หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178034 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


หลายวันต่อมาทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติในแบบที่มันควรจะเป็น ที่ไม่ปกติก็คงเป็นในหัวของคันธชาติซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องให้ต้องครุ่นคิด ชายหนุ่มพลิกตัวนอนเหยียดยาวบนโซฟา ทอดตามองเพดานว่างเปล่า มีคำถามหลายข้อที่เขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้  ทั้ง...

‘ใครคือเจ้าของรอยสักรูปดอกไม้นั่น?’


‘กิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลได้ยังไง?’


‘ทำไมกิ่งถึงขึ้นไปบนดาดฟ้าทั้งที่กลัวความสูง?’


‘ข้อความสุดท้ายที่กิ่งส่งมา เลข 12 นั่นหมายถึงอะไร?’


แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับ ‘ใครกันที่เป็นสาเหตุให้กิ่งไม่สามารถจะคิดกับเขาเกินกว่าคำว่าเพื่อน’


คันธชาติยันตัวลุกขึ้นนั่งพยายามสลัดความคิดนั้นออกจากหัว ไม่รู้ว่าจู่ ๆ คำถามบ้า ๆ นี้มันผุดขึ้นมาได้อย่างไรกัน ลมหายใจหนักถูกผ่อนออกจากปลายจมูกในขณะที่มือก็ทึ้งหัวตัวเองจนผมยุ่งเยิง ดีที่เสียงกริ่งดังขึ้นเสียก่อนไม่เช่นนั้นในใจคงฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้


แต่ก็ไม่แน่...


คนที่ยืนอยู่หลังประตูนั่นอาจจะทำให้ต้องปวดหัวยิ่งกว่าก็ได้



เจ้าของห้องเอื้อมมือดึงประตูออกอย่างหัวเสีย แต่พอเห็นหน้าตามอมแมมของคนที่ยืนอยู่ต่อหน้า อารมณ์หงุดหงิดก็เหมือนระเหยกลายเป็นไอ พยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็กลั้นไม่อยู่จนต้องปล่อยขำออกมา


“หัวเราะอะไรเล่า”


“นี่ปลูกผักหรือไปคลุกโคลนมา หน้าตาถึงได้มอมเป็นลูกหมูแบบนี้”


“ก็ไม่เคยทำนี่นา” คนอายุมากกว่ามุ่นคิ้ว ปกติสอนแต่หนังสือ ผักก็ซื้อเขากินไม่เคยลงมือปลูก วิชาเกษตรที่เรียนมาตั้งแต่สมัยประถมก็คืนคุณครูไปหมดแล้ว พอจะลองปลูกบ้างดันถูกสั่งให้ผสมดินเอง แทนที่จะช่วยกันกลับมาแซวเสียนี่ 


“มีอะไรถึงได้มากดกริ่งเรียกผม ตั้งแต่เช้านี่สี่ครั้งแล้วนะ”


“จะมาเรียกให้ไปตรวจงาน”


“เสร็จแล้วเหรอ”


“อือ” ธันวากล่าวก่อนจะหลีกทางให้ ร่างสูงพอ ๆ กันยักไหล่เดินข้ามทางเดินแคบ ๆ ที่กั้นกลางระหว่างห้องไปยังประตูฝั่งตรงข้ามที่เปิดอยู่


คันธชาติเดินดุ่มเข้าไปในห้องราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะตั้งแต่เช้าเขาเดินเข้าออกห้องนี้อยู่หลายรอบ ตาคมปราดมองไปยังระเบียงซึ่งมีกระถางพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางเรียงเป็นระเบียบ กระถางแต่ละใบบรรจุดินที่ผสมกับปุ๋ย แกลบและกาบมะพร้าวในอัตราส่วนที่เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ละกระถางถูกรดน้ำจนชุ่ม หลังจากตรวจผลงานของเกษตรกรมือสมัครเล่นเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มเล็ก ๆ ได้จุดขึ้นในแววตาของตนเองตั้งแต่เมื่อไร     
 

“ก็เรียบร้อยดีนี่ ทีนี้ก็คงต้องรอดูแล้วละว่าจะปลูกอะไรกับเขาขึ้นบ้างไหม อย่าลืมรดน้ำให้มันด้วยล่ะ” หันมาพูดกับคนที่เดินตามมายืนข้าง ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่โต๊ะทำงานยังคงมีแต่เอกสารและข้อสอบวางกองเต็มไปหมด อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายว่างมากนักหรือไงจึงได้ลุกขึ้นมาปลูกผักในวันที่น่าจะต้องสะสางงานกองโตแบบนี้


“คุณไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับไปเอาของที่ห้องแล้วจะกลับมาใหม่”


“กลับมาใหม่?”


“ใช่ รำคาญเสียงกริ่งน่ะ แล้วคุณเองก็คงไม่ได้ว่างตามจับตาดูผมทั้งวันแบบที่ไอ้กาจมันสั่งไว้ใช่ไหมล่ะ”


“คุณพูดอะไร ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” คนถูกต้อนยังคงปั้นหน้านิ่ง


“เล่นกดกริ่งเช็กผมทุกชั่วโมงแบบนี้น่ะ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว นี่ไปเล่าอะไรให้มันฟังหรือเปล่าเนี่ย”


“เปล่าสักหน่อย” ธันวาตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คันธชาติมองตามอย่างแคลงใจ


มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมตัวเองจนยุ่งก่อนจะเดินออกจากห้อง  ไม่นานก็กลับมาพร้อมหนังสือ 2-3 เล่ม “ผมไม่เกรงใจละนะ” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนอ่านหนังสือบนโซฟา ไม่ได้สนใจคำตอบของคนที่กำลังล้างไม้ล้างมืออยู่ในห้องน้ำเลยสักนิด


ธันวาออกจากห้องน้ำก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน จัดการเปิดเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะออกอ่านพลางมองคนที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาไปด้วย 


“ผมถามอารตีให้แล้วนะ เธอบอกว่าเธอไม่รู้จักกับพี่พุดดิ้ง” ธันวาจ้องหน้าคู่สนทนาที่ดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สากับข้อมูลที่เขาได้มา  “อันที่จริง ถ้าไม่ใช่คนเก่าคนแก่ของนาฏยกาลก็แทบจะไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำว่าเสี่ยอนันต์มีลูกสาวอีกคน”


“อือ ผมคิดไว้แล้วละว่ามันจะต้องออกมาแบบนี้”


“ทีนี้คุณจะเอายังไงต่อ”


คนถูกถามนิ่งคิดพลางวางหนังสือลงบนอก “อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ อยากได้ข้อมูลจากนาฏยกาลก็ต้องเข้าไปที่นาฏยกาลไง”


“หมายความว่ายังไง แล้วคุณจะเข้าไปที่นั่นยังไง”


“อย่าถามมากได้ไหม ตอนนี้ยังคิดไม่ออก ถึงคิดออกก็ไม่บอกหรอก เดี๋ยวคุณเอาไปฟ้องไอ้กาจอีก เสียเรื่องพอดี” คันธชาติตัดบทก่อนจะหลับตาลง


ธันวาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย ทอดตามองใบหน้านิ่งเรียบ อยากจะรู้จริง ๆ คันธชาติกำลังคิดทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดมันออกมา ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คงเป็นรอเวลาเท่านั้น...



คันธชาติปรือตาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกจากวัตถุบางอย่างที่ตกลงบนหน้าอก


“ขี้เซาจังวะ”


‘เสียงไอ้กาจ?’


“ไอ้บุ้ง ตื่น ๆ”


เจ้าของชื่อผุดลุกขึ้นนั่งมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามให้ชัด “มาได้ไงวะ”


“ก็บอกแล้วไงว่าจะแวะมาหา”


“แล้วนี่อะไร” คันธชาติกล่าวพลางหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลที่ตกลงไปอยู่บนหน้าตักขึ้นมาดู


“ข้อมูลที่ฉันคิดว่าแกน่าจะอยากได้ไง”


“ข้อมูล?”


“อือ เปิดดูสิ” เก่งกาจกอดอกเอนหลังพิงพนักโซฟา จ้องมองเพื่อนรักที่ค่อย ๆ ดึงกระดาษกับภาพถ่าย  2-3 ใบออกมาจากซอง


“พุฒิพงศ์ รักชาติ” ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเอง “เจ้าของห้องเสื้อพุทธรักษา...”


นายตำรวจหนุ่มยักคิ้ว “นั่นน่ะรูปตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเรียนจบก็ไปทำศัลยกรรมแปลงเพศเรียบร้อยจนเป็นเจ๊พุดดิ้งที่แกรู้จักในปัจจุบัน ไม่มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับกิ่งเลยสักนิด”


คันธชาติถอนใจพรืด หันขวับมองค้อนคนที่วางมือจากเอกสารและกระดาษข้อสอบตรงหน้า ตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เขาและเพื่อนกำลังคุยกัน


“ไหนบอกว่าไม่ได้เล่าอะไรให้ไอ้กาจฟังไง”


“ก็ไม่ได้เล่าจริง ๆ” ธันวาตอบหน้านิ่ง “แค่...”


“แค่ถามมาแล้วก็ตอบไป” นายตำรวจหนุ่มรวบรัด


“อ๋อ...แค่ถามตอบ” คันธชาติกล่าวอย่างหมั่นไส้


“ใช่”


“แล้วแกถามเขาว่าอะไรบ้างวะ”


“ก็ถามว่าแกเป็นยังไงบ้าง ก่อเรื่องอะไรหรือเปล่าก็เท่านั้น”


“อืม...อืม...” คนฟังพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ธันวา “แล้วคุณก็แค่ตอบคำถาม ไม่ได้เล่าอะไรเลยใช่ไหม”


“ใช่ ผมก็แค่ตอบคำถาม ไม่ได้เล่าอะไรเลยสักนิด”


คันธชาติทำหน้ายู่ทิ้งตัวนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดแรง ยอมจำนนต่อการกระทำของอีกฝ่าย ‘แค่ตอบคำถาม ไม่ได้เล่า’


“ทีนี้ก็เลิกคิดทำอะไรบ้า ๆ ได้แล้ว” เก่งกาจกล่าวพลางเอื้อมมือคว้าซองเอกสารกลับมาไว้กับตัวก่อนจะหันไปยิ้มให้ธันวาอย่างรู้กัน




คิดหรือว่านายน้อยจอมดื้อด้านจะยอมรามือง่าย ๆ .....


....ไม่มีทางเสียละ....




...



พุฒิพงศ์สบตาเพื่อนสาวคนสนิทก่อนจะหันไปจ้องหน้าสามหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารทีละคน เริ่มจากหนุ่มร่างบึกบึนที่เหมือนหลุดมาจากนิตสารสุขภาพ หนุ่มน้อยหน้าละอ่อน กระทั่งอาจารย์ตี๋อินเตอร์ ปากที่เคลือบทับด้วยลิปสติกสีชมพูหวานแหวนบ่นขมุบขมิบก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง


“นี่ถ้าคุณอัศนัยรู้เข้า มีหวังเจ๊โดนเลิกจ้างแหง ๆ เลยนะคะหนุ่ม ๆ”


“โธ่..พี่พุดดิ้งคนสวยครับ คิดว่าช่วยลูกนกลูกกาเถอะนะครับ ผมอยากเข้าไปทำงานในนั้นจริง ๆ” คันธชาติกล่าวพลางเอื้อมมือกุมมือของอีกฝ่ายแน่น


“น้องบุ้ง! เอาความจริงค่ะ”


เจ้าของชื่อยิ้มเจื่อนก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนรัก ในที่สุดเก่งกาจก็ตัดสินใจแนะนำตัวเองพร้อมกับเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง...





“เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ก็เลยต้องเชิญให้ทั้งคุณเก็จแก้วและคุณพุฒิพงศ์มาคุยกันวันนี้”


เก็จแก้วและพุฒิพงศ์สบตากันก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ 


“เจ๊เคยได้ยินมาเหมือนกันนะคะเรื่องที่มีนักแสดงใหม่ตกจากดาดฟ้าของโรงละครเก่า แต่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอสามารถผ่านกระบวนการคัดกรองเข้าไปทำงานในนั้นได้ยังไง นังเด็ก ๆ ที่สนิทกันเล่าแค่ว่าคนที่นั่นรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงก็เมื่อวันที่เธอเสียชีวิตแล้ว ว่าแต่...นี่คงไม่ได้คิดว่าเจ๊มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของคุณกิ่งดาวใช่ไหมคะ” กะเทยร่างอวบกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยใจก่อนจะหันไปส่งสายตาวิงวอนให้ธันวาที่ยังคงนั่งเงียบ


“ใครจะไปกล้าคิดอย่างนั้นล่ะครับ” คันธชาติกล่าว “ก็เพราะเราไม่รู้ว่ากิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลได้ยังไงนี่และครับ ผมถึงอยากให้พี่ช่วย นะครับเจ๊พุดดิ้ง”


“แต่ถ้าเจ๊พุดเดิ้ล...”


“หืม?”


“เอ้อ ถ้าเจ๊พุดดิ้งลำบากใจ เราล้มเลิกความคิดนี้ก็ได้นะครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจดีกว่า” เก่งกาจแทรกขึ้น


“แกเงียบไปเลยไอ้กาจ” คันธชาติหันมาส่งตาดุ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าเศร้าอย่างเดิม “อย่าไปฟังไอ้กาจมันเลยครับเจ๊ เจ๊ก็รู้ว่ากระบวนการทางกฎหมายของบ้านเรามันต้องเป็นไปตามขั้นตอน ทุกวันนี้ตำรวจก็ภาระเยอะแล้ว เพื่อนผมไหนจะต้องออกไปตากแดดโบกรถกลางสี่แยกทุกวัน ไหนจะต้องคอยวิ่งจับผู้ร้ายอีก ทุกวันนี้เวลาเป็นส่วนตัวก็แทบจะไม่มีแล้ว เรื่องแต่งงานมีครอบครัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง”


‘ว่าไปนั่นไอ้แสบ’ เก่งกาจถอนใจพลางกุมขมับ


“โถ...ผู้กอง เจ๊สงสารผู้จองจับจิตจับใจ” พูดไปก็ยกมือขึ้นซับน้ำใสที่หางตาไป จนเพื่อนสาวที่นั่งข้าง ๆ ต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้


“ช่วยผมหน่อยเถอะนะครับ ช่วยให้ผมได้เข้าไปทำงานที่นั่นทีเถอะนะครับ ผมจะได้ช่วยสืบเรื่องนี้อีกแรง นะครับนางฟ้าของผม”


"สาบานว่าแกชมจากใจว่าเขาเป็นนางฟ้า" เก่งกาจอดรนทนไม่ไหวจนต้องกระซิบถาม


"เออ ก็นางฟ้าไง เห็ดนางฟ้าน่ะเคยกินไหม" คันธชาติกระซิบตอบก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานให้คนที่กำลังจับมือเขาอยู่ "นะครับนางฟ้า"


น้ำเสียงออดอ้อนของชายหนุ่มหน้าทำเอาคนอ่อนไหวอย่างพุฒิพงศ์หัวใจอ่อนยวบ กะเทยร่างอวบเม้มปากแน่น ใช้ความคิดไปพลางก็ถือโอกาสลูบไล้มือของหนุ่มรุ่นน้องไปพลาง จนในที่สุดเธอก็เสนอทางเลือกที่ทำให้สามหนุ่มต้องคิดหนัก


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ถึงเจ๊จะเป็นกะเทย เจ๊ก็เป็นกะเทยยูนิเซฟ เจ๊รักเด็กและพร้อมจะช่วยเหลือเด็กค่ะ” พูดจบก็เอื้อมมือประคองข้างแก้มของคู่สนทนา “เจ๊จะช่วยน้องบุ้งเอง”


“ช่วยยังไงเหรอครับ” คนที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงมืออวบที่แนบอยู่กับแก้มของคันชาติมากุมไว้บ้าง เล่นเอาเจ้าของมือขวยเขินจนจะทำลังกาเกลียวไปลงแข่งยิมนาสติกทีมชาติได้


“คืออย่างนี้ค่ะน้องธัน เจ๊มีทางเลือกให้น้องบุ้งสองทางที่จะทำให้เข้าไปในนาฏยกาลได้โดยไม่มีใครสงสัย” พูดจบพุดดิ้งก็ดึงมือออกมาปาดที่ปลายจมูกตัวเอง


“อะไรเหรอครับ” สามหนุ่มพร้อมใจกันยื่นหน้าเข้ามาใกล้


“ทางแรก อันนี้เจ๊เปลืองตัวสุด ๆ นะคะ แต่เพื่อมนุษยธรรมเจ๊ยอมค่ะ ทางแรกก็คือน้องบุ้งต้องเป็นเด็กเจ๊”


“เด็ก?”


“ค่ะ”


“หมายถึงสามีเด็กน่ะค่ะน้องบุ้ง” เก็จแก้วป้องปากกระซิบกระซาบ ทำเอาคันธชาติได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ


“เราจะได้สวีทวี๊ดวิ้วกิ๊วก๊าวมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งเข้าไปทำงานในนั้นด้วยกันสะดวกไงคะ”


“เป็นลูก เป็นหลาน เป็นน้องชายไม่ได้เหรอครับ”


“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวมันไม่สมจริง อีกอย่างนะคะ ขืนบอกว่าเป็นลูกเป็นหลาน มีหวังน้องบุ้งโดนนังพวกนั้นแทะจนเหลือแต่กระดูกแน่”


เจ้าของชื่อกลืนน้ำลายเอื๊อกหันไปสบตาคนนั่งข้าง ๆ ทั้งสองคนสลับกันก่อนจะถามถึงทางเลือกที่สอง “แล้วอีกทางล่ะครับ”


“อีกทางก็คือ...” คนพูดทิ้งจังหวะจนน่าสงสัย “เป็นแบบเจ๊นี่แหละค่ะ”


“ป..เป็นแบบเจ๊”


“ค่ะ เป็นกะเทยมีนมแบบเจ๊นี่ไงคะ ทีนี้ก็อยู่ที่น้องบุ้งแล้วละค่ะว่าจะเลือกอย่างไหน”


“ม...ไม่เลือกสักอย่าง แกไม่เลือกสักอย่างใช่ไหมไอ้บุ้ง” เก่งกาจวางมือบนบ่าของเพื่อนรักที่ตอนนี้เอาแต่นั่งนิ่ง


“ก็ตามใจนะคะ เจ๊ไม่บังคับ แค่เสนอทางเลือกให้เฉย ๆ”


“แกไม่มีทางอื่นแล้วเหรอนังพุด” เก็จแก้วร้อนใจจนต้องถามแทน


“แกก็รู้ว่านาฏยกาลน่ะเข้มงวดจะตาย เคยได้ยินนังเด็ก ๆ มันซุบซิบกันว่าที่เปลี่ยนนโยบายรับแต่คนทำงานที่เป็นสาวประเภทสองก็เพราะคุณอัศนัยเธอพิศมัยเรือนร่างชายที่กายภายนอกเป็นผู้หญิง จริงเท็จยังไงฉันก็ไม่รู้”


“เอ่อ...คือผม...” คันธชาติกล่าวอ้อมแอ้ม


“ไอ้บุ้ง” มือหนาบีบเบา ๆ ลงบนบ่าเพื่อเตือนสติ “แกไม่จำเป็นต้องเลือกนะเว้ยไอ้บุ้ง เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจก็ได้”


“ฉันบอกแล้วไงว่าแกเป็นตำรวจแกก็ทำหน้าที่ของแกไป ฉันเป็นเพื่อนกิ่งฉันก็จะทำหน้าที่ของฉัน” พูดจบก็หันมากล่าวกับพุฒิพงศ์ด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง “ผมตัดสินใจแล้วครับ ผมเลือกแบบที่สอง”


คำตอบของคันธชาติทำเอาทุกคนในวงสนทนาอ้าปากค้าง โดยเฉพาะพุฒิพงศ์ซึ่งเป็นเจ้าของความคิด ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยอมตกลง แต่ถึงแม้จะเลือกทางไหนก็ตามยังไงก็ต้องยอมรับในน้ำใจและความแน่วแน่ของอีกฝ่าย มันทำให้รู้ว่าเรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่คันธชาติกรุขึ้นมาเพื่อจะเล่นสนุกปั่นหัวคนอื่นแน่นอน


“แต่ผมเกรงว่าถ้าจะบินไปเกาหลีเพื่อทำศัลยกรรมก็คงจะไม่ทันการน่ะสิครับ” ยังไม่วายพูดเล่น


“ไม่ต้องขนาดนั้นค่ะ เจ๊มีวิธี แต่หนุ่ม ๆ คงต้องหาผู้ช่วยให้เจ๊สักคนนะคะ เพราะเจ๊เองก็งานล้นมือ”


คันธชาติหันไปสบตาคนนั่งทางขวาทีซ้ายทีเหมือนจะขอความเห็น แต่สิ่งที่สองคนทำก็คือการนั่งกุมขยับพร้อมใจกันมองมาเป็นตาเดียวราวกับว่าเขาเป็นตัวป่วนก็ไม่ปาน...


“แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะคะ”


คำพูดของพุฒิพงศ์เรียกความสนใจของทุกคนกลับคืนมาอีกครั้ง


“อะ...อะไรครับ”


“เจ๊สัญญาว่าจะช่วยน้องบุ้ง แต่ต้องแลกกับการที่น้องธันต้องไปดิ๊นเนอร์กับเจ๊ค่ะ”


“ตกลงครับ” คันธชาติตอบตกลงทันควัน ในขณะที่สองหนุ่มซึ่งนั่งขนาบข้างก็พร้อมใจกันร้อง ‘เฮ้ย!’ เสียงหลง


ธันวาเดินหน้าตูมมาที่รถหลังจากแยกกับเก่งกาจที่หน้าร้านอาหาร ไม่คิดว่าตนเองจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ทั้งที่จริง ๆ ก็เหมือนโดนลากเข้าไปครึ่งตัวแล้วก็ตาม


“เป็นอะไรของคุณเนี่ย ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากร้านแล้วนะ” คันธชาติตัดสินใจเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในรถ


“ทำอะไรไว้ยังไม่รู้ตัวอีก” คนขับตอบห้วน ๆ


“ผมทำอะไร”


“ก็คุณตอบตกลงให้ผมไปทานข้าวกับเขาน่ะ ไม่เห็นถามความเห็นของผมสักคำ”


“ก็แค่ทานข้าวเองคุณ ไม่สึกหรออะไรสักหน่อย”


‘พูดออกได้หน้าตาเฉย’


“คุณนี่มัน...เฮ้อ! ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี” ร่างหนาถอนใจหนักก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวชลอความเร็วเข้าจอดเทียบข้างทาง ขืนขับต่อไปคงได้เหยียบคนแทนเหยียบคันเร่งแน่ ๆ


“โธ่...จะโมโหอะไรนักหนา คิดว่าช่วย ๆ กันน่า นะๆๆๆ คุณ ไม่เห็นแก่ผมก็เห็นแก่กิ่งเถอะ”


เล่นเอากิ่งดาวมาอ้างแบบนี้ ธันวาก็จนใจ...
 

...


“แกนี่มันตัวป่วนจริง ๆ ไอ้บุ้ง” เก่งกาจบ่นพลางมองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของชื่อ นายตำรวจหนุ่มก็ถือโอกาสบ่นต่อ “ดูสิเลยต้องลำบากคุณรตีด้วยเลย”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไร อีกอย่างนี่ก็เป็นงานที่รตีถนัดด้วย” อดีตเมคอัพอาร์ติสต์ที่ผันตัวมาเป็นครูสอนการแสดงกล่าวพลางละเลงรองพื้นลงบนผิวเนื้อที่ไม่เคยได้สัมผัสกับเครื่องสำอางมาก่อนจากนั้นจึงเกลี่ยให้เนียนเรียบ


“ขอบคุณมากนะที่มาช่วย” ธันวาที่กอดอกยืนพิงผนังด้านหนึ่งกล่าวสั้น ๆ พลางมองเงาสะท้อนของคนหน้ากระจกอย่างสนใจ แต่เพราะยืนอยู่ไกลขนาดนี้จึงทำให้เห็นไม่ชัดนัก


“เสร็จหรือยังครับรตี พี่คันปากอยากจะด่าได้กาจมันจะแย่แล้ว”


“ยังค่ะพี่บุ้ง นี่เพิ่งเริ่มลงรองพื้นเอง ยังเหลืออีกหลายขั้นตอนค่ะ” อารตีหัวเราะก่อนจะประโคมเนื้อครีมอีก 2-3 อย่างลงบนหน้าของคันธชาติ จากนั้นก็จัดการตบแป้งทับลงไปก่อนจะเริ่มเขียนคิ้ว


เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่อยู่นิ่งไม่ค่อยจะได้ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เขียนคิ้วเสร็จ ก็เสร็จแล้วใช่ไหม”


“ยังค่ะพี่บุ้ง” หญิงสาวกล่าวขณะเริ่มแต่งเปลือกตาได้ข้างหนึ่ง


“ใจเย็น ๆ สิคะน้องบุ้ง” พุฒิพงศ์ที่ยืนจัดเสื้อผ้าอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้น “จะว่าไปน้องธันก็ช่างเลือกคนถูกนะคะ ดูสิน้องรตีนี่ฝีมือดีไม่ใช่เล่นเลย”


“ห่างหายมานานเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะออกมาถูกใจผู้ชมหรือเปล่านะคะ”


“ต้องถูกใจสิคะ นี่ขนาดยังไม่เสร็จดีก็ฉายแววสวยแล้วนะคะน้องบุ้ง”


คนฟังได้แต่หาวหวอด ๆ “สงสัยจะอีกนาน ถ้าอย่างนั้นหลับแล้วนะ ง่วงจะแย่แล้ว เป็นผู้หญิงนี่ลำบากจริง ๆ กว่าจะออกจากบ้านได้ แค่แว็กซ์ขนหน้าแข้งก็น้ำตาเล็ดแล้ว ไม่ไหว ๆ” พูดจบทำท่าจะหลับ แต่เสียงเล็กของคนตรงหน้าก็ขัดขึ้นเสียก่อน


“อดทนหน่อยสิคะ จะสวยทั้งที นี่น่ะพี่บุ้งต้องจำไว้ด้วยนะ ต่อไปรตีจะให้ลองแต่งเอง”


“ต้องจำด้วยเหรอ จดไม่ได้เหรอ” คันธชาติถอนใจเฮือกใหญ่ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากอารตีได้ไม่น้อย


“ของแบบนี้จดไม่ได้หรอกค่ะ ต้องลงมือทำถึงจะรู้ว่าจะต้องเติมตรงไหน ตรงไหนยังขาดอยู่”


“สมน้ำหน้า อยากหาเรื่องดีนัก” เก่งกาจแทรกขึ้นก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ลอบมองช่างแต่งหน้าคนสวยที่ยังคงง่วนอยู่กับการแปลงโฉมให้ไอ้คนที่ตอนนี้สถาปนาตัวเองเป็นสายสืบไปเสียแล้ว


“พูดมากน่าไอ้กาจ เห็นไม่ตอบโต้หน่อยละเอาใหญ่เลย” คนที่เหมือนถูกตรึงอยู่บนเก้าอี้บ่นอุบ


ครู่หนึ่งอารตีก็ถอยออกมามองหน้าอีกฝ่ายให้ชัด ๆ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ทีนี้ก็ถึงเวลาแปลงโฉมแล้วค่ะ เดี๋ยวผู้กองกับอาจารย์ธันวาออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ สาว ๆ เขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน”


ได้ฟังดังนั้นเก่งกาจและธันวาก็จำต้องระเห็จตัวเองออกจากห้อง นายตำรวจหนุ่มได้แต่บ่นอุบหลังจากประตูปิดลง “ไม่รู้จะเป็นความลับอะไรนักหนา ผมกับไอ้บุ้งก็เพื่อนกัน แก้ผ้ากระโดดน้ำกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีกต่างหาก ยังจะต้องอายอะไรกันก็ไม่รู้” พูดจบก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา กดเปิดทีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ธันวาเดินเลี่ยงออกไปที่ระเบียงมองดูต้นอ่อนของผักบุ้งที่เพิ่งโผล่พ้นดินขึ้นมาได้ไม่กี่วัน 


เก่งกาจเอนหลังพิงโซฟาสัปหงกแล้วสัปหงกอีกก็ยังไม่มีทีท่าว่าคนในห้องจะออกมา กระทั่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ เสียงเปิดประตูดังแกร๊กก็ปลุกคนที่กำลังจะเคลิ้มหลับให้สะดุ้งตื่น ส่วนธันวาที่นั่งอ่านเปิดหนังสือดูรูปแมลงไปเรื่อยเปื่อยก็รีบผุดลุกขึ้นทันที เมื่อสองหนุ่มหันกลับไปมองหาต้นเสียงก็เห็นอารตีเดินยิ้มกริ่มออกมา เธอส่งยิ้มหวานให้จากนั้นจึงหันกลับไปยังประตูที่ค่อย ๆ แง้มออก ครู่หนึ่งก็ปรากฏร่างอวบของพุฒิพงศ์ที่กำลังจูงมือใครอีกคนออกมาด้วยกัน


“แท้ แด...ขอต้อนรับน้องบุ่งบุ๊ง ผู้ช่วยดีไซเนอร์คนใหม่ของเจ๊ค่ะ” พุดดิ้งกล่าวอย่างอารมณ์ดีในขณะที่เก่งกาจนั้นอ้าปากค้าง เมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักหลังจากแปลงโฉมเป็นครั้งแรก


“อะ...ไอ้บุ้ง นั่นแกเหรอ”


“เออสิวะ” สาวน้อยหน้าตาสะสวยขมวดคิ้ว ถ้าหากเธอไม่เปล่งเสียงออกมาธันวาเองก็คงไม่ปักใจเชื่อเช่นกัน หวนนึกถึงครั้งก่อนที่เดินสวนกันนั่นก็แทบจำไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ยิ่งไม่เหลือเค้าความเป็นนายน้อยแห่งไร่ชื่อดังเลยด้วยซ้ำ ริมฝีปากบางถูกแต้มทับด้วยสีชมพูจาง ๆ รับสันจมูกที่เชื่อมกับแนวคิ้วสวยได้รูป องค์ประกอบบนใบหน้ามันช่างรับกันอย่างเหมาะเจาะแถมยังเข้ากับวิกผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ตรงปลายถูกม้วนเป็นลอนหลวม ๆ เสื้อเชิ้ตพอดีตัวและกางเกงขากระบอกสีครีมยิ่งเน้นทรวดทรงองค์เอวที่ไม่ผิดไปจากผู้หญิงจริง ๆ จนธันวามั่นใจแล้วว่าสามารถใช้คำว่า ‘สวย’ อธิบายสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าได้


“ถึงกับอึ้งกันเลยเหรอคะ” พุฒิพงศ์หัวเราะชอบใจ “แสดงว่าฝีมือเราสองคนใช้ได้นะคะน้องรตี”


อารตียิ้มรับคำชมก่อนจะเดินเข้าไปยืนตรงหน้าคันธชาติหรือ ‘บุ่งบุ๊ง’ ที่พุดดิ้งตั้งให้ใหม่ มือเล็กเอื้อมสยายผมยาวของอีกฝ่ายไปด้านหลังก่อนจะจัดเสื้อเชิ้ตสีขาวให้เข้าที่ พร้อมกับตรวจดูความเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า 


“พี่ว่าซิลิโคนบรานี่มันแน่นไปหน่อยนะ หายใจจะไม่ออกแล้ว”


“จะสวยก็ต้องอดทนค่ะพี่บุ้ง หายใจลึก ๆ เดี๋ยวก็ชิน แต่รตีว่าเรามีของดีก็ต้องโชว์ค่ะ” พูดจบเธอก็จัดการปลดกระดุมเสื้อที่ห่อหุ่มความโค้งนูนออก เผยให้เห็นเนินอกที่เหมือนจริงเสียจนคนมองหน้าแดง


“โคตรเหมือนเลยว่ะไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวพลางเดินเข้ามาดูใกล้ ๆ


“นิ่มด้วยนะเว้ย อย่างกับของจริง”


“เคยจับเหรอคะพี่บุ้ง” อารตีค้อนขวับ


“คุณรตีไม่รู้อะไร สาว ๆ ในฟาร์มน่ะผ่านมือให้บุ้งมาหมดแล้วนะครับ”


“ตายจริง บุ่งบุ๊งของเจ๊ ทำแบบนี้ไม่งามนะลูก”


“ไอ้กาจมันหมายถึงแม่วัวสาวน่ะครับ” คันธชาติตอบยิ้ม ๆ แต่กลับเป็นธันวาที่ถอนใจอย่างโล่งอก


‘โล่งอก?’ ทำไมต้องโล่งอก อาจารย์หนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองในใจ


“ลองจับไหมคุณ มันนิ่มมากเลยนะ” คันธชาติกล่าวขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ คนที่กำลังคิดอะไรเพลิน


หน้าสวยขยับเข้าใกล้พร้อมกับหน้าอกที่ยื่นเข้าหา ทำเอาธันวาต้องรีบถอยกรูด


“มะ...ไม่เป็นไร”


“โธ่ โอกาสแบบนี้หายากนะคุณ” พูดจบคันธชาติก็ยกมือขึ้นบีบเนินเนื้อปลอมใต้เสื้อตัวบางหน้าตาเฉย


“พี่บุ้ง! อย่าไปทำอย่างนี้ต่อหน้าคนอื่นเชียวนะคะ ขืนไปทำแบบนี้มีหวังแผนแตกกันพอดี”


“รู้แล้วคร้าบบบ ๆ” ชายหนุ่มรับคำ


“เอาละค่ะ ในเมื่อเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมแล้ว วันนี้เจ๊จะพาบุ่งบุ๊งไปชิมลางสร้างความคุ้นเคยกับการเป็นกะเทยวันแรกก็แล้วกันนะคะ”


“เจ๊จะพาผมไปที่นาฏยกาลเหรอครับ” คันธชาติทำตาวาว


“ยังค่ะ แต่วันนี้เจ๊มีนัดคุยงานกับทีมเขียนบทละครเวทีของนาฏยกาลก็เลยจะพาน้องบุ้งไปด้วย ใส่รองเท้าส้นแบนไปก่อน อีกหน่อยเจ๊จะสอนให้ใส่ส้นสูง พร้อมไหมฮ้า!!!!”


“พร้อมครับ” ถึงจะยังไม่ใช่ที่หมายแต่ก็รับคำอย่างหนักแน่น


“ไม่ได้จ้ะ บุ่งบุ๊งผู้ช่วยเจ๊ต้องอ่อนหวานกว่านี้”


“ต้องพูดยังไงนะครับ” คันธชาติทำหน้าฉงน


“ดูเจ๊เป็นตัวอย่างนะคะ เริ่มจากมือก่อนค่ะ มือต้องกรีดกราย แล้วตอบว่า...ได๋ค่ะเจ๊ ไหนลองซิคะ”


ชายหนุ่มทำท่าอิดออดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ตั้งสติ ยกมือทั้งสองขึ้นกรีดนิ้วออกแล้วตวัดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามจีบปากจีบคอสุดชีวิต “ได๋ค่ะเจ๊!!!!!!”


“ดีมากค่ะบุ่งบุ๊ง ไปค่ะ วันนี้เจ๊จะพาไปแจ้งเกิด” พูดจบพุฒิพงศ์กล่าวก่อนจะเดินนำออกจากห้อง


คันธชาติแสร้งกระแอมไอก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ ธันวาที่ยังคงยืนนิ่ง "ส่วนคุณ...ก็อย่าลืมเตรียมตัวเตรียมใจไปทานข้าวกับเจ๊พุดดิ้งด้วยนะคะ" พูดจบก็ตบไหล่คนตัวเท่ากันอย่างให้กำลังใจจากนั้นก็เดินผิวปากอารมณ์ดีจากไป ไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้ที่ทำอยู่น่ะมันน่าตีนัก   


“จะรอดไหมเนี่ยไอ้บุ้ง” เก่งกาจกล่าวพรางทิ้งตัวลงนั่งกุมขยับ


“เอาน่า รตีว่าพี่บุ้งเอาตัวรอดได้อยู่แล้วค่ะ” อารตีกล่าวก่อนจะเบนสายตามายังร่างสูงที่ยังคงมองไปที่ประตู “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะอาจารย์”


ธันวาหันกลับมาสบตานักศึกษาในความดูแลพลางพยักหน้าช้า ๆ “ก็หวังว่าจะไม่ไปทำป่วนจนแผนแตกนะ”
 
 


...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2015 23:48:36 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
ก็คิดอยู่ว่าสักวันบุ้งต้องได้แปลงร่าง
นี่กลายเป็นว่าผู้ต้องสงสัยกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับโคนันบุ้งกันหมด

สองเรื่องก่อนจบที่ประมาณยี่สิบตอน
เรื่องนี้แลดูจะยาวกว่านะคะ หรือยังไง
รู้สึกว่าคดียังไม่ถึงไหนเลย
นี่เพิ่งจะเริ่มเข้าไปสืบในนาฏยกาล
พี่ชายของอัศนัยยังไม่มีบทบาทเลย
เมื่อไหร่จะคลี่คลายน้อ

ปล. เห็นแว๊บๆ

//คันธชาติยิ้มน้อย ๆ เมื่อ {ถึงนึก} ความซนระดับเทพของเจ้าสองลิง

//หลายวันต่อมาทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ {ในแบบที่ใน}ควรจะเป็น

//เก่งกาจกล่าวพลางเอื้อมมือคว้าซองเอกสารกลับมาไว้กับตัวก่อนจะหันไปยิ้มให้ธันวา {อย่า} รู้กัน

//“โธ่..พี่พุดดิ้งคนสวยครับ คิดว่าช่วยลูกนกลูกกาเถอะนะครับ ผมอยาก {เขา} ไปทำงานในนั้นจริง ๆ”

//จนเพื่อนสาวที่นั่งข้าง ๆ ต้องส่ง {ผู้} เช็ดหน้าให้

//คันธชาติกล่าว {ก} อ้อมแอ้ม

//ผิวเนื้อที่ไม่เคยได้ {สำผัส} กับเครื่องสำอาง

//“ยังค่ะพี่บุ้ง” {หญิว} สาวกล่าวขณะเริ่มแต่งเปลือกตาได้ข้างหนึ่ง

//เดินมาทิ้งตัวลง {นัง} ที่โซฟา

//วิกผมยาวสีน้ำตาลเข้มที่ตรง {ปลาย?} ถูกม้วนเป็นลอนหลวม ๆ

//จนธันวามั่นใจแล้วว่า {สามรถ} ใช้คำว่า ‘สวย’

//{วัน} เจ๊จะพาบุ่งบุ๊งไปชิมลางสร้างความคุ้นเคยกับการเป็นกะเทยวันแรก

//ต้อง {พุด} ยังไงนะครับ


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ผักบุ้งเอ้ยยย เป็ย บุ่งบุ้ง ไปซะแล้ว
จะได้เรื่องอะไรไหมหว่าา

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
บุ้งสวยจนหนุ่มๆตะลึงไปเลย แต่ปรับปรุงบุคลิกด่วน
บุ้งนี่แสบจริงๆ ทั้งซนทั้งดื้อ

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
เดี๋ยวไปสวยเตะตาคุณอัศนัยแน่นแน่~

~.~

???

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
อาจารย์ธันถึงกับตะลึงกับลุคบุ่งบุ๊ง

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ตะลึงงงงงง
มาแตะขอบฟ้าใกล้นะค่ะ
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
อ่านตอนนี้แล้วทำไมขำมาก 55555555555

น้องบุ่งบุ๊งคะ เป็นสาวเป็นนาง
เอาหน้าอกหน้าใจให้ผู้ชายจับได้ยังไง มันน่าหมั่นเขี้ยวนัก!
เราเป็นดร.ธันวาจะจับมาตีก้นให้เข็ด คนอะไรหาเรื่องป่วนได้ตลอดเวลาจริงๆ

สงสารด๊อกเตอร์ตะหงิดๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ 5555555
ีู้รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ ก็ตกกระไดพลอยโจน ลงมาอยู่ในแผนการป่วนของตัวบุ้งจนได้
นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ  :jul3:

ไม่คิดว่าตัวบุ้งจะได้แต่งหญิงอีก แต่แหม.. พอแต่งออกมาแล้วแบบ
โฉมเอยโฉมงาม อร่ามแท้แลตะลึงมากๆ  :-[ สวยจนหนุ่มๆ จำไม่ได้เลยทีเดียว แอร๊ยยยย

หวังว่าการเข้าไปอยู่ในนาฏยกาลคราวนี้จะไม่ต้องกลับออกมาตัวเปล่านะคะ
แต่จากปากคำของเจ้พุดดิ้ง (มีจุดหนึ่งที่คนเขียนน่าจะเขียนผิดเป็นพุดเดิ้ลรึเปล่า? ฮาา)
คุณอัศนัยเนี่ยเค้าชอบผู้ชายในร่างสาว มิน่าล่ะในโรงละครถึงมีแต่สาวๆ ประเภทสอง
แอบหวั่นๆ ว่าถ้าน้องบุ่งบุ๊งเข้าไปทำงานกับเจ้พุดดิ้งแล้ว จะโดนคุณอัศนัยหยอดบ้างมั้ยเนี่ย? -O-
นี่ขนาดวันซ้อมแปลงโฉมเป็นสาวประเภทสองยังทำเอาดร.ธันวากับผู้กองตะลึงในความงามมาแล้ว
แอบหวั่นๆ ว่าจะไม่พ้นสายตาของคุณอัศนัยน่ะสิคะ!! เอาตัวรอดมาได้นะตัวยุ่งเอ้ยยยย >_<


ปล.อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้พุดดิ้งตอนดร.กับนายน้อยเค้าจีบ(?)กันบนโต๊ะกินข้าวเลยค่ะ ฮาา
ปล.2 ดร.ธันวากับผู้กองเก่งกาจชักจะเหมือนพี่เลี้ยงเด็กซนๆ เข้าไปทุกวันเลยค่ะ นายน้อยมันน่าหยิกนัก!

รอตอนหน้านะค้า  :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2015 16:00:48 โดย aiLime13 »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ระวังตัวด้วยนะบุ่งบุ๊ง

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 8 ก้าวแรกในนาฏยกาล




เจ้าของห้องมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าได้เวลาไปทำงานจึงรีบคว้ากุญแจรถกับเอกสารเย็บเล่มจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก่อนจะเดินไปเปิดประตูเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงกริ่งดังขึ้น และเมื่อประตูเปิดออกชายหนุ่มก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเพบว่าคนที่มากดกริ่งเป็นใคร


“มีอะไรหรือเปล่า” ธันวาถามเสียงเรียบ


หน้าสวยยื่นเข้ามาใกล้พร้อมกับเผยอยิ้มน้อย ๆ ลิปติกสีชมพูจางที่แต้มเคลือบบนกลีบปากได้รูปยิ่งทำให้รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มแสนหวานที่สุด “แฮ่...จะให้ช่วยดูให้หน่อยว่าวันนี้ผมเป็นยังไงบ้าง แต่งหน้าทำผมเองกับเลยนะ ดูซิว่าใช้ได้ไหม”


พูดจบก็หมุนตัวอย่างทุลักทุเลเพราะรองเท้าส้นสูงหัวแหลมที่เพิ่งจะหัดสวมได้ไม่กี่วัน ท่าทางตลก ๆ นั่นเล่นเอาธันวาต้องยกนิ้วขึ้นถูกับปลายจมูกกลั้นหัวเราะ มองร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีกรมท่ากางเกงสีครีมที่กำลังทำตัวเป็นนักเต้นบัลเลต์ แต่คงเป็นนักเต้นบัลเลต์ที่เสียการทรงตัวเพราะขาพันกันจนเซมาทางนี้


“ฮ...เฮ้ย!!!”


คันธชาติหลับตาปี๋ คิดว่าคงได้เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวฟาดพื้นแน่ แต่แล้วมือใหญ่ที่สัมผัสเข้ากับต้นแขนและแผ่นหลังที่กระแทกกับอกหนาของอีกคนก็ทำให้รู้สึกโล่งอก


“ระวังหน่อยสิ” เสียงที่ดังอยู่ใกล้หูดึงเปลือกตาให้เปิดขึ้นอีกครา


ธันวาผละมือออกเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายสามารถยืนได้เอง ฟังคำขอบคุณและลอบสำรวจคนที่กำลังจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ จำได้ว่ายังคงค้างคำตอบที่คันธชาติถามเมื่อครู่ กำลังจะเอ่ยปากแต่คนตรงหน้าก็ถามซ้ำขึ้นเป็นครั้งที่สอง


“ว่ายังไง เป็นไงบ้าง”


“ก็...ก็ดีนะ” พูดจบก็ดึงประตูปิด เกิดเสียงดังพร้อมกับคำพูดต่อหลัง “แต่ผมชอบแบบเดิมมากกว่า”


“ว่าไงนะ”


“ผมบอกว่าก็ดี”


“แล้วอะไรอีก เมื่อกี้มีต่อ”


“ต...แต่ผมชอบแบบเดิมมากกว่า”


“แบบเดิม? หมายถึงแบบที่รตีแต่งให้น่ะเหรอ”


“แบบเดิม...ก็...”   


ธันวาถอนใจเบาเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน


“โทษนะ ขอรับโทรศัพท์แป๊บ” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ที่เหน็บไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย “ครับเจ๊ เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวจะรีบไปครับ”


หลังจากวางสายก็หันมาทวงคำตอบต่อ “เมื่อกี้คุณว่าไงนะ”


“ช่างเถอะ แล้วนี่จะไปไหน”


“อ๋อ วันนี้เจ๊พุดดิ้งจะพาเข้าไปที่นาฏยกาลน่ะ เห็นว่าคืนนี้ที่นั่นจะมีการแสดงละครเวทีน่ะ ก็เลยต้องเข้าไปช่วยดูแลความเรียบร้อย”


“แล้วคุณจะไปยังไง ให้ผมไปส่งไหม”


คนฟังรีบยกมือห้ามก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไร ไอ้กาจรออยู่ข้างล่างแล้วละ เดี๋ยวผมไปหยิบกระเป๋าในห้องก่อน คุณไปทำงานเถอะ” กำลังจะหันหลังกลับก็ต้องชะงักเมื่อข้อมือถูกรั้ง


“บุ้ง”


“หืม?”


“คือว่า...” ธันวาสบตาคู่งามที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอน ค่อย ๆ คลายมือออกจากข้อมือของอีกฝ่าย ตาที่เคยสบกันเลื่อนระดับลงมาจนคนถูกจ้องต้องก้มมองสำรวจตัวเองบ้าง


หากมีใครสักคนยืนมองภาพนี้จากที่ไกล ๆ ได้เห็นตั้งแต่ต้น คงต้องบอกว่ามันคือฉากโรแมนติกฉากหนึ่งในละครภาคค่ำ ใช่...มันเป็นฉากที่พระเอกกำลังยื้อนางเอกที่กำลังจะเดินจากไปเอาไว้ ขอเวลาอีกสักหน่อยเพื่อให้ได้สบตากันอีกนิด หวังว่าความหมายที่อยู่ในดวงตาจะทำให้เธออยู่ต่อ และมันจะโรแมนติกมากขึ้นไปอีกหากสองคนโผเข้ากอดกันแทนที่จะเป็น...



“อุ้ย! นมเบี้ยว”
พูดจบก็จับหมับเข้าที่ส่วนนูนอวบจนแทบจะล้นออกนอกเสื้อ จัดการขยับให้เข้าที่


ธันวาได้แต่ส่ายหน้า ‘ช่างทำมันได้หน้าตาเฉย’


ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ตอนนี้อยู่ในคราบของผู้หญิง...ผู้หญิงสวยเสียด้วย ควรจะระวังกิริยามารยาทหน่อยไหม ไม่ใช่เที่ยวยื่นหน้าอกให้คนอื่นจับ หรือมาจัดระเบียบร่างกายต่อหน้าชายหนุ่มแบบนี้


คันธชาติและธันวาเดินออกมาจากคอนโดพร้อมกันก่อนจะตรงไปยังรถซีดานสีดำติดฟิล์มทึบที่จอดสนิทอยู่ไม่ไกล เจ้าของรถในชุดเครื่องแบบนายตำรวจเต็มยศสวมแว่นกันแดดเรย์แบนยืนเต๊ะจุ๊ยพิงตัวถังยกมือขึ้นทักทายก่อนจะถอดแว่นออกเสียบกับอกเสื้อ จ้องมองเพื่อนรักให้ชัด ๆ


“ว่าไงจ๊ะน้องสาว” เก่งกาจกล่าวพลางใช้นิ้วเขี่ยปอยผมเคลียบ่าก่อนจะส่งไปด้านหลังให้


“น้องสาวป้าแกสิไอ้กาจ”


“อ้าวไอ้นี่” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว “หน้าตาก็สวย แต่ดันเลี้ยงหมาไว้ในปาก มามะ มาให้พี่เอาขนหมาออกให้นะ” พุดจบก็ทำท่าจะยกมือขึ้นทำอย่างที่ปากบอกแต่ก็โดนเจ้าของหมาปัดมือออกอย่างไว


“ก่อนมาไม่ได้กินข้าวหรือไง ถึงจะมากินตีนเพื่อนเนี่ย”


“โห! ไอ้บุ้ง! ไอ้หนอน!”


“เห่าอะไรของแกวะ หนวกหู”


“เอาละ ๆ ผมว่าพวกคุณอย่ามัวมาทะเลาะกันอยู่เลย รีบไปดีกว่า ป่านนี้พี่พุดดิ้งคงรอแล้ว” คนกลางถอนใจพรืด รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กก็ไม่ปาน


สองคนยังคงปล่อยพลังใส่กันทางสายตา ดีที่ได้ธันวาช่วยห้ามทัพ ไม่เช่นนั้นคงจะได้ทำสงครามกันก่อนจะออกเดินทาง เก่งกาจไหวไหล่ก่อนจะเดินไปเปิดประตูฝั่งคนนั่ง ผายมือเชื้อเชิญ “เชิญครับคุณผู้หญิง”


...นี่ก็อีกคน ทำตัวเป็นพระเอกละคร...


“ไปก่อนนะคุณ” คันธชาติหันมากล่าวกับเพื่อนบ้านห้องตรงข้าม


“ระวังตัวด้วยล่ะ”


คนฟังได้แต่พยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังประตูที่เปิดอยู่ สอดตัวเข้าไปนั่งด้านใน เมื่อประตูทั้งฝั่งคนขับและฝั่งคนนั่งปิดลง ซีดานสีดำขลับก็เคลื่อนออกจากคอนโดไป


....




ที่โรงละครซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโรงละครที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ สาวประเภทสองเกือบร้อยชีวิตมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และวันนี้ก็ดูจะเป็นวันที่แสนวุ่นวายวันหนึ่ง การแสดงรอบสุดท้ายของไตรมาสแรกกำลังจะเริ่มต้น คันธชาติเดินตามพุฒิพงศ์เข้าไปในห้องแต่งตัวซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมและเครื่องสำอาง กลายเป็นว่าแทนที่จะหอมกลับรู้สึกแสบจมูกพิลึก คนที่กำลังเขียนปากทาคิ้วต่างก็วางมือ ส่วนคนที่ใส่เสื้อผ้าอยู่ก็ชะงัก ชายหนุ่มสังเกตได้ถึงดวงตานับสิบคู่ซึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา กระทั่งคนเดินนำเองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกตินั้น


“เอ้านี่ ไม่ต้องจ้องจนตาจะหลุดแบบนั้นย่ะพวกหล่อน นี่ผู้ช่วยเจ๊เอง ชื่อบุ่งบุ๊ง” พูดจบก็หันมาทางคันธชาติ “นังบุ๊ง!!!! ไหว้ป้า ๆ เขาสิลูก”


“อ้าวอีเจ๊!!! พี่ก็พอค่ะ” คนหนึ่งแว้ดขึ้น


คันธชาติย่อตัวไหว้อย่างกับนางงามตามที่ครูสอนก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ทุกคน


“นึกว่าเจ๊จะเอาเด็กใหม่มาฝากเสียอีก นี่กะเทยจริงหรือเปล่ายะ หน้าตาขโมยซีนมาก”


“บุ่งบุ๊งตอบเขาไปสิลูก หรือถ้าตอบแล้วมันไม่เชื่อก็แสดงหลักฐานทิ่มตามันเสียเลยยยยยยยย”


“ต๊าย! นี่ยังไม่ได้ตัดเหรอจ๊ะ” แคทปรายตามองผ่านเงาสะท้อนในกระจกขณะปัดขนตา


“ย...ยังค่ะ ตังค์ไม่พออ่ะเจ๊ บุ๊งกลัวเขาตัดให้ครึ่งเดียว” ตอบมั่วซั่วไปตามน้ำ


“ชื่อบุ่งบุ๊งเหรอ” คนตัวเล็กที่สุดในที่นั้นกล่าวก่อนจะลุกจากเก้าอี้หน้ากระจกมาหยุดอยู่ตรงหน้า


คันธชาติพยักหน้าหงึกพลางมองคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตา


“นี่ชื่อนิกกี้นะ ส่วนคนตัวสูงนั่นชื่อพี่จีจี้ สวย ๆ นั่นชื่อพี่แคท” แล้วสามสาวก็เดินมายืนรวมกันก่อนจะโพสต์ท่าราวกับหลุดมาจากนิตยสารแฟชั่น ไม่เท่านั้น ยังพร้อมใจกันประสานเสียจนแสบแก้วหู


“พวกเราคือแก๊งนางฟ้าแห่งนาฏยกาลจ้ะ”


“เอาเข้าไปนังพวกนี้” พุฒิพงศ์ส่ายหัวดิก นั่นมันเป็นการสถาปนาตัวเองของพวกแกต่างหาก “นางฟ้าหรือซาตานกันแน่ยะ”


”โธ่เจ๊ นางฟ้าสิคะ” กะเทยร่างสูงกล่าวก่อนรั้งผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าไปในห้องข้าง ๆ กัน


คันธชาติชะเง้อมองร่างเพรียวพันด้วยผ้าขนหนูสีขาวที่เดินสวนทางออกมา ผิวเนื้อเนียนพราวไปด้วยหยดน้ำ เดาได้ว่าอีกห้องน่าจะเป็นห้องสำหรับอาบน้ำ ชายหนุ่มเดินมานั่งแหมะลงข้าง ๆ พุฒิพงศ์ที่กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นอุปกรณ์เย็บปักในกล่องที่เตรียมมา กระนั้นสายตายังคงปักหลักมองคนที่กำลังนั่งไขว่ห้างเป่าผมอยู่หน้ากระจก


“นังนิกกี้อย่ามัวแต่เม้าค่ะ เตรียมแต่งตัวได้แล้ว ชุดไหนหลวมจะได้เย็บเข้าให้เสร็จ ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เวลาแสดงแล้วนะ”
เสียงแหวนั้นเรียกสายตาของผู้ช่วยจำเป็นให้กลับมายังเข็มและด้ายในกล่อง ไม่ต้องรอให้เรียกซ้ำเจ้าของชื่อพาร่างตัวเองเข้ามาเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งลง


“บุ่งบุ๊งเย็บข้างเข้าให้นิกกี้หน่อยสิ”


คันธชาติพยักหน้า ก่อนจะลงมือสนเข็ม โชคดีที่ก่อนหน้านี้พุฒิพงศ์เคยได้ให้ทดลองทำมาบ้าง ไม่เช่นนั้นก็คงจะได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแน่ 


“นั่นน่ะพี่อัน” คนเดิมกระซิบ “เป็นนางเอกของที่นี่เชียวนะ”


ชายหนุ่มยังคงมองเจ้าของเรือนร่างงดงามเป็นระยะ ทั้งใบหน้า ทรวดทรงองค์เอว แม้กระทั่งเรียวขา ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเธอคือผู้ชาย 


“สวยเนอะ” พูดพลางสอดเข็มลงกับเนื้อผ้าก่อนจะดึงออกจากตัว


“ใช่ พี่อันน่ะสวยมากเลยนะ สวยเสียจนเป็นคนโปรดของคุณเล็ก”


“คุณเล็ก?”


“ก็คุณอัศนัยลูกชายเสี่ยอนันต์เจ้าของที่นี่ไง แต่เธอไม่ค่อยให้ใครเรียกชื่อเล่นหรอก พวกเราเรียกกันลับหลังน่ะ”


“เคยได้ยินแต่ชื่ออยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยเจอตัวจริงเลย วันนี้จะได้เจอไหม”


“อืม...ก็อาจจะเจอนะ ปกติเธอจะขึ้นเวทีกับเราในการแสดงรอบสุดท้ายน่ะ” นิกกี้หยุดไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงกรรไกรตัดฉับเสื้อเข้ารูปที่เคยหลวมก็กลับพอดีตัว


กะเทยร่างเล็กกล่าวขอบคุณผู้ช่วยฝ่ายเสื้อผ้าคนใหม่ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ของเธอ ส่วนคันธชาติก็ยังคงแต่มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องที่ตอนนี้มีเต็มไปด้วยนักแสดงในชุดเสื้อผ้าแบบไทยล้านนา คนที่รับบทเป็นผู้หญิงนุ่งซิ่น สวมเสื้อแขนกระบอกพาดผ้าพาดบ่า เกล้าผมเป็นมวยประดับด้วยดอกไม้หรือปิ่นทำจากเงินหรือทองเหลืองซึ่งเป็นวัสดุเดียวกันกับเครื่องประดับอื่น ๆ เช่น สร้อยคอ สร้อยสังวาลย์ ต่างหูและกำไล 


อีกหลายคนสวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวบ้าน ทาเนื้อทาตัวดำปี๋ คนหนึ่งที่ยังเหลือเค้าความเป็นชายอยู่บ้างสวมเครื่องแบบนายทหาร รองเท้าบูทสูงเกือบถึงหัวเข่าแบบเดียวกับที่เห็นได้ในละครย้อนยุคในทีวี แม้ในบางจังหวะการเดินจะอ้อนแอ้นอรชรแต่เมื่อโพสต์ท่าให้เพื่อน ๆ ถ่ายภาพก็กลับดูสง่างามน่าเกรงขาม ยิ่งใกล้เวลาแสดงความโกลาหลยิ่งบังเกิด ต่างคนต่างเดินกันขวักไขว่จนคนมองตาลายไปหมด กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจึงเบนสายตากลับมายังเครื่องมือเย็บปักในมืออีกครั้ง


“ชื่อบุ๊งใช่ไหม”


“ค...ค่ะ”


“ช่วยรูดซิปให้ทีสิ” หญิงสาวสวมเสื้อเกาะอกสีชมพูกล่าวพร้อมกับหันหลังให้ ผมที่เกล้าขึ้นเผยให้เห็นช่วงคอระหง บ่าลาดรับกับไหล่มน ผิวพรรณกระจ่างตาน่ามองนัก


เมื่อคันธชาติยืนขึ้นจึงได้รู้ว่าความสูงของเธออยู่ในระดับพอ ๆ กันกับตนเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือดึงซิปขึ้นจนสุดพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยจางที่ถูกกลบทับด้วยรองพื้นสีใกล้เคียงกับสีผิว ถึงจะดูเลือนรางแต่ผีเสื้อตัวน้อยที่กำลังสยายปีกในตำแหน่งต่ำลงมาจากบ่าด้านขวานั่นก็ยังคงสวยงาม


“ข้างหลังยังเห็นรอยสักอยู่ไหม”


“อ...เอ้อ นิดหน่อยค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นช่วยทารองพื้นทับให้อีกทีนะ เมื่อกี้ทาเองแล้วมองไม่เห็น” ถึงจะเป็นประโยคของร้องแต่ก็ยังคงความเย่อหยิ่งอยู่ในที คันธชาติรับตลับครีมเนื้อเนียนจากมือของอีกฝ่ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ จด ๆ จ้อง ๆ ไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อน


“เร็วหน่อยสิ ใกล้เวลาแล้ว”


เสียงเตือนนั่นยิ่งทำให้มือไม้สั่นเทายิ่งสั่นหนักเข้าไปใหญ่ ตัดสินใจเปิดฝาแตะนิ้วลงปาดครีมขึ้นก่อนจะแตะลงบนผิวเนื้อนุ่ม ปลายนิ้วปาดป่ายจนเจ้าผีเสื้อตัวน้อยเลือนหายไปราวร่ายมนต์


“ร...เรียบร้อยแล้วค่ะ”


“ขอบใจนะ” พูดจบหญิงสาวเจ้าของคอตั้งตรงก็เดินห่างออกไป เธอคว้าเสื้อตัวบางสีชมพูอ่อนขึ้นมาสวมทับ จัดจาการคาดเข็มขัดและดูความเรียบร้อยของตนเองที่หน้ากระจกอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปในที่สุด


“นั่นน่ะ อัญชลิสา เล่นเป็นสาวเครือฟ้า นางเอกละครวันนี้ค่ะ” พุฒิพงศ์ลุกขึ้นเดินไปคว้าชุดนายทหารที่อยู่ก้นกล่องพลาสติกใบใหญ่ออกมาแขวน


“แล้วชุดนี้ของใครครั...บ” คำลงท้ายนั่นทำเอาผู้ร่วมขบวนการหันขวับ


“ของใครคะ” คันธชาติยิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกได้ว่าเกือบจะลืมตัวหลุดพูดคำว่า “ครับ” ออกไป


“ชุดนี้ของคุณอัศนัย เธอจะขึ้นเวทีตอนการแสดงจบ วันนี้เธอจะใส่ชุดเดียวกับร้อยตรีพร้อมด้วย คงจะเท่น่าดู” พุฒิพงศ์ทำตาชวนฝันเมื่อนึกถึงเจ้านายหน้าอ่อนที่ใคร ๆ ต่างหมายปอง


“แล้วไหนล่ะคะคุณอัศนัย”


“อืม เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมาแล้วละ”



เมื่อเพลงประจำโรงละครถูกบรรเลงขึ้นนั่นเป็นสัญญาณเตือนให้ทั้งผู้ชม นักแสดงและคนเบื้องหลังทราบว่าการแสดงจะเริ่มในอีกไม่ช้า คันธชาติยืนแอบอยู่ด้านหลังม่านมองดูสิ่งที่ดำเนินไปบนเวทีผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ เพิ่งจะเคยมีโอกาสได้ดูละครเวทีแบบใกล้ชิดครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วก็เพิ่งรู้ว่าด้านหน้าเวทีที่เห็นว่าสวยงามมีจังหวะจะโคน นักแสดงเล่นไปตามบทบาทที่ได้รับ แต่เบื้องหลังนั้นกลับวุ่นวาย ไหนจะเปลี่ยนฉาก ไหนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า บรรยายกาศด้านหลังเวทีนั้นดูยุ่งเหยิงไปหมด


“คุณอัศนัยมาพอดีเลย”


เสียงพุฒิพงศ์ที่ดังแว่วมาจากห้องแต่งตัว ทำให้คันธชาติต้องผละจากจุดที่ยืนเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง อยากรู้เหลือเกินว่า ‘อัศนัย นาฏยะ’ ที่บรรดาสาว ๆ ในห้องแต่งตัวต่างพูดถึงจะหน้าตาเป็นอย่างไร ครั้งก่อนที่ได้พบก็เห็นกันเพียงแค่ไม่กี่นาทีแถมอยู่ไกลกันจนแทบจะเห็นเป็นหัวไม้ขีด


ภายในห้องแต่งตัวเหลือนักแสดงเพียงไม่กี่คนกับช่างแต่งหน้า เพราะทุกคนต่างไปยืนออรอลุ้นให้กำลังใจเพื่อน ๆ อยู่ที่ข้างเวที เจ้าของหน้าสวยที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาเหลือบมองชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ เมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกก็ยอมรับว่าที่บรรดาสาว ๆ พูดนั้นเป็นความจริง ลูกชายคนเล็กทายาทตระกูลนาฏยะคนนี้หล่อเหลาสมคำร่ำลือ


“น้องบุ๊ง มาช่วยเจ๊แต่งตัวให้คุณอัศนัยหน่อยจ้ะ” พุฒิพงศ์เรียกพลางช่วยชายหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเธอมากสวมเสื้อชุดทหารที่เตรียมไว้


คันธชาติพยักหน้าหงึกก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ เสียดายไม่น้อยที่มาไม่ทันได้เห็นว่าชายคนนี้มีรอยสักรูปดอกไม้แบบเดียวกันกับคนที่เขากำลังตามหาหรือไม่ มือเรียวเอื้อมติดกระดุมไล่ตั้งแต่ล่างสุดมาจนถึงเม็ดที่อยู่ติดคอ จังหวะนั้นจึงมีโอกาสได้สบตากัน


“คุณพุฒิพงศ์บอกว่าคุณเป็นผู้ช่วยคนใหม่”


“ค...ค่ะ” พูดพลางถอยห่างออกมาเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจของอีกฝ่ายรดลงที่ข้างแก้ม


ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นพร้อมกับมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ...”


“บุ๊ง...เรียกบุ๊งก็ได้ค่ะ”


“ครับ คุณบุ๊ง ยินดีที่ได้รู้จักครับ เรียกผมว่าเล็กก็ได้” พูดจบก็ยื่นมือให้จับ


“อ...เอ้อ ค่ะ คุณเล็ก” คันธชาติมองมือที่ยื่นมาอย่างลังเลจนกระทั่งพุฒิพงศ์ต้องกระแอมเตือน


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”


ช่างเสื้อทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองสองมือที่สัมผัสกันตรงหน้า ถือว่าเป็นการขโมยซีนกันสุด ๆ นี่ถ้านังพวกนั้นมาเห็นเข้าสงสัยจะพากันลงไปนอนดิ้นพล่านกันเป็นระนาว


การแสดงปิดฉากลงเมื่อตอนหนึ่งทุ่มเศษ ๆ กว่าจะรอนักแสดงถ่ายภาพร่วมกัน กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรวจดูความเสียหายของชุดก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม เมื่อกลับมาถึงคอนโดผู้ช่วยฝึกหัดก็แทบหมดสภาพ ทั้งวิกผมและซิลิโคนบราถูกถอดออกก่อนจะเหวี่ยงไปคนละทิศละทาง คันธชาติทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาทำตาลอยราวกับคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนทั้งเก่งกาจและธันวาที่ต่างมารอฟังข่าวอดเป็นห่วงไม่ได้


“มันเป็นอะไรของมันน่ะครับเจ๊” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยในอาการแปลกประหลาดของเพื่อน


“เมานมนะค่ะ” พุฒิพงศ์หัวเราะคิก


“เมานม?”


“ค่ะ สงสัยจะไม่เคยเจอนมเป็นกองทัพ”


“หมายความว่ายังไงครับ” ธันวาถามขึ้นบ้าง


“ก็ตอนการแสดงเลิก นักแสดงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวน่ะสิคะ ถอดพรึ่บพร้อมกันหมด น้องบุ้งก็เลยเป็นแบบนี้”


“มันมีทั้ง...แตงโม มะพร้าว...” พูดอย่างกับคนหมดแรงแต่ไม่วายทำมือประกอบ “มะนาว ส้มโอ ไข่ดาวยังมีเลย...ลายตาไปหมด”


เก่งกาจหัวเราะในลำคอก่อนจะนั่งลงกอดคอกระซิบถามเพื่อนรัก “แล้วได้จับหรือเปล่าวะ”


“จับบ้าอะไรเล่า แค่เห็นเรี่ยวแรงก็พาลจะหมด” คันธชาติเขยิบออกห่างก่อนจะส่ายศีรษะรัวไล่ภาพติดตาออกจากหัวสมอง


“แต่วันนี้น้องบุ้งน่ะช่วยงานเจ๊ได้เยอะเลยนะคะ แถมขโมยซีนนังพวกนั้นด้วย คุณอัศนัยเธอมองน้องบุ้งอย่างกับจะกลืนลงไปทั้งตัว” พุฒิพงศ์ปิดปากหัวเราะชอบใจ ทำเอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์นึกนึกประโยคสุดท้ายของอัศนัยขึ้นมา



‘หวังว่าจะได้พบกันใหม่นะครับ เราจะได้ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้’



ชายหนุ่มทำขนพองสยองเกล้า “นึกถึงแล้วขนลุกไม่หายมากกว่าครับ”


“แหม...ใคร ๆ ก็อยากจะสนิทสนมกับคุณอัศนัยทั้งนั้นแหละคะ แต่เธอน่ะไม่ค่อยเปิดตัวเองให้ใครรู้จักง่าย ๆ น้องบุ้งถือว่าประสบความสำเร็จนะคะ ก็เล่นสวยเด่นขนาดนี้”


“เสียดายอย่างเดียว ไปไม่ทันตอนเขาแก้ผ้า”


“ห๊ะ!!!” ทั้งธันวาและเก่งกาจต่างก็อุทานขึ้นพร้อมกัน


“แกว่าไงนะไอ้บุ้ง”


“บอกว่าเสียดายที่ไปไม่ทันนายอัศนัยนั่นเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็เลยไม่รู้เลยว่าเขาเป็นเจ้าของรอยสักรูปดอกไม้นั่นหรือเปล่า นอกนั้นเท่าที่เห็นก็มีทั้งสักยันต์ห้ายอด มีเสือด้วยนะ บางคนก็เป็นรูปมังกร ตัวเท่านี่!” กางมือทำท่าประกอบ “เลื้อยตั้งแต่ใต้ขอบผ้าซิ่นขึ้นไปถึงกลางหลังแน่ะ ส่วนของอัญชลิสา...เป็นผีเสื้อตัวเล็ก ๆ น่ารักเหมือนเธอเลย”


“อะไรวะ พอพูดชื่อนี้แล้วทำยิ้ม อยากรู้เสียแล้วสิว่ายัยอัญชลิสาอะไรนั่นจะหน้าตาเป็นยังไง”


“อู๊ย!!! ผู้กองคะ นั่นน่ะเขาระดับนางเอกคณะละครนะคะ”


“สวยยังกับผู้หญิงจริง ๆ เห็นแล้วแกจะตะลึง” กล่าวพลางเอียงคอมองเพื่อนพร้อมกับยักคิ้วกวน ๆ


“สวยกว่าแกอีกเหรอวะ” เก่งกาจทำขยับเข้าใกล้มองตาเป็นมัน


“ไปห่าง ๆ เลยไอ้กาจ” คันธชาติกล่าวพร้อมกับผลักหัวอีกฝ่ายเต็มแรง “ไป ๆ กลับกันไปได้แล้ว เหนื่อยจะแย่แล้ว”


เมื่อเห็นท่าทางงอแงของนายน้อยผู้แสนเอาแต่ใจตัวเอง บรรดาผู้ร่วมขบวนการก็เห็นทีจะต้องพากันสลายตัว


“ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับกันเถอะครับเจ๊พุดเดิ้ล”


“พุดดิ้งค่ะ เจ๊เป็นคนนะคะผู้กอง ไม่ใช่หมาตำรวจ” พุฒิพงศ์ค้อนขวับแต่ก็ทำเนียนคล้องแขนล่ำ ๆ เอาไว้แน่น “กลับก็ได้ค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ แกจะได้พักผ่อน กลับก่อนนะครับด็อกเตอร์” เมื่อกล่าวอำลากันเรียบร้อยแล้วเก่งกาจและพุดดิ้งก็ควงแขนกันเดินออกไปจากห้อง


ธันวามองตามประตูที่ปิดลงก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยังคงนั่งตาลอยอยู่บนโซฟา “ผมว่าไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหม”


“ขี้เกียจ คุณกลับไปเถอะเดี๋ยวผมจะนอนแล้ว เจ็บเท้าเป็นบ้า รองเท้าบ้าอะไรก็ไม่รู้ ใส่ก็ยากถอดก็ยาก แถมสูงจนเวลาเดินปวดน่องไปหมด”


ธันวามองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็กลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำอุ่น ชายหนุ่มวางมันลงที่โต๊ะเตี้ย ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกล ย่อตัวลงเอื้อมมือถอดรองเท้าให้คนที่กำลังจะเคลิ้มหลับจนอีกฝ่ายสะดุ้ง


“จะทำอะไรน่ะ” คันธชาติกล่าวอย่างรวดเร็วพร้อมกับขยับเท้าให้ห่างมือคนอายุมากกว่า


“ก็จะถอดรองเท้าให้ไง คุณอยู่เฉย ๆ เถอะ” พูดจบก็ยึดข้อเท้าเล็กเอาไว้ จัดการปลดสายเข็มขัดเล็ก ๆ ที่รัดข้อเท้าจากนั้นจึงถอดรองเท้าออก “แดงไปหมดเลย”


“ก็เดินทั้งวันนี่ ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงเขาทนได้ยังไงกัน”


“แช่น้ำอุ่นสักหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น” ธันวากำลังจะปลดสายรองเท้าอีกข้างแต่คันธชาติไม่ยอม


“ที่เหลือผมทำเองได้ คุณไปนอนเถอะ” เจ้าของห้องกล่าวพลางโบกมือไล่ส่ง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำไป เดี๋ยวผมไปเอาอุปกรณ์ลบเครื่องสำอางมาให้ก็แล้วกัน อยู่ในห้องใช่ไหม”


คนถูกถามพยักหน้าเนือย ๆ ก้มลงถอดออกเท้าอีกข้างออกก่อนจะจุ่มเท้าเปลือยลงในกะละมังน้ำอุ่น จริงอย่างว่ามันให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว


ธันวาเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกระเป๋าเครื่องสำอางที่อารตีทิ้งไว้ให้ เขารู้ว่าจะใช้มันอย่างไรเพราะตอนที่นักศึกษาในความดูแลสาธิตวิธีการใช้งานเขาก็อยู่ด้วย ชายหนุ่มนั่งลงข้างคนที่กำลังกางแขนพาดพนักโซฟาหลับตาพริ้มก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบแผ่นทำความสะอาดใบหน้าออกมา จากนั้นก็จัดการเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าของอีกฝ่าย ค่อย ๆ เช็ดจนสีสันที่แต่งแต้มใบหน้านั้นเริ่มจางหาย


“ตื่นก่อน ดึงขนตาปลอมออกก่อน” พูดจบก็ตบลงที่แก้มนุ่มเบา ๆ


“โธ่ คนกำลังฝันเลย” คันธชาติบ่นขณะปรือตาขึ้น เรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดกับความเหนื่อยล้าและความง่วงทำให้พิษสงของนายน้อยเอาแต่ใจกำลังจะหมดตามเช่นกัน ยอมอยู่เฉย ๆ แต่โดยดีก็ได้


ธันวาเห็นเป็นโอกาส ออกแรงดึงขนตาปลอมออกอย่างรวดเร็วจนคนถูกแกล้งสะดุ้ง เอาคืนเสียให้สาสมกับหลายเรื่องที่ก่อเอาไว้


“เบา ๆ หน่อยยยยยยย เห็นหมดทางสู้ละเอาใหญ่เลย” ปากบางบ่นงึมงำไม่คิดจะโต้ตอบใด ๆ แล้วในเวลาเช่นนี้ คนฟังอมยิ้ม เอื้อมมือดึงขนตาที่เหลืออย่างเบามือที่สุด จากนั้นก็ลงมือเช็ดเครื่องสำอางอีกครั้ง


ชายหนุ่มจ้องมองเปลือกตาที่ปิดสนิทของคนกำลังหลับ จู่ ๆ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง


‘ที่ผมบอกว่าชอบอย่างเดิมมากกว่าน่ะ ผมชอบแบบนี้ต่างหาก’


ในความมืดนั้นนอกจากจะรู้สึกอุ่นที่ปลายเท้าแล้ว ที่ข้างแก้มก็ยังอุ่นไม่แพ้กัน คันธชาติคำรามในลำคอเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสชวนจั๊กจี้จากนิ้วหัวแม่มือที่เกลี่ยลงกับเนื้อแก้ม ไม่มีแรงจะสู้แล้วก็ไม่มีแรงจะหนี ไม่มีแม้แต่แรงจะลืมตา อันที่จริง...อยู่แบบนี้มันก็สบายดีเหมือนกัน...



‘ขอหลับสักสิบห้านาที เดี๋ยวตื่นแล้วค่อยไปอาบน้ำก็แล้วกันนะ’



....


สวัสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ

ตอนนี้เริ่มจะขยายพื้นที่ป่วนแล้ว

มาดูกันดีกว่าว่าการเข้าไปในนาฏยกาลครั้งนี้ บุ้งจะได้ข้อมูลอะไรกลับมาบ้าง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-02-2015 12:22:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
โอ๊ย สนุกหลายตอนนี้  ปล่อยคิกออกมาเป็นพักๆตอนที่อ่าน
คุณด็อกเตอร์นี่ท่าจะเป็นสามีที่ดูแลภรรยาเก่งมากๆ
น้องบุ่งบุ้งนี่ท่าจะแพ้หน่มน้มหรือเปล่านี่?

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
นี่ไปโปรยเสน่ห์ถึงในโรงละคร
ไม่กลัวเพื่อนบ้านตรงข้ามจะหวงเลยนะคะ บุ่งบุ๊ง

แล้วกลับมานอนหมดเรี่ยวแรงให้เค้าแต๊ะอั๋งแบบเต็มอกเต็มใจซะงั้น
หนอนบุ้งหนอหนอนบุ้ง (แต่ถ้ามีผู้ชายมาดูแลเราด้วยความอ่อนโยนแบบนี้ก็น่าพลีกายพลีใจให้จริงๆนะคะ เคลิ้มอ่ะ)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สาวประเภทร้อยเกือบร้อยชีวิตมารวมตัวกันอยู่ที่นี่/.............สาวประเภทสอง

หืม คุณเล็กนี่เจ้าชู้น่าดู
ดร.ธันวาชอบของแปลกก็ไม่บอก ก็ดูสิที่บุ้งทำแต่ละอย่าง

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2683
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
ยอมให้บุ้งเรียก "เล็ก" ด้วย
ไม่ธรรมดาแล้วครัช

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 716
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ให้เรียกเล็กง่ายๆเลยนะยะ!
ส่วนดร.ทำให้บุ้งหยั่งกะสามีทำให้ภรรยาแหนะ :impress2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
ฮู้ยยย อ่านตอนนี้แล้วอมยิ้มแก้มจะแตกค่ะ >_<

น่ารักเนอะ
ดร.ธันวาแสนดี แสนดี ดูแลเก๊งเก่ง
ชอบตอนที่เอาน้ำอุ่นมาแช่เท้าให้ ลูบแก้มคนหลับ โอ้ยยย อ่านแล้วอิจฉานายน้อย
อยากได้แบบนี้บ้าง ดร.มีขายที่ไหนบ้างคะ!?!  :hao5:

เราก็ชอบตัวบุ้งเวอร์ชั่นหนุ่มน้อยแสนซนเหมือนดร.เลยค่ะ
ส่วนเวอร์ชั่นสาวสวยนี่ห่วงจริงๆ เพราะขนาดเจอกันแค่ครั้งแรกคุณเล็กก็เริ่มสนใจแล้ว
ก็เข้าทางตัวบุ้งนั่นแหละ แต่มันอดห่วงไม่ได้ กลัวถูกคุณเล็กป้อมากๆ แล้วจะทำแผนแตกด้วยตัวเอง 5555
นี่ถ้าเกิดว่าคุณเล็กอยากสานต่อจริงๆ แล้วล่ะก็ มีแววว่าตัวบุ้งจะได้เป็นศัตรูกับพี่อันแหงเลยค่ะ -O-

อ่านตอนนี้แล้วเกิดความคิดขึ้นมาเล่นๆ แบบเดาๆ ว่า
ถ้าเกิดสมมุติว่าคุณเล็กมีรอยสักรูปดอกไม้จริงๆ แล้วของอันเป็นผีเสื้อ.. สองคนนี้มีความเกี่ยวโยงกัน เพราะผีเสื้อมันต้องคู่กับดอกไม้อยู่แล้ว ถ้าเป็นอย่างที่เราเดาเล่นก็ดูเหมือนว่าอันจะน่าจะเป็นอีกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของกิ่งดาวรึเปล่านะ?


รู้สึกตื่นเต้นอยากรู้ตอนต่อไปเร็วๆ แล้วค่ะ 555555
นี่สนุกเหมือนได้เข้าไปสืบกับตัวบุ้งเอง สงสารนายน้อยคงจะเมานมน่าดู ก๊ากกกก



ออฟไลน์ nutty2554

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าติดตามสำหรับเราค่ะ
นอกจากได้เสพนิยายวายแล้ว ยังมีเงื่อน ลับลม ปม ให้ชวนขบคิด
บางฉากที่ตัดกลับไปถึงช่วงเวลาที่ยังเด็ก ทำให้รู้สึกถึงความผูกพันธ์ของบุ้งและเพื่อน
ซึ่งเป็นสาเหตุให้บุ้งต้องค้นให้พบคำตอบปริศนาที่พรากชีวิตหญิงสาวคนนึงไป
น่าตื่นเต้น แต่ก็ไม่ได้เดินเรื่องเร็วเกินไปจนขาดตกรายละเอียดแบบวาย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้คนอ่านชุ่มชื่นหัวใจ โดยเฉพาะตอนนี้  ดร. น่ารัก ดูนิ่งๆ เป็นผู้ใหญ่ แต่หัวใจก็แอบเต้นตึกตักกับบุ้ง
ถ้าไม่มีคดีพลิก ดร.เป็นผู้ชายที่ควรเก็บเป็น แรร์ไอเท็มนะ  นุ่มนวล เป็นผู้ใหญ่ สุขุม แต่ไม่ถึงกับน่าเบื่อนะ
รออ่านต่อค่ะ อยากเห็นตัวตนของ ดร. มากกว่า รวมถึงอยากเห็นน้องบุ้ง ว่าจะทำให้ยิ้มได้อีกมากขนาดไหน

คุณเก่งกาจมีคู่ไหมคะ  สมกับเป็นเพื่อนกับบุ้งมานานมาก คือรับลูก ดักคอกันได้ดีจริง ๆ ค่ะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
คุณดอกเตอร์ช่างเป็นผู้ชายที่น่ารัก
และก็ดูอบอุ่นพึ่งพาได้ในเวลาเดียวกัน

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
แล๊วๆๆแล้ววว
คุณอัศนัยดันไปถูกใจน้องบุ้งเค้าให้ซะเเล้ว
จินตนาการไม่ออกเลยว่า ตอนน้องบุ้งแต่งหญิง จะน่าตาเป็นไง
แล้วมาต่ออีกนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 9 เกือบไปแล้ว (1)



แสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทักทาย ร่างสูงที่กำลังซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนนุ่มเริ่มขยับตัวอีกครั้งหลังจากได้นอนหลับสนิทตลอดคืน คันธชาตินอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนโซฟา ชุดที่สวมใส่ก็ยังคงเป็นชุดเดิม ทั้งที่ตั้งใจเมื่อคืนตั้งใจจะงีบสักเดี๋ยวแล้วค่อยอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแต่ความเหนื่อยล้ากลับทำให้หลับเป็นตายถึงเช้า ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นในขณะที่มือหนึ่งก็ลูบแก้มตัวเองเบา ๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ภาพสุดท้ายในห้วงคำนึงคือภาพของหญิงสาวอันเป็นที่รัก สัมผัสของเธอช่างอ่อนโยนและนุ่มนวลไม่มีเปลี่ยนแปลง แม้มันจะเป็นเพียงฝันก็ตาม...


“ที่แท้ก็ฝันเหรอวะเนี่ย” ตบแก้มตัวเองเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ ๆ


หลังจากปล่อยให้สายน้ำชำระล้างความอ่อนล้าและคราบเครื่องสำอางแล้ว ร่างสูงก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดลำลอง เดินไปเดินมารอบห้องพลางสอดส่ายสายตาหาบางอย่างในขณะที่มือหนึ่งก็จับผ้าขนหนูขยี้ผมให้แห้ง ในที่สุดคันธชาติก็พบสิ่งที่กำลังหา ซิลิโคนบรากับวิกผมถูกวางไว้ด้วยกันบนโต๊ะ ส่วนรองเท้าส้นสูงก็วางเก็บอยู่บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ นึกไปถึงคนที่ช่วยจัดการมันให้ เงยหน้ามองนาฬิกาติดฝาผนังเห็นว่าน่าจะยังไม่ได้เวลาที่อีกฝ่ายออกไปทำงาน จึงเปิดประตูพรวดตั้งใจจะไปขอบคุณตามมารยาท แต่แล้วเมื่อประตูเปิดออกก็ต้องชักปลายเท้ากลับเมื่อพบว่าธันวากำลังยืนอยู่ตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างมีแปลกใจ ก่อนจะเป็นธันวาที่ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ให้ 


“ผมไปทานข้าวมาเลยซื้อมาฝาก”


คันธชาติรับมันมาอย่างงง ๆ ถือโอกาสกล่าวขอบคุณทั้งเรื่องปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน


“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะ” คนมาดนิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ทันทีที่พูดจบก็เตรียมจะเดินจากไป


“เย็นนี้คุณว่างไหม”   


คำถามนั้นทำให้ธันวาต้องเหลียวกลับมามองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ตอนนี้หัวเหอยุ่งเหยิงไปหมด


“ว่าไงนะ”


“ผมถามว่าตอนเย็นคุณว่าไหม จะชวนไปทานข้าว”


“ชวนผมเหรอ” เจ้าของร่างสูงกล่าวอย่างแปลกใจพลางชี้ที่ตัวเอง มองอีกฝ่ายที่กำลังชะเง้อมองขวาทีซ้ายทีจนน่าสงสัย “แล้วนี้มองหาใคร”


“มองหาหมาไง ไม่เห็นมีสักตัว” คันธชาติถอนใจ “ผมชวนคุณนั่นแหละ ก็ยืนคุยกันอยู่สองคนจะชวนใคร”
คนฟังส่ายศีรษะให้กับลีลากวนประสาทก่อนจะตั้งคำถามพร้อมกับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจับผิด “มีแผนอะไรอีกหรือเปล่า”


“ไม่มี้!!!” ร่างสูงพอ ๆ กันไหวไหล่ไม่ยี่หระ “สรุปว่าว่างหรือเปล่าล่ะ”


“ว่าง”


“เอาเป็นว่าคุณรับปากผมแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นหกโมงเย็นไปเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้กับห้องเสื้อพุทธรักษา คิดคุณน่าจะรู้จัก”


ธันวาพยักหน้าก่อนจะเดินจากไป ไม่ได้เอะใจสงสัยในรอยยิ้มของอีกฝ่ายเลยสักนิด...



....



คันธชาติใช้เวลาเกือบทั้งวันขลุกอยู่แต่ในห้อง หากไม่อ่านข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์เก่า ค้นหาข้อมูลจากอินทอร์เน็ต ก็ดูรูปที่สั่งพิมพ์จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาว...รอยสักรูปดอกไม้นั่น กระทั่งบ่ายคล้อยจึงออกไปเดินยืดเส้นยืดสายหาอะไรกินแถวร้านสะดวกซื้อใกล้คอนโดจากนั้นก็กลับมาทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ


มองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ตอนนี้เข็มสั้นและเข็มยาวต่างก็อยู่ในฝั่งตรงข้ามเรียงตัวเป็นเส้นตรงทำมุมตั้งฉากกับฐาน ชายหนุ่มจึงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปนั่งที่โซฟาเอนหลังพิงพนักผิวปากสบายอารมณ์ หกโมงเย็นแล้วแต่เขายังคงอยู่ที่ห้องทั้งที่ควรจะไปรอที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตามเวลานัด


‘เวลานัด’ อย่างนั้นเหรอ


ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนเบาบาง ไม่ใช่เขาสักหน่อยที่เป็นคนนัด คิดได้ดังนั้นจึงหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวี เปลี่ยนช่องไปเรื่อยกระทั่งมาหยุดที่รายการทอล์กโชว์ซึ่งมีนักแสดงตลกชื่อดังที่แค่เห็นหน้าก็ขำแล้วรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งมุกสดมุกเตี๊ยมไหลลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ สะกดผู้ชมให้จ้องตาไม่กระพริบ ขำกระจายแบบมุกต่อมุกเสียจนลืมหลายเรื่องไปเลย


ลืมไปเลย...


คันธชาติสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น นาฬิกาติดฝาผนังบอกเวลาเกือบสามทุ่ม ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนโงนเงนยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตู พบว่าคนที่ยืนรออยู่คือชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันนั่นเอง


“อ้าว ว่าไงคุณ” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ทำไมคุณไม่ไปตามนัด” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูตอบกลับด้วยคำถาม


“นัด? นัดอะไร ผมนัดคุณตอนไหน”


“ก็เมื่อเช้าไง” ธันวาควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดพร้อมทั้งพยายามปรับอารมณ์ที่กำลังกรุ่นอยู่ภายในให้เย็นลง


“เมื่อเช้า” คันธชาตินิ่งนึก “อ๋อ! นั่นน่ะเจ๊พุดดิ้งฝากมานัด” ไม่พูดเปล่า ยังหัวเราะชอบใจเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร


เมื่อได้ยินดังนั้นก็จนใจเต็มที คนฟังได้แต่พยักหน้าก่อนจะหมุนตัวกลับ


“แล้วเป็นไง อร่อยไหม”


ธันวาชะงักกึกก่อนจะตอบทั้งที่หันหลังให้ “ก็อร่อยดีนะ ทานข้าวกับใครก็ไม่รู้ วันหลังคุณลองดูสิ” พูดจบก็แตะคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องไปโดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิด


“อะไรของเขาวะ” คันธชาติเกาหัวแกรกแต่ก็ไม่วายเดินไปเคาะประตูเรียก รออยู่ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออกอีกครั้ง


“จะให้ผมทำอะไรอีก” น้ำเสียงนิ่งเรียบพอ ๆ กับใบหน้าทำเอาคนฟังเริ่มใจคอไม่ดี


“อะไรกันคุณ แค่นี้ต้องโกรธด้วยเหรอ ผมก็แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ๊พุดดิ้งก็แค่นั้นเอง”


“แล้วผมไปสัญญาอะไรด้วย แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องโกหก”


“นี่โกรธจริง ๆ เหรอเนี่ย อ่ะ ๆ ขอโทษก็ได้ ผมขอโทษก็แล้วกันที่ไม่บอกให้คุณรู้ก่อน ก็เจ๊พุดดิ้งเขาอยากจะเซอร์ไพรส์นี่นา”


“มีอะไรอีกไหม ผมอยากพักผ่อน”


“เฮ้ย! อะไรกัน ก็ผมขอโทษแล้วไงทำไมไม่หายโกรธ แล้วจะให้ทำยังไง”


“คุณมันใจร้ายมากนะ” ธันวาถอนใจเฮือกก่อนหันหลังให้ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง จัดการปลดกระดุมพับแขนเสื้อลวก ๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา แต่ความวุ่นวายก็ยังคงตามมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ


“จะโกรธอะไรนักหนา ผมก็ขอโทษแล้วไง” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนั่งลงข้าง ๆ เท้าคางมองหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย


“คุณกลับไปเถอะ”


คันธชาตินิ่วหน้า อุตส่าห์ขอโทษแล้วยังไม่หายโกรธก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ชายหนุ่มจำใจลุกขึ้นก่อนเดินคอตกออกไปจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง ธันวาก็เอนหลังพิงโซฟาอย่างหมดแรง ขณะที่ดวงตาทอดมองเพดานว่างเปล่าในใจก็เฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกโกรธมากมายขนาดนี้...


....



เมื่ออารตีเปิดประตูเข้ามาในห้องพักอาจารย์กลิ่นกรุ่นของกาแฟอย่างดีก็ลอยเตะจมูกจนหญิงสาวต้องมองหาที่มา ในที่สุดเธอก็พบกาแฟดำถ้วยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ บานหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกบานพับถูกดันออกทำให้ลมจากด้านนอกพัดเข้ามายิ่งทำให้กลิ่นนั้นหอมคลุ้งไปทั่วห้อง มองหาเจ้าของห้องแต่ก็ไม่พบ จนในที่สุดร่างสูงที่คุ้นตาก็ผลักประตูเข้ามา ในมือนอกจากจะมีเอกสารแล้วยังมีถุงซึ่งข้างในมีนมสดขวดหนึ่งกับกล่องใส่แซนวิชชิ้นโต 2-3 ชิ้น ธันวายิ้มอย่างเคยก่อนจะกล่าวทักทายนักศึกษาในที่ปรึกษา จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ มองดูกาแฟดำในถ้วยที่คิดว่าเจ้าหน้าที่ของภาควิชาน่าจะเตรียมเอาไว้ให้


“พักนี้หันมาดูแลสุขภาพเหรอคะอาจารย์ เห็นพกอาหารเช้ามาทานทุกเช้าเลย” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน มองชายหนุ่มที่ยังคงวางหน้านิ่ง


ธันวามองถุงที่วางตรงหน้า จริง ๆ ก็ไม่ได้คิดจะหันมาดูแลอาหารการกินอะไร แต่ที่ต้องหอบหิ้วนมสดกับแซนวิชมากินที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์เช่นนี้ก็เพราะมีคนพยายามจะทำความดีลบล้างความผิดต่างหาก


“ก็มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญนี่” อาจารย์หนุ่มหล่อยังคงสงวนถ้อยคำเป็นปกติ พูดแล้วก็นึกถึงกระดาษโน้ตที่ติดอยู่กับถุงที่ใครบางคนเอามาแขนไว้หน้าห้อง ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็มีอาหารเช้าติดไม้ติดมือมาทานทุกวัน


“ว่าแต่คุณเถอะ วันนี้มาทำอะไรแต่เช้า”


“รตีกับเพื่อน ๆ จะออกไปเก็บข้อมูลต่างจังหวัดค่ะ วันนี้เลยมาดำเนินการเรื่องเอกสารที่ต้องเอาติดตัวไปแสดง นี่ยังมากันไม่ครบก็เลยแวะคุยกับอาจารย์ก่อนค่ะ พี่บุ้งเป็นยังไงบ้างคะ”


คนเป็นอาจารย์ทำหน้าเหวอ แต่ในที่สุดก็สามารถเก็บอาการแล้วเปลี่ยนมาปั้นหน้านิ่งได้เหมือนเดิม “แทนที่จะถามว่าผมสบายดีไหมกลับถามถึงคนอื่น”


“อ้าว ก็เห็นอยู่แล้วนี่คะว่าอาจารย์สบายดี รตีก็เลยถามถึงพี่บุ้ง” หญิงสาวยิ้ม “นี่ก็ยังห่วงอยู่ว่าเข้าไปในนาฏยกาลจะเป็นยังไงบ้าง”


“ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่”


“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไป รตีฝากบอกพี่บุ้งด้วยนะคะ เอาไว้ว่าง ๆ รตีจะแวะไปหาที่คอนโด อยากรู้ว่าพี่บุ้งพบพ่อบ้างหรือเปล่า”


“อืม แล้วผมจะบอกให้ก็แล้วกัน”


“ถ้าอย่างนั้นรตีไม่รบกวนเวลาอาหารเช้าของอาจารย์แล้วดีกว่า รตีขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็ยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ธันวายังคงนั่งจ้องมื้อเช้าเจ้าปัญหาอยู่อย่างนั้น



....
 


คันชาติในคราบบุ๊งเดินเท้าเปล่าเตร็ดเตร่อยู่ระหว่างหน้าของตนเองกับห้องฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ รองเท้าส้นสูงที่ถอดวางเอาไว้ตั้งแต่มาถึง พลันเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายด้วยความรีบร้อน


“คุณบุ้งครับ นี่ผมศรันย์ผู้จัดการคอนโดนะครับ”


“อ้อ...ครับคุณศรัณย์ เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์แจ้งแล้วใช่ไหมครับ”


“แจ้งแล้วครับ แต่พอดีกุญแจเปิดตู้เก็บกุญแจกับคีย์การ์ดสำรองอยู่กับผม ผมออกมาทำธุระข้างนอก ยังไงรบกวนคุณบุ้งรออีกสักสามสิบนาทีนะครับ ผมกำลังจะเข้าไป”


“ได้ครับ ๆ ถ้ายังไงคุณศรัณย์กลับมาแล้วโทรหาผมก่อนนะครับ ถ้าขึ้นมาที่ห้องแล้วไม่พบผมก็ฝากคีย์การ์ดไว้กับพี่เก็จแก้วหรืออาจารย์ธันวาก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมเข้าห้องได้เมื่อไรจะรีบเอาไปคืน” คันธชาติกล่าวก่อนจะวางสาย ลมหายใจหนักถูกผ่อนออกจากปลายจมูก ดันลืมคีย์การ์ดไว้ในห้องเสียนี่ ขาเข้ามาก็ทำเนียน ๆ เดินปะปนมากับคนอื่น จะลงไปนั่งรอด้านล่างในสภาพนี้เห็นทีจะไม่ไหวก็เลยต้องมานั่งอยู่ตรงนี้


ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าเกยคางลงบนแขนจ้องมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่วันนี้ดูจะผ่านไปช้าเหลือเกิน ครู่หนึ่งสายตาก็มองเลยไปยังรองเท้าหนังคู่หนึ่งที่มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองคนที่ไม่ได้พบกันเสียหลายวัน ก่อนจะก้มมองจอโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง


“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”


“ลืมคีย์การ์ดไว้ในห้อง” ตอบทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม


“แล้วนี่แจ้งใครหรือยัง”


“แจ้งแล้ว แจ้งคุณศรัณย์ อีกสามสิบนาทีถึงจะเข้ามา”


สิ้นเสียงคันธชาติบริเวณนั้นก็กลับเงียบลง ธันวาสืบเท้าตรงไปเปิดประตูห้องก่อนจะหันกลับมาถามอีกฝ่าย “จะเข้ามารอในห้องผมก่อนไหม”


“ได้เหรอ” หน้าสวยเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเป็นประกายไม่ต่างอะไรกับสุนัขเห็นกระดูก   


“ได้สิ ผมไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ”


แม้จะรู้ว่าเป็นคำประชดประชัน แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาตั้งแง่หรือทำเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว คันธชาติผุดลุกขึ้นคว้ารองเท้าส้นสูงจากนั้นก็เดินตามเข้าไปตามคำเชิญชวน พอเข้ามาถึงก็เดินไปนั่งแหมะที่โซฟามองเจ้าของห้องที่กำลังเลื่อนประตูกระจกออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง


“หายโกรธแล้วหรือไงถึงมาพูดดีกับผม” ถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง


“ยังหรอก” เล่นถามตามตรงแบบนี้ธันวาก็ตอบตามตรงเช่นกัน


“อ้าว ไหงงั้น”


“แต่ผมจะลดโทษลงกึ่งหนึ่งก็แล้วกันแลกกับอาหารเช้าของคุณ”


คันธชาติมุ่นคิ้ว กำลังจะถามต่อแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นศรัณย์นั่นเองที่โทรมาแจ้งว่าจะนำคีย์การ์ดขึ้นมาให้ หลังจากทวนรายละเอียดกันอีกรอบเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างวางสาย


“มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ” พูดจบก็หันมองธันวาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ “เดี๋ยวคุณศรัณย์จะเอาคีย์การ์ดขึ้นมาให้ ผมให้เขาฝากคุณไว้นะ”


“ทำไมไม่ออกไปรับเองล่ะ”


“สภาพนี้เนี่ยนะ ทุกวันนี้พวกเขาก็มองผมแปลก ๆ อยู่แล้ว คงจะคิดว่าเป็นขโมยละมั้ง” คนพูดถอนใจก่อนจะผุดลุกขึ้นเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น “สงสัยจะมาแล้ว รีบไปเปิดประตูเร็วสิคุณ”


ธันวาพยักหน้า เดินไปเปิดประตูและพบว่าคนที่มาไม่ใช่ศรัณย์แต่เป็นพนักงานสาวที่มักจะนั่งประจำเคาน์เตอร์ต่างหาก เธอยืนบิดเป็นเกลียวส่งยิ้มหวานให้เจ้าของห้อง คงลืมเหตุผลในการมาไปแล้วกระมัง


“เอาคีย์การ์ดมาให้คุณคันธชาติหรือเปล่าครับ”


“อะ...เอ้อ ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะแหะก่อนจะส่งของให้


“ขอบคุณนะครับ” กำลังจะดึงประตูปิดเธอก็เอามือยันประตูไว้จนธันวาแปลกใจ


“เดี๋ยวค่ะคุณธัน”


“ครับ?”


“คุณธันรู้จักผู้หญิงสวย ๆ ตัวสูง ๆ ผมยาวไหมคะ”


“มีอะไรเหรอครับ”


“คือ...ดิฉันเห็นเธอเดินเข้าออกคอนโด 2-3 ครั้งแล้วละค่ะ แต่ไม่คุ้นหน้าเลย รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนในคอนโดเรา เผอิญเมื่อหลายวันก่อนเห็นเดินออกจากลิฟต์มาพร้อมกับคุณธัน ดิฉันไม่แน่ใจว่ารู้จักกันหรือเปล่า”


ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เสียงหวานหยาดเยิ้มหยดย้อยที่คนในห้องจงใจประดิษฐ์ก็ดังขึ้น “มีอะไรเหรอคะที่รัก” ไม่ได้มาแค่เสียง ตัวก็มาด้วย คันธชาติเดินยิ้มหวานมายืนเคียงข้างพร้อมกับคล้องแขนหมับราวกับจะประกาศให้คนมาใหม่ได้รู้


“บุ๊งเห็นคุณหายออกมาตั้งนานแล้วนะ มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” หน้าสวยเงยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มหวาน “หืม?”



...ที่รักก็ที่รัก...


ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะหันไปถามอีกคนที่ตอนนี้ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง “ใช่คนนี้หรือเปล่าครับ”


พนักงานประจำเคาน์เตอร์ทำปากพะงาบ ๆ เหมือนกับปลาที่กำลังโดนแดดเผา แดดแรงเสียด้วยสิ ยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะตอบ


“ค...ค่ะ คนนี้แหละค่ะ ที่แท้...ก...ก็แฟนคุณธันหรอกเหรอคะ แหม...โล่งใจไปทีนะคะ”


“ครับ” ธันวาตอบเพียงสั้น ๆ ไม่รู้ว่าครับให้กับประโยคไหนของเธอกันแน่


หลังจากส่งมอบของกันเรียบร้อยแล้ว พนักงานสาวก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของเธอตามเดิม ธันวาปิดประตูเดินตามคนช่างแกล้งเข้ามาในห้อง มองอีกฝ่ายที่กำลังหย่นตัวลงนั่งที่โซฟาพลางส่ายศีรษะ


“เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ คนที่ได้แกล้งคนอื่นแล้วมีความสุข”


“ผมไม่ได้แกล้งสักหน่อย ก็แค่ทำให้ตัวเองไม่ต้องถูกจับตามองแค่นั้นเอง” พูดจบก็ทำจีบปากจีบคอ “โล่งอกไปทีนะคะ”


“อะไรของคุณ ไปล้อเลียนเขาทำไม” เจ้าของห้องนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับส่งคีย์การ์ดให้


“ผมว่าเธอไม่ได้โล่งอกจริง ๆ หรอก เห็นทำหน้ายังกับแม่วัวอดกินหญ้า”


“ยังไง” คนฟังเลิกคิ้ว


“ผมว่าเธอต้องจ้องจะเคลมคุณอยู่แน่ ๆ ทำหน้าผิดหวังเสียขนาดนั้นตอนที่รู้ว่าคุณมีแฟนแล้ว นี่ผมช่วยคุณนะเนี่ย”


“ช่วยทำให้ยุ่งสิไม่ว่า” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ทำไมสิน่า...


“อ้าวคุณ ทำเป็นเล่นไป เกิดวันดีคืนดีเธอใช้มารยาหญิงขึ้นมาคุณนั่นแหละจะแย่”


“มารยาหญิงอะไรกัน”


“ก็แบบนี้นี้ไง” พูดจบผู้เชี่ยวชาญก็เริ่มทำการสาธิต...


“ว้ายยยยย!!! คุณธันคะแมลงสาบค่ะ” สวมวิญญาณบุ่งบุ๊งแล้วขยับเข้ามาใกล้เกาะแขนคนนั่งข้างกันแน่น “ตรงนั้นค่ะ มันไปตรงนั้นแล้ว อุ๊ย! มันไต่เข้ามาในเสื้อบุ๊งแล้วค่ะ”


อาจารย์หนุ่มส่ายหัวดิกมองนักแสดงเจ้าบทบาท นึกอยากจะมอบรางวัลตุ๊กตาทองให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หยุดทำอะไรประหลาด ๆ นี่สักที


“ม...มัน มันไต่เข้าไปในเสื้อคุณธันแล้วค่ะ เดี๋ยวบุ๊งช่วยจับนะคะ” พูดจบก็ใช้มือดันอกกว้างจนอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะหงายหลังลงไปนอนแผ่กับโซฟา ดีที่เอาศอกข้างหนึ่งยันไว้ได้ทัน


ธันวาจ้องตาคู่งามที่เขียนเน้นขอบจนคมชัด จู่ ๆ ที่ใต้อกเสื้อมันก็ดังโครมครามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวเหลือเกินว่ามือที่สัมผัสอยู่กับหน้าอกที่มีเพียงเนื้อผ้าบางกั้นกลางจะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้น คิดจะปัดมืออกหน้าสวยโน้มเข้าใกล้ก่อนจะกระซิบ


“ใจคุณธันเต้นแรงจังเลยค่ะ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ “เป็นไงคุณ ผมตีบทแตกไหม”


คนถูกถามไม่ได้ตอบ หากแต่คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ จับร่างกดลงกับโซฟาก่อนจะแทรกเข่าลงระหว่างขาทั้งสองข้างตรึงร่างอีกฝ่ายให้หยุดนิ่ง


“เฮ้ย! คุณจะทำอะไรเนี่ย” คำถามเมื่อครู่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเมื่อริมฝีปากของคนบนร่างยังปิดสนิท แถมใกล้เข้ามาจนต้องเอียงหน้าหนี ใจเต้นระส่ำเมื่อลมหายใจอุ่นรดลงบนผิวแก้ม


นิ้วหนาเขี่ยปอยผมที่บดบังพวงแก้มใสและช่วงคอระหงออกก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้


ใกล้...


ก่อนจะกระซิบเสียจนชิดริมหู “ผมก็แค่จะบอกคุณพนักงานประจำเคาน์เตอร์ว่าอย่าเที่ยวไปทำแบบนี้กับผู้ชายคนไหน เพราะเขาจะไม่ปล่อยคุณไปแบบผมแน่ ๆ” พูดจบก็ผละออกเอนหลังพิงโซฟามองคันธชาติที่ยังคงอยู่ในอารามตกใจ ดวงตาไหวระริก อ้าปากค้าง


“ถึงกับหน้าซีดเลยเหรอ” อาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี 


“เล่นบ้าอะไรเนี่ย ตกใจหมด” เจ้าของหน้าสวยผุดลุกขึ้นพร้อมกับรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ไม่วายส่งสายตาขุ่น ๆ ให้คนที่กำลังอมยิ้ม


“ก็ไม่เห็นสั่งคัท ผมก็เล่นไปตามน้ำ”


“ค...คุณนี่มัน...” คันธชาติถอนใจเฮือก ไม่คิดว่าดาบนั้นจะคืนสนองรวดเร็วเช่นนี้ คงจริงอย่างที่ผู้ใหญ่มักพูดกันว่าเดี๋ยวนี้กรรมติดจรวด มาเร็วเคลมเร็วจริง ๆ “ฮึ่ย! ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” พูดจบก็ลุกพรวดขึ้นเดินอ้าวไปที่ประตู


“เดี๋ยวสิ”


“อะไรอีก”


“ครั้งนี้คุณติดหนี้ผมนะ”


“แล้วจะเอายังไง” ร่างสูงกล่าวทั้งที่หันหลังให้


“เอาเป็น...ข้าวสักมื้อก็แล้วกัน”


คนฟังโบกไม้โบกมือส่ง ๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องพูดอะไรกันมากความก่อนจะกล่าว “เออ ๆๆ เมื่อไรก็บอกมา ผมกลับห้องละ” พูดจบก็เปิดประตูออกจากห้องไป นี่ถ้าไม่สวมวิกผมยาวนั่นคนมองตามคงได้เห็นใบหูแดงแปร๊ดแน่ ๆ


แดงแปร๊ด...


...แดงพอ ๆ กับแก้มสองข้าง...



....



หลังจากติดตามพุฒิพงศ์เข้าไปทำงานในนาฏยกาล คันธชาติก็เริ่มสนิทสนมกับบรรดาสาว ๆ นักแสดงในโรงละคร มีก็แต่อัญชลิสาที่สร้างช่องว่างระหว่างกั้นกลางระหว่างตัวเองกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคันธชาติ ในสายตาของเขาเธอก็เหมือนผีเสื้อตัวน้อยที่โบยบินไปในอากาศ สยายปีกสง่างามให้แมลงอื่น ๆ ต้องอิจฉา ความสวยงามดึงดูดให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่พากันหลงใหล แต่ผีเสื้อตัวนี้กลับปรารถนาเพียงเกสรหอมหวานจากดอกไม้เท่านั้น


ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะรูปวงรีซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเฉพาะกิจเกี่ยวกับละครเวทีเรื่องใหม่ของนาฏยกาลซึ่งจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดูเธอจะเป็นคนโปรดของอัศนัยจริงตามที่ใคร ๆ ว่า เพราะเธอได้รับสิทธิ์พิเศษให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย


“วันนี้ผมอยากให้คุณพ่อได้เข้าร่วมประชุมกับพวกเราด้วย” อัศนัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวก่อนจะหันไปทางประตูที่กำลังเปิดออก ครู่หนึ่งชายในชุดซาฟารีสีกรมท่าก็เข็นรถเข็นซึ่งมีคนนั่งมาด้วยเข้ามา


คันธชาติมองชายวัยกลางคนเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย พลางนึกถึงเรื่องที่อารตีเล่าว่าพ่อของเธอตกบันไดจนเป็นอัมพาตมาร่วมปี หากไม่นับเรื่องใบหน้าที่อิดโรยกับดวงตาล่องลอยไม่รู้ว่ากำลังมองหรือคิดอะไรอยู่ ดูเผิน ๆ แล้วเสี่ยอนันต์คนนี้ก็เหมือนคนปกติที่แค่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้นเอง


การประชุมเริ่มต้นด้วยการชี้แจงวัตถุประสงค์ของการทำละครเวทีเรื่องใหม่ จากนั้นก็ต่อด้วยการพิจารณาชื่อเรื่อง นักแสดง ราคาบัตรเข้าชม จำนวนรอบที่จะทำการแสดงรวมถึงช่องทางประชาสัมพันธ์ ซึ่งใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง กระทั่งมาถึงการพิจาณาชุดสำหรับสวมใส่ระหว่างทำการแสดง


“เอาเป็นว่าผมเลือกเซ็ตนี้ก็แล้วกันนะครับ ดูมันเข้ากับเนื้อเรื่องที่เป็นแฟนตาซีดี” พูดจบอัศนัยก็ใช้เลเซอร์พอยน์เตอร์ชี้ที่แบบชุดซึ่งถูกฉายจากเครื่องฉายขึ้นไปบนระนาบรองรับ “หรือคุณว่ายังไงอัญชลิสา”


“อันเห็นด้วยกับคุณอัศนัยค่ะ ถ้ายึดตามเซ็ตนี้ ชุดของอัน อันอยากจะให้ปักเลื่อมเพิ่มลงไปหน่อย เวลาเจอกับแสงไฟบนเวทีจะได้ดูวิบวับเหมาะเป็นชุดของหญิงสูงศักดิ์ ไม่เรียบชืดเกินไป”


ทุกคนพยักหน้าเห็นตามความเห็นของนางเอกละครเวที ในขณะที่คันธชาติเองก็จดรายละเอียดลงในสมุดไปด้วย


“เอาละค่ะ ก็เป็นอันสรุปว่าแบบชุดที่ทางเราเลือกสำหรับเป็นชุดใส่แสดงในละครเวทีเรื่องหน้ากากดอกไม้ซึ่งจะมีขึ้นในกลางปีนี้ เป็นชุดในเซ็ตที่สองตามที่คุณพุฒิพงศ์ออกแบบมานะคะ สักต้นเดือนหน้าเราจะนัดประชุมเพื่อติดตามงานอีกครั้ง ในส่วนของวันเวลาจะแจ้งให้ทุกคนทราบอีกครั้งค่ะ” เลขาร่างอ้อนแอ้นสรุปก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่วางอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นานประธานซึ่งก็คือลูกชายเจ้าของกิจการก็กล่าวปิดการประชุม ทีมงานเบื้องหลังทยอยกันเดินออกจากห้องในขณะที่ทีมเขียนบทบางส่วนยังคงใช้สถานที่นั่งคุยงานต่อ


“พอดีผมมีประชุมกับทีมเขียนบทต่อ อยากให้คุณนั่งไปกับนายพัน พาคุณพ่อกลับไปส่งที่บ้านหน่อย ผมไม่ไว้ใจใครนอกจากคุณ” อัศนัยเอ่ยขึ้นกับอัญชลิสาที่กำลังจะลุกขึ้น


“ได้สิคะ” เจ้าของร่างอรชรกล่าวก่อนจะเดินตรงไปพูดคุยกับคนขับรถของบ้านนาฏยะเพียงไม่กี่คำ จากนั้นเขาก็เข็นรถเข็นออกไป


....
 


พุฒิพงศ์เดินคล้องแขนคันธชาติออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมที่ปรับอุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยท่าทางร่างเริงสุดขีด นั่นเพราะงานนี้เป็นงานใหญ่และเขาก็ตั้งใจเอาไว้มาก


“ดีใจด้วยนะเจ๊”


“ขอบใจจ้ะบุ่งบุ๊ง”


“ดูสิ น้ำตาซึมเลย” พูดจบก็ใช้ปลายนิ้วซับน้ำใสที่ซึมอยู่ที่หางตาของคนตัวเตี้ยกว่า


“มันตื้นตันน่ะ ไม่เคยได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่างเสี่ยอนันต์ก็เป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครที่ทำขึ้นในโอกาสที่เสี่ยอายุครบห้าสิบเก้าปี ถ้ามีคนมาดูเยอะ ๆ ห้องเสื้อพุทธรักษาของเจ๊ก็จะเป็นที่รู้จัก”


“บุ๊งว่าถึงตอนนั้นคงต้องทำงานกันมือระวิงแน่ ๆ เลย”


“อือ” พุฒิพงศ์กล่าวด้วยหัวใจพองโต “ตอนนั้นคงเหนื่อยน่าดู”


“เอาน่า เหนื่อยกับงานดีที่ตัวเองรักน่ะดีใจตาย”


“เจ๊ขอบใจมากนะ”


“อย่ามาทำซึ้งน่า เดี๋ยวมาสคาร่าเยิ้มนะเจ๊”


การสนทนาของทั้งคู่ต้องหยุดลงเมื่อเสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นหินแกรนิตดังใกล้เข้ามา เป็นคุณเลขาสาวเทียมนั่นเองที่วิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางเดิน เธอชะลอฝีเท้าลง หยุดหอบตัวโยนก่อนจะกล่าวติด ๆ ขัด ๆ


“ช..โชค โชคดีจังค่ะ ท...ที่คุณสองคนยังไม่ไปไหน” พูดไปก็หอบไป


“มีอะไรเหรอคะ” พุฒิพงศ์ถามอย่างหวั่นใจ กลัวว่าเลขาสาวคนนี้จะมาดับฝันเมื่อครู่


“คือ...คุณอัศนัยเชิญคุณบุ๊งไปพบที่ห้องค่ะ”


สองคนหันขวับสบตากันโดยอัตโนมัติ


“เจ๊! ไปด้วยกัน” กำลังลังจะคว้ามืออีกฝ่ายก็ถูกคุณเลขาหน้าสวยขัดขึ้น


“เอ่อ...คือคุณอัศนัยกำชับว่าเธอต้องการพบคุณบุ๊งคนเดียวค่ะ ช...เชิญทางนี้ค่ะ” พูดจบเธอก็ผายมือไปทางทิศที่วิ่งมา
 ถึงตอนนี้คันธชาติก็ทำได้เพียงสบตาพุดดิ้งพลางพยักหน้าให้มั่นใจว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ก่อนจะเดินตามร่างระหงไปในที่สุด...



....


เขียนแล้วมันยืดเยื้อ ขออนุญาตตัดไปเป็นตอนที่ 10 นะคะ แล้วจะรีบมาต่อค่ะ ^^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2015 00:55:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 716
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
แค่นี้?? จริงดิ๊!!!! เค้าค้างน้าาาา :ling1:

คุณเล็กคิดจะเคลมบุ้งป่ะเนี่ย5555

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
บุ้งใจร้ายยยยยย หลอกให้ ดร.ปลายปี มีความหวัง น่าสงสาร ดร.
โดนงอนเลยไง แต่ชื่นชมในความพยายามจะง้อด้วยของกิน
ว่าแต่ไปกันซีนสาวให้ ดร. ทำไม ดร. ไม่ได้ขอให้ช่วยเล้ย
ความหวงส่วนตัวรึเปล่าจ๊ะบุ้ง

กำลังตื่นเต้น ตัดฉับ! :serius2:

ปล.เห็นบางประโยคแปลกๆค่ะ ^^

/ชุดที่สวมใส่ก็ยังคงเป็นชุดเดิม ทั้งที่ (เมื่อ) ตั้งใจจะงีบสักเดี๋ยวแล้วค่อยอาบน้ำ

/ต่างฝ่ายต่าง (มี) แปลกใจ

/กระทั่งบ่ายคล้อยจึง (ออกไปหาเดินยืดเส้นยืดสาย) แถวร้านสะดวกซื้อ

/ธันวาความคุมน้ำเสียง (ห้) เป็นปกติที่สุด

/อะไรกันคุณ (แต่) นี้ต้องโกรธด้วยเหรอ

/พูดแล้วก็นึกถึงกระดาษโน้ตที่ติดอยู่กับถุงที่ใครบางคนเอามา (แขน) ไว้หน้าห้อง

/คันชาติในคราบบุ๊งเดินเท้าเปล่าเตร็ดเตร่อยู่ระหว่าง(หน้าของของตนเอง) กับห้องฝั่งตรงข้าม

/ชายหนุ่ม (...) ลงข้าง ๆ รองเท้าส้นสูงที่ถอดวางเอาไว้ตั้งแต่มาถึง

/ดวงตาเป็นประกาย (ราวนั่น) ไม่ต่างอะไรกับสุนัขเห็นกระดูก

/เจ้าของห้องที่กำลังเลื่อนประตู (กระ) ออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง

/คงลืม (ไปเหตุผล) ในการมาไปแล้ว

/คันธชาติเดินยิ้มหวานมา (ยืนยืน) เคียงข้างพร้อมกับคล้องแขนหมับราวกับจะประกาศให้คนมาใหม่ได้รู้

/คิดจะปัด (มืออก) หน้าสวยโน้มเข้าใกล้ก่อนจะกระซิบ

/โต๊ะรูปวงรีซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเฉพาะกิจสำหรับ (พิจรณา)แบบชุดในละครเวที

/ใบหน้าที่อิดโรยกับดวงตาล่องลอยไม่รู้ว่า (กลำลัง) มองหรือคิดอะไรอยู่

/จาก (นั้นนั้น) พิจารณา ชื่อเรื่อง นักแสดง

/ อัศนัยเอ่ยขึ้นกับอัญชลิสาที่กำลัง (ลุกจะลุกขึ้น)

/พุฒิพงศ์เดินคล้องแขนคันธชาติออกมาจาก (ของ) ห้องสี่เหลี่ยมที่ปรับอุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยท่าทางร่างเริงสุดขีด

/ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครที่ทำขึ้นในโอกาสที่ (เสี่ยว) อายุครบห้าสิบเก้าปี


ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใดเลยค่ะนอกจากความมุ้งมิ้งของคุณพนักงานประจำเคาเตอร์กับดร.ธันวา

ตอนนี้ตัวบุ้งเขินด้วยอ่ะ แก้มแดงหูแดง หู้ยยยยยยย น่ารักกกกกก
ไงล่ะจ้ะ >_< ไปแกล้งเค้าไว้เยอะ โดนเอาคืนมั้งเลย
แถมเอาคืนได้ร้ายมากด้วย ในใจเรานี่ลุ้นตัวโก่ง ดร.ธันวาอย่าปล่อยไปง่ายๆ สิคะ
แบบนี้มันต้องจับมาตีก้นให้เข็ดค่ะ ไหนจะหลอกให้ไปกินข้าวกับเจ้พุดดิ้ง
ไหนจะมาเล่นละครตบตาคนอื่นอีก ตัวบุ้งนี่มันตัวยุ่งจริงๆ 5555555555

แต่ก็ถือว่าดีนะคะ หลังจากนี้ไปทุกคนจะได้รู้ว่าดร.ธันวามีแฟนแล้ว
แฟนสวยด้วย แอร๊ยยยยยยยยยยยย  :-[ 5555555555

เรารู้สึกว่าตอนนี้น่ารักมากเลย อ่านไปยิ้มไปขำไป เขินด้วย 55555

แต่ท้ายตอนนี่คือแบบ...เอาแล้วไง -O-
คุณเล็กเรียกคนสวยของเค้าไปหาทำไม โอ้ยยยยยย
เอาตัวรอดกลับมาให้ได้นะตัวยุ่ง !! สวยเป็นภัยแบบนี้อยากส่งบอดี้การ์ดไปตามประกบสักสองคน
อยากรู้ว่าคุณเล็กจะคุยกับตัวยุ่งเรื่องอะไร ... ?

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ 

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
รู้สึกฟินแบบแปลกๆทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่  :o8:

บุ๊งขี้อ่อย
โดนดร.ธันวาหยอดกลับเสียนี่
ทำไปนี่ไม่ได้หวังผลเลยนะบุ๊ง
ที่ช่วยกันชะนีให้คุณดร.เธอน่ะ

บุ๊งจะโดน......อะไรเอ่ย?
มิน่าถึงได้ส่งกิ๊กคนปัจจุบันไปกับพ่อ

ขอว่าบุ๊งหน่อยเถอะ
ที่นัดดร.ธันวาไปทานข้าวกับคุณพุดเดิ้ล เอ๊ย พุดดิ้งเนี่ยเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างมาก
คือถ้าเป็นเพื่อนอย่างคุณตำรวจที่รู้จักมานานก็โอเคในระดับหนึ่งคือทำได้เพราะคบกันมานาน
แต่กับดร.ธันวานี่ไม่ใช่ ถ้าจะขอให้ไปทานกับพี่พุดดิ้งจริงๆก็น่าจะบอกไว้ก่อนหรือขอตรงๆซึ่งอีกฝ่ายก็คงจะยอมช่วยอยู่
ไม่ก็สมควรไปด้วย ไม่ใช่หลอกให้ไปแบบนั้น ไ่ม่งามมากๆ
เป็นฝรั่งเผลอๆเลิกคบเลยนะ
บอกนิสัยซนๆ(เกรียนได้ไหม?)ของบุ๊งได้เลย

ขอบคุณมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ ค้างค่ะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
จะรอดปากเหยี่ยวปากกาไหมเนี่ยบุ่งบุ๊ง

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
เรียกไปทำไมกันน้า  :katai1:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อีตาอัศนัยเรียกน้องบุ้งเข้าไปพบทำไม ระวังตัวด้วยน้องบุ้ง

ออฟไลน์ pim-lovemj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :katai1: ตัดจบ อ๊ากกกกกกกกก
 :katai4: รอติดตามคร่า น้องบุ๊งจะรอดปลอดภัยออกมาจากห้องคุณอัศนัยหรือเปล่าน้า
 :o8: แหม ดร.ปลายปีคะ เริ่มมีฉากเซอร์วิส เลิกเขินแล้วหราาาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด