ตอนที่ 9 เกือบไปแล้ว (1)
แสงอาทิตย์ยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทักทาย ร่างสูงที่กำลังซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนนุ่มเริ่มขยับตัวอีกครั้งหลังจากได้นอนหลับสนิทตลอดคืน คันธชาตินอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนโซฟา ชุดที่สวมใส่ก็ยังคงเป็นชุดเดิม ทั้งที่ตั้งใจเมื่อคืนตั้งใจจะงีบสักเดี๋ยวแล้วค่อยอาบน้ำล้างหน้าล้างตาแต่ความเหนื่อยล้ากลับทำให้หลับเป็นตายถึงเช้า ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นในขณะที่มือหนึ่งก็ลูบแก้มตัวเองเบา ๆ ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ภาพสุดท้ายในห้วงคำนึงคือภาพของหญิงสาวอันเป็นที่รัก สัมผัสของเธอช่างอ่อนโยนและนุ่มนวลไม่มีเปลี่ยนแปลง แม้มันจะเป็นเพียงฝันก็ตาม...
“ที่แท้ก็ฝันเหรอวะเนี่ย” ตบแก้มตัวเองเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ ๆ
หลังจากปล่อยให้สายน้ำชำระล้างความอ่อนล้าและคราบเครื่องสำอางแล้ว ร่างสูงก็กลับออกมาอีกครั้งในชุดลำลอง เดินไปเดินมารอบห้องพลางสอดส่ายสายตาหาบางอย่างในขณะที่มือหนึ่งก็จับผ้าขนหนูขยี้ผมให้แห้ง ในที่สุดคันธชาติก็พบสิ่งที่กำลังหา ซิลิโคนบรากับวิกผมถูกวางไว้ด้วยกันบนโต๊ะ ส่วนรองเท้าส้นสูงก็วางเก็บอยู่บนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ นึกไปถึงคนที่ช่วยจัดการมันให้ เงยหน้ามองนาฬิกาติดฝาผนังเห็นว่าน่าจะยังไม่ได้เวลาที่อีกฝ่ายออกไปทำงาน จึงเปิดประตูพรวดตั้งใจจะไปขอบคุณตามมารยาท แต่แล้วเมื่อประตูเปิดออกก็ต้องชักปลายเท้ากลับเมื่อพบว่าธันวากำลังยืนอยู่ตรงหน้า ต่างฝ่ายต่างมีแปลกใจ ก่อนจะเป็นธันวาที่ยื่นถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ให้
“ผมไปทานข้าวมาเลยซื้อมาฝาก”
คันธชาติรับมันมาอย่างงง ๆ ถือโอกาสกล่าวขอบคุณทั้งเรื่องปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะ” คนมาดนิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ทันทีที่พูดจบก็เตรียมจะเดินจากไป
“เย็นนี้คุณว่างไหม”
คำถามนั้นทำให้ธันวาต้องเหลียวกลับมามองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ตอนนี้หัวเหอยุ่งเหยิงไปหมด
“ว่าไงนะ”
“ผมถามว่าตอนเย็นคุณว่าไหม จะชวนไปทานข้าว”
“ชวนผมเหรอ” เจ้าของร่างสูงกล่าวอย่างแปลกใจพลางชี้ที่ตัวเอง มองอีกฝ่ายที่กำลังชะเง้อมองขวาทีซ้ายทีจนน่าสงสัย “แล้วนี้มองหาใคร”
“มองหาหมาไง ไม่เห็นมีสักตัว” คันธชาติถอนใจ “ผมชวนคุณนั่นแหละ ก็ยืนคุยกันอยู่สองคนจะชวนใคร”
คนฟังส่ายศีรษะให้กับลีลากวนประสาทก่อนจะตั้งคำถามพร้อมกับมองคนตรงหน้าด้วยสายตาจับผิด “มีแผนอะไรอีกหรือเปล่า”
“ไม่มี้!!!” ร่างสูงพอ ๆ กันไหวไหล่ไม่ยี่หระ “สรุปว่าว่างหรือเปล่าล่ะ”
“ว่าง”
“เอาเป็นว่าคุณรับปากผมแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นหกโมงเย็นไปเจอกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้กับห้องเสื้อพุทธรักษา คิดคุณน่าจะรู้จัก”
ธันวาพยักหน้าก่อนจะเดินจากไป ไม่ได้เอะใจสงสัยในรอยยิ้มของอีกฝ่ายเลยสักนิด...
....
คันธชาติใช้เวลาเกือบทั้งวันขลุกอยู่แต่ในห้อง หากไม่อ่านข่าวตัดจากหนังสือพิมพ์เก่า ค้นหาข้อมูลจากอินทอร์เน็ต ก็ดูรูปที่สั่งพิมพ์จากโทรศัพท์มือถือของกิ่งดาว...รอยสักรูปดอกไม้นั่น กระทั่งบ่ายคล้อยจึงออกไปเดินยืดเส้นยืดสายหาอะไรกินแถวร้านสะดวกซื้อใกล้คอนโดจากนั้นก็กลับมาทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ
มองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ตอนนี้เข็มสั้นและเข็มยาวต่างก็อยู่ในฝั่งตรงข้ามเรียงตัวเป็นเส้นตรงทำมุมตั้งฉากกับฐาน ชายหนุ่มจึงลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปนั่งที่โซฟาเอนหลังพิงพนักผิวปากสบายอารมณ์ หกโมงเย็นแล้วแต่เขายังคงอยู่ที่ห้องทั้งที่ควรจะไปรอที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตามเวลานัด
‘เวลานัด’ อย่างนั้นเหรอ
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแสนเบาบาง ไม่ใช่เขาสักหน่อยที่เป็นคนนัด คิดได้ดังนั้นจึงหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวี เปลี่ยนช่องไปเรื่อยกระทั่งมาหยุดที่รายการทอล์กโชว์ซึ่งมีนักแสดงตลกชื่อดังที่แค่เห็นหน้าก็ขำแล้วรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ทั้งมุกสดมุกเตี๊ยมไหลลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ สะกดผู้ชมให้จ้องตาไม่กระพริบ ขำกระจายแบบมุกต่อมุกเสียจนลืมหลายเรื่องไปเลย
ลืมไปเลย...
คันธชาติสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น นาฬิกาติดฝาผนังบอกเวลาเกือบสามทุ่ม ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนโงนเงนยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองก่อนจะเดินไปเปิดประตู พบว่าคนที่ยืนรออยู่คือชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันนั่นเอง
“อ้าว ว่าไงคุณ” ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยถ้อยคำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมคุณไม่ไปตามนัด” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูตอบกลับด้วยคำถาม
“นัด? นัดอะไร ผมนัดคุณตอนไหน”
“ก็เมื่อเช้าไง” ธันวาควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดพร้อมทั้งพยายามปรับอารมณ์ที่กำลังกรุ่นอยู่ภายในให้เย็นลง
“เมื่อเช้า” คันธชาตินิ่งนึก “อ๋อ! นั่นน่ะเจ๊พุดดิ้งฝากมานัด” ไม่พูดเปล่า ยังหัวเราะชอบใจเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
เมื่อได้ยินดังนั้นก็จนใจเต็มที คนฟังได้แต่พยักหน้าก่อนจะหมุนตัวกลับ
“แล้วเป็นไง อร่อยไหม”
ธันวาชะงักกึกก่อนจะตอบทั้งที่หันหลังให้ “ก็อร่อยดีนะ ทานข้าวกับใครก็ไม่รู้ วันหลังคุณลองดูสิ” พูดจบก็แตะคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องไปโดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิด
“อะไรของเขาวะ” คันธชาติเกาหัวแกรกแต่ก็ไม่วายเดินไปเคาะประตูเรียก รออยู่ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
“จะให้ผมทำอะไรอีก” น้ำเสียงนิ่งเรียบพอ ๆ กับใบหน้าทำเอาคนฟังเริ่มใจคอไม่ดี
“อะไรกันคุณ แค่นี้ต้องโกรธด้วยเหรอ ผมก็แค่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ๊พุดดิ้งก็แค่นั้นเอง”
“แล้วผมไปสัญญาอะไรด้วย แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้องโกหก”
“นี่โกรธจริง ๆ เหรอเนี่ย อ่ะ ๆ ขอโทษก็ได้ ผมขอโทษก็แล้วกันที่ไม่บอกให้คุณรู้ก่อน ก็เจ๊พุดดิ้งเขาอยากจะเซอร์ไพรส์นี่นา”
“มีอะไรอีกไหม ผมอยากพักผ่อน”
“เฮ้ย! อะไรกัน ก็ผมขอโทษแล้วไงทำไมไม่หายโกรธ แล้วจะให้ทำยังไง”
“คุณมันใจร้ายมากนะ” ธันวาถอนใจเฮือกก่อนหันหลังให้ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง จัดการปลดกระดุมพับแขนเสื้อลวก ๆ ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา แต่ความวุ่นวายก็ยังคงตามมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ
“จะโกรธอะไรนักหนา ผมก็ขอโทษแล้วไง” พูดจบก็ทิ้งตัวลงนั่งลงข้าง ๆ เท้าคางมองหน้าบูดบึ้งของอีกฝ่าย
“คุณกลับไปเถอะ”
คันธชาตินิ่วหน้า อุตส่าห์ขอโทษแล้วยังไม่หายโกรธก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ชายหนุ่มจำใจลุกขึ้นก่อนเดินคอตกออกไปจากห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง ธันวาก็เอนหลังพิงโซฟาอย่างหมดแรง ขณะที่ดวงตาทอดมองเพดานว่างเปล่าในใจก็เฝ้าหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมต้องรู้สึกโกรธมากมายขนาดนี้...
....
เมื่ออารตีเปิดประตูเข้ามาในห้องพักอาจารย์กลิ่นกรุ่นของกาแฟอย่างดีก็ลอยเตะจมูกจนหญิงสาวต้องมองหาที่มา ในที่สุดเธอก็พบกาแฟดำถ้วยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ บานหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกบานพับถูกดันออกทำให้ลมจากด้านนอกพัดเข้ามายิ่งทำให้กลิ่นนั้นหอมคลุ้งไปทั่วห้อง มองหาเจ้าของห้องแต่ก็ไม่พบ จนในที่สุดร่างสูงที่คุ้นตาก็ผลักประตูเข้ามา ในมือนอกจากจะมีเอกสารแล้วยังมีถุงซึ่งข้างในมีนมสดขวดหนึ่งกับกล่องใส่แซนวิชชิ้นโต 2-3 ชิ้น ธันวายิ้มอย่างเคยก่อนจะกล่าวทักทายนักศึกษาในที่ปรึกษา จากนั้นจึงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ มองดูกาแฟดำในถ้วยที่คิดว่าเจ้าหน้าที่ของภาควิชาน่าจะเตรียมเอาไว้ให้
“พักนี้หันมาดูแลสุขภาพเหรอคะอาจารย์ เห็นพกอาหารเช้ามาทานทุกเช้าเลย” หญิงสาวกล่าวก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน มองชายหนุ่มที่ยังคงวางหน้านิ่ง
ธันวามองถุงที่วางตรงหน้า จริง ๆ ก็ไม่ได้คิดจะหันมาดูแลอาหารการกินอะไร แต่ที่ต้องหอบหิ้วนมสดกับแซนวิชมากินที่มหาวิทยาลัยเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์เช่นนี้ก็เพราะมีคนพยายามจะทำความดีลบล้างความผิดต่างหาก
“ก็มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญนี่” อาจารย์หนุ่มหล่อยังคงสงวนถ้อยคำเป็นปกติ พูดแล้วก็นึกถึงกระดาษโน้ตที่ติดอยู่กับถุงที่ใครบางคนเอามาแขนไว้หน้าห้อง ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็มีอาหารเช้าติดไม้ติดมือมาทานทุกวัน
“ว่าแต่คุณเถอะ วันนี้มาทำอะไรแต่เช้า”
“รตีกับเพื่อน ๆ จะออกไปเก็บข้อมูลต่างจังหวัดค่ะ วันนี้เลยมาดำเนินการเรื่องเอกสารที่ต้องเอาติดตัวไปแสดง นี่ยังมากันไม่ครบก็เลยแวะคุยกับอาจารย์ก่อนค่ะ พี่บุ้งเป็นยังไงบ้างคะ”
คนเป็นอาจารย์ทำหน้าเหวอ แต่ในที่สุดก็สามารถเก็บอาการแล้วเปลี่ยนมาปั้นหน้านิ่งได้เหมือนเดิม “แทนที่จะถามว่าผมสบายดีไหมกลับถามถึงคนอื่น”
“อ้าว ก็เห็นอยู่แล้วนี่คะว่าอาจารย์สบายดี รตีก็เลยถามถึงพี่บุ้ง” หญิงสาวยิ้ม “นี่ก็ยังห่วงอยู่ว่าเข้าไปในนาฏยกาลจะเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่”
“เหรอคะ ถ้าอย่างนั้นก็โล่งอกไป รตีฝากบอกพี่บุ้งด้วยนะคะ เอาไว้ว่าง ๆ รตีจะแวะไปหาที่คอนโด อยากรู้ว่าพี่บุ้งพบพ่อบ้างหรือเปล่า”
“อืม แล้วผมจะบอกให้ก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นรตีไม่รบกวนเวลาอาหารเช้าของอาจารย์แล้วดีกว่า รตีขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบเธอก็ยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ธันวายังคงนั่งจ้องมื้อเช้าเจ้าปัญหาอยู่อย่างนั้น
....
คันชาติในคราบบุ๊งเดินเท้าเปล่าเตร็ดเตร่อยู่ระหว่างหน้าของตนเองกับห้องฝั่งตรงข้ามที่เจ้าของยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ชายหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ รองเท้าส้นสูงที่ถอดวางเอาไว้ตั้งแต่มาถึง พลันเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายด้วยความรีบร้อน
“คุณบุ้งครับ นี่ผมศรันย์ผู้จัดการคอนโดนะครับ”
“อ้อ...ครับคุณศรัณย์ เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์แจ้งแล้วใช่ไหมครับ”
“แจ้งแล้วครับ แต่พอดีกุญแจเปิดตู้เก็บกุญแจกับคีย์การ์ดสำรองอยู่กับผม ผมออกมาทำธุระข้างนอก ยังไงรบกวนคุณบุ้งรออีกสักสามสิบนาทีนะครับ ผมกำลังจะเข้าไป”
“ได้ครับ ๆ ถ้ายังไงคุณศรัณย์กลับมาแล้วโทรหาผมก่อนนะครับ ถ้าขึ้นมาที่ห้องแล้วไม่พบผมก็ฝากคีย์การ์ดไว้กับพี่เก็จแก้วหรืออาจารย์ธันวาก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมเข้าห้องได้เมื่อไรจะรีบเอาไปคืน” คันธชาติกล่าวก่อนจะวางสาย ลมหายใจหนักถูกผ่อนออกจากปลายจมูก ดันลืมคีย์การ์ดไว้ในห้องเสียนี่ ขาเข้ามาก็ทำเนียน ๆ เดินปะปนมากับคนอื่น จะลงไปนั่งรอด้านล่างในสภาพนี้เห็นทีจะไม่ไหวก็เลยต้องมานั่งอยู่ตรงนี้
ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าเกยคางลงบนแขนจ้องมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่วันนี้ดูจะผ่านไปช้าเหลือเกิน ครู่หนึ่งสายตาก็มองเลยไปยังรองเท้าหนังคู่หนึ่งที่มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า คันธชาติเงยหน้าขึ้นมองคนที่ไม่ได้พบกันเสียหลายวัน ก่อนจะก้มมองจอโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“ลืมคีย์การ์ดไว้ในห้อง” ตอบทั้งที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม
“แล้วนี่แจ้งใครหรือยัง”
“แจ้งแล้ว แจ้งคุณศรัณย์ อีกสามสิบนาทีถึงจะเข้ามา”
สิ้นเสียงคันธชาติบริเวณนั้นก็กลับเงียบลง ธันวาสืบเท้าตรงไปเปิดประตูห้องก่อนจะหันกลับมาถามอีกฝ่าย “จะเข้ามารอในห้องผมก่อนไหม”
“ได้เหรอ” หน้าสวยเงยขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเป็นประกายไม่ต่างอะไรกับสุนัขเห็นกระดูก
“ได้สิ ผมไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ”
แม้จะรู้ว่าเป็นคำประชดประชัน แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาตั้งแง่หรือทำเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว คันธชาติผุดลุกขึ้นคว้ารองเท้าส้นสูงจากนั้นก็เดินตามเข้าไปตามคำเชิญชวน พอเข้ามาถึงก็เดินไปนั่งแหมะที่โซฟามองเจ้าของห้องที่กำลังเลื่อนประตูกระจกออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง
“หายโกรธแล้วหรือไงถึงมาพูดดีกับผม” ถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“ยังหรอก” เล่นถามตามตรงแบบนี้ธันวาก็ตอบตามตรงเช่นกัน
“อ้าว ไหงงั้น”
“แต่ผมจะลดโทษลงกึ่งหนึ่งก็แล้วกันแลกกับอาหารเช้าของคุณ”
คันธชาติมุ่นคิ้ว กำลังจะถามต่อแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เป็นศรัณย์นั่นเองที่โทรมาแจ้งว่าจะนำคีย์การ์ดขึ้นมาให้ หลังจากทวนรายละเอียดกันอีกรอบเรียบร้อยแล้วต่างคนก็ต่างวางสาย
“มาเร็วกว่าที่คิดแฮะ” พูดจบก็หันมองธันวาซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ “เดี๋ยวคุณศรัณย์จะเอาคีย์การ์ดขึ้นมาให้ ผมให้เขาฝากคุณไว้นะ”
“ทำไมไม่ออกไปรับเองล่ะ”
“สภาพนี้เนี่ยนะ ทุกวันนี้พวกเขาก็มองผมแปลก ๆ อยู่แล้ว คงจะคิดว่าเป็นขโมยละมั้ง” คนพูดถอนใจก่อนจะผุดลุกขึ้นเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น “สงสัยจะมาแล้ว รีบไปเปิดประตูเร็วสิคุณ”
ธันวาพยักหน้า เดินไปเปิดประตูและพบว่าคนที่มาไม่ใช่ศรัณย์แต่เป็นพนักงานสาวที่มักจะนั่งประจำเคาน์เตอร์ต่างหาก เธอยืนบิดเป็นเกลียวส่งยิ้มหวานให้เจ้าของห้อง คงลืมเหตุผลในการมาไปแล้วกระมัง
“เอาคีย์การ์ดมาให้คุณคันธชาติหรือเปล่าครับ”
“อะ...เอ้อ ค่ะ” หญิงสาวหัวเราะแหะก่อนจะส่งของให้
“ขอบคุณนะครับ” กำลังจะดึงประตูปิดเธอก็เอามือยันประตูไว้จนธันวาแปลกใจ
“เดี๋ยวค่ะคุณธัน”
“ครับ?”
“คุณธันรู้จักผู้หญิงสวย ๆ ตัวสูง ๆ ผมยาวไหมคะ”
“มีอะไรเหรอครับ”
“คือ...ดิฉันเห็นเธอเดินเข้าออกคอนโด 2-3 ครั้งแล้วละค่ะ แต่ไม่คุ้นหน้าเลย รู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนในคอนโดเรา เผอิญเมื่อหลายวันก่อนเห็นเดินออกจากลิฟต์มาพร้อมกับคุณธัน ดิฉันไม่แน่ใจว่ารู้จักกันหรือเปล่า”
ยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ เสียงหวานหยาดเยิ้มหยดย้อยที่คนในห้องจงใจประดิษฐ์ก็ดังขึ้น “มีอะไรเหรอคะที่รัก” ไม่ได้มาแค่เสียง ตัวก็มาด้วย คันธชาติเดินยิ้มหวานมายืนเคียงข้างพร้อมกับคล้องแขนหมับราวกับจะประกาศให้คนมาใหม่ได้รู้
“บุ๊งเห็นคุณหายออกมาตั้งนานแล้วนะ มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” หน้าสวยเงยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มหวาน “หืม?”
...ที่รักก็ที่รัก...
ชายหนุ่มยิ้มตอบก่อนจะหันไปถามอีกคนที่ตอนนี้ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง “ใช่คนนี้หรือเปล่าครับ”
พนักงานประจำเคาน์เตอร์ทำปากพะงาบ ๆ เหมือนกับปลาที่กำลังโดนแดดเผา แดดแรงเสียด้วยสิ ยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะตอบ
“ค...ค่ะ คนนี้แหละค่ะ ที่แท้...ก...ก็แฟนคุณธันหรอกเหรอคะ แหม...โล่งใจไปทีนะคะ”
“ครับ” ธันวาตอบเพียงสั้น ๆ ไม่รู้ว่าครับให้กับประโยคไหนของเธอกันแน่
หลังจากส่งมอบของกันเรียบร้อยแล้ว พนักงานสาวก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของเธอตามเดิม ธันวาปิดประตูเดินตามคนช่างแกล้งเข้ามาในห้อง มองอีกฝ่ายที่กำลังหย่นตัวลงนั่งที่โซฟาพลางส่ายศีรษะ
“เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ คนที่ได้แกล้งคนอื่นแล้วมีความสุข”
“ผมไม่ได้แกล้งสักหน่อย ก็แค่ทำให้ตัวเองไม่ต้องถูกจับตามองแค่นั้นเอง” พูดจบก็ทำจีบปากจีบคอ “โล่งอกไปทีนะคะ”
“อะไรของคุณ ไปล้อเลียนเขาทำไม” เจ้าของห้องนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับส่งคีย์การ์ดให้
“ผมว่าเธอไม่ได้โล่งอกจริง ๆ หรอก เห็นทำหน้ายังกับแม่วัวอดกินหญ้า”
“ยังไง” คนฟังเลิกคิ้ว
“ผมว่าเธอต้องจ้องจะเคลมคุณอยู่แน่ ๆ ทำหน้าผิดหวังเสียขนาดนั้นตอนที่รู้ว่าคุณมีแฟนแล้ว นี่ผมช่วยคุณนะเนี่ย”
“ช่วยทำให้ยุ่งสิไม่ว่า” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ทำไมสิน่า...
“อ้าวคุณ ทำเป็นเล่นไป เกิดวันดีคืนดีเธอใช้มารยาหญิงขึ้นมาคุณนั่นแหละจะแย่”
“มารยาหญิงอะไรกัน”
“ก็แบบนี้นี้ไง” พูดจบผู้เชี่ยวชาญก็เริ่มทำการสาธิต...
“ว้ายยยยย!!! คุณธันคะแมลงสาบค่ะ” สวมวิญญาณบุ่งบุ๊งแล้วขยับเข้ามาใกล้เกาะแขนคนนั่งข้างกันแน่น “ตรงนั้นค่ะ มันไปตรงนั้นแล้ว อุ๊ย! มันไต่เข้ามาในเสื้อบุ๊งแล้วค่ะ”
อาจารย์หนุ่มส่ายหัวดิกมองนักแสดงเจ้าบทบาท นึกอยากจะมอบรางวัลตุ๊กตาทองให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หยุดทำอะไรประหลาด ๆ นี่สักที
“ม...มัน มันไต่เข้าไปในเสื้อคุณธันแล้วค่ะ เดี๋ยวบุ๊งช่วยจับนะคะ” พูดจบก็ใช้มือดันอกกว้างจนอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะหงายหลังลงไปนอนแผ่กับโซฟา ดีที่เอาศอกข้างหนึ่งยันไว้ได้ทัน
ธันวาจ้องตาคู่งามที่เขียนเน้นขอบจนคมชัด จู่ ๆ ที่ใต้อกเสื้อมันก็ดังโครมครามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวเหลือเกินว่ามือที่สัมผัสอยู่กับหน้าอกที่มีเพียงเนื้อผ้าบางกั้นกลางจะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้น คิดจะปัดมืออกหน้าสวยโน้มเข้าใกล้ก่อนจะกระซิบ
“ใจคุณธันเต้นแรงจังเลยค่ะ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อย ๆ ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะ “เป็นไงคุณ ผมตีบทแตกไหม”
คนถูกถามไม่ได้ตอบ หากแต่คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ จับร่างกดลงกับโซฟาก่อนจะแทรกเข่าลงระหว่างขาทั้งสองข้างตรึงร่างอีกฝ่ายให้หยุดนิ่ง
“เฮ้ย! คุณจะทำอะไรเนี่ย” คำถามเมื่อครู่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเมื่อริมฝีปากของคนบนร่างยังปิดสนิท แถมใกล้เข้ามาจนต้องเอียงหน้าหนี ใจเต้นระส่ำเมื่อลมหายใจอุ่นรดลงบนผิวแก้ม
นิ้วหนาเขี่ยปอยผมที่บดบังพวงแก้มใสและช่วงคอระหงออกก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้
ใกล้...
ก่อนจะกระซิบเสียจนชิดริมหู “ผมก็แค่จะบอกคุณพนักงานประจำเคาน์เตอร์ว่าอย่าเที่ยวไปทำแบบนี้กับผู้ชายคนไหน เพราะเขาจะไม่ปล่อยคุณไปแบบผมแน่ ๆ” พูดจบก็ผละออกเอนหลังพิงโซฟามองคันธชาติที่ยังคงอยู่ในอารามตกใจ ดวงตาไหวระริก อ้าปากค้าง
“ถึงกับหน้าซีดเลยเหรอ” อาจารย์หนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย ตกใจหมด” เจ้าของหน้าสวยผุดลุกขึ้นพร้อมกับรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ ไม่วายส่งสายตาขุ่น ๆ ให้คนที่กำลังอมยิ้ม
“ก็ไม่เห็นสั่งคัท ผมก็เล่นไปตามน้ำ”
“ค...คุณนี่มัน...” คันธชาติถอนใจเฮือก ไม่คิดว่าดาบนั้นจะคืนสนองรวดเร็วเช่นนี้ คงจริงอย่างที่ผู้ใหญ่มักพูดกันว่าเดี๋ยวนี้กรรมติดจรวด มาเร็วเคลมเร็วจริง ๆ “ฮึ่ย! ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” พูดจบก็ลุกพรวดขึ้นเดินอ้าวไปที่ประตู
“เดี๋ยวสิ”
“อะไรอีก”
“ครั้งนี้คุณติดหนี้ผมนะ”
“แล้วจะเอายังไง” ร่างสูงกล่าวทั้งที่หันหลังให้
“เอาเป็น...ข้าวสักมื้อก็แล้วกัน”
คนฟังโบกไม้โบกมือส่ง ๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องพูดอะไรกันมากความก่อนจะกล่าว “เออ ๆๆ เมื่อไรก็บอกมา ผมกลับห้องละ” พูดจบก็เปิดประตูออกจากห้องไป นี่ถ้าไม่สวมวิกผมยาวนั่นคนมองตามคงได้เห็นใบหูแดงแปร๊ดแน่ ๆ
แดงแปร๊ด...
...แดงพอ ๆ กับแก้มสองข้าง...
....
หลังจากติดตามพุฒิพงศ์เข้าไปทำงานในนาฏยกาล คันธชาติก็เริ่มสนิทสนมกับบรรดาสาว ๆ นักแสดงในโรงละคร มีก็แต่อัญชลิสาที่สร้างช่องว่างระหว่างกั้นกลางระหว่างตัวเองกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งคันธชาติ ในสายตาของเขาเธอก็เหมือนผีเสื้อตัวน้อยที่โบยบินไปในอากาศ สยายปีกสง่างามให้แมลงอื่น ๆ ต้องอิจฉา ความสวยงามดึงดูดให้บรรดาสัตว์น้อยใหญ่พากันหลงใหล แต่ผีเสื้อตัวนี้กลับปรารถนาเพียงเกสรหอมหวานจากดอกไม้เท่านั้น
ชายหนุ่มลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะรูปวงรีซึ่งใช้เป็นที่ประชุมเฉพาะกิจเกี่ยวกับละครเวทีเรื่องใหม่ของนาฏยกาลซึ่งจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดูเธอจะเป็นคนโปรดของอัศนัยจริงตามที่ใคร ๆ ว่า เพราะเธอได้รับสิทธิ์พิเศษให้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย
“วันนี้ผมอยากให้คุณพ่อได้เข้าร่วมประชุมกับพวกเราด้วย” อัศนัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวก่อนจะหันไปทางประตูที่กำลังเปิดออก ครู่หนึ่งชายในชุดซาฟารีสีกรมท่าก็เข็นรถเข็นซึ่งมีคนนั่งมาด้วยเข้ามา
คันธชาติมองชายวัยกลางคนเจ้าของใบหน้าเรียบเฉย พลางนึกถึงเรื่องที่อารตีเล่าว่าพ่อของเธอตกบันไดจนเป็นอัมพาตมาร่วมปี หากไม่นับเรื่องใบหน้าที่อิดโรยกับดวงตาล่องลอยไม่รู้ว่ากำลังมองหรือคิดอะไรอยู่ ดูเผิน ๆ แล้วเสี่ยอนันต์คนนี้ก็เหมือนคนปกติที่แค่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้นเอง
การประชุมเริ่มต้นด้วยการชี้แจงวัตถุประสงค์ของการทำละครเวทีเรื่องใหม่ จากนั้นก็ต่อด้วยการพิจารณาชื่อเรื่อง นักแสดง ราคาบัตรเข้าชม จำนวนรอบที่จะทำการแสดงรวมถึงช่องทางประชาสัมพันธ์ ซึ่งใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่ง กระทั่งมาถึงการพิจาณาชุดสำหรับสวมใส่ระหว่างทำการแสดง
“เอาเป็นว่าผมเลือกเซ็ตนี้ก็แล้วกันนะครับ ดูมันเข้ากับเนื้อเรื่องที่เป็นแฟนตาซีดี” พูดจบอัศนัยก็ใช้เลเซอร์พอยน์เตอร์ชี้ที่แบบชุดซึ่งถูกฉายจากเครื่องฉายขึ้นไปบนระนาบรองรับ “หรือคุณว่ายังไงอัญชลิสา”
“อันเห็นด้วยกับคุณอัศนัยค่ะ ถ้ายึดตามเซ็ตนี้ ชุดของอัน อันอยากจะให้ปักเลื่อมเพิ่มลงไปหน่อย เวลาเจอกับแสงไฟบนเวทีจะได้ดูวิบวับเหมาะเป็นชุดของหญิงสูงศักดิ์ ไม่เรียบชืดเกินไป”
ทุกคนพยักหน้าเห็นตามความเห็นของนางเอกละครเวที ในขณะที่คันธชาติเองก็จดรายละเอียดลงในสมุดไปด้วย
“เอาละค่ะ ก็เป็นอันสรุปว่าแบบชุดที่ทางเราเลือกสำหรับเป็นชุดใส่แสดงในละครเวทีเรื่องหน้ากากดอกไม้ซึ่งจะมีขึ้นในกลางปีนี้ เป็นชุดในเซ็ตที่สองตามที่คุณพุฒิพงศ์ออกแบบมานะคะ สักต้นเดือนหน้าเราจะนัดประชุมเพื่อติดตามงานอีกครั้ง ในส่วนของวันเวลาจะแจ้งให้ทุกคนทราบอีกครั้งค่ะ” เลขาร่างอ้อนแอ้นสรุปก่อนจะสัมผัสปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่วางอยู่ตรงหน้า หลังจากนั้นไม่นานประธานซึ่งก็คือลูกชายเจ้าของกิจการก็กล่าวปิดการประชุม ทีมงานเบื้องหลังทยอยกันเดินออกจากห้องในขณะที่ทีมเขียนบทบางส่วนยังคงใช้สถานที่นั่งคุยงานต่อ
“พอดีผมมีประชุมกับทีมเขียนบทต่อ อยากให้คุณนั่งไปกับนายพัน พาคุณพ่อกลับไปส่งที่บ้านหน่อย ผมไม่ไว้ใจใครนอกจากคุณ” อัศนัยเอ่ยขึ้นกับอัญชลิสาที่กำลังจะลุกขึ้น
“ได้สิคะ” เจ้าของร่างอรชรกล่าวก่อนจะเดินตรงไปพูดคุยกับคนขับรถของบ้านนาฏยะเพียงไม่กี่คำ จากนั้นเขาก็เข็นรถเข็นออกไป
....
พุฒิพงศ์เดินคล้องแขนคันธชาติออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมที่ปรับอุณหภูมิเย็นเฉียบด้วยท่าทางร่างเริงสุดขีด นั่นเพราะงานนี้เป็นงานใหญ่และเขาก็ตั้งใจเอาไว้มาก
“ดีใจด้วยนะเจ๊”
“ขอบใจจ้ะบุ่งบุ๊ง”
“ดูสิ น้ำตาซึมเลย” พูดจบก็ใช้ปลายนิ้วซับน้ำใสที่ซึมอยู่ที่หางตาของคนตัวเตี้ยกว่า
“มันตื้นตันน่ะ ไม่เคยได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่างเสี่ยอนันต์ก็เป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครที่ทำขึ้นในโอกาสที่เสี่ยอายุครบห้าสิบเก้าปี ถ้ามีคนมาดูเยอะ ๆ ห้องเสื้อพุทธรักษาของเจ๊ก็จะเป็นที่รู้จัก”
“บุ๊งว่าถึงตอนนั้นคงต้องทำงานกันมือระวิงแน่ ๆ เลย”
“อือ” พุฒิพงศ์กล่าวด้วยหัวใจพองโต “ตอนนั้นคงเหนื่อยน่าดู”
“เอาน่า เหนื่อยกับงานดีที่ตัวเองรักน่ะดีใจตาย”
“เจ๊ขอบใจมากนะ”
“อย่ามาทำซึ้งน่า เดี๋ยวมาสคาร่าเยิ้มนะเจ๊”
การสนทนาของทั้งคู่ต้องหยุดลงเมื่อเสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นหินแกรนิตดังใกล้เข้ามา เป็นคุณเลขาสาวเทียมนั่นเองที่วิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางเดิน เธอชะลอฝีเท้าลง หยุดหอบตัวโยนก่อนจะกล่าวติด ๆ ขัด ๆ
“ช..โชค โชคดีจังค่ะ ท...ที่คุณสองคนยังไม่ไปไหน” พูดไปก็หอบไป
“มีอะไรเหรอคะ” พุฒิพงศ์ถามอย่างหวั่นใจ กลัวว่าเลขาสาวคนนี้จะมาดับฝันเมื่อครู่
“คือ...คุณอัศนัยเชิญคุณบุ๊งไปพบที่ห้องค่ะ”
สองคนหันขวับสบตากันโดยอัตโนมัติ
“เจ๊! ไปด้วยกัน” กำลังลังจะคว้ามืออีกฝ่ายก็ถูกคุณเลขาหน้าสวยขัดขึ้น
“เอ่อ...คือคุณอัศนัยกำชับว่าเธอต้องการพบคุณบุ๊งคนเดียวค่ะ ช...เชิญทางนี้ค่ะ” พูดจบเธอก็ผายมือไปทางทิศที่วิ่งมา
ถึงตอนนี้คันธชาติก็ทำได้เพียงสบตาพุดดิ้งพลางพยักหน้าให้มั่นใจว่าเขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ก่อนจะเดินตามร่างระหงไปในที่สุด...
....
เขียนแล้วมันยืดเยื้อ ขออนุญาตตัดไปเป็นตอนที่ 10 นะคะ แล้วจะรีบมาต่อค่ะ ^^