หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178195 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)



เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เมื่อการแสดงละครเวทีร่วมสมัยเรื่องมัทนะพาธาซึ่งเป็นการแสดงสุดตระการตาส่งท้ายปีของโรงละครนาฏยกาลรูดม่านปิดฉากลง ไม่นานชายหนุ่มหน้าหวานเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหนึ่งก่อนจะเดินมายืนตรงกลางเวที เขาคือ ‘อัศนัย’ ทายาทโดยถูกต้องของตระกูลนาฏยะที่ก้าวเข้ามารับช่วงดูแลธุรกิจบันเทิงต่อจากเสี่ยอนันต์ เมื่อลูกชายคนรองผายมือออกไปยังทิศตรงข้ามกับที่เขาปรากฏตัวเมื่อสักครู่ รถเข็นซึ่งควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าที่มีผู้เป็นพ่อนั่งมาด้วยก็ค่อย ๆ เคลื่อนมาหยุดยังจุดเดียวกันกับที่เขายืน และนั่นก็สามารถเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นไม่แพ้รอบแรก เหล่านักแสดงต่างก็พากันเดินตามออกมายืนขนาบทั้งสองข้างยาวตลอดหน้าเวทีก่อนจะโค้งคำนับต่อหน้าผู้ชมนับร้อย จากนั้นคอละครเวทีก็ทยอยกันนำช่อดอกไม้ไปมอบให้กับนักแสดงที่ตนเองชื่นชอบ ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึก ในขณะที่ช่างภาพทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพที่อยู่ในที่นั้นต่างก็รัวชัตเตอร์แข่งกันจนแสงแฟลชสว่างไสวแปลบปลาบไปทั่วบริเวณ



แต่ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายนั้นกลับมีบางสิ่งหยุดนิ่ง...



ร.ต.อ.เก่งกาจมองตามสายตาของคันธชาติที่กำลังจ้องมองไปยังเก้าอี้แถวหน้าเยื้องไปทางขวาใกล้กับทางเดิน หญิงสาวผู้หนึ่งยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่กับที่ ทั้ง ๆ ที่ผู้ชมจำนวนมากต่างก็กรูกันลงไปยังหน้าเวทีในขณะที่อีกหลายคนเริ่มทยอยกันเดินออกจากโรงละคร


“แกคงไม่ได้แค่จะชวนฉันมาดูละครเวทีใช่ไหม” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางเลื่อนสายตากลับมาสบกันนิ่ง


“แกว่าแปลกไหม ทั้งที่เป็นพ่อลูกกันแต่กลับมานั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้ แทนที่จะขึ้นไปแสดงความยินดีกับพ่อกับพี่ชาย ตอนที่พบกันที่โรงพยาบาลนั่นก็ด้วย”


“เธออาจจะไม่อยากแสดงตัวก็ได้ เป็นแค่ลูกนอกกฎหมาย แม่ก็เสียไปหลายปีแล้ว พ่อยอมรับหรือเปล่าก็ไม่รู้ อีกอย่างนะ ขืนเข้าไปยุ่มย่ามพี่ชายอีกสองคนอาจจะไม่ชอบใจนักก็ได้ มันเรื่องของครอบครัวเขาแกจะสงสัยอะไรนักหนาวะ กลับเถอะ” พูดจบก็รั้งแขนของเพื่อนให้ลุกขึ้นก่อนจะพากันเดินออกไปที่ด้านนอกซึ่งก็ดูจะชุลมุนวุ่นวายไม่ต่างอะไรกับภายในโรงละครเลย นั่นเป็นเพราะผู้ชมที่ทยอยกันออกมาต่างหยุดรอเพื่อจะถ่ายภาพกับนักแสดงและฉากที่จำลองมาจากเวทีใหญ่



“ท่านผู้ชมที่จะไปยังลานจอดรถด้านหลังสามารถใช้ประตูด้านข้างได้นะคะ” ประกาศจากเมกะโฟนดังแทรกเสียงจ้อกแจ้กจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ พลันประตูด้านข้างโถงหน้าโรงละครก็ถูกเปิดออกโดยพนักงานรักษาความปลอดภัย คันธชาติไม่รอช้าเดินตามผู้ชมจำนวนหนึ่งออกไปโดยไม่ฟังคำห้ามปรามของคนที่มาด้วยกัน เมื่อหลุดออกมานอกตัวอาคารชายหนุ่มก็มองซ้ายมองขวาหาอะไรบางอย่าง


“ออกมาทางนี้ทำไมวะ เราจอดรถไว้ด้านหน้านะ” เก่งกาจกล่าวทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนมีจุดประสงค์อะไร


“ตรงไหนวะกาจ”


“ตรงไหนอะไรของแก”


“ก็ตรงที่กิ่งตกลงมาไง”


เก่งกาจสบตานิ่งก่อนจะเบนหน้าไปยังตึกสูง 5 ชั้นที่ตั้งตระหง่านดำทมึนอยู่ท่ามกลางความมืด “ด้านหลังตึกโรงละครร้างนั่น"


“โรงละครร้าง?”


“อือ ตอนที่สอบปากคำคุณอัศนัยลูกชายคนเล็กของเสี่ยอนันต์น่ะ เขาบอกว่ามันเป็นโรงละครร้างที่เตรียมจะทุบทิ้งเพื่อจะทำเป็นศูนย์การค้า”


“ศูนย์การค้า? แล้วนาฏยกาลล่ะ”


“ไม่รู้เหมือนกัน ก็อาจจะเปิดคู่กันไปหรือปิดตัวถ้าดูแลไม่ไหว”


“ทั้งที่กิจการกำลังไปได้ดีเนี่ยนะ”


“โอ๊ย! ฉันจะรู้กับเขาไหม”


“แล้วทำไมแกไม่ถามวะ”


“ฉันก็ถาม แต่ถามเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับคดีโว้ย”


คันธชาติใช้ปลายนิ้วถูที่คางอย่างใช้ความคิด พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างเพรียวบางของใครคนหนึ่ง แผนการบางอย่างจึงเริ่มต้นขึ้น


“อะ...อ้าว เฮ้ย! แล้วนั่นแกจะไปไหนวะ” เก่งกาจร้องเมื่อเห็นเพื่อนรักเดินไปอีกทาง


“ตามมาเถอะน่า” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางรีบสาวเท้าให้ทันคนที่กำลังเดินหายไปด้านหลังตึก



เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ตามหลังมาทำให้หญิงสาวในชุดกระโปรงสีทึมต้องชะงัก เมื่อเธอเหลียวกลับมามองก็ร่างสูงใหญ่ก็ถาโถมเข้ามาปะทะเสียแล้ว อารตีมองชายหนุ่มที่ละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษ ท่าทางรีบร้อนของเขาทำให้เธอไม่คิดจะเอาความ


“จะ..เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”


“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ต้องขอโทษคุณด้วยที่หยุดกระทันหัน”


ยังไม่ทันที่หนุ่มแปลกหน้าจะตอบ เสียงของคนที่วิ่งตามมาก็แทรกขึ้นเสียก่อน


“ไอ้บุ้ง! แกจะไปไหนวะ ระ..รถเรา...” เก่งกาจจ้องหน้าเพื่อสลับกับหน้าสวยที่ยืนข้างกัน จำได้ว่าเธอคือหญิงสาวคนเดียวกับที่พบในโรงละคร ลูกสาวที่เกิดกับภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของเสี่ยอนันต์ จึงได้แต่ทำปากพะงาบ ๆ กลืนข้อความที่เหลือลงคอ


“รถเราจอดอยู่โน่นไง” เจ้าของชื่อชิงตัดบท


“เออ! เดินเร็วจังวะ รีบไปตามคนที่ไหน” น้นคำว่า ‘คน’ เสียจนคนฟังค้อนขวับ


“จะรีบกลับไปดูบอล ก็เลยเดินชนคุณผู้หญิงคนนี้เข้า” พูดจบก็หันไปขอโทษขอโพยอีกครั้ง


“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยังกล่าวคำเดิม รอยยิ้มงดงามทำให้เก่งกาจรู้ว่าเธอไม่ได้เอะใจกับเหตุการณ์ที่เพื่อนของเขาสร้างขึ้นเลยสักนิด


“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”


เสียงนั้นฟังดูคุ้นหูชอบกล


“อาจารย์ รตีคิดว่าอาจารย์กลับไปแล้วเสียอีกค่ะ”


“ผมเห็นคุณยืนอยู่ตรงนี้นานแล้วก็เลยเดินมาดู” อาจารย์หนุ่มกล่าวก่อนจะหันมาสบตาสองหนุ่มที่ตอนนี้ถอยกรูดไปเกาะกันเป็นกระจุกอยู่ที่มุมตึก ธันวาค้อมศีรษะให้เก่งกาจก่อนจะเบนสายตามายังอีกคนที่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


“ไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่นะครับผู้กอง”


“อะ...เอ้อ ครับ” คนถูกทักยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปทำขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ไอ้ตัวต้นเรื่องที่ชวนมาที่นี่


“คุณด้วย คุณบุ้ง”


“นี่รู้จักกันหมดเลยเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้างงก่อนจะหลุดขำออกมา “โลกกลมจังเลยนะคะ”


“ครับ” คันธชาติที่ตอนนี้เหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอตอบเพียงสั้น ๆ


“กลมจนน่าสงสัยนะครับ ว่ามันกลมเองหรือมีใครพยายามทำให้มันกลมกันแน่” รอยยิ้มเย็น ๆ ของธันวาเล่นเอาคนที่เคยพูดเก่งถึงกับเสียวสันหลังวาบ


“อาจารย์หมายความว่ายังไงคะ รตีไม่เห็นจะเข้าใจเลย”


“นั่นสิครับ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมพวกอาจารย์ต้องพูดอะไรให้เข้าใจยากด้วย เนอะไอ้กาจเนอะ”


‘ไอ้เวรบุ้ง!’ นายตำรวจหนุ่มได้แต่ยิ้มแก้เก้อ


“ถ้าอย่างนั้นรตีกลับก่อนนะคะอาจารย์ กลับก่อนนะคะผู้กอง กลับก่อนนะคะคุณ....”


“เรียกบุ้งก็ได้ครับ”


“ค่ะ คุณบุ้ง” พูดจบเธอก็เดินข้ามฝั่งไปยังลานจอดรถ ทิ้งให้ชายหนุ่มสามคนยังคงยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ตรงนั้น


ธันวาถอนใจเบา ๆ ละสายตาจากร่างของนักศึกษาในความดูแลหันกลับมากล่าวกับคนที่ยืนมองตากันปริบ ๆ “จะรีบกลับไปดูบอลไม่ใช่เหรอ กลับพร้อมผมก็ได้นะ”


“นี่อยู่คอนโดเดียวกันเหรอครับ” เก่งกาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ ในขณะที่ธันวาเองก็ตอบพาซื่อ


ส่วนคนถูกถามที่ยังไม่ทันจะตั้งสติคิดหาคำตอบกลับโดนมือหนาตบผัวะเข้าที่บ่าจนเซไปข้างหน้า


“ไปสิไอ้บุ้ง”


“อะ...อะไรวะ” คันธชาติเกาะหัวแกรก


“ไม่ได้ยินที่ด็อกเตอร์เขาพูดเหรอ ทางเดียวกันไปด้วยกัน รีบไปดูบอลไม่ใช่เหรอแกน่ะ”


“แต่ฉันมากับแกนะ”


“เฮ่ย ฉันต้องรีบไปเข้าเวร”


“ไหนแกบอกวันนี้ว่าง”


“ว่างที่ไหนล่ะ เมื่อกี้นายโทร.ตามให้ไปเข้าเวรแล้วเนี่ย”


“แต่ฉันยังไม่ได้ยินเสียงทะ..โทร...”


“คุยนานไม่ได้แล้วว่ะ ใกล้เวลาเข้าเวรแล้ว” เก่งกาจทำหน้าขึงขังพลางมองนาฬิกาข้อมือ “ยังไงผมฝากเพื่อนด้วยนะครับด็อกเตอร์”


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนคันธชาติถึงกับอ้าปากหวอ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนหมัดตรงของเพื่อนรักเข้าไปเต็มเปา ความมึนงงคลายลงเมื่อร่างกำยำค่อย ๆ ห่างออกไป เสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีที่ดังแว่วอยู่ไกล ๆ ทำให้ชายหนุ่มเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘ชิ่ง’ เข้าทำนองตัดช่องน้อยแต่พอตัวล่ำ ๆ ไม่ผิดแน่


“ไปเถอะ” น้ำเสียงเย็นเยือกเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง 


“ผมว่าผมไม่รบกวนคุณดีกว่า” เจ้าของรอยยิ้มแห้ง ๆ กล่าวก่อนจะหมุนตัวกลับแต่ก็ถูกคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ


“รบกวนอะไร ทางเดียวกันไปด้วยกันน่ะถูกแล้ว ประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ ช่วยโลกนะคุณ”


แม้ธันวากล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ แต่ฟังแล้วให้รู้สึกคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก คันธชาติมุ่นคิ้วพลางสะบัดมือออกก่อนจะก้าวฉับ ๆ ไปยังแลนด์โรเวอร์คันงามที่จอดอยู่ไม่ไกลอย่างรู้งาน


ทันทีที่รถเคลื่อนพ้นอาณาบริเวณของโรงละครนาฏยกาล เจ้าของรถจึงเปิดฉากถามในประเด็นที่ค้างคาใจ “คุณคิดจะทำอะไรของคุณ”


คนที่กำลังทอดมองแสงไฟนอกหน้าต่างดึงสายตากลับมามองเงาสะท้อนของร่างสูงในกระจก ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ดวงตามุ่งมั่นคู่นั้นก็ยังคงมองไปข้าง เดาไม่ออกเลยว่าเขาต้องการอะไรจากคำถามเมื่อสักครู่ แต่กระนั้นคันธชาติก็ยังฝืนทำเฉไฉ


“ไม่รู้ว่ารถจะติดไหมนะ” พูดจบก็เอื้อมมือเปิดเครื่องเสียงติดรถยนต์ก่อนกดจะเลื่อนหาคลื่นไปเรื่อยเปื่อย


“ทำแบบนี้ทำไม คุณต้องการอะไรกันแน่” นิ้วหนากดปิดเครื่องเสียงฉับพลันทันใด


“ฟัง จส.100 สิคุณจะได้รู้ว่าการจราจรเป็นยังไงบ้าง กว่าจะถึงคอนโดอีกตั้งไกล” พูดจบก็กดเปิดเครื่องเสียงอีกครั้ง


“นี่ เลิกทำเฉไฉได้แล้ว” ธันวากดปิดอีกครั้งก่อนจะรีบคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตาสองคู่สบกันเพียงเสี้ยววินาทีพลันผละจากกันไปพร้อมกับมือที่ค่อย ๆ คลายออก


“ทั้งเรื่องที่คุณสะกดรอยตามอารตี ทั้งเรื่องที่คุณย้ายเข้ามาอยู่ที่คอนโด เรื่องที่คุณกับผู้กองเก่งกาจเป็นเพื่อนของกิ่งดาว แล้วก็เรื่องที่คุณตามไปดูผมที่มหาวิทยาลัย คุณต้องการอะไรกันแน่”


“ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ” คันธชาติตอบเพียงสั้น ๆ เสมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง


สองคนนั่งเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งถึงคอนโด ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้อง ธันวาก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้น “ถ้าคุณไม่ยอมบอก ผมก็จะตามสืบให้รู้จนได้”


“คุณอย่ามายุ่งกับเรื่องของผมดีกว่า เพราะผมจะไม่ยุ่งเรื่องของคุณอีก” พูดจบคันธชาติก็เปิดประตูเข้าไปในห้องทิ้งให้ชายหนุ่มห้องตรงข้ามได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ


ในที่สุดธันวาก็พบว่าทุกอย่างเป็นจริงตามที่คันธชาติพูดเอาไว้ เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย กระทั่งมีข่าวลือแปลก ๆ เกิดขึ้นในคอนโด


สองพี่น้องฝาแฝดที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนยืนเกาะแขนกันจ้องมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ ลดลงจนมาหยุดอยู่ที่ชั้นล่างสุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่ ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกหนุ่มน้อยทั้งสองก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง


“ว่ายังไงเด็ก ๆ” คันธชาติร้องขึ้นพร้อมกับบีบลงเบา ๆ ที่ไหล่เล็กของเด็กชายทั้งสองคน


“โธ่!!!! น้าบุ้ง ปิงตกใจหมดเลย” น้องชายบ่นอุบ


“อะไรกันแค่นี้ทำขวัญอ่อนไปได้ ปกติสองลิงไม่เคยกลัวใครนี่นา” คุณน้าหน้าหล่อหัวเราะพลางดันหลังสองคนให้เดินเข้าไปในลิฟต์ สองพี่น้องยึดเอามุมหนึ่งเป็นที่พึ่งยังคงเกาะแขนกันแน่นพยายามยืนให้หลังชิดผนังมากที่สุดจนคันธชาติอดสงสัยไม่ได้


“เป็นอะไรกัน วันนี้ท่าทางแปลก ๆ”


ปิงและน่านมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่คนพี่จะตอบคำถาม “น้าบุ้งไม่ได้ยินที่เขาลือกันเหรอครับ เรื่องผะ...ผู้หญิงผมยาวที่ชั้นเรา”


“หืม? น้าบิวตี้นะเหรอ คนสวย ๆ ที่อยู่ห้องทางปีกขวาใช่ไหม”


“ที่เราสองคนเห็นน่ะไม่ใช่ครับ เพราะถ้าเป็นน้าบิวตี้น่านกับปิงก็ต้องจำได้ ตะ...แต่นี่ไม่ใช่”


“อาจจะเป็นคนย้ายมาใหม่ก็ได้มั้ง”


“แต่แม่บอกว่าไม่มีใครย้ายมาใหม่นะครับน้าบุ้ง”


“ครั้งแรกปิงเห็นเขาที่หน้าประตูบันไดหนีไฟ ส่วนเมื่อวันก่อนเห็นแถว ๆ ห้องน้าบุ้งกับน้าธัน แล้วอยู่ ๆ เขาก็หายไป” คนน้องเสริม
“แล้วเห็นหรือเปล่าว่าเขาใช้คีย์การ์ดเปิดประตู หรือว่า...” คันธชาติกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เดินทะลุเข้าไป”


“น้าบุ้ง อย่าพูดอย่างนี้สิครับ เราสองคนยิ่งกลัวอยู่”


สองพี่น้องต่างมองหน้ากันหวาด ๆ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ก็พากันพุ่งพรวดโกยแนบแบบไม่คิดชีวิตไปยังห้องของตนเองโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลยสักนิด ร่างสูงที่เดินตามออกมากดยิ้มที่มุมปากมองท่าทางตลก ๆ ของเด็กแฝดก่อนจะเดินตรงไปที่ห้อง


“กลัวอะไรกัน ผีไม่มีจริงสักหน่อย”



ตั้งแต่ข่าววิญญาณของหญิงสาวที่มักจะมาปรากฏตัวให้เห็นแพร่สะพัดออกไป เด็ก ๆ และคนที่เชื่อในเรื่องลี้ลับต่างก็พากันไม่กล้าออกจากห้อง บรรดาแม่บ้านต้องจูงมือกันมาทำความสะอาดในแต่ละชั้น ซึ่งธันวาก็เป็นคนหนึ่งที่ดูจะไม่เชื่อเรื่องนี้สักเท่าไร เขายังคงใช้ชีวิตตามปกติในขณะที่หลายคนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง ร่างสูงปิดประตูห้องก่อนจะเดินไปยังลิฟต์ ยังไม่ทันกดประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียก่อน พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงของหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวกับกางเกงขากระบอกสีครีม ผมยาวสยายรับกับดวงหน้า องค์ประกอบบนใบหน้าดูเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมใต้แนวคิ้วเข้มเรียงเส้นสวย จมูกโด่งรั้นและริมฝีปากสีเรื่อ เธอดูจะตกใจเล็กน้อย ดังนั้นธันวาจึงเบี่ยงตัวเพื่อหลีกทางให้หญิงสาวเดินออกมาก่อน ระยะห่างเพียงไม่มากทำให้แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้าเธอคนนี้มาก่อน ชายหนุ่มก้าวเข้าไปแทนที่พลางมองแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปทุกที รอจนเห็นว่าเธอกำลังเลี้ยวไปตามทางที่จะไปตามที่เขาเดินมาจึงกดปิดประตู


ธันวาเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ ลดลงพลางในหัวยังคงนึกถึงหญิงสาวแปลกหน้าที่พบกันเมื่อครู่ “ห้องตรงนั้นมันก็มีแค่ห้องเรากับห้องตรงข้ามนี่นา แล้วเขาจะไปไหน หรือว่าไปผิดทาง” ชายหนุ่มเกาศีรษะก่อนจะสลัดความคิดทิ้งไปเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งที่ชั้นล่างสุด ใช้เวลาเพียงไม่นานเปิดล็อกเกอร์หยิบเอกสาร เมื่อกลับขึ้นมายังชั้นที่เขาอยู่ก็พยายามกวาดตามองหาหญิงสาวคนเดิมแต่ก็ไม่พบ ห้องทุกห้องยังคงปิดเงียบ


ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องตั้งใจจะชงกาแฟแต่จานใบใหญ่ที่วางอยู่ข้างอ่างล้างจานก็ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด ร่างสูงคว้าจานใบนั้นก่อนจะเดินออกจากห้องไปกดกริ่งห้องตรงข้าม รออยู่นานประตูก็ไม่เปิดออกสักทีทั้งทีในเวลาแบบนี้เจ้าของห้องน่าจะอยู่ ธันวากดกริ่งซ้ำยืนรออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าคงไม่มีคนอยู่จริง ๆ จึงเดินกลับเข้าห้อง ไม่รู้เลยว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังมองตนเองผ่านช่องตาแมวแต่ก็เลือกที่จะไม่เปิดประตูออกมาตามคำที่ได้พูดเอาไว้ว่าจะไม่ยุ่งด้วยอีก

....




(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


หลายวันแล้วที่ธันวายังคงกดกริ่งหน้าห้องตรงข้ามซ้ำ ๆ แต่เจ้าของห้องก็ไม่เปิดประตูออกมา ไม่แม้แต่จะบังเอิญเดินสวนกันในคอนโดหรือเจอกันที่หน้าลิฟต์อย่างที่เคยเป็น กลับพบแต่ผู้หญิงคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนและมาหาใครที่นี่  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาถอนใจเฮือกจ้องมองจานเปล่าที่ตั้งใจจะเอาไปคืนเจ้าของ ทุกครั้งที่ไปกดกริ่งหน้าห้องเจ้าของห้องก็ไม่เปิดประตูออกมา ทั้งที่บางวันมองจากลานจอดรถก็เห็นว่าไฟในห้องเปิดอยู่


“นี่คุณจะเอาแบบนี้จริง ๆ ใช่ไหม”


ริมฝีปากหยักพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องอารมณ์เสียกับเรื่องแค่นี้ ทั้งที่สามารถจะคืนของให้ได้โดยผ่านคนกลางแต่ก็กลับเลือกที่จะรอคืนให้เจ้าของกับมือ แบบนี้ยังจะมานั่งหัวเสียทำไม รู้สึกว่าพักนี้ในหัวมีแต่เรื่องให้คิด ไหนจะเรื่องของวิญญาณหญิงสาวผมยาวยังคงเป็นที่โจษจันของคนในคอนโดนั่นอีก ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือเป็นเรื่องที่ใครกุข่าวขึ้นมาสร้างความปั่นป่วนกันแน่ ในที่สุดก็เป็นเขาเองที่อดรนทนไม่ไหวต้องหาทางไขข้อข้องใจนี้


“คุณแน่ใจเหรอว่าจะเจอเธอ” ร.ต.อ.เก่งกาจถามพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ 


“ผมค่อนข้างมั่นใจนะครับ เพราะผมมักจะเดินสวนกับเธอที่หน้าลิฟต์ในเวลานี้ แล้วทุกครั้งเธอก็มักจะเดินมาทางห้องที่ผมอยู่” เจ้าของร่างสูงกล่าวพลางเดินนำนายตำรวจหนุ่มไปที่ห้องของตนเอง “ฝั่งซ้ายคือห้องของผม ส่วนฝั่งขวานั่นคือห้องของเพื่อนคุณ ถัดไปก็ไม่มีห้องใครนอกจากห้องเก็บของของแม่บ้าน”


“อืม...ไม่คิดว่าเธอจะเดินผิดทางบ้างเลยเหรอ” พูดจบเก่งกาจก็ย่อตัวลงเก็บอะไรบางอย่างขึ้นมาจากพื้น


“ผิดทุกครั้งเลยนะครับ”


คนฟังพยักหน้าก่อนจะหันกลับไปมองประตูห้องเพื่อนของตนเองที่ยังคงปิดสนิท “แล้วนี่คุณเจอไอ้ตัวดีบ้างหรือเปล่า”


“ไม่ครับ ตั้งแต่วันที่พบพวกคุณที่โรงละคร ผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย”


เก่งกาจพยักหน้าก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงมองดูเศษผมที่อยู่ในมือพลางกดยิ้มที่มุมปาก อันที่จริงมันเป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่เหมือนเส้นผมเอามาก ๆ ความยาวเกินศอกนั่นทำให้คาดเดาได้ว่าไม่น่าจะใช่ผมของหนุ่มโสดสองคนที่ประตูห้องอยู่ตรงข้ามกัน


“ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณอาจจะได้เจอ” พุดยังไม่ทันขาดคำร่างสูงของคนที่กำลังพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น นายตำรวจหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูงกอดอกมองคนที่กำลังถือของพะรุงพะรังในมือ เมื่อเห็นทั้งเพื่อนและชายหนุ่มห้องตรงข้ามอยู่กันพร้อมหน้ากันก็ชะงักเล็กน้อยก่อนที่ขายาวจะก้าวต่อจนมาหยุดที่หน้าห้อง


“มาได้ไงวะ”


“ด็อกเตอร์เขาตามฉันมาให้ช่วยจับขโมยน่ะ เป็นผู้หญิง สวยเสียด้วยแกเคยเห็นบ้างหรือเปล่าวะ”


“ไม่นี่” คันธชาติกล่าวก่อนจะแตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู ไม่มี ทีท่าจะสนใจเพื่อนบ้านห้องตรงข้ามเลยสักนิด 


“ผมคิดว่าวันนี้เราคงไม่เจอเธอแล้วละครับ เอาไว้วันหลังก็ได้ เชิญผู้กองคุยกับเพื่อนตามสบายนะครับ” ธันวาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังกลายเป็นส่วนเกิน


“เดี๋ยวสิครับด็อกเตอร์ เข้ามาข้างในก่อน ไม่แน่นะเราอาจจะเจอเบาะแสอะไรในนี้ก็ได้” นายตำรวจหนุ่มกล่าวพลางเหล่ตามมองเจ้าของห้องที่ยังคงวางหน้านิ่ง


“ชวนเขายังกับเป็นห้องแกเองเลยนะ”


“เออ ห้องแกก็เหมือนห้องฉันนั่นแหละ”


ธันวาเดินตามสองหนุ่มเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตามคำเชิญของเก่งกาจ เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นปกติไม่เห็นจะมีเบาะแสอะไรอย่างที่อีกฝ่ายว่า ที่ไม่ปกติก็คงจะเป็นเจ้าของที่ห้องไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ พอเข้ามาก็หอบข้าวของที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าไปเก็บในครัว ในขณะที่เก่งกาจยังคงเดินสำรวจไปรอบ ๆ เปิดประตูระเบียง เดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้เพราะเพิ่งเคยได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ผู้กองร่างบึกหยุดนิ่งอยู่ที่ชั้นวางหนังสือก่อนจะคว้ากรอบรูปเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาพลางยิ้มให้ เสียงปึงปังที่ดังมาจากในครัวทำให้รู้ว่าเจ้าของห้องจงใจก่อกวนแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นสนทนานัก


“อย่าไปใส่ใจมันเลยครับ ไอ้บุ้งมันก็กวนประสาทแบบนี้แหละ จริง ๆ ไม่มีอะไรหรอก” นายตำรวจหนุ่มกล่าวกับคนที่กำลังมองไปทางโซนทำครัว


ธันวาดึงสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กดตาลงมองกรอบรูปที่เขากำลังดูอยู่ “คุณสามคนเป็นเพื่อนกัน?”


“ครับ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม” เก่งกาจตอบในขณะที่ดวงตายังคงจ้องมองหนุ่มสาวในภาพ “แต่กิ่งกับไอ้บุ้งน่ะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะว่าพ่อเป็นเพื่อนกันแถมบ้านก็ยังอยู่ใกล้กันอีก” ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาอีกครั้งและก่อนที่จะไม่สามารถควบคุมอะไรได้แม้กระทั่งน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจวางกรอบรูปลงบนโต๊ะตรงหน้าหยุดความคิดเอาไว้แต่เพียงแค่นั้น


“ขอโทษนะครับที่ถามนอกเรื่อง”


“ไม่เป็นไรครับ จริง ๆ แล้วมันก็สมควรที่คุณจะอยากรู้อยู่หรอก จู่ ๆ คนรอบตัวก็เกี่ยวโยงกันไปหมดแบบนี้”


ธันวาพยักหน้า ตั้งใจจะถามคำถามคำถามที่ค้างคาใจแต่ก็โดนขัดจังหวะโดยเจ้าของห้อง


“บ้านช่องไม่มีกลับกันหรือไง” คันธชาติบ่นพลางเดินงุ่นง่านมาหยิบซองใส่เอกสารก่อนจะเดินไปนั่งแหมะที่โต๊ะทำงาน


“อ้าวไอ้นี่” พูดจบก็หันไปมองคนท่าทางมีพิรุธ “แล้วนั่นแกซ่อนอะไรไว้”


“เปล๊า!” คันธชาติขึ้นเสียงสูงก่อนจะเท้าแขนลงกับโต๊ะทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เก่งกาจคลายความสงสัยลงได้


ชายหนุ่มร่างกำยำลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินอาด ๆ ไปลากคอไปลากคอผู้ต้องสงสัยมาสอบสวน ร่างบางของคันธชาติถูกเหวี่ยงกระแทกลงกับโซฟาต่อหน้าต่อตาธันวาที่มองอย่างเป็นห่วง


“อะไรวะเนี่ยไอ้กาจ เจ็บนะโว้ย” คนเจ็บยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับท้ายทอยตัวเอง ส่วนมือที่เหลืออีกข้างยังคงกำซองเอกสารแน่น แต่เพราะไม่ทันระวังตัวสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญจึงถูกแย่งไปอย่างง่ายดาย “เฮ้ย! ไอ้กาจ เอาคืนมา” คันธชาติโวยวายพลางเอื้อมมือแย่งซองเอกสารคืนแต่อีกฝ่ายอาศัยความไวลุกหนีไปเสียก่อน


“ข้างในนี้มันมีอะไรวะแกถึงหวงนักหวงหนา” พูดจบก็เปิดซองเทสิ่งที่อยู่ข้างในลงกับโต๊ะ


ธันวามุ่นคิ้วทันทีเมื่อพบว่าสิ่งที่ถูกเทออกมามีทั้งวิกผมและภาพข่าวที่ถูกตัดจากหนังสือพิมพ์ “นี่มันอะไรกันครับ” คำถามนั้นลอดผ่านริมฝีปากอิ่มอย่างแผ่วเบาขณะดูภาพข่าวที่พอจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างแต่ก็นานเสียจนแทบจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้ คับคล้ายคับคลาว่ามันจะเป็นข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของ ‘อัศวิน’ ลูกชายคนโตทายาทนักธุรกิจสายบันเทิงชื่อดัง และการล้มป่วยลงของอนันต์ นาฏยกาล รวมถึงการปรับนโยบายใหม่ของโรงละครนาฏยกาลซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา


“แกจะอธิบายเรื่องพวกนี้ว่ายังไง” เก่งกาจหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งปิดปากเงียบอย่างคาดโทษ ในที่สุดผู้กองหนุ่มก็เริ่มเปิดฉากสอบสวนตามสัญชาติญาณตำรวจที่เห็นความชอบมาพากลไม่ได้


 “เรื่องอะไรวะ” คันธชาติแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจก่อนจะเบนหน้าหนีสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยสองคู่กำลังจ้องมายังตนเอง ทั้งที่หลักฐานก็แผ่หลาอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน


“ยังจะถามอีกว่าเรื่องอะไร”


“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่หว่า”


“ได้” เก่งกาจถอนใจพลางลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าเพื่อนรัก “ก็เรื่องที่แกปลอมตัวเป็นผู้หญิงทำให้คนทั้งคอนโดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผี ไหนจะภาพข่าวพวกนี้อีก ฉันว่าคนที่พูดไม่หมดน่ะคือแกต่างหาก”


ผู้ต้องหาถอนใจเฮือกเมื่อรู้ว่าที่สุดแล้วตนเองก็จนมุม ชายหนุ่มเอื้อมมือรวบสิ่งของทั้งหมดใส่คืนลงในซองเอกสารก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะเหมือนเดิมโดยไม่เอ่ยถ้อยคำใด ๆ


“ถึงเวลาที่แกต้องพูดความจริงแล้วไอ้บุ้ง”


“ความจริง? นี่มันเรื่องอะไรเหรอครับผมงงไปหมดแล้ว”


“ไอ้บุ้งมันสงสัยในการเสียชีวิตของกิ่ง ดังนั้นมันจึงเริ่มสืบจากคนที่น่าจะมีความใกล้ชิดกับกิ่งมากที่สุด นั่นก็คือคุณ”


“ผม?” ธันวาชี้ที่ตัวเอง ไม่คิดว่าก่อนว่าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งที่ไม่รู้ตัว “นี่คุณคิดว่าผมฆ่ากิ่งดาวอย่างนั้นเหรอ”


“ผมขอโทษ” คันธชาติกล่าวเสียงอ่อย “แต่ถ้าคุณเป็นผมคุณก็ต้องทำแบบนี้”


“คงไม่มีใครทำอะไรบ้า ๆ แบบแกแล้วละว่ะ” นายตำรวจหนุ่มไหวหน้าเบา ๆ


“ก็ไม่แน่นะ” คนจนมุมหัวเราะขื่น ๆ “แกจำวันที่ฉันพาแม่กิ่งไปเก็บของกิ่งที่หอพักได้ไหม หลังจากงานศพกิ่งน่ะ วันนั้นคนดูแลหอเอาโทรศัพท์ที่กิ่งทำตกไว้ในลิฟต์มาให้ฉัน พอเปิดเครื่องก็เจอข้อความที่ค้างส่ง กิ่งจะส่งข้อความนั่นให้ฉันหลังจากวางสายจาก ดร.ธันวา แต่แบตคงหมดไปเสียก่อน”


“แล้วยังไง มันข้อความอะไรกันถึงทำให้แกสงสัยเรื่องนี้”


“เลขสิบสอง”


“แค่เลขสิบสองเนี่ยนะ”


“ใช่”


“แกก็เลยเดาว่าเป็น ดร.ธันวา” เก่งกาจอยากจะหัวเราะการตีความแบบเด็ก ๆ แต่ก็เกรงใจเจ้าของชื่อ


“แล้วแกว่ามันบังเอิญไหมล่ะ คนสุดท้ายที่กิ่งโทร.หาก็คือเขา ทั้งชื่อ ทั้งเลขห้องของเขา เลขที่คอนโด เลขชั้น ทั้งทะเบียนรถ หรือแม้แต่วันเกิดของเขามันเกี่ยวข้องกับเลขสิบสองทั้งนั้น”


ธันวาช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้า จริงอย่างว่า ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาล้วนเกี่ยวข้องกับเลขสิบสอง แต่อย่าปรักปรำสิถ้าไม่รู้จริง “วันนั้นกิ่งดาวโทร.มาคุยกับผมตามปกติ เราคุยกันได้ไม่นานเพราะผมกำลังจะขึ้นเครื่องไปต่างจังหวัด”


“แล้วภาพข่าวกับวิกผมนี่แกจะอธิบายยังไง”


“ภาพข่าวนั่นฉันเจอในหนังสือหลายเล่มที่กิ่งชอบอ่าน ไม่รู้เหมือนกันว่ากิ่งเก็บมันไว้ทำไม ส่วนวิกผมนี่...” คนยอมจำนนเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป “ซื้อมาใส่เล่น ๆ”




‘ยังไม่วายมีอารมณ์ขัน’ ธันวาส่ายหน้าน้อย ๆ



“ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีกไอ้นี่ แกคิดจะปลอมตัวเข้าไปในโรงละครนั่นใช่ไหม เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่เล่าให้ฉันฟัง”


“ฉันบอกแกแล้วแต่แกไม่เชื่อ ก็จะเข้าไปหาหลักฐานมายืนยันให้แกเชื่อนี่ไงว่าการตายของกิ่งไม่ใช่อุบัติเหตุ คนที่กลัวความสูงยังกับอะไรจะขึ้นไปบนนั้นทำไม ถึงจะบอกว่าไปหาที่เงียบ ๆ อ่านบทละครก็เถอะ ที่อื่นก็มีถมไป”


“มีอะไรอีกไหมที่แกยังไม่ได้บอกฉัน”


“กิ่งเคยพูดถึงใครคนหนึ่งให้ฉันฟัง แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ท่าทางจะเป็นคนสำคัญมาก กิ่งถึง....” คันธชาติหยุดไว้เพียงแค่นั้นเป็นอันเข้าใจระหว่างเพื่อนสนิทสองคน “แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่เราควรจะพบในห้องของกิ่งแต่กลับไม่มี ไดอารี่ที่กิ่งมักจะพกติดตัว มันหายไป”


นายตำรวจหนุ่มถอนใจหนัก ถ้ามันคือคดีฆาตกรรมจริง ๆ และคันธชาติที่เข้าไปพัวพันกับมันโดยลำพังเป็นอะไรไป เขาคงรู้สึกผิดมากที่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขาเองไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูด


‘ฉันขอห้ามแกไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจจัดการ’ เป็นคำพูดที่เก่งกาจทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะกลับ



...


หลังจากส่งเก่งกาจที่หน้าลิฟต์คันธชาติและธันวาก็เดินกลับมาที่ห้อง ต่างคนต่างเงียบมาตลอดทางจนน่าอึดอัด ดังนั้นก่อนที่จะแยกกันคนรู้ที่ตัวว่าทำผิดจึงกล่าวขอโทษอีกครั้ง


“ผมขอโทษนะ”


หนุ่มมาดนิ่งหันมาสบตาโดยไม่ได้พูดอะไร นั่นเป็นเพราะเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะรู้สึกยังไงกันแน่


“ด่าผมก็ได้นะ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้น”


ธันวายังคงนิ่งเงียบ...


“ยอมให้ต่อยเลยก็ได้เอ้า!”


ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง...


คันธชาติกอดอกมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ เดาไม่ออกจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรกัน อยากจะโวยวายแต่เพราะรู้ตัวว่าผิดจึงต้องสงบปากสงบคำ


“น้องธัน น้องบุ้ง อยู่พอดีเลย”


“มีอะไรเหรอครับพี่แก้ว”


ท่าทางปกติของธันวาที่ปฏิบัติกับหญิงสาวที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหายิ่งทำให้คันธชาติหงุดหงิดเป็นทวีคูณ พูดด้วยตั้งนานก็ไม่ยอมพูด แต่พอคนอื่นพูดด้วยกลับพูดจาเสียดิบดี


“คือพี่จะรบกวนน้องธันกับน้องบุ้งหน่อยจ้ะ พอดีพี่จะตัดชุดซานตาคลอสเป็นของขวัญคริสต์มาสให้คุณครูที่สอนพิเศษของตาปิงกับตาน่าน เลยจะขอให้สองคนช่วยเป็นแบบวัดตัวให้หน่อยจ้ะ” เก็จแก้วกล่าว


“แล้วต้องห้พวกผมทำยังไงบ้างครับ” ธันวากล่าวพลางสบตาคนหน้าตึงที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน


“เราเข้าไปในห้องกันก่อนไหมจ๊ะน้องธันน้องบุ้ง”


“ห้องผมเหรอครับ” กล่าวพลางควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋ากาางเกง


“ห้องใครก็ได้จ้ะ พี่เตรียมอุปกรณ์มาแล้ว” พูดจบเก็จแก้วก็ชูสมุดฉีกกับสายวัดพร้อมกับยิ้มหวาน


“ห้องคุณก็แล้วกัน ผมทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างในห้องคุณ”


“หือ?” คันธชาติหลับตาพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจ รู้สึกเหมือนวันนี้ห้องจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มกลอกตาขึ้นข้างบนพร้อมกับถอนใจยาว แตะคีย์เปิดประตูก่อนจะหลีกทางให้เจ้าของตัวจริงเข้าไปในห้อง


หญิงสาวเดินไปนั่งลงที่โซฟามองชายหนุ่มที่ตัวเกือบจะเท่ากันซ้ายทีขวาที “อืม...น้องบุ้งน่าจะตัวเล็กไป พี่ว่าเขาน่าจะตัวพอ ๆ กับน้องธันนี่แหละ เผื่อไว้หน่อยหลวมดีกว่าใส่ไม่ได้” เก็จแก้วลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นสายวัดให้คันธชาติ


“อะ..อะไรเหรอครับพี่แก้ว”


“จะรบกวนให้น้องบุ้งช่วยวัดตัวน้องธันให้พี่หน่อยจ้ะ น้องธันตัวใหญ่แขนพี่สั้นวัดไม่ถึง”


สองหนุ่มสบตากันแวบหนึ่งก่อนจะเสมองกันไปคนละทาง


“เริ่มจากช่วงบ่าก่อนนะจ๊ะ”


คันธชาติรับสายวัดมาถือไว้ในมือก่อนจะเดินอ้อมไปที่ด้านหลัง จรดปลายสายวัดที่บ่าหัวไหล่ก่อนจะลากยาวไปตามแนวบ่าจนไปสุดที่หัวไหล่อีกข้าง รอกระทั่งหญิงสาวจดตัวเลขที่วัดได้เรียบร้อยแล้วจึงปล่อยมือ


“ต่อไปเป็นวงแขนแล้วก็ความยาวแขนจ๊ะ”



“ทีนี้ก็เป็นความยาวรอบคอก็แล้วกัน น้องบุ้งมายืนตรงนี้จ้ะ” เก็จแก้วกล่าวก่อนจะประคองเอวหนุ่มร่างบางให้ยืนในตำแหน่งที่ต้องการ ผลก็คือตอนนี้สองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่


“น้องบุ้งคล้องสายวัดกับคอน้องธันเลยจ้ะ”


เมื่อสิ้นคำสั่งสองหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย และสุดท้ายก็เป็นคนขี้อายอย่างธันวาที่ต้องเป็นฝ่ายหลบสายตา เมื่อคนตรงหน้าเอื้อมคล้องสายวัดเย็นเฉียบเข้ากับต้นคอของตัวเอง ลมหายใจอุ่น ๆ ที่รดอยู่ข้างแก้มทำเอาหน้าร้อนผ่าวไปหมด


“ทีนี้ก็รอบอกจ้ะ”


คันธชาติกลั้นหายใจขยับตัวเข้าไปใกล้ก่อนจะสอดแขนทั้งสองเข้าที่ข้างลำตัวของคนร่างหนาที่กำลังเบือนหน้าหนี เมื่อคว้าสายวัดได้ก็รีบรั้งพันรอบอกกว้างของอีกฝ่ายทันที


“ดีมากจ้ะ ทีนี้รอบเอวบ้าง”


สายวัดถูกคลายออกก่อนจะเลื่อนลงมาที่รอบเอวตามคำสั่ง 


“ต่อไปเป็นส่วนของกางเกงแล้ว”


“หือ?” ธันวาหันขวับมองหญิงสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการจดบางสิ่งลงในกระดาษก่อนเลื่อนสายตามายังอีกคนที่มีอาการไม่ต่างจากตนเองหลังจากได้ฟังประโยคเมื่อสักครู่


“เอ่อ...ผมว่าอันนี้พี่แก้วน่าจะวัดถนัดแล้วมั้งครับ” คันธชาติกล่าวก่อนจะยื่นสายวัดพลาสติกคืนให้


“อ้อจ้ะ เดี๋ยวพี่วัดเอง” หญิงสาวพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะรับสายวัดมาจัดการวัดส่วนที่เหลือจนไม่ทันได้สังเกตชายหนุ่มสองคนที่ต่างก็พากันถอนใจอย่างโล่งอก


หลังจากส่งเก็จแก้วกลับไปแล้วคันธชาติก็เดินกลับเข้ามาในห้อง


“คุณเจอกระเป๋าสตางค์หรือยัง”


“ฮะ?”


“กระเป๋าสตางค์ไง วางไว้ตรงไหนเจอหรือยัง”


“อะ...อ๋อ เจอ เจอแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะ” พูดจบธันวาก็ทำท่าจะเปิดประตูออกจากห้องแต่ก็ต้องชะงักเมื่อประตูถูกดึงเอาไว้


“สรุปว่าหายโกรธหรือยัง” เจ้าของคำถามสบตานิ่งรอฟังคำตอบ


“ผมบอกสักคำหรือยังว่าโกรธ” คนถูกถามกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง 


“เออว่ะ” เมื่อประตูปิดลงคันธชาติก็หมุนตัวกลับยืนพิงประตูเกาหัวด้วยความงุนงง นี่เขาจะพยายามถามไปเพื่ออะไรหากสุดท้ายคำตอบที่ได้รับจะเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเอง ไม่รู้ที่เลยว่าที่อีกฝั่งของประตูก็มีอีกคนกำลังยืนยิ้มพร้อมกับตบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองอยู่เหมือนกัน


มันไม่ได้ถูกลืมไว้ในห้องแต่มันอยู่ในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลาต่างหาก.... 




....


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-12-2014 11:52:09 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
ตอนที่กำลังอ่าน
แล้วอยู่ ๆ ก็คิดว่าน้องบุ้งใส่วิกแหง๋ ๆ
นี่นั่งขำกิ๊ก ~.~

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ใส่วิกเพราะตามสืบ หรือเพราะหลบหน้าธันคะ หุหุ :hao3:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
บุ้ง...เป็นอะไรมากกว่าที่คุณคิด
วันดีคืนดีก็แต่งหญิงซะงั้น สวยจนอ.ธันจำไม่ได้เชียว
เงื่อนงำของครอบครัวนั้นก็เยอะเกิ๊น
จะสงสัยลูกชายหรือลูกสาวล่ะทีนี้

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
โอ้โห ถึงขนาดลงทุนแต่งหญิงเลยเชียว
ระบุสถานะจากตอนนี้เลยละกัน ยังๆยังไม่เลิกบ้า ฮ่าๆๆๆ
บุ้งมุ้งมิ้งกว่าที่คิดไว้เยอะนะเนี่ย มีง้งมีง้อ
แล้วไอ้ซีนเขินอายระหว่างวัดตัวนี่มันอะไรยังไง
ไปเอาโมเม้นต์พวกนี้มาจากไหนคะ คุณด็อกเตอร์คุณนายน้อย
คุณเก็จแก้วน่าจะทำมึนให้วัดกางเกงด้วย
เป็นผู้ชายด้วยกันแท้ๆไม่รู้จะอายอะไรกัน  :hao7:


ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
บุ้งเอ้ย ลงทุนจริงๆนะลูก ขนาดแต่งหญิง ใส่วิกผมกันเลยทีเดียว
ทำเอาคนในคอนโดหลอนกันเลย
ชอบภาษาของคนเขียนจัง แต่งได้ลื่นไหล น่าติดตามตลอดจริง
อยากบอกว่า มันส์มาก
อยากรู้ความจริงแล้วอ่า แบบว่าคนนั้นก็น่าสงสัย คนนี้ก็น่าสงสัย
โอ๊ย สนุกมาก
แล้วมาต่ออีกนะคะ
ปล.Merry Christmas นะคะ :mc3: :mc2:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
บุ้งงงงงงง หลบไม่พ้น จำนนด้วยหลักฐาน
ทำเอาคนที่คอนโดขวัญผวา

ดร.ธันวาชักแม่งๆ แล้ว

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
แหมๆ น่าจะให้น้องบุ้งวัดเป้า เอ๊ย วัดขนาดกางเกง ดร.ธันวาซะหน่อย
รอติดตามตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อุ๊ย  สนุกมากค่ะ ตอนนี้กำลังสงสัยไปหมดว่าใครเป็นยังไง

เดาออกแค่บุ้งแต่งสาว  ตอนแรกนึกว่าเรึ่องนี้จะมีผีเสียอีก แต่พอสาวน้อยในลิฟท์แสดงอาการก้เลยอ๋า....

ขอบคุณมากค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ เลยค่ะ !!

 :-[

ถูกจับได้คาหนังคาเขาแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก
มันน่าจับมาตีก้น 5555555

ตอนนี้ต้องขอบคุณผู้กองเก่งกาจจริงๆ ที่ต้อนเพื่อนสนิทจนมุม
ตอนนี้มุ้งมิ้งนะคะ นายน้อยนี่ถึงกับลงทุนแต่งหญิงแล้วยังสวยจนดร.ธันวาจำไม่ได้ แอร๊ยยย

ก็นึกอยู่ว่าคนกลัวผีอย่างตัวบุ้ง (เรายังจำตอนหลอนเด็กแฝดได้นะ 555)
ได้ยินข่าวลือเรื่องผีผู้หญิงแล้วทำไมยังเฉยอยู่ได้ โหยย นี่เล่นคนเค้ากลัวกันทั้งคอนโด
ตอนนี้เราเลิฟผู้กองเก่งกาจมากเลยนะ *ชูป้ายไฟ*

แล้วแบบนี้สามหนุ่มเค้าจะมาช่วยกันสืบคดีด้วยไหมนะ?
ไหนๆ ก็ได้เบาะแสที่ตัวบุ้งไปหามา ไหนๆ ดร.ธันวาก็รู้แล้วว่าจุดประสงค์ของตัวบุ้งคืออะไร
ถ้าช่วยกัน อาจจะรู้สาเหตุการตายของกิ่งดาวเร็วขึ้นก็ได้ ลุ้นๆๆ >_<

แล้วก็อีกอย่าง.. นอกจากผู้กองแล้วอยากขอบคุณพี่แก้วมากเลยค่ะ 5555
ขอบคุณที่มาวัดตัวตัดเสื้อนะคะ ไม่รู้อ่ะ เป็นฉากที่มุ้งมิ้งมาก ทำไมเขินก็ไม่รู้ค่ะ
แต่เป็นเขินปนฮานะ มันแบบ แอร๊ยยยยย  :-[

ชอบตอนที่ออกจากห้องมาแล้วต่างคนต่างยิ้มมากมาย เป็นอะไรที่อ่านแล้วก๊าวใจ
ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นอีกแย้ววววววววววววว >__<

รอตอนหน้าา

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
แต่งหญิงเลยเหรอคะบุ้ง55

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
เราอ่านมาตั้งแต่แรกๆเราคิดว่าบุ้งเหมือนเมะมาก
พออ่านมาถึงตอนนี้แล้วเอิ่มผิดคาดอ่ะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มาแนวสืบสวนแต่ก็ยังคงความอบอุ่นไว้เหมือนเดิม
ชอบๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปนานเลย ช่วงนี้งานเยอะจริง ๆ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ

ก่อนอื่นขอทบทวนความเดิมตอนที่แล้วกันหน่อยนะคะ

ตอนที่แล้วธันวาสงสัยในตัวบุ้งก็เลยสืบหาความจริงว่าเป็นใครกันแน่

บุ้งตามอารตีไปดูละครแล้วก็สร้างสถานการณ์ให้ได้รู้จักกัน ด้วยบุคลิกขี้เล่นของบุ้งเวลาพูดหรือทำอะไรก็ดูเล่น ๆ ไปหมด

พอโดนคาดคั้นเข้าก็เลยทำหัวเสีย หายหน้าหายตาไปจากคอนโด จากนั้นก็มีข่าวลือเรื่องวิญญาณผู้หญิง ธันวาก็เลยไปขอให้เก่งกาจช่วยสืบ

สองคนก็เลยรู้ว่าเป็นฝีมือบุ้ง แถมยังไปพบหลักฐานเป็นข่าวเก่าที่ถูกตัดจากหนังสือพิมพ์ซึ่งบุ้งบอกว่าได้จากห้องของกิ่งดาวอีก

ก็เลยทำให้เก่งกาจที่เคยไม่เชื่อคำพูดของบุ้งสนใจที่จะหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้



....


ตอนที่ 6 คนใกล้ตัวที่ไม่รู้อะไรเลย




บางครั้งก็นึกอยากหยุดทุกสิ่งแล้วอยู่นิ่ง ๆ กับตัวเองเพื่อคิดอะไรเงียบ ๆ บ้าง แต่สำหรับคันธชาติแล้วคงไม่ใช่กับวันนี้....และในตอนที่เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่สามเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ส่วนครั้งแรก...ก็ตอนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ นั่นแหละ หัวคิ้วขมวดมุ่นพร้อมกับลมหายใจหนัก ๆ ที่ถูกผ่อนออกจากปลายจมูก ตัดสินใจผุดลุกขึ้นก่อนจะก้าวฉับ ๆ เอื้อมมือกระชากเปิดประตูกล่าวอย่างหัวเสีย 


“อะไรอีกเนี่ยไอ้เด็กพวกนี้”


แต่เมื่อได้เห็นเต็มตาว่าครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือเด็ก ๆ หากแต่เป็นผู้ใหญ่ห้องตรงข้าม จากที่คิดจะบ่นให้ยาว ๆ ก็กลายเป็ต้องสงบปากสงบคำ สงวนท่าทีเอาไว้แทน


"ค...คุณ... มีอะไรหรือเปล่า"


"ผมมีเรื่องข้องใจอยากถามน่ะ ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม"


เจ้าของห้องพยักหน้าก่อนจะหลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ปิดประตูและหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปหยุดที่โซฟาก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญ


"คุณมีอะไรก็ว่ามา"  คันธชาติกล่าวขณะอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ จ้องมองผู้มาเยือนอย่างเคลือบแคลงสงสัย


"คุณรู้หรือเปล่าว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานที่นาฏยกาลได้ยังไง"


"เรื่องนี้ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องถาม คุณเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กันไม่ใช่เหรอ"


ธันวาสบตานิ่ง จริงอย่างว่า ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาที่ควรจะรู้เรื่องของนักศึกษามากที่สุดแต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จริง ๆ ว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานในโรงละครแห่งนั้นได้อย่างไร เพราะหากเขารู้แล้วละก็คงจะไม่ปล่อยให้เธอไปพบกับเหตุการณ์แสนเศร้าเช่นนี้อย่างแน่นอน


"เธอไม่เคยเล่าผมให้ฟัง" ความรู้สึกผิดถูกดึงขึ้นจากซอกลึกของหัวใจอีกครั้ง ดวงตากดต่ำจ้องมองมือทั้งสองของตนเองที่ประสานกันอยู่ตรงหน้า "ตอนที่รู้ว่านาฏยกาลรับเธอเข้าทำงานผมเองยังแปลกใจ ถึงจะบอกว่านโยบายนั่นไม่ครอบคลุมไปถึงคนทำงานเบื้องหลังก็เถอะ แต่เท่าที่รู้มานาฏยกาลก็มีแต่สาวประเภทสองทั้งนั้น อีกอย่างกฎนี้ก็เข้มงวดเอามาก ๆ เสียด้วย นักศึกษาของผมหลายคนเคยไปที่นั่นแล้วก็ต้องผิดหวังกลับมา ผมคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่เธอสนิทที่สุดเธออาจจะบอกคุณ"


ประโยคท้ายของธันวาเล่นเอาจุก คันธชาติหัวเราะขื่นก่อนจะตอบตามจริง "กิ่งก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเหมือนกัน แต่คุณคิดว่ายังไงกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเข้าไปทำงานในโรงละครที่บรรดาหนุ่มสาวต่างก็ขนานนามมันว่าเป็นโรงละครต้องห้ามได้น่ะ"


คนฟังวางหน้านิ่งแต่ในหัวกลับมีแต่ความสับสนวุ่นวายเมื่อพยายามคิดตาม หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันเลื่อนสายตาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า เห็นมุมปากได้รูปที่ยกขึ้นน้อย ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่


“คุณหมายความว่ายังไง”


“การเป็นนักแสดงที่ดีน่ะคือการทำให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ ไม่ใช่หรือไง”


"คุณกำลังจะบอกว่าเธอทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นสาวประเภทสองอย่างนั้นน่ะเหรอ"


"ก็ไม่เชิง แต่ผมจะยังไม่เชื่อแบบนั้นจนกว่าจะได้ถามคนคนหนึ่งเสียก่อน"


"ใคร?" ปากถามในขณะที่ดวงตาก็ไม่ได้ละจากใบหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ มันยากจะคาดเดาและดูไม่เป็นชายหนุ่มที่ดูไม่มีสาระที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้เลยสักนิด



....



โทรศัพท์มือถือแผดเสียงดังลั่นห้องปลุกให้คนกำลังหลับสะดุ้งตื่น แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถเปิดเปลือกตาแสนหนักอึ้งได้ตามใจคิด ร่างปราศจากอาภรณ์ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นควานหาโทรศัพท์แต่เมื่อคว้าได้จะกดรับก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มถอนใจพลางทิ้งมันลงข้างตัวก่อนจะขยับลุกขึ้นพิงหัวเตียง สลัดศีรษะที่ปวดตุบ ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนจะรวบรวมกำลังปรือตาขึ้น ทันทีที่สามารถปรับให้ชินต่อแสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านม่านผืนบางได้ก็เริ่มวาดมองไปรอบ ๆ ห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรา นึกทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่แล้วความยวบไหวทำให้ต้องดึงสายตากลับมาที่ปลายเตียงไล่มาตามผืนผ้าห่มที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเจ้าของแผ่นหลังเปลือยเปล่า


ชายหนุ่มจรดปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมยาวสลวยที่ปิดหน้าปิดตาคนกำลังอยู่ในห้วงนิทรา คิดจะแตะริมฝีปากลงบนผิวแก้มสีชมพูระเรื่อแต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มเมื่อสักครู่ไม่ต่างอะไรจากละอองน้ำบนยอดหญ้าที่ถูกแสงแดดแผดเผาจนระเหยแห้งไปย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วแตะหน้าจอเพื่อรับสายก่อนจะกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ   


“สวัสดีครับ” เงี่ยหูฟังเสียงเอ็ดตะโลที่ดังลอดออกมาแล้วพูดต่อ “นี่เอะอะโวยวายอะไรกันแต่เช้า”


“อุ้ย! ไม่เช้าแล้วนะคะคุณอัศนัย”


“เมื่อกี้คุณพุฒิพงศ์ว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ค่อยถนัดช่วยบอกให้พวกนั้นเงียบเสียงหน่อยได้ไหม”


ปลายสายถอนใจเฮือก ไม่ใช่ไม่ทำ แต่พร่ำบอกจนปากจะฉีกแล้วต่างหาก แต่ก็ไม่มีใครฟัง


“เอ่อ...พอดีสาว ๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับการแสดงตอนค่ำอยู่นะค่ะ” พูดยังไม่ทันจบเสียงวี้ดว้ายด่าทอกันเรื่องชุดที่จะใส่สำหรับทำการแสดงก็ดังขึ้นอีกระลอก ในที่สุดก็เป็นพุฒิพงศ์ที่ต้องปลีกตัวออกมาหาที่สงบ ๆ พูดคุยให้เป็นกิจจะลักษณะ


“เมื่อกี้พุดดิ้งบอกว่านี่บ่ายแล้วนะคะ คุณอัศนัยจะเข้ามาตรวจแบบชุดละครไหมคะหรือเราจะนัดกันที่ไหนดี”


“เดี๋ยวผมเข้าไปดูเองดีกว่าครับ คุณรอผมหน่อยก็แล้วกัน”


“สำหรับคุณเล็ก เอ๊ย! คุณอัศนัย พุดดิ้งรอได้อยู่แล้วค่ะ แหม...ลูกค้านิสัยดีน่ารักแบบนี้ นานแค่ไหนก็รอได้ค่ะ”


“พอเถอะครับ ๆ นี่ผมจะลอยอยู่แล้วนะ” คนพูดหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดวางสายในที่สุด จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินคว้าผ้าเช็ดตัวเดินผ่านประตูไปยังห้องแต่งตัวซึ่งมีห้องน้ำอยู่ด้านใน ชายหนุ่มมองสำรวจตัวเองจากเงาสะท้อนในกระจก สังเกตว่าที่ลำคอและแผงอกเต็มไปด้วยร่องรอยสีกลีบกุหลาบสัญลักษณ์ของความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชวนให้นึกถึงเมื่อภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนสุดแสนเร่าร้อนที่เพิ่งผ่านมา


แต่แทนที่ ‘คุณเล็ก’ หรือที่ในวงการธุรกิจบันเทิงรู้จักกันในนาม ‘อัศนัย นาฏยะ’ จะเป็นกังวล เขากลับผิวปากอารมณ์ดีในขณะที่เรียวนิ้วแตะครีมสีขาวในกระปุกก่อนจะป้ายเข้ากับสันกรามไล่ลงมายังปลายคางก่อนจะขึ้นไปเหนือริมฝีปากบางที่เริ่มจะมีขนแข็งเส้นเล็กโผล่ขึ้นมาให้ดูน่ารำคาญ จากนั้นจึงหยิบมีดโกนหนวดแบบพับบรรจงปาดเนื้อครีมออกจนใบหน้าเกลี้ยงเกลา เมื่อทอดมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้งพลันรอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าที่ใคร ๆ ต่างก็ชมนักชมหนาว่าหล่อเหลางดงาม เป็นใบหน้าที่ทั้งสาวแท้สาวเทียมต่างก็พากันหลงใหล


เสียงน้ำจากฟักบัวเงียบลงครู่หนึ่ง อัศนัยที่พันท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวก็เปิดประตูออกมา ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือหญิงสาวในชุดคลุมอาบน้ำที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เธอหันมายิ้มก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามา ดวงตาคู่สวยจ้องประสานก่อนเลื่อนต่ำลงมายังลำคอตั้งตรง ไลงลงมายังช่วงบ่ากว้างกระทั่งแผงอกที่พราวไปด้วยหยดน้ำ หญิงสาวนึกกระหยิ่ม นั่นเพราะร่องรอยสีแดงจาง ๆ ทั้งหมดที่ปรากฏให้เห็นล้วนเกิดจากฝีมือของเธอทั้งสิ้น


“อันขอโทษนะคะที่....” พูดพลางใช้ปลายนิ้วเรียวจรดลงบนผิวขาวละเอียดเหนือราวนม แกล้งลากเล่นให้อีกฝ่ายจั๊กกะจี้
อัศนัยคว้าข้อมือเล็กที่กำลังจะทำให้เขาคลั่งอีกครั้ง ออกแรงรั้งเพียงเบา ๆ  คนตรงหน้าก็โผเข้าหา มือหนาเชยคางให้หน้าสวยเชิดขึ้นให้สบตากัน แม้นึกอยากจะเริ่มบทรักอีกครั้งแต่ก็ต้องห้ามใจเอาไว้ ชายหนุ่มกดจูบเบา ๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง


“ผมรู้ว่าคุณตั้งใจ แล้วที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ตั้งใจจะยั่วผมใช่ไหม”


“แล้วถ้าอันบอกใช่ล่ะคะ คุณจะว่ายังไง”


ชายหนุ่มหัวเราะหึก่อนจะตอบ “บ่ายนี้ผมมีนัดดูแบบชุดกับคุณพุฒิพงศ์เสียแล้วสิ คุณเองก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการแสดงคืนนี้ไม่ใช่เหรอ จะติดรถผมไปเลยไหม”


คนถูกถามเงยหน้าขึ้นรีบตอบ “ไม่เอาหรอกค่ะ ขืนอันโผล่ไปที่นั่นพร้อมคุณ พวกนั้นได้ฉีกอกอันแย่”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี จะได้ไม่เสียของ” พูดจบก็สอดมือเข้าไปในเสื้อคุมอาบน้ำตะบบทรวงอกอวบก่อนจะออกแรงเค้นคลึงเบา ๆ จนหญิงสาวเผลอส่งเสียงที่เป็นดั่งเชื้อเพลิงเติมให้ไฟปรารถนาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง



ที่อีกฝั่งหนึ่ง...

เมื่อวางสายจากเจ้านาย พุฒิพงศ์หรือเจ๊พุดดิ้งเจ้าของห้องเสื้อพุทธรักษาก็เดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวภายในโรงละครที่ยังคงวุ่นวายเพราะบรรดาสาว ๆ ประเภทสองต่างก็กำลังเตรียมตัวสำหรับการแสดงละครเวลทีที่จะเริ่มทำการแสดงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทั้งกลิ่นเครื่องสำอางและน้ำหอมคละคลุ้งทั่วห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกยาวตลอดแนว ส่วนอีกฝั่งก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่แขวนเรียงรายจนแน่นราว


“นี่มันจะบ่ายสองแล้วนะแก นังอันมันยังไม่มาเตรียมตัวอีกเหรอ” คนหนึ่งกล่าวขณะปัดแก้มสีชมพูแจ่ม ผมตีพองมีจอนม้วนอ่อนช้อยทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าละครเวทีที่จะทำการแสดงในวันนี้ต้องเป็นเรื่องราวในยุคมิตร-เพชรา ไม่ผิดแน่


“นั่นน่ะสิ พี่อันหายไปตั้งแต่เมื่อคืนที่ซ้อมเสร็จ นิกโทร.ไปก็ไม่รับ ร...หรือว่า...” อีกคนที่กำลังนั่งทาลิปสติกอยู่หน้ากระจกกล่าวพลางเหลือบมองเพื่อน ๆ ที่พร้อมใจกันจ้องมองมายังตนเองเป็นตาเดียว 


“หรือว่าอะไรยะนังนิกกี้” ร่างสูงที่ท่อนล่างสวมกางเกงเลสีเข้มคาดเอวด้วยผ้าขาวม้าตาห่างกล่าวขึ้นก่อนจะค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อแขนยาว เห็นเนินอกภายใต้การห่อหุ้มของบราเซียที่ดูไม่ค่อยจะรับกับขนาดที่ใหญ่โต พริบตาเดียวเมื่อเสื้อสีมอที่ใส่คลุมทับตอนแต่งหน้าและบราเซียตัวจิ๋วถูกดึงลงไปกองอยู่กับพื้น ดอกบัวตูมที่ปลายกลีบเป็นสีชมพูระเรื่อก็เด้งผึงออกมาอวดสายตาคนมอง แต่นี่ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในห้องแต่งตัวของโรงละครแห่งนี้


หลายคนยังคงตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองจนแทบจะไม่ได้สนใจคนอื่น เจ้าของอกสวยใช้มือทั้งสองข้างขยับทรงให้เข้าที่จากนั้นจึงใช้ผ้าแถบพันรัดเพื่อเก็บซ่อนเนินอกเพราะวันนี้เธอจะต้องรับบทเป็นพระเอกของเรื่อง นั่นก็เพรารูปร่างสูงใหญ่ที่ดูโดดเด่นว่าเพื่อน


“หรือว่าพี่อันจะไปกับผู้ชาย นิกว่าต้องใช่แน่ ๆ เลย”


“พวกแกนี่มันยังไงกันนะ ทะเลาะกันเรื่องชุด แต่สามัคคีกันเม้าเรื่องชาวบ้าน” พุฒิพงศ์กล่าวขณะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้หน้ากระจกเท้าคางมองสาว ๆ อย่างหมั่นไส้ “แต่จะว่าไป เจ๊ไม่เห็นนังอันมันจะคบกับใครสักคน ทำตัวยังกับอยู่บนหอคอยงาช้าง”


“เจ๊พุดดิ้ง เจ๊เป็นฟรีแลนซ์เจ๊จะไปรู้อะไร นังอันมันอาจจะซุ่มก็ได้นะเจ๊ เข้าทำนองเห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดเรียบนะยะไงเจ๊ เห็นสวย ๆ เงียบ ๆ น่ะ ร้ายลึกจะตาย” คนที่เพิ่งติดขนตาเสร็จหันมาพูดจีบปากจีบคอ


“อุ๊ยตาย! นังนี่เม้านะยะ”


“พูดเรื่องจริงย่ะ”


“ทำพูดมากไป ที่แกพูดถึงน่ะตัวทำเงินของนาฏยกาลนะยะ”


“ทำเงินแล้วยังไง ถ้าทำตัวไม่ดีก็ไม่มีใครเอาหรอกย่ะ”


“นังเหมียว แกแต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหม ฉันว่าแกเลิกพูดมากแล้วมารัดนมให้ฉันดีกว่าย่ะ” สาวทรงโตกล่าวจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับยื่นผ้าแถบให้


“นังจีจี้ แกพูดอย่างเดียวก็พอไม่ต้องเอานมมาชี้หน้าฉัน” พูดจบก็คว้าผ้าจากมือเพื่อนก่อนจะออกคำสั่งให้อีกฝ่ายกางแขนออก จากนั้นจึงพันผ้ารัดหน้าอกให้


“นี่ถ้ารู้ว่าจะได้แต่บทผู้ชายฉันไม่ทำนมมาให้เป็นภาระหรอก ไม่รู้คุณเล็กเธอคิดยังไงถึงโละนโยบายเดิมทิ้งหมด ไม่รับชะนีเข้าทำงานยังพอว่า เล่นไม่รับหนุ่ม ๆ ด้วย กะเทยอย่างฉันเลยต้องลำบาก ทำนมมายังไม่ได้แต่งหญิงในละครกับเขาเลย นี่ก็นานแล้วนะที่ผู้ชายยังไม่ตกถึงท้องสักคน”


“ก็เพราะมีกะเทยโหยอย่างแกไงนังจีจี้ คุณเล็กเขาถึงรับแต่กะเทยเข้ามาทำงาน เพราะยังไงพวกแกก็ไม่กินกันเองอยู่แล้ว” พุฒิพงศ์ถอนใจก่อนจะเดินไปช่วยกะเทยทรงโตจัดการกับหน้าอกหน้าใจที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของผ้าแถบผืนน้อยง่าย ๆ


“ก็ไม่แน่นะเจ๊ หน้ามืดตามัวขึ้นมาก็ฟาดเรียบเหมือนกันนะคะ จะว่าไปเจ๊นี่ก็น่ารักเหมือนกันเนอะ” จีจี้กล่าวพลางสบตาคนร่างอวบเจ้าของทรงผมหยิกฟูตรงหน้า


“นังจีจี้! แกไม่ต้องมามองฉันแบบนี้เลยนะ”


“ดูดู๊! ทำตาเขียว จี้ไม่กินกินเนื้อสัตว์ค่ะเจ๊” พูดพลางก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มแก้มของคนตัวเตี้ยกว่าไปพลาง “หนังเหนียวเคี้ยวยาก อย่างจีจี้ต้องกินยอดหญ้าอ่อน ๆ เท่านั้น”


“ตามวิถีกระเทยควาย”


“ใช่! ถุย! กะเทยคงกะเทยควายอะไรยะนังเหมียว”


“แคทย่ะ เรียกให้มันถูก ๆ” เจ้าของจอนมหาเสน่ห์ค้อนขวับ


“อย่างฉันน่ะ เขาเรียกว่ากะเทยซูเปอร์โมเดลย่ะ”


“ย่ะ นังกะเทยแคทวอล์ก ว่าแต่หญ้าอ่อน ๆ ที่ว่าน่ะ แกหาได้แล้วเหรอ ทำมาเม้า”


คนถูกถามกลอกตาขึ้นพร้อมกับยักไหล่ “ก็ใกล้ ๆ นี่แหละ หล่อ สูง ขาว กัดลงไปคงกรุบกรอบน่าดู”


“ใครยะ”


“ก็ทายาทธุรกิจบันเทิงชื่อดังไงแก”


“คุณอัศนัยน่ะเหรอ”


“ต๊ายยยยยย ฉลาดนะยะนังแคท” พูดพลางใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากคนที่ความสูงระดับคางจนอีกฝ่ายหน้าหงาย


“แต่เจ๊ได้ข่าวว่าเขามีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเพชรด้วยนี่นา”


“อุ๊ยเจ๊! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ค่ะ นั่นมันเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกันเอาไว้ตั้งแต่เธอยังเด็ก ๆ อีกอย่างก็ยังไม่ได้มีพิธงพิธีอะไรนี่คะ แต่ถึงจะมีก็เถอะ ตราบใดที่เขายังไม่ได้เสียเป็นเมียผัวกัน จีจี้ก็ยังมีสิทธิ์ค่ะ”


พุฒิพงศ์แปะปากขณะติดเข็มกลัดตัวสุดท้ายลงบนผ้าแถบรัดหน้าอก “ย่ะ ถ้าแกคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะนังจีจี้ นังกระเทยรถถัง”


จีจี้ยังไม่ทันได้เถียงกลับอัญชลิสาก็ปรากฏตัวขึ้น หน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางส่วนผมเผ้าก็ถูกเกล้าขึ้นจัดเป็นทรงสวยงามพร้อมสำหรับการขึ้นเวที จะเหลือก็แต่เสื้อผ้าเท่านั้นที่ยังคงเป็นชุดปกติ การมาของเธอทำให้ทั้งห้องแต่งตัวเงียบกริบ บางคนถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงในความงามของดาวเด่นแห่งนาฏยกาลผู้นี้ ร่างบางเดินมานั่งลงที่หน้ากระจก เชิดหน้าสำรวจตัวเองก่อนจะหยิบบรัชออนในกระเป๋าแบรนด์เนมขึ้นมาปัดทั้งสองแก้ม


“ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะยะแม่นางเอก” น้ำเสียงประชดประชันดังแว่วมาไกล ๆ แต่นั่นก็ได้ทำให้เจ้าของตำแหน่งรู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด อัญชลิสายังคงนั่งปัดแก้มอย่างสบายอารมณ์ราวกับเสียงนั้นเป็นแค่แมลงหวี่แมลงวันที่บินผ่าน


“พี่อันไปไหนมาคะ นิกกี้โทร.หาก็ไม่รับ”


คนถูกถามเก็บบรัชออนลงในกระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นหมุนตัวเดินไปคว้าชุดที่แขวนเตรียมไว้สำหรับตัวละครหลักของเรื่อง “ไปธุระมาน่ะ” พูดก็ปลดกระดุมเสื้อออกเผยให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียดและทรวดทรงที่ไม่ต่างไปจากผู้หญิงแท้ ๆ


“ท่าทางจะเป็นธุระที่ต้องทำกันสองคนสินะ ถึงได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แบบนี้” แคทกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งไขว่ห้างรอฟังคำชี้แจงของอีกฝ่ายที่เก้าอี้หน้ากระจก คำพูดของเธอเล่นเอาเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ พากันหันมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว
อัญชลิสาฟังเฉย ๆ พลางเหลือบมองช่วงบ่าของตนเองที่เต็มไปด้วยรอยช้ำเล็ก ๆ ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างไม่ยี่หระก่อนจะขยับไหล่เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เสื้อเข้าที่ ติดกระดุมแล้วหันมาตรวจดุความเรียบร้อยของตนเองตั้งแต่หัวจรดเท้าจากเงาสะท้อนในกระจกจากนั้นก็เดินออกจากห้องแต่ตัวไป


“ดูดู๊! เจ๊ดูมันสิ ขึ้นมาเป็นนางเอกได้ไม่นานทำเป็นจองหอง” จีจี้กล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่พุฒิพงศ์เองก็ได้แต่มองตามร่างอ้อนแอ้นที่เพิ่งเดินนวยนาดออกไป



....



ที่ห้องทำงานอัศนัย หนุ่มทายาทธุรกิจบันเทิงวัย 35 ปีกำลังกวาดตามองกระดาษร่างภาพชุดที่จะใช้ในละครเวทีเรื่องต่อไปซึ่งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ไม่นานเขาก็หยิบแบบชุด 3-4 แบบที่เห็นว่าน่าสนใจขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจะดูมันอย่างพิจารณาทีละรายละเอียดซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น


“เชิญครับ” เขากล่าว


เมื่อประตูเปิดออกสาวเทียมร่างอวบก็เอ่ยทักทายเสียงอ่อนเสียงหวาน เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญแต่ก็ไม่วายลอบมองชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองไม่กี่ปีตาเป็นมัน


อัศนัย นาฏยะ ถือว่าเป็นนักธุรกิจไฟแรงที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารแบบก้าวกระโดด เพราะเสี่ยอนันต์ผู้เป็นพ่อเกิดล้มป่วยกะทันหัน หลายคนจึงพาพูดว่าเขากินบุญเก่าของผู้เป็นพ่อ แต่ตลอดระยะเวลาที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้นำสูงสุดของโรงละครนาฏยกาลเขาก็สามารถพิสูจน์ให้ใคร ๆ เห็นแล้วว่าสิ่งที่ได้มาไม่ใช่โชคช่วยหรือเพราะบารมีของบุพการีแต่อย่างใด นั่นทำให้อัศนัยเป็นที่จับตามองของบรรดานักธุรกิจด้วยกันรวมไปถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่ปรารถนาจะมีความมั่นคงในชีวิต 


“คุณพุฒิพงศ์มาก็ดีแล้ว นี่ผมกำลังเลือกชุดที่จะใช้ในละครเวทีเรื่องต่อไปอยู่พอดีเลย” กล่าวจบก็ดึงแบบที่ไม่ได้เลือกวางบนโต๊ะแล้วจึงส่งแบบที่เหลือให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ผมเลือกสามชุดนี้ก็แล้วกัน คิดว่าน่าจะเข้ากับเนื้อเรื่องที่มีความเป็นสมัยใหม่ แต่อยากให้ปรับแก้เรื่องสีหน่อย อยากจะให้มันฉูดฉาดกว่านี้อีกนิด”


“ได้ค่ะ ถ้ายังไงพุดดิ้งแก้เรียบร้อยแล้วจะเอาเข้ามาให้คุณอัศนัยดูอีกครั้งนะคะ”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ สายตาเหลือบไปเห็นเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หลังจากจบเรื่องนี้แล้วนาฏยกาลคงจะพักยาวเพื่อเตรียมละครเวทีเรื่องใหม่ในช่วงกลางปี ยังไงคงต้องรบกวนคุณอีก”


“ช่วงกลางปี...ก็อีกไม่กี่เดือนเองนะคะ แหม...ท่าทางปีนี้นาฏยกาลก็มีละครให้ดูเยอะเลยนะคะ”


“อืม จริง ๆ มันเป็นงานที่ถูกแทรกเข้ามาน่ะ พอดีปีนี้เป็นปีที่คุณพ่ออายุครบห้าสิบเก้าปีแล้วก็เป็นปีที่นาฏยกาลดำเนินกิจการมาเป็นปีที่สิบเก้าก็เลยอยากจะทำอะไรพิเศษ ๆ หน่อย”


“แล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอคะ”


“น่าจะเป็นแฟนตาซี เพราะเรายังไม่เคยทำละครแนวนี้เลย ส่วนชื่อเรื่องทีมเขียนบทกำลังคิดอยู่ คิดว่าอีกไม่นานน่าจะได้”


“ว้าว!!! น่าตื่นเจ้นจังเลยค่ะ รับรองนะคะว่าพุดดิ้งจะช่วยคุณอัศนัยทำงานให้เต็มที่เลยค่ะ”


“มีเวลาอีกประมาณ 4-5 เดือน ยังไงคงต้องฝากคุณด้วยนะ” ผู้เป็นนายจ้างกล่าวทิ้งท้าย



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2015 16:09:11 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


ร.ต.อ.เก่งกาจเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินเข้าทักทายอาจารย์หนุ่มหล่อที่กำลังยืนรออยู่ ถึงจะไม่ได้แต่งชุดนายตำรวจเต็มยศแต่ร่างบึกภายใต้เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวสวมทับด้วยเสื้อหนังสีเข้มก็ทำให้เข้าตกเป็นเป้าสายตาของบรรดานักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมา ดังนั้นชายหนุ่มหยิบแว่นกันแดดที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อนอกออกมาสวมพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ ตามสัญชาติญาณ จากนั้นสองคนก็เดินตามกันไปยังอาคารสำนักหอสมุดกลางซึ่งมีความสูงเจ็ดชั้นซึ่งอยู่ไปไกลจากบริเวณลานจอดรถ


“วันนี้เลยต้องรบกวนเวลาคุณเลย” เก่งกาจกล่าวขณะยืนอยู่ในลิฟต์


“ไม่เป็นหรอกครับ วันนี้ไม่ได้ยุ่งอะไร จะมีก็แค่เข้าประชุมแทนท่านคณบดีตั้งแต่เมื่อตอนเช้าเท่านั้นเอง” ธันวาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้าพลางลอบมองกิริยาท่าทางนิ่ง ๆ ดูสุขุมของอีกฝ่าย อดนึกชมอยู่ในใจไม่ได้ว่ามันช่างดูทรงภูมิและน่าเกรงขามเหมาะกับตำแหน่งและภาระหน้าที่ที่เขาได้รับเสียเหลือเกิน หากเทียบกับคนวัยใกล้ ๆ กันอย่างไอ้นายน้อยเจ้าสำราญแห่งฟาร์มชื่อดังของปากช่องแล้วถือว่าต่างกันลิบลับ รายนั้นนอกจากจะติดขี้เล่น ไม่มีสาระ แล้วยังใจร้อนอีกต่างหาก


“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ากิ่งดาวเข้าไปในนาฏยกาลด้วยวิธีการไหน นี่ก็แทบจะลืมไปเลยว่ายังมีอารตีอีกคนที่เกี่ยวข้องกับที่นั่น” ธันวากล่าว


“ครับ ก็หวังว่าเราจะได้อะไรจากการพูดคุยกับเธอในวันนี้บ้าง”


เมื่อเก่งกาจกล่าวจบ สัญญาณก็ดังขึ้นก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกสู่บริเวณที่ใช้เป็นที่ศึกษาค้นขวาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ทั้งชั้นเงียบสงบและมีผู้คนอยู่บางตา
ธันวากวาดตามองหาคนที่เขานัดเอาไว้ มองผ่านชึ้นวางหนังสือจนในที่สุดสายตาก็มาหยุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ชั้นหนังสือความสูงท่วมหัวทำให้มองไม่เห็นว่าเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับใครอยู่ คงจะเป็นเพื่อน ๆ ที่บังเอิญผ่านมาแถวนี่แน่ ๆ ธันวาเดินนำเก่งกาจไปยังที่ที่นักศึกษาในความดูแลของเขานั่งอยู่พลันร่างของคู่สนทนาของเธอก็ปรากฏชัดเจนขึ้น


“ผมว่าเราช้าไปนะ ไอ้หมา K9 นี่มันจมูกไวจริง ๆ”


อาจารย์หนุ่มหันไปพยักหน้าน้อย ๆ กับคนที่ยืนข้างกันก่อนจะเบนสายตาไปยังสองคนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส ไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเขาเคยเห็นความขี้เล่นเป็นกันเองของคนที่อารตีกำลังสนทนาด้วยมาก่อนแล้ว


ดูเหมือนว่าการมาของเขาทั้งสองคนจะทำให้การพูดคุยหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น คันธชาติที่รู้ว่ากำลังถูกมองเบนหน้าสบตาคนมาใหม่ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


“แกมาทำอะไรทำอะไรที่นี่วะไอ้กาจ”


เจ้าของชื่อถอนใจหนักจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดโทษอยากจะตอบกลับด้วยคำถามเช่นกัน


‘ฉันต้องถามแกมากกว่าว่าแกมาทำอะไรที่นี่’ เก่งกาจคิดในใจ แต่พามากลับไวกว่า


“พวกผมต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่”


“ผมก็มาคุยกับเพื่อนกิ่งไง ไม่เห็นจะแปลก” คันธชาติกล่าวก่อนจะแนะนำให้อารตีรู้จักกับเก่งกาจ


“คุยอะไรกันอยู่” อาจารย์หนุ่มเลิกสนใจมนุษย์ยียวนกวนประสาท หันไปถามเอากับนักศึกษาพลางนั่งลงอย่างถือวสาสะ ไม่วายช้อนตามองคันธชาติอย่างไม่ไว้ใจ


“กำลังคุยเรื่องพี่กิ่งค่ะ” หญิงสาวยิ้มบาง “สรุปว่าพี่บุ้งไม่ใช่คนที่อาจารย์ธันวาบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับรตีเรื่องพี่กิ่งหรอกเหรอคะ”


ได้ฟังดังนั้นคันธชาติก้ส่ายหน้าน้อย ๆ ยอมรับโดยดีว่าตนเองสวมรอยก่อนจะกล่าวคำขอโทษ แทนที่จะต่อว่าอารตีกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ


“บังเอิญจังเลยนะคะที่พี่บุ้งกับผู้กองเป็นเพื่อนพี่กิ่งแถมยังรู้จักกับอาจารย์ธันวาอีก”


“บังเอิญหรือเพราะมีใครตั้งใจให้มันเป็นเรื่องบังเอิญก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” คนเป็นอาจารย์พูดจบก็หันไปเหล่มองตัวต้นเรื่องทั้งหมดที่ยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


“นี่แสดงว่าเรื่องที่พี่บุ้งเดินชนรตีเมื่อวันที่ไปดูละครที่นาฏยกาลนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหมคะ”


“พี่ขอโทษนะ” ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ชายหนุ่มเลือกที่จะตอบคำถามนั้นด้วยคำขอโทษ น้ำเสียงจิงจังทำให้คำขอโทษที่กล่าวออกมานั้นเป็นคำขอโทษที่ฟังดูจริงใจในความคิดของคนที่ได้ยิน 


หน้าสวยของอารตีก็ปรารศจากร่องรอยแห่งความเคียดเคือง เธอยังคงยิ้มสดใสในแบบของเธอไม่ผิดไปจากตอนที่คันธชาติแนะนำตัวเอง “เอาเถอะค่ะรตีไม่โกรธหรอก รตีพอจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนะคะ เพื่อนรักมาด่วนจากไปแถมยังมีเงื่อนงำแปลก ๆ แบบนี้เป็นรตีเองก็คงอยู่เฉยไม่ได้ แต่ถ้าถามรตีว่าพี่กิ่งเข้าไปทำงานในนาฏยกาลได้ยังไง รตีก็ตอบเหมือนเดิมค่ะว่ารตีไม่ทราบจริง ๆ ถึงเราจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่พี่กิ่งไม่เคยเล่าอะไรให้รตีฟัง”


“กิ่งก็เป็นแบบนี้แหละครับ บางครั้งก็ยากจะคาดเดา ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่ รู้สึกยังไงก็เขียนลงไดอารี” คันธชาติกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ


“รตีขอโทษนะคะที่ช่วยให้ข้อมูลไม่ได้มาก”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามอีกสัก 2-3 ข้อได้ไหมครับ” เก่งกาจที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่


“ค่ะ ถ้ารตีตอบได้ก็จะตอบนะคะ”


“อืม ผมคิดว่าคุณน่าจะตอบได้”


คันธชาติสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันโดยบังเอิญก่อนที่ทั้งคู่จะพุ่งความสนใจไปที่นายตำรวจที่กำลังเริ่มต้นวิธีการสืบสวนสอบสวนของเขา


“คุณกับเสี่ยอนันต์เป็นพ่อลูกกันใช่ไหม”


“ค่ะ”


“แล้วทำไมที่โรงละครวันนั้นคุณถึงไม่เข้าไปร่วมยินดีกับพ่อและพี่ชายล่ะ มันควรจะเป็นสิ่งที่คนในครอบครัวเดียวกันปฏิบัติต่อกันไม่ใช่เหรอ”


“ตั้งแต่รตีเด็ก ๆ รตีกับแม่ถูกคุณนายห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งย่ามในบ้านใหญ่ ตั้งแต่เด็กรตีก็อยู่กับแม่สองคนที่บ้านที่พ่อซื้อให้ เราแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่บ้านใหญ่เลยค่ะ”


“แต่ตอนนี้ภรรยาของเสี่ยอนันต์ก็เสียแล้วนี่ ทำไมคุณยังแสดงตัวไม่ได้ล่ะ”


“คุณพ่อขอร้องรตีไว้ค่ะ แต่จริง ๆ แล้วเราสองคนแม่ลูกก็ไม่คิดจะไปเกี่ยวข้องกับที่นั่นอยู่แล้ว”


“แล้วสาเหตุการป่วยของคุณพ่อล่ะ คุณทราบหรือเปล่า”


“ลุงพันที่เป็นคนขับรถของคุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่ที่คุณอัศวินลูกชายคนโตหนีการแต่งงานไปกับผู้หญิงที่รักท่านก็ตรอมใจ วัน ๆ เอาแต่เหม่อลอยจนกระทั่งพลัดตกบันไดค่ะ”


เก่งกาจพยักหน้าพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองดูมือที่ประสานกันก่อนจะกล่าวขอบคุณสั้น ๆ ที่อารตีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เมื่อได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้วสามหนุ่มก็อำลาหญิงสาวแล้วจึงพากันกลับออกมาจากที่ด้านนอกตัวอาคาร


“เป็นยังไงบ้างวะ” คันธชาติเอ่ยขึ้น


“สิ่งที่คุณอารตีเธอเล่าก็ตรงกับข่าวที่ฉันได้มา ทั้งเรื่องที่ภรรยาเสี่ยอนันต์เกลียดเธอกับแม่ เรื่องการล้มป่วยของเสี่ยอนันต์เอง จะมีที่ฉันส่งสัยหน่อยก็เรื่องการหนีการแต่งงานของคุณอัศวิน ลูกชายคนโตของตระกูลนาฏยะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่น่าจะสำคัญอะไร ว่าแต่แกเถอะมายังไงแล้วจะกลับเลยหรือเปล่า”


“ฉันนั่งรถไฟฟ้ามาน่ะ นี่ว่าจะแวะเข้าไปที่ร้านก่อน จะเอาของไปคืนพี่นิ่มแล้วค่อยกลับ แล้วแกล่ะ”


“วันนี้วันเกิดแม่ว่ะ ว่าจะพาท่านออกไปทานข้าวนอกบ้าน” พูดจบก็ก้มมองนาฬิกาข้อมมือ เมื่อเห็นว่าได้เวลานัดแล้วจึงหันไปกล่าวขอบคุณธันวาที่ช่วนเป็นธุระให้ก่อนจะขอตัวกลับ


คันธชาติเดินไปส่งเพื่อนรักที่รถ รอกระทั่งรถเก๋งสีดำติดฟิล์มมืดลับตาไปจึงหันมาพูดกับธันวา


“ผมไปก่อนนะ”


“ไปด้วยกันสิ ผมกำลังจะกลับคอนโดอยู่พอดี”


“ไม่เป็นไร ผมต้องไปธุระต่อน่ะ คุณกลับคอนโดไปเถอะ”


“มันไม่หนีไปไหนหรอก แวะไปส่งคุณก่อนก็ได้”


คันธชาติหันขวับจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหยิบยื่นไมตรีให้เช่นนี้ก็ไม่ขัดศรัทธา คิดแล้วว่าคนอย่างธันวาหากตั้งใจจะทำอะไรแล้วคงไม่ยอมล้มเลิกง่าย ๆ แน่นอน     


...ป่วยการจะดื้อดึง...


...


พนักงานสาวที่ยืนคิดเงินอยู่หลังเคาน์เตอร์ชะเง้อคอมองแลนด์โรเวอร์สีขาวที่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าร้าน สักพักคนที่เปิดประตูลงมาก็ทำให้เธอยิ้มกว้าง จากนั้นนิ่มรีบก้มหน้าก้มคิดเงินให้ลูกค้าให้เสร็จ จึงไม่ทันมองคนที่มาพร้อมกับนายน้อยของเธอ     วันนี้ลูกค้าในร้านค่อนข้างมากเพราะเป็นช่วงเทศกาลแห่งการให้ของขวัญ ประกอบกับระยะหลังคนเมืองเริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ สินค้าการเกษตรจึงมีแนวโน้มว่าจะขายดีขึ้น หลายวันมานี้เธอจึงแทบไม่มีเวลาพัก การมาของนายน้อยจึงเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวเหมือนต้นไม้ไม่ได้รดน้ำกลับชุ่มชื่นขึ้นอีกครั้ง


“นี่ร้านคุณเหรอ” ธันวาถามขึ้นขณะเดินตามชายหนุ่มตัวบางกว่าเข้ามาในร้าน


“อือ ร้านของที่บ้านน่ะ” คนถูกถามตอบแบบไม่คิดอะไร


“สวัสดีค่ะ เชิญข้างในก่อนค่ะ” พนักงานที่เดินไปเดินมาอยู่ภายในร้านกล่าวทักทาย เมื่อเห็นว่าคนมาใหม่คือนายน้อยผู้เป็นเจ้าของร้านก็พากันยกมือไหว้


นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานเดินยิ้มกริ่มตรงไปยังเคาน์เตอร์ก่อนจะวางถุงกระดาษลงตรงหน้าหญิงสาวที่กำลังยืนยิ้มแฉ่ง ธันวาจำเธอได้ ชายหนุ่มแสร้งทำเดินดูผลิตภัณฑ์ในร้านแต่ก็ยังคอยเงี่ยหูฟังว่าสองคนคุยอะไรกัน


“อ่ะนี่ บุ้งเอามาคืน”


“ไม่ใช้แล้วเหรอคะ” ถามพลางหัวเราะคิก “เสียดายจัง ตอนนายน้อยแต่งตัวแบบนั้นไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ถ้านายใหญ่กับนายหญิงหรือคนงานที่ฟาร์มเห็นต้องจำไม่ได้แน่ ๆ ค่ะ”


“ไม่ถ่ายเก็บน่ะดีแล้ว ถ้าพ่อกับแม่เห็นละก็มีหวังไล่บุ้งออกจากบ้านแน่ ๆ”


“ไล่อะไรกันคะ แต่งออกมาแล้วสวยขนาดนั้น”


เพียงเท่านั้นร่างสูงที่ยืนหยิบโน่นจับนี่อยู่ที่ชั้นวางของก็พอจะเดาได้ว่าในถุงคืออะไร ชายหนุ่มคว้าขวดน้ำสลัดแบบที่คันธชาติเคยแบ่งไปให้เดินมาวางที่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังขมวดคิ้วมองมายังเขา


“คุณชอบเหรอ”


“อือ ผมว่ารสชาติดีกว่าที่เคยทานน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องซื้อหรอก เดี๋ยวผมทำให้ก็ได้ สูตรนี้น่ะของแม่ผมเอง” พูดจบคันธชาติก็เลื่อนขวดน้ำสลัดไปอีกทาง แต่ธันวาก็ยื้อมันกลับมาอีกครั้ง


“ไม่เป็นไร ซื้อนี่แหละ จะได้ช่วยอุดหนุนร้านคุณไง” พูดจบก็เงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม “คิดเงินเลยครับ”


“อ...เอ้อ...ค่ะ”


“บอกว่าไม่ต้องไง ถือว่าตอบแทนที่คุณขับรถพาผมมาที่นี่ก็แล้วกัน เอาใส่ถุงเลยพี่นิ่ม”   


“อ...อะ ค่ะ” เจ้าของชื่อรับคำก่อนจะจัดการหยิบขวดน้ำสลัดใส่ถุงแล้วส่งให้นายน้อยของเธอพร้อมกับกระซิบถาม  “คนนี้หรือเปล่าคะที่ทำให้นายน้อยลุกขึ้นมาแต่งตัวเป็นผู้หญิง”


“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย คิดอะไรไปใหญ่โตแล้ว” คนถูกถามโครงศีรษะ


“แหม ไม่ต้องอายหรอกค่ะนายน้อย วันนี้ดีกันแล้วเหรอคะถึงมาด้วยกันได้แบบไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ”


“หืม? หมายความว่ายังไง หลบอะไรซ่อนอะไร มาด้วยกันได้อะไรของพี่นิ่ม ก็นี่น่ะเพิ่งมาด้วยกันครั้งนี้...” คันธชาติเบิกตากว้าง นึกขึ้นมาได้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนเองและธันวามาที่นี่ด้วยกัน “ค…ครั้งที่สองไง” ชายหนุ่มกระซิบตอบ หัวเราะแหะแก้เก้อก่อนจะหันไปสบตาคนมาด้วยกันที่ยังคงวางหน้านิ่ง เดาเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้ยิน อาศัยจังหวะนี้ชวนกันกลับเสียก่อนที่งานจะเข้า


“กลับเถอะคุณ” คันธชาติกล่าวก่อนจะคว้าถุงใส่ขวดน้ำสลัด รีบคว้าข้อมือคนช่างสงสัยเดินออกจากร้านทันที     


“ดีกันแล้ว คราวต่อไปก็มากันธรรมดา ๆ แบบนี้นะคะนายน้อย ไม่ต้องเล่นซ่อนแอบกันเหมือนคราวก่อน นิ่มละหัวใจจะวาย” เสียงดังฟังชัดที่ดังไล่หลังทำให้คันธชาติรู้สึกว่าสิ่งที่คิดไว้เมื่อครู่ผิดถนัด ยังไม่ทันจะหันกลับเอ่ยปากห้ามปราม ธันวาก็พูดขึ้นเสียก่อน


“นี่ คราวที่แล้วคุณรู้เหรอว่าผมตามคุณมา”


“รู้อะไร คุณพูดอะไรผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” พูดจับก็ปล่อยมือจากแขนของอีกฝ่ายก่อนจะเปิดปรตูเข้าไปนั่งในรถ มองดูร่างสูงที่เดินเกาหัวแกรกเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ


“คุณนี่มันร้ายกาจ” ริมฝีปากอิ่มพึมพำขณะออกรถ


“รู้แบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่คิดมาต่อกรกับผม”


คันธชาติหัวเราะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของรถจะไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับตนเองด้วย อาจารย์หนุ่มยังคงปั้นหน้าเฉย ไม่มีคำต่อว่าใด ๆ หลุดออกจากปาก นั่นยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด จนในที่สุดก็เป็นคันธชาติที่อดรนทนไม่ไหวต้องทำให้เขาพูดอะไรสักอย่าง


“ทำไมเงียบล่ะ ไม่ต่อว่าผมหน่อยเหรอ”


ธันวายังคงเงียบ...


“เฮ่ยคุณ นี่จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”


“ผมมีสิทธิ์จะพูดอะไรด้วยเหรอ ผมก็เหมือนกับแมลงศัตรูพืชพวกนั้นแหละ”


“โอ๊ย! ไปกันใหญ่แล้ว” คันธชาติกล่าวพลางทึ้งหัวตัวเองก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง ลมหายใจหนักถูกผ่อนผ่านปลายจมูก รู้ดีว่าเป็นความผิดของตัวเองส่วนหนึ่งแต่ก็อดพูดจากวนประสาทไม่ได้ “ทำงอนเป็นเด็ก ๆ ไปได้”


“ไม่ได้งอนสักหน่อย แล้วทำไมผมจะต้องงอนคุณด้วย”


คนฟังหันขวับมองอีกฝ่ายที่กำลังแสดงอาการ ‘งอน’ แต่กลับบอกว่าไม่ได้งอน แล้วถ้าไม่งอนแบบนี้ควรจะเรียกว่าอะไรดี ก็มันรู้สึกได้อย่างนั้นนี่นา


“ก็นั่นน่ะสิ จะงอนทำไม ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย" คันธชาติถอนใจยาวพลางเหลือบมองคนข้างๆ "รู้สึกยังไงก็ไม่พูด พูดออกมาบ้างก็ได้ครับอาจารย์ไม่ต้องรักษาภาพนักหรอก เก็บไว้เยอะเข้าเส้นเลือดในสมองแตกกันพอดี ปากเบี้ยว มือหงิก เป็นชายน้อยแห่งวังจุฑาเทพกันพอดี”


“บ้านทรายทองไม่ใช่เหรอ”


เจ้าของมุกมองไปออกไปนอกกระจกรถพร้อมกับอมยิ้ม ก่อนจะนึกสนุกเลียนแบบท่าทางของ ‘ชายน้อย’ แห่งบ้านทรายทองตามที่เคยเห็นในละครโทรทัศน์ มือเรียวค่อย ๆ หงิกงอในขณะที่ริมฝีปากได้รูปก็กลับบิดเบี้ยว


“อาจารย์ธันวาก๊ะ ช...ชายน้อย ขอบคุณ ขอบคุณนะก๊ะ ท...ที่อุตส่าห์ช่วยแก้ให้” พูดจบก็หัวเราะลั่น ทำเอาคนมองพลอยหัวเราะตามไปด้วย


เมื่องเสียงหัวเราะจางหายธันวาดึงสายตากลับมามองคนขี้เล่นที่ตอนนี้เอาแต่นั่งเงียบ เท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่าง หัวคิ้วที่บางครั้งก็ขมวดแน่น บางครั้งก็คลายออกแล้วกลับมาขมวดใหม่ รวมถึงปลายนิ้วเรียวที่ถูริมฝีปากบางเป็นระยะทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังมีอะไรให้คิดอยู่แน่ ๆ เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ นายน้อยแห่งฟาร์มแสงฉานคนนี้แปลกกว่าทุกคนที่เคยรู้จัก บางครั้งก็ดูจริงจังนิ่งเงียจนยากจะคาดเดา แต่เวลาเล่นก็เล่นเสียจนน่าปวดหัวเหมือนกัน
 


‘นึกโกรธทีไรก็ทำให้หัวเราะได้ทุกที เล่นเป็นเสียแบบนี้แล้วจะโกรธลงได้ยังไง’ 



....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2015 22:28:04 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อาจารย์ปลายปีงอนได้น่าง้อมาก น่ารักจัง  :mew3:

คิดแทนพี่นิ่มว่า "ไว้มาเล่นหนังอินเดียที่ร้านกันอีกนะคะ นายน้อย"  :z2:
มีจีบไม้จับมือกันอ่ะ  :impress2:
แล้วไอ้ที่บอกจะไปทำน้ำสลัดให้ ไม่ต้องซื้อเนี่ย เสนอตัวเหรอคะ นายน้อย อ่อยอ่ะ ไม่สำรวมเลย  :hao7:
 

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
เล่นได้ทุกสถานการณ์จริงๆเลย
น่าสงสารแต่ธันวาอ่ะดิจะคอย
รับมุกเค้านะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เดา... เดา... เดา...
๑. กิ่งดาวอาจถูกจับได้ว่าไม่ได้เป็นกะเทยจริง เลยถูกฆ่า แล้วใครฆ่า ...อาจเป็นอัศนัยที่ชื่นชอบกะเทย แต่ไม่นิยมชายแท้หรือหญิงแท้
๒. หรือเป็นน้องอัน ที่กลัวอัศนัยไปหลงกะเทยตัวปลอมอย่างกิ่งเข้า

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ก็น่ารักจริงๆ นะบุ้งเนี่ย

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ขอบคุณค่ะ แล้วมาต่อเรื่อยๆนะคะ

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
กำลังสนุกเลยค่ะ รอจ้าา
เป็นกำลังใจนะคะ

 :กอด1:

ออฟไลน์ bon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-2
จะสงสัยใครดี ตัวละครออกมาครบแล้ว ขอคำใบ้เพิ่มตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
 :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:เข้ามาติดตามด้วยคนจ้า :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
เห็นชื่อก็คลิกเลย อาจจะช้าแต่ก็เข้ามาอ่านแล้ว
อ่านได้สองตอน อาการง่วงก็เข้ามาขัดจังหวะ
+1 พร้อมกำลังใจให้ครับ  :L2:
ปล. ค่อยตามอ่านกันทีหลัง นอนก่อนแหละ  :a12:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
การที่ต้องตามสืบเรื่องของเพื่อนรัก ทำให้การพัฒนาการของความรัก เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เพียงแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจ  แต่อาการการแคร์ความรู้สึกนี่ เป็นการแสดงออกแล้วนะ
ว่าไป ก็ทั้งสองคนนั่นแหละ  :z2:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter
อื้อหือออ อ่านแล้วรู้สึกว่าลุ้นขึ้นไปอีกค่ะ
ประเด็นนี้เคยสงสัยอยู่แต่ลืมไปแล้ว
จนดร.ธันวามาถามนายน้อยนี่แหละว่ากิ่งดาวเข้าไปทำงานที่นาฏยกาลได้ยังไง
รู้สึกเหมือนจะมีปมผูกอยู่ระหว่างประเด็นที่กิ่งดาวอาจจะปลอมตัวเป็นกะเทยเข้าไปทำงาน
กับประเด็นที่คุณเล็กแอบคั่วสาวในโรงละครอย่างหนูอัน อ่านแล้วยิ่งซ่อนเงื่อนเข้าไปอีก
แต่ตอนนี้คิดไม่ออกเลยว่าจะเดาไปทางไหน 55555

ชอบตอนที่ไปร้านกันมากเลยค่ะ
แอบขำพี่นิ่มกับนายน้อย อยากรู้ว่าพี่นิ่มคิดว่านายน้อยกับดร.ธันวางอนอะไรกันน้าา ถึงได้หนีกันแบบนั้น 555555
พี่นิ่มจะเป็นสาววายแบบเรามั้ยคะ? ก๊ากกกกกกกกก

ดร.ธันวางอนได้น่าตีมาก 55555
แต่ก็น่างอนบ่อยๆ นะคะ ถ้าคนง้อจะน่ารักขนาดนี้
มีทำทะเล้นอีก โอ้ยย เข้าใจความรู้สึกดร.เลยค่ะ จะไปโกรธนานได้ยังไง ก็มาทำให้หัวเราะแบบนี้
เราเองอ่านแล้วยังขำเลยค่ะ นายน้อยน่ารัก นายน้อยนี่มันนายน้อยจริงๆ อยากหยิกด้วยความหมั่นเขี้ยว ฮาาา

รออ่านตอนหน้านะคะ
ตอนนี้ยังจับทางไม่ถูก ก็เลยไม่รู้จะเดาทางไหน เดี๋ยวรอเดาอีกทีตอนหน้า
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อคโฮม 555555555

ออฟไลน์ SiLent_GRean

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 566
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
กำลังสนุก บุ้งน่ารัก ดอกเตอร์ธันงอนได้น่ารักไปอีก  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สวัสดีค่ะ พอดีว่าพรุ่งนี้จะออกไปแตะขอบฟ้า ไม่อยู่หลายวันเลยปั่นตอนที่ 7 มาส่งค่ะ

อ่านแล้วไม่รู้จะได้เบาะแสอะไรเพิ่มไหม ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตาม 

ขอบคุณสำหรับการวิเคราะห์วิแคะแกะเกานะคะ อ่านแล้วสนุกมาก ๆ เลย แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ


ตอนที่ 7 ผู้ร่วมขบวนการ



แลนด์โรเวอร์คันงามเคลื่อนเข้ามาจอดในบริเวณลานจอดรถหลังคอนโดเป็นเวลาเดียวกันกับที่รถนั่งแบบครอบครัวคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดห่างออกไปไม่ไกลนัก เพียงไม่นานประตูฝั่งคนนั่งก็เปิดออกก่อนที่ร่างบางของหญิงสาวจะก้าวลงมา ยังไม่ทันจะปิดประตู เจ้าเด็กชายสวมชุดนักเรียนที่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะพร้อมกับถุงข้าวของพะรุงพะรังก็พรวดพราดออกมาจากประตูด้านหลังจากนั้นก็พากันวิ่งหายเข้าไปในคอนโด


ที่แท้ก็เก็จแก้วกับลูก ๆ ของเธอ คันธชาติยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงความซนระดับเทพของเจ้าสองลิงที่ทำให้ผู้เป็นแม่รวมไปจนถึงคนในคอนโดต้องปวดหัว อดคิดย้อนกลับไปไม่ได้ว่าสมัยตนเองยังเด็กจะทำให้แม่ต้องคอยบ่นปากเปียกปากแฉะอย่างนี้หรือไม่ ความคิดถูกหยุดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างของใครคนหนึ่ง รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้ากลับจางหาย หัวคิ้วขมวดแน่นจ้องเขม็งไปข้างหน้า ดวงตาคู่นั้นไม่หลงเหลือแววขี้เล่นให้เห็นจนคนเผลอมองนึกสงสัย


“ผมคุ้นหน้าผู้ชายคนนั้นจัง”
 

คนฟังหลุบตาจากเสี้ยวหน้าที่มองเสียเพลินก่อนจะเบนความสนใจไปยังชายร่างอวบที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถ นอกจากผมหยิกฟูแล้วเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดที่หุ้มห่อร่างก็ทำให้เป็นที่สะดุดตาไม่แพ้กัน 


“คงเป็นเพื่อนพี่แก้วน่ะ” พูดจบธันวาก็หันไปคว้าเอกสารกับถุงใส่น้ำสลัดที่วางอยู่ด้านหลังก่อนจะเปิดประตูออกจากรถพร้อม ๆ กัน ร่างสูงเดินมายืนข้าง ๆ คันธชาติที่ยังคงเอาแต่จ้องมองเจ้าของท่าทางตุ้งติ้งที่เดินนวยนาดหัวร่อต่อกระซิกคู่ไปกับเก็จแก้ว พยายามนึกทบทวนว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน จนในที่สุดริมฝีปากบางที่เคยเม้มแน่นก็กลับคลายออกเมื่อจู่ ๆ ภาพเหตุการณ์หนึ่งผุดขึ้นในหัว


“ผมจำได้แล้ว จำได้แล้ว ผมเคยเจอเขาเมื่อวันไปดูละครที่นาฏยกาล วันนั้นเขาอยู่บนเวทีด้วย รีบไปเถอะคุณ ผมอยากรู้จักเขา”  ชายหนุ่มละล่ำละลัก ด้วยความลืมตัวจึงเผลอไปรั้งแขนของคนที่ได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ หวังจะเดินตามให้ทัน  แต่แล้วคิ้วหนาก็ขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมให้ความร่วมมือเอาเสียเลย


“เร็วสิคุณ” ปากพูดพร้อมกับออกแรงดึงแต่ก็ไร้ผล


ธันวามองมือที่จับแขนตนเองแน่น ยอมรับว่ามันไม่ได้หยาบกร้านอย่างที่คิด หากแต่นุ่มเกินกว่าจะเป็นมือของคนที่ต้องจับจอบจับเสียมเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงจะนุ่มอย่างไรช่วยปล่อยก่อนจะได้ไหม ไวพอ ๆ กับใจคิด ใบหน้าคมสันเงยขึ้นสบตาพร้อมกับกล่าวเสียงเรียบ “ปล่อยมือก่อน ผมเดินเองได้”


เมื่อได้ฟังดังนั้นคันธชาติจึงผละมือจากแขนแกร่งอย่างไม่ใส่ใจ รีบสาวเท้าเดินตามเป้าหมายทิ้งให้อาจารย์หนุ่มได้แต่ยืนโคลงศีรษะให้กับความใจร้อนไม่ต่างอะไรกับเด็กรุ่น ๆ (ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว)


“ไปด้วยครับ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดสนิทเปิดออกอีกครั้ง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มองมายังคนที่กำลังยืนหอบอยู่ด้านนอกเป็นตาเดียว คันธชาติยิ้มก่อนจะก้าวเข้าพรวดมายืนด้านในโดยมีธันวาตามเข้ามายืนข้าง ๆ กัน


“วันนี้ทำไมสองหนุ่มถึงมาด้วยกันได้จ๊ะ” เก็จแก้วทักทายในขณะที่ลูกชายทั้งสองของเธอก็พากันยกมือไหว้คุณน้ารูปหล่อเช่นกัน


“ผมบังเอิญเจอบุ้งเขาข้างนอกน่ะครับ ก็เลยรับมาด้วยกัน”


“แล้วนี่ทานอะไรกันมาหรือยังจ๊ะ”


“ยังครับ” คนถูกถามตอบตามจริง


“ซื้ออะไรเข้ามาทานกันหรือเปล่า ถ้ายังไม่ซื้อวันนี้น้องธันกับน้องบุ้งไปทานข้าวที่ห้องพี่สิจ๊ะ พี่ซื้อของมาทำกับข้าวทานเยอะแยะเลย พอดีมีเพื่อนมาทานข้าวด้วยน่ะ” พูดจบก็หันไปค้อนใส่คนที่แสร้งทำกระแอมขัดจังหวะ “นี่พุดดิ้งเพื่อนพี่จ้ะ คนที่เคยเล่าว่าทำห้องเสื้อด้วยกันไง”


ธันวากำลังจะยกมือไหว้ แต่เจ้าของชื่อก็ห้ามขึ้นเสียก่อน


“ต๊าย! ไม่ต้องไหว้จ้ะ เดี๋ยวเจ๊อายุสั้นกันพอดี” ไม่ห้ามเปล่า ยังทำเนียนจับมืออีกฝ่ายแน่น ในขณะที่ธันวาเองก็ได้แต่ยิ้มตามประสาคนไม่คิดอะไร เมื่อเห็นว่านานเกินไปแล้วจะชักมือกลับ อีกฝ่ายก็ยังคงยื้อ ยื้อกันอยู่นานกว่าจะยอมปล่อย 


“มือนิ้มนิ่ม แถมหอมด้วย” พุฒิพงศ์ทำปากขมุบขมิบพลางลูบหน้าลูบตาตัวเองจนคันธชาติต้องกลั้นหัวเราะในอากัปกิริยาของคนที่เพิ่งรู้จักกัน ก็ไม่แปลกอะไรถ้าเพื่อนบ้านของเขาจะเป็นที่สนอกสนใจของทั้งเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน ตี๋อินเตอร์ขนาดนี้ต่อให้เจ้าตัวบอกว่าโสดสนิทก็ยากจะเชื่อเต็มที


“ว่าไงจ๊ะ ไปทานข้าวด้วยกันนะ” เก็จแก้วถามย้ำ


กระนั้นธันวาก็ยังเลือกที่จะยิ้มแทนการตอบคำถามที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที นี่ถ้าลำพังตัวเองคงจะปฏิเสธไปแล้ว ด้วยไม่ได้สนิทสนมกันขนาดจะต้องหิ้วท้องไปเป็นภาระกับคนอื่น แต่เพราะตระหนักดีว่าต้นเหตุที่ทำให้ต้องมายืนเสนอหน้าตรงนี้ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน จึงไม่วายต้องหันไปสบตาเพื่อขอความเห็น


“ไปเถอะค่ะหนุ่ม ๆ ไม่ต้องคิดมากหรอก ผู้ใหญ่ชวนแล้วปฏิเสธมันเสียมารยาทนะ” พุฒิพงศ์กล่าวพลางส่งสายตาวิบวับให้สองหนุ่มจนเพื่อนสาวต้องสะกิดเตือน


อาจารย์หนุ่มหล่อวางหน้านิ่ง ขยับตัวเข้าใกล้คนที่กำลังกลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดงพร้อมกับส่งสายตาดุ ๆ ก่อนจะกระซิบถาม “ว่าไงล่ะ ทีอย่างนี้ละเงียบเชียว”


“ก็มันไม่ทันได้ตั้งตัวนี่นา ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้” คันธชาติพึมพำก่อนจะหันไปยิ้มให้คนชวนที่กำลังรอฟังคำตอบ


“แหม! เรื่องแค่นี้ต้องปรึกษาหารือกันด้วยเหรอจ๊ะ” พุฒิพงศ์ช้อนตาตามองสองคนที่ทำกระซิบกระซาบใกล้ชิดกันจนกะเทยหมั่นไส้


“อ...เอ้อ ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะครับพี่แก้ว” ในที่สุดก็เป็นคันธชาติที่ตอบตกลง 


“เกรงใจอะไรกันจ๊ะ ดีเสียอีก ทานกันหลาย ๆ คน คุยกันไปด้วยน่าสนุกออก” เก็จแก้วกล่าว เธอดูจะออกอาการตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะนี่ถือว่าเป็นปาร์ตี้เล็ก ๆ ในรอบปีที่มีโอกาสได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนที่คุยกันถูกคอก็ว่าได้


หญิงสาวหันไปถามเด็ก ๆ ถึงรายการอาหารที่จะทำในวันนี้ ก่อนจะย้อนกลับอวดพัฒนาการของผักสวนครัวที่ปลูกเองจนคนฟังมั่นใจว่าการถูกเชิญให้ร่วมโต๊ะวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเชื้อเชิญตามมารยาท คันธชาตินึกกระหยิ่มในใจ ไม่แน่ว่าอาหารมื้อนี้อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความรู้จักกับผู้ที่จะเชื่อมโยงไปสู่เหตุการณ์การเสียชีวิตของกิ่งดาวอีกคนหนึ่งก็ได้


ธันวาและคันธชาติพากันเดินคอตกออกมาจากครัว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะช่วยเจ้าของห้องหยิบจับทำอาหารเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์เอ่ยปากเชิญให้มาร่วมโต๊ะด้วยกันแต่กลับถูกไล่ให้มานั่งรอด้านนอก ก็เลยต้องเปลี่ยนจากช่วยทำกับข้าวมาเป็นช่วยสอนการบ้านให้เจ้าสองลิงแทน


“นี่แก น้องธันกับน้องบุ้งน่ะ เขาเป็นอะไรกันหรือเปล่า” พุฒิพงศ์กระแซะถามพลางชะเง้อมองสองหนุ่มที่นั่งอยู่กับเด็ก ๆ ในห้องนั่งเล่น


“แกหมายความว่ายังไง เขาก็เป็นเพื่อนบ้านกันน่ะสิ แกนี่ถามอะไรแปลก ๆ” เก็จแก้วกล่าวพลางจัดผักสลัดใส่จาน


“เปล๊า! ฉันก็แค่อยากรู้ เพราะถ้ายังโสดทั้งคู่ฉันก็จะมีโอกาสบ้างน่ะสิ น้องธันก็หล่อ ส่วนน้องบุ้งก็น่าฟัด นี่ถ้าได้ทั้งสองคนนะชีวิตพุดดิ้งคงฟินสุด ๆ เลยละแก”


“ไร้สาระ” พูดจบหญิงสาวก็ยกอาหารออกไปวางที่โต๊ะด้านนอก


เมื่อปิงกับน่านเห็นแม่เตรียมตั้งโต๊ะก็พากันพรวดลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือมายืนเกาะโต๊ะจ้องมองกับข้าวหน้าตาน่ากินที่แม่ยกออกมาวาง วันนี้มีของโปรดของพวกเขาเยอะแยะไปหมด รู้สึกได้ว่าจะต้องมีอะไรพิเศษ ๆ แน่ ไม่เช่นนั้นลุงพุดดิ้งคงไม่มาที่บ้านและของกินก็คงไม่มากมายแบบนี้


“วันนี้แม่กับลุงพุดดิ้งฉลองอะไรกันเหรอครับ” ลูกชายคนโตเอ่ยขึ้น


“อุ๊ยตาย! น้องปิง ป้าบอกกี่ครั้งแล้วลูกว่าอย่าเรียกแบบนั้น หนูต้องเรียกป้าว่าป้านะคะลูกถึงจะเป็นเด็กน่ารัก”


“ปิงลืมครับ” เด็กชายหัวเราะแหะ ๆ


“แกกำลังจะทำให้ลูกฉันสับสนนังพุด” เก็จแก้วหันไปปรามเพื่อน “เรียกลุงน่ะถูกแล้วลูก วันนี้แม่กับลุงพุดดิ้งฉลองที่งานเสนองานลูกค้าผ่านจ้ะ ลูกค้าเขาเลือกชุดละครที่แม่ออกแบบไป”


“ดีจังเลยครับแม่” ลูกชายคนเล็กกล่าวพลางชูแขนไชโย


“นี่พี่แก้วกับเจ๊พุดดิ้งตัดชุดละครด้วยเหรอครับ” หนึ่งในสองคนที่เดินตามมาสมทบเอ่ยขึ้น


“จ้ะ แต่รับเป็นฟรีแลนซ์นะ ช่วงหลัง ๆ มาไม่มีคณะละครไหนเขาจ้างประจำหรอก เปลืองเงินเขา เพราะละครก็ไม่ได้แสดงกันทุกเดือน เรื่องนี้จบก็เว้นไปนานกว่าจะมีเรื่องใหม่” เก็จแก้วอธิบายก่อนจะเชิญทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร


“แล้วตอนนี้รับทำให้ที่ไหนบ้างเหรอครับ” ยังเป็นคันธชาติที่ถามอย่างสนอกสนใจ


“ตอนนี้เจ๊รับทำให้นาฏยกาลที่เดียวจ้ะ เมื่อก่อนรับหลายที่ แต่นาน ๆ ชักไม่ไหว ไหนจะรับออกแบบตัดชุดละคร ไหนจะตัดเย็บเสื้อผ้าปกติ คนเราน้อยน่ะจ้ะ เราเป็นแค่ห้องเสื้อเล็ก ๆ งานที่เขามาจ้างก็อาศัยบอกกันปากต่อปากน่ะ” พูดไปก็ตักข้าวใส่จานแจกจ่ายให้ทุกคนไป


เก็จแก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนก่อนจะกล่าวเสริม “ที่ยังรับทำให้นาฏยกาลก็เพราะคุณอัศนัยที่เป็นเจ้าของน่ะพอจะคุยกันง่ายหน่อย เธอไม่เรื่องมากเหมือนเจ้าอื่น ๆ”


คันธชาติหันมายักคิ้วให้คนนั่งข้างกันราวกับจะบอกว่าแผนการของตนเองกำลังจะสำเร็จไปอีกขั้น ในขณะที่ธันวาทำได้เพียงลอบถอนหายใจเบา ๆ ไม่รู้ว่าจากนี้จะมีเรื่องวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นอีก


“แล้ว....”


ยังไม่ทันจะได้ถามต่อ คนนั่งข้างกันก็ขัดขึ้นเสียก่อน


“ทานข้าวดีกว่านะ เมื่อกี้ผมยังเห็นคุณบ่นหิวอยู่เลย” ธันวากล่าวพร้อมกับเอื้อมตักกับข้าวใส่จานให้คนนั่งอ้าปากหวออยู่ข้าง ๆ คงไม่คิดมาก่อนเขาว่าจะใช้ไม้นี้ “เด็ก ๆ ก็หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวน้าธันตักให้นะ” พูดจบก็ตักกับข้าวใกล้มือวางในจานให้เด็กชายสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอ่ยปากชวนทุกคนให้ลงมือรับประทานอาหาร


“เป็นเพื่อนบ้านที่ดูแลกันดีนะคะ” พุฒิพงศ์กล่าวพลางปรายตามองสองหนุ่มที่ยังคงนั่งส่งสายพิฆาตให้กัน แต่ในมุมมองของกะเทยร่างอวบมันกลับดูเหมือนตัวเอกในละครที่กำลังส่งสายตาแห่งความห่วงหาอาทรจนคนที่รับบทเป็นตัวอิจฉาต้องตาร้อน  เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนเองไม่ได้รับความสนใจพุดดิ้งจึงแสร้งกระแอมเสียงดังให้ทั้งคู่รู้ตัว และมันก็ได้ผลเมื่อธันวาและคันธชาติต่างก็ละสายตาจากกันหันมามองที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว


“ม...เมื่อกี้พี่พุดดิ้งว่าอะไรนะครับ”


“เจ๊บอกว่า น้องธันกับน้องบุ้งเนี่ยดูแลกันดีจังเลยนะคะ”


“เป็นอาจารย์ก็อย่างนี้แหละครับ ชอบคิดว่าคนอื่นเป็นลูกศิษย์ตัวเองไปหมด ต้องคอยยุ่งไปหมดเสียทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่คนอื่นเขาไม่อยากให้ยุ่ง” คันธชาติได้ทีชิงพูดขึ้นก่อน ไม่วายหันไปยักคิ้วกวน ๆ ให้คนหน้านิ่ง


ธันวาเบือนหน้าหนีอย่างระอาก่อนจะเอาคืนด้วยด้วยประโยคเรียบ ๆ “ครับ เด็กสมัยนี้ดื้อด้าน ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยไม่รู้ตัว คนเป็นอาจารย์ก็เลยอดยุ่งไม่ได้”


“อุ๊ยตาย! น้องธันเป็นอาจารย์เหรอคะเนี่ย แหม ๆๆๆ เจ๊อยากถูกสอนจัง”
สิ้นเสียงเพื่อนสนิทเก็จแก้วถึงกับวางช้อนเงยหน้าขึ้นถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หือ? แกจะให้น้องธันสอนอะไรยะ”


“ก็...อะไรก็ได้ที่น้องธันอยากจะสอน....รับรองว่าเจ๊จำจนตายแน่นอน” พูดพลางกัดริมฝีปากส่งสายตาหยาดเยิ้มจ้องหน้าหล่อราวกับจะกลืนกินแทนอาหารที่อยู่บนโต๊ะเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป เล่นเอาอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูกได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบ ๆ รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็ก ๆ ของคนที่กลั้นหัวเราะจนไหล่ไหวอยู่ข้าง ๆ



หลังจากอิ่มท้องแล้วคันธชาติและธันวาก็อาสาสอนการบ้านให้ลูกชายฝาแฝดของเก็จแก้วต่อจนเรียบร้อย เมื่อเด็ก ๆ พากันอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวจะเข้านอนสองหนุ่มจึงขอตัวกลับโดยมีพุฒิพงศ์เดินออกมาส่ง จริง ๆ ตั้งใจจะไปส่งให้ถึงห้องของธันวาแต่ถูกเก็จแก้วรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน ดังนั้นกะเทยร่างอวบจึงได้แต่โบกมือหยอย ๆ พร้อมกับส่งจูบอำลาหนุ่ม ๆ อยู่ที่หน้าห้อง


“หัวเราะอะไรนักหนา”


“ก็ขำเจ๊พุดดิ้งอะไรนั่นน่ะแหละ ท่าทางเขาจะชอบคุณนะ เห็นจ้องคุณตาเป็นมัน น้องธันคะ น้องธันขา” คันธชาติพูดกลั้วหัวเราะจีบปากจีบคอล้อเลียน


“ทำเป็นพูดดีไป ชอบอะไรกันเล่า” ธันวาหน้ามุ่ยก่อนจะถามคำถามที่คันธชาติเองก็ยังคิดหาคำตอบไม่ได้ “แล้วทีนี้คุณจะเอายังไงต่อ”


“ไม่รู้เหมือนกัน ยังคิดไม่ออก แต่ผมอยากให้คุณถามอารตีให้หน่อยว่าเธอรู้จักเจ๊พุดดิ้งคนนี้หรือเปล่า”


“คุณสงสัยเขาเหรอ”


“เปล่าหรอก ผมแค่กำลังคิดว่า ถ้าสองคนนี้รู้จักกันบางทีเราอาจจะคุยอะไรกันง่ายขึ้น”


“แล้วถ้าเขาไม่รู้จักกันล่ะ”


“ถึงตอนนั้นผมก็คงมีวิธีการของผม ว่าแต่คุณเถอะ อย่าไปบอกไอ้กาจมันก็แล้วกัน”


เล่นพูดดักกันเอาไว้แบบนี้ธันวาก็ได้แต่ฟังเฉย ๆ มองคนที่กำลังแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้อง


“ฝันดีนะคุณ ผมไปนอนละ” พูดจบก็เปิดประตูเข้าห้องโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่อีกคนกำลังจะพูดเลยสักนิด ร่างสูงถอนใจเบา ๆ จำไม่ได้ว่ามันเป็นการถอนหายใจทิ้งครั้งที่เท่าไรตั้งแต่หนุ่มชาวไร่ผู้นี้ย้ายเข้ามาเป็นเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามกัน


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2015 23:24:28 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด