที่จะยิ้มแทนการตอบคำถามที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที นี่ถ้าลำพังตัวเองคงจะปฏิเสธไปแล้ว ด้วยไม่ได้สนิทสนมกันขนาดจะต้องหิ้วท้องไปเป็นภาระกับคนอื่น แต่เพราะตระหนักดีว่าต้นเหตุที่ทำให้ต้องมายืนเสนอหน้าตรงนี้ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน จึงไม่วายต้องหันไปสบตาเพื่อขอความเห็น


“ไปเถอะค่ะหนุ่ม ๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก ผู้ใหญ่ชวนแล้วปฏิเสธมันเสียมารยาทนะ” พุฒิพงศ์กล่าวพลางส่งสายตาวิบวับให้สองหนุ่มจนเพื่อนสาวต้องสะกิดเตือน


อาจารย์หนุ่มหล่อวางหน้านิ่ง ขยับตัวเข้าใกล้คนที่กำลังกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดงพร้อมกับส่งสายตาดุ ๆ ก่อนจะกระซิบถาม “ว่าไงล่ะ ทีอย่างนี้ละเงียบเชียว”


“ก็มันไม่ทันได้ตั้งตัวนี่นา ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้” คันธชาติพึมพำก่อนจะหันไปยิ้มให้คนชวนที่กำลังรอฟังคำตอบ


“แหม! เรื่องแค่นี้ต้องปรึกษาหารือกันด้วยเหรอจ๊ะ” พุฒิพงศ์ช้อนตาตามองสองคนที่ทำกระซิบกระซาบใกล้ชิดกันจนกะเทยหมั่นไส้


“อ...เอ้อ ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะครับพี่แก้ว” ในที่สุดก็เป็นคันธชาติที่ตอบตกลง 


“เกรงใจอะไรกันจ๊ะ ดีเสียอีก ทานกันหลาย ๆ คน คุยกันไปด้วยน่าสนุกออก” เก็จแก้วกล่าว เธอดูจะออกอาการตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะนี่ถือว่าเป็นปาร์ตี้เล็ก ๆ ในรอบปีที่มีโอกาสได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนที่คุยกันถูกคอก็ว่าได้


หญิงสาวหันไปถามเด็ก ๆ ถึงรายการอาหารที่จะทำในวันนี้ ก่อนจะย้อนกลับอวดพัฒนาการของผักสวนครัวที่ปลูกเองจนคนฟังมั่นใจว่าการถูกเชิญให้ร่วมโต๊ะวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเชื้อเชิญตามมารยาท คันธชาตินึกกระหยิ่มในใจ ไม่แน่ว่าอาหารมื้อนี้อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความรู้จักกับผู้ที่จะเชื่อมโยงไปสู่เหตุการณ์การเสียชีวิตของกิ่งดาวอีกคนหนึ่งก็ได้


ธันวาและคันธชาติพากันเดินคอตกออกมาจากครัว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะช่วยเจ้าของห้องหยิบจับทำอาหารเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์เอ่ยปากเชิญให้มาร่วมโต๊ะด้วยกันแต่กลับถูกไล่ให้มานั่งรอด้านนอก ก็เลยต้องเปลี่ยนจากช่วยทำกับข้าวมาเป็นช่วยสอนการบ้านให้เจ้าสองลิงแทน


“นี่แก น้องธันกับน้องบุ้งน่ะ เขาเป็นอะไรกันหรือเปล่า” พุฒิพงศ์กระแซะถามพลางชะเง้อมองสองหนุ่มที่นั่งอยู่กับเด็ก ๆ ในห้องนั่งเล่น


“แกหมายความว่ายังไง เขาก็เป็นเพื่อนบ้านกันน่ะสิ แกนี่ถามอะไรแปลก ๆ” เก็จแก้วกล่าวพลางจัดผักสลัดใส่จาน


“เปล๊า! ฉันก็แค่อยากรู้ เพราะถ้ายังโสดทั้งคู่ฉันก็จะมีโอกาสบ้างน่ะสิ น้องธันก็หล่อ ส่วนน้องบุ้งก็น่าฟัด นี่ถ้าได้ทั้งสองคนนะชีวิตพุดดิ้งคงฟินสุด ๆ เลยละแก”


“ไร้สาระ” พูดจบหญิงสาวก็ยกอาหารออกไปวางที่โต๊ะด้านนอก


เมื่อปิงกับน่านเห็นแม่เตรียมตั้งโต๊ะก็พากันพรวดลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือมายืนเกาะโต๊ะจ้องมองกับข้าวหน้าตาน่ากินที่แม่ยกออกมาวาง วันนี้มีของโปรดของพวกเขาเยอะแยะไปหมด รู้สึกได้ว่าจะต้องมีอะไรพิเศษ ๆ แน่ ไม่เช่นนั้นลุงพุดดิ้งคงไม่มาที่บ้านและของกินก็คงไม่มากมายแบบนี้


“วันนี้แม่กับลุงพุดดิ้งฉลองอะไรกันเหรอครับ” ลูกชายคนโตเอ่ยขึ้น


“อุ๊ยตาย! น้องปิง ป้าบอกกี่ครั้งแล้วลูกว่าอย่าเรียกแบบนั้น หนูต้องเรียกป้าว่าป้านะคะลูกถึงจะเป็นเด็กน่ารัก”


“ปิงลืมครับ” เด็กชายหัวเราะแหะ ๆ


“แกกำลังจะทำให้ลูกฉันสับสนนังพุด” เก็จแก้วหันไปปรามเพื่อน “เรียกลุงน่ะถูกแล้วลูก วันนี้แม่กับลุงพุดดิ้งฉลองที่งานเสนองานลูกค้าผ่านจ้ะ ลูกค้าเขาเลือกชุดละครที่แม่ออกแบบไป”


“ดีจังเลยครับแม่” ลูกชายคนเล็กกล่าวพลางชูแขนไชโย


“นี่พี่แก้วกับเจ๊พุดดิ้งตัดชุดละครด้วยเหรอครับ” หนึ่งในสองคนที่เดินตามมาสมทบเอ่ยขึ้น


“จ้ะ แต่รับเป็นฟรีแลนซ์นะ ช่วงหลัง ๆ มาไม่มีคณะละครไหนเขาจ้างประจำหรอก เปลืองเงินเขา เพราะละครก็ไม่ได้แสดงกันทุกเดือน เรื่องนี้จบก็เว้นไปนานกว่าจะมีเรื่องใหม่” เก็จแก้วอธิบายก่อนจะเชิญทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร


“แล้วตอนนี้รับทำให้ที่ไหนบ้างเหรอครับ” ยังเป็นคันธชาติที่ถามอย่างสนอกสนใจ


“ตอนนี้เจ๊รับทำให้นาฏยกาลที่เดียวจ้ะ เมื่อก่อนรับหลายที่ แต่นาน ๆ ชักไม่ไหว ไหนจะรับออกแบบตัดชุดละคร ไหนจะตัดเย็บเสื้อผ้าปกติ คนเราน้อยน่ะจ้ะ เราเป็นแค่ห้องเสื้อเล็ก ๆ งานที่เขามาจ้างก็อาศัยบอกกันปากต่อปากน่ะ” พูดไปก็ตักข้าวใส่จานแจกจ่ายให้ทุกคนไป


เก็จแก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนก่อนจะกล่าวเสริม “ที่ยังรับทำให้นาฏยกาลก็เพราะคุณอัศนัยที่เป็นเจ้าของน่ะพอจะคุยกันง่ายหน่อย เธอไม่เรื่องมากเหมือนเจ้าอื่น ๆ”


คันธชาติหันมายักคิ้วให้คนนั่งข้างกันราวกับจะบอกว่าแผนการของตนเองกำลังจะสำเร็จไปอีกขั้น ในขณะที่ธันวาทำได้เพียงลอบถอนหายใจเบา ๆ ไม่รู้ว่าจากนี้จะมีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นอีก


“แล้ว....”


ยังไม่ทันจะได้ถามต่อ คนนั่งข้างกันก็ขัดขึ้นเสียก่อน


“ทานข้าวดีกว่านะ เมื่อกี้ผมยังเห็นคุณบ่นหิวอยู่เลย” ธันวากล่าวพร้อมกับเอื้อมตักกับข้าวใส่จานให้คนนั่งอ้าปากหวออยู่ข้าง ๆ คงไม่คิดมาก่อนเขาว่าจะใช้ไม้นี้ “เด็ก ๆ ก็หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวน้าธันตักให้นะ” พูดจบก็ตักกับข้าวใกล้มือวางในจานให้เด็กชายสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอ่ยปากชวนทุกคนให้ลงมือรับประทานอาหาร


“เป็นเพื่อนบ้านที่ดูแลกันดีนะคะ” พุฒิพงศ์กล่าวพลางปรายตามองสองหนุ่มที่ยังคงนั่งส่งสายพิฆาตให้กัน แต่ในมุมมองของกะเทยร่างอวบมันกลับดูเหมือนตัวเอกในละครที่กำลังส่งสายตาแห่งความห่วงหาอาทรจนคนที่รับบทเป็นตัวอิจฉาต้องตาร้อน  เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนเองไม่ได้รับความสนใจพุดดิ้งจึงแสร้งกระแอมเสียงดังให้ทั้งคู่รู้ตัว และมันก็ได้ผลเมื่อธันวาและคันธชาติต่างก็ละสายตาจากกันหันมามองที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว


“ม...เมื่อกี้พี่พุดดิ้งว่าอะไรนะครับ”


“เจ๊บอกว่า น้องธันกับน้องบุ้งเนี่ยดูแลกันดีจังเลยนะคะ”


“เป็นอาจารย์ก็อย่างนี้แหละครับ ชอบคิดว่าคนอื่นเป็นลูกศิษย์ตัวเองไปหมด ต้องคอยยุ่งไปหมดเสียทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่คนอื่นเขาไม่อยากให้ยุ่ง” คันธชาติได้ทีชิงพูดขึ้นก่อน ไม่วายหันไปยักคิ้วกวน ๆ ให้คนหน้านิ่ง


ธันวาเบือนหน้าหนีอย่างระอาก่อนจะเอาคืนด้วยด้วยประโยคเรียบ ๆ “ครับ เด็กสมัยนี้ดื้อด้าน ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว คนเป็นอาจารย์ก็เลยอดยุ่งไม่ได้”


“อุ๊ยตาย! น้องธันเป็นอาจารย์เหรอคะเนี่ย แหม ๆๆๆ เจ๊อยากถูกสอนจัง”
สิ้นเสียงเพื่อนสนิทเก็จแก้วถึงกับวางช้อนเงยหน้าขึ้นถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หือ? แกจะให้น้องธันสอนอะไรยะ”


“ก็...อะไรก็ได้ที่น้องธันอยากจะสอน....รับรองว่าเจ๊จำจนตายแน่นอน” พูดพลางกัดริมฝีปากส่งสายตาหยาดเยิ้มจ้องหน้าหล่อราวกับจะกลืนกินแทนอาหารที่อยู่บนโต๊ะเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป เล่นเอาอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูกได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบ ๆ รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็ก ๆ ของคนที่กลั้นหัวเราะจนไหล่ไหวอยู่ข้าง ๆ



หลังจากอิ่มท้องแล้วคันธชาติและธันวาก็อาสาสอนการบ้านให้ลูกชายฝาแฝดของเก็จแก้วต่อจนเรียบร้อย เมื่อเด็ก ๆ พากันอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวจะเข้านอนสองหนุ่มจึงขอตัวกลับโดยมีพุฒิพงศ์เดินออกมาส่ง จริง ๆ ตั้งใจจะไปส่งให้ถึงห้องของธันวาแต่ถูกเก็จแก้วรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน ดังนั้นกะเทยร่างอวบจึงได้แต่โบกมือหยอย ๆ พร้อมกับส่งจูบอำลาหนุ่ม ๆ อยู่ที่หน้าห้อง


“หัวเราะอะไรนักหนา”


“ก็ขำเจ๊พุดดิ้งอะไรนั่นน่ะแหละ ท่าทางเขาจะชอบคุณนะ เห็นจ้องคุณตาเป็นมัน น้องธันคะ น้องธันขา” คันธชาติพูดกลั้วหัวเราะจีบปากจีบคอล้อเลียน


“ทำเป็นพูดดีไป ชอบอะไรกันเล่า” ธันวาหน้ามุ่ยก่อนจะถามคำถามที่คันธชาติเองก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ “แล้วทีนี้คุณจะเอายังไงต่อ”


“ไม่รู้เหมือนกัน ยังคิดไม่ออก แต่ผมอยากให้คุณถามอารตีให้หน่อยว่าเธอรู้จักเจ๊พุดดิ้งคนนี้หรือเปล่า”


“คุณสงสัยเขาเหรอ”


“เปล่าหรอก ผมแค่กำลังคิดว่า ถ้าสองคนนี้รู้จักกันบางทีเราอาจจะคุยอะไรกันง่ายขึ้น”


“แล้วถ้าเขาไม่รู้จักกันล่ะ”


“ถึงตอนนั้นผมก็คงมีวิธีการของผม ว่าแต่คุณเถอะ อย่าไปบอกไอ้กาจมันก็แล้วกัน”


เล่นพูดดักกันเอาไว้แบบนี้ธันวาก็ได้แต่ฟังเฉย ๆ มองคนที่กำลังแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้อง


“ฝันดีนะคุณ ผมไปนอนละ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าห้องโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่อีกคนกำลังจะพูดเลยสักนิด ร่างสูงถอนใจเบา ๆ จำไม่ได้ว่ามันเป็นการถอนหายใจทิ้งครั้งที่เท่าไรตั้งแต่หนุ่มชาวไร่ผู้นี้ย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามกัน


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-02-2015 22:37:13
(ต่อนะคะ)


หลายวันต่อมาทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติในแบบที่มันควรจะเป็น ที่ไม่ปกติก็คงเป็นในหัวของคันธชาติซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องให้ต้องครุ่นคิด ชายหนุ่มพลิกตัวนอนเหยียดยาวบนโซฟา ทอดตามองเพดานว่างเปล่า มีคำถามหลายข้อที่เขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้  ทั้ง...

‘ใครคือเจ้าของรอยสักรูปดอกไม้นั่น?’


‘กิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลได้ยังไง?’


‘ทำไมกิ่งถึงขึ้นไปบนดาดฟ้าทั้งที่กลัวความสูง?’


‘ข้อความสุดท้ายที่กิ่งส่งมา เลข 12 นั่นหมายถึงอะไร?’


แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับ ‘ใครกันที่เป็นสาเหตุให้กิ่งไม่สามารถจะคิดกับเขาเกินกว่าคำว่าเพื่อน’


คันธชาติยันตัวลุกขึ้นนั่งพยายามสลัดความคิดนั้นออกจากหัว ไม่รู้ว่าจู่ ๆ คำถามบ้า ๆ นี้มันผุดขึ้นมาได้อย่างไรกัน ลมหายใจหนักถูกผ่อนออกจากปลายจมูกในขณะที่มือก็ทึ้งหัวตัวเองจนผมยุ่งเยิง ดีที่เสียงกริ่งดังขึ้นเสียก่อนไม่เช่นนั้นในใจคงฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้


แต่ก็ไม่แน่...


คนที่ยืนอยู่หลังประตูนั่นอาจจะทำให้ต้องปวดหัวยิ่งกว่าก็ได้



เจ้าของห้องเอื้อมมือดึงประตูออกอย่างหัวเสีย แต่พอเห็นหน้าตามอมแมมของคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า อารมณ์หงุดหงิดก็เหมือนระเหยกลายเป็นไอ พยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็กลั้นไม่อยู่จนต้องปล่อยขำออกมา


“หัวเราะอะไรเล่า”


“นี่ปลูกผักหรือไปคลุกโคลนมา หน้าตาถึงได้มอมเป็นลูกหมูแบบนี้”


“ก็ไม่เคยทำนี่นา” คนอายุมากกว่ามุ่นคิ้ว ปกติสอนแต่หนังสือ ผักก็ซื้อเขากินไม่เคยลงมือปลูก วิชาเกษตรที่เรียนมาตั้งแต่สมัยประถมก็คืนคุณครูไปหมดแล้ว พอจะลองปลูกบ้างดันถูกสั่งให้ผสมดินเอง แทนที่จะช่วยกันกลับมาแซวเสียนี่ 


“มีอะไรถึงได้มากดกริ่งเรียกผม ตั้งแต่เช้านี่สี่ครั้งแล้วนะ”


“จะมาเรียกให้ไปตรวจงาน”


“เสร็จแล้วเหรอ”


“อือ” ธันวากล่าวก่อนจะหลีกทางให้ ร่างสูงพอ ๆ กันยักไหล่เดินข้ามทางเดินแคบ ๆ ที่กั้นกลางระหว่างห้องไปยังประตูฝั่งตรงข้ามที่เปิดอยู่


คันธชาติเดินดุ่มเข้าไปในห้องราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะตั้งแต่เช้าเขาเดินเข้าออกห้องนี้อยู่หลายรอบ ตาคมปราดมองไปยังระเบียงซึ่งมีกระถางพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางเรียงเป็นระเบียบ กระถางแต่ละใบบรรจุดินที่ผสมกับปุ๋ย แกลบและกาบมะพร้าวในอัตราส่วนที่เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ละกระถางถูกรดน้ำจนชุ่ม หลังจากตรวจผลงานของเกษตรกรมือสมัครเล่นเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มเล็ก ๆ ได้จุดขึ้นในแววตาของตนเองตั้งแต่เมื่อไร     
 

“ก็เรียบร้อยดีนี่ ทีนี้ก็คงต้องรอดูแล้วละว่าจะปลูกอะไรกับเขาขึ้นบ้างไหม อย่าลืมรดน้ำให้มันด้วยล่ะ” หันมาพูดกับคนที่เดินตามมายืนข้าง ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่โต๊ะทำงานยังคงมีแต่เอกสารและข้อสอบวางกองเต็มไปหมด อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายว่างมากนักหรือไงจึงได้ลุกขึ้นมาปลูกผักในวันที่น่าจะต้องสะสางงานกองโตแบบนี้


“คุณไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับไปเอาของที่ห้องแล้วจะกลับมาใหม่”


“กลับมาใหม่?”


“ใช่ รำคาญเสียงกริ่งน่ะ แล้วคุณเองก็คงไม่ได้ว่างตามจับตาดูผมทั้งวันแบบที่ไอ้กาจมันสั่งไว้ใช่ไหมล่ะ”


“คุณพูดอะไร ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” คนถูกต้อนยังคงปั้นหน้านิ่ง


“เล่นกดกริ่งเช็กผมทุกชั่วโมงแบบนี้น่ะ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว นี่ไปเล่าอะไรให้มันฟังหรือเปล่าเนี่ย”


“เปล่าสักหน่อย” ธันวาตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คันธชาติมองตามอย่างแคลงใจ


มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมตัวเองจนยุ่งก่อนจะเดินออกจากห้อง  ไม่นานก็กลับมาพร้อมหนังสือ 2-3 เล่ม “ผมไม่เกรงใจละนะ” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนอ่านหนังสือบนโซฟา ไม่ได้สนใจคำตอบของคนที่กำลังล้างไม้ล้างมืออยู่ในห้องน้ำเลยสักนิด


ธันวาออกจากห้องน้ำก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน จัดการเปิดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะออกอ่านพลางมองคนที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาไปด้วย 


“ผมถามอารตีให้แล้วนะ เธอบอกว่าเธอไม่รู้จักกับพี่พุดดิ้ง” ธันวาจ้องหน้าคู่สนทนาที่ดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สากับข้อมูลที่เขาได้มา  “อันที่จริง ถ้าไม่ใช่คนเก่าคนแก่ของนาฏยกาลก็แทบจะไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าเสี่ยอนันต์มีลูกสาวอีกคน”


“อือ ผมคิดไว้แล้วละว่ามันจะต้องออกมาแบบนี้”


“ทีนี้คุณจะเอายังไงต่อ”


คนถูกถามนิ่งคิดพลางวางหนังสือลงบนอก “อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ อยากได้ข้อมูลจากนาฏยกาลก็ต้องเข้าไปที่นาฏยกาลไง”


“หมายความว่ายังไง แล้วคุณจะเข้าไปที่นั่นยังไง”


“อย่าถามมากได้ไหม ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ถึงคิดออกก็ไม่บอกหรอก เดี๋ยวคุณเอาไปฟ้องไอ้กาจอีก เสียเรื่องพอดี” คันธชาติตัดบทก่อนจะหลับตาลง


ธันวาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย ทอดตามองใบหน้านิ่งเรียบ อยากจะรู้จริง ๆ คันธชาติกำลังคิดทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดมันออกมา ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คงเป็นรอเวลาเท่านั้น...



คันธชาติปรือตาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกจากวัตถุบางอย่างที่ตกลงบนหน้าอก


“ขี้เซาจังวะ”


‘เสียงไอ้กาจ?’


“ไอ้บุ้ง ตื่น ๆ”


เจ้าของชื่อผุดลุกขึ้นนั่งมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามให้ชัด “มาได้ไงวะ”


“ก็บอกแล้วไงว่าจะแวะมาหา”


“แล้วนี่อะไร” คันธชาติกล่าวพลางหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่ตกลงไปอยู่บนหน้าตักขึ้นมาดู


“ข้อมูลที่ฉันคิดว่าแกน่าจะอยากได้ไง”


“ข้อมูล?”


“อือ เปิดดูสิ” เก่งกาจกอดอกเอนหลังพิงพนักโซฟา จ้องมองเพื่อนรักที่ค่อย ๆ ดึงกระดาษกับภาพถ่าย  2-3 ใบออกมาจากซอง


“พุฒิพงศ์ รักชาติ” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง “เจ้าของห้องเสื้อพุทธรักษา...”


นายตำรวจหนุ่มยักคิ้ว “นั่นน่ะรูปตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเรียนจบก็ไปทำศัลยกรรมแปลงเพศเรียบร้อยจนเป็นเจ๊พุดดิ้งที่แกรู้จักในปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับกิ่งเลยสักนิด”


คันธชาติถอนใจพรืด หันขวับมองค้อนคนที่วางมือจากเอกสารและกระดาษข้อสอบตรงหน้า ตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เขาและเพื่อนกำลังคุยกัน


“ไหนบอกว่าไม่ได้เล่าอะไรให้ไอ้กาจฟังไง”


“ก็ไม่ได้เล่าจริง ๆ” ธันวาตอบหน้านิ่ง “แค่...”


“แค่ถามมาแล้วก็ตอบไป” นายตำรวจหนุ่มรวบรัด


“อ๋อ...แค่ถามตอบ” คันธชาติกล่าวอย่างหมั่นไส้


“ใช่”


“แล้วแกถามเขาว่าอะไรบ้างวะ”


“ก็ถามว่าแกเป็นยังไงบ้าง ก่อเรื่องอะไรหรือเปล่าก็เท่านั้น”


“อืม...อืม...” คนฟังพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ธันวา “แล้วคุณก็แค่ตอบคำถาม ไม่ได้เล่าอะไรเลยใช่ไหม”


“ใช่ ผมก็แค่ตอบคำถาม ไม่ได้เล่าอะไรเลยสักนิด”


คันธชาติทำหน้ายู่ทิ้งตัวนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดแรง ยอมจำนนต่อการกระทำของอีกฝ่าย ‘แค่ตอบคำถาม ไม่ได้เล่า’


“ทีนี้ก็เลิกคิดทำอะไรบ้า ๆ ได้แล้ว” เก่งกาจกล่าวพลางเอื้อมมือคว้าซองเอกสารกลับมาไว้กับตัวก่อนจะหันไปยิ้มให้ธันวาอย่างรู้กัน




คิดหรือว่านายน้อยจอมดื้อด้านจะยอมรามือง่าย ๆ .....


....ไม่มีทางเสียละ....




...



พุฒิพงศ์สบตาเพื่อนสาวคนสนิทก่อนจะหันไปจ้องหน้าสามหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารทีละคน เริ่มจากหนุ่มร่างบึกบึนที่เหมือนหลุดมาจากนิตสารสุขภาพ หนุ่มน้อยหน้าละอ่อน กระทั่งอาจารย์ตี๋อินเตอร์ ปากที่เคลือบทับด้วยลิปสติกสีชมพูหวานแหวนบ่นขมุบขมิบก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง


“นี่ถ้าคุณอัศนัยรู้เข้า มีหวังเจ๊โดนเลิกจ้างแหง ๆ เลยนะคะหนุ่ม ๆ”


“โธ่..พี่พุดดิ้งคนสวยครับ คิดว่าช่วยลูกนกลูกกาเถอะนะครับ ผมอยากเข้าไปทำงานในนั้นจริง ๆ” คันธชาติกล่าวพลางเอื้อมมือกุมมือของอีกฝ่ายแน่น


“น้องบุ้ง! เอาความจริงค่ะ”


เจ้าของชื่อยิ้มเจื่อนก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนรัก ในที่สุดเก่งกาจก็ตัดสินใจแนะนำตัวเองพร้อมกับเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง...





“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ก็เลยต้องเชิญให้ทั้งคุณเก็จแก้วและคุณพุฒิพงศ์มาคุยกันวันนี้”


เก็จแก้วและพุฒิพงศ์สบตากันก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ 


“เจ๊เคยได้ยินมาเหมือนกันนะคะเรื่องที่มีนักแสดงใหม่ตกจากดาดฟ้าของโรงละครเก่า แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอสามารถผ่านกระบวนการคัดกรองเข้าไปทำงานในนั้นได้ยังไง นังเด็ก ๆ ที่สนิทกันเล่าแค่ว่าคนที่นั่นรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงก็เมื่อวันที่เธอเสียชีวิตแล้ว ว่าแต่...นี่คงไม่ได้คิดว่าเจ๊มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคุณกิ่งดาวใช่ไหมคะ” กะเทยร่างอวบกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจก่อนจะหันไปส่งสายตาวิงวอนให้ธันวาที่ยังคงนั่งเงียบ


“ใครจะไปกล้าคิดอย่างนั้นล่ะครับ” คันธชาติกล่าว “ก็เพราะเราไม่รู้ว่ากิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลได้ยังไงนี่และครับ ผมถึงอยากให้พี่ช่วย นะครับเจ๊พุดดิ้ง”


“แต่ถ้าเจ๊พุดเดิ้ล...”


“หืม?”


“เอ้อ ถ้าเจ๊พุดดิ้งลำบากใจ เราล้มเลิกความคิดนี้ก็ได้นะครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า” เก่งกาจแทรกขึ้น


“แกเงียบไปเลยไอ้กาจ” คันธชาติหันมาส่งตาดุ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าเศร้าอย่างเดิม “อย่าไปฟังไอ้กาจมันเลยครับเจ๊ เจ๊ก็รู้ว่ากระบวนการทางกฎหมายของบ้านเรามันต้องเป็นไปตามขั้นตอน ทุกวันนี้ตำรวจก็ภาระเยอะแล้ว เพื่อนผมไหนจะต้องออกไปตากแดดโบกรถกลางสี่แยกทุกวัน ไหนจะต้องคอยวิ่งจับผู้ร้ายอีก ทุกวันนี้เวลาเป็นส่วนตัวก็แทบจะไม่มีแล้ว เรื่องแต่งงานมีครอบครัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง”


‘ว่าไปนั่นไอ้แสบ’ เก่งกาจถอนใจพลางกุมขมับ


“โถ...ผู้กอง เจ๊สงสารผู้จองจับจิตจับใจ” พูดไปก็ยกมือขึ้นซับน้ำใสที่หางตาไป จนเพื่อนสาวที่นั่งข้าง ๆ ต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้


“ช่วยผมหน่อยเถอะนะครับ ช่วยให้ผมได้เข้าไปทำงานที่นั่นทีเถอะนะครับ ผมจะได้ช่วยสืบเรื่องนี้อีกแรง นะครับนางฟ้าของผม”


"สาบานว่าแกชมจากใจว่าเขาเป็นนางฟ้า" เก่งกาจอดรนทนไม่ไหวจนต้องกระซิบถาม


"เออ ก็นางฟ้าไง เห็ดนางฟ้าน่ะเคยกินไหม" คันธชาติกระซิบตอบก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานให้คนที่กำลังจับมือเขาอยู่ "นะครับนางฟ้า"


น้ำเสียงออดอ้อนของชายหนุ่มหน้าทำเอาคนอ่อนไหวอย่างพุฒิพงศ์หัวใจอ่อนยวบ กะเทยร่างอวบเม้มปากแน่น ใช้ความคิดไปพลางก็ถือโอกาสลูบไล้มือของหนุ่มรุ่นน้องไปพลาง จนในที่สุดเธอก็เสนอทางเลือกที่ทำให้สามหนุ่มต้องคิดหนัก


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถึงเจ๊จะเป็นกะเทย เจ๊ก็เป็นกะเทยยูนิเซฟ เจ๊รักเด็กและพร้อมจะช่วยเหลือเด็กค่ะ” พูดจบก็เอื้อมมือประคองข้างแก้มของคู่สนทนา “เจ๊จะช่วยน้องบุ้งเอง”


“ช่วยยังไงเหรอครับ” คนที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงมืออวบที่แนบอยู่กับแก้มของคันชาติมากุมไว้บ้าง เล่นเอาเจ้าของมือขวยเขินจนจะทำลังกาเกลียวไปลงแข่งยิมนาสติกทีมชาติได้


“คืออย่างนี้ค่ะน้องธัน เจ๊มีทางเลือกให้น้องบุ้งสองทางที่จะทำให้เข้าไปในนาฏยกาลได้โดยไม่มีใครสงสัย” พูดจบพุดดิ้งก็ดึงมือออกมาปาดที่ปลายจมูกตัวเอง


“อะไรเหรอครับ” สามหนุ่มพร้อมใจกันยื่นหน้าเข้ามาใกล้


“ทางแรก อันนี้เจ๊เปลืองตัวสุด ๆ นะคะ แต่เพื่อมนุษยธรรมเจ๊ยอมค่ะ ทางแรกก็คือน้องบุ้งต้องเป็นเด็กเจ๊”


“เด็ก?”


“ค่ะ”


“หมายถึงสามีเด็กน่ะค่ะน้องบุ้ง” เก็จแก้วป้องปากกระซิบกระซาบ ทำเอาคันธชาติได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ


“เราจะได้สวีทวี๊ดวิ้วกิ๊วก๊าวมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งเข้าไปทำงานในนั้นด้วยกันสะดวกไงคะ”


“เป็นลูก เป็นหลาน เป็นน้องชายไม่ได้เหรอครับ”


“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวมันไม่สมจริง อีกอย่างนะคะ ขืนบอกว่าเป็นลูกเป็นหลาน มีหวังน้องบุ้งโดนนังพวกนั้นแทะจนเหลือแต่กระดูกแน่”


เจ้าของชื่อกลืนน้ำลายเอื๊อกหันไปสบตาคนนั่งข้าง ๆ ทั้งสองคนสลับกันก่อนจะถามถึงทางเลือกที่สอง “แล้วอีกทางล่ะครับ”


“อีกทางก็คือ...” คนพูดทิ้งจังหวะจนน่าสงสัย “เป็นแบบเจ๊นี่แหละค่ะ”


“ป..เป็นแบบเจ๊”


“ค่ะ เป็นกะเทยมีนมแบบเจ๊นี่ไงคะ ทีนี้ก็อยู่ที่น้องบุ้งแล้วละค่ะว่าจะเลือกอย่างไหน”


“ม...ไม่เลือกสักอย่าง แกไม่เลือกสักอย่างใช่ไหมไอ้บุ้ง” เก่งกาจวางมือบนบ่าของเพื่อนรักที่ตอนนี้เอาแต่นั่งนิ่ง


“ก็ตามใจนะคะ เจ๊ไม่บังคับ แค่เสนอทางเลือกให้เฉย ๆ”


“แกไม่มีทางอื่นแล้วเหรอนังพุด” เก็จแก้วร้อนใจจนต้องถามแทน


“แกก็รู้ว่านาฏยกาลน่ะเข้มงวดจะตาย เคยได้ยินนังเด็ก ๆ มันซุบซิบกันว่าที่เปลี่ยนนโยบายรับแต่คนทำงานที่เป็นสาวประเภทสองก็เพราะคุณอัศนัยเธอพิศมัยเรือนร่างชายที่กายภายนอกเป็นผู้หญิง จริงเท็จยังไงฉันก็ไม่รู้”


“เอ่อ...คือผม...” คันธชาติกล่าวอ้อมแอ้ม


“ไอ้บุ้ง” มือหนาบีบเบา ๆ ลงบนบ่าเพื่อเตือนสติ “แกไม่จำเป็นต้องเลือกนะเว้ยไอ้บุ้ง เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจก็ได้”


“ฉันบอกแล้วไงว่าแกเป็นตำรวจแกก็ทำหน้าที่ของแกไป ฉันเป็นเพื่อนกิ่งฉันก็จะทำหน้าที่ของฉัน” พูดจบก็หันมากล่าวกับพุฒิพงศ์ด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง “ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมเลือกแบบที่สอง”


คำตอบของคันธชาติทำเอาทุกคนในวงสนทนาอ้าปากค้าง โดยเฉพาะพุฒิพงศ์ซึ่งเป็นเจ้าของความคิด ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยอมตกลง แต่ถึงแม้จะเลือกทางไหนก็ตามยังไงก็ต้องยอมรับในน้ำใจและความแน่วแน่ของอีกฝ่าย มันทำให้รู้ว่าเรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่คันธชาติกรุขึ้นมาเพื่อจะเล่นสนุกปั่นหัวคนอื่นแน่นอน


“แต่ผมเกรงว่าถ้าจะบินไปเกาหลีเพื่อทำศัลยกรรมก็คงจะไม่ทันการน่ะสิครับ” ยังไม่วายพูดเล่น


“ไม่ต้องขนาดนั้นค่ะ เจ๊มีวิธี แต่หนุ่ม ๆ คงต้องหาผู้ช่วยให้เจ๊สักคนนะคะ เพราะเจ๊เองก็งานล้นมือ”


คันธชาติหันไปสบตาคนนั่งทางขวาทีซ้ายทีเหมือนจะขอความเห็น แต่สิ่งที่สองคนทำก็คือการนั่งกุมขยับพร้อมใจกันมองมาเป็นตาเดียวราวกับว่าเขาเป็นตัวป่วนก็ไม่ปาน...


“แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ”


คำพูดของพุฒิพงศ์เรียกความสนใจของทุกคนกลับคืนมาอีกครั้ง


“อะ...อะไรครับ”


“เจ๊สัญญาว่าจะช่วยน้องบุ้ง แต่ต้องแลกกับการที่น้องธันต้องไปดิ๊นเนอร์กับเจ๊ค่ะ”


“ตกลงครับ” คันธชาติตอบตกลงทันควัน ในขณะที่สองหนุ่มซึ่งนั่งขนาบข้างก็พร้อมใจกันร้อง ‘เฮ้ย!’ เสียงหลง


ธันวาเดินหน้าตูมมาที่รถหลังจากแยกกับเก่งกาจที่หน้าร้านอาหาร ไม่คิดว่าตนเองจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ทั้งที่จริง ๆ ก็เหมือนโดนลากเข้าไปครึ่งตัวแล้วก็ตาม


“เป็นอะไรของคุณเนี่ย ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากร้านแล้วนะ” คันธชาติตัดสินใจเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในรถ


“ทำอะไรไว้ยังไม่รู้ตัวอีก” คนขับตอบห้วน ๆ


“ผมทำอะไร”


“ก็คุณตอบตกลงให้ผมไปทานข้าวกับเขาน่ะ ไม่เห็นถามความเห็นของผมสักคำ”


“ก็แค่ทานข้าวเองคุณ ไม่สึกหรออะไรสักหน่อย”


‘พูดออกได้หน้าตาเฉย’


“คุณนี่มัน...เฮ้อ! ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี” ร่างหนาถอนใจหนักก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวชลอความเร็วเข้าจอดเทียบข้างทาง ขืนขับต่อไปคงได้เหยียบคนแทนเหยียบคันเร่งแน่ ๆ


“โธ่...จะโมโหอะไรนักหนา คิดว่าช่วย ๆ กันน่า นะๆๆๆ คุณ ไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่กิ่งเถอะ”


เล่นเอากิ่งดาวมาอ้างแบบนี้ ธันวาก็จนใจ...
 

...


“แกนี่มันตัวป่วนจริง ๆ ไอ้บุ้ง” เก่งกาจบ่นพลางมองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของชื่อ นายตำรวจหนุ่มก็ถือโอกาสบ่นต่อ “ดูสิเลยต้องลำบากคุณรตีด้วยเลย”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่างนี่ก็เป็นงานที่รตีถนัดด้วย” อดีตเมคอัพอาร์ติสต์ที่ผันตัวมาเป็นครูสอนการแสดงกล่าวพลางละเลงรองพื้นลงบนผิวเนื้อที่ไม่เคยได้สัมผัสกับเครื่องสำอางมาก่อนจากนั้นจึงเกลี่ยให้เนียนเรียบ


“ขอบคุณมากนะที่มาช่วย” ธันวาที่กอดอกยืนพิงผนังด้านหนึ่งกล่าวสั้น ๆ พลางมองเงาสะท้อนของคนหน้ากระจกอย่างสนใจ แต่เพราะยืนอยู่ไกลขนาดนี้จึงทำให้เห็นไม่ชัดนัก


“เสร็จหรือยังครับรตี พี่คันปากอยากจะด่าได้กาจมันจะแย่แล้ว”


“ยังค่ะพี่บุ้ง นี่เพิ่งเริ่มลงรองพื้นเอง ยังเหลืออีกหลายขั้นตอนค่ะ” อารตีหัวเราะก่อนจะประโคมเนื้อครีมอีก 2-3 อย่างลงบนหน้าของคันธชาติ จากนั้นก็จัดการตบแป้งทับลงไปก่อนจะเริ่มเขียนคิ้ว


เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่อยู่นิ่งไม่ค่อยจะได้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เขียนคิ้วเสร็จ ก็เสร็จแล้วใช่ไหม”


“ยังค่ะพี่บุ้ง” หญิงสาวกล่าวขณะเริ่มแต่งเปลือกตาได้ข้างหนึ่ง


“ใจเย็น ๆ สิคะน้องบุ้ง” พุฒิพงศ์ที่ยืนจัดเสื้อผ้าอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้น “จะว่าไปน้องธันก็ช่างเลือกคนถูกนะคะ ดูสิน้องรตีนี่ฝีมือดีไม่ใช่เล่นเลย”


“ห่างหายมานานเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะออกมาถูกใจผู้ชมหรือเปล่านะคะ”


“ต้องถูกใจสิคะ นี่ขนาดยังไม่เสร็จดีก็ฉายแววสวยแล้วนะคะน้องบุ้ง”


คนฟังได้แต่หาวหวอด ๆ “สงสัยจะอีกนาน ถ้าอย่างนั้นหลับแล้วนะ ง่วงจะแย่แล้ว เป็นผู้หญิงนี่ลำบากจริง ๆ กว่าจะออกจากบ้านได้ แค่แว็กซ์ขนหน้าแข้งก็น้ำตาเล็ดแล้ว ไม่ไหว ๆ” พูดจบทำท่าจะหลับ แต่เสียงเล็กของคนตรงหน้าก็ขัดขึ้นเสียก่อน


“อดทนหน่อยสิคะ จะสวยทั้งที นี่น่ะพี่บุ้งต้องจำไว้ด้วยนะ ต่อไปรตีจะให้ลองแต่งเอง”


“ต้องจำด้วยเหรอ จดไม่ได้เหรอ” คันธชาติถอนใจเฮือกใหญ่ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากอารตีได้ไม่น้อย


“ของแบบนี้จดไม่ได้หรอกค่ะ ต้องลงมือทำถึงจะรู้ว่าจะต้องเติมตรงไหน ตรงไหนยังขาดอยู่”


“สมน้ำหน้า อยากหาเรื่องดีนัก” เก่งกาจแทรกขึ้นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ลอบมองช่างแต่งหน้าคนสวยที่ยังคงง่วนอยู่กับการแปลงโฉมให้ไอ้คนที่ตอนนี้สถาปนาตัวเองเป็นสายสืบไปเสียแล้ว


“พูดมากน่าไอ้กาจ เห็นไม่ตอบโต้หน่อยละเอาใหญ่เลย” คนที่เหมือนถูกตรึงอยู่บนเก้าอี้บ่นอุบ


ครู่หนึ่งอารตีก็ถอยออกมามองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ทีนี้ก็ถึงเวลาแปลงโฉมแล้วค่ะ เดี๋ยวผู้กองกับอาจารย์ธันวาออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ สาว ๆ เขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน”


ได้ฟังดังนั้นเก่งกาจและธันวาก็จำต้องระเห็จตัวเองออกจากห้อง นายตำรวจหนุ่มได้แต่บ่นอุบหลังจากประตูปิดลง “ไม่รู้จะเป็นความลับอะไรนักหนา ผมกับไอ้บุ้งก็เพื่อนกัน แก้ผ้ากระโดดน้ำกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีกต่างหาก ยังจะต้องอายอะไรกันก็ไม่รู้” พูดจบก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา กดเปิดทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ธันวาเดินเลี่ยงออกไปที่ระเบียงมองดูต้นอ่อนของผักบุ้งที่เพิ่งโผล่พ้นดินขึ้นมาได้ไม่กี่วัน 


เก่งกาจเอนหลังพิงโซฟาสัปหงกแล้วสัปหงกอีกก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนในห้องจะออกมา กระทั่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เสียงเปิดประตูดังแกร๊กก็ปลุกคนที่กำลังจะเคลิ้มหลับให้สะดุ้งตื่น ส่วนธันวาที่นั่งอ่านเปิดหนังสือดูรูปแมลงไปเรื่อยเปื่อยก็รีบผุดลุกขึ้นทันที เมื่อสองหนุ่มหันกลับไปมองหาต้นเสียงก็เห็นอารตีเดินยิ้มกริ่มออกมา เธอส่งยิ้มหวานให้จากนั้นจึงหันกลับไปยังประตูที่ค่อย ๆ แง้มออก ครู่หนึ่งก็ปรากฏร่างอวบของพุฒิพงศ์ที่กำลังจูงมือใครอีกคนออกมาด้วยกัน


“แท้ แด...ขอต้อนรับน้องบุ่งบุ๊ง ผู้ช่วยดีไซเนอร์คนใหม่ของเจ๊ค่ะ” พุดดิ้งกล่าวอย่างอารมณ์ดีในขณะที่เก่งกาจนั้นอ้าปากค้าง เมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักหลังจากแปลงโฉมเป็นครั้งแรก


“อะ...ไอ้บุ้ง นั่นแกเหรอ”


“เออสิวะ” สาวน้อยหน้าตาสะสวยขมวดคิ้ว ถ้าหากเธอไม่เปล่งเสียงออกมาธันวาเองก็คงไม่ปักใจเชื่อเช่นกัน หวนนึกถึงครั้งก่อนที่เดินสวนกันนั่นก็แทบจำไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ยิ่งไม่เหลือเค้าความเป็นนายน้อยแห่งไร่ชื่อดังเลยด้วยซ้ำ ริมฝีปากบางถูกแต้มทับด้วยสีชมพูจาง ๆ รับสันจมูกที่เชื่อมกับแนวคิ้วสวยได้รูป องค์ประกอบบนใบหน้ามันช่างรับกันอย่างเหมาะเจาะแถมยังเข้ากับวิกผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ตรงปลายถูกม้วนเป็นลอนหลวม ๆ เสื้อเชิ้ตพอดีตัวและกางเกงขากระบอกสีครีมยิ่งเน้นทรวดทรงองค์เอวที่ไม่ผิดไปจากผู้หญิงจริง ๆ จนธันวามั่นใจแล้วว่าสามารถใช้คำว่า ‘สวย’ อธิบายสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าได้


“ถึงกับอึ้งกันเลยเหรอคะ” พุฒิพงศ์หัวเราะชอบใจ “แสดงว่าฝีมือเราสองคนใช้ได้นะคะน้องรตี”


อารตียิ้มรับคำชมก่อนจะเดินเข้าไปยืนตรงหน้าคันธชาติหรือ ‘บุ่งบุ๊ง’ ที่พุดดิ้งตั้งให้ใหม่ มือเล็กเอื้อมสยายผมยาวของอีกฝ่ายไปด้านหลังก่อนจะจัดเสื้อเชิ้ตสีขาวให้เข้าที่ พร้อมกับตรวจดูความเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า 


“พี่ว่าซิลิโคนบรานี่มันแน่นไปหน่อยนะ หายใจจะไม่ออกแล้ว”


“จะสวยก็ต้องอดทนค่ะพี่บุ้ง หายใจลึก ๆ เดี๋ยวก็ชิน แต่รตีว่าเรามีของดีก็ต้องโชว์ค่ะ” พูดจบเธอก็จัดการปลดกระดุมเสื้อที่ห่อหุ่มความโค้งนูนออก เผยให้เห็นเนินอกที่เหมือนจริงเสียจนคนมองหน้าแดง


“โคตรเหมือนเลยว่ะไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวพลางเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ


“นิ่มด้วยนะเว้ย อย่างกับของจริง”


“เคยจับเหรอคะพี่บุ้ง” อารตีค้อนขวับ


“คุณรตีไม่รู้อะไร สาว ๆ ในฟาร์มน่ะผ่านมือให้บุ้งมาหมดแล้วนะครับ”


“ตายจริง บุ่งบุ๊งของเจ๊ ทำแบบนี้ไม่งามนะลูก”


“ไอ้กาจมันหมายถึงแม่วัวสาวน่ะครับ” คันธชาติตอบยิ้ม ๆ แต่กลับเป็นธันวาที่ถอนใจอย่างโล่งอก


‘โล่งอก?’ ทำไมต้องโล่งอก อาจารย์หนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองในใจ


“ลองจับไหมคุณ มันนิ่มมากเลยนะ” คันธชาติกล่าวขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ คนที่กำลังคิดอะไรเพลิน


หน้าสวยขยับเข้าใกล้พร้อมกับหน้าอกที่ยื่นเข้าหา ทำเอาธันวาต้องรีบถอยกรูด


“มะ...ไม่เป็นไร”


“โธ่ โอกาสแบบนี้หายากนะคุณ” พูดจบคันธชาติก็ยกมือขึ้นบีบเนินเนื้อปลอมใต้เสื้อตัวบางหน้าตาเฉย


“พี่บุ้ง! อย่าไปทำอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นเชียวนะคะ ขืนไปทำแบบนี้มีหวังแผนแตกกันพอดี”


“รู้แล้วคร้าบบบ ๆ” ชายหนุ่มรับคำ


“เอาละค่ะ ในเมื่อเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมแล้ว วันนี้เจ๊จะพาบุ่งบุ๊งไปชิมลางสร้างความคุ้นเคยกับการเป็นกะเทยวันแรกก็แล้วกันนะคะ”


“เจ๊จะพาผมไปที่นาฏยกาลเหรอครับ” คันธชาติทำตาวาว


“ยังค่ะ แต่วันนี้เจ๊มีนัดคุยงานกับทีมเขียนบทละครเวทีของนาฏยกาลก็เลยจะพาน้องบุ้งไปด้วย ใส่รองเท้าส้นแบนไปก่อน อีกหน่อยเจ๊จะสอนให้ใส่ส้นสูง พร้อมไหมฮ้า!!!!”


“พร้อมครับ” ถึงจะยังไม่ใช่ที่หมายแต่ก็รับคำอย่างหนักแน่น


“ไม่ได้จ้ะ บุ่งบุ๊งผู้ช่วยเจ๊ต้องอ่อนหวานกว่านี้”


“ต้องพูดยังไงนะครับ” คันธชาติทำหน้าฉงน


“ดูเจ๊เป็นตัวอย่างนะคะ เริ่มจากมือก่อนค่ะ มือต้องกรีดกราย แล้วตอบว่า...ได๋ค่ะเจ๊ ไหนลองซิคะ”


ชายหนุ่มทำท่าอิดออดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ตั้งสติ ยกมือทั้งสองขึ้นกรีดนิ้วออกแล้วตวัดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามจีบปากจีบคอสุดชีวิต “ได๋ค่ะเจ๊!!!!!!”


“ดีมากค่ะบุ่งบุ๊ง ไปค่ะ วันนี้เจ๊จะพาไปแจ้งเกิด” พูดจบพุฒิพงศ์กล่าวก่อนจะเดินนำออกจากห้อง


คันธชาติแสร้งกระแอมไอก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ ธันวาที่ยังคงยืนนิ่ง "ส่วนคุณ...ก็อย่าลืมเตรียมตัวเตรียมใจไปทานข้าวกับเจ๊พุดดิ้งด้วยนะคะ" พูดจบก็ตบไหล่คนตัวเท่ากันอย่างให้กำลังใจจากนั้นก็เดินผิวปากอารมณ์ดีจากไป ไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้ที่ทำอยู่น่ะมันน่าตีนัก   


“จะรอดไหมเนี่ยไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวพรางทิ้งตัวลงนั่งกุมขยับ


“เอาน่า รตีว่าพี่บุ้งเอาตัวรอดได้อยู่แล้วค่ะ” อารตีกล่าวก่อนจะเบนสายตามายังร่างสูงที่ยังคงมองไปที่ประตู “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะอาจารย์”


ธันวาหันกลับมาสบตานักศึกษาในความดูแลพลางพยักหน้าช้า ๆ “ก็หวังว่าจะไม่ไปทำป่วนจนแผนแตกนะ”
 
 


...
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 06-02-2015 23:21:08
ก็คิดอยู่ว่าสักวันบุ้งต้องได้แปลงร่าง
นี่กลายเป็นว่าผู้ต้องสงสัยกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับโคนันบุ้งกันหมด

สองเรื่องก่อนจบที่ประมาณยี่สิบตอน
เรื่องนี้แลดูจะยาวกว่านะคะ หรือยังไง
รู้สึกว่าคดียังไม่ถึงไหนเลย
นี่เพิ่งจะเริ่มเข้าไปสืบในนาฏยกาล
พี่ชายของอัศนัยยังไม่มีบทบาทเลย
เมื่อไหร่จะคลี่คลายน้อ

ปล. เห็นแว๊บๆ

//คันธชาติยิ้มน้อย ๆ เมื่อ {ถึงนึก} ความซนระดับเทพของเจ้าสองลิง

//หลายวันต่อมาทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ {ในแบบที่ใน}ควรจะเป็น

//เก่งกาจกล่าวพลางเอื้อมมือคว้าซองเอกสารกลับมาไว้กับตัวก่อนจะหันไปยิ้มให้ธันวา {อย่า} รู้กัน

//“โธ่..พี่พุดดิ้งคนสวยครับ คิดว่าช่วยลูกนกลูกกาเถอะนะครับ ผมอยาก {เขา} ไปทำงานในนั้นจริง ๆ”

//จนเพื่อนสาวที่นั่งข้าง ๆ ต้องส่ง {ผู้} เช็ดหน้าให้

//คันธชาติกล่าว {ก} อ้อมแอ้ม

//ผิวเนื้อที่ไม่เคยได้ {สำผัส} กับเครื่องสำอาง

//“ยังค่ะพี่บุ้ง” {หญิว} สาวกล่าวขณะเริ่มแต่งเปลือกตาได้ข้างหนึ่ง

//เดินมาทิ้งตัวลง {นัง} ที่โซฟา

//วิกผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ตรง {ปลาย?} ถูกม้วนเป็นลอนหลวม ๆ

//จนธันวามั่นใจแล้วว่า {สามรถ} ใช้คำว่า ‘สวย’

//{วัน} เจ๊จะพาบุ่งบุ๊งไปชิมลางสร้างความคุ้นเคยกับการเป็นกะเทยวันแรก

//ต้อง {พุด} ยังไงนะครับ

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-02-2015 11:36:06
ผักบุ้งเอ้ยยย เป็ย บุ่งบุ้ง ไปซะแล้ว
จะได้เรื่องอะไรไหมหว่าา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-02-2015 12:18:27
บุ้งสวยจนหนุ่มๆตะลึงไปเลย แต่ปรับปรุงบุคลิกด่วน
บุ้งนี่แสบจริงๆ ทั้งซนทั้งดื้อ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 07-02-2015 17:26:52
เดี๋ยวไปสวยเตะตาคุณอัศนัยแน่นแน่~

~.~

???
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 07-02-2015 17:59:19
อาจารย์ธันถึงกับตะลึงกับลุคบุ่งบุ๊ง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 07-02-2015 21:00:38
ตะลึงงงงงง
มาแตะขอบฟ้าใกล้นะค่ะ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 09-02-2015 15:57:18
อ่านตอนนี้แล้วทำไมขำมาก 55555555555

น้องบุ่งบุ๊งคะ เป็นสาวเป็นนาง
เอาหน้าอกหน้าใจให้ผู้ชายจับได้ยังไง มันน่าหมั่นเขี้ยวนัก!
เราเป็นดร.ธันวาจะจับมาตีก้นให้เข็ด คนอะไรหาเรื่องป่วนได้ตลอดเวลาจริงๆ

สงสารด๊อกเตอร์ตะหงิดๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ 5555555
ีู้รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็ตกกระไดพลอยโจน ลงมาอยู่ในแผนการป่วนของตัวบุ้งจนได้
นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ  :jul3:

ไม่คิดว่าตัวบุ้งจะได้แต่งหญิงอีก แต่แหม.. พอแต่งออกมาแล้วแบบ
โฉมเอยโฉมงาม อร่ามแท้แลตะลึงมากๆ  :-[ สวยจนหนุ่มๆ จำไม่ได้เลยทีเดียว แอร๊ยยยย

หวังว่าการเข้าไปอยู่ในนาฏยกาลคราวนี้จะไม่ต้องกลับออกมาตัวเปล่านะคะ
แต่จากปากคำของเจ้พุดดิ้ง (มีจุดหนึ่งที่คนเขียนน่าจะเขียนผิดเป็นพุดเดิ้ลรึเปล่า? ฮาา)
คุณอัศนัยเนี่ยเค้าชอบผู้ชายในร่างสาว มิน่าล่ะในโรงละครถึงมีแต่สาวๆ ประเภทสอง
แอบหวั่นๆ ว่าถ้าน้องบุ่งบุ๊งเข้าไปทำงานกับเจ้พุดดิ้งแล้ว จะโดนคุณอัศนัยหยอดบ้างมั้ยเนี่ย? -O-
นี่ขนาดวันซ้อมแปลงโฉมเป็นสาวประเภทสองยังทำเอาดร.ธันวากับผู้กองตะลึงในความงามมาแล้ว
แอบหวั่นๆ ว่าจะไม่พ้นสายตาของคุณอัศนัยน่ะสิคะ!! เอาตัวรอดมาได้นะตัวยุ่งเอ้ยยยย >_<


ปล.อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้พุดดิ้งตอนดร.กับนายน้อยเค้าจีบ(?)กันบนโต๊ะกินข้าวเลยค่ะ ฮาา
ปล.2 ดร.ธันวากับผู้กองเก่งกาจชักจะเหมือนพี่เลี้ยงเด็กซนๆ เข้าไปทุกวันเลยค่ะ นายน้อยมันน่าหยิกนัก!

รอตอนหน้านะค้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-02-2015 21:26:34
ระวังตัวด้วยนะบุ่งบุ๊ง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 16-02-2015 02:34:29
ตอนที่ 8 ก้าวแรกในนาฏยกาล




เจ้าของห้องมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าได้เวลาไปทำงานจึงรีบคว้ากุญแจรถกับเอกสารเย็บเล่มจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก่อนจะเดินไปเปิดประตูเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงกริ่งดังขึ้น และเมื่อประตูเปิดออกชายหนุ่มก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเพบว่าคนที่มากดกริ่งเป็นใคร


“มีอะไรหรือเปล่า” ธันวาถามเสียงเรียบ


หน้าสวยยื่นเข้ามาใกล้พร้อมกับเผยอยิ้มน้อย ๆ ลิปติกสีชมพูจางที่แต้มเคลือบบนกลีบปากได้รูปยิ่งทำให้รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มแสนหวานที่สุด “แฮ่...จะให้ช่วยดูให้หน่อยว่าวันนี้ผมเป็นยังไงบ้าง แต่งหน้าทำผมเองกับเลยนะ ดูซิว่าใช้ได้ไหม”


พูดจบก็หมุนตัวอย่างทุลักทุเลเพราะรองเท้าส้นสูงหัวแหลมที่เพิ่งจะหัดสวมได้ไม่กี่วัน ท่าทางตลก ๆ นั่นเล่นเอาธันวาต้องยกนิ้วขึ้นถูกับปลายจมูกกลั้นหัวเราะ มองร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมท่ากางเกงสีครีมที่กำลังทำตัวเป็นนักเต้นบัลเลต์ แต่คงเป็นนักเต้นบัลเลต์ที่เสียการทรงตัวเพราะขาพันกันจนเซมาทางนี้


“ฮ...เฮ้ย!!!”


คันธชาติหลับตาปี๋ คิดว่าคงได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวฟาดพื้นแน่ แต่แล้วมือใหญ่ที่สัมผัสเข้ากับต้นแขนและแผ่นหลังที่กระแทกกับอกหนาของอีกคนก็ทำให้รู้สึกโล่งอก


“ระวังหน่อยสิ” เสียงที่ดังอยู่ใกล้หูดึงเปลือกตาให้เปิดขึ้นอีกครา


ธันวาผละมือออกเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถยืนได้เอง ฟังคำขอบคุณและลอบสำรวจคนที่กำลังจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ จำได้ว่ายังคงค้างคำตอบที่คันธชาติถามเมื่อครู่ กำลังจะเอ่ยปากแต่คนตรงหน้าก็ถามซ้ำขึ้นเป็นครั้งที่สอง


“ว่ายังไง เป็นไงบ้าง”


“ก็...ก็ดีนะ” พูดจบก็ดึงประตูปิด เกิดเสียงดังพร้อมกับคำพูดต่อหลัง “แต่ผมชอบแบบเดิมมากกว่า”


“ว่าไงนะ”


“ผมบอกว่าก็ดี”


“แล้วอะไรอีก เมื่อกี้มีต่อ”


“ต...แต่ผมชอบแบบเดิมมากกว่า”


“แบบเดิม? หมายถึงแบบที่รตีแต่งให้น่ะเหรอ”


“แบบเดิม...ก็...”   


ธันวาถอนใจเบาเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน


“โทษนะ ขอรับโทรศัพท์แป๊บ” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ที่เหน็บไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย “ครับเจ๊ เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวจะรีบไปครับ”


หลังจากวางสายก็หันมาทวงคำตอบต่อ “เมื่อกี้คุณว่าไงนะ”


“ช่างเถอะ แล้วนี่จะไปไหน”


“อ๋อ วันนี้เจ๊พุดดิ้งจะพาเข้าไปที่นาฏยกาลน่ะ เห็นว่าคืนนี้ที่นั่นจะมีการแสดงละครเวทีน่ะ ก็เลยต้องเข้าไปช่วยดูแลความเรียบร้อย”


“แล้วคุณจะไปยังไง ให้ผมไปส่งไหม”


คนฟังรีบยกมือห้ามก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไร ไอ้กาจรออยู่ข้างล่างแล้วละ เดี๋ยวผมไปหยิบกระเป๋าในห้องก่อน คุณไปทำงานเถอะ” กำลังจะหันหลังกลับก็ต้องชะงักเมื่อข้อมือถูกรั้ง


“บุ้ง”


“หืม?”


“คือว่า...” ธันวาสบตาคู่งามที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอน ค่อย ๆ คลายมือออกจากข้อมือของอีกฝ่าย ตาที่เคยสบกันเลื่อนระดับลงมาจนคนถูกจ้องต้องก้มมองสำรวจตัวเองบ้าง


หากมีใครสักคนยืนมองภาพนี้จากที่ไกล ๆ ได้เห็นตั้งแต่ต้น คงต้องบอกว่ามันคือฉากโรแมนติกฉากหนึ่งในละครภาคค่ำ ใช่...มันเป็นฉากที่พระเอกกำลังยื้อนางเอกที่กำลังจะเดินจากไปเอาไว้ ขอเวลาอีกสักหน่อยเพื่อให้ได้สบตากันอีกนิด หวังว่าความหมายที่อยู่ในดวงตาจะทำให้เธออยู่ต่อ และมันจะโรแมนติกมากขึ้นไปอีกหากสองคนโผเข้ากอดกันแทนที่จะเป็น...



“อุ้ย! นมเบี้ยว”
พูดจบก็จับหมับเข้าที่ส่วนนูนอวบจนแทบจะล้นออกนอกเสื้อ จัดการขยับให้เข้าที่


ธันวาได้แต่ส่ายหน้า ‘ช่างทำมันได้หน้าตาเฉย’


ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ตอนนี้อยู่ในคราบของผู้หญิง...ผู้หญิงสวยเสียด้วย ควรจะระวังกิริยามารยาทหน่อยไหม ไม่ใช่เที่ยวยื่นหน้าอกให้คนอื่นจับ หรือมาจัดระเบียบร่างกายต่อหน้าชายหนุ่มแบบนี้


คันธชาติและธันวาเดินออกมาจากคอนโดพร้อมกันก่อนจะตรงไปยังรถซีดานสีดำติดฟิล์มทึบที่จอดสนิทอยู่ไม่ไกล เจ้าของรถในชุดเครื่องแบบนายตำรวจเต็มยศสวมแว่นกันแดดเรย์แบนยืนเต๊ะจุ๊ยพิงตัวถังยกมือขึ้นทักทายก่อนจะถอดแว่นออกเสียบกับอกเสื้อ จ้องมองเพื่อนรักให้ชัด ๆ


“ว่าไงจ๊ะน้องสาว” เก่งกาจกล่าวพลางใช้นิ้วเขี่ยปอยผมเคลียบ่าก่อนจะส่งไปด้านหลังให้


“น้องสาวป้าแกสิไอ้กาจ”


“อ้าวไอ้นี่” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว “หน้าตาก็สวย แต่ดันเลี้ยงหมาไว้ในปาก มามะ มาให้พี่เอาขนหมาออกให้นะ” พุดจบก็ทำท่าจะยกมือขึ้นทำอย่างที่ปากบอกแต่ก็โดนเจ้าของหมาปัดมือออกอย่างไว


“ก่อนมาไม่ได้กินข้าวหรือไง ถึงจะมากินตีนเพื่อนเนี่ย”


“โห! ไอ้บุ้ง! ไอ้หนอน!”


“เห่าอะไรของแกวะ หนวกหู”


“เอาละ ๆ ผมว่าพวกคุณอย่ามัวมาทะเลาะกันอยู่เลย รีบไปดีกว่า ป่านนี้พี่พุดดิ้งคงรอแล้ว” คนกลางถอนใจพรืด รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กก็ไม่ปาน


สองคนยังคงปล่อยพลังใส่กันทางสายตา ดีที่ได้ธันวาช่วยห้ามทัพ ไม่เช่นนั้นคงจะได้ทำสงครามกันก่อนจะออกเดินทาง เก่งกาจไหวไหล่ก่อนจะเดินไปเปิดประตูฝั่งคนนั่ง ผายมือเชื้อเชิญ “เชิญครับคุณผู้หญิง”


...นี่ก็อีกคน ทำตัวเป็นพระเอกละคร...


“ไปก่อนนะคุณ” คันธชาติหันมากล่าวกับเพื่อนบ้านห้องตรงข้าม


“ระวังตัวด้วยล่ะ”


คนฟังได้แต่พยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังประตูที่เปิดอยู่ สอดตัวเข้าไปนั่งด้านใน เมื่อประตูทั้งฝั่งคนขับและฝั่งคนนั่งปิดลง ซีดานสีดำขลับก็เคลื่อนออกจากคอนโดไป


....




ที่โรงละครซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงละครที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ สาวประเภทสองเกือบร้อยชีวิตมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และวันนี้ก็ดูจะเป็นวันที่แสนวุ่นวายวันหนึ่ง การแสดงรอบสุดท้ายของไตรมาสแรกกำลังจะเริ่มต้น คันธชาติเดินตามพุฒิพงศ์เข้าไปในห้องแต่งตัวซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมและเครื่องสำอาง กลายเป็นว่าแทนที่จะหอมกลับรู้สึกแสบจมูกพิลึก คนที่กำลังเขียนปากทาคิ้วต่างก็วางมือ ส่วนคนที่ใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ชะงัก ชายหนุ่มสังเกตได้ถึงดวงตานับสิบคู่ซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา กระทั่งคนเดินนำเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้น


“เอ้านี่ ไม่ต้องจ้องจนตาจะหลุดแบบนั้นย่ะพวกหล่อน นี่ผู้ช่วยเจ๊เอง ชื่อบุ่งบุ๊ง” พูดจบก็หันมาทางคันธชาติ “นังบุ๊ง!!!! ไหว้ป้า ๆ เขาสิลูก”


“อ้าวอีเจ๊!!! พี่ก็พอค่ะ” คนหนึ่งแว้ดขึ้น


คันธชาติย่อตัวไหว้อย่างกับนางงามตามที่ครูสอนก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ทุกคน


“นึกว่าเจ๊จะเอาเด็กใหม่มาฝากเสียอีก นี่กะเทยจริงหรือเปล่ายะ หน้าตาขโมยซีนมาก”


“บุ่งบุ๊งตอบเขาไปสิลูก หรือถ้าตอบแล้วมันไม่เชื่อก็แสดงหลักฐานทิ่มตามันเสียเลยยยยยยยย”


“ต๊าย! นี่ยังไม่ได้ตัดเหรอจ๊ะ” แคทปรายตามองผ่านเงาสะท้อนในกระจกขณะปัดขนตา


“ย...ยังค่ะ ตังค์ไม่พออ่ะเจ๊ บุ๊งกลัวเขาตัดให้ครึ่งเดียว” ตอบมั่วซั่วไปตามน้ำ


“ชื่อบุ่งบุ๊งเหรอ” คนตัวเล็กที่สุดในที่นั้นกล่าวก่อนจะลุกจากเก้าอี้หน้ากระจกมาหยุดอยู่ตรงหน้า


คันธชาติพยักหน้าหงึกพลางมองคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตา


“นี่ชื่อนิกกี้นะ ส่วนคนตัวสูงนั่นชื่อพี่จีจี้ สวย ๆ นั่นชื่อพี่แคท” แล้วสามสาวก็เดินมายืนรวมกันก่อนจะโพสต์ท่าราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่น ไม่เท่านั้น ยังพร้อมใจกันประสานเสียจนแสบแก้วหู


“พวกเราคือแก๊งนางฟ้าแห่งนาฏยกาลจ้ะ”


“เอาเข้าไปนังพวกนี้” พุฒิพงศ์ส่ายหัวดิก นั่นมันเป็นการสถาปนาตัวเองของพวกแกต่างหาก “นางฟ้าหรือซาตานกันแน่ยะ”


”โธ่เจ๊ นางฟ้าสิคะ” กะเทยร่างสูงกล่าวก่อนรั้งผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าไปในห้องข้าง ๆ กัน


คันธชาติชะเง้อมองร่างเพรียวพันด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่เดินสวนทางออกมา ผิวเนื้อเนียนพราวไปด้วยหยดน้ำ เดาได้ว่าอีกห้องน่าจะเป็นห้องสำหรับอาบน้ำ ชายหนุ่มเดินมานั่งแหมะลงข้าง ๆ พุฒิพงศ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นอุปกรณ์เย็บปักในกล่องที่เตรียมมา กระนั้นสายตายังคงปักหลักมองคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างเป่าผมอยู่หน้ากระจก


“นังนิกกี้อย่ามัวแต่เม้าค่ะ เตรียมแต่งตัวได้แล้ว ชุดไหนหลวมจะได้เย็บเข้าให้เสร็จ ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เวลาแสดงแล้วนะ”
เสียงแหวนั้นเรียกสายตาของผู้ช่วยจำเป็นให้กลับมายังเข็มและด้ายในกล่อง ไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำเจ้าของชื่อพาร่างตัวเองเข้ามาเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งลง


“บุ่งบุ๊งเย็บข้างเข้าให้นิกกี้หน่อยสิ”


คันธชาติพยักหน้า ก่อนจะลงมือสนเข็ม โชคดีที่ก่อนหน้านี้พุฒิพงศ์เคยได้ให้ทดลองทำมาบ้าง ไม่เช่นนั้นก็คงจะได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแน่ 


“นั่นน่ะพี่อัน” คนเดิมกระซิบ “เป็นนางเอกของที่นี่เชียวนะ”


ชายหนุ่มยังคงมองเจ้าของเรือนร่างงดงามเป็นระยะ ทั้งใบหน้า ทรวดทรงองค์เอว แม้กระทั่งเรียวขา ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเธอคือผู้ชาย 


“สวยเนอะ” พูดพลางสอดเข็มลงกับเนื้อผ้าก่อนจะดึงออกจากตัว


“ใช่ พี่อันน่ะสวยมากเลยนะ สวยเสียจนเป็นคนโปรดของคุณเล็ก”


“คุณเล็ก?”


“ก็คุณอัศนัยลูกชายเสี่ยอนันต์เจ้าของที่นี่ไง แต่เธอไม่ค่อยให้ใครเรียกชื่อเล่นหรอก พวกเราเรียกกันลับหลังน่ะ”


“เคยได้ยินแต่ชื่ออยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยเจอตัวจริงเลย วันนี้จะได้เจอไหม”


“อืม...ก็อาจจะเจอนะ ปกติเธอจะขึ้นเวทีกับเราในการแสดงรอบสุดท้ายน่ะ” นิกกี้หยุดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงกรรไกรตัดฉับเสื้อเข้ารูปที่เคยหลวมก็กลับพอดีตัว


กะเทยร่างเล็กกล่าวขอบคุณผู้ช่วยฝ่ายเสื้อผ้าคนใหม่ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ของเธอ ส่วนคันธชาติก็ยังคงแต่มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้มีเต็มไปด้วยนักแสดงในชุดเสื้อผ้าแบบไทยล้านนา คนที่รับบทเป็นผู้หญิงนุ่งซิ่น สวมเสื้อแขนกระบอกพาดผ้าพาดบ่า เกล้าผมเป็นมวยประดับด้วยดอกไม้หรือปิ่นทำจากเงินหรือทองเหลืองซึ่งเป็นวัสดุเดียวกันกับเครื่องประดับอื่น ๆ เช่น สร้อยคอ สร้อยสังวาลย์ ต่างหูและกำไล 


อีกหลายคนสวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวบ้าน ทาเนื้อทาตัวดำปี๋ คนหนึ่งที่ยังเหลือเค้าความเป็นชายอยู่บ้างสวมเครื่องแบบนายทหาร รองเท้าบูทสูงเกือบถึงหัวเข่าแบบเดียวกับที่เห็นได้ในละครย้อนยุคในทีวี แม้ในบางจังหวะการเดินจะอ้อนแอ้นอรชรแต่เมื่อโพสต์ท่าให้เพื่อน ๆ ถ่ายภาพก็กลับดูสง่างามน่าเกรงขาม ยิ่งใกล้เวลาแสดงความโกลาหลยิ่งบังเกิด ต่างคนต่างเดินกันขวักไขว่จนคนมองตาลายไปหมด กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจึงเบนสายตากลับมายังเครื่องมือเย็บปักในมืออีกครั้ง


“ชื่อบุ๊งใช่ไหม”


“ค...ค่ะ”


“ช่วยรูดซิปให้ทีสิ” หญิงสาวสวมเสื้อเกาะอกสีชมพูกล่าวพร้อมกับหันหลังให้ ผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นช่วงคอระหง บ่าลาดรับกับไหล่มน ผิวพรรณกระจ่างตาน่ามองนัก


เมื่อคันธชาติยืนขึ้นจึงได้รู้ว่าความสูงของเธออยู่ในระดับพอ ๆ กันกับตนเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือดึงซิปขึ้นจนสุดพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยจางที่ถูกกลบทับด้วยรองพื้นสีใกล้เคียงกับสีผิว ถึงจะดูเลือนรางแต่ผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังสยายปีกในตำแหน่งต่ำลงมาจากบ่าด้านขวานั่นก็ยังคงสวยงาม


“ข้างหลังยังเห็นรอยสักอยู่ไหม”


“อ...เอ้อ นิดหน่อยค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นช่วยทารองพื้นทับให้อีกทีนะ เมื่อกี้ทาเองแล้วมองไม่เห็น” ถึงจะเป็นประโยคของร้องแต่ก็ยังคงความเย่อหยิ่งอยู่ในที คันธชาติรับตลับครีมเนื้อเนียนจากมือของอีกฝ่ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ จด ๆ จ้อง ๆ ไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน


“เร็วหน่อยสิ ใกล้เวลาแล้ว”


เสียงเตือนนั่นยิ่งทำให้มือไม้สั่นเทายิ่งสั่นหนักเข้าไปใหญ่ ตัดสินใจเปิดฝาแตะนิ้วลงปาดครีมขึ้นก่อนจะแตะลงบนผิวเนื้อนุ่ม ปลายนิ้วปาดป่ายจนเจ้าผีเสื้อตัวน้อยเลือนหายไปราวร่ายมนต์


“ร...เรียบร้อยแล้วค่ะ”


“ขอบใจนะ” พูดจบหญิงสาวเจ้าของคอตั้งตรงก็เดินห่างออกไป เธอคว้าเสื้อตัวบางสีชมพูอ่อนขึ้นมาสวมทับ จัดจาการคาดเข็มขัดและดูความเรียบร้อยของตนเองที่หน้ากระจกอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปในที่สุด


“นั่นน่ะ อัญชลิสา เล่นเป็นสาวเครือฟ้า นางเอกละครวันนี้ค่ะ” พุฒิพงศ์ลุกขึ้นเดินไปคว้าชุดนายทหารที่อยู่ก้นกล่องพลาสติกใบใหญ่ออกมาแขวน


“แล้วชุดนี้ของใครครั...บ” คำลงท้ายนั่นทำเอาผู้ร่วมขบวนการหันขวับ


“ของใครคะ” คันธชาติยิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกได้ว่าเกือบจะลืมตัวหลุดพูดคำว่า “ครับ” ออกไป


“ชุดนี้ของคุณอัศนัย เธอจะขึ้นเวทีตอนการแสดงจบ วันนี้เธอจะใส่ชุดเดียวกับร้อยตรีพร้อมด้วย คงจะเท่น่าดู” พุฒิพงศ์ทำตาชวนฝันเมื่อนึกถึงเจ้านายหน้าอ่อนที่ใคร ๆ ต่างหมายปอง


“แล้วไหนล่ะคะคุณอัศนัย”


“อืม เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมาแล้วละ”



เมื่อเพลงประจำโรงละครถูกบรรเลงขึ้นนั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้งผู้ชม นักแสดงและคนเบื้องหลังทราบว่าการแสดงจะเริ่มในอีกไม่ช้า คันธชาติยืนแอบอยู่ด้านหลังม่านมองดูสิ่งที่ดำเนินไปบนเวทีผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ เพิ่งจะเคยมีโอกาสได้ดูละครเวทีแบบใกล้ชิดครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็เพิ่งรู้ว่าด้านหน้าเวทีที่เห็นว่าสวยงามมีจังหวะจะโคน นักแสดงเล่นไปตามบทบาทที่ได้รับ แต่เบื้องหลังนั้นกลับวุ่นวาย ไหนจะเปลี่ยนฉาก ไหนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า บรรยายกาศด้านหลังเวทีนั้นดูยุ่งเหยิงไปหมด


“คุณอัศนัยมาพอดีเลย”


เสียงพุฒิพงศ์ที่ดังแว่วมาจากห้องแต่งตัว ทำให้คันธชาติต้องผละจากจุดที่ยืนเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง อยากรู้เหลือเกินว่า ‘อัศนัย นาฏยะ’ ที่บรรดาสาว ๆ ในห้องแต่งตัวต่างพูดถึงจะหน้าตาเป็นอย่างไร ครั้งก่อนที่ได้พบก็เห็นกันเพียงแค่ไม่กี่นาทีแถมอยู่ไกลกันจนแทบจะเห็นเป็นหัวไม้ขีด


ภายในห้องแต่งตัวเหลือนักแสดงเพียงไม่กี่คนกับช่างแต่งหน้า เพราะทุกคนต่างไปยืนออรอลุ้นให้กำลังใจเพื่อน ๆ อยู่ที่ข้างเวที เจ้าของหน้าสวยที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ เมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกก็ยอมรับว่าที่บรรดาสาว ๆ พูดนั้นเป็นความจริง ลูกชายคนเล็กทายาทตระกูลนาฏยะคนนี้หล่อเหลาสมคำร่ำลือ


“น้องบุ๊ง มาช่วยเจ๊แต่งตัวให้คุณอัศนัยหน่อยจ้ะ” พุฒิพงศ์เรียกพลางช่วยชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเธอมากสวมเสื้อชุดทหารที่เตรียมไว้


คันธชาติพยักหน้าหงึกก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ เสียดายไม่น้อยที่มาไม่ทันได้เห็นว่าชายคนนี้มีรอยสักรูปดอกไม้แบบเดียวกันกับคนที่เขากำลังตามหาหรือไม่ มือเรียวเอื้อมติดกระดุมไล่ตั้งแต่ล่างสุดมาจนถึงเม็ดที่อยู่ติดคอ จังหวะนั้นจึงมีโอกาสได้สบตากัน


“คุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณเป็นผู้ช่วยคนใหม่”


“ค...ค่ะ” พูดพลางถอยห่างออกมาเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจของอีกฝ่ายรดลงที่ข้างแก้ม


ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นพร้อมกับมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ...”


“บุ๊ง...เรียกบุ๊งก็ได้ค่ะ”


“ครับ คุณบุ๊ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ เรียกผมว่าเล็กก็ได้” พูดจบก็ยื่นมือให้จับ


“อ...เอ้อ ค่ะ คุณเล็ก” คันธชาติมองมือที่ยื่นมาอย่างลังเลจนกระทั่งพุฒิพงศ์ต้องกระแอมเตือน


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”


ช่างเสื้อทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองสองมือที่สัมผัสกันตรงหน้า ถือว่าเป็นการขโมยซีนกันสุด ๆ นี่ถ้านังพวกนั้นมาเห็นเข้าสงสัยจะพากันลงไปนอนดิ้นพล่านกันเป็นระนาว


การแสดงปิดฉากลงเมื่อตอนหนึ่งทุ่มเศษ ๆ กว่าจะรอนักแสดงถ่ายภาพร่วมกัน กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรวจดูความเสียหายของชุดก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม เมื่อกลับมาถึงคอนโดผู้ช่วยฝึกหัดก็แทบหมดสภาพ ทั้งวิกผมและซิลิโคนบราถูกถอดออกก่อนจะเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง คันธชาติทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาทำตาลอยราวกับคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนทั้งเก่งกาจและธันวาที่ต่างมารอฟังข่าวอดเป็นห่วงไม่ได้


“มันเป็นอะไรของมันน่ะครับเจ๊” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยในอาการแปลกประหลาดของเพื่อน


“เมานมนะค่ะ” พุฒิพงศ์หัวเราะคิก


“เมานม?”


“ค่ะ สงสัยจะไม่เคยเจอนมเป็นกองทัพ”


“หมายความว่ายังไงครับ” ธันวาถามขึ้นบ้าง


“ก็ตอนการแสดงเลิก นักแสดงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวน่ะสิคะ ถอดพรึ่บพร้อมกันหมด น้องบุ้งก็เลยเป็นแบบนี้”


“มันมีทั้ง...แตงโม มะพร้าว...” พูดอย่างกับคนหมดแรงแต่ไม่วายทำมือประกอบ “มะนาว ส้มโอ ไข่ดาวยังมีเลย...ลายตาไปหมด”


เก่งกาจหัวเราะในลำคอก่อนจะนั่งลงกอดคอกระซิบถามเพื่อนรัก “แล้วได้จับหรือเปล่าวะ”


“จับบ้าอะไรเล่า แค่เห็นเรี่ยวแรงก็พาลจะหมด” คันธชาติเขยิบออกห่างก่อนจะส่ายศีรษะรัวไล่ภาพติดตาออกจากหัวสมอง


“แต่วันนี้น้องบุ้งน่ะช่วยงานเจ๊ได้เยอะเลยนะคะ แถมขโมยซีนนังพวกนั้นด้วย คุณอัศนัยเธอมองน้องบุ้งอย่างกับจะกลืนลงไปทั้งตัว” พุฒิพงศ์ปิดปากหัวเราะชอบใจ ทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์นึกนึกประโยคสุดท้ายของอัศนัยขึ้นมา



‘หวังว่าจะได้พบกันใหม่นะครับ เราจะได้ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้’



ชายหนุ่มทำขนพองสยองเกล้า “นึกถึงแล้วขนลุกไม่หายมากกว่าครับ”


“แหม...ใคร ๆ ก็อยากจะสนิทสนมกับคุณอัศนัยทั้งนั้นแหละคะ แต่เธอน่ะไม่ค่อยเปิดตัวเองให้ใครรู้จักง่าย ๆ น้องบุ้งถือว่าประสบความสำเร็จนะคะ ก็เล่นสวยเด่นขนาดนี้”


“เสียดายอย่างเดียว ไปไม่ทันตอนเขาแก้ผ้า”


“ห๊ะ!!!” ทั้งธันวาและเก่งกาจต่างก็อุทานขึ้นพร้อมกัน


“แกว่าไงนะไอ้บุ้ง”


“บอกว่าเสียดายที่ไปไม่ทันนายอัศนัยนั่นเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เลยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นเจ้าของรอยสักรูปดอกไม้นั่นหรือเปล่า นอกนั้นเท่าที่เห็นก็มีทั้งสักยันต์ห้ายอด มีเสือด้วยนะ บางคนก็เป็นรูปมังกร ตัวเท่านี่!” กางมือทำท่าประกอบ “เลื้อยตั้งแต่ใต้ขอบผ้าซิ่นขึ้นไปถึงกลางหลังแน่ะ ส่วนของอัญชลิสา...เป็นผีเสื้อตัวเล็ก ๆ น่ารักเหมือนเธอเลย”


“อะไรวะ พอพูดชื่อนี้แล้วทำยิ้ม อยากรู้เสียแล้วสิว่ายัยอัญชลิสาอะไรนั่นจะหน้าตาเป็นยังไง”


“อู๊ย!!! ผู้กองคะ นั่นน่ะเขาระดับนางเอกคณะละครนะคะ”


“สวยยังกับผู้หญิงจริง ๆ เห็นแล้วแกจะตะลึง” กล่าวพลางเอียงคอมองเพื่อนพร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ


“สวยกว่าแกอีกเหรอวะ” เก่งกาจทำขยับเข้าใกล้มองตาเป็นมัน


“ไปห่าง ๆ เลยไอ้กาจ” คันธชาติกล่าวพร้อมกับผลักหัวอีกฝ่ายเต็มแรง “ไป ๆ กลับกันไปได้แล้ว เหนื่อยจะแย่แล้ว”


เมื่อเห็นท่าทางงอแงของนายน้อยผู้แสนเอาแต่ใจตัวเอง บรรดาผู้ร่วมขบวนการก็เห็นทีจะต้องพากันสลายตัว


“ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับกันเถอะครับเจ๊พุดเดิ้ล”


“พุดดิ้งค่ะ เจ๊เป็นคนนะคะผู้กอง ไม่ใช่หมาตำรวจ” พุฒิพงศ์ค้อนขวับแต่ก็ทำเนียนคล้องแขนล่ำ ๆ เอาไว้แน่น “กลับก็ได้ค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ แกจะได้พักผ่อน กลับก่อนนะครับด็อกเตอร์” เมื่อกล่าวอำลากันเรียบร้อยแล้วเก่งกาจและพุดดิ้งก็ควงแขนกันเดินออกไปจากห้อง


ธันวามองตามประตูที่ปิดลงก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยังคงนั่งตาลอยอยู่บนโซฟา “ผมว่าไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหม”


“ขี้เกียจ คุณกลับไปเถอะเดี๋ยวผมจะนอนแล้ว เจ็บเท้าเป็นบ้า รองเท้าบ้าอะไรก็ไม่รู้ ใส่ก็ยากถอดก็ยาก แถมสูงจนเวลาเดินปวดน่องไปหมด”


ธันวามองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็กลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำอุ่น ชายหนุ่มวางมันลงที่โต๊ะเตี้ย ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกล ย่อตัวลงเอื้อมมือถอดรองเท้าให้คนที่กำลังจะเคลิ้มหลับจนอีกฝ่ายสะดุ้ง


“จะทำอะไรน่ะ” คันธชาติกล่าวอย่างรวดเร็วพร้อมกับขยับเท้าให้ห่างมือคนอายุมากกว่า


“ก็จะถอดรองเท้าให้ไง คุณอยู่เฉย ๆ เถอะ” พูดจบก็ยึดข้อเท้าเล็กเอาไว้ จัดการปลดสายเข็มขัดเล็ก ๆ ที่รัดข้อเท้าจากนั้นจึงถอดรองเท้าออก “แดงไปหมดเลย”


“ก็เดินทั้งวันนี่ ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงเขาทนได้ยังไงกัน”


“แช่น้ำอุ่นสักหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น” ธันวากำลังจะปลดสายรองเท้าอีกข้างแต่คันธชาติไม่ยอม


“ที่เหลือผมทำเองได้ คุณไปนอนเถอะ” เจ้าของห้องกล่าวพลางโบกมือไล่ส่ง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำไป เดี๋ยวผมไปเอาอุปกรณ์ลบเครื่องสำอางมาให้ก็แล้วกัน อยู่ในห้องใช่ไหม”


คนถูกถามพยักหน้าเนือย ๆ ก้มลงถอดออกเท้าอีกข้างออกก่อนจะจุ่มเท้าเปลือยลงในกะละมังน้ำอุ่น จริงอย่างว่ามันให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว


ธันวาเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเครื่องสำอางที่อารตีทิ้งไว้ให้ เขารู้ว่าจะใช้มันอย่างไรเพราะตอนที่นักศึกษาในความดูแลสาธิตวิธีการใช้งานเขาก็อยู่ด้วย ชายหนุ่มนั่งลงข้างคนที่กำลังกางแขนพาดพนักโซฟาหลับตาพริ้มก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบแผ่นทำความสะอาดใบหน้าออกมา จากนั้นก็จัดการเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าของอีกฝ่าย ค่อย ๆ เช็ดจนสีสันที่แต่งแต้มใบหน้านั้นเริ่มจางหาย


“ตื่นก่อน ดึงขนตาปลอมออกก่อน” พูดจบก็ตบลงที่แก้มนุ่มเบา ๆ


“โธ่ คนกำลังฝันเลย” คันธชาติบ่นขณะปรือตาขึ้น เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดกับความเหนื่อยล้าและความง่วงทำให้พิษสงของนายน้อยเอาแต่ใจกำลังจะหมดตามเช่นกัน ยอมอยู่เฉย ๆ แต่โดยดีก็ได้


ธันวาเห็นเป็นโอกาส ออกแรงดึงขนตาปลอมออกอย่างรวดเร็วจนคนถูกแกล้งสะดุ้ง เอาคืนเสียให้สาสมกับหลายเรื่องที่ก่อเอาไว้


“เบา ๆ หน่อยยยยยยย เห็นหมดทางสู้ละเอาใหญ่เลย” ปากบางบ่นงึมงำไม่คิดจะโต้ตอบใด ๆ แล้วในเวลาเช่นนี้ คนฟังอมยิ้ม เอื้อมมือดึงขนตาที่เหลืออย่างเบามือที่สุด จากนั้นก็ลงมือเช็ดเครื่องสำอางอีกครั้ง


ชายหนุ่มจ้องมองเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนกำลังหลับ จู่ ๆ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง


‘ที่ผมบอกว่าชอบอย่างเดิมมากกว่าน่ะ ผมชอบแบบนี้ต่างหาก’


ในความมืดนั้นนอกจากจะรู้สึกอุ่นที่ปลายเท้าแล้ว ที่ข้างแก้มก็ยังอุ่นไม่แพ้กัน คันธชาติคำรามในลำคอเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสชวนจั๊กจี้จากนิ้วหัวแม่มือที่เกลี่ยลงกับเนื้อแก้ม ไม่มีแรงจะสู้แล้วก็ไม่มีแรงจะหนี ไม่มีแม้แต่แรงจะลืมตา อันที่จริง...อยู่แบบนี้มันก็สบายดีเหมือนกัน...



‘ขอหลับสักสิบห้านาที เดี๋ยวตื่นแล้วค่อยไปอาบน้ำก็แล้วกันนะ’



....


สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ

ตอนนี้เริ่มจะขยายพื้นที่ป่วนแล้ว

มาดูกันดีกว่าว่าการเข้าไปในนาฏยกาลครั้งนี้ บุ้งจะได้ข้อมูลอะไรกลับมาบ้าง

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-02-2015 02:48:00
โอ๊ย สนุกหลายตอนนี้  ปล่อยคิกออกมาเป็นพักๆตอนที่อ่าน
คุณด็อกเตอร์นี่ท่าจะเป็นสามีที่ดูแลภรรยาเก่งมากๆ
น้องบุ่งบุ้งนี่ท่าจะแพ้หน่มน้มหรือเปล่านี่?
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 16-02-2015 11:19:23
นี่ไปโปรยเสน่ห์ถึงในโรงละคร
ไม่กลัวเพื่อนบ้านตรงข้ามจะหวงเลยนะคะ บุ่งบุ๊ง

แล้วกลับมานอนหมดเรี่ยวแรงให้เค้าแต๊ะอั๋งแบบเต็มอกเต็มใจซะงั้น
หนอนบุ้งหนอหนอนบุ้ง (แต่ถ้ามีผู้ชายมาดูแลเราด้วยความอ่อนโยนแบบนี้ก็น่าพลีกายพลีใจให้จริงๆนะคะ เคลิ้มอ่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-02-2015 12:00:09
สาวประเภทร้อยเกือบร้อยชีวิตมารวมตัวกันอยู่ที่นี่/.............สาวประเภทสอง

หืม คุณเล็กนี่เจ้าชู้น่าดู
ดร.ธันวาชอบของแปลกก็ไม่บอก ก็ดูสิที่บุ้งทำแต่ละอย่าง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 16-02-2015 13:03:58
ยอมให้บุ้งเรียก "เล็ก" ด้วย
ไม่ธรรมดาแล้วครัช
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 16-02-2015 13:37:23
ให้เรียกเล็กง่ายๆเลยนะยะ!
ส่วนดร.ทำให้บุ้งหยั่งกะสามีทำให้ภรรยาแหนะ :impress2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-02-2015 14:31:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 16-02-2015 14:49:06
ฮู้ยยย อ่านตอนนี้แล้วอมยิ้มแก้มจะแตกค่ะ >_<

น่ารักเนอะ
ดร.ธันวาแสนดี แสนดี ดูแลเก๊งเก่ง
ชอบตอนที่เอาน้ำอุ่นมาแช่เท้าให้ ลูบแก้มคนหลับ โอ้ยยย อ่านแล้วอิจฉานายน้อย
อยากได้แบบนี้บ้าง ดร.มีขายที่ไหนบ้างคะ!?!  :hao5:

เราก็ชอบตัวบุ้งเวอร์ชั่นหนุ่มน้อยแสนซนเหมือนดร.เลยค่ะ
ส่วนเวอร์ชั่นสาวสวยนี่ห่วงจริงๆ เพราะขนาดเจอกันแค่ครั้งแรกคุณเล็กก็เริ่มสนใจแล้ว
ก็เข้าทางตัวบุ้งนั่นแหละ แต่มันอดห่วงไม่ได้ กลัวถูกคุณเล็กป้อมากๆ แล้วจะทำแผนแตกด้วยตัวเอง 5555
นี่ถ้าเกิดว่าคุณเล็กอยากสานต่อจริงๆ แล้วล่ะก็ มีแววว่าตัวบุ้งจะได้เป็นศัตรูกับพี่อันแหงเลยค่ะ -O-

อ่านตอนนี้แล้วเกิดความคิดขึ้นมาเล่นๆ แบบเดาๆ ว่า
ถ้าเกิดสมมุติว่าคุณเล็กมีรอยสักรูปดอกไม้จริงๆ แล้วของอันเป็นผีเสื้อ.. สองคนนี้มีความเกี่ยวโยงกัน เพราะผีเสื้อมันต้องคู่กับดอกไม้อยู่แล้ว ถ้าเป็นอย่างที่เราเดาเล่นก็ดูเหมือนว่าอันจะน่าจะเป็นอีกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของกิ่งดาวรึเปล่านะ?


รู้สึกตื่นเต้นอยากรู้ตอนต่อไปเร็วๆ แล้วค่ะ 555555
นี่สนุกเหมือนได้เข้าไปสืบกับตัวบุ้งเอง สงสารนายน้อยคงจะเมานมน่าดู ก๊ากกกก


หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: nutty2554 ที่ 16-02-2015 17:00:01
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าติดตามสำหรับเราค่ะ
นอกจากได้เสพนิยายวายแล้ว ยังมีเงื่อน ลับลม ปม ให้ชวนขบคิด
บางฉากที่ตัดกลับไปถึงช่วงเวลาที่ยังเด็ก ทำให้รู้สึกถึงความผูกพันธ์ของบุ้งและเพื่อน
ซึ่งเป็นสาเหตุให้บุ้งต้องค้นให้พบคำตอบปริศนาที่พรากชีวิตหญิงสาวคนนึงไป
น่าตื่นเต้น แต่ก็ไม่ได้เดินเรื่องเร็วเกินไปจนขาดตกรายละเอียดแบบวาย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้คนอ่านชุ่มชื่นหัวใจ โดยเฉพาะตอนนี้  ดร. น่ารัก ดูนิ่งๆ เป็นผู้ใหญ่ แต่หัวใจก็แอบเต้นตึกตักกับบุ้ง
ถ้าไม่มีคดีพลิก ดร.เป็นผู้ชายที่ควรเก็บเป็น แรร์ไอเท็มนะ  นุ่มนวล เป็นผู้ใหญ่ สุขุม แต่ไม่ถึงกับน่าเบื่อนะ
รออ่านต่อค่ะ อยากเห็นตัวตนของ ดร. มากกว่า รวมถึงอยากเห็นน้องบุ้ง ว่าจะทำให้ยิ้มได้อีกมากขนาดไหน

คุณเก่งกาจมีคู่ไหมคะ  สมกับเป็นเพื่อนกับบุ้งมานานมาก คือรับลูก ดักคอกันได้ดีจริง ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 16-02-2015 17:12:27
คุณดอกเตอร์ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารัก
และก็ดูอบอุ่นพึ่งพาได้ในเวลาเดียวกัน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 16-02-2015 20:21:20
แล๊วๆๆแล้ววว
คุณอัศนัยดันไปถูกใจน้องบุ้งเค้าให้ซะเเล้ว
จินตนาการไม่ออกเลยว่า ตอนน้องบุ้งแต่งหญิง จะน่าตาเป็นไง
แล้วมาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 8 : ก้าวแรกในนาฏยกาล) 16-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 16-02-2015 21:53:50
ดร. น่ารักอ่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-02-2015 23:33:44
ตอนที่ 9 เกือบไปแล้ว (1)



แสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทักทาย ร่างสูงที่กำลังซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนนุ่มเริ่มขยับตัวอีกครั้งหลังจากได้นอนหลับสนิทตลอดคืน คันธชาตินอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนโซฟา ชุดที่สวมใส่ก็ยังคงเป็นชุดเดิม ทั้งที่ตั้งใจเมื่อคืนตั้งใจจะงีบสักเดี๋ยวแล้วค่อยอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแต่ความเหนื่อยล้ากลับทำให้หลับเป็นตายถึงเช้า ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นในขณะที่มือหนึ่งก็ลูบแก้มตัวเองเบา ๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ภาพสุดท้ายในห้วงคำนึงคือภาพของหญิงสาวอันเป็นที่รัก สัมผัสของเธอช่างอ่อนโยนและนุ่มนวลไม่มีเปลี่ยนแปลง แม้มันจะเป็นเพียงฝันก็ตาม...


“ที่แท้ก็ฝันเหรอวะเนี่ย” ตบแก้มตัวเองเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ ๆ


หลังจากปล่อยให้สายน้ำชำระล้างความอ่อนล้าและคราบเครื่องสำอางแล้ว ร่างสูงก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดลำลอง เดินไปเดินมารอบห้องพลางสอดส่ายสายตาหาบางอย่างในขณะที่มือหนึ่งก็จับผ้าขนหนูขยี้ผมให้แห้ง ในที่สุดคันธชาติก็พบสิ่งที่กำลังหา ซิลิโคนบรากับวิกผมถูกวางไว้ด้วยกันบนโต๊ะ ส่วนรองเท้าส้นสูงก็วางเก็บอยู่บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ นึกไปถึงคนที่ช่วยจัดการมันให้ เงยหน้ามองนาฬิกาติดฝาผนังเห็นว่าน่าจะยังไม่ได้เวลาที่อีกฝ่ายออกไปทำงาน จึงเปิดประตูพรวดตั้งใจจะไปขอบคุณตามมารยาท แต่แล้วเมื่อประตูเปิดออกก็ต้องชักปลายเท้ากลับเมื่อพบว่าธันวากำลังยืนอยู่ตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างมีแปลกใจ ก่อนจะเป็นธันวาที่ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ให้ 


“ผมไปทานข้าวมาเลยซื้อมาฝาก”


คันธชาติรับมันมาอย่างงง ๆ ถือโอกาสกล่าวขอบคุณทั้งเรื่องปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน


“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะ” คนมาดนิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ทันทีที่พูดจบก็เตรียมจะเดินจากไป


“เย็นนี้คุณว่างไหม”   


คำถามนั้นทำให้ธันวาต้องเหลียวกลับมามองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ตอนนี้หัวเหอยุ่งเหยิงไปหมด


“ว่าไงนะ”


“ผมถามว่าตอนเย็นคุณว่าไหม จะชวนไปทานข้าว”


“ชวนผมเหรอ” เจ้าของร่างสูงกล่าวอย่างแปลกใจพลางชี้ที่ตัวเอง มองอีกฝ่ายที่กำลังชะเง้อมองขวาทีซ้ายทีจนน่าสงสัย “แล้วนี้มองหาใคร”


“มองหาหมาไง ไม่เห็นมีสักตัว” คันธชาติถอนใจ “ผมชวนคุณนั่นแหละ ก็ยืนคุยกันอยู่สองคนจะชวนใคร”
คนฟังส่ายศีรษะให้กับลีลากวนประสาทก่อนจะตั้งคำถามพร้อมกับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจับผิด “มีแผนอะไรอีกหรือเปล่า”


“ไม่มี้!!!” ร่างสูงพอ ๆ กันไหวไหล่ไม่ยี่หระ “สรุปว่าว่างหรือเปล่าล่ะ”


“ว่าง”


“เอาเป็นว่าคุณรับปากผมแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นหกโมงเย็นไปเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้กับห้องเสื้อพุทธรักษา คิดคุณน่าจะรู้จัก”


ธันวาพยักหน้าก่อนจะเดินจากไป ไม่ได้เอะใจสงสัยในรอยยิ้มของอีกฝ่ายเลยสักนิด...



....



คันธชาติใช้เวลาเกือบทั้งวันขลุกอยู่แต่ในห้อง หากไม่อ่านข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์เก่า ค้นหาข้อมูลจากอินทอร์เน็ต ก็ดูรูปที่สั่งพิมพ์จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาว...รอยสักรูปดอกไม้นั่น กระทั่งบ่ายคล้อยจึงออกไปเดินยืดเส้นยืดสายหาอะไรกินแถวร้านสะดวกซื้อใกล้คอนโดจากนั้นก็กลับมาทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ


มองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ตอนนี้เข็มสั้นและเข็มยาวต่างก็อยู่ในฝั่งตรงข้ามเรียงตัวเป็นเส้นตรงทำมุมตั้งฉากกับฐาน ชายหนุ่มจึงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปนั่งที่โซฟาเอนหลังพิงพนักผิวปากสบายอารมณ์ หกโมงเย็นแล้วแต่เขายังคงอยู่ที่ห้องทั้งที่ควรจะไปรอที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตามเวลานัด


‘เวลานัด’ อย่างนั้นเหรอ


ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนเบาบาง ไม่ใช่เขาสักหน่อยที่เป็นคนนัด คิดได้ดังนั้นจึงหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวี เปลี่ยนช่องไปเรื่อยกระทั่งมาหยุดที่รายการทอล์กโชว์ซึ่งมีนักแสดงตลกชื่อดังที่แค่เห็นหน้าก็ขำแล้วรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งมุกสดมุกเตี๊ยมไหลลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ สะกดผู้ชมให้จ้องตาไม่กระพริบ ขำกระจายแบบมุกต่อมุกเสียจนลืมหลายเรื่องไปเลย


ลืมไปเลย...


คันธชาติสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น นาฬิกาติดฝาผนังบอกเวลาเกือบสามทุ่ม ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนโงนเงนยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตู พบว่าคนที่ยืนรออยู่คือชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันนั่นเอง


“อ้าว ว่าไงคุณ” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ทำไมคุณไม่ไปตามนัด” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูตอบกลับด้วยคำถาม


“นัด? นัดอะไร ผมนัดคุณตอนไหน”


“ก็เมื่อเช้าไง” ธันวาควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดพร้อมทั้งพยายามปรับอารมณ์ที่กำลังกรุ่นอยู่ภายในให้เย็นลง


“เมื่อเช้า” คันธชาตินิ่งนึก “อ๋อ! นั่นน่ะเจ๊พุดดิ้งฝากมานัด” ไม่พูดเปล่า ยังหัวเราะชอบใจเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร


เมื่อได้ยินดังนั้นก็จนใจเต็มที คนฟังได้แต่พยักหน้าก่อนจะหมุนตัวกลับ


“แล้วเป็นไง อร่อยไหม”


ธันวาชะงักกึกก่อนจะตอบทั้งที่หันหลังให้ “ก็อร่อยดีนะ ทานข้าวกับใครก็ไม่รู้ วันหลังคุณลองดูสิ” พูดจบก็แตะคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องไปโดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิด


“อะไรของเขาวะ” คันธชาติเกาหัวแกรกแต่ก็ไม่วายเดินไปเคาะประตูเรียก รออยู่ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออกอีกครั้ง


“จะให้ผมทำอะไรอีก” น้ำเสียงนิ่งเรียบพอ ๆ กับใบหน้าทำเอาคนฟังเริ่มใจคอไม่ดี


“อะไรกันคุณ แค่นี้ต้องโกรธด้วยเหรอ ผมก็แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ๊พุดดิ้งก็แค่นั้นเอง”


“แล้วผมไปสัญญาอะไรด้วย แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องโกหก”


“นี่โกรธจริง ๆ เหรอเนี่ย อ่ะ ๆ ขอโทษก็ได้ ผมขอโทษก็แล้วกันที่ไม่บอกให้คุณรู้ก่อน ก็เจ๊พุดดิ้งเขาอยากจะเซอร์ไพรส์นี่นา”


“มีอะไรอีกไหม ผมอยากพักผ่อน”


“เฮ้ย! อะไรกัน ก็ผมขอโทษแล้วไงทำไมไม่หายโกรธ แล้วจะให้ทำยังไง”


“คุณมันใจร้ายมากนะ” ธันวาถอนใจเฮือกก่อนหันหลังให้ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง จัดการปลดกระดุมพับแขนเสื้อลวก ๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา แต่ความวุ่นวายก็ยังคงตามมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ


“จะโกรธอะไรนักหนา ผมก็ขอโทษแล้วไง” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนั่งลงข้าง ๆ เท้าคางมองหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย


“คุณกลับไปเถอะ”


คันธชาตินิ่วหน้า อุตส่าห์ขอโทษแล้วยังไม่หายโกรธก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ชายหนุ่มจำใจลุกขึ้นก่อนเดินคอตกออกไปจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง ธันวาก็เอนหลังพิงโซฟาอย่างหมดแรง ขณะที่ดวงตาทอดมองเพดานว่างเปล่าในใจก็เฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกโกรธมากมายขนาดนี้...


....



เมื่ออารตีเปิดประตูเข้ามาในห้องพักอาจารย์กลิ่นกรุ่นของกาแฟอย่างดีก็ลอยเตะจมูกจนหญิงสาวต้องมองหาที่มา ในที่สุดเธอก็พบกาแฟดำถ้วยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ บานหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกบานพับถูกดันออกทำให้ลมจากด้านนอกพัดเข้ามายิ่งทำให้กลิ่นนั้นหอมคลุ้งไปทั่วห้อง มองหาเจ้าของห้องแต่ก็ไม่พบ จนในที่สุดร่างสูงที่คุ้นตาก็ผลักประตูเข้ามา ในมือนอกจากจะมีเอกสารแล้วยังมีถุงซึ่งข้างในมีนมสดขวดหนึ่งกับกล่องใส่แซนวิชชิ้นโต 2-3 ชิ้น ธันวายิ้มอย่างเคยก่อนจะกล่าวทักทายนักศึกษาในที่ปรึกษา จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ มองดูกาแฟดำในถ้วยที่คิดว่าเจ้าหน้าที่ของภาควิชาน่าจะเตรียมเอาไว้ให้


“พักนี้หันมาดูแลสุขภาพเหรอคะอาจารย์ เห็นพกอาหารเช้ามาทานทุกเช้าเลย” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน มองชายหนุ่มที่ยังคงวางหน้านิ่ง


ธันวามองถุงที่วางตรงหน้า จริง ๆ ก็ไม่ได้คิดจะหันมาดูแลอาหารการกินอะไร แต่ที่ต้องหอบหิ้วนมสดกับแซนวิชมากินที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์เช่นนี้ก็เพราะมีคนพยายามจะทำความดีลบล้างความผิดต่างหาก


“ก็มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญนี่” อาจารย์หนุ่มหล่อยังคงสงวนถ้อยคำเป็นปกติ พูดแล้วก็นึกถึงกระดาษโน้ตที่ติดอยู่กับถุงที่ใครบางคนเอามาแขนไว้หน้าห้อง ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็มีอาหารเช้าติดไม้ติดมือมาทานทุกวัน


“ว่าแต่คุณเถอะ วันนี้มาทำอะไรแต่เช้า”


“รตีกับเพื่อน ๆ จะออกไปเก็บข้อมูลต่างจังหวัดค่ะ วันนี้เลยมาดำเนินการเรื่องเอกสารที่ต้องเอาติดตัวไปแสดง นี่ยังมากันไม่ครบก็เลยแวะคุยกับอาจารย์ก่อนค่ะ พี่บุ้งเป็นยังไงบ้างคะ”


คนเป็นอาจารย์ทำหน้าเหวอ แต่ในที่สุดก็สามารถเก็บอาการแล้วเปลี่ยนมาปั้นหน้านิ่งได้เหมือนเดิม “แทนที่จะถามว่าผมสบายดีไหมกลับถามถึงคนอื่น”


“อ้าว ก็เห็นอยู่แล้วนี่คะว่าอาจารย์สบายดี รตีก็เลยถามถึงพี่บุ้ง” หญิงสาวยิ้ม “นี่ก็ยังห่วงอยู่ว่าเข้าไปในนาฏยกาลจะเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่”


“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไป รตีฝากบอกพี่บุ้งด้วยนะคะ เอาไว้ว่าง ๆ รตีจะแวะไปหาที่คอนโด อยากรู้ว่าพี่บุ้งพบพ่อบ้างหรือเปล่า”


“อืม แล้วผมจะบอกให้ก็แล้วกัน”


“ถ้าอย่างนั้นรตีไม่รบกวนเวลาอาหารเช้าของอาจารย์แล้วดีกว่า รตีขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็ยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ธันวายังคงนั่งจ้องมื้อเช้าเจ้าปัญหาอยู่อย่างนั้น



....
 


คันชาติในคราบบุ๊งเดินเท้าเปล่าเตร็ดเตร่อยู่ระหว่างหน้าของตนเองกับห้องฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ รองเท้าส้นสูงที่ถอดวางเอาไว้ตั้งแต่มาถึง พลันเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายด้วยความรีบร้อน


“คุณบุ้งครับ นี่ผมศรันย์ผู้จัดการคอนโดนะครับ”


“อ้อ...ครับคุณศรัณย์ เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์แจ้งแล้วใช่ไหมครับ”


“แจ้งแล้วครับ แต่พอดีกุญแจเปิดตู้เก็บกุญแจกับคีย์การ์ดสำรองอยู่กับผม ผมออกมาทำธุระข้างนอก ยังไงรบกวนคุณบุ้งรออีกสักสามสิบนาทีนะครับ ผมกำลังจะเข้าไป”


“ได้ครับ ๆ ถ้ายังไงคุณศรัณย์กลับมาแล้วโทรหาผมก่อนนะครับ ถ้าขึ้นมาที่ห้องแล้วไม่พบผมก็ฝากคีย์การ์ดไว้กับพี่เก็จแก้วหรืออาจารย์ธันวาก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมเข้าห้องได้เมื่อไรจะรีบเอาไปคืน” คันธชาติกล่าวก่อนจะวางสาย ลมหายใจหนักถูกผ่อนออกจากปลายจมูก ดันลืมคีย์การ์ดไว้ในห้องเสียนี่ ขาเข้ามาก็ทำเนียน ๆ เดินปะปนมากับคนอื่น จะลงไปนั่งรอด้านล่างในสภาพนี้เห็นทีจะไม่ไหวก็เลยต้องมานั่งอยู่ตรงนี้


ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าเกยคางลงบนแขนจ้องมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่วันนี้ดูจะผ่านไปช้าเหลือเกิน ครู่หนึ่งสายตาก็มองเลยไปยังรองเท้าหนังคู่หนึ่งที่มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองคนที่ไม่ได้พบกันเสียหลายวัน ก่อนจะก้มมองจอโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง


“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”


“ลืมคีย์การ์ดไว้ในห้อง” ตอบทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม


“แล้วนี่แจ้งใครหรือยัง”


“แจ้งแล้ว แจ้งคุณศรัณย์ อีกสามสิบนาทีถึงจะเข้ามา”


สิ้นเสียงคันธชาติบริเวณนั้นก็กลับเงียบลง ธันวาสืบเท้าตรงไปเปิดประตูห้องก่อนจะหันกลับมาถามอีกฝ่าย “จะเข้ามารอในห้องผมก่อนไหม”


“ได้เหรอ” หน้าสวยเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเป็นประกายไม่ต่างอะไรกับสุนัขเห็นกระดูก   


“ได้สิ ผมไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ”


แม้จะรู้ว่าเป็นคำประชดประชัน แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาตั้งแง่หรือทำเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว คันธชาติผุดลุกขึ้นคว้ารองเท้าส้นสูงจากนั้นก็เดินตามเข้าไปตามคำเชิญชวน พอเข้ามาถึงก็เดินไปนั่งแหมะที่โซฟามองเจ้าของห้องที่กำลังเลื่อนประตูกระจกออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง


“หายโกรธแล้วหรือไงถึงมาพูดดีกับผม” ถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง


“ยังหรอก” เล่นถามตามตรงแบบนี้ธันวาก็ตอบตามตรงเช่นกัน


“อ้าว ไหงงั้น”


“แต่ผมจะลดโทษลงกึ่งหนึ่งก็แล้วกันแลกกับอาหารเช้าของคุณ”


คันธชาติมุ่นคิ้ว กำลังจะถามต่อแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นศรัณย์นั่นเองที่โทรมาแจ้งว่าจะนำคีย์การ์ดขึ้นมาให้ หลังจากทวนรายละเอียดกันอีกรอบเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างวางสาย


“มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ” พูดจบก็หันมองธันวาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ “เดี๋ยวคุณศรัณย์จะเอาคีย์การ์ดขึ้นมาให้ ผมให้เขาฝากคุณไว้นะ”


“ทำไมไม่ออกไปรับเองล่ะ”


“สภาพนี้เนี่ยนะ ทุกวันนี้พวกเขาก็มองผมแปลก ๆ อยู่แล้ว คงจะคิดว่าเป็นขโมยละมั้ง” คนพูดถอนใจก่อนจะผุดลุกขึ้นเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น “สงสัยจะมาแล้ว รีบไปเปิดประตูเร็วสิคุณ”


ธันวาพยักหน้า เดินไปเปิดประตูและพบว่าคนที่มาไม่ใช่ศรัณย์แต่เป็นพนักงานสาวที่มักจะนั่งประจำเคาน์เตอร์ต่างหาก เธอยืนบิดเป็นเกลียวส่งยิ้มหวานให้เจ้าของห้อง คงลืมเหตุผลในการมาไปแล้วกระมัง


“เอาคีย์การ์ดมาให้คุณคันธชาติหรือเปล่าครับ”


“อะ...เอ้อ ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะแหะก่อนจะส่งของให้


“ขอบคุณนะครับ” กำลังจะดึงประตูปิดเธอก็เอามือยันประตูไว้จนธันวาแปลกใจ


“เดี๋ยวค่ะคุณธัน”


“ครับ?”


“คุณธันรู้จักผู้หญิงสวย ๆ ตัวสูง ๆ ผมยาวไหมคะ”


“มีอะไรเหรอครับ”


“คือ...ดิฉันเห็นเธอเดินเข้าออกคอนโด 2-3 ครั้งแล้วละค่ะ แต่ไม่คุ้นหน้าเลย รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนในคอนโดเรา เผอิญเมื่อหลายวันก่อนเห็นเดินออกจากลิฟต์มาพร้อมกับคุณธัน ดิฉันไม่แน่ใจว่ารู้จักกันหรือเปล่า”


ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เสียงหวานหยาดเยิ้มหยดย้อยที่คนในห้องจงใจประดิษฐ์ก็ดังขึ้น “มีอะไรเหรอคะที่รัก” ไม่ได้มาแค่เสียง ตัวก็มาด้วย คันธชาติเดินยิ้มหวานมายืนเคียงข้างพร้อมกับคล้องแขนหมับราวกับจะประกาศให้คนมาใหม่ได้รู้


“บุ๊งเห็นคุณหายออกมาตั้งนานแล้วนะ มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” หน้าสวยเงยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มหวาน “หืม?”



...ที่รักก็ที่รัก...


ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะหันไปถามอีกคนที่ตอนนี้ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง “ใช่คนนี้หรือเปล่าครับ”


พนักงานประจำเคาน์เตอร์ทำปากพะงาบ ๆ เหมือนกับปลาที่กำลังโดนแดดเผา แดดแรงเสียด้วยสิ ยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะตอบ


“ค...ค่ะ คนนี้แหละค่ะ ที่แท้...ก...ก็แฟนคุณธันหรอกเหรอคะ แหม...โล่งใจไปทีนะคะ”


“ครับ” ธันวาตอบเพียงสั้น ๆ ไม่รู้ว่าครับให้กับประโยคไหนของเธอกันแน่


หลังจากส่งมอบของกันเรียบร้อยแล้ว พนักงานสาวก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของเธอตามเดิม ธันวาปิดประตูเดินตามคนช่างแกล้งเข้ามาในห้อง มองอีกฝ่ายที่กำลังหย่นตัวลงนั่งที่โซฟาพลางส่ายศีรษะ


“เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ คนที่ได้แกล้งคนอื่นแล้วมีความสุข”


“ผมไม่ได้แกล้งสักหน่อย ก็แค่ทำให้ตัวเองไม่ต้องถูกจับตามองแค่นั้นเอง” พูดจบก็ทำจีบปากจีบคอ “โล่งอกไปทีนะคะ”


“อะไรของคุณ ไปล้อเลียนเขาทำไม” เจ้าของห้องนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับส่งคีย์การ์ดให้


“ผมว่าเธอไม่ได้โล่งอกจริง ๆ หรอก เห็นทำหน้ายังกับแม่วัวอดกินหญ้า”


“ยังไง” คนฟังเลิกคิ้ว


“ผมว่าเธอต้องจ้องจะเคลมคุณอยู่แน่ ๆ ทำหน้าผิดหวังเสียขนาดนั้นตอนที่รู้ว่าคุณมีแฟนแล้ว นี่ผมช่วยคุณนะเนี่ย”


“ช่วยทำให้ยุ่งสิไม่ว่า” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ทำไมสิน่า...


“อ้าวคุณ ทำเป็นเล่นไป เกิดวันดีคืนดีเธอใช้มารยาหญิงขึ้นมาคุณนั่นแหละจะแย่”


“มารยาหญิงอะไรกัน”


“ก็แบบนี้นี้ไง” พูดจบผู้เชี่ยวชาญก็เริ่มทำการสาธิต...


“ว้ายยยยย!!! คุณธันคะแมลงสาบค่ะ” สวมวิญญาณบุ่งบุ๊งแล้วขยับเข้ามาใกล้เกาะแขนคนนั่งข้างกันแน่น “ตรงนั้นค่ะ มันไปตรงนั้นแล้ว อุ๊ย! มันไต่เข้ามาในเสื้อบุ๊งแล้วค่ะ”


อาจารย์หนุ่มส่ายหัวดิกมองนักแสดงเจ้าบทบาท นึกอยากจะมอบรางวัลตุ๊กตาทองให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หยุดทำอะไรประหลาด ๆ นี่สักที


“ม...มัน มันไต่เข้าไปในเสื้อคุณธันแล้วค่ะ เดี๋ยวบุ๊งช่วยจับนะคะ” พูดจบก็ใช้มือดันอกกว้างจนอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะหงายหลังลงไปนอนแผ่กับโซฟา ดีที่เอาศอกข้างหนึ่งยันไว้ได้ทัน


ธันวาจ้องตาคู่งามที่เขียนเน้นขอบจนคมชัด จู่ ๆ ที่ใต้อกเสื้อมันก็ดังโครมครามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวเหลือเกินว่ามือที่สัมผัสอยู่กับหน้าอกที่มีเพียงเนื้อผ้าบางกั้นกลางจะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้น คิดจะปัดมืออกหน้าสวยโน้มเข้าใกล้ก่อนจะกระซิบ


“ใจคุณธันเต้นแรงจังเลยค่ะ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ “เป็นไงคุณ ผมตีบทแตกไหม”


คนถูกถามไม่ได้ตอบ หากแต่คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ จับร่างกดลงกับโซฟาก่อนจะแทรกเข่าลงระหว่างขาทั้งสองข้างตรึงร่างอีกฝ่ายให้หยุดนิ่ง


“เฮ้ย! คุณจะทำอะไรเนี่ย” คำถามเมื่อครู่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเมื่อริมฝีปากของคนบนร่างยังปิดสนิท แถมใกล้เข้ามาจนต้องเอียงหน้าหนี ใจเต้นระส่ำเมื่อลมหายใจอุ่นรดลงบนผิวแก้ม


นิ้วหนาเขี่ยปอยผมที่บดบังพวงแก้มใสและช่วงคอระหงออกก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้


ใกล้...


ก่อนจะกระซิบเสียจนชิดริมหู “ผมก็แค่จะบอกคุณพนักงานประจำเคาน์เตอร์ว่าอย่าเที่ยวไปทำแบบนี้กับผู้ชายคนไหน เพราะเขาจะไม่ปล่อยคุณไปแบบผมแน่ ๆ” พูดจบก็ผละออกเอนหลังพิงโซฟามองคันธชาติที่ยังคงอยู่ในอารามตกใจ ดวงตาไหวระริก อ้าปากค้าง


“ถึงกับหน้าซีดเลยเหรอ” อาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี 


“เล่นบ้าอะไรเนี่ย ตกใจหมด” เจ้าของหน้าสวยผุดลุกขึ้นพร้อมกับรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ไม่วายส่งสายตาขุ่น ๆ ให้คนที่กำลังอมยิ้ม


“ก็ไม่เห็นสั่งคัท ผมก็เล่นไปตามน้ำ”


“ค...คุณนี่มัน...” คันธชาติถอนใจเฮือก ไม่คิดว่าดาบนั้นจะคืนสนองรวดเร็วเช่นนี้ คงจริงอย่างที่ผู้ใหญ่มักพูดกันว่าเดี๋ยวนี้กรรมติดจรวด มาเร็วเคลมเร็วจริง ๆ “ฮึ่ย! ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” พูดจบก็ลุกพรวดขึ้นเดินอ้าวไปที่ประตู


“เดี๋ยวสิ”


“อะไรอีก”


“ครั้งนี้คุณติดหนี้ผมนะ”


“แล้วจะเอายังไง” ร่างสูงกล่าวทั้งที่หันหลังให้


“เอาเป็น...ข้าวสักมื้อก็แล้วกัน”


คนฟังโบกไม้โบกมือส่ง ๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องพูดอะไรกันมากความก่อนจะกล่าว “เออ ๆๆ เมื่อไรก็บอกมา ผมกลับห้องละ” พูดจบก็เปิดประตูออกจากห้องไป นี่ถ้าไม่สวมวิกผมยาวนั่นคนมองตามคงได้เห็นใบหูแดงแปร๊ดแน่ ๆ


แดงแปร๊ด...


...แดงพอ ๆ กับแก้มสองข้าง...



....



หลังจากติดตามพุฒิพงศ์เข้าไปทำงานในนาฏยกาล คันธชาติก็เริ่มสนิทสนมกับบรรดาสาว ๆ นักแสดงในโรงละคร มีก็แต่อัญชลิสาที่สร้างช่องว่างระหว่างกั้นกลางระหว่างตัวเองกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคันธชาติ ในสายตาของเขาเธอก็เหมือนผีเสื้อตัวน้อยที่โบยบินไปในอากาศ สยายปีกสง่างามให้แมลงอื่น ๆ ต้องอิจฉา ความสวยงามดึงดูดให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่พากันหลงใหล แต่ผีเสื้อตัวนี้กลับปรารถนาเพียงเกสรหอมหวานจากดอกไม้เท่านั้น


ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะรูปวงรีซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเฉพาะกิจเกี่ยวกับละครเวทีเรื่องใหม่ของนาฏยกาลซึ่งจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดูเธอจะเป็นคนโปรดของอัศนัยจริงตามที่ใคร ๆ ว่า เพราะเธอได้รับสิทธิ์พิเศษให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย


“วันนี้ผมอยากให้คุณพ่อได้เข้าร่วมประชุมกับพวกเราด้วย” อัศนัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวก่อนจะหันไปทางประตูที่กำลังเปิดออก ครู่หนึ่งชายในชุดซาฟารีสีกรมท่าก็เข็นรถเข็นซึ่งมีคนนั่งมาด้วยเข้ามา


คันธชาติมองชายวัยกลางคนเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย พลางนึกถึงเรื่องที่อารตีเล่าว่าพ่อของเธอตกบันไดจนเป็นอัมพาตมาร่วมปี หากไม่นับเรื่องใบหน้าที่อิดโรยกับดวงตาล่องลอยไม่รู้ว่ากำลังมองหรือคิดอะไรอยู่ ดูเผิน ๆ แล้วเสี่ยอนันต์คนนี้ก็เหมือนคนปกติที่แค่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้นเอง


การประชุมเริ่มต้นด้วยการชี้แจงวัตถุประสงค์ของการทำละครเวทีเรื่องใหม่ จากนั้นก็ต่อด้วยการพิจารณาชื่อเรื่อง นักแสดง ราคาบัตรเข้าชม จำนวนรอบที่จะทำการแสดงรวมถึงช่องทางประชาสัมพันธ์ ซึ่งใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง กระทั่งมาถึงการพิจาณาชุดสำหรับสวมใส่ระหว่างทำการแสดง


“เอาเป็นว่าผมเลือกเซ็ตนี้ก็แล้วกันนะครับ ดูมันเข้ากับเนื้อเรื่องที่เป็นแฟนตาซีดี” พูดจบอัศนัยก็ใช้เลเซอร์พอยน์เตอร์ชี้ที่แบบชุดซึ่งถูกฉายจากเครื่องฉายขึ้นไปบนระนาบรองรับ “หรือคุณว่ายังไงอัญชลิสา”


“อันเห็นด้วยกับคุณอัศนัยค่ะ ถ้ายึดตามเซ็ตนี้ ชุดของอัน อันอยากจะให้ปักเลื่อมเพิ่มลงไปหน่อย เวลาเจอกับแสงไฟบนเวทีจะได้ดูวิบวับเหมาะเป็นชุดของหญิงสูงศักดิ์ ไม่เรียบชืดเกินไป”


ทุกคนพยักหน้าเห็นตามความเห็นของนางเอกละครเวที ในขณะที่คันธชาติเองก็จดรายละเอียดลงในสมุดไปด้วย


“เอาละค่ะ ก็เป็นอันสรุปว่าแบบชุดที่ทางเราเลือกสำหรับเป็นชุดใส่แสดงในละครเวทีเรื่องหน้ากากดอกไม้ซึ่งจะมีขึ้นในกลางปีนี้ เป็นชุดในเซ็ตที่สองตามที่คุณพุฒิพงศ์ออกแบบมานะคะ สักต้นเดือนหน้าเราจะนัดประชุมเพื่อติดตามงานอีกครั้ง ในส่วนของวันเวลาจะแจ้งให้ทุกคนทราบอีกครั้งค่ะ” เลขาร่างอ้อนแอ้นสรุปก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่วางอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นานประธานซึ่งก็คือลูกชายเจ้าของกิจการก็กล่าวปิดการประชุม ทีมงานเบื้องหลังทยอยกันเดินออกจากห้องในขณะที่ทีมเขียนบทบางส่วนยังคงใช้สถานที่นั่งคุยงานต่อ


“พอดีผมมีประชุมกับทีมเขียนบทต่อ อยากให้คุณนั่งไปกับนายพัน พาคุณพ่อกลับไปส่งที่บ้านหน่อย ผมไม่ไว้ใจใครนอกจากคุณ” อัศนัยเอ่ยขึ้นกับอัญชลิสาที่กำลังจะลุกขึ้น


“ได้สิคะ” เจ้าของร่างอรชรกล่าวก่อนจะเดินตรงไปพูดคุยกับคนขับรถของบ้านนาฏยะเพียงไม่กี่คำ จากนั้นเขาก็เข็นรถเข็นออกไป


....
 


พุฒิพงศ์เดินคล้องแขนคันธชาติออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมที่ปรับอุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยท่าทางร่างเริงสุดขีด นั่นเพราะงานนี้เป็นงานใหญ่และเขาก็ตั้งใจเอาไว้มาก


“ดีใจด้วยนะเจ๊”


“ขอบใจจ้ะบุ่งบุ๊ง”


“ดูสิ น้ำตาซึมเลย” พูดจบก็ใช้ปลายนิ้วซับน้ำใสที่ซึมอยู่ที่หางตาของคนตัวเตี้ยกว่า


“มันตื้นตันน่ะ ไม่เคยได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่างเสี่ยอนันต์ก็เป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครที่ทำขึ้นในโอกาสที่เสี่ยอายุครบห้าสิบเก้าปี ถ้ามีคนมาดูเยอะ ๆ ห้องเสื้อพุทธรักษาของเจ๊ก็จะเป็นที่รู้จัก”


“บุ๊งว่าถึงตอนนั้นคงต้องทำงานกันมือระวิงแน่ ๆ เลย”


“อือ” พุฒิพงศ์กล่าวด้วยหัวใจพองโต “ตอนนั้นคงเหนื่อยน่าดู”


“เอาน่า เหนื่อยกับงานดีที่ตัวเองรักน่ะดีใจตาย”


“เจ๊ขอบใจมากนะ”


“อย่ามาทำซึ้งน่า เดี๋ยวมาสคาร่าเยิ้มนะเจ๊”


การสนทนาของทั้งคู่ต้องหยุดลงเมื่อเสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นหินแกรนิตดังใกล้เข้ามา เป็นคุณเลขาสาวเทียมนั่นเองที่วิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางเดิน เธอชะลอฝีเท้าลง หยุดหอบตัวโยนก่อนจะกล่าวติด ๆ ขัด ๆ


“ช..โชค โชคดีจังค่ะ ท...ที่คุณสองคนยังไม่ไปไหน” พูดไปก็หอบไป


“มีอะไรเหรอคะ” พุฒิพงศ์ถามอย่างหวั่นใจ กลัวว่าเลขาสาวคนนี้จะมาดับฝันเมื่อครู่


“คือ...คุณอัศนัยเชิญคุณบุ๊งไปพบที่ห้องค่ะ”


สองคนหันขวับสบตากันโดยอัตโนมัติ


“เจ๊! ไปด้วยกัน” กำลังลังจะคว้ามืออีกฝ่ายก็ถูกคุณเลขาหน้าสวยขัดขึ้น


“เอ่อ...คือคุณอัศนัยกำชับว่าเธอต้องการพบคุณบุ๊งคนเดียวค่ะ ช...เชิญทางนี้ค่ะ” พูดจบเธอก็ผายมือไปทางทิศที่วิ่งมา
 ถึงตอนนี้คันธชาติก็ทำได้เพียงสบตาพุดดิ้งพลางพยักหน้าให้มั่นใจว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ก่อนจะเดินตามร่างระหงไปในที่สุด...



....


เขียนแล้วมันยืดเยื้อ ขออนุญาตตัดไปเป็นตอนที่ 10 นะคะ แล้วจะรีบมาต่อค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 17-02-2015 23:47:01
แค่นี้?? จริงดิ๊!!!! เค้าค้างน้าาาา :ling1:

คุณเล็กคิดจะเคลมบุ้งป่ะเนี่ย5555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 18-02-2015 00:32:57
บุ้งใจร้ายยยยยย หลอกให้ ดร.ปลายปี มีความหวัง น่าสงสาร ดร.
โดนงอนเลยไง แต่ชื่นชมในความพยายามจะง้อด้วยของกิน
ว่าแต่ไปกันซีนสาวให้ ดร. ทำไม ดร. ไม่ได้ขอให้ช่วยเล้ย
ความหวงส่วนตัวรึเปล่าจ๊ะบุ้ง

กำลังตื่นเต้น ตัดฉับ! :serius2:

ปล.เห็นบางประโยคแปลกๆค่ะ ^^

/ชุดที่สวมใส่ก็ยังคงเป็นชุดเดิม ทั้งที่ (เมื่อ) ตั้งใจจะงีบสักเดี๋ยวแล้วค่อยอาบน้ำ

/ต่างฝ่ายต่าง (มี) แปลกใจ

/กระทั่งบ่ายคล้อยจึง (ออกไปหาเดินยืดเส้นยืดสาย) แถวร้านสะดวกซื้อ

/ธันวาความคุมน้ำเสียง (ห้) เป็นปกติที่สุด

/อะไรกันคุณ (แต่) นี้ต้องโกรธด้วยเหรอ

/พูดแล้วก็นึกถึงกระดาษโน้ตที่ติดอยู่กับถุงที่ใครบางคนเอามา (แขน) ไว้หน้าห้อง

/คันชาติในคราบบุ๊งเดินเท้าเปล่าเตร็ดเตร่อยู่ระหว่าง(หน้าของของตนเอง) กับห้องฝั่งตรงข้าม

/ชายหนุ่ม (...) ลงข้าง ๆ รองเท้าส้นสูงที่ถอดวางเอาไว้ตั้งแต่มาถึง

/ดวงตาเป็นประกาย (ราวนั่น) ไม่ต่างอะไรกับสุนัขเห็นกระดูก

/เจ้าของห้องที่กำลังเลื่อนประตู (กระ) ออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง

/คงลืม (ไปเหตุผล) ในการมาไปแล้ว

/คันธชาติเดินยิ้มหวานมา (ยืนยืน) เคียงข้างพร้อมกับคล้องแขนหมับราวกับจะประกาศให้คนมาใหม่ได้รู้

/คิดจะปัด (มืออก) หน้าสวยโน้มเข้าใกล้ก่อนจะกระซิบ

/โต๊ะรูปวงรีซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเฉพาะกิจสำหรับ (พิจรณา)แบบชุดในละครเวที

/ใบหน้าที่อิดโรยกับดวงตาล่องลอยไม่รู้ว่า (กลำลัง) มองหรือคิดอะไรอยู่

/จาก (นั้นนั้น) พิจารณา ชื่อเรื่อง นักแสดง

/ อัศนัยเอ่ยขึ้นกับอัญชลิสาที่กำลัง (ลุกจะลุกขึ้น)

/พุฒิพงศ์เดินคล้องแขนคันธชาติออกมาจาก (ของ) ห้องสี่เหลี่ยมที่ปรับอุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยท่าทางร่างเริงสุดขีด

/ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครที่ทำขึ้นในโอกาสที่ (เสี่ยว) อายุครบห้าสิบเก้าปี

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 18-02-2015 00:53:27
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใดเลยค่ะนอกจากความมุ้งมิ้งของคุณพนักงานประจำเคาเตอร์กับดร.ธันวา

ตอนนี้ตัวบุ้งเขินด้วยอ่ะ แก้มแดงหูแดง หู้ยยยยยยย น่ารักกกกกก
ไงล่ะจ้ะ >_< ไปแกล้งเค้าไว้เยอะ โดนเอาคืนมั้งเลย
แถมเอาคืนได้ร้ายมากด้วย ในใจเรานี่ลุ้นตัวโก่ง ดร.ธันวาอย่าปล่อยไปง่ายๆ สิคะ
แบบนี้มันต้องจับมาตีก้นให้เข็ดค่ะ ไหนจะหลอกให้ไปกินข้าวกับเจ้พุดดิ้ง
ไหนจะมาเล่นละครตบตาคนอื่นอีก ตัวบุ้งนี่มันตัวยุ่งจริงๆ 5555555555

แต่ก็ถือว่าดีนะคะ หลังจากนี้ไปทุกคนจะได้รู้ว่าดร.ธันวามีแฟนแล้ว
แฟนสวยด้วย แอร๊ยยยยยยยยยยยย  :-[ 5555555555

เรารู้สึกว่าตอนนี้น่ารักมากเลย อ่านไปยิ้มไปขำไป เขินด้วย 55555

แต่ท้ายตอนนี่คือแบบ...เอาแล้วไง -O-
คุณเล็กเรียกคนสวยของเค้าไปหาทำไม โอ้ยยยยยย
เอาตัวรอดกลับมาให้ได้นะตัวยุ่ง !! สวยเป็นภัยแบบนี้อยากส่งบอดี้การ์ดไปตามประกบสักสองคน
อยากรู้ว่าคุณเล็กจะคุยกับตัวยุ่งเรื่องอะไร ... ?

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ 
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-02-2015 02:13:31
รู้สึกฟินแบบแปลกๆทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่  :o8:

บุ๊งขี้อ่อย
โดนดร.ธันวาหยอดกลับเสียนี่
ทำไปนี่ไม่ได้หวังผลเลยนะบุ๊ง
ที่ช่วยกันชะนีให้คุณดร.เธอน่ะ

บุ๊งจะโดน......อะไรเอ่ย?
มิน่าถึงได้ส่งกิ๊กคนปัจจุบันไปกับพ่อ

ขอว่าบุ๊งหน่อยเถอะ
ที่นัดดร.ธันวาไปทานข้าวกับคุณพุดเดิ้ล เอ๊ย พุดดิ้งเนี่ยเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างมาก
คือถ้าเป็นเพื่อนอย่างคุณตำรวจที่รู้จักมานานก็โอเคในระดับหนึ่งคือทำได้เพราะคบกันมานาน
แต่กับดร.ธันวานี่ไม่ใช่ ถ้าจะขอให้ไปทานกับพี่พุดดิ้งจริงๆก็น่าจะบอกไว้ก่อนหรือขอตรงๆซึ่งอีกฝ่ายก็คงจะยอมช่วยอยู่
ไม่ก็สมควรไปด้วย ไม่ใช่หลอกให้ไปแบบนั้น ไ่ม่งามมากๆ
เป็นฝรั่งเผลอๆเลิกคบเลยนะ
บอกนิสัยซนๆ(เกรียนได้ไหม?)ของบุ๊งได้เลย

ขอบคุณมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ ค้างค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 18-02-2015 10:25:39
จะรอดปากเหยี่ยวปากกาไหมเนี่ยบุ่งบุ๊ง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 18-02-2015 10:35:33
เรียกไปทำไมกันน้า  :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 18-02-2015 10:45:33
อีตาอัศนัยเรียกน้องบุ้งเข้าไปพบทำไม ระวังตัวด้วยน้องบุ้ง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: pim-lovemj ที่ 18-02-2015 12:38:05
 :katai1: ตัดจบ อ๊ากกกกกกกกก
 :katai4: รอติดตามคร่า น้องบุ๊งจะรอดปลอดภัยออกมาจากห้องคุณอัศนัยหรือเปล่าน้า
 :o8: แหม ดร.ปลายปีคะ เริ่มมีฉากเซอร์วิส เลิกเขินแล้วหราาาา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-02-2015 12:46:58
อัศนัยรุกหนักเลย หวังว่าบุ่งบุ๊งจะเอาตัวรอดได้นะ
ดร.ธันวาน่าจะสั่งสอนคนขี้แกล้งให้เข็ดหลาบนะคะ จูบซักทีคงหายซ่า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 18-02-2015 16:30:13
อัยยะ แอบใจเต้นรัวตามเบาๆเลยอ่ะ ตอนที่บุ้งโดนอาจารย์แกล้ง
ยังไงเนี่ยคุณอัศนัย สนใจบุ้งแล้วใช่มั้ยคะ น้องบุ้งจะโดนไรมั้ยเนี่ย
แล้วจะโดนจับได้มั้ย ต้องรอตอนต่อไปสินะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 18-02-2015 20:35:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 18-02-2015 21:05:55
อ่านแล้วลุ้นระทึกเลยค่ะ  :katai4:
รอตอนต่อไปป
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 19-02-2015 00:25:12
อ่านไปเหมือนได้ดูละครดีๆๆสักเรื่องหนึ่งเลย
ชอบบุคคลิกของตัวละคร และการดำเนินเรื่อง o13
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 9 : เกือบไปแล้ว (1)) 17-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 19-02-2015 10:11:23
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-02-2015 18:29:13
ตอนที่ 10 พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2))




คันธชาติเปิดประตูเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่สุดทางเดิน ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดออกคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ก็หมุนเก้าอี้กลับมาก่อนจะลุกขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงผายมือเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลง   


“คุณอัศนัยมีธุระอะไรกับบุ๊งเหรอคะ”


คนฟังเลิกคิ้วหัวเราะในลำคอ “ถ้าผมจะคุยกับคุณบุ๊งนี่ต้องมีธุระด้วยเหรอครับ” ส่งสายตาหยาดเยิ้มจนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี แสร้งทำเขินอายพอเป็นพิธี


“ก็คุณอัศนัยเป็นเจ้านายนี่คะ”


“แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนี่ครับ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมเชิญคุณมาพบ” ชายหนุ่มยกมุมปากเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ “เจอกันคราวก่อนเราก็มีเวลาคุยกันแค่ไม่กี่นาที ผมอยากทำความรู้จักคุณบุ๊งให้มากกว่านี้เพราะเราคงจะต้องร่วมงานกันไปอีกนาน...”


อัศนัยยังพูดไม่ทันจบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ร่างอ้อนแอ้นของเลขาสาวแทรกตัวผ่านเข้ามาพร้อมกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ เธอส่งต่อมันให้กับชายหนุ่มที่ลุกขึ้นรอรับ และเมื่อเจ้านายพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกว่าหมดธุระแล้วให้ออกไปได้ เธอจึงพาร่างบอบบางพ้นประตูไป


ร่างสูงที่ในมือถือดอกไม้เดินอ้อมมายืนตรงหน้าคันธชาติที่พรวดพราดลุกขึ้นแล้วจึงยื่นช่อดอกม้ให้ “ดอกไม้สำหรับสาวสวยครับ”

 
“ขอบคุณค่ะ คงสวยสู้บรรดาลูกสาวนักธุรกิจที่มีข่าวกับคุณอัศนัยไม่ได้หรอกค่ะ”


คำพูดเชิงตัดพ้อนั้นทำให้ริมฝีปากหยักเผยอยิ้มอีกครั้ง “พวกอ่อนแอ บอบบางอย่างนั้นน่ะไม่ใช่สเป็กผมหรอกครับ มันก็แค่การจับคู่เพื่อให้ข่าวมีสีสันเท่านั้นเอง  ผมกำลังคิดว่าเราควรจะหาเวลานั่งคุยกันสักวัน”


“แต่บุ๊งคุยไม่เก่งนะคะ ให้คุยทั้งวันคงแย่” พูดพลางทอดสายตามองดอกไม้ในมือ


“ถ้าอย่างนั้นเราก็เอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นก็ได้นี่ครับ” คนพูดมองคู่สนทนาราวกลับจะกลืนกิน ความอยากรู้อยากลองในแววตาลามเลียไปจนทั่วร่าง ยิ่งเห็นแววตาไหวระริกของอีกฝ่ายก็ยิ่งชอบใจ


“ผมหมายถึง ทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลงหรือว่าเต้นรำน่ะครับ ถ้าคุณบุ๊งไม่รังเกียจ วันเสาร์นี้ผมอยากจะเชิญคุณไปทานข้าวด้วยกัน”


คันธชาติแสร้งช้อนตามองอีกฝ่ายพร้อมกับอมยิ้ม ยอมรับอีกหนึ่งคำรบว่านอกจากนายอัศนัยคนนี้นอกจากจะมีหน้าตาผิวพรรณที่บ่งบอกว่าทั้งนี้ชีวิตนี้คงไม่เคยพบกับความลำบากชนิดพิมพ์นิยมแบบที่สาวน้อยสาวใหญ่เห็นแล้วต้องเหลียวมองแล้ว คารมก็ดีไม่แพ้กัน


...



“แล้วแกตอบเขาไปว่ายังไง”



คำถามของเก่งกาจดึงสายตาของคนที่กำลังจ้องมองกุหลาบสีแดงสดที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือให้กลับมาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้าอีกครั้ง


“เอาของกินมาล่อก็ต้องตกลงสิวะ” คันธชาติตอบอย่างไม่ยี่หระ


“ไอ้บุ้ง เอาดี ๆ แกตอบไปว่ายังไง”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเสียงเข้ม แววขี้เล่นในดวงตาก็จางหาย ชายหนุ่มขยับตัวนั่งหลังตรงก่อนจะตอบคำถาม “ฉันรับคำเชิญของเขา”


เก่งกาจถอนใจ “ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องนัดไปกินไกลขนาดนั้น”


“ไม่แปลกหรอกค่ะผู้กอง เจ๊ได้ยินว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้บริหารของนาฏยกาล คุณอัศนัยเธอก็ไม่ค่อยค้าสมาคมกับใคร เพื่อนสนิทก็ห่าง ๆ กันไป ส่วนสาวแท้สาวเทียมน่ะอย่าหวังเลยว่าจะควงกันเปิดเผยให้ตกเป็นข่าว”


“นั่นแหละที่ผมหนักใจ” พูดจบกับขยี้หัวตัวเองอย่างขัดใจ “แผนจะแตกไหมวะเนี่ย” 


“เอาน่า แค่ไปกินข้าวเอง” ถึงปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งไม่แพ้กัน เผลอสบตาคนนั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง


“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปกับแกด้วย”


“ผมด้วย” คนปกติสงวนคำพูดราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงโพล่งขึ้นจนทุกคนหันมองเข้าเป็นตาเดียว ธันวาเลิกคิ้วก่อนจะกล่าวต่อ “ไปกันหลาย ๆ คนถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยกันไง”


“ไปให้ยุ่งเปล่า ๆ” คันธชาติทำปากมุบมิบ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของนายตำรวจหนุ่มไปได้ เก่งกาจยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะออกแรงดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ พูดให้ได้ยินกันทั้งหมด


“ระหว่างแกกับเขาเนี่ย ฉันไว้ใจเขามากกว่าแกอีกว่ะไอ้หนอน”


“โห! อะ...ไอ้...ไอ้เกลื่อนกลาด ปากเหรอที่พูดน่ะ” คนถูกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ่งเห็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วยิ่งหงุดหงิดขึ้นเป็นทวีคูณ


...

 
ร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่กลางซอยที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ภายในร้านตกแต่งสไตล์โมเดิร์นโดยใช้สีดำเมทัลลิกเป็นหลักแซมด้วยสีน้ำตาลไม้โอ๊คและสีทอง ประดับด้วยโคมไฟกระจกสีให้บรรยากาศขรึม ๆ เหมาะสำหรับการพูดคุยที่เป็นส่วนตัวหรือเจรจาธุรกิจ ด้วยความที่มีโต๊ะอยู่จำนวนไม่มากทำให้ภายในร้านไร้ซึ่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ หากมองจากนอกร้านจะเห็นว่าลูกค้าจะนั่งเต็มทุกโต๊ะ แท้จริงแล้วถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าที่มุมด้านในสุดยังคงมีโต๊ะว่าง เก่งกาจเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์กีฬาที่หยิบติดมาจากโต๊ะทำงานจ้องมองป้าย ‘จอง’ ที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามซึ่งถูกกั้นด้วยฉากกระจกขุ่น เกือบสิบห้านาทีแล้วยังไร้วี่แววของเจ้าของโต๊ะ ในที่สุดตาคมกริบก็ละจากภาพตรงหน้าเมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


“ไอ้บุ้งล่ะครับ”


“ผมส่งเขาที่หน้าร้านแล้วก็ขับรถอ้อมไปจอดด้านหลัง เห็นคุณอัศนัยกำลังเปิดประตูลงจากรถพอดี คิดว่าอีกสักพักน่าจะเข้ามาด้วยกัน นั่นไง มากันแล้วละ”


นายตำรวจหนุ่มวางช้อนก่อนจะเอี้ยวตัวมองตามสายตาของธันวา ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังเดินตามพนักงานต้อนรับเข้ามาในร้าน เมื่อถึงโต๊ะอัศนัยก็เลื่อนเก้าอี้ให้คนที่มาด้วยกันก่อนจะเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองในฝั่งตรงกันข้าม ป้ายจองที่เคยวางเอาไว้บนโต๊ะเมื่อหลายนาทีก่อนถูกพนักงานเก็บออกไปแล้ว เก่งกาจหันกลับมามองคนที่กำลังเอาแต่จ้องคู่หนุ่มสาวนั่นตาเขม็ง พลันรอยยิ้มก็จุดขึ้นบนใบหน้า ใช้ส้อมจิ้มอาหารใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไรเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด


 “คุณ ไปจ้องเขาอย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็รู้ตัวกันพอดีหรอก”


เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็จำต้องลากสายตากลับมายังคนที่นั่งยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม เกือบลืมจุดประสงค์ของการมานั่งทำลับล่ออยู่ตรงนี้เสียสนิท แต่ถึงจะเตือนอีกฝ่ายเช่นนั้นเก่งกาจก็ยังคงลอบมองเป้าหมายเป็นระยะกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ พนักงานเดินยกถาดอาหารผ่านไป เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีเขาก็พบว่าที่โต๊ะเยื้องกันมีเพียงคันธชาติเท่านั้นที่นั่งอยู่


“เดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบนายตำรวจหุ่นล่ำก็คว้าหมวกแก๊ปก่อนจะลุกพรวดพราดออกจากโต๊ะไป



ใบหน้าคมที่ถูกปิดบังบางส่วนด้วยหมวกแก๊ปค่อย ๆ เงยขึ้นมองเงาสะท้อนในกระจก นัยน์ตาสีดำสนิทยากจะคาดเดา ลอบสำรวจชายหนุ่มผิวขาวเขากำลังยืนอ่านข้อความในโทรศัพท์ เขาสวมกางเกงสีเข้มคาดด้วยเข็มขัดเส้นเล็กสีเดียวกันกับรองเท้า เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวยิ่งช่วยเน้นสัดส่วนชวนมอง เก่งกาจเอื้อมเปิดก๊อกน้ำช้า ๆ ราวกับจะถ่วงเวลาในขณะที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่เดิม อัศนัยไม่ได้มาทำธุระส่วนตัวแต่กลับมายืนพิมพ์ข้อความโต้ตอบกับใครอีกคนหนึ่ง แม้แฟ้มประวัติจะระบุข้อมูลอายุที่มากกว่ากันอยู่หลายปี แต่นายตำรวจหนุ่มก็ยอมรับว่าอัศนัยคนนี้เป็นชายหนุ่มวัยทำงานที่ดูอ่อนกว่าวัยและแต่งตัวค่อนข้างจัด ทั้งผมเผ้าและเสื้อผ้าดูแล้วเหมือนกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชันเกาหลีไม่มีผิด


เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เก่งกาจต้องรีบกดตาลงต่ำ จ้องมองสายน้ำที่กำลังไหลผ่านมือซึ่งเต็มไปด้วยฟองสบู่ อัศนัยกดรับก่อนจะสนทนากับคนที่โทรมาด้วยเสียงเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าคนที่ปลายสายจะถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของเขาในเวลานี้ นั่นเพราะประโยคที่เขาตอบกลับที่ว่า ‘ผมอยู่บ้านแล้วกำลังจะพาคุณพ่อขึ้นนอน’ นั่นเอง ครู่หนึ่งเจ้าของร่างสูงโปร่งก็เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าแล้วเดินมายืนเคียงข้าง ตาคมกริบเหลือบมองคนที่กำลังบรรจงถูสบู่จนมือแทบเปื่อยก่อนที่จะหันไปสนใจเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก หลังจากจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าจนเข้าที่แล้วเขาก็เดินออกจากห้องน้ำไปทันที


คันธชาติสบตาร่างบึกบึนสวมหมวกแก๊ปที่เดินตามหลังชายหนุ่มที่มากับเธอขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป เพียงเสี้ยววินาทีก็เบนความสนใจมาที่อีกคนที่กำลังนั่งลงตรงหน้าแทน


“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ ไปเข้าห้องน้ำแล้วพอดีคนที่ออฟฟิศโทรมา เลยคุยนานไปหน่อย”


“ไม่เป็นไรค่ะ” ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มน้อย ๆ “จริง ๆ คุณไม่น่าลำบากเลยค่ะ”


“ได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมอยากคุยกับคุณ”


นัยน์ตาคมจ้องมองดวงตาคู่งามจนอีกฝ่ายต้องหลุบตาลงต่ำ


“ถ้าอย่างนั้นเราลงมือทานกันเลยก็แล้วกันนะครับ หรือถ้าคุณบุ๊งอยากได้อะไรเพิ่มก็สั่งได้ตามสบายนะครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ถือว่าต้อนรับผู้ร่วมงานคนใหม่ ทานเยอะ ๆ นะครับ เพราะคุณคงต้องเหนื่อยกับงานของผมอีกเยอะเลย” ริมฝีปากได้รูปเผยอยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบที่ใคร ๆ ในนาฏยการต่างก็พากันคลั่งไคล้


ที่อีกฟากหนึ่ง...


“เป็นยังไงบ้างครับผู้กอง” ธันวาเอ่ยปากถามให้คนที่เพิ่งเดินกลับมานั่ง จ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังถอดหมวกวางมันลงบนโต๊ะ


“ล้างมือจนมือจะเปื่อยแล้วยังไม่ได้อะไรเลย นอกจาก...” นายตำรวจหนุ่มบ่นพลางบ่นชะเง้อมองสองหนุ่มสาวที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส


“นอกจากอะไรครับ”


“นอกจากรู้ว่าเขาโกหกใครสักคนเรื่องสถานที่อยู่ในวันนี้”


คิ้วของธันวาขมวดเข้าทันทีเมื่อได้ฟัง “เขาจะโกหกทำไมกัน”


“ก็นั่นน่ะสิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน กับแค่มาทานข้าวกับสาว” เก่งกาจว่าพลางถูคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “อืม...”


“มีอะไรเหรอครับ”


“ผมกำลังคิดว่าถ้าผมมาทานข้าวกับสาว ผมจะโกหกใครบ้าง”


“คนคนนั้นก็คงเป็นคนที่มีความสำคัญ มีอิทธิพลต่อตัวผู้กองหรืออาจจะเป็นคนที่ผู้กองต้องเกรงใจ”


คนฟังพนักหน้าสนับสนุนคำพูดนั้น “ถ้าไม่ใช่แฟนก็...เมีย” พูดจบก็หัวเราะออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“นั่นบุ้งลุกออกไปแล้ว” ธันวากล่าวพลางมองตามร่างหญิงสาวที่กำลังเดินห่างออกไป


“สงสัยไปเข้าห้องน้ำน่ะ” เก่งกาจขณะตักอาหารเข้าปาก กำลังเคี้ยวอยู่ดี ๆ ก็หยุดลงเสียดื้อ ๆ รีบคว้าแก้วน้ำขึ้นกระดกก่อนจะจ้องเขม็งไปยังร่างของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไปไม่ไกลนัก ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองภาพในหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกปรับเป็นโหมดกล้องที่อีกฝ่ายกำลังยกขึ้น 


...เขากำลังถ่ายภาพของอัศนัย ต้องใช่แน่ ๆ



“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง”


เก่งกาจดึงสายตากลับมาที่เพื่อนร่วมโต๊ะก่อนจะกล่าว “ผมว่าวันนี้คงไม่ได้มีแค่เราที่ตามดูสองคนนั่น”


“หมายความว่ายังไงครับ” ธันวากล่าวด้วยน้ำเสียงติดกังวลแต่ก็ยังคงรักษาความนิ่งขรึมเป็นปกติ


“ผู้ชายโต๊ะถัดไปนั่นไง ทั้ง ๆ ที่มาร้านอาหารแต่ตั้งแต่มาถึงผมยังไม่เห็นเขาแตะเมนูเลยสักนิด เอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์แล้วเมื่อกี้ก็ถ่ายรูปคุณอัศนัยกับไอ้บุ้ง”


“แล้วเราจะเอายังไงต่อกันดีครับ จะให้ผมไปเตือนบุ้งไหม”


“ไม่ต้องหรอกครับ รอดูกันอีกสักพักดีกว่า”


“แต่ว่า...”


เก่งกาจจ้องคนตรงหน้าก่อนที่ริมฝีปากได้รูปเหยียดจะเหยียดออกเป็นรอยยิ้มชวนสงสัย


“ผู้กองยิ้มอะไรครับ” ธันวากล่าวพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ


“ผมกำลังคิดว่าอาจารย์ดูจะเป็นห่วงเป็นไยไอ้บุ้งเกินเพื่อนอย่างผมเสียอีก นี่ถ้ามันเป็นผู้หญิงจริง ๆ ผมคงคิดว่าอาจารย์ธันวากำลังสนใจเพื่อนผมอยู่”


“แค่ก! แค่ก ๆๆ” ถึงกับสำลักน้ำ ชายหนุ่มเงยหน้ามองอีกฝ่าย ใช้หลังมือซับน้ำที่ปลายจมูก “ผมก็แค่...”


“เอาละครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก” พูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงเพราะข้อความเข้าขึ้นมาดู พลันรอยยิ้มปริศนาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผมคิดว่าไอ้หนอนมันเอาตัวรอดได้ เดี๋ยวผมขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยดีกว่า อยู่ในนี้มันอึดอัด”


ธันวามองเจ้าของร่างบึกที่กำลังลุกขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาคิดอะไรจะทำอะไรกันแน่จนกระทั่ง...


เพล้ง!!!


“เฮ้ย!!!”


“ว้าย!!!”


“ขอโทษครับ ๆ” เก่งกาจยันตัวลุกขึ้นจากพื้น พนักงานสาวที่เขาเพิ่งเดินชนจนถาดใส่แก้วน้ำที่ถือเธอมาเทกระกระจาดวางถาดลงก่อนจะกุลีกุจอเข้าไปช่วยประคองให้เขาลุกขึ้น


“ขอโทษจริง ๆ ครับ พอดีผมหน้ามืด นี่ว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อย” ชายหนุ่มละล่ำละลักก่อนจะหันไปขอโทษคนท่าทางแปลก ๆ ที่ตอนนี้เหนียวเหนอะหนะเพราะน้ำหวานที่หกรดกำลังไหลจากไหล่กว้างลงไปถึงแผ่นหลัง


“ขอโทษด้วยครับพี่”


“ไม่เป็นไรครับ” ชายแปลกหน้าตอบห้วน ๆ แต่ดวงตาขุ่น ๆ กลับบอกว่าในใจของเขาคงไม่ได้คิดอย่างที่ปากพูดออกมาแน่


“ลูกค้าไปล้างเนื้อล้างตัวหลังร้านก่อนดีไหมคะ” พนักงานสาวสวยยังคงทำหน้าที่ของเธอด้วยจิตบริการ


“ครับ” เขากล่าวก่อนจะผุดลุกขึ้นเดินอาด ๆ หายเข้าไปที่หลังร้าน


“ส่วนคุณพี่ท่านนี้ จะออกไปสูดอากาศข้างนอกไหมคะ ดิฉันจะช่วยประคองออกไป”


เก่งกาจมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปหลังร้านอย่างรวดเร็วก่อนจะหันมายิ้มให้พนักงานสาว “ผมเดินไปเองได้ครับ ดีขึ้นแล้ว ยังไงช่วยเช็กบิลเลยก็แล้วกันเพื่อนผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ”


“อะ...ค่ะ” เธอตอบก่อนจะปล่อยมือจากลำแขนกล้ามเป็นมัด จัดการเก็บกวาดแก้วน้ำที่แตกกระจายกลิ้งอยู่กับพื้นเท่าที่จะเก็บได้ก่อนจะเดินไปแจ้งที่เคาน์เตอร์


จังหวะนั้นนายตำรวจหนุ่มก็หมุนตัวกลับเตรียมจะเดินออกไปทำตามอย่างที่ว่า ไม่ลืมหันไปส่งสายตาให้เจ้าของหน้าสวยที่นั่งอยู่ไกลออกไป ไม่รู้ว่าเธอกลับมานั่งตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร แต่มั่นใจว่าชายแปลกหน้าคนนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตเหมือนกัน


“ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารวันนี้” คันธชาติเอ่ยขึ้นหลังจากพนักงานนำบัตรเครดิตมาคืนให้กับชายหนุ่มที่วันนี้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ


“ไม่เป็นไรครับ” อัศนัยตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมหวังว่าจะมีครั้งหน้า”


“อุ้ย...บุ๊งเกรงใจค่ะ”


“อย่าเกรงใจไปเลยครับ”


“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าให้บุ๊งเลี้ยงคุณอัศนัยบ้างนะคะ”


“ได้สิครับ ถ้าคุณบุ๊งต้องการแบบนั้น”


“ค่ะ เดี๋ยวบุ๊งจะพาไปทานตำปูปลาร้ารสแซบจี๊ดจ๊าดถึงใจค่ะ”


คนฟังชะงักเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะขื่น ๆ “ฟังดูไม่เลวนะครับ ผมเองก็ไม่ชอบอะไรจืดชืด”


คันชาติช้อนตามองหน้าคมที่กำลังส่งสายตาวิบวับมาให้ แสร้งทำเขินอายราวกับเด็กรุ่น ๆ 


“ห่านเอ๊ย!” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง


“คุณบุ๊งว่าอะไรนะครับ”


“อ...อ้อ...บุ๊งบอกว่า...”


‘ว่าอะไรวะ คิดอะไรไม่ออก’


ยังไม่ทันได้คิดต่อ เสียงโทรศัพท์ก็ดังช่วยชีวิต “อุ๊ย! เพื่อนโทรมา ขอรับโทรศัพท์ก่อนะคะ”  พูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “หั่นโหลลลลลลลล”


“จะหั่นทำไมวะโหลน่ะ แกจะคุยกันอีกนานไหม จะรอให้ไอ้นักสืบนั่นมันออกมาหรือไง”


“รู้แล้ว ๆ ฉันก็กำลังจะออกจากร้านแล้วแก” มองไปที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเห็นว่ายังเหลือคนนั่งอยู่อีกคน “แกมารับได้เลย” เน้นเสียงตรงประโยคสุดท้ายพลางลอบมองชายหนุ่มมาดนิ่งที่ลุกจากโต๊ะเดินออกไปนอกร้านจากนั้นจึงกดวางสาย


“คิดว่าวันนี้จะได้ไปส่งคุณบุ๊งเสียอีก” อัศนัยกล่าวขณะที่ทั้งคู่พากันเดินออกมาจากร้าน


“แค่นี้บุ๊ก็เกรงใจคุณจะแย่แล้วค่ะ อีกอย่างบุ๊งนัดกับเพื่อนเอาไว้แล้วด้วย”


“เพื่อนหรือว่าคนพิเศษครับ”


“แหม...เพื่อนสิคะ” คันธชาติหัวเราะคิก “อย่างบุ๊งจะมีใครมาจริงใจด้วย”


“ก็ไม่แน่นะครับ อาจจะอยู่แถวนี้...ก็ได้” อัศนัยเน้นคำว่า ‘แถวนี้’ พลางส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ เล่นเอาคนฟังต้องเบนหน้าไปทางอื่นด้วยความขวยเขิน


“คุณอัศนัยนี่มีอารมณ์ขันนะคะ”


“อารมณ์อย่างอื่นก็มีนะครับ”


“คะ?” คันธชาติหันขวับ


“ผมหมายถึงอารมณ์รักน่ะครับ” พูดจบก็หัวเราะในลำคอ


บุ๊งบุ่งที่วันนี้โดนตอดตัวพรุนก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย


...หัวเราะขื่น ๆ...




อัศนัยจ้องมองแลนด์โรเวอร์สีขาวที่กำลังเคลื่อนหายไปในความมืดปะปนไปกับยวดยานจำนวนมากบนท้องถนน พยายามจะมองหน้าคนขับให้ชัด ๆ แต่ฟิล์มติดรถยนต์นั้นก็ทึบเกินกว่าจะมองเห็น ร่างสูงวางความสงสัยเอาไว้ตรงนั้นก่อนเดินไปที่รถ ทันทีที่สอดตัวเข้าไปนั่งเรียบร้อย เขาก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากคนคนเดียวนับสิบสาย และในตอนนี้มันก็สั่นขึ้นอีก ชายหนุ่มถอนใจเฮือกพร้อมกับทิ้งมันลงบนเบาะข้าง ๆ อย่างไม่แยแสแม้ที่หน้าจอดิจิทัลจะปรากฏชื่อ ‘อัญชลิสา’ ก็ตาม



...



หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านมาได้ไม่นานผู้ร่วมขบวนการก็จำต้องนัดรวมตัวกันอีกครั้ง เนื่องจากพุฒพงศ์บอกคันธชาติว่าเธอถูกเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงานเสี่ยอนันต์กับคุณนายใหญ่แห่งบ้านนาฏยกาลรวมถึงวันคล้ายวันก่อตั้งโรงละครที่จะจัดขึ้นในปลายสัปดาห์หน้า มันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาหากเจ้านายของเธอไม่กำชับว่าให้พาผู้ช่วยของเธอไปด้วยให้ได้ และที่สำคัญมันเป็นงานเลี้ยงเต้นรำ


“เต้นรำ! จะบ้าเหรอเจ๊ ไอ้บุ้งมันเต้นรำเป็นที่ไหน รำวงหรือเซิ้งกระติบละว่าไปอย่าง” เก่งกาจกล่าวอย่างหงุดหงิด “นี่เต้นรำ พอดีแผนแตก”


“วันนี้เขาก็กำชับมาอีกรอบว่าให้พาบุ่งบุ๊งไปด้วยให้ได้นะคะ เจ๊ก็ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงเลยรับปากไป”


“จะบ้าตาย ทำไมต้องเต้นรำด้วย” นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับทึ้งหัวตัวเองพลางมองเพื่อนรักที่ยังคงสงบปากสงบคำพอ ๆ กับธันวาที่นั่งห่างออกไปแต่นัยน์ตานั้นกลับแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด


“เจ๊ก็ไม่รู้ค่ะ แต่ได้ยินมาว่างานเลี้ยงเต้นรำนี้จัดทุกปี จะเชิญแต่เฉพาะญาติ ๆ หรือเพื่อนฝูงคนสนิทในวงธุรกิจเท่านั้น” พุฒิพงศ์กล่าว


“เพราะคุณพ่อกับคุณนายใหญ่พบรักกันในงานเต้นรำค่ะ” อารตีเอ่ยขึ้น


“ชื่องานก็ล้อไปตามจังหวะเพลงที่ถูกกำหนดขึ้นซึ่งก็จะวนไปเรื่อย ๆ อย่างปีนี้เพลงที่เป็นธีมของงานก็จะเป็นจังหวะวอลซ์” พุฒิพงศ์เสริม


“ยิ่งไม่น่าห่วงเลยค่ะผู้กอง ฝึกเอาแป๊บเดียวก็น่าจะได้ พี่บุ้งหัวไวจะตายไป คู่ฝึกก็มี” พูดจบอารตีก็สบตาหนุ่ม ๆ ทีละคน


“ไม่ใช่ผมแน่” เก่งกาจชิงปฏิเสธก่อน


คำพูดของทั้งอารตีและเก่งกาจทำให้ธันวารู้สึกว่าตนเองเหมือนอาสาสมัครที่ถูกถีบออกจากแถว ยังไม่ได้เอ่ยปากเสนอตัวเลยนักนิด แต่กลับเป็นเขาโดยปริยาย


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นอาจารย์แล้วละค่ะ”


“แต่ว่า...”


“อย่าบอกว่าอาจารย์เต้นรำไม่เป็นนะคะ รตีไม่เชื่อเด็ดขาด รตีเห็นนะเมื่อวันปัจฉิมนิเทศนักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์เมื่อปีที่แล้วน่ะ ท่านรองคณบดียังให้เกียรติเต้นรำเปิดฟลอร์อยู่เลย”


ยากจะปฏิเสธ...ธันวาได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ ให้คนรู้ทัน


“คุยกันอยู่ 2-3 คนเนี่ย หันมาถามกันสักคำไหม” คันธชาติที่ยังอยู่ในคราบของบุ๊งเอ่ยขึ้น


“แต่นี่จะเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้คนบ้านใหญ่นะคะพี่บุ้ง”


คนหน้ามุ่ยถอนใจพลางเท้าคางใช้ความคิด ปลายนิ้วเคาะลงกับโต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะยืดตัวขึ้นอีกครั้ง “ก็ได้ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มกันเลยดีกว่านะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา” อารตียิ้มก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับรั้งมือเขาขึ้นมา  “เดี๋ยวครูรตีจะสอนน้องบุ้งเองนะคะ”


“พูดยังกับพี่เป็นเด็ก ๆ ที่โรงเรียนของรตีอย่างนั้นแหละ” คันธชาติบ่นอุบแต่ก็ยอมเดินตามเธอมาที่กลางห้องแต่โดยดี


“วันนี้เริ่มจากพื้นฐานก่อนก็แล้วกัน” พูดจบเจ้าของรางเพรียวที่ผันตัวมาเป็นครูสอนการแสดงก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยมีชายหนุ่มร่างสูงก้าวผิด ๆ ถูก ๆ เลียนแบบ ...


“หนึ่ง”


“สอง”


“สาม ลากเท้ามาชิดค่ะพี่บุ้ง”


“สี่”


“ห้า”


“หก ลากเท้าชิดค่ะ”


“หนึ่ง”


“สอง”


“สาม”


“หนึ่ง”


“สอง”


“สาม”


“สี่”


“ห้า”


“หก”

   
“สี่”


“ห้า”


“หก”


ได้ยินแบบนี้อยู่ตลอดบ่าย...


“เอาละค่ะ ทีนี้ลองเข้าคู่ดูบ้าง คุณผู้ชายเชิญทางนี้ค่ะ”


ได้ยินดังนั้นธันวาก็เดินเนิบ ๆ มาหยุดตรงหน้าคนที่ความสูงไล่เลี่ยกัน ก่อนจะตั้งท่ามาตรฐาน

 
“ทีนี้พี่บุ้งก็ต้องวางมือขวาบนมือของอาจารย์ค่ะ ส่วนมือซ้ายวางตรงต้นแขนแบบนี้” พูดจบหญิงสาวก็จัดตำแหน่งท่าทางให้เสร็จสรรพ


“เฮ้ย!” คันชาติโวยวายเมื่อมือของอีกฝ่ายสัมผัสเข้าที่แผ่นหลัง “ต้องใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ”


“ก็ใช่น่ะสิคะน้องบุ้ง น้องบุ้งไม่เคยดูในละครเหรอคะ” พุฒิพงศ์กล่าว


คนฟังมุ่นคิ้วก่อนจะเบนสายตามายังคนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงช่วงแขน ‘นี่ก็ไม่เอะอะอะไรเลยสักนิด’ ชายหนุ่มถอนใจก่อนที่ต่างคนจะต่างเบือนหน้าไปคนละทาง จากนั้นเสียงนับจังหวะก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง


...สลับกับเสียงขอโทษขอโพยของคนที่ซุ่มซ่ามหยียบเท้าคนอื่น...


“ผมขอโทษ คุณเจ็บหรือเปล่า”


“ไม่เป็นไร เต้นต่อเถอะ” ธันวากล่าวหน้านิ่ง


“เจ็บก็บอกว่าเจ็บ”


“ก็มันไม่เจ็บจริง ๆ ถ้าเจ็บแล้วผมจะบอก”


คันธชาติจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างขัดใจก่อนจะเบนสายตาหนีในที่สุด


ราวกับเวลาผ่านไปนานแสนนาน...


และเมื่อเสียงเพลงที่ขับร้องโดยวงสุนทราภรณ์ดังขึ้น ร่างของคันธชาติก็เหมือนถูกพาให้หมุนล่องลอยไปในอากาศ...



ฉันชื่นใจเมื่อได้เห็น

หัวใจเต้น

เพราะได้เห็นดวงหน้า

เฝ้าแต่มอง

มิคลายสายตา

ชื่นหนักหนา ชักพาสุขฤทัย...




หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก...ริมฝีปากบางยังคงนับช้า ๆ ไม่รู้เลยว่าจังหวะหัวใจของใครบางคนเต้นนำไปไกลแล้ว...


“น่ารักเนอะ” กะเทยร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังเอามือประสานกันที่หน้าอกเอ่ยขึ้น


ทั้งอารตีและเก่งกาจต่างก็เดินเข้าไปยืนขนาบข้างจ้องมองภาพนั้นด้วยกัน อารตีเกาะเอวอวบหลวม ๆ จ้องมองร่างของสองหนุ่มสาวที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามทำนองเพลง พริ้วไหวต่อเนื่องท่ามกลางลำแสงอุ่น ๆ ของดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้ดูคล้ายผลส้มผลใหญ่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า


...ราวกับภาพในความฝัน...


หลังจากส่งทุกคนกลับหมดแล้วก็เป็นคราวที่เพื่อนบ้านจะต้องกลับห้องของตนเองบ้าง


“ผมกลับก่อนนะ”


“ขอบคุณมากที่ช่วย” คันธชาติพูดกับคนที่กำลังจะเปิดประตูออกจากห้อง


“ไม่เป็นไร ก็หลวมตัวมาขนาดนี้แล้วนี่”


“เพิ่งรู้ว่าพูดประชดเป็นด้วย ทีอยู่ต่อหน้าคนอื่นเห็นปิดปากเงียบยังกับกลัวดอกพอกุลจะร่วง”


คนถูกเหน็บไม่คิดจะต่อปากต่อคำ เขายิ้มบางเบาอย่างเคยก่อนจะเอ่ยคำลาอีกครั้ง และเมื่อประตูปิดลง เจ้าของห้องก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา จัดการถอดวิกผมออกวางบนโต๊ะ เช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองด้วยแผ่นทำความสะอาดพร้อมกับคิดถึงคำพูดของเก่งกาจที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ


‘ฉันว่าเขาต้องชอบแกแน่ ๆ เลยว่ะไอ้หนอน’


“บ้าเอ๊ย ชอบบ้าอะไรกันวะ” คันธชาติบ่นงึมงำพร้อมกับออกแรงกดแผ่นทำความสะอาดเครื่องสำอางบนใบหน้า แรง...เสียจนหน้าแดงไปหมด



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 20-02-2015 18:34:05
(ต่อนะคะ)


ในที่สุดวันงานก็มาถึง งานเต้นรำฉลองครบรอบแต่งงานของเสี่ยอนันต์และวันคล้ายวันก่อตั้งโรงละครนาฏยกาลในปีนี้ถูกจัดขึ้นที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระ ทั้งที่บอกว่าคนที่มาร่วมงานเป็นเพียงญาติ ๆ และเพื่อนสนิทในวงธุรกิจของเจ้าของงาน แต่กลับไร้เงาของอัญชลิสาที่ใครก็ต่างบอกว่าเธอเป็นคนสนิทของอัศนัย งานนี้ใหญ่โตและมีผู้คนได้รับบัตรเชิญมากกว่าที่คิด แต่ก็ไร้เงาของนักข่าว


แต่ที่ทำให้ต้องประหลาดใจก็คือเขาได้พบกับเก่งกาจที่นี่ วันนี้นายตำรวจหนุ่มหล่อต้องมาปฏิบัติหน้าที่อารักขาท่านรัฐมนตรีและผู้ติดตามอีกเป็นโขยง เมื่อมีโอกาสจึงปลีกตัวออกมาคุยกันทำให้รู้ว่ารัฐมนตรีท่านนี้เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเสี่ยอนันต์นั่นเอง จากนั้นสองคนก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักกันเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น ๆ เมื่อแดดร่มลมตก เสียงทำนองเพลงเต้นรำจังหวะวอลซ์ก็ถูกบรรเลงขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเสี่ยอนันต์และลูกชายคนเล็ก


“วันนี้บุ่งบุ๊งของเจ๊สวยขโมยซีนมากลูก” พุฒิพงศ์กระซิบขณะที่อัศนัยกำลังกล่าวเปิดงาน “ดูสิคุณอัศนัยมองมาทางนี้หลายรอบแล้วนะ บุ่งบุ๊งฟังเจ๊อยู่หรือเปล่า”


คันธชาติที่กำลังเลื่อนตาตามบริกรหนุ่มที่กำลังเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มอยู่ในงานจำต้องดึงสายตากลับเมื่อมืออวบของคนข้าง ๆ สัมผัสลงที่ท่อนแขน


“เจ๊ว่าไงนะ บุ๊งไม่ทันฟัง”


“เจ๊บอกว่าคุณอัศนัยน่ะเขามองบุ่งบุ๊งของเจ๊ตาเป็นมันเลยนะ ดูสิวันนี้แต่งตัวสวยมาก ๆ ต้องของคุณน้องรตีนะเนี่ย” พูดจบก็จับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะถอยห่างออกมา มองหญิงสาวในชุดเดรสแขนกุดสีขาวดอกปีบปล่อยชายกระโปรงยาวกรอมพื้น ผมเผ้าถูกเกล้าเป็นมวยต่ำเผยให้เห็นลำคอระหง ประดับด้วยดอกปีบดอกเล็ก ๆ ดูน่ารัก

 
“แน่ะ! มัวมองอะไรอยู่ คุณอัศนัยเดินมาทางนี้แล้ว” พุฒิพงศ์ยิ้มกริ่มมองชายหนุ่มในชุดทักษิโด้สีเข้มที่กำลังเดินตรงเข้ามา รอยยิ้มของเขาทำเอากะเทยร่างอวบถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอก ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไม่ว่าการยิ้มเรี่ยราดของเขามันทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่สาวแท้สาวเทียมแทบละลายไปตาม ๆ กัน


“ให้เกียรติเต้นรำกำผมสักเพลงนะครับ คุณบุ๊ง” พูดจบก็ผายมือออกส่งสายตาลามเลียคนที่ยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก


“บ...บุ๊ง บุ๊งเต้นไม่เก่งนะคะ กลัวว่าจะเหยียบเท้าคุณอัศนัย...”


“ถึงจะรู้แบบนี้ ผมก็ยังอยากลองอยู่ดี”


คนฟังแสดงท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนจะวางมือลงบนมือของอีกฝ่าย ‘เตือนแล้วนะโว้ย’

   
บริกรหนุ่มจ้องมองสองหนุ่มสาวที่กำลังจูงกันออกไปสมทบกับคนอื่น ๆ ที่กลางฟลอร์ เมื่อเพลงเริ่มขึ้นแต่ละคู่ก็ประคองกันเคลื่อนไหวร่างกายไปตามเพลง น่าแปลกที่งานใหญ่เช่นนี้แต่ปราศจากเงาของนักข่าว ไร้ซึ่งแสงแฟล็ชและเสียงชัตเตอร์ ทั้งที่ควรจะเป็นงานที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน


“ขอเครื่องดื่มสักแก้วสิครับ” เสียงของใครคนหนึ่งช่วยดึงสติที่เคลื่อนไหวไปตามลีลาพริ้วไหวของคู่เต้นรำกลับมาอีกครั้ง


“ครับ”


“ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้ดื่มน้ำจากบริกรดีกรีพีเอชดี” เก่งกาจกล่าวกลั้วหัวเราะขณะยกน้ำขึ้นดื่ม “นี่ผมชักจะเชื่อแล้วสิว่าคุณสนใจเพื่อนผมจริง ๆ”


“ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ให้ผมมา”


“แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ขัดนี่ครับ”


“อย่ามัวแต่แซวผมอยู่เลยน่า คุณรู้ไหมว่าทำไมงานใหญ่ขนาดนี้ถึงไม่มีนักข่าวสักคน” ธันวาชวนเปลี่ยนเรื่อง


“เห็นว่าต้องการความเป็นส่วนตัวนะ” พูดจบก็วางแก้วลงบนถาดตามเดิมก่อนจะเอื้อมมือขึ้นตบบ่าอีกฝ่าย “ผมไปทำงานก่อนนะ แล้วก็ระวังหนวดหลุดล่ะ”


เล่นเอาคนฟังต้องรีบจับที่เหนือริมฝีปากของตัวเอง เมื่อพบว่าหนวดปลอมที่ติดมายังอยู่ก็ค่อยรู้สึกสบายใจ ธันวาหันกลับไปที่กลางฟลอร์เต้นรำอีกครั้งแต่ไม่พบคันธชาติและอัศนัยแล้ว ชายหนุ่มจริงเดินตรงเข้าไปหาพุฒิพงศ์ซึ่งกำลังสนุกสนานกับการตักอาหารอยู่ที่มุมหนึ่ง
   

“รับน้ำไหมครับคุณผู้หญิง”


“ไม่ค่ะ เจ๊จะทานนี่ก่อน”


“สักแก้วเถอะครับ เดี๋ยวติดคอ” อีกฝ่ายยังรบเร้าไม่เลิก


“เอ๊ะ! เจ๊บอกแล้วไง...อ้าว! น้องธัน?!” ท้ายประโยคค่อย ๆ เบาลงเมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากัน “มาได้ยังไงคะ”


“อย่าเพิ่งถามเลยครับ นี่บุ้งไปไหนแล้ว”


“ก็เต้นร...รำ...” เมื่อหันกลับไปยังตำแหน่งที่เธอเพิ่งเดินหันหลังจากมาสักครู่ก็พบว่าคนที่มาด้วยกันหายไปแล้ว “ไปไหนกันแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่เลย” กะเทยร่างอวบเกาหัวแกรก


...



“คุณอัศนัยจะไปไหนคะ”


คันธชาติเอ่ยปากถามร่างสูงที่กำลังเดินนำไปตามทางเดินแคบ ๆ กระทั่งมาถึงที่สุดทางเดินชายหนุ่มก็เปิดประตูเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง แสงไฟสีนวลค่อย ๆ ติดขึ้นจึงพบว่ามันคือห้องสวีทสุดหรูที่อยู่ชั้นสูงสุดของโรงแรม ม่านสีขาวค่อย ๆ เปิดออกเห็นทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยแสงไฟ


“คุณอัศนัยพาบุ๊งมาที่นี่ทำไมคะ”


“ผมมีอะไรอยากจะให้นะครับ” พูดจบก็เดินไปหยิบลิลลี่ช่อใหญ่มาส่งให้


“สำหรับคนสวยครับ”


“ข...ขอบคุณค่ะ แต่บุ๊ง...”


“รับไว้เถอะครับ”


บุ๊งพยักหน้าเนิบ ๆ ก่อนจะรับดอกไม้มาถือเอาไว้ ในใจครุ่นคิดว่าจะจะหาทางหลุดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไรกัน พลันเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดังขึ้น อัศนัยเดินไปเปิดประตูก่อนที่บริกรหนุ่มมาดเข้มจะเข็นรถที่มีแชมเปญขวดโตแช่ในถังโลหะโปะทับด้วยน้ำแข้งเข้ามา


คันธชาติมุ่นคิ้วจ้องมองคนมาใหม่อย่างจับผิด รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน แต่เพราะเขาทำก้มหน้าก้มตาจึงทำให้เห็นไม่ชัด บริกรหนวดงามจัดการเปิดฝาแชมเปญก่อนจะรินใส่แก้วก้านส่งให้ทั้งสองคน


“ดื่มให้สำหรับคืนที่สวยงาม”


สิ้นเสียงหนุ่มหล่อ เสียงแก้วกระทบกันก็ดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่า...ครั้งแล้วครั้งเล่า


“คุณออกไปได้แล้ว” อัศนัยหันมากล่าวกับบริกรหนุ่มที่กำลังยืนสงบนิ่งรอให้บริการ เขาโค้งคำนับก่อนจะเดินออกจากห้องไป และเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง เจ้าของร่างสูงก็หันมาหาคนที่กำลังทอดสายตามองแสงไฟพร่างพราวตรงหน้า


“ให้เกียรติเต้นรำกับผมอีกสักเพลงเถอะนะครับ” พูดจบก็ผายมือออกรอกระทั่งมือนุ่มแตะลงมาก็ออกรั้งรั้งอีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัว “คุณรู้ไหมว่าคืนนี้คุณสวยมากนะ” ดวงตาคมกริบไล่สำรวจใบหน้าของหญิงสาวตั้งแต่หน้าผากไล่มาจนถึงริมฝีปาก “สวยกว่าทุกคนที่ผมเคยพบมา”


เล่นเอาคนฟังที่อยู่ในอาการมึนหัวเราะชอบใจ “สวยที่ไหนกานนนน แบบบุ๊งเนี่ย เรียกว่าหล่อต่างหากเพราะบุ๊งเป็น...เป็นผู้ชายยยยย”


“คุณบุ๊งนี่ตลกดีนะครับ” อัศนัยยิ้มกริ่มพลางกระชับวงแขนที่โอบรัดรอบเอวคอดให้แน่นขึ้น “ผมชอบจัง”


คนในอ้อมแขนมุ่นคิ้ว ก่อนจะใช้มือตีอกแกร่งฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้แรงที่ถูกส่งออกไปมีเพียงน้อยนิดจนอีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกอะไรแถมยังยิ้มยังยินดีเสียด้วยซ้ำ “บอกแล้วงายยยย บุ๊งเป็นผู้ชายยยยยย”


หนุ่มหล่อเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “แล้วผมเคยบอกเหรอครับว่าผมชอบผู้หญิง” พูดจบก็หัวเราะร่วนก่อนจะประคองคนเมาไปที่เตียง ออกแรงดันร่างในชุดสวยเพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็ลงไปนอนแผ่


อัศนัยจัดการถอดเสื้อนอกออก มือปลดหูกระต่ายคลายประดุมเสื้อแต่สายตากลับไล่มองตั้งแต่ปลายเท้าของคนที่กำลังพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง คันธชาติกำผ้าปูที่นอนแน่นพยายามจะดันตัวขึ้นแต่ร่างของอีกฝ่ายก็โถมลงมาเสียก่อน มือหนาแตะลงบนไหล่กลมกลึงก่อนจะไล้ไปตามแขนเนียนกระทั่งมาหยุดที่สะโพก


“น่ารำคาญจริง คนจะนอน” พูดจบก็คำรามในลำคอ ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวขู่จนมุม และไม่สามารถหยุดความต้องการของเสือที่กำลังกระหายหิวได้ เนื้อตัวกรุ่นหอมเคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์นั้นราวกับเกสรดอกไม้ที่กำลังดึงดูดแมลงให้หลงเข้าใกล้ ปลายจมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอเนียนของคนเมาก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้...ใกล้...


ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ดังชิดริมหู คันธชาติตะเกียกตะกายลุกขึ้นพร้อมกับดันตัวคนบนร่างออก พยุงตัวยืนโงนเงนมองหน้าหล่อที่กำลังหลับตาพริ้ม


“หนักเป็นบ้าเลย นอนทับลงมาได้” ได้ยินเสียงงึมงำไม่เป็นภาษาของตัวเองพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก


“บุ้ง! คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ธันวาปรี่เข้ามาจับต้นแขน แรงเขย่าทำให้อีกฝ่ายหน้ายู่


“สบายดี ม่ายยยยเจ็บ...ม่ายยยยไข้” คันธชาติกล่าวพลางขยับตัวให้หลุดจากการสัมผัสของอีกฝ่าย ยกมือขึ้นจิ้มเหนือริมฝีปากได้รูปอย่างเบามือ “มีหนวดดดดตั้งแต่เมื่อหร่ายยยย”


“ยังจะมีหน้ามาพูดดี ถูกเขามอมเหล้าน่ะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า ดื่มเข้าไปไม่กี่แก้วก็คอพับคออ่อนแล้ว เด็กจริงว่ะ” เก่งกาจบ่นก่อนจะเดินอ้อมไปยืนมองชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง “ขอโทษที่มาขัดความสุขนะครับคุณอัศนัย” พูดจบก็ส่งสัญญาณเรียกคนที่รออยุ่ข้างนอกเข้ามา เป็นพุฒิพงศ์นั่นเอง กะเทยร่างท้วมตรงเข้ามาหาคันธชาติ หมุนตัวสำรวจความเสียหายก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอก


“เจ๊ละลุ้นจะแย่ นี่ดีนะคะว่าในกระเป๋ามียานอนหลับติดมาด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้จะแก้สถานการณ์นี้ยังไง”


“เจ๊พกยานอนหลับทามมายยยยยย อย่าบอกนะว่าเอาหลอกหม่ำผู้ชายยยยย” พูดแล้วก็หัวเราะเอิ้กอ้าก “กิ๊ว ๆ หม่ำ ๆ” หน้าสวยยื่นเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเขี่ยคางคนตัวเตี้ยกว่าส่งสายตาล้อ ๆ


“ไม่เอาแล้วค่ะบุ่งบุ๊ง ไม่พูด ๆ จุ๊ ๆ”


ฟังเพื่อนพูดแล้วผู้กองร่างบึกก็ได้แต่สายหัวก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับตัวปัญหาบนเตียง “เจ๊ช่วยจัดการนายอัศนัยให้ผมหน่อยได้ไหม”


“ผู้กองจะให้เจ๊ทำยังไงคะ”


“ทำยังไงก็ได้ให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วเข้าใจว่าเขาได้กินไอ้หนอนแล้ว”


คนฟังอ้าปากค้างไม่เชื่อหู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากทำ “เต็มใจช่วยค่ะผู้กอง” ว่าแล้วก็จัดการไปตามระเบียบ เริ่มจากถอดเสื้อ บรรจงกดริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงลงบนหน้าอกและซอกคอ กำลังเปลี่ยนเปล้าหมายไปที่กางเกงคันธชาติก็ขัดขึ้นเสียก่อน


“ขอขาดดดดจังหวะแป๊บบบบบ” เล่นเอาพุฒิพงศ์ดึงมือกลับแทบไม่ทัน “ขอดูหน่อยยยว่ามีรอยสากกกม้ายยยย”


“ไอ้บ้านี่ขนาดเมาแอ๋แบบนี้ยังหนักแน่นในหน้าที่” เก่งกาจพึมพำก่อนจะช่วยรั่งร่างไร้สติขึ้นมาพลิกดูที่ด้านหลัง


...เกลี้ยงเกลา...


“เฮ้ย! ทำไมไม่มีวะ” ส่างเมาขึ้นในบัดดล


...



ธันวาประคองคันธชาติเข้ามาในห้องก่อนจะพาไปยังโซฟา ในจังหวะที่กำลังจะจับอีกฝ่ายนั่งนั้นราวกับฉากในละครโทรทัศน์ กระโปรงยาวกรอมพื้นทำให้ร่างสูงเสียหลักก่อนจะพอกันล้มลงไป


“เจ็บนะโว้ย” คนเมาแหกปากเมื่อศีรษะกระแทกลงกับที่วางแขน


“ข...ขอโทษ ผมขอโทษ” ธันวาละล่ำละลักพลางช้อนศีรษะคนใต้ร่างขึ้น “เจ็บมากไหม”


“เจ็บม่ายยยมากกก เจ็บบบบใจมากกว่า ทำมายยยไม่มีรอยสากกก”


“กิ่ง...กิ่งอยู่ไหน” พูดไปมือก็ปาดป่ายเหมือนจะเอื้อมคว้าหาอะไรบางอย่าง ในที่สุดทั้งห้องก็กลับเงียบลงเมื่อแขนทั้งสองข้างคล้องเข้ากับคอหนา “อย่าไปไหนนะ”


“บุ้ง...”


“...”


“บุ้ง”


“...”


“คุณรักเธอมากเลยเหรอ”


“ร้ากกกสิ รักทุ้กกกกวัน” สิ้นเสียงนั้นความเงียบก็แทรกซึมไปทุกอณูของความว่างเปล่าอีกครั้ง


“เงียบทำมายยย” คันธชาติกล่าวพลางแตะมือที่แก้มสากก่อนจะตบเบา ๆ อย่างหยอกเย้า “ผิดหวังเหรอ”


“ชอบกิ่งเหรอ”


“หรือว่าชอบผมมมม”


ธันวาไม่ตอบอะไรแต่หากแต่คว้าข้อมือเล็กมาแนบอกก่อนจะจ้องมองหน้าสวยที่ฉาบด้วยแสงนวลของแสงจันทร์ที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา หน้าคมเลื่อนใกล้เข้ามาจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์เคล้าน้ำหอมจาง ๆ จากลมหายใจของอีกฝ่าย ชายหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อคำถามสุดท้ายยังคงถูกส่งผ่านจากริมฝีปากบางทะลุทะลวงโสตประสาทแล่นปราดเข้าสู่หัวใจและพร้อมจะดึงความรู้สึกที่เขาพยายามจะเก็บซ่อนไว้ออกมา


“คุณชอบผมเหรอ”


“ใช่! ผมชอบคุณ” ในเมื่ออยากได้คำตอบก็จะตอบให้

 
เจ้าของคำถามนิ่งงัน แต่ใต้อกเสื้อกลับขยับเป็นจังหวะยากจะควบคุม แขนที่เคยคล้องร่วงตกลงมาราวกับแรงหมด ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์สั่นไหว นึกถึงคำพูดหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้



‘มาพิสูจน์กันไหมล่ะ พิสูจน์ด้วยวิธีของฉัน’




สองคนยังคงสบตากันท่ามกลางแสงนวลสลัว มือที่กำแน่นภายใต้การเกาะกุมของธันวารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้เนื้อผ้านุ่ม   ถึงนาทีนี้ไม่อาจสรุปได้ว่าหัวใจใครเต้นแรงกว่ากัน และเมื่อลมหายใจอุ่นใกล้เข้ามาทุกขณะ คันธชาติก็เอ่ยขึ้น  “อย่านะ...อย่าทำแบบที่ใจคุณกำลังคิด”




“ห้ามจูบผมเด็ดขาด”



หวังว่ามันจะหนักแน่นพอที่จะหยุดหัวใจของอีกฝ่ายได้


คันธชาติได้ยินประโยคนั้นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะดับวูบลง ไม่รู้ว่ามันแผ่วเบาหรือเพราะหัวใจตัวเองที่เต้นแรงกันแน่



...


แฮ่...เกือบไปแล้วเชียว

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 20-02-2015 18:59:29
อ้างถึง
ถ้าคุณบุ๊งไม่รักเกียจ
  - บุ๊งรังเกียจค่ะ คุณอัศนัย

เนียนมากเลยนะคะ อิคุณเล็ก
เราสงสัยว่าคุณนางเอกละครหรือเปล่าที่เป็นผู้ต้องสงสัย  มโนอีกแล้ว
มีให้ยิ้มตลอดเลย

อยากอ่านถึงลำแขนล่ำๆของคุณกาจบ่อยๆ  เราจิ้นคุณตำรวจกดคุณอัศนัยไปแล้วเรียบร้อยค่ะ จากฉากในห้องน้ำ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-02-2015 19:35:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 20-02-2015 20:09:49
เกือบเสียตัวแล้วไหมละบุ่งบุ๊ง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 20-02-2015 20:25:29
กรี๊ดดดด รอตอนต่อไป เราคิดเหมือนเม้นบนเลยว่า คุณตำรวจจะกดอัศนัย 55555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 20-02-2015 20:52:30
โถ่ว!!! อาจารย์ขาาาาา :ling1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 20-02-2015 21:32:19
กำลังคิดว่าคนรักกิ่งเป็นคุณนางเอกจอมหยิ่ง  :ruready
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 20-02-2015 21:46:34
หว๋ายยยยยๆๆๆๆ นี่ใกล้เคียงกับคำว่า NC มากที่สุดเท่าที่เคยอ่านผลงานของคุณ ถธปทฟ มาเลยนะเนี่ย

ตอนนี้บุ้งก็ใจร้ายอีกแล้ว หลอกให้อยากแล้วจากไป
สงสาร ดร.ปลายปีนะ ทำไมหล่อเลือกได้แบบอาจารย์ชีวิตรักรันทดเยี่ยงนี้

เมื่อไหร่จะเจอรอยสัก?อยู่ที่ยายอัน?ซ่อนไว้?ยังไม่เห็น?หรือยังไง?
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 21-02-2015 01:00:50
ลุ้นกับภารกิจของบุ่งบุ๊งมากเลย
เกือบไปแล้วจริงๆ
แบบว่า พี่ธันคะ ดูเป็นห่วงเป็นใยน้องบุ้งม๊ากมาก
ถ้าจะขนาดนี้ เจ้รบกวนให้สารภาพเลยจะดีกว่าค่ะ
แต่ พอมีเวลาให้สารภาพแล้ว เจ้าตัวดันไม่ได้สตินี่สิ เฮ้อ เจ้ล่ะเซ็ง
คงต้องลุ้นกันต่อไปสิเนอะ
หวังว่าก่อนที่น้องบุ้งจะหลับไป น้องบุ้งคงจะรับรู้ถึงรสสัมผัสนั้นนะคะ
อ๊ายยย ฟิน
แล้วมาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-02-2015 01:16:08
ตกลงใครคือเจ้าของรอยสัก ลุ้นมากค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 21-02-2015 10:36:41
งานนี้เจ๊พุดดิ้งได้กำไร :laugh:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 10 : พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2)) 20-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 21-02-2015 20:33:48
เกือบไปแล้วนะบุ้ง
ดีนะเจ๊มียานอนหลับ ~.~
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-02-2015 00:25:27
ตอนที่ 11 ความลับ



คันธชาติยันร่างลุกขึ้นนั่งบนที่นอน สลัดศีรษะไล่ความหนักอึ้งในหัว เมื่อคืนกว่าจะจัดการกับสารรูปที่ดูย่ำแย่ของตัวเองหลังจากสะดุ้งตื่นเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ที่เหลือก่อนหน้านั้นแทบจำไม่ได้ ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงเดินโงนเงนหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่แล้วจึงกลับออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูสดชื่นขึ้น โทรศัพท์ที่แผดเสียงแว่วมาทำให้ต้องรีบเปิดประตูออกจากห้อง


คันธชาติคว้าเครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นดูคนที่ปลายสายก็กดวางไปเสียแล้ว


"ไอ้กาจ" ริมฝีปากบางกล่าวกับตัวเอง กำลังจะกดโทรออกแต่คนที่กำลังพูดถึงก็โทรสวนเข้ามาอีกครั้ง


"เออ ว่าไง"


"เป็นไงบ้างวะ"


"ก็มึน ๆ รู้สึกพะอืดพะอมยังไงไม่รู้"


"แหงละ ดื่มเข้าไปไม่รู้กี่แก้ว"


"แก้วเดียว"


"แกเดียวบ้านบ้าแกสิ ฉันเห็นแชมเปญในห้องเกือบหมดขวด"


"แก้วเดียวแต่เติมหลายครั้งไง" พูดแล้วก็หัวเราะราวกับเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อคืนเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก


"ไอ้บ้า ยังจะมาทำตลก นี่ถ้า ดร.ธันวาเขาหาแกไม่เจอ มีหวังพ่อกับแม่แกได้ลูกเขยเป็นนักธุรกิจแน่"


ฟังเพื่อนพูดแล้วก็ให้นึกถึงอีกคนที่เมื่อคืนอยู่กับเขาเป็นคนสุดท้ายขึ้นมา


"เป็นไงบ้างวะ แกได้พิสูจน์ไปแล้วหรือยัง"


"พ...พิสูจน์อะไร"


"เอ้า! ก็พิสูจน์ว่า ดร.ธันวา เขาชอบแกจริงอย่างฉันว่าหรือเปล่าไง"


"ไร้สาระน่า" ปากพูดไปแต่ในหัวกลับมีเรื่องไร้สาระที่ว่าผุดขึ้นมาให้ต้องคิด "เออ ๆ เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ" พูดจบก็กดวางสายโดยไม่คิดจะรอฟังคำของอีกฝ่ายเลยสักนิด


เหตุการณ์เมื่อคำคืนที่ผ่านมามันเลือนรางเสียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก คันธชาติเป็นประเภทไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้จึงตัดสินใจเปิดประตู ตั้งใจจะถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ร่างสูงเดินไปหยุดยังประตูห้องฝั่งตรงข้าม เอื้อมมือกดกริ่ง ไม่นานประตูก็เปิดออก


"เอ่อ...ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม" พูดกับเจ้าของห้องที่วันนี้หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่น


ธันวาพยักหน้าขรึมก่อนจะหลีกทางให้ มองหนุ่มห้องตรงข้ามที่เดินไปนั่งลงที่โซฟาอย่างเคยราวกับเป็นที่ประจำ


"มีอะไรหรือเปล่า" เจ้าของห้องถามเสียงเนือย ๆ ในขณะที่ผู้มาเยือนยังคงนั่งมองสองมือของตัวเองที่เกี่ยวประสานกันอยู่ตรงหน้า


"คือ...เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า"


"ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีนี่ พวกเราเข้าไปทันก่อนที่..." ธันวาหยุดไว้เพียงเท่านั้น เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้น


"ไม่ใช่สิ ผมหมายถึง..." คันธชาติหันมาสบตา "ผมหมายถึงหลังจากนั้น...ต...ตอนที่กลับมาที่คอนโด"


คนถูกถามเบนสายตาหนีก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดตำราที่อ่านค้างไว้ไปเรื่อย ๆ หน้าแล้วหน้าเล่า "คุณจำไม่ได้เลยเหรอ"


"ถ้าจำได้ผมจะมาถามคุณไหมเนี่ย" คันธชาติกล่าวอย่างขัดใจก่อนจะลุกขึ้นไปเดินตรงหน้าคู่สนทนา


"ว่ายังไงล่ะ"


"เมื่อคืนคุณร้องหากิ่งดาว คุณบอกว่าคุณรักเธอมาก"


"แค่นั้นเหรอ"


ฟังแล้วธันวาก็ทอดตานิ่งมองตัวหนังสือในหน้ากระดาษ จนกระทั่ง


"ว่ายังไงล่ะ"


"แค่นั้น" พูดจบก็หยิบปากกาจดโน้ตสั้น ๆ ลงในกระดาษ


"อืม" คนช่างสงสัยพยักหน้า ได้ฟังแบบนี้แล้วค่อยสบายใจ "ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนคุณแล้วนะ" พูดจบก็เดินห่างออกมา


ธันวายังคงมุ่งความสนใจไปที่ตำราตรงหน้า กระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบานไม้สีโอ๊คด้วยแววตาที่ปราศจากความรู้สึกใด ๆ


...



อัศนัยจ้องมองหนังสือพิมพ์บันเทิงที่ถูกโยนโครมลงข้างตัว ข่าวพาดหัวกินพื้นที่เกือบครึ่งพูดถึงลูกชายนักธุรกิจบันเทิงชื่อดังควงสาวปริศนา ชายหนุ่มกางหนังสือพิมพ์ออกอ่านรายละเอียดและพบว่าหนึ่งในภาพข่าวเป็นภาพของเขากับผู้ช่วยช่างเสื้อที่กำลังโอบกอดเต้นรำกลางฟลอร์กับอีกภาพเป็นภาพเขากับหญิงสาวที่เห็นหน้าไม่ชัดกำลังรับประทานอาหารด้วยกันภาพในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งในข่าวนำสองภาพมาเปรียบเทียบกันและตั้งคำถามว่าหญิงสาวในภาพเป็นคนเดียวกันหรือไม่ 


เมื่อพิจารณาความละเอียดและมุมมองของการถ่ายภาพก็เดาได้ทันทีว่าคงจะมีใครสักคนในงานหยิบกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้ก่อนจะส่งต่อให้กันดู กระทั่งไปตกอยู่ในมือนักข่าวที่มีปากกาดุจดังคฑาเนรมิต่ ชายหนุ่มถอนใจก่อนจะปิดหนังสือพิมพ์และวางมันลงอย่างไม่แยแส


"นั่งเทียนเขียนทั้งนั้น" อัศนัยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พลางปลดกระดุมเสื้อออก มองสาวสวยในชุดคลุมอาบน้ำที่กำลังนั่งไขว้ห้างละเลียดจิบไวน์อยูที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง


"แต่ภาพนั่นก็เป็นภาพคุณจริง ๆ นี่คะ ส่วนผู้หญิงในภาพก็เป็นคนเดียวกัน" อัญชลิสาเว้นจังหวะสบตาอีกฝ่ายจากเงาสะท้อนของกระจก "ผู้ช่วยช่างเสื้อคนนั้น" พูดจบก็กระดกไวน์ในแก้วจนเกลี้ยง


"งานเต้นรำนั่นเป็นงานที่เชิญแต่ญาติ ๆ หรือเพื่อนสนิทของคุณพ่อคุณ แต่คุณก็เชิญเจ๊พุดดิ้งกับเด็กนั่น"


"ไม่เอาน่า คุณพุฒิพงศ์เขามาขอร้องผมต่างหาก เขาเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พบลูกค้า เขาก็เลยขอให้ผมอนุญาตให้ร่วมงานเต้นรำนั่น" พูดจบอัศนัยก็ถอดเสื้อโยนลงพื้นก่อนจะเดินมาหยุดข้างหลัง รั้งอีกฝ่ายขึ้นมาพลางสบตาสวยในกระจก เพียงเขาไล่ขึ้นมาตามลำแขนไฟปรารถนาก็จุดขึ้นในดวงตาของเธอจนสังเกตได้


"ส่วนเด็กนั่น เขามายุ่งกับผมเอง" ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปากก่อนจะกระซิบ "คุณก็น่าจะรู้ว่าทุกวันนี้ผมหลงคุณจะแย่แล้ว อย่าหึงผมเลยนะ"


เสียงกระซิบแหบพร่าทำเอาอัญชลิสาสะเทิ้นอาย ตาคู่งามทอดมองเงาสะท้อนในปืนระนาบ เห็นตัวเองสั่นสะส้านอย่างควบคุมไม่อยู่เมื่อริมฝีปากได้รูปแตะลงบนลำคอ


มือเรียวกระตุกรั้งสายรัดเอวเพียงเบา ๆ เสื้อคลุมอาบน้ำก็ลงไปกองอยู่กับพื้น อัศนัยโน้มหน้ากดจูบลงบนบ่าเปลือยก่อนจะไล่ชิมความหวานของเรือนร่างที่เขาถือสิทธิ์อย่างย่ามใจ ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่กำลังหลงใหลในความงามของผีเสื้อ ในขณะที่ลำแขนแกร่งสอดเข้าข้างลำตัวเกี่ยวลัดคลึงเคล้าส่วนนูนแน่น กลีบปากก็ดูดดึงเนื้อนุ่มใต้ช่วงบ่าจนคนในอ้อมแขนสั่นสะท้าน


ริมฝีปากร้อนชื้นเลื่อนต่ำก่อนจะกดคมฟันบนผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังสยายปีกทำเาอัญชลิสาผวาหมุนตัวกลับเกี่ยวคอหนาเอาไว้ไม่ให้ตัวเองลงไปกองกับพื้น หลับตาพริ้มซบหน้าลงกับอกกว้างที่กำลับขยับรัวตามจังหวะการหายใจ หน้าสวยกัดกรามแน่นเมื่อมือคู่นั้นเลื่อนต่ำขย่ำเนื้อสะโพก พลันเสียงคำสั่งของคนที่เธอพร้อมจะมอบกายถวายชีวิตก็ดังขึ้น


"ไปที่เตียงกันเถอะ"


อัญชลิสาเหยียดยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคู่ที่ฉาบเคลือบด้วยความกระหาย เล็บยาวลากไปตามแผ่นอกพลางส่งสายตายั่วยวน ริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นก่อนจะกระซิบ "ถ้าอันไม่ไปล่ะคะ"


"จะแกล้งให้ผมตายอยู่ตรงนี้หรือไง" ปากพูดไปมือก็ยังคลึงเค้นเนื้อตัวของอีกฝ่าย


"ขาดอันไม่ได้ใช่ไหม" ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนกลีบปากคนตัวสูงกว่า "ถ้าขาดไม่ได้ก็ห้ามทำให้อันเสียใจ ไม่อย่างนั้นความลับของคุณก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป"


"ขู่ผมเหรอ" อัศนัยเหยียดยิ้มไม่ยี่หระ "ผมจะทำให้คุณรู้ว่าคนที่กล้าขู่ผมต้องพบกับอะไรบ้าง" พูดจบก็ช้อนร่างเปลือยลอยขึ้นในอากาศก่อนเดินไปที่เตียง


อัศนัยวางร่างบางลงบนที่นอนนุ่มก่อนจะแนบกายคลอเคลียผีเสื้อปีกสวยที่ทำให้ไฟปรารถนาลุกโชนขึ้่นอย่างยากที่จะหาวิธีดับ จากอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรง คงต้องปล่อยให้มันแผดเผาสองร่างไปปบบนี้จนกว่าจะเช้า



...



คันธชาติปิดประตูรถอย่างหงุดหงิดหลังจากพยายามติดเครื่องอยู่นาน แสงแดดยามบ่ายนอกจากจะทำให้ร้อนกายยังส่งผลให้ในใจร้อนตาม เมื่อมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลานัดจึงเดินดุ่มตั้งใจจะไปเรียกแท็กซี่ที่หน้าคอนโด เป็นจังหวังเดียวกับที่แลนด์โรรเวอร์สีขาวเคลื่อนเข้ามาขวางไว้เสียก่อน หัวคิ้วขมวดมุ่นคลายออกเมื่อเจ้าของรถลดกระจกลง ธันวานั่นเอง ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วกว่าปกติ? แต่ก็ช่างเถอะ ชายหนุ่มทำท่าจะเลี่ยงไปอีกทางแต่อีกฝ่ายก็รั้งเอาไว้ด้วยคำถาม


“คุณจะไปไหนน่ะ”


“ผมนัดกับเจ๊พุดดิ้ง จะเข้าไปที่นาฏยกาล วันนี้เจ๊มีนัดคุยงานที่นั่น”


“แล้วทำไมไม่เอารถไป”


“รถเสียน่ะ ผมก็เลยจะออกไปเรียกแท็กซี่ ไปก่อนนะคุณ พอดีผมรีบ” เบนปลายเท้าไปอีกทางแต่ยังไม่ทันเริ่มเดินก็ต้องหยุด


“เอารถผมไปสิ”


“ว่าไงนะ”


“ผมบอกว่าให้เอารถผมไป”


“ไม่เป็นไร เผื่อคุณจะไปไหน”


“เอาไปเถอะ พอดีผมจะไม่อยู่หลายวัน” พูดจบก็หันไปคว้าเอกสารก่อนจะเกิดประตูลงมายืนเผชิญหน้ากัน


“จะไปไหน”


“ไปที่สัมมนาที่ต่างจังหวัดน่ะ กว่าจะกลับก็อีก 2-3 วัน”


“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะ” คันธชาติยิ้มอย่างกับหมาได้กระดูก จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ


“ฝากดูแลด้วยล่ะ”


“จะระวังแบบมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยคอยดู” ชายหนุ่มยักคิ้วก่อนจะปรับกระจกขึ้น ในที่สุดแลนด์โรเวลอร์คันงามก็ถูกขับออกไป


คันธชาติขับรถมาจอดที่ห้องเสื้อพุทธรักษา ผลุบหายเข้าไปหลังร้านอยู่นานจนกระทั่งกลับออกมาในคราบของบุ๊ง เมื่อถามไถ่ถึงสาเหตุที่ต้องเข้าไปที่นาฏยกาลวันนี้ พุฒิพงศ์ก็เล่าให้ฟังว่าเลขาของอัศนัยโทรมาแจ้งว่าทีมเขียนบทขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของชุดก่อนจะดูความก้าวหน้าตามกำหนดประชุมเดิม


“เจ๊ขอโทษนะที่ไปกับน้องบุ้งไม่ได้น่ะ พอดีเขาบอกกระทันหัน แล้วเจ๊ก็นัดกับสวีทฮาร์ตไว้แล้วว่าวันนี้จะไปดินเนอร์กัน”


“ไม่เป็นไรน่าเจ๊ ผมไปคนเดียวได้ คงไม่มีอะไรเหมือนวันนั้นหรอก ทีมงานก็อยู่กันตั้งเยอะ พวกแก๊งนางฟ้าอีก” พูดจบคันธชาติก็ตบบ่ากะเทยร่างอวบเบา ๆ “ผู้ชายสำคัญกว่า งานเอาไว้ทีหลังก็ได้”


“หือ!!! น้องบุ้ง เจ๊กำลังจะซึ้ง” แกล้งตีแขนคนตัวสูงเบา ๆ “แต่ก็ขออบใจมากนะ”


“คร้าบบบบ ว่าแต่ยานอนหลับน่ะเตรียมไปหรือยัง”


คนฟังค้อนขวับก่อนจฉีกยิ้มกว้างในที่สุด “พร้อมย่ะ”


สองคนพากันหัวเราะคิก ไม่รู้ตัวเลยว่ามิตรภาพมันก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไร...


...


แลนด์โรเวอร์คันงามเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถใกล้ตึกร้างภายในอาณาบริเวณของโรงละครนาฏยกาล คันธชาติที่แปลงโฉมเป็นบุ๊งเปิดประตูลงจากรถ ทอดสายตาไปยังตึกหกชั้นที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ ท่ามกลางบรรยากาศหม่น ๆ ขายาวกาวเดินไปเรื่อย ๆ กระทั่งตึกนั้นปรากฏชัดเจนขึ้นแก่สายตาจึงได้หยุด เงยหน้าขึ้นมองไปบนดาดฟ้าก่อนจะเลื่อนสายตาลงมายังจุดที่ตนเองยืนอยู่ คงเป็นตรงนี้กระมังที่กิ่งดาวตกลงมา ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งปล่อยใจคิดถึงเพื่อนรักที่ไม่อาจจะลืมเธอลงได้เลยสักวัน


“บุ่งบุ๊ง มายืนทำอะไรตรงนี้”


เสียงนั้นช่วยเรื่องความคิดของคันธชาติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มบางก่อนจะกล่าว “บุ๊งหาทางไปห้องประชุมไม่เจอน่ะ”


“ว่าแล้วเชียว นี่ดีนะที่เจ๊พุดดิ้งโทรมาบอกเจ๊แคทไว้ นิกกี้เลยอาสาออกมาดูบุ่งบุ๊ง”


“ขอบใจนะนิกกี้”


“ไม่เป็นไร แต่คราวหลังน่ะอย่ามาทำอะไรแถวนี้นะ” กะเทยร่างเล็กล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาด ๆ


“ทำไมล่ะ”


“ก็ตึกนี้น่ะ มีคนเคยตกลงมา วันดีคืนดีก็มีคนได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยนะ พูดแล้วขนลุก”


“ใครเหรอที่ตกลงมา”


“อืม...ก็เป็นนักแสดงใหม่นะ ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าเธอเป็นสาวประเภทสองอย่างเรานี่แหละ เพราะกฎของนาฏยกาลเข้มงวดมาก ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าปลอมเอกสารมาสมัครงาน มารู้อีกทีว่าเธอเป็นผู้หญิงก็ตอนที่เธอเสียชีวิตแล้ว คุณอัศนัยสั่งสอบสวนให้วุ่นว่าใครเป็นคนช่วยให้เธอได้เข้าทำงานแต่ก็ไม่มีใครยอมรับ”


คันธชาติพยักเนือย ๆ หลังจากได้ฟัง นั่นเป็นข้อมูลที่เขาเองก็พอจะรู้มาอยู่บ้างจากปากของพุฒิพงศ์ แต่ที่เขาอยากจะรู้ก็คือใครที่เป็นคนช่วยให้กิ่งดาวฝ่ากฎเหล็กเข้ามาทำงานมนนาฏยกาลได้สำเร็จต่างหาก


“ไปกันเถอะบุ่งบุ๊ง นิกกี้ไม่อยากอยู่แถวนี้นาน มันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”


นิกกี้ไปส่งคันธชาติที่ห้องประชุม เมื่อไปถึงชายหนุ่มก็พบว่าเขามาถึงเป็นคนแรกทั้งที่ใกล้เวลาแล้ว ร่างสูงเดินไปนั่งลงที่เก้าก่อนจะคิดทบทวนข้อมูลที่มีอยู่ในหัว เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้กระทั่งเสียงหนึ่งกระซิบที่ข้างหู


“คิดถึงคุณจัง”


คันธชาติลุกพรวดขึ้นก่อนจะหันกลับไปมองคนที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ยิ้มของอัศนัยมันช่างเป็นยิ้มน่าขยะแขยงเสียเหลือเกินในความรู้สึกของเขา


“คุณอัศนัย”


“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะครับ หืม?” เจ้าของหน้าหล่อเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะสอดมือรั้งเอวสอบของสาวให้เข้ามายืนใกล้ ๆ


“ปล่อยบุ๊งเถอะค่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”


“ไม่ปล่อย คราวที่แล้วคุณไม่อยู่รอผมผมยังไม่ได้ทำโทษเลยนะครับ” พูดจบก็เตรียมจะฉกจูบแต่อีกฝ่ายหลบทัน ทำเอาคนหื่นกระหายหัวเราะชอบใจ


“ปล่อยนะคะ” คันธชาติพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบและบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ แต่มือกลับกำหมัดแน่น โชคดีที่เสียงคุยเอะอะที่ด้านนอกทำให้รู้ว่ามีคนกำลังมาทางนี้ อัศนัยจึงรีบปล่ออยมือและเดินไปนั่งประจำที่ของเขา


สองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วในห้องมองกลุ่มคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามา หนึ่งในนั้นมีอัญชลิสาในชุดเดรสสั้นสายเดี่ยวสีดำเผยเนินอกดูยั่วยวน เธอเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ว่างข้างอัศนัย ก่อนจะส่งสบตาผู้ช่วยช่างเสื้อแวบหนึ่ง แค่แวบเดียวก็เย็นวาบไปทั้งตัว คันธชาติยอมรับว่าอัญชลิสาผู้นี้มีดวงตาที่งดงาม แต่ในตัวตาคู่นั้นกลับมีบางอย่างแอบแฝง ซึ่งตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถูก รู้สึกว่ามันมีสเน่ห์เย้ายวนลึกลับน่าค้นหาและน่าวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน


การประชุมเป็นไปอย่างกระชับเนื่องจากอัศนัยยังมีภารกิจต่อ ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดการประชุมคันธชาติจึงเอาตัวรอดได้อย่างสบาย ๆ ถือโอกาสแวะเข้าไปพบสามสาวแก๊งนางฟ้าที่ห้องซ้อมก่อนจะกลับ เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็พบว่าแทนที่จะซ้อมละคร บรรดากะเทยน้อยใหญ่ต่างก็กำลังสุมหัวกันทำอะไรสักอย่างจนไม่ได้สนใจคนที่เดินเข้ามา


“ดูอะไรกันน่ะเจ๊” พยามยามจะโผล่หน้าเข้าไปว่าเขาดูอะไรกันแต่ก็โดนดีดออกมา


“ดูชุดที่นังอันมันใส่วันนี้อยู่น่ะสิ นั่นน่ะแฟชันใหม่ล่ะสุดเลยนะ เมื่อวันก่อนยังเห็นอยู่ในนิตยสารแฟชัน วันนี้มันไปสอยมาใส่เฉย” แคทเบ้ปากหลังจากเดินห่างออกมาจากกลุ่ม


“ก็เขาสวย รวย แถมยังเป็นคนโปรดนี่เจ๊ก็...” จีจี้กล่าวก่อนจะเดินไปนั่งลงที่มุมห้อง หลังจากนั้นสาว ๆ ก็พากันแยกย้ายไปซ้อมเหมือนเดิม


“ดูหน่อยสินิกกี้ เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องประชุมเห็นไม่ชัด” คันธชาติที่นั่งเท้าคางรอกวักมือเรียกเจ้าของโทรศัพท์ จากนั้นกะเทยร่างเล็กก็เดินรี่เข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ดู


“ดูสิหลังเว้าลงไปเกือบถึงเอวโน่นแน่ เซ็กซี่จังเลย”


“จริงด้วย” คันธชาติกล่าวก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “นิกกี้ส่งให้บุ๊งบ้างสิ บุ๊งจะไปหาชุดแบบนี้ใส่บ้าง”


“ได้สิ” นิกกี้รับคำก่อนจะจัดการส่งภาพของอัญชลิสาในอิริยาบถต่าง ๆ ที่แอบถ่ายไว้ให้คันธชาติ


“ขอบใจนะ” นิ้วเรียวแตะลงบนหน้าจอโทรศัพท์พลางดูภาพที่ถูกส่งมาทีละภาพ 


คันธชาติออกมาจากนาฏยกาลเมื่อตอนหัวค่ำ ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขับรถตัดเข้าซอยเปลี่ยวหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัด มุ่งหน้าไปตามถนนที่ความกว้างแค่รถสวน เส้นทางนี้เป็นทางลัดออกสู่ถนนใหญ่ ซึ่งพุฒิพงศ์เคยพาเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ตาจะมองทางแต่ในใจกลับครุ่นคิดเรื่องที่สงสัย


คันธชาติมองกระจกหลังเห็นรถเก๋งติดฟิล์มทึบแล่นตามมา จึงชะความเร็วปล่อยให้แซงขึ้นไปก่อน แต่รถคันดังกล่าวกลับยังคงขับตีคู่ไปเรื่อย ชายหนุ่มตัดสินใจเหยียบคันเร่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจก่อกวน แต่แล้วรถคันดังเดิมก็เร่งเครื่องแซงขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหักพวงมาลัยกะทันหันปาดหน้าเลี้ยวเข้าซอยข้างไป คันธชาติไม่ทันได้เหยียบเบรกเพราะอยู่ในระยะประชิดตัดสินใจหักพวงมาลัยเบี่ยงออกขวาก่อนจะรีบหักกลับอย่างรวดเร็วเพื่อหลบรถที่ตามหลังมาจนเบียดเข้ากับเสาไฟริมทาง  ชายหนุ่มเหยียบเบรกตัวโก่งก่อนจะปลดเกียร์ว่างก่อนจะรีบเปิดประตูลงจากรถ เดินสำรวจความเสียหายรอบคันท่ามกลางสายฝนกระทั่งมาหยุดที่ฝั่งซ้าย ถัดจากไฟหน้าปรากฏเป็นรอยถลอกยาวเกือบศอก


“โธ่โว้ย! อุตส่าห์บอกเจ้าของว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ดันเป็นรอยเสียเนี่ย” คันธชาติเกาหัวแกรก ป่านนี้อู่ซ่อมรถคงปิดกันหมดแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงเดินอ้อมกลับมา ตั้งใจจะกลับคอนโดแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เมื่อเดินพ้นหน้ารถมาไหน่อยแสงไฟจากรถที่ขับมาด้วยความเร็วก็สาดกระทบใบหน้าจนต้องหยีตา


ตุ้บ!!!



เสียงนั้นดังขึ้นเมื่อแสงไฟดับวูบลง ฟังคล้ายกับเสียงแตงโมที่คนงานในฟาร์มทำหลุดมือจนหล่นลงพื้นแตกกระจาย  พลันความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นจากศีรษะไปจนถึงปลายนิ้วเท้า ความเหน็บหนาวโอบล้อมร่างกายที่นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นหยาบกระด้างของถนนที่นองไปด้วยเลือด



อดคิดไม่ได้ว่าวินาทีสุดท้ายของกิ่งดาวจะเป็นเช่นเดียวกันนี้ไหม...



ได้ยินเสียงไซเรน...

ได้ยินเสียงผู้ชายผู้หญิง ฟังดูรีบร้อน...

ได้ยินเสียงโละกระทบกัน...



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 22-02-2015 00:34:15
(ต่อค่ะ)



และก็ยังโชคดีที่ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง กับเสียง...ของแม่...


“บุ้ง ลูกฟื้นแล้ว”


เสียงของแม่ดังก้องอยู่อยู่ในโสตประสาทเหมือนแสงสว่างที่จุดขึ้นที่ปลายทางและเปลือกตาหนักเปิดขึ้นอีกครั้ง ภาพแรกที่เห็นก็คือรอยยิ้มบนใบหน้าติดจะกังวลของผู้เป็นแม่ คันธชาติมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีสะอาดตา คันธชาติยกแขนข้างที่มีสายยางเส้นเล็กเชื่อมกับถุงน้ำเกลือที่แขวนอยู่ข้างเตียงขึ้นดู มันระโยงระยางจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มพยายามจะขยับตัวลุกขึ้น แต่ความปวดหนึบที่ศีรษะและแขนข้างที่เหลือก็แล่นเตือนให้รู้ว่าควรจะอยู่นิ่ง ๆ   


“อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาลูก” นายหญิงบุปผากล่าวพลางใช้มืออันอ่อนโยนยึดร่างลูกชายเอาไว้


“แม่ มันเกิดอะไรขึ้น”


“ลูกถูกรถชน สลบไปหลายวัน ตอนกาจโทรไปบอกแม่กับพ่อใจคอไม่ดีเลย” ผู้เป็นแม่กล่าวเสียงเครือ “แล้วนี่ลูกเจ็บตรงไหนบ้าง”


“บุ้งไปเป็นไรแม่ แค่เจ็บตรงหัวแล้วก็ระบมตามตัวแค่นั้นเอง” คันธชาติกล่าวพลางกุมมือสั่นเท่าแน่นเพื่อบอกให้คนฟังมั่นใจว่าเขาไม่เป็นอะไรจริง ๆ


“แล้วพ่อล่ะครับ”


“เพื่อนลูก...ธันวาน่ะ เขาพาพ่อ ลุงพิพัฒน์แล้วก็ป้ากิ่งกาญจน์ไปทานข้าว”


คนฟังพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน “แล้วแม่ล่ะทานอะไรหรือยัง”


ผู้เป็นแม่เลี่ยงที่จะตอบโดยการถามกลับ “ลูกหิวไหม แม่จะหาอะไรให้ทาน”


คันธชาติส่ายหน้า “ขอน้ำสักครับก็แล้วกันครับแม่” พูดจบก็หลับตาลงอีกครั้ง


หลังจากแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการแล้ว คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็พากันเข้ามาในห้อง ทั้งนายทินกฤต พิพัฒน์และกิ่งกาญจน์ดูมีสีหน้าเป็นกังวลไม่แพ้กัน ไม่มีเสียงหัวเราะหรือรอยยิ้มเหมือนก่อนจนคนป่วยต้องเอ่ยปากเตือน


“พ่อ ลุงแล้วก็ป้าเลิกทำหน้ายุ่งได้แล้ว บุ้งไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อยยังแข็งแรงดี” พูดจบก็เผลอตัวยกแขนที่ใส่เผือกอ่อนขึ้นจนเจ้าตัวเองต้องร้องโอดโอย


“เจ็บขนาดนี้แกยังว่าไม่เป็นอะไรมากอีกเหรอ นี่ดีนะที่แค่แขนเดาะ” ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าเพลียกลับความขี้เล่นของลูกชาย


“นี่ดีนะคะที่ได้อาจารย์ธันวาเป็นธุระให้ แถมยังรับอาสาเฝ้าบุ้งแทนคุณทินกฤตกับคุณบุปผาอีก” กิ่งกาญจน์กล่าวด้วยความชื่นชม จนคันธชาติต้องเบนสายตาไปยังหนุ่มมาดนิ่งที่ยังคงยืนสงบนิ่งเหมือนหน้าตาอยู่ที่หลังห้อง ยังไม่ทันจะกล่าวขอบคุณกันเหล่าผู้ร่วมขบวนการก็เปิดประตูพรวดเข้ามาเสียก่อน


ทั้งเก่งกาจ พุฒพงศ์และอารตีต่างก็มากันพร้อมหน้า ทั้งหมดกล่าวทักทายบรรดาผู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องก่อนที่พุฒิพงศ์จะโผเข้าหาคันธชาติทั้งน้ำตา


“ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะคะน้องบุ้ง เจ็บตรงไหนบ้างลูก ตอนเจ๊รู้ข่าวน่ะตกใจแทบแย่” พูดไปก็ปาดน้ำตาไป 


“ผมหนังเหนียวน่าเจ๊” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ


“ฟาดเคราะห์ไปนะคะพี่บุ้ง” อารตีกล่าวก่อนจะเอื้อมมือจับแขนเย็นเฉียบของอีกฝ่าย


คนฟังพยักหน้าก่อนจะหันไปมองเพื่อนรักที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง รู้ว่าเขาคงมีคำถามมากมายอยากจะถาม


“จำได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ร.ต.อ. เก่งกาจถามเสียงขรึม


“จำได้แค่ขับรถเบียดเสาไฟฟ้าก็เลยลงไปดู รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”


หลังจากคุยกับคนป่วยเกี่ยวกับแหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ พิพัฒน์ก็ขอตัวพาภรรยากลับปากช่อง ส่วนธันวาก็รับอาสาไปส่งพ่อกับแม่ของคันธชาติที่คอนโดเพื่อให้ทั้งสองได้พักผ่อนหลังจากต้องเครียดมาหลายวัน ชายหนุ่มกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งและพบว่าทุกคนยังคงอยู่กันครบ


“เอาละ อยู่กันครบแล้ว แกเล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เก่งกาจถามคำถามที่เพิ่งถามไปเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนอีกครั้ง


“แต่น้องบุ้งก็บอกแล้วนี่คะว่าจำอะไรไม่ได้” พุฒิพงศ์เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจก่อนจะเดินมาเกาะเตียง


คันธชาติสบตาเพื่อนรักก่อนจะเริ่มเล่า “มีรถขับตามฉันมา มันเร่งเครื่องตีคู่ขึ้นมาแต่ก็ไม่แซงสักทีทั้งที่ฉันชะลอให้ พอฉันเร่งเครื่องบ้างมันก็ปาดหน้าหายเข้าไปในซอย ฉันหักหลบมันแล้วก็หักหลบรถคันหลังจนรถเบียดเสาไฟ พอลงไปดู กำลังจะกลับมาขึ้นรถ ไอ้รถคันนั้นไม่รู้มาจากไหน พุ่งเข้ามา พอรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แหละ”


“แกจำทะเบียนได้ไหม”


คันธชาติส่ายหัว “มันเปิดไฟสูง แล้วฝนก็ตกหนักมาก”


“เอาละ แกจำไม่ได้ไม่เป็นไร โชคดีที่มีพลเมืองดีเห็นเหตุการณ์ แล้วเขาก็จำเลขทะเบียนมันได้ คิดว่าไม่นานคงจับตัวได้”


“ไอ้กาจ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างแผ่วเบา “ฉันคิดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุว่ะ”


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้าไม่พูดอะไร กระทั่งกะเทยร่างอวบที่ยืนอยู่ข้างกับอารตีที่ปลายเตียงเอ่ยขึ้น


“น้องบุ้งก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหน หรือจะเป็นเพราะข่าวในหนังสือพิมพ์บันเทิงนั่นคะ”


สองสาวมองหน้ากันก่อนจะเปลี่ยนมากุมมือกันอย่างหวาดหวั่นแทน


“อืม...ก็ไม่แน่นะ แต่ว่าใครกันที่จะทำแบบนั้น” เก่งกาจกล่าวพลางถูคางตัวเอง


“เจ๊ก็ไม่รู้ค่ะ แต่ช่วงนี้เจ๊ว่าเราควรจะทำให้บุ่งบุ๊งหายตัวไปสักพัก อีกอย่างน้องบุ้งจะได้เอาเวลาช่วงนี้รักษาตัวด้วย”


“ผมเห็นด้วยกับพี่พุดดิ้งนะ” ธันวาที่ยืนเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น


“รตีก็เห็นด้วยนะคะ พี่บุ้งน่าจะกลับไปอยู่บ้านสักพัก”


“เอาเป็นว่าถ้าหมออนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อไรแกก็กลับไปปากช่องก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องคนที่ชนแกน่ะ ฉันจะสืบหาตัวมันเอง” เก่งกาจสรุป


เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับ คันธชาติก็หลับตาลงช้า ๆ ห้องทั้งห้องกลับเงียบลงอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกกับเสียงฝีเท้าของคนที่เดินไปเดินมาอยู่ข้างเตียง


“ไหนบอกว่าจะไปสัมมนาไง”


“พอรู้เรื่องคุณก็เลยให้คนอื่นไปแทน”


“ชอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลพ่อกับแม่ผม”


“ไม่เป็นไร” คนพูดน้อยตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะนั่งลงอ่านหนังสือที่โซฟา


ผ่านไปพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงถอนใจพรืด ธันวาจึงเงยหน้าขึ้นชะเง้อมองคนป่วยที่ลืมตาโพลงมองเพดานว่างเปล่า


“ผมทำให้คุณตื่นหรือเปล่า”


“เปล่าหรอก ผมยังไม่หลับ”


“ปวดหัวหรือเปล่า” ธันวากล่าวเมื่อย้ายมานั่งลงข้างเตียง ในขณะที่คันธชาติได้แต่โคลงศีรษะก่อนจะเอียงคอสบตาอีกฝ่าย


“นึกไม่ออกจริง ๆ”


“เรื่องอะไร”


“เรื่องสุดท้ายที่คิดก่อนจะถูกรถชน”


“เรื่องงานของพี่พุดดิ้งละมั้ง ก่อนหน้านั้นคุณไปคุยงานแทนเขามานี่”


“ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องนั้น มันสำคัญกว่านั้น แต่นึกไม่ออก”


“ค่อย ๆ คิดก็ได้ วันนี้คิดไม่ออกก็นอนก่อน ตื่นมาค่อยคิดต่อ ถ้าคิดไม่ออกก็ช่างมันเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นดึงผ้าห่มให้คนที่พยายามต่อสู้กับความอ่อนเพลีย ตาคมทอดมองใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นกำลังจะปิดลง มันกำลังจะปิดลง หากเป็นเมื่อ 2-3 วันก่อนเขาคงกลัวที่ต้องเห็นเปลือกตาปิดสนิทของอีกฝ่าย กลัวว่าจะไม่ได้เห็นแววขี้เล่นภายใต้เกราะกำบังนั่นอีก แต่ข่าวน่ายินดีที่ได้รับในวันนี้กลับทำให้เขาเชื่อเหลือเกินว่าเมื่อพรุ่งนี้มาถึงดวงตาคู่นี้จะเปิดขึ้นมาสบกันอีกครั้ง


เมื่อได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล คันธชาติก็กลับไปพักฟื้นที่บ้าน ธันวาเองก็ยังใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ตามปกติ ในขณะที่พุดดิ้งบอกกับทุกคนว่าบุ่งบุ๊งประสบอุบัติเหตุจนต้องกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ส่วเก่งกาจก็ยังคงสืบหาคนร้ายที่ขับรถชนเพื่อนของเขามาลงโทษ


เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ชีวิตของ ดร.ธันวา เหมือนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ชายหนุ่มจ้องมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิท ในคอนโดไม่มีกลิ่นสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม ไม่มีเสียงกริ่งกวนใจ เพราะเด็ก ๆ ต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบ ส่วนผู้ใหญ่...ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกสิ่งรอบตัวดูเงียบสงบอย่างที่เขาชอบ แต่มันกลับสงบ...เสียจนเหมือนขาดอะไรไปนี่สิ
   

....



แลนด์โรเวอร์เคลื่อนฝ่าสายหมอกไปตามถนนสายแคบกระทั่งมาหยุดที่ทางแยก ก่อนจะเลี้ยวไปตามป้ายบอกทางมุ่งหน้าสู่ ‘ฟาร์มแสงฉาน’ แต่เมื่อถึงที่นั่นนายหญิงของบ้านกลับตอบไม่ได้ว่าลูกชายของเธอไปไหนตั้งแต่เช้า ดังนั้นธันวาจึงขับรถตระเวนถามไปเรื่อย กระทั่งได้ความว่านายน้อยจอมซนน่าจะไปขลุกอยู่ที่คอกม้าท้ายไร่ แต่เมื่อไปถึงก็ไร้เงาคนที่อยากจะพบ


ธันวาจอดรถใต้ต้นปีบต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ดอกสีขาวก้านยาวแม้จะเป็นดอกไม้เล็ก ๆ แต่กลับส่งกลิ่นหอมหวานเกินตัว ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในคอกม้าถามหาคันธชาติเอากับเจ้าหนูที่กำลังเอาหญ้าให้ลูกม้ารุ่นที่ยืนทำส่งเสียงฟืดฟาดอยู่ในคอก


“น้องครับ”


เมื่อคนถูกเรียกหันกลับมาธันวาก็ต้องประหลาดใจ เพราะหน้าที่ฉาบทับด้วยดินโคลนหนาเตอะ “พี่มาหาใครครับ” หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาว “จำได้แล้ว พี่รูปหล่อนี่เอง”


“เราเคยเจอกันเหรอ” ธันวาถามด้วยความสงสัย


“จำได้สิครับ ก็พี่ที่มาถามหาคนชื่อคันธชาติ” เด็กชายกล่าวพลางส่งหญ้าเข้าปากม้า “แหม...ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ ที่แท้ก็ชื่อนายน้อย นายน้อยก็นั่งเอาโคลนป้ายหน้าอยู่ด้วยกันนั่นละ”


คำบอกเล่าของอีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าของธันวาได้ไม่น้อย


“นายน้อยยังบอกเลยว่าถ้าอยากหล่อเหมือนพี่รูปหล่อคนนั้นให้เอาโคลนทาหน้า คนกรุงเขาทำกัน”


เจ้าของร่างสูงยิ้มกว้าง นึกถึงเมื่อครั้งนั้น ที่แท้ก็อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมแต่กลับจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน นายน้อยคนนี้ช่างแสบจริง ๆ


“แล้วนายน้อยไปไหนเสียล่ะ ถึงไม่มาช่วยเลี้ยงม้า”


“ไปงานประจำปีที่ตัวอำเภอโน่นแน่ะครับ”


“มันอยู่ตรงไหนเหรอที่จัดงานที่ว่าน่ะ”


“พี่จะไปด้วยกันไหมล่ะ เดี๋ยวเอาหญ้าให้ม้าเสร็จผมกับตาก็จะไปที่นั่นอยู่พอดี”


“เอาสิ” ธันวาพยักหน้า


หลังจากรอหนุ่มน้อยทำงานจนเสร็จเรียบร้อย รถกระบะคันเก่าก็พาทั้งตาและหลานรวมถึงหนุ่มกรุงเทพฯ มาถึงสถานที่จัดงานประจำปี โดยปีนี้ฟาร์มแสงฉานได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงผลิตผลทางการเกษตรด้วย ธันวากระโดดลงจากท้ายรถกล่าวขอบคุณคนมาส่ง มองดูร้านรวงต่าง ๆ ในพื้นที่เกือบยี่สิบไร่ พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้แล้วจะหาเจอได้อย่างไรกัน


ชายหนุ่มเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ ตามคำแนะนำของสองตาหลาน ภายในงานมีทั้งร้านค้าการเกษตร พื้นที่แสดงสัตว์พันธุ์ดีจากฟาร์มต่าง ๆ การแสดงการรีดนมวัว สอนขี่ม้าและอีกมากมาย เดินไปทางไหนก็เห็นแต่รอยยิ้มที่เป็นมิตร นึกอิจฉาคันธชาติอยู่เหมือนกันที่เติบโตมากับบรรยากาศแสนสงบเช่นนี้


เดินอยู่นานจนในที่สุดก็มาถึงซุ้มนิทรรศการและร้านค้าผลผลิตทางการเกษตรของฟาร์มแสงฉาน แต่ก็ไร้เงาของนายน้อยคันธชาติอยู่ดี


“ไปอยู่ไหนของเขานะ” ธันวาบ่นกับตัวเองพลางเงี่ยหูฟังเสียงโห่ฮาที่ดังแว่วมาไกล ๆ ที่สุดทางเดินนั่นเต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวไร่ ไม่รู้ว่ากำลังมุงดูอะไรกันอยู่ หรือว่าจะเป็นผักผลไม้ยักษ์ สัตว์แปลก ๆ คงไม่เสียเวลาสักเท่าไรที่จะเดินตามไปดู คิดได้ดังนั้นขายาวก็ก้าวไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยร้านค้ากระทั่งมาหยุดที่ซุ้มชื่อแปลก ๆ

 
‘นายน้อยตกน้ำ’


พลันเสียงโฆษกประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงก็ดังขึ้น “เอ้า...เร่เข้ามา ๆ สองมือล้วงกระป๋อง”


“เฮ้ย! กระแป๋ง!”


“เฮ้ย! กระเป๋า!”


“เฮ้ย! ถูกแล้ว! แหม...ไอ้พวกนี้ช่วยกันรับมุกดีจริง ๆ” จบประโยค บรรดาหนุ่ม ๆ ที่เป็นลูกคู่ต่างก็พากันเป่าปากโห่ฮาไปตามประสา


“สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้แก้แค้น”


“เฮ้ย! ทำบุญ!” คนหนึ่งร้องแก้


“อ่ะใช่ ทำบุญ ๆ ซุ้มนี้มีทีเด็ด เพราะเราจับลูก ๆ ของบรรดาเจ้านายมาเป็นสาวน้อยตกน้ำ เร่กันเข้ามา บอลสำหรับปากระป่องละร้อย เงินที่ได้สมทบทุนโครงการโคคืนนาของจังหวัด ใครปาถูกนอกจากจะได้ทำบุญแล้วยังได้บรรดาคุณหนูไปเป็นเพื่อนเดินเที่ยวงานด้วย เอ้า! พ่อแม่พี่น้องเร่กันเข้ามา มาร่วมด้วยช่วยกันทำบุญเยอะ ๆ นะครับ”


เมื่อโฆษกกล่าวจบ สาวน้อยในชุดคาวเกิร์ลก็ขึ้นนั่งประจำที่เหนือถังน้ำขนาดใหญ่ บรรดาหนุ่ม ๆ ต่างกรูกันจ่ายเงินก่อนจะรับกระป๋องใส่ลูกเทนนิสกระป๋องละ 3 ลูกมาเตรียมพร้อม แต่ก็มีเพียงคนเดียวที่ได้สิทธิ์ปาก่อน


“คนนี้คือคุณหนูส้มจี๊ดแห่งฟาร์มศุภโชค ใครปาโดนระวังคุณพ่อจะเอาปืนมายิง”


คนฟังต่างพากันหัวเราะ แต่มีหรือจะกลัว หนุ่มที่ได้สิทธิ์ปาก่อนยืนประจำที่ก่อนจะเล็งไปที่เป้า และเมื่อเขาปล่อยลูกบอลออกจากมือ ลูกกลมก็ลอยกระทบเป้าเต็มแรง ทำให้สาวน้อยที่นั่งลุ้นอยู่บนแผ่นไม้ตกลงมาเปียกปอน เรียกเสียงโห่ร้องชอบอกชอบใจได้ล้นหลาม

ธันวายิ้มกับตัวเอง เพิ่งเคยเห็น เกมแบบนี้ก็มีด้วย กำลังจะเดินจากออกมา เสียงประกาศระลอกใหม่ก็ทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่


“คนต่อไป นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉาน ลูกชายนายทินกฤต” สิ้นเสียงโฆษก บรรดาคนงานก็พร้อมใจกันเรียก ‘นายน้อย...นายน้อย’ ยังกับเรียกศิลปินคนโปรด


ธันวาหันกลับไปมองชายหนุ่มในชุดคาวบอยที่กำลังขึ้นนั่งประจำที่ ดูหน้าตาไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไรนัก เจ้าของหน้าบูดบึ้งชี้หน้าคนเชียร์เรียงตัวก่อนจะเอ่ยขึ้น “ใครปาโดนจะตัดเงินเดือนให้หมด” เท่านั้นบรรดาลูกคู่และต้นเสียงก็พากันเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าแหลมหน้าเข้าไปจ่ายเงินเลยสักคนเดียว ไม่ว่าจะสาวหรือหนุ่ม 


คันธชาติยิ้มกริ่มอยู่ในใจ กะว่ารอดแน่งานนี้กระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นดับฝัน


“ผมเหมาหมดครับ”


หนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะวางเงินลงบนโต๊ะ รับกระป๋องใส่ลูกบอลจากมือโฆษกมาถือไว้ จากนั้นก็หันไปสบตาคนที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน พลันรอยยิ้มก็ฉาบแต้มไปบนใบหน้า


‘ซวยแล้ว’


และด้วยบอลเพียงลูกเดียวซึ่งธันวาปาออกไปเต็มแรงที่ทำให้นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานตกลงไปในน้ำ


คันธชาติตะเกียกตะกายขึ้นจากถังก่อนจะเดินหายไปที่หลังซุ้มโดยมีธันวาเดินตามไปติด ๆ คนตัวเปียกบ่นอุบทันทีที่ได้พบหน้ากัน แต่นั่นกลับทำให้ธันวารู้สึกว่าชีวิตของเขากลับเข้าสู่สภาวะไม่ปกติอย่างเป็นปกติอีกครั้ง


....



รถกระบะคันเดิมพาคันธชาติและธันวากลับมาส่งที่คอกม้าท้ายไร่เมื่อตอนบ่ายคล้อย เมื่อกระโดดลงจากรถได้ คันธชาติก็จัดการถอดรองเท้าบูทเทน้ำออกแล้ววางผึ่งไว้ที่โคนต้นปีบ 


“จะกลับบ้านเลยไหมผมจะไปส่ง” ชายหนุ่มมาดนิ่งถามคนที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ถลกขากางเกงชุ่มน้ำขึ้น


“ยังหรอก รอให้ตัวแห้งก่อน เดี๋ยวรถคุณเปียก”


“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งก่อน” พูดจบเจ้าของแลนด์โรเวออร์ก็เปิดท้ายรถออกก่อนจะขึ้นไปนั่งห้อยขามองดูคนที่กำลังเดินตามมานั่งข้างกัน


“คิดยังไงถึงมาปากช่อง”


“คิด...ว่าคุณหายดีหรือยังก็เลยมาดูน่ะ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง”


“แผลที่หัวหายแล้ว ส่วนแขนยังเจ็บแปลบ ๆ อยู่น่ะ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมากหรอก หมอบอกว่าอีกไม่นานก็หาย ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง”


“ทุกคนสบายดี อารตีฝากความคิดถึงถึงคุณด้วยนะ”


คันธชาติพยักหน้ายิ้ม ๆ พูดถึงอารตีแล้วทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อีกไม่นานก็คงได้กลับไป” ริมฝีปากบางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มีอีกหลายเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้เพราะฉะนั้นเขาต้องกลับไปแน่ ๆ


“ต้องกลับสิ เพราะคุณยังติดเลี้ยงข้าวผมหนึ่งมื้อ” ธันวาพูดติดตลกพลางหัวเราะในลำคอ


“จำได้หรอกน่า” พูดจบก็ลงจากท้ายรถเดินอ้อมไปดูรอยแผลจากเหตุการณ์คราวนั้น เห็นว่าเจ้าของรถยังไม่ได้ทำอะไรกับมันจึงเดินมาบอก “ส่วนเรื่องรถคุณน่ะ เดี๋ยวผมจะให้ไอ้กาจมันจัดการให้”


“ไม่ต้องก็ได้ รอยนิดหน่อยเอง ที่ยังไม่ได้ทำสีก็เพราะผมไม่มีเวลาน่ะ”


“ผมบอกแล้วไงว่าผมจะจัดการให้ ผมรับผิดชอบพอหรอก”


ธันวาสบตาคนพูดอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่เก็บอยู่ในใจ “แล้วที่มาทำดีกับผม ทำให้ผมรู้สึกดีล่ะ คุณจะรับผิดชอบยังไง”


คันธชาติจ้องคนตรงหน้าตาเขม็ง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นี่เขาเรียก ‘สารภาพ’ กลาย ๆ หรือเปล่า


“ค...คุณว่าอะไรนะ”


“ผมรู้ว่าคุณได้ยินมันชัดเจน”


“ด...ได้ยิน แต่คิดว่าฟังผิด”


“ผมหมายความตามที่พูด”


“เฮ้ย! ล้อเล่นแบบนี้ไม่แรงไปหน่อยเหรอคุณ ได้ปาผมตกน้ำแล้วยังจะแค้นอะไรอีก” คันธชาติทำใจดีสู้เสือ ยังพยายามคิดว่าที่ได้ฟังเมื่อครู่เป็นเรื่องล้อกันเล่น


“ผมไม่เคยล้อเล่น คนที่ล้อเล่นคือคุณต่างหาก ล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่น ชอบทำอะไรเล่น ๆ ให้คนอื่นเขาเป็นห่วง”


“น...นี่คุณ ไม่จริงใช่ไหม ค...คุณไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น แบบที่ไอ้กาจมันว่า”


ธันวาถอนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนตรงหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจคว้าข้อมือของอีกฝ่ายมาวางแนบอกข้างซ้ายหวังจะถ่ายทอดทุกสิ่งที่เก็บไว้ผ่านแรงสั่นสะเทือนที่แม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถจะควบคุมมันได้


เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ดังนั้นจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปเฉย ๆ ไม่เก็บไว้เป็นความลับในหัวใจอีกแล้ว



“ถ้าผมไม่คิดอะไร เวลาอยู่ใกล้คุณหัวใจจะเต้นแรงแบบนี้ไหม”






มุดก้นม้าให้ขาดอากาศหายใจตายไปเลยบุ้ง...




....


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ตอนนี้เป็นตอนที่ 11 คิดว่าน่าจะใกล้จบแล้วค่ะ

ตั้งเป้าไว้ประมาณ 15 ตอนหรืออาจะมากกว่านี้นิดหน่อยค่ะ

พยายามจะขยันเขียนให้จบโดยไว เพราะว่ามีภารกิจอีกแล้ว

ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ ^^

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 22-02-2015 00:47:18
สนุกมากจริงๆ ค่ะ
ชอบๆๆๆ

จริงๆ ถูกใจ ตายไปเลยบุ้ง
แต่ มุดก้นม้า ก็ฮานะคะ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 22-02-2015 03:37:28
อัศนัยค่ะอย่าไปเป็นสามีนุ๋งบุ๊งเลยค่ะ เจ็ว่าไปเป็นคุณนายผู้กองดีกว่าค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-02-2015 04:00:25
ค.ห ข้างบนคิดเหมือนเราเลย
แต่อัศนัยชอบสาวประเภท 2 ใช่ม๊า ไม่ได้ชอบผู้ชาย และคิดว่าไม่ชอบผู้หญิง
คิดว่าเป็นคุณนางเอกโรงละครนะที่น่าสงสัย
อ.ธันวาเริ่มออกตัวแล้วสิ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 22-02-2015 04:30:51
ขอเดาว่าอัศนัยหลงรักกิ่งดาวแล้วอัญหึงเลยฆ่ากิ่งด้วยการผลักตกตึกค่ะ
มั่วล้วนๆ 55555555555

รอตอนต่อไปนะคะ  :katai4:
เชียร์อัศนัยกับผู้กองรัวๆเหมือนคห.บน  :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-02-2015 04:57:29
แอบคิดเหมือรีบนๆ ทั้งเรื่องกิ่งโดนฆ่า
แล้วก็เรื่องอัสนัยกับผู้กองค่าาาาา หุหุ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 22-02-2015 09:19:29
อ้าว! ลืมเรื่องชุดเปิดหลังไปเฉย
นั่นน่ะต้องเป็นเงื่อนงำต่อไปแน่ๆ
เปิดดูรูปในมือถือสิบุ่งบุ๊ง

นึกว่า ดร.ปลายปีจะตัดใจแล้ว
นี่ยังตามมากระตุ้นเตือนกันถึงปากช่อง
เข้าไปสู่ขอกับพ่อแม่ต่อได้เลยนะเนี่ย

ปล. เห็นคำผิดนิดหน่อย แต่ไม่บอกละ เพราะเดี๋ยวคุณ ถธปทฟ คงมาแก้เอง
แต่! สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม จะกลายเป็น คะน้าปลาเค็มไม่ได้นะ ถึงจะเป็นเมนูที่อร่อยทั้งสองเมนูก็เถอะ ฮ่าาาาา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 22-02-2015 10:18:22
 น้องอันหึงโหดแท้ อันที่จริงควรไปจัดการตัวต้นเหตุ เจ้าชู้เกิน
คุณดร.ตามมาสารภาพถึงบ้าน บุ้งจะว่ายังไง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 22-02-2015 10:24:39
บุ้งน่ารักจริงๆ จะมุดก้นม้าตายเลยเหรอ 555+
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 22-02-2015 11:25:20
“ถ้าผมไม่คิดอะไร เวลาอยู่ใกล้คุณหัวใจจะเต้นแรงแบบนี้ไหม”

 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 22-02-2015 14:56:40
กลายเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำซะแล้วบุ๊ง
คุณธันรุกหนักแล้วทีนี้บุ๊งจะทำไงน้าา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 22-02-2015 21:06:35
เนิบๆมาตั้งนาน
พอจะรุกก็เล่นซะตั้งตัวไม่ทันเลยนะพี่ธันวา
เจอรุกเร็วแบบนี้หนอนบุ้งจะทำไงหว่า :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 22-02-2015 21:24:41
อ้าย เขิน  :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 22-02-2015 22:27:27
จะจบแล้วเหรอ? เร็วจัง :ling1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 11 : ความลับ) 22-02-2558 หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 24-02-2015 11:28:58
นายน้อยโดนดี สะใจ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-03-2015 00:38:12
ตอนที่ 12 ฝันร้าย




แม้จะอยู่ในอารามตกใจที่ได้ฟังแต่คันธชาติก็ไม่คิดหนีสายตาคนตรงหน้า ฝ่ามือยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากการบีบตัวของก้อนเนื้อเล็ก ๆ ใต้อกเสื้อด้านซ้าย เป็นจังหวะเร็วและรัวแบบที่เขาเองก็เคยเป็นยามเมื่อมีบางสิ่งมากระตุ้นหรือมีบางคนที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดมายืนอยู่ต่อหน้า
 

บรรยากาศรอบตัวเงียบเชียบเสียจนได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบพื้นซีเมนต์ดังกรุบกรับแว่วมาจากภายในโรงนา ดวงอาทิตย์เคลื่อนต่ำเรี่ยยอดไม้ ในขณะที่กลิ่นหอมของดอกปีบยังคงอบอวลท่ามกลางสายลมหยอกเย้ายอดหญ้า ฟ้าทั้งผืนเกือบจะดูคล้ายกระเบื้องแผ่นเรียบหากนกฝูงใหญ่ไม่บินตามกันเป็นสาย พาดผ่านจากขอบฟ้าด้านหนึ่งและหายลับไปยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังแห่งหนตำบลไหน ที่รู้ก็คือชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังอาศัยช่วงเวลานี้เผยความในใจของตัวเอง


ธันวาจ้องลึกลงไปในตาคู่นั้นก่อนที่หน้าคมจะเลื่อนเข้าใกล้ ยกมือขึ้นยึดต้นคอขาว แตะนิ้วหัวแม่มือที่ข้างแก้มพลางเกลี่ยไปตามแนวสันกรามอย่างเบามือ และเมื่อสายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้สีขาวที่กำลังปลิดปลิวลงสู่ผืนหญ้าเบื้องล่างผ่านมาอีกครั้ง


คนไม่ช่างพูดก็รวบรวมความกล้า ตัดสินใจจะบอกในสิ่งที่คิดมาตลอดว่าจะเก็บเอาไว้ ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษเหตุการณ์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้รู้ว่าหากอีกคนไม่มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาคงจะเสียดายที่ไม่ได้พูดคำนั้นให้รู้
 

"ผม...”
 

"อย่าพูดนะ ขอร้องละ อย่าพูดมันออกมา"แค่เพียงคำพูดแผ่วเบา แต่หนักแน่นราวประกาศิต หยุดยั้งไม่ให้ธันวากล่าวคำที่เป็นดั่งโซ่ตรวนผูกมัดหัวใจให้รู้สึกผิดไปมากกว่านี้


คันธชาติจับมือหนาที่แนบอยู่กับแก้มก่อนจะดึงออกอย่างนุ่มนวลที่สุด นุ่มนวลพอ ๆ สิ่งที่เขากำลังจะพูด "ข...ขอโทษนะที่ผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น" ปากบางเม้มเข้าก่อนที่คมฟันจะกดลงบนเนื้อปากล่างจนความรู้สึกเจ็บแล่นเตือนตัวเองให้พูดต่อให้จบ "ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ" พูดแล้วก็ดึงมือซึ่งถูกยึดไว้กลับ  ผละจากห้วงแห่งความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้
"บุ้ง" ธันวาเรียก สบตาขี้เล่นที่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความเครียดขรึมไปเสียแล้ว...
 

ดวงตาคมกริบทอดมองไปบนถนนสายยาวที่กำลังถูกโอบล้อมด้วยความมืด มองเห็นเพียงไฟจากท้ายรถคันหน้ากับไฟหน้าของรถที่ขับสวนมา คำพูดสุดท้ายของใครบางคนที่ปากช่องยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึกแม้ว่าอีกไม่นานจะเข้าเขตกรุงเทพมหาครแล้วก็ตาม
 

"ผมคงรับผิดชอบอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเอาใจช่วยให้คุณหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้โดยเร็ว"
 

....
 

คันธชาติกลับมาที่คอนโดอีกครั้งหลังจากหายดี ครั้งนี้บอกกับตัวเองว่าจะต้องรีบไขข้อข้องใจทุกอย่างให้กระจ่างโดยไว จะได้กลับไปอยู่ที่ปากช่องตามที่ได้สัญญาไว้กับพ่อและแม่เสียที ชายหนุ่มเอาแต่นั่งจ้องภาพข่าวเก่ากับภาพรอยสักบนแผ่นหลังที่ได้จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาวอยู่อย่างนั้นกระทั่งเสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้น ชายหนุ่มจึงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือเดินไปเปิดประตู และพบว่าคนที่มากดกริ่งก็คืออารตีกับเจ้าเด็กฝาแฝดลูกชายของเก็จแก้วนั่นเอง
 

“สวัสดีค่ะพี่บุ้ง” หญิงสาวที่ไม่ได้พบกันนานกล่าวทักทาย “ดีใจจังค่ะที่เจอ พี่บุ้งเป็นยังไงบ้างคะ”


“หายดีแล้วละ นี่รตีมาได้ยังไง” คันธชาติถาม ตอนแรกคิดว่าเธอคงรู้ข่าวจากอาจารย์ของเธอ แต่ไม่น่าใช่ เพราะตั้งแต่กลับมาอยู่ที่คอนโดตัวเขาเองยังไม่พบธันวาเลยสักครั้ง


“รตีแวะเอาขนมมาให้ปิงกับน่านค่ะ แล้วก็จะมาปรึกษาพี่แก้วเรื่องตัดชุดการแสดงของเด็ก ๆ ที่โรงเรียนหน่อย เห็นพี่แก้วบอกว่าพี่บุ้งกลับมาอยู่ที่คอนโดแล้วก็เลยแวะมาหาค่ะ”


“กลับมาได้ 2-3 วันแล้วละ” คันธชาติกล่าวพลางเบนสายตาไปที่ประตูห้องฝั่งตรงข้ามซึ่งยังคงปิดสนิท ทั้งที่ตั้งแต่กลับมาก็มีบรรดาเพื่อน ๆ แวะเวียนมาหา ไม่ว่าจะเก่งกาจ พุฒิพงศ์ หรือเก็จแก้ว แต่น่าแปลกที่ยังไร้เงาของคนห้องใกล้กัน


“พี่แก้วเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่กลับมาพี่บุ้งก็ขลุกอยู่แต่ในห้อง รตีกลัวจะเหงาเลยพาพวกเด็ก ๆ มาชวนน้าบุ้งไปนั่งเล่นที่ห้องพี่แก้วด้วยกันค่ะ”


“ไปนะครับน้าบุ้ง วันนี้ปิงกับน่านจะทำงานศิลปะกันด้วย” คนพี่กล่าวก่อนจะหันไปยิ้มให้น้อยชายที่หน้าตาเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก


“เอาสิ น้าบุ้งก็กำลังเบื่อ ๆ อยู่พอดี” พูดจบกับเดินกลับไปคว้าโทรศัพท์มือถือกับคีย์การ์ดก่อนจะเดินตามอารตีและเด็ก ๆ ไปยังห้องที่อยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ


ที่ห้องเก็จแก้วกำลังง่วนอยู่กับการเย็บผ้าซึ่งเป็นงานที่เธอชอบ ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยอุปกรณ์สำหรับทำงานศิลปะตามที่เด็ก ๆ ว่า ทั้งพู่กัน จานสี ถังน้ำและสีน้ำเป็นหลอดที่เรียงกันอยู่ในกล่อง


“ตามสบายเลยนะจ๊ะน้องบุ้ง” เจ้าของห้องเงยหน้าจากจักรเย็บผ้าขึ้นมายิ้มให้ก็จะลงมือทำงานต่อเงียบ ๆ


คันธชาติเดินไปนั่งลงที่โซฟา มองเด็ก ๆ และอารตีที่กำลังช่วยกันผสมสี จากนั้นเด็กชายหนึ่งในสองคนที่เขาเองแยกไม่ออกเสียทีว่าใครคือปิงใครคือน่านก็เดินไปยิบเศษผ้าที่แม่ไม่ใช้แล้วมาวางกองบนโต๊ะ


“ปิงวังยมน่าเอาเศษผ้ามาทำอะไรน่ะ”


“เอามาทำแม่พิมพ์ครับ คุณครูให้พิมพ์ภาพด้วยเศษผ้า” หนุ่มน้อยตอบฉะฉานพร้อมกับชี้ที่ตัวเอง “แล้วก็ นี่น่ะปิงฮะน้าบุ้ง”


“ก็หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ใครจะไปจำได้” คันธชาติบ่นพลางมองดูมือเล็กที่กำลังบรรจงพับครึ่งเศษผ้าก่อนจะม้วนเป็นขด จากนั้นก็จุ่มลงในจานสีแล้วกดลงบนกระดาษ จนได้ลวดลายก้อนหอยสีเข้มสีอ่อนกระจายเต็มแผ่น


“จริง ๆ สองคนนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันจนแยกไม่ออกนะคะพี่บุ้ง ได้เจอกันบ่อย ๆ เดี๋ยวก็จะเริ่มแยกได้ว่าใครเป็นใคร”
คนฟังพยักหน้า แม้จะได้เคยยินคำพูดลักษณะนี้จากใครบางคนก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากอยู่ดี


“รตีแยกยังไง”


“อืม...บนร่างกายก็ยังมีจุดสังเกตค่ะ” หญิงสาวยิ้มก่อนจะมองไปยังเด็ก ๆ “น่านน่ะ จะมีขี้แมลงวันที่ข้างแก้ม ส่วนปิงไม่มี แต่จะมีอยู่ที่ใต้ตาข้างขวา”


และเมื่อคันธชาติเริ่มสังเกตตามที่เธอบอกก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ “จริงด้วยนะ แต่ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็ไม่รู้จริง ๆ”


“ค่ะ แต่ถ้าเป็นพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดคงแยกได้ดีกว่าเรา อาจมีเรื่องของนิสัย การพูดการจาเข้ามาเกี่ยวด้วย”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะมองดูแผ่นกระดาษสีขาวที่ตอนนี้ปรากฏลวดลายขดหอยเล็กใหญ่เรียงกันจนเกิดเป็นรูปร่างซึ่งถูกกำหนดอาณาเขตด้วยเส้นดินสอจาง ๆ และเมื่อน่านใช้พู่กันจุ่มสีลากตามขอบและเติมเส้นโค้งสองเส้นที่ตรงปลายม้วนเข้า มันก็กลายเป็นภาพของผีเสื้อสยายปีกสวยงามอยู่กลางหน้ากระดาษ


“สวยจังค่ะ น้ารตีลองบ้างนะ” อารตีกล่าวก่อนจะร่างภาพผีเสื้อลงบนกระดาษ จากนั้นก็ใช้แม่พิมพ์จุ่มสีกดลงบนกระดาษ แต่ดูท่าแล้วผีเสื้อของน้ารตีคงจะสวยสู้ที่เด็ก ๆ ช่วยกันทำไม่ได้เพราะเธอจุ่มสีชุ่มเกินไป ทำให้เมื่อกดแม่พิมพ์บนกระดาษสีจึงกระจายผสมกันไม่เป็นลวยลาย


“น้ารตีสู้เด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว” คันชาติหัวเราะก่อนจะคว้าพู่กันแตะลงบนน้ำสีเพื่อซับให้หมาด ไม่ให้กระจายเลอะเทอะ


“เวลาผสมสีน้ารตีต้องใส่น้ำน้อย ๆ แบบนี้ครับ” น่านกล่าวพลางยื่นจานสีของตนเองให้ดู


“อย่างนี้นี่เอง” หญิงสาวพยักหน้างึก ๆ ก่อนลองเปลี่ยนไปทำตามที่เด็ก ๆ บอกอีกครั้ง หลังจากกดแม่พิมพ์ลงบนกระดาษเป็นรูปร่างแล้วจึงจัดการตกแต่งด้วยพู่กัน ในที่สุดผีเสื้อตัวใหญ่ของอารตีก็เสร็จเรียบร้อย


“ถ้าน้ารตีอยากให้เป็นดอกไม้ เราก็แค่เติมเส้นโค้งลงไป จากเมื่อกี้เราวาดปีผีเสื้อเป็นเส้นโค้งสีอัน วาดเส้นโค้งเพิ่มก็จะได้เป็นดอกไม้ห้ากลีบ เติมเส้นโค้งอีกสองเส้นปิดหัวท้ายก็ได้เป็นดอกไม้หกกลีบ คุณครูบอกว่าเวลาเราจะวาดรูปให้เริ่มจากมองทุกอย่างเป็นรูปเลขาคณิตง่าย ๆ ก่อนครับ”


“ง่ายจังเลยเนอะ” หญิงสาวกล่าวพลางร่างภาพในกระดาษ ไม่ช้าเธอก็ได้ดอกไม้ห้ากลีบและหกกลีบตามที่เด็กชายบอก


“โอ้โห! น้ารตีวาดสวยจังเลยครับ”


“ก็แม่บอกว่าน้ารตีเคยเป็น...ปิ๊กอัพ...” คนน้องทำท่าคิดก่อนจะยิ้มกว้าง “ปิ๊กอัพอาร์ติสต์มาก่อนนี่นา”


“เมคอัพอาร์ติสต์จ้ะปิง” อารตีหัวเราะคิก


“นั่นแหละ ๆ เมคอัพอาร์ติสต์ น้ารตีเป็นเมคอัพอาร์ติสต์มาก่อน”


“ปิงน่ะมั่วตลอด” พี่ชายบ่น


“ก็มันอัพ ๆ เหมือนกันนี่นา” คนน้องเกาหัวแกรกก่อนจะลงมือทำงานต่อ


ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานแต่คันธชาติกลับขมวดคิ้วมุ่น สายตายังคงจ้องมองภาพร่างดอกไม้ในกระดาษตรงหน้า พลันในหัวก็คิดอะไรขึ้นมาได้ 


“จริงสินะ ถ้าทำอย่างนั้นมันก็เป็นภาพดอกไม้ได้จริง ๆ ด้วย” ชายหนุ่มร้องขึ้นก่อนจะลุกพรวดออกไป สร้างความสงสัยให้คนที่อยู่ในห้องไม่น้อย เขาทำราวกับว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ ทั้งที่ก็เป็นสิ่งที่น่าจะได้เรียนมาเมื่อยังอายุเท่า ๆ กับหนุ่มน้อยฝาแฝด


ชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกระดาษในมือ มันเป็นภาพรอยสักทั้งคู่ ต่างกันก็แค่ภาพหนึ่งเป็นรอยสักรูปผีเสื้อกับอีกภาพเป็นรอยสักรูปดอกไม้


“น้าบุ้งจะทำอะไรเหรอครับ” ปิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยืนหน้าเข้ามาดูภาพขยายของรอยสักอย่างสนใจ


“น้าจะลองเสกให้ผีเสื้อกลายเป็นดอกไม้เหมืออย่างที่ปิงกับน่านทำไง” พูดจบก็จรดปลายดินสอลงบนกระดาษ ลากเส้นจากจุดกึ่งกลาง ตวัดโค้งให้เหมือนมีปีกของผีเสื้องอกขึ้นมา และเมื่ออารตีช่วยเติมสีลงไปโดยใช้สีให้คล้ายกับปีกอื่น ๆ เติมรายละเอียดอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมันก็ดูคล้ายดอกไม้ที่มีห้ากลีบแล้ว



....เจ้าผีเสื้อตัวน้อยไม่รู้ว่าต้องมนต์อันใดจึงกลายเป็นดอกไม้แสนงดงาม...



อารตีขลุกอยู่กับพวกเด็ก ๆ ตลอดบ่าย เมื่อเห็นว่าจวนได้เวลาอาหารเย็นแล้วจึงชวนคันธชาติกลับเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับเก็จแก้ว ดังนั้นหลังจากอำลากันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินไปส่งเธอที่หน้าลิฟต์


“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่บุ้ง รตีเห็นพี่บุ้งเอาแต่จ้องกระดาษแผ่นนี้ตั้งแต่ที่ห้องพี่แก้วแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มเอาแต่จ้องมองภาพในมือแต่คันธชาติไม่ตอบ เขายังคงจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นพลางส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมมือกดลิฟต์ 


“ตอนนี้ยังไม่มี” ชายหนุ่มกล่าวเพียงสั้น ๆ


หญิงสาวมองเจ้าของร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลซึ่งกำลังนับถอยหลังอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้ให้มากเกินสถานะ อารตีเบนสายตาจากเสี้ยวหน้าหล่อ เปลี่ยนเป็นก้มลงมองปลายเท้าตัวเอง  จากนั้นเพียงไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก


“ถ้าอย่านั้นรตีไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะพี่บุ้ง” สาวร่างบางกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในตู้โลหะตรงหน้า และเมื่อประตูปิดคันธชาติก็หมุนตัวกลับ แต่เสียงสัญญาณประตูเปิดก็ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง เลขดิจิทัลของลิฟต์ตัวข้าง ๆ หยุดนิ่ง มันแสดงตัวเลขของชั้นที่เขากำลังยืนอยู่ 
 

‘ทำไมต้องใจเต้น?’


เป็นคำถามแรกที่แวบเข้ามาในหัวเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังบานประตูโลหะที่กำลังเลื่อนห่างจากกันนั้นคือใคร  ดวงตาสองคู่สบกันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเป็นคันธชาติที่หันหลังกลับ ในจังหวะนั้นอีกคนก็ก้าวออกมายืนข้าง ๆ ก่อนจะเดินไปตามช่องทางเดินพร้อมกัน
 


ปราศจากรอยยิ้ม ไร้ซึ่งคำทักทายเหมือนก่อน...แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคันธชาติ มันกลับดีเสียอีกที่เป็นแบบนี้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป


‘ดีแล้ว’


...มันก็ดีแล้วนี่...



...


หลังจากขอร้องให้เก่งกาจช่วยตรวจสอบรอยสักต้องสงสัยที่ได้จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาวกับรอยสักบนแผ่นหลังของอัญชลิสา คันธชาติก็ถูกนายตำรวจหนุ่มนัดให้มาพบในเย็นวันหนึ่ง ต่างคนต่างนั่งจ้องภาพดอกไม้ห้ากลีบบนกระดาษสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า ในที่สุดคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้น


“ฉันให้ลูกน้องลองเอาลายเส้นของทั้งสองภาพมาซ้อนทับกัน” เก่งกาจเว้นจังหวะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ “พบว่ามันซ้อนทับกันพอดี โอกาสที่มันอาจจะเป็นรอยเดียวกันก็มี แต่โอกาสที่จะไม่ใช่ก็มี”


“แกหมายความว่ายังไง” คันธชาติมุ่นคิ้ว


“ก็หมายความว่า มันอาจจะเป็นรอยสักที่อยู่บนแผ่นหลังของคนคนเดียวกันหรือคนละคนก็ได้ รอยสักแบบนี้ใคร ๆ ก็สักได้ แถมเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ก็ล้ำหน้า อาจจะลบเสียเกลี้ยงจนไม่รู้ว่าเคยสักมาก่อนก็ได้”


“สรุปว่าคว้าน้ำเหลวอีกตามเคยใช่ไหม” คนฟังถอนใจพรืดเอนหลังพิงพนักอย่างหมดแรง


“เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ” พูดจบก็หยิบซองเอกสารออกมาจากลิ้นชักก่อนจะเลื่อนไปที่กลางโต๊ะ “ลองดูข้อมูลพวกนี้ก่อน”
คันธชาติไม่ลังเลที่จะหยิบซองสีน้ำตาลมาเปิดดู ดึงกระดาษขนาดเอสี่ 2-3 แผ่นที่ถูกเย็บมุมติดกันออกมา แผ่นแรกเป็นภาพโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ละครเวทีเรื่องหนึ่งที่จัดแสดงขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ซึ่งรายละเอียดด้านล่างมีชื่อโรงละคร และที่ตั้งระบุไว้ชัดเจน


“แกคุ้น ๆ ชื่อโรงละครนั่นไหม”


ดวงตาคู่งามเพ่งพินิจรายละเอียดในภาพในขณะที่ปากก็พึมพำเบา ๆ “โรงละครเก่าที่ถนนละครซอยสิบสอง" ยกปลายนิ้วแตะที่คางก่อนจะถูไปมาอย่างใช้ความคิด "ดรามาติก ทเวลฟ์ ใช่ไหม เมื่อวันก่อนมีข่าวว่าจะทุบทิ้งแล้วนี่นา”


“อืม โรงละครนั่นน่ะปิดตัวลงไปสักพักใหญ่ ๆ แล้วละ ต่อมาที่ดินตรงนั้นก็เลยถูกขายต่อให้นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็มีโครงการจะทุบสร้างเป็นคอนโดภายในเดือนนี้แหละ ส่วนคนที่ขายก็คือนายอัศนัย”


“อัศนัย?” คนฟังมุ่นคิ้วสงสัยแต่ก็ยังไม่คิดถามอะไรต่อ


“เท่าที่ฉันรู้มาก็คือดรามาติก ทเวลฟ์ เป็นโรงละครที่แยกตัวออกจากนาฏยกาล ที่แยกตัวก็เพราะอัศนัยต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถยืนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องกินบุญเก่าของเสี่ยอนันต์ แต่พอคุณอัศวินพี่ชายคนโตหนีการแต่งงานไป เสี่ยอนันต์เองก็ล้มป่วย อัศนัยก็เลยต้องปิดดรามาติก ทเวลฟ์ แล้วกลับไปรับตำแหน่งผู้บริหารต่อจากพ่อ” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางประสานมือลงบนโต๊ะ


“มันยังไงวะฉันงงไปหมดแล้ว” คันธชาติเกาหัวแกรกก่อนจะพลิกเปิดกระดาษแผ่นถัดไป “แล้วนี่ใครวะ นายชลิต วัฒนะศานติ์  หน้าตายังกับผู้หญิง” กล่าวพลางจ้องมองภาพหนุ่มน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้านในชุดนักศึกษาอย่างพิจารณา ผมยาวเรี่ยบ่านั่นทำให้คนในภาพดูคล้ายผู้หญิงมากกว่าจะเป็นผู้ชายตามคำนำหน้าชื่อเสียอีก


“อ่านไปก่อน อย่าเพิ่งถาม”


เมื่อได้ฟังดังนั้น ชายหนุ่มก็กวาดตาอ่านเอกสารต่อ “เป็นคนกรุงเทพฯ  จบคณะศิลปศาสตร์ เอกการละคร” พลันสายตาก็เลื่อนลงมายังภาพด้านล่าง “แต่งชุดนี้แล้วเท่เป็นบ้าเลยว่ะ”


เก่งกาจมองภาพชายหนุ่มในชุดนายทหารพลางพยักหน้าเห็นตาม “เขาเป็นตัวเอกในละครเรื่องสุดท้ายที่ทำการแสดงก่อนที่ดรามาติก ทเวลฟ์จะปิดตัวลงน่ะ ชื่อชลิต” พูดจบก็คว้าซองเอกสารคืนก่อนจะจัดการเทภาพถ่ายอีก 4-5 ภาพลงบนโต๊ะ “หน้าตาบวกกับฝีไม้ลายมือในการแสดงดี เวลามีละครเวทีก็เลยมักจะได้รับบทเด่น ถูกทาบทามให้เข้าสังกังดรามาติก ทเวลฟ์ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ”


“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าแกจะเอาเรื่องหมอนี่กับโรงละครนั่นมาบอกฉันทำไม ไม่เห็นจะมีอะไรสลักสำคัญ”


“ตอนแรกฉันก็คิดแบบแกนั่นแหละ แต่ถ้าบอกว่าชลิตคือพี่เลี้ยงที่คอยดูแลกิ่งตอนฝึกงาน และดรามาติก ทเวลฟ์ ก็ คือที่แรกที่กิ่งเข้าทำงานหลังจากเรียนจบ แกว่ามันเริ่มสำคัญขึ้นมาบ้างหรือยัง”


คันธชาติเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด ยอมรับว่าสิ่งที่เก่งกาจพูดมาทั้งหมดมันทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็ไม่มากเท่ากับภาพถ่ายที่ถูกมือหนาเลื่อนมาวางตรงหน้า


"แล้วก็นี่ เป็นตอนหลังจากที่ชลิตยกเครื่องตัวเองใหม่จนกลายเป็นนางเอกละครผู้โด่งดัง"


“ใครวะหน้าคุ้น ๆ” คันธชาติเท้าคางมองภาพสาวสวยในชุดละครแฟนตาซี ถึงแม้ใบหน้าจะถูกฉาดทับด้วยเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาด แต่ดวงตาคมคู่นั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง "อ...อัญชลิสา"


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า “ใช่ เธอเปลี่ยนชื่อ จากนั้นก็สมัครเข้าทำงานที่นาฏยกาล”


"แกจะบอกว่าคนที่ทำให้กิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลก็คืออัญชลิสาอย่างนั้นใช่ไหม"


"ฉันยังไม่ได้ปักใจเชื่อแบบนั้น แต่มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ"


"ถ้าเป็นแบบนั้น อัศนัยก็น่าจะต้องรู้สิว่าอัญชลิสาทำผิดกฎ  เพราะกิ่งเคยทำงานกับเขามาก่อน แต่นี่ทุกคนกลับทำเหมือนไม่รู้จักกิ่ง ไม่รู้ว่าใครช่วยให้กิ่งเข้าไปทำงานในนั้นได้"


"ถ้าอย่างนั้นไม่ใครก็ใครละที่โกหก"


"หรือไม่ก็ช่วยกันโกหก"


น้ำเสียงและหน้าตาที่ขึงเครียดทำให้เก่งกาจรู้สึกไม่วางใจกับสิ่งที่เพื่อนกำลังคิดอยู่ในตอนนี้นัก ร่างกำยำลุกจากเก้าอี้มายืนข้าง ๆ วางมือบนบ่ากว้างพร้อมกับโน้มตัวลงกระซิบถาม "แกคิดอะไรอยู่"


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนรักด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาจากนั้นก็ก้มลงมองข้อมูลใหม่ที่วางกระจายอยู่บนโต๊ะ "ฉันกำลังคิดว่า ถ้าไม่มีใครยอมพูด ฉันก็จะง้างปากให้พูดออกมาให้ได้"


(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-03-2015 00:38:53
(ต่อค่ะ)






ปลายจมูกโด่งลากไปตามเนื้อตัวปราศจากอาภรณ์ที่อบอวลด้วยกลิ่นน้ำหอม ร่างหนาแนบชิดนัวเนียป่ายปาดมือไม้คลึงเค้นทุกตารางนิ้วราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เมื่อพอใจจึงยันตัวขึ้นเชยคางมนสบตาคนที่กำลังมองมาด้วยแววตาโหยหา


"นึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าถ้าคุณเป็นผู้หญิงจะสวยขนาดไหน" ไม่พูดเปล่ามือที่เหลือยังไล้ไปตามเส้นผมที่นุ่มลื่นไม่ต่างอะไรกับเส้นไหมคุณภาพดี ตาคมสำรวจทุกองค์ประกอบบนใบหน้าที่ถึงจะเป็นชายเหมือนกันแต่กลับเย้ายวนจนยากจะห้ามใจไหว


"กลัวว่าคุณเล็กจะจำอาร์มไม่ได้น่ะสิครับ" เจ้าของร่างสีเรื่อกล่าวก่อนจะเอียงหน้าหนีจมูกโด่งรั้นที่ชิดเข้ามาสูดกลิ่นหอมข้างแก้ม


"ทำไมผมจะจำผีเสื้อของผมไม่ได้ล่ะ อุตส่าห์ตีตราจองไว้แล้วจะจำไม่ได้ได้ยังไงกัน” เท้าแขนมองปลายนิ้วตนเองที่กำลังเขี่ยวนอยู่บนแก้มขึ้นสีก่อนจะกล่าวต่อ “เอ๊...หรือยังไม่พอนะ ถ้ายังไม่พอจะได้เพิ่มให้อีก" ยังไม่ทันฟังว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าอะไรริมฝีปากหยักก็กดลงกับซอกคอขาวก่อนจะดูดชิมความหอมหวานจนขึ้นรอย หนำใจแล้วจึงแกล้งถอนปากออกอย่างเชื่อช้า ทำเอาคนใต้ร่างบิดเร่าอย่างขัดใจเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ


มือบางวางทาบบนแผงอกกว้าง ไล้ไปตามผิวเนื้อชื้นเหงื่อหวังจะเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนอีกหน แขนเล็กเหนี่ยวคล้องคอหนาลงมาใกล้ ส่งสายตาเชื้อเชิญอย่างเปิดเผยพอ ๆ กับร่างกายเต็มใจยอมรับรสสัมผัสหากอีกฝ่ายจะปรนเปรอให้ เพียงเท่านั้นปากหยักก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้มหวานเยิ้มพร้อมที่จะสานต่อในสิ่งที่ทำค้างไว้ ร่างใหญ่โถมเข้าหาอย่างละมุนละม่อม แตะปลายลิ้นอุ่นลากวนบนยอดอกสีหวานแสนอ่อนไหว ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าตอบสนองทุกส่วนในกายก็เหมือนถูกปลุกให้ฮึกเหิม



“คุณสวยไปหมดทั้งตัวเลยอัญชลิสา คุณทำให้ผมหลงจะแย่แล้วรู้ตัวไหม ผมรักคุณ...ผมรักคุณอัญชลิสา”


เสียงนั้นแหบพร่า แต่มีเสน่ห์น่าฟังทำเอาเจ้าของชื่อแทบพลีกายถวายชีวิต ปล่อยให้มือใหญ่จับร่างพลิกคว่ำหน้าลงกับหมอน ยอมให้ริมฝีปากร้อนกดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผิวเนื้อกระจ่างตาเป็นรอยห้อช้ำ 


จากความอ่อนโยนกลับกลายเป็นความหยาบคายกักขฬะอย่างยากจะหาถ้อยคำมาบรรยาย เมื่อเรือนร่างที่อัดแน่นด้วยหื่นกระหายทาบทับบดเบียดกระแทกกระทั้นตามแรงอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น กระทั่งคมฟันฝังลงบนปีกข้างหนึ่งของเจ้าผีเสื้อตัวน้อยจนเลือดซึม ร่างเปลือยถึงกับผวากระถดหนี  แต่มือหยาบยังไม่ลดละ ตามลูบไล้บีบเค้นไหล่กลมกลึงอย่างกับอยากจะเห็นมันแหลกเหลวไปต่อหน้า เสียงแห่งความปรารถนาถูกแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องและอ้อนวอนแต่มันไร้ผล...



“ไม่”



"ม...ไม่ ไม่ใช่"



"ไม่ใช่!!!"




ร่างบางสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่งหอบตัวโยน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผมไหลย้อยลงปลายคาง มือเรียวเสยผมยาวไปด้านหลังพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ  จึงพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน


"เป็นอะไรหรือเปล่า" แขนแกร่งโอบรัดรอบเอวก่อนจะขยับเข้าหาวางศีรษะลงบนตักของคนที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย


"อันฝันไม่ค่อยดีค่ะ" เธอกล่าวพร้อมกับดึงผ้าห่มนุ่มขึ้นมาปิดบังส่วนที่ไร้อาภรณ์หุ้มห่อ


"ก็แค่ฝันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก นอนต่อเถอะ" อัศนัยกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางขยับแขนกอดรัดเอวสอบเอาไว้แน่น


"อันต้องไปทำงานค่ะ เช้าแล้ว คุณเองก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน วันนี้มีประชุมไม่ใช่เหรอคะ" พูดจบอัญชลิสาก็พยายามผละออกจากสัมผัสของอีกฝ่าย ขยับตัวลุกจากเตียง คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ


ตาคู่งามมองสำรวจเรือนร่างของตัวเองในกระจก ที่บ่าและหน้าอกเต็มไปด้วยร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง มือบางเอื้อมเปิดฝักบัวอย่างรวดเร็วปล่อยให้สายน้ำชโลมรดร่าง  พลันความเจ็บแสบก็แล่นที่ไปทั่วแผ่นหลัง ทำให้ต้องเอี้ยวตัวมองเงาสะท้อนในกระจกเพื่อหาที่มาของอาการนั้น ที่แผ่นหลังเล็กก็มีสภาพไม่ต่างกัน ดูแย่กว่าก็คงเป็นคราบเลือดแห้งกรังที่กลบทับรอยสักรูปผีเสื้อนั่น มันกำลังถูกชะล้างละลายไหลไปกับสายน้ำ เหลือไว้เพียงรอยคมเขี้ยวที่ชวนให้ความรู้สึกรังเกียจสัมผัสวาบหวามของอัศนัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น อัญชลิสารู้ดีว่ามันต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหาย หากแต่งตัวให้มิดชิดหรือใช้เครื่องสำอางคุณภาพดีทาทับก็คงพอจะรอดจากสายตาของพวกที่ชอบจับผิดได้บ้าง คิดแล้วนึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยแก้ปัญหานี้ให้…



ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ กวดตามองภาพในนิตยสารพลางกระดิกปลายเท้าตามเสียงฮัมเพลงที่ดังแว่วมาจากห้องน้ำ กระทั่งเสียงนั้นเงียบลงแต่ปากบางก็ยังคงฮัมเพลงนั้นต่อ รอกระทั่งประตูเปิดออกจึงปิดหนังสือบนตักเงยหน้ามองเจ้าของห้องที่กำลังเดินขยี้ผ้าขนหนูบนผมยาวเรี่ยบ่าจนมาหยุดที่หน้ากระจก 


“นั่นหลังพี่อาร์มไปโดนอะไรมาคะ รอยแดงเต็มไปหมดเลย” หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มน่ารักเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนเรือนร่างของอีกฝ่าย


“หือ? จริงเหรอ" ชายหนุ่มร่างอ้อนแอ้นสวมเสื้อกล้ามตัวบางกับกางเกงขาวสั้นเผยต้นขาขาวเอี้ยวตัวสำรวจตัวเองในกระจก เมื่อเห็นว่าเป็นจริงตามที่ว่าก็ถึงกับถอนใจเฮือก “ทำยังไงล่ะเนี่ย คืนนี้ต้องสวมชุดนั้นด้วยสิ” พูดจบก็หันไปมองชุดราตรียาวที่แขวนอยู่ไม่ไกล


"นั่นแน่...เมื่อคืนคุณอัศนัยมาหาละสิ ใช่ไหมคะ" เจ้าของหน้าสวยถามอย่างรู้ทัน เล่นเอาอีกคนจนมุมไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร หรือหากคิดแก้ตัวก็คงไม่ทันแล้วเพราะสองแก้แดงได้สนับสนุนว่าข้อสันนิษฐานเมื่อครู่ไปเสียแล้ว


“อืม เขาแวะเอาชุดมาให้น่ะ กำชับนักกำชับหนาว่าต้องใส่ไปงานเลี้ยงคืนอำลานี้ให้ได้ พี่ถึงต้องให้กิ่งมาช่วยกันก่อนนี่ไง”


“ให้ใส่ชุดนี้แต่มาทำพี่อาร์มของกิ่งช้ำไปทั้งตัวแบบนี้เนี่ยนะ” สาวน้อยทำหน้ามุ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางมานั่งแหมะลงบนเตียง “จะว่าไปก็ใจหายเนอะ อยู่กันมาตั้งนานวันนี้จะปิดตัวเสียแล้ว”


“คุณเล็กเธอก็ไม่ได้ทิ้งนี่ เธอแค่กลับไปคุณพ่อบริหารงานนาฏยกาลเท่านั้นเอง”


“กิ่งก็ยังเสียดายอยู่ดี คุณอัศนัยอุตส่าห์สร้างดรามาติก ทเวลฟ์มากับมือ”


“ช่วยไม่ได้นี่นา” ชลิตกล่าวพลางเดินมานั่งข้าง ๆ กัน “พี่ชายเธอก็หนีการแต่งงานไปเสียอย่างนั้น แถมคุณพ่อก็มาล้มป่วยอีก”


“พูดถึงพี่ชายคุณอัศนัย...ตั้งแต่กิ่งมาฝึกงานจนได้ทำงานที่ดรามาติก ทเวลฟ์ กิ่งยังไม่เคยเจอเลยสักครั้ง อืม...ชื่ออัศวินใช่ไหม พี่อาร์มเคยเจอหรือเปล่า”


คนถูกถามส่ายหน้า “คุณเล็กเธอไม่เคยเล่าอะไรให้พี่ฟังนะ รู้แค่ว่าคุณใหญ่เธอถูกส่งไปเรียนด้านบริหารที่ต่างประเทศ เขาว่ากันว่าเธอเป็นคนเก็บตัว คนในคณะละครไม่เคยได้พบเธอจริง ๆ เลยสักครั้ง”


“คงจะหล่อน่าดูเลยนะคะ คุณอัศวินคนนี้น่ะ ขนาดน้องชายยังเป็นขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครสู้พี่อาร์มของกิ่งได้เลยสักคน” พูดจบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องหน้าคนเขิน


“เลิกแซวแล้วมาช่วยพี่คิดดีกว่าว่าจะทำยังไงกับรอยพวกนี้” พูดจบหนุ่มหน้าสวยก็หันหลังให้ก่อนจะถอดเสื้อตัวบางออกเผยให้เห็นผิวชาวเนียนละเอียดที่ตอนนี้ถูกแต้มด้วยรอยรักสีกุหลาบเต็มไปหมด ชลิตล้มตัวลงนอนคว่ำบนเตียงปล่อยให้กิ่งดาวจัดการกับปัญหานี้ตามใจเธอ


“คุณอัศนัยจะโกรธไหมนะที่กิ่งจากเสกผีเสื้อตัวน้อยของเขาให้กลายเป็นดอกไม้” พูดจบก็เปิดกระเป๋าหยิบสีสำหรับเพ้นต์ตัวขึ้นมาเปิดออกจัดการใช้พู่กันแต้มทับร่องรอยที่แสดงว่าเรือนร่างนี้มีเจ้าของแล้ว “ผู้ชายกับดอกไม้น่ะ น่ารักจะตาย”


“ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน”


“เพื่อนกิ่งเองค่ะ เพื่อนกิ่งทำให้รู้สึกแบบนั้น”


“เพื่อนหรือว่าแฟน หืม?”


“เพื่อนสิคะ พี่อาร์มก็น่าจะรู้ว่ากิ่งเพิ่งอกหักมา ตอนนี้น่ะยังไม่กล้าคิดอะไรกับใครหรอกค่ะ” แม้จะพูดออกไปด้วยรอยยิ้มแต่ภายในใจกลับไม่ได้ยิ้มตามเลยสักนิด


“กิ่ง...พี่...” ชลิตผงกหัวขึ้นก่อนจะตัดสินใจกลืนคำพูดต่าง ๆ ลงคอไปในที่สุด


เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงดอกไม้งามก็เสร็จเรียบร้อย เจ้าของผลงานมองมันอย่างชื่นชมพลางไล้ปลายนิ้วไปตามกลีบดอกที่ปลิดปลิวเป็นสายเมื่อคราต้องลม หญิงสาวแนบแก้มลงผิวนุ่มทอดตามองดอกไม้ห้ากลีบในตำแหน่งต่ำจากบ่าข้างขวาลงมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะขออนุญาตเจ้าของเรือนกายถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก


เจ้าของร่างงามยันกายลุกขึ้นก่อนจะหันมาสบตาหญิงสาว อยากจะกล่าวขอบคุณและขอโทษไปพร้อม ๆ กัน ขอโทษที่ตนเองไม่อาจตอบแทนความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้ได้มากไปกว่าความเป็นพี่เป็นน้อง


“ขอบใจมากนะกิ่ง”


“ไม่เป็นไรค่ะพี่อาร์ม” กิ่งดาวกล่าวก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาห่มให้ “เดี๋ยวกิ่งแต่งหน้าให้นะ จะแต่งให้สวยจนคนในงานจำพี่อาร์มไม่ได้เลยคอยดูสิ”


“ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยหน่อยสิ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียง


“สงสัยฝนจะตกแน่ ๆ พี่อาร์มสุดหล่อขอถ่ายรูปคู่กับกิ่ง ไม่กลัวเป็นข่าวเหรอคะ” 


“กลัวทำไม ใครเขาก็รู้ว่าพี่น่ะรักกิ่งเหมือนน้องสาวแท้ ๆ”


คนฟังมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงแวบเดียวนั้น ดวงตาคู่สวยก็กลับสดใสขึ้นอีกครั้ง “ไม่ยอมให้เป็นอย่างอื่นเลยนะคะ”


“พี่...ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ ที่คิดเป็นอย่างอื่นกับกิ่งไม่ได้”


“โธ่! พี่อาร์ม กิ่งล้อเล่นนิดเดียวเอง อย่าคิดมากสิคะ กิ่งบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถึงพี่จะไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับกิ่ง แต่เร็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”


“มาเถอะ ถ่ายรูปดีกว่า เป็นที่ระลึกเผื่อว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่กิ่งจะได้เห็นพี่อาร์มคนนี้”


“พี่อาร์มหมายความว่ายังไงคะ” สาวน้อยถามอย่างไม่เข้าใจ


“พอดรามาติก ทเวลฟ์ปิดตัวเราก็ต้องแยกย้ายกันไปแล้ว กิ่งล่ะ วางแผนชีวิตไว้ยังไง”


“กิ่งกะว่าจะเรียนต่อค่ะ แล้วพี่อาร์มล่ะคะ”


“ไม่รู้สิ พี่คงไปต่างประเทศสักพักมั้ง” พูดจบก็ยกโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพประทับใจในวันนี้เอาไว้


กิ่งดาวใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการแปลงโฉมให้ชลิตกลายเป็นสาวสวย เธอถอยห่างออกมาจ้องมองผลงานอย่าพอใจ เก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อยก่อนจะเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าเหมือนเดิม


“ไม่ไปด้วยกันจริงน่ะเหรอ” ร่างสูงในชุดราตรียาวโชว์แผ่นหลังเอ่ยขึ้นขณะนั่งสวมรองเท้า


“ไม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากร้องไห้น่ะ งานแบบนี้ต้องพูดอะไรซึ้ง ๆ กันแน่ ๆ เลย กิ่งไม่อยากมาสคาร่าเยิ้มกลางงาน “ฝากพี่อาร์มบอกทุกคนก็แล้วกันค่ะว่ากิ่งมีธุระต้องกลับปากช่องด่วน”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ถ้าจะกลับก็ล็อคห้องให้พี่ด้วยนะ แล้วยังไงพี่จะโทรหา”


สาวน้อยพยักหน้า มองตามสาวสวยที่กำลังเปิดประตูออกจากห้อง ครู่หนึ่งเธอก็เดินไปที่หน้าต่าง มองดูเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ดำที่กำลังแล่นเข้ามาจดเทียบหน้าคอนโด ครู่หนึ่งร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็เปิดประตูลงมายืนรอสาวสวยที่ไม่นานก็ปรากฏตัวขึ้น


ที่เมื่อกี้บอกว่าไม่อยากร้องไห้ น่าจะเป็นไม่ยากร้องไห้ที่เห็นภาพนี้มากกว่า ไม่รู้ว่าสองคนคุยอะไรกัน แต่เมื่อกิ่งดาวเห็นรอยยิ้มและท่าทีเขินอายของคนที่เธอแปลงโฉมให้ก็รู้ได้ทันทีว่าพี่อาร์มของเธอต้องกำลังมีความสุขอยู่แน่ ๆ ...



ที่ลานจอดรถหน้าคอนโด



เจ้าของรถหรูมองสำรวจร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดที่เขาเตรียมให้พลางยิ้มอย่างพอใจก่อนเดินยิ้มเข้าไปประคองเอวสอบพร้อมกับกระซิบเบา ๆ “ใครนะที่เอาผีเสื้อของผมไปซ่อน เขาจะรู้ไหมว่าผมอยากจะค้นหาเจ้าปีกบางตัวน้อยของผม ไม่อยากไปงานเลี้ยงอำลานั่นเสียแล้วสิ”


“ไปเถอะครับ ผีเสือของคุณเล็กไม่ได้หายไปไหนหรอก อาร์มเคยบอกแล้วไงว่าจะเก็บรักษามันเอาไว้อย่างดี”



อัญชลิสาดึงความคิดกลับมาก่อนจะหลับตาลงปล่อยให้สายน้ำรินรดทั่วร่าง ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ในหัวยังคงครุ่นคิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ จนเก็บมาเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม


....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 01-03-2015 08:22:18
คนที่กิ่งรัก คือ อัญชลิสาเหรอเนี้ย แล้วยังงี้ คุณเล็กก็ต้องจำได้สิ ว่า อัญชลิสาคือคนเดียวกับอาร์ม เพราะรอยสักเนี้ย ลุ้นติดขอบจอ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-03-2015 10:09:06
โอ๊ย...ปวดใจกับการอกหักซ้ำซากของ ดร.ปลายปีมาก
หนอนบุ้งใจร้ายกว่าที่คิดจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่เมาแล้วนะ ห้ามตลอด ห้ามไม่ให้พูดได้ แต่จะห้ามไม่ให้รู้สึกได้ยังไง ฮรืออออ
ซีนที่เจอกันหน้าลิฟท์นี่ เป็นเราคงไม่เดินด้วยอ่ะ ทำเราอกหักขนาดนี้ อาจารย์ก็ทนได้เนาะ

เฉลยความจริงเรื่องรอยสักดอกไม้ พร้อมคนที่ทำให้กิ่งอกหักจนไปหักอกหนอนบุ้งอีกทอดนึงแล้ว
ทีนี้ก็เหลือปมการเสียชีวิตล่ะนะ ว่าฆ่าตัวตายหรือโดนฆ่า ทำไมฆ่า ฆ่ายังไง เอ่อ...ดูเหมือนปมจะเหลือเยอะอยู่

ตอนนี้ชักจะไม่อยากไขปม อยากผูกเงื่อนให้อาจารย์กับหนอนบุ้งมากกว่า  :ling2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-03-2015 10:40:22
ยังไงล่ะเนี่ย
หลายตลบมากกกก
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 01-03-2015 11:06:00
ซับซ้อนจริงๆ น่าสงสัยไปหมดเลย

สงสารอาจารย์ธันจัง หนอนบุ้งใจร้าย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 01-03-2015 17:39:36
เรื่องเป็นมาเป็นไปอย่างงี้นี่เอง~
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 01-03-2015 17:41:20
โถ่ ด็อกเตอร์~

แรกๆเราก็มุ้งมิ้งฟุ้งฟิ้งกับอารมณ์คนตกหลุมรัก พอเจอบุ้งหักอกด็อกเตอร์เท่านั้นแหละ

เศร้าตามด็อกเตอร์ไปเลย โถ่ๆ พ่อคุณ ไม่เป็นไรนะๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-03-2015 18:50:37
อ้าว กลายเป็นว่ากิ่งรักน้องอันซะงั้น แต่ประเด็นการตายก็ยังเป็นปริศนา
สงสารดร.ธันวา บุ้งใจร้าย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 01-03-2015 20:23:54
 :really2: :really2:

ที่เดามาตั้งแต่ต้นผิดหมดเลยง่ะ TT
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 02-03-2015 14:18:54
ไอ้ที่เดาๆไว้ผิดหมดเลยอ่ะ o22
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 02-03-2015 23:20:55
เลือกไม่ถูกเลยค่ะว่าจะสงสารใครก่อนดี

 :hao5:


ดร.ธันวาคนอกหักก็น่าสงสาร

กิ่งดาวก็ยิ่งน่าสงสาร คนที่เธอรักก็คืออัญชลิสานี่เอง

แสดงว่ารูปถ่ายในโทรศัพท์ที่บุ้งกำลังพยายามหาตัวคนร้ายอยู่ก็คือรูปที่กิ่งดาวถ่ายไว้เองสินะคะ
รู้สึกเศร้าอ่ะ อยากรู้ว่าเรื่องของกิ่งกับพี่อาร์มเป็นมายังไง

แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่อยากตัดตัวเลือกอย่างอัญชลิสาออกไปอยู่ดี
ถ้าพูดแบบนี้หมายความว่าหลังจากนี้สองคนนี้อาจจะไม่เจอกันอีก
นี่ก็เดาอีกแล้วค่ะ เดาว่ากิ่งปลอมตัวเข้าไปทำงานที่นาฏกาล โดยที่ตอนแรกอันอาจจะไม่รู้
แต่พอรู้ก็ช่วยปกปิดเรื่องที่กิ่งดาวเป็นผู้หญิงให้ (รึเปล่า?)

ลุ้นอยากจะรู้ตอนต่อไปแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เหมือนจะคลายปมได้เยอะนะ แต่ก็เหมือนจะผูกเป็นปมแน่นขึ้นอีกยังไงไม่รู้ 5555


แต่นี่ยังสงสารด๊อกเตอร์อยู่เลยนะคะ TvT

 :o12:


ปล.อยากรู้จริงๆ ว่าความลับของคุณเล็กที่อันรู้มันคืออะไร? จะเกี่ยวกับการตายของกิ่งดาวมั้ย? แล้วไอ้ความรู้สึกรังเกียจนั่นคืออะไร? สองคนนี้มีอะไรที่น่าสงสัยมากๆ จริงๆ นี่ก็เดาอีกแล้วนะคะ เดาว่าสองคนนี้ (ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) อาจจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการตายของกิ่งดาวก็ได้ โอ้ยยยย รู้สึกเป็นเชอร์ล็อค โฮล์ม 5555555555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-03-2015 01:50:26
ตอนที่ 13 โรงละครร้าง


สายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกปีบฟุ้งกระจายท่ามกลางละอองฝนที่เริ่มซาเม็ดลง ถึงกระนั้นเช้านี้การจราจรในกรุงเทพฯ ก็ยังคงกลายเป็นอัมพาตอย่างไม่ต้องสงสัย 


ตาคมทอดมองออกไปนอกประตูระเบียงที่เปิดแง้มอย่างไร้จุดหมาย แม้จมูกจะสัมผัสกับกลิ่นที่โปรดปราน แต่แทนที่คันธชาติจะสดชื่นเหมือนเคยกลับดูเห่อเหี่ยวเสียยิ่งกว่าดอกไม้ที่โรยราร่วงลงสู่ผืนดินเพราะแรงลมเสียอีก เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะดังเว้นจังหวะสม่ำเสมอสอดรับกับเสียงเดินของเข็มวินาทีนาฬิกาติดฝาผนัง

หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันทุกครั้งเมื่อคำถามใหม่เกิดขึ้นในใจและวนมาให้คิดหาคำตอบไม่จบไม่สิ้น ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระดาษที่วางแผ่อยู่บนระนาบไม้ตรงหน้าขยับไหว ทั้งภาพข่าวเก่า ทั้งภาพถ่ายรวมถึงข้อมูลใหม่ที่ได้มาสด ๆ ร้อน ๆ วางกระจัดกระจายไร้ระเบียบพอ ๆ เรื่องในหัวตอนนี้ ทั้งที่พยายามจะคลายปมจากหลักฐานต่าง ๆ ที่มีแต่เวลานี้กลับรู้สึกว่ายิ่งพยายามปมนั้นก็ยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่า


เสียงเรียกเข้าที่แผดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันช่วยเรียกความคิดที่กำลังใกล้คำว่าฟุ้งซ่านเข้าไปทุกขณะให้กลับมารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอีกครั้ง ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์กดรับสายจากนั้นก็กรอกคำถามยาวยืดไม่เปิดช่องให้คนโทรมาได้พูด


"แกว่าดรามาติก ทเวลฟ์ กับข้อความเลขสิบสองของกิ่งจะเกี่ยวข้องอะไรกันไหมวะ แล้วก็อัญชลิสา...กับ...นายอัศนัยน่ะ น่าจะรู้สิว่ากิ่งเป็นใครเพราะพวกเขาเคยทำงานด้วยกันมาก่อน แต่ทำไม..."


"พอ ๆ ไอ้บุ้ง แกใจเย็น ๆ” ปลายสายเอ่ยขึ้น


“แกว่ามันแปลกไหม”


“ก็แปลกอยู่” เก่งกาจกล่าวก่อนจะเงียบไป ต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน แล้วก็เป็นคันธชาติที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ


“ฉันจะเข้าไปที่ดรามาติก ทเวลฟ์”


“แกจะเข้าไปทำไม อีกไม่กี่วันเขาก็จะทุบทิ้งแล้ว”


“แกจำไม่ได้เหรอว่าเรายังเหลือไดอารีของกิ่งที่ยังหาไม่เจอ บางทีมันอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้”


คนฟังถอนใจเฮือก “เปล่าประโยชน์ว่ะไอ้บุ้ง”


“แกหมายความว่ายังไง”


“ก็เพราะว่าหลังจากขายโรงละครที่ซอยสิบสองนั่นแล้ว อัศนัยก็ย้ายของทุกอย่างมาไว้ที่นาฏยกาลน่ะสิ บางทีของบางอย่างอาจจะถูกขายให้ร้านรับซื้อของเก่าไม่ก็ถูกจับเผาทำลายไปแล้วก็ได้ มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้วนี่”


“โธ่โว้ย! แล้วทีนี้จะทำยังไง จะให้กิ่งตายฟรีอย่างนั้นเหรอ” กล่าวพลางขยี้หัวตัวเอง


‘ตายฟรี’ คำพูดนั้นสะกิดใจจนเก่งกาจต้องถามซ้ำให้แน่ใจ “ไอ้บุ้ง ฉันถามอะไรแกหน่อยสิ”


“ถามอะไรวะ”


“ตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมแกถึงปักใจเชื่อนักว่าการตายของกิ่งมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แค่เพราะข้อความเลขสิบสองนั่น หรือภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์กับใครคนหนึ่งที่กิ่งพูดถึงบ่อย ๆ แค่นั้นน่ะเหรอ ไม่น่าใช่หรือเปล่าวะ แกมีอะไรที่ยังบอกฉันไม่หมดหรือเปล่า”


“ฉันก็บอกแกไปหมดแล้วไง แกจะยังสงสัยอะไรอีกวะ”


“เปล่า...แต่แกทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าบางทีมันอาจจะเกี่ยวพันกับหลายคนและเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ฉันคิดเอาไว้ก็เท่านั้น”


“คิดมากน่า”


“เออ ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แต่ถ้ามีละก็ แกห้ามปิดบังเด็ดขาดนะรู้ไหม มันอันตราย”


“ทำไม? เป็นห่วงเหรอ เป็นห่วงก็บอกมาตรง ๆ สิวะ ไม่ต้องอ้อมค้อม เขินหรือไง”


“เออ ฉันมันคนพูดอ้อมค้อม ทีคนพูดตรง ๆ แกกลับไม่ฟังเขา”


"พูดอะไรวะ ไม่เห็นจะเข้าใจ"


“เฮ้อ...นี่แกไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่วะ”


“ก็ไม่เข้าใจจริง ๆ น่ะสิ แกพูดเรื่องอะไรของแก”


“เออ ๆ ช่างมันเถอะ” คนปลายสายถอนใจเฮือก ไม่เข้าก็ไม่เข้าใจ “ว่าแต่นี่แกเจอ ดร.ธันวาบ้างหรือเปล่า”


“ม...ไม่ ไม่เจอ ถามทำไม”


“เปล๊า! แค่พักนี้เขาหายหน้าหายตาไปก็เลยถามดู เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกันเผื่อแกจะเจอบ้าง”


“ไม่เจอมาหลายวันแล้ว”


“เอ๊!!! ไปไหนของเขานะ”


“จะไปไหนก็ช่างเขาเถอะน่า แกจะสนใจทำไมวะ”


“หรือแกไม่สนใจ เพื่อนบ้านกันนะโว้ย ป่วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจจะมีปัญหาทางบ้าน งานหนัก หรือ...”


“พอ ๆ มันเรื่องของเขา แล้วทำไมฉันต้องสนใจด้วยวะ” คันธชาติเริ่มจะหงุดหงิด


“เออ ๆ ไม่สนใจก็ไม่สนใจ” เก่งกาจพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะวางสาย ‘อย่าให้รู้ว่าสนใจก็แล้วกัน ล้อยันแก่แน่ ๆ’





หลังจากหายหน้าไปกว่าหนึ่งเดือนด้วยต้องพักรักษาตัวเพราะประสบอุบัติเหตุ ในที่สุดผู้ช่วยช่างเสื้อก็ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง สาวสวยร่างสูงยืนย้มหวานเมื่อรถนั่งแบบครอบครัวแล่นเข้ามาจอดเทียบ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งเจ้าของรถก็เอ่ยขึ้น


“น้องบุ้งเจอน้องธันบ้างหรือเปล่าคะ พักนี้เจ๊แวะมาหาแก้วแต่ไม่เห็นน้องธันเลย”


คำถามนั้นทำเอาคันธชาติแทบอยากจะเปิดประตูลงจากรถ ไม่เข้าใจว่าทำไมพักนี้จึงมีแต่คนถามคำถามนี้อยู่เรื่อย “ผมไม่ได้รับตามหาคนหายนะเจ๊”


“แหม...ว่าไปนั่น เจ๊ก็ถามดูเฉย ๆ ค่ะ เห็นว่าห้องใกล้กัน เผื่อจะเจอกันบ้าง”


คนฟังกอดออกมองไปนอกหน้าต่าง


“นี่...แล้วไม่เจอเนี่ย ไม่คิดจะอยากเจอบ้างเหรอคะ”


“ไม่เห็นจะอยากเจอเลย”


คำตอบที่ได้เรียกรอยยิ้มจากพุฒิพงศ์ได้ไม่น้อย “อืม...แปลกจังเลยน้า” ลากเสียงพร้อมกับเหลือบมองคนที่ยังคงเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ข้างทาง “ไม่รู้ว่าหายไปไหนสิเนี่ย ถามกับแก้ว แก้วก็บอกไม่รู้ จะไม่สบายหรือเปล่า หรือว่างานหนัก หรือว่า...”


ประโยคพวกนี้มันฟังแล้วคุ้น ๆ “พอ ๆ เจ๊ จะแจ้งความคนหายไหม เดี๋ยวผมโทรบอกไอ้กาจให้” พูดจบก็ควักโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะทำอย่างที่พูดแต่ก็ถูกห้ามเสียก่อน คันธชาติโคลงศีรษะอย่างหงุดหงิด ตามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ใจนี่สิ...


ไม่รู้ว่าไปไหน...


พุฒิพงศ์เลี้ยวรถเข้ามาจอดยังบริเวณลานจอดรถใกล้โรงละครเก่าที่ถูกปิดตายซึ่งอยู่ใกล้กับทางไปห้องประชุมมากที่สุด กะเทยร่างตุ้ยนุ้ยก้าวลงจากรถพร้อมกับผู้ช่วยสาวสวยก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดท้ายดึงเอาถุงใบใหญ่ที่อัดแน่นด้วยตัวอย่างชุดละครออกมา วันนี้เป็นวันนัดตรวจงานหลังจากมีการปรับแก้ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกเชิญให้มาพร้อมกันในบ่ายวันนี้


“ไอ้กาจโทรมา”  คันธชาติในคราบของบุ๊งกล่าวพลางมองโทรศัพท์ในมือ “บุ๊งขอรับโทรศัพท์แป๊บนะเจ๊ เดี๋ยวตามเข้าไป”


“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเจ๊เข้าไปก่อนนะ บุ่งบุ๊งรีบตามมาล่ะ นี่ก็จวนจะได้เวลาประชุมแล้ว”


คนฟังพยักหน้ารัวพร้อมกับกดรับก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง


“เออ ว่าไงวะ”


“ฉันจะโทรมาบอกแกว่า ตำรวจใกล้จะได้ตัวไอ้คนที่มันขับรถชนแกแล้วนะ”


“ใครวะ” ยังคงสาวเท้าเดินไปเรื่อย หูก็ฟังเสียงของคนที่ปลายสายไปด้วย


“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่วันที่แกถูกชน มีพลเมืองดีจำทะเบียนไอ้รถคันนั้นได้ แล้วกล้องวงจรปิดของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ในซอยก็จับภาพรถคันที่เลี้ยวตัดหน้าแกได้ด้วย อีกไม่นานคงจะได้รู้ว่าทั้งหมดมันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือมีใครตั้งใจให้มันเกิดกันแน่”


คันธชาติพยักหน้าเบา ๆ จู่ ๆ เท้าก็หยุดกึก มองเงาสะท้อนของตัวเองในผนังกระจกของตึกร้างที่อยู่เบื้องหน้า


“เอาไว้ได้ตัวมาสอบสวนแล้วได้ความว่ายังไงฉันจะบอกแกอีกทีก็แล้วกัน”


“เออ ๆ” ชายหนุ่มตอบอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดวางสาย ดวงตาจ้องมองไปที่ประตูกระจกบานผลักที่มีฝุ่นจับหนาเตอะแสดงว่าไม่ได้รับการเหลียวแลมานาน  แต่ที่น่าแปลกก็คือที่จับซึ่งคล้องด้วยโซ่แน่นหนากลับดูสะอาดเอี่ยมเหมือนมีการเปิดเข้าเปิดออกอยู่บ่อย ๆ พยายามมองผ่านละอองฝุ่นที่เคลือบทับแผ่นระนาบเกือบจะใสเข้าไปก็เห็นเพียงราง ๆ เท่านั้นเพราะด้านในค่อนข้างมืด


“มายืนทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งเฮือก


คันธชาติสบตาเจ้าของเสียงผ่านเงาสะท้อนบนกระจก ดวงตาคู่นั้นยังคงสวยงามและแฝงด้วยความน่ากลัวทุกครั้งที่เห็น ชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์ในมือก่อนจะหันกลับมาประสานสายตากันตรง ๆ


“บุ๊งมาคุยโทรศัพท์ค่ะ เดินไปคุยไปเพลินไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงนี้เสียแล้ว หาทางไปห้องประชุมไม่เจอ นี่ก็กำลังจะโทรถามเจ๊พุดดิ้งอยู่ค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันสิ ฉันก็จะไปที่นั่นอยู่พอดี นี่หายดีแล้วเหรอ เห็นเจ๊พุดดิ้งบอกว่าเธอถูกรถชน”


“ก็...ห...หายแล้วค่ะ”


คนถามเพียงแต่พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหมุนตัวกลับ


“เอ้อ...ค...คุณอันคะ”


“ว่ายังไง” หน้าสวยได้ปรายตามอง


“คือ...ตึกนี้น่ะมีผีจริง ๆ เหรอคะ” 


“ไปเอามาจากไหน”


“นิกกี้บอกค่ะ นิกกี้บอกว่าตอนกลางคืนมีคนได้ยินเสียงร้องโหยหวน”


“อย่าไปฟังนิกกี้มาก รายนั้นน่ะเห็นอะไรแปลก ๆ หน่อยก็กลัวไปหมด” อัญชลิสากลั้นหัวเราะ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่คันธชาติได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงสร้างช่องว่างขั้นกลางด้วยการวางท่าดุจดังพญาหงส์เหินอยู่ดี


“แต่เขาบอกว่าที่นี่เคยมีคนตกลงมาจากดาดฟ้านี่คะ พูดแล้วขนลุก” บุ๊งหันซ้ายหันขวาอย่างหวาด ๆ ก่อนจะขยับเข้าใกล้คนตัวเล็กกว่า สังเกตว่าพอพูดมาถึงตรงนี้หน้าสวยนั้นดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็สามารถปรับสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็ว


“อย่ากลัวเลยผีน่ะ กลัวคนดีกว่า คนน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีกนะ คนบางคนก็ไม่ควรจะเฉียดเข้าไปใกล้หรือทำความรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งหนีให้ไกลได้ก็ยิ่งดี” อัญชลิสายกมุมปากเป็นรอยยิ้มปริศนาก่อนจะกล่าว “ รีบไปที่ห้องประชุมเถอะ ใกล้เวลาแล้ว” พูดจบเจ้าของร่างระหงงามสง่าก็เดินนำไปก่อน 


ตาคมกริบมองตามผิวขาวตัดสีแดงสดของเสื้อเว้าหลังพลางสาวเท้าตามกระทั่งเข้าไปในอาคารซึ่งเป็นโรงละครหลักของนาฏยกาลในปัจจุบัน กำลังจะเดินเลี้ยวตามอัญชลิสาไปยังห้องโถงใหญ่ แต่มือของใครคนหนึ่งกลับรั้งไว้ก่อนจะดึงร่างผลุบหายเข้าไปในซอกทางเดิน เป็นอัศนัยนั่นเอง คันธชาติเบิกตากว้างมองคนตรงหน้าพร้อมกับใช้มือดันอกของเขาเอาไว้ รู้สึกหงุดหงิดกับสองมือของอีกฝ่ายที่ยึดอยู่กับสะโพกแต่จะทำอย่างไรได้นอกจากปล่อยไปตามน้ำ


“ค...คุณอัศนัย”


“คุณเป็นยังไงบ้าง ผมตกใจแทบแย่ตอนที่คุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณถูกรถชน ผมอยากไปหาคุณ แต่พอถามคุณพุฒิพงศ์เขาก็ตอบว่าไม่รู้ว่าคุณไปอยู่ที่ไหน”


“มันเกิดขึ้นกะทันหันนะค่ะ พอคุณหมออนุญาตให้กลับได้ พ่อกับแม่บุ๊งก็มารับกลับบ้าน เลยไม่ทันได้บอกใคร แต่ตอนนี้บุ๊งหายดีแล้วค่ะ” พูดพลางพยายามขยับตัวออกแต่อัศนัยก็ยังเกาะเอาไว้เหนียวแน่น


“ถ้าอย่างนั้น...” ชายหนุ่มส่งตาหวาน “เราน่าจะหาเวลาทบทวนความทรงจำเรื่องคืนนั้นของเรากันหน่อยดีไหมครับ ผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลย รู้แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก” ท้ายประโยคฟังกระเส่าพิลึก


‘แหงละ แกจะจำได้ยังไงวะ ก็แกโดนวางยานอนหลับนี่’


“ก...ก็ ก็แล้วแต่คุณอัศนัยสิคะ บุ๊งตามใจคุณค่ะ” คันธชาติแสร้งทำขวยเขินทั้งที่อยากจะเอากำบั้นเสยปลายคางสักที แต่คำพูดเมื่อครู่กลับทำให้คนฟังได้ใจเลื่อนมือขึ้นโอบรัดรอบเอวแน่นเข้าไปใหญ่


หน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้หวังจะชิมรสหวานจากริมฝีปากระเรื่อเพื่อเรียกน้ำย่อย แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดันมาดังขัดจังหวะเสียก่อน แขนแกร่งจำต้องคลายออกหลวม ๆ ปล่อยให้คนในอ้อมแขนหยิบโทรศัพท์


“เจ๊พุดดิ้งโทรตามแล้วค่ะ” คันธชาติกล่าวทั้งที่ยังไม่ได้กดรับ “สงสัยได้เวลาประชุมแล้ว”


“จะประชุมได้ยังไงครับ ในเมื่อผมก็ยังอยู่กับคุณที่นี่” ทำท่าจะสานต่อแต่ก็เป็นโทรศัพท์ในกระเป๋าของตัวเองที่ดังขึ้นบ้าง ชายหนุ่มผละออกจากร่างที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายและเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทำเอาคันธชาติที่กำลังมองตามถอนหายใจอย่างโล่งอก ปลายนิ้วเรียวกดตัดสายก่อนจะรีบเดินต่อเพื่อไปยังห้องประชุม   


เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบว่าทุกคนมากับเกือบครบแล้ว ตัวอย่างชุดละครก็ถูกสวมกับหุ่นตั้งแสดงไว้กลางห้องเรียบร้อยแล้วจะขาดก็แต่นายใหญ่หน้าหล่อที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินมานั่งลงข้างพุฒิพงศ์ที่เพิ่งจะเข้ามานั่งก่อนเขาได้เพียงไม่นาน


“เกือบโดนงาบแล้วนะคะบุ่งบุ๊ง” กะเทยตุ้ยนุ้ยยิ้มหวาน


ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับพยักหน้าแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณคนที่ช่วยให้รอดพ้นจากการถูก ‘งาบ’ มาได้ “ขอบคุณนะเจ๊ที่ช่วย”


“ไม่เป็นไรค่ะ เยอะกว่านี้ยังช่วยมาแล้วเลย”


คันธชาติพยักหน้ายิ้ม น้ำเสียงและสายตากรุ่มกริ่มนั้นทำให้เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร


“เอาอีกไหมล่ะ”


“บุ๊งงงงง!!!” จู่ ๆ ก็เสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว พุฒิพงศ์รีบเอามือปิดปากก่อนจะค้อมศีรษะเพื่อเป็นการขอโทษที่เสียมารยาทจากนั้นจึงหันกลับมากระซิบถามเจ้าของหน้าสวยที่กำลังนั่งหัวเราะคิก “ได้อีก...จริง? อย่ามาทำถามเล่น ๆ นะ เรื่องนี้เจ๊จริงจัง”


คนถูกถามยักคิ้วกวน ๆ ยังไม่ทันจะตอบประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พลันร่างสูงสง่าใบหน้าชวนมองก็ปรากฏกายขึ้น แน่นอนว่าอัศนัยยังคงเรียกความสนใจจากทุกคนได้เช่นเคยเพราะทั้งห้องประชุมต่างมองมาที่เขาตาเป็นมัน โดยเฉพาะพุฒิพงศ์ที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนออกนอกหน้า


“เก็บอาการหน่อยค่ะเจ๊” คันธชาติกระซิบ


“แหม ก็เห็นแล้วมันเปรี้ยวปากนี่” พูดจบก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ


คนมาใหม่นั่งลงที่หัวโต๊ะพร้อมกับทักทายทุกคนรวมถึงสาวสายที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก จากคำพูดสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคแสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่ต่างจากอัญชลิสาและคนอื่น ๆ ในห้องที่ไม่ได้สร้างความสนใจให้เขาสักเท่าไร แต่ดวงตาทอประกายวิบวับนั่นกลับบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่ 


ระหว่างการประชุมพุฒิพงศ์ลอบมองชายหนุ่มหัวโต๊ะที่เอาแต่จ้องผู้ช่วยของตนเองราวกับจะกลืนกินเป็นระยะ ๆ ในที่สุดก็แสร้งกระแอมเบา ๆ เรียกสติ เล่นเอาอีกฝ่ายจำต้องเบนสายตาไปยังตัวอย่างชุดละครเวทีเรื่องใหม่ที่หลายคนพากันไปยืนห้อมล้อมตรวจสอบคุณภาพงานกันอยู่ที่กลางห้อง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ดีนั้นทำเจ้าของโรงละครหน้าหล่อพยักหน้ายิ้ม ท่าทางของเขาดูจะพอใจกับผลงานการตัดเย็บของห้องเสื้อโนเนมอย่างห้องเสื้อพุทธรักษาไม่น้อย


“คุณชอบหรือเปล่าอัญชลิสา” อัศนัยหันไปถามกับนางเอกของเรื่องที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย


“ค่ะ สวยแล้วก็ตัดเย็บเนี้ยบกว่าที่อันคิดไว้เยอะเลย” พูดพลางยกกระโปรงสุ่มปักเลื่อมขึ้นดู


“อืม ถ้าอย่างนั้นคุณพุฒิพงศ์ดำเนินการต่อได้เลยนะ ประมาณเอาไว้ว่าจะเรียบร้อยเมื่อไรครับ”


“ถ้าไม่มีปรับแก้อะไรแล้ว คิดว่าสองเดือนน่าจะเรียบร้อยค่ะ โชคดีที่ผู้ช่วยคนเก่งกลับมาแล้ว” พูดจบก็หันไปส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ข้างกัน


“ดีครับ เอาเป็นว่าอีกสองเดือนมาดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็ช่วยรายงานความคืบหน้าให้ผมทราบเป็นระยะด้วย” อัศนัยกล่าวก่อนจะหันไปทางทีมเบื้องหลัง “ถ้าบทเรียบร้อยแล้วผมอยากให้กำหนดตัวแสดงแล้วก็ลงมือซ้อมกันได้เลย งานนี้อยากจะให้ออกมาดีที่สุดเพื่อเป็นการทิ้งทวน”


“ท...ทิ้งทวน? ทิ้งทวนอะไรเหรอคุณอัศนัย” คนหนึ่งถามขึ้น


“หลังจากละครเรื่องนี้จบ ผมตั้งใจว่าจะปิดนาฏยกาล” อัศนัยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมันเป็นเรื่องเล็กน้อย ในขณะที่ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ร้อง ‘ฮ้า!!’ นั่นคงเป็นเพราะไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าโรงละครที่มีชื่อเสียงยาวนานและมีแนวโน้มว่าจะทำรายได้อีกมหาศาลจะมีปลายทางเป็นเช่นนี้


“ท...ทำไมล่ะคะ กิจการของเราก็ไปได้ดีนี่นา”


“หน้าที่ของคุณคือดูเแลรื่องฉากไม่ใช่เหรอ คุณไม่ได้มีหน้าที่มาถามผม และผมเองก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของคุณ” เพียงคำสั้น ๆ ของเจ้านายก็ทำให้อีกนับร้อยนับพันคำถามถูกกลืนลงคอไปโดยปริยาย ในขณะที่ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเหมือนคนน้ำท่วมปากแต่อัญชลิสากลับจ้องคนพูดตาเขม็ง


“เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอปิดประชุมนะ ส่วนเรื่องที่ผมแจ้งไปเมื่อสักครู่ขอให้พวกคุณช่วยเก็บเป็นความลับด้วย ไม่อยากให้พวกนักแสดงขวัญเสีย  แล้วผมจะเป็นคนแจ้งให้พวกเขาทราบด้วยตัวเองในเร็ว ๆ นี้ หวังว่าทุกคนคงจะให้ความร่วมมือนะครับ”


เงียบเหมือนเป่าสาก ทั้งห้องประชุมไม่มีใครพูดอะไรกัน กระทั่งร่างสูงของผู้เป็นนายจ้างเดินพ้นประตูออกไปโดยมีอัญชลิสาก้าวฉับ ๆ ตามไปติด ๆ คันธชาติมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้แต่ละคนทำคอตก หน้าตาเหมือนไม่ได้กินข้าวเช้า ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้พุดดิ้งที่ยังคงอ้าปากค้างก่อนจะกระซิบ “หุบปากได้แล้วเจ๊ เดี๋ยวลมเข้าท้อง”


“ม...เมื่อกี้บุ่งบุ๊งได้ยินเหมือนที่เจ๊ได้ยินไหม”


“ได้ยินสิ คุณอัศนัยบอกว่าจะเลิกกิจการหลังจากละครเรื่องสุดท้าย”


“เป็นไปได้ยังไง เจ๊ไม่อยากจะเชื่อเลย”


“ใจเย็นเจ๊ คุณอัศนัยอาจจะล้อเล่นก็ได้” คันธชาติพูดไปอย่างนั้น สังเกตจากน้ำเสียงและแววตาของคนพูดแล้ว เมื่อสักครู่มันไม่ใช่การล้อเล่นแน่     


อัญชลิสาเปิดประตูพรวดตามอัศนัยเข้าไปในห้อง มองร่างสูงที่กำลังเดินไปนั่งลงยังโต๊ะทำงาน สีหน้าและแววตาของเขาดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่กล่าวออกมาเมื่อครู่ เจ้าของหน้าสวยกอดอกจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนที่ริมฝีปากบางจะถามคำถามที่หลายคนในห้องประชุมอยากจะได้คำตอบ


“คุณมีเหตุผลลอะไรถึงจะปิดนาฏยกาล”


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นสบตาพลางยกมุมปากขึ้น “ผมคิดว่าผมน่าจะสะสางเรื่องยืดเยื้อให้จบ ๆ ไปสักที”


“คุณรู้ไหมว่ามีคนมากมายที่ต้องเดือดร้อน บางคนเป็นนักแสดงละครเวทีมาเกือบค่อนชีวิต ไม่มีนาฏยกาลแล้วคุณจะให้พวกเขาไปทำอะไร คุณไม่มีสิทธิ์จะปิดนาฏยกาล มันไม่ใช่ของคุณ”


อัศนัยหัวเราะหึแสดงแววตาเยาะเย้ยในที “คุณอย่าลืมสิ ผมคืออัศนัย นาฏยะ แล้วมันจะไม่ใช่ของผมได้ยังไง”


“ค...คุณ คุณกำลังผิดสัญญา” อัญชลิสาเสียงอ่อยมองอีกฝ่ายอย่างไร้ความหวัง ในขณะที่คนตัวสูงเองก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาโอบเอวสอบจากด้านหลัง ริมฝีปากหยักเลื่อนเข้ากระทั่งแนบชิดติดริมหูพร้อมกับเปล่งเสียงกระซิบแผ่วเบา


“ลืมสัญญานั่น แล้วก็ทำตัวให้น่ารักในฐานะที่คุณเป็นคนของผม จากนั้นเราก็มารอชื่นชมคอมเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดทันสมัยที่สุดที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นกัน คุณก็รู้นี่ว่าถ้าคุณขัดใจผมมันจะเกิดอะไรขึ้น และถ้าหากมันเกิดขึ้นคุณจะต้องเสียใจ”


เสียงหัวเราะในลำคอนั้นฟังแล้วช่างชวนคลื่นไส้แต่คงไม่เท่าสัมผัสที่ตามมา อัญชลิสาหลับตานิ่งเมื่อริมฝีปากเย็นเฉียบแตะลงที่ใต้ติ่งหู เริ่มขบเม้มเบา ๆ ก่อนจะลุกลามไปตามลำคอและเพิ่มความรุนแรงขึ้น ปลายจมูกโด่งรั้นสูดลมหายใจลึกก่อนจะรวบรวมกำลังหมุนตัวกลับพร้อมกับจับแขนแกร่งเอาไว้แน่น


“อันบอกแล้วไง ถ้าคุณทำให้อันต้องเสียใจ ความลับของคุณมันก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ถึงวันนั้นเราก็จะไม่ได้พบกันอีกเลย”


อัศนัยส่ายหน้าดิก สีหน้าแววตาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาดอัญชลิสา”  จากความเกี้ยวกราดหยาบคายกลับกลายเป็นความอ่อนโยนอีกครั้ง “ได้โปรดอย่าทำแบบนั้น ผมรักคุณนะอัญชลิสา ผมรักคุณ ในโลกนี้ไม่มีใครดีกับผมเท่าคุณอีกแล้ว”


ในความรู้สึกของอัญชลิสา อัศนัยคนนี้ไม่ต่างกับสายน้ำที่บางครั้งก็สงบราบเรียบจนอยากจะปล่อยตัวปล่อยใจทิ้งเรื่องราวต่าง ๆ แล้วลงแช่ให้ความเย็นสบายโอบล้อมร่าง บางครั้งสายน้ำนี้ก็เชี่ยวกรากจนยากจะหาสิ่งใดขวางได้หรือถ้าพลัดพลั้งพลัดตกลงไปก็มีแต่จะถูกดูดให้จมหายไปในพริบตา หากเลือกได้เธอคงจะไปเสียให้พ้น ๆ ไม่ข้องเกี่ยว ไม่รู้จัก แต่ที่ต้องทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพราะเหตุผลเดียว...



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-03-2015 01:52:31
(ต่อค่ะ)


เมื่อความมืดมิดโรยตัวปกคลุมเมืองทั้งเมืองอีกครา ร่างสูงที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืดก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะอาศัยช่วงเวลานี้เดินสำรวจไปรอบ ๆ โรงละครที่ถูกปิดตายมานาน พบว่ามีทางเข้าออกอยู่สามทางก็คือประตูด้านหน้า ประตูหนีไฟด้านข้าง และด้านหลังซึ่งเป็นทางเข้าออกของนักแสดงและเพื่อประโยชน์ในการขนย้ายอุปกรณ์ต่าง ๆ  ทั้งหมดถูกล่ามโซ่ใส่กุญแจอย่างหนาแน่น ขายาวเดินมาหยุดที่ทางเข้าด้านหลัง พยายามมองผ่านกระจกเข้าไปด้านในแต่ก็พบเพียงความมืด


คันธชาติถอนใจเมื่อจนหนทางที่จะพาตัวเองเข้าไปในตัวอาคาร กระทั่งเสียงของแข็งกระทบกันเพราะแรงลมดังขึ้น เมื่อมองหาก็พบต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองช่องระบายอากาศของห้องน้ำที่อยู่เหนือศีรษะไม่มาก ซี่บานเกล็ดอะลูมิเนียมหักห้อยจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่แกว่งไกวกระทบผิวซีเมนต์เมื่อยามลมพัด หากมีใครเดินมาในเวลานี้ก็คงจะได้ยินเสียงเคาะจังหวะที่พาให้สติแตกกระเจิงเป็นแน่


ชายหนุ่มเริ่มมองหาตัวช่วยที่จะทำให้สามารถเอื้อมถึงบานเกล็ดอะลูมิเนียมได้ พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับลังไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกวางสุมอยู่กับแผ่นไม้อัดเก่า ๆ ที่คาดว่าคงจะเคยเป็นส่วนประกอบของฉากละคร คันธชาติจัดการรื้อกองขยะตรงหน้าอย่างเบามือก่อนจะค่อย ๆ ลากลังไม้วางชิดกับผนัง ลองเหยียบให้แน่ใจว่าจะไม่หักก่อนจะขึ้นไปยืนทั้งตัว


ออกแรงขยับแผงอะลูมิเนียมบานเกล็ดเพียงเล็กน้อยก็หลุดติดมือออกมาทั้งยวง จัดการวางพิงไว้กับผนังแล้วดึงตัวขึ้นมุดเข้าไปในช่องระบายอากาศ และเมื่อปลายเท้าสัมผัสกับพื้นอีกฝั่ง ชายหนุ่มก็หยิบไฟฉายกระบอกเล็กที่พกติดตัวมาด้วยออกจากกระเป๋ากางเกงเปิดไฟส่องดูที่ปลายเท้า ในที่สุดเขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนระนาบของโต๊ะ ลากไฟฉายขึ้นก็แทบผงะเมื่อพบเงาสะท้อนในกระจก   


“โธ่...ไอ้บ้าเอ๊ย ตกใจตัวเอง” ปากพึมพำในขณะที่มือยกขึ้นทาบอก “ดีนะไม่แต่งหญิงมา”


ห้องนี้ไม่ใช่ห้องน้ำอย่างที่เข้าใจในตอนแรก หากแต่เป็นห้องเก็บอุปกรณ์ประกอบการแสดงต่างหาก ข้าวของมากมายวางระเกะระกะ ที่ชวนขนหัวลุกคงจะเป็นหุ่นเปลือยไม่มีหัวที่ยืนเรียงกันอยู่ที่มุมห้อง คันธชาติกระโดดจากโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ กระทั่งมาหยุดที่หน้าประตูทึบ เมื่อเอื้อมบิดลูกบิดก็พบว่ามันสามารถเปิดได้จึงเดินผ่านกรอบประตูออกไปยังโถงด้านนอก


จริงอย่างที่เก่งกาจว่า ข้าวข้องที่นี่บางส่วนถูกย้ายมาจากดรามาติก ทเวลฟ์ ทั้งป้ายชื่อโรงละคร แผ่นป้ายคัตเอาต์ขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นฉากหลังสำหรับถ่ายภาพ รวมถึงโต๊ะเก้าอี้ ตู้เตียงติดสติกเกอร์สัญลักษณ์ดรามาติก ทเวลฟ์ ที่วางกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปท่ามกลางหยากไย่และฝุ่นหนาเตอะ


ชายหนุ่มสาดไฟที่มีลำแสงอยู่เพียงน้อยนิดไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดที่บันไดทางขึ้น ปลายเท้าขยับอย่างระมัดระวังกระทั่งมาหยุดที่จุดสิ้นสุดของแสง ตัดสินใจก้าวตามขั้นบันไดไปเรื่อย ๆ จุดหมายปลายทางก็คือชั้นดาดฟ้า ร่างสูงหยุดหายใจหอบหลังจากเดินไม่หยุด ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบานประตูที่สุดขั้นบันได ขนแขนที่ตั้งชันนั่นคงเป็นเพราะความเย็นจากภายนอกที่รอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามา และที่หลังประตูนั่นคงจะเปิดออกสู่ดาดฟ้าไม่ผิดแน่ มือเอื้อมแตะลูกบิดก่อนจะหมุน ทันทีที่ประตูหนักเปิดออกกระแสลมก็ปะทะเข้ากับกับผิวเนื้อยิ่งขนลุกไปกันใหญ่ ขายาวก้าวข้ามธรณีประตูออกสู่พื้นที่เวิ้งว้าง มองเห็นแสงไฟระยิบระยับของตึกรามแวดล้อมอยู่ไกล ๆ


คันธชาติเดินไปยืนที่จุดกึงกลางพื้นที่สี่เหลี่ยมกว้างใหญ่ก่อนจะขยับปลายเท้าหมุนมองไปรอบ ๆ ในที่สุดเขาก็เดินไปที่ริมขอบด้านหนึ่งที่ถูกพ่นสัญลักษณ์กากบาทสีแดง แผงกั้นซีเมนต์นั่นสูงจากพื้นเพียงไม่มาก มันไม่แปลกหากรายงานการตรวจสอบที่เกิดเหตุในคดีของกิ่งดาวจะระบุว่าไม่พบร่องรอยการต่อสู้ เพราะต่อให้เก่งกล้าสามารถขนาดไหนแต่ใครที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้รับรองว่าต้องรู้สึกเสียวปลายเท้าและมีโอกาสที่จะตกลงไปง่าย ๆ ได้ทุกคนโดยไม่ต้องมีการต่อสู้ใด ๆ


จากจุดที่ยืนอยู่ถึงพื้นเบื้องล่างนับว่าสูงมาก มันสูงเสียจนอดคิดไม่ได้ว่าคนที่ตกลงไปคงรู้สึกเจ็บแทบขาดใจ ร่างสูงยืนโงนเงน มือสั่นเทาเกาะขอบแผงกั้นซีเมนต์แน่น กระแสลมที่พัดปะทะผิวหน้าวูบหนึ่งทำให้ต้องรีบผละออกให้ไกลจากขอบของดาดฟ้า พลันสายตาก็สังเกตเห็นของรถคันหนึ่งซึ่งไม่เปิดไฟหน้าแล่นเข้ามาจอดที่มุมตึกฝั่งตรงข้าม


ชายหนุ่มปิดไฟฉายในมือรอกระทั่งใครคนหนึ่งเปิดประตูลงจากรถ เห็นว่าร่างที่เป็นเพียงเงาตะคุ่มนั้นกำลังเดินตรงมายังโรงละครร้าง จึงรีบหันกลับวิ่งลงบันไดไปในทันที คันธชาติหอบตัวโยนพลางคลานหาที่กำบังลอบมองร่างในเงามืดที่กำลังเอื้อมไขกุญแจและปลดโซ่ออก


รูปร่างท่าทางนั้นทำให้คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้ชาย เขาผลักประตูกระจกเข้ามาก่อนจะใช้ไฟกำลังมากฉายสาดไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติจึงเดินหายเข้าไปในโถงใหญ่ที่เชื่อมกับส่วนของโรงละคร คันธชาติตัดสินใจไม่ตามไปเพราะไม่รู้ว่าจะมีใครมากับเขาอีกหรือเปล่า ชายหนุ่มหันคลานกลับเข้าไปในห้องเมื่อตอนขามา แม้สายตาจะปรับจนชินกับความมืดได้แต่การคลานอยู่ท่ามกลางข้าวของมากมายก็ทะลักทุเลพอสมควร


ฝ่ามือที่กดลงเต็มแรงบนพื้นต่างระดับทำให้คันธชาติเสียหลักกระแทกเข้ากับขอบตู้ ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นขึ้นจากข้อมือร้าวไปจนถึงข้อแขนข้างที่เพิ่งหายหลังจากถูกรถชน ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะควานหาสิ่งที่มือสัมผัสเมื่อครู่ ในที่สุดก็คว้าได้หนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง แสงจากไฟนีออนติด ๆ ดับ ๆ จากตึกฝั่งตรงข้ามที่สาดกระทบทำให้เห็นลวดลายที่หน้าปก มันไม่ใช่หนังสือหากแต่เป็นสมุดบันทึกที่สภาพยับเยินเกินกว่าจะหยิบมาใช้งานต่างหาก


ชายหนุ่มคลำทางกลับเข้ามาในห้อง นั่งพิงประตูจ้องมองวัตถุที่วางอยู่บนตัก ตัดสินใจเปิดไฟฉายส่องดูให้แน่ ในใจภาวนาขอให้ไม่ใช่สิ่งที่กำลังตามหาแต่สายตากลับบอกว่ามันไม่ผิดแน่ มันต้องเป็นสมุดบันทึกของกิ่งดาวแน่ ๆ แม้หน้าปกจะกรังไปด้วยคราบโคลน แต่เขาก็จำลายดอกไม้นั่นได้ ก็สมุดเล่มนี้เขาเป็นคนเลือกมันกับมือ


คันธชาติกลั้นใจพลิกสมุดไปที่หน้าหนึ่งที่ถูกขั้นด้วยริบบิ้นผ้าแต่กลับพบความว่างเปล่า นิ้วเรียวเกี่ยวกระดาษอีกแผ่นที่ขยับไหวเพราะลมหายใจหนัก ๆ ของตนเอง ทันทีที่หน้ากระดาษถูกพลิกเปิดหยดน้ำตาก็รินลดลงบนดอกไม้แห้งที่ยึดติดกับกระดาษด้วยเทปกาวที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปตามกาลเวลา


‘Millingtonia hortensis Linn.f’ รอยจางของดินสอที่เขียนกำกับยิ่งช่วยย้ำให้มั่นใจ ใครกันจะจำลายมือตัวเองไม่ได้


ชายหนุ่มปาดน้ำตาก่อนจะรีบลุกขึ้นปีนกลับทางเดิม ทันทีที่ออกมาได้เขาก็จัดการให้ทุกอย่างกลับเข้าที่ในตำแหน่งเดิม กำสมุดในมือแน่นก่อนจะเดินอ้อมไปซุ่มดูที่ด้านหน้าโรงละคร เห็นว่ารถคันนั้นยังคงจอดนิ่ง


ครู่หนึ่งแสงแวบวาบของกระจกที่สะท้อนแสงไฟก็ทำให้ต้องขยับตัวแนบกับซอกกำแพง จ้องมองคนที่กำลังดันประตูออกมา นึกบ่นในใจว่าบริเวณนี้มันช่างอับแสงไฟเสียเหลือเกิน คันธชาติมุ่นคิ้วหรี่ตามองใบหน้าที่ถูกปิดบังอำพรางอีกชั้นด้วยแว่นกันแดดและหมวกแก็ป ชายคนนั้นมองซ้ายมองขวาก่อนจะจัดการคล้องโซ่ใส่กุญแจเช่นเดิม จากนั้นจึงรีบเดินไปที่รถก่อนจะขับออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาเป็นใครกันแน่? นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นในหัว ที่นึกได้อยู่ตอนนี้ก็คงเป็นคนที่ถูกพูดถึงแต่ไม่ยักเคยเห็นหน้าคร่าตากันสักครั้ง


“คุณอัศวินอย่างนั้นเหรอ?” แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเขาเข้าไปในนั้นทำไมกัน




...
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 05-03-2015 02:03:13
ตอนที่ 14 กลัว



แท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคอนโด ครู่หนึ่งชายหนุ่มหน้าตามอมแมมก็เปิดประตูลงจากรถก่อนจะพาร่างกายเหนื่อยล้าเข้าไปด้านใน ใครคนหนึ่งที่กำลังยืนรออยู่หน้าลิฟต์ทำให้ดวงตาหม่นเศร้ากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายบังเอิญหันมาสบตากันคันธชาติก็เลื่อนมือข้างที่เจ็บซึ่งยังคงถือสมุดบันทึกแต้ไปด้านหลังพลางเม้มปากแน่น พยายามข่มใจไม่ทำในสิ่งที่ธันวาเรียกมันว่า ‘ทำให้รู้สึกดี’ เขาเดินเข้าไปยืนงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมองตัวเลขเหนือประตูลิฟต์ รอกระทั่งประตูเปิดออกจึงเดินตามกันเข้าไปยืนด้านใน


การไม่มีคำทักทาย ไม่มีรอยยิ้ม ทำให้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในกล่องสี่เหลี่ยมดูยาวนานและทรมานในความรู้สึกของทั้งสองคน แต่คันธชาติกลับคิดว่าน่าจะเป็นเขาคนเดียวมากกว่าที่รู้สึกเช่นนั้น นับถือธันวาจริง ๆ ที่สามารถเอาชนะความรู้สึกของตัวเองได้ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งก็เหมือนนักโทษที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ


เจ้าของใบหน้ามอมแมมรีบก้าวท้าวออกไปทั้งที่ประตูยังไม่ทันจะเปิดดี ในขณะที่ธันวาก็ได้แต่เดินตามออกไปเงียบ ๆ เมื่อถึงห้องของตนเองต่างคนก็ต่างแตะคีย์การ์ดเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้อง


แต่แล้วในที่สุดก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น 


“ห...หายไปไหนมา”


ได้ยินเสียงถอนใจเบา ๆ ตามด้วยเสียงที่เหมือนไม่ได้ยินมานานแสนนาน


“กลับไปบ้านมา พอดีคนที่บ้านไม่สบาย”


“บ้าน...ที่ไหนเหรอ”


ร่างสูงหัวเราะหึจนเจ้าของคำถามต้องหันกลับไปมอง เมื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังหันหลังให้ พลันคิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ‘ใจคอจะหันหลังคุยกันอย่างนี้เนี่ยนะ’ คิดได้ดังนั้นลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกส่งผ่อนจากปลายจมูก ตามด้วยคำพูดห้วน ๆ ไม่น่าฟังเอาเสียเลย “มีอะไรน่าขำ”


“คุณน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับผมแล้วนี่ จะถามไปทำไม”


คันธชาติกำลูกบิดประตูแน่น ไม่คิดว่าคนที่ปกติเงียบขรึมจะประชดประชันได้เจ็บแสบขนาดนี้ ฟันคมกดลงบนผิวปากล่าง กระชากประตูออกแต่แล้วเสียงของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องชะงัก


“ยังเจ็บแขนอยู่หรือเปล่า”


คนถูกถามหันไปจ้องแผ่นหลังกว้าง ‘จะไม่มองหน้ากันจริง ๆ แล้วใช่ไหม’ อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขากำลังทำหน้ายังไงอยู่ คงจะโกรธเคืองกันมากเหลือเกินถึงได้ทำเป็นหมางเมินเช่นนี้ แต่มันก็สมควรแล้วนี่ สมควรจะโดนโกรธ คันธชาตินึกในใจ เพราะสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้มันสร้างความเลวร้ายให้เกิดแก่ความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่น้อย โดนโกรธมันก็สมควรแล้ว


“ไม่...ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด” ชายหนุ่มยักไหล่ กัดฟันแน่นดึงประตูเปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปแล้วกระชากปิดเต็มแรง คันธชาติยืนพิงประตูนิ่ง แผ่นหลังแนบสนิทสัมผัสกับความแข็งของไม้เนื้อหนา ความรู้สึกหงุดหงิดแล่นพล่านไปทั่วร่าง โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องหงุดหงิด


เพียงแค่เห็นท่าทีเย็นชาของอีกฝ่าย…



ร่างสูงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา พยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ในที่สุดสมุดบันทึกในมือก็รั้งสติกลับคืนมาอีกครั้ง วางเรื่องของธันวาไว้ตรงนั้นก่อนจะหันมาสนใจเพื่อนเก่าที่จากกันไปนาน มือเรียวค่อย ๆ พลิกเปิดสมุดอีกครั้งพบว่าที่ด้านในของปกยังคงเหน็บการ์ดใบหนึ่งที่เขียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่สมุดเล่มนี้ผ่านไปอยู่ในมือของอีกคน


“สุขสันต์วันเกิดปีที่ 20 นะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ”


ส่วนที่หน้าแรกมีข้อความสั้น ๆ เขียนด้วยปากกา ‘ไดอารีของหนอนบุ้ง กิ่งจะเขียนอะไรดีนะ’ ลงวันที่ซึ่งเป็นวันเกิดของเจ้าของสมุดบันทึก


คันธชาติเริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก มันบรรยายถึงชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย บางหน้าก็พูดถึงความฝันรวมถึงความคาดหวังของเจ้าของสมุด บางหน้ามีกลอนสั้น ๆ ที่คงแต่งขึ้นตามอารมณ์ในขณะนั้น มีหน้าหนึ่งกล่าวถึงการเริ่มฝึกงานเมื่อเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 รวมถึงการได้พบกับ ‘พี่อาร์ม’ เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มยังคงกวาดตาช้า ๆ ไล่อ่านไปทีละตัวอักษรทีละบรรทัดกระทั่งมาถึงเกือบกลางเล่มซึ่งเล่าถึงการได้เป็นนักแสดงละครเวทีเต็มตัว


“ดีใจจัง ที่ดรามาติก ทเวลฟ์ รับกิ่งเข้าทำงานแล้ว คงต้องยกความดีความชอบให้พี่อาร์มที่ช่วยสอนกิ่ง วันแรกของการทำงานสนุกมาก ๆ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่นี่ยังคงใจดีไม่เปลี่ยน ขอบคุณนะคะ”


“ครั้งแรกที่ได้ยืนต่อหน้าคนเป็นพันมันตื่นเต้นอย่างนี้นี่เอง ทั้งมือทั้งเท้าเย็นไปหมด ขอบคุณพี่อาร์มนะคะสำหรับกำลังใจ ขอบคุณที่ช่วยจับมือกิ่ง”



เป็นอีกครั้งที่อ่านพบชื่อนี้ และจากหน้านี้ก็ไม่มีหน้าไหนที่จะปราศจากชื่อของ ‘พี่อาร์ม’ ไม่ว่าพี่อาร์มเป็นอย่างไร ทำอะไร กิ่งก็จะเขียนบันทึกเก็บเอาไว้


“พี่อาร์มบอกว่ากิ่งเหมือนดอกไม้ สวย หอม น่าทะนุถนอม แต่ในความคิดกิ่ง กิ่งว่าพี่อาร์มก็เหมือนกับผีเสื้อ รักอิสระและคอยจะบินไปในอากาศตลอดเวลา”


“อยากรู้จัง พี่อาร์มชอบใครกันนะ”


“วันนี้ถ่ายโปสเตอร์ละครเวทีเรื่องใหม่ พี่อาร์มแต่งชุดนี้แล้วเท่จัง”


“...ถ้ากิ่งบอกว่ากิ่งชอบพี่อาร์ม พี่อาร์มจะเปลี่ยนใจไหม”


“วันนี้เป็นการแสดงรอบสุดท้าย คุณอัศนัยขึ้นไปยืนบนเวทีกับพวกเราด้วย ได้ยินเสียงปรบมือดังไปทั่วทั้งโรงละครเลย เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ และมันก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ที่ทุกครั้งได้ยืนอยู่บนนี้ข้าง ๆ พี่อาร์ม...”


“...เพิ่งจะรู้...ว่าเขาก็มีผีเสื้อตัวเล็ก ๆ เหมือนกัน มันใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ หรือว่าคนที่พี่อาร์มชอบจะเป็นเขา”


“ใครกันนะที่บอกว่าผีเสื้อต้องคู่กับดอกไม้ จริง ๆ แล้วผู้เสื้อก็ต้องคู่กับผีเสื้อต่างหาก ดอกไม้อย่างเราใครเขาจะมาสนใจ”


“ในฐานะน้องสาวกิ่งควรจะดีใจที่เห็นพี่อาร์มมีความสุข แต่ทำไมมันรู้สึกเจ็บทุกครั้งเวลาเห็นพี่อาร์มอยู่กับเขา”


“น่าใจหายจังที่ดรามาติก ทเวลฟ์ จะปิดตัวแล้ว แทนที่จบการแสดงรอบสุดท้ายของวันนี้จะมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันกลับมีแต่น้ำตากับเสียงสะอื้น ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกไหมนะ พี่อาร์ม...”


ตาคมยังคงไล่อ่านข้อความในแต่ละบรรทัดที่เขียนเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตหนึ่งของหญิงผู้เป็นที่รัก หลังจากโรงละครที่รับเธอเข้าทำงานปิดตัวลง เธอก็ยังคงไล่ตามความฝัน หน้าหนึ่งเล่าถึงตอนที่เธอสามารถสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาโทได้ การกลับเข้าไปใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย รวมถึงการได้พบกับใครคนหนึ่งอีกครั้ง


“พี่อาร์ม” ริมฝีปากบางกล่าวอย่างแผ่วเบาเมื่อพบชื่อนี้อีกครั้ง


ปลายนิ้วไล้ไปตามรอยปากกากดหนักที่บรรจงเขียนเป็นตัวอักษรอย่างงดงาม ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะสุขหรือจะทุกข์เพียงใด แต่กิ่งดาวก็เขียนมันด้วยความมั่นใจและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเอง


“ขอโทษนะ ทั้งที่ไดอารีเล่มนี้เป็นของที่บุ้งให้ แต่กิ่งกลับบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับบุ้งน้อยมาก แถมวันนี้กิ่งยังทำให้บุ้งต้องเสียใจ กิ่งรู้นะว่าบุ้งต้องเสียใจที่กิ่งพูดออกไปแบบนั้น ขอโทษ...ที่กิ่งไม่สามารถคิดกับบุ้งมากกว่าเพื่อนได้ กิ่งอยากเป็นเพื่อนกับบุ้งนะ เพราะสำหรับกิ่ง เพื่อนน่ะ เป็นแล้วเลิกยาก ไม่เหมือนเป็นคนรักที่พอเลิกรากันไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นเพื่อนอีกได้ไหม...”


ชายหนุ่มถอนใจเฮือก เมื่อภาพในอดีตถูกฉายซ้ำอีกครั้ง วันนั้นรู้สึกเจ็บอย่างไร ทุกครั้งที่นึกถึงก็เจ็บไม่ต่างกัน


สมุดบันทึกเล่มหนาถูกปิดลงเมื่อสิ้นสุดตัวอักษรตัวสุดท้าย นับจากนี้มีแต่กระดาษที่ว่างเปล่า คันธชาติเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ด้วยความหวังที่ว่าหากตื่นลืมตามาอีกครั้งจะพบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝัน


...


ความเจ็บหน่วง ๆ ที่แผ่ซ่านไปทั้งท่อนแขนปลุกคนที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาให้ตื่นขึ้น ทันทีที่ขยับพลิกตัวความเจ็บก็ทวีความรุนแรงขึ้น ชายหนุ่มประคองตัวลุกขึ้นพร้อมกับนึกทบทวนสาเหตุของการที่เป็นอยู่ และนั่นทำให้รู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ฝัน สมุดบันทึกเล่มเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของ ‘พี่อาร์ม’ ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ คันธชาติลุกขึ้นก่อนจะเดินโงนเงนหายเข้าไปในห้อง พักใหญ่ ๆ ก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดใหม่และหน้าตาที่ดูจะสดชื่นขึ้นหลังจากได้อาบน้ำชำระล้างเอาความเหนื่อยล้าออกไป


ร่างสูงกอดอกเดินงุ่นง่านไปรอบห้อง ดวงตายังคงจ้องมองสมุดบันทึกรีที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งที่คาดหวังไว้ว่าจะพบเบาะแสอะไรบ้างจากของที่เพิ่งหาเจอ แต่มันกลับไม่มีข้อมูลอะไรเลยนอกจากเรื่องของ ‘พี่อาร์ม’


“ไม่สิ!” คันธชาติโพล่งขึ้นก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือ พรวดพราดออกจากห้องไป รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ตรงหน้าสาวน้อยเจ้าของนัยน์ตาโศกเสียแล้ว...


อารตีรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้พบกับคันธชาติที่มหาวิทยาลัย เมื่อชายหนุ่มแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยด้วยเธอจึงพาเขาขึ้นไปนั่งหลบมุมที่หอสมุดเช่นเคย


“พี่บุ้งมีอะไรจะคุยกับรตีเหรอคะ หรือว่าจะมาถามหาอาจารย์ธันวา”


คันธชาติขมวดคิ้ว นอกจากชื่อ ‘พี่อาร์ม’ ก็มีชื่อนี้อีกชื่อที่ตามมาหลอกหลอนตลอดเวลา “หือ? พี่จะถามหาเขาทำไมกัน”


“อ้าว ไม่รู้เหรอคะ พักนี้เห็นมีแต่คนถามหา ทั้งผู้กองเก่งกาจ พี่พุดดิ้งแล้วก็พี่แก้ว”


คนฟังเป่าปากโล่งอกคิดว่าจะมีแต่ตนเองคนเดียวที่ถูกถามคำถามนี้


“ไม่ใช่หรอก พี่ไม่ได้มาถามหาเขา แต่จะมาถามหาคนอื่น”


“ใครเหรอคะ”


คันธชาตินิ่งนึก จำได้ว่ามันเป็นคำถามที่ตั้งใจจะถามอีกฝ่ายนานแล้ว แต่เพราะอุบัติเหตุคราวนั้นกลับทำให้ลืมไปเสียสนิท


“คุณอัศวินน่ะ รตีเคยเจอไหม เขาหน้าตาเป็นยังเหรอ ใคร ๆ ก็พูดกันว่าคุณพ่อของรตีมีลูกชายสองคน คือคุณอัศวินกับคุณอัศนัย แต่ตั้งแต่ที่พี่เข้าไปทำงานในนาฏยกาลก็ยังไม่เคยพบเขาสักครั้ง”


“อืม...รตีเคยเห็นแต่ตอนเธอสองคนเด็ก ๆ นะคะ คิดว่าโตมาก็คงไม่มีอะไรต่าง”


“หมายความว่ายังไง ที่ว่าไม่มีอะไรต่าง”


“คุณอัศวินกับคุณอัศนัยไงคะ คุณอัศวินเธอก็คงหน้าตาเหมือนคุณอัศนัยตอนนี้ ก็เธอเป็นฝาแฝดกันนี่คะ”


“ฝ...ฝาแฝด”


“ใช่ค่ะ เหมือนน้องปิงกับน้องน่านไง”


คำตอบนั้นทำเอาเจ้าของคำถามนิ่งงัน รู้สึกชาไปทั้งตัว ที่แท้อัศวินกับอัศนัยก็เป็นฝาแฝดกันหรอกหรือนี่ แล้ว ‘เขา’ ที่กิ่งเขียนไว้ในไดอารีล่ะคือใครกัน ‘เขา’ ที่มีผีเสื้อตัวน้อย ๆ อีกตัว


“อุ้ย...” ชายหนุ่มอุทานเมื่อมือบางเขย่าที่แขน


“เจ็บเหรอคะพี่บุ้ง รตีขอโทษค่ะ ไหนว่าหายดีแล้วไง”


“พอดีพี่ซนไปหน่อยน่ะ” คันธชาติทำทะเล้นพลางลูบแขนตัวเองป้อย ๆ ในใจยังคงนึกจับต้นชนปลายเรื่องทั้งหมด


“ไปหาหมอไหมคะ รตีไปเป็นเพื่อน”


ชายหนุ่มส่ายหน้าเหมือนเด็ก ๆ ที่พอพูดถึงหมอก็ทำแข็งแร็งขึ้นมาในทันที “แค่นี้สบายมาก ไกลหัวใจตั้งเยอะ”


...


ไกลหัวใจตั้งเยอะ...แต่ความเจ็บก็เยอะไม่แพ้กัน สุดท้ายแล้วคันธชาติก็จำต้องพาตัวเองมาที่โรงพยาบาล หลังจากให้หมอตรวจโดยละเอียดก็ออกมานั่งรอชำระเงินและรับยาที่ด้านนอก เพียงไม่นานเสียงขานชื่อก็ดังขึ้น ร่างสูงเดินไปจ่ายเงินก่อนจะย้ายไปรับยาที่ช่องข้าง ๆ กัน เมื่อฟังเภสัชกรอธิบายเรียบร้อยเขาก็คว้าถุงยาเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้คิดอะไรเพลิน ๆ พลันสายตาก็สังเกตเห็นคนคุ้นหน้ากำลังประคองหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินหายเข้าไปยังอีกฝั่งหนึ่ง คันธชาติจึงรีบผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินตามไปทันที


“หายไปไหนแล้ววะ” บ่นกับตัวเองพลางเกาหัวแกรกเมื่อเดินมาถึงแผนกสูติ-นรีเวช มองผ่านประตูกระจกเข้าไปก็ไม่เห็นจะมี กำลังจะหมุนตัวกลับก็ต้องชะงักเมื่อคนที่เดินตามอยู่เมื่อครู่ จู่ ๆ ก็มายืนอยู่ตรงหน้า


“คุณมาทำอะไรที่นี่” ธันวาถามขึ้น


“ม...มา...มาหาหมอ เออ...ใช่มาหาหมอ”


“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” พูดพลางมองถุงยาในมืออีกฝ่ายกับแขนที่พันผ้ายืดทำให้เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาหลอกกันแน่ ๆ


“ไม่เป็นไร กำลังจะกลับแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นกลับด้วยกันสิ ผมก็กำลังจะกลับ...” พูดยังไม่ทันจบสาวน้อยนางหนึ่งก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาเกาะแขน


“พี่ธัน อยู่นี่เอง มีนหาตั้งนาน”


“ระวังหน่อยสิ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ เกิดสะดุดล้มไปจะทำยังไง” เจ้าของร่างสูงปราม


“มีนขอโทษค่ะ มีนลืมตัว” พูดมือเล็กก็ลูบท้องตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่กำลังยืนทำหน้าไม่ถูก “แล้ว...นี่...ใครเหรอคะ”


“นี่...พี่บุ้ง อยู่คอนโดเดียวกันน่ะ”


‘อยู่คอนโดเดียวกัน’ เจ็บไหมล่ะบุ้ง ขนาดเป็นเพื่อนเขายังไม่นับเลย  เจ้าของชื่อยิ้มแห้ง ๆ

 
“สวัสดีค่ะพี่บุ้ง”


“ส...สวัสดีครับคุณ...”


“มีนค่ะ” ส่งยิ้มหวานก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับคนตัวสูง “เอ้อ! พี่ธันคะ มีนจะบอกว่าตั้มมาถึงแล้วค่ะ มีนกลับก่อนนะคะ”


“อืม...” ธันวาพยักหน้า “แล้วถ้าวันไหนตั้มไม่ว่างพามาก็บอกพี่นะ อย่ามาคนเดียวล่ะ เกิดเป็นลมหน้ามืดไปจะแย่”


“รับทราบและพร้อมจะปฏิบัติตามค่ะอาจารย์” สาวน้อยทำตะเบ๊ะล้อเลียน “ถ้าอย่างนั้นมีนไปก่อนนะคะ ไปก่อนนะคะพี่บุ้ง”


คันธชาติที่ยังคงงง ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แต่โบกมือลาตามอีกฝ่าย มองดูร่างเล็กที่กำลังจะเดินพ้นประตูบานเลื่อนอัตโนมัติของโรงพยาบาลออกไป


“กลับเลยไหม”


“อือ...เอ้อ...จริง ๆ ผมกลับเองก็ได้นะ คุณไปส่งเธอเถอะ”


“เขามีคนมารับกลับไปแล้ว ผมเองก็จะกลับคอนโดเหมือนกัน”


“แต่ผมกลับแท็กซี่ได้”


“แขนคุณเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปรถผมนี่แหละ ยังไงเราก็อยู่คอนโดเดียวกัน”


คันธชาติสบตาคนตรงหน้า ยอมรับไมตรีจิตที่แสนแห้งแกร็นนั้นเอาไว้ก่อนจะเดินตามเจ้าใบหน้าเรียบเฉยไปที่รถ แล้วมันก็เป็นไปตามคาด ตลอดทางไร้ซึ่งเสียงพูดคุย พื้นที่ของแลนด์โรเวอร์คันใหญ่ขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับสุ่มไก่แคบ ๆ ที่ลูกคนงานในฟาร์มเอาไปแกล้งครอบขังเจ้าลูกแพะสองตัวไว้ด้วยกัน


น่าอึดอัดจนอยากจะเปิดกระจกไปรับมลพิษข้างนอกให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้...


....


ธันวาเดินตาม ‘คนที่อยู่คอนโดเดียวกัน’ มาจนถึงหน้าห้อง รอจนอีกฝ่ายเตะคีย์การ์ดเปิดประตูก็แทรกตัวตามเข้าไปด้วย


“คุณเข้ามาทำไม” เจ้าของห้องหันมาถามอย่างแปลกใจ


“จะเข้ามาจับผู้ร้ายปากแข็ง” ร่างสูงกล่าวก่อนจะปิดประตู


“พูดอะไรของคุณ” กำลังจะเดินไปนั่งที่โซฟาแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้


“บอกมาสิว่าที่ผ่านมาคุณไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งเรื่องที่ผมหายหน้าไป ทั้งเรื่องที่ผมทำเย็นชาใส่ ตอบสิว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลย”


“ผมต้องรู้สึกอะไร? อ้อ...ถ้าจะรู้สึกก็คงรู้สึกว่ามันดีแล้ว แล้วก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ เพราะเรามันก็เป็นแค่คนที่อยู่ร่วมคอนโดเดียวกัน”


ธันวาจ้องมองใบหน้านิ่งไร้รอยยิ้ม ทั้งที่ปกติเจ้าตัวมักจะแสดงให้รู้ว่าคิดหรือรู้สึกอย่างไร แต่วันนี้กลับเดาไม่ออกจริง ๆ


ครู่หนึ่งริมฝีปากบางก็เผยอขึ้นอีกครั้ง "ลองคิดดูสิ ถ้าผมตายเพราะรถชนคราวนั้น แล้วเราเป็นเพื่อนกัน มันเท่ากับว่าคุณเสียเพื่อนไปหนึ่งคน และยิ่งถ้าผมเป็นคนรักของคุณ แล้วผมไม่สามารถลืมตาขึ้นมามองหน้าคุณได้อีก คุณคงต้องเสียใจมาก ถ้าทำใจได้เร็วก็ดีไป หรือถ้าต้องใช้เวลานานกว่าจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็เท่ากับว่าคุณเสียเวลาจมปรักอยู่กับสิ่งที่เรียกคืนไม่ได้ ต้องเสียเวลากับการเริ่มนับหนึ่งใหม่กับใครสักคน สู้เป็นแค่คนรู้จักกันดีกว่า หรือถ้าไม่รู้กันกันเลยได้ก็ยิ่งดี คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม"


“ไม่บุ้ง ผมไม่เข้าใจ”


“ธัน...” คันธชาติเรียกอย่างแผ่วเบา “ผมรู้ว่าคุณเข้าใจทุกอย่าง คุณเป็นคนฉลาด”


เจ้าของชื่อส่ายหัวดิก นี่ใช่เวลามาชื่นชมกันที่ไหน “ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น” กล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นตรึงต้นแขนทั้งสองข้างเอาไว้ “หรือที่จริงแล้วคุณรังเกียจผม บอกผมสิ ถ้าคุณบอกว่าคุณรังเกียจผม ผมจะไปทันที”


คนฟังเม้มปากแน่น คำถามนี้ทำให้จำต้องเบือนหน้าหนี  'รังเกียจอย่างนั้นหรือ' คันธชาตินึกแปลกใจตัวเอง แปลกใจ...ในสัมผัสของอีกคน ทั้งที่ก่อนหน้านี้กับอัศนัยมันเป็นความรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก แต่ทำไมพอเป็นธันวากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น แล้วแบบนี้จะใช้คำว่ารังเกียจได้อย่างไรกัน


‘ทำไมไม่พูดออกไปวะ แค่พูดออกไปว่ารังเกียจ ทุกอย่างก็จะจบ’


“คุณไม่ตอบ แสดงว่าคุณไม่รังเกียจ” ร่างสูงกล่าวพลางจ้องลึกลงไปในดวงตา “ถ้าคุณไม่รังเกียจก็โปรดจงรู้เอาไว้ เผื่อเวลาที่คุณตัดสินใจทำอะไร จะได้รู้ว่ามีผมที่เป็นห่วง”


คนฟังถอนใจยาวก่อนจะกล่าวเพียงสั้น ๆ “ผมถึงบอกไง ว่าผมไม่อยากเป็นสาเหตุให้คุณต้องเป็นแบบนั้น”


ธันวาฟังแล้วโคลงศีรษะ นี่มันทฤษฎีอะไรกัน ทฤษฎีที่ว่าด้วยการไม่ผูกพันจะทำให้ไม่มีวันพบกับความสูญเสียอย่างนั้นหรือ "ที่คุณพูดมาน่ะมันคือข้ออ้าง ที่แท้คุณก็แค่คนขี้ขลาดที่กลัวการจากกันโดยไม่ได้ร่ำลาเท่านั้นเอง"


"ใช่ ผมขี้ขลาด ตั้งแต่กิ่งจากไปผมก็กลายเป็นคนขี้ขลาด" คันธชาติหัวเราะขื่น ๆ ก่อนจะผละออกจากการสัมผัสของคนตรงหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง


"บอกผมมาซิว่าอะไรทำให้คุณกลัว เรื่องการเสียชีวิตของกิ่งดาวมันมีอะไรมากกว่าที่ผม ผู้กองเก่งกาจหรือใคร ๆ รู้ใช่ไหม คุณยังมีอะไรที่ปิดบังพวกเราอีก" เจ้าของร่างสูงเดินมาขวางเอาไว้ ดันอีกฝ่ายให้ติดผนังจะได้หนีไปไหนไม่ได้อีก


"ม...ไม่มี ผมไม่มีอะไรปิดบังทั้งนั้น”  ริมฝีปากบางกล่าวพลางหลบหนีสายตาที่มองมา


“ไม่จริง คุณยังมีเรื่องที่ปิดบังพวกเราอยู่”  ธันวาแตะมือเบา ๆ ที่ข้างแก้มก่อนจะรั้งปลายคางมนให้คนตรงหน้าหันมาสบตากันอีกหน "มันทำให้คุณกลัว กลัวว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ระหว่างเรา คุณกลัวว่าคุณจะเป็นแบบกิ่งดาวใช่ไหม”


“ผมไม่ได้ปิด แต่ผมไม่รู้อะไรเลยต่างหาก ไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไร ไม่รู้...ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” คันธชาติสบตานิ่งก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ เพื่อซ่อนน้ำตาที่จู่ ๆ ก็พร้อมใจกันเอ่ออยู่ที่ขอบตาร้อนผ่าว


ธันวาจ้องมองเปลือกตาใสก่อนจะโน้มหน้าเข้าหาจนหน้าผากแนบชิดก่อนจะกระซิบแผ่วเบา “ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณเผชิญอยู่มันจะร้ายแรงแค่ไหน แต่ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ทุกวันเป็นเหมือนวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณอย่ากลัวอีกเลยนะ ผมแสดงความรู้สึกของผมอย่างที่คุณเคยบอกแล้ว คุณล่ะอยากจะแสดงความรู้สึกของคุณบ้างไหม เหนื่อยก็บอกว่าเหนื่อย ท้อก็บอกว่าท้อ กลัวก็บอกว่ากลัว อยากร้องไห้ก็ปล่อยมันออกมา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงผมก็จะอยู่ตรงนี้”


คนฟังยังคงยืนหลับตานิ่งก่อนจะขยับเข้าหาซบหน้าลงบนบ่าของอีกฝ่าย ความเงียบเหมือนหมอกที่ฟุ้งกระจายโอบล้อมสองร่างเอาไว้ ธันวาไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงแต่แตะมือลงที่แผ่นหลังของคนตรงหน้าก่อนจะลูบขึ้นลงเบา ๆ แทนคำพูดปลอบประโลมนับร้อยนับพันคำ หวังเพียงว่ามันจะทำให้อีกคนสบายใจขึ้น


...



ผักบุ้งสดพูนจานถูกเทลงในกระทะร้อนฉ่า เกิดเป็นไฟพวยพุ่งจนหลายคนต้องหันกลับไปมองอย่างหวาด ๆ เสียงผัดด้วยตะหลิวดังอยู่เพียงประเดี๋ยว ชายวัยกลางคนสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขาก๊วยที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟก็เทผักบุ้งสลดไฟในกระทะใส่จานก่อนจะให้เด็กในร้านเดินไปเสิร์ฟ เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่ก้นซอยก็ยังคงมีคนแน่นทุกโต๊ะ สาวน้อยละสายตาจากเปลวไฟที่ลุกท่วมหันกลับมามองร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย


"รตีกลัวพี่บุ้งจะโกรธจังเลยค่ะ"


"โกรธทำไมกัน นี่น่ะถือว่าเป็นการช่วยให้อะไรมันง่ายขึ้นนะคะ" พุฒิพงศ์กล่าวก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ชิ้นโตเข้าปาก


“นั่นแหละค่ะ นี่น่ะเรียกว่ารวมหัวกันหลอกเลยนะคะ” อารตีเท้าคางพลางใช้มือที่เหลือจับช้อนเขี่ยข้าวในจาน นึกถึงแผนการที่ร่วมกันก่อขึ้นในระยะกว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา


“อย่าคิดมากเลยครับคุณรตี แบบนี้น่ะเขาเรียกว่าช่วยสงเคราะห์ ไม่ได้หลอกอะไรเลย ดู ดร.ธันวาซิ ไม่เห็นจะขัดสักคำ" นายตำตรวจหนุ่มกล่าวพร้อมกับตักกับข้าววางในจานให้


“ใช่ค่ะ คิดเสียว่าช่วยผู้ชายปากแข็งสองคนให้ได้กัน"


“หืม?/ฮ๊ะ!” พากันมองคนพูดเป็นตาเดียว


“อุ้ย! ขอโทษค่ะ ลิ้นรัวไปหน่อย คือเจ๊จะบอกว่า คิดเสียว่าช่วยให้ผู้ชายปากแข็งสองคนให้ได้ปรับความเข้าใจกันค่ะ”


“อ่อ...แล้วไป” เก่งกาจถอนหายใจโล่งอก


“แต่สุดท้ายถ้าเขาได้กันโดยละม่อม เราก็ฟินไปตามระเบียบเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอคะผู้กอง”


คำพูดทิ้งท้ายของกะเทยร่างอวบทำเอาผู้ร่วมขบวนการพากันส่ายหน้า...



“ระวังโดนระเบิดลงด้วยก็แล้วกันเจ๊”



...



ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: crystal_on ที่ 05-03-2015 03:07:09
ชอบเรื่องนี้มากเลย หนูบุ่งบุ๊งน่ารักมากอ่ะ  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 05-03-2015 05:25:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 05-03-2015 05:30:22
น่ารักกกกกกกก. บุ้งกลัยอะไรหรือเปล่า ธันเค้ารุกขนาดนี้แล้วววว ยอมๆๆเข้าไปให้พวกเราได้ฟินกันเถอะ 5555.  รอเรื่องกระจ่างต่อไป :3123:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 05-03-2015 09:24:31
มาทีเดียวสองตอนควบ ในช่วงเวลาของการหลับไหลซะด้วย
ตื่นเช้ามาเจอนี่ รู้สึกได้รับแสงสว่างอันสดใสเลยทีเดียว
 คดีที่แสนซับซ้อนนี่ กลายมาเป็นเรื่องของแฝดอีกแล้ว
ทีแรกเอนเอียงไปว่าอัศนัยเป็นคนร้ายแต่ตอนนี้เริ่มลังเลเพราะอัศวินโผล่มานี่แหละ
ทำไมข่าวว่าหายตัวไป แต่กลับมาโผล่ใกล้ๆนี่เอง
ความลับของอัศนัยนี่จะใช่เรื่องพฤติกรรมซาดิสม์รึเปล่า
หรือจะเป็นเรื่องอื่น?
สรุปแล้วอันอยู่เพราะรักหรืออยู่เพราะมีเงื่อนไขกันแน่
อยากจะแสดงความคิดเห็นตามที่ตัวเองคิดแต่กลัวจะกลายเป็นการสปอยที่ผิดๆ
รอคนเขียนมาเฉลยดีกว่า ตอนนี้ให้ความสนใจคดีเป็นลำดับรอง
สิ่งที่ให้ความสนใจเป็นอันดับแรกกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเอกมากกว่า
ไอ้เราก็นึกว่าอาจารย์ปลงตกแล้วเลยทำเฉยชา
ที่ไหนได้ เจ้าเล่ห์ซะงั้น มีแผนการณ์นี่เอง
น้องมีนนี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอะไรกัน ชื่อเป็นเดือนมาเลย เดือนนี้ด้วยสิ
อาจารย์จะมีหลานแล้ว คงไม่ต้องผลิตลูกแล้ว
หนอนบุ้งเค้ากลัวเรื่องความผูกพัน อาจารย์ต้องจัดการให้ได้นะ
ตอนหน้าก็ 15 แล้วนะคะ อย่าเพิ่งจบเลย ขอให้ขึ้นหลัก 2 หรือ 3 ไปเลยยิ่งดีค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 05-03-2015 09:46:50
ดร.ธันนี่มีฝ่ายสนับสนุนเยอะนะเนี่ย
ระวังน้าาาถ้าบุ๊งรู้เรื่องเข้าทีนี้ละงาน
เข้ากันทุกคนเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 05-03-2015 15:24:58
ชอบเจ้พุดดิ้งจัง 555 ช่วยให้คนปากแข็งได้กัน อุ้ย ปรับความเขัาใจกัน
บอกตรงๆ ว่ายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่ก็ตัดไปได้หลายคนแล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 05-03-2015 16:07:41
ซับซ้อนนนจังงง ตกลงใครคือคนร้าย :ling3:
อ่านไปลุ้นไป อล้วอัศวินละเกี่ยวข้องยังไง  :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-03-2015 18:55:19
มาจุใจมาก 2 ตอนเลย
ช่วยกันลุ้นให้ ผช 2 คนได้กันอีกแรงค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 05-03-2015 19:25:15
ลุ้นแล้วลุ้นอีกเดาไม่ถูกเลยว่าใครเป็นคนร้าย

หนอนบุ้งเลิกปากแข็งได้แล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 05-03-2015 19:44:27
#ทีมธันวา มายกแก๊ง อิอิ~
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 05-03-2015 20:11:34

สนุกมากๆ ชอบที่สุด

^___^

 :L2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-03-2015 23:10:35
ตอนที่ 15  เสียงของหัวใจ



“เคยอ่านเจอในหนังสือค่ะ เขาบอกว่า...

ถ้าเราฟังเพลงไหนซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้สึกเบื่อ

นั่นแแสดงว่าเราตกหลุมรักเพลงนั้นเข้าเสียแล้ว...”





“...แล้วถ้าเราอยากฟังเสียงของใครบางคนบ่อย ๆ

อยากเห็นหน้าเขาทุกวันล่ะคะ

นั่นแปลเรากำลังตกหลุมรักเขาอยู่หรือเปล่า”



เสียงนักจัดรายการวิทยุเงียบลงก่อนที่เสียงดนตรีคลอตามจะค่อย ๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง


หากเธอรู้ใจ หากเธอรู้ตัว เธอจะเข้าใจกันรึเปล่า

ก็ไม่รู้เลย แต่ต้องพูดไป และจะมาเพื่อกวนใจคำถามเดียว

...แค่อยากรู้รังเกียจกันไหม ขอให้มันอย่าเป็นแบบนั้นเลย...

อยากได้ยินเสียงคนที่คุ้นเคย อยากจะเจอคนเดิมที่เคยที่เจอในเมื่อวาน…



“บอกมาสิว่าที่ผ่านมาคุณไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งเรื่องที่ผมหายหน้าไป ทั้งเรื่องที่ผมทำเย็นชาใส่ ตอบสิว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเลย”

“หรือที่จริงแล้วคุณรังเกียจผม บอกผมสิ ถ้าคุณบอกว่าคุณรังเกียจผม ผมจะไปทันที”



หากพรุ่งนี้ทุกอย่างหมุนไป…

“ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณเผชิญอยู่มันจะร้ายแรงแค่ไหน แต่ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ทุกวันเป็นเหมือนวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน คุณอย่ากลัวอีกเลยนะ ผมแสดงความรู้สึกของผมอย่างที่คุณเคยบอกแล้ว คุณล่ะอยากจะแสดงความรู้สึกของคุณบ้างไหม เหนื่อยก็บอกว่าเหนื่อย ท้อก็บอกว่าท้อ กลัวก็บอกว่ากลัว อยากร้องไห้ก็ปล่อยมันออกมา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงผมก็จะอยู่ตรงนี้”


...ฉันคนหนึ่งจะยืนตรงที่เก่า

อยู่เพื่อบอกเธอ คำที่ค้างใจ ต่อให้มันจะไม่มีวันเป็นจริงเลยก็ตาม…



ร่างสูงพลิกตัวนอนหงายพลางถอนหายใจเบา ๆ เงี่ยหูฟังเสียงเพลงที่ดังมาจากวิทยุก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง


1-2 มาวันนี้คันธชาติแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง อยู่กับสมุดบันทึกเล่มเก่าและคำพูดของใครบางคน นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้มีนัดจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแต่งเนื้อแต่งตัวและไม่ลืมที่จะหยิบไดาอารีของกิ่งดาวติดมือไปด้วยก่อนจะออกจากห้อง


ตั้งใจจะเรียกแท็กซี่ที่หน้าคอนโดเพื่อไปให้ทันเวลานัด แต่ทุกครั้งที่รีบแบบนี้แท็กซี่ก็ดันไม่ผ่านมาสักคันสิน่า…


ตาคมจ้องมองแลนด์โรเวอร์คันโตที่แล่นเข้ามาจอดเทียบ และเมื่อกระจกหน้าต่างฝั่งคนนั่งถูกลดลงก็ได้พบหน้าใครคนหนึ่งอีกครั้ง


“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวผมไปส่ง”


“รู้เหรอว่าผมจะไปไหน”


“วันนี้คุณนัดผู้กองเก่งกาจไว้ไม่ใช่เหรอ”


คันธชาติถอนใจ ไอ้กาจนะไอ้กาจ อุตส่าห์สั่งไว้แล้วว่าไม่ให้บอกใคร


“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวไปไม่ทันเวลานัดนะ”


คนฟังถอนใจอีกเฮือกก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ น่าแปลกที่วันนี้ที่เดิมที่เคยนั่งกลับไม่ได้ทำให้อึดอัดเหมือนเมื่อวันก่อน นั่นคงเป็นเพราะคนข้าง ๆ ที่ ‘พยายาม’ ชวนคุยตลอดทางทั้งที่ปกติก็พูดน้อยเสียเหลือเกิน


หลังจากนั้นพักใหญ่ ๆ ธันวาก็ขับรถเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง


“ขอบคุณมากนะที่มาส่ง” พูดจบก็ปลดเข็มขัดเปิดประตูลงจากรถ กำลังจะเดินเข้าไปในร้านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเจ้าของรถเปิดประตูตามลงมาด้วย


“แล้วนี่คุณจะไปไหน”


“ก็จะเข้าไปด้วยไง” ธันวาตอบซื่อ ๆ


“จะเข้าไปทำไม ผมจะคุยกับไอ้กาจ คุณจะไปทำธุระที่ไหนก็ไปเถอะ”


“ผมก็มีเรื่องจะคุยกับผู้กองเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว” พูดจบก็เดินนำเข้าไปทิ้งให้คันธชาติได้แต่มองตามอย่างหงุดหงิด


สองคนเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก พากันชะเง้อคอมองหาคนที่นัดเอาไว้ ในที่สุดก็พบเก่งกาจในชุดลำลองนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง เมื่อต่างคนต่างนั่งลงตรงหน้านายตำรวจหนุ่มคันธชาติก็หันไปแขวะคนข้าง ๆ


"รีบทักทายกันเสียสิ จะได้รีบกลับ”


“อะไรกันวะ มาถึงก็ทำอารมณ์เสียเลย” พูดจบก็ยิ้มให้คนมาดนิ่งที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรกับเขาเสียเลย


“อารมณ์เสียแกนั่นแหละ อุตส่าห์กำชับแล้วว่าไม่ให้บอกคนอื่น”


“คนอื่นที่ไหนวะ คนกันเองทั้งนั้น จริงไหมครับด็อกเตอร์”


ธันวายิ้มบาง ๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น มองคนข้าง ๆ ที่ยังคงหงุดหงิดไม่หาย


“ว่าแต่แกเถอะ มีอะไรถึงได้นัดฉันมาวันนี้”   


เมื่อเห็นว่าธันวาคงไม่กลับแน่ ๆ คันธชาติจึงตัดสินใจพูดธุระของเขา


"มีอะไรจะให้ดู" พูดจบก็หยิบสมุดบันทึกเยิน ๆ ออกมาวางบนโต๊ะ


"อะไรวะ"


"สมุดบันทึกของกิ่ง"


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้ายกสมุดบันทึกหน้าปกสีทึมขึ้นเปิดอ่านไปเรื่อย ๆ กระทั่งจบที่บรรทัดสุดท้าย


"ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่หว่านอกจากเรื่องที่กิ่งไม่รับรักแก”


‘ไม่ต้องตอกย้ำได้ไหม’ คนถูกพาดพิงมองตาขวาง


“กับเรื่องนายอาร์มอะไรนั่น แล้วนี่แกไปเอามาได้ยังไง ไหนบอกว่ามันหายไป" พูดจบเก่งกาจก็ส่งให้ธันวาอ่านบ้างแต่คันธชาติมือไวคว้ากลับมาไว้กับตัวได้ทัน


"ฉันได้มาจากโรงละครร้างในนาฏยกาล" พูดหน้าตาเฉยในขณะที่คนฟังพากันตกใจ


"คุณแอบเข้าไปที่นั่นมาเหรอ" ธันวาโพล่งขึ้น


"อือ ทำไมล่ะ ในเมื่ออยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือสิ"


"กลัวจะได้ลูกปืนแทนน่ะสิไอ้บุ้งเอ๊ย นี่มันข้อหาบุกรุกเลยนะโว้ย" นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ


"เอาเถอะน่า ไหน ๆ ก็ได้มาแล้ว แกอย่าบ่นนักเลย"


"แล้วยังไง อุตส่าห์ได้มาแต่ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรสักอย่าง"


ธันวามองสองคนที่ยังคงเถียงกันไม่เลิกก่อนจะหยิบสมุดบันทึกที่คันธชาติวางไว้ข้างตัวมาเปิดอ่าน


"ฉันเจอใครก็ไม่รู้ด้วยว่ะ”


“ใครวะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน มันมืดมากก็เลยเห็นหน้าไม่ชัด แต่จำรถได้”


ยังไม่ทันจะเล่าต่อ เก่งกาจก็ยกมือห้ามก่อนล้วงหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ปลายนิ้วแตะเลื่อนภาพบางอย่างที่ถูกส่งมา ในขณะที่สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ร.ต.อ.เก่งกาจปิดภาพนั้นลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นกดโทรออก และเมื่ออีกฝั่งรับสายทั้งธันวาและคันธชาติก็ได้ฟังน้ำเสียงจริงจังแบบที่ไม่ได้ฟังมาก่อนจากปากของคนตรงหน้า


“จับตาดูไว้ก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งให้เป้าหมายรู้ตัว” เงี่ยหูฟังสักพักก่อนจะกล่าวต่อ “อืม...รอฟังคำสั่งจากผมอีกที”
และเมื่อกดวางสายลมหายใจหนักก็ถูกผ่อนผ่านปลายจมูกทันที


“มีอะไรหรือเปล่าวะ ถ้าแกยุ่ง เอาไว้คุยกันวันหลังก็ได้นะ”


คนฟังส่ายหน้าพลางเปิดรูปที่มีคนส่งมาให้ “ลูกน้องฉันเจอตัวไอ้คนที่มันขับรถชนแกเแล้วนะ” พูดจบก็วางโทรศัพท์ลงที่กลางโต๊ะ


เมื่อได้ฟังดังนั้นคันธชาติก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ลมหายใจอุ่น ๆ ของคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่ลดลงบนผิวแก้มกลับทำให้ต้องละสายตาพร้อมกับเบี่ยงหน้าออกมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ


“แกคุ้นหน้าเขาไหม”


“ใครวะ” คิ้วหนาขมวดมุ่นก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้คนข้าง ๆ อยากดูนักก็เอาไปเลย


“ไม่คุ้นเลยเหรอ”


“ไม่ว่ะ ฉันรู้จักเขาเหรอ” คันธชาติเกาหัว พยายามนึกว่าตนเองเคยเจอผู้ชายคนนี้มาก่อนหรือเปล่า


“ผมจำเขาได้” น้ำเสียงแผ่วเบาของธันวากลับเรียกสายตาสองคู่ให้มองมา “เขาคือคนที่ตามดูคุณกับคุณอัศนัยที่ร้านอาหารวันนั้น”


คันธชาติจ้องหน้าคนพูดก่อนจะหันไปหาเพื่อนรักเพื่อจะขอคำยืนยัน  ในขณะที่เก่งกาจเองก็พยักหน้าสนับสนุนในสิ่งที่ธันวาพูดจบไปเมื่อสักครู่


“แล้วเขาจะมาขับชนฉันทำไมกันวะ” คนเป็นเจ้าทุกข์กล่าวอย่างไม่เข้าใจ


สักพักก็มีภาพหนึ่งถูกส่งมาอีก เก่งกาจรับโทรศัพท์คืนจากธันวาก่อนจะเปิดอ่านข้อความ


“เลขทะเบียนรถที่ขับปาดหน้าแกกับคันที่ชนแกเป็นเลขทะเบียนเดียวกัน  ลูกน้องฉันไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกรอบ พบว่าซอยนั้นมันเป็นซอยตัน หลังจากที่มันปาดหน้าแกแล้วก็คงขับวนย้อนไปออกอีกทาง รอแกลงจากรถเดินตรวจดูความเสียหายจนรอบคัน มันก็อาศัยจังหวะนั้นขับชนแก”


“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะทำแบบนั้นทำไม”


“ถ้าวันนั้นแกคือคันธชาติ ณ แสงฉาน ลูกชายเจ้าของฟาร์มใหญ่ของปากช่อง ฉันคงจะเดาว่าอาจจะเป็นการขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่วันนั้นแกเป็นบุ๊ง ผู้ช่วยช่างเสื้อของห้องเสื้อพุทธรักษา คนที่น่าสงสัยว่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เห็นทีจะไม่พ้นคนที่เกี่ยวข้องกับนาฏยกาล”


“ฉันขอดูทะเบียนรถหน่อยได้ไหม”


“ได้สิ” เก่งกาจกล่าวพร้อมกับส่งโทรศัพท์ให้เพื่อน "ภาพนี้ได้จากกล้องวจรปิด ทะเบียนรถตรงกันกับรถคันที่ขับชนแกตามที่พลเมืองดีแจ้ง"


คันธชาติรับมันมาก่อนจะก้มมองภาพของรถที่กล้องวงจรปิดบันทึกเอาไว้ได้ รวมถึงภาพขยายเลขทะเบียนรถ พลันหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากัน ความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั้งแผ่นหลัง เป็นไปได้ยังไงกัน เขาเคยเห็นเลขทะเบียนนั่น


“ท...ทะเบียนรถคันนี้...” หน้าหล่อส่ายไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “มันเป็นทะเบียนเดียวกับรถของคนที่ฉันเจอเมื่อวันที่เข้าไปในโรงละครร้างนั่น ต้องใช่แน่” คันธชาติกล่าวถ้อยคำท้ายประโยคนั้นซ้ำ ๆ มันต้องใช่แน่ และนั่นก็ทำให้ธันวากับเก่งกาจต้องสบตากันอย่างหนักใจ


หลังจากคุยเรื่องดังกล่าวกันอีกสักพักใหญ่เก่งกาจก็ขอตัวกลับ ไม่ลืมที่จะกำชับเพื่อนรักให้ระวังตัวและอย่าคิดทำอะไรแผลง ๆ โดยฝากธันวาให้คอยช่วยสอดส่องอีกแรง แลนด์โรเวอร์สีขาวกลับมาจอดนิ่งที่ลานจอดรถด้านหลังของคอนโดอีกครั้งเมื่อตอนเกือบสามทุ่ม เพราะฝนที่ตกลงมาทำให้การจราจรเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ กว่าจะถึงที่หมายเล่นเอาเมื่อยไปหมด


ธันวาปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนจะยืดตัวเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท ละอองน้ำเล็ก ๆ ยังคงพร่างพรมลงมาบนระนาบกระจก รวมตัวกันแล้วไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ตาคมกริบเลื่อนกลับมายังดวงหน้าของคนข้าง ๆ ที่ยังคงนั่งคอพับหลับไม่รู้เรื่อง ทำกระแอมก็แล้ว เรียกชื่อก็แล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้คนที่แทบจะไม่ได้นอนเพราะช่วงที่ผ่านมามีแต่เรื่องให้ครุ่นคิดตื่นขึ้นง่าย ๆ

 
เจ้าของรถตัดสินใจเอื้อมปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะปรับเบาะเอนลงจัดท่าให้สบาย คว้าเสื้อนอกที่เบาะหลังมาคลุมให้ จากนั้นธันวาก็เอนหลังทิ้งน้ำหนักลงกับพนักพิงมองคนที่กำลังนอนหลับ คิดว่าปล่อยให้นอนอย่างนี้อีกสักพักก็แล้วกัน...


เสียงรถที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดและเสียงเอะอะโวยวายที่ด้านนอกปลุกให้คันธชาติลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง มือเรียวเอื้อมปรับเบาะ มองซ้ายมองขวาจึงรู้ว่าขณะนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน หันไปมองร่างสูงที่นั่งกอดอกหลับตาพริ้ม อดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีเหตุการณ์ของกิ่งดาวที่เป็นดังจุดเชื่อมโยงระหว่างกัน จะมีโอกาสได้พบกันในที่ใดสักที่บ้างหรือไม่


“ตื่นแล้วเหรอ”


ไม่ใช่เสียงหากแต่เป็นดวงตาที่เปิดขึ้นอีกครั้งต่างหากที่ทำให้ต้องเสมองไปทางอื่น


“เอ้อ...ต...ตื่นแล้ว ถึงนานแล้วเหรอเนี่ย แล้วทำไมคุณไม่ปลุกผม”


“ก็เห็นว่าคุณยังหลับแล้วฝนก็ยังตกอยู่” พูดพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม


“ฝนซาแล้วนี่ ไปกันเถอะ” พูดจบคันธชาติก็ส่งเสื้อนอกคืนให้ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ วิ่งฝ่าสายฝนอ้อมไปทางด้านหน้า


ธันวามองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังห่างออกไปก่อนเปิดประตูตามไปบ้าง เมื่อสองคนเดินเข้ามาด้านในคอนโดพร้อมกันก็พบกับสายตาวิบวับของกะเทยร่างจ้ำม้ำที่กำลังเดินถือร่มออกจากลิฟต์มาพอดี
 

“น้องธันน้องบุ้ง ไปไหนกันมาคะเนี่ย” พุฒิพงศ์เอ่ยขึ้น


“แวะไปคุยกับได้กาจมาน่ะครับ” คันธชาติกล่าวพลางปัดละอองน้ำที่เกาะอยู่กับเส้นผม


“พี่พุดดิ้งมาหาพี่แก้วเหรอครับ”


“ใช่ค่ะ เจ๊แวะเอาขนมมาให้เด็ก ๆ ตอนแรกว่าจะรอฝนหยุดแล้วค่อยกลับแต่คงจะตกยันเช้าแน่ รีบกลับไปนอนดีกว่าเดี๋ยวหน้าโทรม พรุ่งนี้นังสาว ๆ แก๊งนางฟ้าจะแวะมาหาแต่เช้าด้วย เห็นว่าจะแวะมาปรับทุกข์ ก็คงไม่พ้นเรื่องคุณอัศนัยนั่นแหละค่ะ พรุ่งนี้น้องบุ้งแวะไปที่ร้านเจ๊สิคะ จะได้ไปเม้ากัน”


คันธชาติปิดปากหาวหวอด ๆ พยักหน้ารับปาก “เดี๋ยวผมแวะไปเจ๊ แล้วต้องแต่งสวยหรือเปล่า”


“แต่งสิคะ ขืนไปหล่อ ๆ แบบนี้ พอดีไม่ได้เม้า จะโดนนังพวกนั้นขย่ำเสียก่อน” พูดจบก็ปิดปากหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนไปทำสายตากรุ้มกริ่ม “แล้วนี่น้องบุ้งกับน้องธันได้กันหรือยังคะ”


“ฮ๊ะ?/ฮ๊ะ?”


คันธชาติหันมองคนข้าง ๆ ก่อนจะเบนสายตากลับมายังคนตัวเตี้ยกว่าตรงหน้า “ว...ว่าไงนะเจ๊”


“นี่แน่ะ! ตบปากตัวเอง” พูดแล้วก็ทำท่าประกอบ “เจ๊ถามว่าน้องบุ้งกับน้องธันได้...ปรับความเข้าใจกันหรือยัง เมื่อกี้ลิ้นพันกันไปหน่อย”


“นี่มันยังไงกัน เจ๊รู้ได้ยังไง”


“อุ้ย! รู้อะไร ไม่รู้” ขึ้นเสียงสูงจนน่าสงสัย “เจ๊ก็ถามไปตามเนื้อผ้า เจ๊กลับก่อนดีกว่า ไปก่อนนะคะน้องธันน้องบุ้ง”


“ด...เดี๋ยว...”


พุฒิพงศ์ไม่เปิดช่องให้พูด อาศัยจังหวะนี้ชิ่งออกมา ปล่อยให้ภาระตกอยู่กับชายหนุ่มที่ยังคงวางหน้าเฉย


“อะไรของเขาวะ” คันธชาติเกาหัวแกรกก่อนจะเดินไปเข้าไปในลิฟต์ ยืนนิ่งนึกทบทวนตั้งแต่คำพูดแปลก ๆ ของทั้งเก่งกาจและอารตี รวมถึงท่าทีประหลาด ๆ ของพุฒิพงศ์ อดคิดไม่ได้ว่าพวกนี้รวมหัวกันทำอะไรหรือเปล่า ในที่สุดความสงสัยก็ทำให้ต้องถาม


“นี่พวกคุณรวมหัวกันทำอะไรหรือเปล่าเนี่ย”


คำถามนั้นเล่นเอาคนที่กำลังเดินเงียบ ๆ ต้องชะงัก


“ไม่มีอะไรนี่” ธันวาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะเดินต่อ


“แน่ใจนะ”


“แน่สิ”


คันธชาติพยักหน้า ในเมื่อเขายืนยันว่าไม่มีอะไรก็เปล่าประโยชน์จะคาดคั้น มือเรียวยกขึ้นคลำศีรษะตัวเองจนคนมองสงสัย


“ทำอะไรน่ะ”


“จับดูว่ามีเขางอกหรือเปล่า”


ท่าทางตลก ๆ นั่นทำเอาธันวาอดยิ้มไม่ได้ เจ้าของร่างสูงเอื้อมมือจับศีรษะของอีกฝ่ายก่อนจะกล่าว “มีที่ไหนกันเขาน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผม”


‘มันแค่บังเอิญพ้องเสียงกันหรอกน่า’ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคนพูดไม่ได้มีความหมายใด ๆ แอบแฝง 'แล้วทำไมต้องเขินด้วยวะ?' คันธชาติรีบดึงมืออีกฝ่ายออกพร้อมกับมองด้วยสายตาไม่วางใจนัก


“ไปอาบน้ำสระผมแล้วก็นอนได้แล้ว เดี๋ยวไม่สบาย”


คนอายุน้อยกว่าลอบถอนหายใจที่อีกฝ่ายพูดจาราวกับเขายังเป็นเด็ก นึกถึงตอนที่ออกไปปั่นจักรยานตากฝนจนพ่อต้องออกไปตาม พอกลับมาบ้านแม่ก็บอกให้รีบอาบน้ำสระผมแบบนี้ กำลังจะแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องแต่เสียงนุ่มก็เรียกขึ้น


“บุ้ง”


เจ้าของชื่อหันกลับไปเลิกคิ้วแทนการถามว่า ‘มีอะไรอีก’


“ฝันดีนะ”


คันธชาติเพียงแต่พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง แผ่นหลังที่เป็นเพียงเนื้อนิ่มพิงแนบไปกับบานไม้เนื้อหนาที่เพิ่งถูกดึงปิด หากแรงปีบตัวของกล้ามเนื้อใต้อกเสื้อด้านซ้ายสามารถถ่ายโอนจากร่างกายแทรกซึมไปตามมวลสารเนื้อแข็งได้ อีกคน...ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูคงรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่แปลกไป 


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-03-2015 23:21:18
(ต่อค่ะ)


...อยากให้หันมาหน่อย อยากให้มองหน้ากัน

ถ้าเธอไม่หวั่นไหวกับสายตาคนอย่างฉัน…


ไม่บังคับใจเธอ หากเจอคนที่ฝัน หวังเพียงใครคนนั้น

จะใกล้เคียงคนอย่างฉัน...




“คลื่นนี้มันเปิดอยู่เพลงเดียวหรือไงวะ”


ฟังเผิน ๆ อาจเหมือนคนพูดกำลังไม่พอใจอยู่ในที หากแต่สังเกตให้ดีจะพบว่าในดวงตาของสาวสวยที่นั่งอยู่หน้ากระจกนั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าข้างในใจกำลังยิ้ม มือเรียวยกขึ้นแต่งทรงผมให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องนอน ตรงไปยังระเบียงสูดอากาศยามเช้าที่เจือกลิ่นหอมของดอกปีบ คว้าฝักบัวรดน้ำต้นไม้พร้อมกับฮัมเพลงตามเสียงที่ได้ยินจากวิทยุ  เมื่อจัดการภารกิจเรียบร้อยก็ได้เวลาเตรียมตัวออกไปที่ห้องเสื้อพุทธรักษาตามที่ได้นัดกับพุฒิพงศ์เอาไว้


ทันทีที่เปิดประตูคันธชาติก็ต้องแปลกใจเมื่อพบชายหนุ่มห้องตรงข้ามกำลังยืนกอดอกเต๊ะท่าขรึม ‘คงคิดว่าเท่มากสินะ’ ดึงประตูปิดก่อนจะทักทายตามประสา 'คนที่อยู่คอนโดเดียวกัน’


“ยังไม่ไปทำงานอีกเหรอ”


“ก็รอคุณไง จะได้ออกไปพร้อมกัน”


“ผมไปเองได้”


“ไม่มีรถจะไปยังไง แขนก็ยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ”


“ไปแท็กซี่ก็ได้ อีกอย่าง เจ็บแค่นี้เรื่องขี้ประติ๋ว” คนไม่เจียมตัวยักไหล่ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ...ดูให้หน่อยสิว่าวันนี้ผมแต่งตัวเป็นยังไงบ้าง” พูดจบสาวผมยาวในชุดทำงานดูทะมัดทะแมงก็ถอยห่างออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นชัด ๆ


ธันวายกมือขึ้นถูปลายคางมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะพูดประโยคเดิม “แบบนี้ก็ดี แต่ผมชอบแบบเดิมมากกว่า” ว่าแล้วก็ทำเดินไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยให้เจ้าของคำถามเกาหัวงง ๆ


คันธชาติมุ่นคิ้วเดินตามมาติด ๆ ปากก็พูดไปด้วย


“ไอ้แบบเดิมของคุณนี่มันแบบไหนกันแน่นะ”


คำถามนั้นทำร่างสูงหยุดกึกก่อนจะหันมาสบตาคนช่างสงสัย ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนักก่อนจะกล่าว “แบบเดิม...ก็แบบเดิมไงขี้สงสัยจริง”


“แล้วมันแบบไหนล่ะ”


“ก็คุณแบบเดิม แบบที่ไม่ได้แต่งอะไร ไม่ได้เป็นบุ๊งแบบนี้ไง”


เมื่อได้รับคำตอบแล้วก็ได้แต่พยักหน้าที่จู่ ๆ ก็ร้อนซ่านขึ้นมาเสียเฉย ๆ ขายาวเดินไปกดลิฟต์ รอกระทั่งประตูเปิดจึงเดินเข้าไปยืนด้านใน มองร่างสูงที่ก้าวตามมายืนข้างกัน


“ตอนเย็นผมไปรับนะ”


“รับทำไม ผมกลับเองได้”


“ไปทานข้าวกันไง คุณติดผมอยู่นะ ลืมแล้วเหรอ”


“ทวงจริง ไม่ลืมหรอกน่า” คันธชาติถอนใจพลางส่ายศีรษะน้อย ๆ ได้ยินเสียงสัญญาณประตูเปิดก็เตรียมก้าวออกจากลิฟต์ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบคู่ปรับเก่าที่คอยจ้องจับผิดเสียเหลือเกิน คุณพนักงานสาวหน้าเคาเตอร์นั่นเอง


เธอกำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยในอาณาจักรเล็ก ๆ ของเธอซึ่งก็คือพื้นที่ภายในเคาเตอร์ และพื้นที่สำหรับนั่งเล่นที่คนในคอนโดใช้ร่วมกัน  แต่ที่ทำให้ตกใจหนักเข้าไปใหญ่เห็นจะเป็นแขนแกร่งของที่โอบรัดรอบเอวแบบไม่บอกไม่กล่าวแถมยังรั้งตัวเขาเข้าไปใกล้จนแทบจะคล้ายปาท่องโก๋เข้าไปทุกที


“ทำอะไรของคุณเนี่ย” คันธชาติถามพลางแกะมืออีกฝ่ายออกแต่ก็ไร้ผล


“ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่ประกาศให้เขารู้ว่าเราเป็นแฟนกันเพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เขาสงสัยก็ต้องแสดงให้สมบทบาท"


ได้ยินเสียงดังซ่วบบบบแว่วอยู่ในหู ‘ดาบนั้นคืนสนอง’ อีกแล้ว


“แล้วนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณต้องรับผิดชอบ”


“รับผิดชอบอะไรอีก”


“คุณทำให้ผมขายไม่ออกต้องรับผิดชอบสิ” ธันวาหัวเราะพลางกระชับวงแขนแน่นขึ้นมองอีกคนที่ตอนนี้เอาแต่ทำหน้ามุ่ย


“ต่อไปถ้าใครบอกว่าคุณเป็นคนหงิม ๆ ติ๋ม ๆ ผมจะไม่เชื่อเด็ดขาด”  ริมฝีปากบางบ่นขมุบขมิบแต่ก็ต้องจำใจยอมทำตาม คันธชาติยิ้มน้อย ๆ ให้กับหญิงสาวที่กำลังมองมา ไม่นานเธอก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า


“สวัสดีค่ะ แฟนอาจารย์ธันวาหายหน้าไปนานเลยนะคะ ไปทำอะไรมาหรือเปล่าคะ ดูมีน้ำมีนวลสวยขึ้นนะเนี่ย กำลังจะมีข่าวดีหรือเปล่าเอ่ย”


"หือ?" หน้าสวยมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย


"เอ่อ...ก็แบบว่า เบบี๋ ๆ อะไรอย่างนี้นะค่ะ"


เล่นเอาธันวาต้องกลั้นหัวเราะ ร่างสูงเสมองไปทางอื่นไม่สนใจอีกคนที่กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือเลยสักนิด


'ไม่มีอะไรจะทักแล้วหรือไงวะ' คันธชาติคิดในใจก่อนฉีกยิ้ม


“อุ้ย! ธันเขาไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ"


ประโยคนั้นทำเอาอีกคนหันขวับ


"แต่ที่ดูแปลกไปอาจจะเป็นเพราะว่าบุ๊งเพิ่งกลับจากวิปัสสนาที่เวียงพูคำ หน้าตาก็เลยอิ่มบุญ”


"เวียงพูคำ...ชื่อคุ้นจังเลยนะคะ" คนฟังทำหน้ายุ่ง รู้สึกคุ้นชื่อนี้แต่ก็นึกไม่ออก


"ก็เวียงพูคำที่มีเจ้าชายรังสิมันต์เป็นกษัตริย์ปกครองไงคะ เคยลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทยระยะหนึ่งด้วย ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าเพิ่งจะพบกับน้องสาวที่พรัดพรากกันตั้งแต่เด็ก”


“ตายจริง” หญิงสาวยกมือขึ้นทาบอก “น่าสงสารจังเลยนะคะ”


“ค่ะ จากกันตั้งแต่ตอนที่ท่านแม่กำลังตั้งครรภ์น้องสาว อืม...เห็นว่าชื่อเจ้าหญิงสร้อยฟ้าอะไรนี่แหละค่ะ แล้วเจ้าหญิงก็ไปพบรักกับ...คุ..ณ..." กำลังอธิบายเป็นฉาก ๆ ก็โดนขัดขึ้นเสียก่อน


"อย่ามัวแต่คุยอยู่เลยครับที่รัก เดี๋ยวจะไปทำงานสายนะ"


ปากที่อ้าค้างอยู่รีบหุบลงทันที คันธชาติยิ้มให้หญิงสาวที่ท่าทางจะสนอกสนใจเรื่องราวของเวียงพูคำอยู่ไม่น้อย อยากจะเล่าต่อให้จบเรื่องแต่ก็จำใจต้องจากมาเพราะมือหนาที่รุนหลัง


"ยังเล่าไม่ทันจะจบเลย ยังไม่ได้พูดถึงคุณชายรัชชานนท์เลยนะเนี่ย" คนสวยบ่นเมื่อเดินมาถึงรถ


"พอได้แล้ว เห็นเขาเชื่อหน่อยก็ไปแกล้งอำเขาใหญ่เลย คุณนี่แสบจริง ๆ" ธันวาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูให้ รอจนอีกฝ่ายขึ้นนั่งจึงปิดประตู เดินอ้อมมานั่งประจำที่ของตนเองในฝั่งคนขับ เอื้อมดึงเข็มขัดนิรภัยก็นึกขึ้นได้


"เมื่อกี้ที่พูดน่ะ รู้ได้ยังไง"


"อะไร รู้อะไร เวียงพูคำน่ะเหรอ ก็ฟังคนงานสาว ๆ ในฟาร์มเล่ามาอีกทีน่ะสิ ดังจะตายไปละครเรื่องนี้น่ะ"


"ไม่ใช่ ผมหมายถึง...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่เก่ง"


คนถูกถามถึงกับหน้าเหวอก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะดังลั่น


"นี่...อะไรที่ผมพูดเล่นคุณก็คิดว่ามันเป็นเรื่องเล่น ๆ บ้างก็ได้ ไม่ต้องเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังไปเสียทั้งหมด"


คันธชาติเท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ คมฟันกัดนิ้วตัวเองกลั้นหัวเราะ


"ยิ้มอะไรเล่า"


"เปล่าาาา" แสร้งลากเสียงทำเป็นรำคาญกลบเกลื่อน "ออกรถได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปทำงานไม่ทันพอดี"


...


บรรดาสาว ๆ แก๊งนางฟ้าพากันมารวมตัวที่ห้องเสื้อพุทธรักษา ประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกันในวันนี้ก็หนีไม่พ้นข่าวลือที่ว่าอัศนัยผู้เป็นเจ้านายตัดสินใจจะปิดตัวโรงครนาฏยกาลที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ซึ่งพุฒิพงศ์และบุ๊งที่รู้ว่ามันคือเรื่องจริงก็ได้แต่ปิดปากเงียบทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี


"ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วพวกเราจะไปทำมาหากินอะไรกันล่ะเจ๊ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว" คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มโอดครวญ


"แกใจเย็นก่อนนังแคท มันอาจจะเป็นแค่ข่าวลือก็ได้" 


"เรื่องนี้น่ะ นิกกี้ก็แอบได้ยินพวกทีมเขียนบทเข้าคุยกัน"


"จริงเจ๊ จีจี้เห็นเขาลือกันให้แซด"


สามสาวพยักหน้าตาละห้อย


"ก็ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเจ๊แคท เจ๊จีจี้ แล้วก็นิกกี้ไปอยู่บ้านบุ๊งก็ได้ ไปช่วยกันรีดนมวัวหรือไม่ก็ปลูกผัก" บุ๊งเสนอ


"ตาย ๆ นังบุ๊ง แกจะให้มือนุ่ม ๆ ของนางเอกละครอย่างฉันต้องไปจับจอบจับเสียมเหรอยะ" แคทบ่นพลางกรีดนิ้วที่ทาเล็บที่แดงแปร๊ด


"เห็นบอกว่าไม่รู้จะไปทำอะไร บุ๊งก็เลยจะชวนไปอยู่ด้วยกัน"


"นี่ถ้าเสี่ยยังแข็งแรงอยู่จะต้องคัดค้านเรื่องนี้แน่ ๆ" กะเทยทรงโตกล่าวพร้อมกับทอดถอนใจ


"อันที่จริงคุณอัศนัยเธอก็ดูจะรักงานทางด้านนี้นี่นา ก่อนหน้านี้เธอก็ยังเปิดคณะละครของเธอเอง ไม่น่าเป็นแบบนี้ไปได้"


"แหม...คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้ย่ะนังนิกกี้ ตอนนี้ชอบต่อไปอาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้ ไม่เห็นจะแปลก" พูดจบพุฒิพงศ์ก็หยิบแว่นสายตามาสวมก่อนจะลงมือปักเลื่อมบนเสื้อไปเงียบ ๆ รอฟังว่าสาว ๆ จะพูดอะไรกันต่อ


"แล้วคุณอัศวินล่ะ มีใครเคยพบคุณอัศวินบ้างไหม"


ทุกคนต่างก็พากันตอบคำถามของบุ๊งโดยการส่ายหน้า


"ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง เคยได้ยินแต่ชื่อน่ะ รู้ว่าเสี่ยมีลูกชายอีกคนก็ตอนที่คุณอัศนัยเธอให้สัมภาษณ์นักข่าวเมื่อตอนที่เสี่ยตกบันไดนั่นแหละ" แคทกล่าว


พุฒิพงศ์ละสายตาจากงานที่ทำอยู่ก่อนจะถามด้วยความสงสัย "นังแคท แกอยู่มานานแกไม่รู้เรื่องคุณอัศวินบ้างเลยเหรอ" 


"ที่รู้ก็รู้จากที่คนเก่า ๆ เขาเม้า ๆ กันนั่นแหละเจ๊ เคยได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณนายบ้านใหญ่กับเสี่ยน่ะไม่ค่อยดีสักเท่าไร อันนี้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้นะ เขาพูดกันว่าคุณนายแกจับได้ว่าเสี่ยมีเมียน้อยแถมมีลูกด้วยกันด้วย แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นหรอก คุณนายแกก็เลยพาลูกชายคนโตไปอยู่เมืองนอก หลังจากคุณนายเสีย คุณอัศวินเธอก็ไม่ยอมกลับเพราะเธอไม่อยากแต่งงานกับคนที่พ่อหาให้ รู้แค่นี้แหละ"


"นี่เจ๊อยู่คมชัดลึกหรือเปล่าเนี่ย" บุ๊งแทรกขึ้น


"หือ...นังบุ๊ง ฉันบอกแล้วไงว่าฟังเขามาอีกที เขาลือกันมาแบบนี้ย่ะ"


"ลือเสียละเอียดเชียว" บุ๊งพึมพำ


"จะว่าไปคุณอัศวินอะไรนี่ก็ทำตัวลึกลับเนอะ เป็นนางอายหรือไงถึงไม่ยอมเปิดเผยตัว ร...หรือว่าหน้าตาจะอัปลักษณ์ เป็นพวกมนุษย์หมาป่าแบบในนิยาย"


“วุ้ย! นังจีจี้! บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ดูข่าวบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ดูละคร บ้านเมืองเขาไปถึงไหนแล้ว มีที่ไหนมนุษย์หมาป่า” แคทค้อนขวับ “น้องชายออกจะหล่อขนาดนี้ พี่ชายก็คงไม่ต่างกันนักหรอกย่ะ”


กว่าจะหมดเรื่องเม้าของสาว ๆ ก็ค่ำพอดีถึงได้แยกย้ายกันกลับ คันธชาติยืนอยู่ใต้กันสาดมองผ่านม่านละอองน้ำเม็ดเล็ก ๆ ที่เริ่มโปรยปรายลงมาท่ามกลางความมืดซึ่งกำลังโรยตัวปกคลุมเมืองใหญ่อีกครั้ง ไม่นานแลนโรเวอร์สีขาวก็แล่นมาจอดเทียบบาทวิถีก่อนที่เจ้าของรถจะเปิดประตูลงมายืน ร่มสีหวานถูกกางออกกันละอองฝนและเขากำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้


“ขอโทษนะที่มาช้า ไม่รู้ว่าวันนี้พี่พุดดิ้งจะปิดร้านเร็ว คุณเลยต้องมายืนเปียกฝนแบบนี้”


“ไม่เป็นไร จริง ๆ เจ๊ก็บอกว่าจะไปส่งอยู่เหมือนกัน แต่ผมเห็นว่านัดกับคุณไว้...”


ธันวาหุบร่มลงยืนพิงผนังกระจกมองคนที่ยืนเคียงข้างกัน “เป็นห่วงความรู้สึกผมด้วยเหรอ”


“เหอะ! ใครจะไปคิดแบบนั้น”


“ก็คุณไง”


พูดเองเออเองแล้วยังมีหน้ามายิ้ม...


“ไปเถอะ”


ร่มสีชมพูถูกกางออกก่อนที่มือหนาจะรั้งแขนอีกคนให้เดินตาม ไหล่ที่เกยกัน แขนที่แนบชิบ มันแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างสองคนเลย ธันวามองคนอายุน้อยกว่าที่ตอนนี้คิดแต่จะทำอย่างไรไม่ให้เปียกฝน ดวงตาคู่สวยมองไปข้างหน้า คงลืมพะวงเรื่องที่จะต้องสร้างระยะห่างระหว่างกันไปแล้วกระมัง


ต้องขอบคุณร่มคันนี้...


...



“ไหนบอกว่าจะชวนไปกินข้าวไง” คันธชาติถามขึ้นเมื่อมายืนอยู่ที่หน้าห้องตัวเอง


“ก็นี่ไง” เจ้าของร่างสูงชูถุงพะรุงพะรังในมือพร้อมกับยิ้ม “เดี๋ยวทำอะไรอร่อย ๆ ให้ทาน”


“ทำเป็นเหรอ”


“เป็นสิคุณ คุณไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ”


แล้วสองคนก็แยกเข้าห้องใครห้องมัน...


หลังจากลอกคราบเรียบร้อยคันธชาติก็ไปกดกริ่งห้องฝั่งตรงข้าม ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นสปาเก็ตตี้ปลาเค็มก็ลอยเตะจมูกเล่นเอาน้ำลายสอแทบจะลอยตามเข้าไป ชายหนุ่มเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหารที่พื้นที่พอดีสำหรับสองคนตามคำเชิญ ไม่นานสปาเก็ตตี้หน้าตาน่ากินก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยพ่อครัวกิตติมศักดิ์


ธันวานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังจ้องอาหารตรงหน้าตาวาว พลันรอยยิ้มบาง ๆ ก็แต้มไปทั่วหน้า “เอาแต่จ้องจะอิ่มได้ยังไง”


“ผมถือว่าเป็นคำเชิญนะ” พูดจบคันธชาติก็หยิบส้อมม้วนเส้นกลม ๆ ยาว ๆ ก่อนจะส่งเข้าปาก เคี้ยวพลางทำท่าคิดไปพลางจนคนทำให้รับประทานอดถามไม่ได้


“เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม”


“ก็...อร่อยดี ว่าแต่คุณทำเองหรือเปล่าเนี่ย”


“เอ๊า! ทำเองสิ ไม่เชื่อไปดูก็ได้ เครื่องครัวยังไม่ได้ล้างเลย” ธันวาหัวเราะในลำคอพลางลงมือจัดการกับสปาเก็ตตี้ในจานของตัวเอง


“คุณทำกับข้าวบ่อยเหรอ”


“เมื่อก่อนทำบ่อย ตอนที่ยังไม่ได้แยกออกมาอยู่คอนโดน่ะ ทำให้น้องสาวทาน”


“น้องสาวเหรอ”


“มีนไง คนที่เจอที่โรงพยาบาลวันนั้น”


คันธชาติพยักหน้าหงึก ๆ เพิ่งจะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็น้องสาวนี่เอง


“แล้วทำไมถึงต้องออกมาอยู่คอนโดด้วยล่ะ”


“เรามีกันสองคนพี่น้องน่ะ พ่อกับแม่เสียหมดแล้ว พอมีนแต่งงานผมก็เลยยกบ้านหลังนั้นให้น้องแล้วออกมาอยู่คอนโดแทน อีกอย่างมันก็เดินทางสะดวกดี จากนี่ไปมหาวิทยาลัยใช้เวลาไม่มาก”


“พ่อกับแม่คุณนี่เข้าใจตั้งชื่อเนอะ เด็กหญิงต้นปีกับเด็กชายปลายปี”


“คุณนี่มันจริง ๆ เลย” คนพูดได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริง ๆ ผมไม่เห็นจะต้องมาเล่าให้คุณฟังเลยเนอะ คุณก็รู้ข้อมูลของผมอยู่แล้ว”


“ผมไม่ได้เจาะข้อมูลทะเบียนราษฎร์มานะคุณ ผมก็รู้แค่ที่พอจะหาได้เท่านั้นแหละ”


“แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง”


“อืม...ก็ รู้ว่าเป็นอาจารย์ ก่อนหน้านี้ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะเอาแต่ทำงาน ๆๆๆ แต่จริง ๆแล้วอยู่มหาวิทยาลัยน่ะเป็นนักกิจกรรม แล้วก็ทานแต่ฟาสฟู้ดไม่ก็กาแฟดำ ชอบออกข้อสอบยาก ๆ จนนักศึกษาร้องยี้”


“รู้เรื่องของผมเยอะนะเนี่ย แล้วคุณล่ะให้ผมรู้เรื่องของคุณบ้างได้ไหม อย่างเช่น...ทำไมถึงชอบทานสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม”


คนถูกถามวางแก้วน้ำลงก่อนจะเริ่มสาธยาย “จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนักหรอก ผมทานเพราะมันเป็นอาหารที่มีปรัชญาซ่อนอยู่น่ะ”


“ยังไง” ธันวาหรี่ตามอง อยากรู้จริงว่าจะมาไม้ไหน


“ก็นี่ไง เส้นสปาเก็ตตี้มันก็เหมือนชีวิตคนเรา มีสั้นมียาวแตกต่างกันไป กลิ่นของมันอาจจะไม่ชวนทาน ติดจะตุ ๆ และเค็มเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้ทานแล้วจะรู้สึกว่าอร่อยไม่รู้ลืมเลยละ มันก็เหมือนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ได้หอมหวาน บางทีก็เจ็บปวดจนต้องจดจำไปแสนนาน” ชูสองแขนขึ้นราวกับจะสูบพลังจากทั้งโลกมาเก็บไว้ที่ตัวเองพียงคนเดียว “เป็นไงมันเจ๋งใช่ไหม”


“บุ้ง เอาความจริง”


ทันทีที่ถูกปรามคันธชาติก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะตอบเพียงสั้น ๆ “แม่ชอบทำให้พ่อทานน่ะ ผมก็เลยชอบไปด้วย” สองคนสบตากันก่อนจะหัวเราะ เรื่องบางเรื่องก็ไม่เห็นจะต้องคิดหาเหตุผลใด ๆ ให้มากความเลยจริง ๆ


เวลาอาหารเย็นผ่านมานานมากแล้วในขณะที่ถ้วยชามและอุปกรณ์ทำครัวก็ถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อย แต่เสียงพูดคุยกันของสองคนยังคงอยู่ คันธชาติยังคงเล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งเรื่องซน ๆ สมัยเด็ก เรื่องสมัยเรียน รวมถึงเรื่องที่ฟาร์มตามแต่อีกฝ่ายจะอยากรู้ ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้พูดคุยกันแบบจริง ๆ จัง ๆ สักที


“จะห้าทุ่มแล้วเหรอเนี่ย” คนเป็นแขกเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นตัวเลขบอกเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาตั้งโต๊ะ “ผมกลับก่อนดีกว่าคุณจะได้พักผ่อน” พูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตูโดยมีเจ้าของห้องเดินตามไปส่ง


“คุณรู้เรื่องผมตั้งเยอะ แล้วรู้หรือเปล่าว่าผมชอบคุณ”


จู่ ๆ ประโยคนั้นก็ทำเอาคนฟังถึงกับชะงัก คันธชาติดึงมือกลับจากลูกบิดประตูยืนหันหลังนิ่ง  นิ่ง...และนานกระทั่งสัมผัสอุ่น ๆ ที่ต้นแขนทำให้สองคนได้สบตากันอีกครั้ง


“คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้” เจ้าของร่างบางกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


“เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้มันก็แค่คำพูด หัวใจของคุณต่างห่างที่จะบอกได้ว่าเรื่องของเรามันจะเป็นยังไง” ธันวาจ้องลึกลงไปในดวงตาที่กำลังไหวระริกก่อนจะประคองแก้มนุ่มมือเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายหันหนีไปไหนได้


“ปล่อยให้หัวใจพูดออกมาเถอะนะ” เป็นเสียงกระซิบที่แสนแผ่วเบา เหมือนสายลมที่พัดพาให้หัวใจคนฟังลอยล่องไปแสนไกล ร่างกายอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก


ตาคู่สวยจ้องมองหน้าคมเลื่อนใกล้เข้ามาจนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน แต่ทันทีที่เนื้อปากสัมผัสเพียงนิด คันธชาติก็เป็นฝ่ายรั้งมืออุ่นออกจากแก้มสีแดงระเรื่อของตนเอง


“อย่านะ อย่าเพิ่ง ผมยังมีเรื่องสงสัย”


ธันวาถอนใจเฮือกตั้งท่ารอฟังคำถาม “คุณอยากรู้อะไร”


“ตอบมาก่อนว่าคืนนั้นน่ะมันเกิดอะไรขึ้น คุณจูบผมหรือเปล่า”


คนฟังคลี่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ ที่แท้ก็ยังคาใจกับเรื่องนี้อยู่นี่เอง “ทำไม? กลัวจะต้องเสียจูบแรกให้ผมอย่างนั้นเหรอ”


ไม่ใช่แค่คำพูดที่ทำให้เห่อร้อนไปทั้งหน้า รอยยิ้มกับสายตาที่ส่งมานั่นก็ด้วย


ธันวาขยับเข้าใกล้ในขณะที่มือหนึ่งยึดเอวสอบเอาไว้ มือที่เหลือเลื่อนขึ้นก่อนจะใช้นิ้วหนาขยี้ปลายจมูกของคนที่กำลังคิดหลบสายตาอย่างหยอกเย้า “คนอะไร อยากพิสูจน์แต่กลับกลัวผลที่ได้”


“นี่คุณรู้เหรอ” จากที่คิดจะหนีเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็ง


“ผู้กองเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”


“ไอ้กาจนะไอ้กาจ” คิ้วหนาขมวดมุ่นนึกแค้นใจไอ้คนต้นคิดที่ดันเอาแผนการมาเปิดเผยเสียได้ “แล้วยังไง สรุปว่ามันยังไงกัน จูบหรือไม่จูบ”


เจ้าของร่างสูงมองคนตรงหน้าอย่างเอ็นดูก่อนจะเลื่อนมือจับที่ต้นคอระหง “ก็คุณห้ามไม่ให้จูบ แล้วผมจะจูบได้ยังไงกัน”   


เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ คนช่างสงสัยก็ถอนใจโล่งอก ไม่ทันระวังตัวจึงถูกพันธนาการด้วยท่อนแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอว “ผมก็มีเรื่องสงสัยอยากให้คุณตอบเหมือนกัน”


“อะไรของคุณ” รู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อยเมื่อนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยลงบนเนื้อแก้ม


“ผมสงสัยว่าถ้าเป็นคืนนี้ คุณยังจะห้ามอยู่อีกไหม” พูดจบริมฝีปากได้รูปก็เคลื่อนเข้ามารอรับคำตอบถึงที่ เนื้อปากอุ่นแตะลงบนริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนเป็นบดเบียดและลึกล้ำจนร่างของคนอายุน้อยกว่าไหวสะท้าน


คันธชาตินึกตำหนิตนเองอยู่ไม่น้อยเมื่อสองแขนเผลอคล้องโอบรอบคอคนตรงหน้าพร้อมกับแนบกายเข้าหาอกอุ่น หัวใจเต้นระรัวทุกครั้งยามเมื่อริมฝีปากล่างถูกขบเม้มดูดดึงอย่างหยอกล้อตามอำเภอใจ


‘โธ่...ยังไม่ทันจะตอบเลย’


แต่ป่านนี้ธันวาคงจะได้ยินทุกอย่างแล้ว เพราะตัวเขากำลังปล่อยให้หัวใจได้พูดทุกสิ่งออกมา...


...




ขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเม้นต์และการติดตามค่ะ




หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-03-2015 23:45:38
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 07-03-2015 00:03:57

อร๊ายยยย ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 07-03-2015 00:07:28
แหม่ะ...ไม่อยากจะแซว ให้เสียบรรยากาศ
แต่เวลากินอาหารที่กลิ่นแรงๆเนี่ย
ต่อให้ไปบ้วนปาก แปรงฟัน ก็ยังไม่หายเหม็นนะคะ
นี่เค้าเปิดจูบแรกด้วยกลิ่นปลาเค็ม อ่อนๆสินะ ฮ่าาาาๆๆๆๆ

คดีอะไรนั่น ไม่สนแล้วได้มั้ย
สนแต่คู่นายน้อยกับเด็กชายปลายปีนี่แหละ  :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Rywzaki ที่ 07-03-2015 00:10:37
 น้องบุ้งฟังพี่อ้อยพี่ฉอดใช่ไหมคะ   :laugh:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 07-03-2015 00:11:46
ตายไปกับตอนนี้ค่ะ  :katai1: เค้าจูบกันแล้ววววว
ถึงปมจะยังไม่คลาย แต่ความสัมพันธ์เริ่มก้าวหน้าละ
หลังจากหยุดกับที่เกือบเดินถอยหลัง

ปล.นิยายเรื่องนี้สอนว่าอย่าดูคนที่ภายนอก อย่างเช่นดร.ปลายปีเป็นต้น  :hao6:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: crystal_on ที่ 07-03-2015 00:36:04
กรี๊ดดดดดดดดดดดด เขิน  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: nutty2554 ที่ 07-03-2015 01:12:29
เค้าจูบกันแล้วววววววววว :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 07-03-2015 04:33:33
 :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 07-03-2015 08:58:56
 :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 07-03-2015 09:18:41
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 07-03-2015 09:21:41
ว้ายๆๆ เค้าจูบกันแล้ว =//////=

บุ้งชอบก็บอกว่าชอบสิจ๊ะ เลิกปากแข็งได้แล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-03-2015 10:50:42
บุ้งไม่ต้องพูด พี่ธันใช้ภาษากายเลยแล้วกัน
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 07-03-2015 14:49:50
น่ารักๆ :o8:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 07-03-2015 14:58:23
อ้างถึง
“มีที่ไหนกันเขาน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผม”
ช่างกล้าเล่นมุกนี้นะดอกเตอร์ :laugh:
แต่อ่านตอนนี้แล้วเขินนะ :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 07-03-2015 17:09:04
โอร่ยยยย~~~ ฟินนนนนนนนน

เขินสุดไรสุด

 :impress2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-03-2015 19:57:58
ฟินสิ่คะแบบนี้
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Honeyhoney ที่ 07-03-2015 21:54:48
แอร๊ยยยย. คุณมีแต่ผม. ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 07-03-2015 22:22:44
กรีสสสส ฟินนนนนนจ้าา  :ling1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 07-03-2015 22:31:57
บุ้งน่ารักมาก ขอขโมยกลับมากอดที่บ้านที :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 07-03-2015 23:00:42
โอ้ยยยย ตอนนี้ดีงามมากค่ะ ฟีลลิ่งแบบว่าน่ารักวิ๊งๆ โลกกลายเป็นสีชมพูสดใส

นี่แทบจะลืมประเด็นที่เจอตัวคนขับรถชนหนอนบุ้งไปเลยนะคะเนี่ย
ฮืออออออออออออ น่ารักมาก เราอมยิ้มแก้มแตกตอนดร.ธันว่าจีบตัวบุ้ง
ไหนใครว่าดร.เป็นคนเงียบๆ หงิ๋มๆ คะ? นี่ร้ายนะคะ ร้ายใช่ย่อยเลยล่ะ  :-[
พอถึงเวลารุกจีบได้ก็เอาใหญ่ ใจสั่นแทนตัวบุ้งเลยค่ะ ชอบฉากที่คุณพนักงานประจำเคาเตอร์ถามด้วยว่ากำลังจะมีน้องหรอ
ก๊ากกกกกกกกกกก อ่านแล้วขำพรืด แต่ตัวบุ้งก็แสบใช่ย่อยนะคะ แหมๆ มากล่าวหาว่าดร.ธันวาไม่เก่งแบบนี้
ดร.อย่าไปยอมนะคะ !! ของแบบนี้มันต้องพิสูจน์ค่ะ ให้มันรู้กันไปเลย 555555555555

ที่ฟินอีกอย่างก็คือตอนนี้เค้าจูบกันแล้วด้วย แอร๊ยยยยยยยยยยย  :hao5:
เขินหน้าร้อนผ่าวๆ เลย ฮือออออออออ ฟินมากๆ รอคอยฉากนี้มานานแสนนาน 5555

เป็นตอนที่เขินมากๆ ค่ะ ฮือออออออออ อยากเป็นตัวบุ้ง

อ้อ.. จะบอกว่าประโยคนี้พีคมากนะคะ

อ้างถึง
“มีที่ไหนกันเขาน่ะ ก็เห็นอยู่ว่ามีแต่ผม”

ไม่คิดว่าคนอย่างดร.ธันวาจะเล่นมุกอย่างนี้ได้ อยากจะปาหัวใจใส่รัวๆ เลยค่ะ ฮึ่ยยย ทำไมน่ารักกกก TvT


จะรอติดตามตอนหน้าอีกนะคะ


ปล.นี่ก็เดามั่วๆ อีกแล้วว่าคุณอัศวินกับคุณอัศนัยนี่กำลังเล่นสลับตัวกันอยู่รึเปล่า เห็นบอกว่าเป็นฝาแฝดกัน แต่อีกคนก็ทำตัวลึกลับซะเหลือเกิน ดูน่าสงสัยทั้งคู่เลยนะคะ แล้วไหนจะคุณที่ขับรถชนตัวบุ้ง ตามตัวบุ้งตั้งแต่ไปกับคุณอัศนัยนั่นอีก เข้าไปโรงละครร้างนั่นอีก ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกันทั้งสามคนยังไงไม่รู้...
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-03-2015 15:20:43
ตอนที่ 16 หลักฐานชิ้นสำคัญ



พนักงานสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ชะเง้อมองเจ้านายหนุ่มหล่อของเธอเป็นระยะ นั่นเพราะตั้งแต่มาถึงเขาหากไม่มองออกไปนอกกระจกก็เอาแต่จ้องสมุดที่เต็มไปด้วยลายมือซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ไม่แตะต้องเครื่องดื่มร้อนที่เคยชอบเลยสักนิด ถึงตอนนี้มันคงเย็นลงตามอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไปเสียแล้ว


นิ่มอาศัยจังหวะที่ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้าน หันไปชงเครื่องดื่มถ้วยใหม่ก่อนจะยกไปเปลี่ยนให้ ซึ่งคันธชาติก็ทำแค่เพียงกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ตอบแทนความปรารถนาดีของลูกจ้างสาว ก่อนจะทอดตาเหม่อมองผ่านผนังกระจกดูหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนยอดไม้ประดับกระถางเล็ก ๆ ที่วางเรียงรายกันอยู่หน้าร้าน


ฝนเพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน เหนือขึ้นไปบนยอดตึกสุดปลายถนนปรากฏรุ้งกินน้ำเป็นเส้นโค้งเหมือนกับสะพานที่เชื่อมสองฝั่งเข้าหากัน ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ บางครั้งก็เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง บางครั้งก็อมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้ารัวหันกลับมาเท้าคางก้มลงมองสมุดบันทึกอีกครั้ง


ลมหายใจถูกผ่อนผ่านปลายจมูก ยืดยาว...แต่ไม่พอที่จะรั้งเรื่องราวหนักใจออกจากห้วงของความคิดได้ ยังคงอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมือบนกระดาษสีมอซ้ำแล้วซ้ำอีก ปล่อยใจไปกับตัวอักษรที่สายตาลากผ่าน กระทั่งเสียงเคาะกระจกที่ดังขึ้นใกล้หูเรียกความสนใจขอเขาไปยังร่างสูงที่ยืนยิ้มให้จากด้านนอก


'เป็นอะไร' นั่นคือสิ่งที่สามารถอ่านได้จากปากหยักที่เผยอขึ้น ไม่นานเจ้าของคำถามก็ผลักประตูกระจกเดินมานั่งลงที่ตรงหน้า


"เป็นอะไรหรือเปล่า หน้ายุ่งเชียว"


คันธชาติส่ายหน้าเนือยสบตาคนถาม ริมฝีปากได้รูปยังคงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ที่หากไม่อยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็คงไม่มีใครได้สังเกตเห็น จู่ ๆ ใจเจ้ากรรมก็เผลอนึกถึงความหวานละมุนจากรสจูบนุ่มที่อีกคนมอบให้ พลันเลือดลมก็พร้อมใจมารวมกันอยู่ที่สองแก้มก่อนจะแล่นซ่านไปถึงลำคอและใบหนูจนต้องเบือนหน้าหนีตัวต้นเหตุ


"ไม่สบายหรือเปล่า" ธันวาถามอย่างเป็นห่วงพร้อมกัยยกมือทำท่าจะแตะเพื่อวัดไข้แต่กลีบถูกอีกฝ่ายปัดออก


"ไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า"


"แต่คุณหน้าแดง"


คันธชาติมองคนพูดซื่อ ๆ อย่างขัดใจก่อนจะย้ำอีกครั้ง "ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ"


คนฟังพยักหน้าลอบมองแก้มเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อพอ ๆ กับกลีบปากของผู้เป็นเจ้าของ อดคิดไม่ได้เลยว่ามันจะหวานหอมชวนให้หลงใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสเหมือนกันไหม ยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังทำให้ความคิดเตลิดไปไกล พลันสายตาก็สังเกตเห็นสมุดบันทึกที่เปิดค้างเอาที่หน้าหนึ่ง พอจะจำเนื้อความข้างในได้บ้าง ปากที่ปกติยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำจึงเผลอถามคำถามที่ใจสงสัยออกไป


"คุณ...รักเธอมากเหรอ"


คำถามใหม่เล่นเอาสะอึก ลมหายใจอุ่นถูกถอนทิ้งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่อาจนับได้ตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้ คันธชาติยังคงมองออกไปนอกกระจก จุดสิ้นสุดของสายตาอยู่ที่รถราที่กำลังเคลื่อนตัวตามกันไปอย่างช้า ๆ บนถนน


"อืม ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ กิ่งเหมือนกับผมตรงที่เราต่างเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ส่วนผมดีกว่าหน่อยตรงที่เป็นผู้ชาย พ่อกับแม่เลยไม่ห่วงมาก ส่วนกิ่ง...ลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์แทบจะไม่ให้ห่างตาเลย ตอนที่่สอบเข้าเรียนในกรุงเทพฯ ได้ก็ต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมกว่าท่านจะยอมปล่อยลูกสาวให้ห่างอก ผมเลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีลุงพิพัฒน์กับป้ากิ่งกาญจน์แล้วผมก็จะดูแลเธอ ไปเรื่อย ๆ รักเธอให้เท่ากับที่พ่อกับแม่ของเธอรัก"


คำตอบนั้นทำเอาต้องละสายตาจากตัวอักษรขึ้นมองคนพูด ธันวาถอนหายใจแผ่วเบาก่อนนิ่งเงียบไป เงียบผิดปกติจนคันธชาติต้องหันกลับมามอง


“เงียบทำไม”


“ไม่มีอะไรหรอก” อีกฝ่ายตอบเสียงนิ่ง


ใบหน้าเรียบเฉยนั่นทำให้คนมองรู้สึกหวั่นใจแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ให้มากความ เพียงแต่พยักหน้าก่อนจะก้มลงมองข้อความในสมุดบันทึกอีกครั้ง


เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความสนใจจากที่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันอีกแล้ว ร่างสูงจึงทอดตาออกไปนอกกระจก มองรถราที่แล่นสวนกันอย่างช้า ๆ ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดลง ในขณะที่ไฟริมทางเดินและป้ายร้านต่าง ๆ ทยอยกันติดขึ้น สักพักก็ได้ยินเสียถอนหายใจยืดยาวอย่างเกลียดคร้าน เมื่อหันกลับมาอีกครั้งก็พบว่าคันธชาติกำลังยืดตัวบิดขี้เกียจจากนั้นก็ฟุบลงกับโต๊ะจ้องตัวหนังสือที่ถูกเขียนอย่างบรรจง


“ผมเห็นคุณเอาแต่จ้องอยู่ที่หน้านี้ ทั้งที่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเลย”


“มีสิ มันมีเรื่องที่ผมยังสงสัย” พูดจบก็เลื่อนสมุดไปใกล้ ๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วจิ้มที่กลางหน้ากระดาษ


ธันวามองตามอีกฝ่ายก่อนจะอ่านข้อความนั้นซ้ำ


“เพิ่งจะรู้...ว่าเขาก็มีผีเสื้อตัวเล็ก ๆ เหมือนกัน มันใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ หรือว่าคนที่พี่อาร์มชอบจะเป็นเขา...แล้วมันยังไงกัน”


“คุณคิดว่าเขาที่กิ่งเขียนถึงคือใคร”


“อืม...ก็ถ้าอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ผมเดาว่าน่าจะเป็นคุณอัศนัย”


คันธชาติพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนั้น”


“แล้วคุณยังสงสัยอะไรอีก”


“ผีเสื้อเล็ก ๆ นั่นไง เพราะถ้าอาร์มคืออัญชสิสาซึ่งมีรอยสักรูปผีเสื้อ เพราะฉะนั้นถ้าเขาที่ว่าคือนายอัศนัย นายอัศนัยก็ควรจะมีรอยสักรูปผีเสื้อที่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ แต่วันนั้นที่พวกคุณเข้าไปช่วยผม เราก็เห็นกันทุกคนว่าอัศนัยไม่มีรอยสักนั่น”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะหมุนสมุดกลับและเริ่มอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง มือหนาพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่ากระทั่งหยุดที่หน้าสุดท้ายตรงที่ตัวอักษรสิ้นสุดลง มันจะจบลงแค่นั้นหากสายตาไม่สังเกตเห็นรอยฉีกขาดของกระดาษที่ชิดแนวสันปก


ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคำพูดแสนแผ่วเบา “ผมเคยพูดในคลาสบ่อย ๆ ว่ากิ่งดาวเป็นคนเขียนหนังสือได้ดี ทุกถ้อยคำของเธอผ่านการกลั่นกรองออกมาแล้ว ทำให้ในการเขียนของเธอแต่ละครั้งแทบจะไม่มีร่องรอยการแก้ไข” พูดจบก็เลื่อนสมุดคืนให้ “ถ้าดูให้ดี จริง ๆ บันทึกมันไม่ได้จบที่หน้านี้ มีอีกหน้าที่ถูกฉีกออกไป”


ตาคมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูพลางหยิบสมุดบันทึกของเพื่อนขึ้นมาดู และก็พบว่ามันจริงอย่างที่ธันวาว่า


“แต่โชคดีที่ปกติกิ่งดาวมักจะเขียนหนังสือด้วยลายมือที่กดหนัก” พูดจบก็ส่งดินสอที่วางอยู่ใกล้ ๆ ให้


คันธชาติเข้าใจดีว่าธันวาหมายถึงอะไรแต่ก็ยังรับดินสอแท่งนั้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ความสงสัยใคร่รู้ที่มีอานุภาพมากกว่าก็ทำให้ตัดสินใจจรดปลายกราไฟรต์ที่เหลาจนแหลมลงบนกระดาษ ออกแรงฝนเพียงเบา ๆ ผงถ่านสีดำที่ระบายทับลงบนกระดาษก็ให้ร่องรอยบางอย่าง


ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ความรู้สึกเย็นวาบจุดขึ้นที่กลางหลังก่อนจะแผ่ซ่านไปทั้งร่าง รู้สึกคล้ายมีบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ตอนที่พบสมุดเล่มนี้ครั้งแรกคิดว่าคงไม่ได้เบาะแสใด ๆ เพิ่มเติมจนเกือบจะถอดใจ มิหนำซ้ำยังมีปมปริศนาใหม่เกิดขึ้นให้ต้องขบคิดอีกด้วย แต่แล้วเวลานี้กลับมีบางสิ่งกำลังปรากฏขึ้นต่อหน้า


....


“ผมว่ามันเหมือนจดหมาย กิ่งอาจจะเขียนแล้วส่งให้ใครสักคน วันเวลากับสถานที่ในนี้ มันคือวันเวลาเดียวกับที่กิ่งตกลงมาจากดาดฟ้า”


เก่งกาจเงยหน้าขึ้นมองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปากหยักอ่านข้อความนั้นซ้ำเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้นับตั้งแต่ถูกเรียกมา ที่ร้านทานตะวันแห่งนี้ “...โปรดมาพบกิ่งอีกสักครั้ง... แล้วกิ่งจะทำให้เชื่อว่าเรื่องที่กิ่งพูดเป็นความจริง ถ้ายังปล่อยให้เวลาผ่านไป ผีเสื้อตัวน้อยก็จะถูกยึดอิสรภาพ ตัวหนึ่งถูกขังในห้องมืดแห่งความเกลียดชัง ในขณะที่อีกตัวถูกขังอยู่ในวังวนแห่งความรัก...”


คันธชาติก้มจ้องมองมือที่ประสานกันแน่นตรงหน้า ฟันสวยกดลงบนเนื้อปากจนแดงก่ำก่อนจะคลายออกเมื่อไม่อาจเก็บถ้อยคำบางอย่างไว้ได้อีกต่อไป “ฉ...ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า ม...ไม่...ไม่รู้” มือสั่นเทาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าก่อนจะเลื่อนหาข้อความที่ได้รับจากกิ่งดาว...


1 2


โทรศัพท์ที่มีข้อความเลขสิบสองถูกวางลงที่กลางโต๊ะ “ถ้ามันไม่ใช่เลขสิบสองอย่างที่เข้าใจมาตั้งแต่แรกล่ะ ต...แต่เป็น หนึ่ง...หรือว่าสอง” เสียงเครือที่ได้ฟังทำให้ธันวาตัดสินใจวางมือบนบ่าของคนข้าง ๆ ออกแรงบีบเบา ๆ เพื่อให้เขาคลายกังวล


“ใจเย็น ๆ บุ้ง คุณอยากจะบอกอะไร”


“รตีบอกว่าอัศนัยมีพี่ชายฝาแฝด มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าหากคนที่อยู่กับเราตั้งแต่ต้นไม่ใช่อัศนัยแต่เป็นพี่ชายของเขา”


“แกหมายถึงคุณอัศวินน่ะเหรอ”


เจ้าของความคิดเพียงแต่พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นกระดาษที่ถูกฉีกออกไปนั่น แกคิดว่ากิ่งจะส่งให้ใคร”


“อัญชลิสา” เสียงนั้นดังรอดออกจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา


ทั้งธันวาและเก่งกาจต่างก็สบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วก็เป็นนายตำรวจหนุ่มที่โคลงศีรษะไม่เห็นด้วย “ถ้าเป็นอย่างนั้นอัญชลิสาก็ต้องอยู่ที่นั่นในวันเกิดเหตุ แต่จากการสอบสวน มีพยานยืนยันว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นาฏยกาล ทั้งเธอแล้วก็นายอัศนัยไม่มีใครอยู่ที่นั่น ต...แต่...สองคนนั่นอยู่ด้วยกันที่โรงแรมย่านชานเมืองยันสว่าง ซึ่งมันไกลจากนาฏยกาลมาก โอกาสจะลงมือไม่มีเลย”


เหมือนกำลังจะถึงทางตันอีกครั้ง คันธชาติส่ายหัวดิก “นี่มันอะไรกันวะ งงไปหมดแล้ว ทำไมคิดอะไรไม่ออกเลย”


“ใจเย็น ๆ ไอ้บุ้ง เรายังไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง กิ่งอาจจะไม่ได้ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้อัญชลิสาก็ได้”


“แล้วแกจะทำยังไงต่อ”


เก่งกาจนิ่งคิดก่อนจะตอบคำถาม “ช่วงนี้ฉันมีภารกิจต้องอารักขาท่านทูต ระหว่างนี้ฉันจะให้คนตามดูสามคนนั่น อยากรู้เมือนกันว่าจะเกี่ยวข้องกันยังไง เอาเป็นว่าระหว่างนี้ฉันขอสั่งห้ามแกไม่ให้เข้าใกล้ทั้งนายอัศนัยหรืออัญชลิสา ไม่ว่าแกจะเป็นคันธชาติหรือเป็นผู้ช่วยช่างเสื้อก็ตาม แล้วก็ห้ามไปที่โรงละครร้างเด็ดขาด”


คำพูดของเพื่อนเหมือนประกาศิต...ที่นายน้อยคันธชาติไม่มีวันทำตาม...



เมื่อรู้แน่ชัดว่าอัศนัยคือหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ดังนั้นนักสืบสมัครเล่นจึงไม่รีรอที่จะรับนัดของอีกฝ่าย คันธชาติในคราบของบุ๊งไปพบเจ้าของธุรกิจโรงละครหนุ่มหล่อที่ภัตตาคารของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งโดยกำชับให้ผู้ร่วมขบวนการอย่างธันวาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นั่นเพราะเกรงว่าหากเก่งกาจรู้เรื่องเข้าจะทำให้เพื่อนต้องเป็นห่วงจนพลอยเสียการเสียงาน ดังนั้นจึงเป็นธันวาที่แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไรอาสาขับรถให้


เจ้าของดวงตาล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยกกระโปรงยาวกรอมพื้นขึ้นก่อนจะหมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก มือจัดทรงผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นต้นคอขาว หยิบปอยผมที่ตกตกมาทับหู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เห็นว่าในห้องน้ำไม่มีใครจึงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ


“สวยเหมือนกันนะเราน่ะ” ชื่นชมตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก็จัดการขยับซิลิโคนบราให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดจึงรีบสาวเท้าไปตามทางเดินแคบ ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น


“เดี๋ยวก่อน”


กำลังจะหันกลับไปมองหาต้นเสียงก็ถูกมือหนารั้งตัวเข้าไปแนบอกก่อนจะผลุบหายไปในซอกทางเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดซึ่งอยู่ริมทางเดิน


“อะไรของคุณเนี่ย” ปากบางบ่นพลางจ้องหน้าชายหนุ่มในชุดสูทที่จู่ ๆ ก็ยึดเอวของตนเองเอาไว้


“ระวังตัวด้วยนะผมเป็นห่วง”


แค่คำพูดแสดงความรู้สึกตรงไปตรงมาก็ทำเอาร้อนฉ่าไปทั้งหน้าแต่ก็ไม่วายทำกลบเกลื่อน “ผมไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า” พยายามจะยันอกของอีกฝ่ายออกแต่ก็ทำได้ยากเสียจริง


“ผมไม่ได้กลัวคุณตาย แต่ผมกลัว...”


“เอาน่า อย่าห่วงไปเลย เจ๊พุดดิ้งให้ทั้งยานอนหลับ นั่งหลับ ยืนก็ยังหลับมา ส่วนรตีก็เตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้ากับสเปรย์พริกไทยมาให้ด้วย แต่ถ้าพวกนี้ไม่ได้ผลแล้วขืนมันยังคิดจะทำรุ่มร่ามอีกละก็ ผมเสยปลายคางมันร่วงลงไปกองกับพื้นแน่”


“น่ากลัวจัง” ธันวากระซิบ “แล้วถ้าเป็นผมล่ะ จะทำแบบนั้นไหม”


เอาเข้าไป! นี่ใจคอจะให้ตายอยู่ตรงนี้เลยใช่ไหม?


หน้าสวยส่ายน้อย ๆ ก่อนจะมองอีกคนอย่างหมั่นไส้ “ให้ตายเหอะ ตอนนี้ต่อให้ใครอมพระประธานในโบสถ์มาพูดว่าคุณเป็นคนเงียบ ๆ หงิม ๆ ผมก็จะไม่เชื่ออีกแล้ว ปล่อยได้แล้ว”


คนฟังหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะยอมปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระ


คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินตัดส่วนต้อนรับของโรงแรมก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปยังภัตตาคารซึ่งอยู่ชั้นสูงสุด จากตรงนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหาครอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทันทีที่เดินผ่านกรอบประตูไม้สักก็พบว่าทั้งภัตตาคารถูกจองไว้สำหรับมื้อค่ำแสนพิเศษของคนสองคนเท่านั้น


สาวสวยในชุดราตรียาวสีน้ำเงินเดินตามบริกรหนุ่มไปยังโต๊ะฝั่งที่ติดกับผนังกระจก เสียงเปียโนเริ่มบรรเลงเพลงคลาสสิก ในขณะที่แสงไฟค่อย ๆ เพิ่มกำลังขึ้นได้เปลี่ยนห้องกว้างใหญ่ที่ดูเงียบขรึมเพราะปราศจากผุ้คนให้กลับสว่างอีกครั้ง สว่างพอที่จะมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงที่ยืนถือกุหลาบช่อโตรออยู่ก่อนแล้ว


“ดอกไม้สวย ๆ สำหรับคนสวย ๆ อย่างคุณบุ๊งครับ”


“ขอบคุณนะคะ” สาวสวยกล่าวพร้อมกับรับช่อดอกไม้มากอดไว้ จากนั้นก็นั่งลงตามคำเชิญของอีกฝ่าย


หลังจากเลื่อนเก้าอี้ให้บุ๊งนั่งเรียบร้อย อัศนัยก็เดินกลับมานั่งลงยังที่ของตนเอง จากนั้นอาหารก็ถูกทยอยยกออกมาเสิร์ฟ สองคนเริ่มทานและคุยกันไปท่ามกลางเสียงเพลงจากเปียโนหลังใหญ่ที่ดังแว่วอยู่ไกล ๆ


“เมื่อตอนที่คุณโดนรถชนเห็นคุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณกลับไปรักษาตัวที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบว่าที่ไหนเหรอครับ”


“ที่ปากช่องค่ะ พ่อกับแม่บุ๊งอยู่ปากช่อง ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไปตามประสา”


“แต่คุณกลับมาทำงานทางด้านนี้ ดูไม่ค่อยเข้ากันเลยนะครับ”


“บุ๊งสนใจด้านนี้ค่ะ โชคดีตรงที่เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็เลยตามใจ ไม่ได้ว่าอะไร”


“ดีจังเลยนะครับ...เป็นลูกคนเดียว” อัศนัยกล่าวพลางยกไวน์ขึ้นจิบ


“ไม่จริงหรอกค่ะ บางครั้งก็เหงานะคะ แล้วคุณอัศนัยล่ะคะ มีพี่น้องกี่คน”


มือหนาวางแก้วไวน์ลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม แววตาวิบวับเมื่อครู่วูบหายราวกับถูกกระชากออกเหลือเพียงความว่างเปล่า ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มก่อนจะตอบ “ผมมีพี่ชายอีกคนครับ"


"ที่ชื่อคุณอัศวินใช่ไหมคะ บุ๊งเคยได้ยินคนที่นาฏยกาลพูดถึงอยู่บ้าง แต่ไม่เคยพบตัวจริงเลยสักครั้ง เธอคงเป็นคนขี้อายสินะคะ"


อัศนัยส่ายหัว "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่เพราะคุณแม่ของผมท่านมีปัญหากับคุณพ่อ ก็เลยแยกพวกเราจากกันตั้งแต่เด็ก คุณแม่ท่านพาพี่ชายของผมไปอยู่ต่างประเทศ ในขณะที่ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่กับคุณพ่อที่นี่”


“แล้วตอนนี้ล่ะคะ พี่ชายคุณอัศวินเธออยู่ที่ไหน”


ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่รู้เหมือนกันครับ ตั้งแต่คุณพ่อบังคับให้หมั้นหมายกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักเขาก็หายหน้าไป”


คันธชาติสังเกตเห็นท่าทางอึดอัดของอีกฝ่ายแต่ก็ไม่วายถามต่อ “แย่จังเลยนะคะ นี่ก็เลยเป็นสาเหตุให้คุณพ่อของคุณอัศนัยล้มป่วยสินะคะ”


“ครับ” เป็นคำตอบสั้น ๆ ที่ได้รับก่อนที่คู่สนทนาจะกระดกไวน์รวดเดียวหมดแก้ว


เจ้าของหน้าสวยรอให้บริกรรินไวน์เรียบร้อยจึงเอ่ยขึ้น “คุณอัศนัยท่าทางจะเพื่อนเยอะนะคะ โดยเฉพาะสาว ๆ บุ๊งเห็นคราวก่อนที่งานเลี้ยงใคร ๆ ก็พากันเข้ามาทัก ใคร ๆ ก็อยากอยู่ในสายตา”


คนฟังหัวเราะพรืด “ไม่หรอกครับ ไม่เห็นเหรอว่าสุดท้ายในสายตาของผมก็มีแค่คุณคนเดียว” พูดแล้วก็ยกแก้วก้านสูงขึ้นพลางมองคนตรงหน้าตาเป็นประกาย “นี่ใจคอจะปล่อยให้ผมดื่มอยู่เดียวเหรอครับ หรือว่าตั้งใจจะมอมผมอย่างคราวก่อน”


‘ใครมอมใครกันแน่วะ’ คนฟังแสร้งตัดพ้อ “อย่าเข้าใจผิดสิคะ บุ๊งไม่ได้คอแข็งอย่างคุณอัศนัยสักหน่อย”


"ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเป็นเพื่อนกันสิครับ"


บุ๊งยกแก้วไวน์ของตนเองขึ้นชนกับแก้วในมือของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจนเกิดเสียงดังกังวาน จากนั้นจึงดึงกลับก่อนจะแตะริมฝีปากบางลงกับขอบแก้วละเลียดชิมเหล้าองุ่นสีสวย ในขณะที่ดวงตาคู่งามแสนเย้ายวนยังคงสบประสานอีกฝ่ายไม่ลดละ

 
"รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำให้ผมคลั่ง" อัศนัยวางแก้วก้านยาวลงก่อนจะทาบมือหนาลงบนมือเรียวของร่างอรชรตรงหน้า ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ ก็เป็นอันรู้กันว่าเขาปราศนาสิ่งใด


ชายหนุ่มลุกขึ้นจูงมือหญิงสาวเดินออกจากภัตตาคารมุ่งหน้าไปยังปีกด้านขวาของโรงแรม หวังจะไปให้ถึงห้องสูทที่เตรียมเอาไว้เพื่อปลดปล่อยความพลุ่งพล่านในร่างกาย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องมือใหญ่ก็ดันร่างงดงามตรึงเข้ากับผนัง จ้องลึกลงไปในดวงตาไหวระริกราวกับตาของลูกกวางน้อยที่กำลังจะจนมุมต่อเล่ห์เหลี่ยมนายพราน

 
บุ๊งมองหน้าหล่อที่เลื่อนใกล้เข้ามาไม่วางตา ในขณะที่มือยังคงกำหมัดแน่น พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ นั่นเพราะยังมีอีกหลายคำถามที่อยากจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากปากของเขา


ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างอดกลั้น และในที่สุดก็คลายออกก่อนจะขยับถาม "คุณอัศนัยทำแบบนี้ไม่กลัวคุณอัญชลิสาจะเสียใจเหรอคะ"


คำถามนั้นทำเอามือที่กำลังปลดเข็มขัดถึงกับชะงัก อัศนัยถอนใจเบา ๆ ยกมือขึ้นเชยคางคนช่างสงสัยก่อนจะกล่าว "ใครก็ตามที่คิดจะเป็นคนของผมเขาจะไม่มีสิทธิ์มาทำตัวมีอำนาจเหนือผม รวมถึงคุณด้วย"

 
"คุณอัศนัยขี้ตู่นี่นา ทำไมเอาบุ๊งไปรวมอยู่ในนั้นล่ะคะ"


"คุณเป็นของผมแล้วคุณก็คือคนของผม นอกเสียจากคุณจะไม่อยากเป็นผมจะปล่อยคุณไป"


"แล้วถ้าบุ๊งบอกว่าไม่อยากเป็นล่ะคะ คุณจะปล่อยบุ๊งไปตอนนี้เลยหรือเปล่า" ตาสวยจ้องเขม็งอย่างท้าทาย


เจ้าของร่างสูงโคลงศีรษะหัวเราะ "ผมปล่อยคุณแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้" พูดจบก็แสยะยิ้มเย็นเยือก


"แน้! ขี้โกงนี่นา" พูดพลางวางมือลงบนแผงอกกว้างก่อนจะลูบไล้ลากลงไปจนถึงหน้าท้องจนอีกฝ่ายต้องกัดฟันแน่น แต่แทนที่จะไปให้ถึงจุดที่กำลังพร้อมรับการสัมผัส สาวสวยกลับดึงมือกลับเอาดื้อ ๆ

 
"ผมจะทนไม่ไหวนะ" อัศนัยกล่าวด้วยเสียงกระเส่าก่อนจะจัดการเอื้อมปลดเข็มขัดอีกครั้ง กำลังจะรูดซิปเพื่อปลดปล่อยเนื้อตัวที่กำลังปวดหน่วงให้เป็นอิสระ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็แผดเสียงให้อามรมณ์สะดุด ปากหยักสบถเบา ๆ ขณะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่าคนที่โทรมาคือลุงพันซึ่งเป็นคนขับรถนั่นเอง


ดวงตาที่คุกรุ่นด้วยไฟปรารถนาจ้องอุปกรณ์สื่อสารในมืออย่างชั่งใจ ในที่สุดก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อแขนขาวเกี่ยวคล้องลำคอ อัศนัยเงยหน้าขึ้นจ้องมองริมฝีปากเย้ายวนที่กำลังเลื่อนเข้าใก้กระทั่งหยุดกระซิบข้างหู


"รับสิคะ บางทีเขาอาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้นะคะ เรื่องของเรา...เมื่อไรก็ได้ตามที่คุณอัศนัยต้องการ"


คนฟังปวดหนึบใจแทบขาดจำต้องละสายตาจากหน้าสวยอย่างเสียมิได้ นิ้วหนากดรับสายจากนั้นจึงเดินเลี่ยงมาอีกทาง สีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายกับเสียงสนทนาที่ได้ยินแว่ว ๆ ทำให้บุ๊งคาดเดาได้ไม่ยากว่าน่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่บ้านนาฏยกาล


เมื่อวางสายเรียบร้อยอัศนัยก็เดินงุ่นง่านเข้ามาหาสาวสวยที่กำลังยืนรอเขาอยู่


"ขอโทษนะ ผมต้องไปแล้ว" ชายหนุ่มกล่าวเสียงห้วน


"ไป?...ไปไหนคะ" ถามพลางเกาะแขนแกร่งแน่น


"คนที่บ้านโทรมาบอกว่าคุณพ่อไม่สบาย ผมต้องกลับไปดู" พูดจบก็จัดการใส่เข็มขัดให้เข้าที่ "คืนนี้คุณจะนอนที่นี่ก็ได้นะ แล้วเอาไว้ผมจะหาโอกาสดี ๆ ชดเชยให้คุณก็แล้วกัน" อัศนัยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ดึงมือนิ่มออกก่อนจะเปิดประตูเดินจากไป ปล่อยให้บุ๊งมองตามพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก


"ดีนะที่แกเป็นคนรักพ่อ ไม่งั้นฉันได้เตะของแกหักคาเท้า พ่นด้วยสเปรย์พริกไทยแล้วช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าให้สูญพันธุ์แน่"


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 10-03-2015 15:21:22
(ต่อนะคะ)



คันธชาติในคราบของบุ๊งเดินออกจากห้องตรงไปกดลิฟต์เพื่อลงไปยังด้านล่างซึ่งธันวากำลังรอเขาอยู่ หน้าสวยเงยขึ้นมองตัวเลขดิจิทัล ในจังหวะที่ประตูลิฟต์กำลังจะปิดมือหนาของใครคนหนึ่งก็กระชากให้บานโลหะเปิดออกอีกครั้งก่อนจะแทรกตัวเข้ามายืนข้าง ๆ


ตาคู่สวยเลื่อนลงมามองคนแปลกหน้าผ่านเงาสะท้อนบนระนาบโลหะแวบหนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น บรรยากาศในกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ เงียบเสียจนได้ยินว่าอีกคนหนึ่งทำอะไร เมื่อคันธชาติลอบมองด้วยหางตาก็เห็นว่าชายคนนั้นล้วงมือลงไปบริเวณเอวซึ่งอยู่ใต้เสื้อนอกบ่อยครั้ง มันน่าแปลกที่เมื่อเขาดึงมือออกก็ไม่เห็นจะมีอะไร โทรศัพท์มือถือก็เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ ส่วนกระเป๋าสตางค์ก็น่าะอยู่ในกระเป๋ากางเกง


ลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อถึงชั้นตรงกลางของตัวอาคารสูง นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาก่อนจะเปิดฉากคุยกันด้วยสำเนียงไม่คุ้นหู แม้จะถูกขั้นด้วยกลุ่มคน แต่คันธชาติก็สังเกตได้ว่าชายร่างใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งของลิฟต์ยังคงมองมาที่เขาเป็นระยะ กระทั่งลิฟต์เปิดออกที่ชั้นล่างสุด ทุกคนก็พากันเดินออก ชายคนนั้นยังคงเดินตามมาไม่ห่าง


ร่างสูงในชุดสวยเร่งฝีเท้าออกสู่ห้องโถงกว้างพลางมองหาคนที่นัดกันเอาไว้แต่ก็ไม่พบ ตัดสินใจเดินออกไปด้านนอกโรงแรมและตรงไปยังลานจอดรถที่คิดว่าธันวาน่าจะกำลังรออยู่ แต่เมื่อไปถึงก็ต้องผิดหวัง แลนด์โรเวอร์สีขาวยังคงปราศจากเงาของเจ้าของ  และเมื่อคันธชาติมองไปยังเงาสะท้อนกระจกรถที่จอดอยู่ก็พบว่าชายแปลกหน้ายังคงเดินตามมาติด ๆ  ยิ่งเร่งฝีเท้าก็ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนที่ฟังดูรีบร้อนไม่ต่างกัน


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มคับขัน จึงตัดสินใจมุดหลบระหว่างรถคันใหญ่ที่จอดข้างกัน แต่สัมผัสอุ่น ๆ จากมือหนาแตะลงที่หัวไหล่กลมกลึงกลับทำให้ต้องสะดุ้งโหยง


"ทำไมมายืนตรงนี้" เสียงที่คุ้นเคยทำให้ความกังวลภายในใจบรรเทาลง เจ้าของหน้าสวยหันกลับมาสบตาคนพูดก่อนจะรั้งอีกฝ่ายให้ก้มลง

 
"คุณเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังรถคันนั้นไหม เขาตามผมมา" เสียงกระซิบชิดริมหูทำให้ธันวาต้องยืดคอมองหาที่มาแห่งอาการตื่นตระหนกของอีกฝ่าย ในที่สุดก็พบชายคนดังกล่าวกำลังยืนเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกำลังหาบางสิ่ง


"ผมเห็นแล้ว เห็นตั้งแต่อยู่ข้างใน ถึงจะไว้หนวดเครารุงรังผมก็จำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับคนที่ตามดูคุณกับคุณอัศนัยเมื่อคราวก่อน"


"ที่แท้ก็มันนี่เอง ถ้าอย่างนั้นผมจะออกไปคุยกับมัน" พูดจบก็พุ่งพรวดออกไปโดยไม่ฟังคำห้ามปรามใด ๆ ขายาวก้าวไปยืนที่กลางลานจอดก่อนจะเอ่ยขึ้น


"คุณเป็นใคร ตามฉันมาต้องการอะไร"


ร่างสูงใหญ่เจ้าของหนวดเครายาวเฟิ้มหันมามองก่อนจะยิ้มเยือกเย็น "ออกมาก็ดีแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาตามหา" พูดจบก็ย่างสามเข้าหา ในขณะที่สาวสวยเองก็ถอยหนีอย่างไม่ลดละ


"ก...แกต้องการอะไร"


คนถูกถามหัวเราะหึก่อนจะตอบ "ก็จะทำให้เธอเลิกยุ่งกับคุณอัศนัยอีกตลอดกาลน่ะสิ"


"ท...ทำไม ทำไมฉันถึงจะยิ่งกับคุณอัศนัยไม่ได้"


ไม่มีเสียงตอบแต่กลับล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อนอกแทน ธันวาเห็นท่าไม่ดีจึงออกจากที่ซ่อนซึ่งอยู่ห่างจากทั้งคู่ไม่ไกลนัก


"แกเป็นใคร" คนตัวโตกระชากเสียงในขณะที่คันธชาติเองก็ตกตะลึงในการกระทำของอาจารย์หนุ่มอยู่ไม่น้อย และก็ต้องตกใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อชายแปลกหน้าดึงทอรัสปืนลูกโม่เล็กราคาหลักหมื่นออกมาจากใต้เสื้อนอกก่อนจะเล็งไปที่ธันวา


เมื่อเห็นดังนั้นคันธชาติก็ตัดสินใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปหาร่างสูงที่ยังคงเอาแต่ยืนนิ่งจ้องตาคนที่หมายเอาชีวิต อยากจะถามว่าเขาคิดบ้าอะไรอยู่ จู่ ๆ ก็เอาตัวออกมาล่อกระสุนเสียอย่างนั้น


"ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย"


คนถูกถามไม่ตอบได้แต่รั้งร่างอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ก่อนจะเบี่ยงตัวบังวิถีกระสุนที่จะหลุดออกจากปลายกระบอกปืนเมื่อไรก็ไม่รู้


"ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรหรอก" ริมฝีปากได้รูปกระซิบแผ่วเบาจนคนในอ้อมแขนต้องเงยหน้าขึ้นมองดวงตาที่ยังคงจ้องไปข้างหน้า


'บ้าไปแล้ว คุณมันบ้าไปแล้ว'


"อยากตายกันมากใช่ไหม ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้" พูดจบก็เหยียดยิ้มในขณะที่นิ้วหนาเตรียมง้างขึ้นนก รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งอาการหวาดกลัว พลันหูก็ได้ยินเสียงสไลลด์ขึ้นลำปืน แน่ใจว่าไม่ใช่จากปืนที่ตนเองกำลังถือแน่ และเมื่อมองด้วยหางตาก็พบว่าต้นเสียงมาจากปืนในมือของร่างบึกบึนซึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหนึ่ง


"นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ วางปืนลงแล้วยกมือขึ้นไม่อย่างนั้นแกนั่นแหละที่จะไส้แตกอยู่ตรงนี้" เสียงนั้นดังกังวานน่าเกรงขามเหมือนฉากไล่ล่าที่เห็นในละครไม่มีผิด ต่างกันก็ตรงสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้คือเรื่องจริงไม่ใช่การแสดง


ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ ย่อลงวางปืนกับพื้นก่อนจะยกมือขึ้นตามคำสั่ง จากนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบ 3-4 คนก็กรูกันเข้าไปรวบตัวคล้องกุญแจมือแล้วเก็บปืนซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ


"ปล่อยได้แล้ว" คนถูกกอดเอ่ยขึ้นก่อนจะขยับตัวให้หลุดจากอ้อมแขนอุ่นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ในที่สุดเหตุการณ์เสี่ยงตายที่สุดในชีวิตของคันธชาติก็สิ้นสุดลง ได้แต่หวังว่านี่จะเป็นเหตุการณ์แรกและเหตุการณ์สุดท้าย


ชายหนุ่มถอนใจโล่งออกมองร่างใหญ่ที่กำลังถูกพาตัวไปยังรถติดฟิล์มทึบซึ่งจอดห่างไปไม่ไกล แววตาของเขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวหรือเคียดแค้นเลยสักนิด หากแต่นิ่งสงบเสียจนคนมองอดคิดไม่ได้ว่าหรือชายผู้นี้จะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า สุดท้ายเรื่องราวอาจต้องจบลงเช่นนี้


ผัวะ!!!


มือที่ตบเน้น ๆ ลงบนหัวทุยเรียกสติของคนที่กำลังยืนคิดอะไรเพลิน ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง คันธชาติทำหน้าเบ้ยกมือขึ้นลูบศีรษะป้อย ๆ ร้องโวยวาย "ตำรวจทำร้ายประชาชนนี่หว่า เจ็บนะโว้ย! "


"คงเจ็บไม่เท่ากระสุนที่มันจะเจาะทะลุหัวแกหรอก" นายตำรวจหนุ่มกล่าวอย่างหงุดหงิด จัดการปลดแม็กกาซีน กระชากสไลด์เพื่อเอาลูกกระสุนออก ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่กระสุนค้างอยู่จึงประกอบเข้าที่ดังเดิม


"อย่าบ่นเลยน่า นี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"


"แล้วถ้าเป็นอะไรจะทำยังไงวะ ดีนะที่ดอกเตอร์จำได้ว่ามันคือคนที่ตามแกกับนายอัศนัยตั้งแต่เมื่อคราวก่อนถึงได้โทรบอกฉัน ท่าทางมันจะรู้ตัวแล้วด้วยว่ามีคนสะกดรอยตาม เพราะลูกน้องที่ฉันสั่งให้เฝ้าจับตาดูแจ้งว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มันแทบไม่ได้ออกไปพบปะใครเลย"


"แกเทศน์จบหรือยังวะ" คันธชาติแสร้งทำหูทวนลม


"โหยยยย! ไอ้บุ้ง! แกนี่มันน่าปล่อยให้โดนเป่าหัวจริงๆ"


คนฟังหัวเราะ "ไม่มีทางหรอก ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ เพราะแค่จับปืนเขาก็มือสั่นแล้ว เป็นมือปืนที่ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย"


"แกหมายความว่ายังไง"


"ถ้าเขาคิดจะทำให้ฉันตาย เขาคงทำไปตั้งแต่คราวก่อนที่ทั้งโอกาสและสถานที่เป็นใจมากกว่านี้ แค่ถอยรถกลับมาเหยียบซ้ำฉันก็คงตายแล้ว แต่นี่สิ่งที่เขาทำมันเหมือนเป็นแค่การขู่"


"เอาละ เดี๋ยวก็รู้ว่าข้อสันนิษฐานของแกจะเป็นจริงหรือเปล่า ฉันจะกลับไปสอบสวนมัน ส่วนแกกลับที่คอนโดรอฟังข่าว แล้วก็อย่าคิดทำอะไรบ้า ๆ ให้ด็อกเตอร์หรือฉันต้องปวดหัวอีก" พูดจบเก่งกาจก็หันไปกำชับธันวาอีกครั้งก่อนเดินไปขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่


....


 
ธันวาพาคันธชาติกลับมาที่คอนโด โดยที่ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบมาตลอดทาง กำลังจะแยกกันที่หน้าห้อง ก็เป็นคันธชาติที่อดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากต่อว่า


"ตอนที่อยู่ที่โรงแรมคุณทำบ้าอะไรของคุณ รู้ไหมว่าทำแบบนั้นมันอันตราย จู่ ๆ ก็เสนอตัวออกมาล่อเป้า คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครหรือไง"


ธันวาหันมาสบตาคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่ต่างกับสีหน้าในขณะนี้


"ผมก็แค่เป็นห่วง กลัวว่ามันจะทำอะไรคุณ"


คนฟังถอนใจเฮือก จำต้องกลืนถ้อยคำเหน็บแนมอีกมากมายลงคอ "แล้วมันคุ้มกันไหม ถ้าคุณตายแล้วผมยังอยู่น่ะ"


“เป็นห่วงผมเหรอ”  ธันวาเลือกจะตอบมันด้วยคำถาม ตาคมทอดมองดวงหน้าสวยที่ยังคงยืนนิ่ง ไม่มีคำตอบจากริมฝีปากบางเช่นกัน "สำหรับผม ผมว่ามันคุ้มนะ ถ้าหากได้รู้ว่าคุณเองก็เป็นห่วงผม ผมไม่ได้ต้องการให้คุณรู้สึกกับผมมากกว่าหรือเท่ากับกิ่งดาว แต่ผมจะทำให้คุณเห็นว่าผมจะรู้สึกกับคุณให้มากกว่านั้น"


"ช่วยพูดอะไรให้มันเข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้ไหม" คันธชาติทำหน้านิ่วพร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัว "หรือว่าผมจะเมา เออ ๆๆๆ ช่างมันเถอะ เลิกทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกได้แล้ว เอาเป็นว่าขอบคุณก็แล้วกันสำหรับวันนี้" กำลังจะแตะคีย์การ์ดเปิดประตูก็ถูกรั้งไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ


"เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นกาแฟร้อนสักแก้วได้ไหม"


คันธชาติพยักหน้าเปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้อง เชินแขกให้นั่งก่อนจะจัดการต้มน้ำร้อนชงกาแฟให้ตามคำขอ จากนั้นก็หายไปพักใหญ่และกลับออกอีกครั้งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับใส่นอน ชะเง้อมองแก้วกาแฟที่พร่องไปเล็กน้อย แต่ไม่เห็นคนที่ร้องจะดื่ม เมื่อเดินอ้อมมาอีกทางก็เห็นว่าธันวาลงไปนอนเหยียดยาวหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาเสียแล้ว


เจ้าของห้องโคลงศีรษะน้อย ๆ หันกลับเข้าไปในห้องนอนหยิบหมอนกับผ้าห่ม จากนั้นจึงเดินกลับออกมาอีกครั้ง ขายาวก้าวอย่างเงียบเชียบที่สุดกระทั่งไปหยุดที่โซฟา ตาทอดมองดวงหน้าหล่อเหลาก่อนก้มลงรั้งผ้าห่มให้ และด้วยความที่ไม่ได้ระวังตัวจึงถูกคนแกล้งหลับดึงเข้าไปกอดให้ความอบอุ่นแทนผ้าห่มผืนหนา


“เมื่อไรจะยอมรับสักทีว่าจริง ๆ คุณก็เป็นห่วงผม” เสียงทุ้มรอดผ่านริมฝีปากทั้งที่ยังหลับตาพลางกระชับวงแขนแน่นขึ้น

 
คันธชาติมุ่นคิ้วเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ พยายามยามจะดิ้นให้พ้นจากพันธนาการ แต่ยิ่งพยายามผลักออกแขนแกร่งก็รัดแน่นจนในที่สุดก็จำต้องยอมอยู่นิ่ง ๆ แนบแก้มลงบนอกฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่างที่กำลังเต้นเร็วและรัวไม่ต่างกัน


แขนแกร่งคลายออกก่อนที่มือหนึ่งจะเลื่อนขึ้นสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่ม สูดลมหายใจที่เจือกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเนื้อตัวของของอีกฝ่ายก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง

   
“ไม่ใช่หมานะลูบหัวอยู่ได้ ปล่อยได้แล้ว อึดอัด” เสียงอู้อี้ทำเอาอีกคนหัวเราะจนแผงอกกระเพื่อม

 
“นี่คุณนอนทับลงมาบนตัวผมยังจะบ่นอึดอัดอีกเหรอ” พูดจบก็จับร่างบางกว่าพลิกนอนหงายสลับตำแหน่งกัน ดวงตาคมจ้องใบหน้าชวนมองพลางสอดเรียวนิ้วทั้งห้าลงกับผมเส้นเล็กลื่นมือ “ถ้าไม่ปล่อยจะช็อตผมด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้า ฉีดสเปรย์พริกไทย หรือต่อยจนผมร่วงลงไปนอนกองกับพื้นหรือเปล่า”


“จะเตะไม่เลี้ยงเลยต่างหาก ปล่อยแล้วก็กลับห้องคุณไปได้แล้ว”


คนถูกไล่คลี่ยิ้ม ไม่มีทีท่าเกรงกลัวต่อคำขู่เลยสักนิด แถมยังเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ราวกับแมลงที่กำลังบินตามกลิ่นหวานจากเกสรดอกไม้เสียอีก


“อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะได้จูบผมเป็นครั้งที่สอง” คันธชาติจ้องเขม็งยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ไม่รู้ตัวเองเลยว่าท่าทางแบบนั้นยิ่งเป็นการเรียกสายตาเอ็นดูจากคนอายุมากกว่า


ธันวาหัวเราะในลำคอก่อนจะรั้งมือเรียวออก จ้องมองกลีบปากสีระเรื่อก่อนจะเลื่อนขึ้นไปสบตาคนเอาแต่ใจตัวเอง “ผมบอกแล้วไงว่าผมจะทำทุกวันให้เหมือนกับวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายละก็ จูบของผมคงเป็นจูบครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่พันแล้วละมั้ง”


‘มันข้ามครั้งที่สองไปไกลเลยนี่หว่า’


“คุณนี่มัน...” คันธชาติขมวดคิ้วอย่างขัดใจ ฟันขาวกดลงบนริมฝีปากจนห้อแดงไม่รู้จะทำยังไงกับมนุษย์ผู้ที่ทำให้ใคร ๆ พากันคิดว่าตนเป็นคนเรียบร้อยไม่มีปากไม่มีเสียงแท้จริงแล้วมันเรื่องโกหกทั้งเพ ชายหนุ่มถอนใจเฮือกพร้อมกับเอียงคอเบนสายตาไปทางอื่น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายมองเห็นเนื้อแก้มที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพูจาง ๆ ได้อย่างชัดเจน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นิ้วหนาแตะลงบนเนื้อปากพลอยทำให้คมฟันค่อย ๆ คลายออก เสียงกระซิบที่ข้างหูชวนให้ร้อนวาบไปทั้งร่าง


“ผมช่วยกัดให้เอาไหม”


คนฟังเบิกตากว้างหันขวับมาจ้องหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนา แต่ดูตัวเขาสิ ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขี้ผึ้งที่กำลังอ่อนยวบเพียงเพราะแสงอาทิตย์อุ่น ๆ

 
“อ...ออกไปได้แล้ว” คำสั่งสั้น ๆ นั้นก็ช่างไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย มันหนักแน่นไม่พอที่จะให้อีกคนยอมทำตามได้ ซ้ำหน้าหล่อยังคงยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาให้เจ็บจี๊ดในใจเล่นเสียอีก


“ปากคุณไล่ แต่ร่างกายของคุณมันไม่ได้บอกให้ผมไปไหนเลยนะ”


ความรู้สึกร้อนวูบวาบแผ่นซ่านไปทั่วเรือนกายอีกครั้ง คำพูดนั้นทำให้หัวใจแทบหลอมละลาย แต่กลับมีบางอย่างบนร่างกายที่ไม่ได้แปรไปตามกัน เสียงหัวเราะยั่วทำให้คนฟังต้องรีบดีดตัวผึงลุกขึ้นนั่ง รั้งผ้าห่มปิดบังอำพรางหลักฐานสำคัญเอาไว้

 
“ออกไปได้แล้ว ไป!” เจ้าของห้องขึ้นเสียงพลางปาหมอนใส่คนที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจ


“แต่ว่า...คุณกำลังต้องการความช่วยเหลือนะ”


“ช่วยเหลือบ้าอะไรเล่า ออกไปได้แล้ว” คันธชาติคว้าผ้าห่มลุกขึ้นก่อนจะรั้งแขนอีกฝ่ายให้ลุกตาม “ผมบอกให้คุณออกไปไง” หน้าขึ้นสีจนไม่อาจแยกได้ว่ากำลังโกรธหรือเขินกันแน่


“ไม่ให้ผมช่วยจริง ๆ น่ะเหรอ” คนพูดน้อยเดินตามแรงรุนหลังไม่วายหันมาถามให้เจ็บ ๆ คัน ๆ


“ไม่ต้อง! คุณกลับห้องไปได้แล้ว!” พูดพร้อมกับดึงประตูเปิดออก ผลักร่างสูงไปด้านนอก จากนั้นก็รีบปิดประตูลงทันที “ไอ้บ้าเอ๊ย” ชายหนุ่มก้มลงมองร่างกายไม่รักดี ก่อนจะเดินงุ่นง่านเข้าไปในห้องน้ำ ปล่อยให้สายน้ำช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวที่กำลังอัดแน่นอยู่ในตัว


ในขณะที่ธันวา...


ธันวาเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง เลื่อนประตูกระจกออกไปสูดอากาศที่ระเบียง สายลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมของดอกปีบมาทักทายปลายจมูก แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้เขาลืมความหอมจากร่างของคนที่เคยแนบชิดได้แม้แต่วินาทีเดียว ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงท่าทางชวนขบขันของอีกคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง คงต้องขอบคุณนายตำรวจหนุ่มเจ้าแผนการอีกครั้งที่ช่วยแนะนำวิธีการที่จะรวบตัวคนร้ายขโมยหัวใจให้อยู่หมัดชนิดที่ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย...ไม่สิ...มันต้องเป็นจับให้มั่นคั้นให้รักแบบที่อารตีว่าถึงจะถูก


....


สวัสดีค่ะ ใกล้แล้ว ๆ ใกล้ถึงตอนจบแล้ว
ถึงตอนนี้หลาย ๆ คนน่าจะพอเดากันได้แล้วนะคะ
ขอบคุณมาก ๆ เลยสำหรับคอมเมนต์และการคาดเดาต่าง ๆ ค่ะ สนุกมาก ๆ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ



หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 10-03-2015 16:09:11
ด็อกเตอร์แอบเจ้าเล่ห์เบาๆนะเนี่ย บุ้งก็ใจอ่อนยอมๆไปเหอะน๊า :z1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 10-03-2015 16:38:33
ตอนนี้ชอบตอนที่ ดร.ธัน มาเคาะกระจกคุยกับบุ้งที่ร้าน เป็นโมเม้นที่น่ารักดีค่ะ

ตอนแรกนึกว่า ดร.ธัน จะแอบร้าย แต่ที่ไหนได้ ผู้กองกาจตะหากที่ร้ายกว่า 5555
ถือว่าคุณผู้กองเป็นตำรวจที่ช่วยเหลือประชาชนอย่าง ดร.ธัน มากๆ เลยค่ะ


ชอบตอนที่ ปริศนาค่อยๆ คลี่คลายออก ลุ้นมากๆๆ
เหมือนจะเห็นเคล้าลางนิดๆ แล้ว และเดาว่าอัญก็คงรู้ แต่ไม่ได้พูดออกมาเพราะเหตุบางอย่าง

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 10-03-2015 16:38:58
 :z1: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: crystal_on ที่ 10-03-2015 16:57:12
โอย...จะเป็นลม  :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 10-03-2015 18:42:06
คุณดอกเตอร์เจ้าขาาาา จะหล่อไปไหนเนี่ย!!!
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 10-03-2015 18:59:59
คดีจะอะไรยังไง ไม่สนแล้วจริงๆ
ตอนนี้สนแต่หนอนบุ้ง  :z1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 10-03-2015 19:25:21
เขินง่ะ /หน้าร้อนตามบุ้ง

 :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 10-03-2015 19:37:05
ดอกเตอร์ร้ายกาจสุดๆไปเลยค่า

รุกเข้าไปเลยบุ้งเริ่มเก็บอาการไม่อยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-03-2015 22:17:08
เอ้ยยยยยย ยังเดาไม่ออกง่ะ 555555
คือจริงๆ แล้วอัญชอบกับคนน้อง
แต่คนพี่มาสวมรอยเป็นน้องแทน งี้ปะ
ลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: mahaki ที่ 10-03-2015 23:05:20
ชอบทุกเรื่องที่แต่งเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ รออยู่
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 16 : หลักฐานชิ้นสำคัญ) 10-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-03-2015 23:37:11
ปริศนาน่าลุ้น ผู้ชายตัวโตเป็นใคร พวกเดียวกับอัศนัยหรือเปล่า
อัศวิน-อัศนัย ใครกันแน่ที่เป็นคนร้าย
และที่ลุ้นพอ ๆ กันก็สองหนุ่มนี่แหละ
ชอบดร.ธันวา ร้ายไม่เบานะเนี่ย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 28-03-2015 04:28:07
ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ


อนันต์ นาฏยะ นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาเลื่อนลอยไร้จุดหมาย นั่นเพราะการพลัดตกจากบันไดตั้งเมื่อเกือบสองปีที่แล้วทำให้เส้นเลือดในสมองแตกส่งผลให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก  และเมื่อเวลาผ่านไปแขนขาข้างที่พอจะใช้การได้ก็เริ่มเกิดการตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อเกร็งตามมา  ในขณะที่ตาคู่หม่นเหม่อมองไปบนเพดานว่างเปล่า หูก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ


“คุณท่านเป็นยังไงบ้างคะลุง”


ชายในชุดซาฟารีที่ยืนหลบมุมอยู่ส่ายหน้าหนักใจพลางมองไปยังถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง “ตัวรุม ๆ ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายครับ ผมก็เลยให้แม่บ้านช่วยเช็ดตัวให้ แต่คุณท่านท่านไม่ยอมทานข้าว ผมเองไม่รู้จะทำยังไงแล้ว จนปัญญาเต็มทีก็เลยต้องโทรตามคุณเล็กกับคุณอันให้มาช่วยดูหน่อย”


คนถามพนักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงพร้อมกับยกมือไหว้ มือบางวางลงบนท่อนแขนที่กระตุกเกร็งก่อนจะกล่าว “ทานข้าวเสียหน่อยเถอะนะคะคุณท่านจะได้ทานยา” พูดจบก็หันไปส่งสัญญาณเรียกให้ชายวัยใกล้เกษียณให้เข้ามาช่วยประคองคนป่วยลุกขึ้นนั่ง


อัญชลิสาหันไปหยิบถ้วยข้าวต้มที่ยังคงอุ่น ๆ ขึ้นมาก่อนจะตักข้าวคำน้อย ๆ จ่อที่ปาก แต่ริมฝีปากบิดเบี้ยวไม่ได้รูปก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดรับ


"ทานเสียหน่อยเถอะนะคะ" น้ำเสียงอ้อนวอนเรียกสายตาเหม่อลอยให้กลับมาอยู่ที่ดวงหน้าสวย จากที่เคยมองผ่านเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็ง มือเหยียดเกร็งยกขึ้นอย่างเงะงะก่อนจะปัดช้อนกระเด็นไปอีกทาง ในวูบแรกนั้นอัญชลิสาดูจะตกใจอยู่เหมือนกัน แต่แล้วแววตาก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม กิริยาอาการเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวันตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่เธอย่างกรายมาที่นี่ สาวสวยวางชามข้าวต้มลงมองคนใบหน้าเฉยเมยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ


"อยากด่า อยากไล่อันใช่ไหมคะ ถ้าคุณท่านอยากไล่ก็ต้องทานข้าวนะคะ จะได้มีแรงลุกขึ้นทำแบบนั้นกับอันได้ แต่ถ้าคุณท่านไม่ทานและไม่ยอมลุกขึ้นมาละก็ อันก็จะมาที่นี่ทุกวัน" พูดจบก็หยิบช้อนคันใหม่ตักข้าวต้มป้อนให้แต่อีกฝ่ายก็ยังปิดปากนิ่ง
คนป้อนเองก็ไม่ละความพยายามเช่นกัน "คุณเล็กเธอคงเสียใจนะคะ ถ้าหากรู้ว่าคุณพ่อเป็นแบบนี้"


สิ้นเสียงหวานดวงตาดุดันเบนมายังคนพูดโดยอัตโนมัติ อัญชลิสารู้ว่าคำขู่นั้นใช้ได้ผลก็เมื่อตอนที่คนป่วยยอมอ้าปากกินข้าว แม้การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อของอนันต์จะเป็นไปอย่างทุลักทุเลแต่มันก็ดีกว่าที่เขาจะไม่แตะอะไรเลยแล้วปล่อยให้ร่างกายซูบผอมง่ายต่อการที่โรคอื่น ๆ จะแทรกซ้อน


คนป่วยเบือนหน้าหนีอีกหนหลังจากข้าวต้มพร่องไปเกือบค่อนชาม เมื่อเห็นว่าเป็นที่นาพอใจคนป้อนจึงวางชามข้าวลง รอสักครู่ก็หันไปหยิบยาที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ส่งให้ที่ปาก เป็นเวลาเดียวกับที่เมอร์เซเดส-เบนซ์คันงามแล่นเข้ามาจอดภายในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ของบ้านนาฏยะอย่างรวดเร็ว


เจ้าของรถก้าวลงมาจากนั้นก็ปิดประตูโครมจนได้ยินไปถึงในครัว ทำเอาเด็กรับใช้ในบ้านพากันสะดุ้งโหยง ขายาวก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนมุ่งหน้าไปยังชั้นบนของคฤหาสน์หลังใหญ่โดยมีจุดหมายอยู่ที่ห้องนอนซึ่งอยู่สุดทางเดินปีกซ้าย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าคนในห้องกำลังมองมายังตนเองเป็นตาเดียว


"คุณพ่อเป็นอะไร" อัศนัยหันไปถามคนขับคนประจำตัวของเสี่ยอนันต์อย่างหงุดหงิด


"ค...คุณท่านมีไข้ครับ"


"แค่มีไข้เนี่ยนะ"


"คือ...ผม..."


ตาคมมองไปยังผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังนอนหลับ สบตาสาวสวยที่นั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะดึงสายตากลับมายังชายกลางคนที่ยังคงยืนสงบนิ่ง หน้าหล่อถอนใจฉุนเฉียวพลางเอ่ยเสียงเข้มหมายให้ได้ยินกันทั้งหมด "ทีหลังถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายไม่ต้องโทรหาผมนะ"


'ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย' ประโยคนั้นทำเอาอัญชลิสาหันขวับ  เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด ร่างอ้อนแอ้นจึงลุกขึ้นขยับห่างจากเตียงพร้อมกับเอ่ยปากปรามด้วยเกรงว่าจะรบกวนคนป่วย "ไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ คุณท่านเพิ่งจะหลับ" พูดจบก็เดินนำออกไปนอกห้อง


อัศนัยเดินตามอัญชลิสามายังระเบียงหน้ามุข ทอดตามองร่างเล็กที่กำลังยืนหันหลังให้ ครู่หนึ่งเธอกับเหลียวกลับมาให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่มองครั้งใดก็งามผุดผาดเสียเหลือเกิน


"คุณท่านไม่สบาย คุณยังว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอีกเหรอคะ"


"ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นา ลุงพันก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ คุณเองก็อยู่นี่แล้วไง ยังจะโทรไปตามผมอีกทำไมกัน" ร่างสูงกล่าวกระฟัดกระเฟียด


"ทำไมต้องทำหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนี้ด้วยคะ ลุงพันโทรไปขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า" อัญชลิสายังคงวางหน้าเฉย น้ำเสียงนิ่งเรียบทำให้คนฟังได้สติ ลมหายใจหนักถูกผ่านปลายจมูกพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกก่อนจะตอบห้วน ๆ


"ผมกำลังคุยธุระสำคัญกับเพื่อน"


"เพื่อนหรือว่าใครกันแน่คะ" คนถามกอดอกปรายตามอง "ถึงต้องไปคุยกันที่โรงแรม"


"คุณรู้ได้ยังไง" อัศนัยมองตาขวาง "หรือว่าให้คนตามดูผม"


กระนั้นริมฝีปากสีชมพูระเรื่อกลับเผยอยิ้มไม่ยี่หระ "คุณก็เคยใช้วิธีนี้กับอันมาก่อนไม่ใช่เหรอคะ"


มือหนากำแน่นพยายามดับความเกรี้ยวกราดภายในใจ แต่แล้วแววตาแข็งกร้าวก็อ่อนลง ริมฝีปากแสนเสน่ห์เหยียดยิ้มอีกครั้ง ร่างสูงสาวเท้าเข้าใกล้ก่อนจะโอบรัดเอวบางไว้หลวม ๆ เลื่อนริมฝีปากกระซิบชิดติดริมหู "ผมจะทำแบบนั้นกับคนที่ผมสนใจและคนคนนั้นก็คือคุณ"


หน้าสวยเอียงหนีเมื่อปากอุ่นแตะลงที่ซอกคอก่อนจะเริ่มซุกไซ้หนัก


"อย่าค่ะคุณอัศนัย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า" พูดพลางดันอกอีกฝ่ายไปพลาง


เจ้าของชื่อหัวเราะในลำคอก่อนจะขยับห่างเพื่อมองคนในอ้อมแขนให้ชัด ใช้นิ้วเกี่ยวปอยผมสีน้ำตาลเข้มที่ตกลงมาปิดหน้าสวยขึ้นแล้วส่งไปด้านหลังก่อนจะใช้หลังมือไล้ที่แก้มนิ่มอย่างเบามือ


"อยู่กับผมคุณยังต้องกลัวอะไรอีก ผมบอกแล้วไงต่อไปผมจะทำให้คุณไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใครอีก ผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนไอ้..."


ยังพูดไม่ทันจบปลายนิ้วเรียวก็แตะลงบนเนื้อปากเป็นเชิงห้าม หน้าหวานเชิดขึ้นประสานสายตากัน "เราอยู่กันแค่สองคนทำไมยังพูดถึงคนอื่นอีกล่ะคะ"


"คนอื่นเหรอ นี่คุณบอกว่ามันเป็นคนอื่นอย่างนั้นเหรอ" อัศนัยยิ้มอย่างพอใจ


อัญชลิสาเลือกที่จะไม่ตอบแต่วกกลับมาเรื่องเดิม “คุณสนใจเด็กนั่นเหรอคะ”


ร่างสูงถอนหายใจเบา “คุณก็รู้ว่ายังไงผมก็ให้คุณเป็นที่หนึ่ง”


“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณสนใจ”


“ก็แค่ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราวน่ะ คุณก็รู้ว่าผมชอบอะไรที่มันได้มายาก ๆ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงบนซอกคอขาวก่อนจะดูดดึงจนเกิดเป็นรอยแดง “แต่สำหรับของที่ได้มายาก ๆ อย่างคุณผมยิ่งอยากจะเป็นเจ้าของไปนาน ๆ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะอยากอยู่กับผมหรือเปล่า”


“อันยอมคุณขนาดนี้แล้ว คุณยังต้องถามอีกเหรอคะ ขอแค่คุณทำตามสัญญาเท่านี้อันก็ไม่ไปไหนแล้วละค่ะ” ตาคมล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าพลางยกมือข้างหนึ่งเกี่ยวรัดรอบคอหนา ริมฝีฝากเย้ายวนคลี่ยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่นิ้วมือข้างที่เหลือแตะลงบนปากหยักจากนั้นจึงค่อย ๆ ลากลงมาถึงปลายคางเรื่อยไปตามแนวสาบกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกจนเห็นกล้ามเนื้อหน้าอก ทำเอาร่างสูงหายใจขัดความรู้สึกเสียวซ่านแล่นไปทั่วทั้งตัว แขนแกร่งจำต้องคลายออก เลื่อนสองมือต่ำลงก่อนจะยึดสะโพกมนแล้วขยำขยี้ไปตามแรงอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน ไม่คิดเลยว่าแค่คนตัวเล็ก ๆ จะสามารถมีอิทธิพลต่อทุกอณูของร่างกายได้ถึงเพียงนี้


“ได้โปรด ลืมสัญญานั่นเสีย มันไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก มันไม่มีวันเป็นจริง ตราบใดที่ผมคือ อัศนัย นาฏยะ” เสียงกระซิบนั้นขาดห้วงตามจังหวะมือที่ลากลงต่ำกว่าเอวกางเกง


“แล้วทำไมคุณถึงไม่เป็นตัวของตัวเองล่ะคะ คุณก็รู้ว่าต่อให้คุณไม่ใช่คุณอัศนัยหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลนาฏยะ อันก็ไม่มีวันจากคุณไปไหนได้ แต่ถ้าคุณยังดึงดันที่จะอยู่อย่างนี้และยืนยันว่าจะปิดนาฏยกาล อันก็จะไปให้ไกล ไปให้คุณหาไม่พบเลยจริง ๆ”


มือหนาคว้าข้อมือเล็กก่อนที่จะทำให้สติเตลิดไปกันใหญ่ แววตากรุ้มกริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเว้าวอนในทันที แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับอัญชลิสาที่คุ้นเคยกับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนี้เป็นอย่างดี ตาคู่สวยทอดมองชายหนุ่มซบหน้าลงที่ลาดไหล่ มือที่ถูกยึดไว้ถูกรั้งมาวางแนบแก้มสากของคนที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายขี้อ้อน “อย่าขู่ผม อัญชลิสา ได้โปรดอย่าขู่ผม คุณก็รู้ว่าผมขาดคุณไม่ได้”


“แต่นาฏยกาลคือน้ำพักน้ำแรงและความทรงจำดี ๆ ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณนะคะ ทำไมคุณถึงคิดจะทำลายมัน”


“ความทรงจำดี ๆ ของพ่อกับแม่อย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันยิ่งต้องปิดฉากลงตั้งแต่รุ่นของพ่อกับแม่แล้วสิ มันไม่ควรจะยืดเยื้อมาในช่วงเวลาของผม ผมควรจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีบริษัทใหญ่โต เป็นเจ้าของคอมเพล็กซ์หรือทำอะไรก็ได้ที่อยากทำแทนที่จะต้องมาดูแลไอ้โรงละครบ้า ๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความเห็นแก่ตัวนี่” หน้าคมผละออกสบตาคนตัวเล็กกว่า “ต่อไปนี้ผมจะทำตัวเองให้มีตัวตนในสายตาคนอื่นบ้าง”


อัญชลิสาส่ายศีรษะพร้อมกับยกมือขึ้นประคองสองแก้มของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม “แต่ถ้าคุณยังไม่เป็นตัวของตัวเอง คุณก็จะไม่มีวันมีตัวตนในสายตาคนอื่นนะคะ”


“ม...ไม่ ผมไม่อยากถูกเปรียบเทียบ ผมไม่อยากเหมือนมัน ไม่อยาก ไม่อยากเหมือนมัน ม...ไม่ ไม่นะ” อัศนัยกล่าวพลางถอยห่างจากสัมผัสอบอุ่น ปากก็ยังคงพูดพร่ำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ร่างสูงเดินโซเซกลับเข้าไปในบ้านก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องหนึ่งโดยทิ้งให้อัญชลิสายืนมองอย่างเป็นห่วง
 

ชายหนุ่มเดินโงนเงนมายืนที่หน้ากระจก จ้องเขม็งไปยังใบหน้าที่ขณะนี้ถูกประดับด้วยแววตาแห่งความเป็นกังวล ความกลัวและอีกสารพัดความรู้สึกที่บ่งบอกว่าขณะนี้จิดใจกำลังอ่อนแอเต็มที มือฉวยมีดโกนหนวดแบบพับแตะลงที่สันกรามพลันแววตานั้นก็กลับวาวโรจน์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเหลือแสน ปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน หมายจะกรีดคมมีดลงกับข้างแก้มแต่ก็ถูกคนที่เดินตามมาคว้าข้อมือเอาไว้


“ค...คุณอัศนัย! อย่าค่ะ!” อัญชลิสาร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะคว้ามีดโกนหนวดจากมือโยนไปอีกทางหนึ่ง


“ห้ามผมทำไม ผมไม่อยากเหมือนมัน ไม่อยากเหมือน ไม่อยากเหมือนมัน” ประโยคเดิม ๆ ยังคงพรั่งพรูแข่งกับน้ำใส ๆ ที่ไหลทะลักออกจากสองตา


มือเล็กประคองหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้กรังไปด้วยคราบน้ำตาอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นแก้วบาง “ทำไมทำแบบนี้คะ”


“ผมไม่อยากเหมือนมัน ไม่อยากเหมือน” อัศนัยกล่าวพลางจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นในขณะที่คนฟังเองก็แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน หน้าสวยส่ายน้อย ๆ ก่อนจะรั้งแขนคนตัวใหญ่ไปนั่งลงที่เตียง จัดการลูบหน้าลูบตาปลอบประโลมหวังจะให้อีกฝ่ายได้คลายความทุกข์


“ทำไมคุณถึงดีกับผม ยอมตามใจผม ท...ทั้งที่ผมทำไม่ดีกับคุณเอาไว้” ถามพร้อมกับจับข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้ห่างไปไหน ประโยคนั้นนั้นทำเอาสองคนต้องหยุดสบตากัน ร่างเล็กค่อย ๆ ดึงมือที่ตรึงอยู่กับข้อออกเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถาม


จะให้ตอบว่าอย่างไรดี?


อัญชลิสาทอดถอนใจเบา ๆ ปากบางปิดสนิทไม่เอื้อนเอ่ยความในใจแต่กลับรั้งให้อีกคนนอนลงบนตัก แทรกนิ้วเรียวลงในกลุ่มผมสีดำสนิทกระทั่งเปลือกตาของชายหนุ่มค่อย ๆ ปิดลง ตาคู่งามไล่มองตั้งแต่หน้าผาก แผงคิ้ว สันจมูก จรดริมฝีปาก ในช่วงเวลาหนึ่งทุกสิ่งที่เคยประกอบการเป็นผู้ชายคนนี้เคยทำให้ตนเองรู้สึกเกลียดชัง แต่ใน ณ เวลานี้ความรู้สึกนั้นกลับจางหายไป หากจะตอบคำถามเมื่อครู่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเรียกว่ารักหรือสงสารกันแน่ ถ้าตอบว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะรัก มันจะเป็นการทำผิดต่ออีกคนหรือไม่


“ที่ผ่านจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะค่ะ ขอแค่ตอนนี้คุณอย่าทำให้อันต้องร้องไห้อีกก็พอ”
 

ช่วงเวลาแห่งการปลอบโยนได้ได้ผ่านไปแล้ว...


ในความมืดมิดมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองรถสปอร์ตคันหรูของนางเอกละครสาวสวยที่เพิ่งแล่นพ้นรั้วบ้านไป ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรที่ลมหายใจหนักถูกพ่นจากปลายจมูกแต่นั่นก็ไม่อาจทำให้ลืมกลิ่นหอมจากตัวของคนที่เพิ่งจากไปได้ เจ้าของร่างหันกลับก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง ขายาวก้าวไปตามพื้นไม้ขัดมันก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องทางปีกซ้ายของบ้าน นิ่งอยู่เพียงไม่ถึงอึดใจก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง แสงจันทร์ที่รอดผ่านผ้าม่านทำให้พอจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในได้ไม่ยาก


อัศนัยทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงมองดูผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา เอื้อมมือจับที่ปลายเท้าของคนหลับสนิทก่อนจะบีบเบา ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งจ้องมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ข้างหน้า ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากหากจะมีก็แค่เพียงน้ำตาของลูกผู้ชายที่กำลังไหลรินเท่านั้น
 

...
 

การสอบสวนระลอกที่สองเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ของวันใหม่ หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาผู้ต้องหายังปิดปากเงียบ ร.ต.อ.เก่งกาจเปิดประตูเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวงให้แสงสว่าง แม้พื้นที่ภายในจะมีไม่มากแต่ผนังทุกด้านที่ฉาบทับด้วยสีขาวโพลนกลับทำให้ร่างใหญ่โตที่นั่งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของห้องดูเล็กไปถนัดตา 


นายตำรวจหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะนั่งลง เริ่มเคาะโต๊ะเป็นจังหวะห่าง ๆ จ้องหน้าอิดโรยที่เอาแต่นั่งนิ่งหลบสายตา กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก็หยุดเมื่อตำรวจนอกเครื่องแบบถือแฟ้มเอกสารมาวางให้บนโต๊ะ ผู้มียศสูงกว่ากล่าวขอบคุณก่อนจะเปิดดูกระดาษ 2-3 แผ่นที่อยู่ด้านใน กวาดตาอ่านข้อความในเอกสารทีละหน้าพร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเป็นระยะ กระทั่งถึงหน้าสุดท้ายจึงเอ่ยขึ้น


“ไม่คิดว่าคนตัวใหญ่อย่างคุณจะใช้ทอรัส” ยกมือขึ้นถูปลายคางมองคนตัวโตที่ยังคงอยู่ในอาการสงบ “ปืนนั่นของคุณรึคุณวีรพล”
เจ้าของชื่อยังคงนั่งนิ่งมองสายโซ่กุญแจมือที่เชื่อมข้อมือทั้งสองเข้าด้วยกัน กำลังจะอ้าปากตอบ แต่นายตำรวจหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน


“อ้อ...แต่ก่อนที่คุณจะพูดอะไรออกมาผมอยากจะให้คุณคิดให้มาก ๆ เพราะถ้าหากมันไม่ตรงกับความเป็นจริงละก็ คุณจะโดนข้อหาให้การเท็จอีกกระทง”


ชายร่างใหญ่ไล่สายตาขึ้นลอบมองป้ายชื่อบนหน้าอกเจ้าพนักงานพลางถอนหายใจเฮือกก่อนจะอ้อมแอ้มตอบคำถามก่อนหน้า “ม...มันไม่ใช่ของผม”


ได้ยินดังนั้นคนฟังก็พยักหน้าพอใจในคำตอบ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าผู้ชายตัวหนามือไม้ใหญ่ไม่น่าจะใช้ปืนลูกโม่ขนาดเล็กเช่นนี้ เพราะแค่ถือเฉย ๆ ก็ไม่น่าจะถนัดแล้ว 


“ถ้าอย่างนั้นมันเป็นของใคร แล้วมาอยู่ที่คุณได้ยังไง”


หน้าโทรมเพราะอดนอนเงยขึ้นสบตาแต่แล้วก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น “ผมก็แค่จะขู่”


เก่งกาจส่ายหน้าพลางวางเอกสารลงบนโต๊ะและเริ่มถามอีกครั้ง “คุณกำลังตอบไม่ตรงคำถาม ผมถามว่าคุณไปเอาปืนกระบอกนั้นมาจากไหน”


คำตอบที่ได้รับยังคงเป็นความเงียบงัน เจ้าของแววตาเรียบเฉยยังคงนั่งนิ่ง แม้จะถูกถามอีกเป็นครั้งที่สามก็ยังไร้ซึ่งคำตอบ


“เอาละ คุณไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เอาไว้ผมจะให้คนตรวจสอบทะเบียนปืนแล้วก็จะคุยกับเจ้าของเองก็แล้วกัน”


เมื่อได้ฟังดังนั้นริมฝีปากหนาที่แห้งผากเพราะอุณหภูมิเย็นเฉียบภายในห้องก็เม้มเข้าหากัน ยอมรับโดยดีว่าถึงคนพูดจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับมีพลังมากพอจะง้างกลีบปากที่ปิดสนิทของตนเองให้เปิดขึ้นได้นับตั้งแต่วินาทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง แผ่นหลังกว้างเอนพิงแนบไปกับพนักพักสายตาลงชั่วขณะ เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบตงเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัวจากนั้นจึงปรือตาขึ้นกล่าว “รู้จักหรือไม่รู้จักมันจะสำคัญอะไรกันครับคุณตำรวจ ในเมื่อตอนนี้ปืนกระบอกนั้นมันอยู่ในมือของผม


“คุณทำแบบนี้ทำไม” อีกคนมุ่นคิ้ว


“ผมบอกแล้วว่าผมก็แค่อยากจะทำให้เธอเลิกยุ่งกับคุณอัศนัย”


“โดยการใช้ปืนขู่ ชนแล้วหนี นี่ยังไม่รวมเรื่องที่คุณสะกดรอยตามสองคนนั่นอีกนะ”


ผู้ต้องหาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าตำรวจทราบเรื่องราวทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง กระนั้นร่างใหญ่ก็ยังคงนั่งนิ่งหรุบตาลงจ้องมองสองมือที่เกี่ยวรัดกันแน่น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ร่างกายสั่นสะท้านแต่ฝ่ามือที่ประสานกันกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ


“มีเหตุผลอะไรที่คุณต้องทำแบบนั้น”


ริมฝีปากหนาที่เม้มแน่นคลายออกพร้อมกับพยายามกลืนน้ำลายเหนียวที่กำลังจุกอยู่ที่คอก่อนจะตอบคำถาม “เธอไม่ควรเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้น ไม่ควรเลยจริง ๆ ไม่ควร...” หน้าขรึมส่ายเบา ๆ ในขณะที่ปากก็ยังพร่ำบอก ‘ไม่ควร’ อยู่อย่างนั้น


“หมายความว่ายังไง” เก่งกาจยืดตัวขึ้นประสานมือวางตรงหน้า ดวงตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่ปากก็ถามต่ออย่างใจเย็น “คุณรู้อะไร”


หูกลับได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศ เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ นายตำรวจหนุ่มจึงทวนคำถามนั่นซ้ำอีกครั้ง  แต่คำตอบที่ได้รับก็ยังคงเป็นความเงียบ เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเก่งกาจจึงตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมกับพูดทิ้งท้าย “คุณยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ คิด เรายังมีเวลาคุยกันอีกนาน ถ้าคุณไม่เบื่อห้องขังแคบ ๆ แบบเมื่อคืนเสียก่อน” พูดจบก็เตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่เสียงแหบแห้งของคนที่กำลังใกล้จนมุมก็ฉุดให้นั่งลงอีกครั้ง


“เขาไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด”


 
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 28-03-2015 04:28:32
คันธชาตินั่งหมุนโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะพลางทอดถอนใจ รอมาเกือบทั้งวันแล้วก็ยังได้รับข่าวคราวใด ๆ จากเก่งกาจ ภายในใจร้อนรุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา แม้จะรู้ว่าชายผู้นั้นไม่ใช่มือปืนอาชีพและสิ่งที่ทำก็เพื่อต้องการขู่แต่ยังอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาตัดสินใจเหนี่ยวไกลแล้วคนที่รับลูกกระสุนแทนเป็นอีกคน เช้านี้ของตนเองจะเป็นอย่างไร หน้าหล่อสะบัดรัวกาอนจะลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ตรงไปเปิดประตูห้องพลันสายตาก็สบเข้ากับคนที่เพิ่งกลับมาจากทำงานพอดี


“ทำไมวันนี้กลับมาเร็ว”


“ผมมีบรรยายพิเศษนอกมหาวิทยาลัยน่ะ แล้วนี่คุณจะไปไหน”


“เดินเล่น”


“เดินเล่นทั้งที่ข้างนอกฝนปรอย ๆ นะเหรอ” ร่างสูงในชุดทำงานชื้นน้ำฝนกล่าวอย่างรู้ทัน


“ก...ก็ เดี๋ยวกลับเข้าไปเอาร่มก็ได้” พูดจบก็เตรียมจะหันกลับเข้าไปหยิบร่มในห้องแต่ก็ถูกขัดขึ้นจนได้


“จะไปหาผู้กองใช่ไหม ก็ผู้กองบอกแล้วไงว่าให้รอฟังข่าวอยู่ที่นี่”


เสียงเรียบทำเอาหัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันทันที “ใครว่าผมจะไปหาไอ้กาจ” คันธชาติหันมาทำหน้ายุ่งแต่พอเห็นยิ้มบาง ๆ ของอีกฝ่ายก็จนต้องเบนสายตาไปทางอื่น


“โกหกจมูกจะยาวขึ้นนะ” เจ้าของรอยยิ้มกล่าวพลางใช้นิ้วขยี้เบา ๆ ที่ปลายจมูกโด่งรั้น แต่ก็ทำอยู่ได้ไม่นานก็ถูกอีกฝ่ายปัดมือออกอย่างรำคาญ


“ผมไม่ใช่เด็กนะ” คนอายุน้อยกว่าทำตาขุ่น แต่นั่นก็ยังเรียกรอยยิ้มจากคนมองได้อยู่ดี


“ทำตัวเป็นเด็กสักพักก็ได้นี่ เลิกทำคิ้วขมวดแล้วไปทานขนมดีกว่า อารตีฝากขนมมาให้”


คนฟังยังคงยืนนิ่งจนธันวาส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเอื้อมมือรั้งแขนขาวให้เดินตามกันไป


“จับทำไม เดินเองได้” พูดไปก็แกะมืออีกฝ่ายไป


“ก็เชิญด้วยวาจาแล้วไม่ยอมมานี่” ร่างสูงกล่าวอย่างไม่สนใจก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง


“ปล่อย ไม่ไป”


ธันวามองคนเอาแต่ใจที่กำลังเกาะวงกบประตูเป็นลูกลิงเกาะแม่พลางหัวเราะ “อยู่คนเดียวเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน ไปทานขนมดีกว่า” พูดจบก็แกะมืออีกฝ่ายให้หลุดก่อนจะลากตัวเข้าไปในห้อง มือหนาคลายออกเมื่อพาชายหนุ่มห้องตรงข้ามมานั่งลงที่โซฟา  “เลิกทำหน้ายุ่งได้แล้ว อ่ะนี่ขนม” พูดจบก็วางถุงขนมลงตรงหน้าก่อนจะขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


ตาคมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ผลุบหายเข้าไปในห้องนอนก่อนจะรื้อ ๆ ค้น ๆ ขนมในถุง สุดท้ายก็เลือกที่จะเอนหลังลงบนโซฟาคว้าหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก เห็นเจ้าของห้องในชุดลำลองเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน จัดการเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จากนั้นเสียงรัวแป้นพิมพ์ก็ตามมา
 

คันธชาติลดหนังสือในมือลงเบนตาขึ้นลอบมองคนที่กำลังนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นมาร่วมชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหนจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไม่เมื่อยบ้างหรืออย่างไร ห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงปลายนิ้วสัมผัสแป้นพิมพ์กับเสียงถอนหายใจเป็นพัก ๆ หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อคิดว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสายหรือพูดอะไรบ้างที่พอจะทำให้เขาไม่รู้สึกเหมือนถูกกักตัวอยู่ในห้องเพียงคนเดียวเช่นนี้


คิดได้ดังนั้นก็เผลอทำจมูกย่น แต่แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกวูบวาบที่สองแก้มทำให้ต้องรีบยกหนังสือขึ้นอ่านต่อ ดูท่าว่าอยู่กันสองคนยิ่งจะทำให้ฟุ้งซ่านหนักกว่าอยู่คนเดียวเสียอีก  กระทั่งเวลาผ่านไปธันวาก็ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมองชายหนุ่มที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ไม่นานเจ้าของผิวขาวละเอียดก็ดีดตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ขยี้หัวจนยุ่งพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด ๆ ส่งเสียงดังราวกับทั้งห้องในห้องมีตนเองอยู่เพียงคนเดียว


ธันวาเผลอยกมือขึ้นลูบต้นคอ เมื่อจู่ ๆ คำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว คิดไม่ออกเลยว่าเริ่มใช้คำ ๆ นี้มาอธิบายลักษณะของคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร ความคิดหยุดลงอยู่เพียงเท่านั้นเมื่อตัวต้นเหตุของอาการใจลอยวางหนังสือลงก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง ร่างสูงเดินวนไปวนมาตามแนวยาวของพื้นที่แคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้ โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าขมุกขมัวหลังฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน อากาศหนาวเย็นยามโพล้เพล้ทำให้ต้องยกมือขึ้นลูบแขนเป็นระยะ หลังจากรับสายได้ไม่นานสีหน้าที่เคยสดใสก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจนคนมองพอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องที่กำลังสนทนากับอีกคนที่ปลายสายนั้นจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ


ด้านคันธชาตินั้นหลังจากรับสายของเก่งกาจริมฝีปากบางเม้มจนแน่นในขณะที่หูยังคงแนบกับโทรศัพท์ตั้งใจฟังเสียงที่กำลังสาธยายในเรื่องที่รอฟังข่าวมาเกือบทั้งวัน มือเท้าลงกับแผงกั้นระเบียงที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดวงตาคมฉายแววครุ่นคิดทอดมองไปยังทิวทัศน์สีทึมที่อยู่เบื้องหน้า รอกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบจึงได้ถามขึ้น


“แล้วได้ความว่ายังไงบ้าง” เงี่ยหูฟังได้ยินเสียถอนใจหนัก ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นแน่


“เขาบอกแค่ว่าที่ทำไปก็เพราะอยากจะขู่ให้แกเลิกยุ่งกับอัศนัย ปืนนั่นก็ไม่ใช่ของเขา ตอนแรกก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นของใคร ได้มายังไง ฉันก็เลยให้ลูกน้องตรวจสอบประวัติกับทะเบียนปืนอย่างละเอียดก็เลยรู้ว่านายวีรพลคนนี้เป็นลูกชายของนายวีรพันธุ์ คนขับรถของบ้านนาฏยกาล ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้จัดการโรงละครดรามาติก ทเวลฟ์ แต่พอโรงละครปิดไปก็ทำตัวเป็นพ่อสายบัวลอยไปลอยมา ส่วนปืนนั่นก็...เป็นของอัญชลิสา”


“อัญชลิสา?” ทวนคำด้วยความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง


“ใช่ แล้วรถที่ใช้ขับชนแกก็เป็นรถคันเก่าที่เสี่ยอนันต์มอบให้นายวีรพันธุ์ไว้สำหรับใช้ส่วนตัว”


“นี่มันอะไรกันวะ ฉันงงไปหมดแล้ว”


“วีรพลสารภาพว่าอัญชลิสาสั่งให้เขาสะกดรอยตามอัศนัย”


“แล้วก็จ้างคนมาขู่ฆ่าฉันเพราะหึงหวงอัศนัยอย่างนั้นเหรอ” ปากพูดไปทั้งที่ในใจยังค้าน


“ไม่ใช่ว่ะ เรื่องขู่ให้แกออกห่างจากผู้ชายคนนั้นเขาคิดวางแผนทำเพียงคนเดียว”


คันธชาติมุ่นคิ่ว ในหัวตื้อไปหมด คิดไม่ออกจริง ๆ เลยว่าวีรพลจะทำเช่นนั้นไปทำไมกัน


...


อัญชลิสาคุกเข่าลงข้างเตียงก่อนจะแตะมือลงบนท่อนขาของคนที่กำลังนอนจ้องเขม็งมายังตนเอง แต่หน้าสวยก็ทำเป็นไม่สนใจค่อย ๆ จับขาพับงอเข่าตามที่นักกายภาพบำบัดประจำตัวของเสี่ยอนันต์แนะนำ หากมีเวลาเธอก็มักจะมาที่บ้านนาฏยะเพื่อทำเช่นนี้อยู่เสมอทั้งที่รู้ว่าหากเจ้าของบ้านยังมีร่างกายที่ปกติคงจะไล่ตะเพิดตนเองในฐานะแขกที่ไม่ได้รับเชิญเป็นแน่ เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงขลุกอยู่ที่นี่หากไม่ช่วยลุงพันป้อนข้าวคุณท่านก็ช่วยทำกายภาพบำบัดแทนนักกายภาพบำบัดที่จะมาเพียงวันเว้นวัน เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ที่เสี่ยอนันต์ล้มป่วย


“พลไม่อยู่เหรอคะลุง” สาวสวยกล่าวกับชายวัยกลางคนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ


“เมื่อคืนมันไม่ได้กลับมานอนที่บ้านครับ ไม่รู้ว่าไปไหน โทรไปก็ปิดเครื่อง” วีรพันธุ์ตอบอย่างไม่ได้ร้อนใจเพราะนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับลูกชายของตนเอง


เจ้าของคำถามพยักหน้าก่อนจะย้ายไปนั่งลงอีกฝั่งของเตียงและเริ่มต้นทำเช่นเดียวกัน


“อันที่จริงคุณอันไม่ต้องมาบ่อย ๆ ก็ได้นะครับ เรื่องทำกายภาพกับป้อนข้าวป้อนน้ำนี่ผมกับแม่บ้านช่วยกันทำให้คุณท่านก็ได้”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุง อันเต็มใจ ถือว่าทำหน้าที่แทนคุณเล็กเธอด้วย”


คนขับรถพยักหน้ารับก่อนจะยืนสงบประสานมือกันอย่างนอบน้อมมองท่าทีของอีกฝ่ายราวกับจะเก็บรายละเอียด และเมื่อทำการบริหารร่างกายเรียบร้อยแล้วเธอก็ทิ้งช่วงเว้นระยะไปพักใหญ่ จากนั้นก็ช่วยกันประคองคนป่วยให้ลุกนั่งเพื่อป้อนยาก่อนอาหาร อนันต์มองตามหน้าสวยพร้อมกับพยายามยกมือขึ้นหยิบแก้วด้วยตนเอง แต่มือที่กระตุกเกร็งกลับปัดแก้วน้ำในมือของอีกฝ่ายจนตกลงพื้นแตกกระจายทำเอาอัญชลิสาหน้าเสีย


“ด...เดี๋ยวผมไปหยิบแก้วใบใหม่ให้นะครับ” วีรพันธุ์กล่าวก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้องทิ้งให้สองคนอยู่กันตามลำพัง
สาวสวยทอดสายตามองคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วให้รู้สึกปวดร้าว เวลาที่ผ่านเลยไม่ได้ช่วยทำให้ความโกรธเกลียดภายในใจของชายผู้นี้ลดลงเลยแม้แต่น้อย คิดได้ดังนั้นร่างบางเตรียมจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะฝ่ามือสั่นเทาที่แตะลงใต้บ่า หน้าหวานหันกลับไปสบตาที่บัดนี้คลายความแข็งกร้าวลงไปมาก ใบหน้ายึดเกร็ง ริมฝีปากสั่นไหวราวกับพยายามจะเปล่งเสียง ในที่สุดเธอก็ได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการบอก


"ข...ขอ...ขอ...โท...ษ ฉ...ฉันขอโทษ" เสียงแหบพร่าขาดหายเป็นห้วง ๆ จนแทบฟังไม่เป็นภาษา แต่กระนั้นก็ทำให้อัญชลิสานิ่งงัน ไม่คิดไม่ฝันว่าได้ฟังคำขอโทษจากปากของผู้ที่ทำให้ตนเองต้องเจ็บปวดพลันเรื่องราวในอดีตที่ยากจะลืมเลือนก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเชนขึ้นในห้วงความคิด...


เมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำขลับเลี้ยวจากถนนละครก่อนจะเข้าไปยังซอยสิบสองมุ่มหน้าสู่โรงละครขนาดเล็กที่เพิ่งจะก่อตั้งและมีชื่อเสียงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทันทีที่รถจอดสนิทที่หน้าโรงละคร ชายในชุดซาฟารีลงจากรถจากนั้นก็เดินอ้อมไปเปิดประตูด้านหลัง รอกระทั่งผู้เป็นนายก้าวลงจากรถจึงปิดประตูเดินตามกันเข้าไปด้านใน


อนันต์ นาฏยะ สาวเท้าไปหยุดยังเคาเตอร์ต้อนรับที่ขณะนี้เงียบเชียบเพราะละครเรื่องสำคัญเพิ่งปิดฉากลงไปเมื่อคืนวันก่อน ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดที่โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ละครเรื่องล่าสุด แต่แล้วชายวัยกลางคนก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากด้านหนึ่ง


ขายาวที่มีไม้เท้าช่วยค้ำยันเดินไปตามทางแคบจนมาหยุดที่หน้าห้องซึ่งมีป้ายติดว่า 'ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า' เมื่อได้รับคำสั่งมือหนาจึงผลักบานประตูกระจกเข้าไปแต่เสียงวี้ดว้ายแสบแก้วหูก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ในห้องเต็มไปด้วยนักแสดงหนุ่มสาวรวมถึงสาวประเภทสองที่กำลังดื่มกินและเต้นรำตามจังหวะเพลงกันอย่างสนุกสนาน  กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมควันบุหรี่ส่งกลิ่นคละคลุ้งจนแสบจมูกทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับหน้าเบ้


และเมื่อไม้เท้าซึ่งทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดีถูกกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นตาทุกดวงต่างก็จดจ้องมายังร่างที่กำลังยืนทำหน้าถมึงทึง วินาทีนั้นเองรอยยิ้มบนใบหน้าของแต่ละคนก็เหือดหายไปในพริบตาราวกับหยดน้ำที่โดนแผดเผาด้วยแสงแดดร้อนระอุ ความเงียบเข้าครอบคลุมทุกอณูของพื้นที่ ร่างสูงของชายวัยกลางคนเริ่มเดินไปรอบ ๆ ทุกครั้งที่ปลายไม้เท้ากระทบกับพื้นปาร์เก้ขัดมัน ต่างคนก็ต่างสะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋


"ไปตามเจ้าเล็กมา" เสียงห้าวสะท้อนผนังห้องโถงทรงกระบอกกังวานก้องน่าเกรงขาม ดวงตาแข็งกร้าวมองสำรวจไปรอบ ๆ ระหว่างรอ


"ค...คุณเล็ก เอ่อ...คุณเล็กกำลัง..." หนุ่มน้อยร่างอ้อนแอ้นที่เป็นคนเดินไปปิดเครื่องเล่นซีดีเอ่ยขึ้น


"ฉันไม่ได้ถาม!" อนันต์หันไปตวาดก่อนจะก้มลงมองสาวงามนางหนึ่งที่อยู่ในสภาพเมามายจนดูไม่ได้ ร่างเพรียวบางนอนเลื้อยอยู่กับพื้นห้อง มือหนึ่งกำกระป๋องเบียร์แน่นในขณะที่อีกมือวาดไปในอากาศเหมือนไขว่คว้าหาบางสิ่ง  เสื้อคอกว้างหลุดลุ่ยจนเห็นเนินอกที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติเกินผู้หญิงธรรมดาทั่วไป หน้าแดงก่ำเงยขึ้นก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ขาคนยืนเพื่อรั้งตัวเองขึ้นนั่ง


"อย่า...อารมณ์เสียสิคะเสี่ย ม่าย...ดี ม่าย...ดี..." เสียงแหบห้าวแบบผู้ชายพูดได้แค่นั้นก็ถูกฟาดด้วยไม้เท้าจนหน้าหงาย เสียงกรีดร้องดังสนั่นจนแยกไม่ออกว่าไหนคือเสียงคนเจ็บ ต่างคนต่างอยู่ในอารามตกใจ แม้จะรู้ดีว่าเสี่ยอนันต์เกลียดชังเพศที่สามจนเข้าไส้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดลงไม้ลงมือเช่นครั้งนี้ บางคนที่พอจะมีสติเข้าไปช่วยประคองเจ้าของใบหน้าอาบเลือดแดงฉานก่อนจะพาหลบไปอีกทางหนึ่ง


"ฉันไม่อยากจะเสวนากับพวกแก ไปตามเจ้าเล็กมา" อนันต์สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดก่อนจะฉันกลับไปมองชายหนุ่มที่พรวดพราดเปิดประตูเข้ามา ร่างสูงใหญ่หยุดหอบตัวโยนอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยกมือไหว้นายใหญ่แห่งนาฏยกาล


"ไอ้พล เจ้าเล็กอยู่ไหน แกพาฉันไปพบมันเดี๋ยวนี้"


เจ้าของชื่อลอบสบตาผู้เป็นพ่อที่ยังคงยืนประสานมือนิ่งยืนดูเหตุการณ์ก่อนจะตอบ "เอ่อ...คือ...คุณเล็กกำลังพักผ่อนครับ ด...เดี๋ยวผมไปตามให้มาพบคุณท่านดีกว่าครับ เชิญคุณท่านไปนั่งรอในห้องรับ...รอง..."


"ฉันบอกให้พาฉันไป" ริมฝีปากหยักพูดเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม


"ต...แต่ว่า..."


อนันต์จ้องใบหน้าซีดเซียวของผู้จัดการโรงละครและเพื่อนเล่นสมัยเด็กของลูกชายตาเขม็ง ซึ่งนั่นก็ทำให้วีรพลจำต้องหุบปาก รู้ดีว่าไม่ควรพูซ้ำเป็นครั้งที่สอง ได้แต่เพียงรับคำสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำออกจากห้อง มุ่งหน้าสู่ห้องพักที่อยู่ชั้นสอง


"เปิดประตูสิ" ผู้เป็นนายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกชายคนขับรถยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตูแทนที่จะเปิดเข้าไปข้างใน
มือสั่นเทาเอื้อมลูกบิดประตูแต่ก็ชะงักรอบแล้วรอบเล่า


"ค...คุณท่านไปรอข้างล่างดีกว่าไหมครับ"


"ฉันบอกให้เปิดไง หรือว่าแกกับเจ้านายรวมหัวกันปิดบังอะไรไว้"


"ปละ...เปล่าครับ" วีรพลกลั้นใจบิดลูกบิดเมื่อพบว่าห้องถูกล็อกจากด้านใน ชายหนุ่มจึงลอบถอนใจอย่างโล่งอก "สงสัยคุณเล็กคงจะกลับไปที่บ้านใหญ่แล้วละครับ"


"จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อรถมันยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถ"


"หรืออาจจะนั่งแท็กซี่กลับ...ไป..." คนพูดอ้าปากค้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์แนบหู ครู่หนึ่งเสียงเพลงก็ดังขึ้นที่หลังประตู นั่นทำให้อนันต์ยิ่งมั่นใจว่าลูกชายของเขาต้องอยู่ข้างใน รอกระทั่งสายตัดเจ้าของโทรศัพท์ก็ยังไม่รับสาย หน้าเหี้ยมเกรียมจึงหันมาออกคำสั่งกับผู้จัดการโรงละคร


"แกไปเอากุญแจสำรองมา"


"เอ่อ..."


"บอกให้ไปเอามาไง หรือจะให้ฉันพังเข้าไป"


"อะ...เอ้อ ครับ ๆๆๆ ครับคุณท่าน" พูดจบก็ปลดพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับเข็มขัดอย่างรนราน เมื่อได้ลูกกุญแจที่ต้องการก็เสียบผิด ๆ ถูก ๆ เพราะความคุมมือไม้ไม่ให้สั่นไม่ได้


ทันทีที่ประตูเปิดออกเสี่ยอนันต์ก็ย่างสามขุมเข้าไปในห้องที่อัศนัยใช้เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพัก มือหนายังคงถือโทรศัพท์เงี่ยหูฟังเสียงเรียกเข้าจนในที่สุดก็พบโทรศัพท์ของลูกชายวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ข้าง ๆ กันมีถังใส่ไวน์และแก้วก้านยาวสองใบที่มีของเหลวสีแดงคล้ำติดอยู่ก้นแก้ว


"เจ้าเล็กอยู่ในห้องนอนใช่ไหม" พูดจบก็เบนสายตาไปยังประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิท ขายาวก้าวเข้าไปประชิดก่อนจะเอื้อมมือเปิดโดยไม่ฟังคำทักท้วงใด ๆ ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่เห็นก็ทำให้คนเป็นพ่อแทบยืนไม่ไหว ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองสองร่างเปลือยที่กำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียง


"ไอ้เล็ก!" อนันต์ตวาดแหวพร้อมกระทุ้งปลายไม้เท้าลงพื้นจนสองคนสะดุ้งตื่น


ชายหนุ่มรูปร่างอรชรผวาโผเข้าหาคนรักที่กำลังสลึมสลือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์โดยอัตโนมัติ ร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยความกลัวเมื่อสบตาผู้อาวุโสที่จ้องมายังตนเองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


"ค...คุณพ่อ"


"แกยังจำฉันได้อยู่อีกเหรอ" ผู้เป็นพ่อกัดฟันกรอด "นี่ใช่ไหมเป็นสาเหตุให้แกไม่กลับบ้านกลับช่องและหลบเลี่ยงการดูตัวลูกสาวเพื่อนฉัน"


"ผ...ผม..." อัศนัยกล่าวปากคอสั่นแต่ก็ยังกอดคนข้าง ๆ ไม่ยอมปล่อย


"ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วตามฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้"


"ต...แต่คุณพ่อครับ"


"แกคิดจะขัดคำสั่งฉันเหมือนพี่ชายของแกหรือไง พวกแกต้องการให้ฉันอกแตกตายไปต่อหน้าใช่ไหม" เมื่อบุพการีกล่าวเช่นนี้คนเป็นลูกก็ยากจะขัดได้ อัศนัยก้มลงสบตาคนในอ้อมแขนก่อนจะจำใจลุกจากมา โดยไม่สนใจสายตาวิงวอนของคนข้างกาย ร่างร่อนจ้อนรีบคว้าเสื้อผ้าก่อนผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำครู่หนึ่งก็กลับออกมายืนต่อหน้าผู้เป็นพ่ออีกครั้ง เสี่ยอนันต์เห็นหน้าหล่อเหลาก้มงุดหลบสายตาอย่างลูกที่ไม่เคยคิดจะแข็งข้อจึงสาวเท้าเข้าไปยืนประจันหน้า จับคางลูกชายก่อนจะกล่าว


"ถ้าคนอื่นเขารู้เข้า แกจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"


“แต่ผมรักอาร์ม”


“รักเหรอ แกพูดมาได้ยังไงว่าแกรักมัน แกรู้ไหมว่าความรักของพวกแกมันน่าขยะแขยง ไม่มีใครที่ไหนเขายอมรับหรอก แกต้องตามฉันกลับบ้านแล้วไปกินข้าวกับลูกสาวคุณวันชัย เราจะคุยเรื่องแต่งงานกันเย็นนี้”


“แต่ผมไม่ได้อยากแต่ง”


“แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ”


“พ่อบังคับผม บังคับพี่ใหญ่มามากพอแล้ว ขอให้ผมได้เลือกทางเดินของผมเองบ้างเถอะครับ”


“ไอ้เล็ก!” พูดจบก็ง้างมือฟาดลงบนแก้มสากเต็มแรงจนอัศนัยหน้าหัน


"คณพ่อ" คำเรียกนั้นบางเบาไม่ต่างอะไรกับอากาศ กว่าจะรู้ว่าขาดไม่ได้ก็ตอนที่ไม่มีเสียแล้ว


"คุณท่านอย่าตำหนิคุณเล็กเลยนะครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง" อาร์มพูดด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ อยากจะลุกไปปกป้องคนที่รัก แต่สภาพไม่ชวนมองเช่นนี้จะทำอะไรได้นอกจากต้องนั่งอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่มอย่างจำใจ


"แกหุบปากไปเลย" ตวาดพลางลากสายตากลับมายังลูกชายตนเอง "ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้รับไอ้พวกผิดปกติแบบนี้เข้าทำงาน"


"ผ...ผมไม่ได้ผิดปกตินะครับ ผมก็เป็นคนเหมือน ๆ กับคุณท่าน มีเลือดมีเนื้อ มีหัวใจมีความรักเหมือน ๆ กัน" อาร์มคิดว่าหากพูดกันด้วยเหตุผลอีกฝ่ายจะรับฟัง แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่ามันเป็นความคิดที่ผิด 


"ฉันขอสั่งให้แกเลิกยุ่งกับลูกชายของฉันนับตั้งแต่วันนี้"


“ม...ไม่ ผมกับคุณเล็กเรารักกัน”


อนันต์หัวเราะหึ มองอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด รอยซ้ำแดงบนผิวหนังนั่นมันช่างน่ารังเกียจเสียเหลือเกิน ชายวัยกลางคนถอนหายใจหนักก่อนหันไปบอกให้วีรพันธุ์โทรศัพท์เรียกผู้ติดตามเข้ามาพบ ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มร่างกายกำยำสองคนก็เดินเข้ามาในห้อง ยืนสงบนิ่งรอฟังคำสั่งจากเจ้านาย


“แกสองคนจับตัวมันไว้” เสียงประกาศิตทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง อาร์มลอบสบตาคนรัก แต่ในช่วงเวลานี้อัศนัยเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ช้าคนแปลกหน้าก็เข้าประชิดตัว พยายามจะถอยหนีแต่แล้วร่างเปลือยถูกจับให้นอนคว่ำ แขนขาถูกตรึงด้วยมือหยาบ หูได้ยินเสียงนายใหญ่แห่งนาฏยกาลเดินเคาะไม้เท้าไปรอบ ๆ เตียงพร้อมกับคำรามในลำคอ ในความคิดของคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะเอาตัวรอดได้อย่างไรเช่นนี้นับว่าเป็นเสียงที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา


“ไอ้พล แกเอาบุหรี่มา”


วีรพลมองผู้เป็นนายอย่างแปลกใจในขณะที่มือก็ล้วงหยิบบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงยื่นให้ แต่แทนที่คนขอจะรับกลับออกคำสั่งให้จุดไฟเสียอย่างนั้น


“อะ...อะไรนะครับคุณท่าน”


“ฉันบอกให้จุดไฟแล้วสูบบุหรี่ แกเครียดไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นเวลาที่แกเครียดแกต้องหลบไปสูบบุหรี่ทุกที”


อนันต์จ้องมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังงก ๆ เงิ่น ๆ จุดไฟที่ปลายมวนบุหรี่ก่อนจะอัดควันเข้าเต็มปอด ครู่หนึ่งริมฝีปากหยักก็เหยียดยิ้มชวนสะพรึง


“แกหายเครียดหรือยัง”


“ค...ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบ ๆ ทำงานของแกเสียที แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่”


“งาน?”


“ใช่” เจ้าของน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมมองไปยังแผ่นหลังขาวที่เต็มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบ “จี้ลงไปทุกจุดที่มีรอยน่าเกลียดนั่น ลูกชายฉันจะไม่ทำแบบนี้กับคนที่ฉันไม่ได้เลือกให้”


เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหัว อัศนัยเบิกตากว้างสบตาคนสนิทก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้เป็นพ่อ ใจอยากจะทักท้วงแต่สมองกลับสั่งให้ปากปิดสนิท ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างอยากลำบากก่อนจะดึงสายตากลับไปยังร่างที่นอนนิ่งราวกับนักโทษยอมจำนนท์รอรับการลงโทษ ไม่มีการร้องหรือท่าทีขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น


“ถ้าแกไม่กล้าทำแกนั่นแหละที่ต้องโดน โทษฐานที่ช่วยเจ้าเล็กปิดบังเรื่องทุเรศ ๆ นี่”


“ค...คุณพ่อครับ…”


“กลับบ้านได้แล้ว ฉันมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคุยกับแก” คำพูดนั้นทำให้อัศนัยต้องละสายตาจากร่างเล็ก กลั้นใจหันหลังเดินตามผู้เป็นพ่อออกไป ทันทีที่ประตูปิดลงก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากข้างใน กำลังจะชักปลายเท้ากลับแต่สายตาพิฆาตของบิดาก็ทำให้ต้องหยุดความคิดที่จะขัดขืนเอาไว้เพียงแค่นั้น…





“คุณอันครับ...คุณอัน...”


เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก เมื่อตั้งสติได้ก็ยกนิ้วเรียวขึ้นซับน้ำที่หางตา


“ลุงพันว่าอะไรนะคะ”


“ผมเอาแก้วใบใหม่มาให้แล้วครับ”


แทนที่จะรับของที่อีกฝ่ายส่งให้สาวสวยกลับผุดลุกขึ้นพร้อมกับบอก “ลุงพันช่วยป้อนยาคุณท่านทีนะคะ พอดีอันนึกได้ว่ามีธุระต้องไปทำ ยังไงพรุ่งนี้อันจะไปรอลุงพันกับคุณท่านที่โรงพยาบาลนะคะ” พูดจบก็คว้ากระเป๋าสะพายเดินออกจากห้องไปทันที


ร่างบางมาหยุดหน้ากระจกกรอบไม้แกะสลักบานใหญ่ เอี้ยวตัวมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก เสื้อคว้าหลังเผยให้เห็นผิวเนื้อกระจ่างตา บาดแผลคราวนั้นได้เลือนหายไปแล้วตามกาลเวลา จะมีก็เพียงแผลขนาดใหญ่ที่ใต้บ่าด้านขวาเท่านั้นที่ยังคงเป็นแผลเป็นจนต้องสักลายทับลงไป และคนที่เลือกลายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็คืออัศนัยผู้ที่มีรอยสักรูปผีเสื้ออยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
 

...


ธันวาชะเง้อมองคนอายุน้อยกว่าที่ยังคงยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรกันถึงได้ยืนอยู่อย่างนั้นมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินตรงไปเกาะประตูยืนฟังเงียบ ๆ 


“แล้วนี่อัญชลิสากับคนที่บ้านนาฏยะรู้เรื่องนี้หรือยัง”


“ยัง ฉันยังไม่ได้บอกใคร แต่ฉันคิดว่าจะไปเชิญตัวอัญชลิสามาคุยกันในวันพรุ่งนี้ รู้สึกว่ามีคำให้การบางเรื่องของวีรพลที่ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ”


คันธชาติผ่อนลมหายใจออกในขณะที่มือหนึ่งยังคงจับราวระเบียงแน่น และเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวปากบางก็เอ่ยขึ้นอย่าง


“ถ้าอย่างนั้น...ขอฉันไปด้วยได้ไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยกับทั้งอัญลิสาและวีรพล”


“เรื่องอะไรวะ นี่แกมีอะไรหรือเปล่าวะบุ้ง”


คนถูกถามยืนนิ่งคิดทบทวนบางสิ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น “อัญชลิสาคือคนที่กิ่งสนิทที่สุด ฉันอยากรู้ว่ากิ่งเล่าอะไรให้เธอฟังบ้างหรือเปล่า แล้ววีรพล...จะใช่เขาหรือเปล่า"


"นี่แกยังบอกฉันไม่หมดใช่ไหมไอ้บุ้ง แกมีเรื่องอะไรที่ยังบอกฉันไม่หมด แกบอกฉันมาสิ บอกมาให้หมด แกบอกสิ่งที่แกรู้มาให้หมดสิวะไอ้บุ้ง" เก่งกาจเริ่มขึ้นเสียง


"ก...กิ่ง กิ่งเคยโทร.มาเล่าให้ฉันฟังว่ารู้สึกเหมือนมีคนตาม แต่ฉันไม่เชื่อกิ่ง แถมยังบอกว่ากิ่งคิดมากไปเอง ตอนนั้นฉันน่าจะเชื่อแล้วก็มาหากิ่งให้เร็วกว่านี้ แต่พอฉันมา...” คนพูดหยุดยกมือขึ้นปิดปากห้ามเสียงสะอื้นของตนเอง "พอฉันมาก็กลายเป็นว่าต้องมารับศพของกิ่งกลับไป"


"นี่ใช่ไหมที่เป็นสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้แกเชื่อว่าการตายของกิ่งไม่ใช่อุบัติเหตุ"


“ฉ...ฉันน่าจะเชื่อกิ่ง ฉันน่าจะเชื่อกิ่ง น่าจะเชื่อ...” คันธชาติพร่ำบอกพลางปาดน้ำตา


“ไม่มีประโยชน์จะคิดถึงอดีตบุ้ง มันผ่านมาแล้ว หน้าที่ของเราตอนนี้คือสืบให้รู้ว่ากิ่งตกลงมาเองหรือมีใครที่ทำให้ตกลงมากันแน่ ถ้าพรุ่งนี้แกอยากจะมาก็ได้ แต่แกต้องมาในคราบของบุ๊ง” เก่งกาจกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวางสาย


คันธชาติเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะทอดตามองไปยังท้องฟ้ามืดมิด คิดทบทวนสิ่งที่ได้ฟังจบไปเมื่อสักครู่ พลันร่างกายก็ไหวสะท้านเพราะสายลมที่พัดเอาละอองน้ำเล็ก ๆ กระทบผิวกายทำให้เผลอยกมือขึ้นกอดอก


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


เสียงที่ดังขึ้นใกล้หูทำให้ต้องหมุนตัวกลับไปสบตาเจ้าของคำถาม เกือบลืมไปเลยว่าที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ห้องของตนเอง


“เปล่า”


ธันวาไม่ได้ใส่ใจคำตอบนั้นสักเท่าไร มือหนายกขึ้นประคองข้างแก้มที่ยังคงทิ้งคราบน้ำตาของคนตรงหน้าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือปาดหยาดน้ำใสที่ใต้ตาเบา ๆ “แต่คุณร้องไห้”


“ที่ไหนกันเล่า ทำไมชอบทำเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ อยู่เรื่อย” แสร้งทำโวยวายกลบเกลื่อนแต่เสียงขึ้นจมูกนั่นก็ฟ้องอยู่ดี แทนที่คันธชาติจะปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างเคยกลับยึดเอาไว้แน่นราวกับเด็กน้อยที่ต้องการมืออุ่น ๆ ของผู้เป็นแม่ไว้ปลอบประโลมยามทุกข์ใจ


“กอดผมก็ได้นะ ไม่บอกใครหรอก” คนมาดขรึมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ


คนฟังมุ่นคิ้วรีบปล่อยมือจากอีกฝ่าย “ไอ้บ้า ใครจะอยากกอดคุณ”


“ก็คุณไง” พูดจบก็รั้งร่างสูงพอ ๆ กันเข้ามาสวมกอด มือหนาลูบขึ้นลงบนแผ่นหลังกว้าอย่างให้กำลังใจ เพียงเท่านั้นน้ำตาที่คันธชาติฝืนกลั้นเอาไว้ก็เอ่อล้นพรั่งพรูอาบสองแก้มราวกับเขื่อนแตก



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบค่ะ

 
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 28-03-2015 07:48:11
ปริศนาเริ่มจะคลายแล้ววววววว~~

ชอบมากๆเลยครับ

รอติดตามตอนจบนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 28-03-2015 11:24:15
ตอนหน้าจบแล้วหรอคะ เร็วจังเลย


นี่อ่านไปลุ้นไป ต้องอ่านอยากมีสติที่สุด
มีเรื่องที่เดาไว้หลายๆ อย่าง แต่ก็ง๊งงงค่ะ

รอตอนหน้านะคะ อยากรู้ว่าคุณอัศนัยตัวจริงหายไปไหนกันแน่
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 28-03-2015 12:01:16
อัศนัยตัวจริง ตายแล้ว?
สงสารอาร์ม  :monkeysad:
ทำไมต้องฆ่ากิ่ง ใครเป็นคนทำ โอ้ย อีกตอนเดียว
ทั้งคลี่คลายคดี ทั้งความสัมพันธ์ของธันวากับคันธชาติ
ตอนเดียวไม่พออออออ :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 28-03-2015 12:40:59
ตอนหน้าก็จะจบแล้วหรอ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 28-03-2015 13:22:51
ความจริงจะเปิเผยแล้ว อยากรู้ว่าอัศนัยตัวจริงอยู่ที่ไหน???

ตอนหน้าจะจบแล้วจริงหรอเนี่ย :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 28-03-2015 14:02:21
จะจบแล้วจะได้รู้ความจริงแล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-03-2015 14:12:35
อัศนัยคนนี้ตัวปลอมแน่
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 30-03-2015 15:16:18
ตาเฒ่านี้ร้ายนะ!!!
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-03-2015 20:40:50
มันเหมือนแบบ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการทำร้ายกันเพราะคำว่ารัก คำว่าหวังดี ยังไงก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ) 28-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 31-03-2015 12:20:42
โอยย~ สนุกมากเลยค่ะ
ลุ้นๆๆๆ

ขอบคุณนะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-04-2015 00:07:50
ตอนที่ 18 : คนในความมืด



"ทราบแล้ว ขอบใจมาก"


นายตำรวจหนุ่มกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะติดเครื่อง รอกระทั่งรถสปอร์ตคันงามโผล่พ้นปากซอยจึงขับตามไปห่าง ๆ พักใหญ่รถคันนั้นก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดของโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง เจ้าของรถเปิดประตูลงมาก่อนจะเดินลิ่วเข้าไปยังด้านในของตัวอาคาร เมื่อเห็นดังนั้นเก่งกาจจึงหักพวงมาลัยถอยสปอร์ตซีดานของตนเองเข้าจอดยังที่ที่ว่างอยู่ ไม่รอช้าก็รีบเปิดประตูออกจากรถเดินตามร่างบางเข้าไปทันที
 

อัญชลิสาผลักประตูกระจกเข้าไปในศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูที่เต็มไปด้วยผู้ป่วย บ้างก็นั่งรถเข็นบ้างก็ยังสามารถเดินเหินได้เองโดยใช้ไม้เท้า สาวสวยชะเง้อคอกวาดตามองไปทั่วจนพบอนันต์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่เจ้าหน้าที่แปลเข็นมารอหน้าห้องตรวจ ข้างกายของชายวัยใกล้เกษียณผู้นี้ไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นลูกหรือแม้แต่ญาติ ๆ ต่างกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เป็นภาพที่คนใกล้ชิดอย่างอัญชลิสาเห็นแล้วให้สะท้อนใจยิ่งนัก
 

อดีตนักธุรกิจบันเทิงผ่อนลมหายใจเบา ๆ ขณะลากดวงตาหม่นเศร้าตามร่างของสองแม่ลูกที่ประคองกันเข้าห้องตรวจ ทันทีที่ประตูปิดลงชายวัยใกล้เกษียณก็ดึงสายตากลับมามองสภาพไม่สมประกอบของตนเอง สองมือกำแน่นเกร็งสั่น นึกเจ็บใจในโชคชะตา สมัยที่ชีวิตยังเฟื่องฟูเคยมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง แต่บัดนี้เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ยังดีที่ได้คนขับรถคนสนิทคอยเป็นธุระเรื่องต่าง ๆ ให้ คนที่คอยดูแลใกล้ชิดตลอดสองปีที่ป่วยหนักแทนที่จะเป็นลูกชายสุดที่รักกลับเป็นนางเอกละครสาวประเภทสองที่ตนเองเกลียดเข้าไส้
 

พลันร่างบนรถเข็นก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมือเย็นเฉียบสัมผัสลงบนท่อนแขน ดวงตาเฉยชาเลื่อนขึ้นมองเจ้าของหน้าสวยที่นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ อยากถามเหลือเกินทำไมเธอยังทนทำเช่นนี้ในเมื่อตัวเขาร้ายกับเธอเอาไว้มากอย่างไม่น่าให้อภัย แต่สภาพที่เป็นอยู่นี้ก็ทำให้การพูดจาเป็นเรื่องที่ทำได้ทุลักทุเลเหลือเกิน อนันต์จึงเลือกที่จะนั่งเงียบรอฟังคำของอีกฝ่าย
 

"ทำใจให้สบายนะคะคุณท่าน อีกเดี๋ยวคุณหมอก็จะเรียกตรวจแล้ว" อัญชลิสากล่าวพลางคลายมือที่กำเกร็งของคนป่วยออกก่อนจะนวดเบา ๆ และเมื่อพยาบาลเรียกชื่ออนันต์ นาฏยะ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนขับรถซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านนาฏยะเดินมาถึงพอดี วีรพันธุ์ขอโทษขอโพยเจ้านายทั้งสองที่ตนเองมาช้าเพราะมัวแต่หาที่จอดรถ จากนั้นทั้งหมดจึงเข้าไปในห้องตรวจพร้อมกัน
 

ร่างสูงในเครื่องสีกากีติดยศร้อยตำรวจเอกนั่งรออยู่ที่หน้าเคาเตอร์ชำระเงินพักใหญ่รอจนกระทั่งอัญชลิสาชำระเงินและรับยาเรียบร้อยแล้วจึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสามคนที่มีความเกี่ยวข้องกับวีรพล เขาแนะนำตัวเองก่อนจะชี้แจงเหตุผลที่มาในวันนี้ ทั้งทะเบียนปืนและรถยนต์ก่อนจะเชิญทั้งหมดไปที่โรงพัก
 

อัญชลิสาเดินตามร่างบึกเข้าไปในห้องที่ถูกจัดไว้ ส่วนอนันต์ก็ถูกนายตำรวจผู้หนึ่งเข็นเข้ามาโดยมีวีรพันธ์เดินตามไม่ห่าง ทั้งหมดนั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ ดวงตาทั้งสามคู่จ้องมองวีรพลในสภาพที่ถูกสวมกุญแจมือที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เก่งกาจซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะส่งสัญญาณให้นายตำรวจยศน้อยกว่านำปืนลูกโม่ขนาดเล็กที่หุ้มด้วยถุงพลาสติกแบบซิปล็อควางตรงหน้าสาวสวยก่อนจะถามขึ้น


“ปืนกระบอกนี้ใช่ของคุณหรือเปล่า”


คนถูกถามพยักน้อย ๆ เพราะแค่เห็นเวบแรกก็จำได้ มันเป็นปืนพกที่อัศนัยสั่งทำเป็นพิเศษโดยสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งเป็นอักษรตัวแรกในชื่อของเธอเอาไว้


“ใช่ค่ะ ปืนกระบอกนี้เป็นปืนของฉันเอง มันเริ่มจะขึ้นสนิมแล้วก็เลยให้คนเอาไปทำความสะอาด” พูดจบก็เบนสายตาไปยังร่างใหญ่ฝั่งตรงข้าม


“คุณวีรพลใช้ปืนกระบอกนี้ขู่กรรโชกทำให้เจ้าทุกข์เกิดความหวาดกลัว ก่อนหน้านี้ก็ขับรถชนแล้วหนีมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งรถคันดังกล่าวก็คือรถที่คุณอนันต์มอบให้กับคุณวีรพันธุ์ไว้สำหรับใช้งานส่วนตัว” เก่งกาจอธิบาย “ส่วนเจ้าทุกข์ที่ว่าก็คือคุณบุ๊ง”


อัญชลิสาแทบไม่เชื่อหูมองตามหน้าหล่อที่หันไปยังประตู พลันร่างสูงของสาวสวยก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นคันธชาติในคราบของบุ๊งเดินเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงห่างจากวีรพลไปไม่ไกลนัก


“น...นี่มันอะไรกันพล ตอบพ่อมาสิลูก แกไปทำเขาทำไม” วีรพันธุ์โพล่งขึ้นแต่กลับไร้คำตอบจากผู้เป็นลูกชาย คนตัวโตยังปิดปากเงียบจนกระทั่งเจ้าทุกข์เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด


“คุณวีรพลคนนี้เป็นคนขับรถชนบุ๊งเมื่อครั้งก่อน แถมยังสะกดรอยตามและชักปืนจะยิงบุ๊งด้วยค่ะ”


“ผมบอกแล้วว่าผมก็แค่ขู่ ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับคุณอัศนัย”


“พี่พลทำแบบนั้นทำไม” อัญชลิสากล่าวเสียงเรียบ แม้ภายในใจจะรุ่มร้อนเพียงใดแต่ยังคงวางหน้านิ่งเป็นปกติ


“ผมไม่อยากให้คุณอันต้องเสียใจ ผ...ผม ผมแค่อยากจะไถ่โทษเรื่องคราวนั้น”


คำว่า ‘เรื่องคราวนั้น’ ทำเอาเจ้าของคำถามสะอึก ไม่เว้นแม้กระทั่งอนันต์ที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ก็ถึงกับกระตุกเกร็ง ดวงตาจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้าพลางนึกถึงเหตุการณ์ครั้งเก่า


“แต่อัน...อันไม่ได้ต้องการให้พี่พลทำแบบนั้น อันก็แค่...” คนสวยชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกือบจะพลั้งปาก


“ก็แค่ให้สะกดรอยตาม คุณจะบอกว่าอย่างนี้หรือเปล่าครับ” เก่งกาจกล่าวพลางประสานมือลงบนโต๊ะ “ทีนี้คุณคงต้องตอบคำถามผมแล้วละครับคุณอันชลิสาว่าคุณให้คุณวีรพลสะกดรอยตามคุณอัศนัยทำไมกัน” พูดจบก็สบตาเพื่อนรักเป็นสัญญาณ คันธชาติจึงทะลุขึ้นกลางปล้องตามที่ได้นัดแนะกันเอาไว้


“คุณอันหึงที่คุณอัศนัยมายุ่งกับบุ๊งใช่ไหมคะ ถึงให้เขาสะกดรอยตาม แถมยังทำร้ายบุ๊งอีกเหมือนกับที่คุณทำกับกิ่งดาว พวกคุณรวมหัวกันทำให้กิ่งต้องตายใช่ไหมคะ”


“ไม่ใช่!” อันชลิสาสวนขึ้นทันควัน “ฉันไม่ได้สั่งให้เขาทำร้ายเธอแล้วฉันก็ไม่ได้หึงหวงคุณอัศนัย ล...แล้วเธอรู้จักกิ่งดาวได้ยังไง ธ...เธอเป็นใครกันแน่”


“กิ่งเป็นเพื่อนบุ๊งค่ะ”


ในที่สุดอัญชลิสาก็ถึงบางอ้อ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะผ่อนออกยาวเยียดแล้วจึงพูดต่อ “เธอคิดแบบนี้ แสดงว่าที่เธอเข้ามาทำงานในนาฏยกาลเธอก็มีจุดประสงค์ใช่ไหม”


ตาคมจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ “ค่ะ บุ๊งไม่เชื่อว่าการเสียชีวิตของกิ่งจะเป็นอุบัติเหตุ”


“แต่ตำรวจก็ได้ข้อสรุปแล้วนี่ว่าการเสียชีวิตของกิ่งเป็นอุบัติเหตุ อีกอย่างทั้งฉันพี่พลและกิ่งดาวเราต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่สมัยที่พวกเราทำงานที่ดรามาติก ทเวลฟ์ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ฉันหรือพี่พลจะคิดร้ายต่อกิ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ส่วนเรื่องเธอกับคุณอัศนัย ฉันขอยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดมันผิด ฉันไม่ได้หึงหวงคุณอัศนัย ไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอ”


“ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรล่ะครับ เพราะอะไรคุณถึงต้องให้คุณวีรพลสะกดรอยตามคุณอัศนัย คุณก็เหมือนกันคุณวีรพล คุณมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำให้คุณบุ๊งอยู่ห่าง ๆ คุณอัศนัย” นายตำรวจหนุ่มถามต่อ


เจ้าของหน้าสวยเงยหน้าขึ้นสบตาอดีตผู้จัดการโรงละคร รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ที่ปลายหน้าผา เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงจำเป็นจะต้องพูดความจริง เพราะถ้าหากยังดื้อดึงอมพะนำอ้ำอึ้งก็คงจะพากันเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะวีรพลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น้อยที่สุด กระนั้นก็สาวสวยยังไม่ลืมที่จะเบนสายตาไปยังชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นเพื่อจะขอความเห็น และเมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงอนุญาต อัญชลิสาจึงตัดสินใจพูดเรื่องที่เก็บงำไว้ยาวนานออกมา


“เขาไม่ใช่อัศนัย แต่เป็นอัศวิน” ริมฝีปากชมพูระเรื่อเม้มเข้าก่อนจะค่อย ๆ คลายออกเพื่อขยายความ “ฉันกับคุณอัศนัย...เรารักกัน แต่เพราะความอ่อนแอของคุณอัศนัยกับสัญญาบ้า ๆ นั่นทำให้เขาสองคนวางแผนสลับตัวกัน  คุณอัศวินสัญญากับคุณอัศนัยว่าจะทำให้ทุกอย่างให้คุณท่านยอมรับในความรักของเรา โดยมีข้อแม้ว่าคุณอัศนัยจะต้องขายดรามาติก ทเวลฟ์แล้วกลับมาอยู่ที่นาฏยกาล เขาสองคนอาศัยข่าวลือเรื่องคุณอัศวินหนีการแต่งงานสลับตัวกัน คุณอัศวินรับปากว่าจะช่วยน้อง แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เขาตั้งใจจะแก้แค้นคุณพ่อคุณแม่ที่คอยขีดเส้นตีกรอบให้เดินมาตั้งแต่เด็กต่างหาก ไม่มีใครรู้แผนการของพวกเขา แม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้จนกระทั่ง....” สาวสวยกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก แม้ปากจะหยุดอยู่แค่นั้นแต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ที่ไม่อาจลืม...
 

ตาคู่งามจ้องมองมือของคนตัวสูงที่กุมมือตนเองเอาไว้ขณะเดินตามกันเข้าไปภายในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราของโรงแรมย่านชานเมือง ทันทีที่ประตูปิดลงชุดสวยก็ถูกปลดออกลงไปกองกับพื้น จากนั้นท่อนแขนแข็งแรงก็ช้อนร่างเล็กลอยขึ้นในอากาศจนอัญชลิสาผวากอดคออัศนัยแน่น หน้าหวานซบลงบนอกแกร่งปล่อยตัวปล่อยใจไม่ว่าอีกฝ่ายจะพาไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ยอมทั้งนั้น มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าสัมผัสลงบนเตียงนุ่ม ร่างหนาที่ทับทาบลงมาให้ความรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาด แววตาไหวระริกสบนิ่งกับดวงตาแสนอ่อนโยนที่กำลังมองมา ไม่ช้าริมฝีปากหยักก็ขยับเข้าครอบครองเนื้อปากนิ่มที่พร้อมจะอยู่ใต้อาณัติ หน้าคมค่อย ๆ เลื่อนลงต่ำจูบซับซอกคอจนคนใต้ร่างส่งเสียงครางหวานหู มือเรียวปาดป่ายไขว้คว้าหาที่ยึดเกาะ จากนั้นปลายนิ้วก็ค่อยคลายกระดุมเสื้อของคนรักออกก่อนจะเลื่อนต่ำลงปลดเข็มขัดเพื่อปลดปล่อยให้ทุกส่วนของร่างกายได้สัมผัสกันแนบแน่น


สองร่างกอดรัดนัวเนียจนแทบจะกลายเป็นร่างเดียวกัน ปล่อยให้ไฟปรารถนาลุกโชนจนไม่อาจจะดับได้ มีแต่จะเติมเชื้อไฟให้กันและกันเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน เสียงพร่ำคำรักที่ข้างหูทำเอาสาวสวยร้อนวาบที่ข้างแก้ม คมฟันกัดเนื้อปากล่างในขณะที่เล็บก็จิกลงบนลาดไหล่ของอัศนัยที่กำลังซุกไซ้อยู่กับอกอวบราวกับแมลงภู่ที่กำลังบินวนตอดตอมดอกบัวตูมเพื่อจะหาทางไปให้ถึงเกสรหอมหวาน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้ชายหนุ่มต้องผละออกจากคนสวยอย่างเสียมิได้


“อย่าไปเลยนะคะคุณเล็ก อย่าไป อันต้องการคุณ” พูดพลางเอื้อมมือไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว


อัศนัยสบตาเว้าวอนก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าปากพร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู “เดี๋ยวผมกลับมานะครับที่รัก” พูดจับก็ดึงผ้าเช็ดตัวพันส่วนล่างก่อนจะคว้าโทรศัพท์เดินออกจากห้องไป


อัญชลิสานอกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง มือเรียวรั้งผ้าห่มสีขาวสะอาดตาขึ้นปิดบังช่วงล่าง มือสองข้างโอบอุ้มยอดปทุมถันของตัวเองเอาไว้พลางลูบไล้เคล้นคลึงไปตามแรงอารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่น กระทั่งพักใหญ่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง สาวสวยปรือตาขึ้นสบตาร่างสูงยืนปลายเตียง ยอมรับว่ารอยยิ้มมีเสน่ห์ของเขาทำให้ใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็น ดวงตาสองคู่ยังคงประสานกันบ่งบอกความต้องการภายในของแต่ละคน พลันมือหนาก็เอื้อมรั้งผ้าห่มออกทอดมองเรือนร่างเย้ายวนบิดเร่า ก่อนจะโถมตัวลงแทกหัวเข่าลงระหว่างเรียวขาที่เบียดชิดซ่อนเร้นตัวตนของตนเองเอาไว้                  
 

“คุณสวยไปหมดทั้งตัวเลยอัญชลิสา คุณทำให้ผมหลงจะแย่แล้วรู้ตัวไหม”                                                   
 

เจ้าของชื่อมองตาเชื่อมทาบมือบนแผงอกกว้างลูบไล้ไปตามผิวเนื้อหวังจะเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนอีกหน แขนเล็กเหนี่ยวคล้องคอหนาลงมาใกล้ ส่งสายตาเชื้อเชิญอย่างเปิดเผยพอ ๆ กับร่างกายเต็มใจยอมรับรสสัมผัสหากอีกฝ่ายจะปรนเปรอให้
 

“แล้วคุณอยากทำอะไรกับตัวอันล่ะคะ”
 

เพียงคำพูดสั้น ๆ ก็ทำปากหยักก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้มหวานเยิ้มพร้อมที่จะสานต่อในสิ่งที่ทำค้างไว้ ร่างใหญ่โถมเข้าหาอย่างเชื่องช้าแตะปลายลิ้นลากวนบนกลีบปากหวานหอมก่อนจะเลื่อนลงมาตามลำคอระหงกระทั้งมาหยุดที่ยอดดอกบัวสีระเรื่อ มือใหญ่ลูบคลำฟอนเฟ้นดอกตูมอย่างหลงไหล ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าตอบสนองทุกส่วนในกายก็เหมือนถูกปลุกให้ฮึกเหิม
 

อัญชลิสายอมรับสิ่งแปลกปลอมกำลังสอดใส่เข้าสำรวจร่างกายของตนเองอย่างเต็มใจ ทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มขยับเสียงครางกระเส่าก็รอดผ่านไรฟันที่ขบกันเพราะความเจ็บปวด มือหนากดข้อมือเกะกะแนบติดกับเตียงก่อนจะถาโถมเร่งจังหวะตามความต้องการที่เดือดพล่านอยู่ภายใน ลมหายใจหอบถี่สอดประสานได้ยินเสียงพร่ำรักกันและกันดังไปทั่วห้อง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงไหนและเมื่อความอัดอั้นนั้นถูกปลดปล่อย จู่ ๆ ร่างเล็กก็ถูกยกขึ้นนั่งบนตักทั้งที่ส่วนล่างยังเชื่อมกันอยู่ แรงขยำขยี้สะโพกอวบอัดอย่างเมามันในอารมณ์นั้นยิ่งพาสติกระเจิดกระเจิงจนผวา แขนขาวเกี่ยวรัดคล้องคอหนาก่อนจะเริ่มขยับโยกไหวขึ้นลงไปตามจังหวะที่ตนเองเป็นผู้กำหนดถี่และหนักขึ้นอย่างไม่มีใครคิดห้ามกัน กระทั่งความอุ่นร้อนแผ่ซ่านอยู่ภายในสาวสวยจึงหลับตาทิ้งตัวซบหน้าลงบนบ่ากว้างที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สองคนหอบตัวโยน เรือนร่างเบียดชิดรับรู้ถึงความร้อนซ่านจากผิวเนื้อของกันและกัน
 

อัญชลิสาปรือตาขึ้นอีกครั้งใช้มือลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง ตัวเบาหวิวนั้นให้ให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งอยู่บนยอดหญ้า มือไล่คว้าเจ้าผีเสื้อปีกสวยที่กำลังบินวนอยู่รอบกาย แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าไม่มีผีเสื้อตัวนั้นอีกแล้ว ลมหายใจขาดหายเป็นห้วง ๆ พยายามยันกายให้ออกห่างจากการกอดรัดของ ‘ใครก็ไม่รู้’
 

“ค...คุณ คุณเป็นใคร” พูดไปก็ดันร่างอีกฝ่ายออก มือไม้ไร้เรี่ยวแรงรั้งผ้าห่มขึ้นคลุมร่างจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “ค...คุณ คุณไม่ใช่คุณเล็ก” จะลุกหนีแต่แรงที่แทบจะไม่เหลือก็ทำให้ล้มคว่ำลงกับที่นอนเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายโถมลงมาบนร่าง แม้ใบหน้าจะเหมือนกันแต่เสียงหัวเราะหี้ยมเกรียมนั้นกลับทำให้รู้ว่า ‘เขา’ เป็นคนละคนกับ ‘คุณเล็ก’ ของตนเองไม่ผิดแน่


“ทำไมถึงคิดว่าผมไม่ใช่” คนตัวใหญ่พลางฝังคมเขี้ยวลงบนปีกข้างหนึ่งของเจ้าผีเสื้อตัวน้อยจนเลือดซึม
ร่างเปลือยผวาหนีในขณะที่ปากยังคงพร่ำพูด “คุณเล็กไม่ได้กักขฬะหยาบคายแบบนี้”


แต่มือหยาบยังคงไม่ลดละตามลูบไล้เคล้นคลึงไหล่เนียนอย่างกับจะให้แหลกเหลวคามือ “อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับมัน คุณจะสนใจทำไมว่าผมเป็นใคร รู้แค่ว่าคุณมีความสุขกับสิ่งที่ผมมอบให้ก็พอแล้ว และตั้งแต่วันนี้ไปผมจะเป็นอัศนัย นาฏยะ และคุณก็คือคนของผม จำเอาไว้”


“คุณอัศวิน คุณคือคุณอัศวิน” เสียงเรียกชื่อนั้นไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบของคนใกล้จะหมดแรง “คุณเอาคุณเล็กไปไว้ที่ไหน”
อัศวินหัวเราะหึก่อนจะกดจูบลงแผ่นหลังที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจ้ำ หน้าหล่อเงยขึ้นก่อนจะพูดด้วยเสียงดังกังวานหวังจะให้ได้ยินไปทั้งห้อง “อัญชลิสาถามหาแกว่ะไอ้เล็ก แกออกมาสู้หน้าเธอสิ ออกมาบอกเธอว่าแกอยู่ที่ นั่งฟังเสียงของเธอตอนที่มีความสุขอยู่กับฉันบนเตียง ออกมาสิ!”


“หมาย...หมายความว่ายังไง นี่พวกคุณทำอะไรกัน”


“คุณเล็กของคุณมันขี้ขลาด ไม่คิดจะขัดคำสั่งของคุณพ่อ ไม่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง ช่างน่าสงสาร”


“คุณมันก็น่าสงสารไม่ต่างกัน ไม่มีตัวตนในสายตาใคร แถมยังต้องสวมรอยน้องชาย คุณก็ไม่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองเหมือนกัน”


อัศวินกัดฟันกรอดแต่ก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังในที่สุด “แล้วคุณล่ะคุณดีกว่าผมตรงไหน ทั้งที่อยากเป็นตัวของตัวเองแต่กลับเป็นไม่ได้ ต้องเป็นในแบบที่ไอ้เล็กมันต้องการ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง คุณพ่อก็ไม่ยอมรับความรักของพวกคุณอยู่ดี ถึงตอนนี้ท่านจะป่วยแต่ต่อให้คุณทำดีกับท่านแค่ไหน ท่านก็ไม่มีวันยอมรับ” เสียงดุดันนั้นเริ่มอ่อนลงพอ ๆ กับแรงมือที่ลูบไล้อยู่บนหัวไหล่ “แต่คุณไม่ต้องกลัวนะอัญชลิสา ต่อไปผมจะทำให้คุณเป็นที่ยอมรับ ผมจะทำให้คุณยืนอยู่ในนาฏยะได้แบบไม่ต้องอายใคร ผมสัญญา คุณรู้ไหมตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณที่ดรามาติก ทเวลฟ์ ผมก็สัญญากับตัวเองแบบนี้ คิดว่าสักวันจะต้องเอาคุณมาเป็นของผมให้ได้ แล้ววันนี้คุณก็เป็นคนของผมแล้วนะอัญชลิสา” สิ้นเสียงอัศวิน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ด้านนอกก็ไหลรินผสมกับเลือดแดงฉานที่กำลังหยดลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทุกสิ่งทุกอย่างในนาฏยกาลก็เปลี่ยนไป



(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-04-2015 00:09:22
(ต่อค่ะ)


คันธชาติจ้องมองนางเอกละครที่นั่งอยู่ตรงหน้า แม้ใจหนึ่งจะยังคงความเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็รู้สึกอย่างเห็นใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มหันไปสบตาเพื่อนรักที่ยังคงนั่งนิ่ง จนกระทั่งเก่งกาจขยับตัวผ่อนลมหายใจยาว มือหมุนปากกาไปมาอย่างใช้ความคิด ในที่สุดก็ตัดสินใจถามคำถามหนึ่งออกไป


“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าสิ่งที่คุณเล่ามาเป็นเรื่องจริง”


ทุกคนในห้องต่างก็มองไปยังหญิงสาวท่าทางสง่างามดั่งนางพญาหงส์เป็นตาเดียว เธอยังคงนั่งนิ่งไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรรู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ได้เล่าไปทั้งหมดไม่มีสักเรื่องที่ไม่เป็นความจริง


“เชื่อเธอเถอะครับคุณตำรวจ เพราะสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผมรับรองได้” วีรพันธุ์เอ่ยขึ้นในขณะที่อนันต์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็พยายามจะทำอะไรบางอย่าง


ร่างไม่สมประกอบกระตุกเกร็ง พยายามเปล่งเสียงผ่านริมฝีปากบิดเบี้ยว “ผ...ผม...ล...เลี้ยง ลูกผิด ป...เป็นความ ผิด ของผม ผมบังคับ พ...พวก พวกเขาทั้งสองคน...” อาการกระตุกเกร็งของคนที่นั่งในตำแหน่งถัดไปทำให้อัญชลิสาต้องลากเก้าอี้ไปนั่งข้าง ๆ เพื่อดูอาการ


“อย่าพูดอีกเลยค่ะคุณท่าน เรื่องมันผ่านมาแล้ว” สาวสวยละล่ำละลักพลางบีบนวดสองมือที่เกร็งแน่น


“ฉ...ฉัน ต้อง พูด ฉัน ท...ทำ ทำ ผิด ต่อเธอ ต่อเจ้าเล็ก รวมถึงเจ้าใหญ่ ตอน นี้ ฉันต้อง ร...รับกรรม ที่ ฉันก่อ ถึง เวลา ที่ เจ้า ใหญ่ เอง ก็ ต้อง รับ...รับผิด ชอบ ใน การกระทำ ของตัวเองแล้ว” พูดจบก็หันไปทางวีรพันธุ์เพื่อส่งสัญญาณอนุญาตให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมด


“ที่คุณท่านรู้เรื่องของคุณเล็กกับคุณอาร์มจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตในคราวนั้นก็เป็นเพราะคุณอัศวินเธอเป็นคนบอก เธอตามดูคุณอาร์มตั้งแต่ตอนที่เธอแอบกลับมาเมืองไทย ที่ผมรู้ก็เพราะว่าคุณท่านสั่งให้ผมตามให้ดูแลช่วยเหลือลูก ๆ ของท่านทุกคนไม่เว้นแต่คุณอารตีซึ่งเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน และที่คุณท่านเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณท่านจับได้ว่าคุณอัศนัยที่เราเห็นอยู่ไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นแฝดคนพี่ วันนั้นทั้งคุณท่านและคุณใหญ่ต่างก็ระเบิดอารมณ์ใส่กันจนคุณท่านหน้ามืดตกบันได ไม่ใช่เพราะตรอมใจเรื่องลูกชายที่หายตัวไปอย่างที่คุณอัศนัยตัวปลอมให้ข่าว”


“แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่แจ้งความ” คันธชาติโพล่งขึ้น


“เพราะฉันไม่รู้ว่าเขาเอาคุณอัศนัยตัวจริงไปไว้ที่ไหน ดังนั้นฉันจึงให้พี่พลสะกดรอยตามเขา จนกระทั่งมีเรื่องกิ่งดาว พี่พลบอกว่าหลังจากเกิดเรื่องก็เห็นเขาเข้าไปที่โรงละครร้าง พวกเราคิดว่าคุณอัศวินต้องซ่อนคุณอัศนัยเอาไว้ที่นั่น แต่พอเข้าไปค้นกลับไม่พบ หรือถ้าคุณอัศนัยอยู่ในโรงละครร้างนั่นจริงตอนที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุก็น่าจะพบสิ่งผิดปกติบ้าง แต่ก็ไม่มีเลย อีกอย่าง...ฉันรู้สึกว่าสภาพจิตใจของคุณอัศวินไม่เหมือนคนปกติ เกรงว่าเขาจะหุนหันทำอะไรที่พวกเราคิดไม่ถึง”


นายตำรวจหนุ่มมุ่นคิ้วนิ่งคิดก่อนจะสรุป “เอาละ ถ้าเป็นตามที่คุณเล่าละก็ ผมจะนำหมายค้นเข้าไปตรวจสอบที่นั่นอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้เรื่องของคุณวีรพลคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขอบคุณพวกคุณมาก ๆ ที่ช่วยให้ข้อมูล แต่สิ่งที่อยากจะขอก็คือกรุณาอย่าบอกเรื่องนี้ให้คุณอัศนัย...หรืออัศวินทราบ”


สิ้นเสียงของเก่งกาจทุกคนต่างก็พากันพยักหน้ายอมรับ จะมีเพียงคันธชาติที่ยังคงนั่งนิ่ง ก่อนที่ทุกคนจะพากันเดินออกจากห้องชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “บุ๊งขอถามคำถามคุณอันอีกสัก 2-3 ข้อได้ไหมคะ”


เจ้าของชื่อที่กำลังเดินตามหลังรถเข็นหยุดนิ่งก่อนจะหันมารอฟังคำถาม


“ก่อนหน้าที่กิ่งจะเสียชีวิต คุณได้รับจดหมายที่กิ่งเขียนนัดให้ไปพบที่โรงละครร้างหรือเปล่า”


“ไม่นะ” อัญชลิสาตอบซื่อ ๆ


“แล้วตอนที่กิ่งปลอมตัวเข้าไปทำงานในโรงละครน่ะ คุณไม่รู้เหรอว่าเธอเป็นใคร หรือว่าคุณนั่นแหละที่ช่วยให้เธอเข้าไปทำงานในนั้น”


“ฉันไม่รู้ว่ากิ่งเข้าไปทำงานในนั้นได้ยังไง แต่ที่ฉันไม่พูดก็เพราะเกรงว่าถ้าหากคุณอัศวินซึ่งเป็นคนตั้งกฎจะรู้เข้าแล้วกิ่งจะเดือดร้อน เพราะกิ่งบอกว่ากิ่งเข้ามาที่นี่เพื่อต้องการข้อมูลไปประการทำวิจัย ทั้งฉันและพี่พลก็เลยไม่มีใครพูดเรื่องนี้”
คันธชาติพยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบ รอกระทั่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาฏยกาลถูกพาตัวออกไปจึงเดินตามเก่งกาจไปที่ห้องข้าง ๆ กัน


“เป็นยังไงบ้าง อัดไว้ตั้งแต่ต้นเลยหรือเปล่า” นายตำรวจร่างบึกเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยจอโทรทัศน์แสดงภาพในมุมต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ระหว่างการพูดคุยเมื่อสักครู่ นอกจากธันวาแล้วในห้องยังมีนายตำรวจอีกสองคนที่นั่งร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วย หนึ่งในนั้นหันมาตอบคำถามผู้มียศเหนือกว่าก่อนจะทำการกลอภาพภาพในหน้าจอตรงหน้าตัวเอง เก่งกาจเดินเข้าไปเกาะพนักเก้าอี้ที่อาจารย์หนุ่มหล่อนั่งอยู่ในขณะที่ดวงตาจดจ่ออยู่กับภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ พลันคิ้วหนาก็ขมวดมุ่นครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าที่บ่งบอกว่าจะต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทำให้คันธชาติที่ยืนอยู่ข้างกันอดถามไม่ได้


“เป็นอะไรวะ”


“ฉันกำลังคิดว่าสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้มันถูกหรือเปล่า”


“เรื่องอะไร”


“ก็เรื่องเวลาเกิดเหตุกับที่อยู่ของคุณอัศนัยในวันนั้นไง” พูดพลางใช้มือถูคางสากอย่างใช้ความคิด


“แกหมายความว่ายังไงวะ”


เก่งกาจยืดตัวขึ้นกอดอกเริ่มเดินวนไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “พนักงานโรงแรมบอกว่าคุณอัศนัยพาอัญชลิสาไปที่โรงแรมตั้งแต่หัวค่ำแล้วก็อยู่ด้วยกันจนถึงเช้า ฉันถึงบอกว่าโอกาสที่อัศนัยจะลงมือแทบไม่มีเลย แต่ถ้าเป็นตามที่อัญชลิสาเล่า คนที่อยู่กับเธอตั้งแต่ตอนหัวค่ำถึงกลางดึกคืออัศนัย ส่วนคนที่พนักงานโรงแรมเห็นในตอนเช้าคืออัศวิน มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะเป็นคนลงมือ หรือคุณคิดว่ายังไงด็อกเตอร์”


ธันวาละสายตาจากจอที่แสดงเหตุการณ์ที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนจะหันมากล่าว “ผมว่าอัญชลิสาไม่ได้โกหก ลุงพันนั่นก็ด้วย”


เจ้าของคำถามพยักหน้าก่อนจะหันไปสบตาอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นคนที่โกหกก็มีอยู่คนเดียว” คันธชาติกัดฟันกรอดกล่าวเพียงสั้น ๆ และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกจากปากของชายหนุ่ม
 
...


ธันวาเดินตามร่างสูงออกจากลิฟท์ เว้นระยะห่างพอประมาณ สังเกตได้ว่าตั้งแต่ออกจากโรงพักคันธชาติก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีกเลยซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างมาก


“กำลังคิดอะไรอยู่” คนเดินตามเอ่ยขึ้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังแตะคีย์การ์ดเปิดประตู


คำถามนั้นทำให้คันธชาติต้องชักมือกลับก่อนจะหันมาตอบ “คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”


“คงไม่ได้คิดแผนอะไรอยู่ใช่ไหม”


“คิดอะไร ไม่ได้คิด!” ท้ายประโยคสูงปรี๊ดทำเอาธันวาส่ายหัว


“ไม่คิดก็ดีแล้ว เพราะคุณควรจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ควรจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกรู้ไหม”


“รู้แล้ว ๆ” คันธชาติส่ายหัวดิก จะรู้ทันอะไรกันนักกันหนา


“อยากดื่มอะไรร้อน ๆ หน่อยไหมจะได้หลับสบายขึ้น เดี๋ยวผมทำให้” ธันวาถามพร้อมกับแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องเชื้อเชิญ แต่กลับโดนตอกกลับด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ


“ไม่! ห้องผมก็มี”


คนฟังพยักหน้าไม่ใส่ใจก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปดื่มในห้องคุณก็แล้วกัน เปิดประตูสิ” ยังไม่ทันจบประโยคดีร่างสูงก็มายืนยิ้มร่าอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว


คันธชาติมุ่นคิ้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้าไป จากนั้นเจ้าของห้องเดินเลี่ยงไปอีกทาง จัดการตั้งกาน้ำร้อนก่อนจะหายเข้าไปในห้องลอกคราบสาวสวยออก พักหนึ่งก็เดินกลับออกมามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟา


“คุณจะดื่มอะไร”


“ขอกาแฟร้อนก็แล้วกันครับ” พูดจับธันวาก็หยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวีเลื่อนเปลี่ยนช่องพร้อมกับฟังเสียงช้อนกระทบถ้วยเซรามิคไปเรื่อย ไม่นานกลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง


“ดูอะไรอยู่” ร่างสูงที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ พูดขึ้นพร้อมกับส่งถ้วยกาแฟให้คนที่กำลังนั่งจ้องทีวีตาเขม็ง


“ข่าวรอบดึกน่ะ เขาบอกว่าวันมะรืนนี้จะปิดถนนละครทั้งสาย สงสัยรถต้องติดมากแน่ ๆ” ธันวากล่าวก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม


“ทำไมต้องปิดด้วยล่ะ ประท้วงอะไรกันอีก คนกรุงเทพฯ นี่จริง ๆ เลย” คันธชาติส่ายหน้าก่อนจะเท้าแขนลงกับพนัก


“ประท้วงที่ไหนล่ะคุณ เขาจะระเบิดตึกต่างหาก”


“ถึงกับต้องปิดถนนเลยเหรอเนี่ย”


“ใช่ ก็บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อดรามาติก ทเวลฟ์นั่นไง เขากว้านซื้อตึกสูงรอบโรงละครทั้งหมดเพื่อจะทำเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แล้วก็มีแผนจะระเบิดตึกพวกนั้นเสียพร้อม ๆ กัน”


“ดีเนอะ ตอนสร้างใช้เวลาใช้แรงงานแรงเงินมหาศาลกว่าจะเสร็จ ตอนจะทำลายแค่กดปุ่ม พริบตาเดียวก็ราบเป็นหน้ากลอง” คันธชาติกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วชี้และหัวแม่มือนวดเบา ๆ ที่หว่างคิ้ว อ้าปากหาวหวอด ๆ


“ง่วงเหรอ”


“เปล่า” พูดจบก็ขยับตัวพิงพนักทอดตาเหม่อมองขึ้นไปยังเพดานว่างเปล่า


“คิดอะไรอยู่”


“คิดว่าเมื่อไรคุณจะกลับไปห้องคุณสักที” เสียงงัวเงียที่ได้ยินทำเอาคนอายุมากกว่าอมยิ้ม ธันวาขยับเข้ามาใกล้วางมือบนศีรษะของอีกคนพร้อมกับโยกเบา ๆ อย่างเอ็นดู แล้วจึงเลื่อนมาโอบบ่า “ปากไล่ แต่ในใจน่ะอยากให้ผมกลับจริงหรือเปล่า หืม?”


“อยากสิ” คันธชาติตอบแต่กลับเบนหน้าหนี ชั่วอึดใจก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่ปลายคาง แค่เจ้าของลมหายใจที่คลอเคลียอยู่กับข้างแก้มออกแรงรั้งเบา ๆ ดวงตาสองคู่ก็กับมาสบประสานกันอีกครั้ง


“จริงเหรอ”


คำถามเซ้าซี้ทำเอาหัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ “จะถามให้ได้อะไรขึ้นมา”


“ก็ถามให้ได้อยู่กับคุณนาน ๆ ไง” พลันนิ้วหัวแม่มือใหญ่ก็แตะลงบนกลีบปากสีเรื่อ แขนที่เคยโอบบ่าเลื่อนต่ำลงก่อนจะสอดมือเข้าใต้เสื้อยืดสัมผัสผิวกายเนียนละเอียด หมายจะไล้มือจากเอวสอบขึ้นมาบนแผ่นหลังแต่กลับถูกตรึงเอาไว้ด้วยมือของอีกฝ่าย


คันธชาติมองปลายจมูกโด่งที่ขยับเข้าใกล้ด้วยแววตาสั่นไหว ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายจึงสูญเสียการควบคุมเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้ทุกที แต่ก่อนที่สติจะกระเจิงไปไกลมือข้างที่เหลือก็ยกขึ้นยันแผงอกห้ามให้เขาหยุดการกระทำ หน้าแดงก่ำเบือนหนีก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอื้อนเอ่ยคำถามหนึ่ง


“ร...เรากำลังทำผิดหรือเปล่า”


“มันจะผิด ถ้าหากคุณไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับผม” ธันวากระซิบชิดริมหูก่อนจะกดจมูกลงสูดกลิ่นหอมจากแก้มสีระเรื่อของคนที่ยังเอาแต่หนีหน้ากัน “บอกผมสิว่าคุณไม่ได้คิดเหมือนกัน แล้วผมจะรีบไปทันที แต่ถ้าคุณไม่บอกอย่างนั้น ผมก็จะอยู่ที่นี่ไปจนเช้า”


คันธชาติค่อย ๆ หันกลับมาสบตาชายหนุ่มห้องตรงข้ามอีกครั้ง พลันแขนขาวก็ยกขึ้นคล้องคอแกร่งเอาไว้ ไม่รู้เลยว่าการทำแบบนั้นมันทำให้อีกฝ่ายหัวใจเต้นแรงแค่ไหน ธันวาจ้องมองปากบางที่เคลื่อนเข้าหาตาไม่กระซิบ ในที่สุดกลีบปากชวนสัมผัสนั้นก็ค่อย ๆ เผยอขึ้นจนเห็นฟันขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบ


“คุณได้อยู่ถึงเช้าแน่”


ยิ้มหวานแปลก ๆ ทำเอาคนตัวหนาคนตัวหนาทำหน้าฉงน ยิ่งได้ยินเสียงเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ข้างหูก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังโดนนายน้อยคันธชาติผู้นี้เอาคืนเข้าให้แล้ว


“อยากกลับแล้วหรือยัง” พูดพลางกระชับวงแขนเสียแน่น


“ง่วงขึ้นมาเลยแหละ” คนจนมุมแสร้งปิดปากหาวพยามยามเอียงหน้าให้ห่างเสียงไม่ชวนฟังที่ยังคงดังถี่ ๆ


“ถ้าง่วงก็กลับไปนอนนะ” คันธชาติกล่าวพลางเลื่อนมือข้างหนึ่งตบลงเบา ๆ ที่ข้างแก้มของคนตรงหน้าราวกับเขาเป็นเด็กน้อย จากนั้นก็เป็นตัวเองที่ลุกขึ้นรอส่งแขก


ธันวาจ้องหน้ายิ้มอย่างคาดโทษ ได้ไม่เพราะเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ส่งเสียงน่าสะพรึงเครื่องนั้นคงได้จับคนเอาแต่ใจตัวเองมากอดเสียให้เข็ด ร่างสูงลุกขึ้นอย่างจำใจก่อนจะเดินคอตกเปิดประตูออกไปยืนด้านนอก ไม่วายหันกลับมาสบตาเจ้าของห้องตาละห้อย


“ไปนอนได้แล้ว” เจ้าของห้องยิ้มเขิน ๆ  “เดี๋ยวไปส่ง” พูดจบก็รุนหลังร่างสูงเข้าไปในห้อง


“นึกยังไงถึงเดินมาส่ง” ธันวาหันมากล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากหาว


“ก็จะได้มาดูให้แน่ใจไงว่าหลับแล้วจริง ๆ”


“หมายความว่ายังไง หรือว่า...หรือว่าคุณใส่อะไรลงในกาแฟ” กล่าวทั้งน้ำหูน้ำตา รู้สึกหนังตาหนักจนใกล้จะปิดแต่ก็ยังฝืนเอื้อมมือรั้งแขนของคนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า “น...นี่คุณ คุณคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่”


“ผมคิดว่าถ้าเขาไม่ยอมบอกว่าอัศนัยตัวจริงอยู่ที่ไหน ผมก็จะค้นหาเขาให้พบ”


“บุ้ง แล้วคุณจะทำยังไง” พูดพลางสะบัดหน้าไล่ความง่วง


“ผมมีวิธีของผม”


“ผมรู้ว่าคุณเสียใจและรู้สึกผิดเรื่องกิ่งดาว แต่คุณควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”


“ผมก็กำลังทำหน้าที่ของผม หน้าที่ของเพื่อนไง ส่วนคุณ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้คุณต้องไปสอนหนังสือ” พูดจบคันธชาติก็ประคองร่างของคนใกล้หลับเข้าไปในห้องนอน ยังไม่ทันจะถึงเตียงดีถูกเจ้าของห้องรวบเอวเอาไว้แน่นก่อนจะล้มลงไปบนที่นอนนุ่มพร้อมกัน แทนที่จะคิดขัดขืนคันธชาติกลับนอนนิ่งแนบหูกับอกกว้างฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่าง รอกระทั่งธันวาพูดขึ้นอีกครั้ง


“ผม...ไม่ยอมให้คุณเอาชีวิตไปเสี่ยง อีกเด็ดขาด ผมไม่ให้คุณไปไหน จะกอด...กอดคุณเอาไว้อย่างนี้จนเช้า” เสียงทุ้มขาดหายเป็นห้วง ๆ นั่นเพราะเขากำลังต่อสู้กับฤทธิ์ของยานอนหลับที่พิษสงร้ายกาจเหลือเกิน “ไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงผมบ้างสิ ไม่มีคุณแล้วผมจะอยู่ยังไง” เสียงนั้นค่อย ๆ แผ่วหายไปพร้อมกับแขนแกร่งที่คลายออก เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายคงกำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา ดังนั้นคงให้อ้อมแขนจึงยันกายลุกขึ้นทอดตามองใบหน้าเรียบเฉยอยู่เนิ่นนาน นิ้วเรียวค่อย ๆ เกี่ยวปอยผมที่ตกลงมาปกหน้าฝากจากนั้นก็ลากลงมาตามแนวสันกรามก่อนจะอังฝ่ามือกับแก้มอุ่นก่อนจะกระซิบแผ่วเบา


“ไม่มีผม คุณก็ต้องอยู่ให้ได้”


ร่างสูงลุกจากเตียง รั้งผ้าห่มให้คนที่กำลังนอนหลับสนิท จากนั้นจึงเดินออกจากห้องดึงประตูปิด พลันลมหายใจหนักก็ถูกถอนทิ้งอย่างไม่มีสาเหตุ


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-04-2015 00:10:22
(ต่อค่ะ)


อนันต์ นาฏยะ ยังคงลืมตาโพลงอยู่บนเตียงนอนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย รวมถึงเหตุการณ์แต่หนหลังครั้งที่ “วิลาสินี”ภรรยาสุดที่รักจับได้ว่าเขานอกใจไปมีภรรยาอีกคนที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน แม้จะให้คำมั่นสัญญาว่าจะยกให้เธอเป็นที่หนึ่งและจะไม่ให้ภรรยาอีกคนได้เข้ามามีสิทธิ์ใด ๆ ในบ้านก็ตาม สุดท้ายคุณนายใหญ่แห่งบ้านนาฏยะก็ตัดสินใจหอบลูกชายคนโตวัยย่างสิบเอ็ดปีไปอยู่ต่างประเทศ และด้วยความที่กิจการโรงละครและธุรกิจอื่น ๆ ของตนเองกำลังเฟื่องฟู จึงทำให้ไม่อาจละทิ้งทุกสิ่งที่เมืองไทยเพื่อไปตามขอคืนดีได้ และเธอก็ไม่เคยกลับมาเหยียบนาฏยกาลอีกเลยแม้จะมีความทรงจำดี ๆ เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้มากมายเพียงใด ตั้งแต่นั้นลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนจึงต้องถูกจับแยกจากกัน แต่อนันต์ก็ยังคงคอยส่งเสียเลี้ยงดูแฝดผู้พี่อย่างสม่ำเสมอ โดยมีข้อแม้ว่าลูกชายจะต้องเรียนและดำเนินชีวิตตามความเห็นชอบของผู้เป็นพ่อ


ดังนั้นเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยอัศวินจึงต้องเรียนในสาขาบริหารธุรกิจโรงละครตามที่ผู้เป็นพ่อต้องการ ซึ่งวิลาสินีก็ไม่ได้ขัดแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ลูกสนใจจริง ๆ นั้นคือทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ อัศวินใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศจนกระทั่งผู้เป็นแม่ล้มป่วย วิลาสินีถูกพากลับมาใช้ชีวิตในปั้นปลายที่เมืองไทยอีกครั้งกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ลูกชายคนโตจึงได้มีโอกาสกลับคืนสู่บ้านนาฏยะ อนันต์ก็พยายามคิดหาหนทางให้ลูกย้ายกลับมาอยู่ด้วยกัน ภายหลังการจากไปของภรรยา เขาจึงแนะนำให้ลูกชายได้รู้จักกับลูกสาวของเพื่อนซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับต้น ๆ ของประเทศ และเมื่ออัศวินรู้ว่าผู้เป็นพ่อได้ทำการหมั้นหมายโดยไม่ได้ถามความสมัครใจจึงโกรธมากจนสองพ่อลูกทะเลาะกันใหญ่โต ทำให้อัศวินตัดสินใจออกจากบ้านนาฏยะกลับไปอยู่ต่างประเทศอีกครั้ง
 

“แกรู้ไหมว่าที่ฉันทำทั้งหมดฉันหวังดีกับแก”


“ไม่!” ผู้เป็นลูกชายกล่าวน้ำตานองหน้า “พ่อกับแม่ไม่เคยหวังดีกับผม แม่พาผมไปอยู่ด้วยก็เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายและกลัว่าทุดท้ายจะต้องอยู่คนเดียว แม่ไม่กล้าขัดพ่อเพราะกลัวว่าพ่อจะไม่ส่งเงินให้ ผมต้องเรียนในสิ่งที่พ่ออยากให้เรียน แต่พ่อกับแม่ไม่เคยถามผมเลยว่าผมต้องการอะไร”


“อะ...ไอ้ใหญ่!” อนันต์ตวาดพลางยกมือกุมหน้าอกตัวเอง “แกหุบปากเดี๋ยวนี้ แกอยากให้ฉันตายอยู่ตรงหน้าแกหรือไง”


“ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผมไม่ได้อยากทำให้พ่ออกแตกตาย แต่คนที่มันกำลังจะทำให้พ่อต้องอกแตกตายน่ะ มันคือไอ้ลูกชายที่พ่อรักนักรักหนาต่างหาก ไอ้เล็กไงพ่อ มันยอมทำทุกอย่างที่พ่ออยากให้ทำอยากให้เป็น” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเย็นเยือกพอ ๆ กับน้ำเสียง ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังเอ่อก่อนจะหัวเราะหึ “พ่อคงภูมิใจมากสินะที่ตอนนี้มันออกไปเปิดโรงละครของตัวเอง แต่พ่อรู้ไหมไอ้เล็กมันซ่อนอะไรไว้ที่นั่น”


“แกหมายความว่ายังไง เล็กมันซ่อนอะไร”


“ผมว่าพ่อไปดูเองดีกว่า” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินออกไปทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มปริศนาที่ทำเอาผู้เป็นพ่อร้อนใจจนต้องสั่งให้คนเอารถออกเพื่อไปที่ดรามาติก ทเวลฟ์ทันที
 

ชายวัยกลางคนปิดเปลือกตาลงช้า ๆ ท่ามกลางความมืดนั้นได้ยินเสียงประตูค่อย ๆ เปิดออก จากนั้นฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ กระทั่งที่นอนอ่อนยวบเมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่งนั่งลง อนันต์ปรือตามองคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ ครู่หนึ่งเสียเยือกเย็นก็ดังขึ้น “ผมกำลังจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วนะพ่อ อีกไม่กี่วันเรื่องที่มันยืดเยื้อมายาวนานก็จะจบลง จากนั้นผมก็จะแถลงข่าวละครเรื่องสุดท้ายของนาฏยกาลที่จะจัดขึ้นฉลองวันคล้ายวันเกิดของพ่อ มันจะต้องเป็นละครเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี นาฏยกาลจะต้องปิดฉากลงอย่างสวยงาม สวยงามเหมือนกับความรักของพ่อกับแม่ไง” สิ้นประโยคนั้นอัศวินก็ส่งเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ร่างสูงผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป จึงไม่ทันได้เห็นน้ำตาของผู้เป็นพ่อที่กำลังไหลริน
 

...
 


คันธชาติกลับมาที่โรงละครร้างอีกครั้งและเข้าไปด้านในด้วยวิธีการเดียวกันกับครั้งก่อน ชายหนุ่มบิดลูกบิดเปิดประตูก่อนจะเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับดึงประตูปิดอย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อได้ยินเสียงรถจอดที่ด้านนอกก็ทำให้ต้องรีบเก็บไฟฉายลงในกระเป๋าและก้มให้ต่ำที่สุด  ค่อยๆ คลานหลบหลังล็อกเกอร์เงี่ยหูฟังเสียงปลดโซ่ ไม่นานร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับสาดแสงจากไฟฉายกระบอกใหญ่สำรวจไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็ก้าวเดินอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญผ่านห้องโถงใหญ่เข้าไปยังโรงละครที่อยู่ด้านใน เมื่อเห็นดังนั้นคันธชาติก็ไม่รอช้า ย่องตามไปกระทั่งเข้าสู่ภายในโรงละครซึ่งมีเก้าอี้วางเรียงลดหลั่นกันลงไปถึงหน้าเวที ชายหนุ่มแอบซุ่มดูความเคลื่อนไหวอยู่ที่เก้าอี้แถวบนสุด


ดวงตาที่สามารถปรับสภาพจนคุ้นชินกับความมืดมองตามแสงไฟที่ขยับเป็นจังหวะตามการก้าวเดิน พลันร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีก่อนจะผลุบหายไปที่ด้านหลัง คันธชาติเริ่มคลานขยับให้ใกล้เข้าไปอีกในขณะที่หูก็คอยฟังเสียง ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องขนาดมหึมา ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงลากของหนักดังมาจากด้านหลังเวทีและเมื่อเสียงเงียบลงแสงจากไฟฉายค่อย ๆ เลือนหายไปจนทั้งบริเวณกลับมืดมิดอีกครั้ง 
 
 
ดวงตาดุดันไล่ตามแสงจากปลายกระบอกไฟฉายไปตามความยาวของโซ่เส้นปลายฝั่งหนึ่งพันอยู่กับเสากลางห้องส่วนอีกฝั่งพันนั้นเข้ากับข้อเท้าผอมโซของใครคนหนึ่งที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ อัศวินย่างสามขุ่มเข้าไปหยุดยืนมองร่างที่ห่อหุ่มด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ปล่อยมือจากถึงข้าวกล่องและน้ำก่อนจะย่อตัวลง ใช้มือทั้งสองข้างจับที่ต้นแขนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกดึงอีกฝ่ายให้ลุกนั่ง ปัดผมยาวรุงรังไปด้านหลังมองหน้าที่เคยหล่อเหลาพร้อมกับแสยะยิ้ม


“ขอโทษด้วยนะที่พักหลังพี่ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้เอาข้าวมาให้แกกิน เกือบลืมไปแล้วด้วยสิว่ามีแก แต่อีกไม่กี่วันพี่จะพาแกออกไปจากที่นี่ตามสัญญา แกดีใจไหม เราจะได้สลับตัวกันอย่างถาวร พี่จะเป็นอัศนัย นาฏยะ ส่วนแก...แกจะเป็นอัศวิน พี่ชายคนโตที่ถูกระเบิดไปพร้อม ๆ กับดรามาติก ทเวลฟ์ แกรู้ไหมว่าพี่รอคอยเวลานี้มานานแค่ไหน” อัศวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแต่ก็ไร้ข้อโต้เถียงจากคนที่ไม่มีแม้แต่แรงจะหายใจ


อัศนัยปรือตามองคนตรงหน้า ยกมือสั่นเทาขึ้นจับคอเสื้ออีกฝ่าย ไม่คิดจะขอชีวิตเพียงแต่อยากจะถามว่าจิตใจของเขาทำด้วยอะไรทำไมถึงได้เหี้ยมโหดเช่นนี้


“แกอยากพูดอะไร อยากสั่งเสียอะไรก่อนตายงั้นเหรอ พูดมาสิ”


“พ...พี่...พี่มันไม่มีหัวใจ” ในที่สุดประโยคสั้น ๆ ก็หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก


“ทำไมฉันจะไม่มีหัวใจ ก็เพราะฉันมีหัวใจน่ะสิ ฉันถึงปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่มาเป็นปี ๆ แกคงทรมานมากใช่ไหม ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้แกก็จะได้เป็นอิสระ ฉันจะพาแกออกไปจากที่นี่แล้ว กินข้าวเสียก่อนสิ แกหิวมากไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็คว้าถุงข้าวมาเปิดออกก่อนจะเททุกอย่างลงบนพื้นพร้อมกับหัวเราะน่ากลัว “ทำไมไม่กินล่ะ กินสิ แกกินเข้าไปสิ ถ้าแกไม่กิน พ่อก็ต้องดุฉันและตีฉัน แกกินสิ”


ไม่พูดเปล่า มือที่เต็มไปด้วยพละกำลังก็จับร่างไร้เรี่ยวแรงกดลงจนหน้าจมกองข้าว ด้วยความหิวโหยอัศนัยพยายามตะเกียกตะกายโกยข้าวเข้าปาก แต่ได้ไปไม่กี่คำก็ต้องคายออกเพราะมันเผ็ดร้อนจนปากที่เริ่มจะเป็นแผลไม่อาจทนไหว


“น...น้ำ ขอ น...น้ำ”


“ทำไม เผ็ดเหรอ” ผู้เป็นพี่หัวเราะก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาหมุนเปิดฝาอย่างเชื่องช้า “แกจำตอนที่แกแอบลงมาเล่นที่นี่แล้วคนงานเผลอใส่กุญแจขังแกไว้ได้ไหม ตอนนั้นทุกคนพากันหาแกให้ทั่วจนกระทั่งมาเจอแกนอนหลับอยู่ในนี้ พอออกไปได้แกก็เอาแต่ร้องไห้ พ่อถามอะไรก็ไม่ตอบ แถมยังหาว่าฉันเป็นคนนำแกลงมาแล้วก็ทิ้งน้อง พอฉันเถียง พ่อก็ตบฉันจนแม่ต้องบอกให้ฉันอยู่เฉย ๆ แกรู้ไหม วันนั้นแกได้กินของอร่อย ๆ  ส่วนฉันน่ะรึ พ่อให้ฉันกินข้าวใส่พริกนี่ โลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเลยนะแกว่าไหม” อัศวินยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สา


“ตอนเด็ก ๆ พ่อกับแม่มักจะสอนเสมอว่าคนเป็นพี่ต้องยอมเสียสละ ตอนนี้มันถึงเวลาที่น้องอย่างแกต้องเสียสละอะไรตอบแทนฉันบ้างแล้วละ” พูดจบก็ปาขวดลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์ มองดูคนที่กำลังกระเสือกกระสนเลียน้ำผสมฝุ่นด้วยแววตาเฉยเมย ร่างสูงยืนอยู่ได้เพียงไม่นานก็เดินขึ้นบันไดไป จัดการเลื่อนตู้หลังใหญ่กลับที่เดิมก่อนจะกระโดดลงจากเวที เดินเลาะไปตามแนวทางเดินระหว่างที่นั่งออกสู่ห้องโถงใหญ่


คันธชาติดูจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจึงออกจากที่ซ่อน ค่อย ๆ คลำทางเข้าไปจนถึงหน้าเวทีขนาดยักษ์ ขายาวก้าวไปตามทางเดินพลางสาดไฟสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวที เงยหน้าขึ้นมองไปตามช่องที่ถูกเจาะเท่ากับตึกสามชั้นด้านบนมีใส่โครงเหล็กซึ่งใช้สำหรับการชักรอกและติดตั้งสปอร์ตไลต์รวมถึงผ้าม่าน


ร่างสูงเดินไปยังหลังเวทีก็ไม่พบว่าจะมีประตูที่จะเปิดไปสู่ห้องอื่น ๆ ได้ แล้วเหตุใดอัศวินจึงหายเข้ามาในนี้นานเหลือเกิน แถมตอนขากลับก็ออกมาตัวเปล่า คิดได้ดังนั้นคันธชาติก็เริ่มสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง กระทั่งมาหยุดที่หน้าตู้ใบใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อหนา คาดว่าจะเคยถูกใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก ตู้ทั้งใบมีฝุ่นจับหนายกเว้นที่ด้านหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงรวบรวมกำลังดันมันออกจากตำแหน่งเดิมจนในที่สุดก็พบว่าที่พื้นนั้นมีสามารถเปิดออกได้


มือเรียวค่อย ๆ เลื่อนแผ่นไม้สี่เหลี่ยมจตุรัสที่ปิดช่องขนาดพอให้คนตัวใหญ่ลงไปได้สบาย ๆ ออก พบว่ามีบันไดสำหรับเดินลงสู่พื้นที่ด้านล่าง ตอนที่โรงละครยังเปิดใช้งานอยู่ ช่องทางนี้คงจะเอาไว้สำหรับจัดการกับกลไกต่าง ๆ ที่ใต้พื้นเวที คันธชาติเดินสาดแสงไฟก่อนจะเดินลงไปตามแนวบันได เมื่อปลายเท้าแตะพื้นก็รู้สึกคล้ายตนเองกำลังยืนอยู่ในห้องอีกห้องที่ทั้งอับและเต็มไปด้วยฝุ่น ชายหนุ่มเดินสำรวจไปรอบ ๆ ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียงโซ่เสียดสีกับพื้นเป็นระยะ และเมื่อลำแสงจากไฟฉายกระบอกน้อยสาดกระทบกับร่างซูบผอมของใครคนหนึ่งก็ให้รู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง
 

ตาคมจ้องไปยังปลายสุดของลำแสงก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ พบว่าที่ข้อเท้าซึ่งถูกล่ามด้วยโซ่นั้นเต็มไปด้วยแผลเหวอะมีเลือดซึมอยู่ตลอดเวลา ร่างสูงนั่งลงใกล้ ๆ ยกมือขึ้นปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นสาบสาง “ค...คุณ คุณคือคุณอัศนัยหรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบจากร่างอ่อนแรงที่กำลังหันหลังให้ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจรวยรินสลับกับไอเป็นระยะ


“น...น้ำ...ขอน้ำ...”


เมื่อได้ยินดังนั้นคันธชาติก็หันซ้ายหันขวาก่อนจะคว้าขวดพลาสติกที่ยังพอมีน้ำเหลืออยู่ พยุงร่างผ่ายผอมให้ลุกขึ้นแล้วป้อนน้ำให้ มันน่าตกใจเหลือเกินที่อยู่จู่ ๆ คนที่ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงก็ตะเกียกตะกายดื่มน้ำที่มีอยู่เพียงน้อยนิดราวกับปลาที่กำลังกระเสือกกระสนด้วยแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อไปให้ถึงแหล่งน้ำ


“ค่อย ๆ คุณ เดี๋ยวสำลัก” พูดพลางลูบหลังอีกฝ่ายที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น นึกอะไรขึ้นมาได้จึงใช้ไฟฉายส่งดูที่ใต้บ่าด้านขวา รอยแผลปูดนูนเนื้อหนังหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดียิ่งทำให้คนมองเสียวสะท้านเมื่อนึกถึงความโหดร้ายของคนที่ทำให้เป็นเช่นนี้


คันธชาติประคองร่างผอมสูงขึ้นพิงกับอกก่อนจะสัมผัสมือลงกับแก้มตอบก่อนจะออกแรงตบเบา ๆ ให้ได้สติ “อดทนไว้นะคุณอัศนัย ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณออกไปให้ได้” ตาคมทอดมองคนในอ้อมแขนผ่านความมืด รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน เห็นเพียงแววตาหม่นที่สะท้อนแสงไฟในความมืด เพียงเสี้ยววินาทีดวงตานั้นก็กลับเบิกกว้าง มือเกร็งจิกเล็บยาวลงที่ท่อนแขนจนเจ็บแปลบ


ทันใดนั้นเองหูของคันธชาติก็ได้ยินเสียงเหมือนลูกมะพร้าวตกลงบนพื้น นึกสงสัยว่าเหตุใดภาพตรงหน้าหน้าจึงเอียงกะเท่เร่เช่นนี้ พยายามจะขยับตัวมองให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นของเหลวอุ่น ๆ ที่ซึมจากศีรษะที่ซาไปครึ่งซีกก็ไหลลงกลบตาเสียก่อน เห็นเพียงรองเท้าขัดมันเอาวับที่มายืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะสิ้นสติในที่สุด
 

....
 


เสียงรัวกดกริ่งที่หน้าประตูทำให้ร่างสูงที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงค่อย ๆ ปรือตาตื่นขึ้นในขณะที่มือก็ควานหานาฬิกาตั้งโต๊ะ เลขดิจิทัลที่หน้าปัดซึ่งบอกว่าอีกสิบหน้านาทีจะสิบโมงเช้าทำให้ธันวาเด้งตัวลุกขึ้นสะบัดหัวนึกทบทวนเรื่องบที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เสียงกริ่งที่หน้าห้องรวมถึงเสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดก็ทำให้ความคิดหยุดชะงัก คว้าโทรศัพท์ได้คนที่โทรเข้ามาก็วางสายไปเสียแล้ว


“ห้าสิบสองสาย” ปากอิ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นคนที่มากดกริ่งก็ให้รู้สึกแปลกใจนัก


“คิดแล้วเชียวว่าน้องธันต้องอยู่ พี่เห็นแวบ ๆ ว่ารถยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถ” เก็จแก้วที่เป็นคนกดกริ่งกล่าวพร้อมกับเอามือทาบอกอย่างโล่งใจ “น้องบุ้งอยู่ข้างในหรือเปล่าคะ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นอาจารย์หนุ่มก็ส่ายหัว “แล้วทำไมถึงมากันพร้อมหน้าแบบนี้ล่ะครับ”


“คุณพบไอ้บุ้งครั้งสุดท้ายเมื่อไร” เก่งกาจเอ่ยขึ้น


“ม...เมื่อคืน” ยังไม่ทันจะถามที่มาที่ไปกะเทยร่างท้วมที่ยืนง่วนกดโทรศัพท์อยู่ด้านหลังก็แทรกขึ้น


“นี่เจ๊กดโทรศัพท์หาน้องบุ้งจนมือจะหงิกแล้วนะคะ แต่ก็ไม่มีคนรับ”


“รตีกดกริ่งหลายรอบแล้วพี่บุ้งก็ไม่เปิดประตูค่ะ สงสัยว่าจะไม่อยู่” สาวร่างบางที่เดินมาสมทบเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างมีสีหน้าเป็นกังวลจนคนเพิ่งตื่นนอนเริ่มสงสัย


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”


“ผมให้ลูกน้องตรวจสอบประวัติคุณอัศวิน พบว่าเขามีประวัติเคยเข้ารับการรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แล้วเมื่อเช้าคุณอนันต์ก็ให้ลุงพันโทรมาบอกว่าเมื่อคืนลูกชายของเขาพูดจาอะไรแปลก ๆ หลังจากวางสายลุงพันผมก็โทรหาไอ้บุ้งแต่มันไม่รับสาย ตรวจสอบกับทุกคนแล้วแต่ไอ้บุ้งก็ไม่ได้ไปหาใคร ทั้งที่วันนี้มันเองบอกกับเจ๊พุดดิ้งว่าจะเข้าไปช่วยเตรียมชุดสำหรับงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่จะมีขึ้นในตอนค่ำของวันพรุ่งนี้”


“รตี ผู้กองแล้วก็พี่พุดดิ้งโทรหาอาจารย์ แต่อาจารย์ก็ไม่รับสาย ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไป พวกเราเลยพากันมาที่นี่ค่ะ” อารตีเสริม


“บ...บุ้ง” ธันวาเกาหัวพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ข...เขา เขาใส่ยานอนหลับในกาแฟให้ผมดื่ม เขาบอกว่าถ้าอัศวินไม่บอกว่าอัศนัยตัวจริงอยู่ที่ไหนเขาก็จะค้นหาให้พบด้วยวิธีของเขา”


“มันคิดอะไรของมันเนี่ย ทำไมเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนี้” เก่งกาจกล่าวอย่างร้อนใจ


“แล้วอย่างนี้เราจะทำยังไงกันดีคะผู้กอง” พุฒิพงศ์เอ่ยขึ้น


นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเฮือกยืนนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะตอบ “วันนี้เจ๊เข้าไปที่นาฏยกาลและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด คอยสังเกตดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลโทรหาผมได้ตลอดเวลา”


“ค่ะผู้กอง” พุดดิ้งรับคำพลางพึมพำว่าใจคอไม่ค่อยดีทำเอาสาว ๆ ขยับมารวมกลุ่มจับมือกันแน่น


“ส่วนคุณ ด็อกเตอร์ คุณไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปเจอผมข้างล่าง ผมว่าวันนี้เราคงต้องเหนื่อยกันแน่ ๆ”


ธันวาพยักหน้า ยอมรับว่าตอนนี้ตนเองก็รู้สึกใจคอไม่ดีเช่นกัน
 

หลังการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของคอนโดเก่งกาจก็พบว่าคันธชาติเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าคอนโดมื่อตอนเกือบเที่ยงคืน เมื่อตรวจสอบเลขทะเบียนก็ทำการติดต่อแท็กซี่คันดังกล่าว ซึ่งคนขับให้การว่าผู้โดยสารว่าจ้างให้ไปส่งยังโรงละครร้างก้นซอยสิบสองที่แยกออกจากถนนละครซึ่งเป็นถนนสายบันเทิงสายสำคัญใจกลางกรุง แต่เมื่อตามไปทั้งเก่งกาจและธันวาก็ต้องผิดหวังเพราะพบว่าที่นั่นไร้ซึ่งเงาของคนที่กำลังตามหา


สองคนใช้เวลาทั้งวันในการโทรศัพท์สอบถามไปตามโรงพยาบาล สถานีตำรวจรวมถึงหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสของคันธชาติ กระนั้นทั้งคู่ก็ยังไม่ละความพยายาม ตาคมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงชื่อของเจ้าของเบอร์ที่เพิ่งกดโทรหาเมื่อครู่ ภาวนาในใจให้ปลายสายกดรับสักที แม้ทุกครั้งที่คุยกันจะมีแต่สร้างความปวดหัวให้ตลอด แต่วันนี้กลับเป็นวันที่อยากได้ยินเสียงนั้นมากที่สุด ธันวาถอนใจเฮือกใหญ่ในขณะที่ปากก็พร่ำพูดให้รับสายสักที


“รับสิบุ้ง คุณรับสายผมสักทีสิ” พูดอยู่อย่างนั้นกระทั่งจู่ ๆ สายก็ถูกตัดไป ธันวาเงยหน้าขึ้นมองไปในความมืดพลันร่างของคนในชุดสีกากีที่เดินถือถุงพะรุงพะรังก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหนึ่ง ขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงรถ เปิดประตูเข้ามานั่งพร้อมกับวางถุงที่ได้จากร้านสะดวกซื้อลงข้างตัวก่อนจะพูดขึ้น


“เป็นยังไงบ้าง โทรติดไหม”


“ติดครับ แต่บุ้งไม่รับสาย เมื่อกี้ก็กดตัดไป” ธันวากล่าวก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง “ปิดเครื่องไปแล้ว”


“เฮ้อ! มันทำอะไรของมันอยู่เนี่ย” นายตำรวจหนุ่มบ่นพลางยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเอง “เมื่อกี้ลุงทินกฤตกับป้าบุปผาก็โทรมาหาผมเพราะท่านติดต่อลูกชายท่านไม่ได้”


“มันอาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็ได้นะครับผู้กอง ผมภาวนาให้เป็นอย่างนั้น” อาจารย์หนุ่มพูดปลอบทั้งที่จริงแล้วในใจนั้นร้อนรุ่มยิ่งกว่าคนข้าง ๆ เสียอีก ดวงตายังคงทอดมองไปในความมืดนึกถึงอีกคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไร ได้ยินเสียงถอนใจเฮือกใหญ่กับคำพูดสั้น ๆ ที่ฟังแล้วให้ใจหายนัก


“กลัวว่ามันจะร้ายแรงกว่าที่คิดสิครับ”


สิ้นเสียงเก่งกาจ สองคนต่างก็สบตากันอย่างหนักใจ


...
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-04-2015 00:41:15
โอย...ภาวนาอย่าให้บุ้งเป็นอะไรมากเลย อัศวินนี่มันบ้ามาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: YOSHIKUNI RUN ที่ 01-04-2015 01:15:46
อ่านเรื่องนี้ ลุ้นทุกตอนเลยจริงๆ :ling3: :hao4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 01-04-2015 03:22:06
อ่านฉากเลิฟซีน(ของคนอื่น)ที่คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเขียนไม่ชินสักที
บางครั้งนะรู้สึกว่าบุ้งไม่ได้รักคุณด็อกเตอร์ธันวามากเท่าที่อีกฝ่ายรักเขาเลย

น่าสงสารอัญชลิสาที่ต้องทนนอนกับอัศวินทั้งๆที่รักอัศนัย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-04-2015 09:20:50
โอ้ว ลุ้นมาก

บุ้งนี่ดื้อจริงๆ ไม่ค่อยยอมฟังอะไร (แม้แต่เสียงหัวใจตัวเอง)
ชอบเสี่ยง บ้าบิ่น (แต่ป๊อดเรื่องธันวา)

รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 18 : คนในความมืด) 31-03-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 01-04-2015 10:05:25
จะทำไงกะบุ๊งดีนะช่าวดื้อรั้นจริงๆ
จนเป็นเรื่องเข้าแล้วไหมละเนี่ย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-04-2015 11:21:44
ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)


ความรู้สึกปวดหน่วงที่ศีรษะและเจ็บร้าวที่ชายโครงปลุกให้คันธชาติลืมตาขึ้นอีกครั้ง พยายามยันร่างตัวเองขึ้นแต่เรี่ยวแรงก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด มองเห็นข้อมือทั้งสองถูกมัดรวมกันด้วยเชือกเส้นใหญ่เหมือนกันกับที่ขา ชายหนุ่มกระถดตัวชิดลังไม้ใบใหญ่เพื่อหาที่ยึดเกาะจนกระทั่งสามารถดึงตัวลุกนั่งได้สำเร็จ ในหัวปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดพร้อมกับกวาดตามัวมองไปรอบ ๆ พบว่าร่างของอัศนัยยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ของเหลวข้นไหลตกลงจากศีรษะเข้าในดวงตาเรียกความคิดกลับมาอยู่ที่ความเจ็บปวดบนศีรษะ เมื่อมือขาวเอื้อมแตะลงยังกลุ่มผมเปียกชื้นจึงรู้ว่ามันคือเลือดนั่นเอง
 

โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ร่างระบมถึงกับสะดุ้งเอี้ยวตัวรีบดึงโทรศัพท์ออกมาดู แต่ยังไม่ทันจะได้กดรับสาย เสียงลากเปิดแผ่นไม้ปิดช่องทางลับก็ดังขึ้น คันธชาติจึงกดปิดโทรศัพท์ทันทีก่อนจะสอดลงใต้กองไม้แสร้งนอนลงเหมือนเดิม ครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นใกล้หูก่อนจะที่ร่างสูงจะง้างเท้าหวดเข้าที่ชายโครงซ้ำเล่นเอาจุก ปวดแปลบแล่นไปทั่วร่าง หูที่แนบอยู่กับพื่นได้ยินเสียงลากรองเท้าแกรกก่อนที่พื้นรองเท้าหนังอย่างดีจะกดขยี้ลงบนแก้มเนียนซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ตื่นได้แล้ว” เสียงนั้นดังกังวานไปทั่วพื้นที่แคบ ๆ ใต้เวที มันฟังดูน่ากลัวจนคนเจ็บไม่อาจฝืนหลับตาได้อีกต่อไป


ตาคู่สวยเปิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะที่เจ้าของร่างจะพยายามขยับตัวให้ห่างจากฝ่าเท้าหยาบคาบแต่มันคงดูชักช้าน่ารำคาญเกินไปในสายตาคนมอง มือหนาจึงคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อออกแรงดึงจนตัวปลิวไปติดกับเสา “แกเป็นใคร” อัศวินถามเสียงเหี้ยม ในขณะที่คนถูกถามทำยักไหล่ไม่แยแส ยกมือขึ้นซับเลือดที่มุมปาก แถมยังหัวเราะหึจนอีกคนหัวคิ้วกระตุกด้วยความโกรธ


“ผมต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณคือใคร อัศนัยหรืออัศวินกันแน่”


“ฉันถามว่าแกเป็นใคร แกรู้เรื่องของฉันได้ยังไง” ปากหยักเน้นเสียงทีละคำอย่างชัดเจนพร้อมกับออกแรงบีบต้นคอแน่นจนคันธชาติต้องมุ่นคิ้วด้วยความเจ็บ แต่ก็ยังกัดฟันทนตอบคำถาม


“กิ่งดาวบอกผม”


“ก...แก แกรู้จักเด็กนั่นได้ยังไง”


“แล้วคุณล่ะ รู้จักกิ่งดาวได้ยังไง”         


คนฟังกัดฟันกรอดยกมืออีกข้างจับใต้คางให้ใบหน้าที่กรังไปด้วยเลือดเชิดขึ้นสบตา จากนั้นจึงออกแรงบีบจนคนใต้อาณัติทนไม่ไหวพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีมออกแต่ก็ไร้ผล มือหนายังคงบีบแน่นและยิ่งเพิ่มแรงขึ้นไปอีกเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ จู่ ๆ แววตาดุดันก็กลับอ่อนลงอย่างน่าประหลาดใจ อัศนัยค่อย ๆ คลายมือออกก่อนจะลุกขึ้นเดินวนไปรอบ ๆ พร้อมกับกัดเล็บตัวเองอย่างกระวนกระวาย


“เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วเหรอครับ” คันธชาติเอ่ยขึ้นในขณะมองตามร่างสูง “กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผยสินะ ความจริงที่ว่าคุณคือฆาตกรที่ฆ่ากิ่งดาว”


ขายาวหยุดนิ่งกับที่ก่อนจะหันมาสบตาคนพูดพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “แกรู้ได้ยังไง”


คันธชาติหัวเราะหึก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะรู้ได้ยังไง แต่ถ้าให้ผมเดา คุณคงถือโอกาสใช้เรื่องของกิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้ามาที่นี่”


อัศวินปลี่เข้ามาก่อนจะย่อตัวลงดึงคอเสื้อคนพูด “ฉลาดดีนี่ ทำไมไม่ใช้ความฉลาดไปทำอย่างอื่นนะ” คนพูดยิ้มกริ่มก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา


“จะทำอะไรน่ะ” คันธชาติกล่าวพลางขยับตัวนี้แต่ก็ติดเสา


“จะทำให้แกหยุดพูดมากสักพักไง” พูดจบก็โปะผ้าผืนนั้นที่จมูกของคนหมดทางหนี คันธชาติพยายามดิ้นให้หลุดแต่แรงที่มีก็น้อยนิดเหลือเกิน


อัศวินยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งไป เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋าปล่อยมือจากคอของคนตรงหน้าก่อนจะลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋าออกมาดูแล้วจึงเดินออกจากห้องใต้เวทีนั้น
 

...
 

ที่ห้องแต่งตัวของนาฏยกาลเต็มไปด้วยบรรดานักแสดงหลักที่ง่วนอยู่กับการลองชุดที่จะใช้ในงานแถลงข่าวเปิดตัวละครเวทีที่จะมีในตอนค่ำของวันถัดไป อัญชลิสาที่กำลังยืนให้พุฒิพงศ์แต่งตัวชะเง้อคอมองหาผู้ช่วยช่างเสื้อที่มักจะติดสอยห้อยตามมาด้วยบ่อย ๆ แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา สาวสวยจึงถามขึ้น


“วันนี้...บุ๊งไม่มาด้วยเหรอเจ๊”


“ม...ไม่”


“ไม่สบายเหรอ”


กะเทยร่างอวบชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าด้วยแววตาเป็นกังวลก่อนจะกระซิบเบา ๆ “ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
คนฟังมีสีหน้าตกใจไม่น้อยก่อนจะถามต่อ “ตั้งแต่เมื่อไร”


“ค...คิด คิดว่าเมื่อคืน”


ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เสียงของอัศนัยดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มเป็นพิเศษ เขาทักทายทุกคนในห้องก่อนจะเดินตรงมายังอัญชลิสาที่อยู่ในชุดเจ้าหญิงสวยสะดุดตา มือหนาจับลงที่ต้นแขนก่อนจะกล่าวชื่นชมจนทุกคนในห้องพากันอิจฉานางเอกละครคนสวย หนุ่มหล่อเจ้าของโรงละครไม่ลืมที่จะหันกลับมาขอบอกขอบใจคนออกแบบชุดที่มีส่วนทำให้ละครเรื่องสำคัญออกมาอลังการที่สุด
 

เมื่อนักแสดงแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พากันออกมายืนถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ด้านหน้าโรงละคร อัญชลิสามองชายหนุ่มที่กำลังเงยหน้ามองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณของโรงละครที่มีชื่อเสียงยาวนานซึ่งเขามีโครงการว่าจะทำลายมันทิ้งและสร้างเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่


“คุณตัดสินใจดีแล้วเหรอคะ”


คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้า “ผมตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ในงานแถลงข่าว ผมจะบอกเรื่องนี้กับทุกคน”


สาวสวยเดินเข้ามาใกล้พลางส่งสายตาเย้ายวน “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราพอจะมีเวลานั่งดื่มรำลึกความหลังกันหน่อยไหมคะ”


อัศนัยรู้สึกพอใจกับสัมผัสจากปลายนิ้วที่ลากวนอยู่บนแผงอกของตัวเองไม่น้อย แต่ก่อนที่มือเล็กจะเลื่อนลงต่ำก็มีบางอย่างผุดขึ้นในความคิดจนเขาจำต้องรั้งมือของอีกฝ่ายออก


“คืนนี้ผมไม่ว่าง เอาไว้หลังงานแถลงข่าวแล้วผมจะอยู่กับคุณไม่ไปไหนเลย ผมสัญญา” พูดจบก็จูบลงกลางหน้าผากของสาวสวยโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น


ร่างบางที่ยืนสง่าดุจพญาหงส์มองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปทุกขณะ ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยแววแห่งความอิจฉาที่กำลังจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อไม่ได้ทำให้รู้สึกสะทกสะท้าน แม้จะรู้ดีว่าบรรดานักแสดงสาวประเภทสองที่ต่างก็หมายปองจะได้หนุ่มหล่อมาเป็นของตัวเองต่างพากันเต้นเร่าราวกับถูกไฟแห่งความริษยาแผดเผา แต่อัญชลิสากลับคิดว่านั่นถือเป็นโชคดีของพวกเธอทั้งหลายแล้ว
 

...
 

คันธชาติไอถี่ ๆ เมื่อจมูกได้กลิ่นฉุนของน้ำมันก๊าดพลันเปลือกตาที่หนักอึ้งก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสายตาปรับให้ชินต่อความมืดมิภายในห้องใต้เวทีได้เขาก็พบว่าตนเองอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจึงขยับตัวเข้าใกล้กองไม้และรั้งโทรศัพท์มือถือออกมาก่อนจะจัดการเปิดเครื่อง สัญลักษณ์ที่หน้าจอโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่าแบ็ตเตอรี่เหลือน้อยเต็มที เขาจึงตัดสินใจกดส่งต่อข้อความที่ได้รับจากกิ่งดาวไปให้ใครคนหนึ่ง เพียงไม่นานคนที่กำลังเฝ้ารอการติดต่อจากเขาก็โทรเข้ามา คันธชาติล้มตัวลงนอนใช้ปลายนิ้วกดรับสายเปิดลำโพงกลืนน้ำลายเหนียวลงคอที่แห้งผากพยายามเปล่งเสียงออกไปแต่มันก็เบาเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน


“ธ...ธัน...”


“บุ้ง คุณอยู่ที่ไหน!”


“บุ่งบุ๊ง บุ่งบุ๊งได้ยินเจ๊ไหม!”


ยังไม่ทันที่คันธชาติจะตอบคำถามนั้น ไม้หน้าสามที่เคยฟาดลงที่ศีรษะของเขาก็กดลงบนหน้าจอโทรศัพท์จนแตกกระจายสลายไปพร้อมกับหนทางที่จะมีชีวิตรอด ชายหนุ่มหลับตาลงรอการลงฑัณฑ์ไม่นานเท้าหนัก ๆ ก็กระหน่ำเหยียบลงมาบนมือที่พยายามจะเอื้อมคว้าโทรศัพท์


“บุ๊งอย่างนั้นเหรอ” อัศวินประคองร่างระบมให้ลุกขึ้นนั่ง “ถ้าอย่างนั้นของพวกนี้ก็ของคุณใช่ไหม” พูดจบก็หยิบวิกผมและซิลิโคลนบราที่พบอยู่ที่ด้านหลังโรงละครออกมา มือสั่นเทาประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำขึ้นมาพร้อมกับเช็ดคราบเลือดให้ “คุณหลอกผม ทำไมคุณต้องหลอกผม”


คันธชาติไม่ตอบคำถามแต่กลับถามหาอีกคน “คุณเอาคุณอัศนัยไปไว้ที่ไหน”


แฝดผู้พี่ยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะทิ้งร่างคนถามอย่างไม่แยแสก่อนจะหยิบไฟแช็กในกระเป๋าขึ้นมาจุดแล้วเป่าให้ดับ ทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น แสงไฟที่ถูกติดขึ้นเป็นระยะทำให้คันธชาติเห็นว่ารอบตัวเต็มไปด้วยเทียนหอมในใสที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งผสมกับกลิ่นน้ำมันแสบจมูก


“ผมกำลังจะส่งมันไปอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ ที่ที่มันจะเป็นอิสระ ไม่ต้องมีใครบังคับให้ทำนั่นทำนี่ไง” ดวงตาจ้องเขม็ง ในขณะที่ปากหยักยังคงคลี่ยิ้มชวนสะพรึง มือแกร่งคว้าจับที่คอระหง “มันควรจะเรียบร้อยนานแล้วถ้าหากนังเด็กนั่นไม่เข้ามายุ่ง มันโง่เองที่เดินเข้ามาบอกไอ้เล็กว่ามันเป็นใคร แล้วก็ยอมทำตามที่ไอ้เล็กบอกให้ทำเพื่อแลกกับการได้เข้ามาหาข้อมูลที่นี่ แต่ที่ไม่น่าให้อภัยก็คือเธอทำให้ผมเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นเหมือนกับคนอื่น ๆ ในโรงละคร เหมือนอัญชลิสาที่มีร่างกายสวยงามน่าหลงใหล แต่จริง ๆ แล้วหลอกลวงทั้งเพ”


“ล...แล้ว เรื่อง...ที่คุณ ท...ทำล่ะ ม...ไม่เรียกว่าหลอกลวงเหรอ” คันธชาติกล่าวตะกุกตะกักแกะมือที่กำลังบีบรัดลำคอของตนเองออกพร้อมกับพยายามโกยอากาศเข้าปอดแต่มือนั้นก็ยิ่งบีบแน่น


“ผมทำเพื่อปลดปล่อยน้องชายแสนอ่อนแอของผม ผมเสียสละในฐานะของคนเป็นพี่ไง ผมยอมให้ชื่ออัศวิน นาฏยะ ตายไปจากโลกนี้” กระซิบพลางรั้งอีกฝ่ายขึ้นมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเหี้ยมก่อนเปล่งเสียงดังจนคนฟังตกใจหลับตาปี๋ “บึ้ม! แล้วทุกอย่างก็จะจบ ไอ้เล็กจะได้ไปพบกับคนที่คิดจะช่วยมันบนสวรรค์”


คันธชาติสู้ตาคนพูดพร้อมกับรวบรวมกำลังก่อนจะถามคำถามสุดท้ายที่ยังคาใจ “ป...เป็น เป็นคุณ ใช่ไหมที่คอยตามดูกิ่ง แล้วยังเข้าไป ข...ขโมย ด...ไดอารี เล่มนั้นที่ห้องของกิ่ง” กล่าวพลางนึกถึงชายผู้อำพรางใบหน้าด้วยแว่นกันแดดและหมวกแก๊ปซึ่งเห็นจากกล้องวงจรปิดตนเองไปขอดูหลังเมื่อตอนที่เข้าไปย้ายข้าวของจากห้องของเพื่อนสาวคนสนิทกลับมายังบ้านที่ปากช่อง และนี่ก็คือเรื่องสุดท้ายที่เขายังไม่ได้บอกให้เก่งกาจหรือธันวารู้


“ใช่ ผมตามดูเธอ เพราะอย่างนั้นผมถึงได้รู้ว่ากิ่งดาวเป็นผู้หญิง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอไม่ต่างจากแม่ของผม ที่น่าสงสารก็คือแค่ถูกไล่ไปยืนอยู่ริมดาดฟ้าเธอตัวสั่นไปหมด ผมยังไม่ทันทำอะไรเธอก็ตกลงไปเสียแล้ว”


เสียงระเบิดหัวเราะและคำพูดที่เพิ่งจบไปทำเอาคนฟังน้ำตานองหน้า คันธชาติกัดฟันแน่นจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง “ค...คุณมันเลวที่สุด คุณ ทำ กับกิ่ง...อย่างนี้ได้ยังไง”


“กิ่งดาวก็เหมือนคุณที่เข้ามาในนี้เพื่อจะเปิดโปงเรื่องของผม เธอคิดจะส่งจดหมายนั่นให้อัญชลิสา” พูดพลางออกแรงบีบคอขาวจนขึ้นรอย จากนั้นก็จับร่างไร้เรี่ยวแรงพิงกับเสากลางห้องก่อนจะมัดตรึงด้วยเชือกเส้นใหญ่


“คุณคงเป็นเพื่อนของกิ่งดาวสินะ” พูดไปก็ก้มหน้าก้มตาผูกเชือกไป เมื่อเรียบร้อยดวงตาวาวโรจน์ก็เลื่อนขึ้นสบตาคนที่ไม่มีแม้แต่จะร้องขอชีวิต “คุณรู้ตัวไหมว่าคุณน่าสนใจกว่าเธอตั้งเยอะ น่าเสียดายที่เรามีโอกาสคุยกันน้อยไปหน่อย เพราะอีกไม่นานเมื่องานแถลงข่าวเริ่มขึ้น ที่นี่ก็จะกลายเป็นเหมือนโคมไฟดวงใหญ่ที่เปล่งแสงร่วมยินดีไปกับผม ผมจะจุดเทียนไว้ให้คุณ คุณจะได้มองเห็นว่ารอบ ๆ ตัวมันสวยงามขนาดไหน แต่ไม่ต้องห่วงนะการตายของคุณจะไม่สูญเปล่าหรอก เพราะผมจะให้ข่าวว่าคุณคือพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยดับเพลิงจนเสียชีวิตอยู่ในนี้”


คันธชาติวางหน้านิ่งเบนสายตาไปทางอื่น กลิ่นของน้ำมันทำให้เขาแสบจมูกพอ ๆ กับควันจากเปลวเทียนที่ค่อย ๆ ถูกจุดขึ้นโดยคนที่กำลังพูดพร่ำถึงเรื่องราวน้อยเนื้อต่ำใจของตนเองในอดีตราวกับคนเสียสติ ไม่นานเทียนหอมที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นก็ทำให้ห้องที่เคยมืดทึบกลับแสงสว่างไสว ร่างสูงของอัศวินจากไปแล้วเหลือเพียงดวงตาสิ้นหวังที่ยังคงทอดมองเปลวไฟที่ปลายเทียนไขแท่งตรงหน้า อีกไม่นานมันคงจะหลอมละลายจนติดกับลังไม้ลามไปยังพื้นที่ถูกราดด้วยน้ำมันจนชุ่ม แล้วตัวเขาเองก็คงจะได้ตามไปพบกับกิ่งดาวในที่สุด คิดได้ดังนั้นเปลือกตาก็ปิดลงช้า ๆ ฟังเสียงลมหายใจที่เริ่มจะรวยรินของตนเอง
 

...
 

เก่งกาจในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะยกกล้องขึ้นคล้องคอแล้วเดินกลับเข้ายังห้องประชุมที่มีเวทีอยู่ด้านหน้า ร่างบึกนั่งลงข้างชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ก่อนจะพูดให้ได้ยินกันเพียงสองคน


“ผมให้ลูกน้องระงับการระเบิดตึกและเข้าไปค้นที่นั่นแล้วนะ อีกไม่นานน่าจะส่งข่าวมา แล้วทางคุณเป็นยังไงบ้าง”


“เมื่อกี้ผมลองโทรไปอีกรอบแต่ติดต่อไม่ได้แล้ว” ธันวากล่าวทั้งที่ยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์


“แล้วนี่เจ๊พุดดิ้งไปไหน”


“เข้าไปช่วยแต่งตัวที่ด้านใน”


นายตำรวจหนุ่มในคราบของนักข่าวพยักหน้าก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับงานแถลงข่าว ซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยบรรดากระจิบกระจอกข่าวสายบันเทิงที่ต้องการข้อมูลก่อนใครแล้วยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบหลายนายแฝงตัวรวมอยู่ด้วย สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปยังการแสดงบนเวทีที่เป็นการนำตอนสำคัญของละครเวทีเรื่องหน้ากากดอกไม้มาให้ผู้ชมได้ดู หลังจากการแสดงจบลงเสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง จากนั้นพิธีกรสาวสวยก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะกล่าวทักทายสื่อมวลชนจากนั้นก็ชี้แจงวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ให้ทราบ แล้วจึงเชิญนักแสดงหลักนั่งประจำที่บนเวที ปิดท้ายด้วยคนสำคัญที่ไม่อาจขาดได้นั่นก็คือ อัศนัย นาฏยะ ผู้เป็นเจ้าของโรงละครนาฏยกาลแห่งนี้


หนุ่มหล่อเจ้าของกิจการสีหน้ายิ้มแย้มหยุดยืนที่กลางเวทีก่อนจะเหลียวกับไปมองผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่บนรถเข็นหลบหลังฉากซึ่งเป็นโปสเตอร์ละครเรื่องใหม่ อัศนัยเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นางเอกสาวสวยที่โซฟาตรงกลาง จากนั้นการแถลงข่าวจึงเริ่มต้นขึ้นโดยมีพิธีกรสาวประเภทสองที่ควบตำแหน่งเลขาท่านประธานเป็นผู้ดำเนินรายการ นอกจากพูดถึงละครเรื่องใหม่แล้ว อัศนัยยังได้กล่าวถึงการปิดตัวของนาฏยกาลไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งนั่นก็สร้างความตกใจอย่างมากให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานรวมถึงบรรดานักแสดงที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงมีช่วงตอบคำถามเพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ถามทุกข้อที่สงสัย โดยผู้ตอบคำถามก็คือผู้คุมบังเหียนของนาฏยกาลนั่นเอง


เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอยู่ใกล้หูทำให้ธันวาต้องละสายตาจากเวทีหันมามองคนนั่งข้างกันที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย สังเกตว่าเก่งกาจไม่ได้พูดอะไรมากแต่สีหน้าของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทันทีที่วางสายนายตำรวจหนุ่มก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง


“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง”


“ลูกน้องผมที่เข้าไปตรวจสอบในดรามาติก ทเวลฟ์บอกว่าพบคนถูกขังอยู่ในนั้น”


“ช...ใช่บุ้งหรือเปล่าครับ”


หน้าเข้มส่ายเบา ๆ ทำเอาธันวาเย็นวาบไปทั้งตัว รีบกดโทรศัพท์ในมืออีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนเดิม “ถ...ถ้าอย่างนั้นบุ้งไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่ไหนกัน” ริมฝีปากอิ่มละล่ำละลักจนคนที่ยังพอคุมสติได้ต้องเตือนให้ใจเย็น ๆ
 

การตอบคำถามของสื่อมวลชนยังคงดำเนินไป และก่อนที่การแสลงข่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อสื่อมวลชนหมดคำถาม เก่งกาจก็ยืดตัวขึ้นหันไปสบตาใครคนหนึ่งซึ่งนั่งห่างออกไป ชายคนนั้นพยักหน้ารับก่อนจะยกมือขึ้นรับไมโครโฟนจากพิธีกรแล้วถามคำถามสุดท้าย


“คุณอัศนัยทราบข่าวที่ตำรวจพบชายนิรนามในโรงละครร้างที่ดรามาติก ทเวลฟ์ไหมครับ เขาใช้คุณอัศวินพี่ชายฝาแฝดของคุณที่หนีการแต่งงานไปหรือเปล่า” คำถามนั้นทำเอาฮือฮากันทั้งห้อง


คนบนเวทีจ้องหน้าเจ้าของคำถามตาเขม็ง มือที่วางอยู่บนหน้าตักกำแน่นก่อนจะรับไมโครโฟนจากอัญชลิสาแล้วตอบคำถามนั้น “ผมว่าน่าจะมีการเข้าใจผิดกันนะครับ เขาอาจจะเป็นคนจรจัดที่แอบเข้าไปก็ได้”


“แต่แหล่งข่าวบอกว่าสภาพของเขาเหมือนถูกขังเอาไว้นะครับ หรือว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้หนีการแต่งงานแต่ถูกขังเอาไว้”


อัศนัยถลึงตาลุกพรวดขึ้นตวาดสุดเสียงจนทั้งห้องเงียบกริบ “ผมบอกแล้วไงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีใครขังใครทั้งนั้น ไม่มี!”


พลันเสียงของใครคนหนึ่งที่ตะโกนว่าเกิดไฟไหม้ที่โรงละครร้างก็สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นจนทุกคนต่างกรูกันออกไปที่ด้านนอก อัศนัยเงยหน้ามองท้องฟ้ายามใกล้ค่ำที่มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมีใครคนหนึ่งร้องขึ้นให้เรียกรถดับเพลง โทรศัพท์จึงถูกหยิบออกมากดโทรกันจ้าละหวั่น


“กว่ารถดับเพลิงจะมาถึง โคมไฟของผมก็สว่างไสวแล้ว ทุกคนจะฉลองให้ชีวิตใหม่ของผม”


คำพูดของอัศนัยทำให้หน้าสวยที่ยืนอยู่ข้างกันหันขวับ “ค...คุณ คุณหมายความว่ายังไง”


ไม่มีคำตอบจากเจ้าของรอยยิ้มที่สาว ๆ พากันหลงใหล กลับมีแต่เสียงหัวเราะของคนที่ไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้อีกต่อไป มือหน้าคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ก่อนจะกล่าว อัญชลิสา ไปกับผมสิ เราจะไปดูโคมไฟด้วยกัน” พูดจบก็รั้งร่างบางที่พยายามขัดขืนให้เดินไปด้วยกันดังนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบจึงแสดงตัวเข้าจับกุมเขาทันที
 

ไม่นานเสียงรถดับเพลงก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของชาวบ้านที่พากันมาช่วยดับไฟ ธันวาตัดสินใจเดินแหวกผู้คนจนไปถึงตัวชายหนุ่มที่ก้มหน้านิ่งจ้องมองสองมือที่ถูกตรึงด้วยกุญแจมือโดยมีอัญชลิสาคอยดูแลไม่ห่าง ปากหยักยังคงพร่ำเพ้อพูดถึงความสว่างไสวของเปลวไฟรวมถึงชีวิตใหม่ของตนเองกำลังจะเริ่มต้นนับจากนี้


“คุณเอาเขาไปไว้ที่ไหน”


ตาลอยเลื่อนขึ้นมองคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ๆ


“ได้โปรดเถอะ บอกผมมาว่าคุณเอาเข้าไปซ่อนไว้ที่ไหน” ธันวากล่าวทั้งน้ำตานองหน้าพลางเขย่าแขนคนที่ยังคงสบตานิ่ง ครู่หนึ่งตาคู่นั้นก็เบนไปอีกทาง


อัศนัยจ้องคนบนรถเข็นตาเขม็งก่อนจะร้องอย่างดีใจ “พ่อ พ่อมาหาผม” ชายหนุ่มละล่ำละลักผละจากธันวาออกก่อนจะทรุดตัวลงกอดขาไร้ความรู้สึกของผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น “พ่อรู้ไหมว่าผมรอให้พ่อมาหาแต่พ่อก็ไม่มา”


เจ้าของรูปหน้าบิดเบี้ยวสะอื้นฮั่กกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มือสั่นเทาไร้เรี่ยวแรงพยายามยกขึ้นลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ


“ผมมีเรื่องจะบอกพ่อ วันนั้นผมไม่ได้ขังน้อง แต่พ่อกลับหาว่าผมเป็นต้นเหตุทำให้น้องติดอยู่ในนั้น พ่อลงโทษผม ลงโทษผมทำไม” พูดพลางเขย่าขาผู้เป็นพ่อเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แต่นั่นก็ไม่อาจจะทำให้คนที่กำลังร้อนใจหยุดมองได้นาน


“ตอบผมมาสิว่าคุณเอาเขาไปไว้ที่ไหน อยู่ในโรงละครนั่นหรือเปล่า” ธันวาที่ไม่อาจปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อย ๆ โพล่งขึ้นพร้อมกับทรุดตัวลงคุกเข่า “ได้โปรดเถอะ บอกผม บอกผมเถอะนะ...คุณอัศวิน”


เจ้าของชื่อหันมามองอย่างแปลกใจก่อนจะยิ้มให้ “คุณรู้ชื่อผม รู้ชื่อผมเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมมีความลับจะบอก”


“ได้โปรดเถอะ บอกผมทีว่าเขาอยู่ที่ไหน”


“ผมซ่อนของเล่นไว้ที่ใต้เวที แต่อย่าบอกให้เจ้าเล็กมันรู้นะ ถ้ามันรู้มันจะต้องลงไปที่นั่น แล้วพ่อก็ต้องดุผม”


สิ้นเสียงอัศวิน ธันวาก็ลุกพรวดขึ้นก่อนจะวิ่งฝ่าผู้คนไปยังโรงละครร้าง ที่นั่นเต็มไปด้วยรถดับเพลงและผู้คนที่ถือถังน้ำมาช่วยกันดับไฟ แต่ท้องฟ้าที่มืดลงทุกขณะนั้นก็ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปได้ยาก อีกทั้งด้านในโรงละครเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง เมื่อฉีดน้ำผ่านช่องประตูเข้าไปกลุ่มควันก็พวยพุ่งออกมาจนหลายคนต้องหาที่หลบ
 

“คุณจะไปไหนด็อกเตอร์” เก่งกาจร้องขึ้นมือเห็นธันวาวิ่งผ่านร่างตนเองไป


“บุ้งอยู่ข้างใน อัศวินขังเขาไว้ในนั้น ผมจะไปช่วยบุ้ง”


“คุณจะเข้าไปได้ยังไง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขาเถอะ” พูดจบเก่งกาจก็วอแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบว่ามีคนติดอยู่ข้างใน


“ให้ผมเข้าไปเถอะผู้กอง ผมรอเฉย ๆ ไม่ได้หรอก” ธันวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาแน่วแน่ของเขาทำให้เก่งกาจจำต้องพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปด้วย ไอ้บุ้งมันก็เพื่อนผมเหมือนกัน”


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-04-2015 11:22:17
(ต่อค่ะ)





“หนอนบุ้ง...ตื่น ตื่นเร็ว...”




“ยังไม่อยากตื่นเลย อยากนอนตักกิ่งไปแบบนี้แหละ”




“ไม่ได้นะหนอนบุ้ง ตื่นสิ ตื่นเร็ว”




“ลืมตาสิบุ้ง”
 
 


“ลืมตาสักที”
 
 


“อย่าหลับนะ”
 
 


“ห้ามหลับเด็ดขาด”
 
 
 

“ตื่นเร็วหนอนบุ้ง”
 
 

ริมฝีปากแห้งผากพร่ำเรียกชื่อ “กิ่ง” กระทั่งร่างบอบช้ำสะดุ้งเฮือกเพราะเผลอสูดควันเข้าเต็มรัก สำลักจนต้องไอแรง ๆ เมื่อร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกมา ดวงตาปรือตาขึ้นช้า ๆ แต่ก็แสบเสียน้ำหูน้ำตาไหล กระนั้นก็ยังเห็นว่าลังไม้ตรงหน้าเริ่มติดไฟแล้ว ที่ด้านนอกก็คงจะกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้วเพราะผิวกายรู้สึกถึงความร้อนจากเปลวไฟที่แผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
 

“ไฟมันลามเข้ามาแล้วนะด็อกเตอร์ คุณหาเจอหรือยัง เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เริ่มทยอยกันออกไปข้างนอกเพราะไม่สามารถควบคุมเพลิงได้แล้วนะ” คนที่กระโดดพรวดขึ้นมาบนเวทีเอ่ยขึ้น


“ลุงพันบอกว่ามีทางที่เปิดลงไปด้านล่างได้ แต่ผมยังหาไม่เจอเลย” ร่างสูงในชุดผจญเพลิงตะโกนบอกอีกคนที่ยืนห่างออกไป


“แล้วตรงไหนล่ะ ด้านล่างนี่ผมก็หาจนทั่วแล้วนะ” เก่งกาจกล่าวอย่างหงุดหงิดขณะเดินไปรอบ ๆ เวที เงยหน้ามองเปลวไฟที่กำลังลามติดผ้าม่านผืนใหญ่ที่ห้อยลงจากโครงเหล็กด้านบน ชั่วพริบตามันก็หลุดล่วงลงมาจนหลบแทบไม่ทัน


“ผู้กองดูนี่ ที่พื้นมีรอยลาก ผมว่ามันอาจจะอยู่ใต้ตู้นี่ก็ได้”


สองหนุ่มสบตากันเหมือนจะรู้ใจก่อนจะออกแรงดันตู้หลังใหญ่ออก ในที่สุดพวกเขาก็พบช่อทางที่กำลังตามหา
 
 
เสียงเอะอะที่ดังแว่วมาไกล ๆ เรียกให้คนที่กำลังไอหนักเพราะสำลักควันไฟต้องเงี่ยหูคอยฟัง ชายหนุ่มพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดตัวลุกขึ้นแต่เชือกเส้นใหญ่ที่ตรึงร่างเอาไว้ก็ทำให้กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ ยิ่งหายใจเอาควันเข้าไปมากเท่าไรก็ให้ทรมานยิ่งนัก ทรมาณเสียจนในห้วงความคิดนั้น จู่ ๆ ก็เผลอนึกถึงความตายที่จะช่วยปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระขึ้นมา
 

“บุ้ง! คุณได้ยินผมไหม”
 

คันธชาติส่ายหัวดิก ‘ได้ยินสิทำไมจะไม่ได้ยิน’ อยากจะตอบไปแบบนี้แต่กลับไม่มีแรงขยับปาก
 

“คุณอยู่ที่ไหนบุ้ง!”
 

นี่จะเป็นลมหายใจสุดท้ายแล้วกระมัง คนที่มกล้จะหมดลมหายใจคิด ถึงไม่ได้เห็นหน้าก็นับว่าโชคดีที่ได้ฟังเสียงกันเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดคันธชาติก็ปิดเปลือกตาลงเมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจสู้ฤทธิ์ของอัคคีได้อีกต่อไป..
 

“บุ้ง...”
 
 
‘ใครน่ะ กิ่งเหรอ กิ่งมารับบุ้งแล้วใช่ไหม’
 
 
“บุ้ง คุณได้ยินผมไหม ลืมตาขึ้นมามองผมสิ”
 
 
‘ม...ไม่ใช่ ไม่ใช่กิ่ง’
 
 
พลันความรู้สึกปวดระบมก็แล่นไปทั่วร่างอยากจะทำตามที่เสียงนั้นบอกหนังตาก็ช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน รอบกายเย็นเฉียบแต่กลับรู้สึกอุ่นที่มืออย่างบอกไม่ถูก เจ้าของชื่อฝืนปรือตาขึ้นสู้แสงสีขาวจากหลอดไฟนีออนบนเพดานห้อง ไม่สิ! มันไม่ใช่เพดานห้องแต่เป็นภายใต้หลังคารถพยาบาลต่างหาก ถ้าไม่นับแสงไฟแล้วสิ่งที่ได้เห็นต่อมามันช่างดูสว่างไสวกว่าเสียอีก นั่นก็คือรอยยิ้มของคนที่กำลังกุมมือของตนเองอยู่ในขณะนี้
 

“ช...ช่วย ช่วย ข...เขาได้ไหม ช่วยคุณอัศนัยได้ไหม”
 

ธันวามองกลีบบางที่กำลังขยับขึ้นลงอยู่ภายใต้หน้ากากออกซิเจน คำพูดของคนเจ็บหนักทำเอาอยากจะจับมาสอนเสียให้เข็ด แต่รอยฟกช้ำและบาดแผลตามตัวนั้นกลับทำให้หัวใจอ่อนยวบ
 

“ช...ช่วยเขาได้หรือเปล่า”


“เขาปลอดภัยแล้ว เหลือแต่คุณนั่นแหละ จนป่านนี้ทำไมยังมัวแต่ห่วงคนอื่นนะ” ร่างสูงกล่าวน้ำตานองหน้า “ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง หรือห่วงความรู้สึกของผมสักนิดก็ยังดี” ท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน
 

แต่ก็ยังได้ยินอยู่ดี....
 

คันธชาติมองหน้ามอมแมมของคนพูด อยากจะหัวเราะแต่ร่างกายที่ระบมเพราะบาดแผลกลับไม่เอื้ออำนวย ทำได้ดีที่สุดก็แค่ยกริมฝีปากช้ำเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะรวบรวมแรงอันน้อยนิดบีบมือของอีกฝ่ายเบา ๆ “ร้องไห้ทำไม ผมยังไม่ตายสักหน่อย”
 

...
 

ดวงตาคมมองผ่านม่านน้ำฝนไปยังรถสปอร์ตซีดานที่เพิ่งแล่นมาจอดเทียบบาทวิถี ครู่หนึ่งนายตำรวบร่างสู่ก็เปิดประตูลงจากรถก่อนวิ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน มือใหญ่ยกขึ้นปัดละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ยนเส้นผมออก จากนั้นก็เดินมานั่งลงตรงหน้าตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ไม่ขาดไม่เกิน


“มีอะไรหรือเปล่าถึงนัดมมาที่นี่” พูดพลางหันไปสั่งกาแฟร้อนกับหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่หลังเคาเตอร์อย่างคนคุ้นเคย


“คุณเจอบุ้งบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาลนี่ก็จะเข้าเดือนที่สี่แล้วนะ ผมยังไม่ได้คุยกับเขาเลย โทรไปก็ปิดเครื่อง”


คนฟังอมยิ้มก่อนจะถามกลับ “มันไม่ได้บอกคุณเหรอว่ามันไปไหน”


ธันวาได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ จะรู้ได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยบอกอะไรเลยสักอย่าง


“คงอายละมั้ง”


“อาย? อายเรื่องอะไรกันครับ” คนพูดน้อยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“ไอ้บุ้งมันถูกลุงทินกฤตส่งไปสำนึกผิด ช่วยลุงมันทำไร่กาแฟที่หลวงพระบางโน่น”


“แล้วจะกลับเมื่อไร คุณรู้ไหม”


“อืม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณอาจจะได้พบมันที่งานเลี้ยงฉลองรายได้ของละครเวทีเรื่องล่าสุดของนาฏยกาลนะ เห็นอารตีเล่าว่าคุณอนันต์กับคุณอัศนัยไปขอร้องพ่อมันอยู่ เขาอยากให้มันมาร่วมงานให้ได้”


คนฟังถอนหายใจทันทีที่ได้ฟังชื่อนาฏยกาล อดนึกหวนไปถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ ถ้าหากในทะเลเพลิงวันนั้นหากันไม่พบก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ของตนเองจะเป็นเช่นไร เพิ่งเข้าใจทฤษฎีไม่ผูกพันก็ไม่มีวันสูญเสียของคันธชาติก็คราวนี้เอง


“แล้วเรื่องคุณอัศวินล่ะครับ ไปถึงไหนแล้ว”


“ตอนนี้คุณอัศวินถูกส่งไปเข้ารับการรักษาอาการทางจิตในโรงพยาบาล”


“น่าสงสารคุณอัญชลิสานะครับ”


เก่งกาจพยักหน้าเห็นด้วย “อืม อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการทำใจ ผมว่าก็ดีเหมือนกันที่เธอตัดสินใจไปต่างประเทศ เป็นผมเองผมก็คงทำแบบนี้ คนหนึ่งเป็นคนรักแต่กลับยกเธอให้คนอื่น ส่วนคนอื่นที่ว่าสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ผูกพันกัน เฮ้อ! ความรักมันช่างเล่นตลกเนอะด็อกเตอร์ คุณว่าไหม สู้อยู่โสด ๆ แบบผมสบายกว่าตั้งเยอะ” พูดแล้วก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘จะร่วมสมาคมด้วยกันไหม’ แต่คำตอบของอีกฝ่ายก็ยืนยันชัดเจนว่า ‘เชิญโสดไปคนเดียวเถอะ’
 

...
 

ในที่สุดวันที่ธันวารอคอยก็มาถึง งานเลี้ยงฉลองรายได้ของละครเวทีเรื่อง ‘หน้ากากดอกไม้’ จัดขึ้นที่โรงละครเก่าแก่ของนาฏยกาลที่เคยถูกปล่อยร้างมาหลายปี บรรดาผู้ที่มาร่วมงานมีทั้งนักธุรกิจ คนในวงการบันเทิงรวมถึงสื่อมวลชน ทุกคนต่างได้รับแจกหน้ากากเพื่อให้เข้ากับธีมงาน พิธีกรหนุ่มหล่อที่กำลังยืนอยู่บนเวทีในขณะนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ อัศนัย นาฏยะ ทายาทผู้สืบทอดธุรกิจของผู้เป็นพ่อนั่นเอง และเนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของอนันต์ ชายวัยใกล้เกษียณจึงถูกเชิญมาบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน ดวงตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปที่ร่างสูงของชายวัยกลางคนที่ก้าวขึ้นมายืนที่จุดกึ่งกลางด้วยไม้เท้าค้ำยัน พลันเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องโถงขนาดใหญ่ ในขณะที่ดวงตานับร้อยคู่จ้องมองไปข้างหน้า แต่ดวงตาคู่หนึ่งกลับพยายามมองหาใครบางคนโดยไม่รู้เลยว่าคนตนเองที่กำลังอยากจะพบหน้าขณะนี้ยืนอยู่ที่หลังเวทีนั่นเอง
 

“บุ้งขอโทษนะที่โกหกทุกคน” คันธชาติกล่าวกับสามสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“นิกกี้ พี่แคทแล้วก็พี่จีจี้ไม่มีใครโกรธบุ่งบุ๊ง เอ๊ย! คุณบุ้งหรอกค่ะ เจ๊พุดดิ้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟังแล้ว” เมื่อกะเทยร่างเล็กกล่าวจบอีกสองคนที่เหลือก็พากันพยักหน้าสนับสนุน


“ไม่โกรธจริง ๆ นะ”


“จริง ๆ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะที่จะพากันโผเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงแต่ก็ถูกเสียงกระแอมของพุฒิพงศ์ห้ามเอาไว้เสียก่อน


“แหมเจ๊! ชักเท้ากลับแทบไม่ทัน จะเก็บไว้กินเองเหรอคะ” แคทค้อนขวับ


“พวกแกนี่คิดอกุศล อย่างฉันน่ะต้องล่ำ ๆ อย่างผู้กองเก่งกาจย่ะ” พูดจบก็เกาะแขนเจ้าของชื่อที่กำลังมัวแต่คุยอยู่กับลูกสาวเจ้าของงาน เกาะแน่นยังกับปลิง


“พูดอะไรเกรงใจแฟนผมบ้างเจ๊” นายตำรวจหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปขยิบตาให้สาวน้อยในชุดราตรียาวที่ยืนยิ้มรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ


“อ้าว ทำไมไปเป็นแฟนกันน้องรตีได้ล่ะ ไหนบอกจะครองโสดไปยันลูกเจ๊บวชไงคะผู้กอง”


“แล้วเจ๊มีได้หรือเปล่าล่ะ”


พุฒิพงศ์ตีมือลงบนแขนล่ำเบา ๆ “ต๊าย! จริงอย่างโบราณเขาว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ไว้ใจไม่ได้”


อารตีปลีตัวออกจากวงสนทนาที่ทุกคนต่างก็กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเดินไปหยิบหน้ากากที่เตรียมไว้ก่อนจะกลับมายืนตรงหน้าชายหนุ่มที่ช่วยให้เธอได้มีครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง


“สวมหน้ากากสิคะพี่บุ้งจะได้ออกไปข้างนอกกัน จวนได้เวลาที่พี่อันจะขึ้นแสดงบนเวทีแล้ว”


“ขอบคุณครับ” คันธชาติกล่าวก่อนจะรับหน้ากากที่ประดับด้วยดอกไม้ที่เขาชอบมาสวม กลิ่นหอมเย็นของมันนอกจากจะชวนให้คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งแล้วยังทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมารวมถึงการได้เริ่มร็จักใครบางคน


เมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศชื่อการแสดงชุดถัดไป ชายหนุ่มก็ก้าวปะบนไปกับผู้คนจำนวนมากที่ต่างอำพรางใบหน้าของตนเองด้วยหน้ากากแสนสวย ไฟทุกดวงมืดลงพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้น จากนั้นสปอร์ตไลต์ก็สาดแสงกระทบร่างงามสง่าของสาวสวยที่ปรากฏขึ้นกลางเวที เรียกเสียงปรบมือให้ดังขึ้นอีกครั้ง


ธันวาจ้องมองร่างบางที่กำลังขยับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอ่อนช้อยงดงามไปตามจังหวะเพลง ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีใครสะกิดจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบสาวน้อยสวมหน้ากากกำลังส่งยิ้มมาให้


“มายืนหลบมุมอยู่นี่เองค่ะอาจารย์ รตีเดินหาตั้งนาน”


“เสียงดังน่ะ ยืนดูจากตรงนี้ดีกว่า”


“รตีลืมไปว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของรติเป็นคนรักความสงบ แต่ก็ยังอุตส่าห์มางานนี้ เอ๊! หรือว่ามีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่าคะ”


“แซวกันได้นะ” คนเป็นอาจารย์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปยังเวทีที่การแสดงเพิ่งจะจบลง
 

...
 

คันธชาติเดินหันหลังให้ความวุ่นวายออกไปที่ด้านนอก เงยหน้าขึ้นมองไปยังดาดฟ้าของอาคารสูงหกชั้นที่ตอนนี้กลับสว่างไสวนึกขอบใจเสียงเรียกของใครยบางคนในวันนั้น พลันเสียงฝีเท้าที่ดังจากด้านหลังก็เรียกให้ชายหนุ่มต้องดึงสายตาหันกลับไปมองร่างบางของสาวสวยในชุดระบำอาหรับที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า งามสง่าราวกับนางหงส์ ยากจะปฏิเสธว่าเธอช่างมีพลังดึงดูดชวนให้หลงใหลแม้ในความเป็นจริงแล้วเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่กำเนิดก็ตาม
 

“ออกมาทำอะไรที่นี่ แล้วได้ดูอันแสดงหรือเปล่า”
 

“ดูสิ สวยมากด้วย หนุ่ม ๆ นี่จ้องกันตาเป็นมันเลย”
 

“แล้วบุ้งล่ะ มองตาเป็นมันกับเขาด้วยหรือเปล่า” รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำเอาคนถูกถามพลอยยิ้มตามไปด้วย


คันธชาติไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นถามในสิ่งที่ตนเองอยากจะรู้แทน “ตัดสินใจดีแล้วเหรอที่จะไปต่างประเทศน่ะ”


“ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ไปเหรอ”


“ก็...อือ ไหน ๆ ก็ได้รู้จักเป็นเพื่อนกันแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวตามความจริง ยอมรับว่ายิ่งนับวันความยโสโอหังที่ใคร ๆ พากันใช้อธิบายตัวเธอนั้นมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด


เจ้าของริมฝีปากสีระเรื่อคลี่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะขยับเข้าประชิดร่างสูง พลันสองแขนก็ยกขึ้นคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้ “หลงรักอันแล้วละสิ”


“ใครจะกล้าหลงรัก คู่แข่งทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนี้” พูดพลางประคองเอวบางเอาไว้ “อย่าจ้องแบบนี้น่า มันเขิน”
อัญชลิสาหัวเราะร่วน ลดแขนลงรั้งหน้ากากจากมือของคนตัวสูงมาถือเอาไว้เสียเอง สาวสวยยังคงจ้องคนตรงหน้าไม่วางตาก่อนจะยกหน้ากากขึ้นสวมให้ “ถ้าเขินก็สวมไว้ เพราะเดี๋ยวจะมีคนทำให้เขินยิ่งกว่าอันอีก แล้วอย่าลืมมาส่งอันที่สนามบินด้วยล่ะ”
 

นางเอกละครคนสวยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางในขณะที่คันธชาติดึงหน้ากากออกหันมองตามบังเอิญสายตาก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมา ร่างสูงในชุดทักสิโด้ที่สวมหน้ากากแบบเดียวกันกำลังเดินตรงเข้ามา การปรากฏตัวของเขาทำให้คันธชาตินึกถามตัวเองว่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันจะใช่ความฝันหรือเปล่า และเมื่ออีกฝ่ายมาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมเย็นจากดอกไม้ประดับหน้ากากที่เขาสวมนั้นก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้มันคือเรื่องจริงไม่ได้ฝันไป 
 

“คุณไปอยู่ไหนมา” แทนที่จะกล่าวคำทักทายกลับมีแต่คำถามเต็มไปหมด
 

“ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง”
 

“แล้วทำไมจะมาที่นี่ถึงไม่บอกผม”
 

คันธชาติมุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือดึงหน้ากากที่เขาสวมอยู่ออก “คุณเล่นถามเยอะแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบคำถามไหนก่อน”
 

ธันวาส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามนี้มาก่อน” ถือโอกาสรั้งเอวคนช่างพูดเข้ามาใกล้พร้อมกับถามคำถามที่ตนเองต้องการรู้คำตอบเดี๋ยวนี้
 

“รู้หรือเปล่าว่าผมคิดถึง”
 

เป็นอย่างที่อัญชลิสาพูดไว้ไม่มีผิดกระนั้นคันธชาติก็ยังทำเฉไฉเบนสายตาไปทางอื่น
 

“ว่ายังไงล่ะ หืม?”
 

“รู้”
 

“รู้แล้วทำไมไม่บอกให้ผมรู้บ้างว่าคุณอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”
 

“ก็...อยากลองดูว่าถ้าไม่ได้เจอกันนาน ๆ จะเป็นยังไง”
 

ธันวาเลิกคิ้วสงสัย “จะพิสูจน์อะไรผมอีก”
 

“พิสูจน์อะไรเล่า ผมไม่มีอะไรจะพิสูจน์ตัวคุณแล้ว ผมอยากพิสูจน์ตัวผมเองต่างหาก”
 

เมื่อได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้านิ่งขรึมอีกหน หน้าคมเลื่อนเข้าใกล้พลางกระซิบ “พิสูจน์แล้วเป็นยังบ้าง”
 

“ก็...” คนถูกถามเกาคอเก้อ ๆ “คิดถึงจนต้องมาหานี่ไง” พูดจบก็หันมาสบตากันตรง ๆ จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มมาให้ ยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ
 

จะยิ้มอะไรนักหนา?
 

...
 

คันธชาติก้าวออกจากลิฟท์พลางมองไปรอบ ๆ รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่ขนาบข้างด้วยห้องพัก หูได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนเดินตามมาไม่ห่าง เมื่อถึงยังหน้าห้องของกันและกันต่างคนก็ต่างหยุด และเป็นคันธชาติที่หยิบคีย์การ์ดออกมาแตะเพื่อเปิดประตูห้องของตนเอง กำลังจะบิดลูกบิดก็ต้องชะงักเมื่อจู่ร่างสูงพอ ๆ กันที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พาดคางทิ้งน้ำหนังลงมาบนบ่า แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัวได้เท่ากับคำพูดของเขาที่กระซิบลงข้างหู
 

“ผมอยากดื่มอะไรอุ่น ๆ”
 

“ถ...ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาก่อน”
 

“กลัวโดนช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าหรือวางยานอนหลับอีกน่ะสิ” คนฟังหัวเราะก่อนจะถอยออกพร้อมกับรั้งข้อมือคนที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ให้เดินตามกันไป
 

ธันวาเปิดประตูพาชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันเข้าไปในห้อง ทันทีที่ประตูปิดลงเจ้าของห้องก็ขอกอดให้หายคิดถึง
 

“ปล่อยได้แล้ว อึดอัด” พูดพลางขยับตัวยุกยิกให้หลุดออกจากวงแขนแกร่ง 
 

เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็จำต้องยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ แขนแกร่งคลายออกก่อนจะเลื่อนลงมาโอบเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ
 

“อยากดื่มอะไรเดี๋ยวผมทำให้”
 

คนถูกถามคลี่ยิ้มทอดตามองดวงหน้าที่ปรารถนาจะเห็นมาแสนนานก่อนจะตอบคำถามเมื่อครู่โดยการกดจุมพิตลงที่กลีบปากอุ่นอย่างแผ่วเบาแล้วผละออกสบตานิ่ง มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นประคองแก้มนุ่มอย่างทะนุถนอม จำได้ไม่ลืมว่าเหตุการณ์คราวนั้นได้สร้างรอยแผลเอาไว้ตรงไหนบ้าง 


“มันก็แค่ข้ออ้างที่จะทำให้ผมได้อยู่กับคุณนานขึ้นก็เท่านั้นเอง”


คนฟังหัวเราะพร้อมกับดึงมือที่ข้างแก้มออก “เป็นเอามาก”


พูดจบก็เตรียมจะเปิดประตูออกจากห้อง แต่ก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เมื่อจู่ ๆ ธันวาก็ดึงร่างของเขาเข้าไปแนบอก มือหนาขยุ้มลงบนกลุ่มผมดันท้ายทอยรอรับรสจูบที่กำลังจะมอบให้ มันต่างจากครั้งแรกเป็นไหน ๆ เดี๋ยวอ่อนโยนเดี๋ยวดุดันแต่ก็หวานหอมและลึกซึ้งเสียจนหัวใจสั่นไหว เรี่ยวแรงกับลมหายใจที่ถูกขโมยไปจนเกือบหมดทำให้มือเรียวต้องรีบคว้าเกาะบ่ากว้างเอาไว้ เผลอเผยอริมฝีปากบางสีระเรื่อไม่ต่างกับกลีบของดอกไม้เปิดทางให้แมลงผู้ซื่อตรงเข้ามาฉกชิมรสหวานของเกสรอย่างย่ามใจ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับโซฟาเสียแล้ว ร่างสูงโถมทาบตามลงมา มือซนสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตตรึงเอวคอดในขณะที่ริมฝีปากหยักผละจากเนื้อปากนุ่มกดลงบนซอกคอขาวดูดดึงอย่างหยอกเย้าจนคนใต้ร่างหายใจหอบเป็นห้วง ๆ   


“ธ...ธัน...” ตั้งใจจะให้ทำให้ทุกอย่างหยุด แต่เสียงเรียกชื่อนั้นกลับเหมือนแรงกระตุ้นให้อีกคนรุกหนัก มือข้างที่เหลือค่อย ๆ สะกิดกระดุมเสื้อให้หลุดออกเผยให้เห็นเนื้อตัวที่เจ้าของไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็น


“หยุ...หยุด หยุดก่อน” มือเรียวคว้าหมับเข้าที่มือซึ่งกำลังแตะวนลงบนยอดอกแข็งเป็นไตก่อนจะบิดตัวหนี กระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา


“ไล่ผมสิ ไล่ให้ผมไปแล้วผมจะหยุด แต่ถ้าคุณยังลังเลไม่ทำเสียตั้งแต่วินาทีนี้ ผมก็จะไม่ยอมไปไหนอีก คราวนี้ไม่ใช่จนกว่าจะเช้าแต่เป็นตลอดทั้งชีวิตของผม”
 

“แต่คุณยังรู้จักผมไม่ดีพอ”


ธันวาหัวเราะในลำคอก่อนจะจับปลายคางของคนใต้ร่างให้กลับมาสบตากันอีกครั้งพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้หัวใจคันธชาติเต้นระส่ำ “ผมก็กำลังจะทำความรู้จักคุณอยู่นี่ไง จะรู้จักให้ทุกซอกทุกมุมเลย”


คนฟังเบิกตากว้างไม่คิดว่าจะได้ฟังคำพุดคลุมเครือกรุ้มกริ่มเช่นนี้จากปากของคนที่ปกติจะวางท่าขรึม จะอ้าปากต่อว่าแต่ธันวาก็ไม่ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจรีบประกบปากลงช่วงชิมความหวานของริมฝีปากเย้ายวนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต่างจากครั้งไหน ๆ ตรงที่คันธชาติตอบรับรสสัมผัสนั้นทันควัน ปลายลิ้นเกี่ยวรัดกันอยู่ในโพรงปากขณะที่สองร่างลูบไล้ก่ายกอดเบียดกันอยู่บนพื้นที่แคบ ๆ


“อึดอัด...”


คำพูดนั้นแผ่วเบาแต่มีพลังพอจะทำให้อีกฝ่ายหยุด ธันวาถอนริมฝีปากออกกล่าวคำขอโทษพร้อมกับมองคนหน้านิ่วคิ้วขมวดที่กำลังเบือนหน้าหนี ได้ยินเสียงอู้อี้ออกจากปากสีระเรื่อ


“ที่โซฟามันอึดอัด”


“แล้วคุณอยากไปที่ไหน”


“ท...ที่เตียง”


คนอายุมากกว่าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะยันตัวขึ้นมองหน้าคนใต้ร่างให้ชัด ๆ พลางแทรกนิ้วทั้งห้าลงยังกลุ่มผมนุ่มมือ ปากหยักยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “ถ้าไปที่เตียง...ผมกลัวว่าคุณจะอึดอัดยิ่งกว่านี้น่ะสิ”


คันธชาติกัดปากแน่นจ้องหน้าคนอายุมากกว่าตาเขม็ง รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร แต่มาถึงขนาดนี้แล้วจึงยอมให้ปากอยู่ใต้อำนาจของความต้องการภายในจิตใจ “พ...พาผมไปที่เตียงเดี๋ยวนี้”


‘เอาแต่ใจจริง ๆ’ ธันวานึกในใจ


“ทำไมนายน้อยพูดไม่เพราะเลยล่ะครับ ผมอายุมากกว่าคุณนะ” เจ้าของรอยยิ้มแสนอบอุ่นโน้มหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ “เรียกพี่ธันก่อนแล้วจะพาไป” พูดจบก็เตะปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนกลีบปากบางกระทั่งปากนั้นยอมคลายออก พลันเสียงหวานก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทอีกหน


“พ...พี่ธัน พา...พาบุ้งไปที่เตียงนะ...นะครับ”


เพียงเท่านั้นหัวใจคนฟังก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอกเสื้อ ลุกขึ้นช้อนร่าง ‘นายน้อย’ ลอยขึ้นในอากาศก่อนจะตรงไปยังที่ที่เขาต้องการ...

จบ




สวัสดีค่ะ
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะคะ เรื่องนี้อาจจะอ่านยากหน่อย ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนคนเขียนเองก็ปวดหัว
แต่ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณคอมเมนต์ และขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความคิดกันค่ะ
ขอบคุณที่อดทนต่อแนวการเขียนแบบเราที่เนิบ ๆ ช้า ๆ คงต้องฝากไว้เป็นประเด็นในการพิจารณาเลือกอ่านเลือกซื้อกันต่อไปสำหรับหลาย ๆ ท่านที่อาจจะเพิ่งได้มารู้จักกันค่ะ

หลังจากเรื่องนี้คงหยุดเขียนนานหน่อย เพราะภารกิจเยอะแยะไปหมด
ขอบคุณที่ถามถึงเรื่องการรวมเล่มคุณบุรุษไปรณีย์ที่รักกันเข้ามานะคะ สารภาพตามตรงว่ายังไม่มีเวลาตรวจทานหรือเขียนตอนพิเศษเลยค่ะ (แต่มองของที่ระลึกแล้ว 555) ที่เร่งปั่นหน้ากากดอกไม้ให้จบเพราะเกรงว่าอีกหน่อยจะไม่มีเวลาเขียน ตอนนี้เขียนจบซะทีดีใจสุด ๆ ค่ะ

สุดท้ายก็ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาปีกว่า ๆ ที่ผ่านมานะคะ
บางคนอาจจะรู้จักกันมาตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเขียน
บางคนอาจจะเพิ่งมารู้จักในเรื่องถัด ๆ มา หรือบางคนอาจจะเพิ่งบังเอิญผ่านเข้ามาเมื่อไม่กี่วัน
แต่สำหรับเรามันดีมาก ๆ เลย ขอบคุณมาก ๆ แล้วพบกันใหม่นะคะ ^^

 

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: mamazung ที่ 01-04-2015 11:57:27
ชอบรื่องนี้มากค่ะ ติดงอมแงมเลย
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ
ปล. แอบหวังว่าจะมีตอนพิเศษ หวานๆเพิ่มอีก
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-04-2015 12:25:23
ชอบมากค่ะ
ขอบคุณนิยายดีๆ ที่เขียนให้อ่าน

จะรอเรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-04-2015 12:31:30
เขินแรง ปกติไม่ค่อยจะหวานกันหรอกสองคนนี้
สงสารน้องอัน กลายเป็นว่ามีแฟนสองคนแต่ไม่ได้อยู่กะใครซักคน
กิ่งดาวก็ต้องมาตายฟรี บุ้งก็มาเจ็บตัวซ้ำ ๆ เพราะพี่น้องฝาแฝด
ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุก ๆ ตื่นเต้นน่าลุ้นมาให้อ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 01-04-2015 12:53:11
จบลงที่เตียง!!!!  :katai1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Noo_Patchy ที่ 01-04-2015 13:06:09
 :z1: :z1: :z1: :z1:  จบซะลุ้นจิกหมอนมาตั้งแต่เมื่อคืน 555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 01-04-2015 13:40:13
ขอบคุณนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านเสมอๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 01-04-2015 13:53:09
อร๊ายยยย ในที่สุดก็ทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ววว อ่านกันยาวๆๆ ไปปปป
เอาจริงๆ ก็สงสารทุกคนเลย ทั้งเสี่ยอนันต์ คุณใหญ่ คุณเล็ก อัญ หรือแม้แต่กิ่ง

ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเลวร้ายมันเริ่มจากใคร
แต่ต้องขอบคุณบุ้งมากๆ ที่ปลอดปล่อยทุกคนจากปมในใจ



แล้วยังไงๆๆ คะพี่ผู้กองงงง กิ๊บกิ้วอ่ะ มีแฟนแล้วด้วยยยย >_<


ส่วนด็อกเตอร์จำไม คนเงียบๆๆ แต่ชอบรัวคำถามใส่บุ้งไม่ยั้ง ก็เดินหน้าเต็มดีเบยยยย
โอ้ยยยย ฉากในห้องดร.ธันตอนสุดท้ายที่เขินหัวใจจัง


พอจะเดาเรื่องที่พี่น้องฝาแฝดสลับตัวกันได้ แล้วก็พอจะได้ลางๆ ว่าคุณใหญ่น่าจะมีอากาศทางจิตหน่อยๆ
แต่ไม่คิดว่าคุณใหญ่จะโหดขนาดที่ขังน้องไว้ในโรงละคร แล้วยังคิดที่จะระเบิดน้ำเป็นจุลอีก

เอาจริงๆ ก็แอบสงสัยนิดๆ ว่าอัญหวั่นไหวให้กับคุณใหญ่บ้างมั้ย หรือว่า อัญโกรธคุณเล็กมากหรือเปล่า
แล้วยังสงสัยอีกว่า ทำไมคุณเล็กถึงยอมเปลี่ยนตัวกับคุณใหญ่
แล้วในตอนนั้นที่คุณใหญ่เข้าไปหาอัญครั้งแรกที่โรงแรม ตอนนั้นคือคุณเล็กก็อยู่แถวนั้นหรอ
สุดท้ายคือ รอยเหวอะหวะที่หัวไหล่ด้านหลังของคุณเล็ก คือคุณใหญ่จะทำลายรอยสักของคุณเล็กใช่มั้ยคะ
จริงๆ ก็แอบเชียร์ให้อัญกับคุณเล็กกลับมามีโมเม้นกันไวๆ แต่ก็เข้าใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา อัญคงต้องใช้เวลาทำใจ
ขอให้อัญผ่านเรื่องราวนี้ไปได้อย่างดีค่ะ

ปล.แอบชอบฉากที่อัญคุยกับบุ้งตอนเรื่องคลี่คลายแล้ว เกี้ยวกันน่ารักดีค่ะ (เหมือนเพื่อนสาวคุยกัน หราาาา)

ขอบคุณสำหรับสนุกๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 01-04-2015 15:15:04
ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายสนุกๆที่อ่านแล้วได้ลุ้นตามตัวละครตลอดเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ
สืบตามบุ้งทีละนิดๆ สนุกๆมากๆ จนไม่อยากลุ้นตอนต่อไปเอาเองเลย
นิยายเรื่องนี้น่าประทับใจมากอ่ะค่ะ
ปล.หาคนอย่างพี่ธันได้ที่ไหนบอกที อยากได้คนนี้~~~~~~
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-04-2015 15:26:46
นี่ไง! NC ของคุณ ถธปทฟ
แต่ที่คนอ่านอยากอ่านมันเป็นคู่หลักนะค๊าาาาา

สงสารอัศนัย อัศวินน่ากลัวอ่ะ จิตมาก โหดเหี้ยมมาก
สงสารอันยิ่งกว่า ต้องมีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้รัก

ทิ้งท้ายด้วยการลุ้นตัวโก่ง บุ้งของฉ้านนนนน เป็นตายร้ายดียังไงเนี้ย :katai1:

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 01-04-2015 15:42:40

เอาจริงๆ ก็แอบสงสัยนิดๆ ว่าอัญหวั่นไหวให้กับคุณใหญ่บ้างมั้ย หรือว่า อัญโกรธคุณเล็กมากหรือเปล่า
แล้วยังสงสัยอีกว่า ทำไมคุณเล็กถึงยอมเปลี่ยนตัวกับคุณใหญ่
แล้วในตอนนั้นที่คุณใหญ่เข้าไปหาอัญครั้งแรกที่โรงแรม ตอนนั้นคือคุณเล็กก็อยู่แถวนั้นหรอ
สุดท้ายคือ รอยเหวอะหวะที่หัวไหล่ด้านหลังของคุณเล็ก คือคุณใหญ่จะทำลายรอยสักของคุณเล็กใช่มั้ยคะ
จริงๆ ก็แอบเชียร์ให้อัญกับคุณเล็กกลับมามีโมเม้นกันไวๆ แต่ก็เข้าใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา อัญคงต้องใช้เวลาทำใจ
ขอให้อัญผ่านเรื่องราวนี้ไปได้อย่างดีค่ะ


เป็นข้อสงสัยที่ทำให้เราต้องทบทวนมาก ๆ ค่ะ ขอตอบเป็นข้อ ๆ ดังนี้นะคะ

1.เอาจริงๆ ก็แอบสงสัยนิดๆ ว่าอัญหวั่นไหวให้กับคุณใหญ่บ้างมั้ย หรือว่า อัญโกรธคุณเล็กมากหรือเปล่า

อันหวั่นไหวไปแล้วค่ะ เห็นได้จากตอนที่อัศวินจะเอามีดโกนกรีดหน้าตัวเองเพราะไม่อยากเหมือนน้องชาย มีช่วงหนึ่งที่อัศวินถามว่าทำไมอัญชลิสาถึงดีกับตัวเอง อัญชลิสาก็ลังเลจะตอบ ไม่รู้ว่าเพราะรักหรือสงสาร แต่ถ้าตอบว่ารักจะผิดต่ออัศนัยไหม (อันรู้ว่าสภาพจิตใจของอัศวินน่าจะไม่ปกติ แต่อัศวินต่างกับอัศนัยตรงที่ไม่ว่าอันจะเป็นแบบไหนคือจะทำให้ใคร ๆ ยอมรับให้ได้ จะเห็นว่าอะไร ๆ ก็ อัญชลิสาคุณว่ายังไง ทำอะไรเปิดเผย ตั้งแต่เริ่มแรกที่ไปนอนด้วยกัน อัศวินจะให้ติดรถมาที่นาฏยกาลด้วยแต่อันยอมมาเองเพราะกลัวคนอื่นรู้ แต่อัศนัยกลัวไปหมด แม้แต่ตอนที่ไปงานเลี้ยงปิดตัวดรามาติก ทเวลฟ์ยังให้แต่งหญิง)

อันนี้ไม่ได้บรรยายมาก เพราะมันเป็นเรื่องเล่า ถามว่าอันโกรธ ก็โกรธนะคะ แต่พอดีมันมีเรื่องที่อัศนัยหายตัวไปก็เลยทำให้ความรู็สึกโกรธตอนนั้นมันลดลง แต่ก็แอบใส่ไว้ว่ายังโกรธนะ คือตอนหนึ่งที่อันคุยกับอัศวิน แล้วอัศวินพูดถึงอัศนัย อัญชลิสาก็ขัดว่าจะพูดถึงคนอื่นทำไม (แต่ก็ยังให้คนตามหาอัศนัยอยู่) ในตอนสุดท้ายถึงตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศ คือรักอัศวินไปแล้วด้วย คงกลับมารักคุณเล็กไม่ได้แล้ว

2.ทำไมคุณเล็กถึงยอมเปลี่ยนตัวกับคุณใหญ่

เราอาจจะให้รายละเอียดคุณเล็กน้อยไป แต่จะสังเกตว่าคุณเล็กเป็นลูกที่หัวอ่อนมาก ๆ ยอมพ่อทุกอย่างจนแทบไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เห็นว่าพ่อไม่ชอบความรักแบบ ชช. ก็ให้คนรักไปแปลงเพศ พ่อป่วยก็ให้มาดูแล สุดท้ายไม่ได้ผล ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าเขาคงยื่นข้อเสนออะไรกันวุ่นวายตามที่ทั้งอันและคุณใหญ่เล่า อีกอย่างก็คงเห็นความมีจุดยืนของพี่ชายตัวเองด้วย ก็เลยยอมเปลี่ยนตัวเพื่อให้พี่ชายจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

3. ตอนนั้นที่คุณใหญ่เข้าไปหาอัญครั้งแรกที่โรงแรม ตอนนั้นคือคุณเล็กก็อยู่แถวนั้นหรอ

คุณเล็กอยู่ค่ะ โดนทำร้าย แต่ก็ไม่ยอมปรากฏตัว ไม่กล้าหือกับพี่ชาย (มันโหดขนาดนี้) คือยอมอ่ะ ถ้ามันจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

4. รอยเหวอะหวะที่หัวไหล่ด้านหลังของคุณเล็ก คือคุณใหญ่จะทำลายรอยสักของคุณเล็กใช่มั้ยคะ

ใช่แล้วค่ะ

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 01-04-2015 16:02:21
ขอบคุณ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า มากๆ เลยค่ะ ที่เข้ามาตอบข้อข้องใจของเรา
ทำให้เรามองเห็นภาพของฝาแฝดคู่นี้ชัดมากขึ้นเลยค่ะ
คุณเล็กที่อ่อนแอเกินไป และคุณใหญ่ที่มีสิ่งดำมืดอยู่ในจิตใจ
พี่น้องคู่นี้น่าสงสารจริงๆ ด้วย เอาเข้าจริงแล้ว มันน่าจะมาจากสภาวะแวดล้อมของทั้งคู่เนอะ
สองคนนี้เป็นแฝดที่มีชีวิตอยู่คนละขั้วเลยอ่ะ
ตอนแรกคิดว่าพอเจอคุณเล็กแล้ว อัญกับคุณเล็กจะได้คู่กัน แต่พอมาอ่านแบบนี้
ก็เข้าใจแล้วค่ะ ที่อัญตัดสินใจไปต่างประเทศ

เรื่องของครอบครัวนี้อึมครึมเป็นสีเทามากเลย
แต่คู่นายน้อย กรุบกริบๆ เป็นสีชมพู

ขอบคุณ คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้ามากๆ ค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 01-04-2015 17:11:05
จบแล้วเหรอคะ   กำลังสนุกเลย
ตัดจบได้ทรมานคนอ่านมากค่ะ
เป็นเรื่องที่ยากจะเดาจริงๆว่าใครเป็นฆาตกร
แต่สนุกมาก ลุ้นตลอดโดยเฉพาะใกล้ๆจบ
แบบว่าถ้ายังไงก็แวะมาต่อตอนพิเศษบ้างนะคะ
อยากได้แบบตอนหวานๆ มุ้งมิ้ง ครุคริ ระหว่าง บุ้งกะธันวาบ้างอ่ะ

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 01-04-2015 18:15:42
จบแล้วว ซึ้งอ่า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 01-04-2015 18:18:33
สนุก ซ่อนเงื่อนมากจริง ๆ ค่ะ
แทบตลอดทั้งเรื่อง เราตัดสินอันไปแล้วว่าเป็นคนฆ่ากิ่ง >.<

เป็นกำลังใจให้คนเขียน สำหรับผลงานชิ้นต่อ ๆ ไป
ขอบคุณมากค่ะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-04-2015 18:45:44
พาคนอ่านไปเกาะขอบเตียงด้วยค่าาา
หุหุ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 01-04-2015 19:18:18
นี่ก็รีบไปหน่อย อ่านตอนที่ 18 แล้วก็โพสทันที ไม่ได้เลื่อนลงมาดูเลยว่าตอนจบมาติดๆกัน
แต่คุ้นๆว่าก่อนจะอ่านตอนจบ คุณ ถธปทฟ มาตอบข้อสงสัย ตัวหนังสือเป็นสีเขียวอ่อน
พออ่านจบจะโพสอีกที ตัวหนังสือเป็นสีชมพูไปซะแล้ว นี่ทฤษฎีเดียวกับเดรสสีฟ้ารึเปล่าคะ ฮ่าๆๆๆๆ

พระเอกเราอ่อนไหวมากจนอยากให้บุ้งได้กับอันแทน ฮ่าาาา (กระโดดหลบแม่ยก)
แค่อ่านสองตอนนี้ ต้องใช้เวลาอ่านช้าๆค่อยๆคิด ยอมรับเลยว่าเป็นคนเข้าใจยาก
แต่ดันชอบอ่านนนิยายสืบสวนซะงั้น
ซีนอัศวินเปลี่ยนตัว NC มาเต็มนะคะ แต่พอซีนเปลี่ยนจากโซฟาไปเตียงน่ะ ตัดฉับเลย
ทำไมหนูไม่ได้อ่านฉบับเต็มมมมมมมมมม  :ling1:

จบเรื่องนี้แล้ว ระหว่างรอตอนพิเศษ ก็กลับไปส่งไปรษณีย์อีกสักรอบสองรอบ
เผื่อระหว่างนั้น จะมีพัสดุเป็นนิยายสักเล่มมาส่งบ้าง  :katai2-1:
ขอบคุณสำหรับผลงานเรื่องที่สามแล้ว จะรอเรื่องที่สี่นะคะ ภารกิจที่ต้องพักแต่งนิยายไปทำ ก็ขอให้ลุล่วงด้วยดีนะคะ
จะได้กลับมาแต่งนิยายได้เร็วๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 01-04-2015 20:57:11
เง้อออออ จบซะแล้ว

จะมีตอนพิเศษอีกซักหน่อยมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 02-04-2015 00:05:52
 ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆให้อ่านนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 02-04-2015 00:08:27
ขอตอนพิเศษค่ะ !!


55555555555555555555




อ่านจบแล้วมีความรู้สึกว่านายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ เลยค่ะ
หมั่นเขี้ยว บางครั้งอยากหยิกให้เอวเขียว แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าน่าเอ็นดู ฮืออออออ

สารภาพว่าไม่ได้อ่านมาหลายตอนเพราะไม่ว่างสักที พอโผล่มาอีกที อ้าว ตอนจบแล้ว  :hao5:
แอบใจหายเหมือนกันนะคะ เวลานิยายที่ตามอีกเรื่องหนึ่งจบลง เพราะงั้นขอตอนพิเศษหวานๆ ค่ะ #เดี๋ยว 5555555

อ่านเรื่องนี้แล้วชอบมากเลย ชอบตรงที่อ่านไปแล้วได้คิดไปด้วยว่าใครคือคนร้าย รู้สึกเชอร์ล็อคโฮล์มมากเลยค่ะ
เวลาที่เดาอะไรถูกจะภูมิใจในตัวเองมาก ประหนึ่งเข้าไปช่วยตัวบุ้งสืบเอง 5555555555

เอาจริงๆ ประเด็นเรื่องคุณอัศวินกับคุณอัศนัยนี่ แฝดพี่น่าสงสารนะคะ จริงๆ เราแอบเชื่อว่าการที่ใครสักคนจะทำเรื่องเลวร้ายมันต้องมีเหตุผลค่ะ ถึงมันจะไม่น่าให้อภัยก็เหอะ รู้สึกเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ค่ะ เพราะก่อนหน้าจะอ่านนิยายเรื่องนี้ (นานแล้ว) เราได้อ่านบทความเกี่ยวกับจิตวิทยา และการเลี้ยงลูกแฝด ซึ่งพอได้มาอ่านเรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกสงสารคุณอัศวินนะคะ จิตใจของเด็กมันขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูจริงๆ แล้วยิ่งเป็นเด็กแฝดซึ่งมีโอกาสในการถูกเปรียบเทียบกันสูงมาก คุณอัศวินดูจะเป็นแฝดพี่ที่ต้องทนแบกรับกับความกดดันจากการเลี้ยงดูที่เหมือนว่าพ่อจะเอาใจคนน้องมากกว่า สถาวะจิตใจก็คงจะเกิดความกดดัน ก็เลยกลายเป็นสภาพอย่างที่เห็น.. รู้สึกว่าถึงจะเป็นตัวละครที่โผล่มาแค่แว่บเดียว (แว่บเดียวในที่นี้คือตอนเป็นคุณอัศนัยเราไม่นับ 5555) แต่ก็เรียกความสงสารจากเราไปได้เยอะเลยค่ะ

เอาจริงๆ แล้วยังอยากให้มีต่อนะคะ
เคลียร์ประเด็นเรื่องใครฆ่ากิ่งดาวไปแล้ว แต่รู้สึกว่ายังไม่อิ่มกับดร.ธันวาและตัวยุ่ง เอ้ย! ตัวบุ้งเลย
อยากอ่านอีก เอาจริงๆ รู้สึกว่ามันเร่งรัดไปนิดหนึ่ง เหมือนรีบตัดจบไปหน่อย  :hao5: หลังๆ มานี่ดร.ธันวาพีคมาก ร้ายมาก ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ (ชอบแบบปาหัวใจใส่รัวๆ) เราอ่านฉากที่เค้าสวีทกันแล้วเขินม้วนเหมือนโดนจีบเอง ฮืออออ ยังอยากเขินอีกเยอะๆ อยู่เลยค่ะ 5555555555 อยากรู้ฉากบนเตียงต่อด้วยค่ะ ! อันนี้ไม่ได้หื่นนะ แต่กำลังพยายามทำตัวเป็นนักสืบที่ดีด้วยการอยากรู้อยากเห็นค่ะ ก๊ากกกกกกกก


รู้สึกว่าเม้นท์นี้จะเวิ้นมาก แงง เวิ้นกว่าทุกเม้นท์ที่เคยโพสมา  :hao5:
อยากจะบอกว่าถึงจะหายไปบ้างก็แต่ตามอ่านอยู่ตลอดนะคะ
เราชอบการใช้สำนวนในการบรรยายของคุณถธปทฟ.มากเลยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกว่ามันสบายตา ไม่ติดขัด
มีความรู้สึกว่าถึงจะมีฉากเครียดๆ แต่ภาษาที่ใช้เขียนช่วยให้เรารู้สึกว่าอ่านสบายและลื่นไหลได้เยอะมากเลยค่ะ


จะรอติดตามผลงานเรื่องถัดไปนะคะ เราเองก็เป็นคนชอบสไตล์เนิบๆ ฟินๆ แบบนี้เหมือนกันค่ะ >_<


ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ เรื่องนี้มากนะคะ  o13 :กอด1:



ปล. เราอุตส่าเล็งผู้กองเก่งกาจเอาไว้เต๊าะเอง ที่ไหนได้ ฮืออออออ เป็นของน้องรตีไปซะงั้น
รู้สึกปวดใจจังค่ะ นายตำรวจหนุ่มหล่อล่ำแซ่บมากขนาดนี้ อุตส่าเต๊าะมาเกือบทุกตอน ไหนว่าจะโสดดดดดดด
อยากให้คุณถธปทฟ.เอาตอนพิเศษหวานๆ ของดร.ธันวากับตัวบุ้งมาปลอบใจเราจังเลยค่ะ ก๊ากกกก (วกเข้าหาตอนพิเศษตลอดเวลา) 5555555555555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 02-04-2015 05:27:21
สนุกมากค่าาาาาาาา เดิมทีชอบนิยายสืบสวนอยู่แล้วด้วยเลยทำให้เพลิดเพลินในการอ่านเรื่องนี้มาก ที่จริงเห็ชื่อคนแต่งแล้วหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าจะรออ่านจบทีเดียวเลยค่ะ หลังจากอ่านเรื่อง ถธปทฟมาแล้ว ซึ่งเรื่องนั้นก็ทำให้ถึงกับเพ้อจ้า กันเลยทีเดียว

ตัวพระเอกในนิยายของคุณ ถธปทฟ นี่หวานเลี่ยนใช้ได้เลยนะคะทำเอาคนอ่านยิ้มแก้มแตกเลยทีเดียว

ถ้ามีตอนพิเศษนอกเหนือจากนี้หรือจะรวมเล่นรอเป็นเจ้าของนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 02-04-2015 19:44:37
อยากให้มีตอนหวานๆกว่านี้อีกถ้ามีตอนพิเศษน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 02-04-2015 20:56:12
กรี๊ดดดดดตัดจบได้ปวดใจมากค่า

อยากได้ตอนพิเศษที่คู่นี้สวีทกันบ้าง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 03-04-2015 22:02:53
ในที่สุดก็อ่านจนจบ   

ขอตอนพิเศษด่วนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 05-04-2015 10:09:35
 o13
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 06-04-2015 01:31:04
อ่านจบแล้วว

ตอนอ่านแรกๆไม่นึกเลยว่าอัญเป็นคนที่มีรอยสัก เดาไม่ถูกเลย แต่คิดๆไว้ว่าคนร้ายน่าจะเป็นคุณเล็กเหมือนกัน

คาดหวังว่าจะได้อ่านตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 06-04-2015 11:50:12

ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง


ธันวาวางร่างของคนเอาแต่ใจลงบนเตียงก่อนจะไล่ตามองผิวเนียนละเอียดภายใต้เสื้อเชิ้ตเนื้อดีที่ถูกปลดกระดุมออกจนหมด   แผงอกที่ต้องมือเพียงนิดก็ทิ้งรอยแดงนั้นขยับขึ้นลงถี่ ๆ ตามจังหวะการหายใจในขณะที่เรียวนิ้วจิกแน่นลงกับที่นอนนุ่ม แต่แทนที่จะสบตากันดวงหน้าสีระเรื่อกลับหันไปทางอื่นจนคนมองต้องส่ายหัว


เจ้าของห้องถอดเสื้อสูทโยนไปอีกทางจัดการคลายกระดุมคอออก บรรจงพับแขนเสื้ออย่างเชื่องช้าราวกับจะถ่วงเวลาแล้วจึงเอนตัวลงนอนเท้าแขนจ้องปรางแก้มขึ้นสีก่อนจะรั้งปลายคางมนให้กลับมาสนใจที่ตนเอง จากนั้นมืออุ่นก็เปลี่ยนเป็นประคองแก้มนุ่มเอาไว้พร้อมกับเลื่อนปากเข้ากระซิบจนติดริมหู


"คุณกลัวหรือเปล่า"


"คำถามของคุณนี่แหละที่กำลังทำให้ผมกลัว" คันธชาติกล่าวพลางยกมือขึ้นทาบบนหลังมือที่แนบอยู่กับแก้มของตนเองราวกับจะให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่จากไหน ฟังเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ กระทั่งปลายจมูกโด่งลากลงมาหยุดที่แนวสันกรามก็ให้รู้สึกจั๊กจี้เมื่อปากอิ่มเริ่มเอื้อนเอ่ยถ้อยคำอีกครั้ง


"อย่ากลัวเลยนะ เพราะทุกการกระทำมันมาจากความรู้สึกของผม  ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้รู้สึกกับคุณแบบนี้ แต่ผม..."


"ไม่ต้องพูดแล้ว" นิ้วเรียวแตะที่กลีบปากอุ่น "มันไม่สำคัญหรอก คุณไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าเพราะอะไร แค่สัญญาว่าคุณจะรู้สึกแบบนั้น...ก...กับผม...คนเดียวก็พอ" พูดจบก็หลบตานึกเขินตัวเองอยู่เหมือนกันที่กล่าวเช่นนี้ออกมา หารู้ไม่ว่านั่นกลับให้หัวใจคนฟังดั่งลิงโลด ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะขยี้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ที่ปลายจมูกโด่งรั้นอย่างมันเขี้ยว


"คุณนี่เอาแต่ใจตัวเองตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้เลยนะ" กล่าวพลางนึกถึงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้รู้จักกัน ทั้งที่พยายามจะหลีกไกลจากความรู้สึกแปลก ๆ นั้น แต่รู้ตัวอีกทีเชือกเส้นบาง ๆ ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าก็รัดแน่นจนกลายเป็นความผูกพันไปเสียแล้ว


"ถ้าไม่ชอบก็อยู่ให้ห่างผมไว้สิ" ริมฝีปากบางพึมพำขณะพยายามกระถดร่างหนีแต่มันก็ช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกินในสถานการณ์เช่นนี้


"ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่ชอบ"


"คุณนี่มัน..." คันธชาติมุ่นคิ้วในขณะที่มือก็ดันอกของคนที่พยายามจะมอบจูบให้ แต่ในที่สุดอีกฝ่ายก็รั้งออก ฝ่ามือใหญ่รวบข้อมือเล็กเข้าด้วยกันก่อนจะผลักขึ้นไปกดตรึงไว้ที่เหนือศีรษะ พลันปากอุ่นของแมลงภู่หนุ่มก็ประกบลงขบเม้มดูดดึงให้กลีบบางของดอกไม้แย้มออกเพื่อลองลิ้มชิมความหวานหอมของเกสรข้างใน แต่กลีบดอกสีระเรื่อก็ปิดสนิทแน่นจนธันวาจำต้องถอนริมฝีปากออก


คิ้วหนาที่มุ่นเข้าหากันอย่างขัดใจทำอีกคนกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ปากบางที่เคยเม้มแน่นคลายออกพร้อมกับถอนใจ "เฮ้อ! ใครกันนะที่บอกว่าคุณเป็นคนเงียบขรึม ไม่มีพิษมีภัย ไม่ใช่เลยสักนิด จริง ๆ คุณมันร้ายกาจต่างหาก"


คนถูกกล่าวหาหัวเราะหึ "ผมจะร้ายกับคนที่เอาแต่ใจแล้วก็ดื้อดึงอย่างคุณเท่านั้นแหละ"


รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นชัดเจนอยู่ในสายตาคนฟังได้ไม่ถึงอึดใจก็เลือนหายเมื่อหน้าคมอาศัยจังหวะเผลอโน้มเข้ามาประกบปากอีกครั้ง ไม่รอให้เสียเวลาปลายลิ้นอุ่นก็แทรกเข้าสำรวจโพรงปากกระทั่งได้ยินเสียงขู่คำรามในลำคอของคนที่กำลังถูกขัดใจ มิหนำซ้ำยังดิ้นขลุกขลักคิดจะหนี ธันวาจึงใช้มือข้างหนึ่งสอดเข้าที่ใต้ท้ายทอยดันอีกฝ่ายขึ้นรับรสจูบที่กำลังแปรเปลี่ยนจากนุ่มนวลเป็นร้อนแรงตามอารมณ์ปรารถนาที่กำลังแล่นพล่านอยู่ภายในใจ


คันธชาติที่เผลอไผลไปกับสัมผัสแสนวาบหวามหลับตาลงอย่างไม่คิดหนี แขนขาวเกี่ยวคล้องเหนี่ยวคอแกร่งเอาไว้พร้อมกับตอบรับรสจูบอย่างเติมใจ กลีบปากประกบกันแน่นไม่เหลือช่องให้อากาศผ่าน ลมหายใจเข้าออกสอดประสานราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ร่างผอมไหวสะท้านยามเมื่อฝ่ามือใหญ่เริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปตามเอวคอดก่อนจะสอดลงใต้แผ่นหลังเนียนละเอียดยกตัวของเขาขึ้นเพื่อปลดเปลื้องอาภรณ์แสนเกะกะที่อำพรางเรือนกายท่อนบน


ธันวาวางคนในอ้อมแขนลงเลื่อนมือปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงก่อนจะรั้งออกอย่างง่ายดายกระทั่งเนื้อตัวที่ถูกเก็บซ่อนไว้ก็ปรากฏแก่สายตาคนมอง ร่างสูงลุกขึ้นยืนที่ข้างเตียงจัดการปลดกระดุมเสื้อของตนเองในขณะที่ตาคมยังคงทอดมองร่างเปลือยเปล่าที่นอนบิดตัวงอหนีบขาขาวเพื่อซ่อนเร้นความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่บนเตียง


บรรยากาศเงียบงันทำให้คันธชาติต้องปรือตาขึ้นมองสำรวจในที่สุดก็พบร่างสูงกำลังส่งยิ้มมาให้ เมื่อเสื้อเชิ้ตตัวบางที่ปิดร่างกายถูกรั้งออกเผยให้เห็นมัดกล้ามไม่ใหญ่ไม่เล็ก จู่ ๆ สองแก้มก็ร้อนวาบขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นไปได้ รู้เพียงแต่ว่าอาการเช่นนี้เกิดเฉพาะกับชายตรงหน้าคนเดียวเท่านั้น


พลันความคิดก็หยุดชะงักเมื่อเจ้าของรอยยิ้มละมุนโถมตัวลงจูบบนหัวไหล่กลมกลึงก่อนจะไล่ขึ้นไปถึงซอกคอ ริมฝีปากร้อนบดเบียดลงบนเนื้อขาวขบเม้มจนขึ้นรอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่กลีบปากสวยเผลอครางกระเส่าขยับกายหงายรับสัมผัสอย่างยินยอมพร้อมใจ คันธชาติสอดมือทั้งสองเข้าข้างลำตัวหนาก่อนจะลูบไล้ไล่ขึ้นไปบนแผ่นหลังลื่นมืออย่างหลงใหล จากนั้นแขนขาวก็เกี่ยวรั้งยึดบ่าของคนบนร่างเอาไว้แน่นก่อนที่สองร่างชื้นเหงื่อจะสนิทแนบกอดรัดพากันดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความปรารถนา


"ธ...ธัน..."


เสียงเรียกนั้นไม่อาจหยุดการกระทำของเจ้าของชื่อได้ ปากร้อนยังคงตั้งหน้าตั้งตาสำรวจทุกซอกทุกมุมตามที่ได้พูดเอาไว้แต่ต้น มือใหญ่ไต่ลงเข้าจัดการครอบครองส่วนอ่อนไหวแต่กลับแข็งขืนคิดสู้  "ดื้อจริง ๆ ด้วย" ธันวากระซิบเสียงแหบพร่าก่อนจะกดจูบลงที่กกหูทำเอาคนฟังเขินอายจนต้องรีบหันหน้าหนี เลือดลมก็ช่างพร้อมใจไหลมารวมกันส่งให้แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจนคนมองยากจะอดใจไหวต้องกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ เข้าฟอดใหญ่


"ค...คุณขี้โกง" 


เพียงได้ยินเสียงต่อว่าจากปากบาง คนถือไพ่เหนือกว่าก็จำต้องผละออกด้วยความสงสัย "ผมขี้โกงเรื่องอะไร" รอกระทั่งอีกฝ่ายเบนหน้ากลับมาสบตานิ่งคำถามนั้นก็ถูกเฉลยเมื่อมือเรียวเลื่อนมือลงต่ำจับหมับเข้าที่หัวเข็มขัด เท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนอายุมากกว่าได้ไม่น้อย


"หัวเราะอะไรเล่า" เจ้าของเรือนกายขึ้นสีกล่าวอย่างขัดใจ


"ก็หัวเราะนายน้อยจอมเอาแต่ใจยังไง อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากทำอะไรก็ทำไม่สนใจว่าคนอื่นเขาจะห่วงแค่ไหน"


คนฟังมองตาขุ่นก่อนจะผละมือออก "บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ชอบก็ไปห่าง ๆ"


คำพูดผลักไสทำคนฟังตอบกลับด้วยน้ำเสียงงอน ๆ "ใช่สิ! นึกจะไล่ก็ไล่ แล้วจะให้ผมไปไหนได้ในเมื่อคุณเล่นเอาหัวใจของผมไปแล้ว"  พูดจบก็พลิกตัวนอนลงข้าง ๆ กัน "อยากได้อะไรจากผมอีกก็เอาไปเลย ผมยอมหมดแล้ว"


คันธชาติส่ายหัวถอนใจพลางขยับพลิกตัวทาบบนร่างใหญ่ที่ยังคงนอนนิ่งก่อนจะยันกายขึ้นนั่งบนหน้าขาของคนช่างประชดประชัน "ทีอย่างนี้ละช่างพูดจริง" มือเรียวแตะลงบนอกแกร่งรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากหัวใจที่กำลังเต้นระส่ำของอีกฝ่าย  พลันริมฝีปากเล็กก็ยกยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะแกล้งลากปลายนิ้วผ่านหน้าท้องแข็งมาหยุดที่ขอบกางเกงเล่นเอาคนใต้ร่างเสียวสะท้านหายใจไม่ทั่วท้องจนต้องกำผ้าปูที่นอนแน่น


คนได้เปรียบปลดหัวเข็มขัดออกอย่างเชื่องช้าจากนั้นก็สะกิดเบา ๆ ให้ตะขอคลายจากกัน กำลังจะรั้งออกมือก็สัมผัสกับบางสิ่งที่ธันวาใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงจนต้องหยุด


"นี่อะไรน่ะ" คันธชาติเอ่ยขึ้นเมื่อหยิบขวดพลาสติกสีสวยความยาวไม่เกินฝ่ามือขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าฉงน


"พ...พี่พุดดิ้งให้มา" ธันวาหายใจหอบพลางมองขวดใส่ของเหลวใสในมือของคนที่กำลังนั่งอยู่บนร่างของตนเอง


แค่ได้ยินชื่อคนให้ก็ทำเอาคนถามต้องรีบอ่านฉลากข้างขวดทันที พลันตาสวยก็เบิกกว้างกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าที่แท้มันคืออะไร จากนั้นก็มองเลยไปยังคนที่กำลังปั้นหน้าไม่ถูกก่อนจะถามต่อ


"ให้มาตั้งแต่เมื่อไร"


"นานแล้ว"


"ถึงกับต้องพก?"


"ก...ก็เขากำชับให้เอาติดตัวไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้นี่นา แล้วจริง ๆ มันก็อยู่ในรถ ผมแค่...หยิบติดมือมาด้วยเท่านั้นเอง"


"นี่รวมหัวกันวางแผนอีกแล้วเหรอเนี่ย" คันธชาติกล่าวพลางมองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ


"โธ่บุ้ง...อย่ามองผมแบบนี้สิ ผมไม่ได้วางแผนสักหน่อย" พูดจบธันวาก็รวบคนช่างสงสัยมาไว้ใต้ร่างเหมือนเดิม "ต่อไปนี้จะไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น ไม่มีหน้ากากที่ต้องใส่เพื่ออำพรางความรู้สึกของทั้งผมและคุณอีกแล้ว" ตาคมทอดมองคนที่ยังคงเอาแต่จ้องของในมือราวกับมันเป็นสิ่งที่เพิ่งค้นพบใหม่จนไม่รู้ว่าได้ทันฟังสิ่งที่เขาพูดจบไปเมื่อครู่หรือไม่ ในที่สุดคนอายุมากกว่าก็ตัดสินใจดึงของสำคัญจากมือเรียวมาถือเอาไว้เสียเอง


"กับใคร" นายน้อยคันธชาติเงยหน้าขึ้นมองตาม เสียงเขียวทำคนถูกถามยิ้มกริ่มก่อนจะแทรกนิ้วลงที่เรือนผมนุ่มมือโดยไม่ใส่ใจจะตอบข้อสงสัย


"ผมถามว่าเอาไว้ใช้กับใคร"


"ก็กับคุณไง" พูดจบธันวาก็แตะปากอิ่มชิมรสหวานของกลีบปากนิ่มอย่างแผ่วเบาจนคันธชาติที่ไม่ทันตั้งตัวต้องรีบขยับให้ห่างสัมผัสชวนเคลิบเคลิ้มก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอแกร่งเจือกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ แต่ก็ไม่อาจหนีพ้นเมื่อมือหนาจับเชยคางให้หน้าเชิดขึ้นรับจูบร้อนอีกครั้ง


“อื้อ...” 


ปากอิ่มบดเบียดเนื้อปากนุ่มซ้ำ ๆ ก่อนจะเลื่อนลงสำรวจไปทั่วเรือนร่างเปล่าเปลือย กดจูบซุกไซ้ซอกคอก่อนแวะดูดชิมเม็ดทับทิมสีหวานอย่างใจเย็น จากนั้นก็ลากวนต่ำลงมายังหน้าท้องเรื่อยมาจนถึงแนวขอบกางเกงพลันกำปั้นหนัก ๆ ที่ทุบลงบนบ่าทำให้จำต้องผละออกอย่างอ้อยอิ่ง


"ผมว่าตอนนี้คงจำเป็นต้องใช้แล้วละ ดูสิคุณน่ะโกรธจนชี้หน้าผมแล้ว"


เสียงหัวเราะในลำคอที่ดังอยู่ข้างหูทำเอาคนฟังก้มรีบหน้างุด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ธันวาขยับลุกขึ้นนั่งแทรกอยู่ระหว่างท่อนขาทั้งสองข้างเสียแล้ว


มือหนาถือขวดเจ้าปัญหาก่อนจะยกขึ้นกำลังจะหมุนเปิดฝาก็ต้องชะงักเพราะมนุษย์เจ้าปัญหาที่ยังสงสัยไม่เลิก


"ด...เดี๋ยว เดี๋ยวๆๆๆ"


"ยังสงสัยอะไรอีกครับ"


"ม...ไม่อ่านวิธีใช้ก่อนเหรอ" ปากถามในขณะที่ตาก็มองคิ้วหนาที่เลิกขึ้น พลันรอยยิ้มและคำพูดของอีกคนก็ทำให้ใจสั่นไหวอีกครั้ง


"พี่พุดดิ้งสอนวิธีใช้มาละเอียดเลยละ แล้วผมน่ะก็แม่นทฤษฎีด้วย ส่วนปฏิบัติไว้รอคุณเป็นคนให้คะแนนก็แล้วกัน"


'พูดมาได้ไม่อายบ้างหรือไง' หน้าคมเบือนหนีสายตาฉ่ำเยิ้มที่กำลังมองมาในขณะที่ปากก็บ่นมุบมิบ "คุณมันร้าย"


คันธชาติละสายตาจะคนตรงหน้าได้เพียงครู่เดียว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงหันกลับมามองมือหนาที่กำลังจัดการหมุนเปิดขวดอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานของเหลวไร้สีก็ถูกเทลงบนฝ่ามือ และก่อนที่ขั้นตอนต่อไปจะเริ่มต้นเจ้าของหน้าร้อนผ่าวก็ตัดสินใจปิดเปลือกตาลง ร่างบางไหวสะท้านทันทีที่มือเย็นเฉียบสัมผัสลงยังจุดหนึ่งซึ่งไม่เคยให้ใครได้แตะต้อง พลันคมฟันเรียงสวยก็กดลงบนเนื้อปากล่างอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อมือใหญ่เริ่มลากวนคลึงเคล้นอยู่เนิ่นนาน


ปลายนิ้วเรียวจิกลงบนแขนแกร่งระบายความรู้สึก หายใจแรงขึ้น ๆ ทุกครั้งเมื่อปลายนิ้วร้อนแทรกเข้าสำรวจเปิดทางที่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะยอมให้ใครได้ผ่านเข้ามา เท่านั้นสติที่พยายามประคับประคองไว้ก็กระเจิดกระเจิงไม่เหลือดี และเมื่อหูได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับผิวกายก็เดาได้ทันทีว่าขณะนี้อีกฝ่ายก็คงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน สิ่งที่ยืนยันความคิดนั้นก็คือเสียงของหัวเข็มขัดที่ตกลงกระทบพื้น ประเดี๋ยวเดี๋ยวร่างหนาก็ถาโถมลงมาประคองสองแก้มก่อนจะกระซิบแผ่วเบา


"ลืมตามองผมสิบุ้ง"


เจ้าของชื่อทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย เปิดเปลือกตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง รอยยิ้มของเขาไม่ต่างอะไรกับแสงของดวงอาทิตย์ที่รอดผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มเมฆสีเทาเมื่อหลังฝนตก


มันทั้งสว่างสดใสและให้ความรู้สึกอบอุ่นกับทุกสรรพชีวิต




“ผ...ผม ผมจะเข้าไปแล้วนะ”


“ด...เดี๋ยว”


ร่างสูงถอนใจเฮือกแต่ก็ไม่วายถาม “อะไรอีก” มองตามสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมายังร่างกายที่อัดแน่นไปด้วยความปรารถนาของตนเอง


“ล...แล้ว ถ...”


เข้าใจดีว่ามันพูดยากคนอายุมากกว่าจึงชิงตอบอย่างรู้ใจ “คุณเป็นคนแรกของผมและจะเป็นคนเดียว”








“ให้ผมเข้าไปนะ”



สิ้นเสียงของธันวา คันธชาติก็พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่กำลังถูกส่งเข้ามาในร่างกาย พลันความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นไปตามแนวสันหลังเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับ


‘อึดอัด’


มันอึดอัดอย่างที่ธันวาเตือนแล้วไม่มีผิด แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตอนนี้ความยับยั้งชั่งใจไม่มีเหลืออยู่เสียแล้ว ส่วนสติก็แตกเตลิดไปไกลจนยากจะกู่กลับได้ทัน


คันธชาติยอมรับว่าบทรักของธันวานั้นแรก ๆ มันก็เชื่องช้าเนิบนาบอย่างคนไม่ประสา แต่เมื่อมือหนาเข้ายึดสะโพกแน่น ร่างสูงก็กลับเร่งจังหวะเร็วและแรงขึ้นอย่างเชี่ยวชาญจนต้องใช้หลังมือปิดปากของตนเองที่คอยจะส่งเสียงน่าอายออกไป กระนั้นแล้วก็ยังต้องเอียงคอหนีดวงตาคลุกน้ำเชื่อมที่กำลังมองมา เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายไม่รักดีไม่คิดจะปฏิเสธแถมยังตอบสนองการกระทำนั้นกลับอย่างถึงอกถึงใจขนาดเรียกรอยยิ้มผุดพรายไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายได้เสียอีก


ธันวาทอดตามองคนหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะโน้มตัวลงจนเนื้ออกแนบชิด พยายามรั้งมือของคนใต้ร่างออกแต่มันก็ยากแสนยากเหลือเกินโดยเฉพาะกับคนดื้อคนนี้


“บุ้ง อย่าทำแบบนี้เลยนะ คุณกำลังทำห้ผมรู้สึกผิด” สิ้นเสียงของธันวาคันธชาติจึงยอมคลายคมฟันออกจากหลังมือขาว ทันทีที่เห็นร่องรอยแห่งความฝืนทนร่างสูงก็แทบหัวใจสลาย คิดอยากกจะลบมันให้หายไปเสียเดี๋ยวนี้แต่ทำได้แต่ก็กดจูบลงบนหลังมือช้ำแดงนั้นซ้ำ ๆ อย่างปลอบประโลม


“ต...แต่ แต่มันน่าอาย” คันธชาติกล่าวอู้อี้


“เราอยู่กันสองคนจะอายใครกัน หืม?” พูดพลางไล้ฝ่ามือลงบนเส้นผมชุ่มเหงื่ออย่างแผ่วเบา “ผมอยากได้ยินเสียงคุณ ให้ผมได้ยินเสียงของคุณเถอะนะ บอกให้ผมรู้ว่าคุณมีความสุขแค่ไหนเวลาที่อยู่กับผม”  มือหนาเลื่อนต่ำลงก่อนจะแทรกนิ้วมือสองข้างกับเรียวนิ้วทั้งสิบของคนอายุน้อยกว่ากดลงกับเตียงพร้อมกับยันร่างขึ้นเริ่มบทรักหอมละมุนอีกหน


นับจากนาทีนั้นก็ไม่มีเวลาไหนที่ตาสองคู่จะละจากกันและไม่มีวินาที่ไหนที่กายทั้งสองจะแยกห่างจากกันได้


“อื้อ... ธ...ธัน”


เสียงหายใจหอบปนครางกระเส่าพร่ำเรียกยิ่งเหมือนแรงกระตุ้นให้ธันวายิ่งย่ามใจขยับโยกร่างกายถี่กระชั้นจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันดังไปทั่วห้อง


ในที่สุดคันธชาติก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นซ่านที่แทรกซึมอยู่ภายในร่างกาย มือบางถูกปล่อยให้เป็นอิสระเมื่ออีกฝ่ายถอนตัวออกจากกัน ชายหนุ่มแทรกเรียวนิ้วเสยปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าหล่อซึ่งกำลังก้มลงมาจูบขึ้น ปล่อยความรู้สึกให้จมดิ่งไปกับจุมพิตแสนวาบหวามอีกครั้งในขณะที่มือก็เลื่อนลงกอบกุม ‘เจ้าจอมดื้อ’ ของตนเองเอาไว้ก่อนจะรูดดึงเบา ๆ เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ที่คับแน่น


ธันวาถอยร่างออกมาสบตาคนที่กำลังนอนบิดเร่าเพราะความปรารถนายังไม่ถูกปลดปล่อย พลันความคิดว่าตนเองนั้นช่างเห็นแก่ตัวนักก็ถาโถมเข้าใส่ จึงตัดสินใจเอ่ยปากอาสาเข้าช่วยแม้จะคิดอยู่แล้วว่าจะต้องถูกปฏิเสธก็ตาม


“ให้ผมช่วยนะ”


“ม...ไม่ ไม่เป็นไร” ปากบางตอบกระท่อนกระแท่น


“แต่ผมอยากทำให้ ให้ผมทำเถอะนะ” อาจารย์หนุ่มหล่อยังคงย้ำความตั้งใจก่อนจะขยับตัวลงต่ำ แทรกมือเข้าประคอง ‘เจ้าจอมดื้อ’ เอาไว้เสียเองราวกับเป็นของที่ทำหายไปนาน กำลังจะก้มลงแตะจูบเพื่อทักทาย เจ้าของตัวจริงก็ร้องห้ามพร้อมกับใช้มือรั้งปลายคางของเขาขึ้นเสียก่อน 


“ธ...ธัน อย่านะ อย่าทำอย่างนั้น ค...แค่มือก็พอ” ที่ท้ายประโยคแผ่วเบานั่นเป็นเพราะกระดากอายที่จะพูด


“ทำไมล่ะ” คนถูกห้ามถามด้วยความสัย


“ม...มัน สกปรก”


ธันวาถอนใจทิ้งทันทีที่ได้รู้ความคิดของอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี้คุณก็ยอมให้ร่างกายสกปรก ๆ ของผมเข้าไปเหมือนกัน” พูดจบก็รั้งมือที่ยึดปลายคางออกก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้งให้มั่นใจ


“อย่ากังวลไปเลยนะ รู้ไว้แค่ว่าผมเต็มใจทำให้คุณก็พอแล้ว”


เมื่อได้ฟังคันธชาติก็จำต้องนอนนิ่งปล่อยให้ปากอุ่นบรรจงจูบลงบนส่วนที่กำลังขยายออกและชูชันขึ้น กลีบปากนุ่มลากไล้ขึ้นลงจนหนำใจก่อนจะครอบลงปราบพยศ รูดรั้งขยับขึ้นลงตามความยาวของเจ้าจอมดื้อทำเอาคนใต้ร่างกระตุกเกร็ง มือเรียวขยุ้มจิกบนเนื้อไหล่ไปตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านกระทั่งผิวขาวขึ้นรอยแดง


“ธ...ธัน อ...อื้อ...” เสียงนั้นขาดหายเป็นห้วง ๆ จนในที่สุดความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น


คันธชาติก้มต่ำลงสบตาธันวาที่กำลังยกหลังมือขึ้นซับบางสิ่งที่เลอะมุมปาก พลันแขนขาวก็อ้าออกอย่างห้ามไม่ได้รอกระทั่งอีกฝ่ายคืบคลานเข้ามาใกล้จึงเหนี่ยวคอหนาลงมารับรสจูบที่ตนเองปรารถนาจะมอบให้ ปากบางดูดดึงกลีบปากล่างของคนอายุมากกว่าซ้ำไปซ้ำมาจนร่างใหญ่ไหวสะท้าน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นรางวัลสำหรับสิ่งที่เขาทำให้เมื่อสักครู่ แม้จะถอนริมฝีปากออกแล้วแต่ธันวาก็ยังคงตามมาคลอเคลียดูดชิมความหวานจากเนื้อปากบางอย่างไม่รู้จักอิ่ม จนคันธชาติต้องแตะปลายนิ้วห้ามตาสองคู่จึงได้สบตากันอีกครั้ง


“คุณมันร้ายกว่าที่ผมคิด” พูดพลางไล้ปลายนิ้วไปบนกลีบปากที่ไม่ว่าจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหรือเริ่มต้นกระทำการใด ๆ ก็ให้ความรู้สึกอ่อนโยนอยู่ร่ำไป 


“แล้วทีนี้ยังจะดื้ออีกไหม” ธันวากล่าวพร้อมกับชิงรั้งมือไม่ประสามากุมไว้ก่อนที่มันจะกระพือไฟในร่างให้ชุกโชนขึ้นอีกครั้ง


“ถ้ารู้ว่าดื้อแล้วมีคนตามใจอย่างนี้ ผมก็จะดื้อชนิดที่หาตัวจับยากเลยละ”


คนอายุมากกว่าหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะกล่าว “กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเข้ามาให้จับเองน่ะสิ”


“ธัน!” คันธชาติมุ่นคิ้วเขิน ‘ทำไมชอบเอาเรื่องจริงมาพูดเล่นแบบนี้นะ’ ยังไม่ทันจะประท้วงก็ถูกรวบด้วยแขนแกร่ง ตกเป็นเป้านิ่งให้แก่ปลายจมูกซุกซนที่ฝังลงกับแก้มซ้ายขวาอย่างไม่กลัวช้ำ







(จบตอนพิเศษ)

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: poose ที่ 06-04-2015 14:03:11
จับให้มั่น คั้นให้ตายกันเลยทีเดียว คนร้ายจอมดื้อเนี่ย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 06-04-2015 14:03:30
 :-[ :-[ โว้วววววว  อ่านแล้วเขินนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 06-04-2015 14:12:28
อัยยะๆๆๆๆๆ ฟินกระจาย  :hao5:  :hao5:  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: mamazung ที่ 06-04-2015 14:50:32
อ๊ายยยยยย น่ารักสุดๆหนอนบุ้ง  :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 06-04-2015 15:03:47
น่าร๊ากกกกก~
ฟินมั๊ยล่ะคุณธัน ~.~
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-04-2015 17:11:57
ฟินเลยค่าาาาาา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 06-04-2015 17:37:15
แบบว่าหัวใจจะวายค่าาา
แหมคุณนักเขียน ตอบโจทย์คนอ่านได้ฟินมากกก
อ๊ายยยย เป็นฉากอัศจรรย์ที่ละมุมมากจริงๆ
แบบว่าน้องบุ้งช่างขี้สงสัยเหลือเกินนะคะ 555
ถามอะไรเอาตอนนี้คะลูก
พี่ธันก็สุดๆจริงๆ พ่อหนุ่มคนนี้ เห็นเงียบๆขรึมๆ
แบบนี้ แต่ที่ไหนได้ ร้อนแรงเหมือนกันนะคเนี่ย
ฟินค่าาาา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 06-04-2015 18:43:23
แจ่มครับ แจ่ม แอบสงสารอัศวิน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 06-04-2015 18:58:36
 :jul1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 06-04-2015 19:21:17
พลาดตอนสุดท้ายไปทำเอางงตึ๊ก
สงสารอัญที่สุด
รักใครก็เหมือนไปไม่ถึงดวงดาวสักคน
กับคุณใหญ่ก็ยังดีที่เธอยังมีโมเมนท์ที่เป็นสุขอยู่บ้าง
กับคุณเล็กนี่เจ็บเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งๆที่รักมากขนาดยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเขา
เพียงแค่มาถูกยกให้พี่ชายง่ายๆ
รู้สึกตั้งแต่ตอนที่พ่อให้คนทำร้ายอัญแล้วอัศนัยไม่ช่วย
ไม่รู้สิเราว่าครอบครัวนี้ไงก็ไม่มีปกติหรอก
อัศนัยอาจจะรอดมาหล่อเริ่ดกระชากใจสาวประเภท 2
แต่สำหรับเราเป็นแค่สินค้ามีตำหนิ
ดีแล้วที่อัญไปต่างประเทศ

คู่เอกของเราก็หวานนนนนแหววววววว
จนเราเบาหวานกำเริบ
อ่านนิยายนี่ก็อันตรายเหมือนกันนะนี่

ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่อง
หวังว่าภูมิคุ้มกันการเขียนฉากจะอัพเลเวลมากขึ้นแล้วนะคะ
เราเห็นหลักฐานจนสัมผัสได้
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 06-04-2015 20:24:18
เป็นฉากที่ละเมียดละไมมากค่ะ อ่านแล้วอารมณ์พลิ้วไหว

เขินค่ะคูณณณ :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 07-04-2015 00:15:29
เขินมากกกกกกกกกก ฮืออออออออออออออออออ  :hao5:

นี่นั่งกัดหมอนเพราะเขินมาก เป็นเอ็นซีที่ละมุนอบอุ่นหัวใจ
เข้าใจแล้วว่าทำไมดร.ถึงชอบแกล้งตัวบุ้ง ก็เพราะว่าตัวยุ่งน่าฟัดมากอย่างนี้ไง

อ่านแล้วรู้สึกจะขาดใจ TvT ชอบมาก แบบไม่รู้จะอธิบายยังไงล่ะค่ะ ก๊ากกกกก

ตัวบุ้งน่าหมั่นเขี้ยวมาก ถ้าเราเป็นดร.ธันวาจะจับมาฟัดให้หนำใจเลย
ตอนที่บอกว่าจะไม่อ่านวิธีใช้ก่อนหรอนี่คือแบบ นึกสีหน้าออกเลย ฮือออออ
น่าเอ็นดูวววววววววววว  :hao5:

ส่วนดร.ธันนี่ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ..
นางร้ายมาก ร้ายแบบเอาใจเราไปเถอะค่ะ ยอมแล้วทูนหัว ฮืออออ ทำไมเป็นคนแบบนี้ #ตีๆๆๆๆ

เป็นเอ็นซีที่อ่านแล้วเขินมากที่สุดของปีนี้ 5555555555555
ขออีกค่ะ อยากได้อีก คนอ่านโลภค่ะ ไม่ต้องแก้ตัวในเรื่องหน้า หรือเรื่องไหน แบบนี้แหละค่ะดีแล้ว
อ่านแล้วมันก๊าวใจ ไว้โอกาสหน้าเจอกันใหม่ขออีกนะคะ ฮาาาาาาาาาาาาาาาา

 :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 07-04-2015 00:38:30
ตอนแรกคิดว่า รตี พอไปๆมาๆคิดว่าอัน สนุกมากมารู้ตอนจบว่าที่คิดผิดหมดเลย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 07-04-2015 07:48:00
หูยยยยยย คนเขียนถ่อมตัวอย่างแรง
แค่นี้ก็ฟินมากมายแล้ว
ขอบคุณตอนพิเศษสุดสเปเชี่ยล
นี่ควรต้องรู้ตัวว่าห้ามให้ขอไม่ได้หรอกค่ะ
ยิ่งเคยได้อ่านยิ่งอยากอ่านอีกค่ะ หุหุ
เดี๋ยวตอนต่อไปขอแบบพลิกบท
แบบให้ธันยอมยุ้งบ้าง งี้ กร๊ากก//กระโดดหลบแม่ยก ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: mirin ที่ 07-04-2015 12:43:21
คุณธันจัดเต็ม :haun4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 07-04-2015 13:03:58
สนุกมากกกกก  ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 07-04-2015 13:16:11
คุณหนูจอมดื้อโดนปราบแล้ว
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 10-04-2015 21:47:09
สนุกมากเลยค่ะ ลุ้นจนบรรทัดสุดท้าย ขอบคุณสำหรับความตื่นเต้นนะคะ

#ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่าว่าพระเอกของคุณ ถธปทฟ มีเลเวลของความเจ้าเล่ห์เพิ่มขึ้นทุกเรื่อง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: kaireaw ที่ 10-04-2015 23:55:45
อ่านตั่งแต่ต้นจนจบเลย สนุกมากค่ะ ตอนแรกเรื่องราวซับซ้อนดี เดาไปเองต่างๆนานา
ตอนแรกเดาว่าคุณพ่อเป็นคนฆ่าซะอีกค่ะ 5555 ก่อนที่จะรู้ว่าอัศนัยกับอัศวินเป็นแฝดกัน
เรื่องนี้พี่ธันแรกๆดูไม่น่าจะสู้รบกับบุ้งได้ ปรากฎเอาบุ้งอยู่หมัด *จุดพลุ
อ่านแล้วเขินมากเลยกับตอนพิเศษ  :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 12-04-2015 22:07:10
อ๋อยยยย  น่ารักอ่าาา    :impress2:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: supernatural ที่ 14-04-2015 10:27:05
เรื่องนี้กิ่งเป็นตัวเอกนะฉากเยอะมากๆ เฮ้อ!
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 21-04-2015 18:48:18
อ่านจบแล้ววว แอบใช้เวลาในการอ่านหลายวันเหมือนกัน ^^ สนุกจ้า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 29-04-2015 10:39:14
รีๆรอๆมานานว่าจะอ่านเรื่องนี้หลายรอบก็ไม่มีเวลาอ่านสักที เนื่องจากภาระหน้าที่อันหนักหน่วง
ในที่สุดวันนี้ก็อ่านจบแล้ว แม้จะแอบไปอ่านตอนพิเศษก่อนล่วงหน้าฮ่าาา
เรื่องนี้ใช้เวลาอ่านสามวันเพราะตัวหนังสือเยอะ ปมเยอะ ต้องค่อยๆอ่านซึมซาบตัวหนังสือทุกตัว
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วาบหวามที่สุดที่ได้อ่านเรื่องของคุณ ถธปทฟ. ในบอร์ดนี้ ทุกครั้งที่มี อัญชลิสาและคุณอัศวินจะมีฉากวาบหวามให้หน้าร้อนตลอดฮ่าาา จริงๆอยากให้คุณอัศวินหายจากอาการทางจิตแล้วได้คู่กะคุณอันเหมือนกันนะ สงสารแกอ่ะโดนกระทำมาเยอะแล้ว
มาเรื่องตัวเอก เป็นนายเอกที่ดื้อที่สุดเท่าที่อ่านมา อ่านแล้วบางทีรู้สึกอยากโบกกบาลสักทีจริงๆค่ะ น่าหมั่นไส้ที่สุด
แต่อาจารย์คะ อาจารย์ทำไมหื่นอย่างนี้กรั่กๆๆ กดอีกสิคะกดอีก ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ยเขิ๊นเขิน ขำทุกครั้งเวลาบุ้งว่าธันว่าไม่ใช่คนหงิมๆ หยอดตลอดเลยอ่ะอาจารย์เนี่ย
ส่วนตัวชอบคู่เก่งกาจกับอารตีมาก น่ารักดีค่ะ อารตีให้อารมณ์เหมือนน้องสาวจอมวางแผนที่จับให้พี่ชายได้สามีกร๊ากกก ว่าไปนั่น

อ่านเรื่องนี้จบแล้วแต่ให้ความรู้สึกต่างกับเรื่องอื่นๆนะ เรื่องถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเป็นเรื่องที่อบอุ่นหัวใจอ่านที่ไรก็ยิ้มก็อิ่ม
เรื่องบุรุษไปรษณีย์ อ่านแล้วรู้สึกถึงความอบอุ่นในครอบครัว แต่เรื่องนี้ต่างกับเรื่องอื่นๆเหมือนใส่ความดราม่าที่พีคขึ้นระหว่างการรักเพศเดียวกัน การสืบสวนและความวาบหวามฮาาา โอ๊ยขอ18+อีกค่ะ ไม่ต้องอธิบายอะไรมากเราก็เห็นภาพมากแล้วค่ะ อ่านแล้วเขิ๊นๆหน้าร้อนไปหมด ขอฉากแบบนี้พี่ตังพี่จ้ามั่งสิคะ แต่จะว่าไปน้องเต็มกับพี่ปุ่นนี่ไม่มีฉากจู๋จี๋เต็มๆเหมือนกันนะ เราลืมไปได้ยังไง ฮ่าๆๆ
--------------
เอาละค่ะ เพื่อเป็นการขออภัยที่อ่านช้ามาอ่านรวดเดียว ก็ทำการแก้คำผิดให้เช่นเดิมค่ะ
ตอนที่ 1 ยินดีที่ได้รู้จัก >>
-เพราะความมีน้ำใจและนิสัยขี้เข้ากับคนง่าย-->นิสัยขี้เล่นเข้ากับคนง่าย
-มักจะมีแผลฟกซ้ำ-->ฟกช้ำ
-ได้ในปั้นปลายของชีวิต -->บั้นปลาย
ตอนที่ 2 รอยสักรูปดอกไม้>>
- เพื่อรักทั้งสามยัง-->เพื่อน
-คาดว่าจะตกลงมาในลักษณะที่ฝั่งขวา
-จากห่วงแห่งความคิด-->>  อันนี้เราไม่แน่ใจว่าใช่จะพิมพ์คำว่า ห้วง หรือเปล่า
-ความรู้สึกเย็นเฉียบที่ขางแก้ม-->ข้าง
-ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียงก่อนจะสะตุ้งตื่น -->สะดุ้ง
-ของเพื่อนรักพลาง
-ถึงคอนแล้วก็โทร.-->น่าจะพิมพ์ว่า คอนโด หรือเปล่าคะ
-เกาะติดทุกสถานการ์--> สถานการณ์
-ไม่ใช่เรียกคุณมากซ่อมท่อ”--> มา
-คิดได้แค่น้ำก็รู้สึก-->นั้น
ตอนที่ 3 สงสัย>>
-เขากำลังโดนกิ่งดาวล้อเล้น-->ล้อเล่น
-หลังจากสามีเสียวิตลง-->เสียชีวิต
ตอนที่ 4 : หลักฐานในภาพถ่าย>>
-พวกเรานั่งติวหนังสือกันั่น-->กันนั่น
-คุณพ่อคุณแม่ท่านก็พอจะเข็มแข็ง-->เข้มแข็ง
-มีหรือที่คนเจ้าแผนการจะยอมปลิปาก-->ปริปาก
ตอนที่ 5 ใครกันแน่ที่พูดไม่หมด>>
-ออกแรงป่ายปืน-->ป่ายปีน
-ยกมือขึ้นลูบหน้าลูตา-->ลูบตา
- แค่ทำราวสำหรับแขนไม้กระถาง-->แขวน
-ดวงตามุ่งมั่นคู่นั้นก็ยังคงมองไปข้างเดาไม่ออกเลย-->ข้างหน้า
ตอนที่ 6 คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย>>
-ทำให้เข้าตกเป็นเป้าสายตา-->เขา
-ที่ศึกษาค้นขวาของนักศึกษา--> ค้นคว้า
-นั่งลงอย่างถือวสาสะ--> วิสาสะ
-คันธชาติก้ส่ายหน้าน้อย ๆ-->ก็
-หน้าสวยของอารตีก็ปรารศจากร่องรอยแห่งความเคียดเคือง--> ปราศจาก ส่วนตรงเคียดเคือง อันนี้ส่วนตัวเราว่าแปลกๆ เท่าที่เราเคยได้ยินน่าจะเป็นประมาณแค้นเคืองน่าจะดีกว่ารึเปล่าคะ อันนี้แล้วแต่คนเขียนเลยค่ะ
-พูดจบก็ก้มมองนาฬิกาข้อมมือ--> ข้อมือ
-ขอบคุณธันวาที่ช่วนเป็นธุระ--> ช่วย
-คนถูกถามโครงศีรษะ --> โคลง
-ก่อนจะเปิดปรตูเข้าไปนั่งในรถ --> ประตู
- บางครั้งก็ดูจริงจังนิ่งเงียจนยากจะคาดเดา--> เงียบ
ตอนที่ 7 ผู้ร่วมขบวนการ>>
-หนุ่มร่างบึกบึนที่เหมือนหลุดมาจากนิตสารสุขภาพ--> นิตยสาร
-แนบอยู่กับแก้มของคันชาติมากุมไว้บ้าง--> คันธชาติ
- ที่คันธชาติกรุขึ้นมา-->กุขึ้นมา
-แต่สิ่งที่สองคนทำก็คือการนั่งกุมขยับ--> กุมขมับ
ตอนที่ 8 ก้าวแรกในนาฏยกาล>>
- แต่งหน้าทำผมเองกับเลยนะ--> เองกับมือเลยนะ
ตอนที่ 9 เกือบไปแล้ว (1)
- ต่างฝ่ายต่างมีแปลกใจ-->จะพิมพ์ว่าแบบนี้รึเปล่าคะ มีท่าทีแปลกใจ
-คิดคุณน่าจะรู้จัก--> คิดว่าคุณ
-รายการทอล์กโชว์--> อันนี้เราไม่ชัวร์เหมือนกันนะคะ แต่พอลองหาๆดู ไม่แน่ใจว่าใช้คำว่า ทอล์คโชว์ รึเปล่า
-ใครบางคนเอามาแขนไว้หน้าห้อง--> แขวน
-คันชาติในคราบบุ๊ง--> คันธชาติ
-อีกฝ่ายที่กำลังหย่นตัวลงนั่งที่โซฟา--> หย่อน
-สร้างช่องว่างระหว่างกั้นกลางระหว่างตัวเองกับทุกคน--> น่าจะเป็น สร้างช่องว่างกั้นกลางระหว่างตัวเองกับทุกคน
-เหนื่อยกับงานดีที่ตัวเองรักน่ะดีใจตาย--> งานที่ตัวเองรัก
ตอนที่ 10 พิสูจน์ (เกือบไปแล้ว (2))>>
-แล้วจึงยื่นช่อดอกม้ให้--> ดอกไม้
-เนื่องจากพุฒพงศ์--. พุฒิพงศ์
-เงียบยังกับกลัวดอกพอกุลจะร่วง--> พิกุล
-ให้เกียรติเต้นรำกำผมสักเพลงนะครับ--> กับ
ตอนที่ 11 ความลับ>>
-เหตุการณ์เมื่อคำคืนที่ผ่านมา--> ค่ำคืน
-ละเลียดจิบไวน์อยู--> อยู่
-เห็นตัวเองสั่นสะส้านอย่างควบคุมไม่อยู่--> สะท้าน
-ลำแขนแกร่งสอดเข้าข้างลำตัวเกี่ยวลัด--> เกี่ยวรัด น่าจะใช้ ร เรือ นะคะ
-ทำเาอัญชลิสาผวาหมุนตัว--> ทำเอา
-ให้มันแผดเผาสองร่างไปปบบนี้--> แบบนี้
-เป็นจังหวังเดียวกับที่แลนด์โรรเวอร์สีขาว--> จังหวะ  โรเวอร์
-พูดจบก็หันไปคว้าเอกสารก่อนจะเกิดประตูลงมา--> เปิดประตู
-ไปที่สัมมนาที่ต่างจังหวัดน่ะ--> น่าจะเป็น ไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด
-ในที่สุดแลนด์โรเวลอร์คันงามก็ถูกขับออกไป--> โรเวอร์
-แต่ก็ขออบใจมากนะ--> ขอบใจ
-คนฟังค้อนขวับก่อนฉีกยิ้มกว้างในที่สุด--> จะ
-เข้ามาทำงานมนนาฏยกาลได้สำเร็จ--> ใน
-น่าค้นหาและน่าวาดหวั่น--> หวาดหวั่น
-นั่นน่ะแฟชันใหม่ล่ะสุดเลยนะ--> ล่าสุด
-จึงชะความเร็วปล่อยให้แซงขึ้นไปก่อน--> ชะลอ
- พุฒพงศ์--> พุฒิพงศ์
-ชอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลพ่อกับแม่ผม--> ขอบคุณ
-ส่วเก่งกาจก็ยังคงสืบหาคนร้าย--> ส่วน
- บอลสำหรับปากระป่องละร้อย--> กระป๋อง
ตอนที่ 12 ฝันร้าย>>
-“ปิงวังยมน่าเอาเศษผ้ามาทำอะไรน่ะ--> น่าน
-จากเมื่อกี้เราวาดปีผีเสื้อเป็นเส้นโค้งสีอัน--> ปีก สี่อัน
-ถ้าอย่านั้นรตีไปก่อนนะคะ--> อย่างนั้น
- ถูกทาบทามให้เข้าสังกังดรามาติก--> สังกัด
-แต่เร็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม--> เรา
-เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ดำที่กำลังแล่นเข้ามาจดเทียบ--> จอด
ตอนที่ 13 โรงละครร้าง>>
-กลับดูเห่อเหี่ยวเสียยิ่งกว่าดอกไม้--> ห่อเหี่ยว
-สาวสวยร่างสูงยืนย้มหวาน--> ยิ้มหวาน
-“หน้าที่ของคุณคือดูเแลรื่องฉากไม่ใช่เหรอ--> เรื่อง
ตอนที่ 15 เสียงของหัวใจ>>
-นั่นแแสดงว่าเราตกหลุมรักเพลงนั้นเข้าเสียแล้ว
-หากแรงปีบตัวของกล้ามเนื้อใต้อก--> บีบตัว
-พบกับน้องสาวที่พรัดพรากกัน-->พลัดพราก
ตอนที่ 16 หลักฐานชิ้นสำคัญ>>
-ธันวาถามอย่างเป็นห่วงพร้อมกัยยกมือทำท่าจะแตะ
-ยินเสียถอนหายใจยืดยาวอย่างเกลียดคร้าน--> เสียง เกียจคร้าน
-อยากรู้เมือนกันว่าจะเกี่ยวข้อง--> เหมือนกัน
-ทิวทัศน์ของกรุงเทพมหาคร--> กรุงเทพมหานคร
-ปราศจากผุ้คน--> ผู้คน
-เป็นอันรู้กันว่าเขาปราศนาสิ่งใด--> ปรารถนา
-ให้อามรมณ์สะดุด--> อารมณ์
-เลื่อนเข้าใก้กระทั่งหยุด--> ใกล้
-ส่วนกระเป๋าสตางค์ก็น่าะอยู่--> ก็น่าจะ
-แม้จะถูกขั้นด้วยกลุ่มคน--> คั่น
- ทำไมฉันถึงจะยิ่งกับคุณอัศนัยไม่ได้--> ยุ่ง
-เชินแขกให้นั่ง--> เชิญ
ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ>>
-คนถามพนักหน้าก่อนจะเดินไป--> พยักหน้า
-เมื่อเห็นว่าเป็นที่นาพอใจ--> น่า
-นั่งนิ่งหรุบตาลง--> หลุบตา
-รอมาเกือบทั้งวันแล้วก็ยังได้รับข่าวคราวใด ๆ --> ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวใด ๆ
-หน้าหล่อสะบัดรัวกาอนจะลุกขึ้น--> ก่อน
-เงี่ยหูฟังได้ยินเสียถอนใจหนัก ๆ--> เสียง
-รู้ดีว่าไม่ควรพูซ้ำเป็นครั้งที่สอง--> พูดซ้ำ
-ร่างร่อนจ้อนรีบคว้าเสื้อผ้า--> ล่อนจ้อน
-"คณพ่อ" --> คุณพ่อ
-เสื้อคว้าหลังเผยให้เห็นผิวเนื้อกระจ่างตา --> คว้านหลัง
ตอนที่ 18 : คนในความมืด>>
-ใช้ชีวิตในปั้นปลายที่เมืองไทย--> บั้นปลาย
-และกลัว่าทุดท้ายจะต้องอยู่คนเดียว--> กลัวว่าสุดท้าย
-ครู่หนึ่งเสียเยือกเย็นก็ดังขึ้น--> เสียง
-อัศวินย่างสามขุ่มเข้าไปหยุดยืนมองร่างที่ห่อหุ่มด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ปล่อยมือจากถึงข้าวกล่อง--> สามขุม ถุงข้าวกล่อง
ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)
-ปลี่เข้ามา--> ปรี่
-เทียนหอมในใสที่ส่งกลิ่นคละคลุ้ง
-เก่งกาจในชุดเสื้อยืดกางเกงยีน--> คำนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นยีนส์แบบนี้รึเปล่า
-มือหน้าคว้าข้อมือเล็กเอาไว้--> มือหนา
-ในที่สุดพวกเขาก็พบช่อทางที่กำลังตามหา --> ช่องทาง
-หลุดล่วงลงมา--> หลุดร่วง ถ้า ล ลิงน่าจะเป็นคำว่าล่วงเวลา ลุล่วง แต่ ร เรือ เป็นร่วงหล่นอะไรแบบนี้
-คนที่มกล้จะหมดลมหายใจคิด --> ใกล้
-ครู่หนึ่งนายตำรวบร่างสู่--> ตำรวจร่างสูง
- มือใหญ่ยกขึ้นปัดละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ยนเส้นผมออก--> บน
-ไม่รู้เลยว่าคนตนเองที่กำลังอยากจะพบหน้า--> คนที่ตนเองกำลังอยากจะพบหน้า
-อารตีปลีตัวออกจากวงสนทนา--> ปลีกตัว
-รวมถึงการได้เริ่มร็จักใครบางคน--> รู้จักรัก
-อาจารย์ที่ปรึกษาของรติ--> รตี
-เสียงเรียกของใครบางคน
-กำลังจะบิดลูกบิดก็ต้องชะงักเมื่อจู่ร่างสูงพอ ๆ กัน--> จู่ๆ
ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง>>
-อีกฝ่ายจะไม่จากไหน--> จากไปไหน
-รับรสจูบอย่างเติมใจ--> เต็มใจ
-ประเดี๋ยวเดี๋ยวร่างหนา--> ประเดี๋ยวเดียว
-คุณกำลังทำห้ผมรู้สึกผิด --> ทำให้

โอยยตาลาย ยิ่งตอนพิเศษจ้องตัวหนังสือมากเลือดกำเดาจะพุ่งเพราะความหื่น ฮ่าๆๆๆ :really2: :o8: :hao3:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่เขียนขึ้นมาทุกเรื่องเลยค่ะ เราประทับใจทุกเรื่อง เพราะคุณ ถธปทฟ ใช้ภาษาไทยได้ดีและสวยงามมากเราประทับใจการใช้ภาษาของคุณมากๆเลย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 30-04-2015 02:39:04
กว่าปมจะคลี่คลายเล่นเอาลุ้นจนเหงื่อตก แต่ก็ฟินโลกแตกกับตอนพิเศษ ขอบคุณมากค่าสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: วันชัย ที่ 01-05-2015 21:50:15
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 05-05-2015 02:12:15
อ่านแล้วหยุดไม่ได้ ต้องอ่านจนจบรวดเดียว
คดีผูกได้ดีมาก น่าสนใจ
สงสารอันที่สุด เคะราชินีที่น่าสงสาร เพราะรัก...
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 06-05-2015 03:26:28
อ่านสนุกกับปมฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนอย่างมาก ซ่อนเงื่อนน่าติดตามจริงๆ
ขออภัยหนึ่งอย่าง คือไม่ค่อยชอบนิสัยของบุ้งเอาซะเลย กวน ถือดี ดื้อแบบเด็กๆ เซลฟ์เซ็นเตอร์
แต่กลับชอบความเป็นนายเอกในตัวอัญชลิสา ครองมงฯนางงามสวยๆ ชอบรุ่นใหญ่ผ่านโลกเยอะน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 09-05-2015 18:45:26
อือหือสุดๆกับอัศวิน แต่สงสารอาร์มจริงๆ เสียดายความสวย มาเป็นของพี่มะ  :o9:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 10-05-2015 11:46:47
สนุกอ่ะ o13
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: pp_psj ที่ 11-05-2015 15:07:05
อ่านจบแล้ว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ อีกแล้วนะคะ

บุ้งเอ๊ยยย มันแสบจริงๆ พี่ธันต้องปราบให้อยู่หมัดนะคะ

อย่าปล่อยให้ตัวแสบมันไปซน แล้วได้เรื่องมาอีกนะ

รักพี่ธัน แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-05-2015 20:29:28
อ่านมาจนจบ เดาไม่ถูกสักเรื่องค่ะ สนุกมาก ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ T v T
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ ตอนที่ 19 ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 16-05-2015 11:48:29
เป็นเรื่องแนวสืบสวนที่สนุกน่าติดตาม  เราเดาไม่ถูกสักเรื่องเลยค่ะ555 :-[

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ. ที่เขียนนิยายดีๆมาให้อ่านหลากหลายแนว o13

รอติดตามอ่านนิยายของนักเขียนเรื่องต่อไปค่ะ  อย่าหยุดเขียนนะคะ  :L2:

ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่ะ :mew1:



หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ ตอนที่ 19 ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ชินจังไม่กินหัวหอม ที่ 17-05-2015 12:25:21
น้องบุ้งนี้ไหลไปได้ตามน้ำจริง น่ารักซะไม่มีเลย พี่ธันก็มีมุมน่ารักๆ แต่สำหรับเรารู้สึกสงสารครอบครับนาฎยะ มากที่สุดเหมือนกันนะ
แต่ละคนก็มีบาดแผลในใจ โดยเฉพาะอัศวิน ผลของอดีตทั้งนั้น แต่ตัวละครที่เราสงสารมากที่สุดที่แรกเรายกให้กิ่งนะ
แต่พอมารู้เรื่อง แฝดพี่น้องสลับกันเนี้ยคนที่คิดว่าน่าสงสารสุดกลับเป็นอัญชลิสา ถูกกระทำจากคนที่รัก แต่เพราะความผูกพันธ์
ดันมารักกับคนที่กระทำกับตนเอง จะให้ดีที่สุดก็คงหนีหายไป นานๆจะมีนิยายเป็นเหตุเป็นผลกันซักเรื่อง ขอบคุณนักเขียนมากๆ
นะครับที่เขียนนิยายดีๆ มาให้เราอ่านกัน และก็จะติดตามผลงานในเรื่องต่อๆ ไปอีกนะครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ ตอนที่ 19 ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: FiRMMiE ที่ 06-06-2015 20:40:52
เราเพิ่งเข้ามาอ่าน อยากอ่านตอนพิเศษบ้างจังเลยค่ะ  :mew2:

นิยายพี่สุดยอดมาก ทั้งสามเรื่องเลย ชอบภาษาพี่มาก อ่านแล้วลื่นหยุดไม่ได้
อ่านแบบพลาดไม่ได้สักตัวอักษรเลย สนุกมาก รอผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปของพี่นะคะ

อ่านไปลุ้นไปตลอดเลยว่าเรื่องจะเป็นยังไง สนุกมากจริงๆ แถมแต่ละตอนยังยาวมาก
นับถือเลยค่ะ อ่านไปไม่อยากให้จบเลยจริง  :sad4:

ขอบคุณสำหรับนิยายภาษาสวย ๆ เนื้อหาดี ๆ และสนุก ๆ นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ ตอนที่ 19 ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 07-06-2015 09:59:39
ตามมาอ่านเรื่องใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 13-08-2015 22:49:01
อ.ในตอนแรกกับตอนสุดท้าย นี่ต่างกันมากจริงๆ
เขาถึงบอกกันว่าพวกเงียบๆนี่ร้ายนัก 55555
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ภาษาสวย แถมแนวนี้ก็หายากอีก สนุกมาก
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: michiko_love ที่ 25-08-2015 21:27:01
สนุกมากคะ

รอตอนพิเศษหวานๆๆอีกน่ะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: care_me ที่ 31-08-2015 20:36:54
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ มีการผูกเรื่องให้คิด อารมณ์​อ่านโคนันจริงๆค่ะ มีการแอบบอกใบ้ถึงทริคที่คนร้ายใช้ด้วย

แถมบทพระ-นายก็ดูกุ๊กกิ๊ก น่ารัก ละมุนละไม​ :katai2-1: :-[

ยกนิ้วโป้งให้เลยค่ะ o13
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: BoJuNg ที่ 03-09-2015 14:20:42
สนุกมากกกกก

สงสารอัน  ตั้งแต่ต้นยันจบ  เฮ้อๆ


ขอบคุณมากค่าาา
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Meowww ที่ 14-09-2015 07:45:40
สนุกมากค่ะ เป็นนิยายที่อ่านแล้วต้องคอยลุ้นไปเรื่อยๆว่าใครจะเป็นคนร้ายกันแน่
และที่ไม่คาดคิดก็คือจะได้อ่าน NC ของคนแต่ง 5555 แต่ชอบนะ อ่านไปบิดไปเขินไป แอร๊ยยยยย  :-[ :impress2:
ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านค่ะ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: AdLy ที่ 09-11-2015 21:04:15
อาจารย์ขา สอนหนูบ้างสิ
อิจฉานายน้อยอย่างแรงเลยค่า
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 12-11-2015 18:54:28
สนุกมากแม้จะขัดใจบุ้งนิดๆก็เถอะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 13-12-2015 11:27:34
อ่านตอนพิเศษแล้วเขินนนนน เขาจับผู้ร้ายกันแบบนี้นี่เอง 5555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-01-2016 20:32:22
เกือบไม่รอดกันไปหมด เพราะความใจร้อน แต่โชคดีที่ทุกอย่างคลี่คลายลงได้
 :mew5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 01-03-2016 20:43:49
ดร.ธันวา ทำไมน่ารักแบบนี้
คุณ ถธปทฟ นี้แต่งย่ารัก มุ้งมิ้งตลอดเลย
ถึงปริศนาจะซับซ้อน แต่ก็ยังซ้อนคงามน่ารักของ ดร.ธันไม่มิดเลย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 03-03-2016 18:56:58
ตอนพิเศษเสียเลือดเลยจ้า :pighaun:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 25-03-2016 23:52:29
เรื่องสนุกมากๆ เขียนได้จริงๆ ให้สิบกะโหลกเลย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 18-09-2016 15:36:46
ฟินกับตอนพิเศษค่าาาาาาาา :jul1:
 :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ผู้ร้ายตัวจริง) 06-04-2558 หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 08-10-2016 08:26:00
สนุกมากค่ะะะะะ ตอนพิเศษฟ้นมัวกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-06-2017 14:08:44
ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย


ตาคมทอดมองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีเข้มเข้ารูปสวมรองเท้าบูทสีน้ำตาลเข้มยาวถึงหัวเข่าที่กำลังจับเชือกบังเหียนจูงม้าเดินไปรอบ ๆ สนามทรายล้อมรั้วไม้สีขาว บนหลังของเจ้าม้ารุ่นขนสีน้ำตาลแดงคือหญิงสาวในชุดลักษณะเดียวกัน ผมยาวถูกเกล้าเก็บสวมทับด้วยหมวกสีดำกันการกระแทก ภาพของสองคนที่เดินคุยกันไปพลางส่งยิ้มให้กันพลางนั้นช่างเหมือนฉากในละครที่สาว ๆ หลายคนฝันถึงไม่มีผิด


“ผมคุ้นหน้าเธอจัง” ธันวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้ดันกรอบแว่น 


“นั่นน่ะคุณหนูส้มจี๊ดแห่งฟาร์มศุภโชคไง” ร.ต.อ.เก่งกาจกล่าวขณะโบกมือให้เพื่อนรักที่อยู่อีกฟากของสนาม


“อืม...” อาจารย์หนุ่มนิ่งคิด “จำได้แล้ว ครั้งก่อนผมเจอเธอที่งานประจำปี” และเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาต้องกลับมาที่ปากช่องอยู่หลายหน แม้คันธชาติจะยังไม่ยอมระบุสถานะที่แน่ชัดก็ตามแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งเหมือนก่อน ธันวาเผลอวางหน้าขรึมเมื่อคำพูดในวันวานหวนกลับมาให้นึกถึงอีกครั้ง...


“ผมคงรับผิดชอบอะไรไม่ได้หรอก นอกจากเอาใจช่วยให้คุณหลุดออกจากความรู้สึกนั้นได้โดยเร็ว”


เขาพยายามจะพาตัวเองหลุดออกจากความรู้สึกดังกล่าวแล้วไม่ใช่ไม่พยายาม แต่ก็ไม่อาจฝืนหัวใจได้ และในที่สุดความพยายามนั้นก็ถูกใช้เพื่อทำให้เจ้าของถ้อยคำเชือดเฉือนยอมรับความรู้สึกของตนเองแทนที่จะเดินหนีหรือสร้างกำแพงกั้นระหว่างกัน ฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ธันวาต้องหยุดความคิดแล้วหันไปมองยังต้นเสียง เห็นหญิงสาวกำลังลงจากม้าโดยมีลูกชายเจ้าของฟาร์มคอยประคอง เมื่อเท้าแตะพื้นจึงเดินไปลูบที่คอเจ้าตัวโตที่ยอมให้เธอขี่โดยไม่มีพยศ


“ขอบใจนะเจ้าน้ำตาล เอาไว้พรุ่งนี้เจอกันใหม่นะจ๊ะ”


“ว...ว่าไงนะ” คันธชาติเอ่ยขึ้นขณะส่งสายบังเหียนให้เจ้าของร่างกายกำยำที่ก้าวเข้ามาอย่างรู้งาน


“ส้มจี๊ดบอกเจ้าน้ำตาลว่าพรุ่งนี้เจอกันค่ะ ส้มจี๊ดจะมาให้พี่บุ้งสอนขี่ม้าอีก”


ชายหนุ่มเผลอมุ่นคิ้ว “ให้ม้าพักบ้างเถอะ ตัวเราก็ไม่ใช่เบา ๆ นะ”


“พี่บุ้งใจร้าย ว่าส้มจี๊ดอ้วนเหรอคะ” สาวสวยทำหน้างอ “ก็ลุงทินกฤตบอกนี่นาว่าส้มจี๊ดมาเรียนรู้เรื่องม้าที่นี่ได้ทุกวัน”


“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นฝึกทำความสะอาดคอกม้ากับอาบน้ำม้าก็แล้วกัน จะได้เข้าใจลึกซึ้ง” ว่าแล้วก็หันไปบอกหัวหน้าคนงาน “พรุ่งนี้ฝากพี่ก้อนดูแลคุณหนูส้มจี๊ดด้วยนะ”


ชายหนุ่มเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่เนื้อตัวคล้ามแดดพยักหน้ารับคำสั่งจากนั้นจึงจูงม้าไปอีกทาง


“แต่ลุงทินกฤตให้พี่บุ้งเป็นคนสอนส้มจี๊ดขี่ม้านะคะ”


“ถ้าคิดจะเลี้ยงม้าก็ต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่สายพันธุ์ของมัน อาหารการกินรวมถึงการจัดการภายในคอกด้วย”


“แต่ว่า...” เมื่อจนใจจะหาเหตุผลมาโต้แย้งหญิงสาวจึงได้แต่มองตาปริบ ๆ กล่าวแบบไม่เต็มเสียง “ส้มจี๊ดอยากให้พี่บุ้งสอนขี่ม้านี่นา”


ลูกชายเจ้าของฟาร์มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อที่เป็นตัวการเชิญทายาทไร่ข้าง ๆ มาทำให้วันแสนสงบสุขของเขาต้องวุ่นวาย “พี่ก้อนก็สอนได้ พี่เองก็เรียนกับพี่ก้อนมาเหมือนกัน อีกอย่าง...พรุ่งนี้พี่ไม่ว่าง วันนี้ก็ไม่ว่างไปส่งด้วย”


“อ้าว แล้วส้มจี๊ดจะกลับยังไงล่ะคะ”


คันธชาติไม่ได้ตอบคำถาม แต่หันไปหาเพื่อนรักที่กำลังเกาะรั้วยืนฟัง “ฝากด้วยนะไอ้กาจ”


นายตำรวจหนุ่มอ้าปากหวอยกมือชี้เข้าหาตัวเองเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ผิด ในขณะที่คนพูดเดินอาด ๆ ไปปลดสายบังเหียนที่ผูกอยู่ข้างรั้วก่อนจะดึงตัวขึ้นนั่งบนหลังของเจ้าม้าหนุ่มโดยไม่ได้สนใจดวงตาอีกคู่ที่ยังคงมองตามไม่ห่าง


สองตาของธันวาจับจ้องที่ร่างผอมบนหลังม้า ท่าทางของเขาสง่างามพอ ๆ กับเจ้าวอร์มบลัดเพศผู้ขนดำขลับที่กำลังพาเจ้านายของมันวิ่งเหยาะ ๆ ออกไปจากสนามฝึก ไม่นานทั้งคนทั้งม้าก็ลับตาไป


“เอาแต่ใจตัวเองเป็นบ้าเลย” ประโยคที่เก่งกาจและคุณหนูส้มจี๊ดต่างก็พูดขึ้นพร้อมกันทำเอาหนุ่มกรุงเทพฯ ถึงกับอมยิ้ม


“เดี๋ยวส้มจี๊ดโทรให้คนรถมารับก็ได้ค่ะพี่กาจ” เธอกล่าวก่อนลอบสำรวจคนแปลกหน้า


“อย่าลำบากเลย เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้”


“แต่ว่าพี่กาจมีเพื่อนมาด้วย...” หญิงสาวท่าทางลังเล “ส้มจี๊ดเกรงใจค่ะ”


“ไม่เป็นไร พี่มากันคนละคัน ลืมแนะนำเลย นี่...ดร.ธันวา”


“สวัสดีค่ะดร.ธันวา” หญิงสาวยกมือไหว้
   

“เรียกธันก็ได้ครับ” เจ้าของชื่อกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“ค่ะพี่ธัน พี่ธันเป็นเพื่อนพี่กาจกับพี่บุ้งเหรอคะ”


ธันวาหันไปสบตานายตำรวจเจ้าของกล้ามเป็นมัดที่ยืนอยู่ข้างกัน นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังทำผิวปากไม่รู้ไม่ชี้เสียอีก เมื่อเป็นเช่นนั้นในที่สุดคนถูกถามก็จำต้องตอบรับแบบไม่เต็มเสียงนัก “ครับ”


“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” คุณหนูส้มจี๊ดยิ้มหวาน ยืนบิดไปมาพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับปลายผมเปียอย่างขวยเขิน
   


“บ้านอยู่ไหนเหรอคะ ส้มจี๊ดไม่เคยเห็นเลย”
   

“ผมมาจากกรุงเทพฯ น่ะครับ”


“ถึงว่า ผิวพรรณไม่เหมือนคนบ้านเราเลย ตัวก็ซู้งสูง ล้อหล่อ แล้ว...พี่ธันมีฟะ...”


“พี่ว่าเรารีบไปกันเถอะ ป่านนี้คุณอาศุภโชครอแย่แล้ว” เก่งกาจแทรกขึ้น


“แต่ส้มจี๊ดยังคุยกับพี่ธันไม่จบเลยนะคะ” คนพูดทำหน้ามุ่ยอยู่ไม่นานก็หันไปส่งยิ้มให้หนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง กระทั่งเจ้าหน้าคมคายคำรามฮือในลำคอแล้วกล่าวด้วยเสียงเข้ม


“รีบไปเถอะ”


“ก็ได้ค่ะ แต่ส้มจี๊ดขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างไม้ล้างมือก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ปีนรั้วออกมาก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในอาคารชั้นเดียวซึ่งเป็นโรงเก็บอุปกรณ์ขี่ม้า


“ผมว่าคุณเองก็ควรรีบไปนะครับด็อก ไม่รู้ป่านนี้ไอ้แสบมันไปถึงไหนแล้ว”


เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาจึงเดินมุ่งไปยังแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ช่อดอกสีขาวลักษณะคล้ายปากแตรกำลังบานสะพรั่งชูช่อเป็นกระจุกแขนง กลิ่นหอมเย็นให้นึกถึงค่ำคืนอันแสนหวานที่ผ่านมาได้เพียงไม่นาน แต่ถึงเวลาจะล่วงเลยจากร้อยวันเป็นพันปีเขาก็ยังเชื่อว่าจะจดจำทุกถ้อยคำและทุกรสสัมผัสได้ไม่ลืมเลือน คิดมาถึงตรงนี้จู่ ๆ หัวใจก็เต้นรัว รีบติดเครื่องรถขับออกไปพร้อมกับมองหาใครบางคน เมื่อขับขึ้นเนินมาได้หน่อยก็เห็นคันธชาติกำลังควบม้ามุ่งหน้าไปยังท้ายฟาร์มซึ่งใกล้กับแนวป่าทึบ ชายหนุ่มจึงขับรถไปตามทางดินที่ทอดลงตัดผ่านแปลงปลูกหญ้าเนเปียร์บนพื้นที่กว่าสามสิบไร่ ผ่านแปลงปลูกทานตะวันกระทั่งสุดทางจึงตัดสินใจจอดรถเมื่อเห็นนายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานกำลังผูกเชือกบังเหียนกับรั้วกั้นบอกอาณาเขต


“ตามมาทำไม” คันธชาติเอ่ยขณะยกมือขึ้นตบเบา ๆ ที่คอเจ้าม้าหนุ่มขนสีดำ 


“ตามมาดูคนใจร้าย อุตส่าห์มาตั้งไกลไม่ยอมทักทายกันสักคำ” เมื่อจบประโยคธันวาก็มาหยุดยืนที่ด้านหลังพอดี


“สวัสดี” ลูกชายเจ้าของฟาร์มหันมากล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ “พอใจหรือยัง”


“ไปอารมณ์เสียมาจากไหน หืม? หรือว่ามีใครทำอะไรให้ไม่พอใจ บอกผมซิ”


คันธชาติถอนใจเฮือกเมื่อถูกอ่านจนทะลุปรุโปร่ง กระนั้นก็ยังยอมให้อีกฝ่ายสวมกอดโดยไม่คิดขัดขืน นั่นเพราะคำถามเมื่อครู่ได้ดึงเอาบางเรื่องออกมาให้ต้องครุ่นคิด ดวงตาแข็งกร้าวมองผ่านแนวรั้วไปยังทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้ม ได้ยินลิงค่างกู่ร้องประสานเสียงกับหรีดหริ่งเรไรดังระงม


“คิดอะไรอยู่” หนุ่มกรุงเทพฯ กระซิบถามพร้อมกับใช้ปลายจมูกเขี่ยที่ข้างหูเบา ๆ จนคนในอ้อมแขนต้องเอี้ยวหนี “คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”


“ทำไมถึงมากับไอ้กาจได้” คนอายุน้อยกว่าเปลี่ยนเรื่อง


“ผู้กองชวนผมมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของกิ่งดาว เห็นว่าคุณไม่ได้ไปกรุงเทพฯ นานแล้วก็เลยมาหา”


“ไม่ถามผมหน่อยเหรอว่าอยากเจอหรือเปล่า”


ธันวาตอบกลับเสียงห้วนไม่ชวนฟังนั้นโดยการคลายวงแขนถอยออกมาพอให้มีระยะห่าง ฝืนยิ้มแล้วกล่าวเพียงสั้น ๆ “นั่นสินะ”


ท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกทำเอาคนถามใจหายไม่น้อย รู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตูแต่ก็ยังทำรักษาท่าทีหันไปลูบคอม้าวอร์มบลัดตัวโปรด “แค่นี้ก็ต้องงอนด้วยเนอะเขม่าเนอะ เราอุตส่าห์คิดถึง”
เจ้าม้าหนุ่มทำราวกับเข้าในใจสิ่งที่เจ้านายของมันพูด มันผงกหัวถี่ ๆ ก่อนจะก้มลงเล็มหญ้า


“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ” ธันวาอยากให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าใกล้รอฟังคำตอบจากคนที่ยืนหันหลังให้ “ว่าไงครับ”


“ไม่ตั้งใจฟังเอง ช่วยไม่ได้”


“บุ้ง...” คนพูดมุ่นคิ้วด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะจับอีกฝ่ายให้หันกลับมา จากนั้นจึงลดมือลงแล้วประคองเอวสอบนิด ๆ ยกตัวอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนรั้วคอนกรีต “พูดให้ผมฟังอีกครั้งได้หรือเปล่า”


คันธชาติเบนหน้าหนีสายตาวิงวอนกับเสียงกระซิบอ้อน พองลมในกระพุ้งแก้มทำไม่ใส่ใจแล้วเปลี่ยนเป็นผิวปากสบายอารมณ์


“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร” ธันวาคลายมือออกเตรียมจะทำเดินหนีแต่แขนขาวกลับยกขึ้นคล้องคอตรึงไว้จนเขาไม่อาจไปไหนได้


“จะไปไหน”


“กลับกรุงเทพฯ”


“ไม่ให้ไป” คนอายุน้อยกว่าบอกจากนั้นจึงค่อย ๆ โน้มร่างสูงเข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหู “คิดถึง”


ลมหายใจอุ่นที่รดลงบนใบหูพาให้มือใหญ่เผลอยึดสะโพกอีกฝ่ายแน่น ธันวาคลี่ยิ้มอย่างพอใจในขณะที่คนพูดขยับออกห่างเพื่อสบตากัน แค่คำสั้น ๆ แต่กลับทำให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวราวกับต้นไม้ขาดน้ำมากว่าสองสัปดาห์ของอาจารย์หนุ่มชุ่มชื่นขึ้นอีกครั้ง


“ได้ยินชัดหรือยัง” เห็นรอยยิ้มระบายทั่วหน้าจึงกล่าวต่อ “ขี้งอนนะเราน่ะ” คันธชาติหัวเราะ ไม่ทันได้สนใจดวงตาที่กำลังมองมา รู้ตัวอีกอีกริมฝีปากนุ่มก็ประกบลงบนกลีบปากของตัวเองเสียแล้ว...


สายลมพายอดหญ้าไหวลู่เป็นระลอกคลื่นเขียวขจี ผีเสื้อตัวน้อยขยับปีกขณะดูดชิมเกสรดอกทานตะวัน ส่วนม้าวอร์มบลัดที่นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานตั้งชื่อว่า “เจ้าเขม่า” ก็ยืนเล็มหญ้าอยู่ใต้ร่มไม้ ขนหางสีดำสนิทกวัดแกว่งไล่แมลงที่บินวนเป็นระยะ มันผงกหัวขึ้นมองไปรอบ ๆ พร้อมกับขยับใบหูแล้วก้มลงกินหญ้าต่ออย่างสบายอารมณ์ ทั่วบริเวณเงียบสงบ ที่ไม่สงบเห็นทีจะเป็นหัวใจของสองคนในแลนด์โรเวอร์สีขาวที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม จู่ ๆ เจ้าเขม่าก็ผงกหัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับฝูงนกนับร้อยที่แตกฮือบินสะเปะสะปะอยู่เหนือยอดไม้ใหญ่ ลิงค่างร้องอื้ออึงจนเกือบจะกลบเสียงหนึ่งที่ดังแว่วมาจากป่าลึก


“คุณได้ยินไหม”


เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นข้างหูกับสัมผัสอุ่นชื้นตรงซอกคอเรียกความคิดของชายหนุ่มที่กำลังจ้องเขม็งไปยังชายป่ากลับคืนมา คันธชาติกดตามองริมฝีปากหยักที่เลื่อนลงดูดดึงจุดที่ทำให้สติแทบเตลิดอยู่ในขณะนี้


“เสียงปืนน่ะ” คนอายุน้อยกว่าตอบด้วยสุ้มเสียงไม่ต่างกัน


คำตอบนั้นทำเอาชะงักจนธันวาต้องเงยหน้าขึ้นสบตาในขณะที่คันธชาติขยับนั่งพิงกับประตูด้านหลังที่นั่งคนขับ มุมปากยกขึ้นน้อย ๆ เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย มือขาวประคองสองแก้มสากแล้วพูดต่อ “ไม่มีอะไรหรอก”


“สัญญากับผมนะว่าจะไม่มาที่นี่คนเดียว”


ลูกชายเจ้าของฟาร์มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับมอบจุมพิตแสนหวานให้แทน มือนุ่มลูบไล้ผ่านลำคอไปยังแผ่นหลังเปลือยเปล่าแล้วหยุดคลึงเคล้นบนรอยนูนที่ธันวาเคยบอกว่าเกิดจากความซุกซนในวัยเยาว์ของตนเองแต่ก็ยังไม่มีโอกาสถามว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ริมฝีปากบางเผยอออกเมื่อฟันขาวแกล้งงับเบา ๆ พลันปลายลิ้นสากก็ถูกส่งเข้ามากวาดชิมความหวานในโพรงปาก ความแน่นขึงใต้เนื้อผ้าที่บดเบียดอยู่บนหน้าขาทำให้คันธชาติต้องเลื่อนมือข้างหนึ่งลงต่ำกระทั่งถึงขอบกางเกง สอดปลายนิ้วคลายกระดุมหวังจะปลดปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แต่ธันวากลับถอนริมฝีปากออกพร้อมกับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“บุ้ง อย่าเพิ่ง รับปากผมก่อน”


คนอายุน้อยกว่าคลี่ยิ้มก่อนจะค่อย ๆ ใช้มือดันแผงอกแกร่งให้ห่างตัว สอดซองอะลูมิเนียมเคลือบพลาสติกทึบแสงเข้าในกระเป๋ากางเกงของคนพูด จากนั้นจึงคว้าเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ขึ้นมาสวมเพื่ออำพรางร่องรอยแห่งความคิดถึงที่ธันวามอบให้ “กลับกันเถอะ”


“บุ้ง” ธันวาถอนใจเบา ๆ มองคนที่กำลังเปิดประตูลงจากรถ คว้าเสื้อมาสวมแล้วจึงตามลงไป


“รับปากผมก่อน”


คันธชาติรั้งเชือกบังเหียนที่ผูกกับกิ่งไม้ปากก็ตอบรับแบบไม่เต็มเสียง พูดจบจึงดึงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าแล้วควบเจ้าเขม่ามุ่งหน้ากลับทางเดิม


แลนด์โรเวอร์สีขาวเคลื่อนตามชายหนุ่มและม้ารูปร่างสง่างามของเขาผ่านแปลงปลูกทานตะวันและพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ในฟาร์มชื่อดังของอำเภอปากช่องจนกระทั่งถึงคอกม้า ธันวาเปิดประตูลงจากรถมองคันธชาติที่กำลังถอดอานและปลดสายบังเหียนส่งให้คนงาน จากนั้นจึงพาเจ้าม้าหนุ่มเข้าไปยังพื้นที่สำหรับอาบน้ำม้า เจ้าเขม่าเองก็เหมือนรู้หน้าที่ มันเดินตรงเข้าไปซองซึ่งโครงไม้ใหญ่กว่าตัวของมันเล็กน้อยโดยไม่ต้องให้ยื้อยุด ซ้ำยังยืนนิ่งให้เจ้านายดึงเชือกมาผูกเชือกกับบังเหียน


“เข้าไปดูใกล้ ๆ ก็ได้นะครับ” ตาคมละจากภาพตรงหน้าหันมองเจ้าของเสียง เขาคือชายหนุ่มผิวคล้ามแดดที่เจอเมื่อครู่นั่นเอง


“เขาคงรักมากเลยสินะครับถึงประคบประหงมขนาดนี้” ธันวาเอ่ยขึ้น


“เจ้าเขม่าเป็นม้าตัวโปรดของนายน้อยครับ แต่เรื่องประคบประหงมนายน้อยทำแบบนี้กับม้าทุกตัว ถ้ามีเวลาก็จะมาช่วยอาบน้ำ ช่วยทำความสะอาดคอกม้า” ก้อนกล่าวพลางมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชื่นชม “ตอนที่เจ้าปุยเมฆตกลูกนายน้อยก็คอยอยู่ใกล้ ๆ มันไม่ห่าง ทั้งที่มันเคยพยศจนทำให้นายน้อยต้องแขนเดาะแท้ ๆ” พูดจบก็เดินตรงไปช่วยรั้งสายยางมาให้ผู้เป็นนาย


คันธชาติปลดกระดุมแขนเสื้อถลกขึ้นก่อนจะถอดรอเท้าบูทแล้วดึงชายกางเกงขึ้นจนถึงหัวเข่า จากนั้นก็หันไปรับสายยางมาฉีดเพื่อล้างตัวให้เจ้าวอร์มบลัดสีดำสนิทที่ยืนกวัดแกว่งหางสบายอารมณ์


“อาบน้ำกันนะเจ้าเขม่า คืนนี้แกจะได้หลับสบาย” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล “พี่ก้อนมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมเอาเจ้าเขม่าเข้าคอกเอง”


“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมหญ้ากับอาหารให้ม้าก่อนนะครับนายน้อย” พูดจบเข้าก็เดินหายเข้าไปในโรงเลี้ยงม้า


ธันวาสาวเท้าเข้าไปหยุดใกล้ ๆ มองคนที่กำลังผิวปากพร้อมทั้งใช้แปรงถูไปมาบนลำตัวม้าที่เพิ่งเทน้ำยาทำความสะอาดสำหรับม้าลงไป


“คุณอยากอาบด้วยกันเหรอ”


คันธชาติมองคนที่กำลังยืนส่ายหัวดิกพลางยิ้มน้อย ๆ ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของอีกฝ่ายทำให้อดแกล้งไม่ได้ ดังนั้นนายน้อยเจ้าแผนการจึงแกล้งขยับเข้าไปใกล้ปากใหญ่ที่กำลังเคี้ยวหยับ ๆ ของเจ้าม้า เงี่ยหูฟังมันหายใจฟืด ๆ อยู่ชั่วครู่ก็เงยหน้าขึ้นพูด “อะไรนะ อ๋อ...แกก็อยากมีเพื่อนอาบด้วยเหรอเจ้าเขม่า”


“บุ้ง...ไม่เอานะ”


“ว่าไงนะ อ๋อ...รอไม่ไหวแล้ว ได้ ๆ” ว่าแล้วก็หันปลายสายยางฉีดน้ำใส่คนที่พยายามปัดป้อง


“บุ้ง! ไม่เอาน่า” คนอายุมากกว่าร้องห้ามแต่ก็ไร้ผลเพราะตอนนี้เขาเปียกพอ ๆ กับเจ้าม้าเสียแล้ว


“มานี่เร็ว” คันธชาติว่าก่อนจะรั้งแขนธันวามายืนใกล้ ๆ แล้วดึงมือของเขาขึ้นแตะที่ลำตัวของเจ้าเขม่า แต่อีกฝ่ายกลับชักมือกลับ


“ไม่เอา”


“กลัวเหรอ” ลูกชายเจ้าของฟาร์มหัวเราะ “เขม่ามันใจดี” พูดจบก็จับมือใหญ่แตะที่คอของม้าตัวโปรด


ธันวามองมือขาวที่วางทับบนมือของตนเองก่อนจะลากไปบนลำตัวของม้าวอร์มบลัดลักษณะดีพร้อม ๆ กัน “มันชอบเหรอ”


“อือ มันชอบให้ทำแบบนี้”


เมื่อเริ่มคุ้นเคยแล้ว ธันวาจึงอาสาช่วยอาบน้ำเจ้าเขม่า ชายหนุ่มเดินไปอีกทางก่อนจะมองข้ามหลังของเจ้าม้าตัวโตไปยังดวงหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เพราะความชอบแกล้งแบบเด็ก ๆ ของอีกฝ่าย จึงทำให้ตอนนี้ทั้งเขาและคันธชาติอยู่ในสภาพที่เปียกม่อล่อกไม่ต่างกัน


“มองอะไร”


“ได้แกล้งผมแล้วอารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”


คันธชาติไม่ตอบ ก้มลงใช้แปรงปัดดินออกจากกีบม้า กระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยจึงปล่อยเจ้าเขม่ายืนผึ่งลมให้ตัวแห้งสักพักก็จูงมันกลับเข้าคอก จัดการสวมหน้ากากกันแมลงให้ก่อนจะแวะทักทายม้าทุกตัวในโรงเลี้ยงแล้วเดินออกมานั่งพักที่ใต้ร่มไม้ใหญ่


“คุณมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” ธันวาเอ่ยขึ้นเมื่อนั่งลงข้างกัน


“เปล่านี่” คนอายุน้อยกว่าบอกพลางเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดไม้ใหญ่เห็นดอกไม้สีขาวรูปร่างคล้ายแตรซึ่งเกาะกลุ่มกันเป็นช่อแกว่งไกวส่งกลิ่นหอมฟุ้งยามสายลมพัดผ่าน


ธันวามองมือขาวที่กำลังหยิบดอกหนึ่งซึ่งเพิ่งตก ลงบนหน้าขาขึ้นมาหมุนก้านดอกยาวช้า ๆ พร้อมกับจ้องมองอย่างพิจารณา เมื่อจนใจกับคำตอบที่ได้และหมดปัญญาที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมพูดจึงเปลี่ยนเรื่อง “Millingtonia hortensis Linn.f. ดอกไม้ที่คุณชอบ”


“ทำไมรู้” คันธชาติหันมาถามด้วยความแปลกใจแต่แล้วคำตอบที่ได้รับก็ทำให้ต้องนั่งนิ่งไปชั่วขณะ   


“เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณไง”


“ต้องเขินไหม”


“แล้วแต่” ธันวาตอบพร้อมกับยกมือขึ้นเกาต้นคอในขณะที่คันธชาติเองก็ยิ้มน้อย ๆ ก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกปีบในมือ และเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมาอีกครั้ง ช่อดอกที่ห้อยย้อยลงจากกิ่งใหญ่คล้ายโคมไฟระย้าก็ไหวลู่ไปตามแรงลม  ปลิวหลุดออกจากขั้วร่วงกระจายบนยอดหญ้าราวกับเม็ดฝน


สองคนนั่งทอดตามองพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ฝากริ้วสีส้มไว้ตรงปลายฟ้าขณะค่อย ๆ เคลื่อนต่ำลง ฝูงนกนับร้อยกำลังบินมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน จุดหมายปลายทางของพวกมันอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ได้ อาจเป็นยอดไม้ที่ยืนต้นอยู่ทั่วไปภายในฟาร์มหรือในป่าลึกห่างไกลจากการรบกวนของมนุษย์ บรรยากาศในวันนี้ไม่ต่างจากวันที่ใครคนหนึ่งได้สารภาพความในใจออกไป จะต่างกันก็ตรงที่วันนี้กำแพงที่ใครอีกคนสร้างขึ้นเพื่อล้อมรอบตัวเองให้ปลอดภัยจากความรู้สึกสูญเสียนั้นได้ถูกพังทลายลงไปจนหมดสิ้น     


“งานในฟาร์มยุ่งเหรอ คุณถึงไม่ไปกรุงเทพฯ เลย” ธันวาเอ่ยขึ้น


“อือ พ่อเอากล้วยน้ำว้าพันธุ์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาทดลองปลูกน่ะ เป็นผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ทุกคนก็เลยวุ่น ๆ เรื่องการเตรียมพื้นที่ลงหน่อกล้วยจำนวนมาก อีกอย่างฟาร์มของเราก็เพิ่งเปิดให้คนที่สนใจได้เข้ามาศึกษาวิธีการทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ พักนี้งานในไร่ก็เลยยุ่ง ๆ หน่อย ของที่ต้องไปส่งตามร้านก็ต้องเปลี่ยนเป็นให้คนงานเข้าไปส่งแทน แล้วทางโน้นล่ะเป็นยังไงบ้าง”


“มีแต่คนบ่นคิดถึงคุณ ทั้งพี่แก้วกับเด็ก ๆ ทั้งอารตี พี่พุดดิ้งแล้วก็พวกสาว ๆ ที่โรงละคร”


“พอทุกอย่างลงตัว ผมก็คงได้กลับไปส่งของเหมือนเดิมแล้ว ถ้าพ่อไม่หาอะไรยาก ๆ มาให้ทำอีกน่ะนะ” คันธชาติบ่นเสียงเนือย มองหน้าคนถามที่ตอนนี้เจือด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องไปกรุงเทพฯ ก็ได้ ผมจะมาหาคุณบ่อย ๆ ไม่ถามด้วยว่าอยากเจอหรือเปล่า” ธันวาชิงดักคอเอาไว้ก่อน  “เพราะเห็นหน้าคุณแล้วผมหายคิดถึง คุณก็คงหายเหนื่อยเวลาเจอหน้าผมเหมือนกัน”


คันธชาติทำจมูกย่น คราวนี้คงได้เขินจริง ๆ แล้ว...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-06-2017 14:16:57
(ต่อค่ะ)

ตกเย็นนายหญิงบุปผาเข้าครัวลงมือทำอาหารต้อนรับแขกคนสำคัญด้วยตัวเอง เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็สั่งให้คนงานตั้งโต๊ะ นายใหญ่ทินกฤตเชิญให้แขกนั่งก่อนที่ตนเองจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ เก่งกาจนั่งข้างธันวา ส่วนฝั่งตรงข้ามคือคันธชาติที่วันนี้ย้ายไปนั่งข้าง ๆ ผู้เป็นแม่ เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวเมื่อตอนคันธชาติประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงละครนาฏยการถูกนายหญิงบุปผาหยิบยกขึ้นมาพูดถึง และเธอก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือลูกชายหัวดื้อของเธออีกหน มันอาจจะเป็นคำพูดที่ซ้ำซากในสายตาคนฟังแต่ก็กลั่นออกมาจากใจจริง ๆ นั่นเพราะเธอมีลูกชายอยู่เพียงคนเดียวหากเกิดเหตุร้ายขึ้นหัวใจของคนเป็นแม่คงต้องแตกสลายเป็นแน่


“วันนี้แกสอนหนูส้มจี๊ดขี่ม้าเป็นไงบ้างเจ้าบุ้ง” ทินกฤตกล่าวเสียงขรึมผิดวิสัยคุณพ่ออารมณ์ดี


“ก็ดีครับ ทั้งม้าทั้งคนเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว” ลูกชายตอบเนือย ๆ


“แล้วคนสอนกับคนเรียนล่ะเริ่มคุ้นเคยกันบ้างหรือยัง สอนกันมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว”


“น้องน่ารักไหมลูก” ผู้เป็นแม่เสริม แม้จะรู้สึกถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้น


“น่ารำคาญมากกว่า เกาะบุ้งแจยังกับปลิง จะไปไหนก็ไม่ได้” คันธชาติบอกก่อนจะตักข้าวเข้าวปาก ท่าทางของเขาเรียกรอยยิ้มจากทุกคนที่นั่งอยู่ยกเว้นธันวาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผู้เป็นพ่อที่ยังคงวางหน้านิ่ง


“แกก็ให้น้องตามไปด้วยสิ น้องจะได้เห็นความเป็นไปในฟาร์มของเรา อีกหน่อยอาจจะเป็นดองกันก็ได้ใครจะไปรู้”


“ไม่มีทางหรอกพ่อ บุ้งไม่มีวันชอบน้องส้มจี๊ดของพ่อหรอก”


“ทำไม” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงแข็ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สามคนพ่อแม่ลูกเขาจึงลดรับดับเสียงลง “หรือว่าแกมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ไหนลองบอกพ่อมาซิว่าลูกบ้านไหน”


เก่งกาจมองนายใหญ่ทินกฤตกับลูกชายสลับกันและไม่ลืมดึงสายตากลับมายังคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มจะตึงเครียดนายตำรวจหนุ่มจึงเอื้อมมือตักอาหารที่กลางโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “ผัดผักบุ้งนี่อร่อยมากเลยนะด็อกเตอร์ คุณลองหรือยัง ของโปรดไม่ใช่เหรอ”


คันธชาติยกน้ำขึ้นดื่มเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจ เขาจับสังเกตมาหลายวันแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าพ่อจะเอาเรื่องที่จะจับตนเองคลุมถุงชนกับคุณหนูไร่ข้าง ๆ


“ผักบุ้งนี่มันขึ้นเองตามธรรมชาติจ้ะ นายกรตาของเจ้ากล้าเก็บมาฝาก ป้าเลยเอามาผัดกับน้ำมันหอย ธันชอบเหรอจ๊ะ”


เจ้าของชื่อยังไม่ทันจะตอบ เก่งกาจก็แทรกขึ้น “ชอบมากเลยละครับป้าบุปผา อาจารย์ธันวาเขาชอบกินผักบุ้งมากจริงไหมไอ้บุ้ง”
ประโยคหลังที่ถูกเน้นทำเอาคนฝั่งตรงข้ามสำลักน้ำ คันธชาติรีบวางแก้วลงแล้วปิดปากไอ


“ถ้าชอบก็ทานเยอะ ๆ มา...ป้าตักให้” พูดจบบุปผาก็เอื้อมตักผัดผักเจ้าปัญหาให้ “ทานเยอะ ๆ นะจ๊ะ”


“ขอบคุณครับ” ธันวากล่าวเสียงแผ่ว เงยหน้าขึ้นสบตาคนอีกฝั่ง


“เอ้า รีบทานสิด็อกเตอร์ ชอบไม่ใช่เหรอ”


“แล้วกาจล่ะ คืนนี้ไม่ค้างด้วยกันจริง ๆ เหรอลูก” นายหญิงของบ้านหันมาถาม นั่นเพราะเวลาเพื่อน ๆ ของลูกมาทีไร เธอจะรู้สึกว่าบ้านครึกครื้นขึ้นมาทุกที เหมือนมีลูก ๆ อยู่เต็มบ้าน ดังนั้นจึงอดถามย้ำไม่ได้ทั้งที่เก่งกาจได้บอกไว้แต่แรกแล้วว่าต้องรีบกลับไปทำธุระสำคัญ


“วันนี้ไม่ได้จริง ๆ ป้าบุปผา เอาไว้หยุดยาวที่จะถึงนะครับ ผมจะชวนพ่อกับแม่มาด้วยกัน”


“ดีสิ นี่ลุงไม่ได้เจอพ่อเราตั้งนานแล้วนะ ชวนมาด้วยกันจะได้คุยเรื่องต้นไม้ใบหญ้าให้หายคิดถึงเสียหน่อย”


“ครับคุณลุง”


“แล้วธันล่ะจ๊ะจะกลับพร้อมกาจเลยหรือเปล่า”


“ครับ” ธันวาตอบสั้น ๆ สั้นเสียจนใครคนหนึ่งทนไม่ไหวต้องพูดขึ้น


“ไม่ได้มารถคันเดียวกันสักหน่อย”


“ก็ถ้าอยากให้เขาอยู่ต่อก็ชวนเขาสิวะ”


ทินกฤตและบุปผาต่างก็มองไปยังลูกชายเป็นตาเดียว ในที่สุดชายหนุ่มก็กล่าวอ้อมแอ้ม “จะขับกลับไปยังไงมืด ๆ ค่ำ ๆ ไอ้กาจมันชำนาญทางก็ให้มันกลับไปคนเดียวสิ”


“เห็นไหมด็อกเตอร์ เจ้าของบ้านเขาอยากให้ค้างแล้วคุณจะเกรงใจทำไม ใช่ไหมครับป้าบุปผา”


“นั่นสิ ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ คนกันเองทั้งนั้น เป็นเพื่อนบุ้งก็เหมือนเป็นลูกของลุงกับป้าด้วย คราวก่อนที่แวะมาก็ไปนอนโรงแรมทีหนึ่งแล้ว”


“คราวก่อนผมมาบรรยายให้กับมหาวิทยาลัยที่นี่น่ะครับ”


“ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ป้าไม่ยอมแล้วนะ ค้างด้วยกันนะจ๊ะ ป้าจะให้คนงานจัดห้องให้”


เห็นคนข้าง ๆ ไม่ตอบ นายตำรวจหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องจัดหรอกครับป้า ก็ให้นอนห้องไอ้บุ้งนั่นแหละ ทีไอ้บุ้งยังไปอาศัยนอนห้องด็อกเตอร์บ่อย ๆ ตอนที่เข้าไปส่งของ จริงไหมบุ้ง”


“เออ” คันธชาติทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“พ่อว่าเตียงห้องนั้นมันเล็กนะ ซื้อไว้ตั้งแต่เจ้าบุ้งยังเด็ก ๆ” ทินกฤตกล่าวเสียงเรียบ


“แต่ห้องรับรองแขกเรากำลังปรับปรุงอยู่นะจ๊ะพ่อ”


“ผมนอนพื้นก็ได้ครับ”/ “นอนเบียด ๆ กันก็ได้ครับ” ธันวาและเก่งกาจพูดขึ้นพร้อมกัน


“ตายจริง ป้าจะให้แขกนอนพื้นได้ยังไงจ๊ะ”


“ผมนอนได้ครับ” ธันวายืนยัน


ทินกฤตมองภรรยาและแขกที่นั่งอยู่คนฝั่งของโต๊ะก่อนจะแทรกขึ้น “ไม่ได้สิ”


เสียงดังกังวานทำเอาทุกคนเงียบ นายใหญ่ยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ต้องให้แขกนอนสบาย ๆ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อฟาร์มแสงฉานหมด” ว่าพลางยกมือถูปลายคาง “ถ้าอย่างนั้นจัดให้นอนที่บ้านต้นไม้ก็แล้วกัน ที่นั่นน่ะลุงกะจะใช้เป็นเรือนรับรองแต่โดนเจ้าบุ้งยึดไปทำห้องสมุดเสียแล้ว บรรยากาศดีมากนะตอนกลางคืนออกมายืนดูดาวได้ ส่วนตอนเช้าจะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากเนินเขาที่อยู่ท้ายฟาร์ม เดี๋ยวแม่บอกให้คนงานไปจัดที่หลับที่นอนให้แขกก็แล้วกันนะ”


แม้คำว่า “แขก” ที่ทินกฤตใช้นิยามเพื่อนของเขาจะดูห่างเหิน หากแต่ข้อสรุปของคนหัวโต๊ะก็ยังทำให้เก่งกาจนึกพอใจอยู่บ้าง


“บุ้งไปนอนเป็นเพื่อนธันนะลูก แม่จะได้เตรียมเครื่องนอนสองชุด”


ผู้เป็นสามีหันขวับ “ฮึ้ย! จะดีเหรอแม่”


“แล้วมันจะไม่ดียังไงล่ะพ่อ”


ทินกฤตละสายตาจากภรรยาแล้วมองคนอื่น ๆ “ก...ก็ธันวาเขาเป็นแขก ก็ควรจะได้นอนสบาย ๆ เป็นส่วนตัวสิ”


“พ่อนี่คิดมาก แขกที่ไหนกัน ธันก็เป็นเพื่อนบุ้ง” พูดจบก็หันไปหาลูกชาย “เดี๋ยวแม่จะเตรียมเครื่องนอนให้นะ”


“นั่นแหละที่สังคมต้องการ!” นายตำรวจหนุ่มเผลอตีตบหน้าขาดังฉาด เมื่อเห็นว่าทุกสายตากำลังจ้องมาที่ตนเองจึงกล่าวแก้เก้อ

“ผ...ผมหมายถึง...นั่นแหละครับคือสิ่งที่คนกรุงเทพฯ อย่างด็อกเตอร์ต้องการ การได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติกับเพื่อนสนิท แค่นี้ก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว เผลอ ๆ จะขอมาค้างด้วยทุกอาทิตย์”


“อยู่กรุงเทพฯ น่าจะสบายกว่ามั้ง มีทั้งรถไฟฟ้า มีทั้งโรงหนัง ผับบาร์ ที่นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรอก” ทินกฤตกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าว “ลองดูก่อนก็ได้ ถ้าชอบใจ จะมาอีกที่นี่ก็ยินดีต้อนรับ” พูดจบจึงเชิญให้ทุกคนรับประทานอาหารต่อ





เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเก่งกาจจึงอำลาผู้อาวุโสทั้งสองก่อนจะขอตัวกลับ โดยมีธันวาและคันธชาติเดินมาส่งยังที่จอดรถ


“เจ้ากี้เจ้าการนักนะแก” ลูกชายเจ้าของฟาร์มว่าเมื่อลับสายตาพ่อและแม่


“ใจแกก็อยากให้เขาอยู่ต่อไม่ใช่หรือไง”


คันธชาติมุ่นคิ้วพลางเหลือบมองคนข้าง ๆ แล้วยอมรับในที่สุด “มันก็ใช่”


“เออ แล้วทำเป็นปากแข็ง” เก่งกาจหยุดเดินแล้วหันมากอดอกสีหน้าจริงจัง “แกควรหาโอกาสคุยกับคุณลุงคุณป้าได้แล้วนะ”


“เรื่องอะไรวะ”


“ก็เรื่องแฟนแกไง”


“ใคร? ใครแฟน? มีที่ไหนเล่า”


คำพูดของคันธชาติทำคนที่ยืนฟังเงียบ ๆ หน้าเจื่อน กระนั้นธันวาก็ยังคงยืนนิ่งราวกับมันเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดมาแล้วผ่านไป


“พูดอะไรนึกถึงใจคนฟังบ้างไอ้หนอน” เก่งกาจว่าแต่สายตากลับเหล่มองอีกคน


“ก็พูดเรื่องจริง”


“เออ ก็แล้วแต่โว้ย มัวแต่อมพะนำ ระวังเถอะลุงทินจะจับแกแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบ”


“เรื่องนั้นฉันจัดการได้น่า ว่าแต่แกเถอะมีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้ถึงไม่ค้างด้วยกัน”


“เปล่า” เก่งกาจยักไหล่ “แค่ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถก่อนจะขับออกไป


คันธชาติรอจนซีดานสีดำลับหายไป ทันทีที่หันหลังกลับก็ปะทะเข้าร่างของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังจนเกือบเซ โชคดีที่ธันวาคว้าเอวของเขาเอาไว้ได้ทัน ปลายจมูกสัมผัสที่กันเพียงนิดกับลมหายใจอุ่นที่คลอเคลียอยู่เหนือริมฝีปากทำสองแก้มร้อนผ่าวจนลูกชายเจ้าของฟาร์มต้องขยับห่างออกมาสบดวงตาเรียบเฉยที่เจือความผิดหวัง


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


“ม...ไม่เป็นไร คุณไปเอาของที่รถก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเครื่องนอนในบ้านมาให้” ว่าแล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน เห็นพ่อกำลังคุยกับหัวหน้าคนงานอยู่ที่ระเบียงจึงเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องพบว่าผู้เป็นแม่กำลังหอบหมอนและผ้าห่มชุดใหม่ออกมาจากตู้พอดี


“แม่เตรียมผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าของลูกเอาไว้ให้แล้วนะ เดี๋ยวแม่จะให้คนงานเอาไปส่งให้พร้อมเครื่องนอน”


“ผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนนี่บุ้งถือไปเองก็ได้ครับ” คันธชาติบอกพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนกับผู้ขนหนูที่ถูกพับซ้อนกันไว้บนเตียงมาถือไว้ “ขอบคุณนะครับแม่” ลูกชายกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่อย่างประจบ


“ขอบคุณอะไรกัน ก็นั่นน่ะเพื่อนลูก อีกอย่างตอนที่ลูกประสบอุบัติเหตุคราวนั้นเขาก็ช่วยไปรับไปส่งพ่อกับแม่แถมยังเป็นธุระเรื่องของลูกแทนพ่อกับแม่ด้วย ตอนที่มีเรื่องของกิ่งก็ยังเสี่ยงชีวิตช่วยลูกอีก ถ้าไม่มีเขาแม่ยังคิดไม่ออกเลยว่าลูกของแม่จะเป็นยังไง” บุปผาพูดพลางลูบแขนลูกชายเบา ๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมเงียบ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เล่าให้แม่ฟังได้นะ”


“บุ้งอยากขอโทษที่ดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อกับแม่ ทำตัวให้พ่อกับแม่เป็นห่วง”


“ถ้าไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงก็อย่าไปทำอะไรเสี่ยง ๆ อีก มีอะไรต้องบอกกัน รู้ไหมจ๊ะ”


“ครับแม่”


“ธันน่ะเขาน่ารักนะ เป็นคนดีมีน้ำใจกับคนอื่น แม่พูดถูกไหม”


“ครับ” คันธชาติรับคำพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ


“ส่วนเรื่องหนูส้มจี๊ดน่ะ ลูกอย่าไปคิดมากนะ พ่อเขาก็แค่อยากให้ลูกได้รู้จักคนดี ๆ แต่ถ้าลูกไม่ได้รู้สึกรักใคร่ชอบพอกันพ่อกับแม่ก็ไม่ฝืนใจหรอก ลูกรักใครพ่อกับแม่ก็รักด้วย”


“ขอบคุณนะครับแม่”


ผู้เป็นแม่หมุนเหลียวกลับมายิ้มให้ก่อนจะชวนลูกชายลงไปข้างล่าง เห็นเด็กชายกล้าจึงเรียกให้หยุดเป็นเวลาเดียวกับที่ทินกฤตและธันวาต่างก็เดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี


“นายหญิงมีอะไรให้กล้ารับใช้ครับ”


“ฉันจะวานกล้าให้ช่วยขนเครื่องนอนไปที่บ้านต้นไม้หน่อยจ้ะ เอ๊ะ! แล้วนั่นหน้าไปทำอะไรมา”


“พอกหน้าครับ เผื่อจะหน้าใสแบบเพื่อนนายน้อยบ้าง” พูดจบกับหันไปยิ้มฟันขาวให้หนุ่มกรุงเทพฯ


“บ๊ะ สำอางตั้งแต่ตัวเท่านี้” นายใหญ่แห่งฟาร์มแสงฉานพูดกลั้วหัวเราะ “แล้วใช้อะไรพอกล่ะ” ทินกฤตชักสนใจ “ใช้โคลนในร่องน้ำข้างแปลงผักครับ”


“หืม...ใครเขาสอนให้เอาโคลนแบบนั้นมาพอก”


“นายน้อยทำให้ดูครับ นายน้อยบอกว่าคนกรุงเทพฯ เขาทำแบบนี้” สิ้นคำบอกเล่าของเด็กชายทุกคนก็มองไปยังตัวการเป็นตาเดียว


“ฮ้าววว...ง่วงพอดีเลย บุ้งรีบไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับพ่อแม่” พูดจบก็เดินหาวหวอด ๆ ออกจากบ้านทิ้งให้ธันวาเดินตามต้อย ๆ ได้ยินเสียงผู้เป็นแม่บอกให้หลานชายคนงานรีบไปล้างหน้าล้างตาแล้วขนเครื่องนอนไปส่งที่บ้านต้นไม้





คบไฟที่ปักอยู่รายทางทำลายความกลัวของเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีที่กำลังเดินไปตามทางดินที่แวดล้อมด้วยแมกไม้ สุดทางมีสะพานแขวนทอดข้ามลำธารเชื่อมไปยังอีกฝั่งซึ่งเป็นจุดหมาย แสงไฟสีเหลืองนวลสว่างไสวขึ้นพร้อมกันทำให้บ้านไม้ที่สร้างขึ้นโดยอาศัยกิ่งก้านและลำต้นของกลุ่มไม้ใหญ่เป็นโครงสร้างรองมีเสารับน้ำหนักอยู่ด้านล่างปรากฏชัดขึ้นในความมืด เด็กชายหอบหมอนและผ้าห่มเดินขึ้นบันได แม้จะยกสูงจากพื้นขึ้นมาไม่มาก แต่เพราะอยู่บนเนินจึงทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ ฟาร์มแสงฉานซึ่งเป็นคล้ายแอ่งกระทะ เด็กชายต้นกล้าเปิดประตูเข้าไปภายในบ้านซึ่งปูด้วยไม้ขัดมัน ชั้นล่างเป็นห้องนั่งเล่น มีโต๊ะและชั้นวางหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรตามความสนใจของนายน้อย เมื่อเดินต่อขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านก็จัดการวางเครื่องนอนชุดใหม่ลงบนเตียง


“ขอบใจมากนะ อืม...ชื่อกล้าใช่ไหมเรา” ธันวาเอ่ยขึ้นขณะกำลังรั้งเสื้อผ้าออกจากเป้


“ใช่ครับ” หนุ่มน้อยยิ้มแป้น เมื่อเห็นนายน้อยเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำจึงกล่าวต่อ “วันนั้นที่พี่คนนี้มาถามหาคนชื่อคันธชาติ ตอนนี้กล้ารู้แล้วนาว่าคันธชาติก็คือนายน้อย เอ...แล้วทำไมวันนั้นายน้อยบอกว่าไม่...”


คันธชาติเบิกตากว้างก่อนจะปราดเข้าไปโอบไหล่พร้อมกับปิดปากเด็กชายแล้วหันมายิ้มให้คนที่กำลังรอฟัง “เอาของมาให้ครบแล้วใช่ไหม”


ต้นกล้าพยักหน้าหงึก ๆ พยายามดึงมือนายน้อยออก


“เสร็จธุระแล้วใช่หรือเปล่า”


เด็กชายยังคงพยักหน้าพร้อมกับดิ้นพราด ๆ เพราะเริ่มหายใจไม่ออก


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับบ้านได้แล้วเดี๋ยวตาเป็นห่วง” พูดจบชายหนุ่มก็ดึงมือออก


“นายน้อย กล้าหายใจไม่ออกนะครับ” หนุ่มน้อยโวยวาย


“ถ้าขืนยังพูดมากจะเตะซ้ำด้วยเอ้า” ลูกชายเจ้าของฟาร์มก้มลงกระซิบก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มหวาน “อะไรนะ อยากกลับบ้านแล้ว ไป เดี๋ยวฉันเดินไปส่งแกเองเจ้ากล้า” ว่าแล้วก็รั้งคนตัวเล็กออกจากห้องลงบันไดไปพร้อมกัน


คันธชาติเดินออกไปยังระเบียง มองตามเงาตะคุ่ม ๆ ของเด็กชายที่กำลังวิ่งกลับไปที่เรือนหลังใหญ่ เมื่อเห็นแสงของรถจักรยานยนต์ที่จอดรออยู่เคลื่อนห่างออกไปก็ให้แน่ใจว่าเจ้าหนูจะต้องถึงบ้านอย่างปลอดภัยในอีกไม่เกินสิบนาที ชายหนุ่มหมุนตัวกลับกอดอกทอดตามองทิวเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อนในความมืดมิดก่อนจะเลื่อนตาขึ้นมองท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่ประดับประดาด้วยดวงดาว สายลมต้นฤดูหนาวหอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกปีบซึ่งเป็นดอกไม้ที่เขาโปรดปรานลอยอวลอยู่รอบกาย ขณะกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ร่างสูงของใครบางคนก็มาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ


“อารตีบอกว่าปลายเดือนหน้าคุณอัญชลิสาจะเดินทางไปต่างประเทศ คุณจะไปส่งเธอไหม”


“ไปสิ รับปากกับอัญไว้แล้ว” พูดจบก็หมุนตัวกลับมองเงาสะท้อนบนประตูกระจกเห็นอีกคนยังคงเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า


“กับผมไม่เห็นรับปากแบบนี้บ้าง”


“น้อยใจอีกแล้ว” คนพูดกดยิ้มมุมปากก่อนจะเหลือบมองเจ้าของร่างสูงที่ยังคงยืนนิ่ง


“ผมไม่ได้น้อยใจ แต่ผมเป็นห่วงคุณต่างหาก”


“รู้แล้วน่า ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” พูดจบธันวาก็เอี้ยวตัวก่อนจะเลื่อนมือผ่านเอวของคนข้าง ๆ ไปวางบนราวระเบียงอีกฝั่ง กลายเป็นว่าตอนนี้คันธชาติกำลังตกอยู่ในวงล้อมแสนอุ่นเสียแล้ว


“จะทำอะไร”


“แล้วผมควรทำยังไงกับนายน้อยตัวแสบดี” ไม่พูดเปล่ายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้พอให้ปลายจมูกได้แตะแก้มของอีกฝ่าย “ไม่อยากให้ผมรู้จักถึงขนาดต้องเอาโคลนป้ายหน้าเลยเหรอ”


“ก็ใครใช้ให้มาอยากรู้เรื่องของผมล่ะ”


“แล้วถ้าตอนนี้มีเรื่องที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวคุณ คุณจะบอกไหม”


“คุณอยากรู้อะไร”


ธันวาเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นยึดสะโพกของคนตรงหน้าพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่”


คันธชาติกดตาลงนิ่งไปชั่วขณะ ในที่สุดก็กลับมาสบตาเจ้าของคำถามอีกครั้ง แม้แสงไฟจะน้อยนิดแต่พอรวมกับแสงดาวแล้วมันก็พอจะทำให้ธันวาได้เห็นสองแก้มที่เริ่มแซมด้วยสีแดงระเรื่อ “คุณไม่จำเป็นต้องบอกมันกับใคร แต่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม” อาจารย์หนุ่มถามย้ำ


“จนป่านนี้ยังต้องให้พูดอีกเหรอ”


“ผมอยากฟัง”


คันธชาติยิ้มขัน ๆ ยกสองแขนขึ้นคล้องคอแกร่งก่อนจะขยับเข้ากระซิบ “ถ้าอย่างนั้นจะพูดให้ฟังทั้งคืนเลย” จบประโยคคนพูดก็แกล้งงับเข้าที่ใบหูแล้วเป็นฝ่ายเดินนำกลับเข้าไปในห้อง...


ธันวาดันร่างผอมลงกับเตียงก่อนจะตามทาบทับกดจูบหนัก ๆ ที่ผิวเนื้อเหนือคอเสื้อยืดสีขาวไล่ขึ้นมาจนถึงปลายคางแล้วกลืนกินริมฝีปากของคนเอาแต่ใจเพื่อชดเชยเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย มือหนาลูบไล้สะเปะสะปะผ่านผ้าเนื้อบางจนคันธชาติเผลอแอ่นกายรับสัมผัสด้วยหัวใจเต้นแรง ในที่สุดเสื้อยืดสำหรับใส่นอนก็ถึงรั้งออกแล้วโยนไปอีกทาง กระนั้นความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศก็ไม่อาจสร้างความหนาวเหน็บให้แก่ผิวเนื้อปราศจากอาภรณ์ได้เพราะสองร่างนั้นกอดรัดแนบแน่นราวกับเป็นคนคนเดียวกัน 


“บุ้ง...”


จู่ ๆ ริมฝีปากร้อนก็ผละออกจากผิวเนื้อบนแนวกระดูกไหปลาร้า มือไม้ที่ไล้ลูบตามเนื้อตัวต้องหยุดชะงัก ร่างกายที่กำลังทำงานไปตามคำสั่งของหัวใจคล้ายถูกกดปุ่มปิด


“บุ้ง...”


คนอายุน้อยกว่าคลายคมฟันจากริมฝีปากล่างปรือตาขึ้นพร้อมกับถอนใจแรง “เรียกทำไม จะทำอะไรก็ทำสิ”


“ผ...ผมไม่ได้เรียก” ธันวากล่าวเสียงแผ่วเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของพวงแก้มสีแดงระเรื่อ เหงื่อเม็ดโตที่ไหลย้อยลงตามลำคอระหงกระทั่งถึงแอ่งชีพจรของอีกฝ่ายเป็นตัวเร่งให้เขาอยากทำสิ่งที่ค้างอยู่นี่ต่อ แต่เพราะเสียงเรียกที่ดังอยู่ด้านนอกทำให้จำต้องหยุดเอาเสียดื้อ ๆ


"เจ้าบุ้ง! แกหลับหรือยัง”


“พ...พ่อ!” คันธชาติตาโต ดันร่างคนตัวโตออกแล้วยันกายลุกขึ้นนั่งหันรีหันขวางแล้วคว้าเสื้อมาสวมตามเดิมก่อนจะกระโดดแผล็วไปเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้าถาม


“พ่อมีอะไรครับ”


“พ่อมีเรื่องจะคุยกับแกหน่อย”


“เดี๋ยวบุ้งลงไป” พูดจบชายหนุ่มก็รีบเปิดประตูออกจากห้องก้าวพรวด ๆ ลงบันไดโดยไม่ได้สนใจอีกคนที่นั่งมองตามตาละห้อย


ขายาวก้าววมาถึงจุดกึ่งกลางสะพานแขวนก็หยุด จ้องผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนมือไพล่หลังทอดมองสายน้ำเอื่อย ๆ ที่สะท้อนแสงไฟจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ


“พ่อมีอะไรจะคุยกับบุ้งเหรอครับ” คันธชาติเอ่ยขึ้น


“เรื่องหนูส้มจี๊ดน่ะ” ทินกฤตบอกเหตุผลในการมา “ทำไมพรุ่งนี้แกไม่สอนหนูสมจี๊ดขี่ม้า”


“ใครบอกพ่อ พี่ก้อนเหรอ”


“อือ พรุ่งนี้พ่อจะให้เจ้าก้อนเข้าไปซื้อปุ๋ยในเมือง ก็เลยรู้ว่าแกสั่งให้ดูแลคุณส้มจี๊ด แกไม่สอนเขาไม่พอแถมยังสั่งให้เขาไปทำความสะอาดคอกม้าอีก”


“ก็เหมือนที่พ่อกับพี่ก้อนสอนบุ้งไง”


“แต่หนูส้มจี๊ดเขาเป็นผู้หญิง แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างอิดหนาระอาใจเมื่อโดนลูกชายยอกย้อน


“แต่พรุ่งนี้บุ้งไม่ว่าง พ่อก็เห็นว่าบุ้งมีแขก”


“ธันวาเขาก็ไม่ได้อยู่ทั้งวันนี่ เดี๋ยวสาย ๆ เขาก็กลับแล้ว”


“บุ้งมีนัดกับเพื่อนต่อ”


“ใคร?”


“เพื่อนเก่าสมัยเรียน”


“ใครล่ะ พ่อรู้จักหรือเปล่า”


“ไอ้เป็ดที่เป็นสัตวแพทย์ประจำอุทยาน ลูกชายลุงครรชิตไง พ่ออยากรู้เรื่องการตรวจรูปพรรณม้าไม่ใช่เหรอ มันมีเพื่อนทำฟาร์มม้าแข่งอยู่ บุ้งก็จะไปถามให้นี่ไง”


ทินกฤตพยักหน้าเมื่อคนที่ถูกกล่าวถึงคือลูกชายของสัตวแพทย์ที่สนิทสนมชอบพอกัน


“ถ้าอย่างนั้นบุ้งไปนอนแล้วนะ” คันธชาติกล่าว กำลังจะหันหลังกลับก็ต้องชะงัก


“แล้วเรื่องลงหน่อกล้วยล่ะไปถึงไหนแล้ว”


“บุ้งให้คนงานเตรียมขุดหลุมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงเสร็จ ช่วงนี้แดดแรง ก็เลยให้ทำแค่ช่วงเช้าหรือไม่ก็ตอนเย็นจะได้ไม่ร้อนกัน” ลูกชายอธิบาย


“แล้วเรื่องตรวจสอบบัญชีร้านของเราล่ะ”


“ก็พ่อให้งานบุ้งทำตั้งเยอะแยะ แถมยังให้สอนน้องส้มจี๊ดขี่ม้าอีก กระดิกตัวไปไหนไม่ได้แบบบุ้งจะเอาเวลาที่ไหนไปตรวจ นี่ก็ไม่ได้เข้าไปส่งของในกรุงเทพฯ เกือบเดือนแล้ว” คนพูดเกาหัวแล้วปิดปากหาว “บุ้งจะกลับไปนอนแล้วนะ พ่อมีอะไรอีกไหม”


“ถ...ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนเถอะ” ทินกฤตบอก เห็นลูกชายพยักหน้ากำลังจะหันหลังให้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง  “เอ้อ! เจ้าบุ้ง!”


คันธชาติเลิกคิ้ว


“อย่าชวนเพื่อนนอนดึกนักล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเพลีย”


คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ ปิดปากหาวยืดยาวจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อเปิดประตูห้องนอนก็พบว่าไฟที่หัวเตียงถูกปิดไปเสียแล้ว กระนั้นแสงจากภายนอกที่สาดผ่านบานหน้าต่างซึ่งแง้มไว้ก็ทำให้เห็นร่างที่นอนตะแคงข้างอยู่บนเตียง ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนอนหงายผ่อนลมหายใจยาวยกมือก่ายหน้าฝากดวงตาจับจ้องเพดานว่างเปล่าราวกับมีเรื่องให้คิดหนัก  ในที่สุดคันธชาติส่ายหน้ารัวเพื่อไล่เรื่องราวต่าง ๆ ออกจากหัวก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวนอนตะแคงทอดมองแผ่นหลังกว้างที่เคลื่อนไหวตามจังหวะการหายใจ


“ธัน หลับแล้วเหรอ”


เมื่อไม่มีเสียงตอบจึงแตะปลายนิ้วที่กลางหลังแล้วลากต่ำลงจนถึงเอว พลันมือใหญ่ก็คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ก่อนจะพลิกตัวกลับมาสบตากัน


“จะทำอะไร”


“ก็จะปลุกให้ตื่น”


“ผมไม่ได้หลับ” ธันวาบอกก่อนจะแตะจูบลงบนข้อนิ้วของคนตรงหน้า 


“แล้วยังอยากฟังอยู่หรือเปล่า” คันธชาติถามพร้อมกับแกล้งเขี่ยปลายจมูกของอีกฝ่ายด้วยปลายจมูกของตนเอง แต่อีกฝ่ายกลับมอบจุมพิตลึกซึ้งแทนคำตอบ เท่านั้นไฟปรารถนาที่มอดดับไปตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายก็กลับปะทุขึ้นอีกครั้ง...


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-06-2017 14:21:37
(ต่อนะคะ)


แลนด์โรเวอร์สีขาวขับตามรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อไปตามทางหลวงชนบทกระทั่งถึงทางแยกก็จอดนิ่ง ธันวามองร่างผอมสูงในชุดแบบคาวบอยที่กำลังก้าวลงจากรถและกำลังเดินตรงมาทางนี้ แค่เพียงชั่วอึดใจคันธชาติก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้าง ๆ ก่อนจะกล่าว

 
“ผมส่งแค่นี้นะ เลยแยกนี้ไปไม่ไกลก็ถึงถนนใหญ่ ใกล้กว่าทางที่ไอ้กาจพาคุณมาเมื่อวาน ผมไปก่อนนะ” กำลังจะเปิดประตูก็ถูกมือใหญ่รั้งไว้


“เดี๋ยวบุ้ง แล้วคุณจะไปไหน”


“นัดกับเพื่อนไว้ในเมืองน่ะ”


คนอายุมากกว่าพยักหน้าเลื่อนตาลงพร้อมกับสอดมือเข้าไปใต้อกเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เจ้าของเผลอปลดกระดุมลึกจนเห็นผิวขาวที่ขณะนี้ถูกแต้มด้วยร่องรอยสีหวาน ธันวาใช้หลังมือเกลี่ยเบา ๆ ทำเอาคันธชาติสะดุ้งโหยงรีบคว้าข้อมือหนาเอาไว้แน่น


“ค...คุณจะทำอะไร” ปากถามแต่ในหัวกลับนึกถึงสัมผัสหวามไหวที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันตลอดคืนที่ผ่านมา


“จะติดกระดุมให้ไง”


“ติดเองได้” พูดจบก็ขยับห่างออกมาก้มหน้าลงมองสำรวจตัวเอง ทันทีที่เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่แผ่นอกของตนเองก็ยิ่งให้รู้สึกร้อนผ่าวที่สองแก้ม ตอนนี้มือไม้ราวกับไร้เรี่ยวแรง แค่ติดกระดุมเม็ดเดียวทำไมยากนัก


“มานี่ เดี๋ยวผมติดให้”


“ม...ไม่เป็นไร ผมทำเองได้”


“อย่าดื้อสิ คุณเป็นคนของผมนะ” ประโยคนั้นทำเอาคันธชาติไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ทั้งที่เขาเองเป็นคนนิยามมันขึ้นมา ได้แต่ทอดตามมองมือใหญ่ที่เอื้อมมาติดกระดุมให้


“อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนะ”


“รู้แล้ว” ลูกชายเจ้าของฟาร์มใหญ่อ้อมแอ้มตอบแล้วตบท้ายด้วยคำขอบคุณเบา ๆ


“แค่นั้นเหรอ”


“หมายความว่ายังไง”


“แค่ขอบคุณเหรอ”


“แล้วจะเอาอะไรอีก”


“คุณต้องคิดสิ ก็ผมเป็นคนของคุณนี่” ธันวาตอบหน้านิ่ง กระนั้นคันธชาติก็ยังเห็นความขี้เล่นผสมกับสิ่งที่เขาต้องการในแววตา


“คุณมัน…” พูดพร้อมกับเอื้อมมือดึงแก้มทั้งสองข้างของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนเป็นโน้มหน้าไปจูบเบา ๆ เป็นรางวัล


“ถึงกรุงเทพฯ แล้วผมจะโทรหานะ”


“อือ” คันธชาติกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนเปิดประตูลงจากรถเดินกลับไปนั่งประจำที่ในรถของตนเอง รอกระทั่งแลนด์โรเวอร์คันงามห่างออกไปจึงติดเครื่องยนต์เพื่อไปให้ถึงที่หมายตามเวลานัด


ธันวามองกระจกมองข้างเห็นรถกระบะของคันธชาติเลี้ยวไปอีกทางจึงกลับรถมุ่งหน้าสู่ฟาร์มใหญ่เพื่อทำในสิ่งที่คิดว่าตนเองควรจะทำสักที...


...


นายหญิงบุปผาหยุดที่กรอบประตูมองผู้เป็นสามีซึ่งกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าบ้าน เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเป็นระยะ ๆ หยุดยืนเอามือไพล่หลังบ้างแต่สุดท้ายก็เริ่มเดินไปมาอย่างกับหนูติดจั่น


“นัดใครไว้หรือเปล่าน่ะพ่อ”


“ไม่ได้นัด แต่เดี๋ยวก็คงมา” พูดจบทินกฤตก็มองที่หน้าปัดนาฬิกาอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็ยิ้มอย่างพอใจที่เห็นแลนด์โรเวอร์สีขาวกำลังลัดเลาะมาตามทางที่เห็นอยู่เบื้องล่าง


“อ้าว นั่นรถธันนี่นาพ่อ เพิ่งออกไปยังไม่ถึงสิบนาทีทำไมย้อนกลับมาอีก” นายหญิงของบ้านกล่าวอย่างแปลกใจก่อนจะเดินออกมายืนเคียงคู่ผู้เป็นสามี


เพียงไม่กี่อึดใจรถคันงามก็มาจอดสนิทอยู่ตรงหน้า ธันวาก้าวลงจากรถด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ร่างสูงเดินมาหยุดต่อหน้าสองสามีภรรยาอย่างไร้ทีท่าลังเลแม้ว่าเรื่องที่ทำให้เขาต้องย้อนกลับมาจะเป็นเรื่องหนักหนาอยู่พอสมควร


“ลืมอะไรหรือเปล่าลูก” บุปผาเอ่ยขึ้นในขณะที่ทินกฤตยังคงวางขรึมเช่นเคย


“ไม่ได้ลืมอะไรครับคุณป้า แต่ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณลุงคุณป้าสักหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นเข้าบ้านก่อนเถอะจ้ะ” บุปผากล่าว ชักเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อทั้งสามีของตนเองและเพื่อนของลูกชายต่างใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวด้วยกันทั้งคู่


ทินกฤตเดินนำเข้ามาที่ห้องรับแขกก่อนจะเชิญให้ธันวานั่งลง ดวงตาคมกริบลอบมองใบหน้านิ่งนั้นรวมถึงกิริยาท่าทางของเขายามเมื่ออยู่กันตามลำพัง ยอมรับว่าในแววตาของหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้นี้นั้นเก็บซ่อนความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเอาไว้ และนี่เองทำให้เขาคาดเดาได้ว่าธันวาจะย้อนกลับมาที่นี่


“เธออยากจะคุยอะไรกับลุงกับป้ารึ”


คนถูกถามยังคงนั่งหลังตรงดวงตามิได้แสดงถึงความหวาดหวั่น หากแต่มือที่ประสานกันตรงหน้านั้นกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะเรียนให้คุณลุงคุณป้าทราบครับ”


“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ” นายหญิงบุปผาถามพลางหันไปสบตาผู้เป็นสามี
   

“เรื่องบุ้งครับ” ธันวาตอบอย่างไม่ลังเล


“มีอะไรรึ หรือว่าเจ้าบุ้งไปก่อเรื่องอะไรอีก”


“บุ้งไม่ได้ก่อเรื่องอะไรครับ เขาเป็นคนดี มีน้ำใจชอบช่วยเหลือคนอื่นถึงแม้ว่าตัวเองจะได้รับอันตราย”


ทินกฤตพยักหน้าเห็นตาม คนเป็นพ่ออย่างเขารู้คุณสมบัติข้อนี้ของลูกชายดี “แล้วมีเรื่องอะไรกันล่ะ”


“ทั้งหมดนี้ที่รวมกันเป็นบุ้ง มันเลยทำให้ผมชอบเขา” ธันวากล่าว ทั้งน้ำเสียงและแววตาต่างก็หนักแน่นพอ ๆ กัน


บุปผาหันไปยิ้มให้ทินกฤตก่อนจะกล่าวอย่างโล่งใจ “โธ่...ป้าก็นึกว่ามีเรื่องทะเลาะกันเสียอีก ไม่เกลียดกันก็ดีแล้วนี่จ๊ะ”


“ผมไม่เคยเกลียดครับแล้วผมก็คิดว่าความรู้สึกของผมมันจะพัฒนาไปเป็นความรักในวันหนึ่ง”


คำพูดของหนุ่มกรุงเทพฯ ทำเอาสองสามีภรรยาหันสบตากันทันที


“ผมต้องขอโทษคุณลุงคุณป้าด้วยครับ ผมน่าจะเรียนให้ทราบนานแล้ว วันนี้ผมจึงตัดสินใจมาพูดเรื่องนี้เพราะผมอยากทำให้มันถูกต้อง”


ธันวาลอบถอนใจเมื่อพูดจบแม้จะเตรียมใจรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว เขาละสายตาจากสองมือที่ประสานกันแน่นเงยหน้าขึ้นสบตาผู้อาวุโสและก็ต้องแปลกใจที่เห็นทั้งสองกำลังยิ้มให้


“ขอบคุณที่ให้เกียรติลุงกับป้านะลูก แต่เรื่องนี้น่ะพวกเรารู้กันมาสักพักแล้ว ใช่ไหมจ๊ะพ่อ”


ทินกฤตพยักหน้า “รู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้ากาจมันพาคุณอนันต์มาพบพวกเราที่นี่แล้วละ รออยู่ว่าเมื่อไรเจ้าบุ้งมันจะยอมปริปากบอก”


“ผมคิดว่าบุ้งอยู่ในสถานะที่ไม่พูดเรื่องนี้กับคุณลุงคุณป้าก็ยังไม่เป็นไร แต่สถานะของผมมันไม่ใช่ ผมจึงตัดสินใจ...”


“ในเมื่อเธอพูดแบบตรงไปตรงมา ลุงเองก็จะไม่อ้อมค้อมนะ”


“ครับ” ธันวารับคำเสียงแผ่ว


“เจ้าบุ้งน่ะมันโตแต่ตัว ทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง คิดแต่จะช่วยคนอื่นจนลืมว่าตัวเองก็แค่คนธรรมดามีแต่มือเปล่า เรื่องคราวก่อนยังไงก็ต้องขอบคุณเธอมาก ถ้าไม่ได้เธอป่านนี้ลุงกับป้าคงได้ทำศพลูกชายไปแล้ว


“พ่อก็...ดูพูดเข้าสิ”


“ก็จริงนี่แม่ อายุสามสิบกว่าแล้วยังไม่ทำอะไรให้พ่อแม่หายห่วงเลยสักนิด นิสัยดื้อดึงห้ามอะไรไม่เคยฟัง กลัวมันจะโดนลูกปืนเข้าสักวัน” พูดจบทินกฤตก็หันมากล่าวกับชายหนุ่มที่ยังคงนั่งแข็งเป็นหิน “ยังไงก็ฝากเธอดูแลมันด้วยนะ ลุงกับป้ามีลูกชายอยู่คนเดียว”


“ค...ครับ” ธันวาแทบไม่เชื่อหู แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของสองสามีภรรยาก็ให้รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นเขาไม่ได้ฟังผิด “ผ...ผมจะดูแลบุ้งให้เหมือนกับที่คุณลุงคุณป้าดูแลครับ”


“เป็นยังไง หายอึดอัดหรือยัง” ทินกฤตหัวเราะจนผู้เป็นภรรยาต้องกระแอมปราม


“ห...หายแล้วครับ”


“ดี...ดี...ตรงไปตรงมาแบบนี้ลุงชอบ แล้วใส่มาหรือเปล่า” คำถามในตอนท้ายแทบจะเป็นเสียงกระซิบ


“อ...อะไรเหรอครับ” ธันวาถามกลับซื่อ ๆ


“ก็เสื้อกันกระสุนไง เจ้ากาจมันเคยบอกว่าถ้าวันไหนเธอมาคุยเรื่องเจ้าบุ้งกับลุงมันจะให้ยืมเสื้อกันกระสุน นี่ถือว่ามาเร็วว่าที่คิดเอาไว้มากนะ” ทินกฤตหัวเราะก๊ากแล้วใช้ศอกสะกิดภรรยา “เห็นเราเป็นยักษ์เป็นมารหรือไง ลูกรักใครพ่อแม่ก็ต้องรักด้วยสิถึงจะถูก”


“ม...ไม่ได้ใส่ครับ ผมไม่ได้บอกใครว่าจะมาคุยเรื่องนี้กับคุณลุงคุณป้า”


“บ๊ะ!” ทินกฤตตบตักดังฉาดหัวเราะร่วน “แบบนี้สิถึงจะเอาไอ้ลูกชายลุงอยู่”


หลังจากส่งธันวากลับแล้ว ทินกฤตก็ชะเง้อคอยาวรอว่าเมื่อไรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะกลับบ้าน บ่ายคล้อยก็แล้ว เวลาอาหารเย็นก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคันธชาติจะกลับมา กระทั่งเมื่อแสงไฟหน้ารถปรากฏขึ้นไกล ๆ ในความมืด ไม่นานรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อก็แล่นเข้ามาจอดในโรงรถ ทันทีที่ลูกชายคนเดียวก้าวเข้ามาในบ้านผู้เป็นพ่อก็รีบกางหนังสือพิมพ์ออกอ่านพร้อมกับเงี่ยหูฟัง


“ไปไหนมาน่ะลูกกลับเสียมืดเชียว แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยัง แม่เพิ่งให้คนงานยกสำรับเข้าไปเก็บเมื่อกี้เอง เดี๋ยวแม่ให้เขาอุ่นกับข้าวแล้วยกมาให้นะ”


“ไม่ต้องหรอกครับแม่ บุ้งทานมาจากในเมืองแล้ว เดี๋ยวบุ้งขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะแม่” คันธชาติบอกพลางเหลือบมองผู้เป็นพ่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ซักไซ้ก็ยิ้มกริ่มเตรียมจะก้าวขึ้นบันไดพอดีกับที่เสียงเตือนข้อความเข้าในโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกดังขึ้น
ทินกฤตพับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเอ่ยปากเรียกลูกชาย “แกอย่าเพิ่งไปเจ้าบุ้ง อยู่คุยกับพ่อก่อน”


เจ้าของชื่อชักเท้ากลับแล้วหันมาช้า ๆ จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงยังโซฟาตัวเล็ก ทำใจดีสู้เสือ “พ่อมีอะไรจะคุยกับบุ้งเหรอครับ”
“วันนี้แกไปไหนมา”


“ก็แวะไปคุยกับไอ้เป็ดไง มันให้เอกสารมาด้วย” ว่าแล้วลูกชายก็วางกระดาษ 4-5 แผ่นที่เย็บรวมกันวางบนโต๊ะ


“แต่ลุงครรชิตบอกว่าแกออกมาจากบ้านของเขาตั้งแต่ตอนเที่ยง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็ถอนใจเบา ๆ แล้วกล่าว “สายของพ่อน่าจะรายงานให้รู้แล้วนี่ ภาพคมชัดระดับเอชดี”


ทินกฤตพับหนังสือพิมพ์เก็บพร้อมกับบ่นงึมงำ “ไอ้ลูกคนนี้พูดจายอกย้อน เข้าเรื่องดีกว่า สรุปว่าพอออกจากบ้านลุงครรชิตแล้วแกไปไหนมา”


ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของผู้เป็นสามี บุปฝาก็อดที่นั่งลงเพื่อคอยห้ามทัพไม่ได้ ดวงตาอ่อนโยนจับจ้องที่ลูกชายด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่กล้าพูดขัดจึงต้องนั่งงียบ ๆ


“บุ้งไปกินข้าวกับเพื่อนมา”


“หนูหลิวลูกสาวเจ้าวัชระ?”


“ครับ”


“แกชอบหนูหลิวเหรอ”


“ก็น่ารักกว่าน้องส้มจี๊ดของพ่อก็แล้วกัน”


“แกก็รู้ว่าพ่อกับเจ้าวัชระพ่อของหนูหลิว…”


“เป็นเพื่อนรักกัน” ลูกชายแทรกขึ้น


“มันจบไปแล้ว” ผู้เป็นพ่อกล่าวแบบไม่เหลือเยื่อใย “แล้วพ่อก็ขอสั่งห้ามไม่ให้แกไปยุ่งกับคนบ้านนั้นอีก”


“โธ่พ่อ ถึงพ่อกับอาวัชระจะทะเลาะกันแต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับบุ้งหรือหลิวนะ อีกอย่างอาวัชระเขาก็ไม่ใช่คนไม่ดี แค่ถูกชักจูงง่ายเท่านั้นเอง พ่อเป็นเพื่อนกันพ่อก็ต้องคอยเตือนเพื่อนสิ”


“พ่อเตือนแล้วสุดท้ายเป็นยังไงแกก็เห็นโดนตอกกลับมาหน้าหงายนี่ไง”


“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นสิพ่อว่านายทุนพวกนั้นมันไม่ได้หวังดีกับคนบ้านเรา อาวัชระจะได้เลิกไปเป็นนายหน้าหว่านล้อมชาวบ้านให้ขายที่ดินที่ติดแนวชายป่าให้พวกมันเพื่อไปทำรีสอร์ทกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศอะไรนั่นสักที”


“นี่แกคิดจะทำอะไรอยู่จริง ๆ ด้วยใช่ไหม”


“บุ้งก็แค่คิดว่าสิ่งที่พวกนั้นทำมันต้องมีอะไรแอบแฝง ไม่อย่างนั้นพวกชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาแสดงความไม่เห็นด้วยจะทยอยกันล้มหายตายจากกันแบบนี้เหรอ”


“แกควรจะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเขานะ”


“แล้วพ่อเห็นไหมล่ะว่าคนที่พ่อรู้จักโดนย้ายไปกี่คนแล้ว อีกอย่างบุ้งอยากช่วยหลิว เพราะอาวัชระท่าทางจะพอใจไอ้หลานชายนายทุนคนนั้น”


“ถึงยังไงแกก็ห้ามยุ่งกับเรื่องนี้ แล้วก็อย่าออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาต”


“ทุกวันนี้ก็เหมือนโดยกักบริเวณอยู่แล้วนี่ ให้บุ้งเตรียมดินสำหรับลงหน่อกล้วย ไม่ให้บุ้งไปส่งของ แถมยังต้องคอยสอนน้องส้มจี๊ดขี่ม้าอีก บุ้งรู้นะว่าที่พ่อชวนน้องส้มจี๊ดมาเรียนขี่ม้าที่ฟาร์มเราเพราะจะให้คอยจับตาดูบุ้ง แล้วคนที่ส่งรูปนั่นมาให้พ่อ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นลูกน้องคุณลุงศุภโชคแน่ ๆ”


“เก่งมากไอ้หนู แต่มันยังไม่หมด เพราะผลพวงของเรื่องนี้ก็คือการทำให้คนปากแข็งอย่างแกยอมพูดความจริง”


“พ่อหมายความว่ายังไง” คันธชาติขมวดคิ้ว มองมือของแม่ที่แตะลงบนแขนของพ่อ


“คุณคะ” บุปผาส่ายหน้าปราม 


“เอาเถอะน่าคุณ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราควรจะคุยเรื่องนี้ให้จริงจังสักที ขืนรอให้ไอ้ลูกชายปากแข็งมันพูดออกมาเองไม่รู้ชาตินี้ผมจะได้ฟังหรือเปล่า”


“พ่อหมายความว่ายังไง บุ้งไม่พูดความจริงเรื่องอะไร”


“ก็เรื่องแกกับธันวาไง”


คำพูดที่หลุดจากปากของผู้เป็นพ่อทำลูกชายรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ ในหัวตื้อไปหมด ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องบอกให้พ่อกับแม่รู้ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วชนิดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้


“ไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น เจ้ากาจมันเล่าให้พ่อฟังตั้งนานแล้ว”


อ...ไอ้กาจ ล...เล่าให้พ่อฟัง”


ทินกฤตพยักหน้า


“ม...แม่ด้วย”


“จ้ะ” นายหญิงบุปผายิ้มแฉ่ง


“ต...ตั้งแต่แต่เมื่อไรครับ”


“ก็ตั้งแต่ตอนที่พ่อส่งแกไปช่วยงานลุงทินกรที่หลวงพระบางนั่นยังไง คนอื่นเขาบอกพ่อกันหมดแล้ว ทั้งเจ้ากาจทั้งธันวา เหลือแต่แก”


“ข...เขา...ด...ด้วยเหรอ” คันธชาติมองผู้เป็นแม่ที่พยักหน้าเสริมคำพูดที่จบลงไปเมื่อครู่พลางนึกถึงคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อตอนเช้า เห็นเงียบ ๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะไวไม่ใช่เล่น “แล้วพ่อกับแม่...”


“จะว่ายังไงได้ แกรักใครพ่อกับแม่ก็รักด้วย จะเอาลูกเขยหรือลูกสะใภ้มาให้พ่อกับแม่ก็แล้วแต่แกเถอะ ขออย่างอย่าเอาลูกตะกั่วเข้าบ้านก็แล้วกัน” ทินกฤตหันไปยิ้มกับภรรยา


“ถ้าอย่างนั้น...ม...เมื่อคืนที่พ่อพูดอะไรแปลก ๆ ก็...”


“ก็อะไรของแก” ทินกฤตยักคิ้วรัว “พ่อแค่เป็นห่วงกลัวว่าถ้าชวนกันคุยทั้งคืนเช้ามาจะขับรถกลับไม่ไหว”


“พ่อ!!!” ลูกชายร้องเสียงหลง เขินจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “ล...แล้วพ่อยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน พ่อ...ด...ได้ยิน อะไรหรือเปล่า”


“โอ๊ย! ถามมากจริงวุ้ย! ไม่เอาแล้ว พ่อไม่อยากคุยกับแกแล้ว อยากคุยกับแม่แกมากกว่า” ว่าแล้วก็หันไปคว้าข้อมือผู้เป็นภรรยา “เราขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่านะแม่”


บุปผาลุกขึ้นตามแรงด้วยความงุนงง และก็ต้องแปลกใจหนักเมื่อทินกฤตเดินไปได้หน่อยก็หยุดแล้วพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีผิดกับหนึ่งถึงสองวันมานี้ที่เอาแต่วางหน้าขรึม


“เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อว่าจะให้คนงานเอาไม้ไปตีประกบเสาที่บ้านต้นไม้สักหน่อย เวลาลมพัดแรง ๆ หรือรับน้ำหนักมาก ๆ มันจะได้ไม่คลอน”




จบ
 

สวัสดีค่ะ ไม่พบกันนานเลย
ตอนนี้เป็นหนึ่งในตอนพิเศษที่เขียนเพิ่มเพื่อรวมเล่มค่ะ
รู้สึกว่าสนุกดีตอนที่ได้เขียน วันนี้เอามาฝากกันค่ะ น่าจะพอทำให้ยิ้มได้นะคะ ^^

หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-05-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 17-06-2017 15:15:37
คิดถึงเลยค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: bew_yunjae ที่ 17-06-2017 20:17:18
เขินนนนนนนน เขินมากกกกกก
ทำไมนายน้อยปากแข็งแต่มือไวอย่างนี้ ฮือออออ
เอ็นซีแค่นี้ก็ดีแล้ว เขิ๊นเขินเด้อ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-05-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 17-06-2017 21:02:56
5555555 คุณพ่อก็ขี้แกล้งเหมือนกันเนาะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-06-2017 21:35:19
คุณพ่อก็ เรานึกว่าจะหวงลูกซะอีก  :hao7:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-06-2017 15:44:34
 :L2: :L1: :pig4:

ยาววววจุใจ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 21-06-2017 21:32:17
ขอบคุณค่ะ สนุกมากเลยค่ะ มาต่อตอนพิเศษอีกนะคะ ว่าแต่ที่บุ้งดูเครียดก็เพราะเรื่องพ่อหลิวใช่ไหม บอกพี่ธันเถอะค่ะ จะได้ไม่ทำให้พี่ธันเป็นห่วงหรือคิดเป็นตุเผ็นตะคนเดียว ว่าน้องบุ้งเป็นอะไร  :mew2: :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-06-2017 21:52:45
บุ้งจ๊ะ

ปากแข็งแต่ยั่วเขาก่อนนะ ร้ายจริง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 29-01-2018 10:49:40
 :mew1: :mew1:

ชอบมากๆๆๆๆ  ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-02-2018 22:21:28
ชอบมากๆเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 23-02-2018 04:32:02
ชอบบบบบมากเลย กลับมาอ่านหลายรอบ เป็นนิยายที่น่าติดตามและยังคงความน่ารักของพระ-นาย  :haun4: เลิ๊บมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้เรื่องต่่อๆไปนะคะ  o13
ปล.ติดตามผลงานอยู่ตลอดนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 01-03-2018 23:02:22
สวัสดีค่ะอ่านวันเดียวจบเลยค่ะตั้งใจอ่านมากๆ  พล็อตเรื่องนี้ซับซ้อนพอควรเลยทีเดียวอ่านไปก็พยายามเดาล่วงหน้าไปด้วยแต่คุณก็ผูกปมวางเงื่อนงำได้แนบเนียนดีจริงๆค่ะ  วิธีการดำเนินยังละเอียดแล้วก็ค่อยเป็นค่อยไปตามสไตล์ของคุณแต่เราว่ามันมีเสน่ห์ดีค่ะ  อ่านไปก็ลุ้นไปทุกตอนลุ้นที่สุดก็นายน้อยบุ้งนี่แหละค่ะว่าจะยอมรับใจตัวเองตอนไหน  ตอนที่ธันวาไปหาที่งานเกษตรแล้วโดนบอกปฎิเสธมานี่ทำเอาเราน้ำตาซึมเลยค่ะบอกตรงๆอินมากกับความรู้สึกของธันวา  ไม่คิดว่าคุณจะยังยึดแนวเดิมคือนายเอกปากแข็งแถมเรื่องนี้ยังแถมนิสัยดื้อดึงไม่ค่อยฟังใครเพิ่มมาอีกด้วย  อ่านไปก็เกร็งๆกลัวจะดราม่ามากสงสารธันวาค่ะ  แต่ด้วยความที่เป็นนิยายแนวสืบสวนเลยทำให้ประเด็นเรื่องนี้ไม่หนักเท่าไหร่แต่ก็ลุ้นกับตอนจบอยู่ดีบอกได้เลยว่าเห็นชื่อตอนจบแล้วใจหายค่ะกลัวคุณคนเขียนหักมุมให้ตัวละครหลักตายเพิ่มหรือเปล่า. แต่ก็จบลงด้วยดีแถมแฮปปี้เอ็นดิ้งแบบหวานๆชุ่มชื่นหัวใจกับตอนพิเศษที่ทำเราฟินมากๆเขินมากๆแล้วก็ชอบมากๆด้วย555  สุดท้ายก็ขอบคุณคุณคนเขียนมากๆนะคะกับนิยายสนุกๆเข้มข้นชวนลุ้นได้ทุกตอนแบบนี้ แล้วจะตามไปอ่านผลงานอื่นๆต่อไปแน่นอนค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 02-03-2018 00:34:42
ดีใจที่ชอบค่ะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคอมเมนท์นะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 12-03-2018 07:10:47
นายน้อยซึนมากเรื่องธันวา
ชอบที่เก่งกาจชงทั้งคู่มาก
เหมือนกำลังแกล้งบุ้งเลย
ชอบตอนพิเศษล่าสุดมากๆ
บุ้งแสดงออกแบบจัดเต็มสุดๆ
ไม่เสียดายที่ธันมาหาถึงที่ปากช่อง
อยากอ่านตอนพิเศษอีกจังเลยค่ะ
แล้วก็อยากให้มีเรื่องของอาร์ม
สงสารนางมาก อยากให้มีรักจริงๆบ้าง
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 21-03-2018 10:31:38
ขอบคุณผลงานดีๆอีกเรื่องนะคุณคนเขียน เหมือนว่าบุ้งจะหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วแล้วก็ปากแข็งมาก ดีนะพ่อแม่ใจดีเข้าใจ พ่อมีความแซว   
ในเรื่องเราว่าคนที่เราเกลียดสุดก็อัศนัยตัวจริงนี่แหละ ถึงแม้คนอื่นจะทำผิดกว่า แต่อัศนัยเนี่ยเหมือนตัวสร้างเรื่องทั้งหมดเลย นำอันมาเป็นคนรักแล้วไม่ใส่ใจ เหมือนจะดีไม่ใช่ พอพ่อทำร้ายคนรักก็ยอม พี่ขู่ทำร้ายก็ยอมเห็นว่าถ้าได้ผลดีเลยยอม ถามอันรึยังว่ายอมไหมเขาไม่รู้เรื่องด้วยเลย แล้วก็ยังช่วยให้กิ่งมาทำงานในโรงละครนาฏยกาลอีก ส่วนอัศวินเราว่าเป็นตัวละครที่ร้ายอย่างน่าสงสารนะ ทะเลาะกับพ่อพ่อก็ตกบันได ขู่กิ่งให้ไปยืนดาดฟ้ากิ่งก็ตกลงไป แลเป็นคนมีกรรม ทั้งหมดทั้งมวลคนที่ผิดสุดก็คงพ่อของอัศวินกับอัศนัยนั่นแหละแต่เขาก็คงสำนึกแล้วจากการที่เพศที่ตัวเองเกลียดมาดูแลแทนลูกชาย พอได้ออกมาจากโรงละครเก่าอัศนัยก็เหมือนจะชีวิตดีขึ้นรู้สึกสงสารไม่ลงจริงๆเพราะดูแล้วก็ไม่ได้รักอันดังปากว่านักหรอก ฉากที่อันลูบหัวอัศวินที่มีอาการทางจิตถามว่าทำไมยังดีกับผมอีกนี่ชอบมากเลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ซึ้งนะแต่ก็ต้องเข้าใจว่าอัศวินทำผิดไปเยอะอยู่ ถ้าอัศวินจิตปกติก็คงเจ้าชู้นั่นแหละเพราะก็แลชอบกระเทยหลายคนหลงไหลในรูปร่างร่างกาย สรุปว่าอันจะคบกับใครในสองคนนี้ก็แลจะเสียใจ แต่ก็เชียร์อัศวินมากกว่าอ่ะ ไม่ชอบอัศนัยดูอ่อนแออย่างน่าสมเพชและเห็นแก่ตัวรักแต่ตัวเอง อยากให้อันลบรอยสักผีเสื้อไปเลยไม่น่าเก็บไว้ตอกย้ำความรู้สึกตัวเอง เราอินมากจริงๆกับเรื่องนี้ต้องขอโทษด้วยที่อินไปหน่อย555 ขอบคุณอีกครั้งนะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ 21-03-2018 22:52:09
รู้สึกพลาดที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้เอาตอนนี้ สนุกมาก แนวสืบสวนสอบสวนแบบที่ชอบเลย ปมเรื่องไม่มาก แต่น่าติดตามทุกตอน ถึงขั้นอ่านจบภายในไม่กี่ชั่วโมง สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆ แบบนี้มาให้อ่านกันนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: Mukk ที่ 21-07-2018 04:13:58
ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายดีๆนะคะ เจ้าบุ้งนี่น่าตีตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายจริงๆ ชอบทำอะไรเสี่ยงๆคนเดียว อยากให้คุณธันจับมาตีก้นให้เข็ด 55555

ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คนเขียนผูกปมดีมากเลย เรื่องนี้ผิดกันหลายคนเลยทีเดียว คุณพ่อเองก็ร้ายมากเหมือนกัน เลี้ยงลูกให้เดินตามความต้องการของตัวเอง คุณเล็กก็ไม่กล้างัดข้อ ยอมให้คนรักตัวเองถูกทำร้าย แล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เลย ดูแล้วอาร์มก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนเพศ เพียงแต่ทำเพื่อให้ครอบครัวคนรักยอมรับ แต่สุดท้ายก็ลำบากอยู่ดี คุณใหญ่เองก็น่าสงสารนะ เราอ่านไปกลัวไปจริงๆกับสภาพจิตใจที่แสดงออกมา สงสารคุณอันที่สุดเลยค่ะ อยากให้คุณอันได้เจอกับคนดีๆ สมหวังในความรัก ;-; สงสารกิ่งที่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย

ใครบอกว่าคุณธันเป็นคนเงียบๆกันคะ 55555555555 แต่ละประโยคนี่ร้ายมาก ฮุคแต่ละทีคือคนอ่านต้องขอพักกุมใจ ใจบางมากค่ะะ ;//////; ทำไมเป็นคนอบอุ่นเบอร์นี้ อยากมีคุณธันเป็นของตัวเองง :-[

บุ้งคือซึนมากจนบางทีก็ทำร้ายความรู้สึกอีกคน
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-07-2018 09:15:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 2 : รอยสักรูปดอกไม้) 19-11-2557 หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 23-08-2018 12:12:41
นี่ว่าเจ้าของรอยสักอาจเป็นสาวสองในโรงละครนั้นอะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 3 : สงสัย) 03-12-2557 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 23-08-2018 13:20:50
แฝดดดดด  :katai1: ทำเอาเราหลอนไปด้วยอะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 7 : ผู้ร่วมขบวนการ) 06-02-2558 หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 23-08-2018 15:45:03
ที่เราสงสัยนะ มีอัศนัย อันและก็อารตีอะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 23-08-2018 20:16:38
เป็นกำลังใจให้หาคนร้ายเจอนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 12 : ฝันร้าย) 01-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-08-2018 05:59:01
เฉลยแล้วสินะ เรื่องคนที่กิ่งแอบรัก รอยสักดอกไม้

ตอนนี้สงสัยอัศนัย อันหรืออาร์ม และก็อัศวิน

คนนี้สงสัยตั้งแต่แรกเหมือนกัน  แต่ก็นะ ปักใจ 2 คนแรกมากกว่า

เอะ! หรือว่าสองเสียงที่บุ้งได้ยินจะเป็นอันกับอัศวิน

----------------------

เอ้า เพิ่งเห็นว่าผู้แต่งมา 555  ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ตีกันไปหมด

เป็นกำลังใจให้หาคนร้ายเจอนะคะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-08-2018 06:25:05
คือแบบพอมาอ่านตอนนี้ กลับเหมือนจะตัดอันออกจาก

ผู้ต้องสงสัยอะ  หรือคนที่ทำให้อัศวินหนีการแต่งงานคืออัน

แล้วอัศนัยกำความลับอะไรของอัน หรือเรื่องแปลงโฉมแล้ว

กลับมาที่นาฏยกาล ส่วนอันกำความลับเรื่องพ่อเหรอ

ตอนนี้สงสัยนิกกี้อีกคน มาคิดๆ ดูทำไมนิกกี้มีบทเยอะกว่าเพื่อน

คนอื่นๆ  :katai1: ปวดหัว 55555
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 13 : โรงละครร้าง - ตอนที่ 14 กลัว) 05-03-2558 หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-08-2018 06:39:13
 :serius2: คนที่อยู่ตอนนี้อาจไม่ใช่อัศนัยก็ได้ถ้างั้น  :katai1:

ยิ่งซับซ้อนเด้อ แล้วคนที่เข้าไปตึกร้าง เข้าไปทำไม
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 15 : เสียงของหัวใจ) 06-03-2558 หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-08-2018 07:17:14
อร่อยไหมคะ หรือว่ารู้สึกยังไงบ้างกับจูบรสปลาเค็ม  :laugh:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)) 01-04-2558 หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 24-08-2018 09:42:53
เดี๋ยววววว เหนืออื่นใดคือค้างค่าา ตัดจบได้แบบ โอ้ย  :katai1:

โดนทิ้งไว้กลางทางมาก ส่วนบุคคลต้องสงสัยต่างๆ นานานั้น

สงสารน้อยสุดคือคุณเล็กตัวจริง หนักสุดก็นั่นแหละ อัศวิน

ขอบคุณนะคะ ขอบคุณผู้แต่งมากๆ สนุกมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (ตอนพิเศษ : ง้างปากนายน้อย) 17-06-2560 หน้า 12
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 15-11-2018 23:26:06
คุณค่าที่คุณคู่ควร
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า ที่ 17-11-2018 19:06:06
นิยายเปิดให้จองแล้วนะคะ
ผู้อ่านสามารถติดตามรายละเอียดได้จากเพจของ สนพ.เฮอร์มิท

ส่วนรายละเอียดของเนื้อหามีดังนี้ค่ะ

#หน้ากากดอกไม้ มีตอน พิเศษทั้งหมด 5 ตอน คือ
- ผู้ร้ายตัวจริง (บนเว็บ)
- ง้างปากนายน้อย (บนเว็บ)
- ความทรงจำที่ไม่อาจลบเลือน
- กุญแจดอกสำคัญ
- รูดม่านปิดฉาก
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลที่ได้เกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ดอกเตอร์ธันวาไปตามหานายน้อยคันธชาติที่ปากช่องค่ะ ผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดจะได้กลับมารวมตัวอีกครั้งโดยมีชีวิตของหลายคนเป็นเดิมพัน ผู้อ่านจะได้พบกับตัวละครใหม่และบทสรุปของอัญชลิสา อัศวิน และอัศนัย มาดูกันค่ะว่าความดื้อดึงของบุ้ง จะทำให้เกิดเรื่องราววุ่นวายอะไรขึ้นบ้าง

ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ หวังว่าทุกคนจะมีความสุขค่ะ
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 23-11-2018 12:55:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 26-11-2018 10:12:06
ชอบมากกกกก ขอบคุณสำหรับนินายดีๆนะคะ
 :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: konfaibint ที่ 27-11-2018 16:46:19
น่ารักมากคู่นี้ รักแบบนิ่มๆ แต่รุนแรงตอนกลางคืน :pighaun: :z1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 06-12-2018 08:41:23
เจอเรื่องใหม่แล้ว
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 18-12-2018 08:32:19
อ่านจบแล้วอยากกินสปาเก็ตตี้ปลาเค็มเลยค่ะ ฮืออ ภาษาบรรยายสวยมากค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: QXanth139 ที่ 26-12-2018 16:04:05
ก็คือพึ่งได้อ่านเรืองนี้ ดีมากๆเลยค่ะ ภาษาสวยอ่านเพลินมาก แล้วเป็นแนวสืบสวนสอบสวนด้วยยิ่งชอบเลย จะไปตามอ่านผลงานของคุณนักเขียนทุกเรื่องเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Luxfern ที่ 02-04-2019 02:13:58
ขอบคุณมากๆค่ะ แต่งดีมากๆเลย
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 17-04-2021 23:12:25
 :-[
หัวข้อ: Re: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 10-09-2021 18:49:26
 o13