“เอ่อ”
แล้วผมก็มายืนอ้ำอึ้งอยู่หน้ามัน พอดีว่าเดินตามรูมเมทมาจนมาเจอมันกับพวกรุ่นพี่มันระหว่างทาง สุดท้ายแฮมก็หลบฉากไปทิ้งผมไว้กับมันในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้
“ คือ..”
มันไม่พูดอะไรแต่คว้าเอาปิ่นโตไปถือเอง มือข้างที่ว่างก็กุมมือผมเบาๆ “..รอแป็บนึงได้มั้ย”
“ รอ เอ่อ รออะไร”
“ กูไปประชุมแป็บเดียว รอก่อนเดี๋ยวไปส่ง”
“ แต่..”
ผมทำหน้าเลิ่กลั่กทั้งเขินทั้งอายกับสายตาของรุ่นพี่ทั้งหญิงและชายจำนวนหนึ่งที่เดินมากับมัน จะไม่ให้อายยังไงไหวในมือมันกุมข้อมือผมเอาไว้แล้วจับจูงให้ออกเดินเคียงข้างกันไป
“ จ๊อบ”
“ หืม”
“ ปล่อย..” มันไม่ใช่เสียงดังอะไรหรอก เป็นแค่เสียงแผ่วเบาจากลำคอเท่านั้นเอง “...ปล่อยเถอะ แค่ เอ่อ แค่เอาปิ่นโตมาคืนให้ เดี๋ยวจะ”
“ ไม่นานหรอก เดี๋ยวจะไปส่ง..” มันตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ท้ายประโยคนั่นอ่อนลง
“..รอหน่อยนะ” แล้วผมก็ต้องรอ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ฝืนใจที่จะรอเลย
ผมนั่งรอมันอยู่แถวนั้นสักพักจนรู้สึกเมื่อยขาเลยตัดสินใจเดินเล่นแถวนั้นเพื่อเหยียดแข้งเหยียดขา ผมเดินมาเรื่อยๆเพื่อสังเกตบรรยากาศคณะของมันซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยนิสิตชาย ส่วนนิสิตหญิงพบได้น้อยมากเรียกได้ว่าเป็นคณะผู้ชายอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้ เอ่อ ผมหมายถึงผู้ชายตามเพศสภาพไม่รวมถึงรสนิยมส่วนตัวนะ
“ เสียดายเนอะ”
หืม
ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟังบทสนทนาของใครนะ แต่บังเอิญว่าเสียงนั้นมาลอยเข้าโสตประสามผมโดยบังเอิญจริงๆ
“ ใช่น่าเสียดายมาก”
“ ไม่น่าเชื่อว่าน้องจ๊อบจะกล้าพาแฟนผู้ชายมาเปิดตัวแบบนี้”
จ๊อบเหรอ จ๊อบไหนกัน
ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆทันได้เห็นนิสิตหญิงสองคนที่คุ้นหน้าเพราะเป็นสองคนเดียวกับที่เดินอยู่ในกลุ่มใหญ่ของรุ่นพี่มันก่อนหน้านี้ ท่าทางทั้งคู่บอกถึงเสียดายจริงๆ
“ นี่เดือนภาควิชาปีนี้เป็นเกย์เหรอเนี่ย”
“ เสียดายความหล่ออ่ะ”
“ ไม่น่าชอบผู้ชายเลย..” คนสองนั้นทำหน้ามุ่ยนิดๆ “...พวกชะนีถึงกับสวรรค์ล่มเลย”
“ เฮ้ย ฉันไม่อยากให้น้องเขาเป็นเกย์เลยจริงๆ” ...ไม่อยากให้เป็นเกย์...
...ไม่อยากให้เป็น... นั่นสินะ
สิ่งที่ผมกับมันกำลังรู้สึกต่อกันมันใช่คำนี้จริงๆ
ผมถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจเดินผละออกจากบริเวณนั้น นั่นสินะ ผมลืมคิดไปว่าสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่มันเป็นเช่นนี้จริงๆ ผมกำลังทำให้ชีวิตลูกผู้ชายของมันเดินผิดทางอยู่ใช่มั้ย
ผมสะบัดหน้าแรงๆ มันเป็นชายแท้ๆ มันไม่เคยมีความรู้สึกแปลกๆกับเพศเดียวกัน มันมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด ก่อนหน้านี้มันไม่เคยมีท่าทางแปลกๆกับผม หรือว่าตอนนี้มันแค่กำลังสับสนตัวเอง
แล้วมันเคยเสียใจมั้ยที่เลือกเส้นทางแบบนี้
“ เป็นอะไร”
ผมส่ายหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถด้านข้าง หลังจากที่ผมแอบฟังบทสนทนาของผู้อื่นอยู่นานสองนานและเดินผละออกมาก็เจอมันพอดี เราไม่คุยกันหลังจากที่ขึ้นมาบนรถ มันทำหน้าที่ขับส่วนผมแค่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเฉยๆ บรรยากาศระหว่างเรามีแต่ความเงียบงัน
จนผมหลุดเสียงถอนหายใจออกมา
มันเลยเอ่ยทำลายความเงียบในที่สุด
“ เปล่า”
“ เป็นอะไรรึเปล่าเต้ย” มันละสายตาจากถนนมามองผมแวบนึง สีหน้ามันดูเคร่งขรึมขึ้น “..มีอะไรรึเปล่าเต้ย กูทำอะไรให้มึงไม่พอรึเปล่า”
“ ไม่มีหรอก...” ผมพูดเสียงเบา “ ไม่เคยมี”
“ มึงโกหกไม่เนียนเลยเต้ย”
ผมถอนหายใจเรียกมันเสียงแผ่ว “..จ๊อบ”
“ ว่าไง”
“ กูขอถามอะไรมึงสักอย่างได้มั้ย” มันพยักหน้ารับ
“ มึงรู้ตัวรึเปล่าว่าสิ่งที่มึงทำกับกูตอนนี้เรียกว่าอะไร”
“....” มันพ่นลมหายใจแรงๆ มือข้างหนึ่งเอื้อมมากุมมือผมไว้เลยกลายเป็นว่าตอนนี้มันกำลังกำพวงมาลัยมือเดียว
“ มีเรื่องอะไรรึเปล่าเต้ย” มันไม่ตอบแต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วอดหวั่นไหวไม่ได้
“......”
“ มึงเป็นเกย์เหรอจ๊อบ”
แล้วคำๆนั้นก็หลุดจากปากผมเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนี้หรอก ต่างจากผมที่ค้นพบตัวเองเมื่อสี่ปีก่อน
“ เต้ย..” มันตบไฟเลี้ยวก่อนจะจอดรถชิดขอบถนนด้ายซ้ายทันที เมื่อรถจอดสนิทมันก็หันหน้ามามองผมตรงๆ
“ ก็ไม่รู้ว่ามึงไปรู้ไปเห็นเรื่องอะไรมา..” มันพูดเสียงนุ่ม “ แต่สิ่งที่มึงจะได้ยินจากปากกูต่อนี้เป็นเรื่องสัตย์จริง มึงไม่ต้องเชื่อกูก็ได้ แต่ขอโอกาสให้กูได้อธิบายบ้าง”
“...กูไม่รู้หรอกว่าการที่กูชอบมึงมันเรียกว่าอะไร จะเป็นเกย์ ชายรักชาย รักร่วมเพศหรือคำไหนก็ตามที่เค้าจะบัญญัติกัน กูไม่รู้เหมือนกันว่ากูเป็นอะไรกันแน่” “.....”
“ กูรู้แค่ว่ากูชอบมึง กูอยากอยู่ใกล้ๆกับมึง กูอยากดูแลมึง ถ้าความรู้สึกพิเศษที่ผู้ชายมีให้กันมันเรียกรวมว่า ‘เกย์’ กูยอมเป็นเหมือนคำนิยามที่สังคมเค้าเอ่ยจริงๆ ถ้านั่นมันหมายถึงการที่กูได้ชอบมึง” “.....”
ผมเหมือนเป็นใบ้
ทุกคำพูดที่ถ่ายทอดออกมาพร้อมแววตานิ่งสงบแต่เด็ดเดี่ยวของมันทำให้คนมองอย่างผมใจสั่นไปหมด ผมเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หัวอื้อ ตาลาย มีอาการคล้ายๆกับจะเป็นลม ผมไม่รู้ตัวว่าตอนนี้สีหน้าผมแสดงออกแบบไหน ผมคงจะตลกมากใช่มั้ย มันถึงเอาแต่ยิ้มอยู่แบบนั้น
“..ปล่อยเถอะ”
ทุเรศ
ทุเรศที่สุด ทำไมเสียงที่เปล่งออกมาถึงอ่อนระทวยขนาดนั้น มันเกิดอะไรขึ้นแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะขยับข้อมืออกจากการเกาะกุมของมันยังทำไม่ได้
“ ปล่อย”
มันยิ้มเรื่อยๆไม่สนใจว่าจะขับรถแค่มือเดียว โดยที่มืออีกข้างยังกุมข้อมือผมอยู่
“ ปล่อยเถอะ...” คราวนี้น้ำเสียงผมหนักแน่นขึ้นมาหน่อย “...มึงขับรถมือเดียวอยู่นะ มันอันตราย” ท้ายประโยคแผ่วเบาเหมือนคนไม่มีแรงและยังรู้สึกได้ว่าหน้าผมร้อนแปลกๆ
“ อืม”
มันยอมปล่อยมือและหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้า ส่วนผมก็เสมองหน้าต่างข้างตัวไปเรื่อยโดยไม่มีบทสนทนาระหว่างกันเลย แต่แปลก...ผมกำลังแปลกใจที่ครั้งนี้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกอึดอัดเลย
........
........
“ จะไปไหน” ผมถามเมื่อรถมันเริ่มออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ
“ กินข้าว”
“ กินที่ไหน..” ผมขมวดคิ้วหน่อยๆ “...กินที่หอในก็ได้นี่”
“ ไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
มันยิ้มมุมปากก่อนจะขับรถไปเรื่อย สุดท้ายแคมรี่สีดำก็มาจอดสนิทอยู่ใต้สะพานขนาดใหญ่ที่มีแม่น้ำสายใหญ่อย่างแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ผมเดินตามมันอย่างงงๆจนมาถึงร้านอาหารริมน้ำขนาดเล็กๆแต่บรรยากาศดีเหลือเกินเพราะมีแพเล็กๆยื่นออกไปในแม่น้ำ ยิ่งตอนนี้บรรยากาศยามเย็นเริ่มมีแสงไฟสวยงามเปิดสว่างไสวไปทั่วสาดส่องลงผืนน้ำ ผู้คนเริ่มเยอะขึ้นและทยอยกันเข้ามาจับจองพื้นที่เต็มไปหมด ร้านเล็กๆแห่งนี้จึงดูครึกครื้นอย่างรวดเร็ว แต่ที่นั่งริมน้ำกลับดูเงียบสงบเป็นส่วนตัว
ผมเผลอยิ้มมองไปในสายน้ำที่มีปลาตัวใหญ่ดำผุดดำว่ายราวกับมันสนุกสนานร่าเริง
“ ชอบมั้ย”
“....”
เสียงกระซิบในระยะประชิดทำเอาสะดุ้งสุดตัว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมมีอาการประหลาดเวลาที่มันเข้าใกล้ทุกครั้ง ผมรู้ดีว่าอาการเช่นนี้หมายถึงอะไร แต่ผมไม่อยากมีอาการเช่นนี้บ่อยๆให้คนแถวนี้นึกดีใจหรอก
“ อืม”
“ ถ้ากูพามาอีกจะมารึเปล่า”
“ ห่ะ” ผมทำหน้าเหวอก่อนจะแอบเกาหัวและเบือนหน้าหลบสายตาของมัน “...พูด พูดอะไรวะ”
“ แค่ชวนมาเที่ยวกับกูเท่านั้นเอง”
“ ก็เอ่อ”
“ พักนี้ติดอ่างบ่อยเนอะ” มันแซวมันหน้าตาย แต่แววตาวิบวับราวกับขบขันอะไรบ้างอย่าง “ อย่ามองก็แบบนั้น กูล้อเล่น”
มันยกมือขึ้นเหมือนจะยอมแพ้ ผมเลยแกล้งทำหน้ายู่ใส่มัน
ผมไม่รู้หรอกว่าระหว่างเราเป็นอะไรกัน
ผมไม่รู้หรอกว่าบรรยากาศชวนอึดอัดของเราสองคนมันค่อยๆห่างหายลงเรื่อยๆ
ผมเพิ่งรู้ว่ามันคุยสนุกขนาดนี้
ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากยิ้มแล้วมันยังชอบสรรหาเรื่องต่างๆมาเล่าให้ผมฟังอีก จากที่ผมเป็นคนที่ชอบคุยในอดีตบัดนี้กลับกลายเป็นผู้ฟังไปเสียแล้ว แค่มันนั่งเฉยๆและยิ้มๆนิดๆผู้หญิงโต๊ะข้างๆก็เมียงมองอย่างสนใจแล้ว นี่มันกลับขยับริมฝีปากเปิดรอยยิ้มกว้างพร้อมกับหัวเราะแผ่วๆสาวๆพวกนั้นยิ่งจ้องตาเป็นมัน ซึ่งมันคงจะรู้ตัวเหมือนกันแต่กลับทำเฉยไม่สนใจ ส่วนผมแค่ยิ้มขำๆกับอาการของมัน
เรากินข้าวก่อนจะเดินเล่นกันสักพัก บรรยากาศยามค่ำคืนคล้ายกับตลาดขยาดย่อมที่มีผู้คนหลากหลายเดินดูของสวนกันไปมา พวกเราเดินซื้อของกินเล่นกันสักพักจนค่อนข้างดึกเลยตัดสินใจขับรถกลับมาส่งผมที่หอภายในมหาวิทยาลัย
“ ขอบคุณที่มาส่ง” ผมเอ่ยขอบคุณมันตอนที่รถจอดสนิทอยู่ป้ายรถป๊อปหน้าหอใน
“ เดี๋ยว”
มันคว้าแขนผมไว้ตอนที่ผมกำลังเอี้ยวตัวไปหยิบของกินเล่นที่ซื้อมาวางไว้ที่เบาะหลัง
“ เต้ย”
“ เฮ้ย”
จะไม่ให้ตกใจยังไงไหวเมื่อเบาะที่ผมนั่งอยู่ถูกปรับจากแนวตั้งให้นอนในแนวราบ โดยมีมันโน้มตัวอยู่ด้านบน
“ ทะ ทำไมอะไร”
“ กูอยากอธิบายเรื่องพวกหญิงที่ร้านอาหารนั่น”
ก็แล้วทำไมต้องปรับเบาะนั่งผมจนอยู่ในท่านอนหงายขนาดนี้ นั่งคุยกันดีๆก็ได้ สงสัยว่าข้อสงสัยผมคงแสดงออกทางแววตามันเลยกระตุกยิ้มน้อยๆ
“ ก็พูดมาสิ”
“ ก็ไม่มีใคร กูมีแค่มึง แค่มึงคนเดียว”
“ อืม”
มันถอนหายใจก่อนจะมองไปที่ข้อมือผมซึ่งมีเชือกป่านซึ่งเป็นสร้อยข้อมือที่พี่รหัสเคยให้ไว้
“ กูกับพี่ทีก็ไม่มีอะไรกันเหมือนกัน”
ผมหลุดประโยคนั้นออกมาทำเอาคนที่ยันตัวอยู่ข้างบนค่อยๆโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ใกล้ชนิดที่แทบจะลืมหายใจ
“ อย่า”
มือที่ดันแผ่นอกมันกลับไร้เรี่ยวแรงยิ่งเมื่อริมฝีปากมันกำลังบดคลึงกลีบปากผมอย่างแนบแน่น
“ ขอโทษที่ฉวยโอกาส” มันกระซิบชิดกับริมฝีปาก
“ กูไม่สัญญาหรอกนะว่าจะไม่ทำอีก ตั้งแต่กูรู้ใจตัวเอง...มึงคงไม่รู้ใช่มั้ยว่าอยู่ใกล้มึงทีไรกูควบคุมตัวเองไม่ได้เลย”**** มาอย่างด่วนเพิ่งดูคลับฟรายเดย์จบ ฮือออ นอยด์มากมาย

ไม่รู้ว่าตอนนี้หวานรึเปล่า หวานน้อยๆค่อยๆจิบนะ หึ เหมือนว่า
เรื่องมันจะดีขึ้นรึเปล่านะ โฮ๊ะๆๆๆ

ตอนหน้าไปฟังความจริงจากปากพี่เบียร์กัน

ปล. เค้าไม่สนับสนุนให้ขับรถมือเดียวนะเออ มันอันตราย โอเค้
เจอกันตอนหน้าจ๊ะ
