หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หน้ากากดอกไม้ (แจ้งข่าวรวมเล่ม) 17-11-2561 หน้า 13  (อ่าน 178298 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
คดีจะอะไรยังไง ไม่สนแล้วจริงๆ
ตอนนี้สนแต่หนอนบุ้ง  :z1:

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
เขินง่ะ /หน้าร้อนตามบุ้ง

 :-[

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ดอกเตอร์ร้ายกาจสุดๆไปเลยค่า

รุกเข้าไปเลยบุ้งเริ่มเก็บอาการไม่อยู่แล้ว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เอ้ยยยยยย ยังเดาไม่ออกง่ะ 555555
คือจริงๆ แล้วอัญชอบกับคนน้อง
แต่คนพี่มาสวมรอยเป็นน้องแทน งี้ปะ
ลุ้นๆๆๆ

ออฟไลน์ mahaki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
ชอบทุกเรื่องที่แต่งเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ รออยู่

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ปริศนาน่าลุ้น ผู้ชายตัวโตเป็นใคร พวกเดียวกับอัศนัยหรือเปล่า
อัศวิน-อัศนัย ใครกันแน่ที่เป็นคนร้าย
และที่ลุ้นพอ ๆ กันก็สองหนุ่มนี่แหละ
ชอบดร.ธันวา ร้ายไม่เบานะเนี่ย

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 17 : คำให้การของชายลึกลับ


อนันต์ นาฏยะ นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาเลื่อนลอยไร้จุดหมาย นั่นเพราะการพลัดตกจากบันไดตั้งเมื่อเกือบสองปีที่แล้วทำให้เส้นเลือดในสมองแตกส่งผลให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก  และเมื่อเวลาผ่านไปแขนขาข้างที่พอจะใช้การได้ก็เริ่มเกิดการตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อเกร็งตามมา  ในขณะที่ตาคู่หม่นเหม่อมองไปบนเพดานว่างเปล่า หูก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ


“คุณท่านเป็นยังไงบ้างคะลุง”


ชายในชุดซาฟารีที่ยืนหลบมุมอยู่ส่ายหน้าหนักใจพลางมองไปยังถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง “ตัวรุม ๆ ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายครับ ผมก็เลยให้แม่บ้านช่วยเช็ดตัวให้ แต่คุณท่านท่านไม่ยอมทานข้าว ผมเองไม่รู้จะทำยังไงแล้ว จนปัญญาเต็มทีก็เลยต้องโทรตามคุณเล็กกับคุณอันให้มาช่วยดูหน่อย”


คนถามพนักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียงพร้อมกับยกมือไหว้ มือบางวางลงบนท่อนแขนที่กระตุกเกร็งก่อนจะกล่าว “ทานข้าวเสียหน่อยเถอะนะคะคุณท่านจะได้ทานยา” พูดจบก็หันไปส่งสัญญาณเรียกให้ชายวัยใกล้เกษียณให้เข้ามาช่วยประคองคนป่วยลุกขึ้นนั่ง


อัญชลิสาหันไปหยิบถ้วยข้าวต้มที่ยังคงอุ่น ๆ ขึ้นมาก่อนจะตักข้าวคำน้อย ๆ จ่อที่ปาก แต่ริมฝีปากบิดเบี้ยวไม่ได้รูปก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดรับ


"ทานเสียหน่อยเถอะนะคะ" น้ำเสียงอ้อนวอนเรียกสายตาเหม่อลอยให้กลับมาอยู่ที่ดวงหน้าสวย จากที่เคยมองผ่านเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็ง มือเหยียดเกร็งยกขึ้นอย่างเงะงะก่อนจะปัดช้อนกระเด็นไปอีกทาง ในวูบแรกนั้นอัญชลิสาดูจะตกใจอยู่เหมือนกัน แต่แล้วแววตาก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม กิริยาอาการเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวันตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่เธอย่างกรายมาที่นี่ สาวสวยวางชามข้าวต้มลงมองคนใบหน้าเฉยเมยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ


"อยากด่า อยากไล่อันใช่ไหมคะ ถ้าคุณท่านอยากไล่ก็ต้องทานข้าวนะคะ จะได้มีแรงลุกขึ้นทำแบบนั้นกับอันได้ แต่ถ้าคุณท่านไม่ทานและไม่ยอมลุกขึ้นมาละก็ อันก็จะมาที่นี่ทุกวัน" พูดจบก็หยิบช้อนคันใหม่ตักข้าวต้มป้อนให้แต่อีกฝ่ายก็ยังปิดปากนิ่ง
คนป้อนเองก็ไม่ละความพยายามเช่นกัน "คุณเล็กเธอคงเสียใจนะคะ ถ้าหากรู้ว่าคุณพ่อเป็นแบบนี้"


สิ้นเสียงหวานดวงตาดุดันเบนมายังคนพูดโดยอัตโนมัติ อัญชลิสารู้ว่าคำขู่นั้นใช้ได้ผลก็เมื่อตอนที่คนป่วยยอมอ้าปากกินข้าว แม้การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อของอนันต์จะเป็นไปอย่างทุลักทุเลแต่มันก็ดีกว่าที่เขาจะไม่แตะอะไรเลยแล้วปล่อยให้ร่างกายซูบผอมง่ายต่อการที่โรคอื่น ๆ จะแทรกซ้อน


คนป่วยเบือนหน้าหนีอีกหนหลังจากข้าวต้มพร่องไปเกือบค่อนชาม เมื่อเห็นว่าเป็นที่นาพอใจคนป้อนจึงวางชามข้าวลง รอสักครู่ก็หันไปหยิบยาที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ส่งให้ที่ปาก เป็นเวลาเดียวกับที่เมอร์เซเดส-เบนซ์คันงามแล่นเข้ามาจอดภายในอาณาบริเวณกว้างใหญ่ของบ้านนาฏยะอย่างรวดเร็ว


เจ้าของรถก้าวลงมาจากนั้นก็ปิดประตูโครมจนได้ยินไปถึงในครัว ทำเอาเด็กรับใช้ในบ้านพากันสะดุ้งโหยง ขายาวก้าวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อนมุ่งหน้าไปยังชั้นบนของคฤหาสน์หลังใหญ่โดยมีจุดหมายอยู่ที่ห้องนอนซึ่งอยู่สุดทางเดินปีกซ้าย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าคนในห้องกำลังมองมายังตนเองเป็นตาเดียว


"คุณพ่อเป็นอะไร" อัศนัยหันไปถามคนขับคนประจำตัวของเสี่ยอนันต์อย่างหงุดหงิด


"ค...คุณท่านมีไข้ครับ"


"แค่มีไข้เนี่ยนะ"


"คือ...ผม..."


ตาคมมองไปยังผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังนอนหลับ สบตาสาวสวยที่นั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะดึงสายตากลับมายังชายกลางคนที่ยังคงยืนสงบนิ่ง หน้าหล่อถอนใจฉุนเฉียวพลางเอ่ยเสียงเข้มหมายให้ได้ยินกันทั้งหมด "ทีหลังถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายไม่ต้องโทรหาผมนะ"


'ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย' ประโยคนั้นทำเอาอัญชลิสาหันขวับ  เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด ร่างอ้อนแอ้นจึงลุกขึ้นขยับห่างจากเตียงพร้อมกับเอ่ยปากปรามด้วยเกรงว่าจะรบกวนคนป่วย "ไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ คุณท่านเพิ่งจะหลับ" พูดจบก็เดินนำออกไปนอกห้อง


อัศนัยเดินตามอัญชลิสามายังระเบียงหน้ามุข ทอดตามองร่างเล็กที่กำลังยืนหันหลังให้ ครู่หนึ่งเธอกับเหลียวกลับมาให้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่มองครั้งใดก็งามผุดผาดเสียเหลือเกิน


"คุณท่านไม่สบาย คุณยังว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอีกเหรอคะ"


"ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นา ลุงพันก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ คุณเองก็อยู่นี่แล้วไง ยังจะโทรไปตามผมอีกทำไมกัน" ร่างสูงกล่าวกระฟัดกระเฟียด


"ทำไมต้องทำหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนี้ด้วยคะ ลุงพันโทรไปขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า" อัญชลิสายังคงวางหน้าเฉย น้ำเสียงนิ่งเรียบทำให้คนฟังได้สติ ลมหายใจหนักถูกผ่านปลายจมูกพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกก่อนจะตอบห้วน ๆ


"ผมกำลังคุยธุระสำคัญกับเพื่อน"


"เพื่อนหรือว่าใครกันแน่คะ" คนถามกอดอกปรายตามอง "ถึงต้องไปคุยกันที่โรงแรม"


"คุณรู้ได้ยังไง" อัศนัยมองตาขวาง "หรือว่าให้คนตามดูผม"


กระนั้นริมฝีปากสีชมพูระเรื่อกลับเผยอยิ้มไม่ยี่หระ "คุณก็เคยใช้วิธีนี้กับอันมาก่อนไม่ใช่เหรอคะ"


มือหนากำแน่นพยายามดับความเกรี้ยวกราดภายในใจ แต่แล้วแววตาแข็งกร้าวก็อ่อนลง ริมฝีปากแสนเสน่ห์เหยียดยิ้มอีกครั้ง ร่างสูงสาวเท้าเข้าใกล้ก่อนจะโอบรัดเอวบางไว้หลวม ๆ เลื่อนริมฝีปากกระซิบชิดติดริมหู "ผมจะทำแบบนั้นกับคนที่ผมสนใจและคนคนนั้นก็คือคุณ"


หน้าสวยเอียงหนีเมื่อปากอุ่นแตะลงที่ซอกคอก่อนจะเริ่มซุกไซ้หนัก


"อย่าค่ะคุณอัศนัย เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า" พูดพลางดันอกอีกฝ่ายไปพลาง


เจ้าของชื่อหัวเราะในลำคอก่อนจะขยับห่างเพื่อมองคนในอ้อมแขนให้ชัด ใช้นิ้วเกี่ยวปอยผมสีน้ำตาลเข้มที่ตกลงมาปิดหน้าสวยขึ้นแล้วส่งไปด้านหลังก่อนจะใช้หลังมือไล้ที่แก้มนิ่มอย่างเบามือ


"อยู่กับผมคุณยังต้องกลัวอะไรอีก ผมบอกแล้วไงต่อไปผมจะทำให้คุณไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ใครอีก ผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนไอ้..."


ยังพูดไม่ทันจบปลายนิ้วเรียวก็แตะลงบนเนื้อปากเป็นเชิงห้าม หน้าหวานเชิดขึ้นประสานสายตากัน "เราอยู่กันแค่สองคนทำไมยังพูดถึงคนอื่นอีกล่ะคะ"


"คนอื่นเหรอ นี่คุณบอกว่ามันเป็นคนอื่นอย่างนั้นเหรอ" อัศนัยยิ้มอย่างพอใจ


อัญชลิสาเลือกที่จะไม่ตอบแต่วกกลับมาเรื่องเดิม “คุณสนใจเด็กนั่นเหรอคะ”


ร่างสูงถอนหายใจเบา “คุณก็รู้ว่ายังไงผมก็ให้คุณเป็นที่หนึ่ง”


“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าคุณสนใจ”


“ก็แค่ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราวน่ะ คุณก็รู้ว่าผมชอบอะไรที่มันได้มายาก ๆ” พูดจบก็กดริมฝีปากลงบนซอกคอขาวก่อนจะดูดดึงจนเกิดเป็นรอยแดง “แต่สำหรับของที่ได้มายาก ๆ อย่างคุณผมยิ่งอยากจะเป็นเจ้าของไปนาน ๆ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะอยากอยู่กับผมหรือเปล่า”


“อันยอมคุณขนาดนี้แล้ว คุณยังต้องถามอีกเหรอคะ ขอแค่คุณทำตามสัญญาเท่านี้อันก็ไม่ไปไหนแล้วละค่ะ” ตาคมล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนช้อนขึ้นมองคนตรงหน้าพลางยกมือข้างหนึ่งเกี่ยวรัดรอบคอหนา ริมฝีฝากเย้ายวนคลี่ยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่นิ้วมือข้างที่เหลือแตะลงบนปากหยักจากนั้นจึงค่อย ๆ ลากลงมาถึงปลายคางเรื่อยไปตามแนวสาบกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกจนเห็นกล้ามเนื้อหน้าอก ทำเอาร่างสูงหายใจขัดความรู้สึกเสียวซ่านแล่นไปทั่วทั้งตัว แขนแกร่งจำต้องคลายออก เลื่อนสองมือต่ำลงก่อนจะยึดสะโพกมนแล้วขยำขยี้ไปตามแรงอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน ไม่คิดเลยว่าแค่คนตัวเล็ก ๆ จะสามารถมีอิทธิพลต่อทุกอณูของร่างกายได้ถึงเพียงนี้


“ได้โปรด ลืมสัญญานั่นเสีย มันไม่มีวันเป็นจริงได้หรอก มันไม่มีวันเป็นจริง ตราบใดที่ผมคือ อัศนัย นาฏยะ” เสียงกระซิบนั้นขาดห้วงตามจังหวะมือที่ลากลงต่ำกว่าเอวกางเกง


“แล้วทำไมคุณถึงไม่เป็นตัวของตัวเองล่ะคะ คุณก็รู้ว่าต่อให้คุณไม่ใช่คุณอัศนัยหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลนาฏยะ อันก็ไม่มีวันจากคุณไปไหนได้ แต่ถ้าคุณยังดึงดันที่จะอยู่อย่างนี้และยืนยันว่าจะปิดนาฏยกาล อันก็จะไปให้ไกล ไปให้คุณหาไม่พบเลยจริง ๆ”


มือหนาคว้าข้อมือเล็กก่อนที่จะทำให้สติเตลิดไปกันใหญ่ แววตากรุ้มกริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเว้าวอนในทันที แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับอัญชลิสาที่คุ้นเคยกับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เช่นนี้เป็นอย่างดี ตาคู่สวยทอดมองชายหนุ่มซบหน้าลงที่ลาดไหล่ มือที่ถูกยึดไว้ถูกรั้งมาวางแนบแก้มสากของคนที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กชายขี้อ้อน “อย่าขู่ผม อัญชลิสา ได้โปรดอย่าขู่ผม คุณก็รู้ว่าผมขาดคุณไม่ได้”


“แต่นาฏยกาลคือน้ำพักน้ำแรงและความทรงจำดี ๆ ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณนะคะ ทำไมคุณถึงคิดจะทำลายมัน”


“ความทรงจำดี ๆ ของพ่อกับแม่อย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันยิ่งต้องปิดฉากลงตั้งแต่รุ่นของพ่อกับแม่แล้วสิ มันไม่ควรจะยืดเยื้อมาในช่วงเวลาของผม ผมควรจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีบริษัทใหญ่โต เป็นเจ้าของคอมเพล็กซ์หรือทำอะไรก็ได้ที่อยากทำแทนที่จะต้องมาดูแลไอ้โรงละครบ้า ๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความเห็นแก่ตัวนี่” หน้าคมผละออกสบตาคนตัวเล็กกว่า “ต่อไปนี้ผมจะทำตัวเองให้มีตัวตนในสายตาคนอื่นบ้าง”


อัญชลิสาส่ายศีรษะพร้อมกับยกมือขึ้นประคองสองแก้มของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม “แต่ถ้าคุณยังไม่เป็นตัวของตัวเอง คุณก็จะไม่มีวันมีตัวตนในสายตาคนอื่นนะคะ”


“ม...ไม่ ผมไม่อยากถูกเปรียบเทียบ ผมไม่อยากเหมือนมัน ไม่อยาก ไม่อยากเหมือนมัน ม...ไม่ ไม่นะ” อัศนัยกล่าวพลางถอยห่างจากสัมผัสอบอุ่น ปากก็ยังคงพูดพร่ำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ร่างสูงเดินโซเซกลับเข้าไปในบ้านก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องหนึ่งโดยทิ้งให้อัญชลิสายืนมองอย่างเป็นห่วง
 

ชายหนุ่มเดินโงนเงนมายืนที่หน้ากระจก จ้องเขม็งไปยังใบหน้าที่ขณะนี้ถูกประดับด้วยแววตาแห่งความเป็นกังวล ความกลัวและอีกสารพัดความรู้สึกที่บ่งบอกว่าขณะนี้จิดใจกำลังอ่อนแอเต็มที มือฉวยมีดโกนหนวดแบบพับแตะลงที่สันกรามพลันแววตานั้นก็กลับวาวโรจน์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเหลือแสน ปากหยักเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน หมายจะกรีดคมมีดลงกับข้างแก้มแต่ก็ถูกคนที่เดินตามมาคว้าข้อมือเอาไว้


“ค...คุณอัศนัย! อย่าค่ะ!” อัญชลิสาร้องขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะคว้ามีดโกนหนวดจากมือโยนไปอีกทางหนึ่ง


“ห้ามผมทำไม ผมไม่อยากเหมือนมัน ไม่อยากเหมือน ไม่อยากเหมือนมัน” ประโยคเดิม ๆ ยังคงพรั่งพรูแข่งกับน้ำใส ๆ ที่ไหลทะลักออกจากสองตา


มือเล็กประคองหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้กรังไปด้วยคราบน้ำตาอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นแก้วบาง “ทำไมทำแบบนี้คะ”


“ผมไม่อยากเหมือนมัน ไม่อยากเหมือน” อัศนัยกล่าวพลางจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่นในขณะที่คนฟังเองก็แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน หน้าสวยส่ายน้อย ๆ ก่อนจะรั้งแขนคนตัวใหญ่ไปนั่งลงที่เตียง จัดการลูบหน้าลูบตาปลอบประโลมหวังจะให้อีกฝ่ายได้คลายความทุกข์


“ทำไมคุณถึงดีกับผม ยอมตามใจผม ท...ทั้งที่ผมทำไม่ดีกับคุณเอาไว้” ถามพร้อมกับจับข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้ห่างไปไหน ประโยคนั้นนั้นทำเอาสองคนต้องหยุดสบตากัน ร่างเล็กค่อย ๆ ดึงมือที่ตรึงอยู่กับข้อออกเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถาม


จะให้ตอบว่าอย่างไรดี?


อัญชลิสาทอดถอนใจเบา ๆ ปากบางปิดสนิทไม่เอื้อนเอ่ยความในใจแต่กลับรั้งให้อีกคนนอนลงบนตัก แทรกนิ้วเรียวลงในกลุ่มผมสีดำสนิทกระทั่งเปลือกตาของชายหนุ่มค่อย ๆ ปิดลง ตาคู่งามไล่มองตั้งแต่หน้าผาก แผงคิ้ว สันจมูก จรดริมฝีปาก ในช่วงเวลาหนึ่งทุกสิ่งที่เคยประกอบการเป็นผู้ชายคนนี้เคยทำให้ตนเองรู้สึกเกลียดชัง แต่ใน ณ เวลานี้ความรู้สึกนั้นกลับจางหายไป หากจะตอบคำถามเมื่อครู่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเรียกว่ารักหรือสงสารกันแน่ ถ้าตอบว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะรัก มันจะเป็นการทำผิดต่ออีกคนหรือไม่


“ที่ผ่านจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะค่ะ ขอแค่ตอนนี้คุณอย่าทำให้อันต้องร้องไห้อีกก็พอ”
 

ช่วงเวลาแห่งการปลอบโยนได้ได้ผ่านไปแล้ว...


ในความมืดมิดมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองรถสปอร์ตคันหรูของนางเอกละครสาวสวยที่เพิ่งแล่นพ้นรั้วบ้านไป ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรที่ลมหายใจหนักถูกพ่นจากปลายจมูกแต่นั่นก็ไม่อาจทำให้ลืมกลิ่นหอมจากตัวของคนที่เพิ่งจากไปได้ เจ้าของร่างหันกลับก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง ขายาวก้าวไปตามพื้นไม้ขัดมันก่อนจะมาหยุดที่หน้าห้องทางปีกซ้ายของบ้าน นิ่งอยู่เพียงไม่ถึงอึดใจก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง แสงจันทร์ที่รอดผ่านผ้าม่านทำให้พอจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในได้ไม่ยาก


อัศนัยทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงมองดูผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา เอื้อมมือจับที่ปลายเท้าของคนหลับสนิทก่อนจะบีบเบา ๆ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งจ้องมือตัวเองที่ประสานกันอยู่ข้างหน้า ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากหากจะมีก็แค่เพียงน้ำตาของลูกผู้ชายที่กำลังไหลรินเท่านั้น
 

...
 

การสอบสวนระลอกที่สองเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ของวันใหม่ หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาผู้ต้องหายังปิดปากเงียบ ร.ต.อ.เก่งกาจเปิดประตูเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หนึ่งดวงให้แสงสว่าง แม้พื้นที่ภายในจะมีไม่มากแต่ผนังทุกด้านที่ฉาบทับด้วยสีขาวโพลนกลับทำให้ร่างใหญ่โตที่นั่งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของห้องดูเล็กไปถนัดตา 


นายตำรวจหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนจะนั่งลง เริ่มเคาะโต๊ะเป็นจังหวะห่าง ๆ จ้องหน้าอิดโรยที่เอาแต่นั่งนิ่งหลบสายตา กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก็หยุดเมื่อตำรวจนอกเครื่องแบบถือแฟ้มเอกสารมาวางให้บนโต๊ะ ผู้มียศสูงกว่ากล่าวขอบคุณก่อนจะเปิดดูกระดาษ 2-3 แผ่นที่อยู่ด้านใน กวาดตาอ่านข้อความในเอกสารทีละหน้าพร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเป็นระยะ กระทั่งถึงหน้าสุดท้ายจึงเอ่ยขึ้น


“ไม่คิดว่าคนตัวใหญ่อย่างคุณจะใช้ทอรัส” ยกมือขึ้นถูปลายคางมองคนตัวโตที่ยังคงอยู่ในอาการสงบ “ปืนนั่นของคุณรึคุณวีรพล”
เจ้าของชื่อยังคงนั่งนิ่งมองสายโซ่กุญแจมือที่เชื่อมข้อมือทั้งสองเข้าด้วยกัน กำลังจะอ้าปากตอบ แต่นายตำรวจหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน


“อ้อ...แต่ก่อนที่คุณจะพูดอะไรออกมาผมอยากจะให้คุณคิดให้มาก ๆ เพราะถ้าหากมันไม่ตรงกับความเป็นจริงละก็ คุณจะโดนข้อหาให้การเท็จอีกกระทง”


ชายร่างใหญ่ไล่สายตาขึ้นลอบมองป้ายชื่อบนหน้าอกเจ้าพนักงานพลางถอนหายใจเฮือกก่อนจะอ้อมแอ้มตอบคำถามก่อนหน้า “ม...มันไม่ใช่ของผม”


ได้ยินดังนั้นคนฟังก็พยักหน้าพอใจในคำตอบ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าผู้ชายตัวหนามือไม้ใหญ่ไม่น่าจะใช้ปืนลูกโม่ขนาดเล็กเช่นนี้ เพราะแค่ถือเฉย ๆ ก็ไม่น่าจะถนัดแล้ว 


“ถ้าอย่างนั้นมันเป็นของใคร แล้วมาอยู่ที่คุณได้ยังไง”


หน้าโทรมเพราะอดนอนเงยขึ้นสบตาแต่แล้วก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น “ผมก็แค่จะขู่”


เก่งกาจส่ายหน้าพลางวางเอกสารลงบนโต๊ะและเริ่มถามอีกครั้ง “คุณกำลังตอบไม่ตรงคำถาม ผมถามว่าคุณไปเอาปืนกระบอกนั้นมาจากไหน”


คำตอบที่ได้รับยังคงเป็นความเงียบงัน เจ้าของแววตาเรียบเฉยยังคงนั่งนิ่ง แม้จะถูกถามอีกเป็นครั้งที่สามก็ยังไร้ซึ่งคำตอบ


“เอาละ คุณไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เอาไว้ผมจะให้คนตรวจสอบทะเบียนปืนแล้วก็จะคุยกับเจ้าของเองก็แล้วกัน”


เมื่อได้ฟังดังนั้นริมฝีปากหนาที่แห้งผากเพราะอุณหภูมิเย็นเฉียบภายในห้องก็เม้มเข้าหากัน ยอมรับโดยดีว่าถึงคนพูดจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับมีพลังมากพอจะง้างกลีบปากที่ปิดสนิทของตนเองให้เปิดขึ้นได้นับตั้งแต่วินาทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง แผ่นหลังกว้างเอนพิงแนบไปกับพนักพักสายตาลงชั่วขณะ เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวรอบตงเสียงความเคลื่อนไหวรอบตัวจากนั้นจึงปรือตาขึ้นกล่าว “รู้จักหรือไม่รู้จักมันจะสำคัญอะไรกันครับคุณตำรวจ ในเมื่อตอนนี้ปืนกระบอกนั้นมันอยู่ในมือของผม


“คุณทำแบบนี้ทำไม” อีกคนมุ่นคิ้ว


“ผมบอกแล้วว่าผมก็แค่อยากจะทำให้เธอเลิกยุ่งกับคุณอัศนัย”


“โดยการใช้ปืนขู่ ชนแล้วหนี นี่ยังไม่รวมเรื่องที่คุณสะกดรอยตามสองคนนั่นอีกนะ”


ผู้ต้องหาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าตำรวจทราบเรื่องราวทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง กระนั้นร่างใหญ่ก็ยังคงนั่งนิ่งหรุบตาลงจ้องมองสองมือที่เกี่ยวรัดกันแน่น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ร่างกายสั่นสะท้านแต่ฝ่ามือที่ประสานกันกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ


“มีเหตุผลอะไรที่คุณต้องทำแบบนั้น”


ริมฝีปากหนาที่เม้มแน่นคลายออกพร้อมกับพยายามกลืนน้ำลายเหนียวที่กำลังจุกอยู่ที่คอก่อนจะตอบคำถาม “เธอไม่ควรเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้น ไม่ควรเลยจริง ๆ ไม่ควร...” หน้าขรึมส่ายเบา ๆ ในขณะที่ปากก็ยังพร่ำบอก ‘ไม่ควร’ อยู่อย่างนั้น


“หมายความว่ายังไง” เก่งกาจยืดตัวขึ้นประสานมือวางตรงหน้า ดวงตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่ปากก็ถามต่ออย่างใจเย็น “คุณรู้อะไร”


หูกลับได้ยินเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศ เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ นายตำรวจหนุ่มจึงทวนคำถามนั่นซ้ำอีกครั้ง  แต่คำตอบที่ได้รับก็ยังคงเป็นความเงียบ เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเก่งกาจจึงตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมกับพูดทิ้งท้าย “คุณยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ คิด เรายังมีเวลาคุยกันอีกนาน ถ้าคุณไม่เบื่อห้องขังแคบ ๆ แบบเมื่อคืนเสียก่อน” พูดจบก็เตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่เสียงแหบแห้งของคนที่กำลังใกล้จนมุมก็ฉุดให้นั่งลงอีกครั้ง


“เขาไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด”


 
(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2015 17:20:55 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
คันธชาตินั่งหมุนโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะพลางทอดถอนใจ รอมาเกือบทั้งวันแล้วก็ยังได้รับข่าวคราวใด ๆ จากเก่งกาจ ภายในใจร้อนรุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา แม้จะรู้ว่าชายผู้นั้นไม่ใช่มือปืนอาชีพและสิ่งที่ทำก็เพื่อต้องการขู่แต่ยังอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาตัดสินใจเหนี่ยวไกลแล้วคนที่รับลูกกระสุนแทนเป็นอีกคน เช้านี้ของตนเองจะเป็นอย่างไร หน้าหล่อสะบัดรัวกาอนจะลุกขึ้นคว้าโทรศัพท์ตรงไปเปิดประตูห้องพลันสายตาก็สบเข้ากับคนที่เพิ่งกลับมาจากทำงานพอดี


“ทำไมวันนี้กลับมาเร็ว”


“ผมมีบรรยายพิเศษนอกมหาวิทยาลัยน่ะ แล้วนี่คุณจะไปไหน”


“เดินเล่น”


“เดินเล่นทั้งที่ข้างนอกฝนปรอย ๆ นะเหรอ” ร่างสูงในชุดทำงานชื้นน้ำฝนกล่าวอย่างรู้ทัน


“ก...ก็ เดี๋ยวกลับเข้าไปเอาร่มก็ได้” พูดจบก็เตรียมจะหันกลับเข้าไปหยิบร่มในห้องแต่ก็ถูกขัดขึ้นจนได้


“จะไปหาผู้กองใช่ไหม ก็ผู้กองบอกแล้วไงว่าให้รอฟังข่าวอยู่ที่นี่”


เสียงเรียบทำเอาหัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันทันที “ใครว่าผมจะไปหาไอ้กาจ” คันธชาติหันมาทำหน้ายุ่งแต่พอเห็นยิ้มบาง ๆ ของอีกฝ่ายก็จนต้องเบนสายตาไปทางอื่น


“โกหกจมูกจะยาวขึ้นนะ” เจ้าของรอยยิ้มกล่าวพลางใช้นิ้วขยี้เบา ๆ ที่ปลายจมูกโด่งรั้น แต่ก็ทำอยู่ได้ไม่นานก็ถูกอีกฝ่ายปัดมือออกอย่างรำคาญ


“ผมไม่ใช่เด็กนะ” คนอายุน้อยกว่าทำตาขุ่น แต่นั่นก็ยังเรียกรอยยิ้มจากคนมองได้อยู่ดี


“ทำตัวเป็นเด็กสักพักก็ได้นี่ เลิกทำคิ้วขมวดแล้วไปทานขนมดีกว่า อารตีฝากขนมมาให้”


คนฟังยังคงยืนนิ่งจนธันวาส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเอื้อมมือรั้งแขนขาวให้เดินตามกันไป


“จับทำไม เดินเองได้” พูดไปก็แกะมืออีกฝ่ายไป


“ก็เชิญด้วยวาจาแล้วไม่ยอมมานี่” ร่างสูงกล่าวอย่างไม่สนใจก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง


“ปล่อย ไม่ไป”


ธันวามองคนเอาแต่ใจที่กำลังเกาะวงกบประตูเป็นลูกลิงเกาะแม่พลางหัวเราะ “อยู่คนเดียวเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน ไปทานขนมดีกว่า” พูดจบก็แกะมืออีกฝ่ายให้หลุดก่อนจะลากตัวเข้าไปในห้อง มือหนาคลายออกเมื่อพาชายหนุ่มห้องตรงข้ามมานั่งลงที่โซฟา  “เลิกทำหน้ายุ่งได้แล้ว อ่ะนี่ขนม” พูดจบก็วางถุงขนมลงตรงหน้าก่อนจะขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


ตาคมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ผลุบหายเข้าไปในห้องนอนก่อนจะรื้อ ๆ ค้น ๆ ขนมในถุง สุดท้ายก็เลือกที่จะเอนหลังลงบนโซฟาคว้าหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก เห็นเจ้าของห้องในชุดลำลองเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงาน จัดการเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จากนั้นเสียงรัวแป้นพิมพ์ก็ตามมา
 

คันธชาติลดหนังสือในมือลงเบนตาขึ้นลอบมองคนที่กำลังนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นมาร่วมชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหนจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไม่เมื่อยบ้างหรืออย่างไร ห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงปลายนิ้วสัมผัสแป้นพิมพ์กับเสียงถอนหายใจเป็นพัก ๆ หัวคิ้วหนาขมวดมุ่นเมื่อคิดว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสายหรือพูดอะไรบ้างที่พอจะทำให้เขาไม่รู้สึกเหมือนถูกกักตัวอยู่ในห้องเพียงคนเดียวเช่นนี้


คิดได้ดังนั้นก็เผลอทำจมูกย่น แต่แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกวูบวาบที่สองแก้มทำให้ต้องรีบยกหนังสือขึ้นอ่านต่อ ดูท่าว่าอยู่กันสองคนยิ่งจะทำให้ฟุ้งซ่านหนักกว่าอยู่คนเดียวเสียอีก  กระทั่งเวลาผ่านไปธันวาก็ละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมองชายหนุ่มที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ไม่นานเจ้าของผิวขาวละเอียดก็ดีดตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ขยี้หัวจนยุ่งพร้อมกับอ้าปากหาวหวอด ๆ ส่งเสียงดังราวกับทั้งห้องในห้องมีตนเองอยู่เพียงคนเดียว


ธันวาเผลอยกมือขึ้นลูบต้นคอ เมื่อจู่ ๆ คำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว คิดไม่ออกเลยว่าเริ่มใช้คำ ๆ นี้มาอธิบายลักษณะของคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร ความคิดหยุดลงอยู่เพียงเท่านั้นเมื่อตัวต้นเหตุของอาการใจลอยวางหนังสือลงก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง ร่างสูงเดินวนไปวนมาตามแนวยาวของพื้นที่แคบ ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้ โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าขมุกขมัวหลังฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้ไม่นาน อากาศหนาวเย็นยามโพล้เพล้ทำให้ต้องยกมือขึ้นลูบแขนเป็นระยะ หลังจากรับสายได้ไม่นานสีหน้าที่เคยสดใสก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจนคนมองพอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องที่กำลังสนทนากับอีกคนที่ปลายสายนั้นจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ


ด้านคันธชาตินั้นหลังจากรับสายของเก่งกาจริมฝีปากบางเม้มจนแน่นในขณะที่หูยังคงแนบกับโทรศัพท์ตั้งใจฟังเสียงที่กำลังสาธยายในเรื่องที่รอฟังข่าวมาเกือบทั้งวัน มือเท้าลงกับแผงกั้นระเบียงที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดวงตาคมฉายแววครุ่นคิดทอดมองไปยังทิวทัศน์สีทึมที่อยู่เบื้องหน้า รอกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบจึงได้ถามขึ้น


“แล้วได้ความว่ายังไงบ้าง” เงี่ยหูฟังได้ยินเสียถอนใจหนัก ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าคงจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นแน่


“เขาบอกแค่ว่าที่ทำไปก็เพราะอยากจะขู่ให้แกเลิกยุ่งกับอัศนัย ปืนนั่นก็ไม่ใช่ของเขา ตอนแรกก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นของใคร ได้มายังไง ฉันก็เลยให้ลูกน้องตรวจสอบประวัติกับทะเบียนปืนอย่างละเอียดก็เลยรู้ว่านายวีรพลคนนี้เป็นลูกชายของนายวีรพันธุ์ คนขับรถของบ้านนาฏยกาล ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้จัดการโรงละครดรามาติก ทเวลฟ์ แต่พอโรงละครปิดไปก็ทำตัวเป็นพ่อสายบัวลอยไปลอยมา ส่วนปืนนั่นก็...เป็นของอัญชลิสา”


“อัญชลิสา?” ทวนคำด้วยความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง


“ใช่ แล้วรถที่ใช้ขับชนแกก็เป็นรถคันเก่าที่เสี่ยอนันต์มอบให้นายวีรพันธุ์ไว้สำหรับใช้ส่วนตัว”


“นี่มันอะไรกันวะ ฉันงงไปหมดแล้ว”


“วีรพลสารภาพว่าอัญชลิสาสั่งให้เขาสะกดรอยตามอัศนัย”


“แล้วก็จ้างคนมาขู่ฆ่าฉันเพราะหึงหวงอัศนัยอย่างนั้นเหรอ” ปากพูดไปทั้งที่ในใจยังค้าน


“ไม่ใช่ว่ะ เรื่องขู่ให้แกออกห่างจากผู้ชายคนนั้นเขาคิดวางแผนทำเพียงคนเดียว”


คันธชาติมุ่นคิ่ว ในหัวตื้อไปหมด คิดไม่ออกจริง ๆ เลยว่าวีรพลจะทำเช่นนั้นไปทำไมกัน


...


อัญชลิสาคุกเข่าลงข้างเตียงก่อนจะแตะมือลงบนท่อนขาของคนที่กำลังนอนจ้องเขม็งมายังตนเอง แต่หน้าสวยก็ทำเป็นไม่สนใจค่อย ๆ จับขาพับงอเข่าตามที่นักกายภาพบำบัดประจำตัวของเสี่ยอนันต์แนะนำ หากมีเวลาเธอก็มักจะมาที่บ้านนาฏยะเพื่อทำเช่นนี้อยู่เสมอทั้งที่รู้ว่าหากเจ้าของบ้านยังมีร่างกายที่ปกติคงจะไล่ตะเพิดตนเองในฐานะแขกที่ไม่ได้รับเชิญเป็นแน่ เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงขลุกอยู่ที่นี่หากไม่ช่วยลุงพันป้อนข้าวคุณท่านก็ช่วยทำกายภาพบำบัดแทนนักกายภาพบำบัดที่จะมาเพียงวันเว้นวัน เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ที่เสี่ยอนันต์ล้มป่วย


“พลไม่อยู่เหรอคะลุง” สาวสวยกล่าวกับชายวัยกลางคนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ


“เมื่อคืนมันไม่ได้กลับมานอนที่บ้านครับ ไม่รู้ว่าไปไหน โทรไปก็ปิดเครื่อง” วีรพันธุ์ตอบอย่างไม่ได้ร้อนใจเพราะนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติสำหรับลูกชายของตนเอง


เจ้าของคำถามพยักหน้าก่อนจะย้ายไปนั่งลงอีกฝั่งของเตียงและเริ่มต้นทำเช่นเดียวกัน


“อันที่จริงคุณอันไม่ต้องมาบ่อย ๆ ก็ได้นะครับ เรื่องทำกายภาพกับป้อนข้าวป้อนน้ำนี่ผมกับแม่บ้านช่วยกันทำให้คุณท่านก็ได้”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุง อันเต็มใจ ถือว่าทำหน้าที่แทนคุณเล็กเธอด้วย”


คนขับรถพยักหน้ารับก่อนจะยืนสงบประสานมือกันอย่างนอบน้อมมองท่าทีของอีกฝ่ายราวกับจะเก็บรายละเอียด และเมื่อทำการบริหารร่างกายเรียบร้อยแล้วเธอก็ทิ้งช่วงเว้นระยะไปพักใหญ่ จากนั้นก็ช่วยกันประคองคนป่วยให้ลุกนั่งเพื่อป้อนยาก่อนอาหาร อนันต์มองตามหน้าสวยพร้อมกับพยายามยกมือขึ้นหยิบแก้วด้วยตนเอง แต่มือที่กระตุกเกร็งกลับปัดแก้วน้ำในมือของอีกฝ่ายจนตกลงพื้นแตกกระจายทำเอาอัญชลิสาหน้าเสีย


“ด...เดี๋ยวผมไปหยิบแก้วใบใหม่ให้นะครับ” วีรพันธุ์กล่าวก่อนจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้องทิ้งให้สองคนอยู่กันตามลำพัง
สาวสวยทอดสายตามองคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วให้รู้สึกปวดร้าว เวลาที่ผ่านเลยไม่ได้ช่วยทำให้ความโกรธเกลียดภายในใจของชายผู้นี้ลดลงเลยแม้แต่น้อย คิดได้ดังนั้นร่างบางเตรียมจะลุกขึ้นแต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะฝ่ามือสั่นเทาที่แตะลงใต้บ่า หน้าหวานหันกลับไปสบตาที่บัดนี้คลายความแข็งกร้าวลงไปมาก ใบหน้ายึดเกร็ง ริมฝีปากสั่นไหวราวกับพยายามจะเปล่งเสียง ในที่สุดเธอก็ได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการบอก


"ข...ขอ...ขอ...โท...ษ ฉ...ฉันขอโทษ" เสียงแหบพร่าขาดหายเป็นห้วง ๆ จนแทบฟังไม่เป็นภาษา แต่กระนั้นก็ทำให้อัญชลิสานิ่งงัน ไม่คิดไม่ฝันว่าได้ฟังคำขอโทษจากปากของผู้ที่ทำให้ตนเองต้องเจ็บปวดพลันเรื่องราวในอดีตที่ยากจะลืมเลือนก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเชนขึ้นในห้วงความคิด...


เมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำขลับเลี้ยวจากถนนละครก่อนจะเข้าไปยังซอยสิบสองมุ่มหน้าสู่โรงละครขนาดเล็กที่เพิ่งจะก่อตั้งและมีชื่อเสียงเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทันทีที่รถจอดสนิทที่หน้าโรงละคร ชายในชุดซาฟารีลงจากรถจากนั้นก็เดินอ้อมไปเปิดประตูด้านหลัง รอกระทั่งผู้เป็นนายก้าวลงจากรถจึงปิดประตูเดินตามกันเข้าไปด้านใน


อนันต์ นาฏยะ สาวเท้าไปหยุดยังเคาเตอร์ต้อนรับที่ขณะนี้เงียบเชียบเพราะละครเรื่องสำคัญเพิ่งปิดฉากลงไปเมื่อคืนวันก่อน ดวงตาดุดันกวาดมองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดที่โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ละครเรื่องล่าสุด แต่แล้วชายวัยกลางคนก็ต้องละสายตาเมื่อได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาจากด้านหนึ่ง


ขายาวที่มีไม้เท้าช่วยค้ำยันเดินไปตามทางแคบจนมาหยุดที่หน้าห้องซึ่งมีป้ายติดว่า 'ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า' เมื่อได้รับคำสั่งมือหนาจึงผลักบานประตูกระจกเข้าไปแต่เสียงวี้ดว้ายแสบแก้วหูก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ในห้องเต็มไปด้วยนักแสดงหนุ่มสาวรวมถึงสาวประเภทสองที่กำลังดื่มกินและเต้นรำตามจังหวะเพลงกันอย่างสนุกสนาน  กลิ่นแอลกอฮอล์ผสมควันบุหรี่ส่งกลิ่นคละคลุ้งจนแสบจมูกทำเอาผู้มาใหม่ถึงกับหน้าเบ้


และเมื่อไม้เท้าซึ่งทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดีถูกกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นตาทุกดวงต่างก็จดจ้องมายังร่างที่กำลังยืนทำหน้าถมึงทึง วินาทีนั้นเองรอยยิ้มบนใบหน้าของแต่ละคนก็เหือดหายไปในพริบตาราวกับหยดน้ำที่โดนแผดเผาด้วยแสงแดดร้อนระอุ ความเงียบเข้าครอบคลุมทุกอณูของพื้นที่ ร่างสูงของชายวัยกลางคนเริ่มเดินไปรอบ ๆ ทุกครั้งที่ปลายไม้เท้ากระทบกับพื้นปาร์เก้ขัดมัน ต่างคนก็ต่างสะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋


"ไปตามเจ้าเล็กมา" เสียงห้าวสะท้อนผนังห้องโถงทรงกระบอกกังวานก้องน่าเกรงขาม ดวงตาแข็งกร้าวมองสำรวจไปรอบ ๆ ระหว่างรอ


"ค...คุณเล็ก เอ่อ...คุณเล็กกำลัง..." หนุ่มน้อยร่างอ้อนแอ้นที่เป็นคนเดินไปปิดเครื่องเล่นซีดีเอ่ยขึ้น


"ฉันไม่ได้ถาม!" อนันต์หันไปตวาดก่อนจะก้มลงมองสาวงามนางหนึ่งที่อยู่ในสภาพเมามายจนดูไม่ได้ ร่างเพรียวบางนอนเลื้อยอยู่กับพื้นห้อง มือหนึ่งกำกระป๋องเบียร์แน่นในขณะที่อีกมือวาดไปในอากาศเหมือนไขว่คว้าหาบางสิ่ง  เสื้อคอกว้างหลุดลุ่ยจนเห็นเนินอกที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติเกินผู้หญิงธรรมดาทั่วไป หน้าแดงก่ำเงยขึ้นก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ขาคนยืนเพื่อรั้งตัวเองขึ้นนั่ง


"อย่า...อารมณ์เสียสิคะเสี่ย ม่าย...ดี ม่าย...ดี..." เสียงแหบห้าวแบบผู้ชายพูดได้แค่นั้นก็ถูกฟาดด้วยไม้เท้าจนหน้าหงาย เสียงกรีดร้องดังสนั่นจนแยกไม่ออกว่าไหนคือเสียงคนเจ็บ ต่างคนต่างอยู่ในอารามตกใจ แม้จะรู้ดีว่าเสี่ยอนันต์เกลียดชังเพศที่สามจนเข้าไส้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดลงไม้ลงมือเช่นครั้งนี้ บางคนที่พอจะมีสติเข้าไปช่วยประคองเจ้าของใบหน้าอาบเลือดแดงฉานก่อนจะพาหลบไปอีกทางหนึ่ง


"ฉันไม่อยากจะเสวนากับพวกแก ไปตามเจ้าเล็กมา" อนันต์สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดก่อนจะฉันกลับไปมองชายหนุ่มที่พรวดพราดเปิดประตูเข้ามา ร่างสูงใหญ่หยุดหอบตัวโยนอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ยกมือไหว้นายใหญ่แห่งนาฏยกาล


"ไอ้พล เจ้าเล็กอยู่ไหน แกพาฉันไปพบมันเดี๋ยวนี้"


เจ้าของชื่อลอบสบตาผู้เป็นพ่อที่ยังคงยืนประสานมือนิ่งยืนดูเหตุการณ์ก่อนจะตอบ "เอ่อ...คือ...คุณเล็กกำลังพักผ่อนครับ ด...เดี๋ยวผมไปตามให้มาพบคุณท่านดีกว่าครับ เชิญคุณท่านไปนั่งรอในห้องรับ...รอง..."


"ฉันบอกให้พาฉันไป" ริมฝีปากหยักพูดเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม


"ต...แต่ว่า..."


อนันต์จ้องใบหน้าซีดเซียวของผู้จัดการโรงละครและเพื่อนเล่นสมัยเด็กของลูกชายตาเขม็ง ซึ่งนั่นก็ทำให้วีรพลจำต้องหุบปาก รู้ดีว่าไม่ควรพูซ้ำเป็นครั้งที่สอง ได้แต่เพียงรับคำสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำออกจากห้อง มุ่งหน้าสู่ห้องพักที่อยู่ชั้นสอง


"เปิดประตูสิ" ผู้เป็นนายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกชายคนขับรถยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าประตูแทนที่จะเปิดเข้าไปข้างใน
มือสั่นเทาเอื้อมลูกบิดประตูแต่ก็ชะงักรอบแล้วรอบเล่า


"ค...คุณท่านไปรอข้างล่างดีกว่าไหมครับ"


"ฉันบอกให้เปิดไง หรือว่าแกกับเจ้านายรวมหัวกันปิดบังอะไรไว้"


"ปละ...เปล่าครับ" วีรพลกลั้นใจบิดลูกบิดเมื่อพบว่าห้องถูกล็อกจากด้านใน ชายหนุ่มจึงลอบถอนใจอย่างโล่งอก "สงสัยคุณเล็กคงจะกลับไปที่บ้านใหญ่แล้วละครับ"


"จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อรถมันยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถ"


"หรืออาจจะนั่งแท็กซี่กลับ...ไป..." คนพูดอ้าปากค้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์แนบหู ครู่หนึ่งเสียงเพลงก็ดังขึ้นที่หลังประตู นั่นทำให้อนันต์ยิ่งมั่นใจว่าลูกชายของเขาต้องอยู่ข้างใน รอกระทั่งสายตัดเจ้าของโทรศัพท์ก็ยังไม่รับสาย หน้าเหี้ยมเกรียมจึงหันมาออกคำสั่งกับผู้จัดการโรงละคร


"แกไปเอากุญแจสำรองมา"


"เอ่อ..."


"บอกให้ไปเอามาไง หรือจะให้ฉันพังเข้าไป"


"อะ...เอ้อ ครับ ๆๆๆ ครับคุณท่าน" พูดจบก็ปลดพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับเข็มขัดอย่างรนราน เมื่อได้ลูกกุญแจที่ต้องการก็เสียบผิด ๆ ถูก ๆ เพราะความคุมมือไม้ไม่ให้สั่นไม่ได้


ทันทีที่ประตูเปิดออกเสี่ยอนันต์ก็ย่างสามขุมเข้าไปในห้องที่อัศนัยใช้เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพัก มือหนายังคงถือโทรศัพท์เงี่ยหูฟังเสียงเรียกเข้าจนในที่สุดก็พบโทรศัพท์ของลูกชายวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ข้าง ๆ กันมีถังใส่ไวน์และแก้วก้านยาวสองใบที่มีของเหลวสีแดงคล้ำติดอยู่ก้นแก้ว


"เจ้าเล็กอยู่ในห้องนอนใช่ไหม" พูดจบก็เบนสายตาไปยังประตูบานหนึ่งที่ปิดสนิท ขายาวก้าวเข้าไปประชิดก่อนจะเอื้อมมือเปิดโดยไม่ฟังคำทักท้วงใด ๆ ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่เห็นก็ทำให้คนเป็นพ่อแทบยืนไม่ไหว ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองสองร่างเปลือยที่กำลังนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียง


"ไอ้เล็ก!" อนันต์ตวาดแหวพร้อมกระทุ้งปลายไม้เท้าลงพื้นจนสองคนสะดุ้งตื่น


ชายหนุ่มรูปร่างอรชรผวาโผเข้าหาคนรักที่กำลังสลึมสลือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์โดยอัตโนมัติ ร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยความกลัวเมื่อสบตาผู้อาวุโสที่จ้องมายังตนเองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


"ค...คุณพ่อ"


"แกยังจำฉันได้อยู่อีกเหรอ" ผู้เป็นพ่อกัดฟันกรอด "นี่ใช่ไหมเป็นสาเหตุให้แกไม่กลับบ้านกลับช่องและหลบเลี่ยงการดูตัวลูกสาวเพื่อนฉัน"


"ผ...ผม..." อัศนัยกล่าวปากคอสั่นแต่ก็ยังกอดคนข้าง ๆ ไม่ยอมปล่อย


"ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วตามฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้"


"ต...แต่คุณพ่อครับ"


"แกคิดจะขัดคำสั่งฉันเหมือนพี่ชายของแกหรือไง พวกแกต้องการให้ฉันอกแตกตายไปต่อหน้าใช่ไหม" เมื่อบุพการีกล่าวเช่นนี้คนเป็นลูกก็ยากจะขัดได้ อัศนัยก้มลงสบตาคนในอ้อมแขนก่อนจะจำใจลุกจากมา โดยไม่สนใจสายตาวิงวอนของคนข้างกาย ร่างร่อนจ้อนรีบคว้าเสื้อผ้าก่อนผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำครู่หนึ่งก็กลับออกมายืนต่อหน้าผู้เป็นพ่ออีกครั้ง เสี่ยอนันต์เห็นหน้าหล่อเหลาก้มงุดหลบสายตาอย่างลูกที่ไม่เคยคิดจะแข็งข้อจึงสาวเท้าเข้าไปยืนประจันหน้า จับคางลูกชายก่อนจะกล่าว


"ถ้าคนอื่นเขารู้เข้า แกจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"


“แต่ผมรักอาร์ม”


“รักเหรอ แกพูดมาได้ยังไงว่าแกรักมัน แกรู้ไหมว่าความรักของพวกแกมันน่าขยะแขยง ไม่มีใครที่ไหนเขายอมรับหรอก แกต้องตามฉันกลับบ้านแล้วไปกินข้าวกับลูกสาวคุณวันชัย เราจะคุยเรื่องแต่งงานกันเย็นนี้”


“แต่ผมไม่ได้อยากแต่ง”


“แกกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ”


“พ่อบังคับผม บังคับพี่ใหญ่มามากพอแล้ว ขอให้ผมได้เลือกทางเดินของผมเองบ้างเถอะครับ”


“ไอ้เล็ก!” พูดจบก็ง้างมือฟาดลงบนแก้มสากเต็มแรงจนอัศนัยหน้าหัน


"คณพ่อ" คำเรียกนั้นบางเบาไม่ต่างอะไรกับอากาศ กว่าจะรู้ว่าขาดไม่ได้ก็ตอนที่ไม่มีเสียแล้ว


"คุณท่านอย่าตำหนิคุณเล็กเลยนะครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง" อาร์มพูดด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ อยากจะลุกไปปกป้องคนที่รัก แต่สภาพไม่ชวนมองเช่นนี้จะทำอะไรได้นอกจากต้องนั่งอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่มอย่างจำใจ


"แกหุบปากไปเลย" ตวาดพลางลากสายตากลับมายังลูกชายตนเอง "ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้รับไอ้พวกผิดปกติแบบนี้เข้าทำงาน"


"ผ...ผมไม่ได้ผิดปกตินะครับ ผมก็เป็นคนเหมือน ๆ กับคุณท่าน มีเลือดมีเนื้อ มีหัวใจมีความรักเหมือน ๆ กัน" อาร์มคิดว่าหากพูดกันด้วยเหตุผลอีกฝ่ายจะรับฟัง แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่ามันเป็นความคิดที่ผิด 


"ฉันขอสั่งให้แกเลิกยุ่งกับลูกชายของฉันนับตั้งแต่วันนี้"


“ม...ไม่ ผมกับคุณเล็กเรารักกัน”


อนันต์หัวเราะหึ มองอีกฝ่ายอย่างเกรี้ยวกราด รอยซ้ำแดงบนผิวหนังนั่นมันช่างน่ารังเกียจเสียเหลือเกิน ชายวัยกลางคนถอนหายใจหนักก่อนหันไปบอกให้วีรพันธุ์โทรศัพท์เรียกผู้ติดตามเข้ามาพบ ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มร่างกายกำยำสองคนก็เดินเข้ามาในห้อง ยืนสงบนิ่งรอฟังคำสั่งจากเจ้านาย


“แกสองคนจับตัวมันไว้” เสียงประกาศิตทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง อาร์มลอบสบตาคนรัก แต่ในช่วงเวลานี้อัศนัยเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ช้าคนแปลกหน้าก็เข้าประชิดตัว พยายามจะถอยหนีแต่แล้วร่างเปลือยถูกจับให้นอนคว่ำ แขนขาถูกตรึงด้วยมือหยาบ หูได้ยินเสียงนายใหญ่แห่งนาฏยกาลเดินเคาะไม้เท้าไปรอบ ๆ เตียงพร้อมกับคำรามในลำคอ ในความคิดของคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้จะเอาตัวรอดได้อย่างไรเช่นนี้นับว่าเป็นเสียงที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา


“ไอ้พล แกเอาบุหรี่มา”


วีรพลมองผู้เป็นนายอย่างแปลกใจในขณะที่มือก็ล้วงหยิบบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงยื่นให้ แต่แทนที่คนขอจะรับกลับออกคำสั่งให้จุดไฟเสียอย่างนั้น


“อะ...อะไรนะครับคุณท่าน”


“ฉันบอกให้จุดไฟแล้วสูบบุหรี่ แกเครียดไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นเวลาที่แกเครียดแกต้องหลบไปสูบบุหรี่ทุกที”


อนันต์จ้องมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังงก ๆ เงิ่น ๆ จุดไฟที่ปลายมวนบุหรี่ก่อนจะอัดควันเข้าเต็มปอด ครู่หนึ่งริมฝีปากหยักก็เหยียดยิ้มชวนสะพรึง


“แกหายเครียดหรือยัง”


“ค...ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นก็รีบ ๆ ทำงานของแกเสียที แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่”


“งาน?”


“ใช่” เจ้าของน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมมองไปยังแผ่นหลังขาวที่เต็มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบ “จี้ลงไปทุกจุดที่มีรอยน่าเกลียดนั่น ลูกชายฉันจะไม่ทำแบบนี้กับคนที่ฉันไม่ได้เลือกให้”


เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางหัว อัศนัยเบิกตากว้างสบตาคนสนิทก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้เป็นพ่อ ใจอยากจะทักท้วงแต่สมองกลับสั่งให้ปากปิดสนิท ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างอยากลำบากก่อนจะดึงสายตากลับไปยังร่างที่นอนนิ่งราวกับนักโทษยอมจำนนท์รอรับการลงโทษ ไม่มีการร้องหรือท่าทีขัดขืนใด ๆ ทั้งสิ้น


“ถ้าแกไม่กล้าทำแกนั่นแหละที่ต้องโดน โทษฐานที่ช่วยเจ้าเล็กปิดบังเรื่องทุเรศ ๆ นี่”


“ค...คุณพ่อครับ…”


“กลับบ้านได้แล้ว ฉันมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคุยกับแก” คำพูดนั้นทำให้อัศนัยต้องละสายตาจากร่างเล็ก กลั้นใจหันหลังเดินตามผู้เป็นพ่อออกไป ทันทีที่ประตูปิดลงก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากข้างใน กำลังจะชักปลายเท้ากลับแต่สายตาพิฆาตของบิดาก็ทำให้ต้องหยุดความคิดที่จะขัดขืนเอาไว้เพียงแค่นั้น…





“คุณอันครับ...คุณอัน...”


เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก เมื่อตั้งสติได้ก็ยกนิ้วเรียวขึ้นซับน้ำที่หางตา


“ลุงพันว่าอะไรนะคะ”


“ผมเอาแก้วใบใหม่มาให้แล้วครับ”


แทนที่จะรับของที่อีกฝ่ายส่งให้สาวสวยกลับผุดลุกขึ้นพร้อมกับบอก “ลุงพันช่วยป้อนยาคุณท่านทีนะคะ พอดีอันนึกได้ว่ามีธุระต้องไปทำ ยังไงพรุ่งนี้อันจะไปรอลุงพันกับคุณท่านที่โรงพยาบาลนะคะ” พูดจบก็คว้ากระเป๋าสะพายเดินออกจากห้องไปทันที


ร่างบางมาหยุดหน้ากระจกกรอบไม้แกะสลักบานใหญ่ เอี้ยวตัวมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก เสื้อคว้าหลังเผยให้เห็นผิวเนื้อกระจ่างตา บาดแผลคราวนั้นได้เลือนหายไปแล้วตามกาลเวลา จะมีก็เพียงแผลขนาดใหญ่ที่ใต้บ่าด้านขวาเท่านั้นที่ยังคงเป็นแผลเป็นจนต้องสักลายทับลงไป และคนที่เลือกลายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาก็คืออัศนัยผู้ที่มีรอยสักรูปผีเสื้ออยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
 

...


ธันวาชะเง้อมองคนอายุน้อยกว่าที่ยังคงยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรกันถึงได้ยืนอยู่อย่างนั้นมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว คิดได้ดังนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินตรงไปเกาะประตูยืนฟังเงียบ ๆ 


“แล้วนี่อัญชลิสากับคนที่บ้านนาฏยะรู้เรื่องนี้หรือยัง”


“ยัง ฉันยังไม่ได้บอกใคร แต่ฉันคิดว่าจะไปเชิญตัวอัญชลิสามาคุยกันในวันพรุ่งนี้ รู้สึกว่ามีคำให้การบางเรื่องของวีรพลที่ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ”


คันธชาติผ่อนลมหายใจออกในขณะที่มือหนึ่งยังคงจับราวระเบียงแน่น และเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวปากบางก็เอ่ยขึ้นอย่าง


“ถ้าอย่างนั้น...ขอฉันไปด้วยได้ไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยกับทั้งอัญลิสาและวีรพล”


“เรื่องอะไรวะ นี่แกมีอะไรหรือเปล่าวะบุ้ง”


คนถูกถามยืนนิ่งคิดทบทวนบางสิ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น “อัญชลิสาคือคนที่กิ่งสนิทที่สุด ฉันอยากรู้ว่ากิ่งเล่าอะไรให้เธอฟังบ้างหรือเปล่า แล้ววีรพล...จะใช่เขาหรือเปล่า"


"นี่แกยังบอกฉันไม่หมดใช่ไหมไอ้บุ้ง แกมีเรื่องอะไรที่ยังบอกฉันไม่หมด แกบอกฉันมาสิ บอกมาให้หมด แกบอกสิ่งที่แกรู้มาให้หมดสิวะไอ้บุ้ง" เก่งกาจเริ่มขึ้นเสียง


"ก...กิ่ง กิ่งเคยโทร.มาเล่าให้ฉันฟังว่ารู้สึกเหมือนมีคนตาม แต่ฉันไม่เชื่อกิ่ง แถมยังบอกว่ากิ่งคิดมากไปเอง ตอนนั้นฉันน่าจะเชื่อแล้วก็มาหากิ่งให้เร็วกว่านี้ แต่พอฉันมา...” คนพูดหยุดยกมือขึ้นปิดปากห้ามเสียงสะอื้นของตนเอง "พอฉันมาก็กลายเป็นว่าต้องมารับศพของกิ่งกลับไป"


"นี่ใช่ไหมที่เป็นสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้แกเชื่อว่าการตายของกิ่งไม่ใช่อุบัติเหตุ"


“ฉ...ฉันน่าจะเชื่อกิ่ง ฉันน่าจะเชื่อกิ่ง น่าจะเชื่อ...” คันธชาติพร่ำบอกพลางปาดน้ำตา


“ไม่มีประโยชน์จะคิดถึงอดีตบุ้ง มันผ่านมาแล้ว หน้าที่ของเราตอนนี้คือสืบให้รู้ว่ากิ่งตกลงมาเองหรือมีใครที่ทำให้ตกลงมากันแน่ ถ้าพรุ่งนี้แกอยากจะมาก็ได้ แต่แกต้องมาในคราบของบุ๊ง” เก่งกาจกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะวางสาย


คันธชาติเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะทอดตามองไปยังท้องฟ้ามืดมิด คิดทบทวนสิ่งที่ได้ฟังจบไปเมื่อสักครู่ พลันร่างกายก็ไหวสะท้านเพราะสายลมที่พัดเอาละอองน้ำเล็ก ๆ กระทบผิวกายทำให้เผลอยกมือขึ้นกอดอก


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


เสียงที่ดังขึ้นใกล้หูทำให้ต้องหมุนตัวกลับไปสบตาเจ้าของคำถาม เกือบลืมไปเลยว่าที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ห้องของตนเอง


“เปล่า”


ธันวาไม่ได้ใส่ใจคำตอบนั้นสักเท่าไร มือหนายกขึ้นประคองข้างแก้มที่ยังคงทิ้งคราบน้ำตาของคนตรงหน้าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือปาดหยาดน้ำใสที่ใต้ตาเบา ๆ “แต่คุณร้องไห้”


“ที่ไหนกันเล่า ทำไมชอบทำเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ อยู่เรื่อย” แสร้งทำโวยวายกลบเกลื่อนแต่เสียงขึ้นจมูกนั่นก็ฟ้องอยู่ดี แทนที่คันธชาติจะปัดมืออีกฝ่ายออกอย่างเคยกลับยึดเอาไว้แน่นราวกับเด็กน้อยที่ต้องการมืออุ่น ๆ ของผู้เป็นแม่ไว้ปลอบประโลมยามทุกข์ใจ


“กอดผมก็ได้นะ ไม่บอกใครหรอก” คนมาดขรึมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย ๆ


คนฟังมุ่นคิ้วรีบปล่อยมือจากอีกฝ่าย “ไอ้บ้า ใครจะอยากกอดคุณ”


“ก็คุณไง” พูดจบก็รั้งร่างสูงพอ ๆ กันเข้ามาสวมกอด มือหนาลูบขึ้นลงบนแผ่นหลังกว้าอย่างให้กำลังใจ เพียงเท่านั้นน้ำตาที่คันธชาติฝืนกลั้นเอาไว้ก็เอ่อล้นพรั่งพรูอาบสองแก้มราวกับเขื่อนแตก



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนจบค่ะ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2015 04:48:30 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ปริศนาเริ่มจะคลายแล้ววววววว~~

ชอบมากๆเลยครับ

รอติดตามตอนจบนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ milkteabeige

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ตอนหน้าจบแล้วหรอคะ เร็วจังเลย


นี่อ่านไปลุ้นไป ต้องอ่านอยากมีสติที่สุด
มีเรื่องที่เดาไว้หลายๆ อย่าง แต่ก็ง๊งงงค่ะ

รอตอนหน้านะคะ อยากรู้ว่าคุณอัศนัยตัวจริงหายไปไหนกันแน่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อัศนัยตัวจริง ตายแล้ว?
สงสารอาร์ม  :monkeysad:
ทำไมต้องฆ่ากิ่ง ใครเป็นคนทำ โอ้ย อีกตอนเดียว
ทั้งคลี่คลายคดี ทั้งความสัมพันธ์ของธันวากับคันธชาติ
ตอนเดียวไม่พออออออ :katai1:

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ตอนหน้าก็จะจบแล้วหรอ :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ mirin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ความจริงจะเปิเผยแล้ว อยากรู้ว่าอัศนัยตัวจริงอยู่ที่ไหน???

ตอนหน้าจะจบแล้วจริงหรอเนี่ย :katai1:

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
จะจบแล้วจะได้รู้ความจริงแล้ว

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อัศนัยคนนี้ตัวปลอมแน่

ออฟไลน์ becrazie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ตาเฒ่านี้ร้ายนะ!!!

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มันเหมือนแบบ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการทำร้ายกันเพราะคำว่ารัก คำว่าหวังดี ยังไงก็ไม่รู้

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
โอยย~ สนุกมากเลยค่ะ
ลุ้นๆๆๆ

ขอบคุณนะคะ

 :mew1:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 18 : คนในความมืด



"ทราบแล้ว ขอบใจมาก"


นายตำรวจหนุ่มกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะติดเครื่อง รอกระทั่งรถสปอร์ตคันงามโผล่พ้นปากซอยจึงขับตามไปห่าง ๆ พักใหญ่รถคันนั้นก็เลี้ยวเข้าไปจอดยังลานจอดของโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง เจ้าของรถเปิดประตูลงมาก่อนจะเดินลิ่วเข้าไปยังด้านในของตัวอาคาร เมื่อเห็นดังนั้นเก่งกาจจึงหักพวงมาลัยถอยสปอร์ตซีดานของตนเองเข้าจอดยังที่ที่ว่างอยู่ ไม่รอช้าก็รีบเปิดประตูออกจากรถเดินตามร่างบางเข้าไปทันที
 

อัญชลิสาผลักประตูกระจกเข้าไปในศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูที่เต็มไปด้วยผู้ป่วย บ้างก็นั่งรถเข็นบ้างก็ยังสามารถเดินเหินได้เองโดยใช้ไม้เท้า สาวสวยชะเง้อคอกวาดตามองไปทั่วจนพบอนันต์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่เจ้าหน้าที่แปลเข็นมารอหน้าห้องตรวจ ข้างกายของชายวัยใกล้เกษียณผู้นี้ไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นลูกหรือแม้แต่ญาติ ๆ ต่างกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน เป็นภาพที่คนใกล้ชิดอย่างอัญชลิสาเห็นแล้วให้สะท้อนใจยิ่งนัก
 

อดีตนักธุรกิจบันเทิงผ่อนลมหายใจเบา ๆ ขณะลากดวงตาหม่นเศร้าตามร่างของสองแม่ลูกที่ประคองกันเข้าห้องตรวจ ทันทีที่ประตูปิดลงชายวัยใกล้เกษียณก็ดึงสายตากลับมามองสภาพไม่สมประกอบของตนเอง สองมือกำแน่นเกร็งสั่น นึกเจ็บใจในโชคชะตา สมัยที่ชีวิตยังเฟื่องฟูเคยมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง แต่บัดนี้เหมือนอยู่ตัวคนเดียว ยังดีที่ได้คนขับรถคนสนิทคอยเป็นธุระเรื่องต่าง ๆ ให้ คนที่คอยดูแลใกล้ชิดตลอดสองปีที่ป่วยหนักแทนที่จะเป็นลูกชายสุดที่รักกลับเป็นนางเอกละครสาวประเภทสองที่ตนเองเกลียดเข้าไส้
 

พลันร่างบนรถเข็นก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมือเย็นเฉียบสัมผัสลงบนท่อนแขน ดวงตาเฉยชาเลื่อนขึ้นมองเจ้าของหน้าสวยที่นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ อยากถามเหลือเกินทำไมเธอยังทนทำเช่นนี้ในเมื่อตัวเขาร้ายกับเธอเอาไว้มากอย่างไม่น่าให้อภัย แต่สภาพที่เป็นอยู่นี้ก็ทำให้การพูดจาเป็นเรื่องที่ทำได้ทุลักทุเลเหลือเกิน อนันต์จึงเลือกที่จะนั่งเงียบรอฟังคำของอีกฝ่าย
 

"ทำใจให้สบายนะคะคุณท่าน อีกเดี๋ยวคุณหมอก็จะเรียกตรวจแล้ว" อัญชลิสากล่าวพลางคลายมือที่กำเกร็งของคนป่วยออกก่อนจะนวดเบา ๆ และเมื่อพยาบาลเรียกชื่ออนันต์ นาฏยะ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่คนขับรถซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านนาฏยะเดินมาถึงพอดี วีรพันธุ์ขอโทษขอโพยเจ้านายทั้งสองที่ตนเองมาช้าเพราะมัวแต่หาที่จอดรถ จากนั้นทั้งหมดจึงเข้าไปในห้องตรวจพร้อมกัน
 

ร่างสูงในเครื่องสีกากีติดยศร้อยตำรวจเอกนั่งรออยู่ที่หน้าเคาเตอร์ชำระเงินพักใหญ่รอจนกระทั่งอัญชลิสาชำระเงินและรับยาเรียบร้อยแล้วจึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสามคนที่มีความเกี่ยวข้องกับวีรพล เขาแนะนำตัวเองก่อนจะชี้แจงเหตุผลที่มาในวันนี้ ทั้งทะเบียนปืนและรถยนต์ก่อนจะเชิญทั้งหมดไปที่โรงพัก
 

อัญชลิสาเดินตามร่างบึกเข้าไปในห้องที่ถูกจัดไว้ ส่วนอนันต์ก็ถูกนายตำรวจผู้หนึ่งเข็นเข้ามาโดยมีวีรพันธ์เดินตามไม่ห่าง ทั้งหมดนั่งลงที่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ ดวงตาทั้งสามคู่จ้องมองวีรพลในสภาพที่ถูกสวมกุญแจมือที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เก่งกาจซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะส่งสัญญาณให้นายตำรวจยศน้อยกว่านำปืนลูกโม่ขนาดเล็กที่หุ้มด้วยถุงพลาสติกแบบซิปล็อควางตรงหน้าสาวสวยก่อนจะถามขึ้น


“ปืนกระบอกนี้ใช่ของคุณหรือเปล่า”


คนถูกถามพยักน้อย ๆ เพราะแค่เห็นเวบแรกก็จำได้ มันเป็นปืนพกที่อัศนัยสั่งทำเป็นพิเศษโดยสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งเป็นอักษรตัวแรกในชื่อของเธอเอาไว้


“ใช่ค่ะ ปืนกระบอกนี้เป็นปืนของฉันเอง มันเริ่มจะขึ้นสนิมแล้วก็เลยให้คนเอาไปทำความสะอาด” พูดจบก็เบนสายตาไปยังร่างใหญ่ฝั่งตรงข้าม


“คุณวีรพลใช้ปืนกระบอกนี้ขู่กรรโชกทำให้เจ้าทุกข์เกิดความหวาดกลัว ก่อนหน้านี้ก็ขับรถชนแล้วหนีมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งรถคันดังกล่าวก็คือรถที่คุณอนันต์มอบให้กับคุณวีรพันธุ์ไว้สำหรับใช้งานส่วนตัว” เก่งกาจอธิบาย “ส่วนเจ้าทุกข์ที่ว่าก็คือคุณบุ๊ง”


อัญชลิสาแทบไม่เชื่อหูมองตามหน้าหล่อที่หันไปยังประตู พลันร่างสูงของสาวสวยก็ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นคันธชาติในคราบของบุ๊งเดินเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงห่างจากวีรพลไปไม่ไกลนัก


“น...นี่มันอะไรกันพล ตอบพ่อมาสิลูก แกไปทำเขาทำไม” วีรพันธุ์โพล่งขึ้นแต่กลับไร้คำตอบจากผู้เป็นลูกชาย คนตัวโตยังปิดปากเงียบจนกระทั่งเจ้าทุกข์เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด


“คุณวีรพลคนนี้เป็นคนขับรถชนบุ๊งเมื่อครั้งก่อน แถมยังสะกดรอยตามและชักปืนจะยิงบุ๊งด้วยค่ะ”


“ผมบอกแล้วว่าผมก็แค่ขู่ ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับคุณอัศนัย”


“พี่พลทำแบบนั้นทำไม” อัญชลิสากล่าวเสียงเรียบ แม้ภายในใจจะรุ่มร้อนเพียงใดแต่ยังคงวางหน้านิ่งเป็นปกติ


“ผมไม่อยากให้คุณอันต้องเสียใจ ผ...ผม ผมแค่อยากจะไถ่โทษเรื่องคราวนั้น”


คำว่า ‘เรื่องคราวนั้น’ ทำเอาเจ้าของคำถามสะอึก ไม่เว้นแม้กระทั่งอนันต์ที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ก็ถึงกับกระตุกเกร็ง ดวงตาจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้าพลางนึกถึงเหตุการณ์ครั้งเก่า


“แต่อัน...อันไม่ได้ต้องการให้พี่พลทำแบบนั้น อันก็แค่...” คนสวยชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกือบจะพลั้งปาก


“ก็แค่ให้สะกดรอยตาม คุณจะบอกว่าอย่างนี้หรือเปล่าครับ” เก่งกาจกล่าวพลางประสานมือลงบนโต๊ะ “ทีนี้คุณคงต้องตอบคำถามผมแล้วละครับคุณอันชลิสาว่าคุณให้คุณวีรพลสะกดรอยตามคุณอัศนัยทำไมกัน” พูดจบก็สบตาเพื่อนรักเป็นสัญญาณ คันธชาติจึงทะลุขึ้นกลางปล้องตามที่ได้นัดแนะกันเอาไว้


“คุณอันหึงที่คุณอัศนัยมายุ่งกับบุ๊งใช่ไหมคะ ถึงให้เขาสะกดรอยตาม แถมยังทำร้ายบุ๊งอีกเหมือนกับที่คุณทำกับกิ่งดาว พวกคุณรวมหัวกันทำให้กิ่งต้องตายใช่ไหมคะ”


“ไม่ใช่!” อันชลิสาสวนขึ้นทันควัน “ฉันไม่ได้สั่งให้เขาทำร้ายเธอแล้วฉันก็ไม่ได้หึงหวงคุณอัศนัย ล...แล้วเธอรู้จักกิ่งดาวได้ยังไง ธ...เธอเป็นใครกันแน่”


“กิ่งเป็นเพื่อนบุ๊งค่ะ”


ในที่สุดอัญชลิสาก็ถึงบางอ้อ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะผ่อนออกยาวเยียดแล้วจึงพูดต่อ “เธอคิดแบบนี้ แสดงว่าที่เธอเข้ามาทำงานในนาฏยกาลเธอก็มีจุดประสงค์ใช่ไหม”


ตาคมจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ “ค่ะ บุ๊งไม่เชื่อว่าการเสียชีวิตของกิ่งจะเป็นอุบัติเหตุ”


“แต่ตำรวจก็ได้ข้อสรุปแล้วนี่ว่าการเสียชีวิตของกิ่งเป็นอุบัติเหตุ อีกอย่างทั้งฉันพี่พลและกิ่งดาวเราต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่สมัยที่พวกเราทำงานที่ดรามาติก ทเวลฟ์ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ฉันหรือพี่พลจะคิดร้ายต่อกิ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ส่วนเรื่องเธอกับคุณอัศนัย ฉันขอยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดมันผิด ฉันไม่ได้หึงหวงคุณอัศนัย ไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอ”


“ถ้าอย่างนั้นเพราะอะไรล่ะครับ เพราะอะไรคุณถึงต้องให้คุณวีรพลสะกดรอยตามคุณอัศนัย คุณก็เหมือนกันคุณวีรพล คุณมีเหตุผลอะไรถึงต้องทำให้คุณบุ๊งอยู่ห่าง ๆ คุณอัศนัย” นายตำรวจหนุ่มถามต่อ


เจ้าของหน้าสวยเงยหน้าขึ้นสบตาอดีตผู้จัดการโรงละคร รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ที่ปลายหน้าผา เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงจำเป็นจะต้องพูดความจริง เพราะถ้าหากยังดื้อดึงอมพะนำอ้ำอึ้งก็คงจะพากันเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะวีรพลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้น้อยที่สุด กระนั้นก็สาวสวยยังไม่ลืมที่จะเบนสายตาไปยังชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นเพื่อจะขอความเห็น และเมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงอนุญาต อัญชลิสาจึงตัดสินใจพูดเรื่องที่เก็บงำไว้ยาวนานออกมา


“เขาไม่ใช่อัศนัย แต่เป็นอัศวิน” ริมฝีปากชมพูระเรื่อเม้มเข้าก่อนจะค่อย ๆ คลายออกเพื่อขยายความ “ฉันกับคุณอัศนัย...เรารักกัน แต่เพราะความอ่อนแอของคุณอัศนัยกับสัญญาบ้า ๆ นั่นทำให้เขาสองคนวางแผนสลับตัวกัน  คุณอัศวินสัญญากับคุณอัศนัยว่าจะทำให้ทุกอย่างให้คุณท่านยอมรับในความรักของเรา โดยมีข้อแม้ว่าคุณอัศนัยจะต้องขายดรามาติก ทเวลฟ์แล้วกลับมาอยู่ที่นาฏยกาล เขาสองคนอาศัยข่าวลือเรื่องคุณอัศวินหนีการแต่งงานสลับตัวกัน คุณอัศวินรับปากว่าจะช่วยน้อง แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เขาตั้งใจจะแก้แค้นคุณพ่อคุณแม่ที่คอยขีดเส้นตีกรอบให้เดินมาตั้งแต่เด็กต่างหาก ไม่มีใครรู้แผนการของพวกเขา แม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้จนกระทั่ง....” สาวสวยกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากลำบาก แม้ปากจะหยุดอยู่แค่นั้นแต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ที่ไม่อาจลืม...
 

ตาคู่งามจ้องมองมือของคนตัวสูงที่กุมมือตนเองเอาไว้ขณะเดินตามกันเข้าไปภายในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหราของโรงแรมย่านชานเมือง ทันทีที่ประตูปิดลงชุดสวยก็ถูกปลดออกลงไปกองกับพื้น จากนั้นท่อนแขนแข็งแรงก็ช้อนร่างเล็กลอยขึ้นในอากาศจนอัญชลิสาผวากอดคออัศนัยแน่น หน้าหวานซบลงบนอกแกร่งปล่อยตัวปล่อยใจไม่ว่าอีกฝ่ายจะพาไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ยอมทั้งนั้น มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าสัมผัสลงบนเตียงนุ่ม ร่างหนาที่ทับทาบลงมาให้ความรู้สึกอุ่นวาบอย่างประหลาด แววตาไหวระริกสบนิ่งกับดวงตาแสนอ่อนโยนที่กำลังมองมา ไม่ช้าริมฝีปากหยักก็ขยับเข้าครอบครองเนื้อปากนิ่มที่พร้อมจะอยู่ใต้อาณัติ หน้าคมค่อย ๆ เลื่อนลงต่ำจูบซับซอกคอจนคนใต้ร่างส่งเสียงครางหวานหู มือเรียวปาดป่ายไขว้คว้าหาที่ยึดเกาะ จากนั้นปลายนิ้วก็ค่อยคลายกระดุมเสื้อของคนรักออกก่อนจะเลื่อนต่ำลงปลดเข็มขัดเพื่อปลดปล่อยให้ทุกส่วนของร่างกายได้สัมผัสกันแนบแน่น


สองร่างกอดรัดนัวเนียจนแทบจะกลายเป็นร่างเดียวกัน ปล่อยให้ไฟปรารถนาลุกโชนจนไม่อาจจะดับได้ มีแต่จะเติมเชื้อไฟให้กันและกันเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน เสียงพร่ำคำรักที่ข้างหูทำเอาสาวสวยร้อนวาบที่ข้างแก้ม คมฟันกัดเนื้อปากล่างในขณะที่เล็บก็จิกลงบนลาดไหล่ของอัศนัยที่กำลังซุกไซ้อยู่กับอกอวบราวกับแมลงภู่ที่กำลังบินวนตอดตอมดอกบัวตูมเพื่อจะหาทางไปให้ถึงเกสรหอมหวาน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้ชายหนุ่มต้องผละออกจากคนสวยอย่างเสียมิได้


“อย่าไปเลยนะคะคุณเล็ก อย่าไป อันต้องการคุณ” พูดพลางเอื้อมมือไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว


อัศนัยสบตาเว้าวอนก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าปากพร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู “เดี๋ยวผมกลับมานะครับที่รัก” พูดจับก็ดึงผ้าเช็ดตัวพันส่วนล่างก่อนจะคว้าโทรศัพท์เดินออกจากห้องไป


อัญชลิสานอกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง มือเรียวรั้งผ้าห่มสีขาวสะอาดตาขึ้นปิดบังช่วงล่าง มือสองข้างโอบอุ้มยอดปทุมถันของตัวเองเอาไว้พลางลูบไล้เคล้นคลึงไปตามแรงอารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่น กระทั่งพักใหญ่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง สาวสวยปรือตาขึ้นสบตาร่างสูงยืนปลายเตียง ยอมรับว่ารอยยิ้มมีเสน่ห์ของเขาทำให้ใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็น ดวงตาสองคู่ยังคงประสานกันบ่งบอกความต้องการภายในของแต่ละคน พลันมือหนาก็เอื้อมรั้งผ้าห่มออกทอดมองเรือนร่างเย้ายวนบิดเร่า ก่อนจะโถมตัวลงแทกหัวเข่าลงระหว่างเรียวขาที่เบียดชิดซ่อนเร้นตัวตนของตนเองเอาไว้                  
 

“คุณสวยไปหมดทั้งตัวเลยอัญชลิสา คุณทำให้ผมหลงจะแย่แล้วรู้ตัวไหม”                                                   
 

เจ้าของชื่อมองตาเชื่อมทาบมือบนแผงอกกว้างลูบไล้ไปตามผิวเนื้อหวังจะเติมเชื้อไฟให้ลุกโชนอีกหน แขนเล็กเหนี่ยวคล้องคอหนาลงมาใกล้ ส่งสายตาเชื้อเชิญอย่างเปิดเผยพอ ๆ กับร่างกายเต็มใจยอมรับรสสัมผัสหากอีกฝ่ายจะปรนเปรอให้
 

“แล้วคุณอยากทำอะไรกับตัวอันล่ะคะ”
 

เพียงคำพูดสั้น ๆ ก็ทำปากหยักก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้มหวานเยิ้มพร้อมที่จะสานต่อในสิ่งที่ทำค้างไว้ ร่างใหญ่โถมเข้าหาอย่างเชื่องช้าแตะปลายลิ้นลากวนบนกลีบปากหวานหอมก่อนจะเลื่อนลงมาตามลำคอระหงกระทั้งมาหยุดที่ยอดดอกบัวสีระเรื่อ มือใหญ่ลูบคลำฟอนเฟ้นดอกตูมอย่างหลงไหล ยิ่งได้ยินเสียงครางกระเส่าตอบสนองทุกส่วนในกายก็เหมือนถูกปลุกให้ฮึกเหิม
 

อัญชลิสายอมรับสิ่งแปลกปลอมกำลังสอดใส่เข้าสำรวจร่างกายของตนเองอย่างเต็มใจ ทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มขยับเสียงครางกระเส่าก็รอดผ่านไรฟันที่ขบกันเพราะความเจ็บปวด มือหนากดข้อมือเกะกะแนบติดกับเตียงก่อนจะถาโถมเร่งจังหวะตามความต้องการที่เดือดพล่านอยู่ภายใน ลมหายใจหอบถี่สอดประสานได้ยินเสียงพร่ำรักกันและกันดังไปทั่วห้อง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงไหนและเมื่อความอัดอั้นนั้นถูกปลดปล่อย จู่ ๆ ร่างเล็กก็ถูกยกขึ้นนั่งบนตักทั้งที่ส่วนล่างยังเชื่อมกันอยู่ แรงขยำขยี้สะโพกอวบอัดอย่างเมามันในอารมณ์นั้นยิ่งพาสติกระเจิดกระเจิงจนผวา แขนขาวเกี่ยวรัดคล้องคอหนาก่อนจะเริ่มขยับโยกไหวขึ้นลงไปตามจังหวะที่ตนเองเป็นผู้กำหนดถี่และหนักขึ้นอย่างไม่มีใครคิดห้ามกัน กระทั่งความอุ่นร้อนแผ่ซ่านอยู่ภายในสาวสวยจึงหลับตาทิ้งตัวซบหน้าลงบนบ่ากว้างที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สองคนหอบตัวโยน เรือนร่างเบียดชิดรับรู้ถึงความร้อนซ่านจากผิวเนื้อของกันและกัน
 

อัญชลิสาปรือตาขึ้นอีกครั้งใช้มือลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง ตัวเบาหวิวนั้นให้ให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งอยู่บนยอดหญ้า มือไล่คว้าเจ้าผีเสื้อปีกสวยที่กำลังบินวนอยู่รอบกาย แต่แล้วดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าไม่มีผีเสื้อตัวนั้นอีกแล้ว ลมหายใจขาดหายเป็นห้วง ๆ พยายามยันกายให้ออกห่างจากการกอดรัดของ ‘ใครก็ไม่รู้’
 

“ค...คุณ คุณเป็นใคร” พูดไปก็ดันร่างอีกฝ่ายออก มือไม้ไร้เรี่ยวแรงรั้งผ้าห่มขึ้นคลุมร่างจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “ค...คุณ คุณไม่ใช่คุณเล็ก” จะลุกหนีแต่แรงที่แทบจะไม่เหลือก็ทำให้ล้มคว่ำลงกับที่นอนเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายโถมลงมาบนร่าง แม้ใบหน้าจะเหมือนกันแต่เสียงหัวเราะหี้ยมเกรียมนั้นกลับทำให้รู้ว่า ‘เขา’ เป็นคนละคนกับ ‘คุณเล็ก’ ของตนเองไม่ผิดแน่


“ทำไมถึงคิดว่าผมไม่ใช่” คนตัวใหญ่พลางฝังคมเขี้ยวลงบนปีกข้างหนึ่งของเจ้าผีเสื้อตัวน้อยจนเลือดซึม
ร่างเปลือยผวาหนีในขณะที่ปากยังคงพร่ำพูด “คุณเล็กไม่ได้กักขฬะหยาบคายแบบนี้”


แต่มือหยาบยังคงไม่ลดละตามลูบไล้เคล้นคลึงไหล่เนียนอย่างกับจะให้แหลกเหลวคามือ “อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับมัน คุณจะสนใจทำไมว่าผมเป็นใคร รู้แค่ว่าคุณมีความสุขกับสิ่งที่ผมมอบให้ก็พอแล้ว และตั้งแต่วันนี้ไปผมจะเป็นอัศนัย นาฏยะ และคุณก็คือคนของผม จำเอาไว้”


“คุณอัศวิน คุณคือคุณอัศวิน” เสียงเรียกชื่อนั้นไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบของคนใกล้จะหมดแรง “คุณเอาคุณเล็กไปไว้ที่ไหน”
อัศวินหัวเราะหึก่อนจะกดจูบลงแผ่นหลังที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจ้ำ หน้าหล่อเงยขึ้นก่อนจะพูดด้วยเสียงดังกังวานหวังจะให้ได้ยินไปทั้งห้อง “อัญชลิสาถามหาแกว่ะไอ้เล็ก แกออกมาสู้หน้าเธอสิ ออกมาบอกเธอว่าแกอยู่ที่ นั่งฟังเสียงของเธอตอนที่มีความสุขอยู่กับฉันบนเตียง ออกมาสิ!”


“หมาย...หมายความว่ายังไง นี่พวกคุณทำอะไรกัน”


“คุณเล็กของคุณมันขี้ขลาด ไม่คิดจะขัดคำสั่งของคุณพ่อ ไม่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง ช่างน่าสงสาร”


“คุณมันก็น่าสงสารไม่ต่างกัน ไม่มีตัวตนในสายตาใคร แถมยังต้องสวมรอยน้องชาย คุณก็ไม่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองเหมือนกัน”


อัศวินกัดฟันกรอดแต่ก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังในที่สุด “แล้วคุณล่ะคุณดีกว่าผมตรงไหน ทั้งที่อยากเป็นตัวของตัวเองแต่กลับเป็นไม่ได้ ต้องเป็นในแบบที่ไอ้เล็กมันต้องการ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง คุณพ่อก็ไม่ยอมรับความรักของพวกคุณอยู่ดี ถึงตอนนี้ท่านจะป่วยแต่ต่อให้คุณทำดีกับท่านแค่ไหน ท่านก็ไม่มีวันยอมรับ” เสียงดุดันนั้นเริ่มอ่อนลงพอ ๆ กับแรงมือที่ลูบไล้อยู่บนหัวไหล่ “แต่คุณไม่ต้องกลัวนะอัญชลิสา ต่อไปผมจะทำให้คุณเป็นที่ยอมรับ ผมจะทำให้คุณยืนอยู่ในนาฏยะได้แบบไม่ต้องอายใคร ผมสัญญา คุณรู้ไหมตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณที่ดรามาติก ทเวลฟ์ ผมก็สัญญากับตัวเองแบบนี้ คิดว่าสักวันจะต้องเอาคุณมาเป็นของผมให้ได้ แล้ววันนี้คุณก็เป็นคนของผมแล้วนะอัญชลิสา” สิ้นเสียงอัศวิน น้ำตาแห่งความเจ็บปวดของคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ด้านนอกก็ไหลรินผสมกับเลือดแดงฉานที่กำลังหยดลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทุกสิ่งทุกอย่างในนาฏยกาลก็เปลี่ยนไป



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2015 00:40:21 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


คันธชาติจ้องมองนางเอกละครที่นั่งอยู่ตรงหน้า แม้ใจหนึ่งจะยังคงความเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็รู้สึกอย่างเห็นใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มหันไปสบตาเพื่อนรักที่ยังคงนั่งนิ่ง จนกระทั่งเก่งกาจขยับตัวผ่อนลมหายใจยาว มือหมุนปากกาไปมาอย่างใช้ความคิด ในที่สุดก็ตัดสินใจถามคำถามหนึ่งออกไป


“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าสิ่งที่คุณเล่ามาเป็นเรื่องจริง”


ทุกคนในห้องต่างก็มองไปยังหญิงสาวท่าทางสง่างามดั่งนางพญาหงส์เป็นตาเดียว เธอยังคงนั่งนิ่งไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรรู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ได้เล่าไปทั้งหมดไม่มีสักเรื่องที่ไม่เป็นความจริง


“เชื่อเธอเถอะครับคุณตำรวจ เพราะสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผมรับรองได้” วีรพันธุ์เอ่ยขึ้นในขณะที่อนันต์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็พยายามจะทำอะไรบางอย่าง


ร่างไม่สมประกอบกระตุกเกร็ง พยายามเปล่งเสียงผ่านริมฝีปากบิดเบี้ยว “ผ...ผม...ล...เลี้ยง ลูกผิด ป...เป็นความ ผิด ของผม ผมบังคับ พ...พวก พวกเขาทั้งสองคน...” อาการกระตุกเกร็งของคนที่นั่งในตำแหน่งถัดไปทำให้อัญชลิสาต้องลากเก้าอี้ไปนั่งข้าง ๆ เพื่อดูอาการ


“อย่าพูดอีกเลยค่ะคุณท่าน เรื่องมันผ่านมาแล้ว” สาวสวยละล่ำละลักพลางบีบนวดสองมือที่เกร็งแน่น


“ฉ...ฉัน ต้อง พูด ฉัน ท...ทำ ทำ ผิด ต่อเธอ ต่อเจ้าเล็ก รวมถึงเจ้าใหญ่ ตอน นี้ ฉันต้อง ร...รับกรรม ที่ ฉันก่อ ถึง เวลา ที่ เจ้า ใหญ่ เอง ก็ ต้อง รับ...รับผิด ชอบ ใน การกระทำ ของตัวเองแล้ว” พูดจบก็หันไปทางวีรพันธุ์เพื่อส่งสัญญาณอนุญาตให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมด


“ที่คุณท่านรู้เรื่องของคุณเล็กกับคุณอาร์มจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตในคราวนั้นก็เป็นเพราะคุณอัศวินเธอเป็นคนบอก เธอตามดูคุณอาร์มตั้งแต่ตอนที่เธอแอบกลับมาเมืองไทย ที่ผมรู้ก็เพราะว่าคุณท่านสั่งให้ผมตามให้ดูแลช่วยเหลือลูก ๆ ของท่านทุกคนไม่เว้นแต่คุณอารตีซึ่งเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน และที่คุณท่านเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณท่านจับได้ว่าคุณอัศนัยที่เราเห็นอยู่ไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นแฝดคนพี่ วันนั้นทั้งคุณท่านและคุณใหญ่ต่างก็ระเบิดอารมณ์ใส่กันจนคุณท่านหน้ามืดตกบันได ไม่ใช่เพราะตรอมใจเรื่องลูกชายที่หายตัวไปอย่างที่คุณอัศนัยตัวปลอมให้ข่าว”


“แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่แจ้งความ” คันธชาติโพล่งขึ้น


“เพราะฉันไม่รู้ว่าเขาเอาคุณอัศนัยตัวจริงไปไว้ที่ไหน ดังนั้นฉันจึงให้พี่พลสะกดรอยตามเขา จนกระทั่งมีเรื่องกิ่งดาว พี่พลบอกว่าหลังจากเกิดเรื่องก็เห็นเขาเข้าไปที่โรงละครร้าง พวกเราคิดว่าคุณอัศวินต้องซ่อนคุณอัศนัยเอาไว้ที่นั่น แต่พอเข้าไปค้นกลับไม่พบ หรือถ้าคุณอัศนัยอยู่ในโรงละครร้างนั่นจริงตอนที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุก็น่าจะพบสิ่งผิดปกติบ้าง แต่ก็ไม่มีเลย อีกอย่าง...ฉันรู้สึกว่าสภาพจิตใจของคุณอัศวินไม่เหมือนคนปกติ เกรงว่าเขาจะหุนหันทำอะไรที่พวกเราคิดไม่ถึง”


นายตำรวจหนุ่มมุ่นคิ้วนิ่งคิดก่อนจะสรุป “เอาละ ถ้าเป็นตามที่คุณเล่าละก็ ผมจะนำหมายค้นเข้าไปตรวจสอบที่นั่นอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้เรื่องของคุณวีรพลคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขอบคุณพวกคุณมาก ๆ ที่ช่วยให้ข้อมูล แต่สิ่งที่อยากจะขอก็คือกรุณาอย่าบอกเรื่องนี้ให้คุณอัศนัย...หรืออัศวินทราบ”


สิ้นเสียงของเก่งกาจทุกคนต่างก็พากันพยักหน้ายอมรับ จะมีเพียงคันธชาติที่ยังคงนั่งนิ่ง ก่อนที่ทุกคนจะพากันเดินออกจากห้องชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “บุ๊งขอถามคำถามคุณอันอีกสัก 2-3 ข้อได้ไหมคะ”


เจ้าของชื่อที่กำลังเดินตามหลังรถเข็นหยุดนิ่งก่อนจะหันมารอฟังคำถาม


“ก่อนหน้าที่กิ่งจะเสียชีวิต คุณได้รับจดหมายที่กิ่งเขียนนัดให้ไปพบที่โรงละครร้างหรือเปล่า”


“ไม่นะ” อัญชลิสาตอบซื่อ ๆ


“แล้วตอนที่กิ่งปลอมตัวเข้าไปทำงานในโรงละครน่ะ คุณไม่รู้เหรอว่าเธอเป็นใคร หรือว่าคุณนั่นแหละที่ช่วยให้เธอเข้าไปทำงานในนั้น”


“ฉันไม่รู้ว่ากิ่งเข้าไปทำงานในนั้นได้ยังไง แต่ที่ฉันไม่พูดก็เพราะเกรงว่าถ้าหากคุณอัศวินซึ่งเป็นคนตั้งกฎจะรู้เข้าแล้วกิ่งจะเดือดร้อน เพราะกิ่งบอกว่ากิ่งเข้ามาที่นี่เพื่อต้องการข้อมูลไปประการทำวิจัย ทั้งฉันและพี่พลก็เลยไม่มีใครพูดเรื่องนี้”
คันธชาติพยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบ รอกระทั่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาฏยกาลถูกพาตัวออกไปจึงเดินตามเก่งกาจไปที่ห้องข้าง ๆ กัน


“เป็นยังไงบ้าง อัดไว้ตั้งแต่ต้นเลยหรือเปล่า” นายตำรวจร่างบึกเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยจอโทรทัศน์แสดงภาพในมุมต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ระหว่างการพูดคุยเมื่อสักครู่ นอกจากธันวาแล้วในห้องยังมีนายตำรวจอีกสองคนที่นั่งร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วย หนึ่งในนั้นหันมาตอบคำถามผู้มียศเหนือกว่าก่อนจะทำการกลอภาพภาพในหน้าจอตรงหน้าตัวเอง เก่งกาจเดินเข้าไปเกาะพนักเก้าอี้ที่อาจารย์หนุ่มหล่อนั่งอยู่ในขณะที่ดวงตาจดจ่ออยู่กับภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ พลันคิ้วหนาก็ขมวดมุ่นครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าที่บ่งบอกว่าจะต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทำให้คันธชาติที่ยืนอยู่ข้างกันอดถามไม่ได้


“เป็นอะไรวะ”


“ฉันกำลังคิดว่าสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้มันถูกหรือเปล่า”


“เรื่องอะไร”


“ก็เรื่องเวลาเกิดเหตุกับที่อยู่ของคุณอัศนัยในวันนั้นไง” พูดพลางใช้มือถูคางสากอย่างใช้ความคิด


“แกหมายความว่ายังไงวะ”


เก่งกาจยืดตัวขึ้นกอดอกเริ่มเดินวนไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “พนักงานโรงแรมบอกว่าคุณอัศนัยพาอัญชลิสาไปที่โรงแรมตั้งแต่หัวค่ำแล้วก็อยู่ด้วยกันจนถึงเช้า ฉันถึงบอกว่าโอกาสที่อัศนัยจะลงมือแทบไม่มีเลย แต่ถ้าเป็นตามที่อัญชลิสาเล่า คนที่อยู่กับเธอตั้งแต่ตอนหัวค่ำถึงกลางดึกคืออัศนัย ส่วนคนที่พนักงานโรงแรมเห็นในตอนเช้าคืออัศวิน มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะเป็นคนลงมือ หรือคุณคิดว่ายังไงด็อกเตอร์”


ธันวาละสายตาจากจอที่แสดงเหตุการณ์ที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนจะหันมากล่าว “ผมว่าอัญชลิสาไม่ได้โกหก ลุงพันนั่นก็ด้วย”


เจ้าของคำถามพยักหน้าก่อนจะหันไปสบตาอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นคนที่โกหกก็มีอยู่คนเดียว” คันธชาติกัดฟันกรอดกล่าวเพียงสั้น ๆ และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกจากปากของชายหนุ่ม
 
...


ธันวาเดินตามร่างสูงออกจากลิฟท์ เว้นระยะห่างพอประมาณ สังเกตได้ว่าตั้งแต่ออกจากโรงพักคันธชาติก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีกเลยซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างมาก


“กำลังคิดอะไรอยู่” คนเดินตามเอ่ยขึ้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังแตะคีย์การ์ดเปิดประตู


คำถามนั้นทำให้คันธชาติต้องชักมือกลับก่อนจะหันมาตอบ “คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”


“คงไม่ได้คิดแผนอะไรอยู่ใช่ไหม”


“คิดอะไร ไม่ได้คิด!” ท้ายประโยคสูงปรี๊ดทำเอาธันวาส่ายหัว


“ไม่คิดก็ดีแล้ว เพราะคุณควรจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ควรจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอีกรู้ไหม”


“รู้แล้ว ๆ” คันธชาติส่ายหัวดิก จะรู้ทันอะไรกันนักกันหนา


“อยากดื่มอะไรร้อน ๆ หน่อยไหมจะได้หลับสบายขึ้น เดี๋ยวผมทำให้” ธันวาถามพร้อมกับแตะคีย์การ์ดเปิดประตูห้องเชื้อเชิญ แต่กลับโดนตอกกลับด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ


“ไม่! ห้องผมก็มี”


คนฟังพยักหน้าไม่ใส่ใจก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นผมเข้าไปดื่มในห้องคุณก็แล้วกัน เปิดประตูสิ” ยังไม่ทันจบประโยคดีร่างสูงก็มายืนยิ้มร่าอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว


คันธชาติมุ่นคิ้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเปิดประตูให้อีกฝ่ายเดินเข้าไป จากนั้นเจ้าของห้องเดินเลี่ยงไปอีกทาง จัดการตั้งกาน้ำร้อนก่อนจะหายเข้าไปในห้องลอกคราบสาวสวยออก พักหนึ่งก็เดินกลับออกมามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟา


“คุณจะดื่มอะไร”


“ขอกาแฟร้อนก็แล้วกันครับ” พูดจับธันวาก็หยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวีเลื่อนเปลี่ยนช่องพร้อมกับฟังเสียงช้อนกระทบถ้วยเซรามิคไปเรื่อย ไม่นานกลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง


“ดูอะไรอยู่” ร่างสูงที่เดินมานั่งลงข้าง ๆ พูดขึ้นพร้อมกับส่งถ้วยกาแฟให้คนที่กำลังนั่งจ้องทีวีตาเขม็ง


“ข่าวรอบดึกน่ะ เขาบอกว่าวันมะรืนนี้จะปิดถนนละครทั้งสาย สงสัยรถต้องติดมากแน่ ๆ” ธันวากล่าวก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม


“ทำไมต้องปิดด้วยล่ะ ประท้วงอะไรกันอีก คนกรุงเทพฯ นี่จริง ๆ เลย” คันธชาติส่ายหน้าก่อนจะเท้าแขนลงกับพนัก


“ประท้วงที่ไหนล่ะคุณ เขาจะระเบิดตึกต่างหาก”


“ถึงกับต้องปิดถนนเลยเหรอเนี่ย”


“ใช่ ก็บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อดรามาติก ทเวลฟ์นั่นไง เขากว้านซื้อตึกสูงรอบโรงละครทั้งหมดเพื่อจะทำเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ แล้วก็มีแผนจะระเบิดตึกพวกนั้นเสียพร้อม ๆ กัน”


“ดีเนอะ ตอนสร้างใช้เวลาใช้แรงงานแรงเงินมหาศาลกว่าจะเสร็จ ตอนจะทำลายแค่กดปุ่ม พริบตาเดียวก็ราบเป็นหน้ากลอง” คันธชาติกล่าวพลางใช้ปลายนิ้วชี้และหัวแม่มือนวดเบา ๆ ที่หว่างคิ้ว อ้าปากหาวหวอด ๆ


“ง่วงเหรอ”


“เปล่า” พูดจบก็ขยับตัวพิงพนักทอดตาเหม่อมองขึ้นไปยังเพดานว่างเปล่า


“คิดอะไรอยู่”


“คิดว่าเมื่อไรคุณจะกลับไปห้องคุณสักที” เสียงงัวเงียที่ได้ยินทำเอาคนอายุมากกว่าอมยิ้ม ธันวาขยับเข้ามาใกล้วางมือบนศีรษะของอีกคนพร้อมกับโยกเบา ๆ อย่างเอ็นดู แล้วจึงเลื่อนมาโอบบ่า “ปากไล่ แต่ในใจน่ะอยากให้ผมกลับจริงหรือเปล่า หืม?”


“อยากสิ” คันธชาติตอบแต่กลับเบนหน้าหนี ชั่วอึดใจก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่ปลายคาง แค่เจ้าของลมหายใจที่คลอเคลียอยู่กับข้างแก้มออกแรงรั้งเบา ๆ ดวงตาสองคู่ก็กับมาสบประสานกันอีกครั้ง


“จริงเหรอ”


คำถามเซ้าซี้ทำเอาหัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากันโดยอัตโนมัติ “จะถามให้ได้อะไรขึ้นมา”


“ก็ถามให้ได้อยู่กับคุณนาน ๆ ไง” พลันนิ้วหัวแม่มือใหญ่ก็แตะลงบนกลีบปากสีเรื่อ แขนที่เคยโอบบ่าเลื่อนต่ำลงก่อนจะสอดมือเข้าใต้เสื้อยืดสัมผัสผิวกายเนียนละเอียด หมายจะไล้มือจากเอวสอบขึ้นมาบนแผ่นหลังแต่กลับถูกตรึงเอาไว้ด้วยมือของอีกฝ่าย


คันธชาติมองปลายจมูกโด่งที่ขยับเข้าใกล้ด้วยแววตาสั่นไหว ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างกายจึงสูญเสียการควบคุมเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนคนนี้ทุกที แต่ก่อนที่สติจะกระเจิงไปไกลมือข้างที่เหลือก็ยกขึ้นยันแผงอกห้ามให้เขาหยุดการกระทำ หน้าแดงก่ำเบือนหนีก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอื้อนเอ่ยคำถามหนึ่ง


“ร...เรากำลังทำผิดหรือเปล่า”


“มันจะผิด ถ้าหากคุณไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับผม” ธันวากระซิบชิดริมหูก่อนจะกดจมูกลงสูดกลิ่นหอมจากแก้มสีระเรื่อของคนที่ยังเอาแต่หนีหน้ากัน “บอกผมสิว่าคุณไม่ได้คิดเหมือนกัน แล้วผมจะรีบไปทันที แต่ถ้าคุณไม่บอกอย่างนั้น ผมก็จะอยู่ที่นี่ไปจนเช้า”


คันธชาติค่อย ๆ หันกลับมาสบตาชายหนุ่มห้องตรงข้ามอีกครั้ง พลันแขนขาวก็ยกขึ้นคล้องคอแกร่งเอาไว้ ไม่รู้เลยว่าการทำแบบนั้นมันทำให้อีกฝ่ายหัวใจเต้นแรงแค่ไหน ธันวาจ้องมองปากบางที่เคลื่อนเข้าหาตาไม่กระซิบ ในที่สุดกลีบปากชวนสัมผัสนั้นก็ค่อย ๆ เผยอขึ้นจนเห็นฟันขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบ


“คุณได้อยู่ถึงเช้าแน่”


ยิ้มหวานแปลก ๆ ทำเอาคนตัวหนาคนตัวหนาทำหน้าฉงน ยิ่งได้ยินเสียงเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ข้างหูก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังโดนนายน้อยคันธชาติผู้นี้เอาคืนเข้าให้แล้ว


“อยากกลับแล้วหรือยัง” พูดพลางกระชับวงแขนเสียแน่น


“ง่วงขึ้นมาเลยแหละ” คนจนมุมแสร้งปิดปากหาวพยามยามเอียงหน้าให้ห่างเสียงไม่ชวนฟังที่ยังคงดังถี่ ๆ


“ถ้าง่วงก็กลับไปนอนนะ” คันธชาติกล่าวพลางเลื่อนมือข้างหนึ่งตบลงเบา ๆ ที่ข้างแก้มของคนตรงหน้าราวกับเขาเป็นเด็กน้อย จากนั้นก็เป็นตัวเองที่ลุกขึ้นรอส่งแขก


ธันวาจ้องหน้ายิ้มอย่างคาดโทษ ได้ไม่เพราะเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ส่งเสียงน่าสะพรึงเครื่องนั้นคงได้จับคนเอาแต่ใจตัวเองมากอดเสียให้เข็ด ร่างสูงลุกขึ้นอย่างจำใจก่อนจะเดินคอตกเปิดประตูออกไปยืนด้านนอก ไม่วายหันกลับมาสบตาเจ้าของห้องตาละห้อย


“ไปนอนได้แล้ว” เจ้าของห้องยิ้มเขิน ๆ  “เดี๋ยวไปส่ง” พูดจบก็รุนหลังร่างสูงเข้าไปในห้อง


“นึกยังไงถึงเดินมาส่ง” ธันวาหันมากล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากหาว


“ก็จะได้มาดูให้แน่ใจไงว่าหลับแล้วจริง ๆ”


“หมายความว่ายังไง หรือว่า...หรือว่าคุณใส่อะไรลงในกาแฟ” กล่าวทั้งน้ำหูน้ำตา รู้สึกหนังตาหนักจนใกล้จะปิดแต่ก็ยังฝืนเอื้อมมือรั้งแขนของคนที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า “น...นี่คุณ คุณคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่”


“ผมคิดว่าถ้าเขาไม่ยอมบอกว่าอัศนัยตัวจริงอยู่ที่ไหน ผมก็จะค้นหาเขาให้พบ”


“บุ้ง แล้วคุณจะทำยังไง” พูดพลางสะบัดหน้าไล่ความง่วง


“ผมมีวิธีของผม”


“ผมรู้ว่าคุณเสียใจและรู้สึกผิดเรื่องกิ่งดาว แต่คุณควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ”


“ผมก็กำลังทำหน้าที่ของผม หน้าที่ของเพื่อนไง ส่วนคุณ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้คุณต้องไปสอนหนังสือ” พูดจบคันธชาติก็ประคองร่างของคนใกล้หลับเข้าไปในห้องนอน ยังไม่ทันจะถึงเตียงดีถูกเจ้าของห้องรวบเอวเอาไว้แน่นก่อนจะล้มลงไปบนที่นอนนุ่มพร้อมกัน แทนที่จะคิดขัดขืนคันธชาติกลับนอนนิ่งแนบหูกับอกกว้างฟังเสียงหัวใจของคนใต้ร่าง รอกระทั่งธันวาพูดขึ้นอีกครั้ง


“ผม...ไม่ยอมให้คุณเอาชีวิตไปเสี่ยง อีกเด็ดขาด ผมไม่ให้คุณไปไหน จะกอด...กอดคุณเอาไว้อย่างนี้จนเช้า” เสียงทุ้มขาดหายเป็นห้วง ๆ นั่นเพราะเขากำลังต่อสู้กับฤทธิ์ของยานอนหลับที่พิษสงร้ายกาจเหลือเกิน “ไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงผมบ้างสิ ไม่มีคุณแล้วผมจะอยู่ยังไง” เสียงนั้นค่อย ๆ แผ่วหายไปพร้อมกับแขนแกร่งที่คลายออก เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายคงกำลังดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา ดังนั้นคงให้อ้อมแขนจึงยันกายลุกขึ้นทอดตามองใบหน้าเรียบเฉยอยู่เนิ่นนาน นิ้วเรียวค่อย ๆ เกี่ยวปอยผมที่ตกลงมาปกหน้าฝากจากนั้นก็ลากลงมาตามแนวสันกรามก่อนจะอังฝ่ามือกับแก้มอุ่นก่อนจะกระซิบแผ่วเบา


“ไม่มีผม คุณก็ต้องอยู่ให้ได้”


ร่างสูงลุกจากเตียง รั้งผ้าห่มให้คนที่กำลังนอนหลับสนิท จากนั้นจึงเดินออกจากห้องดึงประตูปิด พลันลมหายใจหนักก็ถูกถอนทิ้งอย่างไม่มีสาเหตุ


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2015 00:29:40 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


อนันต์ นาฏยะ ยังคงลืมตาโพลงอยู่บนเตียงนอนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย รวมถึงเหตุการณ์แต่หนหลังครั้งที่ “วิลาสินี”ภรรยาสุดที่รักจับได้ว่าเขานอกใจไปมีภรรยาอีกคนที่ไม่ได้จดทะเบียนกัน แม้จะให้คำมั่นสัญญาว่าจะยกให้เธอเป็นที่หนึ่งและจะไม่ให้ภรรยาอีกคนได้เข้ามามีสิทธิ์ใด ๆ ในบ้านก็ตาม สุดท้ายคุณนายใหญ่แห่งบ้านนาฏยะก็ตัดสินใจหอบลูกชายคนโตวัยย่างสิบเอ็ดปีไปอยู่ต่างประเทศ และด้วยความที่กิจการโรงละครและธุรกิจอื่น ๆ ของตนเองกำลังเฟื่องฟู จึงทำให้ไม่อาจละทิ้งทุกสิ่งที่เมืองไทยเพื่อไปตามขอคืนดีได้ และเธอก็ไม่เคยกลับมาเหยียบนาฏยกาลอีกเลยแม้จะมีความทรงจำดี ๆ เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้มากมายเพียงใด ตั้งแต่นั้นลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนจึงต้องถูกจับแยกจากกัน แต่อนันต์ก็ยังคงคอยส่งเสียเลี้ยงดูแฝดผู้พี่อย่างสม่ำเสมอ โดยมีข้อแม้ว่าลูกชายจะต้องเรียนและดำเนินชีวิตตามความเห็นชอบของผู้เป็นพ่อ


ดังนั้นเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยอัศวินจึงต้องเรียนในสาขาบริหารธุรกิจโรงละครตามที่ผู้เป็นพ่อต้องการ ซึ่งวิลาสินีก็ไม่ได้ขัดแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ลูกสนใจจริง ๆ นั้นคือทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ อัศวินใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศจนกระทั่งผู้เป็นแม่ล้มป่วย วิลาสินีถูกพากลับมาใช้ชีวิตในปั้นปลายที่เมืองไทยอีกครั้งกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ลูกชายคนโตจึงได้มีโอกาสกลับคืนสู่บ้านนาฏยะ อนันต์ก็พยายามคิดหาหนทางให้ลูกย้ายกลับมาอยู่ด้วยกัน ภายหลังการจากไปของภรรยา เขาจึงแนะนำให้ลูกชายได้รู้จักกับลูกสาวของเพื่อนซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับต้น ๆ ของประเทศ และเมื่ออัศวินรู้ว่าผู้เป็นพ่อได้ทำการหมั้นหมายโดยไม่ได้ถามความสมัครใจจึงโกรธมากจนสองพ่อลูกทะเลาะกันใหญ่โต ทำให้อัศวินตัดสินใจออกจากบ้านนาฏยะกลับไปอยู่ต่างประเทศอีกครั้ง
 

“แกรู้ไหมว่าที่ฉันทำทั้งหมดฉันหวังดีกับแก”


“ไม่!” ผู้เป็นลูกชายกล่าวน้ำตานองหน้า “พ่อกับแม่ไม่เคยหวังดีกับผม แม่พาผมไปอยู่ด้วยก็เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายและกลัว่าทุดท้ายจะต้องอยู่คนเดียว แม่ไม่กล้าขัดพ่อเพราะกลัวว่าพ่อจะไม่ส่งเงินให้ ผมต้องเรียนในสิ่งที่พ่ออยากให้เรียน แต่พ่อกับแม่ไม่เคยถามผมเลยว่าผมต้องการอะไร”


“อะ...ไอ้ใหญ่!” อนันต์ตวาดพลางยกมือกุมหน้าอกตัวเอง “แกหุบปากเดี๋ยวนี้ แกอยากให้ฉันตายอยู่ตรงหน้าแกหรือไง”


“ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผมไม่ได้อยากทำให้พ่ออกแตกตาย แต่คนที่มันกำลังจะทำให้พ่อต้องอกแตกตายน่ะ มันคือไอ้ลูกชายที่พ่อรักนักรักหนาต่างหาก ไอ้เล็กไงพ่อ มันยอมทำทุกอย่างที่พ่ออยากให้ทำอยากให้เป็น” ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเย็นเยือกพอ ๆ กับน้ำเสียง ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังเอ่อก่อนจะหัวเราะหึ “พ่อคงภูมิใจมากสินะที่ตอนนี้มันออกไปเปิดโรงละครของตัวเอง แต่พ่อรู้ไหมไอ้เล็กมันซ่อนอะไรไว้ที่นั่น”


“แกหมายความว่ายังไง เล็กมันซ่อนอะไร”


“ผมว่าพ่อไปดูเองดีกว่า” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินออกไปทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มปริศนาที่ทำเอาผู้เป็นพ่อร้อนใจจนต้องสั่งให้คนเอารถออกเพื่อไปที่ดรามาติก ทเวลฟ์ทันที
 

ชายวัยกลางคนปิดเปลือกตาลงช้า ๆ ท่ามกลางความมืดนั้นได้ยินเสียงประตูค่อย ๆ เปิดออก จากนั้นฝีเท้าแผ่วเบาก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ กระทั่งที่นอนอ่อนยวบเมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่งนั่งลง อนันต์ปรือตามองคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ ครู่หนึ่งเสียเยือกเย็นก็ดังขึ้น “ผมกำลังจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วนะพ่อ อีกไม่กี่วันเรื่องที่มันยืดเยื้อมายาวนานก็จะจบลง จากนั้นผมก็จะแถลงข่าวละครเรื่องสุดท้ายของนาฏยกาลที่จะจัดขึ้นฉลองวันคล้ายวันเกิดของพ่อ มันจะต้องเป็นละครเรื่องยิ่งใหญ่แห่งปี นาฏยกาลจะต้องปิดฉากลงอย่างสวยงาม สวยงามเหมือนกับความรักของพ่อกับแม่ไง” สิ้นประโยคนั้นอัศวินก็ส่งเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังก้องไปทั่วทั้งห้อง ร่างสูงผุดลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไป จึงไม่ทันได้เห็นน้ำตาของผู้เป็นพ่อที่กำลังไหลริน
 

...
 


คันธชาติกลับมาที่โรงละครร้างอีกครั้งและเข้าไปด้านในด้วยวิธีการเดียวกันกับครั้งก่อน ชายหนุ่มบิดลูกบิดเปิดประตูก่อนจะเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับดึงประตูปิดอย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อได้ยินเสียงรถจอดที่ด้านนอกก็ทำให้ต้องรีบเก็บไฟฉายลงในกระเป๋าและก้มให้ต่ำที่สุด  ค่อยๆ คลานหลบหลังล็อกเกอร์เงี่ยหูฟังเสียงปลดโซ่ ไม่นานร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับสาดแสงจากไฟฉายกระบอกใหญ่สำรวจไปรอบ ๆ จากนั้นเขาก็ก้าวเดินอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญผ่านห้องโถงใหญ่เข้าไปยังโรงละครที่อยู่ด้านใน เมื่อเห็นดังนั้นคันธชาติก็ไม่รอช้า ย่องตามไปกระทั่งเข้าสู่ภายในโรงละครซึ่งมีเก้าอี้วางเรียงลดหลั่นกันลงไปถึงหน้าเวที ชายหนุ่มแอบซุ่มดูความเคลื่อนไหวอยู่ที่เก้าอี้แถวบนสุด


ดวงตาที่สามารถปรับสภาพจนคุ้นชินกับความมืดมองตามแสงไฟที่ขยับเป็นจังหวะตามการก้าวเดิน พลันร่างนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนเวทีก่อนจะผลุบหายไปที่ด้านหลัง คันธชาติเริ่มคลานขยับให้ใกล้เข้าไปอีกในขณะที่หูก็คอยฟังเสียง ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องขนาดมหึมา ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงลากของหนักดังมาจากด้านหลังเวทีและเมื่อเสียงเงียบลงแสงจากไฟฉายค่อย ๆ เลือนหายไปจนทั้งบริเวณกลับมืดมิดอีกครั้ง 
 
 
ดวงตาดุดันไล่ตามแสงจากปลายกระบอกไฟฉายไปตามความยาวของโซ่เส้นปลายฝั่งหนึ่งพันอยู่กับเสากลางห้องส่วนอีกฝั่งพันนั้นเข้ากับข้อเท้าผอมโซของใครคนหนึ่งที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ อัศวินย่างสามขุ่มเข้าไปหยุดยืนมองร่างที่ห่อหุ่มด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น ปล่อยมือจากถึงข้าวกล่องและน้ำก่อนจะย่อตัวลง ใช้มือทั้งสองข้างจับที่ต้นแขนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกดึงอีกฝ่ายให้ลุกนั่ง ปัดผมยาวรุงรังไปด้านหลังมองหน้าที่เคยหล่อเหลาพร้อมกับแสยะยิ้ม


“ขอโทษด้วยนะที่พักหลังพี่ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้เอาข้าวมาให้แกกิน เกือบลืมไปแล้วด้วยสิว่ามีแก แต่อีกไม่กี่วันพี่จะพาแกออกไปจากที่นี่ตามสัญญา แกดีใจไหม เราจะได้สลับตัวกันอย่างถาวร พี่จะเป็นอัศนัย นาฏยะ ส่วนแก...แกจะเป็นอัศวิน พี่ชายคนโตที่ถูกระเบิดไปพร้อม ๆ กับดรามาติก ทเวลฟ์ แกรู้ไหมว่าพี่รอคอยเวลานี้มานานแค่ไหน” อัศวินกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแต่ก็ไร้ข้อโต้เถียงจากคนที่ไม่มีแม้แต่แรงจะหายใจ


อัศนัยปรือตามองคนตรงหน้า ยกมือสั่นเทาขึ้นจับคอเสื้ออีกฝ่าย ไม่คิดจะขอชีวิตเพียงแต่อยากจะถามว่าจิตใจของเขาทำด้วยอะไรทำไมถึงได้เหี้ยมโหดเช่นนี้


“แกอยากพูดอะไร อยากสั่งเสียอะไรก่อนตายงั้นเหรอ พูดมาสิ”


“พ...พี่...พี่มันไม่มีหัวใจ” ในที่สุดประโยคสั้น ๆ ก็หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก


“ทำไมฉันจะไม่มีหัวใจ ก็เพราะฉันมีหัวใจน่ะสิ ฉันถึงปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่มาเป็นปี ๆ แกคงทรมานมากใช่ไหม ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้แกก็จะได้เป็นอิสระ ฉันจะพาแกออกไปจากที่นี่แล้ว กินข้าวเสียก่อนสิ แกหิวมากไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็คว้าถุงข้าวมาเปิดออกก่อนจะเททุกอย่างลงบนพื้นพร้อมกับหัวเราะน่ากลัว “ทำไมไม่กินล่ะ กินสิ แกกินเข้าไปสิ ถ้าแกไม่กิน พ่อก็ต้องดุฉันและตีฉัน แกกินสิ”


ไม่พูดเปล่า มือที่เต็มไปด้วยพละกำลังก็จับร่างไร้เรี่ยวแรงกดลงจนหน้าจมกองข้าว ด้วยความหิวโหยอัศนัยพยายามตะเกียกตะกายโกยข้าวเข้าปาก แต่ได้ไปไม่กี่คำก็ต้องคายออกเพราะมันเผ็ดร้อนจนปากที่เริ่มจะเป็นแผลไม่อาจทนไหว


“น...น้ำ ขอ น...น้ำ”


“ทำไม เผ็ดเหรอ” ผู้เป็นพี่หัวเราะก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาหมุนเปิดฝาอย่างเชื่องช้า “แกจำตอนที่แกแอบลงมาเล่นที่นี่แล้วคนงานเผลอใส่กุญแจขังแกไว้ได้ไหม ตอนนั้นทุกคนพากันหาแกให้ทั่วจนกระทั่งมาเจอแกนอนหลับอยู่ในนี้ พอออกไปได้แกก็เอาแต่ร้องไห้ พ่อถามอะไรก็ไม่ตอบ แถมยังหาว่าฉันเป็นคนนำแกลงมาแล้วก็ทิ้งน้อง พอฉันเถียง พ่อก็ตบฉันจนแม่ต้องบอกให้ฉันอยู่เฉย ๆ แกรู้ไหม วันนั้นแกได้กินของอร่อย ๆ  ส่วนฉันน่ะรึ พ่อให้ฉันกินข้าวใส่พริกนี่ โลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเลยนะแกว่าไหม” อัศวินยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สา


“ตอนเด็ก ๆ พ่อกับแม่มักจะสอนเสมอว่าคนเป็นพี่ต้องยอมเสียสละ ตอนนี้มันถึงเวลาที่น้องอย่างแกต้องเสียสละอะไรตอบแทนฉันบ้างแล้วละ” พูดจบก็ปาขวดลงพื้นอย่างไม่สบอารมณ์ มองดูคนที่กำลังกระเสือกกระสนเลียน้ำผสมฝุ่นด้วยแววตาเฉยเมย ร่างสูงยืนอยู่ได้เพียงไม่นานก็เดินขึ้นบันไดไป จัดการเลื่อนตู้หลังใหญ่กลับที่เดิมก่อนจะกระโดดลงจากเวที เดินเลาะไปตามแนวทางเดินระหว่างที่นั่งออกสู่ห้องโถงใหญ่


คันธชาติดูจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจึงออกจากที่ซ่อน ค่อย ๆ คลำทางเข้าไปจนถึงหน้าเวทีขนาดยักษ์ ขายาวก้าวไปตามทางเดินพลางสาดไฟสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวที เงยหน้าขึ้นมองไปตามช่องที่ถูกเจาะเท่ากับตึกสามชั้นด้านบนมีใส่โครงเหล็กซึ่งใช้สำหรับการชักรอกและติดตั้งสปอร์ตไลต์รวมถึงผ้าม่าน


ร่างสูงเดินไปยังหลังเวทีก็ไม่พบว่าจะมีประตูที่จะเปิดไปสู่ห้องอื่น ๆ ได้ แล้วเหตุใดอัศวินจึงหายเข้ามาในนี้นานเหลือเกิน แถมตอนขากลับก็ออกมาตัวเปล่า คิดได้ดังนั้นคันธชาติก็เริ่มสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง กระทั่งมาหยุดที่หน้าตู้ใบใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อหนา คาดว่าจะเคยถูกใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก ตู้ทั้งใบมีฝุ่นจับหนายกเว้นที่ด้านหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงรวบรวมกำลังดันมันออกจากตำแหน่งเดิมจนในที่สุดก็พบว่าที่พื้นนั้นมีสามารถเปิดออกได้


มือเรียวค่อย ๆ เลื่อนแผ่นไม้สี่เหลี่ยมจตุรัสที่ปิดช่องขนาดพอให้คนตัวใหญ่ลงไปได้สบาย ๆ ออก พบว่ามีบันไดสำหรับเดินลงสู่พื้นที่ด้านล่าง ตอนที่โรงละครยังเปิดใช้งานอยู่ ช่องทางนี้คงจะเอาไว้สำหรับจัดการกับกลไกต่าง ๆ ที่ใต้พื้นเวที คันธชาติเดินสาดแสงไฟก่อนจะเดินลงไปตามแนวบันได เมื่อปลายเท้าแตะพื้นก็รู้สึกคล้ายตนเองกำลังยืนอยู่ในห้องอีกห้องที่ทั้งอับและเต็มไปด้วยฝุ่น ชายหนุ่มเดินสำรวจไปรอบ ๆ ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียงโซ่เสียดสีกับพื้นเป็นระยะ และเมื่อลำแสงจากไฟฉายกระบอกน้อยสาดกระทบกับร่างซูบผอมของใครคนหนึ่งก็ให้รู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง
 

ตาคมจ้องไปยังปลายสุดของลำแสงก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ พบว่าที่ข้อเท้าซึ่งถูกล่ามด้วยโซ่นั้นเต็มไปด้วยแผลเหวอะมีเลือดซึมอยู่ตลอดเวลา ร่างสูงนั่งลงใกล้ ๆ ยกมือขึ้นปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นสาบสาง “ค...คุณ คุณคือคุณอัศนัยหรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบจากร่างอ่อนแรงที่กำลังหันหลังให้ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจรวยรินสลับกับไอเป็นระยะ


“น...น้ำ...ขอน้ำ...”


เมื่อได้ยินดังนั้นคันธชาติก็หันซ้ายหันขวาก่อนจะคว้าขวดพลาสติกที่ยังพอมีน้ำเหลืออยู่ พยุงร่างผ่ายผอมให้ลุกขึ้นแล้วป้อนน้ำให้ มันน่าตกใจเหลือเกินที่อยู่จู่ ๆ คนที่ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงก็ตะเกียกตะกายดื่มน้ำที่มีอยู่เพียงน้อยนิดราวกับปลาที่กำลังกระเสือกกระสนด้วยแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อไปให้ถึงแหล่งน้ำ


“ค่อย ๆ คุณ เดี๋ยวสำลัก” พูดพลางลูบหลังอีกฝ่ายที่ถูกคลุมทับด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่น นึกอะไรขึ้นมาได้จึงใช้ไฟฉายส่งดูที่ใต้บ่าด้านขวา รอยแผลปูดนูนเนื้อหนังหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดียิ่งทำให้คนมองเสียวสะท้านเมื่อนึกถึงความโหดร้ายของคนที่ทำให้เป็นเช่นนี้


คันธชาติประคองร่างผอมสูงขึ้นพิงกับอกก่อนจะสัมผัสมือลงกับแก้มตอบก่อนจะออกแรงตบเบา ๆ ให้ได้สติ “อดทนไว้นะคุณอัศนัย ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณออกไปให้ได้” ตาคมทอดมองคนในอ้อมแขนผ่านความมืด รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน เห็นเพียงแววตาหม่นที่สะท้อนแสงไฟในความมืด เพียงเสี้ยววินาทีดวงตานั้นก็กลับเบิกกว้าง มือเกร็งจิกเล็บยาวลงที่ท่อนแขนจนเจ็บแปลบ


ทันใดนั้นเองหูของคันธชาติก็ได้ยินเสียงเหมือนลูกมะพร้าวตกลงบนพื้น นึกสงสัยว่าเหตุใดภาพตรงหน้าหน้าจึงเอียงกะเท่เร่เช่นนี้ พยายามจะขยับตัวมองให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นของเหลวอุ่น ๆ ที่ซึมจากศีรษะที่ซาไปครึ่งซีกก็ไหลลงกลบตาเสียก่อน เห็นเพียงรองเท้าขัดมันเอาวับที่มายืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะสิ้นสติในที่สุด
 

....
 


เสียงรัวกดกริ่งที่หน้าประตูทำให้ร่างสูงที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงค่อย ๆ ปรือตาตื่นขึ้นในขณะที่มือก็ควานหานาฬิกาตั้งโต๊ะ เลขดิจิทัลที่หน้าปัดซึ่งบอกว่าอีกสิบหน้านาทีจะสิบโมงเช้าทำให้ธันวาเด้งตัวลุกขึ้นสะบัดหัวนึกทบทวนเรื่องบที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่เสียงกริ่งที่หน้าห้องรวมถึงเสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดก็ทำให้ความคิดหยุดชะงัก คว้าโทรศัพท์ได้คนที่โทรเข้ามาก็วางสายไปเสียแล้ว


“ห้าสิบสองสาย” ปากอิ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นคนที่มากดกริ่งก็ให้รู้สึกแปลกใจนัก


“คิดแล้วเชียวว่าน้องธันต้องอยู่ พี่เห็นแวบ ๆ ว่ารถยังจอดอยู่ที่ลานจอดรถ” เก็จแก้วที่เป็นคนกดกริ่งกล่าวพร้อมกับเอามือทาบอกอย่างโล่งใจ “น้องบุ้งอยู่ข้างในหรือเปล่าคะ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นอาจารย์หนุ่มก็ส่ายหัว “แล้วทำไมถึงมากันพร้อมหน้าแบบนี้ล่ะครับ”


“คุณพบไอ้บุ้งครั้งสุดท้ายเมื่อไร” เก่งกาจเอ่ยขึ้น


“ม...เมื่อคืน” ยังไม่ทันจะถามที่มาที่ไปกะเทยร่างท้วมที่ยืนง่วนกดโทรศัพท์อยู่ด้านหลังก็แทรกขึ้น


“นี่เจ๊กดโทรศัพท์หาน้องบุ้งจนมือจะหงิกแล้วนะคะ แต่ก็ไม่มีคนรับ”


“รตีกดกริ่งหลายรอบแล้วพี่บุ้งก็ไม่เปิดประตูค่ะ สงสัยว่าจะไม่อยู่” สาวร่างบางที่เดินมาสมทบเอ่ยขึ้น ทุกคนต่างมีสีหน้าเป็นกังวลจนคนเพิ่งตื่นนอนเริ่มสงสัย


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”


“ผมให้ลูกน้องตรวจสอบประวัติคุณอัศวิน พบว่าเขามีประวัติเคยเข้ารับการรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แล้วเมื่อเช้าคุณอนันต์ก็ให้ลุงพันโทรมาบอกว่าเมื่อคืนลูกชายของเขาพูดจาอะไรแปลก ๆ หลังจากวางสายลุงพันผมก็โทรหาไอ้บุ้งแต่มันไม่รับสาย ตรวจสอบกับทุกคนแล้วแต่ไอ้บุ้งก็ไม่ได้ไปหาใคร ทั้งที่วันนี้มันเองบอกกับเจ๊พุดดิ้งว่าจะเข้าไปช่วยเตรียมชุดสำหรับงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่จะมีขึ้นในตอนค่ำของวันพรุ่งนี้”


“รตี ผู้กองแล้วก็พี่พุดดิ้งโทรหาอาจารย์ แต่อาจารย์ก็ไม่รับสาย ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไป พวกเราเลยพากันมาที่นี่ค่ะ” อารตีเสริม


“บ...บุ้ง” ธันวาเกาหัวพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ข...เขา เขาใส่ยานอนหลับในกาแฟให้ผมดื่ม เขาบอกว่าถ้าอัศวินไม่บอกว่าอัศนัยตัวจริงอยู่ที่ไหนเขาก็จะค้นหาให้พบด้วยวิธีของเขา”


“มันคิดอะไรของมันเนี่ย ทำไมเอาตัวเองไปเสี่ยงแบบนี้” เก่งกาจกล่าวอย่างร้อนใจ


“แล้วอย่างนี้เราจะทำยังไงกันดีคะผู้กอง” พุฒิพงศ์เอ่ยขึ้น


นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเฮือกยืนนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะตอบ “วันนี้เจ๊เข้าไปที่นาฏยกาลและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด คอยสังเกตดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลโทรหาผมได้ตลอดเวลา”


“ค่ะผู้กอง” พุดดิ้งรับคำพลางพึมพำว่าใจคอไม่ค่อยดีทำเอาสาว ๆ ขยับมารวมกลุ่มจับมือกันแน่น


“ส่วนคุณ ด็อกเตอร์ คุณไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปเจอผมข้างล่าง ผมว่าวันนี้เราคงต้องเหนื่อยกันแน่ ๆ”


ธันวาพยักหน้า ยอมรับว่าตอนนี้ตนเองก็รู้สึกใจคอไม่ดีเช่นกัน
 

หลังการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของคอนโดเก่งกาจก็พบว่าคันธชาติเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าคอนโดมื่อตอนเกือบเที่ยงคืน เมื่อตรวจสอบเลขทะเบียนก็ทำการติดต่อแท็กซี่คันดังกล่าว ซึ่งคนขับให้การว่าผู้โดยสารว่าจ้างให้ไปส่งยังโรงละครร้างก้นซอยสิบสองที่แยกออกจากถนนละครซึ่งเป็นถนนสายบันเทิงสายสำคัญใจกลางกรุง แต่เมื่อตามไปทั้งเก่งกาจและธันวาก็ต้องผิดหวังเพราะพบว่าที่นั่นไร้ซึ่งเงาของคนที่กำลังตามหา


สองคนใช้เวลาทั้งวันในการโทรศัพท์สอบถามไปตามโรงพยาบาล สถานีตำรวจรวมถึงหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสของคันธชาติ กระนั้นทั้งคู่ก็ยังไม่ละความพยายาม ตาคมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงชื่อของเจ้าของเบอร์ที่เพิ่งกดโทรหาเมื่อครู่ ภาวนาในใจให้ปลายสายกดรับสักที แม้ทุกครั้งที่คุยกันจะมีแต่สร้างความปวดหัวให้ตลอด แต่วันนี้กลับเป็นวันที่อยากได้ยินเสียงนั้นมากที่สุด ธันวาถอนใจเฮือกใหญ่ในขณะที่ปากก็พร่ำพูดให้รับสายสักที


“รับสิบุ้ง คุณรับสายผมสักทีสิ” พูดอยู่อย่างนั้นกระทั่งจู่ ๆ สายก็ถูกตัดไป ธันวาเงยหน้าขึ้นมองไปในความมืดพลันร่างของคนในชุดสีกากีที่เดินถือถุงพะรุงพะรังก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหนึ่ง ขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงรถ เปิดประตูเข้ามานั่งพร้อมกับวางถุงที่ได้จากร้านสะดวกซื้อลงข้างตัวก่อนจะพูดขึ้น


“เป็นยังไงบ้าง โทรติดไหม”


“ติดครับ แต่บุ้งไม่รับสาย เมื่อกี้ก็กดตัดไป” ธันวากล่าวก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง “ปิดเครื่องไปแล้ว”


“เฮ้อ! มันทำอะไรของมันอยู่เนี่ย” นายตำรวจหนุ่มบ่นพลางยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเอง “เมื่อกี้ลุงทินกฤตกับป้าบุปผาก็โทรมาหาผมเพราะท่านติดต่อลูกชายท่านไม่ได้”


“มันอาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็ได้นะครับผู้กอง ผมภาวนาให้เป็นอย่างนั้น” อาจารย์หนุ่มพูดปลอบทั้งที่จริงแล้วในใจนั้นร้อนรุ่มยิ่งกว่าคนข้าง ๆ เสียอีก ดวงตายังคงทอดมองไปในความมืดนึกถึงอีกคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นเช่นไร ได้ยินเสียงถอนใจเฮือกใหญ่กับคำพูดสั้น ๆ ที่ฟังแล้วให้ใจหายนัก


“กลัวว่ามันจะร้ายแรงกว่าที่คิดสิครับ”


สิ้นเสียงเก่งกาจ สองคนต่างก็สบตากันอย่างหนักใจ


...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2018 23:12:35 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โอย...ภาวนาอย่าให้บุ้งเป็นอะไรมากเลย อัศวินนี่มันบ้ามาก ๆ เลย

ออฟไลน์ YOSHIKUNI RUN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
อ่านเรื่องนี้ ลุ้นทุกตอนเลยจริงๆ :ling3: :hao4:

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อ่านฉากเลิฟซีน(ของคนอื่น)ที่คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้าเขียนไม่ชินสักที
บางครั้งนะรู้สึกว่าบุ้งไม่ได้รักคุณด็อกเตอร์ธันวามากเท่าที่อีกฝ่ายรักเขาเลย

น่าสงสารอัญชลิสาที่ต้องทนนอนกับอัศวินทั้งๆที่รักอัศนัย

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
โอ้ว ลุ้นมาก

บุ้งนี่ดื้อจริงๆ ไม่ค่อยยอมฟังอะไร (แม้แต่เสียงหัวใจตัวเอง)
ชอบเสี่ยง บ้าบิ่น (แต่ป๊อดเรื่องธันวา)

รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
จะทำไงกะบุ๊งดีนะช่าวดื้อรั้นจริงๆ
จนเป็นเรื่องเข้าแล้วไหมละเนี่ย

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 19 : ก่อนลมหายใจสุดท้าย (ตอนจบ)


ความรู้สึกปวดหน่วงที่ศีรษะและเจ็บร้าวที่ชายโครงปลุกให้คันธชาติลืมตาขึ้นอีกครั้ง พยายามยันร่างตัวเองขึ้นแต่เรี่ยวแรงก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด มองเห็นข้อมือทั้งสองถูกมัดรวมกันด้วยเชือกเส้นใหญ่เหมือนกันกับที่ขา ชายหนุ่มกระถดตัวชิดลังไม้ใบใหญ่เพื่อหาที่ยึดเกาะจนกระทั่งสามารถดึงตัวลุกนั่งได้สำเร็จ ในหัวปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดพร้อมกับกวาดตามัวมองไปรอบ ๆ พบว่าร่างของอัศนัยยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ของเหลวข้นไหลตกลงจากศีรษะเข้าในดวงตาเรียกความคิดกลับมาอยู่ที่ความเจ็บปวดบนศีรษะ เมื่อมือขาวเอื้อมแตะลงยังกลุ่มผมเปียกชื้นจึงรู้ว่ามันคือเลือดนั่นเอง
 

โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ร่างระบมถึงกับสะดุ้งเอี้ยวตัวรีบดึงโทรศัพท์ออกมาดู แต่ยังไม่ทันจะได้กดรับสาย เสียงลากเปิดแผ่นไม้ปิดช่องทางลับก็ดังขึ้น คันธชาติจึงกดปิดโทรศัพท์ทันทีก่อนจะสอดลงใต้กองไม้แสร้งนอนลงเหมือนเดิม ครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นใกล้หูก่อนจะที่ร่างสูงจะง้างเท้าหวดเข้าที่ชายโครงซ้ำเล่นเอาจุก ปวดแปลบแล่นไปทั่วร่าง หูที่แนบอยู่กับพื่นได้ยินเสียงลากรองเท้าแกรกก่อนที่พื้นรองเท้าหนังอย่างดีจะกดขยี้ลงบนแก้มเนียนซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ตื่นได้แล้ว” เสียงนั้นดังกังวานไปทั่วพื้นที่แคบ ๆ ใต้เวที มันฟังดูน่ากลัวจนคนเจ็บไม่อาจฝืนหลับตาได้อีกต่อไป


ตาคู่สวยเปิดขึ้นอีกครั้งก่อนจะที่เจ้าของร่างจะพยายามขยับตัวให้ห่างจากฝ่าเท้าหยาบคาบแต่มันคงดูชักช้าน่ารำคาญเกินไปในสายตาคนมอง มือหนาจึงคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อออกแรงดึงจนตัวปลิวไปติดกับเสา “แกเป็นใคร” อัศวินถามเสียงเหี้ยม ในขณะที่คนถูกถามทำยักไหล่ไม่แยแส ยกมือขึ้นซับเลือดที่มุมปาก แถมยังหัวเราะหึจนอีกคนหัวคิ้วกระตุกด้วยความโกรธ


“ผมต้องถามคุณมากกว่า ว่าคุณคือใคร อัศนัยหรืออัศวินกันแน่”


“ฉันถามว่าแกเป็นใคร แกรู้เรื่องของฉันได้ยังไง” ปากหยักเน้นเสียงทีละคำอย่างชัดเจนพร้อมกับออกแรงบีบต้นคอแน่นจนคันธชาติต้องมุ่นคิ้วด้วยความเจ็บ แต่ก็ยังกัดฟันทนตอบคำถาม


“กิ่งดาวบอกผม”


“ก...แก แกรู้จักเด็กนั่นได้ยังไง”


“แล้วคุณล่ะ รู้จักกิ่งดาวได้ยังไง”         


คนฟังกัดฟันกรอดยกมืออีกข้างจับใต้คางให้ใบหน้าที่กรังไปด้วยเลือดเชิดขึ้นสบตา จากนั้นจึงออกแรงบีบจนคนใต้อาณัติทนไม่ไหวพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีมออกแต่ก็ไร้ผล มือหนายังคงบีบแน่นและยิ่งเพิ่มแรงขึ้นไปอีกเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ จู่ ๆ แววตาดุดันก็กลับอ่อนลงอย่างน่าประหลาดใจ อัศนัยค่อย ๆ คลายมือออกก่อนจะลุกขึ้นเดินวนไปรอบ ๆ พร้อมกับกัดเล็บตัวเองอย่างกระวนกระวาย


“เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วเหรอครับ” คันธชาติเอ่ยขึ้นในขณะมองตามร่างสูง “กลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผยสินะ ความจริงที่ว่าคุณคือฆาตกรที่ฆ่ากิ่งดาว”


ขายาวหยุดนิ่งกับที่ก่อนจะหันมาสบตาคนพูดพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “แกรู้ได้ยังไง”


คันธชาติหัวเราะหึก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะรู้ได้ยังไง แต่ถ้าให้ผมเดา คุณคงถือโอกาสใช้เรื่องของกิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้ามาที่นี่”


อัศวินปลี่เข้ามาก่อนจะย่อตัวลงดึงคอเสื้อคนพูด “ฉลาดดีนี่ ทำไมไม่ใช้ความฉลาดไปทำอย่างอื่นนะ” คนพูดยิ้มกริ่มก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา


“จะทำอะไรน่ะ” คันธชาติกล่าวพลางขยับตัวนี้แต่ก็ติดเสา


“จะทำให้แกหยุดพูดมากสักพักไง” พูดจบก็โปะผ้าผืนนั้นที่จมูกของคนหมดทางหนี คันธชาติพยายามดิ้นให้หลุดแต่แรงที่มีก็น้อยนิดเหลือเกิน


อัศวินยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งไป เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋าปล่อยมือจากคอของคนตรงหน้าก่อนจะลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋าออกมาดูแล้วจึงเดินออกจากห้องใต้เวทีนั้น
 

...
 

ที่ห้องแต่งตัวของนาฏยกาลเต็มไปด้วยบรรดานักแสดงหลักที่ง่วนอยู่กับการลองชุดที่จะใช้ในงานแถลงข่าวเปิดตัวละครเวทีที่จะมีในตอนค่ำของวันถัดไป อัญชลิสาที่กำลังยืนให้พุฒิพงศ์แต่งตัวชะเง้อคอมองหาผู้ช่วยช่างเสื้อที่มักจะติดสอยห้อยตามมาด้วยบ่อย ๆ แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา สาวสวยจึงถามขึ้น


“วันนี้...บุ๊งไม่มาด้วยเหรอเจ๊”


“ม...ไม่”


“ไม่สบายเหรอ”


กะเทยร่างอวบชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่าด้วยแววตาเป็นกังวลก่อนจะกระซิบเบา ๆ “ไม่รู้ว่าหายไปไหน”
คนฟังมีสีหน้าตกใจไม่น้อยก่อนจะถามต่อ “ตั้งแต่เมื่อไร”


“ค...คิด คิดว่าเมื่อคืน”


ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เสียงของอัศนัยดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มเป็นพิเศษ เขาทักทายทุกคนในห้องก่อนจะเดินตรงมายังอัญชลิสาที่อยู่ในชุดเจ้าหญิงสวยสะดุดตา มือหนาจับลงที่ต้นแขนก่อนจะกล่าวชื่นชมจนทุกคนในห้องพากันอิจฉานางเอกละครคนสวย หนุ่มหล่อเจ้าของโรงละครไม่ลืมที่จะหันกลับมาขอบอกขอบใจคนออกแบบชุดที่มีส่วนทำให้ละครเรื่องสำคัญออกมาอลังการที่สุด
 

เมื่อนักแสดงแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พากันออกมายืนถ่ายภาพเป็นที่ระลึกที่ด้านหน้าโรงละคร อัญชลิสามองชายหนุ่มที่กำลังเงยหน้ามองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณของโรงละครที่มีชื่อเสียงยาวนานซึ่งเขามีโครงการว่าจะทำลายมันทิ้งและสร้างเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่


“คุณตัดสินใจดีแล้วเหรอคะ”


คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้า “ผมตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ในงานแถลงข่าว ผมจะบอกเรื่องนี้กับทุกคน”


สาวสวยเดินเข้ามาใกล้พลางส่งสายตาเย้ายวน “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราพอจะมีเวลานั่งดื่มรำลึกความหลังกันหน่อยไหมคะ”


อัศนัยรู้สึกพอใจกับสัมผัสจากปลายนิ้วที่ลากวนอยู่บนแผงอกของตัวเองไม่น้อย แต่ก่อนที่มือเล็กจะเลื่อนลงต่ำก็มีบางอย่างผุดขึ้นในความคิดจนเขาจำต้องรั้งมือของอีกฝ่ายออก


“คืนนี้ผมไม่ว่าง เอาไว้หลังงานแถลงข่าวแล้วผมจะอยู่กับคุณไม่ไปไหนเลย ผมสัญญา” พูดจบก็จูบลงกลางหน้าผากของสาวสวยโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่น


ร่างบางที่ยืนสง่าดุจพญาหงส์มองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปทุกขณะ ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยแววแห่งความอิจฉาที่กำลังจ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อไม่ได้ทำให้รู้สึกสะทกสะท้าน แม้จะรู้ดีว่าบรรดานักแสดงสาวประเภทสองที่ต่างก็หมายปองจะได้หนุ่มหล่อมาเป็นของตัวเองต่างพากันเต้นเร่าราวกับถูกไฟแห่งความริษยาแผดเผา แต่อัญชลิสากลับคิดว่านั่นถือเป็นโชคดีของพวกเธอทั้งหลายแล้ว
 

...
 

คันธชาติไอถี่ ๆ เมื่อจมูกได้กลิ่นฉุนของน้ำมันก๊าดพลันเปลือกตาที่หนักอึ้งก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสายตาปรับให้ชินต่อความมืดมิภายในห้องใต้เวทีได้เขาก็พบว่าตนเองอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจึงขยับตัวเข้าใกล้กองไม้และรั้งโทรศัพท์มือถือออกมาก่อนจะจัดการเปิดเครื่อง สัญลักษณ์ที่หน้าจอโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่าแบ็ตเตอรี่เหลือน้อยเต็มที เขาจึงตัดสินใจกดส่งต่อข้อความที่ได้รับจากกิ่งดาวไปให้ใครคนหนึ่ง เพียงไม่นานคนที่กำลังเฝ้ารอการติดต่อจากเขาก็โทรเข้ามา คันธชาติล้มตัวลงนอนใช้ปลายนิ้วกดรับสายเปิดลำโพงกลืนน้ำลายเหนียวลงคอที่แห้งผากพยายามเปล่งเสียงออกไปแต่มันก็เบาเกินกว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน


“ธ...ธัน...”


“บุ้ง คุณอยู่ที่ไหน!”


“บุ่งบุ๊ง บุ่งบุ๊งได้ยินเจ๊ไหม!”


ยังไม่ทันที่คันธชาติจะตอบคำถามนั้น ไม้หน้าสามที่เคยฟาดลงที่ศีรษะของเขาก็กดลงบนหน้าจอโทรศัพท์จนแตกกระจายสลายไปพร้อมกับหนทางที่จะมีชีวิตรอด ชายหนุ่มหลับตาลงรอการลงฑัณฑ์ไม่นานเท้าหนัก ๆ ก็กระหน่ำเหยียบลงมาบนมือที่พยายามจะเอื้อมคว้าโทรศัพท์


“บุ๊งอย่างนั้นเหรอ” อัศวินประคองร่างระบมให้ลุกขึ้นนั่ง “ถ้าอย่างนั้นของพวกนี้ก็ของคุณใช่ไหม” พูดจบก็หยิบวิกผมและซิลิโคลนบราที่พบอยู่ที่ด้านหลังโรงละครออกมา มือสั่นเทาประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำขึ้นมาพร้อมกับเช็ดคราบเลือดให้ “คุณหลอกผม ทำไมคุณต้องหลอกผม”


คันธชาติไม่ตอบคำถามแต่กลับถามหาอีกคน “คุณเอาคุณอัศนัยไปไว้ที่ไหน”


แฝดผู้พี่ยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะทิ้งร่างคนถามอย่างไม่แยแสก่อนจะหยิบไฟแช็กในกระเป๋าขึ้นมาจุดแล้วเป่าให้ดับ ทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น แสงไฟที่ถูกติดขึ้นเป็นระยะทำให้คันธชาติเห็นว่ารอบตัวเต็มไปด้วยเทียนหอมในใสที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งผสมกับกลิ่นน้ำมันแสบจมูก


“ผมกำลังจะส่งมันไปอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ ที่ที่มันจะเป็นอิสระ ไม่ต้องมีใครบังคับให้ทำนั่นทำนี่ไง” ดวงตาจ้องเขม็ง ในขณะที่ปากหยักยังคงคลี่ยิ้มชวนสะพรึง มือแกร่งคว้าจับที่คอระหง “มันควรจะเรียบร้อยนานแล้วถ้าหากนังเด็กนั่นไม่เข้ามายุ่ง มันโง่เองที่เดินเข้ามาบอกไอ้เล็กว่ามันเป็นใคร แล้วก็ยอมทำตามที่ไอ้เล็กบอกให้ทำเพื่อแลกกับการได้เข้ามาหาข้อมูลที่นี่ แต่ที่ไม่น่าให้อภัยก็คือเธอทำให้ผมเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นเหมือนกับคนอื่น ๆ ในโรงละคร เหมือนอัญชลิสาที่มีร่างกายสวยงามน่าหลงใหล แต่จริง ๆ แล้วหลอกลวงทั้งเพ”


“ล...แล้ว เรื่อง...ที่คุณ ท...ทำล่ะ ม...ไม่เรียกว่าหลอกลวงเหรอ” คันธชาติกล่าวตะกุกตะกักแกะมือที่กำลังบีบรัดลำคอของตนเองออกพร้อมกับพยายามโกยอากาศเข้าปอดแต่มือนั้นก็ยิ่งบีบแน่น


“ผมทำเพื่อปลดปล่อยน้องชายแสนอ่อนแอของผม ผมเสียสละในฐานะของคนเป็นพี่ไง ผมยอมให้ชื่ออัศวิน นาฏยะ ตายไปจากโลกนี้” กระซิบพลางรั้งอีกฝ่ายขึ้นมาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มเหี้ยมก่อนเปล่งเสียงดังจนคนฟังตกใจหลับตาปี๋ “บึ้ม! แล้วทุกอย่างก็จะจบ ไอ้เล็กจะได้ไปพบกับคนที่คิดจะช่วยมันบนสวรรค์”


คันธชาติสู้ตาคนพูดพร้อมกับรวบรวมกำลังก่อนจะถามคำถามสุดท้ายที่ยังคาใจ “ป...เป็น เป็นคุณ ใช่ไหมที่คอยตามดูกิ่ง แล้วยังเข้าไป ข...ขโมย ด...ไดอารี เล่มนั้นที่ห้องของกิ่ง” กล่าวพลางนึกถึงชายผู้อำพรางใบหน้าด้วยแว่นกันแดดและหมวกแก๊ปซึ่งเห็นจากกล้องวงจรปิดตนเองไปขอดูหลังเมื่อตอนที่เข้าไปย้ายข้าวของจากห้องของเพื่อนสาวคนสนิทกลับมายังบ้านที่ปากช่อง และนี่ก็คือเรื่องสุดท้ายที่เขายังไม่ได้บอกให้เก่งกาจหรือธันวารู้


“ใช่ ผมตามดูเธอ เพราะอย่างนั้นผมถึงได้รู้ว่ากิ่งดาวเป็นผู้หญิง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอไม่ต่างจากแม่ของผม ที่น่าสงสารก็คือแค่ถูกไล่ไปยืนอยู่ริมดาดฟ้าเธอตัวสั่นไปหมด ผมยังไม่ทันทำอะไรเธอก็ตกลงไปเสียแล้ว”


เสียงระเบิดหัวเราะและคำพูดที่เพิ่งจบไปทำเอาคนฟังน้ำตานองหน้า คันธชาติกัดฟันแน่นจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขม็ง “ค...คุณมันเลวที่สุด คุณ ทำ กับกิ่ง...อย่างนี้ได้ยังไง”


“กิ่งดาวก็เหมือนคุณที่เข้ามาในนี้เพื่อจะเปิดโปงเรื่องของผม เธอคิดจะส่งจดหมายนั่นให้อัญชลิสา” พูดพลางออกแรงบีบคอขาวจนขึ้นรอย จากนั้นก็จับร่างไร้เรี่ยวแรงพิงกับเสากลางห้องก่อนจะมัดตรึงด้วยเชือกเส้นใหญ่


“คุณคงเป็นเพื่อนของกิ่งดาวสินะ” พูดไปก็ก้มหน้าก้มตาผูกเชือกไป เมื่อเรียบร้อยดวงตาวาวโรจน์ก็เลื่อนขึ้นสบตาคนที่ไม่มีแม้แต่จะร้องขอชีวิต “คุณรู้ตัวไหมว่าคุณน่าสนใจกว่าเธอตั้งเยอะ น่าเสียดายที่เรามีโอกาสคุยกันน้อยไปหน่อย เพราะอีกไม่นานเมื่องานแถลงข่าวเริ่มขึ้น ที่นี่ก็จะกลายเป็นเหมือนโคมไฟดวงใหญ่ที่เปล่งแสงร่วมยินดีไปกับผม ผมจะจุดเทียนไว้ให้คุณ คุณจะได้มองเห็นว่ารอบ ๆ ตัวมันสวยงามขนาดไหน แต่ไม่ต้องห่วงนะการตายของคุณจะไม่สูญเปล่าหรอก เพราะผมจะให้ข่าวว่าคุณคือพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยดับเพลิงจนเสียชีวิตอยู่ในนี้”


คันธชาติวางหน้านิ่งเบนสายตาไปทางอื่น กลิ่นของน้ำมันทำให้เขาแสบจมูกพอ ๆ กับควันจากเปลวเทียนที่ค่อย ๆ ถูกจุดขึ้นโดยคนที่กำลังพูดพร่ำถึงเรื่องราวน้อยเนื้อต่ำใจของตนเองในอดีตราวกับคนเสียสติ ไม่นานเทียนหอมที่วางเรียงรายอยู่บนพื้นก็ทำให้ห้องที่เคยมืดทึบกลับแสงสว่างไสว ร่างสูงของอัศวินจากไปแล้วเหลือเพียงดวงตาสิ้นหวังที่ยังคงทอดมองเปลวไฟที่ปลายเทียนไขแท่งตรงหน้า อีกไม่นานมันคงจะหลอมละลายจนติดกับลังไม้ลามไปยังพื้นที่ถูกราดด้วยน้ำมันจนชุ่ม แล้วตัวเขาเองก็คงจะได้ตามไปพบกับกิ่งดาวในที่สุด คิดได้ดังนั้นเปลือกตาก็ปิดลงช้า ๆ ฟังเสียงลมหายใจที่เริ่มจะรวยรินของตนเอง
 

...
 

เก่งกาจในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะยกกล้องขึ้นคล้องคอแล้วเดินกลับเข้ายังห้องประชุมที่มีเวทีอยู่ด้านหน้า ร่างบึกนั่งลงข้างชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ก่อนจะพูดให้ได้ยินกันเพียงสองคน


“ผมให้ลูกน้องระงับการระเบิดตึกและเข้าไปค้นที่นั่นแล้วนะ อีกไม่นานน่าจะส่งข่าวมา แล้วทางคุณเป็นยังไงบ้าง”


“เมื่อกี้ผมลองโทรไปอีกรอบแต่ติดต่อไม่ได้แล้ว” ธันวากล่าวทั้งที่ยังจ้องหน้าจอโทรศัพท์


“แล้วนี่เจ๊พุดดิ้งไปไหน”


“เข้าไปช่วยแต่งตัวที่ด้านใน”


นายตำรวจหนุ่มในคราบของนักข่าวพยักหน้าก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับงานแถลงข่าว ซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยบรรดากระจิบกระจอกข่าวสายบันเทิงที่ต้องการข้อมูลก่อนใครแล้วยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบหลายนายแฝงตัวรวมอยู่ด้วย สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปยังการแสดงบนเวทีที่เป็นการนำตอนสำคัญของละครเวทีเรื่องหน้ากากดอกไม้มาให้ผู้ชมได้ดู หลังจากการแสดงจบลงเสียงปรบมือก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง จากนั้นพิธีกรสาวสวยก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนจะกล่าวทักทายสื่อมวลชนจากนั้นก็ชี้แจงวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ให้ทราบ แล้วจึงเชิญนักแสดงหลักนั่งประจำที่บนเวที ปิดท้ายด้วยคนสำคัญที่ไม่อาจขาดได้นั่นก็คือ อัศนัย นาฏยะ ผู้เป็นเจ้าของโรงละครนาฏยกาลแห่งนี้


หนุ่มหล่อเจ้าของกิจการสีหน้ายิ้มแย้มหยุดยืนที่กลางเวทีก่อนจะเหลียวกับไปมองผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่บนรถเข็นหลบหลังฉากซึ่งเป็นโปสเตอร์ละครเรื่องใหม่ อัศนัยเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นางเอกสาวสวยที่โซฟาตรงกลาง จากนั้นการแถลงข่าวจึงเริ่มต้นขึ้นโดยมีพิธีกรสาวประเภทสองที่ควบตำแหน่งเลขาท่านประธานเป็นผู้ดำเนินรายการ นอกจากพูดถึงละครเรื่องใหม่แล้ว อัศนัยยังได้กล่าวถึงการปิดตัวของนาฏยกาลไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งนั่นก็สร้างความตกใจอย่างมากให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานรวมถึงบรรดานักแสดงที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงมีช่วงตอบคำถามเพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ถามทุกข้อที่สงสัย โดยผู้ตอบคำถามก็คือผู้คุมบังเหียนของนาฏยกาลนั่นเอง


เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอยู่ใกล้หูทำให้ธันวาต้องละสายตาจากเวทีหันมามองคนนั่งข้างกันที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย สังเกตว่าเก่งกาจไม่ได้พูดอะไรมากแต่สีหน้าของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทันทีที่วางสายนายตำรวจหนุ่มก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง


“มีอะไรหรือเปล่าครับผู้กอง”


“ลูกน้องผมที่เข้าไปตรวจสอบในดรามาติก ทเวลฟ์บอกว่าพบคนถูกขังอยู่ในนั้น”


“ช...ใช่บุ้งหรือเปล่าครับ”


หน้าเข้มส่ายเบา ๆ ทำเอาธันวาเย็นวาบไปทั้งตัว รีบกดโทรศัพท์ในมืออีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เหมือนเดิม “ถ...ถ้าอย่างนั้นบุ้งไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่ที่ไหนกัน” ริมฝีปากอิ่มละล่ำละลักจนคนที่ยังพอคุมสติได้ต้องเตือนให้ใจเย็น ๆ
 

การตอบคำถามของสื่อมวลชนยังคงดำเนินไป และก่อนที่การแสลงข่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อสื่อมวลชนหมดคำถาม เก่งกาจก็ยืดตัวขึ้นหันไปสบตาใครคนหนึ่งซึ่งนั่งห่างออกไป ชายคนนั้นพยักหน้ารับก่อนจะยกมือขึ้นรับไมโครโฟนจากพิธีกรแล้วถามคำถามสุดท้าย


“คุณอัศนัยทราบข่าวที่ตำรวจพบชายนิรนามในโรงละครร้างที่ดรามาติก ทเวลฟ์ไหมครับ เขาใช้คุณอัศวินพี่ชายฝาแฝดของคุณที่หนีการแต่งงานไปหรือเปล่า” คำถามนั้นทำเอาฮือฮากันทั้งห้อง


คนบนเวทีจ้องหน้าเจ้าของคำถามตาเขม็ง มือที่วางอยู่บนหน้าตักกำแน่นก่อนจะรับไมโครโฟนจากอัญชลิสาแล้วตอบคำถามนั้น “ผมว่าน่าจะมีการเข้าใจผิดกันนะครับ เขาอาจจะเป็นคนจรจัดที่แอบเข้าไปก็ได้”


“แต่แหล่งข่าวบอกว่าสภาพของเขาเหมือนถูกขังเอาไว้นะครับ หรือว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้หนีการแต่งงานแต่ถูกขังเอาไว้”


อัศนัยถลึงตาลุกพรวดขึ้นตวาดสุดเสียงจนทั้งห้องเงียบกริบ “ผมบอกแล้วไงว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่มีใครขังใครทั้งนั้น ไม่มี!”


พลันเสียงของใครคนหนึ่งที่ตะโกนว่าเกิดไฟไหม้ที่โรงละครร้างก็สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นจนทุกคนต่างกรูกันออกไปที่ด้านนอก อัศนัยเงยหน้ามองท้องฟ้ายามใกล้ค่ำที่มีกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมีใครคนหนึ่งร้องขึ้นให้เรียกรถดับเพลง โทรศัพท์จึงถูกหยิบออกมากดโทรกันจ้าละหวั่น


“กว่ารถดับเพลิงจะมาถึง โคมไฟของผมก็สว่างไสวแล้ว ทุกคนจะฉลองให้ชีวิตใหม่ของผม”


คำพูดของอัศนัยทำให้หน้าสวยที่ยืนอยู่ข้างกันหันขวับ “ค...คุณ คุณหมายความว่ายังไง”


ไม่มีคำตอบจากเจ้าของรอยยิ้มที่สาว ๆ พากันหลงใหล กลับมีแต่เสียงหัวเราะของคนที่ไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้อีกต่อไป มือหน้าคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ก่อนจะกล่าว อัญชลิสา ไปกับผมสิ เราจะไปดูโคมไฟด้วยกัน” พูดจบก็รั้งร่างบางที่พยายามขัดขืนให้เดินไปด้วยกันดังนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบจึงแสดงตัวเข้าจับกุมเขาทันที
 

ไม่นานเสียงรถดับเพลงก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของชาวบ้านที่พากันมาช่วยดับไฟ ธันวาตัดสินใจเดินแหวกผู้คนจนไปถึงตัวชายหนุ่มที่ก้มหน้านิ่งจ้องมองสองมือที่ถูกตรึงด้วยกุญแจมือโดยมีอัญชลิสาคอยดูแลไม่ห่าง ปากหยักยังคงพร่ำเพ้อพูดถึงความสว่างไสวของเปลวไฟรวมถึงชีวิตใหม่ของตนเองกำลังจะเริ่มต้นนับจากนี้


“คุณเอาเขาไปไว้ที่ไหน”


ตาลอยเลื่อนขึ้นมองคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ๆ


“ได้โปรดเถอะ บอกผมมาว่าคุณเอาเข้าไปซ่อนไว้ที่ไหน” ธันวากล่าวทั้งน้ำตานองหน้าพลางเขย่าแขนคนที่ยังคงสบตานิ่ง ครู่หนึ่งตาคู่นั้นก็เบนไปอีกทาง


อัศนัยจ้องคนบนรถเข็นตาเขม็งก่อนจะร้องอย่างดีใจ “พ่อ พ่อมาหาผม” ชายหนุ่มละล่ำละลักผละจากธันวาออกก่อนจะทรุดตัวลงกอดขาไร้ความรู้สึกของผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น “พ่อรู้ไหมว่าผมรอให้พ่อมาหาแต่พ่อก็ไม่มา”


เจ้าของรูปหน้าบิดเบี้ยวสะอื้นฮั่กกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มือสั่นเทาไร้เรี่ยวแรงพยายามยกขึ้นลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ


“ผมมีเรื่องจะบอกพ่อ วันนั้นผมไม่ได้ขังน้อง แต่พ่อกลับหาว่าผมเป็นต้นเหตุทำให้น้องติดอยู่ในนั้น พ่อลงโทษผม ลงโทษผมทำไม” พูดพลางเขย่าขาผู้เป็นพ่อเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แต่นั่นก็ไม่อาจจะทำให้คนที่กำลังร้อนใจหยุดมองได้นาน


“ตอบผมมาสิว่าคุณเอาเขาไปไว้ที่ไหน อยู่ในโรงละครนั่นหรือเปล่า” ธันวาที่ไม่อาจปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อย ๆ โพล่งขึ้นพร้อมกับทรุดตัวลงคุกเข่า “ได้โปรดเถอะ บอกผม บอกผมเถอะนะ...คุณอัศวิน”


เจ้าของชื่อหันมามองอย่างแปลกใจก่อนจะยิ้มให้ “คุณรู้ชื่อผม รู้ชื่อผมเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมมีความลับจะบอก”


“ได้โปรดเถอะ บอกผมทีว่าเขาอยู่ที่ไหน”


“ผมซ่อนของเล่นไว้ที่ใต้เวที แต่อย่าบอกให้เจ้าเล็กมันรู้นะ ถ้ามันรู้มันจะต้องลงไปที่นั่น แล้วพ่อก็ต้องดุผม”


สิ้นเสียงอัศวิน ธันวาก็ลุกพรวดขึ้นก่อนจะวิ่งฝ่าผู้คนไปยังโรงละครร้าง ที่นั่นเต็มไปด้วยรถดับเพลงและผู้คนที่ถือถังน้ำมาช่วยกันดับไฟ แต่ท้องฟ้าที่มืดลงทุกขณะนั้นก็ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปได้ยาก อีกทั้งด้านในโรงละครเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง เมื่อฉีดน้ำผ่านช่องประตูเข้าไปกลุ่มควันก็พวยพุ่งออกมาจนหลายคนต้องหาที่หลบ
 

“คุณจะไปไหนด็อกเตอร์” เก่งกาจร้องขึ้นมือเห็นธันวาวิ่งผ่านร่างตนเองไป


“บุ้งอยู่ข้างใน อัศวินขังเขาไว้ในนั้น ผมจะไปช่วยบุ้ง”


“คุณจะเข้าไปได้ยังไง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขาเถอะ” พูดจบเก่งกาจก็วอแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบว่ามีคนติดอยู่ข้างใน


“ให้ผมเข้าไปเถอะผู้กอง ผมรอเฉย ๆ ไม่ได้หรอก” ธันวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาแน่วแน่ของเขาทำให้เก่งกาจจำต้องพยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปด้วย ไอ้บุ้งมันก็เพื่อนผมเหมือนกัน”


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2015 17:25:40 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)





“หนอนบุ้ง...ตื่น ตื่นเร็ว...”




“ยังไม่อยากตื่นเลย อยากนอนตักกิ่งไปแบบนี้แหละ”




“ไม่ได้นะหนอนบุ้ง ตื่นสิ ตื่นเร็ว”




“ลืมตาสิบุ้ง”
 
 


“ลืมตาสักที”
 
 


“อย่าหลับนะ”
 
 


“ห้ามหลับเด็ดขาด”
 
 
 

“ตื่นเร็วหนอนบุ้ง”
 
 

ริมฝีปากแห้งผากพร่ำเรียกชื่อ “กิ่ง” กระทั่งร่างบอบช้ำสะดุ้งเฮือกเพราะเผลอสูดควันเข้าเต็มรัก สำลักจนต้องไอแรง ๆ เมื่อร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกมา ดวงตาปรือตาขึ้นช้า ๆ แต่ก็แสบเสียน้ำหูน้ำตาไหล กระนั้นก็ยังเห็นว่าลังไม้ตรงหน้าเริ่มติดไฟแล้ว ที่ด้านนอกก็คงจะกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้วเพราะผิวกายรู้สึกถึงความร้อนจากเปลวไฟที่แผ่คลุมไปทั่วบริเวณ
 

“ไฟมันลามเข้ามาแล้วนะด็อกเตอร์ คุณหาเจอหรือยัง เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เริ่มทยอยกันออกไปข้างนอกเพราะไม่สามารถควบคุมเพลิงได้แล้วนะ” คนที่กระโดดพรวดขึ้นมาบนเวทีเอ่ยขึ้น


“ลุงพันบอกว่ามีทางที่เปิดลงไปด้านล่างได้ แต่ผมยังหาไม่เจอเลย” ร่างสูงในชุดผจญเพลิงตะโกนบอกอีกคนที่ยืนห่างออกไป


“แล้วตรงไหนล่ะ ด้านล่างนี่ผมก็หาจนทั่วแล้วนะ” เก่งกาจกล่าวอย่างหงุดหงิดขณะเดินไปรอบ ๆ เวที เงยหน้ามองเปลวไฟที่กำลังลามติดผ้าม่านผืนใหญ่ที่ห้อยลงจากโครงเหล็กด้านบน ชั่วพริบตามันก็หลุดล่วงลงมาจนหลบแทบไม่ทัน


“ผู้กองดูนี่ ที่พื้นมีรอยลาก ผมว่ามันอาจจะอยู่ใต้ตู้นี่ก็ได้”


สองหนุ่มสบตากันเหมือนจะรู้ใจก่อนจะออกแรงดันตู้หลังใหญ่ออก ในที่สุดพวกเขาก็พบช่อทางที่กำลังตามหา
 
 
เสียงเอะอะที่ดังแว่วมาไกล ๆ เรียกให้คนที่กำลังไอหนักเพราะสำลักควันไฟต้องเงี่ยหูคอยฟัง ชายหนุ่มพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดตัวลุกขึ้นแต่เชือกเส้นใหญ่ที่ตรึงร่างเอาไว้ก็ทำให้กระดุกกระดิกไปไหนไม่ได้ ยิ่งหายใจเอาควันเข้าไปมากเท่าไรก็ให้ทรมานยิ่งนัก ทรมาณเสียจนในห้วงความคิดนั้น จู่ ๆ ก็เผลอนึกถึงความตายที่จะช่วยปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระขึ้นมา
 

“บุ้ง! คุณได้ยินผมไหม”
 

คันธชาติส่ายหัวดิก ‘ได้ยินสิทำไมจะไม่ได้ยิน’ อยากจะตอบไปแบบนี้แต่กลับไม่มีแรงขยับปาก
 

“คุณอยู่ที่ไหนบุ้ง!”
 

นี่จะเป็นลมหายใจสุดท้ายแล้วกระมัง คนที่มกล้จะหมดลมหายใจคิด ถึงไม่ได้เห็นหน้าก็นับว่าโชคดีที่ได้ฟังเสียงกันเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดคันธชาติก็ปิดเปลือกตาลงเมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจสู้ฤทธิ์ของอัคคีได้อีกต่อไป..
 

“บุ้ง...”
 
 
‘ใครน่ะ กิ่งเหรอ กิ่งมารับบุ้งแล้วใช่ไหม’
 
 
“บุ้ง คุณได้ยินผมไหม ลืมตาขึ้นมามองผมสิ”
 
 
‘ม...ไม่ใช่ ไม่ใช่กิ่ง’
 
 
พลันความรู้สึกปวดระบมก็แล่นไปทั่วร่างอยากจะทำตามที่เสียงนั้นบอกหนังตาก็ช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน รอบกายเย็นเฉียบแต่กลับรู้สึกอุ่นที่มืออย่างบอกไม่ถูก เจ้าของชื่อฝืนปรือตาขึ้นสู้แสงสีขาวจากหลอดไฟนีออนบนเพดานห้อง ไม่สิ! มันไม่ใช่เพดานห้องแต่เป็นภายใต้หลังคารถพยาบาลต่างหาก ถ้าไม่นับแสงไฟแล้วสิ่งที่ได้เห็นต่อมามันช่างดูสว่างไสวกว่าเสียอีก นั่นก็คือรอยยิ้มของคนที่กำลังกุมมือของตนเองอยู่ในขณะนี้
 

“ช...ช่วย ช่วย ข...เขาได้ไหม ช่วยคุณอัศนัยได้ไหม”
 

ธันวามองกลีบบางที่กำลังขยับขึ้นลงอยู่ภายใต้หน้ากากออกซิเจน คำพูดของคนเจ็บหนักทำเอาอยากจะจับมาสอนเสียให้เข็ด แต่รอยฟกช้ำและบาดแผลตามตัวนั้นกลับทำให้หัวใจอ่อนยวบ
 

“ช...ช่วยเขาได้หรือเปล่า”


“เขาปลอดภัยแล้ว เหลือแต่คุณนั่นแหละ จนป่านนี้ทำไมยังมัวแต่ห่วงคนอื่นนะ” ร่างสูงกล่าวน้ำตานองหน้า “ทำไมไม่ห่วงตัวเองบ้าง หรือห่วงความรู้สึกของผมสักนิดก็ยังดี” ท้ายประโยคนั้นแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน
 

แต่ก็ยังได้ยินอยู่ดี....
 

คันธชาติมองหน้ามอมแมมของคนพูด อยากจะหัวเราะแต่ร่างกายที่ระบมเพราะบาดแผลกลับไม่เอื้ออำนวย ทำได้ดีที่สุดก็แค่ยกริมฝีปากช้ำเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะรวบรวมแรงอันน้อยนิดบีบมือของอีกฝ่ายเบา ๆ “ร้องไห้ทำไม ผมยังไม่ตายสักหน่อย”
 

...
 

ดวงตาคมมองผ่านม่านน้ำฝนไปยังรถสปอร์ตซีดานที่เพิ่งแล่นมาจอดเทียบบาทวิถี ครู่หนึ่งนายตำรวบร่างสู่ก็เปิดประตูลงจากรถก่อนวิ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน มือใหญ่ยกขึ้นปัดละอองน้ำฝนที่เกาะอยู่ยนเส้นผมออก จากนั้นก็เดินมานั่งลงตรงหน้าตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ไม่ขาดไม่เกิน


“มีอะไรหรือเปล่าถึงนัดมมาที่นี่” พูดพลางหันไปสั่งกาแฟร้อนกับหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่หลังเคาเตอร์อย่างคนคุ้นเคย


“คุณเจอบุ้งบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่เขาออกจากโรงพยาบาลนี่ก็จะเข้าเดือนที่สี่แล้วนะ ผมยังไม่ได้คุยกับเขาเลย โทรไปก็ปิดเครื่อง”


คนฟังอมยิ้มก่อนจะถามกลับ “มันไม่ได้บอกคุณเหรอว่ามันไปไหน”


ธันวาได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ จะรู้ได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยบอกอะไรเลยสักอย่าง


“คงอายละมั้ง”


“อาย? อายเรื่องอะไรกันครับ” คนพูดน้อยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“ไอ้บุ้งมันถูกลุงทินกฤตส่งไปสำนึกผิด ช่วยลุงมันทำไร่กาแฟที่หลวงพระบางโน่น”


“แล้วจะกลับเมื่อไร คุณรู้ไหม”


“อืม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณอาจจะได้พบมันที่งานเลี้ยงฉลองรายได้ของละครเวทีเรื่องล่าสุดของนาฏยกาลนะ เห็นอารตีเล่าว่าคุณอนันต์กับคุณอัศนัยไปขอร้องพ่อมันอยู่ เขาอยากให้มันมาร่วมงานให้ได้”


คนฟังถอนหายใจทันทีที่ได้ฟังชื่อนาฏยกาล อดนึกหวนไปถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ ถ้าหากในทะเลเพลิงวันนั้นหากันไม่พบก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ของตนเองจะเป็นเช่นไร เพิ่งเข้าใจทฤษฎีไม่ผูกพันก็ไม่มีวันสูญเสียของคันธชาติก็คราวนี้เอง


“แล้วเรื่องคุณอัศวินล่ะครับ ไปถึงไหนแล้ว”


“ตอนนี้คุณอัศวินถูกส่งไปเข้ารับการรักษาอาการทางจิตในโรงพยาบาล”


“น่าสงสารคุณอัญชลิสานะครับ”


เก่งกาจพยักหน้าเห็นด้วย “อืม อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการทำใจ ผมว่าก็ดีเหมือนกันที่เธอตัดสินใจไปต่างประเทศ เป็นผมเองผมก็คงทำแบบนี้ คนหนึ่งเป็นคนรักแต่กลับยกเธอให้คนอื่น ส่วนคนอื่นที่ว่าสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่ผูกพันกัน เฮ้อ! ความรักมันช่างเล่นตลกเนอะด็อกเตอร์ คุณว่าไหม สู้อยู่โสด ๆ แบบผมสบายกว่าตั้งเยอะ” พูดแล้วก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘จะร่วมสมาคมด้วยกันไหม’ แต่คำตอบของอีกฝ่ายก็ยืนยันชัดเจนว่า ‘เชิญโสดไปคนเดียวเถอะ’
 

...
 

ในที่สุดวันที่ธันวารอคอยก็มาถึง งานเลี้ยงฉลองรายได้ของละครเวทีเรื่อง ‘หน้ากากดอกไม้’ จัดขึ้นที่โรงละครเก่าแก่ของนาฏยกาลที่เคยถูกปล่อยร้างมาหลายปี บรรดาผู้ที่มาร่วมงานมีทั้งนักธุรกิจ คนในวงการบันเทิงรวมถึงสื่อมวลชน ทุกคนต่างได้รับแจกหน้ากากเพื่อให้เข้ากับธีมงาน พิธีกรหนุ่มหล่อที่กำลังยืนอยู่บนเวทีในขณะนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ อัศนัย นาฏยะ ทายาทผู้สืบทอดธุรกิจของผู้เป็นพ่อนั่นเอง และเนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของอนันต์ ชายวัยใกล้เกษียณจึงถูกเชิญมาบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน ดวงตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปที่ร่างสูงของชายวัยกลางคนที่ก้าวขึ้นมายืนที่จุดกึ่งกลางด้วยไม้เท้าค้ำยัน พลันเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งห้องโถงขนาดใหญ่ ในขณะที่ดวงตานับร้อยคู่จ้องมองไปข้างหน้า แต่ดวงตาคู่หนึ่งกลับพยายามมองหาใครบางคนโดยไม่รู้เลยว่าคนตนเองที่กำลังอยากจะพบหน้าขณะนี้ยืนอยู่ที่หลังเวทีนั่นเอง
 

“บุ้งขอโทษนะที่โกหกทุกคน” คันธชาติกล่าวกับสามสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า


“นิกกี้ พี่แคทแล้วก็พี่จีจี้ไม่มีใครโกรธบุ่งบุ๊ง เอ๊ย! คุณบุ้งหรอกค่ะ เจ๊พุดดิ้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเราฟังแล้ว” เมื่อกะเทยร่างเล็กกล่าวจบอีกสองคนที่เหลือก็พากันพยักหน้าสนับสนุน


“ไม่โกรธจริง ๆ นะ”


“จริง ๆ” ทั้งสามคนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะที่จะพากันโผเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงแต่ก็ถูกเสียงกระแอมของพุฒิพงศ์ห้ามเอาไว้เสียก่อน


“แหมเจ๊! ชักเท้ากลับแทบไม่ทัน จะเก็บไว้กินเองเหรอคะ” แคทค้อนขวับ


“พวกแกนี่คิดอกุศล อย่างฉันน่ะต้องล่ำ ๆ อย่างผู้กองเก่งกาจย่ะ” พูดจบก็เกาะแขนเจ้าของชื่อที่กำลังมัวแต่คุยอยู่กับลูกสาวเจ้าของงาน เกาะแน่นยังกับปลิง


“พูดอะไรเกรงใจแฟนผมบ้างเจ๊” นายตำรวจหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปขยิบตาให้สาวน้อยในชุดราตรียาวที่ยืนยิ้มรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ


“อ้าว ทำไมไปเป็นแฟนกันน้องรตีได้ล่ะ ไหนบอกจะครองโสดไปยันลูกเจ๊บวชไงคะผู้กอง”


“แล้วเจ๊มีได้หรือเปล่าล่ะ”


พุฒิพงศ์ตีมือลงบนแขนล่ำเบา ๆ “ต๊าย! จริงอย่างโบราณเขาว่า รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ ไว้ใจไม่ได้”


อารตีปลีตัวออกจากวงสนทนาที่ทุกคนต่างก็กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานเดินไปหยิบหน้ากากที่เตรียมไว้ก่อนจะกลับมายืนตรงหน้าชายหนุ่มที่ช่วยให้เธอได้มีครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง


“สวมหน้ากากสิคะพี่บุ้งจะได้ออกไปข้างนอกกัน จวนได้เวลาที่พี่อันจะขึ้นแสดงบนเวทีแล้ว”


“ขอบคุณครับ” คันธชาติกล่าวก่อนจะรับหน้ากากที่ประดับด้วยดอกไม้ที่เขาชอบมาสวม กลิ่นหอมเย็นของมันนอกจากจะชวนให้คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งแล้วยังทำให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมารวมถึงการได้เริ่มร็จักใครบางคน


เมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศชื่อการแสดงชุดถัดไป ชายหนุ่มก็ก้าวปะบนไปกับผู้คนจำนวนมากที่ต่างอำพรางใบหน้าของตนเองด้วยหน้ากากแสนสวย ไฟทุกดวงมืดลงพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังขึ้น จากนั้นสปอร์ตไลต์ก็สาดแสงกระทบร่างงามสง่าของสาวสวยที่ปรากฏขึ้นกลางเวที เรียกเสียงปรบมือให้ดังขึ้นอีกครั้ง


ธันวาจ้องมองร่างบางที่กำลังขยับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอ่อนช้อยงดงามไปตามจังหวะเพลง ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีใครสะกิดจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบสาวน้อยสวมหน้ากากกำลังส่งยิ้มมาให้


“มายืนหลบมุมอยู่นี่เองค่ะอาจารย์ รตีเดินหาตั้งนาน”


“เสียงดังน่ะ ยืนดูจากตรงนี้ดีกว่า”


“รตีลืมไปว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของรติเป็นคนรักความสงบ แต่ก็ยังอุตส่าห์มางานนี้ เอ๊! หรือว่ามีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่าคะ”


“แซวกันได้นะ” คนเป็นอาจารย์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปยังเวทีที่การแสดงเพิ่งจะจบลง
 

...
 

คันธชาติเดินหันหลังให้ความวุ่นวายออกไปที่ด้านนอก เงยหน้าขึ้นมองไปยังดาดฟ้าของอาคารสูงหกชั้นที่ตอนนี้กลับสว่างไสวนึกขอบใจเสียงเรียกของใครยบางคนในวันนั้น พลันเสียงฝีเท้าที่ดังจากด้านหลังก็เรียกให้ชายหนุ่มต้องดึงสายตาหันกลับไปมองร่างบางของสาวสวยในชุดระบำอาหรับที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า งามสง่าราวกับนางหงส์ ยากจะปฏิเสธว่าเธอช่างมีพลังดึงดูดชวนให้หลงใหลแม้ในความเป็นจริงแล้วเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้แต่กำเนิดก็ตาม
 

“ออกมาทำอะไรที่นี่ แล้วได้ดูอันแสดงหรือเปล่า”
 

“ดูสิ สวยมากด้วย หนุ่ม ๆ นี่จ้องกันตาเป็นมันเลย”
 

“แล้วบุ้งล่ะ มองตาเป็นมันกับเขาด้วยหรือเปล่า” รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำเอาคนถูกถามพลอยยิ้มตามไปด้วย


คันธชาติไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นถามในสิ่งที่ตนเองอยากจะรู้แทน “ตัดสินใจดีแล้วเหรอที่จะไปต่างประเทศน่ะ”


“ทำไมล่ะ ไม่อยากให้ไปเหรอ”


“ก็...อือ ไหน ๆ ก็ได้รู้จักเป็นเพื่อนกันแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวตามความจริง ยอมรับว่ายิ่งนับวันความยโสโอหังที่ใคร ๆ พากันใช้อธิบายตัวเธอนั้นมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด


เจ้าของริมฝีปากสีระเรื่อคลี่ยิ้มอีกครั้งก่อนจะขยับเข้าประชิดร่างสูง พลันสองแขนก็ยกขึ้นคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้ “หลงรักอันแล้วละสิ”


“ใครจะกล้าหลงรัก คู่แข่งทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนี้” พูดพลางประคองเอวบางเอาไว้ “อย่าจ้องแบบนี้น่า มันเขิน”
อัญชลิสาหัวเราะร่วน ลดแขนลงรั้งหน้ากากจากมือของคนตัวสูงมาถือเอาไว้เสียเอง สาวสวยยังคงจ้องคนตรงหน้าไม่วางตาก่อนจะยกหน้ากากขึ้นสวมให้ “ถ้าเขินก็สวมไว้ เพราะเดี๋ยวจะมีคนทำให้เขินยิ่งกว่าอันอีก แล้วอย่าลืมมาส่งอันที่สนามบินด้วยล่ะ”
 

นางเอกละครคนสวยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางในขณะที่คันธชาติดึงหน้ากากออกหันมองตามบังเอิญสายตาก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมา ร่างสูงในชุดทักสิโด้ที่สวมหน้ากากแบบเดียวกันกำลังเดินตรงเข้ามา การปรากฏตัวของเขาทำให้คันธชาตินึกถามตัวเองว่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้มันจะใช่ความฝันหรือเปล่า และเมื่ออีกฝ่ายมาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมเย็นจากดอกไม้ประดับหน้ากากที่เขาสวมนั้นก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้มันคือเรื่องจริงไม่ได้ฝันไป 
 

“คุณไปอยู่ไหนมา” แทนที่จะกล่าวคำทักทายกลับมีแต่คำถามเต็มไปหมด
 

“ทำไมไม่ติดต่อมาบ้าง”
 

“แล้วทำไมจะมาที่นี่ถึงไม่บอกผม”
 

คันธชาติมุ่นคิ้วมองอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือดึงหน้ากากที่เขาสวมอยู่ออก “คุณเล่นถามเยอะแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบคำถามไหนก่อน”
 

ธันวาส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นตอบคำถามนี้มาก่อน” ถือโอกาสรั้งเอวคนช่างพูดเข้ามาใกล้พร้อมกับถามคำถามที่ตนเองต้องการรู้คำตอบเดี๋ยวนี้
 

“รู้หรือเปล่าว่าผมคิดถึง”
 

เป็นอย่างที่อัญชลิสาพูดไว้ไม่มีผิดกระนั้นคันธชาติก็ยังทำเฉไฉเบนสายตาไปทางอื่น
 

“ว่ายังไงล่ะ หืม?”
 

“รู้”
 

“รู้แล้วทำไมไม่บอกให้ผมรู้บ้างว่าคุณอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่”
 

“ก็...อยากลองดูว่าถ้าไม่ได้เจอกันนาน ๆ จะเป็นยังไง”
 

ธันวาเลิกคิ้วสงสัย “จะพิสูจน์อะไรผมอีก”
 

“พิสูจน์อะไรเล่า ผมไม่มีอะไรจะพิสูจน์ตัวคุณแล้ว ผมอยากพิสูจน์ตัวผมเองต่างหาก”
 

เมื่อได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้านิ่งขรึมอีกหน หน้าคมเลื่อนเข้าใกล้พลางกระซิบ “พิสูจน์แล้วเป็นยังบ้าง”
 

“ก็...” คนถูกถามเกาคอเก้อ ๆ “คิดถึงจนต้องมาหานี่ไง” พูดจบก็หันมาสบตากันตรง ๆ จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มมาให้ ยิ้มเสียจนแก้มแทบปริ
 

จะยิ้มอะไรนักหนา?
 

...
 

คันธชาติก้าวออกจากลิฟท์พลางมองไปรอบ ๆ รู้สึกว่านานเหลือเกินที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ ชายหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่ขนาบข้างด้วยห้องพัก หูได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนเดินตามมาไม่ห่าง เมื่อถึงยังหน้าห้องของกันและกันต่างคนก็ต่างหยุด และเป็นคันธชาติที่หยิบคีย์การ์ดออกมาแตะเพื่อเปิดประตูห้องของตนเอง กำลังจะบิดลูกบิดก็ต้องชะงักเมื่อจู่ร่างสูงพอ ๆ กันที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พาดคางทิ้งน้ำหนังลงมาบนบ่า แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัวได้เท่ากับคำพูดของเขาที่กระซิบลงข้างหู
 

“ผมอยากดื่มอะไรอุ่น ๆ”
 

“ถ...ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาก่อน”
 

“กลัวโดนช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้าหรือวางยานอนหลับอีกน่ะสิ” คนฟังหัวเราะก่อนจะถอยออกพร้อมกับรั้งข้อมือคนที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ให้เดินตามกันไป
 

ธันวาเปิดประตูพาชายหนุ่มห้องตรงข้ามกันเข้าไปในห้อง ทันทีที่ประตูปิดลงเจ้าของห้องก็ขอกอดให้หายคิดถึง
 

“ปล่อยได้แล้ว อึดอัด” พูดพลางขยับตัวยุกยิกให้หลุดออกจากวงแขนแกร่ง 
 

เมื่อได้ฟังดังนั้นธันวาก็จำต้องยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ แขนแกร่งคลายออกก่อนจะเลื่อนลงมาโอบเอวสอบเอาไว้หลวม ๆ
 

“อยากดื่มอะไรเดี๋ยวผมทำให้”
 

คนถูกถามคลี่ยิ้มทอดตามองดวงหน้าที่ปรารถนาจะเห็นมาแสนนานก่อนจะตอบคำถามเมื่อครู่โดยการกดจุมพิตลงที่กลีบปากอุ่นอย่างแผ่วเบาแล้วผละออกสบตานิ่ง มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นประคองแก้มนุ่มอย่างทะนุถนอม จำได้ไม่ลืมว่าเหตุการณ์คราวนั้นได้สร้างรอยแผลเอาไว้ตรงไหนบ้าง 


“มันก็แค่ข้ออ้างที่จะทำให้ผมได้อยู่กับคุณนานขึ้นก็เท่านั้นเอง”


คนฟังหัวเราะพร้อมกับดึงมือที่ข้างแก้มออก “เป็นเอามาก”


พูดจบก็เตรียมจะเปิดประตูออกจากห้อง แต่ก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น เมื่อจู่ ๆ ธันวาก็ดึงร่างของเขาเข้าไปแนบอก มือหนาขยุ้มลงบนกลุ่มผมดันท้ายทอยรอรับรสจูบที่กำลังจะมอบให้ มันต่างจากครั้งแรกเป็นไหน ๆ เดี๋ยวอ่อนโยนเดี๋ยวดุดันแต่ก็หวานหอมและลึกซึ้งเสียจนหัวใจสั่นไหว เรี่ยวแรงกับลมหายใจที่ถูกขโมยไปจนเกือบหมดทำให้มือเรียวต้องรีบคว้าเกาะบ่ากว้างเอาไว้ เผลอเผยอริมฝีปากบางสีระเรื่อไม่ต่างกับกลีบของดอกไม้เปิดทางให้แมลงผู้ซื่อตรงเข้ามาฉกชิมรสหวานของเกสรอย่างย่ามใจ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับโซฟาเสียแล้ว ร่างสูงโถมทาบตามลงมา มือซนสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตตรึงเอวคอดในขณะที่ริมฝีปากหยักผละจากเนื้อปากนุ่มกดลงบนซอกคอขาวดูดดึงอย่างหยอกเย้าจนคนใต้ร่างหายใจหอบเป็นห้วง ๆ   


“ธ...ธัน...” ตั้งใจจะให้ทำให้ทุกอย่างหยุด แต่เสียงเรียกชื่อนั้นกลับเหมือนแรงกระตุ้นให้อีกคนรุกหนัก มือข้างที่เหลือค่อย ๆ สะกิดกระดุมเสื้อให้หลุดออกเผยให้เห็นเนื้อตัวที่เจ้าของไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็น


“หยุ...หยุด หยุดก่อน” มือเรียวคว้าหมับเข้าที่มือซึ่งกำลังแตะวนลงบนยอดอกแข็งเป็นไตก่อนจะบิดตัวหนี กระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา


“ไล่ผมสิ ไล่ให้ผมไปแล้วผมจะหยุด แต่ถ้าคุณยังลังเลไม่ทำเสียตั้งแต่วินาทีนี้ ผมก็จะไม่ยอมไปไหนอีก คราวนี้ไม่ใช่จนกว่าจะเช้าแต่เป็นตลอดทั้งชีวิตของผม”
 

“แต่คุณยังรู้จักผมไม่ดีพอ”


ธันวาหัวเราะในลำคอก่อนจะจับปลายคางของคนใต้ร่างให้กลับมาสบตากันอีกครั้งพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้หัวใจคันธชาติเต้นระส่ำ “ผมก็กำลังจะทำความรู้จักคุณอยู่นี่ไง จะรู้จักให้ทุกซอกทุกมุมเลย”


คนฟังเบิกตากว้างไม่คิดว่าจะได้ฟังคำพุดคลุมเครือกรุ้มกริ่มเช่นนี้จากปากของคนที่ปกติจะวางท่าขรึม จะอ้าปากต่อว่าแต่ธันวาก็ไม่ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจรีบประกบปากลงช่วงชิมความหวานของริมฝีปากเย้ายวนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต่างจากครั้งไหน ๆ ตรงที่คันธชาติตอบรับรสสัมผัสนั้นทันควัน ปลายลิ้นเกี่ยวรัดกันอยู่ในโพรงปากขณะที่สองร่างลูบไล้ก่ายกอดเบียดกันอยู่บนพื้นที่แคบ ๆ


“อึดอัด...”


คำพูดนั้นแผ่วเบาแต่มีพลังพอจะทำให้อีกฝ่ายหยุด ธันวาถอนริมฝีปากออกกล่าวคำขอโทษพร้อมกับมองคนหน้านิ่วคิ้วขมวดที่กำลังเบือนหน้าหนี ได้ยินเสียงอู้อี้ออกจากปากสีระเรื่อ


“ที่โซฟามันอึดอัด”


“แล้วคุณอยากไปที่ไหน”


“ท...ที่เตียง”


คนอายุมากกว่าเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะยันตัวขึ้นมองหน้าคนใต้ร่างให้ชัด ๆ พลางแทรกนิ้วทั้งห้าลงยังกลุ่มผมนุ่มมือ ปากหยักยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะกล่าว “ถ้าไปที่เตียง...ผมกลัวว่าคุณจะอึดอัดยิ่งกว่านี้น่ะสิ”


คันธชาติกัดปากแน่นจ้องหน้าคนอายุมากกว่าตาเขม็ง รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร แต่มาถึงขนาดนี้แล้วจึงยอมให้ปากอยู่ใต้อำนาจของความต้องการภายในจิตใจ “พ...พาผมไปที่เตียงเดี๋ยวนี้”


‘เอาแต่ใจจริง ๆ’ ธันวานึกในใจ


“ทำไมนายน้อยพูดไม่เพราะเลยล่ะครับ ผมอายุมากกว่าคุณนะ” เจ้าของรอยยิ้มแสนอบอุ่นโน้มหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ “เรียกพี่ธันก่อนแล้วจะพาไป” พูดจบก็เตะปลายนิ้วหัวแม่มือลงบนกลีบปากบางกระทั่งปากนั้นยอมคลายออก พลันเสียงหวานก็ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทอีกหน


“พ...พี่ธัน พา...พาบุ้งไปที่เตียงนะ...นะครับ”


เพียงเท่านั้นหัวใจคนฟังก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุจากอกเสื้อ ลุกขึ้นช้อนร่าง ‘นายน้อย’ ลอยขึ้นในอากาศก่อนจะตรงไปยังที่ที่เขาต้องการ...

จบ




สวัสดีค่ะ
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้วนะคะ เรื่องนี้อาจจะอ่านยากหน่อย ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจนคนเขียนเองก็ปวดหัว
แต่ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับการติดตาม ขอบคุณคอมเมนต์ และขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความคิดกันค่ะ
ขอบคุณที่อดทนต่อแนวการเขียนแบบเราที่เนิบ ๆ ช้า ๆ คงต้องฝากไว้เป็นประเด็นในการพิจารณาเลือกอ่านเลือกซื้อกันต่อไปสำหรับหลาย ๆ ท่านที่อาจจะเพิ่งได้มารู้จักกันค่ะ

หลังจากเรื่องนี้คงหยุดเขียนนานหน่อย เพราะภารกิจเยอะแยะไปหมด
ขอบคุณที่ถามถึงเรื่องการรวมเล่มคุณบุรุษไปรณีย์ที่รักกันเข้ามานะคะ สารภาพตามตรงว่ายังไม่มีเวลาตรวจทานหรือเขียนตอนพิเศษเลยค่ะ (แต่มองของที่ระลึกแล้ว 555) ที่เร่งปั่นหน้ากากดอกไม้ให้จบเพราะเกรงว่าอีกหน่อยจะไม่มีเวลาเขียน ตอนนี้เขียนจบซะทีดีใจสุด ๆ ค่ะ

สุดท้ายก็ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาปีกว่า ๆ ที่ผ่านมานะคะ
บางคนอาจจะรู้จักกันมาตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มเขียน
บางคนอาจจะเพิ่งมารู้จักในเรื่องถัด ๆ มา หรือบางคนอาจจะเพิ่งบังเอิญผ่านเข้ามาเมื่อไม่กี่วัน
แต่สำหรับเรามันดีมาก ๆ เลย ขอบคุณมาก ๆ แล้วพบกันใหม่นะคะ ^^


 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-04-2015 17:11:01 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ mamazung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบรื่องนี้มากค่ะ ติดงอมแงมเลย
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ
ปล. แอบหวังว่าจะมีตอนพิเศษ หวานๆเพิ่มอีก

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
ชอบมากค่ะ
ขอบคุณนิยายดีๆ ที่เขียนให้อ่าน

จะรอเรื่องต่อไปค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด