Mon Fiancé ไอ้เฉิ่มนั่น..คู่หมั้นผม ❤ butterfly lovers... END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Mon Fiancé ไอ้เฉิ่มนั่น..คู่หมั้นผม ❤ butterfly lovers... END  (อ่าน 196887 ครั้ง)

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

Chapter 12
Ever Thine, Ever Mine, Ever Ours
Part 3.  (100%)

 :L2: :กอด1: :L2:


บ่ายวันนั้นอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศในห้องเรียนที่เคยฉ่ำเย็นกำลังดีกลับหนาวยะเยือกราวนั่งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ผมลูบเนื้อตัวของตัวเองเพื่อบรรเทาความหนาว อุณหภูมิแอร์ก็เท่าเดิมแต่ผมกลับหนาวจนเกือบสั่น สำเนียงภาษาอังกฤษของอาจารย์ชาวต่างชาติที่กำลังบรรยายวิชาการตลาดอย่างเมามันอยู่หน้าชั้นเรียนกลับไม่เข้าโสตประสาทผมสักนิด แม้ปกติผมจะไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียนอะไรมากเหมือนจอมทัพ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่สนใจการเรียนเลย หากวันนี้ผมไม่กะจิตกะใจจดจอกับการเรียนภาคบ่ายแม้แต่น้อย ผมเริ่มรู้สึกปวดและวิงเวียนศรีษะแถมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะอากาศหนาวในห้องแอร์

 

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า” จอมทัพเงยหน้าจากสมุดจดเลคเชอร์

 

 

“หนาวๆยังไงก็ไม่รู้”

 

 

“ไข้ขึ้นละสิ นาวาให้กูจับตาดูอาการมึงอยู่ ให้กูโทรบอกน้องไหมว่ามึงอาการหนัก”

 

 

“อย่าโทร กูไม่เป็นอะไรเดี๋ยวค่อยกินยา”

 

 

“แน่ใจ?”

 

 

“เออน่า”

 

 

ความตั้งใจเดิมของผมคือจะทานยาเมื่อคาบวิชาการตลาดหมดไป แต่อุปสรรค์ที่เรียกว่างานกลุ่มกีดกันไม่ให้ผมปลีกตัวไปไหนได้ มันสมองและสติที่มีต้องเค้นออกมาเพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผมนั่งทำงานกลุ่มกับเพื่อนๆในคณะอยู่นาน นานจนลืมไปว่าต้องกินยา นานจนเวลาล่วงเลยมาถึงเย็น นานจนอาการของผมหนักขึ้น

 

 

“เพชรเป็นไม่สบายหรือเปล่าคะ” โบว์ เพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผมถามขึ้น เธอเอามืออังหน้าผากผมโดยไม่ทันตั้งตัว “ตัวร้อนจี๋เลย”

 

 

“ป่วยนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย” ผมบอกปัด ปัดทั้งมือและน้ำใจของเธอ ผมฉลาดพอที่จะรู้ได้ว่าใครคิดยังไงกับตัวเอง โบว์เป็นหนึ่งในเพื่อนผู้หญิงร่วมรุ่นที่คิดจะเข้ามาคบหากับผมในฐานะที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ครั้งหนึ่งผมเคยเล่นด้วยกับเธอ ระหว่างเราอาจจะไม่ถึงขั้นมีอะไรเกินเลย แต่นั่นก็คงมากพอที่จะทำให้เธอคิดไปว่าตัวเองพิเศษเหนือใคร

 

 

“โถ่เพชร แบบนี้ไม่นิดแล้วมั้งคะ โบว์ว่าเพชรพักเถอะค่ะ งานตรงนี้ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว”

 

 

“ไม่เป็นไร เหลืออีกนิดเดียวทำให้เสร็จๆไปเถอะ จะได้ไม่เป็นภาระทีหลัง”

 

 

เธอพยักหน้าแล้วเดินออกไป ผมก้มหน้าทำงานในส่วนของตัวเองต่อ งานนำเสนอชิ้นนี้กำหนดส่งสัปดาห์หน้า กลุ่มผมรีบทำเพราะเห็นว่าเพื่อนหลายคนมีเวลาว่างไม่ตรงกันกลัวว่าจะปั่นงานไม่ทัน อีกประการที่ผมยอมนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งทั้งๆที่ตัวเองก็ป่วยถึงปานนี้ เพราะอาทิตย์หน้าผมและนาวาก็จะหมั้นกันแล้ว ผมคงยุ่งเตรียมงาน ยุ่งตอบคำถามนักข่าว และคงจะดีใจจนยุ่งไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แค่คิดว่าเรากำลังจะหมั้นกันในอีกไม่กี่วันนี้ ผมกลับยิ้มให้กับกองเอกสารและแล็ปท็อปที่กำลังใช้งานอยู่

 

 

“สงสัยป่วยจนบ้าไปแล้ว” จอมทัพนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม “นั่งยิ้มคนเดียว”

 

 

“กลุ่มมึงเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม

 

 

“แบ่งงานกันไปทำ ค่อยมารวมกันอีกที”

 

 

“อืม” ผมก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อ

 

 

“นาวากำลังมา”

 

 

“มึงว่าอะไร” ผมเงยหน้าจากแล็ปท็อป

 

 

“เมื่อกี้นาวาโทรถามกูว่ามึงกินยาหรือยัง”

 

 

“มึงตอบไอ้เตี้ยไปว่าอะไร”

 

 

“ความจริง”

 

 

“ไอ้จอม มึงต่อยกูยังจะดีกว่า ไปบอกนาวาแบบนั้นมีหวังกูโดนเชือดแน่ ยิ่งดุๆอยู่ด้วย ตอนเที่ยงไอ้เตี้ยมันสั่งให้กูรีบกินยา แต่กูยุ่งไม่มีเวลากินเลย”

 

 

“กูไม่อยากโกหกให้ศัตรูหัวใจ” เพื่อนผมมันก็พูดตรงเกินไป

 

 

“เออ ไอ้ชู้ แต่กูไม่ยกเมียให้มึงหรอกนะ”

 

 

“กูไม่ได้ขอให้ยกให้”

 

 

“แน่ละสิ เดี๋ยวนี้มึงเริ่มมองคนอื่นแล้วนิ”

 

 

“กูมองใคร” จอมทัพขมวดคิ้วงุนงง

 

 

“ก็คนที่มึงชอบเถียงด้วยยังไงล่ะ จากที่กูเห็นเถียงกันตอนทานข้าวเที่ยง รู้สึกว่าพวกมึงสองคนน่าจะยังไม่ลืมเรื่องตอนนั้น”

 

 

เรื่องตอนนั้น… จอมทัพน่าจะจำได้ดี เพราะตอนนั้นพวกผมยังจำกันได้เลย เป็นเรื่องที่ฮามากสำหรับพวกเรา แต่คงจะเป็นเรื่องที่เสียหน้าและเจ็บใจมากสำหรับจอมทัพและไอ้หมวยน้องไอ้เปรม

 

 

“ลืมไปตั้งนานละเหอะ เรื่องพรรณ์นั้นใครจะไปจำ” จอมทัพปั้นหน้าเรียบภายใต้สีหน้าที่เริ่มระบายไปด้วยสีแดง

 

 

“จำอะไรกันคะหนุ่มๆ” โบว์โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง เธอนั่งลงข้างผมพลางสะบัดผ้าเช็ดหน้าของเธอ “เช็ดตัวหน่อยก็ดีนะคะเพชร ผ้าเช็ดหน้าหมาดๆคงจะช่วยลดความร้อนได้บ้าง ดูสิเนี่ยตัวร้อนเชียว”

 

 

โบว์ไม่รอให้ผมตอบรับหรือปฏิเสธ เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าลูบแก้มผม ความเย็นจากผ้าและท่าทีรุกล้ำของเธอทำเอาผมสะดุ้ง แม้จะถอยหนีแต่เจ้าหล่อนกลับขยับเข้าใกล้จนผมเกือบหลุดจากเก้ากี้

 

 

“ไม่ต้องก็ได้โบว์ เราไม่เป็นอะไร”

 

“เช็ดตัวสักหน่อยเถอะค่ะ จะได้สดชื่น โบว์ทำให้” ว่าแล้วเธอก็ไม่ฟังเสียงทักท้วงจากผมอีกเลย ตามเช็ดอยู่นั่น โบว์ใช้ผ้าหมาดๆซับซอกคอผม แม้มันจะคลายความร้อนจากพิษไข้ลงไปได้บ้าง แต่ผมรู้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่สถานที่ที่สมควรจะมานั่งเช็ดตัวกันอยู่ เพราะนี่คือลานกว้างใต้คณะ คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ

 

 

“ไม่ต้องหรอก”

 

 

“เพชรป่วยแล้วดื้อนะคะ มาเถอะให้โบว์ดูแลนะ” โบว์แหวกคอเสื้อของผมแล้วทำท่าราวจะล้วงเข้าไปเช็ดข้างในให้ได้

 

 

“มิกกี้ พี่ว่าแผ่นลดไข้ของเราคงเป็นหม้ายไปแล้วล่ะ” เสียงอันคุ้นเคยเรียกให้ผมหันไป “เขามีคนดูแลแล้วนิ”

 

 

“นาวา” ผมร้องเรียกชื่อคนที่ผมคิดถึงจนใจจวนจะขาด แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นแววตานิ่งเฉยของฝ่ายตรงข้าม

 

 

“พี่คะ พี่คะ พี่ผู้หญิงที่เตี้ยๆกำลังจะงับหัวพี่เพชรคนนั้นน่ะคะ” มิกกี้เจ้าของใบหน้างามหยดและเสียงแหบอย่างผู้ชายเอ่ยทักโบว์ที่กำลังจดจ่ออยู่กับคอผม “พอได้แล้วมั้งคะ มิกกี้ว่าท่าทางของคุณพี่ผู้หญิงเลยการเช็ดตัวไปหลายขุมแล้วล่ะค่ะ”

 

 

“นี่เธอ” โบว์ยอมละจากตัวผมหันไปเผชิญหน้ากับมิกกี้อกแตงโม ซึ่งผมสังเกตได้ว่าไอ้จอมก็มองแตงโมนี่เหมือนกัน ใหญ่สะดุดตาแบบนั้นใครๆก็มองเป็นเรื่องธรรมดา เนาะ เมื่อกี้ผมเองยังแอบมองเลย “ฉันกำลังดูแลเพชรอยู่ ยุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ”

 

 

“อุตะ ทานโทษที่มิกกี้ขัดขวางการแทะโลม อุ้ย การดูแลของคุณพี่ แต่ดูแลกันถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ใต้อาคารที่คนเดินผ่านไปผ่านมา คนที่จะเสียก็คุณพี่นั่นแหละค่ะ มิกกี้เป็นห่วงกลัวคุณพี่จะโดนเม้าท์ให้อับอาย เอ…หรือว่าคุณพี่ไม่อายคะ มิกกี้จะได้ไม่สอด”

 

 

“อีนังบ้า แกว่าฉันหน้าด้านเหรอ ฉันแค่เป็นห่วงกลัวเพชรไม่สบาย” โบว์ทำท่ากระฟัดกระเฟียด ยอมละออกจากตัวผม เมื่อเหลือช่องว่าง มิกกี้นมโต เลยถือโอกาสนั่งลงตรงกลางระหว่างผมกับโบว์

 

 

“วาครับ รอพี่ทำงานอีกแปปนะ เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว เราจะได้ไปร้านพี่วิทย์กัน” ผมรีบกระวีกระวาดจัดเอกสาร และพิมพ์พาวเวอร์พอยท์สไลด์สุดท้าย

 

 

“ไอ้มิกเอานี่ไป” นาวาโยนถุงที่ใส่แผ่นเจลบรรเทาไข้ให้มิกกี้ ไม่มองมาทางผมสักนิดเดียว

 

 

“พี่วาขา หนูเปลี่ยนชื่อแล้วนะคะ มิกกี้นะคะ ไม่ใช่มิก ไอ้มิกมันตายไปนานแล้วค่ะ เกิดใหม่ไฉไลกว่าเดิมเป็นมิกกี้ค่ะจำไว้”

 

 

“คร้าบ น้องมิกกี้” นาวาขยี้หัวน้องมิกกี้อย่างคนสนิทชิดเชื้อ

 

 

“ไอ้มิก?” จอมทัพร้องขึ้นด้วยสีหน้าฉงน

 

 

“ขาพี่จอม” มิกกี้ขานรับ

 

 

“ไอ้มิกที่ตอนปีหนึ่งตามติดนาวาแจเพราะโดนเพื่อนแกล้ง?” จอมทัพดูจะเคยรู้จักกับสาวสวยด้วยมีดหมอคนนี้

 

 

“บอกแล้วไงคะ ไอ้มิกมันตายไปแล้ว หนูคือมิกกี้ค่ะ มิกกี้สุดสวย”

 

 

“เปลี่ยนไปจนพี่จำไม่ได้” จอมทัพยิ้ม

 

 

“แต่พี่วาจำได้ ตอนเปิดเทอมวันแรกพี่วาโบกหัวหนู แถมดุหนูที่ใส่กระโปรงสั้นล่อเข้”

 

 

“ก็เป็นผู้หญิงแล้ว ทำอะไรต้องระวังเนื้อระวังตัว” นาวาอธิบายแล้วหันไปคุยกับจอมทัพ “เย็นนี้พี่จอมว่างไหมครับ”

 

 

“ว่างครับ วามีอะไรหรือเปล่า” ไอ้จอมยิ้มตาหยีให้ว่าที่คู่หมั้นผม

 

 

“ไปทานไอศกรีมกันไหมครับ” นาวายิ้มรับ แล้วหันมาทำหน้าบึ้งใส่ผม “วันนี้เบื่อๆ พี่จอมพาวาไปนะ”

 

 

“ได้ไงกัน วามีนัดกับพี่แล้วนะ” ผมท้วงออกมาทันที ได้ไง จะปล่อยให้นาวาไปกับไอ้จอได้ยังไง ผมไม่ยอมหรอก ไหนจะต้องพาไปวัดตัวตัดชุดอีก งานของเราใกล้เข้ามาแล้วนะ อย่าทำเหมือนมีเวลาว่างขนาดนั้นสิ

 

 

“ว่าไงครับพี่จอม วันนี้เราไปกินไอติมกันนะ” นาวาไม่สนใจผมเลย!

 

 

“ได้ครับ” จอมทัพยกยิ้มให้นาวาจนหมดใจ ไอ้ตัวดีก็ยิ้มรับด้วยท่าทางเริงร่า ผมเห็นแล้วพาลจะทำให้ตาร้อนผ่าว

 

 

“พี่ไม่ให้ไป” ผมพูด อันที่จริงผมตะคอก

 

 

นาวาปรายตาดุๆมาทางผม แววตาของเขาบ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“ฉันจะไป”

 

 

“ไม่ให้ไป เรามีนัดกับพี่วิทย์เย็นนี้นะ” ผมคว้าข้อมือของนาวาไว้

 

 

“พูดอะไรหัดดูตัวเองบ้างนะตี๋ ให้หายป่วยมีแรงจะพาไปแล้วค่อยมาพูดกัน สั่งแล้วใช่ไหมให้กินยา ทำไมไม่กิน”

 

 

“ก็พี่…”

 

 

“อย่าพูดว่าลืม เจียดเวลาสักนิดไปกินยามันจะอะไรนักหนา เบื่อไม่อยากคุยกับนายแล้ว” นาวาให้มืออีกข้างแกะมือที่ผมจับเขาไว้ เด็กน้อยของผมหันไปคุยกับจอมทัพ สองแขนของเขาเกาะจอมทัพแน่น มันช่างต่างกับผมเหลือเกิน… ดูก็รู้นาวามีใจให้ใคร “พี่จอมเราไปกันเถอะ วาไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆ อ้อ มิกกี้ ฝากส่งไอ้คุณชายขึ้นรถด้วยนะ อย่าให้มันขายอ้อยให้ใครจนเขาต้องมานั่งดูแลมันอีกล่ะ”

 

 

“รับทราบค่ะพี่แว่น” มิกกี้ฉีกยิ้มพริ้มเพรา

 

 

 

เวลานั้นผมสุดแสนจะน้อยใจ ปกติผมไม่ค่อยจะรู้สึกอย่างนี้หรอก แต่คุณเข้าใจไหมครับ ตั้งเช้ามาแล้ว… วันนี้ผมป่วย คนป่วยต้องการอะไร? ผมอยากเป็นที่สนใจของนาวามากกว่านี้ ไม่ใช่มาเมินกัน จากที่น้อยใจ อยู่ๆมันก็เปลี่ยนเป็นความโกรธและงอนไปในที่สุด คนป่วยต้องการอะไร? นายจะรู้ไหมไอ้เตี้ย?





----------------------------------------------------------


หายไปนาน ขอโทษนะทุกคน
แต่เรากลับมาแล้วนะ อยากให้กลับมาอ่านกัน ^^ ต่อไปจะพยายามโพส weekละตอนนะ
ช่วยเข้ามาเป็นกำลังใจ แล้วก็คอมเม้นติชมได้เสมอเลยนะ ยินดีรับฟังครับ


Love always,

Killian

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หายไปนานมากกกกกกกกก แต่ก็รออยู่นะ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
งื้อออ หายไปนานเลยค่ะ คิดถึงงง

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
เพชรน้อยใจซะแล้ว  :katai5:

ออฟไลน์ paraprove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอบคุณที่กลับมาต่อค่ะ คิดถึงนาวามาก แอร้ยยย พี่เพชรออกลายเกลียมัว ฮ่าๆๆ

เป็นกำลังใจให้คนเขียน :3123:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
คิดถึงอย่างสุดซึ้งดีใจจังที่กลับมา :heaven

วาไม่สนใจพี่เพชรเลย เดี๋ยวเจองอแงใส่แน่ๆ

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ต่างคนต่างงอนกันซะงั้น

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
มาต่อแล้วว  :heaven

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
มาต่อแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Dkmine

  • ~ทัดทาน~
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เบ่ กลับมาแล้ววววววว

ออฟไลน์ ณ ที่เดิม™

  • มากกว่าชีวิต...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1699
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ไม่ได้ตามอ่านเรื่องนี้มานาน กลับมาอ่านทีแล้วรู้สึกปริ่ม  :กอด1:
ชอบความห่วงใยของเพื่อนๆนาวา มันดูอบอุ่นมาก

แต่ตอนล่าสุดน้องงอนไปแล้ว สมน้ำหน้าอิพี่เพชร
อุปสรรคเหลืออีกเยอะเลย ยัยคุณป้าแม่เลี้ยงมหาภัยนั่นกับน้องชาย พี่ชายนั่นอีก คิดว่าคงไม่จบแค่นี้
รอตอนต่อไปโลดละกันครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
กลับมาต่อแล้ว  :mc4:
คนแก่ขี้น้อยใจ คริๆ

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
นาวาจัดลูก

จีดแบบโหดๆ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
อ๋ออออ อย่างนี้นี่เอง
แค่ลืมกินยา คงไม่ทำให้นาวาคุกกรุ่น
มากเท่ากับที่พี่เพชรยอมให้สาวโบว์
ถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นหรอกนะ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
นาวาใจร้าย

ออฟไลน์ cass-meyz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
หายไปนานมากกกกกกกกมาต่อบ่อยๆนะ คิดถึง

ออฟไลน์ AllStaRK

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Hypnos

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :sad4:  มาต่อแล้วดีใจ   อย่าหายไปนานอีกนะคะ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ไม่กินยาเองนิ  ไปงอนน้องทำไม  55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
บบที่ 13 ในคืนฟ้าครึ้ม




ตัดภาพมาปัจจุบัน


เวลานี้โพล้เพล้เต็มทีแล้ว ท้องฟ้าตอนนี้เกือบจะกลายเป็นสีดำสนิท ยามตะวันใกล้ชิงพลบมีสายลมเอื่อยๆพัดพาเอาความเย็นของอากาศเข้ามาทำให้ผมห่อไหล่ ผมนั่งอยู่ตรงศาลาไม้กลางสวน ดอกไม้หลากหลายชนิดส่งกลิ่นหอมรวยริน หากกรุ่นหอมละมุนของดอกไม้ไม่สามารถคลายปมที่คิ้วผมออกได้ ผมยังคงขมวดคิ้วหงุดหงิด ในมือมีก้านมะยมที่เด็ดจากสวนหลังบ้าน ผมรูดใบออกเหลือแต่ก้านสีเขียวอ่อนเรียวยาว หวดมันไปกลางอากาศ เสียงก้านมะยมเสียดสีกับอากาศดังเข้าหูผมรอบแล้วรอบเล่า ซ้อมไว้ก่อนครับ เจอหน้าเมื่อไหร่ละน่าดู


เด็กดื้อมันต้องโดนตีซะบ้าง พรุ่งนี้จะตามไปตีถึงคณะเลย


เพราะคนป่วยอารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย


พลันคิ้วของผมคลายปม ลู่ตก ถ้าได้ส่องกระจกผมคงเห็นสีหน้าหมาหงอยของตัวเอง ใช่สิ หมาตัวนี้มันโดนเจ้าของทิ้ง ทิ้งไปกินไอศกรีมกับคนอื่น ทั้งๆที่กำลังโมโหเขาอยู่แท้ๆแต่ผมกลับเป็นห่วงเขา ตอนนี้ไอ้เตี้ยจะอยู่ไหน ทำอะไร ทานข้าวเย็นหรือยัง นาวาจะถึงบ้านปลอดภัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ อกผมเต้นเป็นจังหวะเบาหวิวแปลกประหลาด คล้ายว่าใจดวงนี้มันคิดถึงนาวาจนไม่เป็นอันทำอะไร


ศาลาไม้ตั้งอยู่ใกล้แปลงดอกสายหยุดที่อาม่าเพิ่งให้คนสวนลงปลูกเมื่อไม่นานมานี้ ผมไม่รู้หรอกว่าดอกสายหยุดจะมีกลิ่นแบบไหน เพราะไม่เคยตื่นเช้ามาดมกลิ่นมันได้สักครั้ง ก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า


๏     สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง               ยามสาย


พอสายแล้วกลิ่นดอกไม้คงอันตรธานจางหาย คนตื่นเที่ยงแบบผมเลยไม่โอกาสได้ดอมดม กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ประเดี๋ยวเดียวก็ขจายหายไป ต่างจากใจโหยหาคิดถึงของผมที่


สายบ่หยุดเสน่ห์หาย                  ห่างเศร้า
กี่คืนกี่วันวาย                               วางเทวษ  ราแม่
ถวิลทุกขวบค่ำเช้า                        หยุดได้ฉันใดฯ

                                       (ลิลิตตะเลงพ่าย น.๓๒)



เหมือนตอนนี้ที่ผมมัวแต่คิดถึงนาวา พอไม่ได้อยู่ด้วยแล้วมันอยากเจอเหลือเกิน ไม่รู้เพราะอะไร ตอนนี้ผมอยากเห็นดวงตาสีเฮเซิลคู่นั้น อยากได้ยินเสียงนุ่มของคนตัวเล็กเรียกผมว่าไอ้ตี๋ อยากจับไอ้เตี้ยมางับคอเล่นโทษฐานที่ทิ้งผมไป ไปกินไอติมกับไอ้จอม หึ กินกันจนอิ่มล่ะสิ! ป่านนี้ยังไม่เห็นโทรมา ผมเหลือบตามองโทรศัพท์มือถือที่ตั้งไว้ข้างตัว แอบหวังลึกๆว่านาวาจะโทรหา
ตะวันลับเหลี่ยมฟ้าไปพักใหญ่แล้ว ท้องฟ้าราตรีเวลานี้ถูกคลี่คลุมด้วยเมฆฝน ผมห่อไหล่อีกครั้งเมื่อสายลมพัดเอาความชื้นที่ลอยล่องอยู่ในอณูอากาศมาโดนตัว ใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงนอนเนื้อบางขายาวเลยไม่ค่อยจะให้ความอบอุ่นมากนัก อะไรนะครับ เดี๋ยวไข้ขึ้นเหรอ? หึ ช่างสิ ใครบางคนยังไม่สนเลย ผมจะป่วยตายมันคงไม่สนใจ!


คิดได้ดังนั้นคิ้วพลันกลับมาขมวดมุ่นดังเดิม มือหวดก้านมะยมในอากาศระบายอารมณ์ เจอเมื่อไหร่ล่ะน่าดู


      ๏   สายหยุดก็อยุดกลิ่น                   เพราะถวิลลอายใจ
เกรงกลิ่นพระทรามไวย                             วรรัตนะกานดา
       ๏   สายหยุดจะอยุดไย                       อรไทยบ่ได้มา
จักหอมพนอมกา-                                    นนบ้างก็ช่างมัน
                                                                         (พระนลคำฉันท์ น. ๒๒๕)



“ตาเพชร มาอยู่นี่เอง น้ำค้างลงแล้วนะเข้าบ้านเถอะ อาม่ารอทานข้าว” สิ้นเสียงของเจ้พลอยผมก็ลุกเข้าบ้านไปโดยไม่ลืมหยิบก้านมะยมติดมือไปด้วย


ผมวางก้านมะยมไว้ข้างถ้วยโจ๊กหมูที่มีไอน้ำลอยหมุนจนเป็นเกลียวแล้วจางหายไปในอากาศ โจ๊กร้อนๆวางอยู่ตรงที่นั่งประจำของผม ผมเบ้หน้าไม่พอใจ


“เอาก้านมะยมมาทำไมโซ้ยตี๋” อาม่าถาม


“เอามาตีเด็กดื้อ” ผมมุ่ยหน้าตอบ เอาช้อนเขี่ยของตรงหน้าแล้วหันไปบ่นสาวใช้ที่กำลังรินน้ำอุ่นให้ผม “เอาโจ๊กไปเปลี่ยน ใส่ขิงเยอะแบบนี้จะให้กินเข้าไปได้ยังไง ต้องให้บอกกี่ทีว่าฉันไม่ชอบขิง” แล้วผมก็กลับมาปั้นหน้าหงุดหงิดต่อเมื่อเมดคนนั้นยกโจ๊กของผมออกไปแล้ว


“เป็นอะไรเพชร หงุดหงิดอะไร” เจ้พลอยกอดอกนั่งมองผมด้วยสายตาสำรวจ


“เปล่า ผมสบายดี” ผมโกหกนิดหน่อยเพื่อตัดปัญหาไม่อยากให้พี่สาวเซ้าซี้ “ก็แค่ไม่อยากกินของที่ไม่ชอบ”


“สบายดี?” เจ้พลอยทวนคำ “แล้วที่ไอ้หน้าซีดๆ ตาแดงๆนี่เค้าเรียกว่าสบายเหรอ อ๋อ คงจะสบายมากสินะ สบายจนไม่ต้องดูแลตัวเอง น้องวาโทรมาบอกเจ้ว่าเพชรป่วยแล้วไม่ยอมทานยา”


“นาวาโทรหาเจ้?”


“อื้ม โทรมาเมื่อตอนเย็น บอกว่าเราน่ะมีไข้สูงแถมยังลืมทานยา ให้ช่วยดูให้หน่อย เขาไม่ว่าง”


“หึ ไม่ว่าง! หรือกำลังกระหนุงกระหนิงกับใคร แถมยังโทรหาเจ้อีก ไอ้คนที่นั่งตบยุงรอสายอยู่ไม่คิดจะโทรหาเลยใช่ไหม” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง จังหวะเดียวกับโจ๊กหมูถ้วยใหม่กลิ่นหอมกรุ่นถูกวางลงตรงหน้า

“ใส่ต้นหอมมาทำไมเยอะแยะ ใส่มาขนาดนี้ไม่เอามาทั้งสวนเลยล่ะ? ฉันไม่กินต้นหอมกลิ่นมันฉุน ไปเปลี่ยนเร็วๆเข้า ทำอะไรไม่ได้เรื่องตลอดเลย” ผมเหวี่ยงโน่นเหวี่ยงนี้ รู้หรอกว่ามันไม่ดี แต่อารมณ์ตอนนี้มันเหมือนเลือดขึ้นหน้า โมโหต้องหาที่ระบาย ใครต่อใครในบ้านต่างรู้กันดีว่าถ้าผมโมโหจะเหวี่ยงแค่ไหน ยิ่งตอนนี้ผมป่วยอยู่ด้วย ความเอาแต่ใจวีนเหวี่ยงเลยมากกว่าปกตินิดหน่อย


สาวใช้ทำหน้าสลดอาม่าเลยจัดการตัดบท “ไปเอามาใหม่ไป แล้วไม่ต้องใส่อะไรเลย แค่หมูกับโจ๊กก็พอ” อาม่าที่มองยังไงก็ยังไม่แก่หันมาพูดกับผม “เป็นอะไรตาเพชรโกรธอะไรใครมา?”


“จะมีใครซะอีกละคะอาม่า อาการแบบนี้พลอยว่าต้องงอนว่าที่คู่หมั้นของเขานั่นแหละ”


“หึหึ โซ้ยตี๋งอนหนูวาทำไม” อาม่าถาม ดวงตายิ้มหยี


“ผมเปล่างอน” ต้องปฏิเสธท่าเดียว ยอมรับทำไมให้เสียภาพพจน์ “แต่หนูวาของอาม่าทำตัวน่าตีมาก มีอย่างที่ไหนนัดกับผมไว้แต่ดันไปกับคนอื่น”


“น้อยใจที่เขาไปกับคนอื่นใช่ไหมเพชร” เจ้พลอยลอยหน้าลอยตาถาม


“ไม่มีวันหรอกเจ้ อย่างผมเนี่ยนะ ผมแค่หงุดหงิดเท่านั้นแหละ เด็กนิสัยไม่ดีนัดไม่เป็นนัด คอยดูเถอะถ้าเจอจะตีให้ช้ำ”


“ด้วยก้านมะยม?” เจ้ผมฉลาดดี แต่ชอบทำหน้ารู้ทัน แถมยังกลั้นหัวเราะ อะไรของเขานะ พอจะหันไปโน้มน้าวเอาอาม่ามาเป็น
แนวร่วมก็เห็นสีหน้าของคนที่มากไปด้วยวัยและประสบการณ์มองอยู่ก่อนแล้ว อาม่ายิ้มราวกับจะหัวเราะออกมา ผมเลยอมลมจนแก้มป่อง ชักจะงอนสองคนนี้ด้วยแล้วนะ “ขำอะไรกันนักหนา ไม่เห็นมีอะไรตลก”


“เหมือนป๊าแกไม่มีผิด” อาม่าส่ายหน้ายิ้มๆ


“เหมือนยังไงคะอาม่า” เจ้พลอยเป็นคนเอ่ยปากถามในสิ่งที่ผมสงสัย


“ก็เวลางอนม๊าลื้อทีไรนะ จะมานั่งบ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างนี้แหละ แต่พอเอาเข้าจริงไม่เห็นจะทำอะไรได้ มีแต่ตามใจม๊าลื้อกว่าเก่า ผู้ชายบ้านนี้เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ มันเป็นโรคประจำตระกูล”


“โรคอะไรคะม่า?”


“โรคกลัวเมียไง” แล้วเสียงหัวเราะของอาม่ากับเจ้พลอยก็ดังกลบเสียงโวยวายของผม


เสียงรถจอดหน้าบ้านเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกมาเยือน ผมพยักหน้าให้หลิวออกไปดู พลางปั้นหน้าเคืองเรื่องโรคกลัวเมียของอาม่า จริงที่อาม่าบอก ในความทรงจำสีจืดจางของผม พ่อผมเป็นคนที่เกรงใจคุณแม่มาก เรียกได้ว่าแม่พูดคำไหนก็คำนั้น ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ พ่อไม่หือไม่อือกับแม่สักอย่าง แต่ถ้าลับหลังแม่ พ่อมักจะทำเป็นดุและคาดโทษแม่สารพัด แต่ก็ไม่เห็นจะทำโทษแม่ได้สักที ประโยคเด็ดของพ่อที่ผมจำติดหูก็คือ ‘เมียผู้ชายตระกูลนี้ดื้อทุกคน’ จริงดังคำที่พ่อบอก ว่าที่ลูกสะใภ้พ่อคนนี้โคตรดื้อเลยครับ ทั้งซนทั้งดื้อ แต่ผมจะไม่ยอมเป็นโรคเดียวกับพ่อหรอก! กลัวมันทำไม กะอีแค่คนที่จะมาเป็นเมีย ต้องกำราบ อย่าให้เหิมเกริมออกคำสั่งกับเราได้ คิดแล้วแค้นในความดื้อดึงของนาวา นัดกับผมแล้วยังจะไปไหนมาไหนกับไอ้ชู้ คอยดูพ่อจะตีให้ก้นลาย! ว่าแล้วผมก็กำก้านมะยมแน่น


“คุณนาวามาค่ะ” หลิวรายงานหน้าตายิ้มแย้ม แต่ผมกลับปั้นหน้าบึ้งกว่าเก่า


“ไปเชิญคุณวามาทานข้าว” เจ้พลอยดูจะตื่นเต้นที่ได้เจอว่าที่น้องสะใภ้ ต่างกับผมที่เริ่มหายใจติดขัด เคืองจนออกนอกหน้า


“ฉันไม่ดื่มน้ำอุ่น ไปเอาน้ำเย็นมา” เมื่อคนมาใหม่ได้รับความสนจากกว่าผม ผมก็ต้องเรียกร้องความสนใจจากทุกคนในแบบของผมเอง “ไม่ได้ยินหรือไง เปลี่ยนน้ำด้วย อยากดื่มน้ำเย็น แก้วนี้ร้อนลวกปากขึ้นมาทำไง”


“สวีสดีครับอาม่า พี่พลอย” นาวายกมือไหว้ผู้ใหญ่แถมยังถือวิสาสะจะนั่งลงข้างผม ผมเหลือบมองเขาด้วยหางตาตีก้านมะยมกับขอบโต๊ะบอกเป็นนัยให้รู้ว่าอีกเดี๋ยวแกจะโดน


“ไหนเล่าน้ำ จะดื่มน้ำเย็น” ผมกอดอก มือยังถือก้านมะยมไม่ยอมวาง


“นายจะดื่มน้ำเย็นทำไม” นาวานั่งลงแล้วถามผม คิ้วกระตุกสิครับงานนี้ เหอะ เชื่อเขาเลย ยุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ ผมทำเป็นไม่สนใจหันมาวีนระบายอารมณ์ต่อ


“แล้วเอาโจ๊กถ้วยนี้ไปเปลี่ยนอีกรอบ จืดแบบนี้ใครจะกินไหว รสชาติอย่างกับน้ำเปล่า ทำอะไรไม่ได้เรื่องตลอด ไล่ออกยกครัวเลยดีไหม”


นาวาหน้าเหวอ หึ ตกใจล่ะสิ กลัวแล้วใช่ไหม เห็นแบบนี้ก็โมโหเป็นนะขอบอก อย่าให้ผมต้องดุนะหนูวา ระวังตัวไว้เถอะ เดี๋ยวพี่จะจัดการคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลยคอยดู


“เขาเป็นอะไรไปครับพี่พลอย” นาวาหน้างง ถามเจ้พลอยที่นั่งอมยิ้มดูสถานการณ์


“เหวี่ยงแบบนี้มาตั้งแต่เย็นแล้วค่ะน้องวา คงจะงอน”


“ผม ไม่ ได้ งอน” ย้ำชัดเจนทุกคำพูด แถมอมลมแก้มป่องเข้าไปอีก เหอะไม่ได้งอนเล๊ย ใครเชื่อบ้าง? “ไหนล่ะ โจ๊กถ้วยใหม่กับนำเย็นๆ เห็นหัวกันมั่งไหม สั่งตั้งนานแล้ว” เมดสาวทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ


นาวาเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบรรดาสาวใช้เลยพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าจะจัดการเอง “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก แล้วน้ำก็ไม่ต้องเปลี่ยน ดื่มน้ำอุ่นแหละดีแล้ว” แน่ะ คิดจะลองของใช่ไหม ได้ เจอดีแน่ไอ้เตี้ย!


“ใครถามความเห็นนายไม่ทรา—” 


หมับ


สัมผัสตรงแขนตรึงให้ผมนั่งหลังตรงนิ่งไม่ไหวติง มือข้างนั้นของนาวาวางอยู่บนแขนเปลือยเปล่าของผม อบอุ่น มือข้างนั้นอุ่นเหมือนอุ้มลูกแมวตัวเล็กๆในวันฝนตก แถมมือน้อยของเขามอบสัมผัสที่นิ่มเหมือนกำลังลูบขนแมวฟูฟ่อง


วินาทีที่ผมหันไปมอง ดวงตาสีทองคู่นั้นช้อนขึ้นมาสบกับตาผม ประกายระยับของนัยน์ตาสีสวยเหมือนแสงดาวในยามค่ำคืน สวยงามจนทำให้ใจแกว่งไหว คิ้วผมที่เคยขมวดอยู่กลับคลี่ออกโดยไม่รู้ตัว


“พี่เพชร” เสียงนุ่มทำให้ผมหูอื้อ “ทานข้าวเถอะ อย่าปรุงจัดกว่านี้เลยทานจืดๆจะได้หายไวๆ ดื่มน้ำอุ่นด้วยนะ อิ่มแล้วจะได้ทานยา” นาวาเลิกคิ้วสูง บุ้ยหน้ามาทางถ้วยโจ๊กของผม บอกเป็นนัยว่าให้ผมรีบทาน


หึ คิดว่าผมจะทำอะไรเหรอครับ

ใช่ คุณคิดถูกแล้ว


ผมก็ตักโจ๊กเข้าปากโดยไม่บ่นสักคำน่ะสิ


เสียงหัวเราะของอาม่ากับเจ้พลอยดังขึ้นกลางโต๊ะอาหาร บ้านเราไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้ว แต่ก็นะ จะมาหัวเราะผมทำไมเล่า! เคืองนะเนี่ย


“แล้วไม้นี้เอามาทำไม” นาวาดึงก้านมะยมหลุดจากมือผม


“เอ่อ… เอามา…” ผมพูดตะกุกตะกัก เหมือนแผ่นเสียงสะดุด จะให้ตอบความจริงก็เกรงว่าจะไม่ดีนัก


“เล่น?” สีหน้าฉงนของนาวามองผมสลับกับก้านมะยม


“อะ… อื้ม” ผมพยักหน้าเบาๆอย่างเกรงใจ


“สงสัยจะเป็นกรรมพันธุ์อย่างที่อาม่าว่า” เจ้พลอยยิ้มสนุก อาม่าก็พลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย


“กรรมพันธุ์อะไรเหรอครับ” นาวาทำหน้างง แล้วอาหารค่ำมื้อนี้ก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะ



ภายใต้หยาดน้ำค้างพร่างพราว ผมนั่งบนชิงช้าในสนามเด็กเล่น เท้าสองข้างดันพื้นเพื่อไกวชิงช้าให้เคลื่อนไหว โซ่คล้องชิงช้าเสียดสีกับที่ยึดส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ลมหนาวพัดมาจนผมต้องห่อไหล่ เสื้อกล้ามตัวบางไม่ช่วยให้อบอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย เยื้องไปหน่อยเป็นลานบาส เห็นกลุ่มวัยรุ่นห้าหกคนกำลังผลัดกันชู้ตเข้าห่วง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเกทับของพวกเขาขับกล่อมสนามเด็กเล่นแห่งนี้ให้ไม่เงียบเหงานัก


ฟ้าคืนนี้มืดจนมองไม่เห็นแสงดาว อันที่จริงในกรุงเทพฯ เราไม่เคยเห็นดาวเกลื่อนฟ้าอยู่แล้ว ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งล่าสุดที่เห็นดวงดาวทอแสงระยับอยู่บนฟากฟ้าคือตอนไหน ยิ่งคืนนี้เมฆฝนปกคลุมทั่วฟ้า ยิ่งยากที่จะมองเห็นแสงจันทร์และแสงดาว
ผมถอนหายใจเบาๆและแกว่งชิงช้าด้วยขาทั้งสอง หลังทานข้าวเสร็จผมแอบหนีมานั่งทำใจอยู่ในสนามเด็กเล่นแถวๆบ้านเพราะผมยังไม่พร้อมเจอนาวาตอนนี้ ผมยังงอนเค้าอยู่และยังไม่พร้อมจะยกโทษให้ แต่ลองให้ผมอยู่ต่อหน้าเขาสิ กรรมพันธุ์ฝ่ายพ่อได้กำเริบให้เห็น ใจอ่อนยวบยาบ จากที่โกรธที่งอนกลับหายเป็นปลิดทิ้ง จะขู่จะว่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจกัน หรือพูดง่ายๆว่าผมไม่กล้าด่านาวานั่นเอง ผมเลยหลบมาทำใจที่นี่


“กว่าจะเจอ ปั่นวนตั้งสองรอบ” เสียงหอบเหนื่อยกับเสียงจอดจักรยานดึงผมให้ตื่นจากภวังค์ นาวายิ้มให้ผมแล้วถือวิสาสะนั่งลงบนชิงช้าข้างๆ


“อย่านั่งตรงนี้ ไปนั่งตัวอื่นเลย”


“อ้าวทำไมล่ะ” หน้านวลฉายแววงุนงง


“ไม่อยากเห็นหน้าตอนนี้”


นาวาหัวเราะเบาๆในลำคอแต่ก็ยอมลุกจากไปแต่โดยดี เจ้าเด็กดื้อนั่งตรงสไลด์เดอร์ที่หันหน้ามาทางผมในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ผมยังได้ยินเสียงหอบหายใจของเขา ผมทำแก้มป่องมองฟ้ามองดินไปเรื่อย ทำเหมือนเขาไม่อยู่ตรงนี้ แต่กระนั้นก็ยังแอบเหลือบมองนาวานั่นแหละ ไอ้เตี้ยนั่งกอดเข่าอยู่ตรงปลายสไลด์เดอร์ ตาสีสวยมองมาทางผม


“พี่เพชร น้ำค้างลงแล้วกลับบ้านกันเถอะ ปั่นจักรยานมารับแล้วเนี่ย ไม่น่าเชื่อจักรยานพี่พลอยจะสีชมพูหวานขนาดนี้ น่ารักชะมัด” นาวาชวนผมกลับและชวนผมคุย ผมยังคงเงียบ ความน้อยใจไม่รู้หลั่งไหลมาจากไหน แต่ตอนนี้… แค่อยากให้เขาอยู่ตรงนี้โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร


“หนาวไหม” เขาคงเห็นผมห่อไหล่ เลยลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าผม เมื่อผมเงยหน้ามองก็เห็นนาวากำลังถอดเสื้อ ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แต่ก่อนจะร้องอะไรออกมา สเว็ตเตอร์สีน้ำเงินเข้มที่นาวาสวม เจ้าตัวบรรจงคลุมไล่ให้ผม ทำอย่างกะตัวเองเป็นพระเอกละครห่มเสื้อให้นางเอก ชิไม่หายงอนหรอก แล้วพี่ไม่ได้เป็นนางเอกด้วย อย่างนี้พระเอกเท่านั้นขอบอก


“เสร็จแล้วก็ถอยกลับไปที่เดิม” ผมพยายามทำเสียงเย็นชา ไม่กล้าสบตาใสสวยคู่นั้นเพราะกลัวใจอ่อน


“ยังไปไม่ได้ เอานี่ไปก่อน” นาวายื่นกิ่งมะยมที่เสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงมาให้ผม “เอานี่มาให้ ไม่ยึดไว้นานหรอก” เขาจับมือผมแล้วยัดก้านมะยมอันที่ผมเด็ดมาจากท้ายสวนคืนให้ ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากสนใจ ขอทำใจให้สงบคนเดียวลำพัง


“อื้อ” นาวาแบมือยื่นมาทางผม “เอาสิ”


ผมมองมือเปล่าๆของเขาแล้วเลิกคิ้วถาม “อะไร”


“ก็จะตีวาไม่ใช่เหรอ ตีสิ”


“รู้ด้วย?”


“ทำไมจะรู้ หน้างอซะขนาดนี้ ตีสิจะได้หายงอน ง้อไม่เป็นนะ” ผมเผลอสบตานาวาเข้า เงาสะท้อนของตัวเองบนแววตานั่นทำเอาผมไปไม่เป็น นาวากำลังจ้องตาผมอยู่ พลันใจเต้นรัวเร็วจับจังหวะไม่ถูก กาก ผมด่าตัวเองในใจ งอนให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้


“ไม่ตีหรอก เดี๋ยววาเจ็บ” ผมหักก้านมะยมทิ้ง แล้วถอนหายใจเยือกยาว


“พี่เพชร” นาวาจับหน้าผมที่นั่งอยู่ให้เงยมองเขา “วันนี้วาไปวัดตัวมาแล้วนะ ให้พี่จอมพาไป”


“หลังจากไปกินไอติมกับมันเสร็จละสิ”


“เปล่า” นาวาส่ายหน้า “ไม่ได้ไปไหนกัน ไปแค่ร้านพี่วิทย์ที่เดียว ตามใจก็ไปด้วยพอดีเจอน้องตามที่ลานจอดรถในมหาลัย”


“ไปวัดตัวชุดงานหมั้น ทำไมไม่ให้คู่หมั้นพาไป” ผมจับได้ว่าหางเสียงตัวเองเบาหวิว ความน้อยใจคงจะทะลักออกมาทางสายตาให้นาวาได้เห็น


“พี่เพชร” นาวาวางมือข้างหนึ่งไว้บนไหล่ผม “อย่าน้อยใจ วาไปกับพี่จอมเพราะเห็นว่าพี่ป่วย อยากให้พักผ่อนบ้าง”


“วันนี้วาผิด รู้ตัวไหม”


“รู้ แล้วพี่ล่ะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองผิดอะไร”


“พี่ทำไรผิด?”


“หึ” นาวาดึงมือตัวเองกลับไป “เชื่อเขาเลย ตีหน้ามึนได้อีก”


“เดี๋ยววา” ผมคว้ามือของเด็กแว่นที่เริ่มทำหน้างอใส่ผม “พี่ทำอะไรผิด บอกสิ”


“เรื่องมิกกี้ กับผู้หญิงคนนั้นที่ใต้คณะ” นาวาตอบฉะฉาน


“วาหึง?”


“ไม่รู้ แต่ไม่ชอบ ไหนบอกว่าเป็นคู่หมั้นกันแล้วจะไม่วอแวกับคนอื่นไง วาไม่อยากให้คนอื่นเอานินทาเล่นว่าคู่หมั้นตัวเองควงสาวบริหารสลับกับสาวสองอกโต”


“หึหึ” แบบนี้เขาเรียกว่าหึง ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไง ในใจผมตอนนี้พองโตจนความสุขมันเอ่อล้นคับอก ผมฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงหน้า


“พี่ขอโทษ กับมิกกี้พี่แค่มอง ก็.. มันสะดุดตา ส่วนโบว์คนที่วาเจอใต้คณะ ยอมรับว่าพี่แค่เคยเดตกับเขาสองครั้งละมั้ง แต่ไม่มีอะไรหรอกนะ ตอนนั้นแค่พาไปเดินห้างแก้เบื่อ”


นาวากอดอก มองไปทางอื่น หึหึ จากที่เขามาง้อผม กลายเป็นว่าผมต้องง้อเขาซะนั่น ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เชยคางคนตัวเล็กที่มีสีหน้าราบเรียบให้มองมาทางผม “นาวาครับ วันนี้พี่เองก็ผิด มัวแต่สนใจคนอื่น ไม่เชื่อฟังวา พี่ลืมทานยาเพราะมัวแต่ยุ่ง แต่รู้ไหม คนป่วยเค้าต้องการคนเอาใจใส่ วันนี้พี่อารมณ์ขึ้นๆลงๆเพราะทั้งป่วยทั้งน้อยใจ วาเองก็ดันทิ้งพี่ไปกับไอ้จอม พี่เสียใจนะที่วาทำแบบนั้น”


นาวาเงยหน้ามองผม “พี่เพชร ที่ตอนเย็นวาโกรธพี่ สาเหตุหลักมาจากที่พี่ไม่ดูแลตัวเอง เห็นแบบนี้ถึงวาไม่พูดก็ใช่ว่าวาไม่เป็นห่วง พี่ป่วยเพราะไปช่วยวา เสียเลือดมากจนไข้ขึ้น เวลาที่ได้พักผ่อนก็น้อย วารู้วาเป็นต้นเหตุทั้งนั้น ทั้งๆที่ห่วงแทบตาย ซื้อยาซื้อแผ่นลดไข้ไปให้ แต่ดูพี่ทำสิ ไม่เห็นน้ำใจกันบ้างเลย ตอนนั้นวาเองก็เสียใจมากนะ ห่วงคนที่เขาไม่ห่วงตัวเอง กลุ้มไปคนเดียวทั้งที่เขาไม่ใส่ใจดูแลตัวเองสักนิด”


ผมคลี่ยิ้มบางๆให้กับตัวเองและคนตรงหน้า วันนี้เราพูดในสิ่งที่เราต่างรู้สึก โดยไม่มีกำแพงใด ไม่มีข้อแม้อะไรมาขวางกั้น สิ่งที่ผมรู้สึกและสิ่งที่นาวาคิดได้ถ่ายทอดออกมา ต่างฝ่ายต่างรับฟัง และทำความเข้าใจ


“มานี่” ภายใต้ความมืดของค่ำคืน หยาดน้ำค้างประโปรย ผมดึงร่างแบบบางของนาวาเข้ามาในอ้อมกอด ผมสวมกอดแผ่วเบา ปล่อยให้ความอบอุ่นของร่างกายเราปลอบประโลมกันและกัน เรานิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ปล่อยให้เสียงหัวใจที่แนบใกล้พูดคุยกันเอง


“วาครับ พี่ดีใจ” ผมซุกหน้าลงบนซอกคอหอมละมุนของอีกฝ่าย “ที่เราสองคนเป็นแบบนี้เพราะเราแคร์กันนะรู้ไหม และเราก็อยากให้อีกฝ่ายแคร์เราเหมือนกัน ต่อไปนี้มีอะไรบอกกันตรงๆเถอะนะ พี่ไม่อยากงอนไปคนเดียวแบบนี้ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้วาน้อยใจพี่อย่างนั้น เราสองคนจะพูดกันทุกเรื่อง เปิดใจคุยกันและเปิดใจให้กันและกันได้ไหม”


ผมทิ้งหางเสียงนุ่มนวล ทุกคำกลั่นออกมาจากใจจริงๆ ไม่ได้พยายามปั้นคำพูดให้ดูสวยหรูแต่อย่างใด ผมใช้ใจพูดและรับรู้ได้ว่านาวาพยักหน้ากับอกของผม เปิดใจให้กันเถอะนะคนดี


“สิ่งที่พี่รักมีอยู่สามอย่าง พี่รักตัวเอง รถ และครอบครัว สำหรับคนไม่เอาไหนแบบพี่ นาวาเป็นคนในครอบครัวที่พี่ รัก และอยากปกป้อง ตอนนี้พี่ได้แค่รักแต่ยังไม่รู้ว่าจะรักนาวายังไง พี่หมายถึงพี่อยากรักนาวาเป็น อยากรู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกที่มันล้นอกนี่ยังไง ตอนนี้เราทั้งคู่ยังมีอะไรต้องเรียนรู้กันอีกมาก อาจมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ขออย่างเดียว อย่าเพิ่งเดินจากกันไปนะ”


“หึ พูดอย่างกับจะขอแต่งงาน” นาวาบ่นอู้อี้อยู่กับอกผม คิดว่าเขาคงหน้าแดง เพราะภายใต้แสงสลัวของหลอดไฟยามค่ำ ผมเห็นใบหูของเด็กตัวน้อยในอ้อมกอดระเรื่อเหมือนสีผลตำลึง


“ขอแต่งได้ก็ดี แต่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ รักพี่ขึ้นมาเมื่อไหร่คนที่จะมาขอพี่แต่งงานคงจะเป็นวานั่นแหละ”


“ฝันไปเถอะ”


“วาครับ” ผมผละออกจากซอกคอหอม เชยคางนาวาให้มองมาทางผม แต่ไม่ได้ปล่อยมือที่สวมกอดเอวเขาอยู่ “สำหรับเรื่องที่ผ่านมาวันนี้ พี่ขอโทษนะ” ผมส่งความจริงใจผ่านสายตาให้นาวารับรู้ ยอมลดทิฐิตัวเอง ยอมเพื่อคนนี้คนเดียว


ภายใต้ความมืด นาวาหน้าแดง “วาเองก็ขอโทษที่ทำตัวไม่ดี” พูดเสร็จก็ก้มงุดๆลงที่ไหล่ผม


“หึหึ” ผมหัวเราะอย่างมีความสุข หัวใจพองโตคับอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


“ไม่ยกโทษให้” ผมแกล้งทำหน้างอ


“จะให้วาทำไงเล่า ง้อไม่เป็นนะ” นาวาผละจากตัวผมแล้วทำแก้มป่อง น่าจิ้มแก้มจัง


“เอาดาวบนฟ้ามากองตรงหน้า พี่ถึงจะหายละกัน ฮ่าๆ”


“จะเอาดาวใช่ไหม?”


“ช่าย” ผมพยักหน้ารับ


“งั้นรอเดี๋ยว ห้ามไปไหนนะ” นาวาพูดเร็ว และรีบคว้าจักรยานสีชมพูของเจ้พลอยปั่นออกไป


สักพักเขากลับมาพร้อมอาการหอบอย่างเห็นได้ชัด เม็ดเหงื่อผุดพรายตามไรผม เห็นแล้วอยากเอาผ้าเช็ดหน้าซับให้ แต่ตอนนี้ผมมีเพียงแขนเสื้อจากสเว็ตเตอร์สีน้ำเงินเข้ม ผมซับเหงื่อให้คนตัวเล็กแผ่วเบา


“หลับตาก่อน เอาดาวมาให้แล้ว”


ผมเลิกคิ้วสงสัย เอาดาวมาจากไหน แต่รอยยิ้มของอีกฝ่ายบอกให้ผมทำตาม ผมเลยต้องหลับตาแต่โดยดี ผมนั่งอยู่ตรงปลายสไลด์เดอร์ ก่อนหลับตาผมดึงนาวานั่งลงบนตัก


“ลืมตาได้แล้ว”


ทันทีที่ลืมตา  ประกายสีทองของไฟเย็นสว่างสดในอยู่ในมือของคนที่นั่งบนตัก มองไปเหมือนดาวดาวงน้อยส่องแสงระยิบระยับ


Twinkle, twinkle, little star,
How I wonder what you are.
Up above the world so high,
Like a diamond in the sky.

ดาวดวงน้อยกะพริบระยิบตา
ฉันสงสัยเธอเป็นใครแต่ใดมา
ลอยเหนือโลกสูงเหนือนภา
งามระยับราวเพชรนิลจินดา



ผมเกยคางกับไหล่ของเจ้าตัวเล็ก มองดูไฟเย็นแล้วยิ้มเหมือนคนใกล้บ้า ความสุขเอ่อล้นจนไม่อาจหาคำพูดใดๆมาบรรยาย ผมเก็บเกี่ยวความสุขนี้เอาไว้ในใจ เก็บทุกวินาที เก็บทุกความรู้สึก ผมฝังวันนี้เอาไว้ในความทรงจำ ชัดเจนทุกชั่วขณะ โดยเฉพาะเวลานี้


“ถึงจะคว้าดาวบนฟ้ามาให้ไม่ได้ แต่เอาดาวบนดินไปดูก่อนแล้วกัน หายงอนได้แล้วนะตี๋”


As your bright and tiny spark,
Lights the traveler in the dark.
Though I know not what you are,
Twinkle, twinkle, little star.

แสงน้อยๆของเธอนั้นสำคัญมาก
ส่องนำทางคนหลงทิศไม่คิดจาก
หากฉันจะรู้แท้จริงแล้วเธอคือใคร
เจ้าดวงดาราระยับประจำใจ



ผมสวมกอดนาวาแนบแน่น ความสุขความอบอุ่นวิ่งปลาบไปทั่วกาย


“ตัวเล็กครับ” ผมกระซิบเรียกนาวาให้หันมอง เขาเอียงหน้ามาทางผมเล็กน้อย ผมหอมแก้มนาวาแผ่วเบา สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆเข้าปอดเนิ่นนาน ก่อนจะถอนจมูกออกแล้วกระซิบข้างหูเจ้าของดวงใจผมว่า


“รัก”




 :-[ :o8: :-[ :impress2: :-[ :impress2: :impress2:

 :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2016 00:01:17 โดย Killian »

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตาฝาดดดด
เราต้องตาฝาดแน่ๆเลย
เพชรนี่งอนได้น่าหมั่นไส้จริงๆ น่าหยิกกก5555
หนึ่งวันในนิยาย ยาวนานราวหนึ่งปี55 โอย ดีใจอ่ะ กลับมาต่อแล้วใช่มั้ยคะ

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
บทที่ 14 จงรัก
 o13 o13 o13



นวลแสงจันทร์คืนนี้ผุดผ่องสว่างไสว ชายหนุ่มเฝ้ามองจากริมหน้าต่างเห็นพระจันทร์ทรงกลดวงโตเด่นสง่าอยู่บนผืนฟ้ายามรัตติกาลสีดำสนิท งดงามและอิ่มเอมไปด้วยความทรงจำ ตรีเพชรเผลอยิ้มให้กับจันทร์เจ้าก่อนทอดกายลงนอนบนเตียงหนานุ่ม เขาคงนอนหลับฝันดี


แต่… ตรีเพชรดันตื่นนอนก่อนเช้า


อันที่จริงเขาไม่ได้นอนเลยต่างหาก เมื่อคืนชายหนุ่มพลิกตัวอยู่บนเตียงทั้งคืน พยายามข่มตานอน ทว่าความตื่นเต้นก็เอาชนะความง่วงได้สำเร็จ คุณเพชรตาค้างนอนไม่หลับพะว้าพะวังและจดจ่ออยู่กับงานหมั้นที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า


ก่อนตะวันขึ้นหลายชั่วโมงตรีเพชรตัดสินใจลุกขึ้นออกกำลังกายในฟิตเนสส่วนตัวที่อยู่ทางปีกซ้ายของบ้านเพื่อดับความฟุ้งซ่านในใจ บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มยิ้มระบายมุมปากด้วยความอิ่มสุข เขาสะบัดศีรษะตัวเองเรียกสติหลายครั้ง สงสัยเราจะบ้าไปแล้ว แค่หมั้นไม่ได้แต่งซะหน่อย ดีใจอะไรกันนักกันหนา เมื่อเตือนตัวเองในใจเสร็จสรรพตรีเพชรกลับคลี่ยิ้มอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่คิดถึงหน้าคู่หมั้นชายหนุ่มพลันแก้มแดงเหมือนผลตำลึงสุก เขายิ้มอยู่อย่างนั้น ยิ้มจนหุบไม่ลง


ตรีเพชรปาดเหงื่อซับหน้าด้วยผ้าขนหนูสีขาวสะอาด การออกกำลังกายทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะ วันนี้ตรีเพชรรู้สึกสบายกายสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาจะได้หมั้นกับนาวาอย่างเป็นทางการเสียที อีกประการคงมาจากคำพูดของอาม่าเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา


‘ผมมีเรื่องจะสารภาพและมีเรื่องจะถามม่าครับ’ ร่างผึ่งผายคุกเขากอดหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ‘พรุ่งนี้ผมกับนาวาจะหมั้นกันแล้ว ก่อนอื่นผมต้องถามอาม่าว่าเพราะอะไร อาม่าถึงต้องการให้ผมหมั้นกับนาวา’


เหมยฮวาลูบผมหลายชายที่เธอเฝ้ารักและทะนุถนอม อาม่าเงียบอยู่เพียงครู่ก่อนจะพูดออกมา ‘เหตุผลแท้จริงของการหมั้นครั้งนี้มีเพื่อตอบแทนบุญคุณกับช่วยเหลือเพื่อนรักในยามยาก อย่างที่เพชรรู้ อาม่ากับคุณย่าของหนูวาเป็นเพื่อนรักเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก มิหนำซ้ำ อาเฮียรองของม่ากับพี่ชายของรำไพก็เป็นเพื่อนสนิทกัน คุณรวีเขามีบุญคุณกับครอบครัวเรา ที่เราทำกิจการค้าขายมั่งคั่งได้ขนาดนี้เพราะคุณรวีคอยช่วยเหลือเฮียฟงแท้ๆ’ เมื่อระลึกถึงอดีตน้ำเสียงของเหมยฮวาเจือความคิดถึง ‘ช่วงบั้นปลายชีวิตของรำไพมีปัญหามากมายให้คอยจัดการ แม้โรคจะรุมเร้าแต่สิ่งเดียวที่เธอเป็นกังวลถึงคือหนูวา หลานชายที่พลัดพรากจากอ้อมอกไปตั้งแต่เด็ก รำไพคงรู้ว่าหนูวาต้องตกอยู่ในอันตราย การยกทรัพย์สินทั้งหมดที่มีให้เพียงนาวาคนเดียว
อาจทำให้ใครบางคนไม่พอใจ ความปลอดภัยของนาวาจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ม่าให้เพชรเข้ามาอยู่ตรงนี้เพราะอยากให้เพชรช่วยปกป้องหนูวา ดูแลน้องจนกว่าน้องจะเรียนจบและเข้าไปบริหารดรุณเอสเตส เป็นพี่ชายที่คอยปกป้องน้องเถิดนะ’


ตรีเพชรซึมซับทุกคำพูดของอาม่าและทำความเข้าใจกับเบื้อหลังเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ จริงที่นาวาตกอยู่ในอันตราย สัญชาตญาณร้องเตือนว่ายังมีอันตรายใหญ่หลวงรอคอยอยู่ เขารับรู้และอยากปกป้องคนตัวน้อย การรับมรดกและเรื่องราวของคุณรำไพยังมีเงื่อนงำ ชายหนุ่มตะขิดตะขวงใจแต่ระบุไม่ได้ว่าอะไรสะกิดใจเขาอยู่ หากแต่คำว่า ‘พี่ชาย’ ทำให้ตรีเพชรถึงกับถอนใจ


‘ผมถามอาม่าแล้ว คราวนี้ผมมีเรื่องจะสารภาพ’ เหมยฮวามองตาใสซื่อของหลานชาย แววตาคู่นั้นดูหนักแน่นขณะเดียวกัน
ประกายตาคมคร้ามกลับสั่นระริกฉายแววหม่นเศร้า ‘สำหรับนาวาแล้ว… ผมไม่อยากเป็นแค่พี่ชาย’


มือที่ลูบหัวหลานชายอยู่ชะงัก เหมยฮวานิ่ง ณ วินาทีนั้นใจของตรีเพชรเต้นไม่เป็นส่ำ ชายหนุ่มไม่อยากทำให้คนที่ตัวเองรักเสียใจ แต่กระนั้นหากไม่สารภาพความรู้สึกลึกซึ้งที่กำลังอัดแน่นจนล้นใจนี้ให้ผู้ใหญ่รับรู้ เขาเกรงว่ามันรังแต่จะก่อปัญหาต่อไปในอนาคต ตรีเพชรอยากชัดเจนกับความรู้สึก อยากทำให้มันถูกต้อง ทั้งๆที่หลายคนอาจมองว่ามันผิด


อาม่ายิ้มบาง รอยยิ้มนั้นจะบอกว่าเศร้าหรือดีใจก็ไม่ทราบได้ แต่แววตาอ่อนโยนที่มองมาของอาม่าทำให้ผู้ชายตัวโตอย่างตรีเพชรน้ำตาคลอ หญิงสูงวัยกอดหลานชายเพียงคนเดียวเอาไว้ในอ้อมแขน


‘ม่ารู้ ม่ารู้…’


สัมผัสอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนที่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ทำเอาตรีเพชรต้องหลั่งน้ำตา ‘ผมขอโทษ ผมไม่ดี ทำให้อาม่าผิดหวัง’


‘เพชร ฟังม่านะ  เพชรไม่เคยทำให้ม่าผิดหวัง สักครั้งก็ไม่เคย ตอนนี้ก็เหมือนกัน สายตาเราที่มองหนูวาใครๆก็ดูออกว่าเพชรคิดอะไร ม่าเคยเห็นแววตาแบบนี้มาก่อน… ม่าเข้าใจ’


ตรีเพชรเงยหน้าสบตาผู้เป็นย่า ‘ม่าไม่เสียใจเหรอครับที่ผมเป็นแบบนี้ ผมรักนาวา ผมมีเหลนให้ม่าเลี้ยงไม่ได้’


‘ม่าจะเสียใจถ้าหากม่าเป็นคนกีดกันไม่ให้เพชรได้อยู่กับคนที่เพชรรัก การพลัดพรากจากคนที่รักไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายย่อมเจ็บปวดและเศร้าใจทั้งนั้น ม่าไม่อยากเห็นเพชรต้องเสียใจเพราะคำว่า ‘รักกันไม่ได้’ ที่คนอื่นตัดสิน ไม่อยากให้ใครต้อง
เสียใจเพราะเรื่องเช่นนี้อีก เพชรรักหนูวา ก็รักไปเถอะลูก หลังจากเฮียฟง อากงของเพชร แล้วก็ป๊าเพชรจากม่าไป ม่าก็เข้าใจ
แล้วว่าชีวิตคนเราสั้นนัก ต้องใช้เวลากับคนที่เรารักให้คุ้มค่าที่สุดจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายทีหลังอย่างที่อาม่าเป็นอยู่บ่อยครั้ง ม่าไม่เสียใจที่จะไม่มีเหลน แต่ม่าดีใจที่เพชรเจอหัวใจของตัวเองเสียที’


เพชรรักหนูวา ก็รักไปเถอะลูก


คำพูดของอาม่าแว่วก้องในหูไม่ห่างหาย ตรีเพชรหลั่งน้ำตา ใช่ว่าเพราะความเสียใจ หากเป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน น้ำตาที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งยอมปล่อยให้ไหลริน น้ำตาลูกผู้ชายที่ว่าหลั่งกันยากเย็นและน้อยคนที่จะเห็น บัดนี้ตรีเพชรปลดปล่อยออกมาจนสิ้น ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ รักเขาสุดหัวใจ ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ที่จากไป เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พักพิง ที่สำคัญเป็นคนที่บอกให้เขารัก รักนาวาได้ทั้งใจ


ตรีเพชรกอดอาม่าปล่อยน้ำตาซึมเสื้อของสตรีร่างท้วม ความรักคามอบอุ่นของย่าหลานส่งผ่านสัมผัสจากอ้อมกอดและน้ำคำปลอบประโลม อาการยกภูเขาออกจากอกเป็นเช่นนี้เอง อิสระที่ได้รักและการได้รับความเข้าใจมีรสชาติตื้นตันอย่างนี้นี่เอง ตรีเพชรสัมผัสความรักความสุขและความสบายใจอย่างอิ่มล้น สุขใดจะเท่าสายใยรักจากครอบครัว



“ตาเพชร น้องวาอยู่ที่ห้องแต่งตัวแล้วนะ” พลอยลดาเข้ามารายงานน้องชายเพราะตรีเพชรแทบนั่งไม่ติด เอาแต่ถามอยู่นั่นว่านาวามาหรือยัง เมื่อไหร่จะได้เจอ


ห้องแต่งตัวที่ทางโรงแรมจัดไว้ทำให้นาวากับตรีเพชรต้องแต่งตัวแยกกัน คุณชายแห่งวรจักรกรุ๊ปอยากจะไล่คนแยกห้องแต่งตัวออกฐานทำให้เขาต้องแยกจากคู่หมั้นของตัวเอง ทนรอมาทั้งคืนจนเช้าก็ยังไม่ได้เจอ และด้วยตารางงานหมั้นทั้งคู่จะไม่ได้เจอกันจนกว่าจะเข้าพิธี ตรีเพชรเลยร้องเร่าๆอยากจะเจอนาวาให้ได้ ตรีเพชรรีบแต่งตัว ปล่อยให้ช่างเซตผมเติมหน้านิดหน่อย เขาพร้อมเข้าพิธีแล้ว


“เจ้ครับ ผมอยากเจอนาวา” ตรีเพชรละสายตาจากกระจกมามองพี่สาวที่สวยพร้อมในชุดเดรสลูกไม้ฝรั่งเศสสีขาวพิสุทธิ์ พลอยลดาสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงและกระเป๋าคลัชสีเดียวกันเข้ากับสีของธีมงานที่บานสะพรั่งด้วยกุหลาบแดงนับพันๆดอก  ท่าทางแบบนี้เห็นทีจะห้ามยาก พลอยลดามองดูน้องชายอย่างคนที่เข้าใจความรู้สึก


“หึหึ รอก่อนก็ได้เพชร ยังไงก็ได้เจอ”


“ไม่เอา ผมอยากเจอนาวาก่อน ผม… คิดถึง” คุณเพชรเองก็อายกับคำพูดที่หลุดปาก แก้มแดงโดยไม่ต้องสงสัย หากแต่ทุกคำพูดที่พรั่งพรูออกไปล้วนกลั่นมาจากใจจริงๆ “นะครับเจ้ พาผมไปหานาวาหน่อย”


“เฮ้อ ก็ได้ๆ แต่รอให้น้องวาแต่งตัวเสร็จก่อนนะ”


“ครับ” ตรีเพชรยิ้มรับอย่างดีใจ


เสียงเคาะประตูทำให้พลอยลดาต้องออกไปดู เมื่อเธอแง้มประตูออกจึงเห็นจอมทัพ เปรม นาย เต และตามใจ ยืนอยู่ หญิงสาวเปิดประตูเชื้อเชิญกลุ่มเพื่อนสนิทของน้องชายพลางเอ่ยทักแต่ละคนอย่างเป็นกันเองเนื่องจากเธอเองก็คุ้นเคยกับเด็กกลุ่มนี้ดี เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เจ้าทโมนพวกนี้ยังเรียนมัธยม


“เจ้ครับไหนปิ่นโตครับ” เต นักศึกษาแพทย์ ทำหน้าระรื่นถาม


พลอยลดาเลิกคิ้วสงสัย “ปิ่นโต? จะเอาไปทำไม?”


“อ้าวผมนึกว่าเจ้จะไปวัด เห็นแต่งลูกไม้ลายพร้อยขนาดนี้ ถือปิ่นโตอีกหน่อยเหมือนชุดที่ย่าผมใส่ไปวัดเปี๊ยบเลย” เตยิ้มร่าแถมส่งเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ พอให้พลอยลดาเกิดโมโห ชายหนุ่มหลบฝ่ามือของหญิงสาวเป็นพัลวัน


“หนอยนายเต วาฉันแก่เหรอเดี๋ยวเถอะ”


“ผมยังไม่พูดว่าแก่สักคำ เจ้คิดไปเอง ผมว่าเจ้สวยต่างหาก”


“แน่สิยะ เดรสนี้ฉกมาจากรันเวย์มิลาน ชุดไปวัดของแกสิจะสวยและเซ็กซี่ขนาดนี้” พลอยลดากอดอก ทิ้งหางตาใส่นายเตคู่ปรับ เจอหน้ากันทีไร เป็นอันต้องโดนไอ้เด็กแก่แดดนี่เล่นเอาทุกที วันหลังจะเสี้ยมตาเพชรให้เลิกคบมัน เด็กอะไรชอบแกล้ง


“ไม่เอาน่า อย่าหน้างอนะครับ ผมเอาดอกไม้มาให้เจ้เลยนะเนี่ย” เตแย่งช่อดอกไม้จากมือของตามใจส่งให้พลอยลดา ว่าที่คุณหมอทำหน้าทะเล้น แต่วาดยิ้มจริงใจให้พี่สาวของเพื่อนสนิท


“น้อยหน่อยไอ้เต พี่สาวกู ห้ามมึงเต๊าะเล่น เดี๋ยวพ่อโบกลืมบ้านเลขที่” ตรีเพชรแย่งช่อดอกไม้ ชายหนุ่มทำหน้าดุ “แล้วช่อนี้น้องตามเอามาให้กู ด้านนะมึงแย่งไปต่อหน้าต่อตา”


“อ้าวตาม เห็นๆอยู่ว่าไอ้เพชรกำลังจะหมั้น” นายพาดแขนโอบไหล่ตามใจ “เอาดอกไม้มามอบให้แบบนี้ คิดอะไรกับเพื่อนพี่หรือเปล่า”


“คิด” ตามใจตอบด้วยท่าทีเบื่อหน่าย นายเลิกคิ้วประหลาดใจ “คิดว่าพี่นายตรรกะห่วยชะมัด ใครเขาจะเอาช่อดอกไม้ที่มีการ์ด
เขียนเด่นหราว่า ‘แด่ นาวา’ มาให้เฮียเพชรกัน ช่อนี้เฮียฝากตามซื้อ จะเอาไปให้คู่หมั้นเค้าโน่น” ตามใจทำหน้าบุ้ยใบ้มาทาง
ตรีเพชร พร้อมกันนั้นเสียงโห่แซวของเพื่อนก็ดังขึ้น คุณเพชรเกาท้ายทอยแก้เขิน เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มทำตัวไม่ถูก


“ฮ่าๆ กุหลาบในงานยังไม่พออีกเหรอวะเพชร สั่งมาช่อเบ้อเริ่ม” เปรมอดถามไม่ได้


“กุหลาบในงานน่ะพอ แต่นั่นมันกุหลาบแดง นาวาเหมาะกับกุหลาบขาวมากกว่า” ตรีเพชรมองดูดอกไม้ช่อสวยในมือ จะว่าไปนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาจะมอบดอกไม้ให้เด็กแสบคนนั้น


“นั่นแน่ กุหลาบขาวสื่อถึงความรักอันบริสุทธิ์ แน่ใจเร้อว่าไม่มีอะไรแอบแฝง แล้วแชมเพนขวดใหญ่ที่ให้กูกับน้องเอาไปเก็บไว้ที่คอนโดมึงล่ะ รู้ๆอยู่ว่าน้องมันเมาง่าย” เปรมดักคออย่างคนรู้ทัน


“ไอ้นี่ กูจะเอาไปทำอะไร ก็แค่ดื่มฉลอง” ตรีเพชรทำหน้าตาย หากแววตาระริกนั่นเพื่อนๆเห็นแล้วก็เป็นอันเข้าใจกัน เสือร้ายยังไงก็ไม่ยอมทิ้งลายของตัวเอง


จอมทัพตบไหล่ตรีเพชรเบาๆ “ยินดีด้วยนะ” คนพูดน้อยก็ยังคงออมปากออมคำเช่นเคย แต่แววตาและรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของจอมทัพแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่ซ่อนแฝงอยู่ในนั้น จอมทัพยินดีกับเพื่อนรักที่ได้หมั้นหมายกับคนที่เขารัก…
“ดูแลให้ดี สมกับเป็นคนของมึงนะเพชร”


ตรีเพชรวางมือบนไหล่เพื่อน พยักหน้าเพียงครั้ง แต่แววตาของเขาฉายแว่วแน่วแน่ชัดเจน แม้ปราศจากคำพูดที่สื่อสารระหว่างกัน หากลูกผู้ชายแค่มองตาก็เข้าใจ จอมทัพแน่ใจแล้วว่าตรีเพชรจะดูแลนาวาได้ดี แรงบีบที่ไหล่เสมือนตรีเพชรส่งผ่านความมั่นใจมาให้ ย้ำกับจอมทัพว่านาวาจะปลอดภัยและเป็นสุขดีเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา เท่านั้นจอมทัพก็หายห่วง… คงถึงเวลาที่จอมทัพจะปล่อยผีเสื้อที่ตัวเองเฝ้าฟูมฟักทะนุถนอมเพื่อให้เจ้าผีเสื้อน้อยได้กรีดปีกโบยบินล่องลอยไปตามทางที่ปีกน้อยๆจะชักพา เขาคงทำได้แค่เฝ้ามองปีกงามคู่นั้นสยายบินอย่างมีความสุข


“ตาเพชร เจ้ว่าเราไปหาน้องวากันเถอะ อยู่ในนี้นานๆเจ้จะตะบันหน้านายเตเอาเสียเปล่าๆ” พลอยลดาจูงมือน้องชายออกมาจากห้องแต่งตัว ก่อนที่เพื่อนๆของตรีเพชรจะทยอยกันเข้างาน



นิสาเป็นคนเปิดประตูให้ตรีเพชรกับพลอยลดาเข้าไป ในห้องแต่งตัวของนาวาเนืองแน่นไปด้วยเพื่อนๆเช่นเดียวกับห้องแต่งตัวของตรีเพชร แต่เห็นจะแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ห้องนาวามีผู้หญิงราวสี่สิบต้นๆที่ยังสวยสง่า มองเค้าหน้าแล้วเห็นได้ชัดว่านาวาได้โครงหน้าและความน่ารักมาจากใคร ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นแม่ของนาวาแน่นอน ตรีเพชรยกมือไหว้คุณแม่คู่หมั้น อีกฝ่ายรับไหว้ รอยยิ้มงดงามดูใจดีส่งให้ตรีเพชร


“สวัสดีจ่ะตาเพชร ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา” ปรียานุชอยู่ในชุดกระโปรงแดงระเข่าเสื้อแขนกุดสีขาวมีเข็มกลัดทับทิมรูปดอกไม้สีเลือดนกอยู่ตรงอกซ้าย ผมดำขลับถูกรวบและเกล้าขึ้นเผยให้เห็นคำคองามระหง ต่างหูมุกดูเข้ากับความเรียบสวยของผู้หญิงตรงหน้า รอยยิ้มและคำทักทายอันคุ้นเคยนั้นทำให้ตรีเพชรเลิกคิ้วประหลาดใจ


“จำแม่ไม่ได้ล่ะสิ เมื่อก่อนยังมาอ้อนขอกินเค้กอยู่เลย”


“ผมเหรอคับ กินของหวานแบบนั้น”


“แม่รู้จักพี่เพชรด้วยเหรอคะ” นิสาถามขึ้นราวกับข่มความอยากรู้ไม่ไหว


“รู้สิคะน้องสา” พลอยลดาตอบแทนแม่ของนาวาที่มัวแต่มองชายหนุ่มที่กำลังจะเข้ามาเป็นคู่หมั้นของลูกชายตัวเอง “ตอนเพชรเด็กๆ อาม่าชอบพาพี่กับตาเพชรไปเยี่ยมน้ายากับคุณย่ารำไพบ่อยๆ ตาเพชรน่ะเค้าเจอกับนาวาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ดูท่าจะจำกันไม่ได้ทั้งคู่เลย”


คำพูดของพลอยลดาทำให้ตรีเพชรขมวดคิ้วแปลกใจ เขาเคยเจอกับไอ้เด็กแว่นมาก่อน? คงจะจริงอย่างที่เจ้พลอยว่า ในเมื่ออาม่ากับคุณย่าของนาวาเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งสองย่อมต้องไปมาหาสู่กันบ้าง อาจมีโอกาสที่เขาได้เจอกับนาวามาก่อนหน้านี้ก็ได้ โถ่เอ๊ย ไอ้เพชร ทำไมแกถึงจำไม่ได้วะ


“แล้วนี่นาวา…” ตรีเพชรมองหาคู่หมั้นแต่ไม่เห็นเจอ


“มาถึงก็ถามหาเลยเหรอพี่เพชร” แบงค์ถามขึ้นอย่างขัดคอ สีหน้าไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น ดูท่าแล้วเจ้ารุ่นน้องร่วมคณะของตรีเพชรจะทำหน้าที่เป็นไม้กันหมาให้นาวาไปพักใหญ่


“แน่ะ ชะเง้อมองอีก” เก้าเดินมากอดคอแบงค์ ปั้นหน้าดุใส่ตรีเพชร “ไอ้วามันเปลี่ยนชุดอยู่ในห้องน้ำ เดี๋ยวก็ออกมา ไม่ต้องชะเง้อหาขนาดนั้นหรอก กลัวว่าคอจะเคล็ดเอาซะก่อน”


เอ็มที่ยืนอยู่ใกล้กับประตูห้องน้ำมากที่สุด เคาะประตูแก้วขุ่นกรอบไม้นั้นเบาๆแล้วตะโกนพูดกับคนที่อยู่ด้านใน “ไอ้วาเจ้าบ่าวมึงมาหา เสร็จแล้วก็รีบออกมาเฮียแกคอจะหักแล้วมัวแต่มองหามึง”


“เจ้าบ่าวแม่ยายมึงสิ กูยังไม่แต่ง” เสียงของคนในห้องน้ำตะโกนกลับมา ทำเอาคนทั้งห้องหัวเราะกันเป็นแถว


“เออนั่นแหละ คู่หมั้นมึงเค้ารอนานละ มีช่อดอกไม้มาให้มึงด้วย คงกะจะเซอร์ไพรส์มึง ออกมาก็ทำหน้าตื่นเต้นด้วยล่ะ ช่อเบ้อเร่อเลย กุหลาบขาวแบบที่มึงชอบด้วย” เอ็มหันมายักคิ้วกวนๆ ให้ตรีเพชร เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า เพื่อนรักที่ทั้งรักทั้งหวงเหล่านี้ พร้อมใจกันเป็นกางขวางคอ ขัดตรีเพชรไปเสียทุกอย่าง แล้วอย่างนี้เขาจะเอาอะไรไปเซอร์ไพรส์ไอ้ตัวเล็กกันล่ะนี่


“โอ๊ยพวกแก พอทีเถอะ เห็นแล้วหงุดหงิด” นิสาเท้าสะเอวไม่พอใจ แล้วเธอจึงหันมายิ้มกับตรีเพชร “อย่าไปสนใจไอ้พวกขี้หวงพวกนี้เลยค่ะพี่เพชร พวกมันยังโสดเลยแอบอิจฉาที่คนอื่นเค้ามีคู่หมั้นคู่หมาย”


“หึหึ” ตรีเพชรยิ้มให้กับเพื่อนๆของนาวา “น้องสาครับ พี่ว่าดีซะด้วยซ้ำที่นาวามีเพื่อนรักที่ขี้หวงขนาดนี้ ไว้ว่างๆ กันคนอื่นที่เข้าหานาวาแบบนี้มั่งนะ”


“อะไรวะเฮีย” แบงค์โวย “จะให้พวกผมเป็นไม้กันหมาคอยสอดส่องดูแลแทนเฮียเหรอ ไม่มีวัน”


“ช่าย คนอย่างพวกเราไม่ทำงานให้ใครฟรีๆ หรอกขอบอก” เก้ายืดอก


“สามพัน” ตรีเพชรพูด


เอ็มโผมารวมกับเก้าและแบงค์ที่ยืนขวางตรีเพชรอยู่ “คิดว่าจะซื้อพวกเราได้ด้วยเงิน?”


“ห้าพัน” ตรีเพชรเสนอ


“ยังคิดจะซื้อพวกเราด้วยเงินเหรอเฮีย” แบงค์ทำสีหน้าไม่พอใจ


“แปดพัน” ตรีเพชรว่า


“เงินซื้อพวกเราไม่ได้หรอก” เก้าเหยียดยิ้ม


“หมื่นนึง”


“หนึ่งหมื่น? หึ เงินซื้อผมไม่ได้เว่ย” แบงค์ทำเสียงไม่พอใจ แต่พลันใบหน้าคมสันของเขาฉีกยิ้มสอพลอ “แต่จ้างได้ครับเฮีย” รุ่นน้องร่วมคณะผละจากกลุ่มเพื่อนเข้ามานวดไหล่ตรีเพชรเอาอกเอาใจ


“ไอ้เชี่ยแบงค์” เก้าร้องเมื่อเห็นเพื่อนแปรพรรค “พี่เพชรทำแบบนี้ไม่ได้นะ จะซื้อเราด้วยเงินได้ไง ซื้อไม่ได้…” เก้าผละจากเอ็มเข้าไปนวดไหล่ตรีเพชรอีกข้าง “มันซื้อไม่ได้ ถ้าไม่มากพอ ผมขอสองหมื่นนะเฮีย”


“วะไอ้พวกเวรนี่” เอ็มบ่นออกมาอย่างหัวเสีย “เฮียคร้าบ เอ็มขอสองหมื่นเหมือนไอ้เก้านะ”


เสียงโวยวายและเสียงหัวเราะของคนในห้องแว่วดังไปถึงในห้องน้ำ นาวาขมวดคิ้วสงสัย หัวเราะอะไรกัน ใจจริงอยากออกไปดู แต่ติดอยู่ที่ว่าเขาต้องสวมเจ้าชุดงานหมั้นที่ออกแบบโดยคุณวิทย์ดีไซเนอร์ชื่อดังชุดนี้ให้เสร็จเสียก่อน หนุ่มน้อยยืนหมุนอยู่หน้ากระจกบานยาวในห้องน้ำอยู่นานสองนานด้วยเพราะไม่ค่อยจะมีโอกาสได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงระยับขนาดนี้ นาวาไม่มั่นใจว่าสูทหรูจะเข้ากับเด็กกะโปโลอย่างเขา ดวงตาสีเฮเซิลสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองที่สะท้อนในกระจกเงาบานยาว นาวาสวมเชิ้ตขาวเนื้อผ้าสัมผัสละมุนบ่งบอกราคา ทับด้วยสูทสี Maroon ตัดกับเสื้อเชิ้ตตัวใน กางเกงเข้ารูปเนื้อผ้าละเอียดสีเดียวกับแจ๊คเก็ตสูท ทั้งชุดเรียบหรู นาวามองเงาสะท้อนของตัวเองตรงหน้ากระจก เงาที่ปรากฏแก่คลองสายตาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคือตัวเอง


“เก้า เอ็ม ใครก็ได้ช่วยเอาเข็มกลัดดอกไม้มาให้หน่อย ลืมหยิบเข้ามา” นาวาตะโกนบอกคนข้างนอกที่บัดนี้ยังคงส่งเสียงหัวเราะสนุกสนาน


“เออๆ เดี๋ยวกูเอาให้” เสียงนั้นเป็นของแบงค์ เพื่อนรักตอบรับอย่างแข็งขัน


ประตูห้องน้ำเลื่อนเปิดพอให้ใครบางคนแทรกกายเข้ามาในจังหวะที่นาวาก้มหยิบนาฬิกาข้อมือที่พลอยลดาให้เป็นของขวัญหนึ่งวันก่อนหน้างานหมั้น พี่สาวของคู่หมั้นอยากให้ตรีเพชรกับนาวาใส่นาฬิกาคู่ นาฬิกายี่ห้อดังเลยต้องมาอยู่บนข้อมือซ้ายของนาวาอย่างเลี่ยงเสียไม่ได้


“คิดถึงจัง” เสียงกระซิบแหบห้าวดังใกล้ใบหูทำเอานาวารีบเงยหน้าจากข้อมือเพื่อมองเงาสะท้อนของคนที่กำลังสวมกอดเขาจากด้านหลัง ตรีเพชรยิ้มให้ ทั้งคู่ยืนอยู่หน้ากระจก มองเงาของกันและกัน


“เมื่อวานเย็นก็เจอ” นาวานึกหมั่นไส้คนที่กอดไม่ยอมปล่อย เมื่อวานไปทานข้าวเย็นที่บ้านตรีเพชรแล้วเลยไปรับแม่ที่สนามบิน อันที่จริงไอ้คนที่บอกว่าคิดถึงจะตามไปที่สนามบินด้วยแต่ทางโรงแรมดันโทรมาบอกว่าดอกไม้ในงานไม่เป็นไปตามที่ชายหนุ่มต้องการ คุณตรีเพชรเธอแอบหงุดหงิดเลยต้องลงไปคุมงานเอง เพื่อให้ทุกอย่างสำเร็จได้ดั่งใจ เช้ามาสถานที่จัดงานประดับประดาไปด้วยกุหลาบแดงนับพันๆ ดอก ส่งกรุ่นหอมขจรขจายไปในอณูอากาศ นาวาอดทึ่งในความสามารถของว่าที่นักบริหารหนุ่มคนนี้ไม่ได้ เรื่องบงการคนนี่ ไอ้ตี๋มันถนัดนัก


“ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำบอกคิดถึง แสร้งพูดให้ลืมเรื่องที่นายขโมยรูปถ่ายฉันใช่ไหม”


ก่อนหน้างานหมั้นสามสี่วันตรีเพชรช่วยนาวาขนของจากหอเก่าเพื่อย้ายเข้าคอนโดใหม่ที่อาม่าซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับหลานสะใภ้ อันที่จริงคุณเพชรตั้งใจเรียกคอนโดห้องนั้นว่าเรือนหอนั่นแหละ ห้องนั้นกว้างอย่างกับเอาพื้นที่บ้านทั้งหลังมากางออกเพราะทั้งชั้นมีอยู่แค่สองห้อง แต่นาวากระทุ้งศอกซะจนชายหนุ่มจุก ไม่ได้แต่งงาน อย่ามาเรียกว่าเรือนหอ นาวาปั้นหน้าเคือง คุณเพชรเลยต้องสงบปากสงบคำช่วยว่าที่ภรรยาเก็บของต่อไป พลันสายตาเห็นรูปถ่ายใบเล็กของนาวา น่าจะเป็นตอนมัธยม ในรูปเด็กแว่นจอมเฉิ่มคนนั้นกำลังอุ้มลูกแมว ทำหน้าน่ารักเพราะเจ้าแมวดิ้นกระดุกกระดิกในอ้อมกอด เด็กเฉิ่มคงจั๊กจี้เลยหัวเราะออกมา


“ไม่ได้เสแสร้ง พี่คิดถึงวาจริงๆ” ตรีเพชรหมุนตัวนาวาให้หันหลังให้กระจก เชยคางคนตัวเล็กให้เงยขึ้นมามอง “เมื่อคืนนอนไม่หลับ ตื่นเต้นทั้งคืน อยากเร่งให้วันนี้มาถึงเร็วๆ แล้วมันก็มาถึง วันนี้… วาน่ารักมาก”


วินาทีแรกที่ตรีเพชรเห็นเงาสะท้อนของนาวาที่กระจก หัวใจของเขาเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่อยู่ ปกตินาวาอาจจะไม่ใช่คนที่สะดุดตาทุกคน แว่นหนาของเขาบดบังความผุดผ่องและดวงตางดงามอยู่เป็นประจำ ผมกระเซิงนั่นเล่านาวาไม่ค่อยสนใจทรงผมเท่าไหร่เพราะแค่ตื่นเช้าให้ทันเข้าเรียนก็ยากแล้ว คงไม่มีเวลามานั่งห่วงภาพลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ หากวันนี้ทุกอย่างที่เคยเห็นจนชินตากลับแปรเปลี่ยนไป แน่นอนว่าเมื่อเดินออกจากห้องนี้ นาวาจะสะกดสายตาทุกคู่ให้หันมอง ตาสีสวยไร้สิ่งบดบังมีแพขนตาหนาคอยขับให้ตาดูโตน่าหลงใหล เครื่องหน้าทุกอย่างงดงามชัดเจน จมูกรั้นแสดงถึงความดื้อรับกับเรียวปากบางสี
คล้ายกลีบกุหลาบชมพูน่าสัมผัส แก้มเนียนผิวพรรณผุดผ่องมีรอยระเรื่อสุขภาพดี


ตรีเพชรลูบผมสีน้ำตาลของนาวาแผ่วเบา ดวงตาเขาไม่ละไปจากนัยน์ตาสีทองอำพันของนาวาแม้แต่น้อย คุณเพชรยิ้มอย่างมีความสุข ประกายตาระยับดุจแสงดาวยามค่ำคืน


“พี่ติดให้นะ”


ชายหนุ่มบรรจงติดเข็มกลัดดอกกุหลาบขาวบนปกสูทด้านซ้าย สีขาวของกลีบกุหลาบตัดกับพื้นผ้าสีมะรูน ตรีเพชรสำรวจมองการแต่งกายของคนตรงหน้า ชุดที่ทั้งคู่สวมเหมือนกัน แต่ความน่ารักของนาวากระจายออกมาทำให้ทั้งสองแผกกัน ตรีเพชรเรือนกายผึ่งผายไหล่กว้าง แม้จะอยู่ในชุดมิดชิดแต่เสื้อเข้ารูปย่อมทำให้รู้ว่าชายหนุ่มหุ่นดี อกแกร่ง แขนกำยำ เรือนกายสูงโปร่ง สง่าสมกับเป็นชายในฝันของใครหลายๆคน คุณเพชรดูเท่ห์สมาร์ทในชุดงานหมั้น ประกอบกับรอยยิ้มและแววตาเปี่ยมสุขคู่นั้น ตรีเพชรก็ดึงดูดทุกสายตาไม่แพ้คนเคียงข้าง


“เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” นาวาถามขึ้น


“เดี๋ยว ยังแต่งตัวไม่เสร็จ” ตรีเพชรคว้าข้อมือซ้ายของนาวา แล้วสวมสร้อยเพชรผีเสื้อที่นาวาวางไว้ข้างกล่องนาฬิกาลงบนข้อมือนั้น “ได้นาฬิกาเจ้พลอยแล้วลืมของของพี่เลยเหรอ”


“กำลังจะใส่ต่างหาก” นาวาว่า


“ห้ามถอด ผีเสื้อพวกนี้พี่ให้วา มันมีความหมายนะ”


“ความหมาย? ความหมายอะไรล่ะ?”


“ไว้คืนนี้จะเล่าให้ฟัง”


นาวาหน้ายู่ “แค่หมั้นนะไม่ได้แต่งงาน หมั้นเสร็จแยกย้ายกันกลับบ้าน ค่อยเจอกันที่มหา’ลัย”


“ไม่เอา” ตรีเพชรปฏิเสธทันควัน “คืนนี้ไปนอนคอนโดด้วยกัน วันอื่นค่อยกลับบ้าน อย่างที่พี่บอกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เราองคนต้องอยู่ด้วยกันที่คอนโด วันอื่นๆ วาจะกลับบ้านหรือไปบ้านพี่ก็ตามใจ ห้ามเถียงห้ามบ่ายเบี่ยงเรื่องนี้ด้วย พี่บังคับ”


“แต่วันนี้มันวันพฤหัส” นาวายังไม่ล้มเลิก เด็กหนุ่มต้องการจะหนีตรีเพชร แค่มองตาก็รู้แล้วว่าไอ้คนตัวสูงคิดอะไร ขืนเขายอมมันสิ โดนไอ้ตี๋ผิดผีขึ้นมาจะแย่เอา


“วาอ่ะ” ตรีเพชรออดอ้อน “คืนนี้ฉลองกันนะ อยู่กับพี่ พี่ไม่ยอมให้กลับบ้านหรอก ต่อให้วากลับบ้านพี่ก็จะตามไปด้วย เลือกเอาเถอะว่าจะโดนพี่จูบที่คอนโดหรือจะให้พี่หอมแก้มโชว์ที่บ้าน”


“ฮึ่ย ไอ้ตี๋บ้าอำนาจ นี่แค่หมั้นนะยังสั่งขนาดนี้ ใครแต่งกะนายคงปวดกะบานตาย”


“ได้ปวดหัวแน่ เพราะไม่ว่ายังไง พอวาเรียนจบพี่จะจับแต่งงาน อย่าได้คิดจะมองคนอื่น”


“ฮ่าๆ เจอแบบนี้วาคงจะหนี หนีไปสุดขอบโลกเลย”


“หนีไปไกลแค่ไหนพี่ก็จะตาม ตามไปลงโทษที่กล้าหนีพี่ไป แบบนี้…” ตรีเพชรบรรจงจูบแผ่วเบาบนหน้าผากนาวาปล่อยให้ความอบอุ่นจากริมฝีปากนุ่มแผ่ซ่านไปถึงดวงใจของคนในอ้อมแขน ตรีเพชรกอดกระชับร่างบางที่สั่นเล็กน้อย ทิ้งจูบไว้เช่นนั้นเนิ่นนาน นานพอที่จะทำให้นาวารับรู้ความจริงใจและความรักอันเอ่อล้นของเขา


“ใครเขาลงโทษแบบนี้กัน”


“พี่ไง ต่อไปถ้าวาดื้อกับพี่ พี่ก็จะลงโทษวาแบบนี้แหละ ลงโทษให้รู้ว่าคนที่เจ็บคนที่เสียใจคือพี่ ให้วาได้รู้ว่าคนที่จะรักและทะนุถนอมวาคือพี่คนเดียว เพราะพี่รักวา รักคนนี้ รักคู่หมั้นของพี่หมดหัวใจ”


    นาวาแก้มแดงไปจนถึงใบหู


    ก่อนจะจูงมือกันเข้าพิธี สัมผัสที่ปลายแก้มและคำพูดของตรีเพชรยังคงแว่วหวานอยู่ในความรู้สึก นาวายิ้มกับตัวเอง ยิ้มกับดอกไม้ที่บานเบ่งในงาน ยิ้มให้กับคนเดินเคียงข้างที่จับมือเขาไว้ ตรีเพชรอาจจะไม่รู้ว่ากำแพงที่นาวาก่อเอาไว้เพื่อกีดกันตัวเองจากความรักกำลังสั่นคลอน กำแพงหนาพังครืนทีละนิดโดยไม่อาจทัดทานได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาคนเดียว ไอ้ตี๋ คนบ้าอำนาจ เจ้าของคำพูดที่ยังแว่ววนไม่จางหาย


    “รีบรับรักพี่สักทีนะตัวเล็ก”



:pig4: :pig4: :L1: :pig4: :pig4:
   

ออฟไลน์ Starry[Blue]

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
หวานขึ้นเรื่อยๆแล้ววว :-[

ออฟไลน์ ZwolfTD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่เพชรกับน้องวา ตามมาอ่านในนี้อีกรอบนึง ชอบภาษาเขียนของไรท์มากๆเลยค่ะ อ่านแล้วฟินนนน:)

ออฟไลน์ tear0313

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ตามเข้ามาในนี้ ไม่รู้คนเขียนจะยังมาต่อหรือเปล่าาาน้อออ


ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ละลาย ไม่น่าเชื่ออิตาคุณเพชรจะหวานได้ขนาดนี้
ฟินเลย อิอิ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด