หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178172 ครั้ง)

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
....................เช้ากว่าเวลาที่ปลัดอำเภออย่างพิพัฒน์................
.............ลูกสาวข้าราชการกรมที่ดินผู้นี้แหละ...................
ปลัดอำเภอสังกัดกรมการปกครองค่ะ


นายบุ้งมาสืบคดีของกิ่ง มาอยู่ห้องใกล้ ๆ กับ อ.ธันวา นี่เจตนาหรือบังเอิญ

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
 o18 น่าตามติดติดตามมากกกกฮร่ะ  :hao6:

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
มาวันลอยกระทงเลยเชียว คนเขียนไปลอยกระทงที่ไหนค่ะ
คนอ่านไม่ได้ลอยเพราะเตรียมขบวนกระทงไปเข้าร่วมกับจังหวัดพรุ่งนี้
ที่จริงก็ไม่ได้ลอยมาหลายปี พระแม่คงคาคงงอนไปแล้ว
เพราะพอแห่ขบวนเสร็จ หาซื้อกระทงจะไปลอยก็เจอกับสมรภูมิประทัด
กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ คนพวกนั้นชอบไปยืนเล่นใกล้ท่าน้ำที่เตรียมไว้ให้ไปลอยกระทงซะด้วย แย่ๆ

คิดว่าตอนนี้จะพอจับทางได้ว่าใครเป็นพระเอก ใครเป็นนายเอก
แต่ก็ยังเดาไม่ถูกเลยนะคะ ตัวเท่ากัน อายุพอๆกัน ถึงบุ้งจะอ่อนกว่า แต่ก็ฟันธงไม่ได้ว่าเป็นพระเอก
ไหนธันจะเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อยอีก
แต่ซีนที่หน้าแดงอยู่คนเดียวนี่ ทำให้เอนเอียงไปว่านายเอกเรื่องนี้อาจจะเป็นอาจารย์ที่อายุมากกว่าพระเอกหนึ่งปีก็ได้
เหยยยย เป็นลูกชายคนเดียวซะอีก นายใหญ่กับนายหญิงจะว่าไงล่ะเนี่ย ลูกชายจะมาขโมยหัวใจผู้ชายซะแล้ว

คราวที่แล้วบังอาจเห็นคำผิดแล้วก็ดันพิมพ์ผิดซะเอง ก็พิมพ์ใน iPad มันไม่สะดวกเหมือนพิมพ์ในคอมพิวเตอร์จริงๆนะคะ
คราวที่แล้วกว่าจะทำสีแดงสีเขียวได้ ใช้เวลานานพอดู
คราวนี้เลยขอใช้สีเดียวนี่แหละ >>>

>ทำให้ต้อง[ยับ]พลิกตัวด้วยความรำคาญ

>ฉุดรั้งความรู้สึกผิดที่ธันวา[พยาม]จะทิ้งมันไว้

>ไม่ต้องกลัวจะถูกบ่น[เป็นว่า]ตัวต้นเหตุ

>เธอพลักตกจากดาดฟ้าของโรงละคร[แห่ง]หลังจาก...

>ส่วนเด็กหญิงกิ่งดาวเองก็[นอน]พร้อมๆกับเสียงไก่ขัน

>ดอกไม้เล็กๆสีขาวที่เพิ่งจะปลิดปลิว[หยุด]จากขั้ว

>ถ้าปลูก[ไม้]ได้ กิ่งก็มาที่บ้านเราบ่อยๆสิ

>จะให้ไปมีเรื่องกับเด็กเก้า[ขววบ]ก็ไม่ใช่เรื่อง.




ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
พอบอกออกแนวนักสืบ นึกถึงโคนันขึ้นมาทันที
รอติดตามตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
อ่าาา ตัวบุ้งตั้งใจไว้แล้วสินะที่มาอยู่ห้องตรงข้ามกับอาจารย์ทันเนี้ย
รู้สึกได้ถึงเงื่อนงำแบบเย็นๆ เหมือนกลิ่นดอกปีบ 5555
ไม่ใช่ว่าสงสัยว่าอ.ธันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของกิ่งดาวรึเปล่านะ?

ตอนมาโผล่หน้าประตูห้องอ.ธัน รู้สึกว่าตัวบุ้งเซี้ยวไม่เบานะคะเนี้ย

รอตอนหน้าาา >_<

ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
เรื่องนี้มีเงื่อนงำ

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
คงไม่บังเอิญหรอกใช่มั้ยที่บุ้งจะมาพักห้องตรงข้าม อ ธัน หรือจะมาสืบเรื่องเพื่อนรักของตัวเอง
น่าติดตามมาก

ออฟไลน์ twenty8

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ทำไมฉากกดกริ่งแล้วรู้สึกหลอนมากๆ ฮือออ
คงไม่ใช่พลังงานบางอย่างจริงๆนะคะ แงงง

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ผักบุ้งน่ารักจัง ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ก่อนอื่นเลยจะบอกว่าเราชอบกลิ่นดอกปีบมากค่ะ
ดอกปีบ ดอกลีลาวดี ดอกพุดที่กลีบแข็งๆ
ชอบกลิ่นดอกไม้แนวนี้ หอมเย็นๆ

บุ้งคงจะมาสืบเรื่องของกิ่งแน่เลย
เดาเอาว่ากิ่งอาจจะชอบธันวา แล้วบอกให้บุ้งรู้
ไม่งั้นการที่ข่าวลงว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
คงไม่ถึงกับตามมาสืบถึงคอนโดเดียวกันขนาดนี้
ไปตามหาเรื่องจากคนที่อยู่โรงละครดีกว่า

รออ่านต่ออยู่นะคะ

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
พล็อตเรื่องใหม่น่าติดตามมาก ๆ ค่ะ
เป็นกำลังใจนะคะ~^^

ออฟไลน์ nooklepper

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ลงชื่อ เรื่องรางน่าติดตาม ดีที่เปิดเรื่องใหม่นะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ

ออฟไลน์ ciaiwpot

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1098
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
บุ้ง....
ปริศนาอะไรรู้จักกันมาก่อนด้วย
น่าสงสัยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
แหม เรื่องนี้สนุกจริง ต้องดูว่าน้องบุ้งจะสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับการตายของเพื่อนรักอย่างไร

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เรื่องนี้ออกแนวไขปริศนาสินะ  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ korinasai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ sam3sam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-4
รอดูการสืบของผักบุ้งค่ะ :bye2:

ออฟไลน์ yamapong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
อยากดูบุ้งจัดการเด็กแสบ อิอิ น่ารักจริงๆๆๆ ติดตามต่อคะ่ ทุกเรื่องอยู่แว้ววว

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
รออ่านจ้าาาาาาาาา
เเนวใหม่เเต่ยังดูอุ่นๆเหมือนเดิมนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ขอบคุณสำหรับเรื่องใหม่ค่ะ

เรื่องนี้จะใช้กลิ่นมาเป็นจุดเด่นในเรื่องหรือเปล่าคะ? เราจำกลิ่นตอกปีปไม่ได้เสียแล้ว แล้วมานั่งน้ำลายไหลกับสปาเก็ตตี้ปลาเค็ม

เริ่มต้นแบบนุ่มๆ ชวนติดตาม เป็นภูมิแพ้คำว่านายน้อยค่ะ ยิ่งมาเจอกับคุณปลายปีด้วย   :mew1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 รอยสักรูปดอกไม้


ร.ต.อ.เก่งกาจ กิตติธเนศ นั่งจ้องกระดาษขนาดเดียวกันกับที่ใช้พิมพ์เอกสารซึ่งวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะทำงาน ใบหนึ่งเป็นภาพของหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มน่ารักที่กำลังแนบแก้มลงบนแผ่นหลังเปลือยของใครคนหนึ่ง ช่วงบ่ากว้างรับกับหัวไหล่กลมกลึงนั้นยากจะคาดเดาว่าอีกคนเป็นชายหรือหญิงกันแน่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับต่ำลงมาจากแนวบ่าด้านขวามองเห็นรอยสักเล็ก ๆ ประดับอยู่บนผิวเนื้อนวลผ่อง แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคเมื่อรูปนี้ถูกเลือกเฉพาะบริเวณที่ต้องการมาขยายออกให้เห็นรายละเอียด มันเป็นรอยสักรูปดอกไม้สีแดงตัดกับผิวขาวที่ปราศจากตำหนิ นิ้วหนาเคาะลงบนภาพที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด หากจะให้เดาแล้วละก็ ทั้งสองคนในภาพจะต้องสนิทสนมกันมากเป็นแน่จึงได้ถ่ายภาพที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเช่นนี้เก็บเอาไว้ นายตำรวจหนุ่มหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะวางมันไว้ที่เดิมในขณะที่ปลายนิ้วยังคงเคาะเป็นจังหวะทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเริ่มรำคาญจนต้องขยับตัวนั่งกอดอก เม้มปากแน่นและเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว


“เคาะแบบนี้แล้วจะหาเจอเหรอวะ” เมื่อจบคำถามเสียงเคาะโต๊ะก็เงียบลงราวกับกดปุ่มปิด เก่งกาจทำหน้าฉงนเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูด


“หาอะไรวะ”


“ก็หาพ่อแกไง พ่อหายทำไมไม่ไปแจ้งความ เคาะอยู่ได้”


ประโยคยียวนกวนประสาทเรียกสายตาหมั่นไส้ก่อนจะสวนกลับตามประสาเพื่อนสนิทที่แค่ต่างคนต่างอ้าปากก็มองเห็นไปถึงลำไส้ใหญ่ “ไอ้บุ้ง! พ่อแกสิหาย!”


“ก็เห็นเอาแต่เคาะ จะพูดอะไรก็ไม่พูด นึกว่าเคาะเรียกพ่อ”


“ขอเวลาคิดบ้างสิวะ”


คันธชาติมองตามมือคนหัวเสียที่เลื่อนกลับกระดาษทั้งหมดคืนให้ รู้สึกว่านี่กำลังจะเป็นอีกครั้งที่สิ่งที่เขาทำต้องสูญเปล่า 


“แล้วยังไง แค่นี้มันจะช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานของแกได้ยังไงกันในเมื่อทุกอย่างถูกสรุปออกมาแล้ว เมื่อไรจะเชื่อเสียที” นายตำรวจหนุ่มถอนใจพลางจ้องหน้าเพื่อนอย่างรอคำตอบ แม้การเสียชีวิตของกิ่งดาวจะล่วงเลยมาจนเข้าสู่เดือนที่สอง รวมถึงกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหญิงสาวพลัดตกจากที่สูงลงมากระแทกพื้นเสียชีวิตจริง แต่เพื่อนรักอย่างคันธชาติก็ยังเป็นคนเดียวที่ไม่อาจทำใจเชื่อในการสรุปสำนวนคดีของตำรวจได้ เขายังคงค้นหาหลักฐานอยู่เนือง ๆ เพื่อสนับสนุนความคิดของตนเองที่ว่ากิ่งดาวอาจถูกใครบางคนทำให้ตกลงมาก็ได้


คนถูกถามขยับตัวนั่งหลังตรงเอื้อมหยิบกระดาษอีกใบที่ซ้อนอยู่ข้างใต้ก่อนจะยื่นให้ เก่งกาจรับมันมาอย่างเสียมิได้ พลันลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกปล่อยผ่านปลายจมูกอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อพบว่าชายหนุ่มหน้าตาคมสันที่ปรากฏอยู่ในภาพไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ ดร.ธันวา ธิตินาวา คนที่เคยได้พบกันแล้วครั้งหนึ่งในห้องสอบสวนและอีกครั้งที่งานศพของกิ่งดาวนั่นเอง 


“ดร.ธันวา?” 


“ใช่ เขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับกิ่ง เบอร์สุดท้ายที่กิ่งโทร.หาก็คือเบอร์ของเขา แกสอบปากคำเขาเองก็น่าจะรู้นี่”


“แต่พยายานยืนยันนะว่าวันนั้นเขาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แล้วเขาจะลงมือฆ่ากิ่งได้ยังไง”


“ฉันก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาเป็นคนฆ่ากิ่ง แค่รู้สึกว่าเขาน่าสงสัยเท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างเขาอาจจะบอกไม่หมดก็ได้ว่าเขาคุยอะไรกับกิ่งบ้างในวันที่เกิดเหตุ บางที...เขาอาจจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น” คันธชาติกล่าวทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างพลางแหวกม่านอะลูมิเนียมบานเกล็ดมองดูสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา นับตั้งแต่วันที่กิ่งดาวจากไปก็ไม่มีวันไหนที่ในหัวของเขาปราศจากภาพและเรื่องราวของเธอ


“ที่สำคัญ หลัง ๆ มากิ่งพูดถึงเขาให้ฉันฟังบ่อย ๆ”


คนฟังถอนใจยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินตามมายืนใกล้ ๆ มองใบหน้าเคร่งขรึมของคนที่กำลังหันหลังจากเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่าง เพื่อนรักในตอนนี้ดูไม่เหมือนหนุ่มเจ้าสำราญทายาทเจ้าของฟาร์มใหญ่ที่เคยรู้จักเลยสักนิด ว่าไปแล้วนับตั้งแต่วันที่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของกิ่งดาว ความร่าเริงในตัวเขาก็เหือดหายไปเกือบครึ่ง 


คันธชาติเหลือบมองชายหนุ่มร่างกายกำยำเจ้าของท่อนแขนแกร่งที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามแบบคนออกกำลังกายในยิมเป็นประจำก่อนจะเบนสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างอีกครั้ง ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือที่สัมผัสลงมาบนบ่า ห้องทั้งห้องกลับเงียบงันแต่รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน


เก่งกาจจ้องมองหลังมือของตนเองที่ขยับขึ้นลงตามการหายใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากหยักที่เคยเม้มแน่นค่อย ๆ คลายออก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่คิดแต่ยังไม่เคยได้พูดมันออกมา


“ไอ้บุ้ง หยุดพยายามแล้วยอมรับความจริงเถอะ แกแค่ยังทำใจไม่ได้แล้วก็เสียดายที่แกไม่ใช่คนที่ได้อยู่กับกิ่งในวินาทีสุดท้ายเท่านั้นแหละ”


คำพูดที่ดังอยู่ข้างหูเล่นเอาคนฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าการที่ภาพตรงหน้ามัวหม่นลงนั่นจะเป็นเพราะสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหรือเพราะน้ำตาที่กำลังเอ่ออยู่กันแน่ ทั้งที่ในใจร้องตะโกนค้านข้อสันนิษฐานบ้า ๆ ของเพื่อน แต่คำว่า “ไม่จริง” ที่ปากพูดออกมานั้นกลับแผ่วเบาจนแทบจะฟังไม่ได้ยิน


“มันเป็นเรื่องจริงบุ้ง แกควรทำใจได้แล้ว กิ่งตายไปแล้ว แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องดร.ธันวานั่นน่ะมันก็อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างที่แกสร้างขึ้น แกอาจแค่อยากรู้ว่าเขาหรือเปล่าที่เป็นคนทำให้กิ่งปฏิเสธแก”


คันธชาติรีบขยับตัวออกห่างก่อนจะหันมาจ้องเขม็ง “การที่ฉันไม่แก้ต่างข้อกล่าวหาของแกไม่ใช่ว่าฉันจะยอมรับในสิ่งที่แกพูดหรอกนะ” ไม่รู้ตัวเลยว่าแววตาและน้ำเสียงเอาแต่ใจแบบนั้นจะทำให้คนพูดจี้จุดค่อยคลายใจขึ้นมาบ้าง


เก่งกาจกดยิ้มที่มุมปาก ทำยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจราวกับจะบอกว่า 'ก็เรื่องของแก' ก่อนจะกลับไปนั่งลงที่โต๊ะ มองดูภาพถ่ายของหนุ่มสาวในกรอบที่วางอยู่ตรงหน้า สองคนที่ยืนขนาบข้างคือเขาในชุดนักเรียนนายร้อยตำรวจและคันธชาติที่สวมชุดนักศึกษาเต็มยศ ส่วนตรงกลางก็คือหญิงสาวในชุดครุยที่กำลังถูกพูดถึงอยู่เมื่อสักครู่ รอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มที่งดงาม มันควรจะได้อยู่ประดับโลกนี้ไปอีกแสนนานถ้าหากเหตุการณ์น่าเศร้าในวันนั้นไม่เกิดขึ้นเสียก่อน


แม้จะเพิ่งรู้จักกันเมื่อตอนสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่พวกเขาทั้งสามคนก็ถือว่าเป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกันจนใคร ๆ ก็พากันอิจฉา หลังจากเรียนจบ ม. 6 แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปเรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ กิ่งดาวสอบเข้าเรียนในคณะศิลปศาสตร์ สาขาการละครได้ตามที่เธอฝัน ส่วนคันธชาติก็ได้เรียนในคณะเกษตรอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้ว่าอย่างไรก็จะไม่ทิ้งบ้านเกิดและฟาร์มแสงฉานไปไหน ส่วนเก่งกาจเองก็เข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารจากนั้นจึงไปต่อนายร้อยตำรวจตามรอยผู้เป็นพ่อและย้ายรกรากจากปากช่องมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อย่างถาวร แต่กระนั้นระยะทางก็ไม่ใช่อุปสรรค เพื่อรักทั้งสามยังคงไปมาหาสู่กันเสมอไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานเพียงใด คนที่เป็นศูนย์รวมของเพื่อน ๆ ก็หนีไม่พ้นหนุ่มน้อยขี้เล่นที่ชอบทำนิสัยเด็ก ๆ ให้เพื่อน ๆ ต้องคอยปวดหัว 


ชีวิตการรับราชการของเก่งกาจเริ่มต้นที่สถานีตำรวจภูธรในต่างจังหวัด จากนั้นไม่กี่ปีก็ถูกย้ายกลับเข้ามาประจำการที่กรุงเทพฯ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอาชีพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ต้องคอยรับเรื่องร้องทุกข์ของผู้คนมากมาย วันหนึ่งจะต้องมาได้รับข่าวร้ายเกี่ยวกับเพื่อนของตนเอง ไม่เคยลืมเสียงวอแจ้งจากหัวหน้าสายตรวจแจ้งเหตุพบหญิงสาวพลัดตกจากที่สูงในเช้าของวันที่อากาศขมุกขมัวได้เลยสักนาทีเดียว


‘โรงละครนาฏยกาล’


คนที่ไม่มีความสุนทรีย์ในใจอย่างเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำถ้าหากกิ่งดาวไม่พูดถึงบ่อย ๆ บ่อยเสียจนเขาต้องรู้ไปโดยปริยายว่าที่นั่นเป็นโรงละครที่มีชื่อเสียง ผลิตดาวประดับวงการบันเทิงมานับไม่ถ้วน น่าเสียดายที่ในระยะหลังนโยบายของโรงละครเปลี่ยนเป็นรับเฉพาะนักแสดงที่เป็นสาวประเภทสอง แต่กระนั้นหนุ่มหญิงสาวมากมายก็ยังหวังและแข่งขันกันเพื่อจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งน้อยคนจะได้รับโอกาสนั้นแต่กิ่งดาวก็ทำมันได้สำเร็จ ยังจำวันที่เธอโทร.มาละล่ำละลักว่าสามารถเข้าทำงานในโรงละครนั้นได้ดี แม้จะไม่เห็นหน้ากันแต่น้ำเสียงที่ได้ยินก็พลอยทำให้คนฟังยิ้มแก้มปริตามไปด้วย


เมื่อทราบชื่อที่เกิดเหตุผู้กองเก่งกาจก็ภาวนาไปตลอดทางขอให้ไม่ใช่อย่างที่เขากำลังเป็นกังวล แต่ทันทีที่ไปถึง บัตรประชาชนซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่ใช้ยืนยันตัวตนของผู้ตายก็ทำให้เข่าอ่อน พยายามตะโกนเรียกชื่อตัวเองในใจเผื่อว่าจะสะดุ้งตื่นแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันแต่ก็สูญเปล่า เสียงไซเรนที่ดังเคล้าไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงของบรรดาเหล่าไทยมุงเป็นสิ่งย้ำเตือนให้รู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง สุดท้ายเขาก็ต้องเปลี่ยนมาตะโกนเรียกชื่อเจ้าของร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดแทน


จากผลการชันสูตรพลิกศพของตำรวจร่วมกับแพทย์เวรจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ประจำโรงพยาบาลแห่งหนึ่งพบว่าทางซีกขวาของร่างกาย  เช่น แขน ขา รวมถึงซี่โครงหัก คาดว่าจะตกลงมาในลักษณะที่ดฝั่งขวากระแทกพื้นจนเสียชีวิต ระยะเวลาการเสียชีวิตอยู่ที่ราว ๆ 6-7 ชั่วโมง ตั้งแต่เมื่อกลางดึกจนกระทั่งมีผู้มาพบศพในตอนเช้า ร่างของหญิงสาวที่ปราศจากลมหายใจนั้นซีดขาวจนนึกต่อว่าสายฝนที่ใจร้ายตกลงมาไม่รู้เวล่ำเวลาทำให้เพื่อนต้องเหน็บหนาว แม้จะไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ ทรัพย์สินมีค่าก็ยังอยู่ครบ แต่กะโหลกศีรษะที่ยุบเนื่องจากการกระแทกกับพื้นอย่างแรงประกอบกับสภาพแขนและขาที่หักนั้นชวนให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้เห็น นึกไม่ออกเลยว่าเธอจะทรมานแสนสาหัสสักเพียงใดก่อนจะสิ้นใจ


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนผู้ที่พักอยู่บริเวณใกล้เคียงซึ่งได้ความว่าตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของเมื่อคืนก่อนฝนตกหนักมากและเพิ่งจะมาซาลงในตอนรุ่งเช้าจึงไม่มีใครออกจากบ้านหรือได้ยินเสียงผิดปกติใด ๆ เมื่อตำรวจตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุและบนดาดฟ้าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ไม่ไกลจากจุดที่ผู้ตายตกลงมาพบเพียงบทละครที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างของเธอถูกนำกลับไปตรวจสอบที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลอีกครั้งก่อนจะรอญาติมารับกลับ และแน่นอนว่าข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นที่รักย่อมนำความเศร้าโศกมาสู่คนใกล้ชิด คันธชาติแทบคลั่งไม่ต่างจากกิ่งกาญจน์และพิพัฒน์เมื่อทราบข่าวของลูกสาว  เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นจึงเป็นสาเหตุให้เก่งกาจลืมความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่มักจะตกลงมาในตอนเช้าอยู่พักใหญ่ กลับเป็นความหม่นเศร้าและความกลัวที่ก่อตัวขึ้นภายใต้ความเข้มแข็ง ซึ่งเขาเองไม่คิดจะแสดงออกให้ใครเห็น 
     




“ยังไงฉันก็จะสืบต่อ”


นายตำรวจหนุ่มถูกฉุดขึ้นจากห่วงแห่งความคิดด้วยคำพูดสั้น ๆ ของคนที่เดินกลับมานั่งลงยังฝั่งตรงกันข้าม หัวคิ้วหนาค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหากันอีกครั้ง ไม่เห็นประโยชน์อะไรในการตั้งข้อสงสัยในเรื่องที่ดำเนินมาจนถึงบทสรุปแล้ว การขุดคุ้ยรังแต่จะนำความทุกข์ใจมาสู่คนที่พยายามจะลืม 


“ไอ้บุ้ง แกดูหนังนักสืบมากไปหรือเปล่าวะ นี่มันเรื่องจริงนะโว้ย ไม่ใช่บทประพันธ์ นึกว่าว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อค โฮล์มส์หรือไง ตำรวจเขาก็สรุปสำนวนคดีออกมาแล้วว่ากิ่งขึ้นไปบนนั้นแล้วก็ตกลงมาเอง”

"แกก็รู้...กิ่งน่ะไม่มีวันขึ้นไปท่องบทละครอะไรนั่นบนนั้นแน่ ๆ ไม่รู้ละ ยังไงฉันก็ยังไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ แล้วแกก็ต้องช่วยฉันสืบด้วยไอ้กาจ”


คนฟังย่นคอพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนิสัยดื้อด้านของเพื่อนคนนี้


“แล้วแกจะสืบยังไง”


“ก็ต้องเริ่มจากคนที่เรามองเห็นก่อน” คันธชาติยักคิ้วก่อนจะกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ รู้อยู่แล้วว่ายังไงคนรักเพื่อนอย่างเก่งกาจก็ไม่ปล่อยให้เขาทำอะไรบ้าบิ่นอยู่คนเดียวแน่


คนฟังโคลงศีรษะอยากจะทึ้งหัวตัวเองในเวลาเดียวกัน ถึงปากจะห้ามแต่พอเจอลูกดื้อแบบนี้เข้าก็ใจอ่อนยอมตามน้ำทุกทีไป เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จนเก่งกาจมักจะบ่นอยู่บ่อย ๆ ว่า ไอ้นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานที่แสนจะขี้เล่นเป็นกันเองอย่างที่พ่อแก่แม่เฒ่ารวมถึงบรรดาพี่ป้าน้าอาซึ่งเป็นคนงานในฟาร์มพากันโจษขาน แท้จริงแล้วมันช่างหัวดื้อและเอาแต่ใจชนิดหาตัวจับยาก ตั้งแต่รู้จักกันกระทั่งตอนนี้นิสัยก็ไม่ได้โตตามอายุเลยจริง ๆ เก่งกาจรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกำลังถูกมัดมือชก ในใจนึกอยากจะตบเข้ากลางกะโหลกของ ‘ไอ้นายน้อยเจ้าสำราญ’ ให้จำได้เสียทีว่าตัวเองเป็นเกษตรกรไม่ใช่นักสืบ แต่ยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับดวงตาเป็นประกายนั่นแล้วยิ่งให้คิดว่าอย่างไรก็ตามแต่คันธชาติก็จะไม่ยอมรามือจากเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่


ฝนปลายฤดูเพิ่งหยุดตกไปเมื่อต้นชั่วโมง พยับฝนที่เคยตั้งเค้าเคลื่อนห่างออกไปเพราะไม่อาจต้านทานแรงลม ทิ้งเอาไว้ก็แต่ความชุ่มชื้นบนผืนหญ้า เหนือขึ้นไปที่หน้าต่างหอสมุด หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งทอดอารมณ์มองแสงอาทิตย์สะท้อนหยาดน้ำระยิบระยับ มันเป็นภาพที่สวยงามจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้เห็นมัน โชคดีที่ยังได้เป็นเจ้าของลมหายใจของตนเอง


“คิดถึงกิ่งเนอะแก ถ้ากิ่งยังอยู่ป่านนี้คงมานั่งอ่านหนังสือด้วยกันบนนี้”


หน้าสวยหันกลับมามองคนพูดที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ช่างไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เอื้อมมือดึงเอาความรู้สึกเศร้าหมองกลับมาสู่จิตใจของคนฟังอีกครั้ง


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2015 08:23:27 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เรียวนิ้วเกี่ยวปอยผมขึ้นทัดหูพลางขยับผ้าคลุมไหล่ผืนบางก่อนจะมองออกไปยังทุ่งกว้างที่ฉาบด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน ในใจนึกสนุกอยากจะลองกลายร่างเป็นดอกไม้ดูบ้าง คิดได้ดังนั้นดวงหน้างามเงยขึ้นรับแสงอุ่นอ่อนของดวงอาทิตย์ยามเช้า พลันดวงตาก็สะดุดเข้ากับไม้ใหญ่ที่โน้มกิ่งลงมาราวกับอ้อมแขนของเพื่อนเก่า กลิ่นหอมอวลของโคมระย้าสีขาวที่ประดับประดาอยู่เต็มต้นไม่ต่างอะไรกับคำทักทายแสนหวาน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มขณะสูดกลิ่นหอมเย็นชื่นใจให้สมกับที่คิดถึง นานเหลือเกินที่ภารกิจทางด้านการศึกษาทำให้เธอไม่ได้หวนกลับมาที่บ้านเกิดและฟาร์มแสงฉานแห่งนี้ หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นโน้มกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้มือหวังจะปลิดก้านดอกลงมา แต่สุดแขนแล้วก็ยังเอื้อมไม่ถึง


“ไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งนาน ตัวไม่โตขึ้นเลย”


เสียงนุ่มของใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับไออุ่นจากแผงอกที่แนบลงกับแผ่นหลัง คนฟังยิ้มน้อย ๆ พลางมองตามมือหนาที่กำลังปลดดอกไม้ก้านยาวลงมาจากต้น เธอค่อย ๆ หมุนตัวกลับมารับดอกไม้ที่เขาส่งให้ ทันทีที่ปลายจมูกสัมผัสกับกลีบดอกบาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งแจ่มชัด       


“หอมจัง” กิ่งดาวกล่าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย   


“คิดว่าไปหลงกลิ่นน้ำหอมแบรนด์เนมในกรุงเทพฯ จนลืมกลิ่นดอกปีบแล้วเสียอีก” เจ้าของร่างสูงยักคิ้วกวน ๆ


“พูดเวอร์ บุ้งน่ะชอบพูดเวอร์ ๆ เรื่อยเลย” พูดจบก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนผืนหญ้าใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ หยิบหนังสืออ่านเล่นกับไดอารี่จากเป้สะพายข้างออกมาวางข้างตัว เจ้าของหน้าสวยยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับดอกไม้เล็ก ๆ ในมือโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังเดินมานั่งลงข้าง ๆ กัน


คันธชาติมองดูทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวไม่วางตา มือบางเอื้อมคว้าไดอารี่มากางออกวางบนหน้าตัก จากนั้นจึงวางดอกปีบลงในหน้าหนึ่งแล้วหันไปควานหาอะไรสักอย่างในเป้ หัวคิ้วที่ขมวดน้อย ๆ พาให้คนมองเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว  มือหาไปปากก็บ่นว่าจำได้มาเอาติดมาด้วยแต่ไม่รู้ว่าใส่ไว้ตรงไหน พอถามเข้าว่าหาอะไรก็ไม่ยอมตอบ ยังตั้งหน้าตั้งตาหาอยู่อย่างนั้น และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการเธอก็ยิ้มกว้างราวกับเด็กที่ค้นเจอของเล่นชิ้นโปรด แต่สิ่งที่เธอหยิบออกมาจากซอกหนึ่งของเป้สะพายมันก็แค่เทปกาวชนิดใสเท่านั้น


“ทำอะไรน่ะ” อดรนทนไม่ไหวจึงต้องถามให้รู้ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรก็ขยับตัวเข้าใกล้ ๆ มองปลายนิ้วที่กำลังดึงเทปกาวใสแปะทับก้านดอกปีบให้ติดกับหน้ากระดาษไม่มีเส้น   


“เอาไว้ดูตอนคิดถึง” เจ้าของไดอารี่กล่าวพลางเลื่อนสายตามองข้างแก้มของชายหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ห่างจากปลายจมูกของเธอไม่ถึงคืบ


“คิดถึงก็กลับมาบ่อย ๆ สิ” พูดจบก็พลิกตัวนอนหนุนตักเสียอย่างนั้นจนกิ่งดาวยกของบนตักหนีแทบไม่ทัน


มือหนาคว้าไดอารี่จากมือของหญิงสาวพลางหยิบดินสอที่เลื่อนหลุดออกมาจากหน้าหนึ่งมาขีด ๆ เขียน ๆ ข้อความบางอย่างลงไป


“นี่น่ะ เขาเรียกว่า Millingtonia hortensis Linn.f”


“อะไรนะ”


“ชื่อทางวิทยาศาสตร์น่ะ” พูดจบก็ปิดสมุดบันทึกเล่มหนาวางไว้บนหน้าอก หลับตาพริ้มปล่อยให้เจ้าของมือหอมลากเรียวนิ้วไปตามแนวคิ้ว


กิ่งดาวทอดมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนตัก อดคิดไม่ได้ว่ากาลเวลาทำให้เด็กชายที่เคยจูงมือกันวิ่งเล่นกลายเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาหมดจดไปตั้งแต่เมื่อไร เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาก็อยู่ด้วยกันบ่อยจนเธอไม่ทันได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้


“ทำไมจะมาไม่เห็นบอกกันเลย นี่ถ้าเราไม่ตามพ่อมาดูแปลงทานตะวันก็คงไม่รู้ว่ากิ่งกลับมา”


“คราวก่อนที่คุยกัน เห็นบุ้งบอกว่าช่วงนี้ต้องไปขับส่งของตลอด กิ่งก็เลยคิดว่ารอไว้เย็น ๆ ถึงจะแวะไปหาที่บ้าน”


“วันนี้ว่างน่ะ เห็นคนงานบอกว่าดอกทานตะวันที่ท้ายฟาร์มบานแล้วเลยแวะมาดู”


“เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ผู้ชายชอบดอกไม้” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะดึงไดอารี่บนแผงอกผึ่งผายมาวางไว้ข้างตัวพลางเอื้อมหยิบดอกปีบที่เพิ่งร่วงลงสู่พื้นหญ้าขึ้นมาไล้ไปตามแนวสันกรามและหยุดเขี่ยเบา ๆ ที่ปลายจมูก มองดูคนขี้รำคาญขมวดคิ้วขยับตัวยุกยิก


“แปลกตรงไหน ไม่เห็นจะแปลกเลย” พูดจบก็ดึงมือหญิงสาวมาวางไว้บนอกทั้งที่ยังหลับตา


กิ่งดาวยังคงทอดตามองหนุ่มน้อยพลางอมยิ้มกับตัวเอง มือเล็กเลื่อนขึ้นมาวางบนศีรษะของชายหนุ่มก่อนจะลูบเบา ๆ ไปบนเส้นผมสีดำขลับลื่นมือ ปากก็ท่องบทละครคำฉันท์ที่เคยผ่านตามาด้วยกันเมื่อสมัยเรียน ม.ปลาย


“ไม้เรียก ผะกากุพ        ชะกะสี อรุณแสง

ปานแก้ม แฉล้มแดง    ดรุณี ณ ยามอาย

ดอกใหญ่ และเกสร      สุวคน ธะมากมาย

อยู่ทน บ วางวาย          มธุรส ขจรไกล

อีกทั้งสะพรั่งหนาม      ดุจะเข็มประดับไว้

ผึ้งเขียว สิบินไขว่         บมิใคร่ จะห่างเหิน”



“อืม...มัทนะพาธา ตำนานกุหลาบนี่ กิ่งยังจำได้อีกเหรอ”


“จำได้สิ ก็เพราะงานละครโรงเรียนคราวนั้นไม่ใช่เหรอ บุ้งถึงได้กลายเป็นหนุ่มน้อยเนื้อหอมสมชื่อคันธชาติน่ะ”


“ว่าไปนั่น เนื้อหงเนื้อหอมอะไรกัน” เจ้าของชื่อหัวเราะในลำคอพลางนึกถึงละครเวทีเมื่อสมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย ที่เขาถูกเพื่อนรักบังคับให้รับบทเป็น ‘มายาวิน’ ซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องมัทนะ พาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งที่พยายามหาข้ออ้างที่จะไม่แสดง แต่สุดท้ายลูกอ้อนของกิ่งดาวก็ทำให้เขาต้องยอมใจอ่อนจนได้


“แสดงเป็นวิทยาธรหนุ่ม แต่สาว ๆ กรี๊ดกว่าพระเอกเสียอีก โอ้โฉมเจ้า คมสัน คันธชาติ    งามผุดผาด แจ่มจรัส รัศมี    เป็นที่ต้อง ตรึงตรา อิสัตรี    เทพเทวี หลงใหล ยามได้ยล"


ชายหนุ่มลืมตาโพลงเมื่อสิ้นเสียงหวาน คันธชาติทำหน้าเหยมองหญิงสาวที่กำลังหัวเราะชอบใจ กลอนอะไรกันทำไมฟังแล้วมันช่างน่าขนลุกจนต้องรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งแบบนี้


“ไม่ชอบเหรอ”


“ม่ายยยยยย” ชายหนุ่มลากเสียงพร้อมกับส่ายหัวยิก “กลอนอะไร ฟังแล้วขนลุกพิลึก”
 

“กลอนชมบุ้งไง นี่แต่งสด ๆ เลยนะ” กิ่งดาวยิ้มหวานพร้อมกับเอื้อมมือจับปลายคางมนของคนตรงหน้า ขยับหันซ้ายหันขวาราวกับจะสำรวจหาอะไรสักอย่าง “ดูสิ หน้าตาผิวพรรณดีกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเรียนเกษตร นี่ถ้าบุ้งเป็นผู้หญิงแล้วกิ่งเป็นผู้ชายละก็ กิ่งจีบบุ้งแน่ ๆ ไม่ปล่อยให้โสดมาถึงวันนี้หรอก”


คนฟังหน้าเบ้ขยับตัวออกห่างจากสัมผัสนุ่มนวลนั้นก่อนจะกล่าว “เราเป็นผู้ชายกิ่งก็จีบเราได้นี่”


“ไม่เอาหรอก”


“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นเราจีบกิ่งล่ะได้ไหม”


กิ่งดาวสบตานิ่งในขณะที่เจ้าของคำถามยังคงสู้สายตาของเธอเช่นกัน 

 
“แล้วถ้ากิ่งบอกว่าไม่ได้ บุ้งจะสาปให้กิ่งเป็นกุหลาบเหมือนที่สุเทษณ์สาปมัทนาไหม”


“เป็นเพื่อนรักกันจะทำแบบนั้นได้ยังไง” ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปาก ลุกขึ้นหันมาแล้วหันกลับมาผายมือออกก่อนจะกล่าว “ไปเถอะ จะพาไปขี่ม้า”


เมื่อได้ฟังดังนั้นกิ่งดาวก็รวบเก็บข้าวลงใส่คืนลงในเป้ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้นก่อนที่สองคนจะจูงมือกันเดินไปยังโรงเลี้ยงม้าเหมือนที่เคยทำสมัยเด็ก ๆ


ม้ารุ่นลักษณะดีรูปร่างงามสง่าถูกคนงานจูงออกมาเตรียมไว้ที่หน้าโรงเลี้ยงม้ารอนายน้อยหนุ่มหล่อนานแล้ว เมื่อมาถึงคันธชาติก็กระโดดขึ้นนั่งประจำที่ก่อนจะดึงร่างบอบบางของหญิงสาวขึ้นมานั่งด้วยกัน เพียงขยับขาและดึงบังเหียนเบา ๆ เจ้าม้าแสนรู้ก็ออกเดินไปตามทางดินที่ทอดยาวไปตามแนวทุ่งดอกทานตะวัน เสียงฝีเท้ายามมันเดินทอดน่องฟังเพลินพอ ๆ กับเสียงฮัมเพลงที่ลอดผ่านริมฝีปากของคนในอ้อมแขน กิ่งดาวฮัมเพลงไปก็หันมามองคนข้างหลังไป รอยยิ้มแสนหวานแต่งแต้มใบทั่วใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นเป็นสิ่งที่เห็นทีไรก็ไม่รู้สึกเบื่อเลยสำหรับคันธชาติ   

   
“ช่วงนี้เรียนหนักเหรอโทร.ไปไม่ค่อยรับเลย”


“อืม เก็บข้อมูลทำรายงานน่ะ นี่ยังนึกอิจฉาบุ้งอยู่เลยเนี่ย รู้อย่างนี้ตัดสินใจเรียนพร้อม ๆ กันก็ดีแล้ว จะได้เหนื่อยด้วยกัน”


“เผลอแป๊บเดียวเดี๋ยวก็จบแล้วน่า ถึงจะเรียนพร้อมกันก็ไม่ได้เรียนที่เดียวกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”


หญิงสาวพยักหน้าเธอเข้าใจดีในสิ่งที่เขาพูด ร่างเล็กเอนหลังพิงกับแผ่นอกของคนบังคับม้าทอดตามองฟ้าสีสดตัดกับแนวทานตะวันสีเหลืองที่ออกดอกสะพรั่ง สายลมของฤดูหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ๆ แรงบ้างแผ่วบ้าง พาให้ลำต้นตั้งตรงไหวเอนแต่ดอกสีเหลืองเหล่านั้นก็ยังคงพร้อมใจกันหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์แม้จะอยู่แสนไกล 


“บุ้ง”


“หืม?”


“ที่ถามเมื่อกี้น่ะ คิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”


“แบบนั้นน่ะแบบไหน”


“ก็ที่บอกว่าถ้าจีบ...”


“จีบกิ่งน่ะเหรอ”


“อือ”


“รอให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก่อนเถอะถึงจะมีวันนั้น”


“บ้า”


คันธชาติหัวเราะเมื่อกิ่งดาวใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่หน้าท้อง 


“แต่ถ้าบุ้งไม่ได้คิดอย่างนั้นกิ่งก็ดีใจนะ เพราะว่ากิ่งน่ะอยากจะเป็นเพื่อนกับบุ้งไปนาน ๆ จนแก่เลยละ”


“ที่พูดแบบนี้แสดงว่ามีคนชอบอยู่แล้วละสิ” ชายหนุ่มเอียงคอมองปรางแก้มเนียนก่อนจะวางคางลงบนบ่าเล็ก สูดกลิ่นหอม ที่จมูกเคยคุ้นพร้อมกับเงี่ยหูรอฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด


“อืม...ก็ไม่เชิงหรอก แค่แอบชอบเขาน่ะ”


“แอบทำไม ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ”


“ไม่เอาหรอก เขาต่างจากคนที่กิ่งเคยพบ แล้วเขาคงไม่ชอบกิ่งหรอก” กิ่งดาวได้ยินทุกคำพูดของตนเอง น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ผิดจากประโยคที่เธอจะพูดออกไปต่อจากนี้นัก  “แต่กับบุ้งน่ะกิ่งไม่เคยแอบนะ กิ่งรักบุ้ง รักเกินกว่าจะคิดอะไรแบบนั้นกับบุ้งได้ สัญญานะว่าจะเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้”


“เราสัญญา” คันธชาติกระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว แผ่วเบาแต่หนักแน่นและชัดเจนราวกับตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้บนแผ่นหิน ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถลบคำสัญญาได้


...แม้แต่ความตาย...   





สายลมที่ผ่านม่านหน้าต่างนั้นให้ความรู้สึกเย็นเฉียบที่ขางแก้ม แต่เหงื่อเม็ดโตกลับผุดขึ้นที่ไรผมของคนกึ่งหลับกึ่งตื่นในขณะที่ปากยังคงเปล่งเสียงงึมงำขาดหายเป็นห้วง ๆ 



“ระ..เราสัญญา”


“...เราสัญญา เราสัญญา!!!” ชายหนุ่มตะโกนสุดเสียงก่อนจะสะตุ้งตื่น รีบยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับมองสำรวจไปรอบ ๆ พบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกตกแต่งแบบเรียบ ๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์ซึ่งทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ นิ้วหนาแตะลงบนหัวคิ้วก่อนจะหนวดเบา ๆ เมื่อรู้สึกปวดตุบอยู่กลางหน้าผากและเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น ชายหนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นแต่กรอบรูปที่วางอยู่บนหน้าตักกลับทำให้ต้องชะงักเสียก่อน หญิงสาวในภาพก็คือเจ้าของห้องที่เขานั่งอยู่ในขณะนี้ เมื่อคิดทบทวนดูก็จำได้ว่าเขามาขลุกอยุ่ที่บ้านของกิ่งดาวตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย หลังจากขออนุญาตลุงพิพัฒน์และป้ากิ่งกาญจน์ขึ้นมาบนนี้ก็เอาแต่รื้อ ๆ ค้น ๆ เพื่อหาหลักฐานที่ว่าจะเป็นประโยชน์ แต่เมื่อไม่เจอสิ่งที่ต้องการจึงมานั่งดูรูปเก่า ๆ ของเพื่อนรักกพลางนึกถึงเรื่องเก่า ๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไป


คันธชาติผุดลุกขึ้นล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรคนโทร.มาก็แผดเสียงดังลั่นด้วยความฉุนเฉียว


“มัวทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไหนแกบอกว่าถึงคอนโดแล้วจะโทร.บอกไง นี่ฉันแวะไปถามที่คอนโดเขาก็บอกว่ายังไม่เห็นแกเข้ามา โทร.ไปที่บ้าน แม่แกก็บอกว่าขับรถออกมาตั้งแต่ตอนบ่าย แล้วนี่ทำไมยังไม่ถึงคอนโดอีก”


“ใจเย็น ๆ ก่อนไอ้กาจ” คนถูกต่อว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ใบหน้ากลับเจือรอยยิ้มจาง ๆ “ฉันแวะมาบ้านกิ่ง ว่าจะมาอยู่แค่พักเดียวแต่ดันเผลอหลับ”


“นี่แกหลับลึกขนาดไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยเหรอ ฉันโทร.หาแกจะเป็นร้อยสายแล้วมั้ง”


“ปิดเสียงไว้”


“โห! อะ...ไอ้...” คนที่ปลายสายถอนหายใจเฮือกพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นแกติ “ฉันไม่รู้จะด่าแกว่าอะไรดี”


“นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก เดี๋ยวฉันจะไปแล้ว แกมีอะไรอีกหรือเปล่า”
น้ำเสียงที่ฟังแล้วดูจะไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ ยิ่งทำให้นึกประหลาดใจและที่สำคัญมันยังทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านของคนฟังกลับคลายลงเสียด้วยซ้ำ 


“มะ...ไม่ ไม่มีแล้ว ถึงคอนแล้วก็โทร.หาฉันด้วยก็แล้วกัน”


“รู้แล้ว”


“ดึกแค่ไหนก็โทร.นะโว้ย”


“เออน่า”


“ขับรถดี ๆ” เสียงที่อ่อนลงของเพื่อนรักเรียกรอยยิ้มให้ผุดขึ้นบนใบหน้าของคันธชาติอีกครั้ง เสียงลมหายใจทำให้รู้ว่าอีกฝั่งยังไม่ได้วางสาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วตาม แต่หากว่านี่จะเป็นการได้พูดคุยกันครั้งสุดท้าย เขาก็เลือกที่จะบอกความรู้สึกที่อยู่ภายในใจออกไป   


“แกก็ไม่ต่างอะไรกับฉันหรอกไอ้กาจ ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” ชายหนุ่มกล่าวเพียงสั้น ๆ จากนั้นจึงกดตัดสาย ดวงตาคมกริบทอดมองกรอบรูปในมืออีกครั้งก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเขียนหนังสือดังเดิม



เสียงพูดคุยกันซึ่งดังอยู่ไม่ไกลนักทำให้ธันวาต้องพรวดพราดลุกขึ้นเดินตรงไปเงี่ยหูฟังที่ประตู และเมื่อดูจากช่องตาแมวก็พบว่าชายหนุ่มห้องตรงข้ามกลับมาแล้ว เขากำลังยื่นขนมถุงใหญ่ให้พี่แววแม่บ้านประจำคอนโดผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า ‘แววรู้ โลกรู้’ นั่นก็ด้วยความเป็นคนช่างเจรจา เกาะติดทุกสถานการ์และรู้จักแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเผื่อแผ่ไปยังคนอื่น ๆ ของเธอ      ครั้งนี้ก็เหมือนเธอคงจะเที่ยวคุยให้บรรดาเพื่อน ๆ ร่วมอาชีพหรือคนรู้จักได้อิจฉาเล่นเหมือนทุก ๆ ครั้ง เพราะดูเหมือนว่าของที่ได้รับจะเป็นของชอบจึงได้กระโดดโลดเต้นส่งเสียงดังจนได้ยินกันไปทั้งชั้น



เมื่อแม่บ้านในตำนานเดินคล้อยหลังไปแล้วคนแอบมองจึงหันไปคว้าสิ่งที่เตรียมเอาไว้ก่อนจะเปิดประตูออกไป เป็นเวลาเดียวกับที่อีกคนกำลังแตะคีย์การ์ดเพื่อเข้าห้องของตนเอง


“อ้าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็ ดร.ปลายปีนี่เอง”


เจ้าของชื่อลอบถอนใจไม่คิดว่าจะต้องมาต่อความยาวสาวความยืดกันด้วยเรื่องของชื่อเช่นนี้ “ผมบอกแล้วไงว่าผมชื่อธันวา”


คันธชาติพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะหันกลับไปหมุนลูกบิด แต่คำพูดของชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันก็ทำให้ต้องหันกลับมาฟังอีกครั้ง 


“ผมเอาจานมาคืนน่ะ จะคืนให้หลายวันแล้วแต่ไม่เห็นคุณกลับมาที่ห้อง”


“ผมกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดมา” พูดจบก็รับจานเปล่าจากมือของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้


“อือ แค่นี้แหละ” ด็อกเตอร์หนุ่มตัดบททำท่าจะหันหลังกลับ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไมตรีของคนแปลกหน้าฉุดยื้อเขาเอาไว้


“เอาขนมไปกินไหม แม่ผมให้มาเยอะ”


ธันวามองดูถุงขนมที่คันธชาติยื่นมาให้อย่างตัดสินใจ ที่ลังเลก็เพราะเกรงใจ ทั้งที่วันนี้ตั้งใจจะเอาจานมาคืนแต่กลับได้ขนมติดมือมาด้วยมันดูเป็นการเอาเปรียบคนให้ไปสักหน่อย


“รับไปสิครับ คิดอะไรนานจัง”


“ผม...”


เจ้าของถุงขนมเลิกคิ้วขึ้นตามก่อนจะทำหน้านิ่วเมื่อเห็นทีท่าลังเลของคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า


“คุณเก็บไว้ทานเถอะ”


“รังเกียจว่างั้นเถอะ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ธันวาขมวดคิ้ว ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด อยากจะอธิบายด้วยประโยคยาว ๆ กว่านี้แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน


“ถ้าอย่างนั้นก็รับไป ไม่ต้องเกรงใจหรอก ผมเป็นเกษตรกรยังไง ๆ หว่านพืชก็ต้องหวังผล อีกหน่อยคุณคงได้ตอบแทนผมแน่ ไม่ต้องห่วง จะเป็นเลี้ยงมื้อใหญ่หรืออะไรก็ค่อย ๆ คิดไปก่อนก็แล้วกัน”


คำพูดกวนประสาทของคันธชาติทำให้ธันวาต้องรับถุงขนมมาอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้อง วางถุงพลาสติกใสที่ข้างในมีขวดโหลเล็ก ๆ บรรจุข้าวโพดคั่วกับเมล็ดทานตะวันกระเทาะเปลือกอยู่อย่างละขวด เมื่อพิจารณาดี ๆ จึงเห็นว่าที่ด้านหน้ามีสติ๊กเกอร์รูปดอกทานตะวันกับแม่วัวยิ้มแฉ่งกับชื่อ ‘ฟาร์มแสงฉาน’ กำกับอยู่


“ฟาร์มแสงฉาน?”


ธันวากอดอกนิ่งคิด รู้สึกคุ้นกับชื่อนี้แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน จู่ ๆ เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ทำให้ต่อมสงสัยหยุดทำงาน ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เมื่อพบว่าคนที่มากดกริ่งคือคนที่เพิ่งจะแยกกันไปเมื่อสักครู่ก็ยิ่งประหลาดใจหนัก


“คุณมีประแจหรือเปล่า”


“มะ...มี คิดว่ามีนะ ทำไมเหรอ”


“ท่อน้ำทิ้งอ่างล้างหน้าที่ห้องผมมันน่าจะตันน่ะ ก็เลยจะมาขอยืมประแจไปขันเปิดท่อสักหน่อย”


“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ ผมเข้าไปหยิบกล่องเครื่องมือในห้องก่อน” พูดจบธันวาก็เดินหายเข้าไปในห้องก่อนจะเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องเครื่องใบใหญ่สำหรับใส่เครื่องมือช่าง


“ขะ ขอบ...คุ...” ยังพูดไม่ทันจบร่างสูงก็เดินผ่านหน้าคันธชาติเข้าไปยังห้องฝั่งตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ


“เฮ้ย! เดี๋ยวสิคุณ คุณเข้ามาในห้องผมทำไมเนี่ย”


“ก็มาซ่อมท่อให้ไง”


“เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผมไปกดกริ่งขอยืมประแจนะ ไม่ใช่เรียกคุณมากซ่อมท่อ”


“ไหนบอกว่าหว่านพืชหวังผล ทำอะไรหวังสิ่งตอนแทน นี่ผมก็กำลังจะตอบแทนไง เปลี่ยนจากเลี้ยงมื้อใหญ่มาเป็นซ่อมท่อให้ก็แล้วกัน ห้องน้ำอยู่ทางนั้นใช่ไหม” ธันวากล่าวก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนอึ้งเพราะถูกย้อนอยู่อย่างนั้น เมื่อตั้งสติได้คันธชาติก็รีบเดินตามไปทันที ไม่ลืมที่จะคว้ากรอบรูปตั้งโต๊ะติดมือไปด้วย ชายหนุ่มแวะที่โต๊ะเขียนหนังสือก่อนจะหย่อนกรอบรูปลงในลิ้นชักจากนั้นก็เดินตามไปเกาะขอบประตูยืนมองนายช่างใหญ่ที่กำลังเปิดกล่องหาเครื่องมือ


“ท่อน้ำทิ้งน่าจะตันอย่างที่คุณว่านั่นแหละ” ร่างสูงกล่าวพลางหันมามองหน้าเจ้าของห้อง "เพราะคุณล้างถุงมือที่มีเศษดินในนี้ใช่ไหม"


คันธชาติเหลือบมองถุงมือที่ใช้สวมเวลารดน้ำพรวนดินผักสวนครัวที่ปลูกไว้ที่ระเบียงก่อนจะยิ้มแหย ๆ หลักฐานเห็นอยู่ตำตาแบบนี้ก็ไม่รู้จะเถียงให้เปลืองน้ำลายทำไมอีก


“เศษดินมันก็เลยลงไปอุดในท่อนี่ไง” คนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะนั่งลงใช้มือหมุนคลายเกลียวจากนั้นจึงใช้ประแจขันเปิดส่วนที่เป็นท่อดักกลิ่น


“ขอถุงสักใบสิคุณ”


“ถุงยางอนามัยหรือถุงพลาสติก” ปากที่ไวกว่าใจทำให้อยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองแรง ๆ เมื่อนายช่างใหญ่หันมาส่งสายตาเอือมระอา


“ถุงพลาสติกสิครับ จะเอาใส่เศษดินที่ค้างท่ออยู่เนี่ย”


คันธชาติพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะหันไปหยิบสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการส่งให้พลางจ้องมองแผ่นหลังกว้างก่อนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


“เห็นไหม” ธันวากล่าวพลางเคาะท่อดักกลิ่นแรง ๆ เพื่อให้เศษดินที่ค้างท่อหลุดออก  “จริง ๆ ถ้าคุณจะปลูกผักสวนครัวแบบนี้ ผมว่ายิ่งต้องระวังเรื่องเศษดินที่จะลงไปอุดตันท่อให้มาก ๆ นะ” ปากอิ่มบ่นพึมพำขณะจัดการทำความสะอาดและหมุนท่อกลับคืนที่เดิม เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็เก็บเครื่องมือลงกล่องก่อนจะลุกขึ้นมองหาเจ้าของห้องที่เคยยืนเกาะประตูแต่ก็ไม่พบ


“ปล่อยให้พูดคนเดียวอยู่ได้” ชายหนุ่มกล่าวพลางเดินถือกล่องใส่เครื่องมือช่างออกมาจากห้องน้ำ มองออกไปที่นอกระเบียงมีกระถางพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับปลูกผักวางเรียงรายจนเหมือนยกเอาแปลงผักมาไว้กลางเมือง ภายในห้องตกด้วยเฟอร์นิเจอร์เท่าที่จำเป็น ข้าวของวางเป็นระเบียบช่างต่างจากห้องหนุ่มโสดอย่างเขาเสียเหลือเกิน   


“เอ้า เสร็จแล้วเหรอคุณ” คุณที่กำลังเดินถือแก้วน้ำหวานสีแดงสดเข้ามาเอ่ยขึ้น


“เสร็จแล้วครับ”   


“ถ้าอย่างนั้นดื่มน้ำเย็น ๆ ก่อนนะแล้วค่อยกลับ”


ธันวาสบตาคนที่กำลังเดินยิ้มกริ่มเข้ามาก่อนจะวางกล่องเครื่องมือลงอย่างรู้งาน ถ้าปฏิเสธก็คงจะโดนจิกกัดอีกแน่ ๆ รีบดื่มให้หมด ๆ เสียจะได้รีบกลับ คิดได้แค่น้ำก็รู้สึกได้ถึงแรงปะทะจากร่างของอีกคนที่เมื่อเปรียบเทียบด้วยสายตาแล้วดูจะตัวเล็กกว่าเขาหน่อยหนึ่ง เสียงร้องโวยวายกับความเย็นของน้ำที่รดลงบนหน้าอกด้านขวาเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มได้แต่เพียงก้มลงมองน้ำหวานเหนียว ๆ ที่กำลังลามไหลลงมาจนถึงเอวกางเกงอย่างอ่อนใจ


“คุณ ผมขอโทษ” คันธชาติละล่ำละลัก วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะก่อนจะหันกลับมาขอโทษขอโพยอีกครั้ง


“ไม่เป็นไร”


“ถอดเสื้อสิคุณ เดี๋ยวผมซักให้” พูดจบก็ทำท่าจะช่วยถอดเสื้อให้แต่ธันวาเบี่ยงตัวหลบเสียก่อน


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับไปทำเองที่ห้องดีกว่า”


“เฮ้ย! ได้ยังไงคุณ มันเกิดเรื่องในห้องของผมนะ ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ นี่ถ้าคุณไม่ยอมถอดเสื้อให้ผมไปซักผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ”


คนฟังถอนใจเบา ๆ พร้อมกับช้อนตามองชายหนุ่มเจ้าของห้องที่ดูไม่ออกจริง ๆ ว่าเขารู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่อย่างไรกันแน่



คันธชาติทำหน้าเศร้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง “ถ้าอย่างนั้นคุณกลับไปที่ห้องก็ได้ แต่ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ อุตส่าห์มาช่วยซ่อมท่อให้แท้ ๆ แต่กะ..กลับ...”


“เอาละ ๆ ผมถอดก็ได้” ธันวากล่าวเสียงเนือยก่อนจะค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออก


“มา ๆ ผมช่วย”


แต่ก่อนที่คนพูดจะเดินเข้าไปช่วยตามที่ปากว่าก็โดนห้ามไว้เสียก่อน “ไม่ต้อง ผมถอดเองได้” พูดจบก็ถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมมาออกแล้วส่งให้คนที่อยากจะซักมันเสียเหลือเกิน


คันธชาติรับเสื้อมาถือเอาไว้พลางมองร่างสูงตรงหน้าแววตาเป็นประกาย พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก “คุณกลับห้องไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมซักเสร็จแล้วจะเอาไปคืนให้”


ธันวาพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปหยิบกล่องใส่เครื่องมือ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังลอบสำรวจแผ่นหลังนวลเนียนของเขาอยู่


ในที่สุดนาทีที่รอคอยก็มาถึง นักสืบสมัครเล่นเม้มปากแน่นในขณะนัยน์ตาสีดำค่อย ๆ ไล่มองจากแนวบ่ากว้างลงมา...



‘รอยสัก ๆ’




‘อยู่ไหนวะ รอยสัก’




‘ด้านขวา’





‘รูปดอกไม้’




จนกระทั่ง...



‘ผละ แผลเป็น?’





‘เฮ้ย! แผลเป็น’



ร่างสูงสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ ปลายนิ้วเย็นเฉียบก็แตะลงกลางแผ่นหลัง “เฮ้ย! ทำอะไรน่ะคุณ” พูดจบก็รีบยกมือที่เหลือปิดหน้าอกตัวเองก่อนจะถอยกรูดติดผนังห้องจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง


สายตาหวาดระแวงทำเอาคันธชาติถึงกับต้องเกาหัว “ผมไม่หน้ามืดปล้ำคุณหรอกน่า แค่อยากรู้ว่าหลังคุณไปโดนอะไรมา”


เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็ค่อยคลายความหวาดระแวงลง ถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะอธิบายให้หายข้องใจ “อ๋อ แผลเป็นนี่น่ะเหรอ สมัยเด็ก ๆ ซนไปหน่อยน่ะ”


“อืม ผมไม่มีอะไรสงสัยแล้ว คุณกลับไปเถอะ” ถึงจะดูเหมือนการถีบหัวส่งแต่ก็คันธชาติก็เลือกที่จะทำมัน


ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ลมหายใจหนัก ๆ ก็ถูกผ่อนออกจากปลายจมูก รู้สึกสับสนในความรู้สึกของตัวเอง อธิบายไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ ‘ธันวา ธิตินาวา’ ไม่ใช่เจ้าของรอยสักรูปดอกไม้นั่น
 





  ...

สวัสดีค่ะ มาต่อตอน 2  แล้วนะคะ เว้นช่วงไปนานหน่อยเพราะว่าหาข้อมูลเยอะ

คิดเยอะ ปมเยอะไปหมดจนจะพันคอตัวเอง

คิดยากจริง ๆ ค่ะแนวนี้ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามนะคะ ^^

ปล.ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยทักเรื่องคำผิดด้วยค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2014 11:15:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Buppha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
    • https://m.facebook.com/buppha.manisaeng?refid=13
 :ling1: มาต่อเร็วนะค๊าาาาาา ชอบ ดร.ปลายปี  :mew2:

ออฟไลน์ Shin Heeyoo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ให้มันได้อย่างนี้สิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2014 10:14:01 โดย Shin Heeyoo »

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
กลายเป็นว่าบุ้งรักกิ่งซะงั้น  :hao4:
คนที่กิ่งแอบชอบ เหมือนจะไม่ใช่ ดร.ปลายปี
ไม่รู้สิ คิดเอาเองว่า ถ้าเป็น ดร.ปลายปี ปมมันจะน้อยไป
แล้วก็อย่างที่เห็นว่า ดร.ปลายปีไม่ได้มีรอยสักรูปดอกไม้
แผ่นหลังเนียนที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายนั่นน่ะ
ขอมโนว่าเป็นผู้หญิง ฮ่าาาาา เพราะซีนสั้นๆในห้องสมุดนั่น โผล่มาให้สงสัย
บางที ดร.ปลายปี อาจจะเป็นศิราณีของกิ่งก็ได้

ค่อยๆเผย character ออกมาทีละนิดละ
เริ่มจากทำอาหาร หน้าเนียนใส ตัวเล็กกว่า
ขอโมเมว่า บุ้งเป็นนายเอก ฮ่าาาา

นอกจากว่าคนเขียนจะเปลี่ยนแนวเป็นพระเอกใสๆตัวเล็กกว่านายเอกล่ะนะ ฮ่าาาาา


โว้วๆๆๆๆ ผมนี่ อยากแปลงร่างเป็นโคนันเลยครับ

ปล. ตามมาด้วยข้างล่างนี่ค่ะ เห็นแว๊บๆ

> "[เป็นเราผู้ชาย]กิ่งก็จีบเราได้นี่”

> เพราะคุณล้างถุงมือที่มีเศษดินในนี้ใช่ไหม  [เหมือนจะเป็นประโยคคำพูด แต่ไม่มี " "]

> [ปากไวที่กว่าใจ]ทำให้อยากจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองแรง ๆ

> คันธชาติทำหน้าเศร้า[แม่]เห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
ชอบดร.ปลายปีจัง

 :กอด1:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ eye-lifestyle

  • พรุ่งนี้ไม่เคยมีจริง
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอต่อไป ขอบคุณค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด