ประตูไม้บานคู่ประดับกระจกสลักลายเถาวัลย์และดอกไม้ถูกนาวาผลักออกเปิดสู่ตัวบ้าน นาวานำทุกคนเข้าสู่โถงทางเดินกว้างพาพวกเราไปสู่โซนรับแขกที่มีคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ ถ้าผมจำไม่ผิดคนที่นั่งอยู่น่าจะเป็นแม่เลี้ยงกับน้องชายต่างมารดาของนาวา สองคนนั้นหันมามองด้วยสายตาประหลาดใจ
“แก” ผู้หญิงคนนั้นชื่อวิลาสินี แม่เลี้ยงของนาวาแผดเสียงขึ้นจนผมแปลกใจ คนอะไรเสียงแหลมจริงๆ “แกเข้ามาได้ยังไง ใครปล่อยให้เข้ามา บุกบ้านคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ฉันจะเอาตำรวจมาลากคอแกออกไป”
“โห อย่างกะในละครแน่ะ อ่อ… ดูทีวีอยู่ด้วย สงสัยจะอินไปหน่อย เปิดตัวได้นางร้ายมากขอบอก” นิสากอดอก พูดออกมาราวคุณวิไม่ได้อยู่ตรงนี้ ผมเกือบหลุดหัวเราะเหมือนคนอื่นๆไปแล้ว
“หล่อนว่าใครยะ คิดจะตีฝีปากกับฉันเหรอนังเด็กกุ๊ย”
“อุตาย ดิฉันไม่กล้าตีฝีปากกับคุณนายหรอกค่ะ ใครจะไปปากตลาดเท่า แต่ถ้าตีปากล่ะก็ไม่แน่ บ้านตัวเองก็ไม่ใช่แต่ดันวางท่าซะ
ใหญ่โต” นิสาทำตัวเหมือนแม่นาวามากๆครับ ผมว่าคนที่อินกับละครน่าจะเป็นน้องสามากกว่า แต่ก็นั่นแหละ เพราะนาวาไม่พูดนิสาเลยต้องพูดแทน บ้านหลังนี้เป็นของนาวาโดยชอบธรรม ผมเองก็ออกจะเคืองหน่อยๆที่คุณวิออกปากไล่นาวาทันทีที่เห็นหน้า
“เธอว่าแม่ฉัน” วรากร กำมือแน่น
“แล้วเห็นฉันถอนหงอกใครล่ะ ก็คนนั้นแหละ” นิสาเท้าสะเอวจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“สา ไม่เอาน่า” นาวาปรามเพื่อน แล้วหันไปคุยกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะเป็นแม่บ้านของที่นี่ “ตวง…”
“คุณหนูของตวง” หญิงวัยห้าสิบปรี่เข้ามากอดนาวาเอาไว้ “เกิดอะไรขึ้นคะ คุณหนูเนื้อตัวมอมแมม แถมเปียกหมดอย่างนี้”
“เล่นสนุกนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก” นาวายิ้มราวไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น “ตวงให้เด็กขึ้นไปเตรียมห้องใหญ่ให้ฉันนะ ต่อไปฉันจะนอนห้องนอนใหญ่ ช่วยเตรียมน้ำในอ่างให้ทีเสร็จแล้วมาเรียก ฉันจะเข้าไปอาบน้ำพลางๆ ระหว่างนี้ให้คนมาดูแลแขกของฉันที”
“ค่ะ ได้ค่ะคุณหนู” ตวงรับคำสั่งน้ำเสียงดีใจ “สายใจแกไปกับฉัน” แม่บ้านออกไปกับสาวใช้อีกคน
“เธอจะเปิดห้องนอนใหญ่ทำไม คุณแม่ท่านสั่งทุกคนไม่ให้ใช้ห้องนั้น” คุณวิสะบัดผมยาวระบ่า ดูไม่พอใจที่นาวาสั่งคนให้เตรียมห้องนอนใหญ่
“วาว่าคุณน้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า คุณย่าไม่ได้ห้ามทุกคน คุณย่าห้ามน้าวิกับวรากรต่างหาก ตอนนั้นวาอยู่ในเหตุการณ์ทำไมจะจำไม่ได้ หรือสมมติว่าคุณย่าจะห้ามแต่ตอนนี้บ้านหลังนี้ก็เป็นของวา จะใช้ห้องไหนมันเป็นสิทธิ์ของวานะครับน้าวิ”
คุณวิลาสินีได้แต่ฮึดฮัดไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ได้แย้งอะไรออกมา
นาวานั่งลงบนโซฟา หยิบรีโมทปิดทีวี
“ฉันดูอยู่นะ” เด็กที่ชื่อวรากรเหว
“แต่ฉันหนวกหู” นาวาหันไปบอกอีกฝ่าย แล้วหันมาหาพวกเรา “นั่งสิทุกคน เปียกกันหมดเลย”
“ไม่ได้นะ ตัวเปียกสกปรก ห้ามนั่งบนชุดโซฟาของฉัน” คุณวิแย้ง ผมเริ่มขมวดคิ้วรำคาญ อะไรๆเธอก็ขัดนาวาตลอด ผมเริ่มจะสงสัยความสัมพันธ์ของแม่เลี้ยงคนนี้กับนาวาเสียแล้วสิ
“วาจำได้ว่าคุณพ่อเป็นคนซื้อโซฟาชุดนี้มา ไม่ใช่ของคุณน้าสักหน่อย” นาวาพูดกับคุณวิแล้วหันมาสนใจพวกเรา “แต่ช่างเถอะนั่งไปเลยฉันไม่ถือ เลอะเท่าไหร่ยิ่งดีเพราะพรุ่งนี้ฉันจะโล๊ะทิ้ง”
นิสาหัวเราะดีใจจนออกนอกหน้า พวกเราเลยนั่งลงโดยไม่สนเสียงท้วงของคุณวิ ก็เจ้าของบ้านเขาออกปากให้นั่งจะให้ทำไง ขณะเดียวกันสาวใช้สองคนถือถาดขนมและชาร้อนๆมาให้
“นี่พวกเธอ” วรากรหันไปดุสาวใช้หลังจากทั้งสองเสิร์ฟชาและขนมให้พวกเราเสร็จแล้ว “ฉันกับคุณแม่ก็นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่คิดจะเอาอะไรมาเสิร์ฟกับเขาบ้างหรือยังไง”
“ขะ ขอโทษค่ะคุณกร ก็พอดีคุณตวงเธอบอกดิฉันให้ยกมาเสิร์ฟแขกของคุณหนูใหญ่” ผมเลิกคิ้ว สาวใช้เรียกนาวาว่าคุณหนูใหญ่ น่ารักซะไม่มี (มันใช่เวลาจะมาชมกันไหมเนี่ย)
“อ๋อ พอนายใหม่มาก็ลืมนายเก่างั้นสิ จะไล่ออกทั้งยายตวงทั้งพวกเธอเลยดีไหม” วรากรกอดอกไม่พอใจ
“กร…” นาวาเหลือบมองน้องชายต่างมารดา น้ำเสียงเรียบเฉย “เธอมีสิทธิ์อะไรมาไล่คนของฉัน”
“สิทธิ์ในฐานะที่เป็นลูกคุณพ่อคนหนึ่งไง” วรากรเถียงพี่ชาย
“หึ ลูกของคุณสุวิศิษฏ์” นาวาเหยียดยิ้มให้กับอากาศตรงหน้า แล้วหันกลับไปพูดกับวรากร “แต่เธอก็ไม่มีอำนาจในบ้านหลังนี้ ไม่มีสิทธิ์ในบริษัท ไม่มีสิทธิ์ในมรดกที่เหลือ เชิญเธอใช้สิทธิ์ของเธอกับทรัพย์สินที่คุณย่าแบ่งให้ให้เต็มที่แล้วอย่ามาก้าวก่ายในที่ที่เป็นของฉันอีก ไม่ว่าจะเป็นเธอ พี่ชายเธอ หรือแม่ของเธอ ก็ไม่มีอำนาจมายุ่งวานวายกับทุกอย่างของฉัน”
“แก มันจะมากไปแล้วนะไอ้เด็กสามหาว ฉันเป็นเมียถูกต้องตามกฎหมายของพ่อแก ทำไมฉันจะใช้อำนาจของในฐานะเมียของคุณศิษฏ์ทั้งในบ้านและในบริษัทไม่ได้”
ปัง!
นาวาตบโต๊ะ แล้วลุกขึ้นมองไปทางคุณวิลาสินีที่กำลังเท้าสะเอวด้วยความไม่พอใจอยู่
“เพราะนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บริษัทของคุณย่าและบ้านหลังนี้จะเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว”
“ฉันไม่ยอม! ฉันเองก็เป็นลูกคุณพ่อคนหนึ่งเหมือนกัน ฉันต้องได้ในสิ่งที่แกได้สิ แกตัดสิทธิ์พวกเราทำแบบนี้มันจะเกินไปหรือเปล่า”
“น้อยไปด้วยซ้ำ” นาวากอดอก แล้วเลิกคิ้วเหมือนคิดอะไรออก “อ้อ ฝากบอกแม่เธอด้วยนะว่าพรุ่งนี้เช้าฉันตื่นมาหวังว่าจะไม่เห็นเธอสองคนแม่ลูกอยู่ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว”
“กรี๊ด ไอ้นาวาวันนี้ฉันต้องสั่งสอนแกบ้างแล้ว” คุณวิปรี่เข้ามาจะทำร้ายนาวา ผมต้องรีบเอาตัวบังเอาไว้ มือของเธอเกือบตบโดนแผลที่เพิ่งเย็บเสร็จของผม
“คุณวิ! จะทำอะไรกรุณาให้เกียรติคู่หมั้นผมหน่อย” ผมห้ามเธอ คุณวิหอบเพราะเหนื่อยหรือเพราะโกรธผมไม่แน่ใจ
“คุณเพชร” คุณวิคุยกับผม “ถ้าจะหมั้นกับคนบ้านนี้ทำไมไม่หมั้นกับตากรคะ หมั้นกับไอ้เด็กร้ายกาจคนนั้นทำไม หรือเพราะโดนคุณหญิงผกาบังคับ? ฉันพูดให้ได้นะ ถอนหมั้นกับเด็กคนนี้ซะเถอะ คุณเพชรก็เห็นว่ามันปากร้ายขนาดไหน ฉันเป็นคนรุ่นแม่มันแล้ว จะทำอะไรมันยังไม่เห็นหัวเลย”
“ผมจะหมั้นกับใครไม่มีใครบังคับผมได้หรอกครับ ต่อให้เป็นอาม่าเองก็เถอะ ฉะนั้นคุณวิก็อย่าทำกริยาไม่ดีกับคู่หมั้นของผมเพราะผมไม่ใช่คนที่ใจดีนัก ถ้าเกิดผมไม่พอใจขึ้นมาธุรกิจทัวร์ที่คุณวิลงหุ้นกับเพื่อนก็จะพังลงได้ ผมเตือนคุณด้วยความหวังดี”
“ใครอยู่ตรงนั้น ออกมานี่หน่อย” นาวาเรียกสาวใช้ที่ด้อมๆมองๆเจ้านายกำลังเถียงกันอยู่ “พาสองคนนี้ไปสงบสติอารมณ์ที่ห้องเขาที แล้วฝากกำชับเขาด้วยล่ะ ว่าพรุ่งนี้ให้ย้ายออกไป”
คุณวิลาสินีและวรากรจะไม่พอใจเอามากที่นาวาตัดสินใจไล่เขาออกจากบ้านแบบนี้ ถ้าหากว่าไม่มีที่ไปผมก็คงเห็นใจพวกเขาอยู่ครามครัน แต่นี่เงินมรดกก็ได้ไปคนละหลายสิบล้านที่ดินคุณหญิงรำไพก็ยกให้ส่วนหนึ่ง แม้จะเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งหมดที่มีแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย นาวาซะอีกที่โตโดยไม่มีความสะดวกสบายแบบนี้ ผมยังไม่เคยยินเขาเรียกร้องอะไรจากใครเลยสักคำ
เมื่อคนพวกนั้นออกไป บรรยากาศระหว่างพวกเราก็ดูผ่อนคลายขึ้น นิสาหัวเราะสะใจยกใหญ่ ดูท่าน้องสาจะพอใจกับการตันสินใจของนาวาอยู่มากทีเดียว จอมทัพนั่งจิบชาเงียบๆ แต่สายตาห่วงใยของเขาก็ส่งให้นาวาอยู่เป็นระยะๆ ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนๆของเขาที่เหลือ ที่น่าแปลกใจคือ หลังจากให้คนกันคุณวิกับวรากรออกไปมือของนาวากำนิ้วก้อยของผมไว้ เขาคงไม่กล้าจับมือผม แต่เอาเถอะแค่นิ้วก้อยผมก็แอบดีใจแล้ว มือของนาวาเย็นเฉียบ… ผมเพิ่งรู้ว่าที่ปากกล้าไม่กลัวใครเมื่อกี้ คนตัวเล็กของผมก็แอบหวั่น ผมเลยจับมือนาวาไว้ รวบจับไว้ทั้งมือ ให้ฝ่ามืออุ่นๆของผมปลอบประโลมฝ่ามือสั่นเย็นของนาวา
นาวาพยายามดึงมือออกเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเริ่มมองมาที่เราสองคน แต่เรื่องอะไรผมจะปล่อย งานนี้ผมตีหน้าเฉยราวไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เห็นนาวาทำปากงุบงิบเหมือนจะว่าอะไรผมสักอย่าง ตลกดีครับ แล้วเจ้าตัวก็เลยเสเปลี่ยนเรื่อง ทำลายบรรยากาศเงียบๆที่มีอยู่
“ทุกคนจะนอนที่นี่ไหม ดึกมากแล้วจะได้ให้คนช่วยเตรียมห้องให้” เจ้าของบ้านหมาดๆพูดขึ้นมาอย่างใจดี
“ไม่ล่ะ พวกกูว่าจะกลับแล้ว” เอ็มกัดขนมเข้าปาก “พี่จอมี่เพชร กลับพร้อมพวกเราใช่ไหมครับ”
อ้าว พวกเอ็งจะกลับแล้วมาโยนคำถามแบบนี้ใส่ข้าทำไม อันที่จริงผมว่าน้ำเสียงของไอ้เอ็มมันไม่ฟังดูเป็นคำถาม ฟังคล้ายบังคับชอบกล คือจะไม่ใช้ใครอยู่เป็นเพื่อนเพื่อนมึงเลยว่างั้น เรื่องอะไรผมจะยอมละครับ คู่หมั้นของผมนะครับ ผมจะอยู่กับเขา อีกอย่าง… ผมยังไม่ได้ปลอบนาวาเลย
“อืม” จอมทัพพยักหน้า
ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว เหมือนจะบังคับให้ผมกลับไปเสียให้ได้
“ว่าไงครับพี่เพชร” ไอ้แบงค์น้องรหัสที่ผมกำลังจะตัดออกจากสายมันหันมาถามแกมบังคับผม เชอะ เรื่องอะไรข้าจะยอมพวกเอ็งง่ายๆ รู้จักตรีเพชรน้อยไปเสียแล้ว
“พี่เจ็บแขนจังเลยวา” บีบเสียงให้ฟังดูเศร้าไว้ครับ แต่อย่าทำให้มันฟังดูสำออย เห็นอย่างนี้ผมน่ะพระเอกละครเวทีสองปีซ้อนนะขอบอก “ขับรถกลับกลัวจะเจ็บแผล”
“แต่วันนี้พี่มีคนขับรถมานี่ครับ” ไอ้แบงค์พูดดักคอ
“อ้อชาติน่ะเหรอ พี่จะให้เขาไปส่งไอ้จอมมัน บ้านอยู่คนละทางกันน่ะ วกไปวกมามันไกล” ผมแถ
“งั้นกลับกับพวกผมก็ได้ เบียดๆกันหน่อย แต่รับรองผมส่งพี่เพชรถึงที่แน่นอน หายห่วง” เก้าออกความเห็น พวกมึงจะลากให้กูกลับไปให้ได้ใช่ไหม ไอ้เพื่อนขี้หวง
“โอ๊ยป่านนี้คนที่บ้านหลับแล้วมั้ง” ผมโกหก “กลับคอนโดก็ลำบากอ่ะ” คอยดูท่าไม้ตายกูมั่งเถอะพวกมึง ผมช้อนตาหงอยๆใส่นาวา ไม่ให้ดูออดอ้อน แต่ส่อแววเหมือนคนกำลังถูกทิ้ง แล้วบีบกระชับมือนาวาที่ผมกุมอยู่ “อยู่คนเดียวคงไม่มีใครช่วยดูแล… เจ็บแผล”
ขอรางวัลการแสดงยอดแย่ให้ผมหน่อยเถอะครับ ไอ้พวกนั้นไม่เชื่อเรื่องที่ผมกุขึ้นมาหรอก ผมได้ยินเสียงฮึ่มๆในคอของพวกมัน ไม่พอใจก็ช่วยไม่ได้เพราะกูหน้าด้าน ฮ่าๆ มีเพียงนิสาและคนที่ผมจับมืออยู่เท่านั้นที่ดูเหมือนจะหลุดหัวเราะ นี่ผมไม่ได้มาแสดงปาหี่นะ แค่อ้อน(คนที่กำลังจะมาเป็น)แฟนเท่านั้น
“งั้นพี่เพชรอยู่นี่เถอะครับ วาจะช่วยดูแผลให้”
ผมหันไปยักคิ้วโชว์เหนือกว่าใส่พวกน้องๆขี้หวง คนมันแน่กว่าก็งี้แหละ
ผมและนาวออกมาส่งทุกคนที่หน้าบ้าน มือตุ๊กแกของผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือนาวาหรอกครับ ขอผมประกาศความเป็นเจ้าของมั่งเหอะ เดี๋ยวคนโน้นโอบทีคนนี้ปลอบทีผมหวงจะแย่อยู่แล้ว คืนนี้ก็จะเป็นอีกคืนที่ผมได้ใกล้ชิดเด็กน้อยของผมสินะ คิดแล้วก็ปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิด สงสัยหน้าผมมันคงยิ้มระรื่นเกินไปเลยโดนไอ้จอมทักเอา
“มึงหายเจ็บแผลแล้วเหรอเพชร ยิ้มหน้าบานแล้วนิ กลับบ้านได้ใช่ไหม” ถ้ามึงเงียบไปเหมือนที่เคยๆกูจะไม่มองแรงใส่มึงเลยไอ้จอมทัพเพื่อนยาก
“โอ๊ย …” ผมทำหน้าน่าสงสาร “มันเหมือนจะแสบๆน่ะวา”
“พี่เพชรแม่ง คอยดูผมจะฟ้องทั้งสายรหัสหน้าม่อไม่มีใครเกิน” ไอ้แบงค์คาดโทษผมได้น่ากลัวมากครับ ฟ้องไปเลยเชิญตามสบาย อย่างกับกูจะกลัว
“วาดูเพื่อนวาว่าพี่สิ” ผมฟ้องเจ้าตัวเล็ก
“มึงก็ดูพี่เพชรก่อนเถอะ สงสัยคงอยากได้ออสก้าแสดงนำชาย” ไอ้แบงค์ก็ไม่ยอม
“เห้อ พอกันทั้งสองคนแหละ” นาวาส่ายหน้าให้กับผมและแบงค์ “พี่จอมครับรอวาด้วย” แล้วไอ้เตี้ยก็สลัดมือจากผมไปเลย
น้ำคางพร่างพราวในเวลาที่ทุกคนออกมายืนส่งกันตรงเทอเรสหน้าบ้าน วันนี้เป็นวันที่มีอะไรเข้ามามากมายจนแทบจะตั้งตัวไม่ติดจริงๆ แต่ดูเหมือนนาวาจะผ่านมันมาได้เพราะมีเพื่อนๆที่เข้าใจและเป็นห่วง เรื่องผผิดใจกันของผมและจอม เราก็ข้ามผ่านมันมาได้เพราะคำว่าเพื่อนรักที่ค้ำคอ ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีเรื่องแย่ๆอะไรรออยู่อีกหรือไม่ แต่ผมเองก็ไม่หวั่น เพราะผมมั่นใจแล้วว่า ผมและนาวาจะมีคนที่คอยห่วงและเข้าใจอยู่รายล้อม ถึงเพื่อนนาวาจะมีท่าทีกีดกันผมไปบ้าง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเข้าใจได้ แถมยังยินดีด้วยซ้ำที่คนของผมมีเพือนที่ดี มีคนที่คอยให้กำลังใจอย่างจอมทัพ และเขาเองก็น่าจะรู้ว่าเขายังมีผมที่จะคอยปกป้องเขา
แม้ผมจะต้องบาดเจ็บแค่ไหน ผมก็จะไม่ยอมให้เขาเป็นอะไร
“พี่จอมครับ วันนี้วาขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้พี่กับพี่เพชรวาคง…”
“ไม่เอาน่า อย่าพูดแบบนั้น มันจบไปแล้วอย่าใส่ใจเลย” จอมทัพใช้ฝ่ามือใหญ่โยกหัวนาวาอย่างเอ็นดู นาวาโผเข้าอ้อมกอดของ
จอมทัพจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน ผมเพิ่งเห็นจอมทัพหน้าแดงก็ตอนนี้ ผมแอบยิ้มให้กับท่าทีประหลาดใจของเพื่อน มันทำตัวไม่ถูก มือไม้ของมันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ไอ้จอมดูงงๆแต่แล้วก็เอามือโอบหลังนาวาไว้เบาๆ มันหันมามองผมด้วยสายตาที่มีแค่ผมและมันเท่านั้นที่เข้าใจ ผมพยักหน้าให้เพื่อนก่อนจะยิ้มให้มัน แล้วจอมทัพก็โอบนาวาไว้ มันคงอยากปลอบนาวาในแบบของมันบ้าง ผมก็ใจกว้างและเป็นนักกีฬามากพอที่จะไม่หึงหวงจนเกินเหตุ เพราะผมรู้ดีตอนนี้หัวใจของนาวายังไร้คนครอบครอง
“ไอ้หนูแว่น กอดแต่พี่จอมแล้วพวกกูล่ะ” แบงค์ยีหัวนาวาที่เพิ่งผละออกจากจอมทัพ
“กูไม่ได้แว่นแล้วนะ” นาวาเถียง
“ยังไงมึงก็เป็นไอ้แว่นสำหรับพวกกูนั่นแหละ” เก้าดีดหน้าฝากนาวาเบาๆ
แล้วพวกเพื่อนๆก็รุมกอดนาวา จนคนตัวเล็กในอ้อมกอดของพวกนั้นหลุดยิ้มขึ้นมาอย่างสบายใจ ผมและจอมทัพเองที่ยืนสังเกตอยู่ด้านนอกยังเผลอยิ้มตามไปด้วยเลย นั่นสินะที่เขาว่าฟ้าหลังฝนงดงามเสมอ ผมเพิ่งได้เห็นความงามของ Silver lining จากรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้เอง…
TBC.