ตอนที่ 3 สงสัย
“โธ่โว้ย! ไม่ได้อะไร แถมยังต้องมาล้างห้องตอนดึกอีก ลงทุนมากไปหรือเปล่าวะเนี่ย” ปากบ่นพลางมือก็บิดผ้าขี้ริ้วเช็ดน้ำหวานที่หกอยู่กลางห้องไปพลาง แต่กระนั้นในหัวก็ยังคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มันจะเรียกว่าคว้าน้ำเหลวได้ไหมเมื่อ ‘ธันวา ธิตินาวา’ คือคนเดียวที่พอจะมีข้อมูลอยู่ในมือ แต่เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของรอยสักนั่น ความหวังก็ดูจะเลือนรางเต็มที
“หรือว่าลบออก?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่งถอนหายใจเซ็ง ๆ คงจะไม่มีใครลงทุนเท่าตัวเขาเองอีกแล้ว คิดได้ดังนั้นก็โยนผ้าขี้ริ้วลงในถังน้ำก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะโทร.หาเก่งกาจตามที่รับปากเอาไว้
“ถึงแล้วเหรอวะ” เสียงงัวเงียของคนที่ปลายสายกับตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาติดฝาผนังที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มทำให้รู้ทันทีว่านี่คงจะเป็นการโทร.รายงานตัวที่ผิดจังหวะไปหน่อย
“เออ สักพักหนึ่งแล้วละ พอดีแวะเอาของไปส่งที่ร้านมา นี่แกนอนแล้วเหรอ”
“เผลองีบไปน่ะ ถึงแล้วก็ดี คราวหลังจะไปไหนมาไหนหัดบอกให้คนอื่นเขารู้บ้าง”
“หึ! พ่อแม่ฉันเขายังไม่ยุ่งฉันเหมือนแกเลย ทำไม เป็นห่วงหรือไง” เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย คนถามก็เลยได้ใจกระเซ้าต่อ “จี้ใจดำเข้าหน่อยถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอวะ” คันธชาติกล่าวพลางเดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา กดยิ้มที่มุมปากในขณะที่ดวงตาจดจ้องไปยังกรอบรูปในมือ
“แกก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอกไอ้กาจ ตอนนี้แกรู้สึกกลัวใช่ไหม กลัวการจากไปโดยไม่ทันร่ำลากันเหมือนที่เกิดกับกิ่ง”
“ทำไมพูดแบบนี้วะ”
“หรือไม่จริง”
เก่งกาจจำนนต่อคำถาม ยอมรับข้างในใจก็ได้ว่าตั้งแต่เสียกิ่งดาว ความกังวลและความกลัวที่จะต้องสูญเสียก็มีอำนาจเข้าแทรกซึมในห้วงของความคิดทุกครั้งที่มีโอกาส จนบางครั้งก็นึกอยากจะให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เขากำลังโดนกิ่งดาวล้อเล้นเหมือนทุกครั้งเวลาที่ได้พบหน้ากัน แต่มันก็เป็นแค่ภาพที่สร้างขึ้นได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทำได้ดีที่สุดก็คือยอมรับความจริงอย่างที่ปากเคยพร่ำพูดกับคันธชาติเอาไว้
“แกไม่ต้องห่วง ฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า”
“เออ เป็นแบบนั้นก็ดี พ่อแม่แกเขามีลูกชายคนเดียวนะโว้ยจำใส่กะลาหัวเอาไว้บ้าง”
“รู้แล้วน่า แต่ถึงฉันจะตายพ่อกับแม่ก็ต้องภูมิใจแน่ ๆ ที่ฉันตายในหน้าที่”
“หน้าที่บ้าบออะไรของแกวะ”
“ช่างเถอะ” คนอารมณ์ดียิ้มกับตัวเองก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้กองทราบ “อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่า ดร.ธันวา อะไรนั่นไม่มีรอยสักรูปดอกไม้”
“แกรู้ได้ยังไง” แม้จะฟังแล้วไร้สาระ แต่ก็อดถามไม่ได้
“ก็พิสูจน์มาแล้ว เมื่อกี้เอง”
“หมะ หมายความว่ายังไง แล้วแกไปเจอเขาที่ไหน”
คันธชาติวางกรอบรูปลงข้างตัวก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาผ่อนลมหายใจยาวอย่างสบายใจ แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงตื่นเต็มตาแล้ว
“ที่คอนโดนี่แหละ บังเอิญอยู่ห้องตรงข้ามกัน”
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนนะ นะ...นี่ นี่แกอย่าบอกนะว่าคอนโดที่แกซื้อเป็นคอนโดเดียวกับกับที่ ดร.ธันวาอยู่”
“ใช่”
“แกจะบอกว่านี่ก็เรื่องบังเอิญด้วยใช่ไหมไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวประชดอยู่ในที
“มันบังเอิญจริง ๆ พอดีขับผ่านมาแล้วเห็นว่าเขาปลูกต้นปีบก็เลยแวะมาดูเฉย ๆ แต่ดันมีห้องที่เจ้าของประกาศขายฉันก็เลยซื้อ ยังแปลกใจไม่หายตอนที่รู้ว่าคนห้องตรงข้ามเป็นใคร แต่ตอนนี้คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยตามหาให้ยุ่งยาก”
“แล้วยังไง ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เจ้าของรอยสักแล้วแกจะเอายังไงต่อ จะเลิกสงสัยได้หรือยัง”
“ฉันไม่สงสัยในตัวเขาแล้วก็ได้ แต่ยังไงฉันก็จะสืบต่อ ฉันว่าเขานี่แหละที่อาจจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ช่วยไขข้อข้องใจทั้งหมดของเราก็ได้”
“แค่แก ไม่ใช่เรา”
“เออ ๆ ฉันคนเดียวก็ได้ แต่ถ้าเรื่องนี้มันเป็นจริงตามที่ฉันคิดละก็ เวลานักข่าวมาถามฉันจะยกความดีความชอบให้แกในฐานะผู้ช่วยก็แล้วกัน”
น้ำเสียงที่ฟังดูไม่สะทกสะท้านเล่นเอาคนฟังต้องกุมขมับ “โอ๊ย! ไอ้บุ้งเอ๊ย! ฉันจะทำยังไงกับแกดีวะ”
“แกก็ไม่ต้องทำยังไง เลิกโวยวายแล้วก็ไปนอนซะ”
“พูดง่ายเนอะไอ้บุ้ง ฉันคงหลับลงหรอก”
คันธชาติไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำพูดของเพื่อนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงนั่งกระดิกขาสบายอารมณ์ฟังเสียงบ่นชุดใหญ่ของนายตำรวจหนุ่มราวกับมันเป็นเรื่องสนุกที่เคยทำด้วยกันเมื่อสมัยเด็ก
....
เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ธันวาที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงต้องสะดุ้งตื่น มือควานหาต้นเสียงเพื่อจะกดปิดให้วุ่น ในใจนึกตำหนิตัวเองที่ตั้งปลุกเสียเช้าตรู่ แต่แล้วตัวเลขที่หน้าปัดก็บอกให้รู้ว่าขณะนี้ล่วงเลยอาหารเช้ามานานมาก ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าทำธุระส่วนตัวก่อนจะออกไปยืนรับลมที่ระเบียงรอน้ำในกาเดือด ตั้งใจจะชงกาแฟดื่มกับขนมปังแผ่นที่เพิ่งเด้งออกจากเครื่องปิ้ง ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้เขาก็มักจะขลุกอยู่ที่ห้อง ถ้าไม่ทำความสะอาดห้องก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือกองโตหรืองานของนักศึกษาที่เอากลับมาตรวจกว่าจะเสร็จก็หมดวันพอดี ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีเวลาเหลือให้ออกไปไหน
ในที่สุดอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินถือถ้วยกาแฟดำหอมกรุ่นกับจานขนมปังปิ้งมาวางบนโต๊ะทำงานก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ตั้งแต่คืนวันก่อนมาเปิดอ่าน ลากสายตาไล่ไปตามตัวอักษรได้ไม่กี่บรรทัด จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ผ่านเข้ามาในหัว เผลอส่ายหน้าน้อย ๆ ยกมือขึ้นจับต้นคอตัวเองโดยอัตโนมัติ ท่าทางตลก ๆ ของชายหนุ่มห้องตรงกันข้ามที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงไม่นานจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยจนใครที่ได้เห็นตีความไปก่อนว่าเขาน่าจะเป็นคนดุและติดจะหยิ่งเสียด้วยซ้ำ แต่หากเป็นเพื่อนหรือคนที่คบหาจนสนิทสนมจะรู้ว่าแท้จริงแล้วธันวาก็เป็นแค่คนขี้อายที่ยิ้มยากไปหน่อยเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสืออีกครั้งเมื่อเสียงกริ่งที่หน้าประตูดังขึ้น ทันทีที่ประตูเปิดออกก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคนที่มากดกริ่งก็คือ ‘เก็จแก้ว’ หรือ ‘พี่แก้ว’ คุณแม่ลูกสองที่อยู่ห้องถัดไปไม่ไกลนัก แม้การเป็นซิงเกิ้ลมัมจะทำให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกชายสองคนโดยลำพัง แถมเจ้าลูกลิงสองตัวก็ซนเหลือร้าย สร้างวีรกรรมทำให้ผู้เป็นแม่ต้องคอยบ่นปากเปียกปากแฉะอยู่เสมอ แต่สิ่งที่ทุกคนในคอนโดรับรู้ได้ก็คือความสุขของการเป็นแม่ที่ส่งผ่านรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้
“วันนี้พี่ทำแซนด์วิชก็เลยแบ่งมาให้ธันทานจ้ะ”
“ขอบคุณครับ” เจ้าของห้องกล่าวพลางรับถุงพลาสติกที่มีกล่องใส่แซนด์วิชชิ้นโต 2-3 ชิ้นมาถือไว้
“พอดีเมื่อเช้าน้องบุ้งเอาน้ำสลัดไปให้ พี่เห็นว่ารสชาติดีเลยเอามาทาขนมปังทำเป็นแซนด์วิชให้เด็ก ๆ ทาน ก็เลยนึกถึงธัน วันหยุดแบบนี้เดาว่าธันไม่น่าจะออกไหนเลยแบ่งมาให้”
ธันวากล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะมองหาเจ้าเด็กน้อยสองคนที่ปกติจะเห็นติดแม่แจ “แล้วนี่เจ้าสองลิงไปไหนเสียละครับ”
“อยู่ในห้องโน่นนะจ้ะ ดูแต่การ์ตูน ชวนให้มาดูแปลงผักของน้าบุ้งด้วยกันก็ไม่มา” เก็จแก้วกล่าวพลางเอี้ยวตัวกลับไปมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ยังคงปิดสนิท “เห็นว่าน้องบุ้งเขาปลูกผักที่ระเบียง พี่ก็เลยแวะมาดูสักหน่อยว่าจะปลูกยังไง พื้นที่ระเบียงก็แค่นั้นเอง แต่พอไปเห็นแล้วชักอยากจะลองปลูกบ้าง”
ตายยาก... พูดยังไม่ทันขาดคำประตูห้องก็ถูกเปิดออกก่อนที่เจ้าของห้องจะโผล่หน้าออกมาอย่างรีบร้อนจนอีกสองคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ต้องหันกลับไปมองเป็นตาเดียว
“คิดว่าจะออกมาไม่ทันพี่แก้วเสียแล้ว” คันธชาติเอ่ยขึ้น เผลอสบตาชายหนุ่มห้องตรงข้ามแวบหนึ่งก่อนจะต่างคนต่างมองไปทางอื่น
“มีอะไรเหรอจ๊ะน้องบุ้ง”
“ผมเก็บผักสลัดไว้ให้น่ะครับ พี่แก้วจะได้เอาไปทำเป็นอาหารเย็นวันนี้”
“ตายจริง แค่น้ำสลัดที่เอาไปให้พี่เมื่อเช้าก็เกรงใจจะแย่แล้วนี่ยังแบ่งผักให้อีก”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แต่พี่แก้วคงต้องช่วยเปิดประตูห้องให้ผมแล้วละ เพราะผมจะให้ไปทั้งกระถางเลย”
“จะดีเหรอจ๊ะน้องบุ้ง พี่เกรงใจจัง เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อกระถางกับดินมาปลูกเองก็ได้ ที่น้องบุ้งทำให้ดูเป็นตัวอย่างก็พอจะเข้าใจอยู่ หรือถ้ามีปัญหาก็ค่อยมาถามก็ได้”
“แบบนี้แหละครับดีแล้วพี่แก้วจะได้ไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์ให้ยุ่งยาก รอเปิดประตูให้ผมนะครับ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้ถึงเพียงนี้เก็จแก้วก็เต็มใจที่จะรับมันไว้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะไปเปิดประตูห้องไว้รอก็แล้วกันนะจ๊ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินตรงไปยังห้องของเธอ
อาจารย์หนุ่มมาดนิ่งที่ยืนฟังอยู่นานแล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงพอ ๆ กันกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง “หะ...ให้ผมช่วยอะไรไหม”
เป็นอีกครั้งที่บังเอิญได้สบตากัน...
คันธชาติหันกลับมามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ แทบไม่เชื่อหู อาการลังเลแสดงชัดอยู่บนใบหน้าจนคนยื่นข้อเสนอต้องกล่าวซ้ำ
“ให้ผมช่วยไหม ตอบแทนเรื่องขนมเมื่อวานไง”
เจ้าของดวงตาสีเข้มจ้องหน้าคนพูดอย่างตัดสินใจก่อนจะยอมตกลงในที่สุด “ถ้าอย่างนั้นคุณรอตรงนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปยกออกมาให้” พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ในขณะที่ธันวาเองก็หันกลับไปแขวนถุงใส่แซนด์วิชไว้ที่ลูกบิดประตู ยืนรอกระทั่งอีกคนเดินกลับออกมาอีกครั้ง
ไม่นานคันธชาติก็อุ้มกระเช้าใบใหญ่ที่สานจากหวายซึ่งตอนนี้ถูกแปรสภาพเป็นกระถางปลูกผักเรดโอ๊คออกมาจากห้องก่อนจะส่งให้
“รอเดี๋ยวนะ ยังเหลืออีกอัน” พูดจบก็ผลุบหายเข้าไปในห้องก่อนจะอุ้มกระเช้ากรีนโอ๊คกลับออกมา จากนั้นก็พากันเดินไปยังห้องฝั่งที่ใกล้กับบันไดหนีไฟ
เมื่อไปถึงก็พบว่าเจ้าของห้องเปิดประตูไว้รอแล้ว เธอดูตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเห็นกระเช้าผักสลัดปลูกเองที่หนุ่ม ๆ ช่วยกันยกมาให้ นั่นเพราะวิถีคนเมืองทำให้เธอห่างไกลจากเรื่องพวกนี้เหลือเกิน
เสียงหัวเราะคิกคักของพวกเด็ก ๆ เงียบลงทันทีที่ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในห้อง สองหนุ่มน้อยที่หน้าตาเหมือนกันราวกับทำสำเนาพากันมายืนเกาะประตูระเบียงมองดูผู้มาใหม่โดยไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายตามที่แม่เคยสอนเอาไว้
“ขอบใจมากนะจ๊ะน้องบุ้ง น้องธัน” เก็จแก้วกล่าวขอบคุณอีกครั้งหลังจากที่สองหนุ่มล้างไม้ล้างมือเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไรครับพี่แก้ว แต่ถ้าพี่แก้วอยากจะเพิ่มกระถางก็บอกนะครับ ผมจะช่วยเตรียมดินให้”
ธันวาละสายตาจากผู้ใหญ่สองคน หันมาทักทายเด็กชายฝาแฝดที่กำลังยืนเกาะขอบโต๊ะมองดูผักสีสวยในกระเช้าอย่างสนอกสนใจ
“ไง สองลิง ได้ข่าวว่าดูแต่การ์ตูนเหรอ ช่วยคุณแม่ทำงานบ้านบ้างหรือเปล่า”
สิ้นเสียงคุณน้ามาดนิ่ง สองพี่น้องก็พร้อมใจกันตอบเป็นเสียงเดียว “ช่วยครับ!!”
“อืม ถ้าอย่างนั้นบอกน้าธันซิว่าปิงกับน่านช่วยคุณแม่ทำอะไรบ้าง”
“ปิงช่วยล้างจาน ส่วนพี่น่านช่วยถูพื้นครับ” คนน้องตอบ
“คนไหนปิงคนไหนน่าน” ทั้ง ๆ ที่เมื่อตอนเช้าเก็จแก้วก็แนะนำลูกชายของเธอให้ได้รู้จักไปแล้ว แต่คันธชาติก็ยังแยกไม่ออกอยู่ดี
ได้ฟังดังนั้นธันวาก็อาศัยความคุ้นเคยพูดกับเด็ก ๆ “บอกน้าบุ้งซิครับว่าคนไหนน่านคนไหนปิง”
เด็กชายมองหน้ากันยิ้ม ๆ ก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “ให้น้าบุ้งทายดีกว่า”
คันธชาติชี้มือไปที่สองคนพี่น้องอย่างลังเล ในที่สุดก็หยุดที่คนใกล้ตัว “อืม คนนี้น่าน ส่วนอีกคนปิง ใช่ไหม?” อาศัยความมั่วล้วน ๆ ในการตอบ แต่เมื่อได้ยินคนยืนข้างกันหัวเราะหึก็รู้ได้ทันทีว่าคงเป็นคำตอบที่ผิด
“คนนี้ปิงต่างหาก ส่วนนั่นน่ะน่าน”
“น้าธันตอบถูกครับ” เด็ก ๆ พากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“ฮื้อ...ลูกสองคนนี่แกล้งน้าบุ้งได้ยังไงกัน” ผู้เป็นแม่ปราม
“ไม่ได้แกล้งครับ น่านแค่ให้น้าบุ้งทายเฉย ๆ” คนพี่ตอบฉะฉานในขณะที่คนน้องก็พยักหน้าสนับสนุน
“คุณแยกออกได้ยังไง หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้”
“เจอกันบ่อย ๆ เดี๋ยวก็แยกออกเองแหละ ถึงเขาสองคนจะดูเหมือนกัน แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วสองคนนี้น่ะมีบางอย่างที่ต่างกัน”
“อือ ๆ” คนฟังพยักหน้าเนือย ๆ พลางมองเจ้าสองคนที่ยังคงยืนยิ้มแป้น ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรที่ทำให้แฝดคู่นี้แตกต่างกัน
คันธชาติเดินตามหลังร่างหนาไปตามทางเดิน ในใจยังคงคิดทบทวนเรื่องรอยสักรูปดอกไม้ แต่ก็ได้เห็นเต็มตาแล้วว่าคนตรงหน้าไม่มีรอยสักที่ว่าอยู่จริง ๆ
‘หรือว่าไปลบที่ประตูน้ำโพลีคลีนิคมาวะ’ ความคิดหยุดอยู่เท่านั้นเมื่อร่างของตนเองปะทะเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างจัง
“เอ้า! จะหยุดก็ไม่บอก”
เสียงโวยวายนั่นทำให้ธันวาต้องหันกลับมามองคนเดินตามหลังอย่างแปลกใจ “คุณนั่นแหละใจลอย ก็นี่น่ะถึงหน้าห้องผมแล้ว”
‘เออว่ะ จริงด้วย’
เลิกคิดที่จะเถียงเมื่อเห็นว่าถึงหน้าห้องตัวเองแล้วเช่นกัน คันธชาติก้มหน้ายกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ พลันสะตาก็สะดุดเข้ากับรอยแผลเป็นทางยาวที่ท่อนแขนของอีกฝ่าย คงจะโดนซี่ไม้ของกระเช้าหวายบาดไม่ผิดแน่
“แขนคุณเป็นแผลนี่ เลือดซิบเลย”
คนถูกทักก้มลงมองที่แขนของตนเองก็เห็นเป็นจริงตามที่ว่า “อ๋อ ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวก็หาย”
“ไปใส่ยาเสียหน่อยดีกว่าคุณ เดี๋ยวผมทำแผลให้”
“แผลแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง”
“ผมไม่ได้ห่วงคุณ แต่ห่วงนักเรียนคุณมากกว่า เดี๋ยวเกิดเป็นบาดทะยักต้องตัดแขนทิ้งก็ถือไม้เรียวตีนักเรียนไม่ได้กันพอดี”
ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มเดินตามคันธชาติที่เปิดประตูเดินนำเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้าม เป็นอีกครั้งที่ธันวาจำใจยอมเพียงเพราะคำพูดเหน็บแนมของคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน
“นั่งรอที่โซฟาก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอากล่องปฐมพยาบาลก่อน” เจ้าของห้องกล่าวก่อนจะหายเข้าไปในห้อง
ตอนแรกก็คิดจะทำตามแต่เมื่อสายลมเย็นพัดแผ่วกระทบผิวเนื้อ กับกลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดหนึ่งที่คุ้นจมูกก็ชวนให้ต้องกวาดสายตาหาที่มาของกลิ่น ขายาวก้าวผ่านประตูกระจกบานเลื่อนที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้ออกสู่ระเบียงที่ขนาดกว้างยาวเพียงไม่กี่เมตรแต่น่าจะรับแสงแดดได้เกือบตลอดทั้งวัน เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เป็นห้องที่อยู่ทางฝั่งของลานจอดรถด้านหลังคอนโดจึงได้กลิ่นหอมของดอกปีบที่ถูกปลูกเอาไว้รอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา บนพื้นเต็มไปด้วยกระถางเซรามิกขนาดต่างกันที่ใช้ปลูกดอกไม้แปลก ๆ หลายชนิดรวมถึงผักสวนครัวขึ้นง่าย ฉากไม้ระแนงที่วางขนานกับด้านกว้างของระเบียงก็ถูกใช้แขวนกระบะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับปลูกผักกินใบ สะดุดตาที่สุดคงเป็นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่แขวนตากอยู่กับราวผ้า อกเสื้อด้านซ้ายยังคงปรากฏคราบจางของน้ำหวานสีแดง ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา พลันรอยยิ้มแรกของวันก็ปรากฏขึ้นราวกับกลีบของดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวัน เชื่องช้าและบางเบาเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็น
ธันวาเดินกลับเข้ามาด้านในอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าของห้องซึ่งกำลังยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำ ชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งลงที่โซฟาพลางมองกล่องปฐมพยาบาลที่วางอยู่บนโต๊ะ อดทึ่งไม่ได้ว่าคนที่ดูไม่มีแก่นสารก็รู้จักเตรียมพร้อมเหมือนกัน มือเอื้อมหยิบหนังสือเล่มหนาพอ ๆ กับพจนานุกรมที่หน้าปกเป็นรูปแมลงขึ้นซึ่งวางอยู่ถัดไปไม่ไกลมาดูอย่างสนใจปากก็อ่านชื่อหนังสือไปด้วย “โรคและแมลงศัตรูพืช"
"นี่คุณอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ”
“อือ ก็อย่างที่ผมเคยบอกว่าผมเป็นเกษตรกร ศัตรูของเกษตรกรก็คือโรคพืชกับแมลง เพราะฉะนั้นก็เลยต้องทำความรู้จักกับศัตรูให้มากเข้าไว้ก่อนที่จะหาวิธีป้องกันหรือกำจัดพวกมันไง” คนถูกถามกล่าวขณะเดินมานั่งลงใกล้ ๆ จัดการเปิดกล่องปฐมพยาบาลหยิบสำลีพันก้านจุ่มแอลกอฮอล์ “ยื่นแขนมาสิ”
ธันวาละสายตาจากหนังสือในมือก่อนจะทำตามโดยดี ทันทีที่อีกฝ่ายแตะสำลีลงบนผิวรอบแผลความแสบก็พุ่งทะยานขึ้นสมองจนเผลอสะดุ้งโหยง แทนที่จะปลดปล่อยด้วยการโวยวายกลับกัดกรามแน่นวางมาดนิ่ง แต่ถึงกระนั้นคนทำแผลก็ยังรับรู้ได้อยู่ดี
“แสบเหรอ” ไม่รอให้ตอบ คนถามก็โน้มหน้าลงพร้อมกับค่อย ๆ เปล่าลมออกจากปากเหมือนที่แม่เคยทำทุกครั้งที่เขาออกไปเล่นซนจนได้แผล
ธันวาเลื่อนสายจากแผลที่แขนขึ้นมาที่ปลายคางประดับด้วยริมฝีปากสีระเรื่อของคนตรงหน้า ยากจะปักใจเมื่อคันธชาติบอกว่าตัวเขาเองเป็นเกษตรกร เพราะหากพิจารณาจากหน้าตาผิวพรรณยิ่งไม่ชวนให้เชื่อว่าเขาจะสนใจในเรื่องพวกนี้ ธันวากลับคิดว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นเสียด้วยซ้ำกระทั่งได้มาเห็นสิ่งที่เขาทำ ดวงตาสีดำสนิทไล่มาตามสันจมูกกระทั่งมาหยุดยังแพขนตาที่บดบังหน้าต่างของหัวใจคู่นั้นที่มักจะเคลือบแฝงด้วยแววแห่งความสงสัยเสมอ แม้การได้พบกันในครั้งแรกจะทำให้คาดเดาเอาว่าคงจะหาสาระอะไรจากคนคนนี้ไม่ได้ ซ้ำยังดูเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองชนิดหาใครสู้ยาก หากแต่การได้พบกันในแต่ครั้งกลับมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ต่างจากคนอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้ธันวาเองก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร” เจ้าของห้องตอบเพียงสั้น ๆ พลางมองคนนั่งขยุกขยิกที่กำลังสอดมือลงใต้หมอนอิงก่อนจะดึงอะไรบางอย่างออกมา
“นั่งทับกรอบรูปนี่เอง”
‘กรอบรูป’
‘เฮ้ย!’
“เอามานี่” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เห็นว่าเป็นรูปอะไร คันธชาติก็รีบคว้าหมับพลางยิ้มแห้ง ๆ หาข้อแก้ตัว “รูปสมัยเด็กน่ะ อย่าดูเลย น่าเกลียด”
คนฟังพยักหน้างง ๆ “แต่จริง ๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“คุณติดตาภาพผมตอนหล่อ ๆ แบบนี้แหละดีแล้ว” พูดจบก็ลุกพรวดเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือยัดกรอบรูปลงในลิ้นชักเหมือนเดิม
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับห้องก่อนนะ ขอบคุณมากที่ช่วยทำแผลให้” ธันวากล่าวขณะลุกขึ้น มองคนที่ยืนเกาะโต๊ะเขียนหนังสือไม่ห่าง ไม่รู้ว่าจะหวงหรืออายอะไรนักหนากับแค่รูปถ่ายสมัยเด็ก จะน่าเกลียดแค่ไหนกันในเมื่อตอนนี้ก็....
เรียกว่าอะไรดี?
....ในเมื่อตอนนี้ก็ก้าวข้ามความน่าเกลียดมาไกลเสียจนไม่หลงเหลือแล้วนี่....แบบนี้ก็แล้วกัน(มีต่อค่ะ)