ยกที่ 20 : การจากลา “ ที”
“....”
“ ที”
ผมเม้มปากแน่นและลอบมองใบหน้าด้านข้างมันอยู่อย่างนั้น ใบหน้าคมคายของมันมองไปเบื้องหน้าพื้นถนน ความเร็วของรถที่มันเป็นคนขับยังคงเร็วสม่ำเสมอแววตาของมันแดงก่ำครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ท่าทางแบบนี้ดูก็รู้ว่าเรื่องที่ได้รับรู้ว่าก่อนหน้าคงช็อคไม่เบา ผมหลับตานิ่งเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ที่เหมือนกันจุดประกายรอยร้าวอย่างแท้จริง มันเข้ามาในจังหวะที่ผมกับแม่และย่าของมันนัดเจอกันอีกครั้งหลังจากที่พวกเราเคยพบกันเมื่อสองปีก่อน
“ มีใครคิดจะพูดความจริงกับผมบ้างมั้ยครับ” คำถามที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยเจือไปด้วยความเจ็บปวดถามขึ้น ใบหน้าคมคายแดงก่ำ แววตาที่เคยทอประกายให้แสงสว่างกลางใจดูมืดมน ทุกอย่างเงียบสนิทไปหมด
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอ้ำอึ้งและเหนือสิ่งอื่นใดทุกคนรู้ดีว่าครั้งนี้ต่างจากครั้งไหนๆ เพราะมันถึงเวลาที่สิ่งที่มันเฝ้าถามมาตลอดสองปีควรจะเปิดเผยเสียที คำบอกเล่าเจือน้ำเสียงสะอื้นเบาๆของแม่มันจึงเริ่มขึ้น เวลาที่นั่งฟังผมเห็นมันกำหมัดแน่น มีน้ำใสๆเอ่อคลอเต็มหน่วยตาโดยที่เจ้าตัวคงจะอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด ย่ามันเดินไปโอบบ่ากว้างตอนที่เห็นหลายชายคนสำคัญปิดปากแน่น แต่ท่าทางเหมือนคนที่ไม่รับรู้กับเรื่องใดๆ
“ ทำไมทุกคนถึงชอบคิดและตัดสินใจแทนผม” มันถามขึ้นน้ำเสียงสั่น “ ทำไมถึงไม่คิดที่จะบอกหรืออธิบายเรื่องอะไรให้ผมรับรู้บ้าง ทุกคนปกปิดผมเพื่ออะไร”
“ อีกนานเท่าไหร่ที่จะมีคนบอกความจริงกับผม”
“......”
“..การอยู่กับความไม่รู้อะไรเลย มันทรมานมากนะครับ”
“ ที”
“ ทุกคนหวังดีกับผม...” มันแค่นยิ้ม “...แต่ความหวังดีเหล่านั้นทำลายจิตใจของผมจนไม่เหลือชิ้นดี”
“ ที แม่ขอโทษ”
แม่มันร้องไห้โฮ ไม่ต่างจากย่าของมันเลย
“..ความรักของแม่กับคนในครอบครัวมีความสำคัญกับผมมากครับ ผมไม่เคยนึกเสียใจที่เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่...” มันพูดเสียงแผ่ว “...แต่ผมเสียใจที่รู้ตัวว่าตัวเองไม่คู่ควรกับชาติตระกูลนี้เลย”
“ ไม่นะที ไม่นะลูก”
“......”
มันลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มลงกราบแม่กับย่าอย่างนอบน้อม “...ขอโทษที่ทำให้คุณแม่และคุณย่าเสียน้ำตามาตลอด ขอโทษครับ”
“ ผมคงอ่อนแอจนคุณย่าและคุณแม่ต้องปกป้องดูแลมาตลอดสินะครับ แต่นี่มันคือชีวิตของผม ขอโอกาสผมสักครั้งที่จะทำตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนา”
“ ที จะทำอะไรลูก”
มันลุกขึ้นยืนคว้ามือผมให้ผุดลุกตาม “...ขอให้ครั้งนี้ผมได้มีโอกาสที่จะตัดสินใจเองเถอะครับ” นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ผมกับมันจะมานั่งอยู่ในรถซึ่งหน้าปัดชี้เข็มความเร็วมากกว่าร้อยแบบนี้
“ ที”
“...”
มันหันมามองแล้วพ่นลมหายใจเบาๆ มือข้างหนึ่งเอื้อมมือกุมข้อมือผมไว้ก่อนที่ความเร็วของรถจะลดลง “ ขอโทษนะ กลัวมากรึเปล่า”
คงเพราะสีหน้าผมสีซีดเผือดสาเหตุมาจากไม่ค่อยจะถูกกับความเร็วเท่าไหร่ มันรู้ดีถึงเอื้อมมือข้างหนึ่งมากุมมือที่เย็นซีดไม่ต่างใบหน้าตัวเองสักเท่าไหร่ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้มันขับรถด้วยมือเดียว
“ มะ ไม่เป็นไร”
มันถอนหายใจอีกครั้งก่อนที่มือจะกระชับมือผมจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แล้วสุดท้ายรถคันหรูที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ค่อยๆลดระดับความเร็วลงจนสุดท้ายมันวนรถไปจอดใต้สะพานแห่งหนึ่งซึ่งใกล้ๆกันนั้นมีสวนสาธารณะขนาดกลางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
รถคันหรูจอดสนิทลงทันทีก่อนที่มันจะขยับตัวลุกออกจากรถไปโดยมีผมก้าวออกจากรถตามไปติดๆ มันชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอผมก่อนที่เราจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปพร้อมๆกัน สุดท้ายเราทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งมีรั้วกั้นป้องกันการตกในระดับเอว
“ เบียร์”
“ หืม”
“ เหนื่อยมั้ย” คำถามของมันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของบริเวณโดยรอบ แววตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“.......”
“ สองปีที่ผ่านมาเหนื่อยมากรึเปล่า”
เหนื่อยสิ
เหนื่อยมาก
เหนื่อยที่ต้องละทิ้งหัวใจตัวเองทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ทำยากที่สุดในชีวิต
“ กู..” แต่คำๆนั้นยังดังอยู่แค่ในลำคอ มือหนาของมันขยับขึ้นมาเกลี่ยรอบดวงตาของผมเบาๆ
“ เคยมีสักครั้งมั้ยที่มึงคิดจะเกลียดกูจริงๆ”
“ เคยสิ” ในที่สุดก็มีคำพูดหลุดออกจากลำคอผม
เราสบตากัน
แววตาคู่นั้นของมันเจือไปด้วยความเสียใจแต่เพียงแวบเดียวเพราะมันก้มมองพื้นแล้วถอนหายใจ
“ แต่ทำไม่เคยได้เลยสักครั้ง” ผมรู้สึกว่าตัวเองแทบปลิวเข้าไปอยู่ในแผ่นอกของผม เนื้อตัวมันสั่นเทาจนอ้อมแขนที่โอบรัดกันอยู่สั่นไหวไปด้วย ผมหลับตานิ่งเอียงซบอกกว้างพร้อมกับฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นอย่างรุนแรง
“ ขอโทษ” มันกระซิบน้ำเสียงสั่นเครืออยู่ข้างหู “ เบียร์กูขอโทษ”
“ ขอโทษที่กูงี่เง่า ขอโทษที่กูไม่รู้อะไรเลย ขอโทษที่ทำร้ายมึง ขอโทษ...”
“.......”
กลายเป็นว่าผมกำลังกอดปลอบมันซึ่งกำลังร้องไห้ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เสียขวัญ แววตาคู่นั้นดูเจ็บปวดและเหนือสิ่งอื่นใดผมรู้ดีว่าหัวใจของมันก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ สองปี..”
“.......”
“ สองปีที่กูอยู่กับความรู้ไม่อะไรเลย กูโกรธทุกอย่าง กูเกลียดทุกคนที่มีส่วนให้เกิดเรื่องเลวร้ายระหว่างกูกับมึง กูโทษมึง กูแค้นจนอยากจะฆ่าให้ตาย แต่กูลืมนึกไปว่าการที่กูเป็นแบบนี้เพราะกูอ่อนแอเกินไป กูรักษาความรักของกูไว้ไม่ได้”
“ ไม่หรอกที ไม่หรอก...” ผมกอดมันไว้เต็มอ้อมแขน
“ กูเคยคิดจะประชดทุกสิ่งอย่าง แต่พอนึกถึงหน้ามึงกูกลับทำไม่ลง...” ท้ายเสียงมันแผ่วลง “...กูพยายามใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอดสองปี จนวันที่เต้ยมันเข้ามา...”
เราสบตากันอีกครั้ง
ครั้งนี้แววตาที่มองกันมันเหมือนกับเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
“ กูบอกตัวเองมาตลอดว่าจะไม่มองใครเพื่อเป็นตัวแทนอีกคน...” มือมันสั่นๆ “...แต่สุดท้าย...กูก็มองมันเพราะมันมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกับมึง เหมือนมองหน้ามันทีไรคล้ายกับมีเงาสะท้อนจากแววตาคู่นั้น มันสดใส มันยิ้มสวย มันเอาใจใส่คนรอบข้างเหมือนมึงในตอนนั้น”
“ เต้ยมันน่ารัก”
ผมอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงรุ่นน้องคนที่ไอ้จ๊อบมันพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะเอาชนะใจอีกฝ่ายให้ได้ แต่ลึกลงไปผมรู้ดีว่าเต้ยมันน่ารักน่ามองจริงๆ คงมีไอ้ไอ้จ๊อบเท่านั้นแหละที่มองเห็นได้ช้ากว่าคนอื่น
“ มันน่ารักแล้วมึงไม่คิดจะรักน้องมันจริงๆบ้างเหรอ..” ผมถามออกไป ด้วยความรู้สึกที่เจ็บหน่อยๆ ความเจ็บซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าตัวเองยังมีหัวใจอยู่
ไม่ได้ชาชินจนไร้ความรู้สึก
“...มันมีคนที่คู่ควรดูแลอยู่แล้ว... แล้วมึงหล่ะ” ท้ายประโยคมันหันมาถามผม ผมจึงเบือนหน้าที่ยังสายน้ำเบื้องหน้า
“ กูเหรอ...”
“ สองปีที่ผ่านมา คงมีแต่เรื่องเรียนกับงานถ่ายรูปหล่ะมั้ง”
“ เบียร์”
“ หืม”
ตอนนี้เราทั้งคู่หันมองไปสายน้ำที่ไหลเอื่อยไปตามทางของมัน “ วันที่แม่กับย่าบอกให้มึงปล่อยมือจากกู...” ผมรู้ว่าเสียงในลำคอมันขาดหาย “...มึงมีความลังเลอยู่ในใจบ้างมั้ย”
ผมแค่นยิ้ม
ยิ้มทั้งที่น้ำตากำลังไหลเอ่อขอบตาไปหมด
ภาพความทรงจำวันนั้นสว่างวาบขึ้นในหัวแค่คิดเนื้อตัวก็สั่นไปหมดแล้ว และมันคงรู้ถึงได้เอื้อมมือมาลูบไล้แผ่นหลังผมอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นจากฝ่ามือที่ผ่านตามจุดต่างๆพาให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นใจ
“แค่เรารักกัน ทำไมมันถึงเจ็บปวดขนาดนี้วะ”
เรากอดกัน
“ ถ้ากูเลือกได้...” น้ำเสียงนุ่มทุ่มแผ่วเบาดังขึ้นใกล้ใบหู “...กูอยากจับมือมึงตลอดไป”
ผมร้องไห้
“ ไม่ได้หรอกที”
“......”
“ มึงกับกูยังอ่อนแอเกินไป...” มันโน้มหน้าผากมาชิดใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
“..เราไม่มีแรงพอที่จะต้านทานกระแสของสังคมหรือความต้องการของคนรอบข้างได้หรอก” “ เรายังเด็กเกินไป”
“ เพราะเด็กเกินไปเลยต้องเจ็บปวดอย่างนี้เหรอ” เสียงมันคล้ายกับละเมอแต่ความเสียใจจากแววตาของมันยังเด่นชัด
“ กูขอโทษ..” ริมฝีปากมันจูบซับที่ขมับผมเบาๆ
“ ที”
ผมกุมมือมัน
“ เรามีชีวิตอยู่กันแบบสองคนไม่ได้หรอก มึงมีครอบครัว กูก็เหมือนกัน เราต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเอง”
“ ทำหน้าที่โดยละทิ้งหัวใจงั้นเหรอ”
ไม่มีคำตอบจากเราทั้งคู่
แต่ผมรู้สึกว่าอ้อมกอดที่โอบรัดผมอยู่มันค่อยๆเพิ่มแรงมากขึ้น มันไม่อึดอัดหรอกตรงกันข้ามมันชวนอบอุ่นเหลือเกิน
“ ทำไมต้องเป็นเราสองคนด้วย”
“ ทำไมวะ” เสียงมันสั่นสะท้าน
“ อย่างน้อยมันก็ทำให้กูได้รู้จักความรัก”
ใช่ ผมรู้จักความรักเพราะผมรักมัน
ถึงต่อไปนี้จะไปเป็นรักที่ไม่สมหวัง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้รัก
“ กูไม่คู่ควรกับความรักของมึงด้วยซ้ำ...” มันหลับตาซุกใบหน้าที่ซอกคอผมนิ่ง “ กูทำร้ายมึง กูทำให้มึงเสียใจ มึงไม่คิดจะโกรธจะเกลียดกูบ้างรึไงเบียร์”
ผมยิ้มเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของมันอย่างแผ่วเบา
“ เราสองคนต่างก็เจ็บกับเรื่องนี้กันมามากแล้ว อย่าให้ความโกรธแค้นทำร้ายพวกเราอีกเลย”
ผมยอมรับว่าน้อยใจ
ผมเสียใจที่มันทำเหมือนผมเป็นที่ระบายอารมณ์ แต่ลึกลงไปมันรู้ว่ามันคงเสียใจไม่แพ้กัน เพราะอย่างน้อยเยื่อใยจากแววตาคู่นี้ก็ยังคงมีให้กันแม้ว่ามันอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม
ผมคงต้องเริ่มทำใจได้สักทีในเมื่อเรื่องนี้มันยืดเยื้อมาสองปีกว่าแล้ว ผมรู้ดีว่าเส้นทางรักของเราทั้งคู่ไม่อาจกลับมาบรรจบกันได้อีก ในเมื่อรักกันไม่ได้ก็อย่าถึงกับเกลียดกันเลย
ถ้าต้องอยู่ด้วยการเกลียดหัวใจตัวเองผมคงเจ็บเจียนตาย
“ ขอโทษ”
มันผละจากซอกคอผมแล้วโน้มใบหน้าแตะริมฝีปากผ่านเนื้อผ้าเหนือหน้าอกด้านซ้ายตรงกับหัวใจพอดีของผม มันบรรจงจูบแผ่วเบาตรงนั้นและประทับจูบที่นิ่งนาน “ ขอโทษนะ ทีขอโทษนะเบียร์”
หัวใจผมสั่นระรัวรับรู้ได้ถึงความอุ่นผ่านจากริมฝีปากส่งถึงหัวใจ
“ ขอโทษเหมือนกัน..”
ผมเสียงสั่นตอนที่มันกุมมือผมไว้ “...ขอโทษที่ปิดบังมึงมาตลอด”
“ เรามาให้อภัยกันและกัน เพื่อ เพื่อ...” มันหยุดนิ่งคำพูดสุดท้ายลง ก่อนจะกระตุกข้อมือผมให้ลุกขึ้น “ ไปเที่ยวกันมั้ย”
“......”
“ ไปทะเลกัน”
.........
.........
ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของมัน ใบหน้าคมคายกำลังจดจ่ออยู่ที่ถนนเบื้องหน้า มือแข็งแรงทั้งสองข้างกำพวงมาลัย บุคลิกท่าทางเหมือนคนมีการศึกษาซึ่งได้รับการอบรมมาจากตระกูลที่ดีงาม อย่างนี้ไงมันถึงเป็นทายาทคนสำคัญของตระกูลเพราะถึงจะนิ่งเฉยแต่กลับมีอำนาจ แววตาที่เด็ดเดี่ยวมีแต่ความเด็ดขาด ท่าทางมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสมบรูณ์พร้อม มันไม่เคยคิดที่จะรักมันได้ขนาดนี้ ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเรื่องราวของเราจะดำเนินมาถึงขนาดนี้
เราเป็นแฟนกันเพราะเรื่องบังเอิญ
แต่ความรักที่มันมีให้ผมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ตลอดเวลาที่เป็นแฟนกันมา มันดูแลเอาใจใส่ผมทุกอย่าง ทำอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้แฟนได้ มันยอมละทิ้งนิสัยที่ไม่ดีหลายอย่างเพื่อผม ความรักที่มันมีให้ผมเป็นสิ่งสวยงาม ผมมีความสุขมากในตอนนั้นจนลืมคิดไปว่าเรื่องราวของผมกับมันก็เหมือนเส้นขนานเพราะมันไม่มีวันมาบรรจบกัน
ผมกับมันเราต่างกัน ผมรู้มาตลอดแต่ฝืนใจทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
เส้นทางชีวิตผมกับมันเรามีจุดหมายกันคนละทาง
มันต้องมีชีวิตเพื่อนครอบครัว ส่วนผมก็มีเส้นทางของผม
แค่ความรักเพียงอย่างเดียวมันไม่สามารถทำให้คนเราคบกันรอด
เมื่อก่อนมันยากที่จะทำใจยอมรับ แต่พอคนเราตัวโตขึ้นผ่านการเรียนรู้และมีประสบการณ์หลากหลายที่คอยสอนเรา ทำให้รู้ว่าการทะนุถนอมความรักมันมีองค์ประกอบหลายอย่างไม่ใช่แค่เราสองคน ยิ่งเหตุการณ์หลายๆอย่างที่ประสบพบเจอยิ่งเป็นการยืนยันว่าแค่ความรักอย่างเดียวไม่สามารถพาให้คนทั้งคู่กุมมือกันไปตลอดรอดฝั่ง
เพราะมันยังมีสิ่งที่เหนือกว่าความรัก มันหันมายิ้มให้ถึงจะเป็นยิ้มที่ดูฝืนทนและเจ็บปวดแค่ไหน แต่มันคือยิ้มจากใจจริงของมันที่มีให้ผม ตอนที่เรากำลังเดินกุมมือกันอยู่ริมทะเลแถบจังหวัดติดชายทะเล
เราเคยสัญญากันว่าถ้ามันสอบแอดมิดชั่นเสร็จหลังประกาศผลสอบเราจะมาทะเลด้วยกัน แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้มาด้วยกันเพราะผมบอกเลิกมันก่อน ผมยังจำสัญญาครั้งนั้นได้ดี
“ กูอยากพามึงไปทะเล”
“ ทำไมหล่ะ”
“ กูชอบทะเล เพราะคุณย่าเคยเล่าให้ฟังว่าคุณปู่เคยขอท่านแต่งงานที่ริมทะเล ฟังดูโรแมนติกเนอะ”
ตอนนั้นผมก็แค่ฟังแล้วอมยิ้ม
“ ถ้ามีโอกาส...” มันพูดยิ้มๆ “...ก็อยากขอใครสักคนแต่งงานที่นั่นแล้วสัญญากับเค้าว่าจะรักและดูแลเขาคนนั้นตลอดไป”
“ เว่อร์”
“ เชื่อสิว่าสักวันมันต้องเป็นความจริง” ผมยิ้มเหนื่อยๆก้มหน้ามองพื้นทรายที่กำลังเหยียบย่ำ
แต่ความจริงกับความฝันมันต่างกันเยอะ
มันต่างกันมาก
อากาศตอนบ่ายแก่ๆแดดร่มลมตกใกล้ค่ำ สุดท้ายเราจึงมาทรุดตัวนั่งลงตรงพื้นทรายใกล้ๆกับต้นมะพร้าว เหงื่อมันผุดขึ้นเต็มหน้าใบหน้าจนผมต้องคว้าเอามาเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ซึ่งมันก็ให้ความร่วมมือเอียงหน้าเช็ด
“ ร้อนมากเหรอ”
เพราะเห็นเหงื่อจำนวนมากและเสื้อยืดที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ไหนแต่ไรมามันเป็นคนขี้ร้อนต้องมีเสื้อสำรองทิ้งไว้ในรถประจำ เห็นแบบนี้ผมเลยเตรียมลุกไปหยิบเสื้อให้มันแต่ติดที่มือมันคว้ามือผมเอาไว้ มันส่ายหน้าก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนตักผมแล้วนอนราบไปกับพื้นทราย
“ ที”
“ หืม”
“ ไม่ร้อนเหรอ”
“ ขออยู่แบบนี้สักพัก” มันหลับตานิ่งเอื้อมมือมากุมมือผมเอาไว้ ส่วนผมซึ่งนั่งพิงต้นมะพร้าวปล่อยให้มันหนุนตักหลับตานิ่ง มืออีกข้างของผมเกลี่ยไปตามรอยนูนของสันกรามและจอนตรงใบหู นิ้วมือผมไล่ตั้งแต่หัวคิ้วของมันลงมาเรื่อยๆ
ผมมองภาพใบหน้ามัน
มองเพื่อให้จำ
จำทุกรายละเอียดให้ประทับนิ่งอยู่ในใจ
“ การหลับตาก็เหมือนการปกปิดการรับรู้ใดๆ ปล่อยใจปล่อยความคิดไปกับภาพฝันซึ่งเป็นแค่จินตนาการไม่ใช่เรื่องจริง...” มันคว้ามือผมที่ไล้ใบหน้าของมันขึ้นจูบเบาๆ
“...แต่พอลืมตาขึ้นมาเราก็มักพบกับความจริงเสมอว่า ความเป็นจริงกับภาพฝันมันแตกต่างกันเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นสักวันหนึ่งคนเราก็ต้องลืมตาขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะเราหนีความจริงไม่พ้นหรอก” “ ก็เหมือนกันพื้นทรายที่อยู่ริมทะเลนั่นถึงมันจะอยากออกไปเผชิญโลกภายนอกมากแค่ไหน แต่ก็ได้แค่คิดเพราะทุกๆวันคลื่นลมก็จะซัดมันเข้าฝั่งทุกครั้งไป”
“ มนุษย์ก็เหมือนกันบางเรื่องถึงจะฝืนใจแค่ไหนก็ต้องทำ เพราะชีวิตมีเส้นทางให้เลือกไม่มากนักหรอก”
ผมหยุดพูดเมื่อรับรู้ได้ถึงริมฝีปากของมันกำลังโน้มลงมาสัมผัสกับปากของผม ตอนที่ใบหน้าเราแนบกันเราก็ต่างรับรู้ได้ถึงน้ำตาของอีกฝ่าย แววตาเราสะท้อนเงาของกันและกัน มือทั้งสองข้างของเราจับกันแน่น
บรรยากาศโดยรอบมีแต่ความมืดมิดไร้แสงสว่างเพราะพระอาทิตย์หายลับตกขอบน้ำทะเลไป ทุกสรรพสิ่งรอบข้างสงบเงียบจะได้ยินก็แค่เสียงลมหายใจของอีกฝ่าย สักพักผมสังเกตเห็นแสงไฟสว่างริบหรี่จากรีสอร์ทไม่ใกล้ไม่ไกลและเสียงหัวเราะร่าเริงของกลุ่มคนเกือบสิบซึ่งกำลังนั่งล้อมวงพูดคุยและกินกันอย่างสนุกสนานก่อนที่เสียงเกลากีตาร์จะดังขึ้นเบาๆคลอไปกับเสียงคลื่นลมทะเล
แค่ให้ฉันได้บอกเธอสักคำ พูดในวันที่จำต้องจาก
เราสบตากันแล้วนิ่งฟังเสียงเกลากีตาร์จากจุดที่มีแสงไฟนั่น แม้ในความมืดแต่แสงสว่างที่วาววับตรงขอบตาก็บ่งบอกถึงความรู้สึกของเรา
อยากให้รู้ว่ารักเธอมากและจะรัก รักเธอ ตลอดไป
เสียงร้องคลอดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าริมฝีปากที่แตะกันอย่างแผ่วเบากำลังวนจูบไปรอบๆขอบปากด้วยกิริยาที่นุ่มนวล ผมเปิดปากให้มันแทรกเรียวลิ้มเข้ามาเกี่ยวกระหวัดและบดจูบ มันเป็นจูบที่อ่อนหวาน ละมุนละไม ทุกสัมผัสดูเอาใจใส่ตั้งใจทุกรายละเอียด มันเอมอิ่มเปรมปรีดิ์และน่าประทับใจ
เกิดชาตินี้แค่ได้พบเจอ เกิดชาติหน้าค่อยฝันกันใหม่
วันนี้ใจสลาย ยอมจำนนให้ฟ้าดิน
แยกเราไกลกัน
ผมรับรู้ได้ถึงอาการสั่นของมันตอนที่กำลังจูบซับน้ำตาที่ไหลพรากของผม มันค่อยๆจูบค่อยๆบรรจงซับทุกร่องรอยแห่งความเจ็บช้ำ แต่ยิ่งจูบยิ่งเช็ดน้ำตามากมายก็ยิ่งไหลเรื่อยจนไม่อาจเช็ดให้แห้งหายไป เพราะไม่ใช่แค่น้ำตาของผมแต่มันมีน้ำตาของมันปะปนมาด้วย
เราเอาศีรษะมาชนกันจนหน้าผากแนบชิด เนื้อตัวก็แนบชิดกันจนไม่มีช่องว่าง เราโอบกอดกันกันให้นิ่งและนานที่สุด
“ อย่าปล่อยมือจากกันจนกว่าจะเช้าได้มั้ย”.
.
.
.
.
(มีต่อค่ะ)